บทที่ 152 กระจกของผู้กล้า
บทที่ 152 กระจกของผู้กล้า
ดาร์กพยุงแคลร์ไปที่โซฟา ก่อนจะปล่อยให้ร่างของศาสตราจารย์คนใหม่เอนพิงกับพนักโซฟา จากนั้นเด็กชายก็เอาผ้าห่มผืนเล็ก ๆ มาคลุมตักเธอ
ร่างกายของจอมเวทระดับสูงไม่ได้อ่อนแออย่างที่เห็นจากภายนอก แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ออกกำลังกาย แต่เพื่อรับมือกับการต่อสู้และการฆ่ากันในสนามรบ พวกเขาจะดื่มยาเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวเองเล็กน้อย
ดังนั้นแคลร์ที่เป็นวีรสตรีในสนามรบ เธอจะไม่เป็นหวัดง่าย ๆ เพียงเพราะอากาศหนาวเย็นในฤดูหนาวแน่นอน
แต่ใครจะไม่ชอบให้คนใกล้ชิดดูแล
มุมปากของแคลร์สั่นเล็กน้อย แน่นอนว่าเธอไม่มีทางไม่รู้ถึงการเคลื่อนไหว อย่างการถูกย้ายจากพรมมาที่โซฟา เธอแค่ไม่อยากลืมตาเท่านั้น
“เฮ้อ ฉันมาเพราะอยากถามวิธีสร้างการ์ด [สวนสัตว์] ไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เรื่องอะไรเลย”
ดาร์กเงยหน้าขึ้นเป็นเวลานาน คิดว่าแคลร์คงไม่ตื่นขึ้นมาในเร็ว ๆ นี้ จึงเดินออกไปก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้น เพราะช่วงเช้าเขายังมีเรียนอยู่
“ไว้กลับมาตอนเย็นแล้วกัน!”
ในที่สุด ดาร์กก็ตบแก้มตัวเองและเดินออกจากหอพักของหญิงสาว แต่เมื่อประตูปิดลง แคลร์ก็ลืมตาขึ้นอย่างเงียบ ๆ จากนั้นก็เอื้อมมือออกไปโอบอากาศตรงหน้าแล้วกระซิบว่า “ดูเหมือนว่าเขาจะโตขึ้นแล้วนะเนี่ย?”
หลังจากได้เดินทางไปรอบโลกอยู่สองสามปี แคลร์ก็ได้รับประสบการณ์กลับมามากมายและรู้ว่าต้องกำหนด ‘สัดส่วน’ อย่างไร ดังนั้นเมื่อใช้คาถาแปลงกายกับดาร์ก เธอจึงจงใจลดระยะเวลาในการแปลงกายลง ในกรณีนี้ หลังจากที่ดาร์กตื่นขึ้น เขาจึงจำไม่ได้เลยว่าครั้งหนึ่งเขาได้กลายเป็นแมวไปแล้ว
ปรากฏว่ามันประสบความสำเร็จซะด้วย
แคลร์รู้สึกว่าเธอสมควรถูกเรียกว่า ‘นักปราชญ์’ จริง ๆ!
คุณป้าผู้เกียจคร้านเอนหลังพิงโซฟา ขณะเผยรอยยิ้มจาง ๆ ออกมา “เด็กชายตัวน้อยต้องการการ์ด [สวนสัตว์] งั้นเหรอ? ได้สิ เพราะไม่มีใครที่ฉันอยากสอนให้นอกจากเขา ส่วนลูกชายของกาวด์ ก็ให้อาร์เต้ดูแลไปแล้วกัน”
…
หอคอยบ้านขุนนางจะเปิดตอนตีห้า เมื่อดาร์กออกจากหอพักอาจารย์ ก็เป็นเวลาราว ๆ ตีสี่ได้ เด็กชายดึงเสื้อให้มันปิดถึงคอแล้วถอนหายใจ และตัดสินใจว่าจะใช้โอกาสที่หาได้ยากนี้ สัมผัสกับทัศนียภาพของปราสาทตอนตีสี่
แต่ก่อนหน้านั้น เขายังมีบางสิ่งที่ต้องยืนยันก่อน “ระบบ แสดงค่าชี้วัด”
[ราคะ] เพิ่มขึ้นมาเป็น 107 หน่วย อันที่จริง ควรจะเป็น 107.5 หน่วย แต่ระบบจะตัดเศษส่วนออกเวลาแสดงสถิติค่ามหาบาป
นี่นับเป็นวันที่สี่แล้วตั้งแต่เข้าสู่เดือนธันวาคม หลังจากสามวันแรก เขาดึง [ราคะ] ออกมาจนเหลือ 104.5 หน่วย แต่ก็เพิ่งเพิ่มมาสามหน่วยเป็น 107.5 หน่วย ส่วน [ราคะ] ที่เก็บไว้ในต้นไม้หนอนมีสองหน่วยครึ่ง ดาร์กต้องหาอีกสิบหน่วยเพื่อเอามาขัดเกลาการ์ด [ราคะ III] แต่การเก็บไว้ใช้ในเชิงปฏิบัติ นับว่ายากพอสมควร
ดาร์กปิดหน้าต่างระบบลงและก้าวเท้าช้า ๆ ไปตามทางเดินปราสาท แสงนุ่มนวลส่องลอดผ่านเข้ามาจากหน้าต่างสี่เหลี่ยมทำให้ทางเดินไม่มืดสนิท ทว่ากลับเป็นลมหนาวที่พัดเข้ามา ในขณะที่ครั้งก่อนนั้นมันเคยอบอุ่น ลมหนาวเปรียบเสมือนเข็มทิ่มที่ทำให้คนรู้สึกเจ็บ รุกกี้เดวิมอนที่กระพือปีกบินอยู่ข้าง ๆ ก็ตัวสั่นเป็นครั้งคราว ดาร์กสงสัยว่าเขาควรเตรียมของขวัญคริสต์มาสให้มันด้วยหรือไม่?
ว่าแต่เอาเป็นหมวกหรือผ้าพันคอดี?
เด็กชายมาที่หน้าต่างบนชั้นสามของปราสาทอีกครั้งตามความเคยชิน ตัวอาคารเชื่อมไปสู่สะพานด้านนอกซึ่งเป็นอีกด้านหนึ่งของปราสาท แต่แล้วดาร์กก็ได้ยินเสียงที่เขาไม่ควรได้ยินในปราสาทตอนตีสี่ มันเป็นเสียงฝีเท้าที่สับรัว พร้อมกับมีเสียงกรีดร้องอย่างตื่นตระหนกไล่ตามมา
อันที่จริง เสียงนี้ยังฟังดูคุ้นหูมากด้วย
“กะไม่ให้ได้พักเลยจริง ๆ!” ดาร์กหรี่ตาและเริ่มสนใจ
แต่เขาไม่รู้เลยว่า ที่จริงแล้วเวอร์เธอร์กับโรเบิร์ตเข้าไปในทางลับตั้งแต่คืนวันศุกร์ เมื่อสองคู่หูเดินลึกเข้าไปในทางลับ พวกเขาก็ค้นพบว่าความจริงแล้วชั้นของมิติภายในนั้นซ้อนทับกัน และมีขนาดใหญ่กว่าที่คาดไว้หลายเท่า! เด็กชายทั้งสองขนอาหารมาเพียงพอที่จะอยู่ในนั้นเป็นเวลาสามคืนเท่านั้น และเพิ่งจะออกมาได้ตอนนี้
ส่วนโกเลมที่สถาบันปล่อยไว้ จริง ๆ แล้วมีเพียงขอบนอกของเส้นทางลับเท่านั้น ส่วนลึกของทางลับนั้นซับซ้อน และเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าไปได้ภายในสองวัน ตามทฤษฎีแล้ว การจัดวางโกเลมไว้ที่ขอบนั้นก็เพียงพอแล้ว
แต่ด้วยการ์ด [ความรักต้องห้าม] เป็นผู้นำทาง เวอร์เธอร์จึงเข้าใจทางลับอย่างลึกซึ้งมากกว่าใคร เขาไม่เพียงแต่เลี่ยงการลาดตระเวนของโกเลมได้เท่านั้น แต่ยังเข้าไปในส่วนลึกของทางลับได้ตั้งแต่วันเสาร์อีกด้วย
ในขณะนี้ ทางลับได้กลับสู่สภาวะปกติและเหลือกับดักไม่มากแล้ว นับตั้งแต่ที่ได้รับแผนที่ขุมทรัพย์มาจนถึงปัจจุบัน เวอร์เธอร์ก็ใช้วิธีตามหาอย่างอดทน จนในที่สุดก็สามารถแกะรอยรูปสมบัติที่ถูกวาดเหมือนผีได้ พวกเขาเดินตามเส้นทางบนแผนที่ขุมทรัพย์ และมุ่งไปข้างหน้าด้วยกำลังพลางเอาชนะอุปสรรคอย่างต่อเนื่อง
เย็นวันอาทิตย์หลังอาหารมื้อ ทั้งสองได้บุกตะลุยเป็นครั้งสุดท้าย และในที่สุดก็ค้นพบสถานที่ที่ผู้กล้าไบรต์ กาวด์ฝังสมบัติไว้!
มันเป็นห้องลับเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในกำแพงของทางลับที่ไม่มีอะไรเลย เวอร์เธอร์ควบคุมพลังเวทมนตร์ไว้บนฝ่ามือ และใช้ ‘วิธีการคลำ’ สัมผัสกำแพงที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมด ก่อนที่เขาจะพบทางเข้าสู่ห้องลับ ภายใต้อิทธิพลของพลังเวทมนตร์ กำแพงค่อย ๆ โปร่งใสและหัวใจของเวอร์เธอร์ก็เต็มไปด้วยความปีติยินดี
เด็กชายรีบวิ่งเข้าไปโดยไม่รีรอ…ก่อนจะลื่นล้มหัวฟาดพื้น!
พื้นห้องลับนั้นเรียบราวกับกระจก สะท้อนใบหน้าที่ปูดบวมของเขา หลังจากนั้น โรเบิร์ตก็เดินตามเข้ามาอย่างระมัดระวัง แต่ก็ต้องประหลาดใจกับห้องลับนี้ เพราะทั้งห้องถูกประกอบขึ้นจากกระจกบานเดียว เมื่อมองแวบแรก ก็ดูเหมือนว่ามีคนนับไม่ถ้วนมองเขาจากในกระจกอยู่
“นี่คือสถานที่ที่วีรบุรุษซ่อนสมบัติไว้เหรอ? แล้วสมบัติล่ะ?” โรเบิร์ตเบิกตากว้าง แต่ห้องลับนี้โล่งมากจนสามารถมองเห็นได้ทั้งหมด มันไม่มีอะไรเลยนอกจากกระจก ไม่มีแม้แต่ธุลีฝุ่น และไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่เหมือนกับ ‘กล่องสมบัติ’
เวอร์เธอร์ที่เจ็บปวดค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล พื้นมันลื่นเกินไป ดังนั้นเขาจึงนั่งกับพื้นด้วยใบหน้าที่ว่างเปล่า
เวอร์เธอร์ใช้เวลากว่าหนึ่งเดือน เลิกเล่นหมากรุกเวทมนตร์และพักการเรียนไว้ ตราบใดที่เขามีเวลาในตอนกลางคืน เขาก็จะไปสำรวจบนทางลับ พอได้พบกับสถานที่ที่ถูกเขียนไว้ในแผนที่ขุมทรัพย์ แต่แล้วมันกลับกลายเป็นสถานที่ผีสิงเช่นนี้เหรอ? สมบัติอยู่ที่ไหนกัน?
สมบัติล่ะ? สมบัติอยู่ไหน? เวอร์เธอร์ร์ตกตะลึงไปชั่วขณะ เขาสัมผัสทั่วทั้งห้องลับ พยายามใส่พลังเวทมนตร์เข้าไปในกระจกทุกบานตลอดเวลา แต่ก็ไม่มีกระจกใดตอบสนอง
“เฮ้ เวอร์เธอร์ นี่ไม่ใช่มุขตลกที่ผู้กล้าสร้างไว้หรอกเหรอ?” ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา โรเบิร์ตก็พูดด้วยความสิ้นหวัง
เวอร์เธอร์จ้องมองดวงตาที่แดงก่ำของเขา และปฏิเสธโดยไม่รู้ตัว “เป็นไปไม่ได้! นี่คือสิ่งที่พ่อของฉันทิ้งไว้ให้ฉัน มันจะเป็นเรื่องตลกได้ยังไง?”
แต่พอพูดจบเขาก็ใจหายทันที เพราะจู่ ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าสิ่งที่โรเบิร์ตพูดอาจเป็นเรื่องจริง
ตามที่คาดไว้ โรเบิร์ตกล่าวต่อ “แต่นายบอกฉันว่า มันเป็นสมบัติที่ผู้กล้าหาญทิ้งไว้สมัยเรียน ในตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าตัวเองจะมีลูกแน่นอน”
เวอร์เธอร์สงบลง “ฉันรู้ นายพูดถูก ตามนิสัยที่อาจารย์ใหญ่อาร์เต้เล่าไว้ เขาเป็นคนที่ชอบเล่นตลกจริง ๆ”
แอดพลอย : เราเสียใจที่เราต้องหยุดอัพนิยายเรื่องนี้เนื่องจากผู้อ่านไม่ถึง 1% ของผู้ใช้งานทั้งหมด
โรเบิร์ตพูดอย่างไม่ยอมตัดใจ “แต่บางทีอาจเป็นเพราะเรายังไม่สามารถไขปริศนานี้ได้ สรุปสั้น ๆ ก็คือเราแค่ยังหามันไม่เจอใช่ไหม?”
เวอร์เธอร์เห็นด้วย “ใช่แล้ว โรเบิร์ต ตอนนี้เราอยู่ปีหนึ่งเท่านั้น ยังมีเวลาอีกมากที่จะไขปริศนานี้ แต่ว่าพรุ่งนี้ก็จะวันจันทร์แล้วนะโรเบิร์ต”
หลังจากนั้น พวกเขาก็อยู่ในห้องลับต่อเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง แต่สุดท้ายก็ยังไม่พบอะไรอยู่ดี
บทที่ 151 ไวน์ภูตในตำนานสร้างเรื่อง
บทที่ 151 ไวน์ภูตในตำนานสร้างเรื่อง
ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้น แคลร์กำลังนั่งอยู่บนระเบียงแคบ ๆ ในมือมี ‘บันทึกของแวมไพร์’ นอกจากฉากอีโรติก นิยายก็ได้นำภูมิหลังของตัวละครนำหญิงมาวิเคราะห์ลักษณะและนิสัยของแวมไพร์อย่างละเอียด ซึ่งถือว่ามีคุณค่าทางวิชาการในระดับหนึ่ง เธอหลงใหลมันมากจนไม่ได้ยินเสียงของดาร์ก
หลังจากเคาะอีกสามครั้ง
ดาร์กก็ลดมือลงแล้วถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าคืนนี้แคลร์จะไม่ได้ปล่อยสัตว์ของเธอออกมา”
ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะคิดว่าแคลร์ไม่อยู่ในห้องพัก แต่ดาร์กรู้จักเธอดีพอที่จะรู้ว่าแคลร์อาจจะทำอย่างอื่นอยู่และไม่ตอบรับเสียงจากคนภายนอก เพราะหากเธอปล่อยสัตว์ออกมา เจ้าสิงโตจอมขี้เกียจที่ชอบนอนข้างประตูจะเป็นคนเปิดประตูให้เอง อย่างไรก็ตาม ดาร์กมีวิธีการอื่นและรับมือกับเรื่องนี้ได้
เขาอัญเชิญรุกกี้เดวิมอนออกมาแล้วสั่งให้มันบินออกไป จากด้านนอกหอพัก รุกกี้เดวิมอนเห็นแคลร์ขดตัวอยู่บนเตียง แล้วมันก็ยกอุ้งเท้าแตะที่หน้าต่างกระจก
ก๊อก! ก๊อก!
ในที่สุดแคลร์ก็เงยหน้าขึ้น “นี่มันวิญญาณรับใช้ของดาร์กนี่นา?” เธอนึกบางอย่างออกก่อนจะเหลือบมองที่ประตู มีแมวปรากฏขึ้นจากแสง แล้วมันก็บินไปที่ประตูแล้วเปิดกลอน…
ดาร์กผลักประตูเข้ามา เขาลูบหัวแมวแล้วปิดประตู แน่นอนว่าหอพักศาสตราจารย์ต่างจากหอพักของนักเรียน แม้ว่าหอพักนักเรียนจะค่อนข้างกว้างขวาง แต่ก็มีห้องเดียว ระเบียงเดียว ส่วนหอพักศาสตราจารย์แบ่งเป็นสามห้องนอน และหนึ่งห้องโถงซึ่งกว้างขวางเกินไป หอพักสะอาดมาก ซ้ำยังมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ แน่นอนว่าคนคลั่งสัตว์ไม่ได้เป็นคนทำเรื่องพวกนี้ นับตั้งแต่จบสงคราม แคลร์ก็เกียจคร้านมากขึ้น
โชคดีที่เธอมีสัตว์มากมายที่สามารถดูแลชีวิตประจำวันของเธอได้
ดาร์กเหลือบมองสองสามครั้งแล้วพูดว่า “ศาสตราจารย์ครับ ศาสตราจารย์แคลร์อยู่ไหมครับ?”
แคลร์เปิดประตูจากห้องนอน เสื้อตัวในรัดรูปท่อนบนของเธอไม่น้อย ขณะที่เสื้อตัวนอกเป็นเสื้อคลุมชุดนอนหลวม ๆ เท่านั้น เธอถือหนังสือไว้ ดวงตาของเธอเปิดอยู่อย่างปกติ อันที่จริงมันเต็มไปด้วยประกาย
“ฉันอยู่ ๆ หาว~” เธอหาวออกมาฟอดใหญ่
ดาร์กเหลือบมองเธอเล็กน้อย เขาวางของขวัญที่นำมาไว้บนโต๊ะ ส่วนแคลร์ก็เดินเข้ามาด้วยสายตาเป็นประกาย
“ไวน์ในตำนาน เธอมีของแบบนี้ได้ยังไง?”
ดาร์กมองแคลร์ผู้ไม่มีมารยาทก่อนจะโล่งใจเล็กน้อย ป้าคนนี้ออกไปเที่ยวรอบโลกหลายปี และหลังจากที่เธอบุกห้องนอนเขาในตอนนั้น ดาร์กก็ไม่ได้คุยกับเธออีกเลยนานครึ่งเดือน อันที่จริง เขากังวลว่าจะเข้าหาเธออย่างไรดี แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าแคลร์จะไม่ได้แตกต่างจากเมื่อก่อนเลย และเมื่อความทรงจำต่าง ๆ ผุดขึ้นมาในหัว พฤติกรรมของดาร์กก็เป็นธรรมชาติมากขึ้น
ดาร์กนั่งลงบนโซฟาและตอบว่า “ผมเจอมันในร้านเหล้าบนถนนนักเดินทาง ต้องขอบคุณจดหมายแนะนำตัวจากศาสตราจารย์ลิลลี่ เจ้าของร้านเหล้านั้นถึงเต็มใจที่จะเอาสมบัติออกมาขายให้”
“แน่นอน ไวน์ดี ๆ แบบนี้จะขายให้ภูตเท่านั้น ไวน์ดีที่ฉันดื่มครั้งล่าสุดก็เป็นของที่คนมอบให้ฉัน” แคลร์วางบันทึกของแวมไพร์ไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบขวดไวน์ขึ้นมามองดูดี ๆ ของในตำนานเช่นนี้ช่างดูสูงส่งและชวนฝัน
“รอเดี๋ยวนะ”
เธอพูดแบบนั้นแล้ววิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปในห้องครัวเพื่อหยิบแก้วสองใบ เปิดขวด เทไวน์ทั้งหมดในคราวเดียว เมื่อไวน์ไหลลงสู่แก้วกลิ่นหอมของมันก็ถูกปล่อยออกมา
ไวน์ภูตในตำนานนั้นไม่มีแอลกอฮอล์ แต่มันสามารถทำให้กระบวนการคิดของผู้คนสับสนและกระตุ้นความรู้สึกที่อยู่ลึก ๆ ได้
อันที่จริง มันเป็นเครื่องดื่มที่ทำให้คนเมาทั้ง ๆ ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ หลังจากที่แคลร์เทไวน์ เธอก็นั่งลงข้างดาร์กอย่างสบาย ๆ แล้วถามว่า “ทำไมจู่ ๆ วันนี้เธอถึงมาหาป้าล่ะ?”
เธอหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาและเหลือบมองเด็กชายผมบลอนด์ ดาร์กยกแก้วขึ้น มาดู สังเกต และจิบไวน์ภูตในตำนานอย่างสนอกสนใจ เฉพาะผู้ที่ใกล้ชิดกับภูตเท่านั้นที่สามารถลิ้มรสมันได้ ยิ่งใกล้ชิด ไวน์ก็จะยิ่งหอม หลังไหลลงคอไปแล้วรสชาติมันก็ดีขึ้น เขาหลับตาและเพลิดเพลินกับมันเป็นเวลานาน
เมื่อลืมตาขึ้น เขาก็ตระหนักถึงคำถามของแคลร์อีกครั้ง “ผมอยากเรียนรู้วิธีขัดเกลาการ์ด [สวนสัตว์] น่ะครับ”
แต่แคลร์ไม่ได้สนใจ กลิ่นหอมของไวน์ทำให้สติของเธอพร่ามัว
แต่ละคนประกอบไปด้วยเศษเล็กเศษน้อยที่เรียกว่า ‘อดีต’ มันทั้งสุขและทุกข์ ย้อมไปมาเหมือนทาสีลงผืนผ้า
หลังไวน์ถูกดื่มหมด
แคลร์ถูกบังคับให้ระลึกถึงอดีต และยิ่งดื่มไปมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งต้านการหวนรำลึกยากขึ้นเท่านั้น ขณะที่ความทรงจำที่ขมขื่นนั้นชัดเกินไป แคลร์หยุดชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะมองดูดาร์กที่อยู่ข้างกายเธอ อย่างไรก็ตาม เธอพบว่าดาร์กดูตกอยู่ในภวังค์ อันที่จริงแล้วเขาดูเมานิดหน่อย
“ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของเขากับภูตตัวน้อยจะสนิทสนมกันมากนะ” แคลร์ยังคงรินไวน์ให้ตัวเองอีกแก้ว ขณะย้อนกลับไปในตอนนั้น ปีเตอร์ได้แบ่งปันไวน์ภูตให้เธอ และเธอก็ได้ลิ้มรสความหอมหวานของวัยเยาว์
วันนี้เกิดความคิดมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร? ยิ่งหัวใจของมนุษย์ซับซ้อน ยิ่งซ่อนอะไรไว้ในใจมากเท่าไร ผลของไวน์ภูตก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
ยิ่งดื่มยิ่งเมา แม้แต่เมล็ดพันธุ์ความลับที่ฝังลึกอยู่ในใจก็ถูกเผยออกมาเช่นกัน
เธอไม่รู้ว่าดาร์กเมายิ่งกว่าเธอ หลังจากดื่มไปแก้วเดียวเขาก็เมาแล้ว นี่อาจเป็นสิ่งที่ดาร์กเองก็คาดไม่ถึง
หลังดื่มไปสองแก้ว แคลร์ก็มาถึงขีดจำกัดของเธอแล้ว เธอมองดูไวน์ที่เหลืออยู่ที่ก้นขวด ก่อนจะเทมันออกทั้งหมดและดื่มรวดเดียว หลังจากนั้น เธอก็เมามากจนแก้มขึ้นสีแดง สายตาที่มองเด็กผมบลอนด์ในตอนนี้เหมือนกับสัตว์กินเนื้อที่หิวโหย เด็กชายกลายเป็นลูกแมวในสายตาของเธอ ก่อนที่เธอจะกระโจนใส่เขาเหมือนกับสิงโตและกลิ้งไปบนพรมหนานุ่มพร้อมกัน
พระจันทร์กลมมาก
และดาร์กก็ฝัน
เขาฝันว่าตัวเองกลายเป็นแมว โดยมีป้าแคลร์ที่เป็นสิงโตคร่อมอยู่ เขาพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด
เวลาตีสี่
ในห้วงมิติความฝัน สติของดาร์กพลันกลายเป็นสีขาวโพลนอย่างสมบูรณ์ มันกลายเป็นทุ่งน้ำแข็งที่เขาอยากสัมผัส แต่แล้วแจ้งเตือนสีแดงก็ตัดผ่านสายตาเขา
[ราคะ +1]
[ราคะ +1]
ดาร์กสะดุ้งจนตัวลอย จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น
“เฮ้อ” ดาร์กหายใจหอบ “โชคดีที่ไม่ได้กลายเป็นแมว ดูเหมือนว่าแคลร์จะยั้งมือและไม่ลงมือกับเราเมื่อโตขึ้นแล้ว”
เมื่อคิดจบ ดาร์กก็ลากตัวออกมาจากอ้อมกอดของแคลร์อย่างระมัดระวัง เขาพบว่าเขาผล็อยหลับไปบนพรมกับแคลร์ ดาร์กลุกขึ้นนั่งขณะที่ยังเวียนหัวอยู่ “มันเป็นไวน์ที่ดีจริง ๆ ไม่คิดเลยฉันจะรับมันไม่ไหว ดูเหมือนว่าชีวิตนี้จะไม่เหมาะกับไวน์เท่าไหร่ สงสัยหลังจากนี้ฉันจะต้องพยายามดื่มไวน์ให้น้อยลงแล้ว”
บทที่ 150 ในนามของดวงจันทร์ฉันจะทำลายเธอ!
บทที่ 150 ในนามของดวงจันทร์ฉันจะทำลายเธอ!
วัตถุดิบหลักของยาแอนเดอร์เซนคือดอกไม้ภูต ส่วนวัตถุดิบหลักของยากริมม์คือหญ้าเคลิบเคลิ้ม วัตถุดิบที่เป็นแกนหลักซึ่งใช้ทำน้ำยานั้น สามารถส่งผลกระทบต่อวัตถุดิบหลักชนิดเดียวกันได้
คนจึงมักจะเกิดอาการประสาทหลอนหลังจากกินหญ้าเคลิบเคลิ้มเข้าไป ในขณะที่ยาของกริมม์ซึ่งสกัดจากหญ้าเคลิบเคลิ้ม สามารถต้านทานภาพลวงตาได้
ทำนองเดียวกัน ในขณะที่กลิ่นหอมของดอกไม้ภูตมีอิทธิพลต่อสมองและทำให้ผู้คนหลงใหลได้ แต่ยาของแอนเดอร์เซนที่มีดอกไม้ภูตเป็นแกนหลัก ก็สามารถขจัดคาถาล้างสมองออกไปได้เช่นกัน
…
และสปิริตที่สร้างโดยมียาของแอนเดอร์เซนเป็นวัตถุดิบหลักก็มีเสน่ห์ดึงดูดที่แข็งแกร่งเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาของเสน่ห์นั้นสั้นไปหน่อย
เพราะเพียงชั่วพริบตาเดียว ดาร์กก็หลุดพ้นจากความรู้สึกอันน่าหลงใหลนั้น
เขาเช็ดพื้นผิวการ์ดให้สะอาด ก่อนจะได้เห็นสปิริตบนพื้นผิวการ์ด
มันเป็นภูตสีชมพูขาวซึ่งดูน่ารักมาก ซ้ำยังมีริบบิ้นพันไว้ด้วย
ขอบของการ์ดเวทมนตร์ปล่อยรัศมีสีส้มจาง ๆ
แน่นอนว่านี่คือการ์ดสีส้ม
…
[ชื่อการ์ด: นินิม]
[ประเภท: การ์ดวิญญาณ]
[ระดับ: ✪✪✪✪]
[เผ่าพันธุ์: ประเภทนกและสัตว์]
[คุณสมบัติ: ภูต]
[พลังเวทมนตร์: 1900 หน่วย]
[พลังโจมตี: 1700 หน่วย]
[พลังป้องกัน: 1300 หน่วย]
[ท่าไม้ตาย : เสน่ห์มัดใจ เสียงปลดอาวุธ ทัณฑ์ดวงจันทร์]
…
ระดับพลังเวทมนตร์ชั้นยอด พลังโจมตีที่ทรงพลัง และพลังป้องกันระดับปานกลาง ประกอบเป็นค่าพลังของการ์ดวิญญาณสีส้มนี้
ในบรรดาสามท่าไม้ตาย
[เสน่ห์มัดใจ] เป็นลักษณะเฉพาะของนินิม และเป็นท่าไม้ตายหลักของการ์ดวิญญาณใบนี้ด้วย!
[เสน่ห์มัดใจ: มีโอกาสที่ฝ่ายโจมตีซึ่งเป็นเพศตรงข้ามจะหลงใหลในการสัมผัสทางกายภาพ]
ท่าไม้ตายที่สอง [เสียงปลดอาวุธ] เป็นท่าไม้ตายที่สามารถเปลี่ยนเงื่อนไขการเปิดใช้งานของ [เสน่ห์มัดใจ] จาก ‘การสัมผัสทางกายภาพ’ เป็น ‘การได้ยิน’
[เสียงปลดอาวุธ: ปล่อยเสียงร้องที่มีเสน่ห์ออกมา ผู้ใช้สามารถสร้างความเสียหายทางอารมณ์กับเป้าหมายได้ หากสปิริตมีความสามารถในการใช้ ‘เสน่ห์มัดใจ’ มีโอกาสที่เป้าหมาย (เพศตรงข้าม) จะหลงใหลได้]
สำหรับท่าไม้ตายที่สาม [ทัณฑ์ดวงจันทร์]!
มันไม่ได้เป็นเพียงการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของ [นินิม] แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของ [ราคะ] เช่นเดียวกับ [แสงจันทร์] ของแบล็คบุยด้วย
[พลังแห่งดวงจันทร์: ผู้ใช้จะโจมตีเป้าหมายโดยยืมพลังของดวงจันทร์ หากอยู่ใต้แสงจันทร์พลังจะทวีคูณ!]
…
ขณะที่ข้อมูลสกิลไหลเข้ามาในหัวของดาร์ก เขาก็เริ่มเอ่ย [อัญเชิญปกติ] อย่างเงียบ ๆ
“จงออกมา!”
ภูตสีชมพูขาวที่มีหนวดเหมือนริบบิ้นพลันปรากฏขึ้นมาจากแสงสีชมพูจาง ๆ
เป็นนินิมนั่นเอง!
ในฐานะหนึ่งในประเภทวิวัฒนาการของอีบุย เงื่อนไขหลักในการวิวัฒนาการเป็นนินิม ก็คือความสนิทสนม
ช่วงลำตัวส่วนใหญ่ของมันเป็นสีขาว ขณะที่หัว หู หาง กับครึ่งล่างของขามีสีชมพู ตาของมันเป็นสีฟ้าซีด และข้างในหูก็เป็นสีฟ้าเข้ม
นอกจากนี้แล้ว ยังมีโบว์ผูกอยู่ที่หูและคอซ้าย บนโบว์แต่ละอัน มีริบบิ้นอยู่สองเส้น ซึ่งแท้ที่จริงแล้วคือหนวด
นินิมชอบเอาริบบิ้นมาพันรอบแขนของเจ้านายอันเป็นที่รักของมัน ราวกับว่ามันกำลังควงแขนของคู่รักอย่างไรอย่างนั้น
“มี้~”
นินิมซึ่งเป็นร่างจุติของ [ราคะ] คลี่ยิ้มกว้างอยู่ในอ้อมแขนของเจ้านาย มันพันริบบิ้นรอบตัวดาร์กและถูแก้มของมันกับตัวเด็กชาย ขณะที่พยายามรัดตัวเจ้านายให้แน่นที่สุด
กลิ่นหอมหวานแผ่ซ่านออกมาจากริบบิ้นที่หัว
มันกระตือรือร้นมากกว่าอูชิเสียอีก
ดาร์กที่ถูกพันอย่างแน่นหนาทำได้เพียงอาศัย ‘อำนาจของผู้เป็นนาย’ สั่งให้มันปล่อยเขาไป นินิมคลายริบบิ้นอย่างช้า ๆ แต่สีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก
เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องลูบนินิมเพื่อให้มันสบายใจพอที่จะลืมคำบ่นไป
จากนั้นดาร์กได้ทำการทดลองขนาดเล็กกับท่าไม้ตาย [ทัณฑ์ดวงจันทร์]
เขาอัญเชิญ [สัตว์อสูรมายา: อีบุย] ออกมา จากนั้นก็ใช้ [ราคะ III] เพื่อวิวัฒนาการเป็น [แบล็คบุย] และใช้ท่าไม้ตาย [แสงจันทร์] เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างทั้งสองสกิล
ดาร์กสังเกตเห็นความแตกต่างเล็กน้อยระหว่างทั้งสองสกิลนี้
จากนั้นเขาก็มั่นใจว่าถ้าใช้ [ราคะ] เพื่อสร้าง [ราคะ III] ใหม่ มีโอกาสเป็นไปได้ว่า [สัตว์อสูรมายา: อีบุย] จะวิวัฒนาการไปเป็น [สัตว์อสูรมายา: นินิม]
แม้ว่าคุณสมบัติของ [ราคะ] จะเหมือนกัน แต่เนื่องจากนิสัยที่แตกต่างเล็กน้อย มันจึงสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่างได้เช่นกัน แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อยก็ตาม
และถ้าดาร์กต้องการยืนยัน เขาจำเป็นต้องสร้าง [ราคะ III] ใหม่จริง ๆ
“แต่ [ราคะ IV] สร้างไม่ง่ายเลยสักนิด ตอนนี้ถ้าสร้าง [ราคะ III] ใหม่มันอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ ยังไงซะ การมีการ์ดเวทมนตร์ประเภทนี้มากขึ้นก็ยังถือเป็นเรื่องดี”
“ทั้ง [แบล็คบุย] และ [แบล็คแคทมอน] ที่วิวัฒนาการมาจาก [ราคะ III] ของเทพธิดาไม่เชื่อฟังคำสั่งกันเลยสักนิด ฉันต้องการการ์ด [ราคะ III] ที่เป็นของตัวเองจริง ๆ”
ดังนั้น ดาร์กจึงมีแผนสำหรับ [มหาบาป] ของเดือนนี้แล้ว
…
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ดาร์กเรียกนินิมกลับเข้าไปในการ์ดเวทมนตร์
นี่คือความไม่สะดวกอย่างหนึ่งของสปิริต มันไม่สามารถอยู่ข้างนอกได้ตลอดเวลาหลังจากถูกอัญเชิญออกมา
และถ้าสปิริตของเขามีระดับสติปัญญาสูงกว่าสาม มันก็คงจะดี เพราะถ้าเป็นแบบนั้นเขาจะได้ไม่ต้องเก็บสปิริตไว้ในการ์ดเวทมนตร์ตลอดเวลา
นอกจากนี้ ดาร์กยังต้องการลอง ‘การอัญเชิญพันธะวิญญาณ’ และปล่อยให้สปิริตในการ์ดตอบสนองต่อการเรียกของเขาผ่าน ‘พันธะ’ เพื่อให้บรรลุผลลดเวลาอัญเชิญให้สั้นลงอีก
ในอดีต จอมเวทสามารถควบคุมเวลาอัญเชิญปกติของการ์ดเวทมนตร์ระดับสี่ดาวให้เหลือน้อยกว่าสิบวินาทีจากหนึ่งนาทีได้ ซึ่งนั่นเป็นเวลาขั้นต่ำหากใช้วิธีการปกติ
สิ่งนี้ทำให้พวกเขาสามารถอัญเชิญสปิริตขั้นที่สองได้อย่างรวดเร็วโดยไม่จำเป็นต้องใช้ผ่านการ ‘บูชายัญ’!
ที่จริงก็มีตัวอย่างอยู่ใกล้ ๆ
นักปราชญ์แห่งอสูรเช่น แคลร์ เคทก็ทำได้!
ในการปลูกฝัง ‘สายสัมพันธ์’ ความต้องการพื้นฐานที่สุดแน่นอนว่าคือการอยู่ร่วมกับสปิริต
เรื่องนี้ต้องใช้การ์ดเวทสนามที่คล้ายกับ [สวนสัตว์]
เอฟเฟกต์ของการ์ดเวทสนามนั้นมีหลากหลาย แต่การ์ด [สวนสัตว์] และ [อาณาจักรแห่งสรรพสัตว์] นั้นค่อนข้างพิเศษ
นอกจากเอฟเฟกต์ของตัวเองแล้ว พวกมันยังสามารถทำให้สปิริตประเภทนกและสัตว์คงอยู่ในสนามได้เป็นเวลานานอีกด้วย
ส่วนตัวจอมเวทเพียงแค่ต้องเติมพลังเวทมนตร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาเอฟเฟกต์การ์ดเวทสนามอย่าง [สวนสัตว์] เอาไว้
ดังนั้น ดาร์กจึงคิดที่จะทำการ์ดเวทสนาม [สวนสัตว์] ขึ้นมา
มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสร้างการ์ดเวทสนามขนาดใหญ่อย่าง [อาณาจักรแห่งสรรพสัตว์] ในตอนนี้ แต่กับการ์ดเวทสนามขนาดเล็กอย่าง [สวนสัตว์] ยังพอจะเป็นไปได้อยู่
หลักฐานก็คือ ผู้สร้างการ์ดเวทสนามนี้เต็มใจที่จะสอนเขา
แม้ว่าสำหรับจอมเวทแล้ว การ์ดเวทมนตร์นั้นจะมีค่าพอ ๆ กับชีวิตของพวกเขา แต่ดาร์กรู้สึกว่าแคลร์เต็มใจที่จะสอนเขา เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอ
…
“ฉันอาจจะขอร้องเธอได้!”
“รวบรวมความกล้าของตัวเองสิ ดาร์ก!”
ในวันอาทิตย์ ดาร์กปรึกษากับศาสตราจารย์ลิลลี่ก่อนจะเดินไปตามถนนนักเดินทางเพื่อซื้อของขวัญให้กับแคลร์
หลังอาหารเย็น เขานำของขวัญไปให้แคลร์ที่หอพักศาสตราจารย์
แคลร์อยู่ที่เซนต์แมเรียนมานานกว่าครึ่งเดือนแล้ว แต่ดาร์กยังไม่เคยไปเยี่ยมเลย แม้แต่วันนี้เองก็มาอย่างมีจุดประสงค์ ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกละอายใจเล็กน้อย
บทที่ 149 ดาร์ก เดม่อน ราชาแห่งความโชคดี
บทที่ 149 ดาร์ก เดม่อน ราชาแห่งความโชคดี
ดาร์กไม่ใช่คนที่ปฏิเสธผู้อื่นเก่งนัก
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังสนใจสินค้าใหม่นี้ด้วย ดังนั้นเขาจึงเดินตามผู้ช่วยร้านเข้าไปในห้องลับอีกครั้ง
ครั้งนี้ห้องถูกทำความสะอาดเรียบร้อย สินค้ากึ่งสำเร็จรูปที่นำมาทดลองขายได้ถูกส่งกลับไปยังโรงงานเพื่อทำการซ่อมแซมแล้ว จึงเหลือแค่สินค้าสำเร็จรูปเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นที่ยังคงอยู่
และสิ่งที่โดดเด่นที่สุด แน่นอนว่ายังเป็นเจ้าปลาทองที่ดูเหมือนกับหลุดออกมาจากนรกนั่น!
แต่ข้าง ๆ ปลาทอง กลับปรากฏสิ่งมีชีวิตสุดน่ารักที่ดึงดูดความสนใจของดาร์กทั้งหมดไปในทันที!
“นี่คือจิ้งจอกเฟนเนกใช่ไหมครับ?”
ดาร์กรู้สึกประหลาดใจ
เมื่อเห็นว่าเด็กชายดูชอบ มิสแคทก็พูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ใช่แล้ว นี่คือหญ้าจิ้งจอกชนิดหนึ่ง เรียกว่าหญ้าจิ้งจอกเฟนเนก!”
จิ้งจอกเฟนเนกเป็นหนึ่งในสุนัขที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
พวกมันมีใบหูขนาดใหญ่ที่น่ารักเป็นพิเศษเนื่องมาจากถูกธรรมชาติปรับสภาพให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม
สีขนมีตั้งแต่สีครีมจนถึงสีเหลืองซีด
และส่วนปลายหางมักจะเป็นสีดำ
จิ้งจอกเฟนเนกที่อยู่ตรงหน้าเรียกได้ว่าปกติมาก แต่เพราะมันตัวเล็กเหมือนกับแมวตัวน้อยในห้องของเขา
ดาร์กจึงชอบมันแทบจะทันที!
เดิมที [ราคะ] ก็เป็นคู่ที่ดีสำหรับ [จิ้งจอก] อยู่แล้ว บางทีถ้าโชคดีเขาอาจขัดเกลาต๋าจี่*[1] หรืออะไรทำนองนั้นได้?
ขณะที่ดาร์กสงสัย เขาก็ถามว่า “หญ้าจิ้งจอกต้นนี้กี่คะแนนเหรอครับ?”
ผู้ช่วยร้านค้าตอบว่า “หญ้าจิ้งจอกไม่ได้ผลิตออกมาเยอะ ดังนั้นราคาจึงสูงเล็กน้อย ต้นละหนึ่งร้อยคะแนนน่ะ”
ดาร์กถามต่อ “โอเคครับ แล้วหญ้าจิ้งจอกกระถางนี้ต้องการน้ำยาแมวพิเศษไหมครับ?”
มิสแคทตอบทันที “ไม่จำเป็น ใช้น้ำยาแมวธรรมดาก็ได้”
…
ในไม่ช้าดาร์กก็ออกมาจากร้านดอกไม้และต้นไม้คิตตี้ พร้อมกับกระถางหญ้าจิ้งจอกในมือ
จากนั้นเขาก็เดินไปตามถนนสักพัก และซื้อทุกอย่างที่หญ้าจิ้งจอกต้องการ
หลังจากได้หญ้าจิ้งจอกกระถางนี้มาแล้ว ดาร์กพลันรู้สึกว่างานวิจัยของเขากำลังจะเกิดความก้าวหน้าครั้งใหญ่อย่างไรไม่รู้
…
ก่อนหน้านี้ เขาต้องเลือกระหว่างการเพาะปลูก [ผลแห่งราคะ] ต่อไป หรือจะสะสม [ราคะ] เพื่อเอาไปพัฒนาเป็น [ราคะ IV]
แต่ตอนนี้ดาร์กไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว
เขาไม่แน่ใจเรื่องจำนวน [ราคะ] ที่เขาต้องการเพื่อสร้าง [ราคะ IV] จะต้องมีเท่าไหร่
แต่ตอนนี้เขามีหญ้าจิ้งจอกใหม่แล้ว
ดังนั้น เขาจึงไม่จำเป็นต้องไตร่ตรองเรื่องนี้อีกต่อไป
…
เมื่อดาร์กกลับมาที่หอพัก เขาก็ไม่ได้เร่งรีบที่จะเพาะ [ผลแห่งราคะ] ทันที
แต่วางแผนที่จะใช้เวลาหนึ่งหรือสองวัน เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ของเขากับหญ้าจิ้งจอกนี้ก่อน
และแล้วข้างเตียงของเด็กชายก็มีตะกร้านอนเพิ่มขึ้นมาอีกใบ…
เวลาผันผ่านไปจนถึงคืนวันเสาร์
ดาร์กหยิบเครื่องหยดสมองวิเศษและใช้ ‘วิธีแมลงปอสัมผัสน้ำ’ อีกครั้งเพื่อดึง [ราคะ] ที่ล้นออกมาจากสมองของเขา
จากนั้น
เมื่อรวม [ราคะ] 1.5 หน่วยที่เขาดึงออกมาในวันนี้กับ [ราคะ] ห้าหน่วยที่เขาเก็บไว้จากเดือนก่อน บวกกับ [ราคะ] 1.5 หน่วยที่เขาเก็บไว้เมื่อวานนี้ ดาร์กได้รวบรวมมันไว้ทั้งหมดแปดหน่วยแล้ว!
ในเวลานี้ ค่า [ราคะ] ได้เปลี่ยนจาก 109 หน่วยเป็น 106 แล้วซึ่งถือได้ว่าเข้าสู่ช่วงที่ปลอดภัย
สำหรับการ์ดใบต่อไป เขาจะไม่เสี่ยงเพิ่มค่าราคะ แต่จะไปลดค่า [อัตตา] ลงแทน
ทว่านั่นก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาในภายหลัง
…
หลังจากดึง [ราคะ] ออกมาเพียงพอ ดาร์กก็ขังหญ้าแมวไว้ในห้องนอนแล้วเอาหญ้าจิ้งจอกออกมาที่ระเบียง จากนั้นเขาก็เปิดรั้วป้องกันของต้นไม้หนอนและฉีด [ ราคะ] หนึ่งส่วนสามของที่รวบรวมไว้ในวันนี้ลงในกิ่งหนอน
ในบรรดากิ่งหนอน หนึ่งในนั้นเก็บ [ราคะ] ไว้สามหน่วยและอีกสองกิ่งเก็บ [ราคะ] ไว้สองหน่วยตามลำดับ
ดาร์กอุ้มหญ้าจิ้งจอกขึ้นมาและปล่อยให้มันดูดกิ่งหนอน
ผลลัพธ์ปรากฏทันที ทว่ามันไม่ได้เปลี่ยนไปเพราะฤดูกาลเปลี่ยน
ตราสัญลักษณ์ของ [ราคะ] ปรากฏขึ้นบนยอดหญ้าจิ้งจอกทันที จากนั้นมันก็มีดอกตูมขึ้นมา มันเบ่งบานท่ามกลางแสงจันทร์ ก่อนจะออกผลในที่สุด
นั่นเป็นผลที่อุดมไปด้วย [ราคะ]!
หลังจากนั้นดาร์กก็ฉีด [ราคะ] หนึ่งหน่วยที่เหลือเข้าไปในกิ่งหนอนเพื่อเก็บไว้ หลังจากนั้นเขาก็ไม่ลืมปิดรั้วและแบกหญ้าจิ้งจอกกลับมาที่ห้องนอนด้วย
เนื่องจากอากาศเริ่มเย็นลง ดาร์กจึงย้ายกระท่อมหญ้าวัวไปไว้ที่มุมห้องนอนแทน
ตอนนี้มี ‘หญ้าแมว’ สามตัวอาศัยอยู่ในห้องแล้ว หญ้าวัวนั้นเงียบ และหญ้าแมวอยู่ไม่นิ่ง ส่วนหญ้าจิ้งจอกนั้นชอบเกาะติดอยู่กับเด็กชายมาก
ดาร์กวางหญ้าจิ้งจอกลงในตะกร้านอนแล้วเริ่มการทดลอง
ขั้นตอนของการทดลองนั้นเขาคุ้นเคยกับมันแล้ว
เด็กชายอัญเชิญ [ชัคคารุ] ออกมาก่อน
จากนั้นก็ใส่ [ผลแห่งราคะ] ลงไปในกระดองของชัคคารุ แล้วรอให้ผลไม้หมักละลายตามกระบวนการ
ใช้เวลาในการหมักประมาณครึ่งชั่วโมง
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ดาร์กก็ได้รับน้ำผลไม้ [ราคะ] มาหนึ่งแก้ว
วิธีการต่อไป มันถูกนำไปขัดเกลาโดยวิธีขัดเกลาขั้นพื้นฐาน [ประเภทนกและสัตว์–คุณสมบัติปกติ]
ใช้การ์ดเวทมนตร์เปล่าราคาห้าสิบคะแนน
โดยมีวัตถุดิบหลักคือน้ำผลไม้ราคะ
สำหรับผลลัพธ์สุดท้ายมันขึ้นอยู่กับโชคชะตาทั้งหมด
…
การขัดเกลาครั้งนี้ไม่มีคำแนะนำใด ๆ ทั้งนั้น
แม้แต่คุณสมบัติที่เขาเลือกสำหรับวิธีขัดเกลาก็ยังเป็น ‘ปกติ’ ซึ่งสามารถสร้างสปิริตที่มีคุณสมบัติอื่นขึ้นมาได้
นี่ทำให้การทดลองไร้แบบแผนมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังทำให้การทดลองมีโอกาสล้มเหลวมากขึ้นด้วย
…
แต่ดาร์กมักมีโชคในการสร้างการ์ดวิญญาณเสมอ
การทดลองทั้งหมดในครั้งนี้นั้นดำเนินไปอย่างราบรื่นมาก
แม้กระทั่งหลังจากเปิดใช้งานวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1 แล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าน้ำผลไม้ [ราคะ] เพียงอย่างเดียวไม่สามารถกลั่นให้เสร็จสมบูรณ์ได้ เขาจึงแก้ไขมันด้วยการเติมวัตถุดิบเพิ่มเติมลงไปในนาทีสุดท้าย!
ดาร์กเพิ่ม ‘ยาของแอนเดอร์เซน’ ที่ได้รับจากซิสเตอร์คาไลด์ลงไปด้วย!
อันที่จริง เขามียาของกริมม์และยาของแอนเดอร์เซนอยู่ หนึ่งขวดสำหรับแก้ปัญหาภาพลวงตา และอีกขวดสำหรับแก้ปัญหาการล้างสมอง
ดาร์กเลือกยาของแอนเดอร์เซน ซึ่งสามารถลบล้างคาถาส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการสาปสมองหรือการบิดเบือนจิตใจได้
เดิมทีเขาก็อยากขัดเกลายาของแอนเดอร์เซนให้เป็นการ์ดน้ำยา แต่เมื่อมีความรู้มากขึ้น ดาร์กก็ตระหนักได้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะขัดเกลาน้ำยาขั้นสูงดังกล่าวให้เป็นการ์ดด้วยระดับปัจจุบันของเขาได้ สุดท้ายมันเลยถูกเก็บเอาไว้จนบัดนี้
เป็นผลให้ตอนเติมวัตถุดิบ ดาร์กจึงเติมยาของแอนเดอร์เซนทั้งสามหลอดลงไปในวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์ในคราวเดียว!
หลังจากนั้น รัศมีของวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1 ก็ไปถึงจุดสูงสุด และการสร้างการ์ดวิญญาณก็ก้าวไปสู่ขั้นตอนหลอมสุดท้ายได้สำเร็จ
→ การ์ดเวทมนตร์กลายเป็นรังไหมเรียบร้อย
…
ดาร์กเอื้อมมือไปแตะมัน ก่อนจะใส่พลังเวทมนตร์ลงไปในรังไหมที่กำลังเปล่งประกายไม่หยุด
คล้ายกับการสร้าง [อูชิ] พลังเวทมนตร์ในรังไหมเรืองแสงผันผวนตลอดเวลา เนื่องจากวัตถุดิบต่าง ๆ ยังคงถูกหลอมอย่างต่อเนื่อง และต้องใช้เวลาประมาณห้านาทีในการทำให้เสถียร
เมื่อมาถึงขั้นตอนนี้ ความคาดหวังของดาร์กที่มีต่อการ์ดวิญญาณใบนี้ก็ไปถึงจุดสูงสุดเช่นเดียวกัน
เขาอยากรู้จริง ๆ ว่าสปิริตแบบไหนจะออกมาเมื่อสิ้นสุดการขัดเกลาโดยไร้ซึ่งการชี้นำโดยเจตนา
ดังนั้น ดาร์กจึงรีบหยิบมีดปรอทออกมาและค่อย ๆ ผ่ารังไหมเรืองแสงออกอย่างระมัดระวัง
สีชมพูชวนฝันลอดผ่านช่องว่างออกมา
นอกจากจะเป็นสีของราคะแล้ว มันยังเป็นสีของภูตอีกด้วย
ดาร์กมึนงงเล็กน้อย และเขาก็เริ่มหลงใหลมันเรื่อย ๆ
[1] ต๋าจี่ในที่นี้กล่าวถึงปีศาจจิ้งจอก เล่ากันว่าต๋าจี่นั้นเป็นสนมคนโปรดของ ‘พระเจ้าโจ้ว’ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ซาง และนางถูกเรียกขานว่าเป็น สนมปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง
บทที่ 148 ดาร์ก เดม่อนไม่รู้ว่าพอควรคืออะไร
บทที่ 148 ดาร์ก เดม่อนไม่รู้ว่าพอควรคืออะไร
ฤดูใบไม้ร่วงกลายเป็นฤดูหนาวและทุกสิ่งบนโลกก็เริ่มจำศีล
ด้วยอุณหภูมิที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเซนต์แมเรียนก็เริ่มแจกชุดเครื่องแบบฤดูหนาว
แต่ถึงจะบอกว่าเป็นชุดเครื่องแบบฤดูหนาว มันกลับมีเพียงเสื้อซับในที่อบอุ่น เพิ่มเข้าไปในชุดเครื่องแบบฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น
เดือนใหม่เริ่มต้นด้วยคาบวิชาการประลองในวันศุกร์
ศาสตราจารย์โจนส์ยืนอยู่บนแท่น และพูดเกี่ยวกับกฎการประลองอย่างละเอียด
ดาร์กอยู่ในแถวสุดท้าย มือกำลังกระชับคอเสื้อให้แน่น ขณะที่หมอกขาวลอยออกมาเมื่อเขาถอนหายใจ
เมื่อคืนดาร์กทำสรุปรายเดือนของเขา
ปรากฏว่าเขาควบคุมค่ามหาบาปในเดือนพฤศจิกายน ได้น้อยกว่าในเดือนตุลาคม
ค่ามหาบาปทั้งหมดเพิ่มขึ้น ยกเว้น [ริษยา] และ [โทสะ]
[อัตตา: 105 → 106 หน่วย]
[ริษยา: 42 → 41 หน่วย]
[โทสะ: 94 → 90 หน่วย]
[เกียจคร้าน: 62 → 64 หน่วย]
[โลภะ: 89 → 97 หน่วย]
[ตะกละ: 62 → 64 หน่วย]
[ราคะ: 111 → 109 หน่วย]
มันเพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ขนาดว่าดึง [อัตตา] ออกไปสามหน่วยแล้ว แต่ค่าชี้วัดของเขายังคงเพิ่มขึ้นสี่หน่วยอยู่ดี
ส่วน [เกียจคร้าน] และ [ตะกละ] ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
แม้ว่า [โลภะ] จะเพิ่มขึ้นตามที่ดาร์กคาดไว้ แต่มันยังคงเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป และมีสัญญาณว่าจะควบคุมไม่ได้เล็กน้อย
[ราคะ] ลดลงหนึ่งหน่วยหลังจากที่เขาใช้การ์ดดอกไม้ไป หนำซ้ำ ดาร์กยังดึงมันออกมาได้สิบสองหน่วยด้วยเครื่องหยดสมองวิเศษ ทว่าถึงอย่างนั้น ค่าของมันก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ และกลับไปเป็น 109 หน่วยอยู่ดี
แม้ว่าปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคะเพิ่มขึ้นคือเขาจงใจเพิ่มมันเอง แต่ก็ยังไม่ง่ายที่จะจัดการกับมัน
ถ้าดาร์กไม่ยับยั้งตัวเอง ปัญหาจะยิ่งแย่ลงไปอีก
“ฮึก~” ดาร์กตบแก้มของเขา พยายามกำจัดความคิดที่ฟุ้งซ่านและตั้งใจฟังอาจารย์มากขึ้น
เป็นเวลาสามเดือนแล้วตั้งแต่เริ่มเรียนมา เหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งเดือนก่อนจะสิ้นสุดเทอมแรก
ถ้าพูดให้ชัดเจนคือ เทอมแรกจะสิ้นสุดในวันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม
จากนั้นเซนต์แมเรียนก็จะฉลองคริสต์มาส และจะมีวันหยุดหนึ่งสัปดาห์
หากนักเรียนรับประกันได้ว่า จะสามารถเดินทางไปกลับได้อย่างรวดเร็วภายในหนึ่งสัปดาห์ พวกเขาสามารถขอกลับบ้านในวันที่ 22 และใช้วันคริสต์มาสอีฟอันอบอุ่นกับครอบครัวได้
ถ้าไม่อย่างนั้น พวกเขาจะต้องอยู่ที่สถาบันอย่างเชื่อฟัง
เพราะหลังจากสิ้นสุดวันหยุด เทอมใหม่จะเริ่มต้นขึ้น
เทอมที่สองจะเริ่มขึ้นในเดือนมกราคม และดำเนินต่อไปจนถึงเดือนมิถุนายน โดยจะมีการสอบปลายภาคหนึ่งหรือสองสัปดาห์หลังจากเดือนมิถุนายน ตามด้วยช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน
เนื่องจากตารางเรียนที่อัดแน่น ศาสตราจารย์และนักเรียนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะใช้เวลาช่วงวันหยุดคริสต์มาสในปราสาท
ทุกปีในวันคริสต์มาสอีฟ สถาบันจะจัดงานเต้นรำและมอบถุงเท้าให้นักเรียนแต่ละคน
ว่ากันว่าพวกเขาสามารถได้รับของขวัญคริสต์มาส โดยมีข้อแม้ว่าต้องอยู่ให้ได้ถึงตีห้าในเช้าวันรุ่งขึ้น แล้วเมื่อเปิดถุงเท้า พวกเขาก็จะต้องพบกับความประหลาดใจ!
…
“ดังนั้น การประลองในชั้นเรียนครั้งที่สองของเทอมนี้จะจัดขึ้นในวันศุกร์หน้า ฉันจะบันทึกอันดับในการประลองนี้ไว้เป็นผลงานของพวกเธอในเทอมนี้ แล้วนำไปรวมกับการสอบปลายภาคของเทอมถัดไปเพื่อสรุปคะแนนสุดท้าย”
เมื่อใกล้จบคาบเรียน ศาสตราจารย์โจนส์ก็ประกาศเวลาสำหรับการแข่งขันในชั้นเรียนครั้งที่สอง
ตอนเธอพูดครึ่งแรก เหล่าจอมเวทฝึกหัดก็ตื่นเต้นกันมากจริง ๆ
แต่พอพูดถึงครึ่งหลัง นักเรียนเกือบจะทุกคนก็ทำหน้าเหวอออกมา
“ถามจริง มันจะรวมเป็นเกรดรวมเหรอ?”
“ฉันได้ยินมาว่าเกรดรวมสามารถแปลงเป็นคะแนนได้…”
“นี่หมายความว่าการสอบของเราจะเริ่มก่อนเวลาเลยไม่ใช่เหรอ?”
“นี่มันไม่กะทันหันเกินไปเหรอ?”
“เมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอไง?”
“ถ้าเริ่มตั้งแต่วันนี้ จะยังมีเวลาพอสำหรับขัดเกลาการ์ดใหม่หรือเปล่านะ?”
ทั้งห้องเรียนเกิดความโกลาหลอยู่ครู่หนึ่ง
…
ศาสตราจารย์โจนส์หรี่ตาและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าพวกเธอมีคำถามอะไรให้ยกมือขึ้น”
เอ็มม่าเป็นคนแรกที่ยกมือขึ้น
หลังจากที่ศาสตราจารย์โจนส์เรียกชื่อเธอ เธอก็ถามทันทีว่า “ศาสตราจารย์คะ กฎในครั้งนี้จะยังเหมือนเดิมกับโหมดระดับสูงหรือเปล่าคะ?”
“เป็นคำถามที่ดี”
ศาสตราจารย์โจนส์ปรบมือ ก่อนจะบอกให้เธอนั่งลงแล้วตอบว่า “ครั้งนี้เราจะใช้ระบบการประลองแบบเป็นทางการ แต่ไม่จำกัดจำนวนการ์ดเวทมนตร์ขั้นต่ำ”
โดรอนจากบ้านขุนนางยกมือขึ้นทันที
ศาสตราจารย์โจนส์พยักหน้าให้ และเขาก็ลุกขึ้นทันที ก่อนจะถามว่า “ถ้าอย่างนั้น มันจะไม่เป็นการเอาเปรียบกับคนที่มีการ์ดเวทมนตร์น้อยเหรอครับ?”
ศาสตราจารย์โจนส์ตอบอย่างใจเย็นว่า “การ์ดเวทมนตร์เป็นผลจากการเรียนของเธอในเทอมนี้ คนที่เรียนดีย่อมมีการ์ดเวทมนตร์มากกว่า แล้วจะพูดได้ยังไงว่าเป็นการเอาเปรียบ?”
โดรอนเงียบไปครู่หนึ่ง
จากนั้นที่แถวสุดท้ายข้างประตู เวอร์เธอร์ กาวด์ยกมือขึ้นสูง
เมื่อศาสตราจารย์โจนส์เรียกชื่อเขา เวอร์เธอร์ก็ถามเสียงดังว่า “ศาสตราจารย์ครับ คราวนี้มีรางวัลคะแนนอะไรหรือเปล่าครับ? หรือแต้มอันดับสามารถแปลงเป็นคะแนนได้หรือเปล่าครับ?”
อาจารย์โจนส์กล่าวว่า “ผลอันดับการประลองในชั้นเรียนครั้งนี้ จะใช้อ้างอิงสำหรับคะแนนรวมของการสอบปลายภาคเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่สามารถแปลงเป็นคะแนนได้ แต่ถ้าเธอเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งก็จะมีรางวัลเป็นคะแนนให้”
เวอร์เธอร์ถามต่อ “เท่าไหร่เหรอครับ?”
โจนส์ตอบ “ห้าพันคะแนน”
“โห”
เหล่านักเรียนอ้าปากค้างทันที
ห้าพันคะแนนนี่มันอะไรกัน?
ผู้ชนะ ‘ดาวเด่น’ ของชั้นปีที่หนึ่ง ราชาแห่งงานเลี้ยงสวมหน้ากาก ดาร์ก เดม่อนก็ได้รับคะแนนเพียงห้าพันคะแนนในงานนี้เท่านั้น
และรางวัลแชมป์ของการประลองในชั้นเรียนครั้งแรกก็มีเพียงหนึ่งพันคะแนนเท่านั้น!
เมื่อดูจากสถานการณ์นี้แล้ว อาจมีคะแนนสำหรับอันดับสองและสามด้วย
ศาสตราจารย์โจนส์กล่าวทันทีว่า “การแข่งขันครั้งนี้จะมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และการตั้งรางวัลก็จะครอบคลุมมากขึ้น นอกจากแชมป์แล้ว สิบอันดับแรกจะได้รับรางวัลเป็นคะแนนด้วย”
ทันทีที่เธอพูดออกมา ทั้งห้องเรียนก็เต็มไปด้วยเสียงอื้ออึง
ตำแหน่งแชมป์ได้มาไม่ง่ายก็จริง แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะติดสิบอันดับแรกอยู่
ทุกคนเป็นนักเรียนใหม่ ดังนั้นโอกาสของทุกคนจึงเท่ากัน
ตราบใดที่พวกเขาพยายามอย่างหนัก มันก็มีความเป็นไปได้เสมอ!
สำหรับเรื่องที่มันมีผลไปถึงเกรดรวม พวกเขาก็จงใจลืมมันไปเสีย
“อีกหนึ่งสัปดาห์!”
นักเรียนทุกคนเตรียมพร้อม
เวอร์เธอร์เหลือบมองดาร์กที่นั่งอยู่และตัดสินใจทันที
…
ดาร์กผู้ซื้อวัตถุดิบ [เคลื่อนย้ายในพริบตา] เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็อยากได้คะแนนเช่นกัน
เพียงแต่เขาไม่แสดงออก
เขาไม่ได้เปิดเผยความมุ่งมั่นใด ๆ
ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา เขาไม่เคยหย่อนยานในการเรียน ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าเขาจะชนะที่หนึ่ง
แต่แทนที่จะคิดถึงเรื่องนี้ ไปคิดถึงวิธีปกป้องต้นไม้หนอนหลังฤดูหนาวดีกว่า
มีน้ำยาประมาณสี่ประเภทสำหรับการเพาะเลี้ยงต้นหนอน และแต่ละฤดูกาลก็แตกต่างกัน
ในหมู่พวกมัน ยาฤดูหนาวและยาฤดูร้อนมีราคาแพงกว่า ในขณะที่ยาฤดูใบไม้ร่วงและยาฤดูใบไม้ผลิมีราคาถูกกว่า
สรุปคือควรเปลี่ยนน้ำยา
ดังนั้น หลังจากวิชาการประลองจบลงในตอนบ่าย
ดาร์กก็ออกจากปราสาท และเข้าสู่ถนนนักเดินทางผ่านศาลาใจกลางทะเลสาบ
…
เดือนธันวาคมเพิ่งมาถึง แต่ถนนนักเดินทางกลับตกอยู่ในบรรยากาศคริสต์มาสแล้ว
ร้านค้าหลายแห่งยังไม่ได้ตั้งต้นคริสต์มาส แต่คำว่า ‘คริสต์มาสสเปเชียล’ กลับถูกเพิ่มลงไปในใบปลิวแล้ว
ดาร์กเดินผ่านถนนสายยาว และเข้าไปในร้านดอกไม้และต้นไม้กาเหว่า ซึ่งเขาซื้อยาสำหรับฤดูหนาวของต้นไม้หนอนมา
จากนั้นก็เข้าไปในร้านดอกไม้และต้นไม้คิตตี้ต่อเพื่อสอบถามเกี่ยวกับการปรับปรุงหญ้ากระต่าย
มิสแคทพูดอย่างเขินอายเล็กน้อย “ปัญหาในการปรับปรุงหญ้ากระต่ายเป็นเรื่องยากที่จะก้าวผ่านไปได้ แต่ฉันเพิ่งได้สายพันธุ์ใหม่ ๆ มา เธออยากลองดูไหม?”
บทที่ 147 วันนี้คุณกลายเป็นหมูแล้วหรือยัง?
บทที่ 147 วันนี้คุณกลายเป็นหมูแล้วหรือยัง?
พิธีต้อนรับศาสตราจารย์คนใหม่ถูกจัดขึ้น ณ เวลาหกโมงเย็นในวันจันทร์
ราวกับว่าเพื่อลดผลกระทบจากการลาออกของศาสตราจารย์ดีดี้ พิธีต้อนรับครั้งนี้จึงยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ
ตัวแคลร์ไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก แต่เธอก็พยายามร่วมมืออย่างเต็มที่เพื่อพัฒนาสถาบันเก่าของเธอ
แม้ว่าเธอจะไม่สนใจ แต่ก็มีเหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้เธอประหลาดใจระหว่างกล่าวสุนทรพจน์บนเวที
นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งของบ้านนักปราชญ์และบ้านคนเขลา ได้เตรียมของขวัญไว้สำหรับเธอ และมอบให้เธอต่อหน้าคนทั้งสถาบัน
นอกจากนี้ยังมีนักเรียนคนหนึ่งที่ให้ช่อดอกไม้กับเธอด้วยใบหน้าแดงก่ำ
นี่ไม่ใช่เพราะเธอเป็นศาสตราจารย์คนใหม่
แต่เพราะเธอเป็นลูกศิษย์ของเซนต์แมเรียน และยังเป็นวีรสตรีของมนุษยชาติอีกด้วย!
…
ประวัติศาสตร์เวทมนตร์ของชั้นปีหนึ่งคือวันที่สองและสี่ของสัปดาห์
แคลร์เตรียมบทเรียนตั้งแต่เช้าวันจันทร์ และเธอจะเปลี่ยนตัวกับอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ในช่วงบ่ายวันอังคาร เพื่อสอนบทเรียนประวัติศาสตร์เวทมนตร์ครั้งแรกของเธอ
เพราะนักเรียนของทั้งสี่บ้านเคารพวีรสตรีที่มีฉายา ‘นักปราชญ์แห่งอสูร’ เป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงประพฤติตัวดีเยี่ยมเมื่อเริ่มคาบเรียน
แคลร์ผ่านขั้นตอนการแนะนำตนเองอย่างราบรื่น และเริ่มการบรรยายอย่างเป็นทางการ
รูปแบบการสอนของเธอใกล้เคียงกับอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ เรื่องราวที่เธอเล่าล้วนไม่ได้มาจากตำราเรียน พวกมันทั้งน่าสนใจและมีข้อมูลครบถ้วน
ถ้าให้ดาร์กติ คงมีแค่น้ำเสียงของเธอที่แทบจะไม่มีอารมณ์ร่วมเลยระหว่างเล่าเรื่อง มันเหมือนกับการระบุข้อเท็จจริงจากมุมมองเป้าหมาย แต่ขาดความรู้สึกร่วม
เธอมีความคล้ายคลึงกับศาสตราจารย์ดีดี้ในเรื่องนี้
กล่าวโดยสรุป การฟังบรรยายของเธอเป็นเวลานานอาจทำให้คนง่วงนอนได้ง่าย
แคลร์ดูเหมือนจะเป็นคนแบบนั้น
เธอเป็นคนมีสติปัญญาและมีเหตุผล ไม่แยแสและเฉลียวฉลาด
…
หลังจากความตื่นเต้นในตอนแรก เหล่าจอมเวทฝึกหัดก็รู้สึกตื่นเต้นกับศาสตราจารย์คนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาก็น้อยลง
แคลร์ผสานเข้ากับบรรยากาศของสถาบันอย่างรวดเร็ว และได้รับความสนใจจากกลุ่มนักเรียนเนื่องจากภาพลักษณ์ที่ดี รวมไปถึงนิสัยที่อ่อนโยนของเธอ
แม้ว่านักเรียนบางคนจะไม่ชอบเธอ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
…
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปในพริบตา
นักเรียนค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับการมาของศาสตราจารย์คนใหม่
ส่วนแคลร์ก็ค่อย ๆ ปรับให้เข้ากับตัวตนใหม่ของเธอ
วันที่ 21 พฤศจิกายน บ่ายวันอังคาร
ในที่สุด แคลร์ก็เปิดเผยนิสัยที่แท้จริงของเธอ ระหว่างคาบบรรยายประวัติศาสตร์เวทมนตร์ครั้งที่สาม
เธอเปลี่ยนนักเรียนที่กำลังหลับในห้องเรียนให้กลายเป็นหมู!
แม้ว่ามันจะเป็นหมูตัวเล็กอ้วนที่ทำให้คนอยากกอด แต่หมูก็ยังเป็นหมูอยู่วันยังค่ำ
แคลร์เรียกชื่อนักเรียนคนนั้น และนักเรียนที่นอนอยู่บนโต๊ะก็กลายเป็นหมูทันที ก่อนที่นักเรียนคนอื่นจะทันได้ตอบสนอง!
นักเรียนเกือบคิดว่าเขายังอยู่ในฝันร้าย
ใครก็ตามที่จู่ ๆ ตื่นขึ้นมาในชั้นเรียน และพบว่าตัวเองกลายเป็นหมูก็คงอยากหนีจากความเป็นจริง
แต่ความตื่นตระหนก ความตกใจ ความกลัว และความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นที่นักเรียนในปีเดียวกันรอบ ๆ ตัวเขาแสดงออกมา ทำให้เขารู้สึกถึงลางร้ายอย่างยิ่ง
จนกระทั่งคำวิพากษ์วิจารณ์ของศาสตราจารย์แคลร์ เคทดังเข้ามาในหูของเขา มันก็เริ่มทำให้เขาเข้าใจ
…
เมื่อมองไปยังหมูที่กำลังหอบแฮก โรเบิร์ตซึ่งเกือบจะหลับพลันสติตื่นตัวสั่นเทาในทันที หนำซ้ำเขาเกือบจะกรีดร้องออกมาด้วย
เด็กชายรีบเช็ดน้ำลายออกจากปาก และพูดด้วยเสียงสั่นเครือกับเวอร์เธอร์ว่า “เวอร์เธอร์ ฉันตื่นแล้วหรือยัง?”
เวอร์เธอร์ซึ่งตอนแรกก็ง่วงนอนเหมือนกัน เวลานี้เขามีเหงื่อเย็นไหลออกมาเช่นกัน
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ความกระตือรือร้นในการสำรวจทางลับของเขาค่อย ๆ ลดลง ส่วนจำนวนการบ้านที่ได้รับมอบหมายจากศาสตราจารย์ก็ค่อย ๆ กลับสู่ระดับปกติ
และเมื่อการบ้านน้อยลง เวอร์เธอร์กับโรเบิร์ตก็วิ่งไปสำรวจที่ทางลับทุกคืนและยังต่อสู้กับโกเลมที่อยู่ที่นั่นด้วย
เวลานั้นยังมีนักเรียนคนอื่นเข้ามาในทางลับเช่นกัน แต่จำนวนของพวกเขาก็มีน้อยลงเรื่อย ๆ
ตลอดสัปดาห์ ในที่สุดการล่าขุมทรัพย์ของเวอร์เธอร์ก็มีความคืบหน้า
แต่ถึงอย่างนั้น มันยังเป็นการยากอยู่ดีที่จะแบ่งเวลาสำรวจตอนกลางคืนกับการเรียนในตอนเช้า เป็นผลให้นักเรียนบางคนเริ่มงีบหลับในชั้นเรียน
ทุก ๆ ครั้ง นักเรียนบางคนจะเข้าเรียนคาบแรกสายในตอนเช้า
แม้ว่าเวอร์เธอร์และโรเบิร์ตจะไม่ได้เข้าเรียนสาย แต่พวกเขาก็ไม่ค่อยอยู่นิ่ง ซึ่งมันค่อนข้างส่งผลกระทบต่อการเรียน
ทว่าเวอร์เธอร์ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้ เขากำลังกังวลกับการ์ดเวทมนตร์และคะแนนของเขามากกว่า
แม้ว่า [กระสุนเวทมนตร์] จะประสบความสำเร็จ แต่วัตถุดิบ [เคลื่อนย้ายในพริบตา] สองชุดที่เขาซื้อมาด้วยสองพันคะแนนกลับล้มเหลวทั้งคู่!
เขาไม่มีคะแนนให้ใช้อีกแล้ว
เวอร์เธอร์ต้องการสมบัติที่พ่อทิ้งไว้ให้จริง ๆ!
…
หลังจบคาบเรียน ข่าวเกี่ยวกับการกระทำของศาสตราจารย์ประวัติศาสตร์เวทมนตร์คนใหม่ในชั้นเรียน ก็แพร่กระจายออกไปราวกับไฟป่า
การประเมินในหมู่นักเรียนที่ประเมินเธอว่ายอดเยี่ยมในตอนแรก เริ่มเกิดความผันผวนในระยะเวลาอันสั้น
รุ่นน้องตกใจ ส่วนรุ่นพี่เองก็ตกตะลึงกับความชำนาญ ในการแปลงกายของศาสตราจารย์เคท
ศาสตราจารย์คนอื่นมักหักเฉพาะคะแนนเท่านั้น
แต่ศาสตราจารย์แคลร์ เคทจะเปลี่ยนคนให้กลายเป็นหมู!
…
และแม้ว่าระยะเวลาของการแปลงร่างเป็นหมูจะสั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นยังคงเป็นรอยด่างพร้อยต่อชีวิตของนักเรียนในสถาบันอยู่ดี
ลองคิดดูว่า ถ้าวันหนึ่งหลังจากเรียนจบไป แล้วบังเอิญไปเจอเพื่อนร่วมชั้นตามท้องถนน
ทั้งคู่จำกันได้และทักทายกันอย่างกระตือรือร้น แต่อีกฝ่ายจำชื่อคุณไม่ได้มาสักพักแล้ว หลังจากครุ่นคิดอย่างหนัก อีกฝ่ายก็พูดว่า “ฉันจำได้! นายคือ XXX ที่กลายเป็นหมูในชั้นเรียนสินะ!”
แค่คิดก็อยากจะฆ่าตัวตายแล้ว…
…
จอมเวทฝึกหัดไม่กล้าว่อกแว่กในคาบประวัติศาสตร์เวทมนตร์อีกต่อไป
…
และอีกหนึ่งสัปดาห์ก็ผ่านไปในพริบตา
หลังจากศึกษาความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ ‘ภาษาเวทมนตร์’ ในที่สุดดาร์กก็มั่นใจในการขัดเกลาคาถา [เคลื่อนย้ายในพริบตา]
วันที่ 29 พฤศจิกายน บ่ายวันพุธ
หลังจากที่ดาร์กเตรียมพร้อมเต็มที่แล้ว เขาก็เริ่มขัดเกลาคาถา [เคลื่อนย้ายในพริบตา] ในหอพัก
แต่อย่างไรก็ต้องมีวัตถุดิบสำรอง เขาจึงซื้อชุดคาถา [เคลื่อนย้ายในพริบตา] เพิ่มเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ปัญหาการขัดเกลาคาถา [เคลื่อนย้ายในพริบตา] ส่วนใหญ่อยู่ที่ตราเวทมนตร์
แต่หลังจากที่ดาร์กเรียน ‘ภาษาเวทมนตร์’ ด้วยตัวเองแล้ว เขาก็เชี่ยวชาญมากขึ้น
หลังจากนั้นกระบวนการขัดเกลาก็ผ่านไปอย่างราบรื่น
ทว่าดาร์กไม่คิดว่าเขาจะประสบความสำเร็จในการขัดเกลาคาถา [เคลื่อนย้ายในพริบตา] ตั้งแต่ครั้งแรก!
[เคลื่อนย้ายในพริบตา] เป็นเวทมนตร์ที่เกี่ยวข้องกับการกระโดดข้ามมิติ
หากผู้ใช้มนตราแห่งยุคโบราณต้องการที่จะเชี่ยวชาญเวทมนตร์ประเภทนี้ พวกเขาจะต้องมีความสามารถอย่างมาก
แต่ในยุคของจอมเวท แม้แต่จอมเวทฝึกหัดอย่างดาร์กก็สามารถควบคุมมันได้ ด้วยการขัดเกลาการ์ดเวทมนตร์เท่านั้น
ผลของคาถา [เคลื่อนย้ายในพริบตา] นั้นตรงไปตรงมามากคือ มันจะเคลื่อนย้ายไปข้างหน้าทีละสามเมตร
นอกจากใช้เพื่อหลบหลีกฉุกเฉินแล้ว การใช้งานที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือการกระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง เช่น กำแพง
และถ้าใช้ดี ๆ ก็สามารถช่วยชีวิตคนได้เลยทีเดียว
มันคงดีถ้าเขามีการ์ดเวทมนตร์แบบนี้อยู่กับตัวหลายใบ
ดังนั้น หลังจากที่ดาร์กขัดเกลาคาถา [เคลื่อนย้ายในพริบตา] ใบแรกได้สำเร็จ เขาก็เริ่มขัดเกลาใบที่สองทันที
อย่างไรก็ตาม ในการขัดเกลาครั้งที่สอง ดาร์กทำผิดพลาดและประมาทเลินเล่อ มันจึงนำไปสู่ความล้มเหลวในทันที
โชคดีที่วัตถุดิบหลักยังไม่ได้ถูกใช้ และตราบใดที่เติมวัตถุดิบพื้นฐานราคาถูกอันใหม่ การขัดเกลาก็สามารถเริ่มต้นใหม่ได้
ดังนั้นดาร์กจึงไม่ท้อแท้
เขาบันทึกกระบวนการทั้งหมดลงไปในสมุด
ในวันเดียวกันนั้น ดาร์กได้พบกับศาสตราจารย์เคเซอร์ และด้วยความช่วยเหลือของศาสตราจารย์ ดาร์กก็เจอจุดที่เขาทำผิดพลาดและละเลยไป นั่นคือเขาต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘ภาษาเวทมนตร์’ ให้ลึกซึ้งและมากขึ้นไปอีก
บทที่ 146 เขตแดนสรรพสัตว์ของแคลร์
บทที่ 146 เขตแดนสรรพสัตว์ของแคลร์
เวลาตีสาม
แคลร์ตื่นจากการนอนหลับ ขมับมีเหงื่อเย็นเยียบผุดขึ้นมา
หลังจากที่ลืมตาขึ้น เธอก็มองไปที่เพดานของระเบียง นัยน์ตาเปลี่ยนจากความว่างเปล่าเป็นค่อย ๆ จับจ้อง และต้องใช้เวลาสักพักกว่าที่เธอจะฟื้นสติ
“ฉันกลับมาแล้ว”
รูปแบบหอคอยของหอพักยังคงไม่เปลี่ยนไปแม้ผ่านมานานหลายทศวรรษ ที่ถูกปรับปรุงมีเพียงเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้นเท่านั้น
และทุกหอพักก็เป็นเหมือนกันเช่นนี้
พื้นที่ระเบียงก็เล็กเหมือนเดิม
แคลร์ไม่ใช่คนประเภทที่เข้ากับคนอื่นง่าย เธอค่อนข้างไว้ตัวทีเดียว
สมัยเรียน หลังเลิกเรียนเธอมักจะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการอ่านหนังสือบนระเบียง
แม้พื้นที่จะคับแคบและภายในห้องก็เต็มไปด้วยสัตว์ แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกสงบได้
พูดถึงสัตว์…
ตอนนั้นเองที่เธอนึกบางอย่างขึ้นมาได้
นักปราชญ์หญิงผุดลุกขึ้นยืน มืออุ้มหญ้าแมวไว้ และเหลือบมองเข้าไปในห้องนอน เห็นเพียงสปิริตที่ติดตามเธอมาครึ่งชีวิตนอนหลับอย่างสงบอยู่ภายในห้องนอน
สิ่งนี้ทำให้เธอประหลาดใจเล็กน้อย
“ดาร์กทำเหรอ?” เธอหันไปมองที่เตียง
ลูกชายเพื่อนสนิทของเธอกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง โดยมีวิญญาณรับใช้ตัวอ้วนกลมที่มีปีกค้างคาวนอนอยู่ข้างเตียงด้วย
“ค้างคาว?”
แคลร์หาวออกมา เธอยังคงง่วงอยู่บ้าง
มือหนึ่งผลักประตูเข้าไป การ์ดเวทมนตร์ที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อสะบัดออกเล็กน้อย และสนามเวทมนตร์ทั่วทั้งห้องนอนก็สลายไป เหล่าสปิริตพลันกลายเป็นดวงแสง พุ่งเข้ากลับเข้าไปในซองใส่การ์ดพร้อม ๆ กัน
ภายใต้สถานการณ์ปกติ สปิริตไม่สามารถอยู่นอกการ์ดเวทมนตร์ได้เป็นเวลานาน แต่แคลร์ผู้ถูกเรียกว่า ‘นักปราชญ์แห่งอสูร’ แน่นอนว่าเธอต้องมีความพิเศษเฉพาะตัว
ไม่ว่าจะเป็นการ์ดเวทสนามขนาดเล็ก [สวนสัตว์] หรือการ์ดเวทสนามขนาดใหญ่ [อาณาจักรแห่งสรรพสัตว์] สปิริต ‘ประเภทนกและสัตว์’ จึงสามารถคงอยู่ได้เป็นเวลานาน
ตราบใดที่การ์ดเวทสนามยังถูกร่ายไว้ ภายในขอบเขตที่เวทสนามปกคลุมจะกลายเป็นเขตแดนสรรพสัตว์ของเธอ!
…
แคลร์เดินเข้ามาในห้อง จากนั้นวางหญ้าแมวลงในตะกร้านอนที่หัวเตียง แล้วมองดูเด็กชายบนเตียงด้วยสายตาเปล่งประกาย
ก่อนจะมาที่นี่ เธอเคยถามถึงสถานการณ์ปัจจุบันของดาร์กจากผู้คนที่รู้จักมาแล้ว
แต่เท่าที่รู้จักดาร์กมากับสิ่งที่ได้ยินจากข้างนอกเมื่อไม่นาน เธอก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป
เด็กที่แม้แต่ดาบธรรมดายังไม่อาจฝึกฝนให้เก่งได้ จะกลายเป็นนักเรียนชั้นยอดได้อย่างไร?
ทว่าผ้าห่มในมือดูเหมือนจะให้คำตอบที่แท้จริงกับเธออย่างเงียบ ๆ แล้ว
“เด็กคนนี้โตขึ้นแล้วสินะ?”
แคลร์โน้มตัวเข้าใกล้ ดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับ มองดูเด็กชายที่เธอไม่ได้เจอมาเป็นเวลาสองสามปีอย่างละเอียด
“แต่เขายังดูตัวเล็กอยู่เลย”
มือเอื้อมไปจิ้มกับใบหน้าของดาร์ก และแสงสว่างในดวงตาของเธอก็ฉายชัดขึ้นเรื่อย ๆ
…
รุ่งอรุณมาเยือนอีกครั้ง
ดาร์กตื่นขึ้นทันใด
เขาฝันร้ายทั้งคืน
ทั้งภาพจากละครต่าง ๆ ที่เขาเคยดูในชีวิตก่อนหน้า ไปจนถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เขาได้ประสบในชีวิตนี้ พวกมันล้วนยุ่งเหยิงไปหมด ส่งผลให้การนอนหลับของเขาย่ำแย่ลงไม่น้อย
โดยเฉพาะภาพที่ดาร์กได้ฝันก่อนจะตื่น มันทำให้เขาตื่นขึ้นในทันที
ย้อนกลับไปในตอนที่ดาร์กอายุได้หกขวบ
เขากลายเป็นแมว เพราะแคลร์โกรธที่เขาไปฉีกหนังสือของเธอ
วันต่อมา เขาถูกฝังไว้ในอ้อมแขนของแคลร์ตลอดคืน และเกือบขาดอากาศหายใจตายระหว่างที่หลับ!
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้น คือหลังจากนั้นแคลร์ก็ดูเหมือนจะเสพติดการรังแกเขา ตราบใดที่เธอไม่มีความสุข เธอก็จะเอาความโกรธมาลงที่เขา และเมื่อเธอนอนไม่หลับ เธอจะทำให้เขากลายเป็นหมอน
ส่วนแม่ที่มักจะเอาใจเขาเสมอกลับเข้าข้างแคลร์ด้วย เป็นเวลาหลายคืนที่ดาร์กถูกบังคับให้นอนตรงกลางระหว่างพวกเธอ มันทำให้เขารู้สึกอนาถและเกือบจะมีเงามืดในใจ!
ฝันร้ายเหล่านั้นยังไม่สิ้นสุดจนกระทั่งแคลร์ออกจากบ้านของดาร์กไป
แต่ตอนนี้ ปีศาจตนนั้นกลับมาแล้ว!
เมื่อหวนนึกถึงความทรงจำเก่า ๆ ที่ตกค้างอยู่ภายในใจ ดาร์กพลันลืมตาขึ้นทันที สมองตื่นตัวอย่างเต็มที่
กลิ่นกายของแคลร์มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาก จนยากจะลืมเลือนได้
ดาร์กพบว่าแคลร์ย้ายมานอนอยู่ข้าง ๆ เขา
เด็กชายมองร่างกายตัวเองอย่างไม่รู้ตัว
สิ่งที่ปรากฏในดวงตาของเขาไม่ใช่ร่างของแมว แต่ก็เป็นฉากที่เย้ายวนมากอยู่ดี
[ราคะ +1]
ใบหน้าของดาร์กเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาใช้ ‘ศาสตร์แห่งจิตตั้งมั่น’ ทันทีเพื่อทำให้สมองว่างเปล่า และในที่สุดก็สามารถหยุดการเติบโตอย่างต่อเนื่องของราคะได้ทันเวลา!
ยังดีที่แคลร์ไม่ได้ทำให้เขากลายเป็นแมว
แต่ถึงอย่างนั้น เธอยังคงปฏิบัติกับเขาต่างหมอนอยู่ดี
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง
เมื่อดาร์กทำจิตใจให้มั่นคงได้แล้ว เขาถึงปลด ‘ศาสตร์แห่งจิตตั้งมั่น’ ออก
ใบหน้าอันสง่างามของแคลร์อยู่ใกล้แค่เอื้อม และลมหายใจของเธอก็มีกลิ่นหอมเหมือนกับกล้วยไม้
ดาร์กกระเถิบตัวออกมาอย่างเงียบ ๆ พยายามจะลุกออกจากทางอีกด้านหนึ่งของเตียง
ทว่าตอนนั้นเอง ขนตาของแคลร์พลันสั่นไหวและเธอก็ลืมตาขึ้น
ดาร์กไม่เปลี่ยนสีหน้า “อรุณสวัสดิ์ครับ ป้าเคท”
แคลร์ลุกขึ้นจากเตียงและสางผมของเธอลวก ๆ “ป้าพักอยู่ในห้องเธอคืนหนึ่ง เธอคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?”
ดาร์กยิ้ม “แน่นอนครับ ผมไม่รังเกียจหรอก แต่อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ไม่ได้จัดห้องพักไว้ให้ป้าเหรอ?”
แคลร์ยิ้มและกล่าวว่า “น่าจะจัดเตรียมบางอย่างไว้แล้ว แต่ฉันมาเร็วกว่าที่เธอคาดไว้ และฉันก็ไม่อยากไปรบกวนเธอตอนกลางดึก ก็เลยมาที่หอพักของเธอดู”
ใบหน้าของดาร์กมืดมนลง “ก็เลยมารบกวนผมแทนเนี่ยนะ?”
แคลร์ตบเตียง “ปกติเราก็นอนกอดกันไม่ใช่เหรอ”
…
อากาศยามเช้ายังสดชื่นเช่นเคย
ดาร์กกับแคลร์เดินไปโรงอาหารพร้อมกัน
แคลร์สูดอากาศรอบตัว ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ของเก่ายังคงเหมือนเดิมเสมอเลย”
ดาร์กพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไม่ใช่ว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้มันมีค่าเหรอครับ?”
แคลร์ไม่ได้ปฏิเสธ
ดาร์กเอ่ยขึ้นมาว่า “ป้าเคท ป้าไม่อยากเล่าประสบการณ์การเดินทางในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เหรอครับ?”
แคลร์ส่ายนิ้วชี้ไปมา “อยากรู้เหรอ? ถ้าอย่างนั้น ฉันแนะนำให้เธอซื้อหนังสือบันทึกการเดินทางของแคลร์”
ดาร์กถามด้วยความประหลาดใจ “ป้าตีพิมพ์หนังสือเหรอ?”
แคลร์ตอบ “ฉันเป็นนักเขียนบทความของนิตยสารเอรูดิต”
ดาร์กเลิกถาม “ก็ได้ครับ ถ้ามีโอกาสผมจะลองไปดู”
แคลร์เป็นฝ่ายถามบ้าง “อย่าเพิ่งถามฉันเลย ชีวิตในสถาบันของเธอเป็นไปด้วยดีไหม? มีแฟนแล้วหรือยัง?”
ดาร์กกลอกตาทันที “มันต้องใช้พลังงานอย่างมาก ในการรักษาภาพลักษณ์ของนักเรียนตัวอย่างนะครับ”
…
จากนั้นทั้งสองก็เข้าไปในโรงอาหาร
แคลร์สั่งอาหารอย่างสบาย ๆ และทักทายเชฟลูกครึ่งที่มีอายุมากกว่าทีละคน
หลังจากนั่งลงได้ครู่เดียว ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ก็ปรากฏตัวขึ้น
ดาร์กปล่อยให้แคลร์ไปหาศาสตราจารย์ซิลเวอร์
พวกเขาไม่ได้เริ่มคุยธุระกันในทันที แต่จิบชาหลังอาหาร ชวนกันนึกถึงสมัยเรียนของแคลร์
ตำแหน่งของศาสตราจารย์ซิลเวอร์ในสถาบันเซนต์แมเรียน เป็นรองจากอาจารย์ใหญ่อาร์เต้เท่านั้น
เธอได้เห็นการเติบโตของวีรบุรุษมานับไม่ถ้วน
และยังได้เห็นการล่มสลายของวีรบุรุษนับไม่ถ้วนด้วย
เวลานั้นช่างเย็นชาและโหดร้าย
สิ่งเดียวที่สามารถอยู่เหนือเวลาได้คือความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์มีความสุขมากกับการกลับมายังสถาบันของแคลร์
บทที่ 145 ดาร์ก เดม่อนนอนกับสัตว์อสูร
บทที่ 145 ดาร์ก เดม่อนนอนกับสัตว์อสูร
เนื่องจากดาร์กขาดความรู้เชิงลึกในด้านนี้ เขาจึงไม่สามารถออกความเห็นของตนเองเกี่ยวกับการศึกษาภาพจิตรกรรมฝาผนังได้
แต่งานวิจัยของเอ็มม่าได้ฟื้นความสนใจในจิตรกรรมฝาผนังของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ตาม ดาร์กไม่สามารถวางเกวียนไว้ข้างหน้าม้าได้
ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน การศึกษา ‘ภาษาเวทมนตร์’ ควรมีความสำคัญสูงสุด และการศึกษาภาพจิตรกรรมฝาผนังอาจเป็นงานอดิเรกได้
เมื่อได้ยินดาร์กเอ่ยถึงเรื่องนี้ เอ็มมาก็พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “แน่นอน การเรียนควรเป็นประเด็นหลักของเรา และการวิจัยควรเป็นเพียงงานอดิเรก ฉันจะไม่ลืมเรื่องนี้”
แล้วเธอก็กลับไปนั่งอย่างมีความสุข
…
ดาร์กมองไปที่หนังสือ ‘ราชาทองคำและสมบัติลับ’ ที่เอ็มม่าทิ้งไว้ให้ แล้วเขาก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
อันที่จริง เขายังมี ‘ชีวประวัติของเมอร์ลิน’ ที่เพิ่งอ่านไปได้แค่สองสามหน้าแรกเท่านั้น
ยิ่งดาร์กอยากอ่านหนังสือมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมีเวลาอ่านน้อยลงเท่านั้น
เด็กชายออกจากห้องสมุดพร้อมกับหนังสือในมือ และเลือก ‘ราชาทองคำและสมบัติลับ’ เป็นนิทานก่อนนอนในคืนนี้
ห้องส่วนกลางของบ้านขุนนางยังคงคึกคัก
แม้ว่าวันจันทร์จะมีคาบเรียน แต่นักเรียนยังคงชอบอยู่ดึกในคืนวันอาทิตย์อยู่ดี
ดาร์กนั่งข้างไดแอนนาและโรสอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหยิบทอฟฟี่ฟรีแล้วเดินขึ้นชั้นบน เพื่อกลับไปยังห้องของเขา
ทว่าในตอนที่กำลังจะปลดล็อกประตู ดาร์กก็หยุดมือทันที เพราะดูเหมือนว่า…เขาจะได้ยินเสียงมาจากภายในห้องพักของตน
หอพักของเซนต์แมเรียนกันเสียง และเสียงการเคลื่อนไหวปกติมักไม่เคยเล็ดลอดออกมาให้คนภายนอกได้ยิน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากได้ยินเสียงจากนอกห้อง มันคงเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ปกติ!
ดาร์กขมวดคิ้วและสอดนิ้วเข้าไปในซองการ์ดโดยไม่รู้ตัว
แต่หลังจากครุ่นคิดอีกครั้ง เขาแค่หนีบการ์ดเวทมนตร์ระหว่างสองนิ้วของเขา แต่ไม่ได้อัญเชิญมันออกมา
แกร๊ก!
ดาร์กปลดล็อกและแง้มประตูให้อ้าเล็กน้อย
เมื่อช่องว่างปรากฏขึ้น เสียงจากหลังประตูก็ดังเข้ามาในหูของเขา
ภายในห้องบังเกิดเสียงดังมาก ราวกับเสียงฝูงแมวและสุนัขที่เห่ากันอย่างเมามัน
เดิมที ดาร์กไม่ได้ขมวดคิ้วแต่ตอนนี้เขาเริ่มขมวดแล้ว
เด็กชายรีบแทรกตัวเข้าไปภายในและปิดประตู เพื่อไม่ให้เสียงดังเล็ดลอดออกไปกระทบกับนักเรียนคนอื่น
ไฟในห้องเปิดอยู่
แสงพิสุทธิ์ดุจหิมะส่องสว่างทั่วทุกมุมของห้อง
ไม่ว่าจะเป็นบนโต๊ะ เก้าอี้ ตู้ หรือบนหิ้ง มีสัตว์ทุกชนิดคลานหมอบอยู่
ดาร์กไม่แปลกใจเลย
เขาเตะสิงโตอ้วนที่ขวางทางเข้า เจ้าแมวตัวโตขยับไปด้านข้างอย่างเกียจคร้าน เปิดทางแคบ ๆ ให้เขา
มีหมียักษ์สองตัวกำลังต่อสู้กันบนทางเดินข้างหน้า และลิงสองสามตัวก็โห่ร้องพลางตบก้นของพวกมันไปด้วย
นกแก้วสีส้มปากใหญ่บินไปมาในอากาศจนขนร่วงไปทั่ว
บนราวนกเกาะเหนือหัว ยังมีนกสองตัวที่อิงแอบพิงกันอย่างเสน่หา
พังพอนกำลังต่อสู้กับงู มันกรีดร้องเสียงดังอย่างต่อเนื่อง
เสือขาวตัวหนึ่งนอนอยู่บนตู้เสื้อผ้า หลับตากรนดูสบายอกสบายใจอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนฝั่งตรงข้ามนั้น หมาแมวก็เหมือนกับคนเขลาที่กระโดดโหยงเหยงไปมาอย่างโง่งม
…
ดาร์กอดตบหน้าผากตนเองไม่ได้
เขาไม่สามารถทำอะไรกับกลุ่มสปิริตตรงหน้านี้ได้
ถ้าจอมเวทสีชาดเป็นผู้คิดค้นการอัญเชิญพันธะวิญญาณแล้ว ‘นักปราชญ์แห่งอสูร’ เช่นแคลร์คงต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญการอัญเชิญพันธะวิญญาณร่วมสมัยด้วย
ระดับสติปัญญาของสปิริตกลุ่มนี้ต้องสูงกว่า 3.0 อย่างแน่นอน
ดังคำกล่าวที่ว่า ‘คนเขลาย่อมไม่เกรงกลัว’ และแม้ในวัยเด็กดาร์กจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่เขาก็ไม่คิดว่านั่นเป็นเรื่องที่ดี
ทว่าพอได้มาเห็นฉากนี้อีกครั้ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างปวดหัว ‘นักปราชญ์แห่งอสูร’ ช่างสมกับฉายา ‘นักปราชญ์’ เสียจริง
เด็กชายเดินผ่านช่องว่างระหว่างสปิริตที่ต่อสู้กันเอง และมาที่ระเบียงห้องนอนของเขา
ในบรรดาสถานที่ทั้งหมดในห้องของเขา มีเพียงระเบียงเท่านั้นที่เงียบสงบ
แคลร์ เคทนอนเอนหลังกับเก้าอี้อันเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของดาร์ก มีหญ้าแมวที่กระฉับกระเฉงนอนขดตัวอยู่บนตัก ขณะที่ปลายเท้าของเธอมีหญ้าวัวนอนอยู่อย่างสงบด้วย
แสงจันทร์นวลผ่องลอดผ่านหน้าต่างกระจกของระเบียงมา เผยให้เห็นสีหน้าที่เหนื่อยล้าของเธอ
แม้ว่าแคลร์จะชอบเดินทางรอบโลก แต่เห็นได้ชัดว่า เธอต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ในการเดินทางมาที่เซนต์แมเรียนในเวลาอันสั้น และไม่ต้องพูดถึงช่วงการเดินทางเลยว่ามันเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน
อันที่จริง แค่แคลร์นอนอยู่ตรงนี้เงียบ ๆ มันก็ทำให้บรรยากาศรอบ ๆ ผ่อนคลายและเงียบสงบเป็นอย่างมาก กระทั่งว่าเสียงในห้องก็ดูเหมือนจะหายไปโดยสิ้นเชิง
ดาร์กยืนอยู่ที่ประตูระเบียงครู่หนึ่ง
เขาไม่รู้ว่าแคลร์เคยผ่านอะไรมาบ้างในอดีต และไม่เข้าใจว่าทำไมคนเงียบ ๆ แบบเธอถึงชอบเหล้าแรงขนาดนี้
รากฐานของการอัญเชิญพันธะวิญญาณคือสายสัมพันธ์ระหว่างจอมเวทกับสปิริต
อีกทั้ง รูปแบบพฤติกรรมของสปิริตก็มีศูนย์รวมมาจากวิญญาณของจอมเวทเอง
ภายนอกเธอดูเป็นคนนิ่งเงียบ แต่ภายในกลับเป็นคนรุนแรง
พอลองคิดดู อัลเวตต์ก็เป็นเพื่อนคนเดียวของเธอหลังสงคราม
ดาร์กทบทวนความทรงจำจากสมองของเขาอย่างเงียบ ๆ
ความทรงจำที่เขามีเกี่ยวกับแคลร์ มักจะเป็นภาพที่เธอนั่งอยู่ข้างเตียงในตอนกลางคืน ทำความสะอาดภาพเก่าที่ดูเหมือนมีฝุ่นเกาะมากเสมอ
ในรูปนั้นมีกี่คน?
หนึ่งสองสาม…
หรือมีห้าหกคนกันนะ?
…
ตอนดึก
แคลร์ดูรับรู้ได้ถึงความหนาวเย็น ก่อนจะสูดมันเข้าไปเล็กน้อย
หน้าอกของเธอกระเพื่อมเป็นลูกคลื่น
ดาร์กถอนหายใจ เขาหันไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วดึงผ้าห่มหนา ๆ ออกมา
เดือนพฤศจิกายนกำลังใกล้เข้าสู่ช่วงฤดูหนาว อากาศจึงเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ
และถ้าเธอนอนแบบนี้ไปถึงเช้า คงไม่พ้นได้เป็นหวัดแน่ ๆ
เด็กชายเปิดประตูระเบียง เดินฝีเท้าเบาเข้าไปอุ้มหญ้าแมวขึ้นมา ก่อนจะคลุมผ้าห่มให้เธออย่างระมัดระวัง
“เมี้ยว~”
หญ้าแมวร้องเบา ๆ
ดาร์กลูบหัวของมันแล้ววางลงบนผ้าห่ม
…
เมื่อกลับเข้ามาในห้องนอน ดาร์กก็มองไปยังกลุ่มสปิริตที่ส่งเสียงดังไม่หยุด ก่อนจะอัญเชิญรุกกี้เดวิมอนออกมา
หลังจากใช้ [อัตตา II] แล้ว รุกกี้เดวิมอนก็มีสกิลที่สอง
[ท่าไม้ตาย: การสะกดจิตของปีศาจ]
[การสะกดจิตของปีศาจ: ยิงคลื่นสะกดจิตที่สะกดจิตศัตรูได้จากดวงตาของมัน]
และในที่สุดห้องนอนก็เงียบลง
ดาร์กเข้าไปในห้องน้ำและคว้าเอาสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่ชอบหลบซ่อนอยู่ในนั้นออกมา ก่อนที่จะเริ่มแช่ตัวในอ่างอาบน้ำและเพลิดเพลินไปกับการอาบน้ำสักพัก
หลังเดินออกมาจากห้องน้ำ รุกกี้เดวิมอนก็อุ่นเตียงให้เขาเรียบร้อยแล้ว
เด็กชายขึ้นไปบนเตียง หยิบหนังสือ ‘ราชาทองคำและสมบัติลับ’ ออกมาอ่าน
นวนิยายในยุคนี้ยังคงตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ลงในนิตยสาร และหากผลตอบรับดีก็จะตีพิมพ์เป็นฉบับเดี่ยว
แต่เนื่องจากข้อจำกัดของรูปแบบธุรกิจ นวนิยายขนาดยาวจึงไม่ได้รับความนิยม โดยทั่วไปจึงมีแต่นวนิยายสั้นและยาวปานกลางมากกว่า
‘ราชาทองคำและสมบัติลับ’ เป็นนวนิยายที่มีการจัดวางโครงเรื่องแน่นมาก
ตัวเอกโจชัวและผู้ขุดทองที่รอดตายได้ออกสำรวจเพื่อค้นหาสมบัติของราชาทองคำ
นครทองคำทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็นชั้นบนและชั้นล่าง เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงระดับชนชั้น
ขณะที่สุสานของราชาทองคำก็หายากเช่นกัน
แต่แล้วการเคลื่อนไหวที่เกิดจากการกระทำของพวกเขา ก็ไปปลุกผู้พิทักษ์ทองคำในนครทองคำให้ตื่นขึ้นมา ก่อนที่เหล่านักขุดทองผู้โชคร้ายหลายคนจะถูกผ่าครึ่งในเวลาถัดมา
เลือดจากซากศพถูกดูดลงไปในผืนพสุธาทันที
นครทองคำเปรียบเสมือนสัตว์ร้ายขนาดยักษ์ที่กระหายน้ำมาเป็นเวลานาน เมื่อในที่สุดได้พบกับผู้ที่มาส่งน้ำ มันก็กลืนกินชีวิตเหล่านั้นเข้าไปทันที
…
ดาร์กค่อย ๆ ผล็อยหลับไปพร้อมกับความฝันที่วุ่นวาย…
บทที่ 144 ราชาทองคำและสมบัติลับ
บทที่ 144 ราชาทองคำและสมบัติลับ
ดาร์กไม่คาดคิดมาก่อนว่าเอ็มม่าจะค้นพบที่มาของภาพจิตรกรรมฝาผนังได้ในเวลาอันสั้น เธอพบเครื่องหมายที่เสียหายตรงมุมของจิตรกรรมฝาผนัง แล้วจึงซ่อมแซมเครื่องหมายนั้นด้วยความช่วยเหลือจากรุ่นพี่สาว จากนั้นเธอก็ประเมินอายุของจิตรกรรมฝาผนังตามยุคที่ใช้เครื่องหมาย และต้องขอบคุณบันทึกประวัติศาสตร์ทั้งหมดที่มีอยู่ในห้องสมุดด้วยที่ทำให้เธอสามารถรู้ถึงประวัติศาสตร์ของจิตรกรรมฝาผนังได้
ภาพจิตรกรรมฝาผนังมีมาตั้งแต่สมัยโบราณเมื่อสี่ยุคก่อน รวมถึงมีการบันทึกเรื่องราวทั้งหมดไว้บนภาพเหล่านั้น
เอ็มม่าคัดลอกเรื่องราวลงในสมุดบันทึก
หลังจากที่ดาร์กพลิกดูสมุดอย่างระมัดระวัง เขาอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสับสนว่า “การล่มสลายของนครทองคำ?”
“ใช่” เอ็มม่าไตร่ตรองว่า “อันที่จริง ก่อนที่ฉันจะพบภาพจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้ ฉันก็มองหาข้อมูลเกี่ยวกับนครทองคำอยู่แล้ว ดังนั้นความคืบหน้าก็เลยเร็ว” ขณะพูดนั้นเธอก็ส่งหนังสืออีกเล่มให้
ดาร์กมองดูหนังสืออย่างใกล้ชิด เป็นนวนิยายชื่อ ‘ราชาทองคำและสมบัติลับ’
เขาสังเกตเอ็มม่ามานานแล้วว่า บางครั้งเธอก็อ่านชีวประวัติ ‘ราชาทองคำและสมบัติลับ’ ซึ่งมันเป็นหนังสือที่เธออ่านก่อนวันฮัลโลวีน
ดาร์กพลิกหน้าหนังสือผ่าน ๆ ทันใดนั้นเขาก็ชะงักไปเล็กน้อย “นี่คือเหตุผลว่าทำไมภาพจิตรกรรมฝาผนังทั้งแปดถึงปรากฏอยู่ในทางลับเหรอ?”
นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวการผจญภัยที่ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก และมีเนื้อหาอยู่ในช่วงหนึ่งของยุคทอง
เนื้อเรื่องมีอยู่ว่า มาวันหนึ่งมีคนพบทรายปนทองคำในทะเลทราย หลังจากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป มันก็ดึงดูดนักขุดทองจำนวนนับไม่ถ้วน
โจชัว ตัวเอกของเรื่องผู้มาจากสลัมก็เป็นหนึ่งในนั้น
แม่ของโจชัวเสียชีวิตด้วยอาการป่วยเพราะไม่มีเงินซื้อยารักษา
เมื่อต้องมองแม่นอนหลับไปตลอดกาลด้วยความเจ็บปวด ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โจชัวจึงบังเกิดความปรารถนาและความหลงใหลในเม็ดเงินอย่างแรงกล้า
เขาขโมยของ เล่นการพนัน และก่อการโจรกรรม วันคืนผันผ่านค่อย ๆ ชักนำให้เขาตกสู่ส่วนห้วงลึกของศีลธรรมอันชั่วร้าย
หลังจากรู้ข้อมูลเรื่องการค้นพบทรายทองคำในทะเลทรายแล้ว โจชัวก็ไม่ลังเลที่จะเข้าร่วมการไล่ล่าทองคำอย่างบ้าคลั่ง
ทรายทองคำที่ผุดออกมาจากพื้นดินทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนร่ำรวยในชั่วข้ามคืน
ข้าทาส สุราชั้นเลิศ คฤหาสน์หลังใหญ่…
ทุกสิ่งที่อยู่ในจินตนาการ พลันกลายเป็นเรื่องง่ายไปในพริบตา
โจชัวเดินทางอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยระหว่างทะเลทรายกับตลาดเมือง ดื่มด่ำกับงานรื่นเริงทั้งวันทั้งคืน
จนกระทั่งวันหนึ่ง
ทะเลทรายที่มีทรายทองคำผุดออกมาก็พังถล่มลง และนักขุดทองทั้งหมดก็ตกลงไปในเมืองโบราณ
เมืองนั้นคือเมืองแห่งทองคำ ซึ่งเป็นเมืองหลวงสุดท้ายของนครทองคำ และในเมืองนี้เองที่ราชาทองคำ กษัตริย์แห่งนครทองคำได้หลับใหลไปชั่วนิรันดร์
นักโบราณคดีที่รอดตายได้ศึกษาจารึกบนพื้นที่ที่พวกเขาตกลงไป และบอกโจชัวกับนักขุดทองคนอื่น ๆ ว่าราชาทองคำได้ฝังสมบัติอันนับไม่ถ้วนไว้ในสุสานของเขาซึ่งเรียกกันว่า ‘สมบัติลับ’!
เพื่อที่จะค้นหาสมบัติลับของราชาทองคำ และกลายเป็นราชาทองคำยุคใหม่ โจชัวและนักขุดทองที่ถูกความโลภกลืนกินก็มุ่งลึกเข้าไปในเมืองโดยไม่ได้เตรียมตัวไว้
…
นั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราว
ส่วนที่ว่าในที่สุดแล้วโจชัวได้สมบัติมาครองได้สำเร็จหรือว่าเขาจะหลงทางอยู่ใต้ดินอย่างถาวร
ดาร์กไม่ได้อ่านจนจบ
เขาวาง ‘ราชาทองคำและสมบัติลับ’ และหยิบสมุดบันทึกของเอ็มม่าขึ้นมาแทน
สมุดบันทึกมีข้อความที่คัดลอกมาจากเรื่องราวที่อธิบายไว้ในจิตรกรรมฝาผนัง นั่นคือ ‘การล่มสลายของนครทองคำ’
มีภาพจิตรกรรมฝาผนังทั้งหมดแปดภาพ
พวกมันถูกวาดด้วยวิธีการพรรณนาที่เป็นนามธรรมมากกว่า
ในภาพจิตรกรรมฝาผนังภาพแรก เป็นภาพคนยากจนที่ขุดแร่จำนวนมากจากเหมือง
แร่ในภาพจิตรกรรมฝาผนังที่จริงแล้วเป็นทองคำ
ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สองเป็นช่างตีเหล็กเปลือยท่อนบนที่หลอมแร่เป็นอิฐสี่เหลี่ยมมาตรฐาน อิฐสี่เหลี่ยมที่นี่คืออิฐทอง
ในภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สาม เป็นพ่อค้าที่สวมชุดสามัญซึ่งขายอิฐสี่เหลี่ยมให้แก่ขุนนาง
อันที่จริงพวกเขาไม่ใช่พ่อค้าหรือขุนนางธรรมดา ที่จริงแล้วพวกเขาเป็นสถาปนิกและข้าราชการ
และเพราะเป็นข้าราชการที่มาเก็บอิฐทองคำ ต้องกล่าวว่ามันเป็นคำสั่งของกษัตริย์เสียมากกว่า
ในภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สี่ ขุนนางสวมเสื้อผ้าหรูหราใช้อิฐสี่เหลี่ยมสร้างหอคอยเหนือแท่นบูชา
ภายใต้คำสั่งของกษัตริย์ ขุนนางเริ่มสร้างหอคอยทองคำ ซึ่งก็คือ ‘แท่นบูชา’ ที่สร้างขึ้นเพื่อประกอบพิธีบูชายัญ หรือไม่ก็ทั้งหอคอยทองคำนั่นแหละที่เป็นเครื่องสังเวย!
ในภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ห้า มนุษย์หลายพันคนกำลังสวดวิงวอนใต้แท่นบูชาเพื่อขอให้ ‘บางสิ่งบางอย่าง’ มาเยือนพวกเขา
ผู้คนก้มกราบลงหน้าหอคอยทองคำและเริ่มพิธีบูชายัญ
ในภาพจิตรกรรมฝาผนังที่หก สัตว์ร้ายยักษ์ที่เปล่งประกายเจิดจ้าโผล่ออกมาจากหลุมดำบนฟากฟ้าระหว่างพิธีบูชายัญ
อสูรเทวะทองคำตอบสนองต่อพิธีบูชายัญของมนุษย์และตื่นขึ้นจากการหลับใหล
ในภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เจ็ด อสูรเทวะทองคำส่งเสียงคำราม ก่อนจะกลืนกินเครื่องสังเวยและมนุษย์ทั้งหมด
ทุกคนและทุกสิ่งกลายเป็นเครื่องสังเวย
ในภาพจิตรกรรมฝาผนังที่แปด เลือดมนุษย์และซากศพก่อตัวเป็นลวดลายแปลก ๆ บนพื้น ดูเหมือนจะเป็นตัวแทนของความตายอันเป็นนิรันดร์!
…
เรื่องราวนั้นเรียบง่ายมาก กษัตริย์ในเวลานั้นอัญเชิญพระเจ้าลงมาเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง แต่ก็กลับถูกพระเจ้ากลืนกินในที่สุด
สิ่งที่เรียกว่า ‘พระเจ้า’ เดิมเป็นชื่อที่มนุษย์สร้างขึ้นสำหรับตัวตนที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นเทพเจ้าทรงปัญญาที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ หรือเทพเจ้าที่ดุร้ายและอำมหิตซึ่งมีรูปร่างเหมือนอสูรร้าย ตัวตนทั้งหมดนั้นล้วนถูกเรียกเป็น ‘พระเจ้า’
ในสมัยโบราณ เนื่องด้วยความล้ำค่าและความอมตะของทองคำ มนุษย์จึงเชื่อมโยงมันกับ ‘นิรันดร์’ และสร้างสมการว่า ‘ทอง = นิรันดร์’
ราชาทองคำผู้มั่งคั่งทำตามสมการนี้และสร้างหอคอยทองคำถวายเป็นเครื่องสังเวยเพื่อแลกกับชีวิตนิรันดร์
แต่เห็นได้ชัดว่าเขาล้มเหลว
ในที่สุดก็นำไปสู่การล่มสลายของนครทองคำ!
…
เอ็มม่าแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกของเธออย่างตื่นเต้น
“นครทองคำมีชื่ออื่นในบันทึกทางประวัติศาสตร์ มันคือนิรันดร์นคร!”
“ราชาทองคำถูกเรียกว่าเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่เก่าแก่ที่สุดในบันทึกมากมาย เขากลั่นทองคำเพื่อแสวงหาชีวิตอันเป็นนิรันดร์ และนครทองคำก็เป็นเพียงผลพลอยได้จากกระบวนการวิจัยเท่านั้น”
“นครทองคำแต่เดิมเป็นอาณาจักรที่สร้างขึ้นจากความปรารถนา และในที่สุดก็ถูกทำลายโดยความปรารถนานั้น”
“อสูรเทวะดุร้ายที่แสดงในภาพจิตรกรรมฝาผนังไม่จำเป็นต้องเป็นพระเจ้าตัวจริง แต่อาจเป็นศูนย์รวมของความปรารถนา”
“และแก่นแท้ของภาพจิตรกรรมฝาผนังทั้งชุด ก็คือภาพจิตรกรรมฝาผนังสุดท้ายนี้เอง!”
“ฉันสงสัยว่ามันน่าจะเป็นวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์!”
…
“ราชาทองคำและสมบัติลับ การล่มสลายของนครทองคำ นักเล่นแร่แปรธาตุในยุคโบราณ–ราชาทองคำ และวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์ที่น่าสงสัย ซึ่งทำจากเลือดมนุษย์และซากศพ” ดาร์กอดไม่ได้ที่จะสงสัย
ตอนที่เขาคัดลอกภาพจิตรกรรมฝาผนังในทางลับ เขารู้สึกว่าจิตรกรรมฝาผนังที่แปดนั้นดูแปลกมาก เขาจึงพยายามอย่างเต็มที่ในการคัดลอก และเก็บรายละเอียดมาให้ได้มากที่สุด
แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังคงเป็นโครงการใหญ่มากในการฟื้นฟูวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์ที่สมบูรณ์ จากชุดภาพจิตรกรรมฝาผนัง
หรือพูดได้ว่า มันอาจจะเทียบเท่ากับวิชาในสถาบันทั้งหมดเลยก็ว่าได้!
บทที่ 143 ดาร์ก เดม่อนเก็บเกี่ยวโดยไม่หว่านเมล็ด
บทที่ 143 ดาร์ก เดม่อนเก็บเกี่ยวโดยไม่หว่านเมล็ด
“เธอเดาถูกแล้ว” เมื่อเผชิญกับคำถามของดาร์ก อาจารย์ใหญ่อาร์เต้พยักหน้าเล็กน้อยและพูดต่อด้วยรอยยิ้มว่า “วีรสตรีแห่งศึกสนธยา แคลร์ เคทผู้มีฉายา ‘นักปราชญ์แห่งอสูร’ จะมายังเซนต์แมเรียนในสัปดาห์หน้า!”
หลังจากประกาศอย่างเป็นทางการจากอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ ห้องเรียนก็เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่
แม้ว่าแคลร์จะไม่โด่งดังเท่าผู้กล้าและวัลคีรี แต่เนื่องจากเธอมีฉายาว่า ‘นักปราชญ์’ เธอจึงมีชื่อเสียงพอตัว
ยิ่งไปกว่านั้น บนกำแพงเกียรติยศของบ้านนักปราชญ์ยังมีรูปเหมือนของนักปราชญ์แห่งอสูรด้วย!
นักเรียนที่ตื่นเต้นกับเรื่องนี้มากที่สุดคือ นักเรียนของบ้านนักปราชญ์
นักเรียนเหล่านั้นพากันพูดคุย และตั้งตารอวีรสตรีจากบ้านของพวกเขาเอง
ทว่านักเรียนของบ้านคนเขลากลับกระสับกระส่ายเล็กน้อย
จู่ ๆ เด็กสาวจากบ้านคนเขลาก็ยกมือขึ้นแล้วถามว่า “ขออนุญาตค่ะ หนูขอถามได้ไหมว่าคุณแคลร์ เคทจะมาทำหน้าที่เป็นหัวหน้าอาจารย์ประจำบ้านของบ้านคนเขลาด้วยไหมคะ?”
แต่ละบ้านจะมีหัวหน้าอาจารย์ประจำบ้าน
แต่หลังจากการลาออกของศาสตราจารย์ดีดี้ ตำแหน่งหัวหน้าอาจารย์ประจำบ้านของบ้านคนเขลาก็ยังคงว่าง และนักเรียนของบ้านคนเขลาก็ถูกทิ้งให้ไม่มีหัวหน้าอาจารย์ประจำบ้าน
ดังนั้นพอมีศาสตราจารย์คนใหม่ พวกเขาก็จินตนาการไปต่าง ๆ นานา
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ตอบว่า “แคลร์จะทำหน้าที่เป็นศาสตราจารย์วิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ชั่วคราวจนกว่าจะจบเทอม อย่างไรก็ตาม เรื่องว่าเธอจะรับหน้าที่ต่อไป หรือจะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าอาจารย์ประจำบ้านของบ้านคนเขลายังคงต้องใช้เวลาในการพิจารณา…”
…
หลังจากได้ยินคำตอบของอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ ดาร์กก็นั่งลง
ในฐานะเพื่อนร่วมสถาบันคนหนึ่งของวัลคีรี อัลเวตต์ แคลร์ เคทจึงยังคงได้ติดต่ออัลเวตต์หลังสงคราม
แต่ที่ยิ่งกว่านั้น เธอเคยอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ดัชเชสชั่วคราวเป็นเวลานาน!
‘นักปราชญ์อสูร’ ผู้นี้เป็นไปตามที่อาจารย์ใหญ่อาร์เต้กล่าว อ่อนโยน เงียบ เรียนเก่ง และเป็นวีรสตรีที่น่านับถือ
ข้อเสียอย่างเดียวคือเธอชอบทำให้คนเป็นสัตว์!
ดาร์กหลับตาและฟังการสนทนาที่ตื่นเต้นของนักเรียน เขาเพียงแค่คิดว่าเด็กเหล่านี้ช่างไร้เดียงสาจริง ๆ
พวกเขาสามารถกลายเป็นหมาแมวได้เพียงเพราะทำให้แคลร์โกรธ หรืออาจกลายเป็นหมาแมวเพราะทำให้แคลร์มีความสุข และพวกเขาจะได้รู้ว่าเธอไม่ใช่นักปราชญ์อย่างที่พวกเขาจินตนาการไว้เลยสักนิด!
…
โดยภาพรวม นอกจากดาร์กที่ไม่ค่อยประทับใจกับแคลร์แล้ว นักเรียนที่เหลือต่างก็มีความสุขมาก
และหลังจากจบคาบนี้ ข่าวที่ว่า ‘นักปราชญ์แห่งอสูร’ จะมาเป็นศาสตราจารย์วิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ชั่วคราว ก็แพร่กระจายไปพร้อมกับการสนทนาในหมู่นักเรียนชั้นปีหนึ่ง
และทั้งสถาบันก็รู้เรื่องนี้ในเวลาไม่นาน
บางคนที่ไม่ค่อยสนใจเหล่าวีรบุรุษในอดีต ได้เริ่มตรวจสอบข้อมูลทีละคน
ท้ายที่สุด แคลร์ เคทถือว่าเป็นวีรสตรีในสนามรบอย่างแท้จริง
ใครจะไม่อยากให้วีรสตรีมาเป็นศาสตราจารย์ของพวกเขา?
…
ในคืนนั้น
ขณะที่ดาร์กกำลังทำการบ้านในห้องสมุด ไดแอนนาผู้ขี้สงสัยก็ถามเสียงต่ำ “ดาร์ก นายรู้จักศาสตราจารย์คนใหม่ของวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์เหรอ?”
ดาร์กพยักหน้าเล็กน้อยและตอบเบา ๆ “ฉันเคยใช้เวลากับเธอช่วงหนึ่งน่ะ”
ไดแอนนารู้สึกอิจฉาเล็กน้อย “แล้วคุณแคลร์ เคทเป็นคนแบบไหนเหรอ? เธอจะเล่าเรื่องวีรกรรมที่กล้าหาญอย่างที่อาจารย์อาร์เต้เล่าให้เราฟังไหม? เธอจะให้การบ้านเยอะไหม? เธอชอบหมีไหม?”
ดาร์กมองดูดวงตาที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาของไดแอนนา ด้วยความรู้สึกอบอุ่นในใจแล้วพูดว่า “ฉันควรพูดยังไงดี เธอเป็นคนที่ทำตัวสมกับชื่อของเธอ ฉันคิดว่าไดแอนนาจะต้องใช้ภาษาเดียวกับเธออย่างแน่นอน”
ไดแอนนาตบหน้าอกของเธอและถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เยี่ยมไปเลย”
นักเรียนมีทั้งความคาดหวังและความกังวลเกี่ยวกับอาจารย์คนใหม่
แต่ความคาดหวังนั้นมากกว่าความกังวลอย่างแน่นอน
ดาร์กได้ยินว่านักเรียนชั้นปีที่หนึ่งของบ้านนักปราชญ์ และบ้านคนเขลากำลังวางแผนจัดงานเซอร์ไพรส์ให้เธออยู่
แต่ข่าวดีก็คือว่าแคลร์ เคทจะรับหน้าที่ที่เซนต์แมเรียนจนถึงจบเทอมเท่านั้น และคาดว่าเธอจะมาทำหน้าที่เพียงแค่ชั่วคราว
มีโอกาสที่อาจารย์ใหญ่จะหาศาสตราจารย์ที่เหมาะสมกว่านี้ในช่วงเวลานี้
…
หลังจากกลับมาที่หอพัก ดาร์กก็จัดการดึง [ราคะ] หยดสุดท้ายออกมา
จนถึงตอนนี้
[ราคะ] ที่เก็บไว้ในต้นไม้หนอนมีทั้งหมดห้าหน่วย และ [อัตตา] มีหนึ่งหน่วย
ดาร์กมีแผนสองแผนสำหรับตอนนี้
หนึ่งคือใช้ [ผลแห่งราคะ] สร้างการ์ดวิญญาณเพิ่มอีกสองใบในเดือนหน้า
อีกหนึ่งแผนคือการหาวิธีสะสมต่อไป และหลังจากมี [ราคะ] ยี่สิบหน่วยแล้ว เขาจะสามารถสร้าง [ราคะ IV] ได้!
แน่นอนว่า อย่างแรกมีความเป็นไปได้มากกว่า
ถึงอย่างนั้น เขากลับคาดหวังกับอย่างหลังมากกว่า อย่างไรก็ตาม ดาร์กไม่แน่ใจว่า [ราคะ] ยี่สิบหน่วยนั้นจะเพียงพอหรือไม่
แต่ก่อนที่เวลานั้นจะมาถึง เขายังมีเวลาให้ครุ่นคิดอีกครึ่งเดือน
วันต่อมาเป็นวันศุกร์
หลังจากคาบการประลองในช่วงเช้าจบลง เหล่านักเรียนต่างตั้งหน้าตั้งตารอที่จะไปถนนนักเดินทาง
ไม่มีการบ้านที่เกี่ยวข้องกับถนนนักเดินทางในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม ราวกับว่านักเรียนชั้นปีที่หนึ่งไม่ได้สนุกมาเป็นเวลานาน แถมยังได้รับแรงกดดันจากการบ้านมากในช่วงนี้ ทำให้ทันทีที่ถึงเวลาเที่ยงวัน เหล่านักเรียนก็พากันหลั่งไหลเข้าไปที่ถนนนักเดินทาง
ดาร์กรออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะออกจากหอพักและเข้าสู่ถนนนักเดินทางในเวลาบ่าย
เขาเดินตรงไปที่ร้านดอกไม้และต้นไม้คิตตี้ ทักทายเจ้าแมวน้อยก่อน แล้วจึงถามผู้ช่วยร้านว่า “มิสแคท การพัฒนาหญ้ากระต่ายมีความคืบหน้าบ้างไหมครับ?”
ผู้ช่วยร้านค้าตื่นเต้นมากที่มีคนคิดถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ของเธอ “มันก้าวหน้าไปได้ด้วยดี เราน่าจะได้ผลลัพธ์ภายในสองเดือน เดม่อน เธอคิดว่าหญ้ากระต่ายจะขายดีไหม?”
ดาร์กยิ้ม “มันควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะกระต่ายน่ารักมากครับ”
จากนั้นเขาก็เดินไปรอบ ๆ ห้องลับอีกครั้ง แต่ไม่ได้ซื้อหญ้าแมวตัวใหม่กลับไป
…
ในช่วงสุดสัปดาห์
ดาร์กใช้เวลาศึกษาภาษาเวทมนตร์มากขึ้น
ความก้าวหน้าของเขาไม่ได้ช้า และเขาก็ค่อย ๆ ฝึกฝนความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษาเวทมนตร์
คำแนะนำของรุ่นพี่แพนดอร่าเหมือนกับการเปิดหน้าต่างให้ดาร์ก มันทำให้เขามองเห็นภาพในห้องได้ชัดเจนขึ้น
และในขณะที่เขาพยายามอย่างหนักเพื่อสิ่งนี้ เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตก็เข้าไปในทางลับอีกครั้ง ก่อนจะลงมือผจญภัยเพื่อค้นหาขุมทรัพย์
ในทางกลับกัน งานวิจัยของเอ็มม่า มอร์ติสเกี่ยวกับภาพจิตรกรรมฝาผนังก็มาถึงจุดวิกฤตแล้วเช่นกัน
ในคืนวันอาทิตย์ เอ็มม่าเดินเข้ามาหาดาร์กเพื่อแบ่งปันผลการวิจัยของเธอ
ดาร์กรู้สึกผิดเล็กน้อย เพราะเขาไม่มีเวลาศึกษาจิตรกรรมฝาผนังเลย…
แต่เอ็มม่าไม่ได้บ่นเรื่องนี้
เธอได้อ่านวรรณกรรมมากมาย ถามเพื่อนร่วมบ้านที่เป็นรุ่นพี่ สืบหาข้อมูลและวิเคราะห์อย่างละเอียดตามความคิดของเธอเอง ก่อนที่เธอจะได้ผลลัพธ์ในที่สุด
ดาร์กเข้าไปนั่งข้างใน โดยมีเอ็มม่านั่งอยู่ข้าง ๆ
เมื่อเอ็มม่าแบ่งปันผลลัพธ์ เธอก็อดไม่ได้ที่จะเม้มปาก
เด็กหญิงกางสมุดจดและพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ถ้าฉันวิเคราะห์ไม่ผิด ภาพจิตรกรรมฝาผนังชุดนี้น่าจะมาจากยุคโบราณสี่ยุคก่อน สมัยนั้นยังมีเทพอยู่มากมาย บ้างอาศัยอยู่บนท้องฟ้า บ้างอยู่ปะปนกับฝูงชน…”
บทที่ 142 ดาร์ก เดม่อนสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์ไม่ดี
บทที่ 142 ดาร์ก เดม่อนสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์ไม่ดี
เมื่อประตูแห่งความปรารถนาถูกเปิดออก มันก็ยากมากที่จะยับยั้ง
ดาร์กยังคงประเมินความยับยั้งชั่งใจของตัวเองสูงเกินไป
และรุ่นพี่แพนดอร่าก็มีเสน่ห์มากเกินไป
ไม่ว่าจะเป็นความหุนหันพลันแล่น รูปลักษณ์ หรือการพัฒนาตนเองจากภายใน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอันตรายต่อเขาทั้งสิ้น
…
‘ปัจจุบัน จำนวนของ [ราคะ] มี 108 หน่วย หลังจากดูดซับสามหน่วยก็จะเหลือ 105 หน่วย สมมติว่าไม่ต้องสิ้นเปลืองการ์ดดอกไม้ ก็ดูเหมือนว่าข้อจำกัดในเดือนนี้น่าจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า’
ดาร์กครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสลับโหมดอย่างรวดเร็ว และหันไปอุทิศตนให้กับการเรียน ‘ภาษาเวทมนตร์’ ต่อ
รุ่นพี่แพนดอร่าพูดถึงความรู้มากมายที่เขายังไม่ได้เรียนรู้ ทำให้เขาต้องใช้เวลาในการท่องจำและรวบรวมความรู้มากขึ้น
ระหว่างมีคนนำทางกับการเดินคนเดียวในความมืดนั้น มันมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ดาร์กเท่ารู้สึกว่าการเก็บเกี่ยวในวันนี้น่ายินดีเป็นพิเศษ
แต่หลังจากออกจากห้องสมุดตอนสามทุ่ม เขาก็ต้องเริ่มกังวลเรื่องงานเต้นรำคริสต์มาสและของขวัญคริสต์มาสอีกครั้ง
ตอนแรกเขาคิดว่าคำเชิญงานเต้นรำในตอนนั้นเป็นแค่เรื่องตลก
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีทางหนีพ้นแล้ว
และของขวัญคริสต์มาส…
นอกจากต้องเตรียมของขวัญให้รุ่นพี่แพนดอร่าแล้ว ยังต้องเตรียมให้ไดแอนนากับโรสด้วย
อีกทั้ง เขายังต้องนับศาสตราจารย์ลิลลี่และศาสตราจารย์เคเซอร์เข้าไปด้วย
รวมแล้วเขาต้องเตรียมของขวัญห้าชิ้นเต็ม ๆ!
…
คงจะดีถ้ามันเป็นเพียงของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ถ้าดาร์กไม่ระวังมากพอ มันจะกลายเป็นค่าใช้จ่ายมหาศาล
อันที่จริงหลังจากใช้จ่ายไปในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่แล้ว ดาร์กในตอนนี้กำลังถังแตก…
เมื่อพิจารณาว่าราคาวัตถุดิบของการ์ด [กรงต้องสาป] และการ์ด [ฟิวชั่น] นั้นอยู่เหนือกว่าราคาที่นักเรียนชั้นปีหนึ่งสามารถจ่ายได้ ถ้าเขาต้องการขัดเกลาจริง ๆ เขาก็จำเป็นต้องหาคะแนนเพิ่ม
‘ฉันต้องตั้งแผงขายของบนถนนนักเดินทางเพื่อหาเงินเหมือนรุ่นพี่หรือเปล่าเนี่ย?’
ดาร์กพิจารณาถึงความเป็นไปได้
แต่อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าเขาก็ได้ล้มเลิกความคิดนี้ไป
นอกจากจะต้องใช้เวลาในการตั้งร้านแล้ว ยังต้องใช้เวลาในการเตรียมสินค้ามากขึ้นอีกด้วย
นั่นเป็นสิ่งที่ดาร์กผู้ซึ่งตารางเวลาแน่นหนาอยู่แล้วยอมรับไม่ได้เด็ดขาด
นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ที่เขาสามารถเลือกมาขายได้ก็มีแต่น้ำผลไม้ราคาถูกหลากหลายแบบ ซึ่งใช้เวลานานและต้องใช้แรงงานมาก แถมไม่สามารถทำเงินได้มากอีก
‘ถ้าแบบนี้ ฉันก็ต้องคิดหาทางอื่นเท่านั้น’
…
ตัดภาพมาที่บ่ายวันพฤหัสบดี
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้เล่าเรื่องปีเตอร์ เชลด์วิชต่อในคาบประวัติศาสตร์เวทมนตร์
จากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นวีรบุรุษคนอื่น
นั่นคือสมาชิกคนแรกที่สมัครเข้าชมรม หลังจากที่ปีเตอร์ก่อตั้งชมรมสัตว์มหัศจรรย์
เธอชื่อแคลร์ เคท
แคลร์เป็นนักเรียนปีเดียวกันจากบ้านนักปราชญ์
เธอเองก็ได้รับอุปนิสัยของบ้านนักปราชญ์มา ชอบอ่านหนังสือ ชอบอยู่เงียบ ๆ และมีงานอดิเรกร่วมกับปีเตอร์
แคลร์ซึ่งต่อมามีบทบาทในสนามรบภายใต้ชื่อ ‘นักปราชญ์’ เป็นเพียงเด็กผู้หญิงธรรมดาที่ไม่มีทักษะพิเศษใด ๆ
เนื่องจากนักเรียนต้องเข้าร่วมอย่างน้อยหนึ่งชมรมตั้งแต่ปีที่สอง แคลร์จึงเลือกชมรมสัตว์มหัศจรรย์ที่มีไม่ค่อยมีผู้คน
จากนั้นเด็กสาวธรรมดาที่ไม่มีทักษะพิเศษคนนี้ก็เริ่มเติบโตด้วยความเร็วที่ไม่สามารถควบคุมได้
เด็คสวนสัตว์ของเธอน่าทึ่งมาก!
เมื่อพูดถึงแคลร์ อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ก็รู้สึกประหลาดใจในตัวผู้หญิงคนนี้เช่นกัน
สมัยนั้นเป็นยุคที่มีคนเก่งหลายคนถือกำเนิดขึ้น
อีกทั้งยังมีวีรบุรุษมากมายจากเซนต์แมเรียน
และแคลร์เองก็เป็นหนึ่งในคนที่น่าทึ่งที่สุด
เรื่องราวส่วนใหญ่ในสมัยเรียนของแคลร์ล้วนเกี่ยวข้องกับสัตว์
ปีเตอร์สามารถหาสัตว์มหัศจรรย์มาเก็บไว้ที่ห้องชมรมได้ตลอดเวลา แต่เขาไม่ค่อยเก่งเรื่องการเลี้ยงสัตว์ ดังนั้นแคลร์จึงต้องเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้
ทุกครั้งที่สัตว์มหัศจรรย์เหล่านั้นสร้างความวุ่นวายในโรงเรียน แคลร์จะเป็นคนช่วยทำความสะอาดเสมอ
แต่อยู่มาวันหนึ่ง แมวจากชมรมสัตว์มหัศจรรย์กลับหายตัวไป
มันเป็นแมวสีขาวที่มีรูม่านตาสีขาวและยังถูกวางไว้ในห้องสีขาว ดังนั้น หากมองผ่าน ๆ ก็จะเผลอมองข้ามมันไปโดยง่าย
ปีเตอร์และแคลร์พยายามประกาศหาแมวขาวที่หายไป แต่หลังจากตามหามาสองสัปดาห์ พวกเขาก็ยังไม่พบร่องรอยของมัน
จนกระทั่งเย็นวันหนึ่งในสองสัปดาห์ต่อมา แคลร์ก็พบเด็กหญิงตัวน้อยกำลังเดินอยู่เงียบ ๆ กับแมวในสวนหลังปราสาท ทันใดนั้น เธอก็นึกขึ้นได้ว่าเหตุใดจึงหาแมวไม่พบ
เพราะแมวตัวนั้นเปลี่ยนไปเป็นสีอื่นแล้ว!
แมวที่เปลี่ยนจากแมวขาวเป็นแมวดำ และถูกนักเรียนพาไปส่งที่หอพัก
เนื่องจากทางโรงเรียนห้ามไม่ให้มีการเลี้ยงสัตว์อย่างชัดเจน คนที่เก็บแมวมาจึงซ่อนมันไว้ในหอพักอย่างลับ ๆ เพื่อไม่ให้มีคนพบ
และเนื่องจากแมวเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีดำแล้ว การประกาศหาแมวหายจึงสูญเปล่าไปโดยปริยาย
ต่อมาแคลร์ไปหาเด็กหญิงตัวน้อยที่เก็บแมวมา และอธิบายเหตุผลให้เธอฟัง
แม้ว่าอีกฝ่ายจะลังเล แต่เธอก็ยังคืนแมวให้
แต่ตั้งแต่นั้นมา เด็กหญิงตัวน้อยก็เริ่มไปเยี่ยมแมวที่ชมรมสัตว์มหัศจรรย์แทบทุกวัน
ต่อมาเธอก็เข้าร่วมชมรมสัตว์มหัศจรรย์ และกลายเป็นสมาชิกคนที่สามของชมรม
…
เมื่ออาจารย์ใหญ่อาร์เต้พูดถึงเรื่องนี้ เธอก็พูดด้วยความคิดถึง “มีใครเดาได้ไหมว่าเธอเป็นใคร?”
นี่เป็นคำถามง่าย ๆ และเด็ก ๆ ก็สามารถได้คะแนนฟรีจากตรงนี้
นักเรียนบ้านนักปราชญ์หลายคนยกมือขึ้น
ดาร์กเอนหลังพิงเก้าอี้ แต่ในหัวกลับนึกถึงแมวขี้เกียจที่บ้าน
เจ้าแมวที่ชื่อ ‘กาลิเลโอ’ ไม่เพียงแต่เปลี่ยนสีขนตามดวงดาวและสภาพอากาศเท่านั้น มันยังปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย และเพื่อไม่ให้ถูกพาออกไปเดินเล่น มันจะปรับสีตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมอยู่เสมอ
ในตอนที่ดาร์กยังเด็ก เขาชอบเล่นซ่อนหากับมันเป็นพิเศษ
…
นักเรียนบ้านนักปราชญ์ยืนขึ้นและตอบอย่างมีเหตุผล
“ผมจำได้ อาจารย์ใหญ่พูดไว้ในคาบที่แล้วว่าเหตุผลที่จอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ปีเตอร์กลายมาเป็นเพื่อนกับผู้กล้าและวัลคีรีได้ก็เพราะมีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่”
“และในคาบที่แล้วมีคนพูดถึงว่าวัลคีรีเป็นคนที่รักแมวมาก”
“อาจารย์ใหญ่จะไม่หยิบยกเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ขึ้นมา”
“เพราะงั้นคำตอบก็ชัดเจนแล้วครับ”
“นักปราชญ์แคลร์คือ คนเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ปีเตอร์กับวัลคีรี อัลเวตต์”
“และคนที่เก็บแมวตัวนั้นมาก็คือวัลคีรีนั่นเอง!”
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ปรบมือด้วยความพึงพอใจ “ถูกต้อง ห้าคะแนนสำหรับเธอ”
จากนั้นอาจารย์ใหญ่ก็พูดสั้น ๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอัลเวตต์และแคลร์ เธอพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แคลร์เป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ และเธอก็มีความรู้มาก อ่อนโยน และมีความรับผิดชอบ ฉันคิดว่าพวกเธอจะต้องชอบแคลร์มากอย่างแน่นอน”
ดูเหมือนจะมีความหมายนัยยะซ่อนอยู่ในคำพูดของอาจารย์ใหญ่อาร์เต้
ใบหน้าของดาร์กซีดเผือด และเขาก็ค่อย ๆ ยกมือขึ้น
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้มองมาที่เขาและพูดว่า “เดม่อน มีอะไรจะถามหรือเปล่า?”
จากนั้นดาร์กก็ถามอย่างเผื่อใจว่า “อาจารย์ใหญ่ครับ ศาสตราจารย์คนใหม่ของเราในวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์คือแคลร์ เคทหรือเปล่าครับ?”
บทที่ 141 ดาร์ก เดม่อนมอบตัว
บทที่ 141 ดาร์ก เดม่อนมอบตัว
“แน่นอน” แพนดอร่าเงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจ นิ้วเรียวสวยทัดเส้นผมที่ปรกหน้าอยู่ไปข้างหลังใบหู
อาจเพราะผิวของรุ่นพี่ขาวเกินไป ทำให้ริมฝีปากสีดอกกุหลาบของเธอเด่นชัดมากขึ้น
เกล็ดรูปหัวใจใต้ดวงตาของเธอสะท้อนแสงสีเงิน
มันดูเหมือนกับเป็นเวทมนตร์เสน่ห์
ดาร์กถอยกลับโดยไม่รู้ตัว เมื่อเขาตระหนักว่ามุมปากของเธอโค้งขึ้นอย่างซุกซน เขาจึงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้แล้ววางสมุดบันทึกลง
กลิ่นหอมฟุ้งจากด้านข้างทำให้จิตใจของชายหนุ่มกระวนกระวาย
ดาร์กหยิบปากกาขึ้นมาแล้วพูดว่า “ผมมีคำถามบางอย่างที่ไม่เข้าใจ เลยอยากถามรุ่นพี่น่ะครับ”
ก็เขาไม่เข้าใจมันจริง ๆ
แม้ว่าความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษาเวทมนตร์จะไม่ได้ยากเป็นพิเศษ แต่เขาไม่มีพื้นฐานและศึกษาด้วยตนเองล้วน ๆ จึงเป็นเรื่องปกติที่จะหนีไม่พ้นปัญหาที่ตัวเองแก้ไม่ได้
ในระหว่างศึกษามัน ดาร์กได้จดปัญหาที่เขาพบ เดิมทีเขาอยากขอคำแนะนำจากศาสตราจารย์เคเซอร์เมื่อเขาสะสมปัญหาได้เยอะกว่านี้
แต่ตอนนี้
เขากลับมาถามรุ่นพี่แพนดอร่าแทน
…
แพนดอร่าไม่ได้ผิดหวัง เธอรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะไม่มาหาเธอโดยไม่มีเหตุผล
หากเป็นแค่ปัญหาในการเรียน เธอก็ยินดีช่วยเหลือ
แต่ในระหว่างตอบคำถาม แน่นอนว่าเธอก็จะคิดดอกเบี้ยด้วยเช่นกัน
…
“เดี๋ยวก่อนครับ มีคนอื่น ๆ อยู่ที่นี่ด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไร ใจเย็น ๆ”
“ช้าลงหน่อย”
“มันกำลังมาแล้ว”
“โอเค”
รุ่นพี่แพนดอร่าสอนดาร์กถ่ายพลังเวทให้แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเขียนภาษาเวทมนตร์
ดาร์กพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อยับยั้งแรงกระตุ้นในใจ เขาพยายามเรียนรู้และจดจำอย่างใจเย็นที่สุด
แต่ [ราคะ] ยังคงขึ้นอยู่ดี
…
เวอร์เธอร์ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็เข้าไปในห้องสมุดกับโรเบิร์ต
หลังจากที่ทั้งสองหยุดอยู่หลังมุม เวอร์เธอร์อดถามไม่ได้ “พวกเขารู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่?”
โรเบิร์ตปลอบโยนเขา “เขาก็แค่ถามคำถาม ดาร์กมาที่ห้องสมุดบ่อย ๆ มันเป็นเรื่องปกติที่เขาจะรู้จักกับรุ่นพี่แพนดอร่า”
เวอร์เธอร์กัดฟันเล็กน้อย “ถ้าฉันไปถามคำถาม รุ่นพี่แพนดอร่าจะสอนฉันด้วยเหรอ?”
โรเบิร์ตตกใจ “หา? แต่เราไม่ได้รู้จักเธอดีพอนะ”
เวอร์เธอร์ “ฮะ?”
โรเบิร์ตเสนอ “บางทีเราอาจจะลองตรวจสอบความชื่นชอบก่อนก็ได้ นั่นน่าจะเป็นข้อมูลอ้างอิงที่ดี”
เวอร์เธอร์บีบการ์ด [ความรักต้องห้าม] ไว้แล้ว แต่สุดท้ายเขาก็ส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ เราไม่ควรหวังสูงเกินไป เราเป็นแค่คนแปลกหน้าที่รู้จักชื่อกันเท่านั้น โรเบิร์ต หรือฉันต้องอ่านหนังสือมากกว่านี้เหมือนอย่างดาร์กบ้างถึงจะมีโอกาส?”
โรเบิร์ตตอบ “ฉันก็ไม่รู้ แต่การมีหัวข้อคุยตรงกันมากขึ้นนั้นเป็นอาวุธวิเศษในการสื่อสารกับผู้หญิง แล้วรุ่นพี่แพนดอร่าก็ชอบอ่านหนังสืออย่างเห็นได้ชัด”
แต่เขาก็ยักไหล่อีกครั้ง “แต่คืนนี้เราต้องทำการบ้านให้เสร็จ งั้นเป็นพรุ่งนี้ก็ได้มั้ง?”
เวอร์เธอร์ลังเล “แต่ฉันยังต้องไปทางลับเพื่อตามหาสมบัติที่พ่อทิ้งไว้”
โรเบิร์ตตอบ “ถ้าอย่างนั้นนายก็ไม่มีทางเลือก มีคำกล่าวที่ว่าเราไม่สามารถเลือกได้ทั้งสองทางใช่ไหม?”
เวอร์เธอร์ยังคงลังเล “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่สิ่งที่นายพูดก็สมเหตุสมผลอยู่ รุ่นพี่ชอบอ่านหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือเกี่ยวกับมังกร บางทีฉันอาจจะมอบหนังสือให้เธอเป็นของขวัญคริสต์มาสก็ได้”
โรเบิร์ตเห็นด้วย “เป็นความคิดที่ดี ฉันขอแนะนำ ‘สิบสี่รูปแบบการสังหารมังกรของอาลีบาบา’ ว่ากันว่าเป็นหนังสือขายดีขั้นสุดยอดเลยล่ะ!”
เวอร์เธอร์ “ไว้ฉันจะคิดดูอีกที ยังอีกนานกว่าจะถึงคริสต์มาส”
…
[ราคะ +1]
ดาร์กมองข้อความแจ้งเตือนที่หายไปจากการมองเห็นนานแล้ว
เด็กชายเว้นระยะห่างจากรุ่นพี่แพนดอร่าโดยไม่รู้ตัว แต่ระยะห่างระหว่างพวกเขากลับลดลงเสียอย่างนั้น
แรงกดดันที่หนักหนาเกือบจะโดนใบหน้าของเขา
แพนดอร่ายิ้มเยาะและขยับเข้าไปใกล้รุ่นน้อง
[ราคะ +1]
ใบหน้าของดาร์กแดงก่ำ เขาเริ่มกังวลเล็กน้อย
‘เด็กจังเลยนะ’
แพนดอร่าคิดในใจ แต่เธอก็ไม่ได้หยุดสอนดาร์กเลย
ในฐานะนักเรียนชั้นยอดของปีสี่จากบ้านนักปราชญ์ การเขียนภาษาเวทมนตร์ของเธอไม่ใช่สิ่งที่ดาร์กจะสามารถเทียบได้
ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ ดาร์กก็ได้รับประโยชน์มากมาย
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เธอกระซิบข้างหูของดาร์กว่า “จะว่าไป ภาษาเวทมนตร์เป็นหลักสูตรของปีสองไม่ใช่เหรอ? นี่เธอเริ่มเรียนตั้งแต่เนิ่น ๆ เลย?”
ดาร์กใช้คำตอบเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจอย่างรวดเร็ว “ผมมีการ์ดเวทมนตร์ที่ต้องทำน่ะครับ”
แพนดอร่าถามต่อ “การ์ดเวทมนตร์อะไรเหรอ? ฉันอาจช่วยเธอได้นะ”
ดาร์กตอบ “[กรงต้องสาป] กับ [ฟิวชั่น]”
แพนดอร่าประหลาดใจทันที “มันทำไม่ง่ายเลยนะ โดยเฉพาะ [ฟิวชั่น] แม้ว่าความต้องการภาษาเวทมนตร์จะไม่สูงมาก แต่ก็มีจุดที่ต้องให้ความสนใจมากมายในกระบวนการขัดเกลา ฉันก็พยายามหลายครั้งกว่าฉันจะทำสำเร็จ เธอเพิ่งเข้ามาเรียนได้แค่สามเดือนเองนะ คิดจะใช้ [ฟิวชั่น] แล้วเหรอ?”
ดาร์ก “มันยังอยู่ในขั้นทดลองครับ”
แพนดอร่าโล่งใจเล็กน้อย “ดูจากความก้าวหน้าของเธอ บางทีเธออาจจะสมัครเข้าร่วมชมรมประลองในเทอมหน้า และแข่งกับนักเรียนปีสองก็ได้ เมื่อเธอพร้อมที่จะขัดเกลา [ฟิวชั่น] ก็มาขอให้ฉันช่วยเธอได้นะ ฉันจะช่วยดูให้ ส่วน [กรงต้องสาป] นั้น ตราบใดที่เธอระมัดระวังไว้ มันก็ไม่เป็นไร”
ตราบใดที่ระมัดระวัง มันก็ไม่เป็นไร…
ดาร์กตัวแข็งทื่อไปเล็กน้อย
จากการวิจัยที่เขาทำในช่วงนี้ เขาไม่เคยคิดเลยว่า [กรงต้องสาป] จะขัดเกลาได้ง่าย
ถ้าเขาเริ่มสร้างมันขึ้นมาจริง ๆ บางทีวัตถุดิบมูลค่าหนึ่งพันห้าร้อยคะแนนอาจจะสูญเปล่าในเวลาไม่นาน
แต่ฟังจากคำพูดของรุ่นพี่แพนดอร่า
นี่หมายความว่าการขัดเกลา [ฟิวชั่น] นั้นยากกว่า [กรงต้องสาป] มากใช่ไหม?
การขัดเกลาเวทมนตร์นั้นเป็นหลุมไร้ก้นมาเสมอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้คนต้องการลอง ‘สร้างการ์ดเวทมนตร์ที่เกินความสามารถ’ ไม่ว่าพวกเขาจะลงทุนไปเท่าไหร่ มันก็อาจไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
แต่เนื่องจากรุ่นพี่แพนดอร่าเป็นฝ่ายเสนอให้ความช่วยเหลือ ดาร์กจึงไม่มีทางพลาดโอกาสนี้
เขาตอบอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณครับรุ่นพี่ เมื่อผมสามารถรวบรวมตราเวทมนตร์ของ [ฟิวชั่น] ได้แล้ว ผมจะมาขอความช่วยเหลือจากรุ่นพี่นะครับ”
แต่แล้วแพนดอร่าก็เปลี่ยนประเด็นอีกครั้ง “แน่นอน ฉันช่วยเธอได้ แต่อย่างว่านะ เอ็ดเวิร์ด นักเล่นแร่แปรธาตุโบราณเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าไม่เสียสละอะไรเลยก็จะไม่ได้อะไรกลับมา การจะได้อะไรมาก็ต้องแลกกับบางอย่างที่มีมูลค่าเท่ากัน นี่คือกฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมในการเล่นแร่แปรธาตุ มันสามารถพูดได้ว่าจอมเวทอย่างเรานั้นก็มาจากนักเล่นแร่แปรธาตุ และแน่นอน กฎนี้ไม่อาจลืมได้ อืม เธอคิดว่าไง?”
ดาร์กตอบ “ของขวัญคริสต์มาสสินะครับ ผมเข้าใจแล้ว”
แพนดอร่ายิ้มทันที “และงานเต้นรำคริสต์มาสด้วย”
…
“ความรู้สึกที่พยายามยับยั้งชั่งใจ ทั้ง ๆ ที่เขาก็เข้าใจดีอยู่แล้วแบบนี้ ค่อนข้างดีเลยนะเนี่ย~”
เมื่อเห็นแผ่นหลังของดาร์กหายไปในห้องสมุด แพนดอร่าก็ละสายตาออกไป และรีบกลับคืนสู่มหาสมุทรแห่งความรู้อย่างรวดเร็ว
ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการจัดการเวลา มักจะสามารถสลับไปมาระหว่างสองสถานะได้อย่างรวดเร็ว
…
หลังกลับมาที่ห้องอ่านหนังสือ ดาร์กก็มองดูปัญหาที่ได้รับการแก้ไขคร่าว ๆ ในสมุดบันทึก และเหลือบมองไปที่ [ราคะ] ซึ่งพุ่งขึ้นไปเจ็ดหน่วย เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกลำบากใจ
“ว่าแล้ว…มันต้องล้นจริง ๆ ด้วย”
บทที่ 140 ไดแอนนาไม่มีเสน่ห์อีกต่อไป
บทที่ 140 ไดแอนนาไม่มีเสน่ห์อีกต่อไป
ในเย็นวันพุธ ดาร์กนั่งอยู่ในห้องสมุดและกำลังจมอยู่ในห้วงความคิด
ตั้งแต่ต้นเดือนจนถึงปัจจุบัน จำนวนครั้งที่เขาดึงมหาบาปออกมาคือแปดครั้ง
เขาใช้เวลาสองครั้งในการดึง [อัตตา] ซึ่งสุดท้ายจะรวมเป็นสามหน่วย
ดึง [ราคะ] หกครั้ง รวมทั้งหมดได้เก้าหน่วย
ทว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดาร์กมัวแต่ก็ยุ่งกับการบ้านและการทดลองจนไม่มีเวลาดูแลอย่างอื่น
มหาบาป [ราคะ] จึงไม่เติบโตเลย!
เดิมที [ราคะ] มีเพียงหนึ่งร้อยสิบหน่วย แต่เมื่อดึงออกไปเก้าหน่วย ก็เหลือเพียงหนึ่งร้อยหนึ่งหน่วยเท่านั้น
และจากหนึ่งร้อยหนึ่งหน่วยนี้ ก็สามารถดึงออกไปได้เพียงหนึ่งหน่วยด้วยการใช้ ‘วิธีแมลงปอสัมผัสน้ำ’
เว้นเสียแต่ว่าเขาจะเสี่ยงใช้วิธีใส่หยดสมองวิเศษเข้าไปในสมองของเขาเองโดยตรง
ไม่อย่างนั้น เขาจะไม่ได้รับค่ามหาบาปเพิ่มเลยแม้แต่ค่าเดียว
หรือบางที เขาควรเพิ่ม [ราคะ] โดยเจตนาดีนะ?
…
“อีกสองวัน ถ้าฉันยังอยากจะดึงค่ามหาบาปได้อีกสองครั้ง ให้รวมเป็นสามหน่วย ฉันก็ต้องเพิ่ม [ราคะ] ให้เป็นหนึ่งร้อยสี่หน่วยเพื่อให้เท่ากับความต้องการให้ได้”
“หรือทิ้ง [ราคะ] แล้วไปเพิ่ม [อัตตา] แทนดี? [อัตตา] มีเหลืออยู่หนึ่งร้อยสองหน่วย แต่ก็สามารถดึงออกมาได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น”
“ฉันคิดว่าฉันควรหาวิธีเพิ่มค่า [ราคะ] จะดีกว่า”
“[ราคะ] ก็มีการ์ดดอกไม้ไว้ป้องกันอุบัติเหตุแล้ว ต่อให้ล้นเกินเล็กน้อยก็ไม่เป็นปัญหา นี่เป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุด”
“แล้วยังมีหลายวิธีที่สามารถเพิ่ม [ราคะ] ได้ด้วย”
“ถ้างั้นก็เอาตามนี้!”
หลังจากตัดสินใจแล้ว ดาร์กก็เงยหน้าขึ้นไปมองไดแอนนา ผู้ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามเขาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
มีการบ้านมากมายจากวิชาคณิตศาสตร์ในวันอังคาร เมื่อเห็นว่าคาบแรกในวันพฤหัสบดีเป็นเวลาส่งการบ้าน นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งหลายคนที่ทำการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ไม่เสร็จ จึงมาที่ห้องสมุดเพื่อทำการบ้านให้ทัน
ไดแอนนาและโรสก็เป็นส่วนหนึ่งของคนกลุ่มนี้เช่นกัน
ทุกครั้งที่พวกเธอมาที่ห้องสมุด พวกเธอมักจะนั่งตรงข้ามดาร์ก ราวกับว่าที่นั่งตรงข้ามกับเด็กชายจะกลายเป็นที่นั่งพิเศษเฉพาะของพวกเธอไปแล้ว
เนื่องจากดาร์กสนับสนุนให้พวกเธอคิดด้วยตนเองเสมอ และพึ่งพาความสามารถของตนเองในการแก้โจทย์ยาก ๆ ก่อน ทั้งคู่จึงพยายามอย่างหนักและไม่ถามดาร์กเมื่อพบปัญหา
นี่เป็นสัญญาณที่ดีอย่างแน่นอน
แม้ว่าไดแอนนาจะไม่ฉลาดนัก แต่วิชาคณิตศาสตร์ปีหนึ่งก็ไม่ได้ยากมากเช่นกัน
และหากพวกเธอพยายามอย่างหนัก ทั้งสองคนก็จะสามารถสร้างรากฐานที่มั่นคงได้
นี่จะช่วยให้พวกเธอผ่านหลักสูตรชั้นปีที่สองไปได้มาก
เพราะคณิตศาสตร์เป็นพื้นฐานของทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการอัญเชิญ ปรุงยา คาถาเวทมนตร์ หรือแม้แต่การประลอง และการรวบรวมภาษาเวทมนตร์ มักมีการคำนวณเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ
ความจริงหลังจากนักเรียนก้าวเข้าสู่ชั้นปีที่สอง มีคนหลายคนต้องเริ่มเรียนพิเศษอย่างไม่รู้จบ เพียงเพราะว่าพื้นฐานของพวกเขาแย่เกินกว่าจะสนับสนุนพวกเขาให้เรียนต่อไปได้
ดาร์กไม่ต้องการเห็นเพื่อนทั้งสองคนในชั้นปีเดียวกัน ตกอยู่ในขุมนรกของการเรียนพิเศษ
แต่หลังจากอยู่กับพวกเธอมาอย่างยาวนานด้วยท่าทีแบบ ‘พี่เลี้ยง’ ทุกอย่างก็ไม่ใช่ว่าจะดีไปซะหมด
ดาร์กอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง เป็นเวลานานแล้วตั้งแต่เขามองดูไดแอนนาและโรสอย่างตั้งใจครั้งล่าสุด
ไดแอนนามีผมสีเงิน
ในอาณาจักร ผมสีเงินและสีบลอนด์เป็นสัญลักษณ์ของสายเลือดขุนนาง
แม่ของไดแอนนาเป็นญาติใกล้ชิดกับเชื้อพระวงศ์ และเธอเองก็มีสายเลือดของราชวงศ์ด้วย
ดังนั้นเธอจึงสืบทอดผมสีเงินของผู้เป็นมารดา ซึ่งแตกต่างจากผมสีน้ำตาลอันเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลเกรท เบเยอร์เล็กน้อย
ส่วนโรสมีผมสีบลอนด์
แต่มันเป็นสีบลอนด์ที่ซีดมาก เกือบจะโปร่งแสงเล็กน้อยด้วยซ้ำ สรุปแล้วมันคือสีทองซีด
ตระกูลรอธร็อคที่เธออยู่ เดิมเป็นขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ แต่ค่อย ๆ ถดถอยลงในช่วงสงคราม และตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ลุงของเธอเท่านั้น
ต่างจากไดแอนนาที่มีใบหน้ากลมเกลี้ยง โรสมีความสวยแบบเด็กอยู่แล้ว ใบหน้าของเด็กหญิงเป็นรูปไข่ และบุคลิกของเธอก็มักทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเธอนั้นดูอ่อนแอและน่าสงสาร ชวนให้ผู้คนรู้สึกว่าต้องดูแลเธอ
ก่อนหน้านี้ดาร์กไม่ได้สนใจเธอมากนัก แต่ตอนนี้เขาตระหนักได้แล้วว่ามีเด็กหญิงผู้งดงามอยู่ใกล้ตัวเขา
และแม้ว่าดาร์กจะมองโรสอย่างตั้งใจจนเธอหน้าแดง แต่ค่าราคะของเขาไม่เพิ่มขึ้นเลย
‘แบบนี้ไม่ได้การแล้ว…’
ด้วยความสิ้นหวัง ดาร์กจึงหันความสนใจไปที่ไดแอนนาอีกครั้ง
แก้มที่กลมและอ่อนโยนของไดแอนนา ทำให้เขาอยากเอื้อมมือออกไปบีบอยู่เสมอ
แรงกระตุ้นนี้ยังคงมีอยู่จนถึงทุกวันนี้
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ราคะในตัวเขากลับนิ่งเงียบราวกับทะเลสาบอันเงียบสงบ
ดูเหมือนว่าไดแอนนาจะไม่ดึงดูดใจเขาอีกต่อไป
หรือบางทีฉันแค่เบื่อหน้าพวกเธอ?
‘นี่คือการเติบโตของตัวละครเหรอ?’
ดาร์กครุ่นคิด
‘หรือแค่การมองด้วยตา ไม่เพียงพอที่จะทำให้จิตใจของฉันผันผวนอีกต่อไปแล้ว?’
ดาร์กเก็บข้าวของของตัวเอง หยิบบันทึกการศึกษา ‘ภาษาเวทมนตร์’ ด้วยตนเองออกจากกระเป๋านักเรียน ก่อนจะเปิดมันแล้วลุกขึ้นยืน
ไดแอนนาถามด้วยความสงสัย “ดาร์ก นายจะไปไหน?”
ดาร์กยกสมุดบันทึกในมือขึ้น “ไปหาคนเพื่อถามคำถามน่ะ”
ไดแอนนา “โอ้”
…
แผนกต้อนรับของห้องสมุด
แพนดอร่า โดรากอนกำลังจดบันทึกขณะอ่านหนังสืออยู่
เธอมีความจำที่ดี โดยพื้นฐานแล้วเธออ่านสิบบรรทัดได้ในการกวาดสายตาครั้งเดียว และสมุดบันทึกของเธอก็เต็มไปด้วยประเด็นสำคัญ
ช่วงนี้มีการบ้านเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ซึ่งทำให้เธอมีปัญหากับตารางงานที่แน่นเล็กน้อย
ทางเลือกสุดท้ายคือ เธอต้องเอาเวลาว่างในช่วงทำงานมาใช้ทำการบ้านให้เสร็จเท่านั้น
ทั้งที่เวลานี้ควรเป็นเวลาพักผ่อน
หลังจากทำการบ้านเสร็จ เธอก็วางปากกาและหยิบสำเนา ‘ความลับของมังกร’ ขึ้นมาเพื่ออ่านต่อ
‘ความลับของมังกร’ แม้แต่ในห้องสมุดของเซนต์แมเรียนก็อยู่ในรายการหนังสือต้องห้าม
แต่เธอได้รับอนุญาตจากศาสตราจารย์ให้ยืมหนังสือต้องห้ามเล่มนี้
เมื่อเธอสามารถใช้ความรู้ในหนังสือเล่มนี้ได้ เธอก็จะเชี่ยวชาญการอัญเชิญประเภทมังกรมากขึ้น
“รุ่นพี่ ขอลงทะเบียนหน่อยครับ”
แพนดอร่าเงยหน้าขึ้นมองเวอร์เธอร์และโรเบิร์ตที่เดินมาที่เคาน์เตอร์ แล้วยื่นใบลงทะเบียนเข้าใช้มา
ชื่อของบุตรแห่งวีรบุรุษยังคงโด่งดังมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการประชุมเมื่อบ่ายวันพุธที่ผ่านมา คนที่ไม่สนใจเขามากนักก็ถูกบังคับให้รู้จักเขาอีกครั้ง
“การบ้านของพวกเธอทั้งคู่เพิ่มขึ้นหรือเปล่า?” แพนดอร่าถามอย่างไม่ใส่ใจ
บุตรแห่งวีรบุรุษที่ปกติไม่ค่อยเข้าห้องสมุดบ่อยนัก กลับมาห้องสมุดทุกวันอย่างผิดปกติ ทำให้คนมองว่าเป็นเพราะแรงกดดันของการบ้าน
แต่เมื่อเธอถามอย่างไม่ใส่ใจ จู่ ๆ เวอร์เธอร์ก็เริ่มประหม่า นี่เป็นครั้งแรกที่รุ่นพี่แพนดอร่าพูดกับเขา!
จนกระทั่งโรเบิร์ตสะกิดแขน เขาจึงเกาหัวและพูดว่า “ใช่ครับ ผมไม่รู้ว่าทำไมศาสตราจารย์ถึงอยากทำแบบนี้ แค่แรงกดดันในการเรียนก็หนักหนาอยู่แล้ว”
แพนดอร่าพยักหน้าเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะไม่ได้เกิดขึ้นแค่เฉพาะชั้นปีเดียวสินะ”
จากนั้นเธอก็รับใบทะเบียนเข้าใช้มา แล้วก็ก้มหน้าอ่านต่อไป
เวอร์เธอร์เปิดปากของเขาและต้องการจะพูด แต่จู่ ๆ ก็เห็นคนที่คุ้นเคยเดินออกมา
ดาร์กไม่คิดว่าจะได้พบกับเวอร์เธอร์และโรเบิร์ตที่นี่ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาต้องใส่ใจ
เวอร์เธอร์รู้สึกเขินอายเล็กน้อยด้วยเหตุผลบางอย่าง และท่าทางของโรเบิร์ตก็ดูผิดปกติ
ดาร์กลังเลเล็กน้อยและพยักหน้าให้ทั้งสองคนด้วยท่าทางที่สุภาพ
จากนั้นเขาก็เดินไปหลังเคาน์เตอร์อย่างเป็นธรรมชาติมาก ดาร์กขยับเก้าอี้แล้วนั่งลงข้าง ๆ รุ่นพี่แพนดอร่า แล้วถามว่า “รุ่นพี่ รุ่นพี่มีเวลาไหมครับ?”
บทที่ 139 อูชิ
บทที่ 139 อูชิ
พลังเวทมนตร์และพลังป้องกันสองพันหน่วย ในขณะที่เป็นถึงระดับสูงสุดของสี่ดาว
[อูชิ] ใบนี้เป็นการ์ดวิญญาณที่มีค่าป้องกันสูงสุด!
แตกต่างจาก [ชัคคารุ] ที่ตัวเล็ก อูชิสูง 1.2 เมตร ซึ่งสูงมากพอที่จะปกป้องลูกบอลเวทมนตร์ได้!
สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ มันเป็นการ์ดสีทองที่มีท่าไม้ตายสี่สกิลเหมือน [ชัคคารุ]!
ในอดีต การ์ดทองมักถูกเรียกว่า ‘การ์ดศักดิ์สิทธิ์’ และเดิมทีมันเป็นการ์ดบั๊ก
ยิ่งไปกว่านั้น ท่าไม้ตายทั้งสี่ของ [อูชิ] ก็มีประโยชน์เช่นกัน และพวกมันก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าของ [ชัคคารุ]!
ดาร์กเติมพลังเวทมนตร์เข้าไปในการ์ดทันที เพื่อตรวจสอบรายละเอียดของสกิลทั้งสี่นี้
[แซปซิปเปอร์: สกิลติดตัว เมื่อถูกโจมตีโดยท่าประเภทหญ้า ผู้ใช้ไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับความเสียหาย แต่ยังเพิ่มพลังโจมตีด้วย]
[ดื่มนม: เครื่องดื่มนมที่ฟื้นฟูค่าพลังเวทมนตร์ของผู้ใช้ 50% จากพลังเวทมนตร์สูงสุด]
[ม้วนตัวป้องกัน: ม้วนตัวป้องกันจะเพิ่มพลังป้องกันของผู้ใช้ และยังเพิ่มพลังท่าโรลเอาต์ของผู้ใช้เป็นสองเท่า]
[โรลเอาต์: การกลิ้งเพื่อสร้างความเสียหายเป็นเวลาห้ารอบ โดยเพิ่มพลังเป็นสองเท่าสำหรับการโจมตีแต่ละครั้ง พลังโจมตีจะรีเซ็ตหลังจากผ่านไปห้ารอบ หรือหากโรลเอาต์ถูกขัดจังหวะ]
“ว้าว!”
“ความสามารถพวกนี้จะเวอร์เกินไปแล้ว”
แม้ว่าดาร์กจะรู้สึกประทับใจชื่อสกิลเหล่านี้ตั้งแต่ครั้งแรก ทว่าพอได้เห็นมันจริง ๆ เด็กชายก็ยังอดไม่ได้ที่จะตกใจกับสกิลเวอร์วังอลังการพวกนี้
สกิล [แซปซิปเปอร์] นี้เดิมเป็นความสามารถลับของอูชิ อูชิที่มีความสามารถ [แซปซิปเปอร์] นั้นจะมีภูมิคุ้มกันต่อสกิลคุณสมบัติหญ้าใด ๆ ก็ตาม ซึ่งทำให้มันเป็นศัตรูตัวฉกาจของสปิริตที่มีคุณสมบัติหญ้า!
สกิล [ดื่มนม] นั้นโกงยิ่งกว่า มันเป็นท่าเสริมพลังเหมือนกับสกิล [แสงจันทร์] ของแบล็คบุย แต่มันทรงพลังเป็นพิเศษ เพราะอูชิมีพลังเวทมนตร์สองพันหน่วย
แตกต่างจาก [แสงจันทร์] เพราะคนอื่นสามารถใช้ [ดื่มนม] ได้
ขณะที่สกิลคอมโบ [ม้วนตัวป้องกัน] + [โรลเอาต์] นั้น…
ดาร์กท่องคาถาอัญเชิญปกติอย่างเงียบ ๆ และหลังจากใช้เวลามากกว่าหนึ่งนาที เขาก็อัญเชิญ [อูชิ] ออกมาได้ในที่สุด
“มอ~”
รูปลักษณ์โดยรวมของอูชินั้น เหมือนกับวัวสีชมพูและมีลูกบอลสีดำอยู่ที่ปลายหาง ซึ่งดูน่ารักมาก
เมื่อปรากฏตัวขึ้น ดวงตาของมันก็เต็มไปด้วยความสับสน
แต่หลังจากเห็นดาร์ก ดวงตาของมันก็สว่างขึ้นในทันใด จากนั้นก็ส่งเสียงมอและพุ่งมาหาดาร์ก
ก่อนที่ดาร์กจะทันได้ตอบสนอง เขาก็ถูกอูชิผลักลงไปที่พื้นแล้ว
อูชิสูงเพียง 1.2 เมตรก็จริง แต่มันหนัก 75 กิโลกรัม ดังนั้นดาร์กจึงรับน้ำหนักของมันไม่ไหวในทันที!
เขายิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ‘เกือบลืมไปเลยว่าเจ้านี่สร้างจากราคะ’
หลังจากพยายามผลักอูชิออกไป ดาร์กก็เริ่มลองใช้สกิลของมัน
“มาเริ่มด้วย [ดื่มนม] กันเถอะ!”
อูชิถูไถกับฝ่ามือของดาร์ก ก่อนจะถอยออกไปอย่างไม่เต็มใจ
จากนั้นมันก็ยืนขึ้น ถูมือเข้าด้วยกัน แล้วเสกขวดนมขึ้นมาจากอากาศ!
ฉากนี้ค่อนข้างคล้ายกับที่ดาร์กจินตนาการไว้ แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางไม่ให้เขาหยิบขวดนมจากมือของอูชิไปดื่ม
รสชาติปกติมาก และไม่ดีเท่านมหมักของ [ชัคคารุ]
แต่หลังจากดื่มต่อไปอีกนิด จู่ ๆ ดาร์กก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลังงาน!
เห็นได้ชัดว่าเอฟเฟกต์นี้คล้ายกับนมหญ้าวัว
เพียงแต่ว่าเอฟเฟกต์นมของอูชินั้นแข็งแกร่งกว่านมหญ้าวัวมาก
ข้อเสียคือ นมของอูชิเป็นสกิลของสปิริต และทำให้เกิดผลแบบของสกิล มากกว่าผลของการดื่มนมจริง ๆ ดังนั้นมันจึงไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ
ดังนั้น หากดาร์กต้องการที่จะเติบโตขึ้นอย่างมีสุขภาพแข็งแรง เขาก็ต้องดื่มนมหญ้าวัวต่อไป
“แต่อย่างน้อย มันก็พิสูจน์แล้วว่าคนอื่นดื่มนมของอูชิได้”
“ต่อไปคือ [ม้วนตัวป้องกัน]”
ภายใต้คำสั่งของดาร์ก อูชิม้วนตัวเป็นลูกบอล แทบจะทันทีชั้นโลหะมันวาวก็ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของมัน และให้ความรู้สึกในการเพิ่มพลังป้องกันที่ชัดเจน
ส่วนผลของการเสริมพลังป้องกันนั้น ดาร์กสามารถรู้ได้เพียงแค่ดูจากการ์ดเวทมนตร์
เด็กชายใส่พลังเวทมนตร์เข้าไปในการ์ดเพื่อตรวจสอบ และทันใดนั้นเขาก็อึ้งไปทันที
“พลังป้องกันเปลี่ยนจากสองพันเป็นสามพันแล้วงั้นเหรอ!!”
นี่เป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ ซึ่งเกินความคาดหมายของดาร์ก
ปรากฏว่า [ม้วนตัวป้องกัน] เป็นสกิลที่วิเศษมาก
ดาร์กที่ยังอึ้งอยู่มองไปยังท่าไม้ตายสุดท้าย [โรลเอาต์]
พลังพื้นฐานของ [โรลเอาต์] นั้นไม่สูง แต่ตราบใดที่มันโจมตีเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง มันก็จะเพิ่มพลังเป็นสองเท่า ซึ่งถือว่าเป็นสกิลเหมือนสโนว์บอลทั่วไป
ในกรณีที่โจมตีต่อเนื่องกันห้าครั้ง พลังของมันจะเพิ่มขึ้นเป็นสิบหกเท่า
และในกรณีที่ใช้คู่กับ [ม้วนตัวป้องกัน] มันจะเพิ่มเป็นสามสิบสองเท่า!
ถ้าสกิลโรลเอาต์ของ [อูชิ] ไม่ถูกขัดจังหวะ การโจมตีครั้งสุดท้ายจะน่ากลัวมาก!
มันคือวงล้อนรกอย่างแท้จริง!
…
ดาร์กไม่ได้ทดสอบสกิล [โรลเอาต์] ในหอพัก
อันที่จริง การ์ดตราเวทมนตร์ทั้งสี่ใบที่ผลิตสำเร็จก็ยังไม่ได้รับการทดสอบเช่นกัน
เขาต้องการห้องที่ใหญ่พอที่จะลองตราเวทมนตร์เหล่านั้นได้
น่าเสียดายที่ห้องซ้อมต่อสู้บนชั้นแปดของหอพัก มักถูกครอบครองโดยนักเรียนรุ่นพี่
“บางทีทางลับอาจจะเป็นสถานที่ที่ดีก็ได้?”
“อืม ถ้าฉันกล้าพอ พวกโกเลมที่ถูกโยนเข้าไปในทางลับก็อาจเป็นเป้าฝึกซ้อมได้”
อย่างไรก็ตาม คืนนั้นดาร์กหยิบการ์ดไปที่มุมปราสาท แน่นอนว่าเขาไม่ได้โง่พอที่จะไปทางลับเพื่อตามหาโกเลม!
ปราสาทมีขนาดใหญ่มาก ดังนั้นจึงไม่ยากที่จะหามุมที่เงียบสงบ
ดาร์กไม่เพียงอัญเชิญ [อูชิ] ออกมาทดลองใช้สกิล [โรลเอาต์] เท่านั้น แต่ยังลองใช้การ์ดตราเวทมนตร์ทั้งสี่ใบหลายครั้ง
วิธีการใช้ [กระสุนเวทมนตร์] ที่ง่ายที่สุดคือการถ่ายพลังเวทมนตร์เข้าไปในการ์ด และใช้คาถาอัญเชิญเพื่อปล่อยกระสุนเวทมนตร์ขนาดเท่ากำปั้นออกไป
พลังพื้นฐานของกระสุนเวทมนตร์คือหนึ่งร้อยหน่วย
เทียบเท่ากับหมัดเต็มพลังของ [สัตว์อสูรมายา: อีบุย]
แม้ว่าพลังจะถูกจำกัด แต่เนื่องจากการใช้พลังเวทมนตร์ที่ต่ำและคูลดาวน์ที่สั้น มันจึงเป็นเวทมนตร์ปกติที่ใช้เติมช่องว่างระหว่างการต่อสู้
ส่วนคาถา [ผลักออก] ก็ตามที่ชื่อบอก มันสามารถใช้ผลักวัตถุได้
เนื่องจากขอบเขตการร่ายที่สั้นมาก จึงมักใช้ผลักตัวจอมเวทเอง และสามารถผลักออกไปยังทิศทางใดทิศหนึ่งได้หนึ่งถึงสามเมตรในทันที
สำหรับเอฟเฟกต์ของคาถา [สกัดกั้น] มันสามารถสร้างบล็อกในอากาศขนาดไม่เกินหนึ่งลูกบาศก์เมตรลงที่จุดใดจุดหนึ่ง ภายในขอบเขตที่กำหนดได้
ส่วนคาถา [พรางตา] ไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดมากเกินไป
ตราเวทมนตร์เหล่านี้ให้ผลลัพธ์ที่หลากหลาย แต่นั่นขึ้นอยู่กับวิธีการใช้งานของจอมเวทเอง
หากใส่พลังเวทมนตร์ลงไปและเวลาในการชาร์จนานเพียงพอ เอฟเฟกต์ของตราเวทมนตร์ก็จะเพิ่มขึ้นได้
วิธีใช้งานอย่างเชี่ยวชาญนั้นเป็นหัวข้อที่ใหญ่มาก
แม้ว่าจะมีตราเวทมนตร์ขั้นสูงที่ได้มาจากการ์ดตราเวทมนตร์เหล่านี้ แต่ก็ยังไม่สามารถแทนที่ได้อย่างสมบูรณ์
…
ความสำเร็จในการขัดเกลา [อูชิ] มีความหมายต่อดาร์กอย่างมาก
นี่หมายความว่า เขาได้พัฒนาระบบการขัดเกลาสปิริตที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเขาเองแล้ว
มีความเป็นไปได้ว่า เขาจะสามารถสร้างมอนสเตอร์ดิจิทัลและมอนสเตอร์ขนาดพกพาส่วนใหญ่ด้วยวิธีนี้ได้ด้วยซ้ำ
น่าเสียดายที่จำนวนของสายพันธุ์หญ้าแมวและมหาบาปซึ่งเป็น ‘แกนหลัก’ ของระบบจำกัดการวิจัยของเขา
สิ่งนี้ทำให้ดาร์กต้องหยุดพักชั่วคราวหลังจากขัดเกลา [อูชิ] ออกมาได้
หากเป็นไปตามที่คำนวณไว้
ในอีกสามวันข้างหน้า เขาจะยังสามารถดึง [ราคะ] ออกมาประมาณสี่หน่วยครึ่งได้ บวกกับครึ่งหน่วยที่เหลือก็จะได้ห้าหน่วย
ดาร์กจะเก็บ [ราคะ] ห้าหน่วยนี้เอาไว้ชั่วคราว และหลังจากที่เขาสะสมแต้มได้เพียงพอแล้ว เขาก็จะเริ่มทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้
แต่อย่างไรก็ตาม ถัดมาในวันที่สอง ดาร์กกลับพบว่าราคะของเขาไม่เพียงพอ!
บทที่ 138 ดาร์ก เดม่อนได้การ์ดทองอีกใบ
บทที่ 138 ดาร์ก เดม่อนได้การ์ดทองอีกใบ
แม้ว่าอาจารย์ใหญ่อาร์เต้จะเล่าเรื่องราวของวีรบุรุษในช่วงสมัยเรียน ทว่าน้ำเสียงกลับมีร่องรอยความโศกเศร้าและเคร่งขรึมอยู่ในคำพูดของเธอ
จอมเวทฝึกหัดไม่เคยประสบกับสงครามนองเลือดระหว่างมนุษย์กับปีศาจ พวกเขาจึงรับรู้ความเศร้าโศกและความรุ่งโรจน์ของยุคสมัยนั้นผ่านคำบอกเล่าเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่เท่านั้น
ปีเตอร์ เชลด์วิช เป็นคนอ่อนโยนและเรียบง่าย
ตอนที่อยู่ชั้นปีสอง เขาได้รับอนุญาตจากหัวหน้าอาจารย์ประจำบ้านคนเขลาในตอนนั้น ให้ก่อตั้งชมรมสัตว์วิเศษขนาดเล็กได้
ในห้องชมรม เขาเก็บสัตว์ลึกลับตัวเล็ก ๆ ที่สถาบันสั่งห้ามเลี้ยงเอาไว้ได้
ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ได้รับฉายาว่า ‘นักเพาะพันธุ์’
…
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้หยุดเรื่องเล่าไว้ตรงนั้น
เหล่านักเรียนที่เดินออกมาจากห้องเรียนไม่ได้รู้สึกเศร้าแต่อย่างใด พวกเขายังคงก้าวเดินอย่างกระฉับกระเฉง
เพราะท้ายที่สุด อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ก็ไม่ได้ให้การบ้านกับพวกเขา
…
เวลาประมาณสี่โมงเย็น
ดาร์กกลับมาที่หอพัก
แม้จะยังไม่ได้จัดสรรเวลาสำหรับทำการบ้าน แต่แค่ตารางเวลาล่าสุดของเขาก็แน่นมากอยู่แล้ว
ช่างเรื่องแผนที่ขุมทรัพย์ไป เขาไม่มีเวลาสำหรับเรื่องอื่น
อีกอย่าง บ่ายนี้เขาจะได้เก็บเกี่ยว [ผลแห่งราคะ] แล้ว!
หลังจากการเก็บสำรองในวันอาทิตย์และวันจันทร์ ดาร์กก็มีราคะสองหยดในต้นไม้หนอนซึ่งรวมเป็น [ราคะ] สามหน่วย และเมื่อรวมกับอีกหนึ่งหยดในวันนี้ มันก็จะรวมเป็น 4.5 หน่วย
เขาป้อนน้ำยาแมวให้หญ้าแมวก่อน จากนั้นจึงนำหญ้าวัวไปที่ระเบียง จากนั้นดึงรั้วต้นไม้หนอนออก และปล่อยให้หญ้าวัวดูด [ราคะ] สามหน่วยที่เก็บไว้ในนั้น
วัวน้อยมีมารยาทดีมาก ดาร์กวางมันไว้ตรงระเบียง มันก็นอนบนสำลีนุ่ม ๆ อาบแดดทั้งวัน
ดาร์กยังทำกระท่อมอุ่น ๆ ริมระเบียงสำหรับนอนตอนกลางคืนไว้ให้มันด้วย
เมื่อ [ราคะ] สามหน่วยถูกดูดซับ [ดอกไม้ราคะ] ที่อยู่บนหญ้าวัวก็เริ่มผลิบาน มันเป็นดอกไม้สีชมพูกับสีเขียว
“ยังไม่พอ”
หลังจากนั้นไม่นาน ดาร์กก็ใช้เครื่องหยดสมองวิเศษเพื่อดูดค่า [ราคะ] ของวันนี้ออกมา จากนั้นแบ่งออกสองในสามแล้วป้อนผ่านกิ่งของหนอน
“มอ! มอ!”
หญ้าวัวดูดซับ [ราคะ] หนึ่งหน่วยนี้อย่างรวดเร็ว มันเลียมุมปากของมัน และหันไปขบนิ้วของดาร์กเบา ๆ จนในที่สุด [ดอกไม้ราคะ] บนหัวก็เริ่มออกผล
กลีบดอกไม้งามเหี่ยวเฉาด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
รังไข่ในครึ่งล่างของเกสรตัวผู้พองตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นมันก็ขยายตัว และในที่สุดก็กลายเป็นผลที่ใหญ่กว่า [ผลแห่งอัตตา] เล็กน้อย
เปลือกของมันเป็นสีชมพู มีเส้นสีน้ำเงินและสัญลักษณ์ราคะที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
นี่คือ [ผลแห่งราคะ] ที่เปล่งออร่าเสื่อมโทรม!
เช่นเดียวกับหญ้าแมว หญ้าวัวก็ทิ้งก้านบาง ๆ ไว้เหนือหัว
ดาร์กถือ [ผลแห่งราคะ] ไว้ด้วยความตื่นเต้น
จากนั้นเขาก็เริ่มคิดเรื่องอื่น
ตอนที่ทำ [แคทมอน] ดาร์กได้ใช้ [ผลแห่งอัตตา] เป็นวัตถุดิบหลัก และอันที่จริงเขาก็ไม่ได้ใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วย
เพราะในกระบวนการนี้เขาสามารถคั้น [ผลแห่งอัตตา] ด้วยชัคคารุก่อน เพื่อเพิ่มผลลัพธ์ของ [ผลแห่งอัตตา] ให้ได้มากที่สุด
‘ปัญหาในตอนนี้คือขาดเครื่องยืนยันว่า ความสามารถในการคั้นน้ำของชัคคารุจะมีผลกับผลแห่งมหาบาปด้วยไหม’
‘มันขึ้นอยู่กับโชคแล้ว’
‘แต่คราวนี้ไม่มีเรื่องให้กังวลมากเกินไป’
หลังจากคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ดาร์กก็อัญเชิญ [ชัคคารุ] ออกมาแล้วใส่ [ผลแห่งราคะ] ลงไปในช่องว่าง จากนั้นลูบหัวของมันแล้วพูดว่า “ฝากนายด้วย”
“ชัคคารุ!” ชัคคารุตอบรับ ก่อนจะหดกลับเข้าไปในกระดองทันที และเริ่มกระบวนการหมักน้ำผลไม้
ตอนนี้เมื่อลงมือไปแล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องมานั่งกังวลอีก
ดาร์กรออย่างอดทน
การรอนี้ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง
และครึ่งชั่วโมงต่อมาก็มีน้ำ [ผลแห่งราคะ] หนึ่งแก้ววางอยู่บนโต๊ะทดลอง
“รุกกี้เด… ช่างเถอะ ครั้งนี้ฉันจะไม่ปล่อยให้มันทดสอบแล้ว”
“ยังไงซะ ฉันก็ไม่ใช่จอมมาร”
เอฟเฟกต์ของน้ำ [ผลแห่งราคะ] นั้นชัดเจนเพียงพอแล้ว และเป็นการดีกว่าที่จะไม่เสียมันไปเปล่า ๆ
ดาร์กสงบลงและมุ่งสู่การทดลองต่อไปอย่างรวดเร็ว
“คราวนี้ วิธีการขัดเกลาคือ [ประเภทนกและสัตว์: ปกติ]”
“วัตถุดิบหลักคือผลแห่งราคะ น้ำนมจากหญ้าวัว”
“เป้าหมายการขัดเกลาคือ [อูชิ]!”
…
ไม่เหมือนกับตอนที่สร้าง [แคทมอน] ด้วย [ผลแห่งอัตตา] เพราะการทดลองนี้ไม่มีการเตรียมตัวมากนัก
แม้แต่วิธีการขัดเกลาก็ถูกเลือกตามคุณสมบัติของ ‘อูชิ’
วัตถุประสงค์เพื่อให้ผลการทดลองพุ่งไปที่ตัวของ ‘อูชิ’
อย่างไรก็ตาม เพราะไม่เคยมีการทดลองมาก่อน จึงไม่อาจแน่ใจได้ว่าวิธีการขัดเกลาขั้นพื้นฐานของ [ประเภทนกและสัตว์: ปกติ] จะมีประสิทธิภาพหรือไม่
แต่ถึงอย่างนั้น อัตราความทนทานต่อข้อผิดพลาดของประเภท ‘ปกติ’ นั้นก็ค่อนข้างสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ด้วยวิธีการขัดเกลานี้ มันจึงทำให้การขัดเกลาคุณสมบัติอื่น ๆ เป็นไปได้
กล่าวโดยสรุป การทดลองนี้เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
แต่เป็นเพราะความไม่แน่นอนที่ทำให้มันน่าประหลาดใจ
สุดท้ายแล้ว การสร้างการ์ดวิญญาณแต่ละใบนั้นมักเต็มไปด้วยตัวแปรสุ่ม
และสิ่งที่เรียกว่า ‘วิธีการขัดเกลา’ ก็จำกัดตัวแปรสุ่มนี้ได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น
จึงสรุปได้ว่า ก่อนเริ่มการทดลอง ดาร์กได้เตรียมตัวเตรียมใจจะเผชิญกับการทดลองที่ล้มเหลวแล้ว
…
ยังดีที่การทดลองทั้งหมดดำเนินไปอย่างราบรื่น
หลังจากที่ดาร์กเปิดใช้งานวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1 น้ำ [ผลแห่งราคะ] ก็ค่อย ๆ ถูกเทลงไป
แสงของวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1 กำลังกะพริบ ดูเหมือนว่าการวิเคราะห์ [ผลแห่งราคะ] จะพบกับอุปสรรค
แต่ในที่สุดแสงก็เสถียร
จากนั้นดาร์กก็เทนมวัวเป็นส่วนผสมเพิ่มเติมลงไป แล้วแสงก็ค่อย ๆ ลดลง
เมื่อเห็นว่าวัตถุดิบดูเหมือนจะไม่เพียงพอ ดาร์กก็หยิบวัตถุดิบที่เกี่ยวข้องกับ ‘วัว’ อีกชิ้นหนึ่งออกมา
เมื่อ ‘ขนของมิโนทอร์’ ที่หนาและยาวถูกใส่เข้าไป แสงสว่างของวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์ก็ระเบิดออกมา!
หลังจากที่แสงมาบรรจบกันและถักทอเป็นรังไหม การทดลองนี้ดูจะนำไปสู่ความสำเร็จที่…คาดไม่ถึงใช่ไหมนะ?
…
ดาร์กเอื้อมมือไปกดรังไหมที่เรืองแสง และถ่ายความปรารถนา ‘ต้องเป็นอูชิ’ ของเขาลงในรังไหมที่เปล่งประกายพร้อมกับพลังเวทมนตร์
พลังเวทมนตร์ในรังไหมยังคงเรืองแสงอย่างผันผวน ขณะที่วัตถุดิบต่าง ๆ ยังคงหลอมรวมต่อไป โดยใช้เวลาประมาณห้านาทีกว่าจะเสถียร
เมื่อเห็นว่ารังไหมเรืองแสงและไม่ได้ระเบิดกลางคัน ดาร์กก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาหยิบมีดปรอทออกมา และค่อย ๆ ผ่ารังไหมที่เรืองแสงออกทั้งหมดอย่างระมัดระวัง
ในระหว่างกระบวนการผ่า แสงสีขาวนวลยังคงเอ่อล้นออกมาจากรังไหม
เมื่อผ่าครึ่งรังไหมจากทั้งหมด รังไหมเรืองแสงก็กลายเป็นนมข้นในทันใด!
ดาร์กสงบสติอารมณ์ลง จากนั้นจึงวางมีดปรอทลงและหันไปหยิบแหนบแทน ก่อนจะค่อย ๆ ดึงการ์ดเวทมนตร์ออกมาจากนม
ขณะที่น้ำนมไหลลงมาจากการ์ด สปิริตที่เปิดเผยบนการ์ด ก็คืออูชิที่ดาร์กรอคอยมาเนิ่นนาน!
…
ดาร์กดีใจมากและรีบล้างการ์ดเวทมนตร์อย่างรวดเร็ว
ขอบของการ์ดเวทมนตร์ก็เปล่งรัศมีสีทองจาง ๆ
มันเป็นการ์ดทอง!
…
[ชื่อการ์ด: อูชิ]
[ประเภท: การ์ดวิญญาณ]
[ระดับ: ✪✪✪✪]
[เผ่า: ประเภทนกและสัตว์]
[คุณสมบัติ: ปกติ]
[พลังเวทมนตร์: 2000 หน่วย]
[พลังโจมตี: 1000 หน่วย]
[พลังป้องกัน: 2000 หน่วย]
[ท่าไม้ตาย: แซปซิปเปอร์ ดื่มนม ม้วนตัวป้องกัน โรลเอาต์]
…
บทที่ 137 วีรบุรุษผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ
บทที่ 137 วีรบุรุษผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ
วิชาปรุงยาในช่วงบ่ายสอนโดยศาสตราจารย์ทอมป์สัน
สิ่งที่สร้างความประทับใจให้กับนักเรียนในคาบนี้ ไม่ใช่การบรรยายเรื่องน้ำยาของศาสตราจารย์ทอมป์สัน แต่เป็นการที่โรเบิร์ตกลับมาที่ห้องเรียน
โรเบิร์ตผู้ซึ่งถูกโกนหัวโดยซิสเตอร์คาไลด์ รู้สึกราวกับว่าเขากำลังนอนเปลือยกายอยู่บนหิมะโดยไม่มีที่หลบซ่อน
จนกระทั่งคาบเรียนปรุงยาสิ้นสุดลง นักเรียนก็ไม่มีอารมณ์จะหัวเราะเยาะโรเบิร์ตอีกต่อไป เพราะการบ้านของวิชาปรุงยานั้นเพิ่มเป็นสามเท่าของปกติ!
บวกกับต้องทำการ์ดตราเวทมนตร์ที่ต้องทำให้เสร็จ ก่อนคาบวิชาเวทมนตร์พื้นฐานครั้งต่อไปจะเริ่มขึ้น…
นักเรียนชั้นปีหนึ่งพบว่าตนเองได้สูญเสียอิสระไปอย่างสมบูรณ์
…
เนื่องจากการบ้านเยอะมาก แม้แต่ดาร์กก็ได้รับผลกระทบจากมัน
เขาต้องหยุดแผนสร้างการ์ดเวทมนตร์ชั่วคราว และสิงอยู่ในห้องสมุดจนดึกดื่น
นอกเหนือจากการดึง [ราคะ] หนึ่งหยดมาเก็บไว้ในขวดแห่งความคิดที่หอพัก เขาก็ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลย
จนกระทั่งสองทุ่ม ดาร์กถึงได้บอกลาไดแอนนาและโรสที่ยังคงง่วนอยู่กับหนังสือ ก่อนจะกลับไปที่หอพัก
จากนั้นเขาก็เริ่มสร้างคาถา [สกัดกั้น] และคาถา [พรางตา]
การสร้างคาถา [สกัดกั้น] ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้เขาได้รับการ์ดเวทมนตร์ [สกัดกั้น] สองใบ
แต่ในขณะที่สร้างคาถา [พรางตา] เขาก็เจอความยากลำบากและต้องเริ่มตรวจสอบสมุดจดของตัวเอง จากที่การทดลองแรกล้มเหลว
แม้ว่าคาถา [พรางตา] จะไม่ค่อยได้ใช้ในการประลอง แต่มันเป็นการ์ดเวทมนตร์ที่มีประโยชน์มาก
เมื่อใช้คาถา [พรางตา] จอมเวทจะค่อย ๆ ล่องหนได้ภายในครึ่งวินาที และระยะเวลาของสถานะล่องหนคือห้าวินาที
แม้ว่าระยะเวลาจะไม่นาน แต่ก็เป็นคาถาลอบเร้นที่หายากและสามารถเชี่ยวชาญได้ในระยะแรก
ที่สำคัญกว่านั้น การ์ดเวทมนตร์ใบนี้สามารถใช้กับผู้อื่นได้
อย่างไรก็ตาม ดาร์กกลับไม่พบวิธีแก้ปัญหาในตำราเรียน ท้ายที่สุดเขาก็ฝึกฝน ‘ศาสตร์แห่งจิตตั้งมั่น’ เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ก่อนจะผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
…
วันถัดมา
เพื่อแก้ปัญหาการสร้างคาถา [พรางตา] ดาร์กได้ไปหาศาสตราจารย์เคเซอร์เป็นพิเศษ หลังจากจบสองคาบเรียนในช่วงเช้า
ศาสตราจารย์เคเซอร์ยินดีที่จะแก้ปัญหาให้กับเขา
ดาร์กผู้ได้คำตอบแล้ว ก็ได้ทำการ์ดเวทมนตร์คาถา [พรางตา] สำเร็จในตอนเที่ยงของวันนั้น
ด้วยเหตุนี้ก็เหลือเพียงคาถา [เคลื่อนย้ายในพริบตา] อันสุดท้ายเท่านั้น
ความยากของคาถา [เคลื่อนย้ายในพริบตา] นั้นแตกต่างจากการ์ดตราเวทมนตร์ก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
ดาร์กไม่มีความมั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จในครั้งเดียว ดังนั้นเขาจึงเตรียมตัวรอจนกว่าเขาจะเรียนรู้ ‘ภาษาเวทมนตร์’ ได้ในระดับหนึ่งก่อนที่จะลองขัดเกลา
“[กระสุนเวทมนตร์] สองใบ [ผลักออก] หนึ่งใบ [สกัดกั้น] สองใบ และคาถา [พรางตา] หนึ่งใบ รวมเป็นการ์ดหกใบ”
จู่ ๆ ดาร์กก็พบว่าเขามีการ์ดเวทมนตร์สิบแปดใบแล้ว!
ราวกับว่าแค่เพียงชั่วพริบตา การ์ดสำรับพื้นฐานก็ดูจะรวมได้ครบยี่สิบใบแล้ว?
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและจำได้ว่าชมรมประลองในเทอมที่สองของปีหน้าจะรับสมัครนักเรียนใหม่ ดังนั้นบางทีเขาอาจจะไปลองดูก็ได้
เป็นเรื่องยากที่จะหาคะแนนมากมาย หลังวันฮัลโลวีนในปีแรก และการเข้าร่วมชมรมประลองก็เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการหาคะแนน
แต่นั่นเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาในเทอมที่สอง
เมื่อใกล้หมดเวลา เขาก็เก็บข้าวของแล้วมาที่ห้องเรียนประวัติศาสตร์เวทมนตร์
มีคาบประวัติศาสตร์เวทมนตร์เพียงคาบเดียวในบ่ายวันอังคาร
แตกต่างจากวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ที่ครั้งหนึ่งเคยน่าเบื่อ ประวัติศาสตร์ของเวทมนตร์ที่สอนโดยอาจารย์ใหญ่อาร์เต้นั้นน่าสนใจมาก และเหล่าจอมเวทฝึกหัดต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอ
ดาร์กก็เป็นหนึ่งในนั้น
ท้ายที่สุดแล้ว โอกาสได้ฟัง ‘เรื่องราวอบอุ่นใจ’ ในชั้นเรียนนั้นหาได้ยากมากจริง ๆ
เขาถึงกับอยากเอาป๊อบคอร์นมาที่ชั้นเรียนด้วยซ้ำ
เขาไม่รู้ว่าอาจารย์ใหญ่ในวันนี้จะเป็นตัวจริงหรือไม่?
แต่ก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก
ท้ายที่สุด ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเธอไม่ใช่ตัวจริง
เหง่งหง่าง!
เมื่อเสียงระฆังบอกคาบเรียนดังขึ้น นักเรียนของบ้านทั้งสี่ก็หันความสนใจไปที่ประตู
ทว่ากลับมีแสงวูบวาบที่หน้าชั้นเรียนแทน จากนั้นอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังแท่น
ราวกับว่าเธอไม่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งภายนอกเลยสักนิด ดวงหน้านั้นดูเรียบเฉยมาก
“ฉันมีความสุขมากที่ได้ใช้คาบเรียนที่สองกับพวกเธอ เอาล่ะ วันนี้เราจะพูดถึงประวัติศาสตร์ของวีรบุรุษต่อ คาบเรียนที่แล้วเราได้พูดถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผู้กล้าในช่วงสมัยวัยเรียนของเขาไปแล้ว แต่เราทุกคนรู้ว่าในอาณาจักรแห่งนี้ ยังมีคนผู้หนึ่งที่โด่งดังพอ ๆ กับวีรบุรุษ ใครบอกชื่อของเธอได้บ้าง?”
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้เข้าสู่สถานะการสอนในไม่ช้า
นักเรียนยกมือขึ้นเมื่อเผชิญกับคำถามง่าย ๆ นี้
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้มองไปรอบ ๆ สักครู่ และในที่สุดก็ถามเอ็มม่าที่นั่งอยู่กลางแถวแรก
แก้มของเอ็มม่าขึ้นสีเล็กน้อย เธอตอบอย่างตื่นเต้นว่า “หนึ่งในดาบคู่แห่งอาณาจักร วัลคีรี อัลเวตต์ เซนต์ เดม่อน!”
เมื่อออกเสียงคำว่า ‘เซนต์’ เธอก็ขึ้นเสียง
เพราะคำว่า ‘เซนต์’ เป็นสัญลักษณ์ของผู้ปลุกสายเลือดเทพให้ตื่นขึ้น
บุคคลประเภทนี้จะถูกเรียกว่า ‘เซนต์’ และพวกเขาล้วนเป็นมหาอำนาจที่แท้จริงซึ่งยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของยุคนั้น
วัลคีรีก็เหมือนกับอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ เธอเป็นตัวแทนของสตรีในอาณาจักร ซึ่งเป็นบุคคลที่น่าชื่นชมมากที่สุดในฐานะสตรีที่เข้มแข็งและมีอิสระ
เอ็มม่าจึงกลายเป็นแฟนตัวยงของวัลคีรีโดยปริยาย
“ห้าคะแนนให้มอร์ติส”
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ส่งสัญญาณให้เธอนั่งลงแล้วพูดเบา ๆ ว่า “อัลเวตต์เป็นเด็กที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบมา ตลอดช่วงชีวิตของการอยู่ในฐานะอาจารย์ใหญ่ ฉันมีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับเธอ แต่เธอค่อนข้างขี้อาย และไม่ชอบให้ฉันเที่ยวเล่าเรื่องราวของเธอให้คนอื่นฟัง ดังนั้น วันนี้เราจะไม่ได้ฟังเรื่องราวของเธอ แต่เป็น ‘สหาย’ ของเธอกับผู้กล้าไบรต์––วีรบุรุษจอมเวทปีเตอร์”
ปีเตอร์ เชลด์วิช วีรบุรุษผู้มีบทบาทบนสมรภูมิรบในฐานะ ‘จอมเวทผู้ยิ่งใหญ่’
แม้ว่าชื่อของเขาจะไม่โด่งดังเท่าผู้กล้าและวัลคีรี แต่นามของเขาก็ที่ประจักษ์แจ้งเช่นกัน
ทว่ามีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าปีเตอร์ไม่ใช่มนุษย์บริสุทธิ์ เขาเป็นลูกผสมระหว่างมนุษย์กับภูต มีหูที่ยาวกว่าหูมนุษย์เล็กน้อย และมีผมสีฟ้าใสราวกับผืนนภายามเช้า
ขณะที่ผู้กล้าไบรต์กับวัลคีรีอัลเวตต์กำลังเรียนอยู่ที่เซนต์แมเรียน พวกเขาเป็นขุนนางสายเลือดบริสุทธิ์ที่อยู่ในบ้านขุนนาง แต่ปีเตอร์เป็นสามัญชนและได้รับเลือกให้อยู่บ้านคนเขลา
นักเรียนบ้านคนเขลาเป็นเพื่อนกับนักเรียนบ้านขุนนางทั้งสองคนได้อย่างไร?
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้หญิงอีกคนจากบ้านนักปราชญ์
แต่เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ใหญ่อาร์เต้จะไม่เล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวของบุคคล เธอจะเล่าอย่างไม่ล้ำเส้น และจะเล่าในส่วนเรื่องที่เจ้าของเรื่องไม่รังเกียจที่จะบอกคนอื่น
ปีเตอร์ เชลด์วิช เป็นคนที่เข้ากับปรัชญาของบ้านคนเขลาได้เป็นอย่างดี
สติปัญญาของเขาถูกเก็บซ่อนลึกอยู่ภายใน จิตใจก็บริสุทธิ์และไร้เดียงสา อีกทั้งเขายังมีศักยภาพสูงสุดอีกด้วย
ในฐานะภูตเลือดผสม เขาจึงไม่ได้มีความซุกซนและกระตือรือร้นเหมือนกับภูต แต่กลับกลายเป็นคนเงียบ ๆ ที่แตกต่างจากคนในวัยเดียวกัน
เขาเป็นเพชรที่ดีที่สุด รวมไปถึงมีความเป็นไปได้ว่าน่าจะเปล่งประกายได้มากกว่าไบรต์และอัลเวตต์เสียอีกเมื่อเวลาผ่านไป
ทว่าเขาไม่สามารถอยู่ได้จนถึงตอนนั้น
ปีเตอร์ เชลด์วิช เสียชีวิตลงในสนามรบ!
บทที่ 136 มันก็แค่อุบัติเหตุ
บทที่ 136 มันก็แค่อุบัติเหตุ
วันจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายน
ในที่สุดศาสตราจารย์ซิลเวอร์ก็กลับมา เธอเล่าความคืบหน้าของเหตุการณ์ในชั้นเรียนสั้น ๆ จากนั้นก็วิจารณ์ความกระตือรือร้นในการผจญภัยทางลับของนักเรียนอย่างรุนแรง
นอกจากนี้ เธออ้างว่าเธอได้ใส่โกเลมเข้าไปในทางลับ และเพิ่มความเข้มงวดในการลาดตระเวนกลางคืนแล้ว
นักเรียนทุกคนที่ถูกจับได้ว่าไปสำรวจทางลับ จะถูกหักคะแนนเป็นจำนวนมาก
หากพวกเขาถูกจับได้หลังเวลาปิดหอพัก พวกเขาจะถูกกักบริเวณด้วย!
นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ลิลลี่จะไม่ส่ง ‘ภูตนำทาง’ ไปรับนักเรียนอีกต่อไปแล้ว
ผู้ที่หลงทางในทางลับจะต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด!
…
“หมายถึงตราบใดที่เราไม่เข้าไปในทางลับตอนกลางคืน หรือไปทางลับในตอนกลางคืนโดยไม่ถูกโกเลมจับได้และไม่หลงทาง มันก็จะไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ดาร์กรู้สึกว่าเขาเข้าใจคำพูดของศาสตราจารย์ซิลเวอร์ได้อย่างถูกต้องแล้ว
การไม่ได้ปิดตายเส้นทางลับโดยตรงถือเป็นเครื่องยืนยันได้
สถาบันไม่ได้ต่อต้านนักเรียนที่ออกไปสำรวจพื้นที่ แต่พวกเขาตั้งใจลดจำนวนคนที่เข้าทางลับ
เรื่องนี้ไม่สำคัญสำหรับคนส่วนใหญ่
เพราะท้ายที่สุด นักเรียนส่วนใหญ่ก็ไม่พบอะไรในทางลับอยู่ดี ดังนั้นหากพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า พวกเขาก็จะหยุดไปเอง
หลังจากผ่านไปหลายวัน ความกระตือรือร้นที่ผลิบานของเหล่านักเรียนก็เกือบจะหมดลงแล้ว
เหลือนักเรียนที่มีเป้าหมายหนักแน่นเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่ยังจะไปเล่นซ่อนหากับโกเลมในทางลับ
อย่างไรก็ตาม เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตต่างแสดงสีหน้าวิตกตั้งแต่ต้นจนจบ
…
หลังจากที่ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ให้การบ้านมากกว่าเดิมสองเท่า คาบเรียนวิชาอัญเชิญก็จบลง
และในที่สุด นักเรียนชั้นปีหนึ่งก็เข้าสู่คาบเรียนเวทมนตร์พื้นฐานที่รอคอยมาเนิ่นนาน!
พวกเขาระงับความไม่พอใจที่มีการบ้านเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าลงชั่วคราว จากนั้นก็นำถุงกระดาษทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กออกมารอในห้องเรียนทฤษฎีเวทมนตร์ตั้งแต่เนิ่น ๆ
ศาสตราจารย์เคเซอร์เดินเข้ามาในห้องเรียนตรงเวลา และพูดอย่างติดตลกกับนักเรียนว่า “ดูเหมือนว่าทุกคนจะมีคะแนนกันเยอะเลยนะเนี่ย พวกเธอหลายคนเล่นขนอุปกรณ์การทดลองมามากกว่าที่ฉันคาดไว้เสียอีก”
มันเป็นวัตถุดิบจำนวนมากจริง ๆ
ท้ายที่สุด วัตถุดิบของ คาถา [กระสุนเวทมนตร์] หนึ่งชิ้นก็มีราคาเพียงหนึ่งร้อยคะแนนเท่านั้น พวกนักเรียนจึงซื้อมาสำรองอีกสองชุดเพื่อป้องกันการล้มเหลว ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติ
นักเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้ทะเยอทะยานขนาดนั้น และความสามารถของพวกเขาก็ไม่อนุญาตให้พวกเขาทะเยอทะยานด้วยเช่นกัน
กล่าวโดยสรุป มันเป็นทางเลือกที่ค่อนข้างสมเหตุสมผล ที่จะเริ่มเรียนรู้จาก คาถา [กระสุนเวทมนตร์] แล้วค่อยพยายามเรียนรู้ คาถา [ผลักออก] คาถา [สกัดกั้น] ที่ยากกว่าและแพงกว่า หลังจากเชี่ยวชาญวิธีการประทับตราเวทมนตร์แล้ว
เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถสร้างการ์ดได้สำเร็จในชั้นเรียนอย่างน้อยหนึ่งใบ การนำวัตถุดิบสองหรือสามชุดมาด้วยถือเป็นการเดิมพันที่ปลอดภัย
เช่นเดียวกับไดแอนนาและโรส พวกเธอเอาวัตถุดิบของ คาถา [กระสุนเวทมนตร์] มาห้าชุดและวัตถุดิบของคาถา [ผลักออก] สามชุดรวมกันรวมกันเป็นหนึ่งพันหนึ่งร้อยคะแนน
สำหรับพวกเธอ นี่เป็นค่าใช้จ่ายครั้งใหญ่
ส่วนเอ็มม่าที่มีคะแนนมากมาย เธอเตรียมวัตถุดิบของ คาถา [กระสุนเวทมนตร์] สามชุด วัตถุดิบของคาถา [ผลักออก] สองชุด และวัตถุดิบของคาถา [สกัดกั้น] หนึ่งชุด
แน่นอนว่ายังมีคนที่คะแนนพุ่งพรวดเช่นเวอร์เธอร์ที่ซื้อวัตถุดิบของคาถา [เคลื่อนย้ายในพริบตา] มาสองชุด
อย่างไรก็ตาม โรเบิร์ตที่อยู่ถัดจากเขาค่อนข้างยากจน เด็กชายซื้อวัตถุดิบ คาถา [กระสุนเวทมนตร์] สองชุดและวัตถุดิบคาถา [ผลักออก] หนึ่งชุดเท่านั้น
ไม่ว่าในกรณีใด เวอร์เธอร์ดูเหมือนตั้งใจที่จะสร้างคาถา [เคลื่อนย้ายในพริบตา]
…
ศาสตราจารย์เคเซอร์แค่มองดูก็รู้แล้วว่า นักเรียนแต่ละคนคิดอะไรอยู่
เขามีประสบการณ์การสอนมากมายและเกือบจะมองเห็นชะตากรรมของนักเรียนบางคนในทันที
แต่บางครั้งมันเป็นโอกาสของคนหนุ่มสาวที่จะจ่ายราคาเพื่อเรียนรู้บทเรียน
ซึ่งแตกต่างจากพวกเขา ผู้ที่อายุมากขึ้นจะสูญเสียโอกาสนี้ไปทีละน้อย
ร่องรอยของความอ้างว้างปรากฏบนใบหน้าของศาสตราจารย์เคเซอร์ แต่ไม่นานเขาก็กลับมายิ้มและตะโกนเสียงดัง “เอาล่ะ อย่างที่พวกเธอรู้ ในคาบเรียนนี้เราจะเรียนรู้วิธีการดั้งเดิมในการทำการ์ดเวทมนตร์ นั่นก็คือการ์ดเมจิกหมวดตราเวทมนตร์กัน!”
…
“ศาสตราจารย์รีบสอนเลย!”
“วัตถุดิบของผมบอกอยากถูกใช้แล้ว!”
“ยิงไปเลย กระสุนเวทมนตร์!”
โอ้ มีบางคนเพ้อฝันถึงช่วงเวลาที่พวกเขาใช้การ์ด [กระสุนเวทมนตร์] แล้ว
…
ในฐานะอาจารย์ มันเป็นเรื่องปกติที่อยากเห็นนักเรียนแสดงความกระตือรือร้นในห้องเรียน
ศาสตราจารย์เคเซอร์ไม่พูดอะไรอีก เขาเดินหน้าสอนต่ออย่างรวดเร็วไปยังส่วนของการประทับตรา
ก่อนจะให้รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการประทับตราเวทมนตร์ลงบนการ์ดเวทมนตร์เปล่า ขณะเขียนบนกระดานดำ
มีเสียง ‘เสียงกุกกัก’ ดังอยู่ใต้แท่น
ในเวลานี้เท่านั้น ที่นักเรียนไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลเลย
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา กระดานดำก็เต็มไปด้วยตัวอักษรหนาทึบ
แต่สิ่งเหล่านี้ยังคงไม่เพียงพอ
มีรายละเอียดมากมายเกินไปที่จะต้องใส่ใจในการประทับตราเวทมนตร์
และมันไม่ใช่สิ่งที่สามารถสอนได้ในคาบสองคาบ
นักเรียนต้องฝึกฝนด้วยตนเองแล้วค่อยถามคำถามเมื่อพบปัญหา ส่วนศาสตราจารย์ก็จะตอบคำถามทีละข้อในช่วงเวลาเรียน
สำหรับการทดลองแบบนี้ ถ้าแค่อ่านหนังสือโดยไม่มีคนคอยช่วยชี้แนะ มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสำเร็จ
…
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดก็มาถึงช่วงเวลาที่จะเริ่มทำการ์ด
นักเรียนเกือบทั้งหมดเริ่มต้นด้วย คาถา [กระสุนเวทมนตร์]
เนื่องจากนี่เป็นการ์ดเวทมนตร์พื้นฐานและเรียบง่ายที่สุด อีกทั้งยังเป็นการ์ดที่ต้องมีสำหรับผู้เริ่มต้น หากพวกเขาต้องการเชี่ยวชาญพื้นฐาน
ในเรื่องนี้ แม้แต่ดาร์กก็ไม่มีข้อยกเว้น
เขาตระหนักดีถึงความสำคัญของการเรียนรู้พื้นฐาน
ตึกจะสูงแค่ไหนก็ต้องสร้างฐานก่อน
ในหมู่นักเรียนทั้งหมด มีเพียงเวอร์เธอร์เท่านั้นที่พยายามจะพิชิตคาถา [เคลื่อนย้ายในพริบตา] ให้ได้ บางทีนี่อาจเป็นจิตวิญญาณของวีรบุรุษ
…
การสร้าง ‘การ์ดตราเวทมนตร์’ นั้นค่อนข้างคล้ายกับ ‘การ์ดน้ำยา’
หนึ่งในแกนหลักของทั้งสองคือการขัดเกลา ‘หมึก’
‘หมึก’ ของการ์ดน้ำยาจะเป็นยาที่เกี่ยวข้อง แต่การ์ดตราเวทมนตร์จำเป็นต้องกำหนดค่าด้วยหมึกที่แตกต่างกันตามตราเวทมนตร์แต่ละแบบ
ประสบการณ์ของดาร์กในด้านนี้แน่นกว่าของนักเรียนคนอื่น ๆ เขาใช้เวลาห้านาทีในการผลิตหมึกที่สอดคล้องกัน ซึ่งรูปร่างภายนอกของมันเป็นของเหลวที่ใกล้เคียงกับ ‘โคล่า’
สำหรับวิชาเวทมนตร์เราจะเรียกมันว่า ‘น้ำส่วนขยาย’
‘น้ำส่วนขยาย’ สร้างโดยมีหญ้าขยายเป็นตัวหลัก
ตราบใดที่พลังเวทมนตร์ถูกฉีดเข้าไป ‘น้ำส่วนขยาย’ ก็จะขยายตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จะพุ่งออกจากภาชนะเหมือนกับโคล่าตอนถูกเขย่า
ในระหว่างกระบวนการสร้าง จอมเวทฝึกหัดบางคนบังเอิญใส่พลังเวทมนตร์เข้าไปมากเกินไป ซึ่งกลายเป็นการไปกระตุ้นกลไกนี้ ทำให้ ‘น้ำส่วนขยาย’ พุ่งออกมาจากถ้วย สาดไปทั่วใบหน้าของพวกเขา
ตู้ม!
น้ำส่วนขยายของไดแอนนาก็พุ่งออกมาเช่นกัน
เธอตัวเปียกโชกทันที
ดาร์กเม้มริมฝีปากเล็กน้อย พยายามกลั้นหัวเราะ
โรสรีบหยิบผ้าเช็ดตัวที่เตรียมไว้มาช่วยไดแอนนาเช็ดตัว
นักเรียนที่อยู่ถัดจากพวกเธออยากจะหัวเราะ แต่เพราะความฟุ้งซ่าน น้ำส่วนขยายของพวกเขาก็ระเบิดออกมาด้วยและเกิดเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ตามกันมาติด ๆ
เมื่อน้ำส่วนขยายพุ่งออกจากขวดของนักเรียนทีละคน ห้องเรียนก็ค่อย ๆ เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ครึกครื้น
เมื่อคนหนึ่งล้มเหลว คน ๆ นั้นจะถูกหัวเราะเยาะ
ถ้าสองคนล้มเหลว คนก็จะหัวเราะมากขึ้น
แต่ถ้าสิบหรือยี่สิบคนล้มเหลว ไม่มีใครหัวเราะได้แล้วในตอนนั้น
ดาร์กเปิดขั้นตอนของคาถา [กระสุนเวทมนตร์] ที่จดมาและเริ่มทำการประทับตราเวทมนตร์
ศาสตราจารย์เคเซอร์เดินมาอยู่ข้างหลังเขาโดยไม่รู้ตัว
นอกจากการผสมหมึกแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการประทับตราเวทมนตร์คือ เมื่อเขียนภาษาเวทมนตร์ด้วยปากกาพลังเวท ปริมาณกับความถี่ผันผวนของพลังเวทมนตร์ที่จำเป็นสำหรับแต่ละเส้นและแต่ละรูป จะต้องมีความแม่นยำและเสถียรพอ
นี่เป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับจอมเวทฝึกหัดที่เพิ่งปลุกพลังเวทมนตร์ของพวกเขาได้
ยิ่งระดับการ์ดตราเวทมนตร์สูงเท่าไหร่ ความต้องการในเรื่องนี้ก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
ในระหว่างกระบวนการสร้างการ์ดตราเวทมนตร์สำหรับผู้เริ่มต้น มากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของจอมเวทจะล้มเหลวลงตรงนี้
นี่เป็นครั้งแรกที่ดาร์กประทับตราเวทมนตร์ตามวิธีมาตรฐาน เพื่อที่จะสามารถเชี่ยวชาญมันได้โดยเร็วที่สุด เขาได้เตรียมการ์ดเวทมนต์สิบคะแนนจำนวนมากเป็นพิเศษ และพยายามประมาณห้าหรือหกครั้ง ก่อนจะเริ่มจารึกบนการ์ดเวทมนตร์ที่ผ่านกระบวนการมาแล้ว
ตราเวทมนตร์สามารถเขียนได้หลากหลายรูปแบบ
คาถา [กระสุนเวทมนตร์] ต้องการตารางมาตรฐานเก้าช่อง และจำเป็นต้องมีอักขระเก้าตัวเพื่อสร้างตราเวทมนตร์
แต่การเขียนอักขระทั้งเก้าตัวนี้เป็นอะไรที่เรียบง่าย
แน่นอนว่า ดาร์กระมัดระวังอย่างมากเช่นกัน เขาใช้เวลาสิบนาทีเต็มในการเขียนอักขระคาถาเวทมนตร์ทั้งเก้าตัว!
จนกระทั่งเขาทำสำเร็จ ศาสตราจารย์เคเซอร์ถึงจะพยักหน้าเล็กน้อยแล้วหันไปมองนักเรียนคนอื่น ๆ
…
เหล่าจอมเวทน้อยประเมินการสร้าง คาถา [กระสุนเวทมนตร์] ต่ำไป พวกเขาคิดว่ามันเป็นแค่ ‘การลอกเลียนแบบ’ และใคร ๆ ก็ทำได้
แต่พวกเขาไม่คิดเลยว่าตนเองจะล้มเหลวอย่างรวดเร็ว
ด้วยอัตราความล้มเหลวของคนบางคน อย่าว่าแต่วัตถุดิบสามชุดเลย ต่อให้มีสามสิบชุดก็ยังไม่เพียงพอ
โชคดีที่หลังจากความล้มเหลวครั้งแรก คนส่วนใหญ่ก็ได้เรียนรู้บทเรียนของพวกเขาและฝึกฝนการเขียนคาถา [กระสุนเวทมนตร์] ในกระดาษเปล่า
แม้ว่าผลของการฝึกบนกระดาษจะไม่ดีเท่ากับการฝึกฝนบนการ์ดเวทมนตร์เปล่า แต่ก็สามารถเพิ่มความชำนาญได้บ้าง
…
สำหรับขั้นตอนสุดท้ายของการทำการ์ดตราเวทมนตร์ สิ่งที่ต้องใช้คือวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 5 ที่เรียกว่า ‘วงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์ดิมีเทอร์’
ดิมีเทอร์เป็นหนึ่งในผู้ประดิษฐ์ภาษาเวทมนตร์ เธอได้คิดค้นอักขระเวทมนตร์ที่เป็นพื้นฐานของภาษาเวทมนตร์จำนวน 63 ตัว
…
หลังจากที่ดาร์กวาดวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 5 เสร็จ เขาก็ใส่วัตถุดิบหลักของคาถา [กระสุนเวทมนตร์] ลงไป จากนั้นขั้นตอนการขัดเกลาทั้งหมดก็จบลง
หลังจากรอประมาณสองนาที ในที่สุดการ์ดตราเวทมนตร์ก็ขัดเกลาเสร็จสิ้น
จากนั้นดาร์กก็ใช้ขั้นตอนเดียวกันเพื่อสร้างคาถา [กระสุนเวทมนตร์] ครั้งที่สอง คราวนี้ ความเร็วในการขัดเกลาเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และความชำนาญของเขาเพิ่มขึ้นอีก
เวลาผ่านไป
ดาร์กไม่ได้สนใจความคืบหน้าของนักเรียนคนอื่น ๆ เขาเริ่มขัดเกลาคาถา [ผลักออก] ทันที
คาถา [ผลักออก] มีขั้นตอนที่ยากกว่าคาถา [กระสุนเวทมนตร์] แม้ว่าเขาจะระมัดระวังมากพอแล้ว แต่อย่างไร เขาก็ยังล้มเหลวอยู่ครั้งหนึ่ง
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ท้อแท้ แต่ยังคงขัดเกลาการ์ดใบที่สองต่อไป
ในระหว่างการขัดเกลา ระฆังที่บ่งบอกว่าคาบเรียนจบลงแล้วก็ดังขึ้น
แต่ดาร์กไม่ได้สนใจ เขาดำเนินการทดลองต่อไป
เช่นเดียวกับนักเรียนส่วนใหญ่ในห้องเรียน
นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อมากสำหรับจอมเวทฝึกหัดที่มักอยากรีบออกไป เมื่อได้ยินเสียงระฆังสิ้นสุดคาบเรียน
แน่นอนว่า การขัดเกลาการ์ดเวทมนตร์นั้นมีเสน่ห์ที่สามารถดึงดูดใจผู้คนได้
เวลาจึงไหลผ่านไปอย่างช้า ๆ
ศาสตราจารย์เคเซอร์ก็ยังไม่ได้ออกจากห้องเรียนเช่นกัน
ภายใต้การแนะนำอย่างระมัดระวัง นักเรียนก็เริ่มสร้างคาถา [กระสุนเวทมนตร์] เสร็จสิ้นทีละคน
ในขณะที่นักเรียนเหล่านี้ได้รับความรู้สึกถึงความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แล้ว พวกเขาแต่ละคนต่างยิ้มออกมาอย่างดีใจ
บางคนออกจากห้องเรียน แต่บางคนก็อยู่ในห้องเรียนเพื่อสังเกตกระบวนการขัดเกลาของนักเรียนคนอื่นต่อไป
ในบรรดานักเรียนของบ้านอัศวินและบ้านขุนนาง มีนักเรียนสามคนที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนส่วนใหญ่
ดาร์ก เอ็มม่า และเวอร์เธอร์ ทั้งสามนั่งอยู่ในจุดที่เห็นได้ชัดเจนสามจุดในห้องเรียน และทุกคนก็จดจ่ออยู่กับผลงานของตัวเองมาก
ความคืบหน้าของเอ็มม่าไม่ได้ช้าไปกว่าดาร์กเลย
เธอซื้อวัตถุดิบคาถา [กระสุนเวทมนตร์] มาสามชุด ล้มเหลวในการสร้างไปครั้งหนึ่ง แต่อีกสองครั้งทำสำเร็จ
ตอนนี้เธอได้เริ่มศึกษาการขัดเกลาคาถา [ผลักออก] แล้ว
ตรงกันข้าม เวอร์เธอร์ กาวด์ยังคงมุ่งมั่นในการขัดเกลา [เคลื่อนย้ายในพริบตา]
แต่ดูเหมือนว่าเขากำลังอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างมาก คิ้วเด็กชายขมวดมุ่นราวกับต้องใช้ความคิดอยู่นาน ก่อนจะไปยังขั้นตอนต่อไปได้
นี่ก็เพราะวัตถุดิบของคาถา [เคลื่อนย้ายในพริบตา] มีมูลค่าถึงหนึ่งพันคะแนน!
แม้ว่าตอนงานเลี้ยงสวมหน้ากาก เขาจะได้ที่สองในตารางการแข่งชั้นปีหนึ่ง แต่เขาก็ซื้อวัตถุดิบของคาถา [เคลื่อนย้ายในพริบตา] ได้เพียงแค่สามชุดเท่านั้น
ปรากฏว่าแรงกดดันที่เขามีในระหว่างกระบวนการสร้างนั้นมีมากมหาศาล
และความประหม่านี้ก็ส่งผลไปถึงโรเบิร์ตที่อยู่ข้างกาย
โรเบิร์ตจ้องเขม็ง จนเผลอเกร็งนิ้วเท้าโดยไม่รู้ตัว
สำหรับตัวโรเบิร์ตเอง เขาได้เสียวัตถุดิบของคาถา [กระสุนเวทมนตร์] สองชุดและวัตถุดิบของคาถา [ผลักออก] หนึ่งชุดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
…
ยี่สิบแปดนาทีหลังจากระฆังจบคาบเรียนดังขึ้น
ในที่สุดดาร์กก็เสร็จสิ้นการขัดเกลาคาถา [ผลักออก]
ครั้งนี้ เขาได้เรียนรู้จากประสบการณ์ล้มเหลวครั้งแรกและไม่ทำพลาดอีก จนในที่สุดก็ประสบความสำเร็จตามที่คาดไว้
‘ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ฉันมีการ์ด [กระสุนเวทมนตร์] สองใบกับการ์ด [ผลักออก] หนึ่งใบ ส่วนการทดลองที่เหลือ ไว้ทำต่อในตอนบ่ายก็แล้วกัน’
‘อืม ดูเหมือนว่าเวอร์เธอร์จะขัดเกลาการ์ด [เคลื่อนย้ายในพริบตา] อยู่? หรือฉันควรจะใช้โอกาสนี้สังเกตดู บางทีฉันอาจจะได้รับประสบการณ์จากเขาบ้าง?’
ขณะที่ดาร์กเก็บวัตถุดิบ เขาก็หันไปมองเวอร์เธอร์ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของห้องเรียน
แต่โชคของเขาดูเหมือนจะไม่ค่อยดีนัก
เพราะขณะที่เขากำลังจะสังเกตมัน ก็มีข้อผิดพลาดบางอย่างเกิดขึ้นในกระบวนการขัดเกลาของเวอร์เธอร์
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพลังเวทมนตร์ที่ป้อนเข้าไปมากเกินไปหรือเพราะอย่างอื่น การ์ดเวทมนตร์ที่ยังอยู่ในกระบวนการขัดเกลาพลันระเบิดขึ้นทันที!
ตู้ม!
เวอร์เธอร์กระโดดถอยหลังทันที แสดงปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วมาก
แม้ว่าเขาจะล้มลงกับพื้นโดยมีเก้าอี้อยู่ข้างหลัง แต่เขาก็สามารถหลบแรงระเบิดได้
ทว่าโรเบิร์ตซึ่งอยู่ข้างเขากลับไม่โชคดีนัก
ควันดำจากการระเบิดของการ์ดเวทมนตร์พุ่งมาเกือบโดนหน้าเขาตรง ๆ
อย่างไรก็ตาม เขานั่งนิ่งกลายเป็นก้อนถ่านอย่างสมบูรณ์แบบ
ศาสตราจารย์เคเซอร์รีบก้าวเข้ามา และธาตุน้ำที่อัญเชิญออกมาก็ม้วนตัวพันรอบตัวโรเบิร์ตทันที
“โชคดีที่มันไม่ใช่อาการบาดเจ็บร้ายแรง มีเพียงผมของเขาที่ไหม้เกรียมเล็กน้อยเท่านั้น” ศาสตราจารย์เคเซอร์ถอนหายใจเบา ๆ และปล่อยให้ธาตุน้ำพาโรเบิร์ตออกจากห้องเรียน
“ฉันจะพาเขาไปห้องพยาบาล อย่าลืมทำความสะอาดห้องเรียนเมื่อพวกเธอออกไปด้วย”
…
อุบัติเหตุจากการทดลองนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและก็ได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เมื่อนักเรียนรู้สึกตัว ศาสตราจารย์เคเซอร์ก็พาโรเบิร์ตไปแล้ว
เวอร์เธอร์ซึ่งล้มลงกับพื้นดูจะตกตะลึง
…
“มันก็แค่อุบัติเหตุในการทดลอง”
เอ็มม่ามองดูแวบหนึ่งครั้งและทำการทดลองต่อ
…
‘มันก็แค่อุบัติเหตุในการทดลอง’
ดาร์กครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ
‘เขาน่าจะได้ประสบการณ์เพียงพอจากความล้มเหลวนี้ใช่ไหม?’
…
“มันก็แค่อุบัติเหตุในการทดลอง”
ไดแอนนาพึมพำ
“แต่ฉันไม่สามารถปล่อยให้มีอุบัติเหตุในการทดลองของฉันได้…”
“ดาร์ก! ดาร์ก! ช่วยฉันด้วย!”
…
ดาร์กไม่มีทางเลือกนอกจากเปิดโหมดสอน
ในขณะที่ไดแอนนาและโรสได้รับประโยชน์อย่างมาก ดาร์กก็ได้รับความรู้จากมุมมองใหม่ ซึ่งเป็นความเข้าใจเกี่ยวกับการสร้างคาถา [กระสุนเวทมนตร์]
ส่งผลให้เขาสามารถสะสมความรู้ได้มากขึ้น
บทที่ 135 อวยพรแด่ความรักที่สวยงาม
บทที่ 135 อวยพรแด่ความรักที่สวยงาม
เวลาบ่ายสามโมง
ดาร์กวาง ‘คู่มือการเลี้ยงโคนม’ ที่เขากำลังอ่านอยู่และยกกระถางหญ้าวัวไปที่โต๊ะ
โครงสร้างของหญ้าวัวนั้นคล้ายกับหญ้าแมวทั่วไปมาก นั่นคือมีลำต้นคล้ายเถาวัลย์ยื่นออกมาจากหางและปลูกในกระถาง
ตามที่ผู้ช่วยร้านบอก หญ้าวัวนี้มีนิสัยเชื่องมาก ชอบอยู่เงียบ ๆ และไม่ชอบเคลื่อนไหว จึงเหมาะที่จะเลี้ยงไว้ในหอพัก
แต่ถ้าดาร์กต้องการให้แน่ใจว่ามันสามารถผลิตนมได้ทุกวัน เขาจะต้องให้ยาพิเศษแก่มันอย่างต่อเนื่อง
ราคาน้ำยานั้นก็ใกล้เคียงกับน้ำยาที่ใช้ปลูกต้นไม้หนอนมาก ประมาณสามสิบคะแนนต่อขวด ซึ่งสามารถใช้ได้หนึ่งเดือน
ด้วยเหตุนี้ ดาร์กต้องใช้คะแนนจำนวนมากไปกับหญ้าและต้นไม้ในทุกเดือน
ดาร์กวางมือบนหัวหญ้าวัว และวัวตัวน้อยก็เงยหน้าขึ้นมา มันเอาเขาโค้งมนถูกับฝ่ามือของเขา ดูน่ารักมาก
สิ่งนี้ช่วยบรรเทาความรู้สึกผิดหวังในตอนแรกที่เขาพาวัวตัวน้อยเข้ามาในหอพัก
จากนั้นดาร์กก็เริ่มปฏิบัติตามคำแนะนำใน ‘คู่มือการเลี้ยงโคนม’ เพื่อลองรีดนมวัวตัวน้อยเป็นครั้งแรก
เนื่องจากหญ้าวัวเชื่องมาก กระบวนการทั้งหมดจึงค่อนข้างราบรื่น และรีดนมออกมาได้เพียงพอสำหรับหนึ่งถ้วย
นมจากหญ้าวัวเป็นนมโดยธรรมชาติ ไม่เพียงแต่ไม่มีสิ่งเจือปนมากเกินไป แต่ยังมีกลิ่นหอมตามธรรมชาติอีกด้วย
ดาร์กใช้นิ้วจุ่มเพื่อชิมรสชาติ และรู้สึกเหมือนว่ามันเป็นนมรสผลไม้แต่ไม่ได้หวานมาก
โดยทั่วไปแล้ว ถ้าเติมน้ำตาลลงไปนิดหน่อยก็จะกลายเป็นนมที่ดีมาก
“ดีมาก”
ดาร์กลูบหัววัวตัวน้อยอย่างชื่นชม
จากนั้นเขาก็เรียก [ชัคคารุ] ออกมา โดยใช้คาถาอัญเชิญปกติ
ต่อไปเป็นส่วนสำคัญแรกในการกำหนดมูลค่าของหญ้าวัว นั่นคือ นมจากหญ้าวัวสามารถหมักเป็นน้ำผลไม้ได้หรือไม่!
“ชัคคารุ ชัคคารุ~”
[ชัคคารุ] ซึ่งเพิ่งถูกอัญเชิญออกมา เหยียดคอออกมาถูมือของดาร์ก และดาร์กก็ลูบคางของมัน ส่วนหนึ่งของคอหดกลับไปกลับมา ดาร์กมองดูมันอย่างสบายใจ
ก่อนที่เขาจะอาศัยโอกาสนี้เทแก้วนมลงในรูบนกระดองของชัคคารุ
ในเวลาไม่ถึงสองนาที นมหนึ่งแก้วก็ถูกหมักจนเสร็จ
ดาร์กวางผลผลิตใหม่ลงบนโต๊ะ อัญเชิญรุกกี้เดวิมอนออกมา และใช้ช้อนเงินเล็ก ๆ ป้อนมัน
รุกกี้เดวิมอนอ้าปากและดื่มเข้าไป จากนั้นมันก็ทำหน้าอยากกินอีก
“เป็นยังไงบ้าง?” ดาร์กถามด้วยความเป็นห่วง
รุกกี้เดวิมอนส่ายหัว “รสชาติโอเคอยู่ แต่ไม่รู้สึกถึงเอฟเฟกต์ชัดเจนเลย มันน่าจะน้อยเกินไป”
ดาร์กจึงตักอีกช้อนเต็ม ๆ แล้วป้อนมันอีกครั้ง “พอไหม?”
รุกกี้เดวิมอน “เอาอีก เอาอีก”
ดาร์กป้อนอีกช้อน
รุกกี้เดวิมอน “เอาอีก เอาอีก”
ดาร์กป้อนอีกช้อน
รุกกี้เดวิมอน “เอาอีก เอาอีก”
…
เพียงชั่วพริบตา นมครึ่งแก้วก็หายไป และรุกกี้เดวิมอนยังคงขอเพิ่มอยู่
ใบหน้าของดาร์กมืดมนลง เขายัดช้อนเข้าปากมัน แล้วยกแก้วขึ้นมาจิบเองบ้าง
ทันใดนั้น ความหอมหวานที่อธิบายไม่ได้ก็ไหลอาบไปทั้งหัวใจ มันมีทั้งความกลมกล่อมของนมและความสดใหม่ของผลไม้ ผสมผสานกันอย่างวิเศษมาก
รสชาติที่ติดอยู่ในลำคอค่อย ๆ หลั่งไหลไปทั่วร่างกายของดาร์ก หัวใจของเขาเริ่มกระสับกระส่ายเล็กน้อย ตรงกันข้าม มือเท้าของเขาที่ตอนแรกยังคงเจ็บอยู่เนื่องมาจากการออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูงกลับค่อย ๆ ได้รับพลังเพิ่มขึ้น
ในตอนนั้นเอง ดาร์กจึงรู้ทันทีว่าผลของน้ำนมนี้น่าจะเป็นการเติมแรงกาย!
ต่อจากผลไม้สีน้ำเงินที่สามารถฟื้นฟูพลังเวทมนตร์ได้ และผลไม้ไม้สีขาวที่สามารถฟื้นฟูพลังชีวิตได้ ในที่สุด เขาก็ได้น้ำผลไม้ที่สามารถฟื้นฟูแรงกายแล้ว
เห็นได้ชัดว่านมนี้ไม่สามารถดื่มก่อนนอนได้ แต่เป็นตัวเลือกอาหารเสริมที่ดีหลังการออกกำลังกายในตอนเช้า
…
ดาร์กดื่มนมที่เหลืออยู่ในอึกเดียว และเริ่มการทดลองครั้งต่อไปอย่างมีไฟเต็มเปี่ยม
โดยพื้นฐานแล้ว เขาต้องการแน่ใจว่า ‘การออกดอกและออกผล’ เป็นไปได้สำหรับหญ้าแมวประเภทอื่นด้วย นี่ก็เพื่อให้หัวข้อการวิจัยสามารถดำเนินต่อไปได้
และมันง่ายมากที่จะตัดสินเรื่องนี้ ตราบใดที่เขาป้อนหญ้าวัวด้วย [มหาบาป] เพียงเล็กน้อย เขาก็จะสามารถเห็นผลคร่าว ๆ ได้
ดังนั้นเขาจึงยกหญ้าวัวออกไปไว้ที่ระเบียงและเปิดรั้วป้องกันต้นไม้หนอน เพื่อให้หญ้าวัวสามารถสัมผัสกับต้นหนอนได้
มีหนอนสองกิ่งบนต้นไม้หนอนซึ่งอยู่ในสภาพกึ่งอ่อนและกึ่งแข็ง
กิ่งหนอนด้านบนเก็บ [อัตตา] หนึ่งหน่วยที่ยังไม่ได้ใช้จนหมด
และกิ่งหนอนด้านล่างเก็บ [ราคะ] 1.5 หน่วยที่เขาดึงออกมาเมื่อวานนี้
เพราะเป้าหมายคือ [ผลแห่งราคะ] เขาจึงให้หญ้าวัวดูดกิ่งหนอนที่มี [ราคะ] เท่านั้น
[มหาบาป] ช่างมีเสน่ห์ล้นเหลือจริง ๆ หญ้าวัวแค่ลองเลียมันครั้งเดียว ถึงกับตกหลุมรักกิ่งหนอนในทันที มันแลบลิ้นสีชมพูออกมาแล้วดูดอย่างแรง
“เมี้ยว!”
ดาร์กอุ้มหญ้าแมวที่พยายามจะเข้าไปแย่ง และกอดมันไว้ในอ้อมแขนของเขา
ไม่กี่นาทีต่อมา สัญลักษณ์ [ราคะ] จาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนหัวหญ้าวัว และเกิดเป็นตุ่มขึ้นเล็กน้อย
สิ่งนี้ทำให้ดาร์กรู้สึกโล่งใจในทันที
จากนั้นเขาก็ดึง [ราคะ] 1.5 หน่วยที่เขาสามารถดึงออกมาได้ในวันนี้และป้อนหญ้าวัวผ่านกิ่งหนอน ส่วนนูนบนยอดหญ้าวัวก็งอกเป็นดอกตูมเล็ก ๆ
“วันนี้คือวันที่ 4 พฤศจิกายน”
ดาร์กเหลือบมองดูเวลา คาดการณ์เวลาที่หญ้าวัวจะออกผล
“ถ้ายังคงเป็นไปตามนี้ จะต้องใช้หกหน่วยในการออกดอกและเจ็ดหน่วยเพื่อให้ออกผล และต้องใช้ [ราคะ] อีกสี่หน่วย แต่เพราะดึงมหาบาปออกมาได้เพียง 1.5 หน่วยต่อวัน ก็จะต้องใช้เวลาสามวัน ซึ่งหมายความว่ามันจะเป็นวันอังคารหน้า!”
ดาร์กปิดรั้วป้องกันของต้นไม้หนอนอีกครั้งภายใต้สายตาที่สิ้นหวังของหญ้าแมว
เพียะ!
…
เช้าวันอาทิตย์
ดาร์กวางแผนเส้นทางและใช้เวลาเพิ่มอีกสิบห้านาทีสำหรับการวิ่งในตอนเช้า หลังจากวิ่งเสร็จ เขาก็อาบน้ำและดื่มนมสดใหม่หนึ่งแก้ว แล้วร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยพลังงานทันที
มันเป็นเวลาเดียวกันกับที่รุกกี้เดวิมอนบินมาส่งอาหารเช้า
ดาร์กไม่ได้ไปที่ห้องนั่งเล่น แต่ทานอาหารและอ่านหนังสือพิมพ์ในห้องนอนแทน
หลังจากอ่านหนังสือพิมพ์เสร็จ ผมของเขาก็เกือบจะแห้งแล้ว ทันเวลาต้อนรับเช้าที่สดใสด้วยลุคใหม่เอี่ยม
ตั้งแต่บ่ายวันนี้เป็นต้นไป ดาร์กจะเริ่มศึกษา ‘ภาษาเวทมนตร์’ ด้วยตัวเอง
ตารางเวลาชีวิตของดาร์กกลับมายุ่งและแน่นอีกครั้ง
การเริ่มต้นศึกษา ‘ภาษาเวทมนตร์’ นั้นไม่ใช่เรื่องยาก และกระบวนการเรียนรู้ของดาร์กเองก็ราบรื่น
ขณะที่นักเรียนชั้นปีเดียวกันกำลังเล่นหมากรุก ช็อปปิง สนุกสนานไปกับการผจญภัย เขาก็ซึมซับความรู้อยู่ตลอดเวลา
หากมีใครเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างแล้วได้ผล จนไปถึงเห็นความก้าวหน้าอย่างชัดเจนในแง่ความรู้ มันก็ชวนเสพติด (การเรียนรู้) ได้ง่ายมาก
เมื่อค้นพบความสนุกในการเรียน การเรียนและการเล่นก็ดูจะไม่ต่างกัน
…
ในคืนนั้นเอง
มีข่าวดีออกมาจากปราสาท
คู่รักทั้งเจ็ดคนที่อารมณ์และความทรงจำถูกเทพธิดาแห่งจันทราพรากไป ในที่สุดก็ฟื้นตัวเต็มที่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของซิสเตอร์คาไลด์!
คู่รักทั้งเจ็ดที่เดินออกจากห้องพยาบาลต่างรู้สึกประทับใจหลังจากได้รู้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับคู่รักของตนได้รับการ ‘รับรองโดยเทพธิดา’ และความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปโดยปริยาย
เดิมที ความรักในวัยเรียนนั้นมองไปที่ ‘ปัจจุบัน’ มากกว่า และขาดการพิจารณาถึง ‘อนาคต’ ดังนั้นมันยากที่จะไปรอดจนถึงในตอนสุดท้าย
แม้ว่าพวกเขาจะชอบกันในตอนแรก แต่มันก็ง่ายที่จะสงสัยในตัวเองและอีกฝ่ายด้วยเหตุผลต่าง ๆ ในภายหลัง แล้วความสัมพันธ์ก็จะค่อย ๆ แย่ลงซึ่งนำไปสู่การเลิกราในที่สุด
เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหมือนสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้พวกเขา และมันอาจช่วยให้พวกเขาไปถึงจุดหมายได้จริง ๆ
“โชคดีกับโชคร้ายมักมาคู่กันเสมอ” ซิสเตอร์คาไลด์พิงประตู เธออวยพรให้กับความรักที่สวยงามของเด็ก ๆ
บทที่ 134 สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของดาร์ก เดม่อน
บทที่ 134 สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของดาร์ก เดม่อน
ผู้ช่วยร้านของร้านต้นไม้และดอกไม้คิตตี้นั้นอายุยี่สิบต้น ๆ ผมของเธอถูกมัดด้วยยางรัดผมด้านหลังศีรษะ โดยเหลือปอยผมสองข้างไว้ เธอมักสวมผ้ากันเปื้อนและถุงมือ ทำให้ภาพที่ออกมาดูเป็นหญิงสาวธรรมดา ๆ คนหนึ่ง
นักเรียนชอบเรียกเธอว่า มิสแคท
มิสแคทมีความประทับใจที่ดีกับเด็กชายผมบลอนด์
อันที่จริงเธอมีความจำที่ดีมาก ถ้าใครซื้อหญ้าแมวในร้านของเธอ เธอจะจำได้
เมื่อเห็นดาร์กกำลังมีความสุขอยู่กับการลูบแมว และไม่สามารถหยุดตัวเองได้ เธอก็ไม่มีใจจะไปรบกวนเขา เพียงแค่มองเขาอย่างเข้าอกเข้าใจเท่านั้น
หญ้าแมวเป็นของขวัญจากสวรรค์ และเธอก็ชอบคนที่ชอบหญ้าแมว
…
หลังจากลูบหญ้าแมวจนเวลาล่วงเลยไปสักพักใหญ่ ดาร์กก็วางแมวลงจากตักอย่างไม่เต็มใจ
ในบรรดาหญ้าแมวที่จัดแสดงอยู่นอกร้านนั้น มีเพียงไม่กี่แบบเท่านั้นที่ไม่ใช่แมว
หญ้าแมวเหล่านี้ค่อนข้างเป็นที่นิยม แต่ดาร์กต้องการหญ้าแมวประเภทอื่นเพื่อใช้อ้างอิงในการทดลอง
ปริมาณ [ผลแห่งอัตตา] เหลืออยู่ไม่มากนัก ดังนั้นเป้าหมายทดลองต่อไปควรเป็น [ผลแห่งราคะ]
สัตว์ที่เข้าคู่กับ [ราคะ] และดวงจันทร์นั้นควรจะเป็นจิ้งจอก หมาป่า กระต่าย… หรือแวมไพร์ ซัคคิวบัส?
โดยคำนึงถึงปัจจัยการเลี้ยงในหอพัก มันควรเป็นประเภทที่มีขนาดตัวเล็กและเงียบ
ตัวอย่างเช่น หญ้ากระต่าย?
อันที่จริง หญ้ากระต่ายก็เป็นตัวเลือกที่ดี
เงียบและขี้อาย
ทั้งยังเลี้ยงง่าย
ไม่ว่าจะในตำนานหรือเรื่องเล่า หรือในโลกของมอนสเตอร์จากพวกอนิเมะ ก็มีอยู่สองสามสายพันธุ์ที่มีพื้นฐานมาจากกระต่าย
แน่นอนว่าดาร์กมีความคิดของตัวเอง
อันที่จริง เขาสนใจไดอาเนียส เทพีแห่งดวงจันทร์จากโลกมอนสเตอร์ดิจิทัลมาก
ลูฮาร์ ร่างเริ่มต้นของไดอาเนียสนั้นก็มีพื้นฐานมาจากกระต่าย
ตรงข้ามกับอพอลโลนีอัส เทพแห่งดวงอาทิตย์ในโลกมอนสเตอร์ดิจิทัล
แม้ว่า [แคทมอน] จะถูกสร้างขึ้นโดยใช้ [ผลแห่งอัตตา] แต่ดาร์กก็ยังคงเพ้อฝันถึงอพอลโลนีอัส
ไดอาเนียสและอพอลโลนีอัสเป็นสัญลักษณ์ของ ‘ดวงจันทร์’ และ ‘ดวงอาทิตย์’ ตามลำดับ ไม่เพียงแต่เป็นมอนสเตอร์ดิจิทัลระดับเมก้าเท่านั้น แต่ยังสามารถวิวัฒนาการฟิวชั่นเป็น [เดอะโนวา] ได้ด้วย
ถ้าหากดาร์กสามารถใช้ [ผลแห่งราคะ] กับ [ผลแห่งอัตตา] ขัดเกลา ‘เทพีแห่งดวงจันทร์’ และ ‘เทพแห่งดวงอาทิตย์’ ได้ ผลลัพธ์ของการวิเคราะห์มหาบาปก็จะไม่ธรรมดาเช่นกัน!
…
นอกจากนี้ ในโลกของมอนสเตอร์ขนาดพกพายังมี ‘สัตว์อสูรดวงจันทร์’ และ ‘สัตว์อสูรดวงอาทิตย์’
พวกมันคือ ‘ผู้ส่งสารของดวงจันทร์’ ลูนาอัลซึ่งมีพื้นฐานมาจากค้างคาว และ ‘ผู้ส่งสารของดวงอาทิตย์’ โซลกาลันซึ่งมีพื้นฐานมาจากสิงโต
…
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงจินตนาการของดาร์กเท่านั้น
จากครั้งก่อน ดาร์กไม่พบหญ้ากระต่ายในห้องลับของผู้ช่วยร้าน เพราะงั้นตอนนี้ทุกอย่างจึงยังไม่แน่นอน
หลังจากที่ดาร์กวางหญ้าแมวลง เขาก็ไปหาผู้ช่วยร้าน “มิสแคท ผมอยากได้หญ้าแมวชนิดอื่น ช่วยพาไปดูผลงานใหม่ ๆ หน่อยได้ไหมครับ?”
แน่นอนว่าผู้ช่วยร้านไม่ปฏิเสธ “ได้สิ ว่าแต่หญ้าแมวในหอพักของเธอเป็นยังไงบ้าง”
ดาร์กยิ้ม “สุขภาพดีมากครับ”
ผู้ช่วยร้านหันหลังกลับและพาดาร์กไปที่ห้องลับเมื่อครั้งก่อน
แม้ว่าจะเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งแล้ว แต่ดาร์กก็ยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของห้องลับนี้ได้
มีหญ้าแมวมากกว่าครั้งล่าสุดที่ดาร์กเข้ามา และพวกมันก็ถูกวางอยู่ภายในห้องอย่างหนาแน่น
ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ ปลาทองตัวใหญ่นั่นเอง!
ดูท่าว่าผู้ช่วยร้านคงดูแลปลาทองเป็นอย่างดี เพราะมันโตขึ้นและอ้วนขึ้นเรื่อย ๆ!
หญ้าแมวที่อยู่รอบ ๆ ปลาทองก็แข็งแรงเช่นกัน
ดาร์กพยายามกดความรู้สึกไม่สบายใจลงไป และมองกองหญ้าแมวที่ละลานตาตรงหน้า
ผู้ช่วยร้านกำลังมีความสุข “เธอคิดว่าไง? เสียงตอบรับครั้งล่าสุดของลูกค้านั้นดีมาก เราเลยเพิ่มผลงานที่ได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติม ตัวอย่างเช่น หญ้าวัว ตอนนี้มันไม่เพียงแต่เป็นสัตว์เลี้ยงเท่านั้น แต่มันยังสามารถผลิตน้ำผลไม้ได้ด้วย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการดื่มนมทุกวัน”
“น… น้ำผลไม้เหรองั้นเหรอครับ?”
เปลือกตาของดาร์กกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ หญ้าแมวในกระถางที่ผู้ช่วยร้านชี้ไปเป็นวัวตัวเตี้ยเท่าเข่า เช่นเดียวกับน้ำผลไม้ที่เธอพูดถึง…
ดาร์กอดไม่ได้ที่จะพึมพำว่า “บางทีมันอาจจะใช้ทำเหยือกนมใบใหญ่ก็ได้”
ผู้ช่วยร้าน “ว่าไงนะ?”
ดาร์ก “เปล่า เปล่าครับ ผมสงสัยว่าทำไมถึงไม่มีประเภทอย่างพวกหญ้ากระต่ายที่หลายคนต้องชอบอย่างแน่นอนล่ะ?”
ผู้ช่วยร้านค้าตอบอย่างเขินอาย “มันยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาน่ะ… แต่จริง ๆ แล้ว เรายังแก้ปัญหาที่หญ้ากระต่ายกลัวจนตายง่าย ๆ จากเสียงเดซิเบลสูงไม่ได้เลย”
ดาร์กตะลึง “จริงเหรอครับ?”
ผู้ช่วยร้านยักไหล่ “ก็นะ ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นหญ้าแมวประเภทที่ขี้กลัวนี่นา”
ดาร์กครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าแก้ไขปัญหานี้ได้แล้ว ผมขอสั่งซื้อได้ไหมครับ?”
ผู้ช่วยร้านตอบอย่างมีความสุข “แน่นอน เธอสั่งไว้ได้”
ดาร์กตรวจสอบห้องลับอยู่พักหนึ่ง แล้วสงสัยว่า “มีหญ้าแมวพันธุ์สิงโตไหมครับ?”
ผู้ช่วยร้านตอบ “เราก็ยังแก้ปัญหาหญ้าสิงโตกัดคนไม่ได้น่ะ”
ดาร์ก “โอะ…โอเคครับ… ผมจะสั่งจองมันล่วงหน้าด้วย”
…
สิ่งต่าง ๆ ไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นอย่างที่ดาร์กคิดไว้
สิ่งที่เรียกว่าผลงานการทดสอบนั้นเกือบเท่ากับผลงานที่ไม่สมบูรณ์แบบ หรือเรียกว่าผลงานที่ล้มเหลวเลยด้วยซ้ำ
อย่าว่าแต่หญ้ากระต่ายและหญ้าสิงโตที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาเลย หญ้าแมวส่วนใหญ่ในห้องลับนี้ล้วนมีข้อบกพร่องทางชีวภาพทั้งสิ้น
เพราะพวกมันยังไม่โตเต็มที่เหมือนหญ้าแมวแบบดั้งเดิม
ในหมู่พวกมัน ตัวที่มีลักษณะทางชีววิทยาที่สมบูรณ์กลับเป็นประเภทที่ทำให้คนพูดไม่ออก
เช่นปลาทองที่โดดเด่นที่สุด กับวัวที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้
สรุปแล้ว
ไม่มีสุนัขจิ้งจอก ไม่มีกระต่าย ไม่มีค้างคาว
แต่มีสุนัขกับหนู
สุนัขเป็นลูกสุนัขที่คล้ายกับอิงลิชบูลด็อก
ส่วนหนูเป็นกระแตที่มีขนสีน้ำตาล
ภายใต้ความจริงที่ว่าดาร์กมีหญ้าแมวอยู่ที่หอพักแล้ว มันจึงยากที่จะจินตนาการได้ว่า โศกนาฏกรรมอะไรจะเกิดขึ้นหากยัดลูกสุนัขกับลูกกระแตเข้าไปในห้องพักของเขา
ส่วนปลาทองตัวนั้นมันน่าขนลุกเกินไป
และเขาก็ไม่อยากเลี้ยงลูกวัวในหอพักด้วย
ไม่ต้องพูดถึงหญ้าแมงมุมและหญ้าแมงป่อง แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว!
เมื่อเขามีห้องชมรมของตัวเองในอนาคต เขาอาจจะพิจารณาสิ่งเหล่านี้ แต่ถ้าจะเก็บพวกมันไว้ในหอพักก็คงเป็นเรื่องยากเกินไปจริง ๆ
‘แล้ววัวน้อยตัวนั้นล่ะ?”
‘บางทีมันอาจสามารถปลูกให้เป็นถังนมขนาดใหญ่ได้จริง ๆ นะ?’
‘และน้ำผลไม้ที่ผลิตจากหญ้าวัวก็สามารถใส่ลงในชัคคารุเพื่อทำการหมักซ้ำได้ บางทีมันอาจจะผลิตน้ำผลไม้ที่มีเอฟเฟกต์พิเศษได้?’
‘พอคิดแบบนี้แล้ว จู่ ๆ ก็คิดว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนั้นเลยนะ!’
‘ยิ่งไปกว่านั้น หญ้าแมวก็ยังไม่โต และวัวตัวน้อยตัวนี้ก็สูงแค่เข่า การเลี้ยงวัวไว้ก็ไม่เลวเหมือนกัน’
ดาร์กพยายามโน้มน้าวตัวเองสุดฤทธิ์ จากนั้นเมื่อพิจารณาถึงกลยุทธ์การพัฒนาอย่างยั่งยืนแล้ว การตัดสินใจขั้นสุดท้ายก็เกิดขึ้น
…
“ถ้าการพัฒนาหญ้ากระต่ายเสร็จแล้ว อย่าลืมเก็บไว้ให้ผมตัวหนึ่งด้วยนะครับ!”
หลังจากที่ดาร์กยืนยันการสั่งซื้อล่วงหน้ากับผู้ช่วยร้านอีกครั้ง เขาก็กลับไปที่หอพักพร้อมกระถางหญ้าวัว
บทที่ 133 การพัฒนาระบบชีวภาพมหาบาปเริ่มต้นขึ้น
บทที่ 133 การพัฒนาระบบชีวภาพมหาบาปเริ่มต้นขึ้น
นับตั้งแต่ที่ดาร์กรู้ว่าเก้าอี้หินที่อยู่ใจกลางทะเลสาบเป็นหนึ่งในจุดเคลื่อนย้ายหลัก เขาก็อยากจะสัมผัสความรู้สึกของ ‘การจั๊ม’ บ้าง
แต่อย่างที่คาดไว้ นอกจากอาการวิงเวียนศีรษะที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนที่เป็นวงกลมแล้ว ก็ไม่มีความรู้สึกอื่นใดอีก
เขาหยิกต้นขาตัวเองให้เจ็บ แล้วบังคับตัวเองให้เริ่มเดิน
“อย่างแรกเลยคือ วัตถุดิบที่จำเป็นในการสร้างคาถาทั่วไปทั้งห้า…”
ดาร์กหยิบสมุดบันทึกของเขาออกมา ซึ่งได้บันทึกรายการวัตถุดิบไว้อย่างละเอียด
นอกจากคาถา [เคลื่อนย้ายในพริบตา] ที่ต้องการการ์ดเวทมนตร์เปล่าราคาห้าสิบคะแนนในการสร้างแล้ว อีกสี่คาถาก็ต้องการเพียงการ์ดเวทมนตร์เปล่าราคาสิบคะแนนเท่านั้น
นอกจากนี้ คาถาทั่วไปทั้งห้านี้ยังมีอัตราส่วนของวัตถุดิบพื้นฐานคล้ายคลึงกันมาก และของเหล่านั้นก็สามารถใช้ร่วมกันได้
ความยากอยู่ในส่วนที่ไม่ใช่วัตถุดิบพื้นฐาน
นั่นคือ ‘หมึก’ พิเศษที่ใช้เทลงในปากกาพลังเวทและใช้เขียน ‘ภาษาเวทมนตร์’
และวัตถุดิบหลักที่ทำให้การ์ดเวทมนตร์มีคุณสมบัติพิเศษ
ตามที่ดาร์กคาดการณ์ไว้ คะแนนที่จำเป็นในการซื้อวัตถุดิบผลิตการ์ดเวทมนตร์ทั้งห้าอย่างคร่าว ๆ มีดังนี้
1. กระสุนเวทมนตร์: ร้อยคะแนน
2. ผลักออก: สองร้อยคะแนน
3. สกัดกั้น: สามร้อยคะแนน
4. พรางตา: สี่ร้อยคะแนน
5. เคลื่อนย้ายในพริบตา: หนึ่งพันคะแนน
ในหมู่พวกมัน ความยากในการสร้าง [เคลื่อนย้ายในพริบตา] นั้นสูงกว่าอีกสี่คาถาเกินหนึ่งขั้นอย่างเห็นได้ชัด
วัตถุดิบที่จำเป็นในการสร้างคาถา [เคลื่อนย้ายในพริบตา] ก็มีราคาแพงมากเช่นกัน
นักเรียนต้องเลือกการ์ดเวทมนตร์ที่เหมาะสมกับตัวเอง คือการสร้างตามงบ ตามความสามารถ และต้องสร้างมันให้สำเร็จภายในคาบวิชาเวทมนตร์พื้นฐานในวันจันทร์
แน่นอน จุดประสงค์หลักของชั้นเรียนนี้คือการเรียนรู้วิธีการจารึกคาถาลงบนการ์ดเวทมนตร์
ตราบใดที่นักเรียนเรียนรู้ขั้นตอนสำคัญนี้ได้ พวกเขาก็สามารถขัดเกลาการ์ดเวทมนตร์อื่น ๆ ต่อไปได้ตามความต้องการ
…
เดิมที ดาร์กต้องการลองซื้อชุดวัตถุดิบทั้งชุดโดยตรงจากร้านนักเดินทางสายลม แต่เจ้าของร้านบอกเขาว่าทางสถาบันได้สั่งห้ามไม่ให้เขาเจาะจงขายชุดวัตถุดิบเฉพาะ…
‘ดูเหมือนว่าพวกเขาอยากจะทดสอบความสามารถของนักเรียนในการระบุ รวบรวม และซื้อวัตถุดิบสินะ’
ดาร์กส่ายหัวแล้วเริ่มช็อปปิงไปทั่ว
มีนักเรียนไม่กี่คนที่มาซื้อวัตถุดิบและเจอความเจ็บปวดเช่นเดียวกับเขา บ่อยครั้งที่ดาร์กได้พบกับเพื่อนร่วมชั้นที่มีจุดประสงค์เดียวกับเขา หลังจากเข้าไปในร้านแห่งหนึ่ง
แต่ถึงอย่างนั้น ดูเหมือนว่านักเรียนทุกคนต่างก็มีคะแนนไม่พอ ทำให้มีสีหน้าเศร้าสร้อยตาม ๆ กันมา
ดาร์กเหลือบมองคะแนนของตนเอง อันที่จริง เขาก็มีคะแนนไม่พอเช่นกัน ดังนั้นจึงต้องซื้อวัตถุดิบ [เคลื่อนย้ายในพริบตา] เพียงชุดเดียวและวัตถุดิบของอีกสี่คาถาที่เหลืออย่างละสองชุด
ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่า พวกเขาจะประสบความสำเร็จในการขัดเกลาครั้งแรก
ความจริงคือ ดาร์กทดลองล้มเหลวอยู่หลายครั้งเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงซื้อสำรองเพิ่มเติมไว้
หลังจากที่เตรียมวัตถุดิบทั้งหมดเสร็จ ดวงอาทิตย์ก็เริ่มลาลับขอบฟ้าแล้ว
ดาร์กกลับมาพร้อมกับถุงมากมาย ทำให้เพื่อนร่วมชั้นที่เจอภาพนี้ถึงกับอิจฉาบ้างเป็นครั้งคราว
หลังทานอาหาร ดาร์กซึ่งเก็บข้าวของไว้ในหอพักแล้วก็มุ่งไปยังถนนนักเดินทางอีกครั้ง
แม้ว่าคืนนี้ถนนนักเดินทางจะยังคึกคักอยู่ แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามีคนน้อยกว่าเมื่อก่อน อันที่จริงมันก็เป็นเรื่องปกติ
ท้ายที่สุด นักเรียนปีหนึ่งบางคนกำลังนอนอยู่ในหอพัก และนักเรียนบางคนก็กำลังยุ่งกับการบ้าน
อีกทั้งยังมีนักเรียนบางคนที่ยังคงเสพติดการผจญภัยในทางลับอยู่
กลยุทธ์ของอาจารย์ค่อนข้างได้ผล เพราะคนไปสำรวจทางลับน้อยกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด
…
เมื่อเทียบกับตอนเที่ยงแล้ว นักเรียนในปีเดียวกับเขาจะออกมาหลังช่วงอาหารเย็นมากกว่า
ทว่าเอ็มม่ากับเด็กหญิงส่วนใหญ่ของบ้านนักปราชญ์ ไม่ได้อยู่ในหมู่พวกเขา เห็นได้ชัดว่าพวกเธอยังไม่หายดี เนื่องจากคาบวิชาประลองที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ไดแอนนาก็ยังอยู่ในหอพักอย่างเชื่อฟังเพราะเธอต้องดูแลโรส
ดาร์กรู้สึกขอบคุณสำหรับเรื่องนั้น
มากเสียจนเขามีรอยยิ้มบนใบหน้า เมื่อได้พบกับเวอร์เธอร์และโรเบิร์ต
“สายัณห์สวัสดิ์ ดาร์ก”
เวอร์เธอร์ทักทายตามปกติ “นายมาที่นี่เพื่อซื้อวัตถุดิบเหรอ?”
ดาร์กพยักหน้าเล็กน้อย “ใช่ นายด้วยเหรอ?”
เวอร์เธอร์ยิ้ม “แน่นอน การฝึกฝนของศาสตราจารย์โจนส์มันหนักมากเลย ถ้าฉันมีร่างกายแบบโรเบิร์ตละก็นะ”
โรเบิร์ตภูมิใจเล็กน้อย “มันยังง่ายเกินไปด้วยซ้ำ”
เวอร์เธอร์เสริม “ฉันว่าจะซื้อวัตถุดิบ [เคลื่อนย้ายในพริบตา] แต่ก็กลัวว่าการทดลองจะล้มเหลว”
ดาร์กตอบ “ซื้อมันเถอะ ความล้มเหลวไม่ใช่เรื่องแย่ ตราบใดที่นายสามารถเรียนรู้จากความล้มเหลว จะสูญเสียเท่าไหร่มันก็คุ้มค่า”
เวอร์เธอร์มั่นใจขึ้น “ถ้านายว่าแบบนั้นฉันก็โล่งใจแล้ว”
…
เวอร์เธอร์กับโรเบิร์ตจึงไปซื้อวัตถุดิบสำหรับทำการ์ดเวทมนตร์
ส่วนดาร์กก็ไปซื้อวัตถุดิบสำหรับการ์ด [กรงต้องสาป] และการ์ด [ฟิวชั่น]
ทั้ง [กรงต้องสาป] และ [ฟิวชั่น] ต่างก็อยู่ในหมวดหมู่การ์ดเวทมนตร์ระดับสูง และพวกมันก็เป็นการ์ดเวทมนตร์พิเศษที่มีการ์ดวิญญาณเป็นฐาน
เมื่อใช้ [กรงต้องสาป] ก็จะสามารถผนึกรูปแบบชีวิตเทียม เช่น วิญญาณรับใช้และโกเลมได้ชั่วคราว แถมยังใช้พวกมันเป็นการ์ดวิญญาณ (สปิริต) ได้
ส่วนการ์ด [ฟิวชั่น] จะทำให้สปิริตตั้งแต่สองตัวขึ้นไปสามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้
ความยากในการทำการ์ดเวทมนตร์สองใบนี้สูงมาก และราคาวัตถุดิบก็มากกว่าหนึ่งพันห้าร้อยคะแนน
แม้ว่าดาร์กจะหาสูตรสำหรับการ์ดเวทมนตร์สองใบจาก ‘การใช้กรงต้องสาปมหัศจรรย์สามพันแบบ’ และ ‘ว่าด้วยลักษณะพิเศษของกลุ่มการ์ดหมวดฟิวชั่น’ มาแล้ว แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถขัดเกลาการ์ดเหล่านี้ได้สำเร็จ
เพื่อที่จะสร้างการ์ดเวทมนตร์ทั้งสองใบให้นี้สำเร็จ เขายังต้องศึกษา ‘ภาษาเวทมนตร์’ ด้วยตัวเอง
ส่วนการซื้อวัตถุดิบล่วงหน้าก็เป็นเพียงการทำให้เขาสามารถเริ่มการทดลองได้ทุกเมื่อเท่านั้น
แต่วัตถุดิบสำหรับการ์ดเวทมนตร์ทั้งสองนั้นหายากมาก และดาร์กก็ต้องค้นหาต่อไปในวันรุ่งขึ้น
จนกระทั่งเที่ยงวันเสาร์ ดาร์กถึงรวบรวมวัตถุดิบสำหรับการ์ดเวทมนตร์ทั้งสองใบได้
หลังอาหารกลางวัน
ดาร์กมาที่ร้านดอกไม้และต้นไม้คิตตี้
“วัตถุดิบในการสร้างการ์ดเวทมนตร์ที่จำเป็นก็รวบรวมมาแล้ว เพราะงั้นตอนนี้ฉันสามารถเริ่มค้นคว้าระบบการ์ดของฉันเองได้แล้ว!”
ความสำเร็จของ [แคทมอน] เป็นแรงบันดาลใจให้ดาร์กอย่างมาก
ในความเห็นของเขา หญ้าแมวมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าเครื่องมือเล่นแร่แปรธาตุระดับสูง
โดยทั่วไปแล้ว หลังจากปลูก [มหาบาป] ให้เป็น ‘ผล’ ผ่านหญ้าแมวแล้ว [ผลแห่งมหาบาป] อาจมีลักษณะทางชีวภาพบางอย่าง
ตัวอย่างเช่น
[อัตตา] + [หญ้าแมว (แมว)] = [ผลแห่งอัตตา (แมว)]
มันสามารถใช้ขัดเกลาสปิริตประเภทแมวได้
แต่ถ้าใช้หญ้าแมวชนิดอื่นล่ะ?
ตัวอย่างเช่น
[โทสะ] + [หญ้าแมว (ปลาคาร์ป)] = [ผลแห่งโทสะ (ปลาคาร์ป)]
[ผลแห่งโทสะ (ปลาคาร์ป)] นี้สามารถใช้สร้างปลาคาร์ปที่วิวัฒนาการผ่าน [โทสะ] ได้หรือไม่?
หรือ [ผลแห่งโลภะ (แมว)] สามารถใช้ขัดเกลาแมวที่วิวัฒนาการผ่าน [โลภะ] ได้หรือไม่?
…
การค้นหาสิ่งแปลกใหม่นี้ช่างน่าทึ่ง
และความกระตือรือร้นของดาร์กที่มีต่อการวิจัยประเภทนี้ก็สูงกว่าคนอื่น ๆ อย่างชัดเจน
ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในร้านดอกไม้และต้นไม้คิตตี้
นอกจากนี้ ยังมีหญ้าแมวอีกหลายสายพันธุ์ในร้าน
ตามที่ผู้ช่วยร้านบอก สายพันธุ์อื่น ๆ เหล่านั้นเป็นประเภทที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า
‘งูเห่าที่ฉันเห็นก่อนหน้านี้หายไปแล้วเหรอ? มันถูกเก็บกลับไปหรือมีคนซื้อไปแล้วกัน?’
ดาร์กหมุนตัวมองไปรอบ ๆ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะก้มไปอุ้มแร็กดอลล์ขึ้นมาลูบ
“เมี้ยว~”
การลูบหญ้าแมวเป็นสิ่งที่ชวนเสพติดจริง ๆ
บทที่ 132 ลางวิกฤตของสถาบันเซนต์แมเรียน
บทที่ 132 ลางวิกฤตของสถาบันเซนต์แมเรียน
ในเวลากลางคืนและเข็มสั้นชี้ไปที่เลขสิบ
เมื่อดาร์กออกมาจากห้องสมุด เขาก็พบกับผู้คนจำนวนมากที่กลับมาจากทางลับ มีสปิริตอัดแน่นอยู่เต็มท้องฟ้า เร่งเร้าให้นักเรียนกลับไปที่หอพักราวกับว่ากำลังคุ้มกันนักโทษ
‘ความกระตือรือร้นพวกนี้ เมื่อไหร่จะผ่านพ้นไปนะ?’ ดาร์กส่ายหัว จากนั้นหันไปทางหน้าต่าง และรอให้ฝูงชนเดินผ่านไป
แสงจันทร์ไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่นิด มันยังคงบริสุทธิ์และใสสะอาดราวกับน้ำ
ดาร์กเงยหน้าขึ้น และเห็นเวอร์เธอร์กับโรเบิร์ตวิ่งผ่านสะพานด้านนอกไปพอดี
“ฉันจำได้ว่าครั้งล่าสุดก็เป็นตรงนี้หลังจากคาบดาราศาสตร์นี่?”
ความทรงจำเลือนรางแวบเข้ามาในหัวของดาร์ก แต่แล้วเขาก็ส่ายหัวทันที
…
วันถัดมาเป็นวันศุกร์
ณ บ้านขุนนาง ในห้องนั่งเล่นรวม
ดาร์กเพลิดเพลินกับอาหารเช้าที่รุกกี้เดวิมอนนำกลับมาเช่นเคย
ในที่สุดเดลี่เสจของเช้าวันนี้ ก็รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในสถาบันเซนต์แมเรียน
แม้ว่าทางสถาบันจะใช้ความพยายามแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะได้ผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นหัวข้อข่าวของเดลี่เสจ โดยมีรูปภาพของอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ปรากฏอยู่ในหน้าแรก
เพียงแต่ว่ามุมมองในเหตุการณ์นี้แตกต่างไปจากที่ดาร์กคิดไว้เล็กน้อย
เสียงประณามภูตตัวน้อยไม่รุนแรงอย่างที่คิด
ภาพจำที่ว่าสำนักพิมพ์นี้ไม่ค่อยน่าเชื่อถือนั้น ดูจะทำให้เรื่องที่เกิดขึ้นกลายเป็นสิ่งปกติจนผู้คนไม่ได้รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่นัก
มีเพียงผู้ปกครองบางคนที่ประหลาดใจว่าสถาบันแต่งตั้งภูตเป็นศาสตราจารย์ อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก ‘สนธิสัญญาพันธมิตรร้อยเผ่าพันธุ์’ ที่ลงนามในช่วงสงคราม จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เหล่าขุนนางของอาณาจักรจะวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ได้อย่างเปิดเผยจากมุมมองทางการเมืองของพวกเขา
และผู้คนก็โล่งใจมากขึ้นเมื่อได้ยินว่า นักเรียนที่ได้รับผลกระทบทั้งหมดปลอดภัยแล้ว
สถาบันได้ยื่นรายชื่อนักเรียนที่เกี่ยวข้องให้กับทางศาล แต่ศาลไม่ได้เผยแพร่ออกมาเนื่องจากกฎข้อบังคับการรักษาความลับ มีเพียงชื่อคุณปลาดาวเท่านั้นที่ปรากฏอยู่ในเอกสารสาธารณะ
เหตุการณ์นั้นเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนตลอดทั้งวัน แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่รุนแรงที่สุดออกมาจากทางฝั่งคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้เลยแม้แต่น้อย
นอกจากนี้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้เป็นตัวแทนของโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อนข้างแปลกเช่นกัน เขากล่าวหาอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ว่าดูหมิ่นเทพดวงจันทร์!
เมื่อเห็นสิ่งนี้ดาร์กก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
คำว่า ‘เทพดวงจันทร์’ เป็นคำทั่วไป
เทพเจ้าทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับดวงจันทร์ สามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘เทพแห่งดวงจันทร์’
หนึ่งในนั้น เทพที่มีชื่อเสียงยิ่งกว่าตัวตนอื่นใดก็คือ ‘เทพธิดาผู้ไล่ล่าดวงจันทร์’ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของอาจารย์ใหญ่อาร์เต้เอง
ในตำนานและเรื่องเล่าโบราณ เทพบางองค์ที่ลงมายังโลกเคยอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์
สายเลือดของพวกเขาได้รับการถ่ายทอดผ่านการสืบพันธุ์แบบปกติ แม้ว่ามันจะเจือจางจากรุ่นสู่รุ่น แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีความบริสุทธิ์สูง
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน
ตัวแทนของโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์คนนั้นจะวิพากษ์วิจารณ์ผู้ใดก็ได้ แต่ไม่อาจกล่าวหาทายาทของเทพดวงจันทร์ว่า ‘ดูหมิ่น’ เทพดวงจันทร์ได้ นี่มันฟังดูงี่เง่ามากจริง ๆ
ดาร์กเปิดอ่านหนังสือพิมพ์ต่อไป ก็เห็นแต่บทความชี้แจงเกี่ยวกับการพาดหัวข่าวของเมื่อวานในมุมเล็ก ๆ
ในบทความ นักข่าวคนหนึ่งได้กล่าวขอโทษสำหรับ ‘เรื่องไร้สาระ’ ของเขา และชี้แจงว่าบุตรแห่งดัชเชสไม่ได้มีสัญญาหมั้นหมายที่จะแต่งงานกับเจ้าหญิงของราชวงศ์
“ปรากฏว่าข่าวลือได้เป็นพาดหัว ส่วนชี้แจงขอโทษมีค่าได้แค่อยู่ตรงหัวมุมเท่านั้น!”
หลังจากเห็นมัน ดาร์กก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้มาทันที เขามองย้อนกลับไปที่รายงานเหตุการณ์เทพดวงจันทร์ แล้วก็ครุ่นคิดชั่วครู่
“ถ้าอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ออกไปข้างนอกจนถึงตอนดึกของเมื่อคืนนี้ แล้วใครที่สอนวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ตอนบ่ายเมื่อวานนี้ล่ะ?”
“มันคงไม่ใช่สปิริตของเธอหรอกใช่ไหม?”
…
เวลาวิ่งผ่านไปประดุจแสงวาบ
ดาร์กเพิ่งจะวางหนังสือพิมพ์ลง แต่จู่ ๆ การ์ดคัดสรรในซองก็สั่นขึ้นมา
หลังจากหยิบออกมาดู ดาร์กพบว่าเป็นการแจ้งเตือน ‘เปลี่ยนสถานที่เรียนวิชาการประลอง’
วิชาการประลองมักจะจัดขึ้นในห้องเรียน แต่บางครั้งก็ถูกเปลี่ยนเป็นโถงการประลอง
และทุกครั้งที่เปลี่ยนห้องเรียน ศาสตราจารย์โจนส์จะแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
“สงสัยจริง ๆ ว่าศาสตราจารย์โจนส์จะพูดถึงอะไรในวิชาการประลองวันนี้?”
ความคาดหวังของดาร์กในคาบการประลองเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หลังจากผ่านการต่อสู้กับเทพธิดาดวงจันทร์มาอย่างดุเดือด
ทว่าเมื่อนักเรียนชั้นปีหนึ่งจากสี่บ้านเข้ามาในโถงประลอง สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือ ชั้นเรียนออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูง!
ดูเหมือนว่าศาสตราจารย์โจนส์จะคิดว่า สมรรถภาพทางกายที่ย่ำแย่ของนักเรียนไม่เพียงพอต่อการรับมือกับวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นได้ หรือไม่ เธอก็แค่คิดว่าพวกเขามีพลังงานมากเกินไปและไม่มีที่ระบายออกมา…
กล่าวโดยสรุป ในคาบเรียนนี้ เธอพานักเรียนปีหนึ่งออกกำลังอย่างหนัก
และสำหรับนักเรียนที่ร่างกายอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คาบนี้ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนกับไปทัวร์นรก
บางคนกัดฟันเพื่อยืนหยัดต่อไป บางคนก็พยายามดิ้นรน จนเป็นภาพที่ดูน่ารักไม่น้อย
แน่นอนว่ามีคนประท้วงแต่พวกเขาก็ถูกเพิกเฉยไป
กระทั่งจู่ ๆ มีนักเรียนสองคนหมดสติไปกลางคาบเรียน ศาสตราจารย์โจนส์จึงให้หยุดการออกกำลังชั่วคราว และส่งนักเรียนสองคนไปยังห้องพยาบาลโดยเร็วที่สุด
ประมาณสิบห้านาทีต่อมา ศาสตราจารย์โจนส์กลับมาที่ชั้นเรียน
นักเรียนจากบ้านขุนนางประณามวิธีการสอนที่ไร้มนุษยธรรมของเธอด้วยเสียงอันดัง และได้รับรางวัลเป็นเพิ่มการฝึกเป็นสองเท่า
ศาสตราจารย์โจนส์ขมวดคิ้ว
มีนักเรียนอีกหลายคนถามเธอถึงอาการของนักเรียนสองคนที่ถูกส่งตัวไปที่ห้องพยาบาล
ศาสตราจารย์โจนส์งุนงง “แปลกมาก ซิสเตอร์คาไลด์บอกว่าพวกเขาเป็นลมเพราะขาดสารอาหารเป็นเวลานาน แต่โรงอาหารของเราดูแลโดยเชฟลูกครึ่ง พวกเขาจะขาดสารอาหารได้ยังไง? นี่พวกเขาไม่ได้กินข้าวเลยเหรอ?”
ศาสตราจารย์โจนส์ยิ่งสับสนมากขึ้น เมื่อนักเรียนของบ้านอัศวินซึ่งสนิทกับนักเรียนคนหนึ่งที่เป็นลม บอกเธอว่านักเรียนคนนั้นเป็นนักกินตัวยง
อย่างไรก็ตาม เหล่าจอมเวทฝึกหัดก็ไม่รอดจากการฝึกต่อด้วยเหตุการณ์นี้
ไม่ใช่เพราะการฝึกที่ทำให้นักเรียนสองคนเป็นลม
เหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นเรื่องลึกลับ และต่อมาก็ถูกรวมไว้ในเรื่องเล่าว่าด้วย ‘ชีวิตในสถาบันหลายแง่มุมที่ไม่สามารถอธิบายได้’
ในตอนท้ายของคาบเรียน ศาสตราจารย์โจนส์จัดการมอบหมายการบ้านหลังเลิกเรียน และสั่งให้นักเรียนเขียนเรียงความยาวเกี่ยวกับ ‘ความสำคัญของสมรรถภาพทางร่างกายในการประลองเวทมนตร์’
และในเวลาเดียวกัน เธอก็ประกาศว่าการประลองในชั้นเรียนครั้งที่สองจะจัดขึ้นก่อนวันคริสต์มาส
…
ไม่ว่าในกรณีใด วิชาการประลองของเช้านี้ก็ไม่เป็นที่พึงพอใจของเหล่านักเรียน
ทั้งสองคนที่หมดสติไป คนหนึ่งคือเอซิโคจากบ้านนักปราชญ์ และอีกคนหนึ่งคือแว็กเนอร์จากบ้านอัศวิน
แว็กเนอร์เป็นนักกินตัวยงที่มีชื่อเสียงของบ้านอัศวิน เขาแข็งแรง สุขภาพดี และดูไม่มีอาการ ‘ขาดสารอาหาร’ เลย!
ดังนั้น นักเรียนบางคนจึงคิดว่ามันเป็นข้อแก้ตัวที่ศาสตราจารย์โจนส์อ้างเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ และเพื่อยืนยันเรื่องนี้ พวกเขาจึงรวบรวมกลุ่มเพื่อนร่วมชั้น ก่อนจะพากันไปที่ห้องพยาบาลเพื่อตรวจสอบนักเรียนที่เป็นลม
อย่างไรก็ตาม นักเรียนส่วนใหญ่สูญเสียแรงกายเนื่องจากการฝึกที่เข้มข้น และบางคนถึงกับนอนบนเตียงจนถึงบ่าย โดยไม่ได้กินข้าวกลางวันด้วยซ้ำ
ความแข็งแกร่งของดาร์กนั้นถือว่าเหนือกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวม แต่เขาก็เกือบจะหลับคาอ่างอาบน้ำ
ในที่สุด ไดแอนนากับโรเบิร์ตก็ได้แสดงจุดแข็งของพวกเขา กลายเป็นผู้อยู่รอดและยังมีชีวิตอยู่ดีหลังจากการฝึกฝน
กล่าวสั้น ๆ หลังจากเหตุการณ์นี้ดาร์กเริ่มพิจารณาว่า เขาควรเพิ่มการออกกำลังกายตอนเช้าในกิจวัตรประจำวันของเขาหรือไม่
…
เวลาสิบเอ็ดโมงครึ่ง
ดาร์กลากร่างที่เหนื่อยล้าของเขาไปที่โรงอาหาร แล้วกินบะหมี่ไปหนึ่งชาม จากนั้นเขาก็รอให้ถนนนักเดินทางเปิด
การเดินทางไปยังถนนนักเดินทางครั้งนี้ จำนวนคะแนนที่เขามีนั้นสูงกว่าเมื่อก่อนมาก
แต่สิ่งที่เขาต้องการซื้อก็มีมากกว่าที่เคยเช่นกัน
บทที่ 131 ความเป็นไปได้ของเทพธิดาแมว
บทที่ 131 ความเป็นไปได้ของเทพธิดาแมว
แม้ว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าจะเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้คาดคิดไว้ก่อนก็ตาม แต่ดาร์กก็ไม่ได้ตกตะลึงนานเกินไป
หลังจากที่ฟื้นคืนสติ ดาร์กก็เริ่มวาดโครงร่างของมนุษย์เรืองแสง ในตอนที่แคทมอนได้วิวัฒนาการตามความทรงจำของเขาทันที
มันไม่ใช่เทวทูตแปดปีกเหมือนเดอะแองเจล และไม่ใช่เงาที่โดดเด่นเหมือนเดอะเลดี้
แต่มันเป็นหุ่นมนุษย์รูปร่างเพรียวที่มีหูแมวสองข้างและหางแมวสองหาง!
ความเข้าใจของดาร์กเกี่ยวกับ ‘มอนสเตอร์ในโลกดิจิทัล’ นั้นมีค่อนข้างจำกัด เขาขมวดคิ้วเป็นเวลานานและแต่สุดท้ายก็ยังคิดไม่ออกว่าโครงร่างนั้นคล้ายกับตัวตนไหน
“ไม่ใช่เดอะแองเจล ไม่ใช่เดอะเลดี้ แคทมอนจะวิวัฒนาการเป็นอะไรได้อีก? เนฟมอน? ไม่น่าใช่… อืม อ่า~! น่าปวดหัวชะมัด!”
ขณะที่ดาร์กกำลังมีปัญหากับเรื่องนี้ ดวงตาของแคทมอนก็เปี่ยมไปด้วยออร่า [ราคะ] ที่แข็งแกร่งมากจนไม่สามารถลบล้างได้
เจ้าเหมียวขาวกุมหัวและขดตัวเป็นลูกบอล
อัตตากำลังต่อสู้กับราคะ
แสงสว่างและความมืดกำลังต่อสู้กัน
ความปั่นป่วนค่อย ๆ ทวีความรุนแรงขึ้น
เมื่อดาร์กสังเกตเห็น ตาข้างหนึ่งของมันก็ย้อมเป็นสีดำและอีกข้างก็ได้กลายเป็นสีขาวไปแล้ว
อัตตาเริ่มกลายพันธุ์
“ปรากฏการณ์นี้มันอะไรกัน?”
ดาร์กรีบอุ้มแคทมอนขึ้นมามองใกล้ ๆ
ในเวลานี้ แคทมอนพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อย แต่ไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านใด ๆ อย่างก่อนหน้าแล้ว
เด็กชายและแมวอยู่ใกล้ชิดกันมาก
จนกระทั่งลิ้นเย็นเลียบนแก้มของเขา ดาร์กจึงยืนยันสถานะของแคทมอนได้
เขาจับหางของแคทมอนแล้วลูบเบา ๆ โดยคิดว่า
‘แม้ว่าจะมีผลแห่งอัตตาในวัตถุดิบขัดเกลา แต่แหวนศักดิ์สิทธิ์บนหางของแคทมอนก็บ่งบอกว่ามันเอนเอียงไปทางคุณสมบัติแสง’
‘ส่วน [ราคะ III] ที่สามารถทำให้รุกกี้เดวิมอนวิวัฒนาการเป็นแบล็คแคทมอนได้ เห็นได้ชัดว่ามันเอนเอียงไปทางคุณสมบัติมืด’
‘ด้านหนึ่งสีดำและด้านหนึ่งสีขาว การรวมกันของแสงและความมืด การรวมตัวกันของเทวดาและปีศาจ เดอะมาสเตอร์?’
‘ไม่น่าใช่ เดอะมาสเตอร์เป็นมอนสเตอร์ดิจิทัลระดับเมก้า! อีกอย่าง มันเป็นการฟิวชั่นระหว่างเดอะแองเจลและเดอะเลดี้ ไม่ใช่แคทมอนกับ…’
‘เว้นแต่แคทมอนกับแบล็คแคทมอนจะสามารถวิวัฒนาการฟิวชั่นร่วมกันได้?’
ดวงตาของดาร์กเป็นประกายขึ้นมา รู้สึกเหมือนกับว่าเขาจับประเด็นสำคัญได้แล้ว
แม้ว่าการวิวัฒนาการนี้จะล้มเหลว แต่ก็เป็นการคาดเดาถึงความเป็นไปได้
เช่นเดียวกับเดอะแองเจลและเดอะเลดี้ที่สามารถวิวัฒนาการเป็นมอนสเตอร์ดิจิทัลระดับเมก้าได้ แคทมอนและแบล็คแคทมอนก็น่าจะสามารถวิวัฒนาการเป็นมอนสเตอร์ดิจิทัลระดับเมก้าได้เช่นกัน!
แต่แล้วก็มีคำถามใหม่ผุดขึ้นมาคือ จะทำให้แคทมอนและแบล็คแคทมอนฟิวชั่นกันได้อย่างไร?
[ฟิวชั่น]?
“ในโลกนี้ มีการ์ดใบนี้ไหมนะ?”
ขณะที่ดาร์กกำลังคิด เขาก็อุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติและลูบขนมันไปพลาง ๆ
แคทมอนเม้มปากแน่น แต่สีหน้าที่ไม่อาจหลบซ่อนได้พลันฉายออกถึงความเพลิดเพลินอย่างชัดเจน
จู่ ๆ ดาร์กก็รู้สึกว่าขากางเกงของเขาขยับ จึงก้มหน้าลงไปมองและอุ้มหญ้าแมวขึ้นมา
เขาลูบแมวสองตัวพร้อมกัน!
…
สถานะ ‘ซึนเดเระ’ ของแคทมอนกินเวลาประมาณสิบหกนาทีก่อนที่มันจะกลับมาเป็นปกติพร้อมกับเสียง ‘เหมียว’
ถึงแม้ว่าตาของมันจะกลับมาเป็นปกติแล้ว แต่เจ้าตัวน้อยก็ยังคงนอนอยู่บนตักของดาร์กต่อไป และไม่คิดจะขยับเขยื้อนสักนิด
“คึคึ ( ฅ ´ω` ฅ)”
…
ในเวลาเย็นย่ำ
นักเรียนมาที่โรงอาหารเร็วกว่าปกติ เห็นได้ชัดว่าการบ้านที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ไม่เพียงพอที่จะลดความกระตือรือร้นในการผจญภัยของพวกเขา
ดาร์กนั่งกินอยู่ที่ริมหน้าต่าง เขาได้ยินนักเรียนทั้งข้างหน้าและข้างหลังคุยกันเรื่องการผจญภัยบนทางลับในคืนนี้
แม้ว่านักเรียนรุ่นพี่จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในดันเจี้ยนได้ในช่วงสุดสัปดาห์ แต่อย่างไร ทางลับและดันเจี้ยนในปราสาทก็มีความหมายต่างกัน
จากข้อมูลที่ดาร์กได้ยินมาบ้างเป็นครั้งคราว ดูเหมือนว่าไม่ได้มีเพียงแต่เขากับเอ็มม่าที่ค้นพบอะไรบางอย่างเท่านั้น นักเรียนบางคนก็พบภาพวาดในอดีตที่สูญหายไป หนังสือโบราณเล่มสุดท้าย หรือของไอเทมเวทมนตร์พิเศษอื่น ๆ…
แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะหายไปหลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง แต่มันกลับกลายเป็นสิ่งที่กระตุ้นความปรารถนาของนักเรียนได้เป็นอย่างดี
ต่อให้สุดท้ายมันจะไร้ประโยชน์ แต่ก็สามารถกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่โอ้อวดกับผู้อื่นได้ชั่วขณะหนึ่ง
ไม่ต้องพูดถึงว่า โบราณวัตถุบางอย่างมีความพิเศษและล้ำค่าอย่างแท้จริงด้วย
…
ดาร์กกลับมาห้องสมุดอีกครั้งด้วยจุดประสงค์ที่ชัดเจน
เขาต้องการหนังสือเกี่ยวกับ [กรงต้องสาป] และ [ฟิวชั่น] ด้วย
[กรงต้องสาป] มีอยู่จริง แต่ [ฟิวชั่น] ยังจำเป็นต้องตรวจสอบเพิ่มเติม
แต่ก่อนหน้านั้น ในฐานะนักเรียน เขาต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อน
ในสามวิชาของวันนี้ มีแค่วิชาคณิตศาสตร์กับวิชาเวทมนตร์พื้นฐานเท่านั้นที่มอบหมายงานให้ ส่วนประวัติศาสตร์เวทมนตร์ยังไม่มีการบ้านเลย
แต่อย่างไรก็ตาม จำนวนการบ้านวิชาคณิตศาสตร์นั้นเพียงพอที่จะกินเวลาอีกสองวิชาที่เหลือแล้ว
นอกจากนี้ งานหลังเลิกเรียนของวิชาเวทมนตร์พื้นฐานอาจดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่ในความเป็นจริง มันต้องใช้เวลามาก
สมมติว่าถึงดาร์กจะทำแบบฝึกหัดเสร็จล่วงหน้าแล้ว แต่เขาก็ยังคงต้องใช้เวลาถึงสิบห้านาทีในการทำการบ้านที่เหลือให้เสร็จ และมันก็เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่านักเรียนชั้นปีที่หนึ่งคนอื่น ๆ จะต้องใช้เวลานานขนาดไหนจึงจะทำเสร็จได้
ไม่ต้องพูดถึงเด็ก ๆ ที่ได้รับการบ้านเพิ่มขึ้นสองเท่าเพราะพวกเขามาสายเลย
“โหดร้ายชะมัด!”
หลังจากดาร์กบ่นเล็กน้อย เขาก็เก็บการบ้านและเตรียมออกจากห้องอ่านหนังสือ ไปแหวกว่ายในทะเลชั้นตำรามหาศาล
แต่เอ็มม่าซึ่งกำลังจ้องมาที่เขาอย่างไม่ปิดบังนั้น เมื่อเห็นเขาทำการบ้านเสร็จ เธอก็รีบเดินเข้ามาหาทันที
ในที่สุดดาร์กก็นึกขึ้นได้หลังจากที่เธอเตือน จากนั้นเขาก็ให้สมุดบันทึกที่คัดลอกภาพจิตรกรรมฝาผนังไว้ก่อนหน้านี้กับเธอ
…
เอ็มม่าผู้ได้รับสมุดบันทึกแสดงความดีใจออกมา เธอโค้งคำนับเล็กน้อยและขอบคุณ “ขอบคุณนะ ฉันจะแบ่งปันข้อมูลกับนายเมื่อผลการวิจัยออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
ดาร์ก “อ้อ อืม”
เอ็มม่ากลับไปที่โต๊ะ กัดปลอกปากกาและง่วนอยู่กับหนังสือข้อมูลที่เธอหามาล่วงหน้า
ดูเหมือนเธอจะรู้เรื่องจิตรกรรมฝาผนังมากกว่าดาร์กเล็กน้อย และเธอก็มีเป้าหมายแล้ว
ดาร์กเหลือบมองเล็กน้อยและพบว่าหนังสือข้อมูลนั้นเป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของยุคใดยุคหนึ่ง
ห้องสมุดของเซนต์แมเรียนมีหนังสือเกือบทุกเล่มจากทั่วทุกมุมโลก
นักเรียนสามารถค้นหาหนังสือที่ต้องการได้เสมอ
ดาร์กไม่เคยคิดว่ามันเป็นปัญหามาก่อน จนกระทั่งเขาได้รู้เกี่ยวกับที่ตั้งของปราสาทและความหมายส่วนหนึ่งของมัน ตอนนี้เขาจึงรู้สึกเหลือเชื่อและขนลุกเล็กน้อย
…
สามชั่วโมงต่อมา
ดาร์กเดินออกจากทะเลชั้นหนังสือ ก่อนจะวางหนังสือสองเล่มในมือลงกับโต๊ะ
เล่มหนึ่งคือ ‘การใช้กรงต้องสาปมหัศจรรย์สามพันแบบ’
อีกเล่มคือ ‘ว่าด้วยลักษณะพิเศษของกลุ่มการ์ดหมวดฟิวชั่น’
แน่นอนว่ามีฟิวชั่นอยู่ในโลกนี้
การประลองที่ไม่มีการฟิวชั่นนั้นไม่นับว่าเป็นการประลองเลย
ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนที่มืดมิด
ห้องอ่านหนังสือเกือบจะว่างเปล่า
ในมุมหนึ่งของห้องสมุด มีเพียงเด็กหญิงที่ผมฟูฟ่องกับเด็กชายผู้มีผมสีบลอนด์นั่งอยู่
สภาพแวดล้อมโดยรอบนั้นเงียบสงบ ยกเว้นปลายปากกาที่สัมผัสกับพื้นผิวกระดาษที่ทำให้เกิดเสียงกรอบแกรบเป็นระยะ
…
ณ บ้านขุนนาง ห้องนั่งเล่นรวม
ไดแอนนากำลังเล่นหมากรุกเวทมนตร์กับโรส
แม้จะพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เธอก็ยังเล่นต่อ
ทั้งสองทำการบ้านในห้องสมุดเป็นเวลาสองชั่วโมง แต่ ‘ผู้ช่วยทำการบ้าน’ ได้หายไปในกองชั้นหนังสือก่อนแล้ว ท้ายที่สุดพวกเขาก็ไม่ได้พบกันด้วยซ้ำ
ไดแอนนาไม่ได้คิดอะไรมาก เธอถามอย่างสบาย ๆ “โรส เธอจะทำคาถาทั่วไปคาถาไหนก่อนในห้าคาถานี้”
โรสขมวดคิ้วและคิดว่า “ฉันอยากทำคาถาพรางตา แต่ดู ๆ แล้วเหมือนมันจะยากมาก ก็คงอาจจะเริ่มจากอะไรง่าย ๆ ก่อนเช่นคาถาผลักออก?”
ไดแอนนาถอนหายใจ “เฮ้อ เธอคงพูดถูก ฉันก็อยากทำคาถาเคลื่อนที่พริบตา แต่ทำไม่ได้”
โรสพยักหน้าและกล่าวว่า “เคลื่อนย้ายในพริบตาก็ดีนะ มันสามารถพุ่งไปข้างหน้าได้หนึ่งถึงสามเมตร แล้วยังเป็นเทคนิคที่ได้ใช้บ่อยด้วย”
ไดแอนนาเสนอ “อันที่จริง กระสุนเวทมนตร์ก็ดีนะ”
บทที่ 130 สัญญาณของวิวัฒนาการฟิวชั่น
บทที่ 130 สัญญาณของวิวัฒนาการฟิวชั่น
[ชื่อการ์ด: แคทมอน]
[ประเภท: การ์ดวิญญาณ]
[ระดับ: ✪✪✪✪]
[เผ่า: ประเภทนกและสัตว์]
[คุณสมบัติ: แสง]
[พลังเวทมนตร์: 1500 หน่วย]
[พลังโจมตี: 1900 หน่วย]
[พลังป้องกัน: 900 หน่วย]
[ท่าไม้ตาย: แหวนศักดิ์สิทธิ์, หมัดแมว, เนตรแมว]
…
เกือบจะเป็นแผงสกิลเดียวกันกับของแบล็คแคทมอน
แต่มีท่าไม้ตายทั้งหมดสามอัน ซึ่งหมายความว่าเป็นการ์ดสีส้มรองจากการ์ดสีทองเท่านั้น!
ดาร์กมองดูออร่าสีส้มที่เปล่งออกมาจากขอบการ์ด แล้วรู้สึกมีความสุขเล็กน้อย
เขาที่เคยสัมผัสกับการ์ดระดับทอง [ชัคคารุ] ย่อมเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างห้าระดับนี้: สีขาว สีฟ้า สีม่วง สีส้ม และสีทอง อย่างชัดเจน
ดาร์กหยิบการ์ดวิญญาณขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียด
พลังโจมตีของแคทมอนอยู่ที่หนึ่งพันเก้าร้อยหน่วยทำให้อยู่ในระดับแนวหน้าของการ์ดเวทมนตร์สี่ดาว ซึ่งปกติจะมีระดับสูงสุดอยู่สองพันหน่วย
แม้ว่าพลังป้องกันจะด้อยไปเล็กน้อย แต่ค่าพลังเวทมนตร์หนึ่งพันห้าร้อยหน่วยก็ถือว่าไม่เลวเลย
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ มีท่าไม้ตายสามท่า!
สำหรับสปิริตแล้ว ท่าไม้ตายคือหัวใจหลักในการต่อสู้
ดาร์กใส่พลังเวทมนตร์ลงไปในการ์ดวิญญาณด้วยความคาดหวัง ก่อนจะได้รับข้อมูลอย่างรวดเร็ว
[แหวนศักดิ์สิทธิ์: สกิลติดตัว แหวนศักดิ์สิทธิ์ของแคทมอนเป็นเครื่องพิสูจน์ความศักดิ์สิทธิ์ของมัน และยังเสริมพลังของมันอีกด้วย พลังงานเวทมนตร์ +500 หน่วย พลังโจมตี +500 หน่วย พลังป้องกัน +500 หน่วย]
[หมัดแมว: ใช้กรงเล็บขนาดใหญ่เพื่อข่วนศัตรู]
[เนตรแมว: โจมตีฝ่ายตรงข้ามด้วยแสงสะท้อน ทำให้คู่ต่อสู้ตกอยู่ในความโกลาหลและมีโอกาสโจมตีตัวเอง]
…
“แหวนศักดิ์สิทธิ์!”
แคทมอนแตกต่างจากแบล็คแคทมอน ตรงที่เป็นมอนสเตอร์ในโลกดิจิทัลประเภท ‘สัตว์ศักดิ์สิทธิ์’ อันล้ำค่า
มอนสเตอร์ในโลกดิจิทัลประเภทศักดิ์สิทธิ์แต่ละตัว มีแหวนศักดิ์สิทธิ์ที่จารึกคำว่า ‘ดิจิทัลมอนสเตอร์’ ไว้
แหวนศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ของสถานะเท่านั้น แต่ยังเป็นไอเทมทรงพลังซึ่งมีพลังศักดิ์สิทธิ์ด้วย
แหวนศักดิ์สิทธิ์แต่ละวงสามารถเพิ่มพลังเวทมนตร์ พลังโจมตี และพลังป้องกันของมอนสเตอร์ในโลกดิจิทัล ประเภทสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้ถึงห้าร้อยหน่วย
แคทมอนในอนิเมะนั้น สามารถแสดงความแข็งแกร่งที่ใกล้เคียงกับระดับสุดยอดเมื่อมันโตเต็มวัยได้ โดยอาศัยแหวนศักดิ์สิทธิ์ที่สวมไว้ที่หาง กับถุงมือคู่ที่คัดลอกมาจากข้อมูลของกรงเล็บของ <เซเบอร์ไลออน>!
กล่าวโดยย่อ แคทมอนระยะแรกต้องอาศัยอุปกรณ์ของมันเป็นอย่างมาก
ตอนนี้แหวนศักดิ์สิทธิ์ปรากฏเป็นสกิลติดตัว ทำให้แคทมอนมีพลังเหนือระดับของมัน
ดาร์กครุ่นคิดชั่วขณะหนึ่งและสรุปได้ว่า สิ่งนี้น่าจะมาจากพลังที่ได้รับจากขนนกของเดอะแองเจล
“แคทมอนที่มีแหวนศักดิ์สิทธิ์ถือได้ว่าเป็นสปิริตห้าดาวในคราบการ์ดสี่ดาว!”
สำหรับสองสกิลที่เหลือ
หนึ่งคือสกิลโจมตี และอีกอันเป็นสกิลสถานะควบคุม ซึ่งถือว่าดีมากเช่นกัน
โดยทั่วไปแล้ว
พลังของ [แคทมอน] นี้เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง
ในขณะที่ดาร์กพอใจมาก เขาก็คิดอย่างรวดเร็วว่าจะอัญเชิญมันออกมาได้อย่างไรในการประลอง
หากใช้คาถาอัญเชิญปกติเพื่ออัญเชิญมัน [แคทมอน] สี่ดาว จะใช้เวลามากกว่าหนึ่งนาทีกว่าจะอัญเชิญสำเร็จ
แต่ถ้าเขาใช้การอัญเชิญบูชายัญ เขาต้องเตรียมเครื่องสังเวยให้เพียงพอ
ดาร์กนับสปิริตที่เขาครอบครองอยู่ในปัจจุบัน
1. สัตว์อสูรมายา: อีบุย ✪
2. สไลม์ขยะ ✪
3. ชัคคารุ ✪✪✪
4. แคทมอน ✪✪✪✪
“ดังนั้นฉันต้องสังเวย [ชัคคารุ] และการ์ดหนึ่งดาวเพื่ออัญเชิญมันออกมา”
ดาร์กหยิบการ์ดเวทมนตร์ออกมา และพยายามใช้การอัญเชิญบูชายัญ แต่เขาใช้เวลามากกว่ายี่สิบวินาทีในการอัญเชิญมันออกมาสำเร็จ
การประลองเวทมนตร์คือการแข่งขันกับเวลา หากใช้เวลายี่สิบวินาทีเต็มในการอัญเชิญสปิริต ลูกบอลเวทมนตร์ก็จะถูกคู่ต่อสู้ระเบิดไปก่อน
ดังนั้น การใช้สปิริตระดับแรกเป็นหินไต่ระดับจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
ในการต่อสู้จริง ฝ่ายตรงข้ามจะไม่ให้เวลาคุณได้ใช้เทคนิคการอัญเชิญมากเกินไป
อัญเชิญสปิริต 1-3 ดาวก่อน ร่วมกับการ์ดเวทมนตร์ประเภทอื่นเพื่อรักษารูปแบบ รอเครื่องสังเวยให้เพียงพอ จากนั้นมองหาโอกาสที่จะอัญเชิญสปิริต 4-6 ดาว ออกมา นั่นเป็นขั้นตอนปกติสำหรับการต่อสู้ระดับต่ำ
ขณะที่ดาร์กกำลังคิดอยู่ในใจ แคทมอนก็ปรากฏตัวขึ้นจากแสงสว่าง
เจ้าเหมียวขาวมีรูม่านตาแนวตั้งสีน้ำเงินซีด ดาร์กมองมันพลางครุ่นคิด ในหัวของเขาไม่มีคำศัพท์อื่นใดที่สามารถอธิบายรูปลักษณ์มันได้นอกจากคำว่า ‘น่ารัก’
แม้ว่าดาร์กจะเห็นแสงที่คุ้นเคยในดวงตาของมัน แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสขนสีขาว
เพียะ!
มือของเขาถูกตะปบทันที
แคทมอนมองเขาอย่างดูถูก ราวกับกำลังมองคนโรคจิต!
“เจ้าเป็นคนสร้างข้าขึ้นมาเหรอ?”
แคทมอนยกแขนตัวเองขึ้นมาดู แล้วมองไปยังเด็กชายตรงหน้าที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้านายของมัน ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย
“ไม่เลวนี่ เหมียว อย่างน้อยรูปลักษณ์และอารมณ์ของเจ้าก็ไม่ทำให้ข้าผิดหวัง เหมียว”
หลังจากนั้นแคทมอนก็เดินไปรอบ ๆ ห้องพักด้วยตัวเอง ราวกับว่ามันต้องการทิ้งกลิ่นตัวไว้ทั่วทุกมุมของอาณาเขต
แม้ว่าห้องพักของเซนต์แมเรียนจะกว้างขวาง แต่หอพัก อย่างไรก็คือหอพัก
ห้องพักของดาร์กไม่ได้มีสิ่งของหรูหราประดับไว้
นี่ทำให้แคทมอนดูไม่พอใจเท่าไหร่นัก
และพอเห็นหญ้าแมว มันก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ว่า “ทำไมถึงมีแมวตัวอื่นอยู่ที่นี่?”
หญ้าแมวอดไม่ได้ที่จะเอียงคอแล้วร้อง “เมี้ยว?”
…
ดาร์กอยากจะบอกแคทมอนว่าหญ้าแมวนั้น…ตามหลักแล้วเป็นแม่มัน แต่ในที่สุดเขาก็หยุดตัวเองไว้
โชคดีที่แม้ว่าแคทมอนจะเย่อหยิ่ง แต่ก็มีเหตุผลและไม่ทำให้หญ้าแมวลำบากใจ
ดาร์กเฝ้าดูอย่างระมัดระวัง ขณะที่มันเดินไปรอบ ๆ ห้องพัก เขาค่อย ๆ พิจารณาว่าระดับสติปัญญาของแคทมอนนี้ อย่างน้อยก็มากกว่าสาม
“ท้ายที่สุด มันคือสปิริตที่กลั่นออกมาจากผลแห่งอัตตา ไม่จำเป็นต้องลอง [อัตตา I] และ [อัตตา II] แต่จำเป็นต้องลอง [ราคะ III]”
ดาร์กกวักมือเรียก “แคทมอน มานี่หน่อยสิ”
การ์ดวิญญาณไม่สามารถขัดต่อเจตจำนงของเจ้าของได้ ภายใต้สถานการณ์ปกติ
แม้ว่าแคทมอนจะลังเลเล็กน้อย แต่มันก็ยังเดินเข้ามา
ดาร์กสูดหายใจเข้าลึก ๆ ดึง [ราคะ III] ออกจากซองการ์ด และใช้ [อัญเชิญเวทมนตร์] ทันที
“เหมียว!”
แคทมอนจ้องไปที่การ์ดสีชมพู จู่ ๆ ก็รู้สึกสังหรณ์ไม่ดี
เมื่อแสงเริ่มสว่างขึ้น ทันใดนั้น มันก็กรีดร้องและกระโดดออกไปทันที
แต่แสงสีชมพูที่ส่องออกมาจาก [ราคะ III] ได้ส่องไปทั่วทุกมุมของห้องพัก มันจึงไม่มีทางหนีรอดไปได้!
หลังจากถูกแสงส่องเข้าไปแล้ว แคทมอนก็พยายามดิ้นให้หลุดพ้นอยู่ชั่วครู่หนึ่ง
ในไม่ช้าสัญลักษณ์มหาบาปก็สว่างขึ้นที่หน้าผากของมัน
เปลี่ยนจาก [อัตตา] ไปเป็น [ราคะ]
ตราทั้งสองสลับกัน
ดาร์กสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ร่างของมันกลายเป็นแสงสว่างภายใต้การเปลี่ยนแปลงของมหาบาปทั้งสอง เหมือนกับตอนที่รุกกี้เดวิมอนได้วิวัฒนาการเป็นเดอะเลดี้ ร่างทั้งหมดของมันเริ่มแปลงเป็นมนุษย์เพศหญิง
“เป็นไปได้ไหมว่า…” ดาร์กตื่นเต้นในทันที
แต่เมื่อกระบวนการวิวัฒนาการก้าวหน้าไปในระดับหนึ่ง แสงแห่งการวิวัฒนาการก็สูญสลายในทันใด
ร่างครึ่งมนุษย์แปลงกลับมาเป็นร่างแมว
หลังจากที่แคทมอนล้มลงไปนอนกับพื้น มันก็จับหน้าผาก ความมืดมนและไม่พอใจปรากฏขึ้นในดวงตาของมัน
“วิวัฒนาการล้มเหลวงั้นเหรอ?”
ดาร์กตกตะลึงไปในทันที
บทที่ 129 เจ้าเหมียวขาวของดาร์ก เดม่อน
บทที่ 129 เจ้าเหมียวขาวของดาร์ก เดม่อน
คาบวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์จบลงอย่างเงียบ ๆ ภายใต้การสอนที่เรียบง่าย แต่ปราดเปรื่องของอาจารย์ใหญ่อาร์เต้
หลังจากที่อาจารย์ใหญ่จากไป จอมเวทฝึกหัดยังคงคิดถึงสิ่งที่เธอสอนในชั้นเรียน
เรื่องราวที่น่าสนใจของวีรบุรุษ เมื่อตอนที่เขายังเป็นนักเรียนนั้นเห็นได้ชัดว่า สอดคล้องกับสภาพจิตใจปัจจุบันของพวกเขามากกว่า และมันก็ง่ายต่อการสร้างความรู้สึกร่วมด้วย
แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นวีรบุรุษด้วยตาตัวเอง แต่หลังจากบทเรียนนี้ พวกเขาทั้งหมดก็มีภาพวาดวีรบุรุษที่ค่อนข้างร่าเริงอยู่ในใจแล้ว
และตอนนั้นเอง เหล่าจอมเวทฝึกหัดก็พบว่าพวกเขากำลังเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกับวีรบุรุษ!
สร้างประวัติศาสตร์ เดินเข้าสู่ประวัติศาสตร์ และค้นพบว่าพวกเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เช่นกัน
…
ผู้ที่มีความรู้สึกรุนแรงที่สุด ย่อมเป็นเวอร์เธอร์ กาวด์
เขาดื่มด่ำกับความรู้สึกนี้ และอยู่ในห้องเรียนเป็นเวลานาน
แต่ดาร์กออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วหลังเลิกเรียน
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ยังคงเล่าเรื่องราวของวีรบุรุษคนอื่น ๆ ที่เติบโตขึ้นมาในเซนต์แมเรียน ในช่วงที่เหลือของคาบประวัติศาสตร์เวทมนตร์
เขารู้สึกทึ่งกับมันและตั้งตารอวันที่วัลคีรีจะกลายเป็นตัวเอกของเรื่อง
แต่ก่อนหน้านั้นเขายังมีธุระที่ต้องทำ
บ่ายนี้ดอกไม้อัตตาจะออกผล!
…
โดยปกติดาร์กจะตรงไปที่ห้องสมุดในเวลานี้ แต่มันมักมีข้อยกเว้นอยู่เสมอ
เมื่อเข้าไปในหอคอยดาร์กก็กลับไปที่ห้องพัก ผลักประตูแล้วเข้าไปในห้องของเขา
เด็กชายโน้มตัวลงไปอุ้มหญ้าแมวที่วิ่งเข้ามาหา ซึ่งมันมีกระถางดอกไม้เล็ก ๆ ห้อยลงมาจากหางเหมือนชามด้วย
กระถางถูกสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะและไม่มีช่องเปิดอื่นนอกจากส่วนที่ติดหาง
นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์กรองพิเศษในกระถาง เพื่อให้หญ้าแมวสามารถเติบโตได้ตามปกติ โดยไม่ทำให้ดินและน้ำรั่วไหล
ดาร์กเอื้อมมือไปเกาคางหญ้าแมวเบา ๆ จากคางถึงคอของมัน หลังจากหญ้าแมวกรนเสียงครอกฟี้อย่างสบายใจแล้ว จากนั้นเขาก็วางมันลงบนเก้าอี้ และหันมาเตรียมอุปกรณ์เพื่อเริ่มการทดลอง!
การทดลองในวันนี้สำคัญมาก ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการทดสอบผลพวงของการพยายามอย่างหนักกว่าครึ่งเดือนที่ผ่านมา
ในขณะเดียวกัน เขามีความคิดในใจเพิ่มว่า ‘หากการทดลองหญ้าแมวประสบความสำเร็จ ก็มีแนวโน้มสูงที่จะสร้างระบบใหม่ได้!’
…
ก่อนการทดลอง
ดาร์กใช้เครื่องหยดสมองวิเศษเพื่อดึง [อัตตา] หยดหนึ่งออกจากสมองของเขา
ด้วยความช่วยเหลือของ ‘ศาสตร์แห่งจิตตั้งมั่น’ คราวนี้หยด [อัตตา] ก็มีค่าหนึ่งหน่วยครึ่งเช่นกัน
บวกกับครึ่งหน่วยที่เหลือจากเมื่อวาน ตอนนี้เขามี [อัตตา] เต็มสองหน่วย!
จากการคาดเดาของเขา [อัตตา] สองหน่วยนี้ก็เพียงพอแล้ว
ต่อมา เขาก็ใช้เครื่องหยดสมองวิเศษอีกครั้งเพื่อสกัดจำนวนในขวดแห่งความคิดครึ่งหนึ่ง นั่นคือหนึ่งหน่วยของ [อัตตา] และฉีดเข้าไปในกิ่งหนอน
กิ่งหนอนให้ความรู้สึกเหมือนขวดนมมากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับดาร์ก ในขณะที่หญ้าแมวเป็นลูกแมวตัวน้อยที่กำลังรอให้อาหาร
หลังจากที่ให้กิ่งหนอนแก่หญ้าแมวแล้ว ดาร์กก็จ้องไปที่ดอกไม้แห่งอัตตาบนหัวของหญ้าแมว แทนที่จะมองดูสีหน้าที่ดื่มด่ำไปกับอาหารของมัน
เมื่อพลังงานของ [อัตตา] ถูกส่งไปยังดอกไม้แห่งอัตตาที่ผลิบานเต็มที่ มันก็เริ่มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไม่มีกระบวนการ ‘ผสมเกสร’
ดอกไม้แห่งอัตตาออกผลทันทีบนหัวหญ้าแมว
รังไข่ในครึ่งล่างของตราประทับก็ค่อย ๆ ขยายออก และกลีบดอกไม้ที่สวยงามก็เริ่มเหี่ยวเฉาลง ด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตา
เห็นได้ชัดว่านี่คือการดูดซับพลังงานของไข่
เมื่อดอกเหี่ยวเฉาไปหมดแล้ว ผลขนาดเท่าลำไยก็ปรากฏบนยอดหญ้าแมว!
ดาร์กสวมถุงมือแล้วจับผลอย่างระมัดระวัง
ผิวของผลนั้นค่อนข้างหยาบ และโดยรวมแล้วสีของมันก็ออกไปทางแดงเพลิง แต่หลังจากดูใกล้ ๆ เขาพบว่าตรงส่วนก้นของมันมีสีแดงประกายทองเข้มอยู่จาง ๆ
ส่วนตราสัญลักษณ์ของอัตตาที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติก็เด่นชัดมาก
เขาสัมผัสมันเบา ๆ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ผลร่วงหล่นจากก้าน ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันสุกพอดี
หลังจากนั้น มันก็เหลือเพียงแค่ก้านเรียวยาวบนหัวหญ้าแมว
ดาร์กไม่ได้โหดร้ายพอที่จะตัดก้านที่ดูเหมือนเสาอากาศนั้นออกด้วย
เขาหยิบผลและรีบเดินไปที่โต๊ะทดลอง
ก่อนอื่นวางภาชนะแก้วไว้บนโต๊ะ แล้วใส่ผลไม้ลงไป จากนั้นดาร์กก็หยิบมีดบางยาวออกมาหั่นผลไม้อย่างระมัดระวัง
ทันใดนั้นก็มีน้ำสีขาวไหลออกมา
ด้านในของผลไม้มีความหนืดและเป็นกึ่งของเหลว หลังจากผ่าแล้ว มันก็ส่งกลิ่นหอมจาง ๆ ออกมา
ดาร์กไม่พบสิ่งที่คล้ายกับ ‘เมล็ดพืช’ อยู่ในนั้น นี่ทำให้เขารู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย
เป็นไปไม่ได้ที่จะปลูกโดยไม่มีเมล็ด
มันสามารถเพาะปลูกได้โดยการให้อาหารหญ้าแมวเท่านั้น
แต่ในการเพาะปลูกดังกล่าว ต้องใช้ [อัตตา] ประมาณเจ็ดหน่วย
และเจ็ดหน่วยของ [อัตตา] ก็ใกล้เคียงกับปริมาณที่ต้องการในการผลิต [อัตตา III] ด้วย
…
หลังจากบันทึกข้อมูลที่รวบรวมมาจนถึงตอนนี้ ลงในรูปแบบของภาพและข้อความแล้ว ดาร์กก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และพร้อมที่จะเริ่มการทดลองที่สำคัญที่สุดแล้ว
“วิธีการขัดเกลาคือ [ประเภทนกและสัตว์ – ธาตุแสง]”
“วัตถุดิบหลักคือ ผลแห่งอัตตากับขนนกเดอะแองเจล”
“สิ่งที่ต้องเตรียมคือ น้ำผึ้งวิญญาณ น้ำสกัดกลีบสมอง น้ำยาไข่ตื่นตัว ผงธาตุแสง…”
น้ำยาไข่ตื่นตัวเป็นของเหลวจากไข่ชีวภาพชนิดหนึ่ง ที่รักษาความตื่นตัวระดับหนึ่งหลังการดูแลเป็นพิเศษ
ในวิธีการขัดเกลาพื้นฐานของ [ประเภทนกและสัตว์] น้ำยาไข่ตื่นตัวเป็นวัตถุดิบที่จะขาดไปไม่ได้
หลังจากที่ทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็เป็นช่วงทดลองอย่างเป็นทางการ
…
ดาร์กหยิบการ์ดเวทมนตร์เปล่าในราคาห้าสิบคะแนนออกมาโดยไม่ลังเล
หลังจากนั้น เขาก็เกลี่ยน้ำผึ้งวิญญาณลงบนการ์ดเวทมนตร์เปล่าอย่างสม่ำเสมอ จากนั้นจึงเทน้ำสกัดกลีบสมองหยดหนึ่งลงไป
หลังจากการอบแห้งเล็กน้อย ดาร์กก็ใช้น้ำยาไข่ตื่นตัวสีเหลืองใส จากนั้นโรยด้วยผงธาตุแสง ก่อนจะวาดวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 7 ตามลงไป
วงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 7 เป็นวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์ที่ช่วยให้วัตถุดิบ รวมเข้ากับการ์ดเวทมนตร์อย่างค่อยเป็นค่อยไป
…
เนื่องจากการทดลองนี้ทำได้ครั้งเดียว ดาร์กจึงตั้งใจและใช้สมาธิสูงอย่างมาก ทั้งยังดำเนินการทุกขั้นตอนอย่างระมัดระวัง
สุดท้ายแล้วก็ใช้เวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ก่อนที่เขาจะสามารถสร้างการ์ดเวทมนตร์กึ่งสำเร็จรูปที่ละเอียดอ่อนออกมาได้
ในขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการขัดเกลาวัตถุดิบหลัก ดาร์กเปลี่ยนไส้ปากกาพลังเวทมนตร์จากปรอทเป็น ‘เลือดของแมวเงิน’ และเริ่มวาดวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1
แมวสีเงินเป็นสัตว์วิเศษที่มีคุณสมบัติปกติ คุณสมบัติของเลือดใกล้เคียงกับปรอทในเรื่องระดับการชักนำพลังเวทมนตร์ แต่อย่างไร มันก็มีค่ามากกว่าปรอท และมีคุณสมบัติทางชีวภาพมากกว่า ซึ่งเหมาะสำหรับทำการ์ดวิญญาณประเภทแมวส่วนใหญ่
ผลแห่งอัตตา ขนนกเดอะแองเจล เลือดของแมวเงิน…
การเตรียมการทั้งหมดนี้คือ การเพิ่มโอกาสในการได้รับแคทมอน!
เมื่อการวาดวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1 เสร็จสิ้น ดาร์กก็ได้ยินเสียงเมี้ยวออกมาแผ่วเบา!
เขาเทผลแห่งอัตตา ส่วนผสมที่สำคัญที่สุดลงในวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์ก่อน
หลังจากที่ผลแห่งอัตตาค่อย ๆ จมลงไปในวงแหวนเวทมนตร์ที่เปล่งประกาย ดาร์กก็หยิบขนนกเดอะแองเจลขึ้นมา
ทันทีที่ขนนกเดอะแองเจลสัมผัสกับประกายแสงของวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์ มันก็ปล่อยแสงสีขาวออกมาในทันที!
…
เมื่อทำถึงขั้นตอนนี้ ดาร์กก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย
ผลแห่งอัตตาถูกปลูกขึ้นมาโดยใช้ค่ามหาบาป ในขณะที่ขนนกเดอะแองเจลมีคุณสมบัติศักดิ์สิทธิ์ คุณสมบัติทั้งสองจึงหักล้างกันตามทฤษฎี
หากมีปฏิกิริยาต้านเกิดขึ้นในกระบวนการขัดเกลา การทดลองทั้งหมดที่ทำมา…มีแนวโน้มว่าจะล้มเหลว!
เวลาที่เสียไปในการทดลองครั้งนี้เป็นเพียงเรื่องรอง สิ่งสำคัญที่สุดคือผลแห่งอัตตาและขนนกของเดอะแองเจล พวกมันมีค่ามากเกินไป! โดยเฉพาะอย่างหลัง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาสิ่งอื่นมาทดแทน
ดังนั้นการทดลองนี้จึงมีแต่ต้องสำเร็จเท่านั้น!
“หากการขัดเกลาครั้งนี้ประสบผลสำเร็จ ก็ยืนยันเบื้องต้นได้แล้วว่า แก่นแท้ของมหาบาปนั้นไม่ขัดแย้งกับวัตถุศักดิ์สิทธิ์”
ดาร์กระงับความกังวลของเขา และวางขนนกเดอะแองเจลลงในแสงสีขาวอย่างระมัดระวัง
เมื่อมันสัมผัสกับผิวน้ำ ขนนกสีขาวบริสุทธิ์ก็ทำให้เกิดระลอกคลื่นเล็กน้อย
โดยไม่มีการต้านใดๆ ขนนกของเดอะแองเจลจึงถูกรวมเข้ากับวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์ทันที!
ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น
หลังจากที่วงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1 ดูดซับผลแห่งอัตตาและขนนกของเดอะแองเจลเข้าไป แสงที่ปลดปล่อยออกมาก็พุ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุด
หลังจากที่แสงหยุดสว่างลง ดาร์กก็เพิ่มขนแมวอีกสองสามเส้นเข้าไป
ทันใดนั้นแสงก็สว่างขึ้นและมาบรรจบกันอีกครั้ง
วัตถุดิบทั้งหมดถูกหลอมรวมและขัดเกลา แล้วเส้นไหมเรืองแสงก็ปรากฏออกมาจากพื้นผิวการ์ด และค่อย ๆ ก่อตัวเป็นรังไหมสีขาวในที่สุด
…
การขัดเกลาเสร็จสิ้นแล้ว!
…
ไม่ว่าผลสุดท้ายจะออกมาเป็นอย่างไร อย่างน้อยการทดลองก็ประสบความสำเร็จ
ดาร์กถอนหายใจด้วยความโล่งอก และรอคอย ให้การ์ดเวทมนตร์ก่อเป็นรูปเป็นร่างขึ้นอย่างเงียบ ๆ
สองนาทีต่อมา พลังเวทมนตร์ผันผวนที่เล็ดลอดออกมาจากรังไหมสีขาวก็ค่อย ๆ ลดลง
ดาร์กหยิบมีดปรอทออกมา จากนั้นใส่พลังเวทมนตร์เข้าไป และเตรียมที่จะผ่าเปิดรังไหม
แต่เมื่อพลังเวทมนตร์ในใบมีดสัมผัสกับรังไหม รังไหมสีขาวก็ปริออกโดยอัตโนมัติ เผยให้เห็นการ์ดเวทมนตร์สีขาวบริสุทธิ์
แมวในการ์ดลืมตาขึ้นมา ทีแรกดูเหมือนมันจะสับสน แต่แล้วมันก็ค่อย ๆ เพ่งมอง ก่อนจะกลายเป็นเฉียบคมในที่สุด
มันพับแขนบนหน้าอก ยกคางขึ้นเล็กน้อย แล้วถามดาร์กด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยองว่า “เจ้าเป็นเจ้านายของข้าเหรอ?”
บทที่ 128 ตำนานไม่มีวันตาย
บทที่ 128 ตำนานไม่มีวันตาย
เมื่อได้ยินคำถามที่มาอย่างกะทันหันของดาร์ก ศาสตราจารย์เคเซอร์ก็ขมวดคิ้วมุ่น “นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอควรรู้”
ดาร์กคิดว่าเขาจับจุดสำคัญได้แล้วจึงรีบพูดทันทีว่า “ศาสตราจารย์ครับ ผมไม่ได้อยากรู้รายละเอียดลึกอะไรขนาดนั้น”
“ฉันขอคิดก่อนนะ”
ศาสตราจารย์เอนหลังพิงกับเก้าอี้แล้วเคาะโต๊ะอย่างครุ่นคิด
เมื่อเข็มนาฬิกาหมุนผ่านไปทีละนิด บรรยากาศในห้องทำงานก็เงียบสงัดมากขึ้น
ในที่สุด ศาสตราจารย์เคเซอร์ก็พูดขึ้นว่า “จนได้สิท่า แค่เธอเริ่มสงสัยเธอก็มักจะพบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันเสมอ แต่ว่าฉันต้องเตือนเธอหน่อย ถึงแม้ฉันจะเชื่อว่าเธอรู้วิธีหลีกเลี่ยงอันตราย แต่นักเรียนคนอื่นอาจทำไม่ได้ เพราะงั้นเธอไม่ควรบอกคนอื่นในเรื่องที่ฉันกำลังจะบอกเธอต่อไปนี้”
ดาร์กเม้มริมฝีปาก ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ศาสตราจารย์ครับ ผมรู้ และผมก็จะไม่บอกใครด้วยครับ”
ศาสตราจารย์เคเซอร์เพิกเฉยต่อคำสัญญาของเขาและกล่าวต่อว่า “ฉันบอกเธอไม่ได้มาก แค่คำตอบสำหรับคำถามสองข้อนี้เท่านั้น”
ดาร์กให้ความสนใจเต็มที่และตั้งใจฟังในทันที
ศาสตราจารย์เคเซอร์เล่า “ปราสาทเซนต์แมเรียนไม่ได้ตั้งอยู่ในทวีปนี้”
ดาร์กสงสัย “มันก็อยู่เหนืออาณาจักรไม่ใช่เหรอครับ?”
ศาสตราจารย์เคเซอร์ส่ายหัวและกล่าวว่า “แน่นอนว่าไม่ เซนต์แมเรียนที่มองเห็นจากภายนอกเป็นเพียงภาพจำลองของปราสาทเท่านั้น ปราสาทจริงไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตแดนของอาณาจักร เพราะงั้นมันถึงไม่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของอาณาจักร”
ดาร์กไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้ เขาตกใจมากจนลืมดื่มชาด้วยซ้ำ
ศาสตราจารย์เคเซอร์กล่าวต่อ “เธอควรรู้ว่าลานประลองกลางแจ้งและโถงประลองไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน ผู้ชมที่มาจากทั่วอาณาจักรไม่ได้เข้ามาในสถาบันจริง ๆ และถนนนักเดินทางก็เหมือนกัน เก้าอี้หินที่ศาลากลางทะเลสาบเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการสับเปลี่ยนสถานที่เท่านั้น”
ดาร์กพูดด้วยความประหลาดใจ “แล้วปราสาทจริง ๆ ตั้งอยู่ที่ไหนเหรอครับ?”
ศาสตราจารย์เคเซอร์ตอบ “บนแกนแห่งห้วงมิติเวลา”
ดาร์กถามด้วยความสงสัย “นั่นคือที่ไหนเหรอครับ?”
ศาสตราจารย์เคเซอร์ตอบ “พื้นที่ที่เราไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยปัญญาแห่งเรา ทั้งหมดที่เรารู้คือปราสาทสามารถสืบย้อนกลับไปในสมัยก่อนได้ และประวัติศาสตร์ทั้งหมดนับตั้งแต่ก่อตั้งมาจะทิ้งร่องรอยเอาไว้ภายในปราสาท ส่วนความสมจริงของภาพนั้นจะเป็นอย่างไร มันก็ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของประวัติศาสตร์นั้น”
…
ศาสตราจารย์เคเซอร์ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลมากนัก แต่ให้พื้นที่ดาร์กได้จินตนาการมากขึ้น
และเมื่อดาร์กออกจากห้องทำงาน ในที่สุดเขาก็เข้าใจสิ่งที่ศาสตราจารย์ดีดี้กล่าวว่า ‘การฉายซ้ำเหตุการณ์ประวัติศาสตร์’
สี่ยุคที่แล้ว มาร์ติน นักเล่นแร่แปรธาตุในตำนานได้สังเวยชีวิตกว่า 5,764,801 คนเพื่อสร้างน้ำตาของเทพธิดาแห่งจันทราขึ้นมา
ศาสตราจารย์ดีดี้ยืมกลไกของปราสาท และใช้ภาพช่วงเวลานั้นอย่างชาญฉลาดเพื่อลดปริมาณการสังเวยอย่างไม่สิ้นสุด จนในที่สุดก็สามารถบรรลุผลการทดลองแบบเดียวกันได้
แม้ว่าเนื้อหาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จะอยู่เกินเอื้อมของคนทั่วไป แต่นั่นก็คือความหมายของมันอย่างคร่าว ๆ
“กล่าวคือไม่ว่าจะเป็นวิหารจันทรา เทพธิดา หรือภาพจิตรกรรมฝาผนังกับมิโนทอร์เมื่อคืนนี้ ล้วนเป็นเพียงการฉายซ้ำของภาพประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น?”
จิตใจของดาร์กพลันสั่นไหวขึ้นมาทันที เขาไม่เคยรู้สึกกระหายความรู้เกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างขนาดนี้มาก่อน
มันมากเสียจนเขาต้องใช้ ‘ศาสตร์แห่งจิตตั้งมั่น’ เพื่อทำให้สมองว่างเปล่า
“จากร่องรอยประวัติศาสตร์และการเห็นความจริงผ่านม่านหมอกโกลาหล”
“ไม่แปลกใจเลยที่ยุคนี้จะตั้งชื่อตาม ‘เซนต์แมเรียน’ นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของโลกอย่างแท้จริง”
“ไม่ว่าจะเป็นเมอร์ลิน ดัลตัน ดาดาวิชี ผู้ยิ่งใหญ่ส่วนใหญ่ที่วางรากฐานแห่งเวทมนตร์ให้แก่ชนรุ่นหลัง ล้วนมาจากเซนต์แมเรียนทั้งสิ้น”
…
หลังจากทานอาหารกลางวันอย่างเร่งรีบแล้ว ดาร์กก็มาที่ห้องสมุดและใช้เวลาอยู่นานในการค้นหาหนังสือเกี่ยวกับมิติเวลา
ทว่าแม้ว่าเขาจะสามารถอ่านทุกคำในนั้นได้ แต่เขากลับไม่เข้าใจความหมายของประโยคพวกนั้นเลยสักนิด
สิ่งนี้ทำให้ความตื่นเต้นของเขาลดลงอย่างรวดเร็วและกลับสู่ระดับปกติ
ในที่สุดเขาก็ยืม ‘ชีวประวัติของเมอร์ลิน จอมเวทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล’ มา
ดูท่าแล้ว หนังสือเล่มนี้อาจกลายเป็นหนังสือพิเศษ สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจประจำวันของเขาไปอีกนาน
…
ห้านาทีก่อนบ่ายสอง
นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งของทั้งสี่บ้าน ได้นั่งอยู่ในห้องเรียนเรียบร้อยแล้ว
นี่ไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับนักเรียนที่ชอบผัดวันประกันพรุ่งเลย
แต่เนื่องจากคาบเรียนนี้สอนโดยอาจารย์ใหญ่อาร์เต้เอง มันจึงเป็นเรื่องปกติ
อาจารย์ใหญ่เองก็มีเวลาไม่มาก
ดังนั้น ก่อนที่ศาสตราจารย์วิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์คนใหม่จะมาถึง มีความเป็นไปได้สูงที่วิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ของนักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง จะถูกสอนรวมในห้องเรียนเดียวกัน
นักเรียนของทั้งสี่บ้านถูกแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม จนเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน
ดาร์กพลิกดูหนังสือเรียนอยู่ครู่หนึ่ง แต่ความคิดของเขาไม่ได้อยู่ในชั้นเรียนที่กำลังจะเริ่มเลย
กระทั่งอาจารย์ใหญ่อาร์เต้เข้ามาในห้องเรียน เขาถึงกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง
วันนี้อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ดูนิ่งสงบมาก เป็นไปได้ว่าเรื่องของเทพธิดาแห่งจันทราจะได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมแล้ว
คาบวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์เริ่มขึ้นตามปกติในที่สุด
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ไม่ได้ทำตามวิธีการสอนแบบเดิม ๆ และไม่ได้ใช้ตำราสอนเหมือนกับศาสตราจารย์ดีดี้ แต่ใช้ความรู้จากประสบการณ์ของเธอเองเพื่อบรรยายความทุกข์และความบิดเบี้ยวของโลกเมื่อครั้งพวกปีศาจยังมีชีวิตอยู่
“ก่อนที่วีรบุรุษ วัลคีรี และบุคคลสำคัญอื่น ๆ อีกหลายคนที่เป็นผู้จบยุคของปีศาจจะเติบโตขึ้นมา เซนต์แมเรียนในตอนนั้นเป็นป้อมปราการความหวังสุดท้ายของมนุษยชาติ ซึ่งถูกปีศาจสอดแนมและรุกรานมากกว่าหนึ่งครั้ง”
“ศาสตราจารย์ของเราได้เสียสละไปไม่น้อยกว่าวีรบุรุษ เพื่อปกป้องคนรุ่นหลังจากปีศาจ”
“แต่ช่วงเวลาอันสงบสุข มักทำให้ผู้คนหลงลืมการเสียสละในอดีตและความโหดร้ายของสงคราม”
“ผู้คนจำไม่ได้แม้กระทั่งว่า มันไม่ใช่พระเจ้าที่มาโปรดพวกเขายามพวกเขาตกอยู่ในเงามืด”
“ประวัติศาสตร์เวทมนตร์คือ ประวัติศาสตร์ของเวทมนตร์และจอมเวท และยังเป็นประวัติศาสตร์ของวีรบุรุษด้วย”
“วันนี้ฉันจะพูดถึงประวัติศาสตร์ของเหล่าวีรบุรุษ”
“เริ่มจากวีรบุรุษ ไบรต์ กาวด์!”
ไม่มีใครไม่สนใจเหล่าวีรบุรุษที่เป็นผู้กอบกู้โลก
ผู้คนสามารถค้นหาฮีโร่ที่พวกเขาชอบได้ในหมู่วีรบุรุษมากมาย
วีรบุรุษไบรต์ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้กล้า อันที่จริง เขาเป็นเพียงหนึ่งในวีรบุรุษจำนวนมาก
แต่อย่างไร หัวข้อในวันนี้ก็ยังคงเกี่ยวกับวีรบุรุษ
เวอร์เธอร์ผู้เป็นลูกชายของผู้กล้ารู้สึกตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด และเหล่านักเรียนก็มองมาที่เขามากขึ้น
แต่มันต่างจากที่นักเรียนคาดหวังไว้
สิ่งที่อาจารย์ใหญ่อาร์เต้เล่านั้นเกี่ยวกับช่วงเวลาในวัยเรียนแสนซนของวีรบุรุษไบรต์…
“ไม่มีใครเกิดมาสมบูรณ์แบบ!”
→ เธอคงอยากจะปลูกฝังความคิดนี้ให้กับนักเรียน
แต่ดูเหมือนนักเรียนจะไม่เข้าใจความคิดนี้มากนัก และห้องเรียนก็ค่อย ๆ เต็มไปด้วยบรรยากาศรื่นรมย์
เวอร์เธอร์ก้มหน้างุด
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้…ไบรต์ในเรื่องเล่าก็ยังคงแสดงศักยภาพของเขาในฐานะวีรบุรุษ
แม้ว่าเวอร์เธอร์จะหน้าแดง แต่เขาก็ยังคงตั้งใจฟัง
จากนั้น อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ก็พูดถึงวัลคีรี ซึ่งอยู่ปีเดียวกันกับวีรบุรุษ และนั่นคือเวลาที่ดาร์กตั้งใจฟังชั้นเรียนมากที่สุด
ตามคำอธิบายของอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ ไม่มีใครคาดคิดว่า ท้ายที่สุดแล้วเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ น่ารัก ๆ ที่ชอบเย็บปักถักร้อย จะกลายมาเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณการต่อสู้ในสนามรบ
บทที่ 127 ประวัติศาสตร์ เวทมนตร์ และคาถาทั่วไป
บทที่ 127 ประวัติศาสตร์ เวทมนตร์ และคาถาทั่วไป
“เพราะเทคโนโลยีเวทมนตร์ในปัจจุบันพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เวทมนตร์ของยุคเก่าค่อย ๆ หายไป”
“แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่ใช้เวทมนตร์พวกนั้นอีกต่อไป”
ด้วยการสะบัดนิ้ว เปลวไฟก็โผล่ออกมาจากปลายนิ้วของศาสตราจารย์เคเซอร์
เปลวไฟนั้นลุกโชนขึ้นตามสายลมและกลายเป็นไม้กายสิทธิ์
ด้วยการสะบัดอีกครั้ง มันก็กลายเป็นการ์ดบาง ๆ
จากนั้นเขาก็เป่าการ์ด ดับไฟ นี่เป็นการแสดงที่สุดยอดมาก!
“การเรียนรู้เวทมนตร์แบบนี้ทั้งยากและน่าเบื่อมาก ตลอดชีวิตของจอมเวทส่วนใหญ่สามารถเรียนรู้ได้แค่วิธีร่ายคาถาลูกไฟเท่านั้น เรามักจะเรียกพวกเขาว่าผู้ใช้มนตรา และผู้ใช้มนตราก็มีค่ามากในศตวรรษที่แล้ว”
“การท่องและดึงพลังเวทมนตร์ออกมา เป็นเพียงก้าวแรกของการร่ายคาถาเท่านั้น”
“ถ้าเธอต้องการร่ายลูกไฟออกมา เธอต้องรู้ว่าลูกไฟเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมมันถึงเผาไหม้ได้ ตัวกลางในการเผาไหม้คืออะไร ความสัมพันธ์ระหว่างพลังเวทมนตร์กับเปลวไฟ กฎอุณหภูมิเปลวไฟ และระยะเวลาที่มันคงอยู่…”
…
ศาสตราจารย์เคเซอร์อธิบายรายละเอียดมากมายที่จอมเวทฝึกหัดต้องทราบ
และพวกเขารู้สึกเหมือนหัวตัวเองกำลังจะระเบิด
ดาร์กเห็นไดแอนนาฟุบลงบนโต๊ะไปแล้ว มือกุมหัวดูน่าสงสาร ไม่แน่ว่าตอนนี้คงมีเกลียววงกลมเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอแล้ว
โชคดีที่หลังจากนั้นไม่กี่นาที ศาสตราจารย์เคเซอร์ก็เปลี่ยนไปพูดอีกหัวข้อหนึ่ง และจบหัวข้อเวทมนตร์ยุคเก่าไป
…
“แต่ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยีเวทมนตร์ เราจึงสามารถแก้ปัญหานี้ได้”
“เพียงแค่เขียนคาถาที่เกี่ยวข้องด้วยภาษาเวทมนตร์ แล้วจารึกมันลงไปในการ์ดเวทมนตร์ เมื่อการ์ดเวทมนตร์ถูกสร้างจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว เราก็สามารถร่ายคาถาด้วยคำเรียกง่าย ๆ เพื่อปลดปล่อยพลังเวทมนตร์ได้”
“แน่นอน ภาษาเวทมนตร์คือสิ่งที่เธอจะไม่ได้เรียนจนกว่าจะอยู่ปีสอง”
“ความยากง่ายของภาษาเวทมนตร์ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล และมันยังมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
“ลูกไฟแบบเดียวกัน แต่ร่ายโดยจอมเวทคนละคน ผลของมนตร์ที่ออกมาจะแตกต่างกัน”
“แต่ก็มีคาถาพิเศษบางอย่างที่สามารถใช้แบบทั่วไปได้”
“และก่อนเรียนภาษาเวทมนตร์ เราสามารถลองทำการ์ดเวทมนตร์ง่าย ๆ โดยใช้คาถาทั่วไปเหล่านี้ได้”
“เปิดภาคผนวกท้ายเล่มเลย”
…
นักเรียนทำตามที่ศาสตราจารย์เคเซอร์บอก และพลิกหนังสือเรียนไปที่หน้าภาคผนวกสุดท้าย
[ภาคผนวก 1 คาถาทั่วไป]
1. กระสุนเวทมนตร์
2. ผลักออก
3. สกัดกั้น
4. พรางตา
5. เคลื่อนย้ายในพริบตา
…
คาถาทั่วไปทั้งหมดห้าประเภทถูกระบุไว้ในหน้าภาคผนวกของคู่มือทฤษฎีเวทมนตร์เบื้องต้น 1
นี่คือสิ่งที่นักเรียนชั้นปีหนึ่งจำเป็นต้องเรียนรู้
“กระสุนเวทมนตร์ ผลักออก…”
ดาร์กมองดูภาคผนวกด้วยความประหลาดใจ คาถาทั่วไปทั้งห้านั้น แตกต่างจากเนื้อหาของผู้เริ่มต้นที่เขาจินตนาการไว้เล็กน้อย
“ปกติมันควรจะเป็น ลูกไฟหนึ่ง ลูกไฟสอง ลูกไฟสาม… หรืออะไรแบบนั้นไม่ใช่เหรอ?”
เหมือนว่านักเรียนส่วนใหญ่ก็มีความคิดเช่นเดียวกับเขา
เหล่าจอมเวทฝึกหัดมองไปที่ภาคผนวก และอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบกันอย่างฉงนใจ
ศาสตราจารย์เคเซอร์มองดูเด็ก ๆ คุยกัน เขาไม่ได้รู้สึกรำคาญ แต่กลับเผยรอยยิ้มออกมา
ศาสตราจารย์ยื่นมือออกมา ส่งสัญญาณให้ทุกคนสงบลงแล้วพูดว่า “แม้ว่าคาถาทั้งห้านี้จะดูไม่เหมือนคาถาทั่วไป แต่มันก็เป็นคาถาสำคัญที่พวกจอมเวทใช้อยู่บ่อยครั้ง และในอนาคตพวกเธอจะค้นพบคาถาสำคัญของพวกเธอเจอเอง เอาล่ะ การบรรยายวันนี้ เราจะพูดถึงแค่พวกทฤษฎีเท่านั้น และยังไม่มีการทดลอง แต่แน่นอน การทดลองจริงจะเริ่มขึ้นในวันจันทร์หน้าและตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป ศาสตราจารย์จะไม่ให้ชุดอุปกรณ์สำหรับการทดลองอีกแล้ว พวกเธอต้องหารายชื่อของวัตถุดิบและซื้อมันมาทำการทดลอง ด้วยคะแนนของตัวเอง”
เห็นได้ชัดว่า คำพูดสุดท้ายของศาสตราจารย์เคเซอร์ มีผลกระทบต่อนักเรียนมากกว่าความสับสนจากบทเรียนคาถาทั่วไปเสียอีก
เหล่าจอมเวทชั้นปีหนึ่งต่างพากันเงียบไปชั่วครู่ ก่อนที่ทั้งห้องเรียนจะบังเกิดเสียงระงมดังขึ้น
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งยกมือขึ้นทันทีและพูดว่า “ศาสตราจารย์ ถ้าเรามีคะแนนไม่พอ และไม่สามารถซื้อวัตถุดิบมาได้ล่ะคะ?”
ศาสตราจารย์เคเซอร์ตอบอย่างสุภาพว่า “ศาสตราจารย์จะประเมินคะแนนจากการบ้านของพวกเธอ ตราบใดที่พวกเธอตั้งใจฟังในชั้นเรียนและทำการบ้านให้เสร็จตรงเวลา มันจะไม่มีปัญหาเรื่องคะแนนไม่เพียงพอแน่นอน”
มีนักเรียนคนหนึ่งมองเห็นคำพูดโดยนัยของศาสตราจารย์เคเซอร์ และถามด้วยความประหลาดใจว่า “ศาสตราจารย์ครับ หมายความว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ศาสตราจารย์จะเริ่มให้งานทดลองแบบนี้ใช่ไหมครับ?”
ศาสตราจารย์เคเซอร์พยักหน้าและกล่าวว่า “อันที่จริง เราเคยทำไปแล้วนะ เช่นตอนที่สร้างการ์ด [สัตว์อสูรมายา] ก็เป็นการทดลองแบบนี้”
ทันทีหลังจากนั้น นักเรียนหลายคนยกมือขึ้นเพื่อถามคำถาม และศาสตราจารย์เคเซอร์ก็ตอบทีละคน
หลังจากถามคำถามทั้งหมดแล้ว เหล่าจอมเวทฝึกหัดก็ตกอยู่วังวนความสิ้นหวัง
ดูเหมือนว่าตั้งแต่วันนี้ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่สามารถใช้จ่ายมั่วซั่วได้อีกต่อไป แต่พวกเขายังต้องรู้จักวางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบด้วย
เอ็มม่าผู้ที่นั่งแถวแรกดูสงบนิ่ง
และเวอร์เธอร์ในแถวสุดท้ายก็แท็กมือกับโรเบิร์ต
ดาร์กที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างก็เผชิญกับสายตาน่าสงสารของไดแอนนา เขาก็พูดอย่างไร้ความปรานีว่า “แก้ปัญหาของเธอด้วยตัวเอง”
ไดแอนนาทำได้แค่ใช้นิ้วนับว่าต้องเก็บออมเท่าไหร่
โรสยิ้มเยาะ
อันที่จริง พวกเขาทั้งหมดได้คะแนนมากมายจากงานเลี้ยงสวมหน้ากาก ตราบใดที่ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย พวกเขาย่อมใช้ชีวิตด้วยคะแนนที่มีได้อย่างสบาย ๆ
…
ภายในชั้นเรียนหลังจากนั้น ศาสตราจารย์เคเซอร์ก็บรรยายเกี่ยวกับทฤษฎีอันว่าด้วยหลักการและวิธีการเขียนคาถาลงบนการ์ดเวทมนตร์ต่ออย่างละเอียด
แต่นักเรียนไม่มีความตั้งใจที่จะฟังชั้นเรียนอีกแล้ว พวกเขาจดบันทึกกันอย่างเศร้าซึม
นอกจากบอกให้นักเรียนอย่าลืมไปซื้ออุปกรณ์ที่ถนนนักเดินทางในวันหยุดสุดสัปดาห์ ศาสตราจารย์เคเซอร์ก็ไม่ได้ให้การบ้านเพิ่ม
เหง่งหง่าง!
เสียงระฆังบอกเลิกคาบเรียนดังขึ้น
เมื่อศาสตราจารย์ออกจากห้องเรียน อารมณ์ของนักเรียนก็ระเบิดขึ้นในทันที
ทั้งห้องเรียนเต็มไปด้วยเสียงคร่ำครวญทุกรูปแบบ
เดิมที หลายคนตั้งตารอคาบวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ที่อาจารย์ใหญ่จะเป็นคนสอนในตอนบ่าย แต่ตอนนี้พวกเขาไม่มีอารมณ์แล้ว
ดาร์กยิ้มออกมาพลางเก็บของ และเตรียมที่จะออกจากห้องเรียน
แต่ในขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้น เอ็มม่าก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า
มือของเด็กหญิงถือสมุดบันทึกและพูดเสียงต่ำว่า “นายตกลงว่าจะให้ฉันยืมมัน”
เมื่อได้ยินดังนั้น ดาร์กก็นึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้ เขาตอบว่า “เดี๋ยวตอนเย็นฉันเอาไปให้ที่ห้องสมุด”
“ตกลง!” เอ็มม่าตอบอย่างแผ่วเบาและจากไปอย่างรวดเร็ว
ไดแอนนาเหลือบมองเอ็มม่า และกระซิบข้างหูของโรสว่า “เย็นนี้เราไปห้องสมุดกันเถอะ!”
โรสพยักหน้า “เราจะได้ทำการบ้านของศาสตราจารย์ลิลลี่ให้เสร็จด้วย”
…
ดาร์กออกจากห้องเรียน แต่ไม่ได้ไปที่โรงอาหาร
เขาเคาะประตู และเข้าไปในห้องทำงานของศาสตราจารย์เคเซอร์ ก่อนจะถามขึ้นมาว่า “ศาสตราจารย์ ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ?”
ศาสตราจารย์พยักหน้าเล็กน้อยและชี้ไปที่โซฟา
ดาร์กนั่งลงบนโซฟา มือชงชาอย่างชำนาญ
ศาสตราจารย์เคเซอร์ถอนหายใจและจู่ ๆ ก็พูดว่า “เดม่อน ฉันขอโทษจริง ๆ”
ดาร์กชะงักไปครู่หนึ่งแล้วยิ้มออกมา “ศาสตราจารย์ ไม่ใช่ผมที่คุณต้องขอโทษหรอกนะครับ”
ใบหน้าของศาสตราจารย์เคเซอร์มีร่องรอยความเศร้าปรากฏอยู่ “ฉันรู้สึกผิดมากมาหลายปีแล้ว ถ้าฉันตั้งใจแน่วแน่ที่จะกันไม่ให้พวกเขาเข้าไปในวิหาร ทุกอย่างจะไม่ออกมาเป็นแบบนี้ ตอนที่รู้ว่าจุดประสงค์ของดีดี้คือการสร้างน้ำตาเทพธิดาแห่งจันทรา ฉันก็ไม่กล้าที่จะหยุดเธอ โชคดีที่เธออยู่ที่นี่”
ดาร์กตอบอย่างหมดหนทาง “ผมไม่ได้หมายถึงเธอด้วยครับ”
ศาสตราจารย์เคเซอร์พยักหน้า “ฉันรู้”
ดาร์กพูดต่อ “เปลี่ยนเรื่องกันเถอะครับ ศาสตราจารย์ ผมอยากรู้ว่าที่ตั้งของปราสาทมีความพิเศษยังไง? แล้วมันมีประวัติความเป็นมายังไงกันแน่ครับ?”
บทที่ 126 เรายังไม่รู้ชื่อดอกไม้ที่เราเห็นในวันนั้น
บทที่ 126 เรายังไม่รู้ชื่อดอกไม้ที่เราเห็นในวันนั้น
สีหน้าของดาร์กแข็งทื่อไปทันที เขาใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะคืนสติกลับมาได้
ดาร์กเรียกเดอะเลดี้กลับเข้าไปในการ์ดอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะมองดูร่างของมิโนทอร์ต่อ
ไม่ใช่ว่าไม่สามารถเปิดเผยเดอะเลดี้ได้ แต่เขาไม่อยากให้มีคนรู้ว่าเดอะเลดี้เป็นร่างวิวัฒนาการของวิญญาณรับใช้ของเขามากเกินไป
แม้ว่าวิญญาณรับใช้จะอยู่ในหมวดหมู่สปิริต แต่มันกลับมีความพิเศษอย่างยิ่ง และในทางทฤษฎีมันไม่มีค่าพลังโจมตีด้วยซ้ำ
หากอยากให้วิญญาณรับใช้มีค่าพลังโจมตี ก็ต้องใช้การ์ดเวทมนตร์ที่เรียกว่า [กรงต้องสาป]
[กรงต้องสาป] สามารถผนึกสิ่งมีชีวิตเทียม เช่น วิญญาณรับใช้และโกเลมไว้ในการ์ด และทำให้สามารถใช้มันเหมือนกับเป็นสปิริตได้
…
ร่างของมิโนทอร์ไม่ได้คงอยู่เหมือนที่ดาร์กคิด
มันค่อย ๆ หายไปหลังจากนั้นประมาณสามนาที เช่นเดียวกับภาพจิตรกรรมฝาผนัง
แต่มิโนทอร์ทิ้งขนหนาของวัวตัวผู้ไว้ด้วย ไม่เหมือนกับภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ดาร์กหยิบขนตัวผู้ด้วยสองนิ้วและมองอย่างระมัดระวัง และค่อนข้างพูดไม่ออกอยู่บ้าง
แต่การให้ขนแบบนี้ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
เขายอมรับความจริงข้อนี้อย่างรวดเร็ว และเก็บขนวัวกระทิงไปอย่างระมัดระวัง
จากนั้นก็หันหลังเดินไปทางเพื่อนร่วมชั้น
เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตฟื้นสติแล้ว
เอ็มม่ายืนพิงกำแพงอยู่คนเดียว มือกำลังพลิกดูสมุดบันทึก
ไดแอนนาและโรสพูดคุยกันด้วยรอยยิ้ม
ดาร์กเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “กลับกันเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรียนอยู่”
จากนั้นทุกคนก็พากันเดินไปที่ทางออกของทางลับ
แต่ผ่านไปได้เพียงครึ่งทางก็มี ‘ภูตตัวน้อย’ ขนาดเท่าฝ่ามือบินผ่านกำแพงออกมามองพวกเขา
‘ภูตตัวน้อย’ ซึ่งมองแวบแรกเหมือนกับศาสตราจารย์ลิลลี่ บินไปรอบ ๆ ตัวพวกเขาสองรอบแล้วเริ่มนำทาง
ไดแอนนาไล่ตาม ‘ภูต’ ราวกับลูกแมวไล่แมลงปอ
ดาร์กและคนอื่น ๆ อดไม่ได้ที่จะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
ไม่นานพวกเขาก็ออกจากทางลับ
นอกทางลับ มีผู้คนมากมายกำลังเดินทางกลับหอพัก
‘ภูตตัวน้อย’ ที่พาพวกเขาออกจากทางลับนั้นไปรวมตัวกันกลางอากาศ และปีกที่สั่นอย่างรวดเร็วของพวกมันก็ส่งเสียง ‘หึ่ง’
เห็นได้ชัดว่า ‘ภูตตัวน้อย’ ตัวเดียวดูน่ารักมาก แต่เมื่อมีร้อยตัวมารวมกัน มันกลับทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว
อืม ฉันควรจะพูดว่า สมกับเป็นศาสตราจารย์ลิลลี่ดีไหมนะ?
ดาร์กแค่รู้สึกตกใจกับมันเล็กน้อยเท่านั้น
…
เมื่อถึงหอพัก ดาร์กก็รีบกล่าวราตรีสวัสดิ์กับไดแอนนาและโรส จากนั้นก็ล็อกประตู จากนั้นก็ล้างหน้า แปรงฟัน ให้อาหารแมว รดน้ำต้นไม้ และจบที่เตียงของเขา ทั้งหมดในคราวเดียว!
ในที่สุดวันหยุดก็หมดลงแล้ว
แต่คืนนี้คงไม่มีใครนอนหลับ
…
เช้าวันถัดมา เวลาหกโมงครึ่ง
ดาร์กนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น มองดูรุกกี้เดวิมอนบินกลับมาพร้อมตะกร้า เขารู้สึกทันทีว่าในที่สุดชีวิตก็กลับมาสู่เส้นทางเดิม
อนิจจา
ท้ายที่สุดแล้ว นี่ก็คือชีวิตที่เขาต้องการ!
เรื่องต่าง ๆ อย่างงานเต้นรำ เทพธิดาแห่งจันทรา และทางลับควรไปลงนรกซะ!
ดาร์กรู้สึกอารมณ์ดีอยู่บ้าง เขาเอาอาหารเช้าออกจากตะกร้า แล้วจึงหยิบ ‘เดลี่เสจ’ ของวันนี้ออกมา
ปากจิบนม มือเปิดหนังสือพิมพ์ และอ่านมันอย่างสบายใจ
พรูด!
นมแทบพุ่งออกมาจากปาก
ดาร์กมองพาดหัวข่าว แล้วรู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมาในทันที
‘ช็อก! ตระกูลของดัชเชสอาจแต่งงานกับราชวงศ์ บุตรแห่งดัชเชสและเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์ตกหลุมรักกันในวันฮาโลวีน!’
ด้านล่างเป็นภาพการเต้นรำของดาร์กกับใครบางคน
ดาร์กในภาพสวมชุดเจ้าชายรัตติกาลกับหน้ากากอีกาสีดำครึ่งหน้า ซึ่งทำให้ดูลึกลับและหล่อเหลาเอาการ
ขณะที่คู่เต้นรำของเขาสวมชุดเจ้าหญิงสไตล์เดียวกัน แต่มันเปิดเผยเพียงมุมมองจากด้านหลังเท่านั้น
เดี๋ยวก่อน นี่ไดแอนนาไม่ใช่เหรอ?
เพราะชุดหมีไม่สวยพอ ทางหนังสือพิมพ์จึงเอาภาพนี้มาแทนงั้นเหรอ?
จรรยาบรรณนักข่าวยังมีอยู่ไหม?
ดาร์กพูดอะไรไม่ออกจริง ๆ
เขาอ่านมันต่อและพบว่าทางนั้นไม่มีการเอ่ยถึงเทพธิดาแห่งจันทราเลยสักนิด
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเนื้อหาข่าวยังไม่ได้เขียน หรือเพราะถูกระงับไว้แล้ว
…หรือพวกเขากำลังรออะไรบางอย่าง?
“ทำไมฉันถึงไม่รู้มาเลยก่อนว่า เดลี่เสจเป็นสำนักพิมพ์ที่ชอบสร้างข่าวลืออื้อฉาวขนาดนี้ สงสัยมันคงถึงเวลาที่ฉันต้องพิจารณาหนังสือพิมพ์เจ้าอื่นแล้ว”
ดาร์กถอนหายใจ แต่ก็ยังอ่านหนังสือพิมพ์ทั้งฉบับขณะทานอาหารไปด้วย
ในฐานะที่เป็นหนังสือพิมพ์ที่แพร่หลายมากที่สุดในอาณาจักร ‘เดลี่เสจ’ กลับไม่ได้เป็นตัวแทนเสียงของฝั่งสำนักพิมพ์แต่อย่างใด
ทว่า…ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร พาดหัวนี้มีแรงจูงใจซ่อนเร้นอย่างเห็นได้ชัด!
‘พวกเขาต้องการผูกมิตรกับกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังจักพรรดินีองค์ที่สอง กับเจ้าหญิงองค์โตหรือเปล่า?’
‘แต่ถ้าข่าวนี้ถูกฝ่ายนกพิราบบงการ มันจะไม่เกินไปหน่อยเหรอ?’
‘มันคงเป็นแค่ข่าวบันเทิงธรรมดา ๆ ใช่ไหม?’
หลังจากคาดเดาไปต่าง ๆ นานาอย่างไม่มีประโยชน์ ดาร์กก็วางหนังสือพิมพ์ลง หลับตาและสงบสติอารมณ์ ก่อนจะเริ่มอ่านหนังสือเรียนล่วงหน้า
…
คาบเรียนแรกหลังวันฮัลโลวีนเป็นวิชาคณิตศาสตร์
ศาสตราจารย์ลิลลี่เขียนคำถามบนกระดานดำว่า ‘เมื่อคืนฉันปล่อยภูตไปจับพวกเธอกี่ตัว?’
ทั้งห้องเงียบสงัดในบัดดล และไม่มีใครสามารถตอบคำถามยาก ๆ นี้ได้
จากนั้น ศาสตราจารย์ลิลลี่ก็เขียนคำถามที่สองบนกระดานดำว่า ‘เช้านี้มีคนมาสายกี่คน’
นักเรียนคนหนึ่งยกมือขึ้นอย่างกล้าหาญ
“เอ็มม่า มอร์ติส ช่วยตอบที”
“มีคนมาสายแปดคนค่ะ ศาสตราจารย์”
“ดีมาก มอร์ติสได้ห้าคะแนน ทุกคนที่มาสายลบห้าคะแนน แล้วไปยืนที่หลังห้องเรียน!”
ด้วยคำพูดนี้ เด็กบ้านขุนนางสามคน บ้านอัศวินห้าคน รวมทั้งหมดแปดคนจึงห่อไหล่ เดินไปยืนเรียงแถวอยู่ที่หลังห้องเรียน
ดาร์กซึ่งนั่งอยู่แถวหลัง สามารถเห็นความอับอายและความหงุดหงิดของพวกเขาได้
แม้ว่าตั้งแต่ต้นปีการศึกษาจะมีคนที่มาเรียนสายอยู่เสมอ แต่จริง ๆ แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่คนจำนวนมากถูกลงโทษแบบนี้
อาจเป็นไปได้ว่า ศาสตราจารย์ลิลลี่กลัวว่าวันหยุดสองวันที่ผ่านมาจะทำให้นักเรียนหย่อนยานได้
ในบรรดาเด็กมาสายทั้งแปดคน โดรอนแห่งตระกูลขุนนางก็ยกมือขึ้นทันที
ศาสตราจารย์ลิลลี่หรี่ตาของเธอ “โดรอน เธอต้องการจะพูดอะไร”
โดรอนซึ่งมาสายเป็นครั้งแรกในชีวิต กัดฟันพูดว่า “ศาสตราจารย์ ผมไม่ได้ตั้งใจมาสายนะครับ”
ศาสตราจารย์ลิลลี่ตอบ “ก็ไม่มีใครตั้งใจแบบนั้นหรอก”
โดรอน “ผ–ผมแตกต่าง! ผมมาสายเพราะตื่นเช้ามาแล้วรู้สึกเพลีย…”
ศาสตราจารย์ลิลลี่พูดต่อ “ใช่ โดรอน ฉันรู้แล้วว่าเธอมาสายเพราะว่าเมื่อคืนเธอนอนดึก เพราะฉะนั้นหุบปากซะ”
ประโยคนี้ทำให้เกิดเสียงหัวเราะในห้องเรียน
โดรอนหุบปากทันที
คนมาสายที่เหลือก็รู้สึกละอายและไม่กล้าพูด
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่า พวกเขามีรอยตื้นสองจุดอยู่ที่หลังคอ และตอนนี้มันกำลังจะจางหายไป
สรุปแล้ว
หลังเลิกเรียนพวกเขาก็ได้รับการบ้านสองเท่า
…
คาบสองเป็นวิชาเวทมนตร์พื้นฐานของศาสตราจารย์เคเซอร์
ในเดือนที่สามของนักเรียนชั้นปีหนึ่ง ในที่สุดศาสตราจารย์เคเซอร์ก็เริ่มสอนเกี่ยวกับการทำการ์ดเวทมนตร์
วันนี้เขาดูไม่ค่อยดีนัก แต่เขาก็ยังพูดว่า “วันนี้ เราจะมาเรียนรู้หนึ่งในวิธีการสร้างการ์ดเวทมนตร์ นั่นก็คือการสร้างการ์ดเมจิก!”
บทที่ 125 การต่อสู้ในเขาวงกตมีอะไรผิดปกติหรือ?
บทที่ 125 การต่อสู้ในเขาวงกตมีอะไรผิดปกติหรือ?
“โรเบิร์ต!” เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้อง เวอร์เธอร์ก็รีบวิ่งไปทันที
เขาดึงการ์ด [โทรลล์] ออกมาด้วยความเร็วสูง ก่อนจะร่ายด้วยคาถาอัญเชิญปกติ และโทรลล์ที่สูงเกือบสี่เมตรก็ตกลงมาบนพื้นซึ่งถูกโอบล้อมด้วยแสงจ้าภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที สัตว์ร้ายลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพอดีกับที่ขวานศึกทุบลงมา!
โรเบิร์ตซึ่งถูกโทรลล์ขวางไว้ เกือบจะฉี่ราดตัวเองด้วยความตกใจ ขาของเขาสั่นเทาและแข็งทื่ออยู่กับที่
เวอร์เธอร์คว้าแขนเพื่อนสนิทแล้วรีบออกตัววิ่งทันที
“มอออ!”
มิโนทอร์ซึ่งสูงกว่าโทรลล์สูดหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะคำรามกู่ร้องในทันใด กล้ามแขนของมันปูดขึ้นเป็นมัด ๆ จากนั้นใช้แรงตั้งแต่ส่วนหลังจนถึงส่วนเอว แล้วทุบขวานศึกลงไปอีกครั้ง!
ฉัวะ!
พลังเวทมนตร์ของโทรลล์พุ่งออกมาราวกับโลหิตสูบฉีด แต่แล้วขวานศึกก็ฟันเข้าที่ไหล่ซ้ายของโทรลล์ ตัดแขนซ้ายทั้งหมดของมันไป!
เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตไม่กล้ามองย้อนกลับไป เสียงกรีดร้องของโทรลล์ยังคงดังตามมา มันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมอนสเตอร์ตัวนั้นเลย!
ผ่านไปครู่หนึ่ง เวอร์เธอร์รู้สึกว่าการ์ด [โทรลล์] ในมือสั่นเล็กน้อย และดวงดาวเล็ก ๆ ก็กลับมารวมตัวกัน เป็นภาพของโทรลล์บนการ์ดอีกครั้ง
ทว่าตอนนี้ บนการ์ดกลับมีสีซีดจาง ราวกับต้องใช้เวลานานมากในการฟื้นฟู
เวอร์เธอร์รู้ว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย เขาอดไม่ได้ที่จะถือ [ความรักต้องห้าม] ไว้ในมือ
เด็กชายเคยลอบใช้มันแล้วหลังจากเข้ามาที่ทางลับ ซึ่งปรากฏว่าผลของ [ความรักต้องห้าม] ยังคงอยู่ และหมอกร่างคนตัวเล็กก็ยังตอบรับการเรียกหาของเขา รวมไปถึงยังสามารถนำทางเขาได้
เพียงแต่ว่าหมอกร่างคนตัวเล็กเคยทรยศเขามาก่อน ดังนั้นเวอร์เธอร์จึงไม่กล้าเดินตามคำแนะนำของมันอีก
แต่ตอนนี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมิโนทอร์ที่น่าสะพรึงกลัว เวอร์เธอร์ก็ทำได้เพียงพึ่งพา [ความรักต้องห้าม] ที่เคยทรยศเขาเท่านั้น
แต่นี่ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองไร้พลังอย่างมาก
…
สามทุ่มครึ่ง
แม้ว่าดาร์กจะมาทีหลัง แต่เขากลับวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังได้เร็วกว่าเอ็มม่า
เด็กชายค้นพบมานานแล้วว่าเขามีพรสวรรค์ในการวาดภาพ และเมื่อใช้ร่วมกับนิ้วมือที่นิ่งของเขา ดาร์กก็สามารถคัดลอกได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
หลังจากวาดภาพแล้ว ดาร์กเริ่มสังเกตจิตรกรรมฝาผนังอย่างระมัดระวังตั้งแต่ต้นจนจบ
ภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นเรื่องราวที่เก่าแก่มาก มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังของชาวอียิปต์
ในภาพวาดแรก คนยากจนที่เนื้อตัวมอมแมมกำลังขุดแร่จำนวนมากจากเหมือง
ในภาพวาดที่สอง ช่างตีเหล็กที่เปลือยครึ่งตัวกำลังหลอมแร่เป็นอิฐสี่เหลี่ยมขนาดมาตรฐาน
ในภาพวาดที่สาม พ่อค้าในชุดสามัญกำลังขายอิฐสี่เหลี่ยมให้กับขุนนาง
ในภาพวาดที่สี่ ขุนนางที่สวมเสื้อผ้าหรูหรากำลังใช้อิฐสี่เหลี่ยมสร้างหอคอยเหนือแท่นบูชา
ในภาพวาดที่ห้า มนุษย์หลายพันคนกำลังสวดวิงวอนใต้แท่นบูชาเพื่อรอการมาถึงของบางตัวตน
ในภาพวาดที่หก สัตว์ร้ายยักษ์ปรากฏกายขึ้นและโผล่ออกมาจากหลุมดำบนท้องฟ้าระหว่างการสังเวย
ในภาพวาดที่เจ็ด สัตว์ร้ายคำรามลั่น ก่อนจะกลืนกินเครื่องสังเวยและมนุษย์ทั้งหมด
ในภาพวาดที่แปด โลหิตและซากศพมนุษย์กองทับถมกันอยู่บนพื้นอย่างแปลกประหลาด
มีภาพวาดทั้งหมดแปดภาพ
ดาร์กพยายามอย่างหนักกับการวาดภาพที่แปด และในที่สุดเขาก็คัดลอกรายละเอียดทั้งหมดเสร็จจนได้
เขารู้สึกว่าสิ่งที่ภาพวาดเหล่านี้ต้องการถ่ายทอดออกมานั้นแปลกมาก แต่มันก็ควรค่าแก่การศึกษามากเช่นกัน
ในกรณีที่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าภาพจิตรกรรมฝาผนังจะหายไปหรือไม่ ทางที่ดีคือควรคัดลอกไว้ก่อน
“ดาร์ก ดาร์ก!” ไดแอนนาซึ่งเริ่มเดินเตร่ไปรอบ ๆ หลังจากค้นหาจิตรกรรมฝาผนังอันอื่นอย่างไร้ผล จู่ ๆ ก็วิ่งกลับมา
ดาร์กหันหน้าไปมองด้วยความสงสัย
ไดแอนนาหอบหายใจ “นายได้ยินเสียงกระทิงคำรามไหม? มันฟังดูดุร้ายมาก แบบดุร้ายมาก ๆ”
ดาร์กอยากจะบอกว่าเขาไม่ได้ยิน แต่แล้วก็มีเสียงคำรามของวัวกระทิงดังขึ้น
“มอออ!”
เสียงคำรามนั้นยิ่งกว่ารุนแรง เพราะมันสะเทือนขวัญสุด ๆ!
ดาร์กหยิบการ์ดคัดสรรออกมาโดยไม่รู้ตัว และจากนั้นก็รู้ทันทีว่าเสียงคำรามมันดังมาจากที่ไกล ๆ
‘มีคนปล่อยสปิริตออกมาหรือเปล่า?’
‘หรือว่ามีมอนสเตอร์เกิดขึ้นมาในทางลับนี้?’
ความคิดทั้งสองแวบเข้ามาในหัวของเขา
ดาร์กเก็บสมุดบันทึกไว้ในกระเป๋าสะพายข้างทันที ก่อนจะชำเลืองมองไปยังเอ็มม่าที่ยังคงวาดรูปอยู่ เขาเอ่ยเตือนเธอว่า “ได้เวลาไปกันแล้ว!”
เอ็มม่าเหลือบมองเขา แล้ววาดต่อด้วยความเร็วที่เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อดาร์กกำลังจะห้ามปรามเธออีกครั้ง ตอนนั้นเองที่เขาสังเกตเห็นว่าจิตรกรรมฝาผนังด้านซ้ายสุดเริ่มจางลงแล้ว ทันทีทันใด เขาฉุกคิดบางอย่างได้และพูดทันทีว่า “เธอวาดทั้งหมดไม่ทันหรอก ได้เวลาไปแล้ว เดี๋ยวฉันให้เธอยืมสมุดตอนที่พวกเรากลับไป”
แต่เมื่อเขาพูดอย่างนั้น เอ็มม่าก็กัดฟันและยิ่งจดจ่อมากขึ้น
“มอ!”
จู่ ๆ เสียงคำรามก็ดังใกล้ขึ้นมา
สีหน้าของดาร์กเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาจับไหล่ของเอ็มม่าและพูดอย่างเคร่งขรึม “มันอาจจะเป็นมอนสเตอร์นะ อย่าเอาแต่ใจสิ”
เอ็มม่าชะงักไป
คราวนี้เธอรีบเก็บปากกาใส่กระเป๋าของเธอ
ดาร์กถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดเสียงดังทันที “ไปกันเถอะ ไปที่ที่มีคนเยอะ ๆ และไปหาพวกรุ่นพี่ให้เร็วที่สุด…”
ไดแอนนาและโรสเชื่อฟังมากในขณะนี้ ทั้งสี่ออกจากทางเดินอย่างรวดเร็ว และภาพจิตรกรรมฝาผนังที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาก็หายไปด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
แต่เมื่อทั้งสี่ไปถึงหัวมุม พวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงหอบดังมาจากผนัง
ดาร์กตั้งใจฟังและในชั่วพริบตา เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของโรเบิร์ตและเสียงคำรามของเวอร์เธอร์ รวมไปถึงเสียงของหนักกระทบพื้น
เขารู้ทันทีว่ามอนสเตอร์กระทิงกำลังไล่ตามเวอร์เธอร์และโรเบิร์ต!
ความลังเลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของดาร์ก
การที่เพิ่งจะประสบอันตรายจากเทพธิดามา ทำให้เขาไม่อยากตกอยู่ในอันตรายอีกเลย
อย่างไรก็ตาม เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนในปีเดียวกัน
ขณะที่เขากำลังลังเลกับเรื่องนี้ เอ็มม่าก็จำเสียงของคนสองคนนั้นได้ ก่อนจะอุทานออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “เวอร์เธอร์กับโรเบิร์ตนี่!”
แล้วเสียงตกใจของโรเบิร์ตก็ดังมาจากอีกฟากหนึ่งของกำแพง “เอ็มม่านี่นา! เรารอดแล้ว…”
แต่ในวินาทีต่อมา เสียงของเวอร์เธอร์ก็ดังกลบเสียงของโรเบิร์ต “อย่ามาทางนี่ เอ็มม่า! หนีไป”
แต่เพราะคำว่า ‘หนี’ นี่เองที่ทำให้เอ็มม่าตัดสินใจได้
เธอเหลือบมองไปรอบ ๆ บริเวณ และรีบวิ่งไปที่ทางแยกซึ่งเป็นทางที่นำไปสู่อีกด้านของกำแพงทันที!
ทว่ากลับมีใครบางคนเร็วกว่าเธอ
ดาร์กก้มหน้าลง ริมฝีปากของเขาขยับอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่เขาแซงหน้าเอ็มม่า นางฟ้าตกสวรรค์ผู้ทรงเสน่ห์ก็ปรากฏตัวขึ้นในแสงสว่าง และเคลื่อนที่ไปอยู่เคียงข้างกับเขา
“เดอะเลดี้ ฝากเธอด้วย”
“ไม่มีปัญหา!”
…
ผ้าคลุมสีดำพลันสยายออกมาจากไหล่ซ้าย เดอะเลดี้เผยรอยยิ้มดุจวิญญาณร้าย
อาภรณ์ขาดวิ่นกระพือราวกับปีก
กรงเล็บยักษ์ที่มือซ้ายเผยประกายคมกริบอันน่ากลัวออกมา
ออร่าแห่งความมืดก็เล็ดลอดออกมาอย่างเงียบ ๆ เช่นกัน
มันยากที่จะเชื่อได้ว่า ตัวตนอันทรงพลังระดับนี้กลับสามารถอัญเชิญออกมาได้ ภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที!
สีหน้าของเอ็มม่าอึ้งค้างไปทันที และเธอก็หยุดเคลื่อนไหวโดยไม่รู้ตัว
ไดแอนนากับโรสวิ่งผ่านเธอไปตามลำดับ และไล่ตามดาร์กโดยไม่ลังเล
ราชันแห่งเขาวงกตที่เพิ่งเกิดใหม่ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการไล่ตามเจ้าหนูตัวน้อยสองตัว จะนำไปสู่การถูกพิพากษาจากนางฟ้าตกสวรรค์
ดาร์ก เดม่อนเลี้ยวไปที่ทางแยก และเมื่อลืมตาขึ้น เขาก็เห็นมิโนทอร์ถือขวานศึกอยู่!
“คลื่นความมืด!”
เดอะเลดี้ยกแขนขึ้นอย่างรวดเร็ว และสร้างพลังงานรูปหัวใจดวงโตไว้ตรงหน้าอกของเธอ
พลังแห่งความมืดควบแน่นอย่างรวดเร็ว และถูกปลดปล่อยออกไปเป็นสสารมืดคล้ายค้างคาวนับไม่ถ้วน
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเวอร์เธอร์และโรเบิร์ต ฝูงค้างคาวพุ่งผ่านเหนือหัวของพวกเขา และมุ่งตรงไปยังใบหน้าของมิโนทอร์
มิโนทอร์ผู้ดุร้ายกรีดร้องและเหวี่ยงขวานศึกไปมาอย่างบ้าคลั่ง จิตใจของมันเริ่มสับสน
เดอะเลดี้บินขึ้นไปบนอากาศ กรงเล็บปีศาจในมือซ้ายหดตัวก่อนจะเปลี่ยนเป็น ‘หอกแห่งความมืด’ พุ่งทะลวงผ่านช่องว่างของขวานศึก!
ชั่วพริบตาเดียวหลังจากนั้น เดอะเลดี้ก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหลังมิโนทอร์ด้วยท่าทางคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น หอกในมือซ้ายของเธอกลับมาเป็นกรงเล็บ และเสื้อคลุมก็ตกลงไปที่ข้างหลังเธออย่างเงียบ ๆ
ตู้ม!
หน้าอกและหน้าท้องของมิโนทอร์ปรากฏรูเลือดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสองเมตรทันที
การเคลื่อนไหวของมันหยุดกะทันหัน และแววตาแห่งชีวิตทั้งสองข้างก็เริ่มเลือนหายไป
มันล้มลงกับพื้นในที่สุด
…
เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตมองดูมิโนทอร์ซึ่งถูกฆ่าตายในทันทีอย่างไม่อยากเชื่อสายตา แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะรอดแล้วก็ตาม
โรเบิร์ตทรุดตัวลงกับพื้น และเหงื่อก็ไหลออกมาท่วมตัว
ขณะที่เวอร์เธอร์ยืนตัวสั่นไม่หาย
“นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
ดาร์กเดินเข้ามาถามพวกเขาอย่างเป็นกันเอง
แต่สมองของทั้งคู่ดูจะทำงานหนักเกินไป พวกเขาจึงนิ่งค้างและไม่ตอบสนองใด ๆ อีกต่อไปแล้ว
ดาร์กเลิกสนใจแล้วเดินตรงไปยังร่างของมิโนทอร์
“มันไม่ได้กลายเป็นอนุภาคแสง… นี่มันเป็นมอนสเตอร์ของจริงเหรอ?”
ศพของมิโนทอร์นอนอยู่บนพื้นอย่างเงียบ ๆ โดยมีขวานยักษ์วางอยู่ข้าง ๆ ด้วย
ราชันแห่งเขาวงกตตนนี้อ่อนแอกว่าที่ดาร์กจินตนาการไว้มาก
เมื่อหวนคิดว่าเมื่อครู่นี้เขาเอาแต่ระวังตัว ดาร์กก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก
เดอะเลดี้กลับมาที่ด้านข้างของเขา แล้วเอนตัวเข้ามากระซิบข้างหูว่า “นายท่าน ความลับของท่านถูกเปิดเผยซะแล้ว”
…
บทที่ 124 ดาร์ก เดม่อนไม่เคยเห็นความลับของทางลับ
บทที่ 124 ดาร์ก เดม่อนไม่เคยเห็นความลับของทางลับ
หากเป็นกรณีที่ไม่พบสัตว์ประหลาดหรือกับดักในขณะนี้ สิ่งที่อันตรายที่สุดในทางลับคือ เส้นทางที่สลับซับซ้อน
ทางเดินจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ และมันยังมีทางแยกมากมายต่อไปอีก นอกจากนี้ พื้นผิวทางเดินมักเป็นลูกคลื่นอยู่เสมอ แม้แต่คนที่มีประสาทสัมผัสรับรู้ทิศทางชัดเจนก็อาจหลงทางอยู่ในนี้ได้
แต่เมื่อดาร์กพูดถึงเรื่องนี้ ไดแอนนาก็หยิบเข็มทิศออกมาอย่างภาคภูมิใจ “ดูนี่ ฉันเตรียมตัวมาแล้ว”
จากนั้นเธอก็พบทันทีว่าเข็มทิศเอาแต่หมุนไม่หยุด
“ฮ่า ๆ ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้แล้วแฮะ…”
ไดแอนนาหดมือเก็บเข็มทิศกลับไป แล้วดึงสติกเกอร์เรืองแสงออกมาแทน
ดวงตาของดาร์กเป็นประกายขึ้นมาทันที เขาหยิบสติกเกอร์จากมือของเธอมาดู สิ่งนี้พึ่งพาได้มากกว่าเข็มทิศเสียอีก
ตราบใดที่มีคนเขียนตัวเลขบนสติกเกอร์ วาดลูกศร และติดไว้บนผนังตลอดทาง มันจะช่วยลดความเสี่ยงในการหลงทางได้อย่างมาก
ไดแอนนามองสติกเกอร์ของเธอถูกเอาไป ดวงตากลมโตใสหรี่ลงทันที
จากนั้นเธอก็เดินตามดาร์ก พลางเคี้ยวลูกอมทอฟฟี่ขณะติดสติกเกอร์ไปบนผนัง และเริ่มการผจญภัยครั้งแรกในฐานะนักเรียน
…
นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ผู้คนจำนวนมากเข้าสู่เส้นทางลับในปราสาทเซนต์แมเรียนพร้อมกัน
เมื่อจำนวนนักเรียนที่เข้าสู่ทางลับเกินเก้าสิบเก้าคน ทางลับที่ไม่รู้ว่าเงียบงันมานานกี่ปี ในที่สุดก็เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
และเมื่อนักเรียนหมกมุ่นอยู่แต่กับการสำรวจทางลับ เหล่าอาจารย์ก็กังวลมากขึ้น
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้และศาสตราจารย์ซิลเวอร์พากันออกจากปราสาท เพื่อไปลดผลกระทบของเหตุการณ์นี้
ส่วนอาจารย์ที่เหลือก็…พึ่งพาไม่ค่อยได้
เมื่อศาสตราจารย์ทอมป์สันแห่งวิชาปรุงยา ‘เพิ่ง’ สังเกตเห็นว่านักเรียนกำลังสำรวจทางลับ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที และรีบรวบรวมศาสตราจารย์ที่เหลือทันที
เป็นผลให้หลังจากที่เหล่าศาสตราจารย์มาถึง พวกเขาพบว่าศาสตราจารย์ที่เหลืออยู่และมีตำแหน่งสูงสุดสองคนนั้นคือ ศาสตราจารย์โจนส์ผู้มีมันสมองเป็นกล้าม กับศาสตราจารย์ลิลลี่ผู้ฉลาดแกมโกงสมเป็นเผ่าพันธุ์ภูต
สีหน้าของศาสตราจารย์ทอมป์สันซีดลงทันที และเขาก็ล้มนอนลงไปบนโซฟา
จะทำยังไงดี?
สุดท้าย ศาสตราจารย์เคเซอร์ก็กล่าวว่า “จากมุมมองของสถาบัน เมื่ออ้างอิงตามหลักการแล้ว เราไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการสำรวจโดยอิสระของนักเรียน แต่อันตรายจากทางลับนั้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ และเราจำเป็นต้องเตรียมรับมือกับบางสิ่งล่วงหน้า โดยเฉพาะการรับมือกับนักเรียนจำนวนมากที่หลงทางภายในเส้นทางลับ”
ศาสตราจารย์ลิลลี่นั่งไขว่ห้างอยู่กลางอากาศ เมื่อได้ยิน เธอก็ตบหน้าอกทันทีและพูดว่า “หากพวกเขาหลงทาง ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง เรื่องนี้ง่ายมาก ฉันจัดการได้”
เมื่อปัญหาใหญ่ที่สุดมีคนดูแลแล้ว เหล่าศาสตราจารย์ก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
ใบหน้าของศาสตราจารย์ทอมป์สันค่อย ๆ ดีขึ้น “ทางลับไม่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมเหมือนอย่างในดันเจี้ยน และฉันก็คิดว่ามันควรถูกปิดกั้นเป็นอาณาเขตหวงห้ามไว้”
ศาสตราจารย์โจนส์ค้าน “นั่นมันขัดกับจุดประสงค์ของสถาบัน เราต้องรอให้อาจารย์ใหญ่กลับมาก่อน”
ศาสตราจารย์ทอมป์สันพูดเสียงแผ่วลง “แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น เราลองคิดหาวิธีอื่นดูไหม?”
ศาสตราจารย์โจนส์ถามด้วยความสงสัย “คุณมีไอเดียอื่นเหรอ?”
ศาสตราจารย์ทอมป์สันกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เพิ่มการบ้าน”
…
นักเรียนที่ยังคงหมกมุ่นอยู่กับการสำรวจทางลับ ไม่ได้ตระหนักถึงผลที่ตามมาจากการกระทำของพวกเขาเลย
อาจเป็นเพราะมีคนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่เข้าสู่เส้นทางลับ จึงไม่ค่อยมีคนสนใจเรื่องหลงทางเท่าไหร่
พวกเขาบอกว่ามันเป็น ‘การผจญภัย’ แต่พวกเขาไม่ได้จริงจังกับมันเลย ยิ่งพวกเขาโตมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งจริงจังน้อยลงเท่านั้น
ถ้าพวกเขาต้องการการผจญภัย มันจะดีกว่ามากถ้าไปที่ดันเจี้ยนแทน
เพราะทางลับที่ไม่มีแม้แต่มอนสเตอร์ ก็เหมือนกับการเดินทางไปสถาบันในฤดูใบไม้ร่วง!
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีการ์ดเมจิกหมวดอาหารกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในตอนนี้
แม้แต่ดาร์กก็ระมัดระวังตัวน้อยลง หลังจากเจอกับผู้คนเดินผ่านไปมาสองสามครั้ง
บวกกับขนมมากมายที่ไดแอนนานำติดตัวมาด้วย พวกเขาก็ค่อย ๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของการทัศนศึกษาในฤดูใบไม้ร่วงนี้
ทันทีที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้น ทางลับที่ไม่ได้น่าสนใจก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลับดูน่าสนใจขึ้นมาทันที
ดาร์กค่อย ๆ ค้นพบว่ามีผู้มีพรสวรรค์มากมายในหมู่นักเรียน
บางคนถึงกับตั้งป้ายถนนที่ทางแยก และป้ายบอกทางแต่ละป้ายก็มีตัวเลขกำกับอยู่
เด็กชายวาดแผนที่โดยอิงจากป้ายบอกทาง และเขาก็ค่อย ๆ วาดออกมาจนเยอะมาก
จากนั้นเมื่อเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม ในที่สุดดาร์กก็พบเครื่องหมายที่สองในแผนที่ขุมทรัพย์ ซึ่งเป็นคันประทีปที่ปะปนอยู่กับคบเพลิงนับพัน
ฐานของคันประทีปเป็นงวงช้าง
วัลคีรีวาดจิบิช้างตัวเล็กในแผนที่ขุมทรัพย์…
“เพิ่งหนึ่งทุ่มเอง ดูเหมือนจะยังมีโอกาสเจอเครื่องหมายอื่นอีก”
ดาร์กยังคงค้นหามันด้วยความสนุกสนาน
จนในที่สุด หลังจากได้เบาะแสบางอย่างในเส้นทางลับ ไดแอนนาและโรสก็ตื่นเต้นมากราวกับว่าพวกเขาได้พบสมบัติแล้ว พวกเขามีความสุขมากกว่าตัวดาร์กเองเสียอีก
เมื่อเดินลึกเข้าไปอีก ดาร์กก็เจอกับบุตรแห่งวีรบุรุษและโรเบิร์ตโดยบังเอิญ เขาจึงสังเกตเห็นว่าเวอร์เธอร์กำลังถือแผ่นกระดาษและวิ่งไปอย่างเร่งรีบเล็กน้อย ดูเหมือนว่าพวกเขาก็ได้เบาะแสบางอย่างมาบ้าง
อย่างไรก็ตาม แผนที่ขุมทรัพย์ของทั้งสองไม่เหมือนกัน ดังนั้นดาร์กจึงไม่สนใจมากนัก
ระหว่างทางกลับ เขาเห็นเอ็มม่า มอร์ติสยืนอยู่คนเดียวที่เส้นทางลับ ในมือเธอกำลังถือสมุดจด และวาดภาพฝาผนังอย่างรวดเร็ว
ดาร์กเห็นสติกเกอร์บนผนังและทันใดนั้นก็สังเกตเห็นว่า นี่คือที่ที่เขาเคยไป
แต่ตอนนั้นเขาไม่เห็นอะไรที่เหมือนกับจิตรกรรมฝาผนังเลย!
“ภาพจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้เป็นของใหม่หรือเปล่า?” หลังจากกระซิบคำสองสามคำกับไดแอนนาและโรส ดาร์กก็หยิบสมุดบันทึกของเขาออกมาและวาดภาพฝาผนังอย่างรวดเร็ว
เอ็มม่าเหลือบมองเขาและพูดอย่างเคร่งขรึม “ฉันเจอมันก่อนนะ”
ดาร์กพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “อืม ถ้าพบผลลัพธ์เหมือนกัน ชื่อผู้ค้นพบคนแรกจะเป็นของเธอ”
“ตกลง” เอ็มม่าหันกลับไปมองจิตรกรรมฝาผนังอีกครั้ง
…
ไดแอนนายืนพิงกำแพง ขณะกินเมล็ดแตงโมในเปลือกช็อกโกแลต พลางมองดูดาร์กและเอ็มม่าที่กำลังจดจ่อ แล้วหันมากระซิบกับโรสว่า “พวกเขาจริงจังกันมาก”
โรสลังเล “เราควรเรียนรู้จากพวกเขาบ้างไหม?”
ไดแอนนารู้สึกลำบากใจ “เฮ้อ ต่อให้ฉันวาดพวกมันไป ฉันก็ไม่สามารถเข้าใจมันได้อยู่ดี”
โรสเงียบไป
เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
แต่แล้วเธอก็พูดว่า “งั้นเราไปดูรอบ ๆ ว่ามีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่คล้ายกันในทางลับใกล้ ๆ นี้ดีไหม?”
ดวงตาของไดแอนนาเป็นประกาย “เป็นความคิดที่ดีมาก วิธีนี้อาจจะช่วยดาร์กได้” เธอรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง
โรสอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้มอ่อน ทว่าดวงตากลับปรากฏร่องรอยความอิจฉายามมองไปที่ดาร์กและเอ็มม่า
“พวกเขานี่เหมือนกันจริง ๆ”
…
ทางลับกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างเงียบ ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่มีนักเรียนจำนวนมากขึ้นมาสำรวจทางลับในฐานะเขาวงกต การเปลี่ยนแปลงที่ไม่ดีบางอย่างก็เกิดขึ้นเช่นกัน
มันมีทางลับใหม่ปรากฏขึ้นในเส้นทางลับ
ประตูที่นำไปสู่ทางเดินอื่นพลันปรากฏขึ้นบนผนัง
มีอุโมงค์ที่เลื่อนลงมา
มิโนทอร์ที่ส่วนหัวเป็นวัวกระทิงทว่าร่างกลับเป็นมนุษย์ มือกำขวานศึก ก้าวออกมาจากกำแพงด้วยดวงตาเป็นประกายสีเลือด
โรเบิร์ต บร็อกไฮม์กรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว ขณะที่เขายืนมองดูสัตว์ประหลาดที่คล้ายกับวิญญาณรับใช้ของเวอร์เธอร์ ค่อย ๆ ถือกำเนิดขึ้นมา
…
ทางลับมีชีวิต!
บทที่ 123 ดาร์ก เดม่อนกลับเข้าสู่เส้นทางลับ
บทที่ 123 ดาร์ก เดม่อนกลับเข้าสู่เส้นทางลับ
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ไม่คาดคิดเช่นกันว่าหลังจากที่เธอบอกรายละเอียดทั้งหมดของเหตุการณ์นั้นอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาต่อหน้าศาสตราจารย์และนักเรียนทั้งสถาบัน นี่คือสิ่งที่เธอจะได้รับ
ในการประชุม นักเรียนอาจรู้สึกเสียใจกับการลาออกของศาสตราจารย์ดีดี้ และประณามการละเลยหน้าที่ของศาสตราจารย์ดีดี้
แต่เมื่อการประชุมสิ้นสุดลง ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีคนคิดถึงมันมากนัก
สำหรับนักเรียนส่วนใหญ่ หากไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาประสบเองกับตัว มันจะไม่ส่งผลกระทบอะไรกับพวกเขามากนัก
เช่นเดียวกับหลังจากผิดหวังกับบุตรแห่งวีรบุรุษ แต่ก็ไม่มีใครวิ่งไปหาเวอร์เธอร์แล้วตะโกนว่า ‘นายไม่คู่ควรที่จะถูกเรียกว่าเป็นบุตรแห่งวีรบุรุษ’
อย่างมากที่สุด คนจะพูดถึงมันผ่าน ๆ เวลาพูดคุยกัน
เพราะในท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของนักเรียนจริง ๆ คือคำที่กล่าวถึงในเหตุการณ์โดยไม่ตั้งใจ นั่นคือทางเดินลับ!
มีทางเดินลับในปราสาท!
นักเรียนอาศัยอยู่ในปราสาทมานานมากแล้ว แต่พวกเขายังไม่รู้ว่ามีทางลับมากมายที่ซ่อนอยู่ในปราสาท ซึ่งคนอื่น ๆ ได้สำรวจมาหลายครั้งแล้ว!
มันน่าสนใจกว่าอย่างอื่นมาก!
ในช่วงเวลาสั้น ๆ สถาบันเซนต์แมเรียนทั้งหมดก็ระเบิดด้วยความตื่นเต้น
พอดีกับว่าวันนี้เป็นวันหยุดฮัลโลวีน และไม่มีที่ไหนให้ระบายพลังงานส่วนเกิน ทำไมไม่หาอะไรทำล่ะ?
ดังนั้นนักเรียนจึงรีบออกไปสำรวจทุกตารางนิ้วอย่างกระตือรือร้น พยายามค้นหาเส้นทางลับที่อาจารย์ใหญ่กล่าวถึง
…
ในเวลานี้ ไดแอนนาที่ฉลาดก็นึกถึงดาร์ก คนวงในคนนี้
เมื่อดาร์กกลับมาที่หอพัก ไดแอนนาก็พาโรสไปที่ประตูห้องพักของเขา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เดิมทีดาร์กไม่ต้องการเข้าร่วมการสำรวจ แต่หลังจากสัมผัสแผ่นหนังในมือแล้ว เขาจึงตัดสินใจลองดู
เขาสนใจในสิ่งที่แม่ของเขาซ่อนไว้ในทางลับมาก
…
ในขณะเดียวกัน คนที่เพิ่งออกมาจากห้องพยาบาลก็พบว่าพวกเขากลายเป็นที่นิยมในหมู่นักเรียนเป็นอย่างมาก
เพื่อนร่วมชั้นที่พวกเขาไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ด้วยมาก่อน แสดงความกังวลเรื่องสุขภาพของพวกเขา โดยถามพวกเขาว่ารู้สึกโอเคไหม มันทำให้พวกเขารู้สึกขนลุกมาก
แม้แต่โรเบิร์ตก็ถูกเพื่อนร่วมชั้นขวางไว้ระหว่างทางกลับหอพัก คนที่ไม่ชอบเขาเมื่อนานมาแล้ว ต่างก็ทำตัวเป็นมิตรกับเขาด้วยเหตุผลบางอย่าง
โรเบิร์ตรู้สึกประทับใจเล็กน้อยในตอนแรก จนกระทั่งพวกเขาเปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาออกมา…
“พอเลย! ฉันเหนื่อยแล้วจริง ๆ ไปหาคนอื่นเถอะ!” โรเบิร์ตที่กำลังพยายามดิ้นหลุดพ้นจากแรงดึงของเพื่อนร่วมชั้น วิ่งเข้าไปในหอคอยของบ้านอัศวิน และบังเอิญชนกับเวอร์เธอร์ซึ่งกำลังเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะออกไปข้างนอก
…
เวอร์เธอร์สังเกตเห็นเช่นกันว่าในสถาบันเริ่มโกลาหลขึ้น เพราะข้อมูลเกี่ยวกับทางลับตอนที่เพื่อนร่วมชั้นมาที่ประตูห้องของเขา
เดิมทีเขาอยู่ในหอพัก พยายามคัดลอกแผนที่ที่พ่อทิ้งไว้เพื่อไม่ให้แผนที่เสียหาย
ผลก็คือ หลังจากที่แผนที่ใครก็แทบดูไม่รู้เรื่องถูกเวอร์เธอร์คัดลอก มันก็กลายเป็นแผนที่ที่ใครก็ดูไม่ออกจริง ๆ
เวอร์เธอร์ได้แต่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ‘บางทีอาจจะเป็นกรรมพันธุ์’ แล้วก็เลิกคัดลอก
จนกระทั่งเพื่อนร่วมชั้นบางคนมาที่ประตูห้องเขา ทันใดนั้นเขาก็รู้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับทางลับรั่วไหลออกไปแล้ว ไม่ช้าก็เร็ว นักเรียนจะพบทางเข้าทางลับ และสมบัติที่พ่อของเขาทิ้งไว้ก็ต้องก็หายไปแน่นอนอย่างที่อาจารย์ใหญ่กล่าว
และหากมันถูกนักเรียนคนอื่นพบเข้าจริง ๆ…
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ผู้ที่เดิมทีต้องการแข่งขันกับดาร์กก็ยิ่งกังวลมากขึ้นไปอีก
“โรเบิร์ต เร็วเข้า ฉันหมดเวลาแล้ว!”
ก่อนที่โรเบิร์ตจะทันได้พูดอะไร เวอร์เธอร์ก็ดึงตัวเขาและพาวิ่งออกจากหอคอยบ้านอัศวินแล้ว
…
มีทางเข้าลับมากมายในปราสาท
เพราะเจ้าหมอกตัวน้อยที่เวอร์เธอร์ได้มาจาก ‘มุ่งสู่ห้วงลึก’ เขาจึงรู้เรื่องทางลับมากมาย
และตอนนี้ดาร์กรู้เพียงทางเข้าลับสองทางเท่านั้น
หนึ่งในนั้นคือทางเข้าลับใกล้กับรูปปั้นจอมเวทตัวใหญ่
อีกทางเป็นทางออกของทางลับ เมื่อเขาเดินตามเวอร์เธอร์ออกจากทางลับครั้งแรก
ทางที่คุ้นเคยมากที่สุดคือทางลับใกล้กับรูปปั้นจอมเวทตัวใหญ่
เกือบห้าโมงเย็นแล้ว
ดาร์กพาไดแอนนาและโรสมาที่รูปปั้นจอมเวทขนาดใหญ่
เขาเคยผ่านที่นี่มาหลายครั้งแล้ว แต่เขาไม่เคยสนใจรูปปั้นนี้เลย
แต่คราวนี้ ยิ่งดูก็ยิ่งคุ้นตา เขาจึงอดไม่ได้ที่จะนำแผนที่ขุมทรัพย์มาเปรียบเทียบ
“ดาร์ก นายกำลังถือแผนที่ทางลับอยู่หรือเปล่า?” ไดแอนนาถามพลางเขย่งเท้า
ดาร์กส่ายหัวเล็กน้อย “นี่คือแผนที่ขุมทรัพย์ที่แม่ของฉันวาดไว้เมื่อตอนที่เธอยังเป็นนักเรียน”
ไดแอนนาพูดอย่างตื่นเต้นทันที “มีแผนที่ขุมทรัพย์จริง ๆ เหรอ?”
ดาร์กยิ้ม “ในเมื่อเป็นการสำรวจ จะไม่มีแผนที่ขุมทรัพย์ได้ยังไง ไปกันเถอะ ดูเหมือนฉันจะพบเบาะแสแล้ว”
เครื่องหมายแรกในแผนที่ขุมทรัพย์คือ ชิ้นหมากรุกที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างไม่ต้องสงสัย!
ไม่มีทางที่ดาร์กจะสามารถเชื่อมโยงตัวหมากรุกกับรูปปั้นนี้ได้ ถ้าเขาไม่ได้เห็นมันด้วยตาของเขาเอง
แต่ตอนนี้เขาเกือบจะแน่ใจแล้ว
“ตราบใดที่พบเครื่องหมายอีกสองเครื่องหมาย ก็สามารถกำหนดทิศทางของแผนที่ได้แล้ว”
“มีเครื่องหมายสิบหกตัวในแผนที่ และตำแหน่งของสมบัติคือเครื่องหมายที่สิบเจ็ด”
“เราไม่ได้รีบร้อนขนาดนั้น หากเราสามารถหาเครื่องหมายที่สองได้ในคืนนี้ มันก็จะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่แล้ว”
ขณะที่ดาร์กพูด เขาระบุเส้นทางในแผนที่ขุมทรัพย์อย่างระมัดระวัง
มันทำให้เขาประหลาดใจ เส้นที่ลากจากเครื่องหมายแรกไม่ได้ชี้ไปที่ทางลับที่อยู่ใกล้เคียง แต่เป็นเส้นตรง
“เส้นตรง?” ดาร์กครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมองดูกำแพงด้านหลังจอมเวทอย่างสงสัย
“ไม่มีทางน่า”
ดาร์กรู้สึกเขินเล็กน้อยเมื่อคิดว่า ตนเคยซ่อนตัวอยู่ที่นี่แต่ไม่ได้สังเกตอะไรเลย
เขาเอื้อมมือออกไปแตะผนัง และด้วยพลังเวทมนตร์เพียงเล็กน้อยที่ใส่เข้าไป ระลอกคลื่นเหมือนน้ำก็ปรากฏขึ้นบนผนัง
มีทางลับอยู่ที่นี่จริง ๆ!
ดาร์กหยิบการ์ดคัดสรรออกมาและต้องการอัญเชิญรุกกี้เดวิมอนโดยไม่รู้ตัว ทว่าใบหน้าของเขาก็แข็งทื่อเมื่อคิดอะไรได้ ก่อนจะรีบเก็บมันลงไป
“ฉันรู้แล้ว ฉันรู้ว่านี่คือทางเข้าสู่ทางลับใช่ไหม?” ไดแอนนารีบหยิบการ์ดคัดสรรออกมาและอัญเชิญวิญญาณรับใช้ของเธอออกมา
แพนด้าตัวน้อยที่สูงเพียงครึ่งเมตรก็ปรากฏตัวขึ้นที่เท้าของเธออย่างน่าสงสาร
“ไปกัน!” ไดแอนนาชี้ไปข้างหน้า และแพนด้าน้อยก็คลานเข้าไปในกำแพง
หลังจากยืนยันความปลอดภัย คนทั้งสามก็เข้าไปทีละคน
ขณะที่ทิ้งร่องรอยไว้บนกำแพงดาร์กกล่าวว่า “มีคบไฟอยู่ทั้งสองด้านของทางลับ และจะสว่างขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อมีคนผ่านไป”
“ฉันเข้ามาในทางลับสามครั้งแล้ว ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เจอกับอันตรายใด ๆ จนถึงตอนนี้ แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่าทางลับทั้งหมดจะไม่มีอันตรายจริง ๆ หรือเปล่า”
“อันที่จริง ต่อให้เมื่อก่อนจะไม่มีอันตราย ทว่าต่อไปอาจไม่เป็นแบบนั้นก็ได้”
“ถ้าการคาดเดาของฉันถูกต้อง สภาพแวดล้อมของทางลับจะเปลี่ยนไปตลอดเวลา!”
“ตอนบ่าย เธอน่าจะได้ยินจากอาจารย์ใหญ่แล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ มาจากนักเรียนคนหนึ่งที่ค้นพบวิหารจันทราในทางลับ”
“แต่เธอจะไม่มีทางรู้หรอกว่าจริง ๆ แล้ววิหารแห่งจันทรามีอยู่จริงหรือไม่ก่อนที่นักเรียนจะค้นพบมัน”
“ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับที่นี่ซับซ้อนมาก…”
เมื่อมองไปที่ไดแอนนาที่ยังคงมองไปรอบ ๆ อย่างสงสัยไปข้างหน้า ดาร์กอดไม่ได้ที่จะพูดอย่างเคร่งขรึม “ที่ฉันพูดขนาดนี้ก็เพื่อเตือนเธอ ดังนั้นตามฉันมาและอย่าวิ่งไปไหน!”
ไดแอนนากับแพนด้าหันหน้าพร้อมกัน พลางมองดาร์กอย่างน่าสงสาร
บทที่ 122 สถาบันเซนต์แมเรียนถูกกระแสเขาวงกตซัดเข้าใส่
บทที่ 122 สถาบันเซนต์แมเรียนถูกกระแสเขาวงกตซัดเข้าใส่
พวกมันควรจะเป็นแผนที่ขุมทรัพย์ แต่จริง ๆ แล้วพวกมันเป็นแค่ภาพวาดที่วาดด้วยมือสองภาพเท่านั้น
แผนที่ขุมทรัพย์ในมือของดาร์กยังดีหน่อย อย่างน้อยมันก็ทำมาจากวัสดุอย่างกระดาษหนัง พื้นหลังและเส้นทางบนแผนที่ขุมทรัพย์ทั้งหมดถูกวาดด้วยปากกาพลังเวท ซึ่งค่อนข้างละเอียดอ่อน
แต่หลังจากที่เขาเหลือบดูแผนที่ขุมทรัพย์ในมือของเวอร์เธอร์ เขาพบว่าสิ่งที่เวอร์เธอร์ได้รับนั้นเป็นเพียงกระดาษทำการบ้านชิ้นหนึ่ง และมันเต็มไปด้วยรอยขีดเขียน
เดิมทีเวอร์เธอร์ตื่นเต้นที่จะได้รับสิ่งที่พ่อทิ้งไว้ให้ แต่ในชั่วพริบตา เขาก็ลดมือที่ถือภาพวาดนั้นลงไปด้วยความอับอาย และพยายามบดบังมันด้วยร่างกายครึ่งหนึ่งของเขา
ในทางตรงกันข้าม ดาร์กไม่ได้กังวลเรื่องนี้ เขากางมันออกและมองดูอย่างเปิดเผย
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ไม่ได้บอกว่าแผนที่ขุมทรัพย์ทั้งสองแผ่นชี้ไปยังพื้นที่ใด แต่เห็นได้ชัดว่ามันเกี่ยวข้องกับเส้นทางลับ
เมื่อพิจารณาจากจุดยืนของวีรบุรุษและวัลคีรีแล้ว
พ่อแม่สองคนนี้น่าจะทิ้งมันไว้โดยไม่ได้ตั้งใจเมื่อตอนที่พวกเขายังเป็นนักเรียน
เป็นไปได้สูงมากว่าพวกเขาไม่ได้คิดถึงขั้นทำเพื่อลูกในอนาคตของตัวเอง…
อาจเป็นเพียงความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นในขณะนั้น อันที่จริง มันไม่ได้มีเพียงแค่วีรบุรุษและวัลคีรีที่ทำ เพราะยังมีนักเรียนคนอื่น ๆ ที่ทิ้งสมบัติที่คล้ายคลึงกันไว้ด้วย
ดาร์กมองดูแผนที่ขุมทรัพย์ในมืออย่างระมัดระวัง และพบว่ามันเป็นแผนที่ขุมทรัพย์ที่มี ‘เครื่องหมาย’ เป็นจุดเชื่อมต่อ
เครื่องหมายเดิมคือ สิ่งที่ดูเหมือนตัวหมากรุก
ฝีมือการวาดภาพของอัลเวตต์นั้นค่อนข้างดี แต่เธอกลับใช้รูปตัวจิบิ*[1] ที่น่ารักมาวาด นี่ทำให้ดาร์กจ้องมันเขม็งอยู่ครู่หนึ่ง
หลังจากที่อ่านมันแล้ว ดาร์กก็ตัดสินใจว่าถ้าเขาไม่สามารถหาสมบัติที่ว่านั่นได้ก่อนปิดภาคเรียน เขาจะกลับบ้านไปถามวัลคีรี
…
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้เตือนในตอนท้ายว่า “ถ้าสมบัติมีอยู่จริง พวกมันจะไม่หายไปโดยไม่มีเหตุผล พวกเธอมีเวลาเหลือเฟือที่จะหามัน ดังนั้นอย่าใจร้อนเกินไป โดยเฉพาะเวอร์เธอร์ เธอควรให้ความสำคัญกับการบ้านมากขึ้นนะ”
แล้วเธอก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
แต่ดาร์กสามารถเห็นอะไรมากมายจากทัศนคติของเธอ
เธออาจใช้ตัวตนของพวกเขาเพื่อทำให้บางสิ่งเกิดขึ้นภายนอกได้ แต่เธอจะไม่นำสิ่งเหล่านั้นเข้ามายุ่งเกี่ยวกับในสถาบัน
ปราสาทเซนต์แมเรียนจะเป็นกำแพงป้องกันนักเรียนจากลมและฝนเสมอ
( ๑ ˙―˙ ๑) อืมม… ถ้านักเรียนไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์อะนะ
และเห็นได้ชัดว่าเวอร์เธอร์ไม่ได้มีนิสัยแบบนั้น
ขณะที่ดาร์กกลับไม่พลาดทุกประเด็น…
…
หลังออกจากห้องทำงานแล้ว ดาร์กกับเวอร์เธอร์ก็แยกทางกัน
แม้ว่าอาจารย์ใหญ่จะมอบแผนที่ขุมทรัพย์ให้กับทั้งคู่ แต่คุณภาพของแผนที่ขุมทรัพย์และทัศนคติของทั้งสองที่มีต่อแผนที่ขุมทรัพย์นั้นกลับแตกต่างกัน
เนื่องจากแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่ ดาร์กจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้สามารถใช้เป็นเพียงงานอดิเรกนอกเวลาเรียนได้ แต่จะไม่มากไปกว่านั้น
ซึ่งแตกต่างกับเวอร์เธอร์ที่ให้คุณค่ากับแผนที่ขุมทรัพย์มากกว่าดาร์ก ตามที่อาจารย์ใหญ่บอก มันเป็นสมบัติที่พ่อของเขาซึ่งเป็นวีรบุรุษทิ้งไว้ให้เขาโดยเฉพาะ
ไม่ว่าจะเป็นแผนที่ขุมทรัพย์หรือขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ ทั้งสองอย่างนี้ต่างมีความหมายอย่างลึกซึ้ง
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าถนนนักเดินทางไม่ได้ปิดอยู่ตอนนี้ เขาอาจจะหากรอบรูปมาใส่กรอบแล้ว
เพราะแผนที่ขุมทรัพย์ที่ทำจากกระดาษทำการบ้านนั้นเสียหายง่ายเกินไป…
เวอร์เธอร์รักษาแผนที่ขุมทรัพย์ไว้กับตัวอย่างดี เขาพร้อมกลับไปที่หอเพื่อเก็บมันโดยเฉพาะ
เดิมทีเขาเคยคิดจะไปห้องพยาบาลเพื่อไปรับโรเบิร์ต แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว
…
ตอนนี้ นักเรียนที่โดนน้ำพรากวิญญาณสามารถออกจากห้องพยาบาลได้แล้ว
โรเบิร์ตยืนอยู่ที่ประตูห้องพยาบาลด้วยความงุนงง พลางถอนหายใจออกมา วันหยุดหนึ่งวันของเขาหายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นักเรียนที่ออกจากห้องพยาบาลทั้งหมดมาเป็นคู่ และเขาเป็นคนเดียวที่อยู่เพียงลำพัง
เมื่อคิดถึงรูปร่างหน้าตาของเวอร์เธอร์ที่เปลี่ยนไปในตอนนั้น เขาก็บอกตัวเองในใจว่า เขาจะต้องระมัดระวังไม่พูดถึงมันในอนาคต
โรเบิร์ตมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ และเขารู้ว่ามันน่าอายแค่ไหน
เอ๊ะ? ( ⊙ o ⊙ )
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเวอร์เธอร์เคยถูกเปลี่ยนเป็นผู้หญิง
แต่เวอร์เธอร์ไม่เคยรู้ว่า เขาก็เคยถูกเปลี่ยนเป็นผู้หญิงเหมือนกัน…
ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ดี!
เยี่ยมไปเลย!
…
คู่รักที่ออกจากห้องพยาบาลกับโรเบิร์ตนั้นไม่รู้เลยว่า พวกเขารอดจากภัยพิบัติได้เพราะความรู้สึกที่มีต่อกันนั้นไม่จริงใจ
หากพวกเขารู้ละก็…
ความจริงก็อาจไม่ถึงขั้นที่ต้องเลิกกัน
เพราะท้ายที่สุดแล้ว บางครั้งทั้งชายและหญิงก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก
…
ในห้องพยาบาล ภาคีอาหารทะเลเริ่มตื่นขึ้นทีละคน
ยกเว้นคุณปลาดาว ผู้ซึ่งถูกจิตที่ตกค้างอยู่ของเทพธิดาครอบงำอย่างรุนแรง สุดท้ายแล้ว ‘ผลการล้างสมอง’ ของคนอื่นก็ถูกขจัดออกไปโดยสิ้นเชิง
เนื่องจากซิสเตอร์คาไลด์แยกเฉพาะพวกเขาออกจากเหยื่อ พวกเขาที่ถอดชุดอาหารทะเลออก จึงได้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของสมาชิกในภาคีคนอื่น ๆ เป็นครั้งแรก
หลังจากยืนยันตัวตนของคนอื่นแล้ว ทุกคนก็ดูเขินอายมาก
ความทรงจำในช่วงนี้ยังคงผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ ทำให้พวกเขารู้สึกละอายใจมากขึ้นเรื่อย ๆ…
ตัวอย่างเช่น คุณมอเรย์ เมื่อเธอคิดว่าเธอจับเพื่อนรักและแฟนเก่าของเธอมาเป็นเครื่องสังเวย ภายใต้แรงกระตุ้นของความคิดชั่วร้าย เธอ… ก็แอบหัวเราะอย่างลับ ๆ!
ถ้าไม่มีอิทธิพลของเทพธิดา เธอคงไม่กล้าทำอย่างนั้น
เอ๊ะ? แต่มันน่าแปลกที่เธอรู้สึกพอใจมาก!
สก็อตต์ยังเอนกายอยู่บนเตียงด้วยความมึนงง
เขารู้สึกเหมือนได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาอยากทำแต่ไม่กล้าทำมาก่อน
เมื่อเทียบกับการได้รับเชิญจากคุณปลาดาวให้เข้าร่วมภาคีในอดีต เขารู้สึกว่าร่างกายและจิตใจของเขาผ่อนคลายมากขึ้น
เพียงแต่สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ชัดเจน และไม่รู้ว่าอนาคตของเขาจะดำเนินไปอย่างไรต่อ
แต่ตราบใดที่เขาไม่โดนไล่ออก มันก็ดีแล้ว
“แล้วพวกเราจะ…”
ยกเว้นคุณปลาดาว จู่ ๆ สมาชิกที่เหลือในภาคีก็เห็นพ้องว่าให้อยู่ด้วยกันหลังจากสบตากัน
เทพธิดาสามารถหายไปได้
แต่ภาคีจะหายไปไม่ได้!
…
ความจริงแล้ว จิตที่ตกค้างอยู่ของเทพธิดาทำได้เพียงสุมความคิดที่ชั่วร้ายและความเกลียดชังเท่านั้น ทำให้หัวใจของพวกเขาบิดเบี้ยวแทนที่จะสร้างมันขึ้นมาจากความว่างเปล่า
หากไม่มีอิทธิพลจากจิตที่ตกค้างนั้น ความคิดที่ชั่วร้ายของพวกเขาย่อมถูกระงับด้วยความคิดชั่วดีแน่นอน และพวกเขาก็จะยังคงอยู่ในลู่ในทางที่ถูกต้อง
สรุปคือพวกเขาต้องชดใช้สิ่งที่พวกเขาทำ แต่อาจจะไม่เลวร้ายขนาดนั้น
มีเพียงคุณปลาดาวที่วางแผนทั้งหมดนี้จริง ๆ เท่านั้นที่อาจต้องจ่ายราคาสูงกว่า
สำหรับการตัดสินขั้นสูงสุด คงต้องรอจนกว่าเหยื่อทั้งเจ็ดคู่จะฟื้นตัวเต็มที่
ศาสตราจารย์ดีดี้ผู้ซึ่งมีส่วนในเรื่องนี้มากกว่า และศาสตราจารย์เคเซอร์ซึ่งถูกมองว่าประมาทเลินเล่อก็จะต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้เช่นกัน
ประมาณสองถึงสามวันต่อมา สถาบันจะรายงานเรื่องนี้ต่อศาลอย่างครบถ้วนและยอมรับบทลงโทษทางกฎหมาย
…
หากไม่มีใครฉวยโอกาสสร้างปัญหา ไม่นานเรื่องมันก็จบ
หากเป็นช่วงสงคราม คดีทั้งหมดอาจจะถูกพับไปเพราะไม่มีใครถูกฆ่าตาย
เพราะตอนนี้ระบบกฎหมายของอาณาจักรยังไม่สมบูรณ์ถึงระดับนั้น
สถานศึกษาเช่นสถาบันแมเรียนนั้นอยู่นอกเหนืออำนาจกฎหมายของอาณาจักร
โดยหลักการแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีการรายงานด้วยซ้ำ
เพราะคดีทั้งหมดสามารถไต่สวนภายในได้
…
ในเวลาเดียวกัน
ดาร์กที่กลับมายังหอพัก และกำลังนั่งศึกษาแผนที่ขุมทรัพย์แบบสบาย ๆ อยู่
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงทุบประตูดังขึ้น
เขาเปิดประตูออกไป และเห็นว่าไดแอนนากับโรสมีอาวุธครบมือ
ไดแอนนามองขึ้นมาที่ดาร์กและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ดาร์ก! ไปสำรวจเส้นทางลับกันเถอะ!”
ดาร์ก “ฮะ?”
บทที่ 121 ดาร์ก เดม่อนคือดวงอาทิตย์น้อย
บทที่ 121 ดาร์ก เดม่อนคือดวงอาทิตย์น้อย
เสียงพูดคุยของเหล่านักเรียนค่อย ๆ ดังขึ้น
ท่ามกลางผู้คนมากมาย สายตาของนักเรียนกับศาสตราจารย์บางคนมองไปยังทั้งสองคนบนเวทีอย่างล้ำลึกและอ่านไม่ออก
บางคนเกิดมาพร้อมกับโชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้ และได้รับประโยชน์จากโชคชะตานี้ แต่ก็ต้องมีมุมมองและความรับผิดชอบที่สอดคล้องกันด้วย
บุตรแห่งวีรบุรุษก็เช่นกัน
อันที่จริงในฐานะบุตรแห่งวัลคีรี ดาร์ก เดม่อนก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?
ด้วยเหตุนั้น ต่อให้มีการกระทำในอดีตของเขามาร่วมด้วย เขาก็เป็นเพียงขุนนางธรรมดาในแวดวงชนชั้นสูง แล้วทำไมเขาถึงถูกตราหน้าจนถึงทุกวันนี้?
ทว่า ณ ตอนนี้
เด็กชายผู้โด่งดังคนนี้ได้เริ่มเดินในเส้นทางกำจัดชื่อเสียของเขาแล้ว และเขาก็ทำผลงานออกมาได้อย่างโดดเด่นด้วย
ตรงกันข้าม บุตรแห่งวีรบุรุษที่ทุกคนคาดหวังไว้สูงกลับยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร
เพราะอย่างนี้แล้ว มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่คนอื่นจะไม่เอาพวกเขามาเปรียบเทียบกัน
สายตาผิดหวังพวกนั้นราวกับเข็มที่แหลมคมทิ่มแทงร่างของเวอร์เธอร์ กาวด์ จนทำให้วิญญาณของเขาเต็มไปด้วยรูพรุน
เวอร์เธอร์ก้มหน้าลง ไม่อยากเห็นสายตาที่มองมาจากด้านล่างเวที มือและเท้าของเขากำแน่น
ในที่สุดเขาก็รู้ซึ้งถึงความเสียใจ
คราวนี้เป็นความเสียใจอย่างแท้จริง และไม่ใช่เรื่องที่เขาจะลืมได้ง่าย ๆ
เวลานี้หูของเขาเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกทุกรูปแบบ บางเสียงก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ และค่อย ๆ เด่นชัดขึ้น
มันคือเสียงของเอ็มม่าที่เขาเคยลืมไปแล้วที่ดังมากเป็นพิเศษ
‘หยุดเที่ยวเล่นกับโรเบิร์ตซะ! คิดถึงพ่อแม่ที่ตายไปแล้วของนายด้วย!’
‘คิดถึงพ่อแม่ที่ตายไปแล้วของนายด้วย!’
เวอร์เธอร์อดไม่ได้ที่จะกำจี้ที่หน้าอกซึ่งมีรูปแม่ของเขาอยู่
จากหางตา เขาเหลือบมองดาร์ก เดม่อนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กัน เพียงรู้สึกว่าเขากำลังยืนอยู่ข้างดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงระยิบระยับ
…
แต่ดาร์กไม่พอใจกับมัน
การคว้าแชมป์ ‘ดาวเด่น’ ที่เป็นเพียงชัยชนะอันน้อยนิดนั่น หรืออะไรสักอย่างเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเขา และมันไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้
สถานการณ์ตรงหน้ากำลังทำให้เขารู้สึกแย่
หากอาจารย์ใหญ่อาร์เต้พิจารณาถึงความรู้สึกของบุตรแห่งวีรบุรุษคนนี้ เธอก็จะไม่ให้เขาและเวอร์เธอร์ขึ้นบนเวทีพร้อมกัน และเธอก็คงไม่มีคำพิพากษาถึงสองครั้งเช่นกัน
สามารถจินตนาการได้เลยว่าหลังจากวันนี้ ประโยคเหล่านี้จะกลายเป็นที่แพร่หลายอย่างแน่นอน
หนังสือพิมพ์รายเล็กรายใหญ่จะรายงานพฤติกรรมของทั้งสองในเหตุการณ์นี้อย่างบ้าคลั่ง
และคนเขียนข่าวก็ไม่พ้นเอาพวกเขามาเปรียบเทียบกัน เขียนบางคำพูดที่เหมือนไม่ได้ใช้สมองไตร่ตรองความควรไม่ควรเพื่อให้ผู้คนหัวเราะเยาะเท่านั้น
ท้ายที่สุด ดาร์กจะเข้ามาแทนที่บุตรแห่งวีรบุรุษบนเวที และกลายเป็นจุดสนใจของสาธารณชนแทน
นี่ตรงกันข้ามกับความต้องการของดาร์กที่อยากจะมีชีวิตที่ผ่อนคลายโดยสิ้นเชิง
แค่ให้บุตรแห่งวีรบุรุษอยู่บนเวทีก็เกินพอแล้ว ดาร์กไม่ต้องการที่จะอยู่ในแสงไฟเช่นนี้เลยด้วยซ้ำ
ตราบใดที่สายเลือดของจอมมารยังไม่ตื่น
และสถานะของเขายังอยู่
บุตรชายของดัชเชส
บุตรชายแห่งวัลคีรี
เพียงสองชื่อนี้ก็สามารถทำให้เขาก้าวไปสู่จุดสูงสุดของชีวิตได้อย่างราบรื่นแล้ว
เขาไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับเวอร์เธอร์เลย
‘เธอต้องการใช้เรื่องนี้ปกปิดผลกระทบด้านลบของศาสตราจารย์ดีดี้หรือเปล่า?’
‘หรือเธอต้องการใช้เรื่องนี้แสดงจุดยืนทางการเมือง?’
‘การสนับสนุนฉันคือการสนับสนุนวัลคีรี พรรคนกพิราบ และเจ้าหญิงเอลิซา’
ความคิดของดาร์กแล่นไปอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่เขาคิดต่างจากเวอร์เธอร์อย่างสิ้นเชิง
แต่นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ท้ายที่สุดแล้ว อายุทางจิตใจของทั้งคู่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
…
อย่างไรก็ตาม
อุบัติเหตุนี้เป็นเหตุการณ์ใหญ่สำหรับสถาบันเซนต์แมเรียน
สถาบันระบุสาเหตุและผลลัพธ์ของเหตุการณ์อย่างชัดเจนต่อสาธารณะ และถึงกับขอให้ผู้มีส่วนในเหตุการณ์สองคนให้คำยืนยัน โดยพื้นฐานแล้วเป็นการตอกเหตุการณ์นี้ไว้กับกำแพง ไม่ยอมให้ใครใช้เหตุการณ์นี้เป็นข้ออ้างสร้างปัญหากับสถาบันเซนต์แมเรียนได้
กอปรกับไม่มีผู้บาดเจ็บล้มตาย จึงอาจกล่าวได้ว่าผลกระทบด้านลบนั้นน้อยสุดแล้ว
แม้ว่าผลกระทบด้านลบบางอย่างจะยังคงมีอยู่
แต่สถาบันกล้าที่จะรับผิดชอบ และไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะหลบเลี่ยงแต่อย่างใด ดังนั้นมันจึงอาจจะยังได้รับคำชมอยู่บ้าง
บุตรแห่งวีรบุรุษและบุตรแห่งวัลคีรี คนหนึ่งอยู่ในฐานะเหยื่อและอีกคนอยู่ในฐานะผู้กอบกู้ สองสิ่งนี้ถูกวางลงบนโต๊ะเพื่อเปรียบเทียบพร้อมกัน ซึ่งจะต้องเจอกับความคิดเห็นของประชาชนส่วนใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
…
แต่บางอย่างก็อาจเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ซึ่งไม่ได้นึกถึงความรู้สึกของเด็กคาดไม่ถึง
…
ในตอนท้ายของการประชุม
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ประกาศต่อสาธารณชนว่าเธอจะเข้ามาแทนที่ศาสตราจารย์ดีดี้ชั่วคราว และกลายเป็นศาสตราจารย์วิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์และวิชาดาราศาสตร์ จนกว่าศาสตราจารย์คนใหม่จะเข้ารับตำแหน่ง
ทำให้นักเรียนกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่ชื่นชมอาจารย์ใหญ่รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ประกาศเลิกการประชุม และเสียงพูดคุยกันของนักเรียนก็ดังขึ้นโดยฉับพลัน เมื่อพวกเขาออกจากห้องโถงทีละคน
ดาร์กกับเวอร์เธอร์เดินตามอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ไปที่ห้องทำงานของเธอ และมองเธอผายมือเชิญ
“นั่งลงสิ ไม่ต้องประหม่าหรอก”
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้โบกมือและชุดน้ำชากับของว่างก็ปรากฏขึ้นมาบนโต๊ะ
ดาร์กไม่ได้แสดงอาการประหม่าแต่อย่างใด เขาไม่เพียงนั่งลงเท่านั้น แต่ยังทำความสะอาดถ้วยอย่างชำนาญ เทชาดำ และส่งถ้วยแก้วแรกให้เวอร์เธอร์
“เอ่อ ขอบคุณนะ”
เวอร์เธอร์รีบขอบคุณ แต่ใบหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนัก
จากนั้นดาร์กก็เทอีกถ้วยให้ตัวเอง ก่อนจะนั่งจิบเข้าไปอย่างช้า ๆ
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ก็นั่งลงเช่นกัน มือวางเอกสารบนโต๊ะและผ่อนคลายไหล่ที่เหยียดตรง
เธอปรับสีหน้าเล็กน้อยและถามขึ้นมา “พวกเธอสองคน คิดอย่างไรกับพฤติกรรมของศาสตราจารย์ดีดี้”
เวอร์เธอร์ “หืม? อ้อ! ไม่ค่อยดี ผมคิดว่านะ”
ดาร์ก “เป็นแผนที่ไม่ดี”
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้พยักหน้าเล็กน้อยและไม่ถามอะไรอีก
แต่ในพริบตา เธอก็พูดว่า “เวอร์เธอร์ สำหรับงานเลี้ยงสวมหน้ากากครั้งนี้ คะแนนของเธอเป็นที่สองของชั้นปี ซึ่งถือว่าดีมากทีเดียว”
ใบหน้าของเวอร์เธอร์ขึ้นสีแดงก่ำในทันใด และเขาก็พึมพำว่า “แต่มันก็ยังไม่ใช่ที่หนึ่ง”
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้พูดกับดาร์กอีกครั้ง “ดาร์ก ถ้าอัลเวตต์รู้ว่าเธอมีผลงานแบบนี้ เธอคงวิ่งเข้ามากอดฉันและร้องไห้อย่างแน่นอน”
ดาร์กหน้าแดงและพูดด้วยความเขินอาย “อาจารย์ใหญ่ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแบบนี้หรอกครับ”
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้กล่าวด้วยน้ำเสียงหวนรำลึกถึงอดีตว่า “อัลเวตต์เป็นคนแบบนี้มาโดยตลอด จิตใจของเธออ่อนโยนกว่าผู้ใด แต่ภาพลักษณ์ของเธอกลับแข็งแกร่งกว่าผู้อื่น ไม่มีใครน่าไว้ใจได้เท่าเธอ ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอก็เป็นแบบนั้นด้วยเหมือนกัน”
ดาร์กตกตะลึง ‘ฉันดูเหมือนคนจิตใจอ่อนโยนเหรอ?’
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้กล่าวต่อ “และเวอร์เธอร์ พ่อของเธอก็เช่นกัน เขาเป็นเหมือนกับเธอตอนที่เขายังเป็นนักเรียน นิสัยกระตือรือร้นมากและไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้เลย เขามีความเห็นอกเห็นใจที่แรงกล้าและได้รับอิทธิพลจากคนรอบข้างได้ง่าย แต่เป็นเพราะเหตุนี้เองที่เขาสามารถเป็นวีรบุรุษได้ เขาสัมผัสความทุกข์ยากของผู้คน และต่อสู้เพื่อผู้อื่น!”
เมื่อเวอร์เธอร์ได้ยินคำว่า ‘พ่อ’ เขาก็ตื่นเต้นเล็กน้อย
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้กล่าวต่อว่า “พ่อแม่ของเธอทั้งคู่ทิ้งบางอย่างไว้ในสถาบันเมื่อตอนที่ยังเป็นนักเรียน ฉันไม่ต้องการให้พวกมันแก่พวกเธอเร็วนัก แต่เพราะพวกเธอรับรู้ถึงการมีอยู่ของเส้นทางลับในปราสาทแล้ว ดังนั้นฉันจะให้แผนที่สมบัติทั้งสองนี้แก่พวกเธอในตอนนี้ แต่ดาร์ก อย่าใช้ทางลัดแล้วไปถามอัลเวตต์ล่ะ ฉันรู้ว่าหล่อนเอาใจเธอมาก และหล่อนจะบอกเธออย่างแน่นอนถ้าเธอถาม”
ดาร์กหัวเราะ
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้สะบัดปลายนิ้วของเธอ สายลมอบอุ่นสายหนึ่งพัดผ่านมา และแผนที่ขุมทรัพย์สองแผ่นก็ค่อย ๆ ลอยลงจากอากาศ
บทที่ 120 ดาร์ก เดม่อนไม่ต้องการอยู่บนเวที
บทที่ 120 ดาร์ก เดม่อนไม่ต้องการอยู่บนเวที
เวลาบ่ายสองโมงครึ่ง
แต่นักเรียนบางคนก็ทยอยเดินออกจากหอคอยทั้งสี่แล้ว
พวกเขาให้ความสำคัญกับการประชุมระดับสถาบันครั้งแรกตั้งแต่เริ่มเรียนอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีหลายเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ที่ยังไม่ได้รับการอธิบาย
พวกเขาต้องการให้อาจารย์ใหญ่ชี้แจง
เมื่อดาร์กเปิดประตูและเดินออกมา ไดแอนนาและโรสก็รออยู่ที่ประตูแล้ว
เขายิ้มเล็กน้อยและเดินไปที่ปราสาทกับทั้งสองคน
ทันทีที่ออกจากหอคอย ไดแอนนาก็ถามว่า “ดาร์ก นายรู้ไหมว่าอาจารย์ใหญ่จะพูดอะไร?”
ดาร์กส่ายหัว “ไม่รู้สิ”
เขาไม่รู้จริง ๆ แต่พอจะเดาไว้บ้าง
เมื่อพิจารณาจากการกระทำของอาจารย์ใหญ่เมื่อคืนนี้ เหตุการณ์นี้ไม่น่าจะเกิดจากศาสตราจารย์ดีดี้
อย่างไรก็ตาม มีนักเรียนจำนวนมากเกินไปที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
หากเรื่องนี้เกิดจากศาสตราจารย์ของสถาบัน และสุดท้ายมีคนเปิดเผยเรื่องนี้ต่อโลกภายนอก จุดยืนของสถาบันเซนต์แมเรียนก็จะน่าอึดอัดมาก
ช่วงเวลาที่การเมืองในอาณาจักรค่อนข้างอ่อนไหวเช่นนี้ สถาบันเซนต์แมเรียนต้องปกป้องชื่อเสียงของตนไว้ และพวกเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้ภาพลักษณ์ของสถาบันถูกทำลายด้วยเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ได้
ดังนั้นศาสตราจารย์ดีดี้สามารถลาออกได้ แต่ไม่สามารถต้องโทษได้
ในการวิเคราะห์สรุปผลของเรื่องนี้ มันอาจมาจากนักเรียนคนแรกที่ค้นพบทางลับ
นอกจากนี้ยังอาจเป็นเพราะจิตที่ตกค้างอยู่ของเทพธิดาแห่งจันทราก็เป็นได้
แต่ไม่สามารถเกี่ยวข้องกับศาสตราจารย์ดีดี้ได้!
จากมุมมองของสถาบันซึ่งควรปกป้องนักเรียน อาจารย์ใหญ่อาร์เต้จะไม่ยอมให้นักเรียนคนนั้นรับผิดชอบ
และก็สามารถโทษได้แต่จิตที่ตกค้างอยู่ของเทพธิดาแห่งจันทราเท่านั้น
บางทีด้วยเหตุผลทางศาสนา ครูใหญ่อาจตั้งชื่ออื่นให้เทพธิดาแห่งจันทราด้วย
ตัวอย่างเช่น ‘เทพธิดาแห่งจันทราผู้ชั่วร้าย’ หรือ ‘อสูรร้ายแห่งดวงจันทร์’ เป็นต้น
ด้วยวิธีนี้สถาบันเซนต์แมเรียนก็จะกลายเป็นเหยื่อผู้บริสุทธิ์ และยังสามารถหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณชนได้
ส่วนชื่อของนักเรียนที่ถูกจับและถูกล้างสมองนั้น แน่นอนว่าไม่สามารถเปิดเผยได้
เพราะพวกเขาเป็นเหยื่อจริง ๆ
การเปิดเผยชื่อรังแต่จะทำให้เกิดปัญหากับพวกเขา
…
พูดโดยคร่าว ๆ นี่เป็นเพียงการคาดเดาที่ดาร์กคิดตามข้อมูลที่มีอยู่ของเขาเท่านั้น
ทว่าการคิดเช่นนี้ก็ยังมีปัญหา
หากสถาบันตัดสินใจอย่างนั้นจริง ๆ เขาที่อยู่ในฐานะคนวงในก็ควรได้รับหนังสือแจ้งจากอาจารย์ใหญ่ไปนานแล้ว
…
ดังนั้นเมื่อก้าวเข้าไปในห้องโถง ดาร์กก็ไม่รู้อะไรเลยเช่นกัน
เช่นเดียวกับนักเรียนคนอื่น ๆ พวกเขาตั้งตารอคำตอบจากอาจารย์ใหญ่อาร์เต้
นักเรียนเซนต์แมเรียนถูกจัดกลุ่มตามบ้านเสมอ
ดาร์กนั่งลงในพื้นที่ที่มีเครื่องหมาย ‘มุงกุฎ’ ขณะสนทนากับไดแอนนาและคนอื่นเงียบ ๆ
ห้องโถงทั้งหมดค่อย ๆ มีเสียงดังเมื่อจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้น
จนกระทั่งเหลืออีกห้านาทีก่อนจะบ่ายสาม ศาสตราจารย์และนักเรียนเกือบทั้งหมดก็มารวมตัวกันที่ห้องโถง จากนั้นศาสตราจารย์ซิลเวอร์ก็ก้าวขึ้นไปบนเวทีและปรบมือให้เหล่านักเรียน
เพียงแค่การกระทำนี้ เหล่านักเรียนก็เงียบลงโดยไม่จำเป็นต้องให้ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ใช้คาถาเงียบสงัดเลย
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์พยักหน้าอย่างพึงพอใจ แล้วเชิญอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ขึ้นมา
ร่างของเธอล้อมรอบไปด้วยสปิริตเก้าดวง อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ยังคงดูงดงามและสูงศักดิ์เช่นเคย
หลังจากขึ้นเวที เธอพูดสองสามคำเป็นคำปราศรัยเปิดงานประชุม จากนั้นก็ตรงเข้าหัวข้อหลัก “ฉันอยากจะประกาศเรื่องหนึ่งในวันนี้ นั่นคือศาสตราจารย์ดีดี้ แม็กซ์เวลได้ลาออกไปแล้วเมื่อคืนนี้”
ไม่มีคำพูดสวยหรู มันเป็นเพียงประโยคธรรมดา ๆ
ทว่าประโยคนี้กลับทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในหมู่นักเรียน
แม้ว่าการบรรยายของศาสตราจารย์ดีดี้จะน่าเบื่อมาก และเธอก็มักจะหักคะแนนของนักเรียนบ่อย ๆ แต่ในฐานะหัวหน้าอาจารย์ประจำบ้านคนเขลา เธอเป็นคนใจดีเมื่ออยู่นอกห้องเรียน ไม่มีใครเคยเห็นเธอโกรธเลยสักครั้ง
นอกจากนี้เธอยังเป็นศาสตราจารย์วิชาดาราศาสตร์อีกด้วย
มันแตกต่างจากประวัติศาสตร์เวทมนตร์ที่น่าเบื่อ เพราะวิชาดาราศาสตร์ของเธอน่าสนใจมาก
นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งได้เรียนวิชาดาราศาสตร์เพียงคาบเดียว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้มากนัก แต่รุ่นพี่ทุกคนต่างก็ชอบวิชาดาราศาสตร์มาก พวกเขายังตั้งชมรมสำหรับวิชาเรียนนี้ด้วย
และดูเหมือนว่านักเรียนรุ่นพี่จะคุ้นเคยกับการมีอยู่ของอาจารย์สูงอายุไปแล้ว
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ก็เป็นศาสตราจารย์ดีดี้ที่คอยเฝ้าดูแลพวกเขาตลอดของช่วงชีวิตนักเรียน
ทว่าครั้งนี้…เป็นศาสตราจารย์ที่ทิ้งพวกเขาไปโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าพวกเขาไม่เศร้า
…
แต่แล้ว อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ก็แสดงให้นักเรียนเห็นถึงศาสตราจารย์ดีดี้ที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
แม้ว่าดาร์กจะได้ฟังบางส่วนมาจากศาสตราจารย์ลิลลี่แล้ว เขาก็ยังค่อนข้างแปลกใจ
สิ่งที่ค่อย ๆ ออกมาจากปากอาจารย์ใหญ่อาร์เต้คือดีดี้ แม็กซ์เวลจากมุมมองของเธอ
เอาแต่ใจ เย่อหยิ่ง ไร้เหตุผล และดื้อรั้น มีนักเรียนไม่มากที่เข้าใจความหมายของคำเหล่านี้ แต่สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของอุปนิสัยของศาสตราจารย์ดีดี้
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้รู้จักศาสตราจารย์ดีดี้มานานแล้ว
โดยไม่มีการปกปิดใด ๆ เธอบรรยายถึงศาสตราจารย์ดีดี้ที่เธอรู้จัก
จากภูตตัวน้อย สู่การเป็นสมาชิกของทีมผจญภัยสี่คน สู่การถูกขังอยู่ในวิหารโบราณที่ต้องทนทุกข์กับคำสาปแห่งวัยชรา
นอกจากเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศาสตราจารย์เคเซอร์ที่เธอไม่ได้ลงรายละเอียดแล้ว อาจารย์ใหญ่ก็ได้บอกทุกอย่างที่เธอรู้กับนักเรียน
เธอพูดถึงสิ่งที่ศาสตราจารย์ดีดี้เขียนในจดหมายลาออก โดยเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับความทุกข์ใจภายในของศาสตราจารย์ดีดี้ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาและเหตุการณ์ล่าสุด
…
มันต่างจากที่ดาร์กคิดไว้อย่างสิ้นเชิง
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ไม่ได้ดัดแปลงเนื้อหาใด ๆ เลย ยกเว้นเพียงปกปิดชื่อนักเรียน นอกนั้นเธอเล่าทั้งหมด
และนักเรียนก็ตั้งใจฟังมาก หน้าตาจริงจังยิ่งกว่าในชั้นเรียนด้วยซ้ำ
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ไม่ได้มีความลำเอียงใด ๆ และให้สิทธิ์ในการตัดสินพฤติกรรมของศาสตราจารย์ดีดี้กับนักเรียนด้วยตนเอง
มันอาจจะดีหรือไม่ดี
มันอาจจะถูกหรือผิด
นักเรียนสามารถใช้จุดยืนส่วนตัวปกป้องศาสตราจารย์ดีดี้ได้
หรือสามารถวิพากษ์วิจารณ์เธอจากมุมมองที่เป็นกลางได้ด้วย
และพวกเขาก็สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระด้วย
…
ในที่สุด
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ได้เชิญหนึ่งในผู้เข้าร่วมเหตุการณ์ นั่นคือเวอร์เธอร์ กาวด์ขึ้นมาเพื่อให้การเป็นพยานกับเหยื่อ
เห็นได้ชัดว่าเวอร์เธอร์ไม่ได้เตรียมตัว เขาดูงุนงงมากเมื่อถูกเรียกขึ้นไปบนเวที
สำหรับเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือการขึ้นพูดต่อสาธารณะ
เวอร์เธอร์ไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ถึงทำเช่นนี้
แต่ด้วยกำลังใจจากสายตาของอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ เวอร์เธอร์ก็ยังคงบอกกับทุกคนว่าเขาถูกพาตัวไปที่วิหารเพื่อเป็นเครื่องสังเวยอย่างไร หลังจากถูกโจมตีเมื่อคืนนี้อย่างละเอียด
คำพูดของบุตรแห่งวีรบุรุษนั้นค่อนข้างน่าเชื่อถือ
ไม่มีใครตำหนินักเรียนชั้นปีที่หนึ่งที่ทำอะไรไม่ได้ในเหตุการณ์นี้จริง ๆ พวกเขาแค่ผิดหวังเล็กน้อย
แต่หลังจากนั้น
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ได้เชิญผู้เข้าร่วมอีกคนในเหตุการณ์นี้ ซึ่งก็คือดาร์ก เดม่อน
ดาร์กไม่ได้คิดว่าเขาจะถูกเรียกให้ขึ้นเวทีด้วย
แต่ภายใต้สายตาที่อ่อนโยนของอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องให้ความร่วมมือ โดยบอกผู้คนว่าเขาพบการ์ดเวทมนตร์ที่เวอร์เธอร์ทำหล่นไว้ได้อย่างไร รวมไปถึงเขาติดตามร่องรอยและเข้าไปในทางลับอย่างไร เช่นเดียวกับสิ่งที่เขาทำในภายหลัง
แน่นอนว่ารายละเอียดบางอย่างถูกข้ามไปอย่างตั้งใจ
การต่อสู้กับเทพธิดาจบลงด้วยศาสตราจารย์ดีดี้ปิดฉากเทพธิดาและขัดเกลา ‘น้ำตาแห่งเทพธิดา’
ทั้งสองเป็นบุตรของดาบคู่แห่งอาณาจักร
แต่ผลงานของบุตรแห่งวัลคีรีนั้นตรงกันข้ามกับผลงานของบุตรแห่งวีรบุรุษอย่างมาก
บทที่ 119 ดอกไม้แห่งอัตตา
บทที่ 119 ดอกไม้แห่งอัตตา
ยาของกริมม์และยาของแอนเดอร์เซน ยาหนึ่งสำหรับรักษาภาพลวงตา และอีกหนึ่งสำหรับรักษาการล้างสมอง เห็นได้ชัดว่าอย่างหลังมีประโยชน์มากกว่า
หลังจากทำยานี้เป็นการ์ดเวทมนตร์แล้ว มันน่าจะกลายเป็นการ์ดล้างคำสาปของการ์ดล้างสมองอย่าง [ความรักต้องห้าม] และ [กล่องสมบัติทองคำ]
ในที่สุดดาร์กก็ได้รับยาของแอนเดอร์เซนสามหลอดจากมือของซิสเตอร์คาไลด์
หลังจากขอบคุณซิสเตอร์แล้ว เขาก็ออกจากห้องพยาบาลซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่เวอร์เธอร์มาที่ห้องพยาบาล
แน่นอนว่าเวอร์เธอร์มาเยี่ยมโรเบิร์ตนั่นเอง
เมื่อทั้งสองได้พบกัน เวอร์เธอร์ดูจะเขินอายเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงกัดฟันและพูดว่า “อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์” ดาร์กพยักหน้าให้อีกฝ่ายแล้วเดินผ่านเขาไป
…
แน่นอนว่าดาร์กที่มียาสามหลอดไม่สามารถวิ่งไปทั่วได้ เขาจึงรีบกลับไปที่หอพักและวางยาลงในชั้นวางหลอดทดลอง
ยาสีทองของแอนเดอร์เซนสามหลอดส่องประกายเล็กน้อย และมันก็ดึงดูดความสนใจทั้งหมดของเขา
ดาร์กครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบวัตถุดิบหลักที่ได้รับจากงานเลี้ยงสวมหน้ากากออกมาทีละชิ้น แล้ววางลงบนโต๊ะ
รวมกับยาของแอนเดอร์เซนแล้วก็มีทั้งหมดห้าอย่าง
1. ขนของฮาร์ปี้
2. เกล็ดนางเงือก
3. กระดุมของซอมบี้หมีหุ่นเชิด
4. ขนนกเดอะแองเจล
5. ยาของแอนเดอร์เซน
…
“นอกจากนี้ ยังมีวัตถุดิบอื่นที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ในอนาคตอันใกล้นี้!”
ดาร์กกอดหญ้าแมวไว้บนตัก มองดูดอกไม้ที่บานอยู่บนหัวของมันอย่างคาดหวัง
เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วตั้งแต่การใช้เครื่องหยดสมองวิเศษครั้งแรก และในที่สุดเขาก็สามารถดูดซับมหาบาปต่อได้แล้ว
“ฉันไม่ได้ใช้มันมาสักพักแล้ว ไม่รู้ว่าฝีมือขึ้นสนิมแล้วหรือเปล่า”
“[อัตตา] กับ [ราคะ] ดันมาเกินร้อยหน่วยในเวลาเดียวกัน”
“บางทีฉันอาจจะต้องลองวิธีอื่นดู”
ดาร์กหยิบเครื่องหยดสมองวิเศษขึ้นมา ทำความสะอาด และผึ่งให้แห้ง
หลังจากนั้นไม่นาน ดวงตาของเขาพลันหรี่ลง และพลังจิตของดาร์กก็ควบแน่นในทันใด
ขณะนั้นสมองของเขาว่างเปล่าทันที และไม่มีอะไรเลยนอกจากจุดดำเล็ก ๆ ตรงกลาง
เพียงแค่เพ่งความสนใจไปที่จุดดำนี้ จิตสำนึกทั้งหมดของเขาก็พุ่งเข้าหาจุดนั้นอย่างรวดเร็วด้วยสมาธิขั้นสูง
ศาสตราจารย์เคเซอร์คงคิดไม่ถึงว่าดาร์กจะสามารถเรียนรู้พื้นฐานของ ‘ศาสตร์แห่งจิตตั้งมั่น’ ได้ในเวลาอันสั้น
หลังจากเข้าสู่สภาวะจิตตั้งมั่นแล้วดาร์กก็จงใจระงับ [ราคะ] และปล่อย [อัตตา] ตามวิธีการกระตุ้นอารมณ์ใน ‘คู่มือผู้ใช้เครื่องหยดวิเศษ’
จากนั้นดาร์กก็หยิบเครื่องหยดสมองวิเศษขึ้นมาทันที ก่อนจะกดปากแหลมบนขมับของเขา และบีบสองนิ้วบนสมองวิเศษแล้วปล่อยมันออกมา
ด้ายสีดำบาง ๆ ถูกดูดออกจากสมองทันที!
มันยังคงมีหยดเดียวเช่นเคย แต่คุณภาพที่มีอยู่ในหยดนี้กลับสูงกว่าเมื่อก่อนมาก
ดาร์กลืมตาขึ้น และออกจากสภาวะจิตตั้งมั่น
ในตอนแรกเขาไม่อาจเข้าใจเรื่องนี้ได้ จนกระทั่งหลังจากเรียนพื้นฐานว่าการรักษาสภาวะจิตตั้งมั่นนั้น จำเป็นต้องใช้พลังจิตอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเลยสรุปได้ว่า การใช้ศาสตร์แห่งจิตตั้งมั่นเพื่อป้องกันการบุกรุกทางความคิดจำเป็นต้องใช้ทักษะที่สูงมาก
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะศึกษาศาสตร์แห่งจิตตั้งมั่น
ดาร์กหยดอัตตาหยดนั้นลงในขวดแห่งความคิด และเฝ้าสังเกตมันอย่างระมัดระวัง
เขามีสัญชาตญาณเกี่ยวกับมหาบาปพอสมควร
หลังจากการสังเกตและใช้งานมานานกว่าหนึ่งเดือน ดาร์กก็สามารถวัด ‘ระดับ’ ที่แน่นอนของจำนวนมหาบาปได้
“จำนวนการดรอปนี้อย่างน้อยสิบห้าหน่วยของ [อัตตา]”
“ดูเหมือนว่าวิธีนี้จะเป็นไปได้จริง ๆ”
“การปรับปรุงความเข้มข้นของอารมณ์ผ่านศาสตร์แห่งจิตตั้งมั่นจะทำให้ [มหาบาป] รีดออกมาได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะเป็นการเพิ่มอัตราการผลิต”
“การใช้วิธีนี้อย่างต่อเนื่องสามารถเพิ่มจำนวนที่สามารถดึงออกมาได้ในหนึ่งเดือนจากสิบเป็นสิบห้าหน่วย!”
นี่เป็นผลการทดลองที่ดีมากอย่างไม่ต้องสงสัย
…
จากนั้นดาร์กก็ใช้เครื่องหยดสมองอีกครั้ง จากนั้นก็ดึง [อัตตา] สองในสามหยดออกจากขวดแห่งความคิด และฉีดเข้าไปในกิ่งหนอนของต้นไม้หนอนแล้วค่อยอุ้มหญ้าแมวไปวาง
“เมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว!”
หญ้าแมวทำตัวเหมือนอดอาหารมาหลายเดือนแล้วในที่สุดก็ได้กลิ่นอาหาร มันกระโจนเข้าใส่และดูดค่ามหาบาปทันทีโดยใช้อุ้งเท้าจับไว้แน่น
ดาร์กมองดูวิธีที่มันดูดอย่างเอาเป็นตาย แม้แต่ใบหน้าก็ยังกลมดิก
…
ในไม่ช้า
หญ้าแมวก็ย้าย [อัตตา] ที่ดูดมาไปไว้ที่ตาบนหัวของมัน
ในที่สุดดอกตูมที่หยุดเติบโตมานานกว่าครึ่งเดือนก็เริ่มเติบโตอีกครั้ง และคราวนี้ดอกตูมก็บานจริง ๆ!
ราวกับว่ารู้สึกคันบนหัว หญ้าแมวยกอุ้งเท้าขึ้นและแตะด้านข้างของดอกไม้ มันหยุดดูดกิ่งหนอนและคลานไปที่เท้าของดาร์ก
ดาร์กคุกเข่าลงและอุ้มมันขึ้นมา ขณะสังเกตดูการบานของดอกไม้อย่างละเอียด
ดอกไม้นี้ปลูกขึ้นมาโดยใช้ [อัตตา] หกหน่วย ตั้งแต่สีทองเข้มที่ด้านล่างจนถึงสีแดงเข้มบนกลีบดอกไม้ ทั้งดอกไม้เต็มไปด้วยความรู้สึกหรูหราและสูงส่งอย่างถึงที่สุด
แต่ดาร์กกลับไม่รู้สึกถึงความสว่างที่มันควรมี
หากไม่ถูกอนุมานผ่านการทดลอง ก็คงยากที่เขาจะจินตนาการได้ว่าวิธีการขัดเกลาขั้นพื้นฐานของ [ประเภทนกและสัตว์ – ธาตุแสง] เป็นวิธีที่ถูกต้องสำหรับวัตถุดิบหลักนี้
“ถ้าฉันใช้ดอกไม้แห่งอัตตานี้ในการขัดเกลา ฉันจะได้สปิริตแบบไหนกันนะ?”
ดาร์กหยิบสมุดบันทึกออกมา บรรยายลักษณะที่ปรากฏของดอกไม้แห่งอัตตา จากนั้นก็ระบุองค์ประกอบสองสามอย่างไว้ด้านข้าง
1. แมว
2. อัตตา
3. ดวงอาทิตย์
4. แสง
5. พืช
อันที่จริง แค่ดาร์กหยิบสามองค์ประกอบแรกขึ้นมาก็พอจะเดาผลลัพธ์ได้แล้ว
นั่นคือเทพแห่งดวงอาทิตย์ของสิบสองเทพโอลิมเปียใน ‘มอนสเตอของโลกดิจิทัล’
อพอลโลนีอัส!
อพอลโลนีอัสมีพื้นฐานมาจากสิงโต ซึ่งอยู่ในวงศ์ตระกูลแมวและยังเป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ ผู้เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งจองหองอย่างไร้ความปรานี
ร่างก่อนวิวัฒนาการ → โครนามอนในระดับแรกเกิดที่เป็นสิงโตตัวน้อย
แต่ถ้าเขาเลือกหนึ่งและสี่ เขาก็คิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจากร่างก่อนวิวัฒนาการของเดอะแองเจล → แคทมอนระดับเต็มวัย!
“ผลของวิธีการขัดเกลาขั้นพื้นฐานนั้นไม่แน่นอน บางทีสปิริตทั้งสองชนิดนี้อาจเป็นไปได้ทั้งคู่”
“อพอลโลนีอัสเป็นมอนสเตอร์ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ซึ่งควบคุมเปลวไฟได้ ถ้าฉันต้องการเพิ่มโอกาสในการสร้างอพอลโลนีอัส ฉันอาจต้องเพิ่มวัตถุดิบที่เป็นธาตุไฟเข้าไปด้วย”
“ในทางกลับกัน ถ้าฉันต้องการสร้างมอนสเตอร์ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่ชื่นชอบของแสง ฉันควรเพิ่มวัตถุดิบที่มีคุณสมบัติธาตุแสง”
ดาร์กมองดูวัตถุดิบหลักบนโต๊ะทดลอง
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าขนของเดอะแองเจลจะเป็นองค์ประกอบหลักในการสร้างแคทมอน”
ในที่สุดดอกไม้แห่งอัตตาก็เบ่งบาน
แต่แน่นอนว่าดาร์กจะไม่หยิบมันขึ้นมาทันที
เขาอยากใช้มันหลังจากที่มันออกผลมากกว่า
“ตามความคืบหน้าในปัจจุบัน ผลของมันจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ในเวลานี้ของวันพรุ่งนี้ ฉันต้องตัดสินใจก่อนถึงเวลานั้น”
…
บ่ายโมงตรง
การ์ดคัดสรรของทุกคนสั่นพร้อมกัน
ศาสตราจารย์และนักเรียนของสถาบันเซนต์แมเรียนทุกคนได้รับแจ้งเตือน
เวลาบ่ายสามโมงจะมีการประชุมศาสตราจารย์และนักเรียนในห้องโถงชั้นหนึ่ง
อาจารย์ใหญ่มีเรื่องจะพูด
บทที่ 118 ดาร์ก เดม่อนเป็นคนธรรมดา
บทที่ 118 ดาร์ก เดม่อนเป็นคนธรรมดา
วันแรกของเดือนพฤศจิกายน
วันพุธ
วันฮัลโลวีน
หกโมงเช้า
…
ลิลลี่ ลาปลาซตื่นขึ้นมากับความรู้สึกที่หนาวเล็กน้อย
“หาว~”
ภูตตัวน้อยตบริมฝีปากปุ ๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นมา
จากนั้นเธอก็เห็นแมวขนสั้นที่นอนอยู่ข้างกายบนเตียง กำลังเลียหูของเธออยู่อย่างเพลิดเพลิน
“หยุดนะ”
เมื่อตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่เตียงของเธอเอง ลิลลี่จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะตื่นขึ้น
เธอค่อย ๆ โผล่ออกจากผ้าห่มและบิดขี้เกียจ
แล้วเธอก็ได้เห็นวัยรุ่นผมบลอนด์นอนขดตัวเป็นลูกบอลอยู่ข้าง ๆ
“เฮ้ ๆ”
เมื่อเห็นดาร์กหลับตาสนิท ลิลลี่ก็ยืดนิ้วออกและเอานิ้วจิ้มแก้มเขาอย่างแผ่วเบา
นุ่มเหมือนเยลลี่พุดดิ้ง
เมื่อเธอดึงนิ้วกลับ ผิวที่ยืดหยุ่นอย่างยิ่งก็กลับคืนสู่สภาพเดิมพร้อมกับปลายนิ้วที่หดกลับ
ลิลลี่ไม่ทำอีกแล้ว
“ฉันควรกลับไปนอนที่ของฉัน”
ภูตตัวน้อยกระพือปีกและบินกลับไปที่ห้องของเธอ
ดาร์กยังหลับอยู่
นาน ๆ ทีเขาจะได้หลับลึกขนาดนี้
เมื่อปราศจากภาระทั้งหมด ร่างกายกับจิตใจของเขาก็ผ่อนคลายมาก และทำให้เขาง่วงนอนมากเป็นพิเศษ
จนกระทั่งเวลาเก้าโมงครึ่ง ดวงตาของดาร์กถึงจะเบิกขึ้นกว้าง
เขาตรวจสอบค่า [เกียจคร้าน] ทันที แต่ก็พบว่ามันไม่ได้เพิ่มขึ้น
“เป็นเพราะฉันนอนดึกหรือเปล่านะ?”
“หรือเพราะว่าฉันต้องการหลับนานขนาดนี้?”
หลังจากสะลึมสะลือในตอนเพิ่งตื่น ดาร์กก็สังเกตว่าศาสตราจารย์ลิลลี่ได้ออกไปโดยไม่บอกเขา
แต่ดาร์กไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาล้างหน้า แปรงฟัน และเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากนั้นก็ชโลมสไลม์ขยะบนใบหน้าของเขา แล้วเริ่มต้นวันใหม่
เดอะเลดี้ออกมาจากการ์ดคัดสรร และเธอยังไม่ได้เปลี่ยนร่างกลับเป็นรุกกี้เดวิมอน
อาจเป็นเพราะดูดซับพลังจากรูปปั้นเทพธิดามากเกินไป คราวนี้การวิวัฒนาการจึงคงอยู่เป็นเวลานาน
ดาร์กรู้สึกหมดหนทางเลยไปที่โรงอาหารเพื่อทานอาหารเช้าด้วยตนเอง
เวลานี้นักเรียนส่วนใหญ่ตื่นแล้ว จึงมีผู้คนมากมายในโรงอาหาร
พวกเขายังคงพูดคุยกันในหัวข้อเดิมที่พูดคุยกันในช่วงเช้าตรู่
บางครั้งมีการพูดถึงของขวัญในวันฮัลโลวีนด้วย
แต่ก็เป็นขนมจำพวกทอฟฟี่ ลูกอมแอปเปิ้ล คุกกี้ช็อกโกแลต ฯลฯ
ฮัลโลวีนนั้นต่างจากคริสต์มาส ดังนั้นของขวัญจึงไม่ได้มีค่าขนาดนั้น
…
หลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้ว ดาร์กก็แวะมาที่ห้องพยาบาล
เขาไม่พบโอกาสที่จะคืนการ์ดเวทมนตร์ของเวอร์เธอร์ให้อีกฝ่ายเมื่อคืนนี้ ดังนั้นเขาจึงมาที่นี่เพื่อตามหาโรเบิร์ต และส่งการ์ดเวทมนตร์ให้เวอร์เธอร์ผ่านโรเบิร์ต
“ซิสเตอร์คาไลด์อยู่ไหมครับ?”
ดาร์กเปิดประตูเข้าไปอย่างระมัดระวัง และเห็นซิสเตอร์คาไลด์ยังหลับอยู่บนโต๊ะ
เห็นได้ชัดว่าเธอหมดแรง ใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
ดาร์กไม่สามารถปลุกเธอให้ตื่นได้ เขาจึงเดินเข้าไปในห้องพยาบาลอันเงียบสงัด ก่อนจะพบโรเบิร์ต บร็อกไฮม์ท่ามกลางผู้ป่วยที่อยู่ใกล้ประตู
โรเบิร์ตกำลังหลับอย่างมีความสุขราวกับว่าไม่มีอะไรมารบกวนเขาได้
ดาร์กใส่การ์ดของเวอร์เธอร์ไว้ในถุงแล้ววางไว้ที่หัวเตียงของเขา
หลังจากนั้นเขาก็เดินกลับไปที่ประตูของห้องพยาบาล
แต่ในตอนที่ดาร์กกำลังจะหันหลังกลับ เขาก็สังเกตเห็นว่าผู้ป่วยในห้องพยาบาลมากกว่าครึ่งถูกเข็มน้ำเกลือเจาะอยู่
มันแตกต่างจากการให้น้ำเกลือเข้าเส้นเลือดดำโดยทั่วไป เข็มน้ำเกลือนี้ถูกเจาะเข้าไปในหัวของพวกเขาผ่านขมับ และถุงยาที่แขวนอยู่ข้างเตียงนั้นก็เป็นทรงกลม ภายในบรรจุยาเรืองแสงไว้
เมื่อตรวจสอบใกล้ ๆ ดาร์กก็เห็นว่าส่วนหนึ่งของเข็มที่เจาะเข้าไปในหัวของพวกเขานั้นพร่ามัวและกึ่งโปร่งใส เหมือนกับตอนที่เฒ่าจอห์นใช้ตะขอแห่งโชคชะตาเพื่อเกี่ยวความคิดฟุ้งซ่านออกมา
และน้ำยาในขวดยาทรงกลมก็ใกล้จะหมดแล้ว
แม้ว่าดาร์กจะไม่รู้ว่ายาที่อยู่ในขวดยาคืออะไร แต่ตามปกติของการให้ยา เขารู้ว่าซิสเตอร์คาไลด์ต้องถูกปลุกให้ตื่นเดี๋ยวนี้!
“ดาร์ก เดม่อน?”
ซิสเตอร์คาไลด์ปรากฏขึ้นข้างหลังเขาอย่างเงียบ ๆ
ดาร์กตกใจเล็กน้อย
ซิสเตอร์คาไลด์พูดว่า “เธอมาที่นี่ถูกจังหวะพอดี เธอช่วยฉันเทยาใหม่ลงในขวดยาเหล่านี้ได้ไหม?”
ดาร์กพยักหน้าตอบ “ได้ครับ”
ซิสเตอร์คาไลด์ขยี้ตาและหยิบชั้นวางหลอดทดลองสองอันออกจากตู้ยา ชั้นวางหลอดทดลองแต่ละอันเต็มไปด้วยหลอดทดลองที่ปิดสนิทด้วยจุกไม้โอ๊ก
มีของเหลวสองชนิดอยู่ภายในหลอดทดลอง
“ยาสีเหลืองอ่อนนี้เป็นยาของกริมม์ มันสามารถขจัดผลข้างเคียงของน้ำพรากวิญญาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างวิญญาณและร่างกายแน่นแฟ้นขึ้น เพื่อไม่ให้ใครสับสนกับภาพลวงตาทางจิตใจได้ง่าย ๆ”
“ส่วนยาทองคำนี้เป็นยาของแอนเดอร์เซน ซึ่งมีผลต่อคำสาป มันสามารถลบคาถาส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการสาปสมองและการบงการจิตใจได้ หากใช้ล่วงหน้าก็สามารถปกป้องจิตใจของตนจากการถูกบงการจิตได้”
“ถึงแม้ว่าพวกมันจะดูเหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้วพวกมันเป็นยาที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ตามฉันมาและอย่าสับสนพวกมันล่ะ”
ผู้ป่วยทั้งหมดสามสิบรายที่ยังนอนรักษาตัวในเวลานี้ ยังคงจำเป็นต้องเติมขวดยาของพวกเขาอยู่
สิบสี่คนต้องการยาของกริมม์ และอีกสิบหกคนต้องการยาของแอนเดอร์เซน
แม้ว่าคนที่เหลืออีกสิบเก้าคนจะโดนน้ำพรากวิญญาณด้วย แต่อาการก็ไม่ร้ายแรงนัก
แค่ใช้เวลาพักฟื้นเพียงสองถึงสามวันเท่านั้น
อันที่จริงแล้ว เรื่องที่เป็นปัญหาที่สุดคือคู่รักสิบสี่คนที่ถูกพรากอารมณ์และความทรงจำออกไป
ยาของกริมม์ทำได้เพียงทำให้วิญญาณของพวกเขามีเสถียรภาพขึ้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการรักษาเรื่อย ๆ เพื่อค่อย ๆ ฟื้นฟูอารมณ์และความทรงจำของพวกเขา
ตามที่ซิสเตอร์คาไลด์กล่าว อารมณ์และความทรงจำของมนุษย์มักมีการสำรองไว้ในส่วนลึกของสมองอยู่แล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ง่ายเลยที่จะกำจัดออกไป
“ถึงอย่างไร มันก็ดีแล้วที่พวกเขายังสามารถกลับมาเป็นปกติได้”
ดาร์กถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างเงียบ ๆ หลังจากสอบถาม
แม้ว่าตัวเขาจะพิจารณาเรื่องนี้ด้วยตัวเองในตอนนั้นแล้ว แต่สุดท้าย ดาร์กก็ไม่ได้ลงมือช่วยเหลือในตอนที่อารมณ์และความทรงจำของพวกเขาถูกดึงออกไป หากมันไม่สามารถฟื้นอารมณ์และความทรงจำของพวกเขากลับมาได้จริง ๆ นี่คงทำให้เขารู้สึกผิดมากไปอีกนาน
ซิสเตอร์คาไลด์ดูเหมือนจะมองออกว่าดาร์กคิดอะไรอยู่ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ดาร์ก เดม่อน ฉันเคยได้ยินเรื่องของเธอในตอนที่ฉันยังทำหน้าที่อยู่ที่โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาทั้งหมดบอกว่าเธอคืออวตารของปีศาจ และเป็นความอัปยศของตระกูลดยุค ในฐานะบุตรชายของวัลคีรีแล้ว เธอไม่ได้รับคุณธรรมใด ๆ มาจากแม่ของเธอเลยแม้แต่น้อย ตอนนั้นฉันคิดว่าเธอค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียว แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะเติบโตมามีบุคลิกที่น่าเบื่อแบบนี้”
ดาร์ก “?”
ซิสเตอร์คาไลด์เทยาของแอนเดอร์เซนลงในขวดทรงกลมสำหรับสมาชิกคนสุดท้ายของภาคีอาหารทะเล และพูดต่อว่า “ถ้ามีคนสองกลุ่มที่ตกอยู่ในอันตราย กลุ่มหนึ่งมีเพียงสิบคน แต่มีบางคนที่สำคัญกับเธอในกลุ่มนั้น ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งมีร้อยคน แต่พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้บริสุทธิ์ เธอจะช่วยกลุ่มไหน?”
ดาร์กตอบ “น่าจะกลุ่มสิบคนครับ”
ซิสเตอร์คาไลด์ “?”
ดาร์กอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวแล้วพูดว่า “ซิสเตอร์คาไลด์ครับ อารมณ์และพฤติกรรมของมนุษย์แยกจากกัน ถ้ามีคนตายหนึ่งร้อยคนเพราะผมเลือกช่วยชีวิตคนสิบคน ผมก็รู้สึกผิด แต่ถึงอย่างนั้น ต่อให้ผมรู้ล่วงหน้า ผมก็ยังคงเลือกช่วยชีวิตคนสิบคนอยู่ดี ส่วนนี้ไม่มีอะไรให้ต้องสับสนเลย อันที่จริง มันคงไม่ใช่ความผิดของผมถ้าคนร้อยคนนั้นไม่รอด ผมจะรู้สึกผิดเพียงเพราะว่าผมไม่สามารถช่วยร้อยคนเหล่านี้พร้อมกับคนสิบคนได้มากกว่า”
ซิสเตอร์คาไลด์ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้านั้นดูอายเล็กน้อย เธอเกาผมสีเงินที่ยุ่งเหยิงก่อนจะพูดว่า “ฉันคิดผิดสินะ เอาเถอะ ฉันยังมียาของกริมม์และยาของแอนเดอร์เซนเหลืออยู่ เธอสามารถเลือกหนึ่งอย่างเป็นรางวัลได้”
“ผมขอยาของแอนเดอร์เซน”
ดาร์กไม่ลังเลแม้แต่น้อย
บทที่ 117 ราคะของดาร์ก เดม่อนเอ่อล้น
บทที่ 117 ราคะของดาร์ก เดม่อนเอ่อล้น
เรื่องราวเชิงเปรียบเทียบและมีตัวเลือกให้เลือกเช่นนี้ มักกระตุ้นให้ผู้คนครุ่นคิดตามอยู่เสมอ
แต่ถ้าเรื่องนี้เกิดกับคนรอบข้างตัวเอง มันคงไม่ค่อยน่ายินดีสักเท่าไหร่
ดาร์กดื่มน้ำแอปเปิ้ลหนึ่งแก้ว ก่อนจะเปิดประตู แล้วเดินออกจากหอพักไปอย่างเงียบ ๆ
ตัวเขายังมีเรื่องต้องทำอีกมาก และเขาไม่สามารถหาข้ออ้างเพียงเพราะความเศร้าเล็กน้อยได้
ณ หอคอยตอนตีสาม ในที่สุดทุกอย่างก็เงียบลง และไม่มีเสียงอื่นใดบนทางเดิน
ดาร์กเดินตามขั้นบันไดที่นำไปสู่ชั้นบนเป็นครั้งแรก เสียงฝีเท้าของเขาดูเหมือนจะตรงกับการเต้นของจังหวะหัวใจ และมันก็เป็นเช่นนี้ไปจนถึงชั้นที่แปด
ชั้นแปดของหอคอยเป็นห้องซ้อมประลอง และชั้นบนเยื้องขึ้นไปนั้นก็เป็นหอดูดาว
หลังจากที่นักเรียนก้าวขึ้นสู่ชั้นปีที่สองในสถาบันเซนต์แมเรียน พวกเขาจะจัดตั้งชมรมของตนเองขึ้น และชมรมประลองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ห้องซ้อมประลองบนชั้นแปดของหอคอย โดยทั่วไปจะมีสมาชิกชมรมประลองอยู่ และหอดูดาวจะเป็นอาณาเขตของชมรมดาราศาสตร์
ชมรมดาราศาสตร์ยังเป็นที่รู้จักกันในนามสมาคมดาราศาสตร์ และทั้งสองสามารถใช้ชื่อแทนกันได้
ถ้าศาสตราจารย์ดีดี้ยังอยู่ คาบเรียนดาราศาสตร์ต่อไปคงจะสอนความรู้เกี่ยวกับโหราศาสตร์
เพราะศาสตราจารย์ดีดี้เองก็เป็นนักดาราศาสตร์
…
ดาร์กเหลือบมองเข้าไปในห้องซ้อมประลอง จากนั้นก็หันหลังและเดินต่อไป ก่อนจะเข้าไปในหอดูดาว
ฝนที่ตกกระหน่ำหยุดไปนานแล้ว และท้องฟ้ายามค่ำคืนก็กลับมาปลอดโปร่งอีกครั้ง
เขาหมุนกล้องดูดาวในหอดูดาว จากนั้นก็หยุดมือและอัญเชิญเดอะเลดี้ออกมา
เดอะเลดี้อ้าปากหาวอย่างง่วงงุนก่อนจะกะพริบตา ขนตาของเธอสั่นไหวเล็กน้อย มือกางออกทำท่าอยากจะเข้าไปอ้อนดาร์ก
ดาร์กทำตัวไม่ถูกขึ้นมาทันที “เดอะเลดี้ เมื่อไหร่เธอจะเปลี่ยนร่างกลับไป?”
เดอะเลดี้สงสัย “ทำไมต้องเปลี่ยนร่างกลับด้วยล่ะ?”
ดาร์กไอแค่ก “คือ… ถ้าเธอไม่เปลี่ยนร่างกลับมา มันจะไม่สะดวกจริงไหม? เธอคงไม่อยากอยู่ในการ์ดคัดสรรตลอดเวลาหรอกใช่ไหม?”
“ก็ใช่” เดอะเลดี้คิดอยู่ครู่หนึ่งและเห็นด้วย รู้สึกว่าสิ่งที่ดาร์กพูดมามันสมเหตุสมผล
ดาร์กประสบความสำเร็จในการเกลี้ยกล่อมเธอ และเอ่ยขึ้นในใจอย่างเงียบ ๆ ว่า ‘แสดงค่ามหาบาป’
[รับทราบ]
หลังจากนั้นไม่นาน
ค่าชี้วัดทั้งเจ็ดพลันปรากฏขึ้นในขอบเขตการมองเห็นของดาร์ก
[อัตตา: 105 หน่วย]
[ริษยา: 42 หน่วย]
[โทสะ: 94 หน่วย]
[เกียจคร้าน: 62 หน่วย]
[โลภะ: 89 หน่วย]
[ตะกละ: 62 หน่วย]
[ราคะ: 111 หน่วย]
…
โดยทั่วไปแล้ว
หากไม่นับค่า [ราคะ] ละก็ อัตราการเติบโตของค่ามหาบาปที่เหลือนี้ยังคงควบคุมได้
อาศัยหยดสมองวิเศษ ค่า [อัตตา] ที่คุกคามก่อนหน้านี้ ในที่สุดก็ลดลงไปสิบหน่วยได้สำเร็จ การเติบโตของอัตตาในเดือนที่แล้วก็ถูกควบคุมเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้นมาเพียงสามหน่วยเท่านั้น ดังนั้นจำนวนสุดท้ายจึงเปลี่ยนจาก 112 หน่วยเมื่อต้นเดือนที่แล้วเป็น 105 หน่วยในขณะนี้
มันค่อนข้างยอมรับได้
หลังจากนั้น แม้แต่ค่า [ริษยา] ก็ลดลงสองหน่วย
สาเหตุส่วนใหญ่มาจากข้อเท็จจริงที่ว่ามันไม่ค่อยมีสิ่งที่ทำให้เขาอิจฉาได้
[โทสะ] ก็เช่นกัน เนื่องจากการเลี้ยงหญ้าแมว ค่า [โทสะ] จึงลดลงเหลือเก้าสิบหน่วย แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้อารมณ์ของเขาเริ่มควบคุมได้ยากขึ้นเล็กน้อย มันจึงกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม มันยังต่ำกว่าเก้าสิบหกหน่วยและคงอยู่มาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อต้นเดือนก่อน
จากนั้นก็มีค่า [เกียจคร้าน] เพิ่มขึ้นมาขึ้นสองหน่วย แต่ก็ยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่
ค่า [ตะกละ] เพิ่มขึ้นมาสี่หน่วยเช่นกัน แต่ยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่ในตอนนี้เช่นกัน
ทว่าค่า [โลภะ] กลับเพิ่มขึ้นมาถึงเจ็ดหน่วยเต็ม ๆ!
ดาร์กค่อนข้างทำอะไรไม่ถูกเกี่ยวกับเรื่องนี้
เมื่อสิ่งล่อตาล่อใจเพิ่มขึ้น ค่า [โลภะ] ก็ยากที่จะยับยั้งได้เสมอ
เช่นเดียวกับ [ราคะ] มันก็เป็นเหมือนกัน
จากเก้าสิบหน่วยเมื่อต้นเดือนที่แล้ว พุ่งขึ้นเป็นหนึ่งร้อยสิบเอ็ดหน่วยแล้ว แม้ว่าส่วนใหญ่จะเพิ่มขึ้นรวดเดียวในคืนนี้ แต่นี่เกี่ยวข้องกับความประมาทเลินเล่อทีละน้อยของดาร์กเองด้วย
โชคดีที่มันเป็นแค่ [ราคะ]
ดาร์กถอนหายใจด้วยความโล่งอก และหยิบการ์ดดอกไม้ออกมาจากกระเป๋าที่เขานำมาด้วย
ในตอนต้นของการกำจัดเทพธิดา เขาคิดว่าการ์ดดอกไม้ใบนี้อาจจะใช้การไม่ได้แล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อครู่นี้ ศาสตราจารย์ลิลลี่ใช้มันให้เขาเห็นกับตา
นั่นหมายความว่าฟังก์ชันของการ์ดดอกไม้นั้นยังคงอยู่
สิ่งที่ต้องทดสอบตอนนี้คือ ฟังก์ชันของการใช้การ์ดดอกไม้ที่ดูดซับค่า [ราคะ] นั้นยังมีอยู่หรือไม่?
ดาร์กวางการ์ดดอกไม้ลงบนโต๊ะ ก่อนจะหยิบปากกาพลังเวทออกมา และเริ่มใส่พลังเวทมนตร์เข้าไป
ด้วยการถ่ายเทพลังเวทมนตร์ลงไป ใบหน้าที่คุ้นเคยก็เริ่มปรากฏผ่านการ์ด
ดาร์กกลั้นหายใจ และทันใดนั้นก็เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติบนพื้นผิวของการ์ด ปากแหลมที่มีฟันละเอียดพลันโผล่ออกมาจากเกสรตัวผู้
ในขณะที่เขายังคงป้อนพลังเวทมนตร์ต่อไป ดอกไม้สองสามดอกก็ยื่นออกมาจากการ์ด พร้อมด้วยเกสรดอกไม้นับไม่ถ้วนที่กัดไปที่นิ้วของดาร์ก!
“ฟ่อ!”
เดอะเลดี้ที่อยู่ด้านข้างเพียงแค่เหลือบมองแล้วโบกมือ หลังจากที่แสงสีดำวาววาบขึ้น มันก็ตัดรากของเกสรตัวผู้ออกทันที
[ราคะ -1]
“เยี่ยม”
[ราคะ -1] ลอยผ่านสายตาของเขาไป นี่ทำให้ดาร์กยิ้มขึ้นมาทันที
แต่การทดลองครั้งนี้ยังมีจุดประสงค์อื่นอีก
เขาเก็บเศษการ์ดดอกไม้อย่างระมัดระวัง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองส่วนลึกของปราสาท
การ์ดดอกไม้สามารถดูดซับแก่นแท้ของ [ราคะ] ซึ่งได้มาจากการมีอยู่ของเทพธิดาแห่งจันทรา
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารูปปั้นจะหายไปแล้ว แต่เอฟเฟกต์ของการ์ดดอกไม้ก็ยังอยู่
…
“ปราสาทนี้มีสิ่งเร้นลับซ่อนอยู่เท่าไหร่กัน?”
เมื่อกลับไปที่หอพัก ดาร์กก็เหลือบมองภูตตัวน้อยที่นอนอยู่เตียงใหญ่อย่างรู้สึกหมดหนทาง
ในท้ายที่สุดเขาก็หยิบผ้าห่มผืนใหม่ออกจากตู้ แล้วขยับไปนอนที่อีกฟากหนึ่งของเตียงใหญ่
คืนนั้น ดาร์กฝันว่าตัวเองได้วิ่งเล่นอยู่ในทุ่งกลางแจ้ง ซึ่งเต็มไปด้วยธรรมชาติ…
…
และเมื่อนักเรียนส่วนใหญ่นอนหลับ
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ ผู้ซึ่งส่งเจ้าหญิงทั้งสามกลับไปแล้วก็มาที่ห้องทำงานของศาสตราจารย์ดีดี้ มือเปิดจดหมายลาออกที่วางอยู่เงียบ ๆ บนโต๊ะ
จดหมายฉบับนี้ไม่ได้มีเวทมนตร์ลงไว้ แต่สลักเป็นคำที่เรียบง่ายที่สุด บันทึกถึงความทุกข์ภายในของศาสตราจารย์ดีดี้ในตลอดช่วงสิบปีที่ผ่านมา ทั้งยังบันทึกรายละเอียดของเหตุการณ์ล่าสุดด้วย
รูปแบบของการเขียนเปลี่ยนจากความมืดมนในตอนเริ่มต้นไปสู่ความรวบรัดในตอนท้าย
มันแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในใจของเธอ
“อย่างนี้นี่เอง” อาจารย์ใหญ่อาร์เต้อ่านจดหมายทั้งหมดอย่างละเอียด คิ้วที่ขมวดมุ่นของเธอก็ค่อย ๆ คลายลง
ต้นตอของเรื่องเริ่มต้นด้วยนักเรียนคนหนึ่งเข้าไปในทางลับโดยไม่ได้ตั้งใจ
นักเรียนที่หัวใจบอบช้ำเพราะความรักที่แตกสลายไม่ได้กลับออกจากทางลับในทันที แต่กลับเดินลึกเข้าไปในนั้น
เขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้ตามทางอย่างดาร์ก และไม่นานเขาก็หลงทาง
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ยังคงมีความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้อยู่ และศาสตราจารย์ดีดี้ก็ได้ช่วยชีวิตนักเรียนที่หายไปจากทางลับในท้ายที่สุด
นักเรียนใช้เวลานานกว่าจะรู้ตัวว่าเขาหลงทาง จากนั้นเขาก็ตกอยู่ในความสิ้นหวังท่ามกลางความหิวโหยและความกระหาย
เขาได้ตำหนิอดีตแฟนสาวของเขาว่าเป็นเหตุที่ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง เขาสะสมความเกลียดชังและความขุ่นเคือง แต่หลังจากสิ้นหวัง เขาก็เริ่มหวนคิดถึงความหอมหวานในอดีต และในที่สุดก็เดินต่อไปราวกับร่างไร้วิญญาณ ขณะที่สวดอ้อนวอนขอการอภัยและการไถ่บาปจากเหล่าทวยเทพ
ในขณะนั้นเอง วิหารของเทพธิดาแห่งจันทราพลันปรากฏขึ้น
ศาสตราจารย์ดีดี้ไม่ได้ค้นพบวิหารในตอนแรก และนักเรียนเองก็ปกปิดข้อมูลไว้
หลังจากนั้น เขาถูกสะกดด้วยจิตที่ยังคงตกค้างอยู่ของเทพธิดา เขาจึงได้ก่อตั้งลัทธิ ศึกษาการ์ดดอกไม้ และเริ่มซ่อมแซมรูปปั้น
เนื่องจากศาสตราจารย์ดีดี้ให้ความสนใจกับนักเรียนคนนี้ ในไม่ช้าเธอก็สังเกตความผิดปกติของเขา และจากนั้นก็พบการมีอยู่ของวิหารอย่างรวดเร็ว
แต่หลังจากพบว่านั่นเป็นวิหารของเทพธิดาแห่งจันทรา เธอก็ไม่ได้หยุดพวกเขาแต่อย่างใด
ร่องรอยของกาลเวลาเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ บนร่างกายของเธอ และเธอก็ไม่สามารถยับยั้งความปรารถนาที่จะแสวงหาการรักษาได้
และแล้ว…
สังเกต ตรวจสอบ มีส่วนร่วม และปกปิด
เธอได้กระทำมันลงไปทุกอย่าง
…
หลังจากเหตุการณ์ของโรเบิร์ต เพื่อที่จะไม่ให้ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ค้นพบถึงเรื่องราวนี้ เธอจึงได้ช่วยดาร์กปกปิดร่องรอยของเขาเมื่อเขาเข้าไปในทางลับเป็นครั้งแรกด้วย
บทที่ 116 ดาร์ก เดม่อนไม่สามารถเลือกระหว่างเวลากับความรักได้
บทที่ 116 ดาร์ก เดม่อนไม่สามารถเลือกระหว่างเวลากับความรักได้
ดาร์กเทน้ำแอปเปิ้ลและน้ำลูกแพร์คั้นสดลงในแก้วสองแก้ว แล้วส่งให้ไดแอนนากับโรส
เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ สองคนชอบรสชาติของน้ำผลไม้ทั้งสองอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงหยิบแก้วและจิบเข้าไปโดยไม่ลังเลเลย
ดาร์กเทน้ำให้ตัวเองอีกแก้วแล้วถามอย่างสบาย ๆ “แล้วพวกเธออยากรู้อะไรล่ะ?”
ไดแอนนา “แน่นอนว่าทุกอย่าง– โอ๊ย!”
โรสหยิกเอวเพื่อนของเธอทันทีและกระซิบถามว่า “มันจบแล้วเหรอ?”
ดาร์กตอบ “มันจบลงแล้ว”
โรสตบหน้าอกของเธอ ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ดีแล้ว”
เมื่อเธอพูดจบก็ดึงไดแอนนาขึ้นและกล่าวว่า “ราตรีสวัสดิ์” แล้วเดินออกจากห้องไป
หลังจากที่ดาร์กส่งเด็กหญิงทั้งสองออกไปแล้ว เขาก็กดล็อกประตูอีกครั้ง โดยแทบจะทันที สีหน้าของเขากลับมาเคร่งขรึมเล็กน้อย ท่าทางดูเคร่งเครียดและจริงจัง
สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้เกินความคาดหมายของดาร์กจริง ๆ และอันที่จริงเขาไม่ได้ผ่อนคลายอย่างที่แสดงออกมาให้คนอื่นเห็นเลยสักนิด
“เดือนใหม่แล้ว”
อย่างแรกเลย ดาร์กคิดที่จะตรวจสอบค่ามหาบาปในตอนนี้ก่อนแล้วจึงค่อยวางแผนใหม่ ในขณะที่จิตใจของเขายังชัดเจนอยู่
ทว่าก่อนอื่นนั้น…ควรอาบน้ำก่อนจะดีกว่า
แม้ว่าก่อนหน้านี้ผมจะถูกเป่าให้แห้งแล้ว แต่ความจริงตัวเขาก็เปียกฝนมา ถ้าไม่ระวัง เขาอาจจะต้องไปห้องพยาบาลในวันพรุ่งนี้จริง ๆ
วันแรกของเดือนพฤศจิกายนเป็นวันฮัลโลวีน และวันพุธจะเป็นวันหยุดของนักเรียน
ดาร์กใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในอ่างอาบน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำร้อน เปลือกตาหรี่ลงและหวนคิดถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ทันใดนั้น เขาก็นึกได้ว่าหญิงสาวผมสั้นที่ถูกเขาชกคว่ำในวิหาร ดูเหมือนจะสวมชุดเดียวกันกับเวอร์เธอร์…
“ไม่มีทางน่า?”
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับโรเบิร์ต จู่ ๆ ดาร์กก็รู้สึกไม่ดี
…
หลังจากอาบน้ำแล้ว ดาร์กก็เป่าผมให้แห้ง ห่อผ้าเช็ดตัวแล้วเดินออกจากห้องน้ำ
แต่ทันทีที่ก้าวเท้าออกมา เขาก็กระโดดกลับเข้าไปในห้องน้ำทันที
“อาบเสร็จแล้วเหรอ?” เสียงเกียจคร้านของศาสตราจารย์ลิลลี่ดังมาจากเตียงในห้องนอน
ดาร์กหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่มาห่อตัวไว้ ก่อนจะออกไปหยิบเสื้อผ้า
“ศาสตราจารย์ครับ การบุกเข้ามาในหอพักนักเรียนไม่ใช่สิ่งที่ภูตที่ดีควรทำเลยนะครับ”
ศาสตราจารย์ลิลลี่ตบหน้าอกของเธอทันที และถอนหายใจด้วยความโล่งอก “โชคดีที่ฉันไม่ใช่ภูตที่ดี”
“เมี้ยว เมี้ยว~” หญ้าแมวปีนขึ้นไปบนเตียงแล้วถูตัวของมันกับแขนของเธอ
เธออุ้มหญ้าแมวไว้ในอ้อมแขน หยอกล้อเล่นกับมัน แล้วพูดอย่างสบาย ๆ ว่า “ดาร์ก ไม่คิดเลยว่าเธอจะสนใจเลี้ยงแมวด้วย”
ดาร์กตอบ “นั่นมันต้นไม้ครับ”
ศาสตราจารย์ลิลลี่ “นี่มันแมว!”
หญ้าแมว “เมี้ยว!”
ดาร์กหยิบชุดนอนและเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนชุด หลังจากที่เขาออกมา เขาก็พูดว่า “ศาสตราจารย์ครับ คุณมาหาผมตอนดึกดื่นเพื่อเล่นกับแมวเหรอ?”
ศาสตราจารย์ลิลลี่ยังคงจดจ่ออยู่กับการเล่นกับแมว โดยไม่สนใจดาร์กเลย
สักพักเธอก็เดินไปที่หัวเตียงและลุกขึ้นนั่ง วางหญ้าแมวไว้บนเข่าของเธอ แล้วกวักมือเรียกดาร์กให้นั่งลงข้างเธอ
ภูตตัวน้อยถอนหายใจออกมาอย่างโล่ง และทำหน้าตาสดชื่นราวกับอยู่ในทุ่งแจ้ง
ดาร์กนั่งลงข้างเธอ พร้อมที่จะฟังสิ่งที่เธอกำลังจะพูด
ศาสตราจารย์ลิลลี่กระซิบเบา ๆ หลังจากสงบลง “ดาร์ก เธอเคยชอบใครสักคนไหม?”
ดาร์กส่ายหัวของเขา
ศาสตราจารย์ลิลลี่ว่าต่อ “ฉันก็ว่างั้น เธอยังเด็กมากนี่นา”
จู่ ๆ ดาร์กก็ถามว่า “แล้วศาสตราจารย์ล่ะครับ?”
ศาสตราจารย์ลิลลี่กล่าวอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอน ฉันมีสิ ฉันอายุเยอะแล้วนะ!”
ดาร์กใช้โอกาสนี้ถามคำถามที่เขาอยากถามมาตลอดว่า “อาจารย์อายุเท่าไหร่ครับ?”
ศาสตราจารย์ลิลลี่ตอบ “ไม่แก่มากหรอก แค่สองร้อยปีเท่านั้นเอง”
ดาร์กคำนวณคร่าว ๆ แล้วพูดด้วยความประหลาดใจ “สำหรับภูตแล้วนั่นยังนับว่าเป็นวัยเด็กอยู่ไม่ใช่เหรอครับ?”
ศาสตราจารย์ลิลลี่แย้ง “นี่! ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ!”
ดาร์ก “…”
ศาสตราจารย์ลิลลี่กล่าวต่อ “ช่วงชีวิตของมนุษย์อย่างเธอนั้นสั้นเกินไป พวกเธอทุกคนสามารถหายไปได้ในพริบตา เอลลี่ก็เป็นแบบนี้ พุดจ์ก็เป็นแบบนี้ และเอมิเน็มก็เป็นแบบนี้…”
ดาร์ก “พวกเขาคือใคร?”
ศาสตราจารย์ลิลลี่ตอบ “เอลลี่เป็นเพื่อนคนแรกของฉัน ก่อนดีดี้เสียอีก! เธออ่อนโยนมาก ทำอาหารเก่ง และบิสกิตวานิลลาฝีมือเธอก็อร่อยมาก เธอสูงพอ ๆ กับฉัน แต่เธอก็ทำได้ทุกอย่าง… น่าเสียดาย วันหนึ่งฉันกลับบ้านไปแล้วไม่ได้เจอเธออีกเลย”
ดาร์กถามต่ “แล้วพุดจ์ล่ะครับ?”
“พุดจ์”
ศาสตราจารย์ลิลลี่ลูบแก้มเธอครู่หนึ่งแล้วคิดว่า “เขาเป็นพ่อค้าเนื้อ แต่ทุกครั้งที่เขาฆ่าหมู เขาจะไปโบสถ์เพื่อสารภาพบาป ฉันได้ยินมาว่าภายหลังเขาแต่งงานกับแม่ชีในโบสถ์ ให้กำเนิดลูก และได้เป็นหมอ”
ดาร์กถามต่อ “แล้วเอมิเน็มล่ะครับ?”
ศาสตราจารย์ลิลลี่เงียบไปครู่หนึ่ง “เอมิเน็ม… เอมิเน็มเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน เขาน่าทึ่งและก็อายุน้อยมาก แต่เขาสามารถใช้ดาบได้ดีกว่าฉัน เราลงทะเบียนทีมผจญภัยและไปในสถานที่อันตรายเสมอ แล้วก็…เป็นเขาที่ช่วยฉันไว้ทุกครั้ง”
ดาร์กถาม “ทีมผจญภัย?”
ศาสตราจารย์ลิลลี่ “อืม ทีมผจญภัยสี่คน มีฉัน ดีดี้ เคเซอร์ และเอมิเน็ม”
เมื่อพูดจบเธอก็ดึงการ์ดดอกไม้สวยงามที่มีดอกไม้สีน้ำเงินออกมา
นั่นคือแม่มดสีคราม ซึ่งเป็นกุหลาบสีน้ำเงินที่หายากมาก
แม่มดสีครามนั้นเป็นตัวแทนของความรักอันบริสุทธิ์และความเมตตากรุณา อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของสัญญาชั่วนิรันดร์
ศาสตราจารย์ลิลลี่ใส่พลังเวทมนตร์เข้าไปในการ์ดดอกไม้ แล้วแม่มดสีครามก็เริ่มผลิบานทีละดอก
เมื่อดอกไม้โผล่ออกมาจากพื้นผิวการ์ดและกระจัดกระจายออกไปด้านนอก ใบหน้าก็ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวการ์ด
มันเป็นเด็กวัยรุ่นที่มีใบหน้ากลมและยิ้มหวานราวกับภูต
ดาร์กเคยเห็นครั้งหนึ่ง ในวันที่ศาสตราจารย์ลิลลี่เมา
…
ชั่วโมงนั้นยาวนานและกลางคืนก็มืดมิด
ศาสตราจารย์ลิลลี่ถือการ์ดดอกไม้และเล่าเรื่องราวของเธอกับเอมิเน็ม ดีดี้ และเคเซอร์
นั่นเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขและน่าตื่นเต้นที่สุดในชีวิตสองร้อยปีของเธอ เป็นช่วงที่เธอคิดถึงมากที่สุด
นักดาบหนุ่มที่ขี้อายและใจดี ภูตผู้เย่อหยิ่งและดื้อรั้น ภูตตัวน้อยจอมซน และนักเล่นแร่แปรธาตุก็อบลินที่พยายามดูแลพวกเขาเหมือนพ่อแม่อย่างดีที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นใคร ต่างก็มีจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นใคร ต่างก็มีข้อดีและข้อเสียของตัวเอง
มีเพียงการดูแลกันและชดเชยข้อบกพร่องของกันและกันเท่านั้นจึงจะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้ยาวนาน
แน่นอน มันเป็นเพียงห้าปี แต่ลิลลี่รู้สึกว่าช่วงนั้นยาวนานเหมือนห้าสิบปี
ในปีที่ห้าของการเดินทางร่วมกัน พวกเขาอาศัยแผนที่ที่ขาดรุ่งริ่งเพื่อค้นหาวิหารโบราณที่ถูกฝังไว้ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ในใต้ดินของป่าที่ไร้ผู้คน
มีภาพจิตรกรรมฝาผนังต่าง ๆ ที่แกะสลักไว้ในวิหาร เผยให้เห็นอดีตอย่างเงียบ ๆ
มีรูปปั้นมากมายในส่วนลึกของวิหาร
บ้างก็หัก บ้างก็สมบูรณ์
บ้างก็ถูกทอดทิ้งอย่างสมบูรณ์ และบ้างยังมีร่องรอยของพระเจ้าหลงเหลืออยู่
จนกระทั่งเข้าไปในโถงแห่งการวิงวอนของเทพธิดาแห่งจันทรา พวกเขาก็พบกับวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งทีมมา
หลังจากฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ ไปได้ในที่สุด พวกเขาก็เผลอไปกระตุ้นร่องรอยสุดท้ายที่ว่านั้น
คนทั้งสี่จะสามารถออกจากวิหารได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาผ่านการทดสอบขั้นสุดท้ายไปได้เท่านั้น
สิ่งที่เรียกว่าการทดสอบนั้นคือ การเลือกระหว่าง ‘ความรัก’ และ ‘กาลเวลา’
ดีดี้เลือก ‘เวลา’
เคเซอร์เลือก ‘ความรัก’
ลิลลี่เลือก ‘ความรัก’
เอมิเน็มเลือก ‘เวลา’
…
ดาร์กอุ้มหญ้าแมวออกมา แล้วคลุมตัวของลิลลี่ด้วยผ้าห่ม
บทที่ 115 ดาร์ก เดม่อนรู้เห็นทุกสิ่ง
บทที่ 115 ดาร์ก เดม่อนรู้เห็นทุกสิ่ง
เวอร์เธอร์ กาวด์ถูกสฟิงซ์พาขึ้นไปบนยอดหอนาฬิกา
พายุและฝนตกหนักเกือบทำให้เขาตกลงมาจากอากาศ
เด็กชายทำได้เพียงเกาะคอของสฟิงซ์ไว้แน่น เพื่อรั้งไม่ให้ตัวเองตกลงมาได้อย่างหวุดหวิด
หลังลงจากหลังของสฟิงซ์ เวอร์เธอร์ก็มองไปยังฉากบนยอดหอคอยอย่างตกตะลึง
เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ถึงปล่อยให้เขาตามมา
เพราะเขาไม่ค่อยรู้จริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
เวอร์เธอร์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมศาสตราจารย์เคเซอร์ถึงมาปรากฏตัวที่นี่ แล้วภูตตัวน้อยที่คล้ายกับศาสตราจารย์ดีดี้มาจากไหน?
ท้ายที่สุด ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ก็ไม่มีเวลาบอกเขา
เวอร์เธอร์รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่
การ์ดเวทมนตร์ใบเดียวที่เหลืออยู่ในมือของเขาคือ [ความรักต้องห้าม] ที่ทรยศต่อเขาในช่วงเวลาวิกฤต
เมื่อพูดถึง [ความรักต้องห้าม] แล้ว
ตอนนี้มันกลับมาเป็นปกติแล้ว
คนตัวเล็กที่ก่อตัวจากหมอกสีชมพูสามารถให้คำตอบกับเขาได้อีกครั้ง
ส่วนความสามารถในการตรวจสอบค่าความชื่นชอบ เขายังไม่กล้าลองใช้มัน
ในบรรดาทุกคน มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถมองความชื่นชอบของผู้อื่นได้ ซึ่งความสามารถนี้มาจากรูปปั้นเทพธิดา
สรุปคือเขาเสียเปรียบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเวอร์เธอร์เห็นชายสวมหน้ากากอยู่อีกด้านหนึ่งของหอนาฬิกา เขาก็เริ่มสับสนมากยิ่งขึ้น
“เขามาที่นี่ทำไม?”
“เธอกำลังพูดถึงใคร?”
เสียงของอาจารย์ใหญ่ดังมาจากปากของสฟิงซ์
แม้ว่าเวอร์เธอร์จะไม่ตอบสนอง แต่อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ก็สังเกตเห็นว่าเขากำลังมองดาร์ก
ดังนั้นอาจารย์ใหญ่อาร์เต้จึงพูดผ่านสฟิงซ์ต่อไปว่า “ถ้าเธอกำลังพูดถึงเดม่อน เขาเพิ่งออกจากงานเต้นรำมาได้ไม่นาน”
“งานเต้นรำ…?”
ใบหน้าของเวอร์เธอร์พลันซีดเผือด
เขารู้ตัวทันทีว่า เขาได้พลาดงานเต้นรำครั้งแรกในวัยเรียนไปแล้ว!
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่า เขาเพิ่งจะเลือกเครื่องแต่งกายไปอย่างกระตือรือร้น
ก่อนหน้านี้เขาเคยฝันถึงการเชิญรุ่นพี่แพนดอร่ามาเต้นรำหลังจากคว้าแชมป์ปีด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้… อย่าว่าแต่แชมป์ปีเลย เพราะเขาพลาดกระทั่งงานเต้นรำ!
“เดี๋ยวนะ เขาคือดาร์กเหรอ?”
เวอร์เธอร์รู้สึกลำคอตีบตันเล็กน้อย
และยังมีอาการปวดก้นเล็กน้อยร่วมด้วย
เขากลืนน้ำลายดังอึก
เมื่อคิดว่าตอนนั้นตนเองเปลี่ยนเป็นชุดคาเมนไรเดอร์ เวอร์เธอร์รู้สึกเหมือนกับว่าอีกฝ่ายจะจำเขาไม่ได้
…
ภายใต้พายุฝนโหมกระหน่ำ
แน่นอนดาร์กสังเกตเห็นการมาถึงของเวอร์เธอร์ และเขาก็ไม่แปลกใจกับมัน
แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ไม่ได้มาด้วยตนเอง!
“หรือว่าจะ…”
เขาเข้าใจบางสิ่งได้อย่างรวดเร็ว
แตกต่างจากเวอร์เธอร์
หลังจากที่ดาร์กจำศาสตราจารย์ดีดี้ได้แล้ว เขาก็จำแนกความคิดของเขาออกอย่างรวดเร็ว และคาดเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้พอสังเขป
‘ฉายซ้ำประวัติศาสตร์’ ในคำพูดของศาสตราจารย์ดีดี้
‘ที่ตั้งปราสาท’ และ ‘ภาพจำทางประวัติศาสตร์’ ในคำพูดของศาสตราจารย์เคเซอร์
คำเหล่านี้ได้ให้แรงบันดาลใจแก่ดาร์ก
เขาสนใจความหมายของคำเหล่านี้มากกว่าตัวเหตุการณ์เสียอีก
“เมื่อเรื่องคลี่คลายแล้ว ฉันคงต้องหาโอกาสตรวจสอบดูเสียหน่อย”
ดาร์กคิดได้แบบนี้ก็หันหน้าไปดูที่เกิดเหตุ
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์เหลือบมองที่สฟิงซ์ และดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างเช่นกัน
เธอเพียงก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ดีดี้ เธอวางไม้กายสิทธิ์ลง เราสามารถไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ให้จบได้ในคืนนี้”
ศาสตราจารย์ดีดี้ประหลาดใจ “เธอพูดอะไรกัน ซาราห์? ฉันต้องไกล่เกลี่ยเรื่องอะไร? ปัญหาที่เกิดจากนักเรียนเหล่านั้นเหรอ? หรือการฟื้นคืนชีพเทพธิดาแห่งจันทรา? อย่าบิดเบือนข้อเท็จจริงเลย มันเป็นฉันเองที่ขัดขวางไม่ให้นักเรียนเลวเหล่านั้นเป็นก่อเหตุร้ายแรง เป็นฉันที่ดูแลพวกเขาตลอดเวลา แม้แต่เศษความคิดที่เหลืออยู่ของเทพธิดาแห่งจันทราก็ยังถูกฉันจัดการ โอ้ เธอกำลังจะบอกว่าจะให้รางวัลศาสตราจารย์ดีเด่นแก่ฉันหรือเปล่า? ถ้าแบบนั้นก็ไม่ต้องหรอก ฉันไม่ได้ต้องการมัน”
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ขมวดคิ้ว
ศาสตราจารย์ดีดี้เม้มปากแล้วพูดว่า “โอเค ฉันพูดเล่น ฉันทิ้งจดหมายลาออกไว้ที่ห้องทำงานแล้ว เธอสามารถส่งเรื่องให้อาร์เต้ได้เลย นอกจากนี้… ช่วยส่งข้อความของฉันถึงลิลลี่ด้วย”
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ “เธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร?”
ศาสตราจารย์ดีดี้ “แค่บอกไปว่า ฉันขอไปก่อนนะ!”
เมื่อสิ้นเสียง เธอก็ยกไม้กายสิทธิ์ [มหาอสนีบาต] ขึ้น เสียงฟ้าร้องอันน่าสะพรึงกลัวดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ดีดี้ แม็กซ์เวลจะพลันกลายเป็นเส้นสายฟ้าและทะลุผ่านม่านฝน พุ่งออกไปราวกับมังกรทอง
บาเรียของสถาบันเซนต์แมเรียนถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ไม่นานหลังจากนั้น ศาสตราจารย์ดีดี้ก็หายวับไปจากสายตาของทุกคน
…
“มันจบแล้ว” ศาสตราจารย์เคเซอร์ถอนหายใจ ก่อนจะเก็บโล่ทั้งแปดและอสูรขนนกเนตรทองคำที่ล้อมรอบตัวเขากลับไป
ศาสตราจารย์โจนส์ก็กลับสู่ร่างมนุษย์ และมองไปที่ศาสตราจารย์ซิลเวอร์
จากนั้นศาสตราจารย์โจนส์ก็ยักไหล่ และพูดอย่างติดตลกว่า “บางทีวิธีการของดีดี้ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะว่าไหม?”
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ตอบอย่างจริงจังว่า “พาวาร์ เธอโกหก”
ศาสตราจารย์โจนส์ “แต่เราต้องยอมรับว่า บางครั้งคำโกหกก็เป็นสิ่งที่ผู้คนยอมรับมากกว่าความเป็นจริง”
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ “แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะโกหก”
ศาสตราจารย์โจนส์ “โกหก? ไม่ เราไม่โกหก เราพูดข้อเท็จจริงเท่านั้น ข้อเท็จจริงบางส่วนอะนะ”
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์เงียบไปครู่หนึ่ง และสุดท้ายก็พูดว่า “ปล่อยให้อาจารย์ใหญ่เป็นคนตัดสินใจเองแล้วกัน”
เมื่อพวกเขาพูดอย่างนั้นแล้ว พวกเขาก็มองไปที่สฟิงซ์
สฟิงซ์ “หือ? (´ ` ;)”
ศาสตราจารย์โจนส์ “อาจารย์ใหญ่หนีไปแล้ว”
…
ณ โถงจัดเลี้ยงที่ชั้นหนึ่งของปราสาท
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เธอจ้องมองสายฝนที่กระหน่ำตกลงมา และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “คืนนี้ฝนตกหนักจริง ๆ”
เจ้าหญิงเอลิซาเดินเข้ามาหาเธอ ดวงตาหรี่ลงพลางยิ้มอย่างงดงาม “แต่เสียงฟ้าผ่าดังกว่านะคะ”
…
งานเลี้ยงเต้นรำสิ้นสุดลงในช่วงพายุฝน
แม้ว่านักเรียนจะยังไม่จุใจเล็กน้อย ทว่าเสียงฟ้าผ่าที่ดังสนั่นถึงสองครั้งสองคราก็นำพาความสนใจของพวกเขาให้ไปอยู่ที่อื่น
ภายใต้การนำของหัวหน้าอาจารย์ประจำบ้านแต่ละบ้าน นักเรียนก็กลับไปที่ห้องนั่งเล่นส่วนกลางทีละคน
แต่หลังจากมาถึงห้องนั่งเล่นแล้ว คนส่วนใหญ่ต่างก็มานั่งคาดเดาว่าฟ้าผ่าทั้งสองครั้งนั้นคืออะไร?
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีคนค้นพบว่าเพื่อนร่วมชั้นที่ไม่เจอในโถงจัดเลี้ยงก็ไม่ได้กลับมาที่ห้องนั่งเล่นด้วย
เรื่องนี้ทำให้เกิดความสับสนมากขึ้นในหมู่นักเรียน
…
หอคอยบ้านขุนนาง
ดาร์กค่อย ๆ ผลักประตูห้องนั่งเล่นเข้ามา ก่อนจะพบว่าตัวเองกลายเป็นจุดสนใจในทันที
พรีเฟกต์ที่ไม่เคยพูดกับดาร์กมาก่อน ก็วิ่งเข้ามาหาเขาแล้วถามว่า “เดม่อน คุณหายไปไหนมา? แล้วสก็อตต์ สแตนนีย์ และบักซ์อยู่ที่ไหน…”
ดาร์กพูดไม่ออกเล็กน้อย “พรีเฟกต์ ไรอัน ผมเป็นแค่นักเรียนปีหนึ่งที่เรียนในสถาบันได้แค่สองเดือน ผมไม่รู้จักผู้คนเท่าคุณหรอกนะครับ”
ไรอันปิดปากของเขาอย่างรวดเร็วและยิ้มแห้งออกมา
ดาร์กกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ พวกเขาแค่มีปัญหาเล็กน้อย อาจต้องค้างคืนที่ห้องพยาบาล แล้วก็ซิสเตอร์คาไลด์บอกกับทุกคนว่าอย่ารบกวนเวลาพักผ่อนของผู้ป่วย อีกอย่างถ้าเรายังไม่กลับห้อง เราอาจจะได้นอนห้องพยาบาลในวันพรุ่งนี้เหมือนกัน เพราะตอนนี้เกือบตีสองแล้วครับ”
ดาร์กหาวและเดินไปที่บันไดทันที
ไรอันรีบถาม “ปัญหาอะไร?”
ดาร์กตอบ “อาจารย์ใหญ่จะประกาศในวันพรุ่งนี้ ตอนนี้ผมไม่สามารถบอกคุณได้”
ดังนั้นดาร์กจึงสามารถหลบหนีออกจากห้องนั่งเล่นได้ โดยอาศัยอำนาจของอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ และเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง
เมื่อเขาเลี้ยวมุมไป ยกเว้นคนสองคนที่เดินตามมา นักเรียนที่เหลือก็เริ่มการสนทนารอบใหม่ด้วยความตื่นเต้นทันที
บทที่ 114 เส้นคั่นระหว่างเผ่าพันธุ์
บทที่ 114 เส้นคั่นระหว่างเผ่าพันธุ์
ขณะที่ดาร์กเห็นใบหน้านั้น ความทรงจำก็ผุดขึ้นมาในหัวเขา
…
ในห้องทำงานของศาสตราจารย์เคเซอร์
การ์ดดอกไม้ที่ประดับด้วยดอกกุหลาบสีเขียวระยิบระยับอยู่ภายใต้แสงไฟ
ศาสตราจารย์ยื่นมือออกมาและกดลงไป กุหลาบสีเขียวบนพื้นผิวการ์ดก็ลอยออกมา ก่อนที่ใบหน้าซึ่งดูอ่อนเยาว์ทว่างดงามจะปรากฏขึ้นมาบนพื้นผิวการ์ด
มันเป็นภูตตัวน้อยที่มีปีกผีเสื้อ
…
‘กุหลาบสีเขียวที่ไร้เดียงสาและเรียบง่าย มันมาพร้อมกับพรที่มอบให้แด่วัยเยาว์ และยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความปรารถนาในรักนิรันดร์’
ดาร์กคิดว่าภูตตัวน้อยนั้นเป็นคนรักของศาสตราจารย์เคเซอร์
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ การคาดเดาเดิมของเขาน่าจะถูกต้อง
ภูตตัวน้อยที่ชู [มหาอสนีบาต] ไว้ตรงหน้าเขามีใบหน้าเหมือนกันทุกประการ
แต่เมื่อเขาเห็นภูตตัวน้อยชัด ๆ ดาร์กก็ตระหนักว่าภูตตัวน้อยเพียงคนเดียวที่มีปีกผีเสื้อในสถาบันนั้น ดูเหมือนจะเป็นศาสตราจารย์ดีดี้ แม็กซ์เวลล์ที่สอนวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์
เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองแล้ว
นอกจากอายุที่ยังน้อย ภูตตัวน้อยตนนี้ก็เหมือนกับศาสตราจารย์ดีดี้ ทั้งสี ลวดลายที่ปีก และเสื้อผ้าบนร่างกาย
“นี่คือเหตุผลที่ศาสตราจารย์เคเซอร์ไม่ยอมบอกให้ชัดเจนใช่ไหม?”
“เขาไม่อยากทำลายแผนของศาสตราจารย์ดีดี้ แต่เขาต้องการทำบางอย่างตามสามัญสำนึกของตัวเอง”
“ดังนั้นเขาจึงเข้าหาฉันโดยหวังว่าฉันจะตรวจสอบ มีส่วนร่วม และตัดสินใจแทนเขาได้”
“อารมณ์ของมนุษย์ช่างซับซ้อนเสียจริง”
ดาร์กไม่ได้ทำตามคำพูดของศาสตราจารย์ซิลเวอร์ที่บอกให้ถอยห่างออกไป แต่เขากลับบินลงมาบนหอนาฬิกาแทน
เด็กชายลงมานั่งยืนอยู่บนพื้น และที่ข้างกันก็มีเดอะเลดี้ซึ่งลงมายืนอยู่ด้วย
…
ศาสตราจารย์ดีดี้เพียงมองดูศาสตราจารย์ซาราห์ ซิลเวอร์และดาร์ก เดม่อน แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์กลับพูดด้วยความประหลาดใจ “ดีดี้ คำสาปของเธอถูกปลดออกแล้วใช่ไหม?”
ศาสตราจารย์ดีดี้ยิ้มจาง ๆ ออกมา “ฉันเพิ่งทำการทดลองเล็ก ๆ เสร็จ”
เสียงของศาสตราจารย์ซิลเวอร์แทรกผ่านเข้าไปในพายุฝน “แต่นี่ดูไม่เหมือนการทดลองเล็ก ๆ เลยนะ!”
ศาสตราจารย์ดีดี้ตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “แค่การฉายซ้ำเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ขนาดสั้นน่ะ”
หลังจากนั้นเธอก็แบมือออก ลูกปัดที่เปล่งประกายแวววาวของดวงจันทร์สีเงินก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นมา
มันมีดวงจันทร์สว่างไสวลอยอยู่กลางลูกปัด
ท่ามกลางพายุฝนโหมกระหน่ำ มันกลับกลายเป็นดวงจันทร์เพียงดวงเดียว
“น้ำตาของเทพธิดาแห่งจันทรา?”
น้ำเสียงของศาสตราจารย์ซิลเวอร์เต็มไปด้วยความประหลาดใจไม่ผิดแน่ “เธอทำได้ยังไง?”
ศาสตราจารย์ดีดี้เก็บน้ำตาของเทพธิดาแห่งจันทรากลับไปและกระซิบเบา ๆ “อย่างที่ฉันบอก นี่มันแค่การฉายเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ขนาดสั้น”
เธอตวัดไม้กายสิทธิ์ขึ้นเบา ๆ ก่อนที่แสงของอสนีบาตจะส่องประกายขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ต้องการจะพูดอะไรต่อ
เสียงของศาสตราจารย์เคเซอร์ดังขึ้นในเวลานี้ “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับที่ตั้งของปราสาทและภาพจำทางประวัติศาสตร์”
ศาสตราจารย์ดีดี้หันมามองเขา “เคเซอร์ ความรู้ของนายช่างลึกซึ้งจริง ๆ น่าเสียดายที่ก็อบลินก็ยังคงเป็นก็อบลินอยู่วันยังค่ำ”
ศาสตราจารย์เคเซอร์ขมวดคิ้ว “ดีดี้”
ศาสตราจารย์ดีดี้พูดต่อโดยไม่หยุด “นายรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงยอมทนทรมานจากการถูกสาปมากกว่าเลือกนาย ก็เพราะเลือดก็อบลินมันต่ำยังไงล่ะ!”
คิ้วของเธอเลิกขึ้นสูงและน้ำเสียงของเธอก็เย็นเยียบไม่น้อย
ในฐานะสมาชิกของเผ่าพันธุ์ที่มีอายุยืนยาว ภูตไม่เพียงแต่ได้รับพรแห่งกาลเวลาเท่านั้น แต่ยังมีความอ่อนเยาว์ตลอดกาลอีกด้วย พวกเขาใกล้เคียงกับเผ่าพันธุ์ที่สมบูรณ์แบบในเทพนิยายมากกว่าเผ่าพันธุ์ใกล้เคียงอย่างเอลฟ์
เหล่าภูตซึ่งเชิดชูสายเลือดของพวกเขาเหนือสิ่งอื่นใดมักจะมีนิสัยหยิ่งผยอง ในสายตาของพวกเขา แม้แต่มนุษย์ก็เป็นเพียงแค่สัตว์เลื้อยคลานบนพื้นดิน ไม่ต้องพูดถึงก็อบลินสกปรกที่อาศัยอยู่ใต้ผืนพสุธาเลย!
ในฐานะตัวแทนของเผ่าพันธุ์ชั้นสูงนี้ ดีดี้ แม็กซ์เวลล์สามารถมองคนอื่นได้อย่างเท่าเทียมกันก็เพราะความชราอันเกิดจากคำสาป หากแต่สิ่งนี้กลับแตกต่างกับเทพนิยาย
หลังจากอาศัยน้ำตาของเทพธิดาแห่งจันทราเพื่อฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ของเธอ อารมณ์นึกคิดเดิมของเธอก็กลับคืนมาอีกครั้ง
เหตุที่เธอแก่เฒ่าก็เป็นเพราะว่าเมื่อครั้งอดีตที่เธอได้เข้าไปสำรวจในวิหารโบราณลึก เธอได้เลือก ‘เวลา’ แทนที่จะเป็น ‘ความรัก’ หลังเผชิญกับตัวเลือกที่มอบให้โดยเจตจำนงของดวงจันทร์ เธอจึงต้องทนทุกข์ทรมานจากคำสาปของเทพธิดาแห่งจันทรา!
ความรักที่เธอปฏิเสธในเวลานั้นคือศาสตราจารย์เคเซอร์
พวกเขาเคยเป็นเพื่อนในการผจญภัยต่าง ๆ และตอนนี้พวกเขาก็เป็นเพื่อนร่วมงานในสถาบันเดียวกัน
น่าเสียดายที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาต้องหยุดลงที่นี่
…
ศาสตราจารย์เคเซอร์ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ
ไม่มีความขุ่นเคืองในสายตาของเขาเลย
แม้ว่าศาสตราจารย์ดีดี้จะกล่าวว่า สายเลือดของเขาต่ำต้อยต่อหน้านักเรียน
เขาก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน
สิ่งที่เอ่อล้นอยู่ในแววตาของเขาคือความทรงจำและความคิดถึงตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ดีดี้เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่แรก
เธอกับลิลลี่ต่างก็เป็นภูตเช่นกัน และล้วนก็มีบุคลิกสองแบบที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
แต่สิ่งที่ดึงดูดใจเขาก็คือความเย่อหยิ่งที่ดื้อรั้นเช่นนี้
บททดสอบแห่งกาลเวลาโหดร้ายเกินไป
จากทีมดั้งเดิมสี่คน ตอนนี้เหลือเพียงสามคนเท่านั้น
และในอีกไม่กี่ทศวรรษ จะเหลือคนน้อยลงไปอีกหนึ่งคน
แม้ว่าชีวิตของก็อบลินจะยาวนานกว่ามนุษย์เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้นานเท่ากับภูตที่สามารถท้าทายกาลเวลาได้
เคเซอร์รู้ว่าเขาชรามากแล้ว
เขาปรากฏตัวที่นี่ คืนนี้ ก็เพื่อเจอกับดีดี้เป็นครั้งสุดท้าย
ดีดี้ไม่ได้ล้ำเส้นเลยแม้แต่น้อย เพราะมันยังไม่มีการบาดเจ็บล้มตายในหมู่นักเรียน
และในเซนต์แมเรียน นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด
ตราบใดที่ไม่ได้ล้ำเส้นนี้ อาจารย์ใหญ่ก็จะไม่โจมตีเธอ
แต่เธอจะถูกไล่ออกอย่างแน่นอน
เคเซอร์ผู้รู้ว่าตนเองนั้นพลังถดถอยลงในทุกปี ทำให้เขามีความคิดที่จะอยู่ในเซนต์แมเรียนไปตลอดชีวิตที่เหลือ เขาไม่มีแรงที่จะออกสำรวจกับดีดี้ที่อายุยังน้อยและกระฉับกระเฉงได้อีกต่อไปแล้ว
อายุขัยที่ยาวนานทำให้ภูตตัวน้อยอยากรู้อยากเห็นอย่างไม่รู้จบ
อีกทั้งการตามรอยประวัติศาสตร์ หรือการค้นหาความจริงในม่านหมอกและฝุ่นธุลีตลอดไป ล้วนเป็นวิถีชีวิตของภูตส่วนใหญ่
…
ศาสตราจารย์ลิลลี่ซึ่งยังคงนอนอ่อนแรงอยู่บนที่นั่งของศาสตราจารย์ เหยียดแขนออกแล้วพลิกตัวไปมา เธอลอยมาอยู่ที่ขอบโต๊ะ ก่อนจะมองเพดานที่ค่อย ๆ สว่างขึ้น ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
“ในเมื่อเป็นห่วงเธอมาก ทำไมไม่ไปหาเธอล่ะ”
เสียงอ่อนโยนของอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ดังขึ้นในหูของเธอ
ศาสตราจารย์ลิลลี่บ่น “ไปหาเธอแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ในที่สุดเธอก็จะจากไปอยู่ดี”
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ถามว่า “เธอรู้อยู่แล้วหรือ?”
ศาสตราจารย์ลิลลี่พลิกตัวอีกครั้ง ก่อนจะหันหน้าเข้าหาพื้น “ใช่ สุดท้ายมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร”
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ถอนหายใจ “เฮ้อ”
…
เพียงชั่วพริบตา
มีร่างขนาดใหญ่อีกร่างหนึ่งอยู่เหนือหอนาฬิกา ซึ่งก็คือศาสตราจารย์โจนส์ในร่างหมีของเธอ
เมื่อเผชิญหน้ากับการจ้องมองของอาจารย์ทั้งสาม ศาสตราจารย์ดีดี้ก็หันความสนใจของเธอไปที่สฟิงซ์ที่บินอยู่อย่างเฉยเมย
หนึ่งในเก้าสปิริตของอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ ซึ่งเป็นสฟิงซ์ที่กลายเป็นสิ่งมีชีวิต บินอย่างรวดเร็วไปพร้อมกับวีรบุรุษในคำทำนาย
ศาสตราจารย์ดีดี้เหลือบมองวีรบุรุษที่สวมชุดเคานท์แวมไพร์ จากนั้นจึงมองไปยังนักเรียนอีกคนที่อยู่ด้วยอย่างไม่ตั้งใจ
มุมปากของเธอยกขึ้นเล็กน้อย
มันคือรอยยิ้มที่รู้สึกสนใจอะไรบางอย่าง
“คำทำนาย…”
บทที่ 113 มหาอสนีบาต
บทที่ 113 มหาอสนีบาต
แอนนาในชุดเสือน้อยรู้สึกเจ็บปวดจนน้ำตาแทบไหล
เธออดไม่ได้ที่จะจับมือของแมรี่แน่น ทั้งยังมองอีกฝ่ายด้วยน้ำตาคลอ
แต่แมรี่เป็นผู้หญิงที่ฉลาด เธอจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าองค์หญิงลำดับที่สองอยากขัดขาดาร์ก?
เธอแสร้งทำเป็นไม่เห็น และจับฝ่ามือของแอนนาพาอีกฝ่ายย้ายไปเต้นรำอีกด้าน
องค์หญิงลำดับที่สองมองดาร์กอย่างหมายหัว ก่อนจะหันไปเจอกับสายตาที่เพิกเฉยของแองจี้
…
ท่วงทำนองเพลงบรรเลงจบแล้ว
ดาร์กปล่อยฝ่ามือของแองจี้ และหลังจากแสดงมารยาทอันสูงส่งตามมาตรฐานแล้ว เขาก็กำลังจะก้าวลงจากฟลอร์
ทันใดนั้น แองจี้ก็จับมือเขาและกระซิบ “แอนนากับฉันก็จะเข้าเรียนที่นี่ในปีหน้าด้วย”
ดาร์กแสดงความยินดีกับเธอล่วงหน้า “ยินดีด้วย”
แองจี้หัวเราะออกมา ก่อนจะปล่อยมืออีกฝ่าย
แล้วดาร์กก็เดินลงจากฟลอร์ไป
แต่สิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจคือ ถ้าเด็กเหลือขอสองคนนี้เข้าเรียนในสถาบันปีหน้า มันคงจะมีปัญหาตามมาไม่รู้จบแน่
…
เมื่อเห็นดาร์กเดินลงจากฟลอร์แล้ว ไดแอนนาก็พุ่งเข้าชาร์จอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
ในที่สุด…เจ้าชายรัตติกาลและเจ้าหญิงรัตติกาลก็ได้จับมือเต้นรำกันในเพลงที่สอง
เพราะไดแอนนาเต้นรำไม่เก่งนัก ดาร์กจึงสอนเธอไปทีละขั้น
จากนั้นเพลงที่สาม เพลงที่สี่ ทั้งสองก็ยังคงเต้นรำด้วยกันอยู่
ไดแอนนายิ้มอย่างมีความสุขตลอดเวลา และเหลือบมองที่นั่งของศาสตราจารย์เป็นครั้งคราว
ศาสตราจารย์ส่วนใหญ่ไม่ได้ก้าวขึ้นมาบนฟลอร์เต้นรำ
ข้างศาสตราจารย์ลิลลี่ซึ่งกำลังนอนอยู่บนโต๊ะ มีแอนนาและแองจี้ที่ดูเหมือนจะกำลังโต้เถียงกันด้วยเรื่องบางอย่าง
ส่วนเจ้าหญิงเอลิซากำลังกระซิบบางอย่างกับอาจารย์ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง
งานเลี้ยงสวมหน้ากากยังคงดำเนินไปอย่างมีชีวิตชีวา
…
ทว่า ณ ห้องพยาบาลในเวลานี้เอง
ในที่สุดเวอร์เธอร์ กาวด์ก็ ‘ตื่นขึ้น’ ภายใต้การรักษาของซิสเตอร์คาไลด์ เขาอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตัน เมื่อส่องกระจกแล้วเห็นว่าเขากลับสู่สภาพเดิมแล้ว
“แทนที่จะยืนอยู่ตรงนั้น ทำไมเธอไม่มาช่วยฉันล่ะ? ให้ตายสิ! งานเลี้ยงฮัลโลวีนดี ๆ กลายเป็นแบบนี้ไปได้!”
ซิสเตอร์คาไลด์พึมพำด้วยคำพูดที่ไม่ควรออกมาจากปากของแม่ชี ก่อนจะผสมยาเพื่อแก้เอฟเฟกต์ของน้ำพรากวิญญาณอย่างรวดเร็ว
เวอร์เธอร์หน้าแดงทันที แต่ก็ถูกศาสตราจารย์ซิลเวอร์เรียกตอนที่กำลังจะเข้าไปช่วยซิสเตอร์
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาของศาสตราจารย์ซิลเวอร์ เวอร์เธอร์กัดฟันบอกเธอถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้น หลังจากที่เขาถูกโจมตีในทางลับ
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ตั้งใจฟัง ก่อนจะนำมาเทียบกับคำพูดของดาร์ก เพื่อยืนยันว่าทั้งคู่ไม่ได้โกหก
จากนั้นเธอก็ได้รับรายงานการตรวจสภาพจิตใจของสมาชิกภาคีจากซิสเตอร์คาไลด์ และเข้าใจทุกอย่างในทันที
เรื่องทั้งหมดไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น
มีคนใช้รูปปั้นของเทพธิดาแห่งจันทราเพื่อทำพิธีอะไรบางอย่าง
เธออาจไม่ใช่ผู้ริเริ่ม แต่เธอต้องเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้
และผู้มีส่วนร่วมส่วนใหญ่ รวมทั้งเทพธิดาแห่งจันทรา ไม่ได้เป็นแค่ตัวหมาก
ในปราสาทของเซนต์แมเรียนคนเดียวที่สามารถดำเนินการแบบนี้ได้ก็มีแต่ศาสตราจารย์
ศาสตราจารย์เพียงคนเดียวที่ไม่ได้อยู่ในห้องจัดเลี้ยงในคืนนี้คือ ศาสตราจารย์เคเซอร์และศาสตราจารย์ดีดี้
เมื่อคิดถึงอดีตของทั้งสองคน ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ก็ถอนหายใจเล็กน้อย “ไม่น่าแปลกใจเลยที่ตอนไปลาดตระเวนกับดีดี้เมื่อคืนก่อน ฉันถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ”
สปิริตสฟิงซ์ตัวน้อยลอยอยู่บนไหล่ของเธอ และเสียงของอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ก็ดังขึ้น “พาเวอร์เธอร์ไปที่หอนาฬิกากัน”
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ศาสตราจารย์ซิลเวอร์จะทันได้ลงมือ ก็มีเสียงดังออกมาจากทางหอนาฬิกา!
…
ตู้ม!
อสนีบาตสีทองผ่าลงมาราวกับจะฉีกท้องฟ้ายามค่ำคืน
สายฟ้าผ่าที่เหนือหอนาฬิกา!
พลังเวทมนตร์ในปราสาทเกิดความปั่นป่วน และดวงไฟเวทมนตร์ในโถงงานเลี้ยงที่ชั้นหนึ่งก็ดับลงในทันที
ท่วงทำนองของเพลงงานเต้นรำก็จบลงอย่างกะทันหันเช่นกัน
นักเรียนที่เพลิดเพลินกับบรรยากาศที่สนุกสนานพลันตื่นตระหนกกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
บรรดารุ่นน้องต่างอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมา
ความมืดโรยราและความโกลาหลบังเกิดทั่วทุกแห่งของปราสาท
นักเรียนบางคนรีบหยิบการ์ดเวทมนตร์ของพวกเขาออกมา แต่สปิริตที่อัญเชิญออกมาผิด ๆ กลับทำให้ความโกลาหลรุนแรงยิ่งขึ้น
ดาร์กรู้สึกประหม่าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสงบลงอย่างรวดเร็ว
หลังจากสายตาปรับเข้ากับความมืดแล้ว ดวงตาของเขาก็มองตรงไปยังจุดที่เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นมา
ไดแอนนากอดเขาไว้แน่น แต่ดาร์กไม่แน่ใจว่าไดแอนนากลัวจริง ๆ หรือเปล่า
…
กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง!
เสียงกระดิ่งดังลู่ลมอยู่ในอากาศ
กระดิ่งลมขนาดใหญ่ที่มีแสงสีอำพันสว่างกระจายไปทั่วทุกมุมของโถงงานเลี้ยงทีละดวง
แสงสว่างในโถงงานเลี้ยงพลันกลับคืนมา
ดาร์กตบไหล่ไดแอนนา เธอยังคงเม้มริมฝีปากของเธอและเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงง “เช้าแล้วเหรอ?”
เช้าแล้วที่หน้า!
ดาร์กดีดหน้าผากของเธอ ก่อนจะผลักเธอออกไปแล้วกระซิบที่หูว่า “ฉันมีบางอย่างที่ต้องไปทำ”
ก่อนที่ไดแอนนาจะตั้งตัวทัน เขาก็กลับไปรวมกับฝูงชนและหายตัวไปในพริบตา
…
ประกายอสนีบาตพุ่งผ่านออกมาทางนอกหน้าต่างของโถงงานเลี้ยงอีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่ได้น่ากลัวเท่าในตอนแรก
กลุ่มเมฆหนาเคลื่อนมาปกคลุมดวงจันทร์ที่สว่างไสว สายฝนเริ่มตกลงมาจากท้องฟ้าเหนือสถาบันเซนต์แมเรียน
ดาร์กมาที่ประตูปราสาทอย่างรวดเร็ว เขามองชุดเจ้าชายรัตติกาลบนตัว ก่อนจะดึง [การ์ดแต่งตัว] ออกมา และแทนที่ด้วย [ชุดหน้ากากทักซิโด้]
หลังสวมหมวกทรงสูงแล้ว เขาก็รีบวิ่งไปกลางสายฝนขณะที่ก้มหน้าลง
หยาดน้ำตกลงอย่างรวดเร็วและผิดปกติอย่างยิ่ง
ผ่านม่านฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ด้านบนสุดของหอนาฬิกาสามารถมองเห็นประกายเจิดจ้าได้
ดาร์กยืนยันที่มาของสายฟ้าได้ในทันที เขาจับการ์ดคัดสรรแล้วอัญเชิญวิญญาณรับใช้ออกมาทันที
รุกกี้เดวิมอนผู้ซึ่งยังคงรักษารูปร่างของเดอะเลดี้ไว้ ได้จงใจกอดดาร์กจากข้างหลัง
ดาร์กไม่สนใจเธอ “พาฉันขึ้นไป!”
เดอะเลดี้แสดงสีหน้าเคร่งขรึมทันที “ได้เลย นายท่าน”
จากนั้นพวกเขาก็บินขึ้นไปบนยอดหอนาฬิกาท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมา
แต่อีกด้านหนึ่ง
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ที่พุ่งตัวออกไปราวสายลมกลับเร็วกว่าเขา!
เช่นเดียวกับที่เวอร์เธอร์ซึ่งยืนอยู่กับเธอ เมื่อเขาปีนขึ้นไปบนหลังสฟิงซ์ ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ก็ปรากฏตัวขึ้นบนหอนาฬิกาแล้ว
หลังจากนั้นไม่นานดาร์กก็บินขึ้นไปบนยอดหอคอยด้วยความช่วยเหลือของเดอะเลดี้
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์จำเขาได้โดยไม่แม้แต่จะมองด้วยซ้ำ “เดม่อน ถอยไป!”
หัวใจของดาร์กบีบแน่นขึ้น ก่อนที่สายตาของเขาจะกวาดมองไปทั่วยอดหอคอย
บนยอดหอคอย ศาสตราจารย์เคเซอร์คุกเข่าลงข้างหนึ่ง เขาถูกล้อมรอบด้วยโล่แปดอัน และอสูรขนนกเนตรทองคำที่อยู่เหนือหัวของเขากำลังกรีดร้องออกมาอย่างรุนแรง
สปิริตซึ่งเดิมมีขนาดเท่าแมว ตอนนี้กลายเป็นขนาดเท่าสิงโตแล้ว ปีกสีขาวราวหิมะของมันสยายออกมาอย่างโกรธจัด และแสงสีทองในดวงตาของมันก็ทอประกายเจิดจ้า
ฝั่งตรงข้ามของศาสตราจารย์เคเซอร์ มีภูตตัวน้อยตนหนึ่งกำลังลอยตัวอยู่ในระดับเดียวกับเขา ขณะที่มือถือไม้กายสิทธิ์ชูขึ้นสูง
ดาร์กเคยเห็น ‘สิ่งนี้’ ในหนังสือ มันเป็นไม้กายสิทธิ์โบราณ [มหาอสนีบาต] ซึ่งมีชื่อเสียงพอ ๆ กับ [โทสะแห่งพระเจ้า]!
…
ตู้ม!
สายฟ้าวาบบนท้องฟ้าอีกครั้ง สะท้อนใบหน้าของภูตตัวน้อย
แม้ว่าจะดูอ่อนเยาว์ไปบ้าง แต่ใบหน้าอันใสหวานก็บ่งบอกถึงความงามของเธอได้
บทที่ 112 การอำนวยพรของเซนต์แมเรียนในงานเต้นรำ
บทที่ 112 การอำนวยพรของเซนต์แมเรียนในงานเต้นรำ
การได้เต้นรำกับเจ้าหญิงเอลิซาในงานเลี้ยงสวมหน้ากากฮัลโลวีน ย่อมถือเป็นเกียรติและได้รับการยอมรับจากผู้ชื่นชมเจ้าหญิงเอลิซาอย่างไม่ต้องสงสัย
แน่นอนว่าถึงแม้จะไม่เป็นเช่นนั้น แต่พวกเขาก็ยังสามารถพูดโอ้อวดเรื่องนี้ได้ตลอดชีวิต
เอลิซามองไปยังนักเรียนจำนวนมากที่อยู่เบื้องล่าง พลางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย
เธอยังไม่ได้ตัดสินใจ
ต่างจากน้องสาวทั้งสองคนที่สามารถใช้ประโยชน์จากอายุของพวกเธอได้ เอลิซาเป็นหน้าตาของราชวงศ์ และตอนนี้เธอยังเป็นแกนหลักของพรรคด้วย ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถกระทำตามใจตัวเองมากได้
ดังนั้นการเลือกคู่เต้นรำในครั้งนี้ เธอจำต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง
ก่อนอื่น ตัดผู้ชายออกไปได้เลย
และหากเลือกได้เฉพาะในหมู่ผู้หญิง ความแข็งแกร่ง รูปลักษณ์ คุณธรรม และภูมิหลังตระกูลล้วนเป็นสิ่งที่ต้องนำมาพิจารณา
ถ้าให้เลือกแบบดูขี้เกียจเลยคือ เลือกผู้หญิงจากในหมู่ผู้ชนะรางวัลเมื่อครู่โดยตรง
เอลิซาสนใจจอมเวทผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในสถาบัน นั่นก็คือแพนดอร่า โดรากอนที่มีแฟนคลับนับไม่ถ้วน!
แต่สาวมังกรเงินนั้นโดดเด่นเกินไป
ในฐานะเจ้าหญิง เอลิซาก็ต้องระวังเช่นกัน เพื่อไม่ให้รัศมีของเธอถูกคนด้านข้างกดข่มจนช่วงชิงความเปล่งประกายของเธอไป
ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงข้ามแพนดอร่าไป
ถ้าเป็นไปได้ ก็ไม่ควรเลือกนักเรียนจากบ้านขุนนาง
ท้ายที่สุด เธอก็ไม่สามารถแสดงความชอบพอต่อขุนนางบางคนได้
ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะเลือกหญิงสาวที่เงียบและฉลาดจากบ้านนักปราชญ์
สายตาของเอลิซาไล่ไปตามห้องจัดเลี้ยง และการ์ดคัดสรรก็ขึ้นข้อมูลของนักเรียนให้เธอในหัว
สุดท้ายแล้ว เธอก็คัดตัวเลือกออกมาได้สี่คน
บังเอิญว่าตัวเลือกทั้งสี่คนนี้ เป็นผู้หญิงที่ยังคงอ่านหนังสืออย่างตั้งใจในช่วงเวลางานเลี้ยงทั้งหมด และหนึ่งในนั้นก็ไม่ได้มาจากบ้านนักปราชญ์ด้วยซ้ำ!
ตัวเลือกทั้งสี่นี้ นอกจากคนที่มีรูปร่างหน้าตาแปลก ๆ และคนที่แต่งตัวประหลาดแล้ว มีเพียงวินนี่ สกาดี นักเรียนชั้นปีสาม และเอ็มม่า มอร์ติส นักเรียนชั้นปีหนึ่งเท่านั้น
“มอร์ติสเป็นเด็กดี แต่น่าเสียดายที่เธอยังเด็กเกินไป คำเชื้อเชิญของฉันอาจสร้างภาระให้เธอโดยไม่จำเป็น ถ้างั้นฉันจะเลือกคุณสกาดีแล้วกัน นามสกุลนี้… เธอเป็นทายาทของปราชญ์เหมันต์หรือเปล่านะ?”
และแล้วเอลิซาก็ขานชื่อออกไป “วินนี่ สกาดี”
…
วินนี่ไม่สนใจคำเชิญของเจ้าหญิงมากนัก เธอเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจเมื่อถูกเพื่อนร่วมชั้นสะกิดเธอ
แต่เนื่องจากถูกเจ้าหญิงเลือกแล้ว เธอก็เข้าใจเหตุการณ์ดี จึงไม่ได้ปฏิเสธคำเชื้อเชิญต่อหน้าทุกคน วินนี่เปลี่ยนชุดด้วยการ์ดแต่งตัวให้ดูเข้ากับพิธีการมากขึ้น ก่อนจะเดินไปที่เวที
เอลิซามองดูชุดใหม่ของเธอแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็หันไปถามน้องสาวทั้งสองคนว่า “แล้วพวกเธอสองคนล่ะ เลือกไว้หรือยัง?”
“กำลังรอพี่พูดอยู่เลย!” แอนนากระโดดออกไปทันที
แต่เมื่อเธอกำลังจะตะโกนออกมาดัง ๆ แองจี้ก็เตะเธอเข้าที่ส้นเท้า ริมฝีปากของแอนนากระตุกทันที และในที่สุดเธอก็พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “พี่สาวแมรี่ คืนนี้พี่อยากเต้นรำกับหนูไหม?”
แมรี่ จอมเวทชั้นปีที่สองไม่เคยคิดว่าเสือน้อยที่ตกลงมาจากท้องฟ้าจะเป็นองค์หญิงลำดับที่สอง เธอจึงตื่นตระหนกขึ้นมา ก่อนจะคิดได้ว่าชุดลำลองที่ใส่อยู่ดูไม่เหมาะกับพิธีการนี้นัก เธอจึงรีบขอยืมการ์ดแต่งตัวจากเพื่อนร่วมชั้นมาเปลี่ยนชุดทันที
…
“ในที่สุดก็ถึงตาฉันแล้ว!”
องค์หญิงลำดับที่สาม แองจี้ยืนเขย่งบนปลายเท้าและเหลือบมองลงยังข้างล่าง สายตาล็อกเป้าหมายไว้อย่างรวดเร็ว “ดาร์ก! ดาร์ก!!”
“หา?” แอนนาหันหน้าไปมองน้องสาวของเธออย่างรวดเร็ว
‘เจ้าทรยศตัวน้อยคนนี้!’
อย่างไรก็ตาม แองจี้ไม่ได้สนใจปฏิกิริยาของแอนนาเลยสักนิด เธอโบกอุ้งเท้าหมีเล็ก ๆ ไปมาอย่างแรงขณะกระโดดขึ้นกระโดดลง
ท่ามกลางฝูงชน ใบหน้าของไดแอนนามืดมนในทันใด
เกิดอะไรขึ้น?
คนที่ชอบหมีไม่น่าเป็นคนเลวไม่ใช่เหรอ?
หมีทรยศ!
…
“ชิ!”
ดาร์กวางมีดที่เขาเพิ่งหยิบขึ้นมาลง ถอดผ้าเช็ดปากออก แล้วลุกขึ้นยืนอย่างช่วยไม่ได้
การได้รับคำเชิญจากเจ้าหญิงนั้นดีตรงไหน?
ไม่มีเลยต่างหาก! ตรงกันข้าม มันทั้งลำบากและน่าเบื่อหน่ายเสียมากกว่า
หลังจากประสบกับเหตุการณ์ทางลับ ดาร์กก็รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ในใจอยากจะนั่งกินเงียบ ๆ และพักเติมพลังบ้าง
แต่ดูเหมือนค่ำคืนนี้จะไม่ได้ถูกกำหนดมาให้เขาได้พัก เพราะตรงหน้ายังมีการต่อสู้อันดุเดือดรออยู่!
ราวกับเห็นความไม่เต็มใจของดาร์ก ไดแอนนาจึงรู้สึกมีความสุขขึ้นมาอีกครั้ง ถึงอย่างไรเสีย งานเต้นรำคืนนี้ก็คงจะมีมากกว่าการเต้นรำเพียงครั้งเดียว
ต่อให้เจ้าหญิงได้เต้นรำกับดาร์กก่อนแล้วยังไงล่ะ?
หมีแห่งอาณาจักรเป็นผู้พิทักษ์ที่ภักดีที่สุดของอาณาจักร!
ไดแอนนาอยากจะร้องไห้ แต่ก็อยากจะหัวเราะด้วย
โรสน้อยผู้น่ารักรีบหยิบเค้กไซรัปชิ้นหนึ่ง แล้วป้อนใส่ปากเพื่อนของเธออย่างรวดเร็ว
…
ท่วงทำนองของเพลงบรรเลงในงานเลี้ยงค่อย ๆ เปลี่ยนไปให้เข้ากับพิธีเต้นรำ
และนักเรียนทั้งสามคนที่เจ้าหญิงเลือกก็เดินขึ้นไปบนเวที
…
แพนดอร่าเอนกายพิงเก้าอี้ มุมชุดแต่งงานสโนว์ไวต์ของเธอฉีกขาด ในมือโยนเหรียญ ‘ดาวเขียวน้ำทะเล’ ลงบนโต๊ะอย่างสุ่ม ๆ
แล้วเธอก็ยกมือขึ้น ทันใดนั้น พลันมีเขายาวประมาณฝ่ามือเหน็บอยู่ระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้
นี่คือเศษเขาของสัตว์ประหลาดในตำนานเบฮีมอธ ทว่าพลังเวทมนตร์ที่บรรจุอยู่ในนั้นอ่อนแอมาก
แต่อีกทางหนึ่ง มันก็เป็นวัตถุดิบที่ดีในการสร้างการ์ดเวทมนตร์ระดับสูง
ผ่านวงกลมที่เกิดจากเขาและนิ้วของเธอ ฉากบนเวทีสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เธอกำลังเล็งมันเหมือนมือปืน โดยล็อกเป้าไปที่หัวหมีน้อย
“ปิ้ว!”
…
ในขณะเดียวกัน เอ็มม่าไม่รู้เลยว่าเธอเกือบจะได้เป็นคู่เต้นรำของเจ้าหญิงเอลิซาแล้ว
อีกทั้งเธอรับคำเชิญจากรุ่นพี่สาวไว้ก่อนแล้วด้วย ดังนั้นเธอจึงมีคู่เต้นรำอยู่แล้ว
…
ดาร์ก เดม่อนเดินขึ้นไปบนเวทีโดยหลบขาเล็ก ๆ ที่องค์หญิงลำดับที่สองเหยียดออกมา
เนื่องจากเป็นงานเลี้ยงสวมหน้ากาก เขาจึงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นชุดทางการ เหมือนกับงานเลี้ยงเต้นรำที่เป็นทางการ
ขณะที่ทั้งแอนนาและแองจี้ยังคงสวมชุดคอสตูมสัตว์น้อยน่ารัก
ดาร์กพยักหน้าเล็กน้อยให้กับเจ้าหญิงเอลิซาที่หันหน้ามามองเขา จากนั้นจึงเดินไปอยู่ที่ด้านข้างของเจ้าหญิงแองจี้
“ดาร์ก นายไม่คิดว่าจะเจอแบบนี้ใช่ไหม?” แองจี้กระซิบ
ดาร์กตอบอย่างเกียจคร้าน “ใช่ ฉันไม่คิดไม่ฝันเลยจริง ๆ”
แองจี้พูดต่อ “เดี๋ยวพอเราเต้นรำ นายก็ตามจังหวะของฉัน ให้แม่มดแก่ดูว่าเราทำอะไรได้บ้าง”
“แม่มดแก่… เป็นคำที่ชวนให้คิดถึงจังนะ”
ดาร์กหรี่ตาเล็กน้อยแล้วถอนหายใจเงียบ ๆ
…
“ถ้าอย่างนั้นมาเริ่มงานเลี้ยงกัน!”
ท่วงทำนองของดนตรีเปลี่ยนเป็นรวดเร็วและน่าตื่นเต้น
นักเรียนที่ได้คู่เต้นรำแล้วพลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
ขณะที่นักเรียนซึ่งไม่มีคู่เต้นรำ ได้แต่ซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้องและนั่งเคี้ยวพายฟักทองไป
รุ่นพี่แพนดอร่าเป่าการ์ดวิญญาณเบา ๆ ก่อนจะยกกระโปรงของเธอขึ้นเล็กน้อย แล้วยื่นมือไปตรงหน้าอีกฝ่าย
รุ่นพี่สาวที่เป็นคู่เต้นรำกับเอ็มม่าคือ คนที่ทะเลาะกับเธอในงานพบปะของสาว ๆ ครั้งล่าสุด
ตัดภาพมาที่ไดแอนนาซึ่งกำลังจับมือโรสอย่างไม่เต็มใจ
ชุดเจ้าหญิงรัตติกาลกับชุดเจ้าหน้าที่ทางการสีขาวบริสุทธิ์ ถือได้ว่าเป็นภาพที่ดูยิ่งใหญ่มาก
ไดแอนนายังคงจ้องมองไปยังเจ้าหมีน้อยที่อยู่บนเวที และทันใดนั้น เธอก็รู้สึกอยากเอาตัวเองเข้าไปแทนที่
เธอพึมพำซ้ำ ๆ เพื่อสะกดจิตตัวเอง “ฉันคือหมีน้อย และหมีน้อยก็คือฉัน…”
…
บนฟลอร์
เจ้าหญิงทั้งสามแบ่งกลุ่มออกเป็นสามเหลี่ยมและเต้นไปตามทำนอง
ดาร์กและแองจี้จับมือกันเต้นรำไปตามจังหวะเพลง ในใจพวกเขารู้สึกสงบสุขราวกับอยู่ภายใต้การอำนวยพรของเซนต์แมเรียน
กระทั่งเท้าของเสือน้อยเหยียดออกมาอย่างเงียบ ๆ
ดาร์กก้าวออกไปอย่างไม่ลังเล…และไม่ได้มองเท้าอีกคนด้วย
“โอ๊ย!”
บทที่ 111 ดาร์ก เดม่อนกลายเป็นดาวเด่น
บทที่ 111 ดาร์ก เดม่อนกลายเป็นดาวเด่น
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวของดาร์กแล้ว อาจารย์ใหญ่และศาสตราจารย์พลันตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่ามีคนหายไปในเรื่องนี้
เทพธิดาแห่งจันทราไม่น่าหายตัวไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยได้ ดังนั้นจึงต้องมีบุคคลที่สามเข้ามาแทรกแซงเท่านั้น
สฟิงซ์ตัวน้อยวิ่งไปรอบ ๆ ตัววิหาร ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “พานักเรียนไปที่ห้องพยาบาลก่อนเถอะ ฉันจะแจ้งซิสเตอร์คาไลด์โดยเร็วที่สุด แล้วก็เดม่อน เธอทำได้ดีมาก ตรงนี้ปล่อยให้อาจารย์จัดการที่เหลือเถอะ แล้วก็ถ้าเธอไม่ต้องการพักผ่อน อย่าได้พลาดงานเต้นรำครั้งแรกของเธอในสถาบันล่ะ ฉันจะรออยู่ที่โถงงานเลี้ยงชั้นหนึ่ง”
“ได้เลยครับ อาจารย์ใหญ่” ดาร์กโค้งตัวเล็กน้อยแล้วเดินออกไป
หลังจากที่ดาร์กจากไป ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “พาวาร์ คุณคิดอย่างไรกับคำให้การของเดม่อน?”
ศาสตราจารย์โจนส์ยิ้ม “ดูท่าแล้วเขาคงจะปกปิดอะไรบางอย่างอยู่ แต่เราจอมเวททุกคนก็ล้วนมีความลับของตัวเองทั้งนั้น ปล่อยไปเถอะ อย่างน้อยในเรื่องนี้ เขาน่าจะอยู่ฝั่งดี”
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ถามต่อ “งั้นคุณเดาบุคคลที่สามนั้นได้ใช่ไหม?”
ศาสตราจารย์โจนส์ตอบอย่างเฉยเมย “ดีดี้หรือไม่ก็เคเซอร์ล่ะมั้ง? แต่ถึงยังไงก็ต้องมีใครสักคนที่รับผิดชอบเรื่องนี้”
…
เมื่อดาร์กมาถึงโถงงานเลี้ยงที่ชั้นหนึ่ง มันก็เป็นเวลาเที่ยงคืนครึ่งแล้ว
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ตวัดปากกาพลังเวทบนเวที และแสดงคาถามากมายต่อหน้าเหล่าจอมเวทฝึกหัด
ความจริง…ตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่เธอควรจะประกาศผู้ชนะของงานเลี้ยงสวมหน้ากาก มอบรางวัล และกล่าวปิดฉากงานเลี้ยงสวมหน้ากากอย่างเป็นทางการ
แต่คืนนี้เห็นได้ชัดว่าเธอพยายามชะลอเวลาที่ว่านั้นไว้
จนกระทั่งดาร์กก้าวเข้ามาในโถงงานเลี้ยง เธอจึงหยุดแสดงคาถาและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าอย่างนั้น…เรามาเข้าสู่ช่วงมอบรางวัลผู้ชนะเลยแล้วกัน ยินดีต้อนรับดาวเด่นชั้นปีหนึ่ง ดาร์ก เดม่อน!”
พรึ่บ!
ทันใดนั้น ไข่อีสเตอร์ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นเหนือหัวของเขา
และเมื่อดาร์กเงยหัวขึ้น ไข่ก็แตกออก ริบบิ้นกับกระดาษสีมากมายพลันระเบิดออกมา
ทุกอย่างตรงหน้าเขาพร่ามัวไปครู่หนึ่ง ทว่าหลังจากนั้น ดาร์กก็ตระหนักได้ทันทีว่า ตอนนี้เขามายืนอยู่ข้างกายของอาจารย์ใหญ่อาร์เต้บนเวทีแล้ว!
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ยังคงสง่างามเช่นเคย ดวงหน้าของเธอมีหน้ากากเพชรขนาดเล็กปิดบังไว้อยู่ ขณะที่บนศีรษะถูกประดับด้วยมงกุฎสีเงิน และเรือนร่างของเธอก็สวมด้วยชุดเดรสสีดำขลับหางยาว
เธอไม่ได้ดูเหมือนเจ้าหญิง แต่กลับเหมือนราชินีผู้ชั่วร้ายที่มักปรากฏในเทพนิยายมากกว่า
“เดม่อน ยื่นมือออกมา”
ดาร์กพยักหน้ารับก่อนจะยื่นมือออกไป และในเวลาต่อมา ถ้วยรางวัลที่ไม่เพียงหนักมากเท่านั้น แต่ยังใหญ่ผิดปกติด้วยก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
เสียงของอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ดังก้องไปทั่วทั้งโถงจัดงาน “ขอแสดงความยินดีกับดาวเด่นของปีนี้!”
หลังจากที่เธอพูดจบก็เกิดเสียงปรบมือดังสนั่นในห้องโถง
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้กล่าวต่อ “เดม่อน เธออยากจะกล่าวอะไรไหม?”
ดาร์ก “มันใหญ่เกินไป”
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ “…”
ดาร์กก้าวลงจากเวที ในขณะที่สติยังคงมึนงงสับสนไม่หาย
เขาไม่เคยคิดเลยว่า ถ้วยรางวัลประจำปีจะเป็นถ้วยทองคำที่ใหญ่ขนาดนี้!
‘หากเอาไปขายในถนนนักเดินทาง ฉันจะได้คะแนนเท่าไหร่กันนะ?’
แต่ทันทีที่เขาก้าวลงจากเวที ถ้วยรางวัลในมือก็เริ่มหดเล็กลง
เอ๊ะ?! (๑˘ ˘๑)
และแล้ว…ถ้วยรางวัลเกือบเท่าครึ่งตัวคนก็กลายเป็นเหรียญขนาดเท่าฝ่ามือในที่สุด!
‘ถามจริง?’
‘ล้อเล่นกับความรู้สึกของฉันอย่างนี้ได้ยังไง?’
ดาร์กอยากยื่นเรื่องร้องเรียน แต่การเปลี่ยนถ้วยรางวัลให้กลายเป็นเหรียญ ดูเหมือนจะเป็นการแสดงประจำของกิจกรรมวันฮัลโลวีน และมีเพียงเสียงอุทานอย่างประหลาดใจของนักเรียนชั้นปีหนึ่งเท่านั้น
เขาพลิกเหรียญในมือไปอีกด้าน และด้านหลังของเหรียญก็สลักไว้ว่า
[คาถา: หลักฐานชื่อเสียง]
เห็นดังนั้น เขาจึงถ่ายเทพลังเวทมนตร์ลงไปในเหรียญและกระซิบว่า “หลักฐานชื่อเสียง”
ทันใดนั้น เหรียญก็กลายเป็นถ้วยรางวัลใหญ่เกือบครึ่งตัวคนในมือของเขาอีกครั้ง!
…
หลังจากเปลี่ยนถ้วยรางวัลกลับไปเป็นเหรียญ และประดับมันไว้ที่หน้าอกของเขา ดาร์กก็เริ่มสุ่มหาที่นั่ง
ถึงจะไม่ได้สนใจการจัดอันดับมากนัก แต่มันก็ทำให้เขามีความสุขอยู่บ้างที่ได้เป็นแชมป์ปีแรก
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ยังคงมอบรางวัลอย่างต่อเนื่อง
จากปีที่หนึ่งถึงปีที่หก มีทั้งหมดหกถ้วยรางวัล
และในที่สุดก็มาถึงไฮไลต์ของงาน…การจัดอันดับโดยรวม!
แชมป์โดยรวมหรือก็คือ ผู้ที่ได้รับรางวัลดาวแพลทินัม!
ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดหกคน ปรากฏตัวขึ้นบนเวทีทีละคน
ดาร์กเห็นแล้วว่ารุ่นพี่แพนดอร่าคว้าถ้วยของชั้นปีสี่ไปได้สำเร็จ แต่น่าเสียดายที่เธอไม่ได้รับรางวัลดาวแพลทินัม
“ดูเหมือนว่ายังมีนักเรียนที่แข็งแกร่งอีกมากมายที่ซ่อนตัวอยู่ในหมู่รุ่นพี่”
“ดาร์ก!”
“หืม?”
ไดแอนนาเรียกเขาก่อนจะเบียดฝูงชนเข้ามาได้ในที่สุด อีกฝ่ายทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ และกลิ่นของน้ำนมก็ลอยผ่านเข้ามาในจมูกของเขา
ไดแอนนาบ่น “นายหายไปไหนมา? พวกเราออกตามหาอยู่ตั้งนาน”
ดาร์กหยิบน้ำส้มที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาจิบ “มีบางอย่างเกิดขึ้นน่ะ ฉันเลยมาช้าไปหน่อย นี่ก็เพิ่งจะมาถึงเอง”
“อ๋อ แหะ ๆ” ไดแอนนายิ้มเผล่ขึ้นมาทันที เธอเอื้อมมือไปที่หน้าอกของดาร์ก แล้วหยิบเหรียญดาวเด่นออกมาดูอย่างละเอียด โดยไม่สนใจว่ามันเหมาะสมหรือไม่
โรสเดินเข้ามาหา “ยินดีด้วย อย่างที่ฉันคิดไว้เลย นายได้เป็นแชมป์จริง ๆ”
ดาร์ก “ขอบคุณ”
ไดแอนนาได้สติกลับมาแล้วก็รีบพูด “ยินดีด้วย”
จากนั้นเธอก็ตั้งตารองานเต้นรำเริ่ม
พวกเขาทั้งคู่แต่งกายด้วยชุดของคู่รัก ทำให้ภาพที่ออกมาดูน่ารักมาก แม้ว่าจะมีนักเรียนจำนวนมากอยู่ในโถงงานเลี้ยง แต่ทั้งดาร์กและไดแอนนาก็ยังดูสะดุดตาอยู่ดี
ตัดภาพไปที่บนเวที อาจารย์ใหญ่อาร์เต้กำลังกล่าวเริ่มกิจกรรมในส่วนถัดไป ซึ่งก็คือ ‘การพบปะกับเจ้าหญิง’!
การมาถึงขององค์หญิงทั้งสาม ทำให้งานเลี้ยงสวมหน้ากากมีความพิเศษมากกว่าปกติ
และทุกคนก็รอคอยช่วงนี้มาเป็นเวลานาน
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ใช้ปากกาพลังเวทวาดวงกลมเรืองแสงสองสามวงก่อนจะร่ายคาถาออกมา ทันใดนั้นเอง พลังเวทมนตร์พลันระเบิดขึ้นอย่างตระการตาราวกับดอกไม้ไฟ
“ขอเชิญต้อนรับองค์หญิงทั้งสาม!”
จากนั้นเจ้าหญิงทั้งสามซึ่งนั่งอยู่ในที่นั่งของศาสตราจารย์ก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกมาที่เวที
เจ้าหญิงเอลิซาอยู่ในชุดมาตรฐานของเชื้อพระวงศ์ ซึ่งก็คือชุดประจำตำแหน่งของเธอเอง นอกจากหน้ากากอันวิจิตรงดงามที่บดบังความพิสุทธิ์ของเธอ กิริยาของเจ้าหญิงก็ดูสงบและสง่างาม ส่งผลให้บรรยากาศรอบตัวเธอดูสูงศักดิ์แต่อ่อนโยนในเวลาเดียวกัน
มีผู้สนับสนุนเจ้าหญิงพระองค์โตจำนวนมากอยู่ในกลุ่มผู้ชม พวกเขาต่างพากันส่งเสียงเชียร์เธอ
เสือน้อยและหมีน้อยที่แทบจะไร้ตัวตนก็เดินขึ้นไปบนเวทีด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง ก่อนจะไปยืนขนาบข้างกับเจ้าหญิงลำดับที่หนึ่งอย่างเชื่อฟัง
และเมื่อเสียงเซ็งแซ่และบรรยากาศที่วุ่นวายในโถงงานเลี้ยงเริ่มลดน้อยลง เหล่านักเรียนจึงค่อย ๆ เพิ่งสังเกตเห็นเจ้าหญิงน้อยทั้งสอง
สีหน้าของบางคนเปลี่ยนไปหลังจากเห็นพวกเธอ
เนื่องจากก่อนหน้านี้เจ้าหญิงน้อยจอมซนทั้งสองได้วิ่งเล่นอยู่ในปราสาท คนส่วนใหญ่จึงเคยเห็นพวกเธอ และบางคนถึงกับโดนพวกเธอรังควานด้วยซ้ำ!
และแน่นอนว่า พวกเขาก็เผลอแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสมต่อหน้าเจ้าหญิงน้อยเข้าแล้ว
หลังจากที่เจ้าหญิงทั้งสามแนะนำตัวเองเสร็จสิ้น ช่วง ‘เลือกคู่เต้นรำ’ ที่ทุกคนรอคอยก็เริ่มต้นขึ้น
เจ้าหญิงเอลิซาก้าวขึ้นไปข้างหน้า สายตาจ้องมองเหล่านักเรียนที่อยู่ด้านล่างเวทีด้วยท่าทีสง่างาม
บรรยากาศในหมู่นักเรียนเริ่มตึงเครียดขึ้นมาทันที
บทที่ 110 การบรรยายประวัติศาสตร์แห่งเวทมนตร์ครั้งสุดท้ายของดีดี้ แม็กซ์เวล
บทที่ 110 การบรรยายประวัติศาสตร์แห่งเวทมนตร์ครั้งสุดท้ายของดีดี้ แม็กซ์เวล
เหตุการณ์หลังเที่ยงคืนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
เหล่านักเรียนที่ไม่รู้ว่ามีเรื่องเกิดขึ้นในทางลับของปราสาท จึงต่างมุ่งหน้าไปยังชั้นหนึ่งเมื่อเสียงระฆังดังบอกเวลา
ไดแอนนาจับมือโรสไว้ ก่อนจะแอบมองหาเจ้าชายรัตติกาลท่ามกลางฝูงชน
ขณะเดียวกัน เอ็มม่ากำลังถือหนังสือในมือซ้ายและเล่นเหรียญทองมีปีกในมือขวา โดยไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
ภายในวิหาร หญิงสาวผมสั้นสีอีกาที่อยู่ในชุดเคานต์แวมไพร์ก็ได้ตื่นจากอาการโคม่าในที่สุด
ทว่ากลับไม่มีใครสังเกตเห็นว่า ณ มุมมืดหนึ่งของทางเดินนั้น ค้างคาวที่น่าจะควรหายไปในตอนเที่ยงคืน กลับยังคงซุ่มซ่อนอยู่อย่างเงียบ ๆ
…
ภูตตัวน้อยผู้ซึ่งมีปีกผีเสื้ออยู่บนหลังของเธอ กระพือปีกบินกลับมาที่ด้านบนสุดของหอนาฬิกาอีกครั้ง
ในมือของศาสตราจารย์ดีดี้ แม็กซ์เวลมีลูกปัดเรืองแสงอยู่ เธอบิดมันด้วยนิ้วโป้งและนิ้วชี้ก่อนจะเงยหน้าขึ้น สายตาสังเกตแสงจันทร์อย่างระมัดระวัง
ลูกปัดกลมเกลี้ยงและไร้ที่ติสะท้อนเข้ากับแสงจันทร์จากฟากฟ้า ทอประกายความงามแข่งกับพระจันทร์ที่สว่างไสวในท้องฟ้ายามราตรี
“นี่คือน้ำตาของเทพธิดาแห่งจันทราใช่ไหม?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
ศาสตราจารย์ดีดี้ไม่แปลกใจที่เห็นอีกฝ่าย เธอพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “กงล้อแห่งประวัติศาสตร์ได้บดขยี้หลายสิ่งอย่างมากเกินไป ลองดูสิ่งที่พวกเขาทำไว้ในอดีตสิ เช่นสี่ยุคก่อนหน้านี้ มาร์ติน นักเล่นแร่แปรธาตุในตำนานคนนั้น เพื่อที่จะสร้างน้ำตาของเทพธิดาแห่งจันทราให้กับอาณาจักร เขาถึงกับใช้ประชาชนทั้งหมด 5,764,801 คนเป็นเครื่องสังเวยให้มัน และในที่สุดก็ได้รับเสียงตอบรับจากเทพธิดาแห่งจันทรา แต่…มันต่างกัน ฉันใช้ผู้ศรัทธาทั้งสิบหกคนและเครื่องสังเวยคู่รักแค่เจ็ดคู่เพื่อทำการนี้ให้บรรลุผลเท่านั้น”
ศาสตราจารย์เคเซอร์ปรากฏตัวขึ้นและถามด้วยน้ำเสียงถอนหายใจ “จบแล้วเหรอ?”
“มันจบลงแล้ว แต่แค่ชั่วคราวน่ะนะ” ศาสตราจารย์ดีดี้ตอบอย่างสบาย ๆ “คุณมาที่นี่เพื่อหยุดฉันเหรอ?”
“ไม่ ผมมาที่นี่เพื่อพบคุณเป็นครั้งสุดท้าย”
…
ดาร์กพยายามดิ้นรน จนในที่สุดก็สามารถโผล่หน้าออกมาจากความอวบอัดของเดอะเลดี้ได้ เขาหอบหายใจเข้าปอดลึก ๆ
ในขณะที่มือแอบดึง [อัตตา II] ออกมา และพร้อมที่จะใช้มันกับเธอ
เดอะเลดี้ก้มหน้าลงมาข้างหูของเขาแล้วกระซิบว่า “มีคนอยู่ที่นี่”
ดาร์กที่ได้ยินดังนั้น ก็พิจารณาสถานการณ์แล้วเปลี่ยน [อัตตา II] เป็นการ์ดคัดสรรทันที
จากนั้นเขาก็เรียกเดอะเลดี้กลับเข้าไปในการ์ด
ดาร์กไม่มีเวลาได้สังเกตสภาพแวดล้อมจนถึงขณะนี้
ผนังของปราสาทเซนต์แมเรียนสร้างจากวัสดุที่เขาไม่รู้จัก แม้ว่ามันจะถูกยิงด้วยลูกศรศักดิ์สิทธิ์แห่งดวงจันทร์ แต่ก็ไม่มีความเสียหายแต่อย่างใด
เหลือเพียงร่องรอยการระเบิดบางส่วนเท่านั้น
เขามองข้ามร่องรอยพวกนั้น ก่อนจะสังเกตเห็นขนนกสีขาวตกอยู่ในโคลนสีดำ
“นี่อาจจะเป็น…”
ขนนกสีขาวนี้สามารถเป็นได้เพียงสิ่งนั้นเท่านั้น
ดาร์กยิ้มออกมาอย่างมีความสุขและวิ่งเหยาะ ๆ ไปหามันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หยิบขนนกของนางฟ้าที่เปล่งแสงสีขาวนวลออกมาจากโคลน
ขนนกนางฟ้าโผล่ออกมาจากโคลนแต่ไม่มีรอยเปื้อนสักกระผีกเดียว เพียงแค่ถือไว้ใกล้ ๆ ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายตัวแล้ว
ดาร์กเปิดซองการ์ดของเขา และเก็บซ่อนขนนกไว้ที่ช่องตรงกลางของซองการ์ดอย่างระมัดระวัง
มีวัตถุดิบหลักสี่อย่างแล้วในชั้นกลางของซองใส่การ์ด ได้แก่
1. ขนนกฮาร์ปี้
2. เกล็ดนางเงือก
3. กระดุมซอมบี้หมีหุ่นเชิด
4. ขนนกของเดอะแองเจล
…
หลังจากตบซองการ์ดอันเป็นที่รักของเขาแล้ว ดาร์กก็หยิบปากกาพลังเวทออกมาอีกครั้ง และคนโคลนตรงหน้าอย่างระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรอยู่ข้างในแล้ว ก่อนจะกลับมาเหยียดหลังขึ้นตรง
แม้ว่าเขาจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ เทพธิดาแห่งจันทราก็หายตัวไป แต่บางครั้งผลลัพธ์ก็สำคัญกว่ากระบวนการ
หลังจากยืนยันได้แล้ว ดาร์กก็ไม่ได้รีบเข้าไปในวิหารแต่อย่างใด
ถึงแม้จะมีผู้ชายและผู้หญิงที่ถูกจับเป็นเครื่องสังเวยในวิหาร แต่เขาไม่ลืมว่ายังมีภาคีอาหารทะเลที่เป็นอันตรายมากสำหรับเขาอยู่ด้วย
ทางเลือกที่ดีที่สุดในขณะนี้คือการรอศาสตราจารย์มาถึง
แน่นอนว่าศาสตราจารย์หลายคนก็มาถึงในไม่ช้า
คนแรกที่มาถึง ไม่ใช่ศาสตราจารย์เคเซอร์หรือศาสตราจารย์ลิลลี่ที่ดาร์กคุ้นเคยมากที่สุด
แต่กลับเป็นหมีดำตัวใหญ่!
เมื่อเห็นหมีดำวิ่งเข้ามาหาเขา ดาร์กก็ถึงกับตกตะลึงไปในทันที
ทว่าหลังจากที่หมีดำเบรกอย่างแรง และเปลี่ยนกลับมาเป็นร่างมนุษย์ ก็ปรากฏว่าเป็นศาสตราจารย์พาวาร์ โจนส์
เมื่อเห็นผิวสีน้ำตาลแดงของศาสตราจารย์โจนส์ ดาร์กก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“เดม่อน?”
ศาสตราจารย์โจนส์ขมวดคิ้วและมองไปที่ดาร์ก จากนั้นชูการ์ดเวทมนตร์ในมือขึ้นแล้วพูดว่า “การ์ดแปลงร่าง เป็นหลักสูตรสำหรับนักเรียนในชั้นปีหลัง ๆ น่ะ”
ดาร์กอ้าปากอุทาน “โอ้” เขารู้เกี่ยวกับคาถาแปลงร่าง เพราะเวทมนตร์เปลี่ยนเพศที่เคยใช้กับโรเบิร์ตก็เป็นคาถาแปลงร่าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นการ์ดแปลงร่าง
แต่ถึงอย่างไรก็ไม่น่ามีคนที่สามารถเชี่ยวชาญ ‘การแปลงร่างขั้นสูง’ อย่างศาสตราจารย์โจนส์ได้
สายตาของศาสตราจารย์โจนส์หันไปมองที่แอ่งโคลนสีดำอย่างรวดเร็ว เธอถามว่า “เธอมาที่นี่ทำไม? แล้วรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?”
ดาร์กยักไหล่ “ผมพอจะรู้นิดหน่อยครับ”
โดยไม่จำเป็นต้องปิดบัง
ท้ายที่สุดเรื่องนี้ก็จบลงแล้ว และนอกจากการต่อสู้ครั้งสุดท้าย เขายังเป็นพยานรู้เห็นอีกด้วย
ศาสตราจารย์โจนส์ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและเดินไปหยุดอยู่ที่แอ่งโคลน “ดีมาก รอจนกว่าอาจารย์ใหญ่จะมาถึงแล้วกัน”
“พาวาร์ ฉันมาแล้ว”
มีออร่าของแสงสว่างขึ้นและสปิริตตัวเล็กก็บินมาอยู่ระหว่างคนทั้งสอง
มันเป็นสฟิงซ์ตัวน้อย
ดาร์กรู้จักสปิริตตัวนี้ เนื่องจากว่ามันเป็นหนึ่งในเก้าสปิริตหลักของอาจารย์ใหญ่อาร์เต้
ส่วนตัวอาจารย์ใหญ่เอง บางทีเธออาจจะยังคงอยู่เป็นประธานในงานเลี้ยง
ขณะที่ดาร์กกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดมาอยู่ข้าง ๆ และทันใดนั้น พลันมีคนปรากฏขึ้นที่ประตูของวิหารซึ่งอยู่ไม่ไกลนั่นคือ ศาสตราจารย์ซาราห์ ซิลเวอร์
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ตรงเข้ามายังวิหารทันที เมื่อเธอเห็นแท่นบูชาที่ไม่มีรูปปั้นเทพธิดากับเหล่านักเรียนที่นอนสลบไสลอยู่หน้าแท่นบูชา จึงยื่นมือออกมาและสะบัดออกไปคราหนึ่ง แล้วสายลมก็พัดผ่านร่างกายของนักเรียนโดยทันที
เมื่อโบกกลับมาอีกครั้ง สายลมที่แผ่วเบานั้นก็กลายเป็นวิญญาณแห่งสายลมขนาดตัวเท่านิ้ว
“เป็นยังไงบ้าง?” ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ถามด้วยความเป็นห่วง
วิญญาณแห่งสายลมกะพริบตัวและแสดงท่าทางโอเคด้วยนิ้วเล็ก ๆ ของมัน
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูเหมือนว่านักเรียนจะไม่ตกอยู่ในอันตราย
หลังจากนั้น
ดาร์กก็เข้ามาในวิหารพร้อมกับศาสตราจารย์โจนส์
เทียนบนวงแหวนเวทมนตร์ถูกเผาไหม้ไปจนหมดแล้ว เหลือเพียงน้ำตาเทียนสีแดงไว้ให้เห็นต่างหน้า
สมาชิกภาคีอาหารทะเลทั้งสิบหกคนหมดสติอยู่บนพื้น และหมอกสีชมพูที่ปกคลุมพวกเขาราวกับใยแมงมุมก่อนหน้านี้ก็หายไปเรียบร้อย
ตอนนี้มีเพียงนักเรียนสามสิบสี่คน… นักเรียนสามสิบสามคนยังคงหมดสติเนื่องจากผลกระทบของน้ำพรากวิญญาณ
ขณะที่หญิงสาวผมสีอีกาที่ถูกดาร์กคว่ำ… กำลังนอนแกล้งตายอยู่บนพื้น
เวอร์เธอร์ กาวด์รู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังตกอยู่ในฝันร้าย และเขาอยากจะตื่นขึ้นมามาก
…
ภายใต้การสอบสวนของอาจารย์ ดาร์กได้อธิบายสิ่งที่เขาเห็นทั้งหมด
แต่เมื่อพูดถึงพิธีบูชายัญ เขาก็เปลี่ยนเรื่องเล่าไป โดยบอกว่าหลังจากที่เขาไม่สามารถขัดขวางพิธีกรรมได้ เขาจึงถูกเทพธิดาแห่งจันทราไล่ล่าแทน
“ภายใต้ความหวาดกลัวสุดขีด ในที่สุดผมก็หลบหนีออกจากวิหารได้ แต่หลังจากนั้น สิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวที่อ้างตัวว่าเป็นเทพธิดาแห่งจันทราก็ดึงธนูศักดิ์สิทธิ์ออกมา แล้วใช้แสงจันทร์ที่เป็นลูกศรยิงมาที่ผม เห็นได้ชัดเลยว่าเธอกำลังหยอกล้อผมเล่นโดยตั้งใจยิงพลาดไปสองสามครั้ง แต่ในที่สุดผมก็พบโอกาส… อะแฮ่ม อันที่จริงผมไม่รู้ว่าเธอหายตัวไปได้ยังไง?”
บทที่ 109 ดาร์ก เดม่อนอัญเชิญแสงแห่งจิตวิญญาณ
บทที่ 109 ดาร์ก เดม่อนอัญเชิญแสงแห่งจิตวิญญาณ
“จงส่องสว่าง แสงแห่งจิตวิญญาณ!”
…
ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น นิ้วของเทพธิดาแห่งจันทราก็คลายลูกศรศักดิ์สิทธิ์แห่งดวงจันทร์ แล้วลูกศรก็พุ่งออกไป!
กวางตัวผู้ซึ่งเดิมเป็นของบุตรแห่งวีรบุรุษพลันเงยหน้าขึ้น และแสงสีขาวที่ปล่อยออกมาจากระหว่างเขาทั้งสองก็แข็งแกร่งมาก!
[ท่าไม้ตาย: แสงแห่งจิตวิญญาณ]!
ลูกศรศักดิ์สิทธิ์ถูกแสงสีขาวกลืนหายไปในชั่วพริบตา แต่อันที่จริงแล้วมันไม่มีทางแยกระหว่างทั้งสองออกได้เลย
ลูกธนูพุ่งตรงผ่านแสงสีขาวและยิงตรงไปที่หัวกวาง!
กวางถูกฆ่าตายทันที
แต่แสงแห่งจิตวิญญาณถูกปล่อยออกไปแล้ว และมันยังคงส่องไปยังเทพธิดา!
เทพธิดาแห่งจันทรากรีดร้องทันที
…
ดาร์กยืนหันหลังพิงกำแพงอยู่ตรงหัวมุม มือจับการ์ด [สัตว์อสูรมายา: กวาง] ไว้แน่น พลังเวทมนตร์ยังคงหลั่งไหลเข้าไปในการ์ดอย่างต่อเนื่อง
ถึงแม้ว่าจะเป็นสัตว์อสูรมายาที่สร้างโดยบุตรแห่งวีรบุรุษ แต่เวอร์เธอร์ยังไม่ได้ค้นพบพลังที่ซ่อนอยู่ในการ์ดเวทมนตร์นี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อดาร์กคิดว่าสัตว์อสูรมายาของเขาคือกวาง เขาก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างพิเศษ
ท้ายที่สุด ในหนังสือต้นฉบับของ <โรงเรียนเวทมนตร์> ผู้พิทักษ์ของตัวเอกก็เป็นกวางตัวผู้ที่เปล่งประกาย!
ยิ่งไปกว่านั้น ท่าไม้ตายยังเป็นสกิลที่เรียกว่า ‘แสงแห่งจิตวิญญาณ’ ด้วย
ท่าไม้ตายของสปิริตไม่เคยถูกตั้งชื่อแบบสุ่ม
เนื่องจากถูกเรียกว่า ‘แสงแห่งจิตวิญญาณ’ มันก็ย่อมต้องเป็นการสำแดงพลังทางจิตวิญญาณ
และเมื่อพูดถึงพลังทางจิตวิญญาณ ใคร ๆ ก็ต้องนึกถึงจอมเวทสีชาด และการอัญเชิญพันธะวิญญาณของจอมเวทสีชาดทันที!
ดาร์กบังเอิญได้อ่าน ‘เคล็ดการอัญเชิญของจอมเวทสีชาด – ความแตกต่างระหว่างการอัญเชิญสปิริตกับการอัญเชิญเวทมนตร์อื่น ๆ’ จึงทำให้เขาพอจะเข้าใจเรื่องการอัญเชิญพันธะอยู่บ้าง
พื้นฐานของการอัญเชิญพันธะทางจิตวิญญาณคือ สิ่งที่เรียกว่า ‘โซ่ตรวน’
นั่นคือการเชื่อมต่อทางจิตวิญญาณระหว่างจอมเวทกับสปิริตของพวกเขา!
…
ในที่สุด การสะสมความรู้ก็ประสบผลสำเร็จ!
และในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง ดาร์กก็สามารถใช้ ‘แสงแห่งจิตวิญญาณ’ เป็นสื่อกลางและสร้างการเชื่อมต่อทางจิตวิญญาณกับ ‘รุกกี้เดวิมอน’ ได้อีกครั้ง
แม้ว่าดาร์กจะมองว่ารุกกี้เดวิมอนเป็นตัวทดลอง แต่วันแล้ววันเล่าที่ผ่านมา ความสัมพันธ์กลับกลายเป็นสิ่งที่ถูกสะสมไม่ต่างกับความรู้ และความไว้วางใจที่ตัดไม่ขาดก็กลายเป็นพันธะที่ผูกมัดพวกเขาไว้อย่างแน่นหนา
ผ่านการเชื่อมต่อทางจิตวิญญาณ ดาร์ก ‘เห็น’ ว่า ‘รุกกี้เดวิมอน’ ในร่างของเดอะเลดี้กำลังนอนกอดเข่าและหลับใหลอยู่ในร่างของเทพธิดาแห่งจันทรา!
ดาร์กพยายามปลุกเธอว่า “หกโมงแล้วนะ”
มันเป็นประโยคที่ธรรมดามาก
แต่ ‘รุกกี้เดวิมอน’ ตัวสั่นไปทั้งตัวและลืมตาทั้งอย่างนั้น “หกโมงแล้ว ได้เวลาไปโรงอาหารเพื่อซื้ออาหารเช้าและหนังสือพิมพ์ให้นายท่านแล้ว”
และในตอนนั้นเอง
เทพธิดาแห่งจันทราพลันส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
…
‘รุกกี้เดวิมอน’ หรือพูดให้ถูกคือ ‘เดอะเลดี้’ ในตอนนี้
หลังจากตื่นขึ้น เดอะเลดี้ก็เริ่มต่อสู้กับเทพธิดาแห่งจันทราอีกครั้งเพื่อแย่งชิงสิทธิ์ในการควบคุมร่างกาย
จิตสำนึกของทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือดในโลกวิญญาณ
ไม่ว่าจะมองมุมใด เดอะเลดี้ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพลังวิญญาณของดาร์กก็ไม่มีวันพ่ายแพ้ต่อเทพธิดาแห่งจันทรา ซึ่งฟื้นขึ้นมาจากจิตสำนึกที่หลงเหลืออยู่เท่านั้น
เมื่อการต่อสู้รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ผิวหนังของ ‘เดอะแองเจล’ ก็ดูบิดเบี้ยวและบวมมากขึ้น กระทั่งปีกสีขาวทั้งแปดคู่ของเธอก็ค่อย ๆ กลายเป็นสีดำ มือและเท้าของเธอเริ่มต่อสู้กันเอง
…
“อ๊า อ๊า อ๊า อ๊า!”
ผิวของ ‘เดอะแองเจล’ พลันปริแตกทุกตารางนิ้ว
มวลสีดำชอนไชออกมาจากผิวของเธอ และเกาะกลุ่มกลับขึ้นมาบนผิวของ ‘เดอะแองเจล’ ราวกับสไลม์
เทพธิดาแห่งจันทราไร้ซึ่งความสง่างามอีกต่อไป ร่างทั้งร่างค่อย ๆ งองุ้ม ขณะที่มือก็กุมหัวของเธอ
เพียงชั่วพริบตาเดียว ร่างของเธอก็ถูกฝังอยู่ในมวลสีดำอีกครั้ง
ดาร์กหลับตาแน่น เขายังคงรักษาสายสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณกับเดอะเลดี้
เพียะ!
มือขวาของเดอะเลดี้สะบัดตบแก้มขาวของเทพธิดาอย่างรุนแรง
เพียะ!
เทพธิดาแห่งจันทราตอบโต้ด้วยความโกรธ
ในโลกวิญญาณ เดอะเลดี้และเทพธิดาแห่งจันทรายังคงต่อสู้กันเอง ตั้งแต่การสบถใส่กันจนถึงการตบตีในปัจจุบัน ทั้งสองฝ่ายต่างเหนื่อยและหอบไม่น้อย
เดอะเลดี้ผู้ซึ่งพบว่าร่างของเทพธิดาเริ่มจะพังทลายแล้ว ก็หัวเราะขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งทันที “เรือนร่างอันสูงส่งของข้า หาใช่สิ่งที่พวกชั้นต่ำเช่นเจ้าจะมาครอบครองได้หรือ?”
เพียะ!
นัยน์ตาของเทพธิดาแห่งจันทราแดงก่ำ “เป็นแค่ปีศาจ…”
เพียะ!
เดอะเลดี้ “ข้าคือเดอะเลดี้ผู้สูงศักดิ์ต่างหากล่ะ!”
เพียะ!
เทพธิดาแห่งจันทรา “ข้าขอท้าให้เจ้าต่อสู้กับข้าตัวต่อตัวในการประลอง!”
เพียะ!
เดอะเลดี้ “ผู้ชายของข้าหนุนหลังอยู่ เจ้ากล้าหรือ?”
เพียะ!
เทพธิดาแห่งจันทรา “บัดซบ! (〃>皿< ) อ๊า ๆๆ!”
เพียะ!
…
ต่างจากสงครามในโลกวิญญาณ เส้นทางลับนั้นตกอยู่ในความเงียบสงบอย่างแปลกประหลาด
หลังจากนั้นไม่นาน พลันมีนางฟ้าตัวน้อยที่มีปีกผีเสื้อบินเข้ามาทางกำแพงจากด้านบน
ศาสตราจารย์ดีดี้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าดาร์กอย่างเงียบงัน เธอลอยอยู่ข้างหน้าเขาเพียงครึ่งเมตร แต่ดาร์กที่หลับตาลงและจมดิ่งลงไปในจิตใจของเขากลับไม่ได้สังเกตเลย
ศาสตราจารย์ดีดี้มองดูเด็กชายที่ยืนนิ่งอย่างประหลาดเป็นเวลานาน จากนั้นจึงกระพือปีกและบินไปยังมวลสารที่เทพธิดาได้เปลี่ยนแปลงไป
เมื่อเห็นมวลสารที่เหมือนกับเนินเขาดิ้นไปมาอยู่ตลอดเวลา ศาสตราจารย์ดีดี้ก็รู้สึกปวดหัวมาก
เธอไม่เข้าใจว่ามันพัฒนามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
เทพธิดาที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้จะสามารถเติมเต็มความปรารถนาที่รอคอยมานานของเธอได้จริงหรือ?
แต่ในเมื่อเรื่องราวมาถึงจุดนี้แล้ว มันก็ไม่อาจหยุดได้อีกต่อไป
เมื่อศาสตราจารย์ดีดี้ยกมือขึ้น นิ้วที่เรียวและซีดของเธอก็ค่อย ๆ ถูกชั้นสีเงินบางปกคลุม
จากนั้นเธอก็กางนิ้วทั้งห้าแล้วกระแทกเข้าใส่ก้อนสสารสีดำ
…
ในโลกวิญญาณ
ใบหน้าของเทพธิดาหยุดนิ่งไปในทันที
เพียะ!
มือของเดอะเลดี้ตบหน้านางอีกครั้ง แต่เทพธิดากลับยืนนิ่งเป็นหุ่นกระบอกในกรง และไม่ตอบสนองแต่อย่างใด
“?”
เมื่อเดอะเลดี้ยังคงสับสน เทพธิดาแห่งจันทราก็กลายเป็นแอ่งโคลนสีดำตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าไปแล้ว
หลังจากสูญเสียการสนับสนุนจากด้านใดด้านหนึ่ง โลกวิญญาณก็พังทลายลงทันที
“อะไรกัน!?”
ดาร์กลืมตาขึ้นทันที นิ้วของเขาหนีบการ์ด [สัตว์อสูรมายา: กวาง] ไว้ ขณะที่ใบหน้าซีดเซียวและอ่อนแรง
ก่อนที่จะทันได้คิดอะไร เขาก็วิ่งออกจากมุมนี้และหันไปมองสถานที่ที่เทพธิดาเคยอยู่
จึงบังเอิญได้เห็นมวลสารสีดำยุบตัวลง ราวกับสูญเสียพลังชีวิตไป และมันก็ไหลลงพื้นดินเหมือนกับโคลน
เมื่อมวลสารสีดำยุบลงจนหมด สิ่งที่ปรากฏในนั้นก็คือมอนสเตอร์โลกดิจิทัลที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ เธอกำลังกอดเข่าและขดตัวเป็นลูกบอล
เดอะเลดี้ลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ขณะที่โลกแห่งความจริงในดวงตาของเธอค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น ร่างที่คุ้นเคยและอบอุ่นก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเธอ
“รุกกี้เดวิมอน?”
“เดอะเลดี้ต่างหาก”
เธอเดินโซเซเข้ามาหาดาร์ก
แล้วกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของเด็กชายผมบลอนด์ทันที
ขนนกสีขาวราวกับหิมะลอยลงมาตามการเคลื่อนไหวของเธอ และมันก็ค่อย ๆ จมลงไปในโคลน
…
บทที่ 108 เดอะแองเจลถือกำเนิดใหม่จากโคลน
บทที่ 108 เดอะแองเจลถือกำเนิดใหม่จากโคลน
เหมือนกับตอนที่เวอร์เธอร์เรียกโทรลล์กลับมาไม่ได้ หลังจากที่มันตกอยู่ในสภาพคลุ้มคลั่ง
หากจอมเวทต้องการเรียกวิญญาณรับใช้หรือสปิริตกลับเข้าการ์ด พวกเขาก็ต้องได้รับการตอบสนองจากพวกมัน
เมื่อวิญญาณรับใช้หรือสปิริตอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถตอบสนองได้ ก็จำต้องเรียกกลับด้วยการบังคับเท่านั้น
หลักการของการบังคับเรียกกลับคืน คือพลังเวทมนตร์ของจอมเวทนั้นต้องสูงกว่าสปิริต!
ดาร์กอัดฉีดพลังเวทมนตร์เข้าไปในการ์ดคัดสรรอย่างสิ้นหวัง แต่กลับไม่สามารถส่งสัญญาณไปหาเดอะเลดี้ได้
เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกไม่ดีแล้ว
โดยทั่วไปแล้ว สถานการณ์แบบนี้มักเป็นจุดเริ่มต้นของความชั่วช้า ปรสิต และแม้กระทั่งการครอบงำร่างกายของเจ้านาย!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แสงจันทร์นั้นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ และค่อย ๆ แคบลงจนถึงจุดหนึ่ง
ดาร์กพลันรู้สึกว่าในที่สุดพิธีกรรมก็มาถึงจุดสิ้นสุด
ทุกอย่างดูเหมือนจะจบแล้ว!
“♪♩♫♬∮!”
เหมือนกับไม่อยากให้ดาร์กได้มีเวลาคิดมากเกินไป จู่ ๆ ท่วงทำนองที่บรรเลงขึ้นจากคำสวดภาวนาของสมาชิกภาคีอาหารทะเลก็ดังขึ้น
มวลสารสีดำนั้นกลิ้งไปมาอย่างรุนแรงราวกับโดนน้ำร้อนเดือด
แสงจันทร์สุดท้ายถูกดูดกลืนเข้าไป
และมวลสารสีดำก็หยุดกลิ้ง
โลกราวกับหยุดหมุนไปชั่วขณะ ประหนึ่งว่ามีเพียงท่วงทำนองเท่านั้นที่ดังมากขึ้น
ด้านนอกปราสาท
ท้องฟ้ายามค่ำคืนกลับมาสดใสอีกครั้ง
แสงจันทร์ไม่ถูกจำกัดอีกต่อไป
ทุกอย่างดูราวกับย้อนกลับไปในช่วงที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทว่าความเป็นจริงคือ มวลสีดำในวิหารเริ่มไหลจากบนลงล่างแล้ว
วัตถุสีดำไหลลงสู่พื้นดินและแผ่ออกไปเหมือนแอ่งน้ำเสีย
ธารลำแสงสีขาวไหลออกมาจากช่องว่าง จากนั้นมันก็เปล่งแสง!
แสงประทีปนั้นดูนุ่มนวลมาก เสมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อแสงนี้ส่องกระทบร่างกายของผู้คน ความรู้สึกเบาสบายก็ยิ่งผุดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ และมันยังทำให้ผู้คนรู้สึกดีด้วย
เทวทูตศักดิ์สิทธิ์ผู้มาพร้อมกับปีกสีขาวดุจหิมะแปดคู่ พลันถือกำเนิดขึ้นใหม่จากแอ่งโคลนสีดำ
“รุกกี้เดวิมอน?” ดาร์กพูดออกมาอย่างไม่แน่ใจ
แต่เดอะแองเจลเพียงแค่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับคลี่ยิ้มเบาบางที่มุมปากของนางขึ้น “ข้าคือเทพธิดาแห่งจันทรา และยังเป็นมารดาแห่งผืนพิภพด้วย”
ดาร์กเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยออกมาสองสามคำ “ไม่ เธอเป็นแค่เดอะแองเจล”
เดอะแองเจลอุทาน “อ้อเหรอ” แต่เทพธิดาแห่งจันทราไม่ได้ดูโกรธเลยสักนิด นางเพียงหัวเราะเบา ๆ “ผิวกายของข้าหาใช่อะไรเลย มันก็แค่เปลือกกลวง ๆ ที่ไร้ความหมาย ที่สำคัญคือรากเหง้าของข้าได้ตื่นขึ้นแล้วต่างหากเล่า”
นางเอื้อมมือออกมาก่อนจะงอนิ้ว แสงจันทร์พลันปรากฏขึ้น แล้วก่อตัวเป็นลูกศรศักดิ์สิทธิ์แห่งดวงจันทร์
นี่คือการสำแดงอำนาจของจันทรา
นางยื่นมือออกมาอีกครั้ง จากนั้นคันธนูศักดิ์สิทธิ์ก็โผล่ออกมาจากกลางอากาศและปรากฏอยู่ในมือซ้ายของนาง
“ผู้ดูหมิ่นเทพเจ้าจะถูกลงโทษ!”
เทพธิดาแห่งจันทราง้างลูกศรศักดิ์สิทธิ์แห่งดวงจันทร์ด้วยท่าทางที่สง่างามยิ่ง นางค่อย ๆ เล็งไปยังดาร์กซึ่งอยู่ที่ทางเข้าของวิหาร
แสงที่ลูกศรปล่อยออกมานั้นรุนแรงหาสิ่งใดเทียบ เมื่อคันธนูถูกง้างออกมาจนสุด มันก็พุ่งตัวออกไปทันที!
ฟิ้ว!
ลูกธนูถูกยิงออกไป
แต่กระดองก็โผล่ขึ้นมาทันที
ดาร์กอัญเชิญ [ชัคคารุ] ออกมาปกป้องหน้าอกของเขา
แต่ชัคคารุที่รับลูกธนูจากเทพธิดาแห่งจันทราแทนดาร์ก กลับมีรอยแตกจำนวนมากบนกระดองของมัน
พลังเวทมนตร์: 900 → 1
[แข็งตัว: สกิลติดตัว สปิริตที่มีสกิลนี้จะไม่ถูกฆ่าตายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว]
ชัคคารุ ผู้รอดจากภัยพิบัติด้วยการพึ่งพาสกิลติดตัวกลับเฉื่อยช้าลง
ดาร์กหยิบมันขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้ววิ่งออกไปซ่อนตัวอยู่นอกประตูวิหาร
ไม่ว่าชัคคารุจะแข็งแกร่งแค่ไหน มันก็เป็นเพียงการ์ดสามดาวที่สามารถอัญเชิญได้ตามปกติ
เมื่อครู่นี้ เทพธิดาแห่งจันทราสามารถเจาะพลังป้องกันของมันได้อย่างง่ายดาย หากให้นางเอาจริงแม้เพียงเล็กน้อยละก็…
“จงออกมา!”
ในช่วงเวลาวิกฤตดาร์กได้ทำลายขีดจำกัดอีกครั้ง และเวลาอัญเชิญของเขาก็ลดลงเหลือเพียงสี่วินาทีเท่านั้น
หลังจากดื่ม [น้ำยาพลังงาน] แล้ว ชัคคารุก็ได้พลังงานกลับคืนมาในที่สุด
โดยปราศจากคำสั่งจากดาร์ก ชัคคารุได้ใช้พลังจิตในการ [แบ่งพลัง] ทันทีเพื่อพยายามทำให้พลังของเทพธิดาอ่อนแอลง
แต่พลังจิตที่ปล่อยออกมาจากชัคคารุนั้นกลับถูกเทพธิดาทำลายอย่างง่ายดาย!
ความล้มเหลวครั้งแรกของสกิล [แบ่งพลัง] ทำให้ดาร์กตระหนักว่า เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก
เมื่อมือสัมผัสกับซองการ์ด ใบหน้าของเขาก็ซีดลงทันที
ชัคคารุสามารถกล่าวได้ว่าเป็นการ์ดที่ทรงพลังที่สุดของเขา ทว่าตอนนี้เขากลับเหลือแค่แบล็คบุยกับ [น้ำยาเงียบสงัด] ให้ใช้เท่านั้น
แต่ผลเอฟเฟกต์ของ [น้ำยาเงียบสงัด] ไม่มีสามารถชี้ขาดผลแพ้ชนะในเวลานี้ได้
ถึงแม้ว่าแบล็คบุยจะมีพลัง แต่มันก็ไม่อาจต่อสู้กับเทพธิดาแห่งจันทราที่สามารถกลืนกินเดอะเลดี้เข้าไปได้
ในตอนนี้เอง เทพธิดาก็ง้างลูกศรศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาอีกดอก
ดาร์กไม่มีเวลาครุ่นคิดมาก เขาแค่ดึงการ์ดออกมาอัญเชิญ [น้ำยาเงียบสงัด] แล้วขว้างไปที่เทพธิดาแห่งจันทราทันที!
ลูกศรพุ่งผ่านขวดยา ทำให้ [น้ำยาเงียบสงัด] ระเบิดตัวออกแล้ว กลายเป็นม่านหมอกบดบังการมองเห็น
ดาร์กออกตัววิ่งไปข้างหน้าทันทีโดยที่ยังอุ้มชัคคารุไว้ และเมื่อคูลดาวน์จบลง เขาก็อัญเชิญ [สัตว์อสูรมายา: อีบุย] และการ์ด [ราคะ III] ออกมาตามลำดับ
เมื่ออีบุยวิวัฒนาการเป็นแบล็คบุยแล้ว มันก็กระโดดเข้าหาดาร์กโดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ ดาร์กจึงเพิ่มการ์ด [อัตตา I] เข้าไปทันที!
ขณะที่ลูกบอลแสงสีทองเข้มทะลุผ่านหน้าผากของแบล็คบุย ความเย่อหยิ่งก็พลันปรากฏในดวงตาที่ไร้เดียงสาของแบล็คบุย
สิ่งนี้ทำให้การเคลื่อนไหวของมันหยุดชะงักไป
‘ได้ผลจริง ๆ สินะ’ ดาร์กคิด
เมื่อครู่นี้เขาลองใช้ [ราคะ III] ไปแล้ว แต่มันไม่ได้เชื่อมต่อกับเทพธิดา
นี่แสดงให้เห็นว่าเทพธิดาไม่ใช่รูปปั้นอีกต่อไป นางสามารถควบคุมพลังของตัวเองได้แล้ว ดังนั้นกลวิธีก่อนหน้านี้จึงล้มเหลวไปโดยปริยาย
เทพธิดาแห่งจันทราง้างลูกศรศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอีกครั้ง
ฟิ้ว!
ลูกศรแสงบินมา
แบล็คบุยที่รู้สึกได้ถึงอันตรายก็ใช้ลูกบอลเงาทันที!
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ลูกบอลเงาจะสัมผัสกับลูกศร มันก็ถูกชำระล้างโดยรัศมีอันศักดิ์สิทธิ์ไปก่อนเสียแล้ว
ปัง!
แบล็คบุยกรีดร้องออกมาอย่างน่าเวทนา พร้อมกับถูกคลื่นพลังกระแทกซัดจนตัวปลิว
ดาร์กที่ใช้โอกาสนี้ซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้องพลันอ้าปากค้าง
‘ระดับต่างกันเกินไป!’
‘นี่ควรจะเป็นตอนที่วีรบุรุษออกโรงไม่ใช่เหรอ?’
‘แล้ววีรบุรุษอยู่ไหน’
ความคิดของดาร์กเริ่มสับสนเล็กน้อยแล้ว
เขายังครุ่นคิดอย่างหนัก
แต่จู่ ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา
‘เดี๋ยวก่อน วีรบุรุษ…’
‘ไม่ใช่ว่าอยู่ในกระเป๋าของฉันหรอกเหรอ?’
…
เทพธิดากระพือปีกและบินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ราวกับกำลังเพลิดเพลินกับความสุขครั้งแรกหลังจากเกิดใหม่
นางพอใจกับเปลือกนอกของ ‘เดอะแองเจล’ มาก
แม้ว่าผิวนอกของ ‘เดอะเลดี้’ จะเข้ากับรสนิยมของนางเช่นกัน แต่มันกลับเหมือนจะมีพลังน่าสะพรึงซ่อนเร้นอยู่ในเปลือกนอกนี้เช่นกัน
หากสามารถดึงศักยภาพนี้ออกมาได้ นางรู้สึกว่าอาจจะสามารถฟื้นความรุ่งโรจน์ในอดีตของนางขึ้นมาได้
อืม อย่างน้อยก็สองสามเปอร์เซ็นต์ล่ะนะ
“เจอแล้ว”
เมื่อเห็นเงาที่ส่องแสงอยู่ข้างหน้า เทพธิดาแห่งจันทราก็ดีใจและง้างลูกศรขึ้นอีกครั้ง
…
ทว่าสิ่งที่ปรากฏต่อหน้านางคือ กวางตัวผู้ที่เปล่งประกาย
…
บทที่ 107 เดอะเลดี้รับคำสั่งดาร์ก
บทที่ 107 เดอะเลดี้รับคำสั่งดาร์ก
แกร็ก!
[ราคะ I] ทำงานหนักเกินไป มันจึงแตกร้าวในทันที
และเดอะเลดี้ซึ่งอยู่ในลูกบอลแสงก็ค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้น
ดวงตาของเธอเป็นสีแดงฉานเหมือนกับเลือด และยังมีประกายแวววาวที่เย้ายวนอยู่ในนั้นด้วย
…
ในฐานะปีศาจผู้ถือกำเนิดจากการรวมกันของพลังแห่งความมืดบริสุทธิ์ เดอะเลดี้จึงมีบุคลิกที่เย่อหยิ่งและโกรธง่าย
ผ้าที่ไหล่ซ้ายมีสัญลักษณ์ประจำตัว และเธอก็สามารถพูดได้ แต่ในตอนนี้เจ้าตัวยังคงยืนนิ่งเงียบอยู่
ผ้าคลุมเบื้องหลังคล้ายปีกสีดำของเธอ แม้จะฉีกขาด แต่มันก็สามารถพาเธอโบยบินไปด้วยความเร็วสูงได้
ส่วนกรงเล็บมือซ้ายของเธอก็มีขนาดใหญ่และอันตราย อีกทั้งมันยังสามารถแปลงเป็นหอกเพื่อแทงศัตรูได้
…
ข้อมูลเกี่ยวกับเดอะเลดี้แวบเข้ามาในความคิดของดาร์กอยู่ชั่วครู่
แม้ว่าความรู้เกี่ยวกับมอนสเตอร์ในโลกดิจิทัลของเขาจะมีจำกัด แต่ ‘เดอะเลดี้’ เป็นมอนสเตอร์ในโลกดิจิทัลที่โด่งดังที่สุดในผลงานต้นฉบับ ดังนั้นมันจึงทำให้เขาประทับใจมากทีเดียว
แต่เดอะเลดี้ที่อยู่ตรงหน้าเขากลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากที่เขาจำได้เล็กน้อย
อืม…เย่อหยิ่งและฉุนเฉียวเกินไป?
ไม่ ไม่!
นั่นเขาเรียกว่า เสน่ห์และความน่าเกรงขามต่างหาก!
…
เมื่อการ์ด [ราคะ I] แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย การถ่ายโอนพลังก็สิ้นสุดลงในฉับพลัน
เดอะเลดี้ขยับแขนขาและร่อนลงมาอย่างแผ่วเบา
ร่างกายของเธอดูเบาบางราวกับขนนก กระทั่งกิริยายังดูสง่างามยิ่ง เอวของเธอเรียวคอด เมื่อเท้าของเธอแตะพื้นมันก็เงียบสนิท
แววตาอันเย้ายวนของเธอค่อย ๆ จางลง แต่ยังคงมีเสน่ห์อยู่มาก
ตอนแรกดาร์กกังวลว่า เดอะเลดี้จะควบคุมไม่ได้เหมือนแบล็คแคทมอน
แต่เห็นได้ชัดว่าความกังวลดังกล่าวไม่สมควรจะคิดเลย
เพราะเดอะเลดี้ควบคุมไม่ได้จริง ๆ =.=!
เหมือนกับแบล็คแคทมอน
หลังจากมึนงงสับสนในตอนแรก เมื่อได้สติเดอะเลดี้ก็ตรวจพบกลิ่นเจ้านายของเธอในทันที
เธอหันมาพร้อมกับรอยยิ้มที่เบ่งบานราวกับหมู่ผกา ดวงตาเต็มไปด้วยภาพเจ้านายที่มองดูก็รู้แล้วว่าใครสำคัญสำหรับเธอ
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังจะวิ่งเข้ามากอด ดาร์กก็รีบยกมือขวาง ทันที แต่เขากลับบังเอิญไปสัมผัสตรงที่ที่ไม่ควรจะแตะเสียอย่างนั้น
เดอะเลดี้พยายามกระแซะร่างของเธอเข้ามาใกล้ดาร์กแทน ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยม่านหมอกหนาทึบจนมองไม่ออกได้
เพียงแค่อยู่ใกล้ขนาดนี้ กลิ่นหอมที่ลอยออกมาจากร่างกายของเธอก็ยังไม่อาจต้านทานได้
ดาร์กรีบดึงมือออก ใบหน้าของเขาแดงก่ำเล็กน้อยด้วยความวิตกกังวล
มอนสเตอร์แห่งโลกดิจิทัลใน ‘ร่างมนุษย์’ กับมอนสเตอร์โลกดิจิทัลใน ‘ร่างสัตว์’ นั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ในตอนที่เผชิญหน้ากับแบล็คแคทมอนและแบล็คบุยนั้น แม้ว่าพวกมันจะเอาตัวมาแนบชิด ดาร์กก็สามารถทำให้จิตใจของเขามั่นคงและหลีกเลี่ยงความคิดชั่วร้ายได้
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นเดอะเลดี้ในตอนนี้แล้วละก็…
เขาดึงการ์ดคัดสรรออกมาอย่างรวดเร็ว และเตรียมที่จะใช้มันเป็นเครื่องช่วยชีวิตในช่วงเวลาวิกฤต
โชคยังดี
ในฐานะมอนสเตอร์ร่างสุดยอดแห่งโลกดิจิทัล เดอะเลดี้จึงสามารถควบคุมพลังงานในร่างกายของเธอได้ดีกว่าแบล็คแคทมอนตัวเต็มวัย
เธอไม่ได้เสียสติไปโดยสมบูรณ์ เพียงเพราะพลังของ [ราคะ]
นี่เพราะแก่นแท้ของมันยังคงเป็น ‘รุกกี้เดวิมอน’
เมื่อเห็นการ์ดคัดสรร เดอะเลดี้ก็หยุดทันที เธอแค่เผยอริมฝีปากสีดอกกุหลาบออกเล็กน้อย ก่อนจะใช้ปลายลิ้นแลบเลียไปที่มุมปาก “นายท่าน…อยากจะทำเรื่องซุกซนกับข้าอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ดาร์กก็มองทะลุไปถึงแก่นแท้ของเธอทันที
ดังนั้นดาร์กจึงสงบสติอารมณ์ได้อีกครั้ง “รุกกี้เดวิมอน เธอยับยั้งมันได้ไหม?”
เดอะเลดี้หรี่ตาครู่หนึ่ง จากก็นั้นลืมตาขึ้นแล้วพูดว่า “ต่างจากตอนที่ข้าวิวัฒนาการเป็นแบล็คแคทมอน มันมีสสารอยู่ในนั้นมากกว่า ข้าเลยสามารถควบคุมมันได้”
“คงจะเป็นแสงจันทร์สินะ” ดาร์กมองขึ้นไปบนเพดาน
แสงจันทร์ที่เจิดจ้าและดูจะไม่แห้งเหือดไปเสียที ยังคงทอแสงและสาดส่องกระจกบนเพดานมากขึ้นเรื่อย ๆ
และหลังจากที่รูปปั้นของเทพธิดาถูกอาบด้วยแสงจันทร์ แม้ว่า [ราคะ] จะถูกดึงออกมาจากรูปปั้นไปมาก แต่ก็ยังไม่มีรอยแตกปรากฏบนร่างกายของเธออยู่ดี
อันที่จริง แสงจันทร์นั้นมีความบริสุทธิ์ และมันไม่ควรเข้ากันได้กับพลังแห่งมหาบาป แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม
พวกมันเข้ากันได้ดีมาก
ดาร์กขยี้ตาทันที ไม่รู้ว่าเพราะเห็นภาพลวงตาหรือไม่ แต่เขารู้สึกว่ารูปปั้นเทพธิดาบนแท่นบูชาดูเหมือนจะหดตัวลงเล็กน้อย?
‘ไม่! มันไม่ใช่ภาพลวงตา มันเล็กลงจริง ๆ แล้วยังหดลงเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย!’ จู่ ๆ ก็มีความคิดแวบเข้ามาในหัวของเขา
ดาร์กประหลาดใจทันที “เป็นไปได้หรือเปล่าว่า สิ่งที่เรียกว่าการฟื้นคืนชีพจะทำให้รูปปั้นมีชีวิตขึ้นมาจริง ๆ?”
หดลงจนมีขนาดตัวเท่ากับมนุษย์ แล้วจึงค่อยฟื้นคืนชีพ!
สิ่งนี้แตกต่างจาก ‘การฟื้นคืนพระชนม์ของเทพธิดา’ ที่ดาร์กจินตนาการไว้มาก และเขาถึงกับพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง
แต่ทันใดนั้น เดอะเลดี้ก็พูดขึ้นว่า “นายท่าน ข้าขอคำสั่งด้วย!”
ดาร์กผงะไปครู่หนึ่งแล้วจึงตระหนักว่า เขาไม่ได้มองรุกกี้เดวิมอนอย่างทะลุปรุโปร่งเสียทีเดียว
ไม่ว่ารูปปั้นเทพธิดานี้จะฟื้นคืนชีพมาอย่างไร มันก็มาถึงจุดที่ทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกันแล้ว เพราะงั้นจึงไม่มีทางอื่นอีกต่อไป
ดาร์กตัดสินใจทันที “ทำลายมันซะ เดอะเลดี้!”
เดอะเลดี้คลี่ยิ้มอย่างมีเสน่ห์ “ในเมื่อเป็นบัญชาของนายท่าน ข้าก็จะปฏิบัติตามด้วยความเคารพ”
เมื่อพูดจบ เธอก็กางเสื้อคลุมที่ขาดรุ่งริ่งออกมา แล้วบินไปเข้าไปหารูปปั้นเทพธิดาเบื้องหน้าทันที
“[คลื่นความมืด]!”
ในขณะที่ยกแขนขึ้น สสารความมืดจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งมีรูปร่างคล้ายกับค้างคาวพลันถูกปลดปล่อยออกมาทันที
ทว่าเหนือรูปปั้นของเทพธิดากลับมีแสงสีขาวสว่างขึ้นในบัดดล มันกวาดล้างสสารความมืดทั้งหมดในคราวเดียว!
สีหน้าของเดอะเลดี้เย็นเยียบลงในฉับพลัน และกรงเล็บแหลมคมที่มือซ้ายของเธอก็เปลี่ยนเป็น ‘หอกแห่งความมืด’ เจาะเข้าไปที่แสงสีขาวนั้นด้วยพลังอันดุดัน ก่อนจะทะลวงตรงไปยังรูปปั้นเทพธิดาทันที!
แกร็ก!
รูปปั้นเทพธิดาไร้ซึ่งหนทางจะสกัดกั้นการโจมตีนี้ เพราะอย่างนั้น หอกแห่งความมืดจึงสามารถสร้างหลุมดำบนร่างกายของเธอได้!
ใบหน้าของรูปปั้นเทพธิดาพลันฉายแววอาฆาตแค้นมากขึ้น
เดอะเลดี้ไล้เลียมุมปากของเธออย่างสาแก่ใจ แววตาเผยความตื่นเต้นแปลก ๆ ออกมา
เธอยกมือซ้ายขึ้นอีกครั้ง คราวนี้หอกแห่งความมืดโจมตีใส่อีกฝ่ายราวกับห่าฝนที่ซัดเข้ากับทุกอย่าง รูปปั้นเทพธิดาไม่สามารถต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย และเพียงชั่วพริบตา ตัวเธอก็เต็มไปด้วยรูมากมาย
เพราะรูเหล่านั้นอยู่ใกล้กันมาก ในที่สุดมันก็พังทลายลงภายใต้การโจมตีครั้งสุดท้าย เกิดเป็นรูขนาดใหญ่ที่เกือบจะแยกรูปปั้นเทพธิดาออกเป็นสองซีกจากตรงกลาง!
ภายใต้รูกลวงขนาดใหญ่ ทำให้มองเห็นเพียงห้วงลึกที่ไม่อาจหยั่งถึงได้ภายในรูปปั้นนั้น
“พวกนอกรีต!” ในที่สุดรูปปั้นเทพธิดาผู้สง่างามก็กรีดร้องออกมา
หากไม่มีตัวกรองพลัง เสียงของเธอก็เหมือนกับการเสียดสีของเศษแก้ว มันแหบแห้งและแหลมคมจนบาดผู้คนได้
“ก็ข้าเป็นปีศาจ!” เดอะเลดี้หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะปล่อย [คลื่นความมืด] ออกมาอีกครั้ง!
ทันใดนั้น สสารความมืดที่คล้ายค้างคาวจำนวนนับไม่ถ้วนก็ควบแน่นออกมา ก่อนจะพุ่งไปยังรูปปั้นเทพธิดาอย่างไม่เกรงกลัว
เปลือกนอกของรูปปั้นเทพธิดาไม่สามารถหยุดการกัดเซาะของค้างคาวได้ และมันถูกกลืนหายไปในทันที
เมื่อค้างคาวทั้งหมดกระจายตัว รูปปั้นเทพธิดาบนแท่นบูชาก็กลายเป็นวัตถุสีดำที่เหลือเพียงรูปร่างคล้ายมนุษย์เท่านั้น!
…
แต่ในช่วงเวลานี้เอง
ทันใดนั้น วัตถุสีดำก็โต้กลับ!
เดอะเลดี้ไม่ทันตั้งตัว ความมืดกระจายไปทั่วร่างของเธอ ก่อตัวเป็นก้อนสีดำขนาดใหญ่ที่ดิ้นไปมาอย่างต่อเนื่อง!
แสงจันทร์ที่เจิดจ้าส่องตรงจากเหนือพื้นผิวกระจก ยังคงส่องวัตถุสีดำภายใต้อิทธิพลของพิธีกรรม
พิธีกรรมดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไป
…
ในขณะทีดาร์กถือการ์ดคัดสรรไว้ด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยว!
บทที่ 106 เสียงระฆังแห่งกาลเวลาดังขึ้น
บทที่ 106 เสียงระฆังแห่งกาลเวลาดังขึ้น
นางถือกำเนิดบนดวงจันทร์ก่อนจะลงมาจุติยังโลก
เพราะอย่างนั้น นางจึงเป็นทั้งเทพธิดาแห่งจันทราและมารดรแห่งผืนพิภพ
ให้กำเนิดสรรพสิ่งและมีความเมตตาต่อแผ่นดินทั้งปวง
นางเป็นเทพธิดาผู้งดงามที่สุด และยังเป็นถึงเจ้าแห่งอนธการ
ความงามของนางเป็นนิรันดร์ ทั้งยังศักดิ์สิทธิ์และสูงส่ง
ความอุดมสมบูรณ์และความรักล้วนแล้วแต่มีนางเป็นผู้ดูแล
…
เคเซอร์ปิดหนังสือและหลับตาลง
การ์ดดอกไม้ที่จารึกความทรงจำถูกวางอยู่มุมขวาบนของโต๊ะ มันปล่อยแสงสีเขียวออกมา ก่อนจะถักทอกลายเป็นดอกกุหลาบสีเขียว
…
บนหอนาฬิกา ใจกลางปราสาทเซนต์แมเรียน
ศาสตราจารย์ดีดี้ แม็กซ์เวลกระพือปีกที่เหมือนกับผีเสื้อ ลอยอยู่ในอากาศ
รอยย่นบนหน้าผากของเธอลึกราวกับถูกมีดแกะสลัก และเวลานี้ ดวงจันทร์สองดวงที่ไม่สมบูรณ์ก็สะท้อนอยู่ในดวงตาของเธอ
“เหลือเวลาอีกสามนาที”
เธอก้มหน้ามองไปรอบ ๆ บริเวณปราสาท
เมื่อเสียงระฆังดังขึ้นในยามเที่ยงคืน ผีทั้งหมดก็จะหายไป
และแพนดอร่าที่กระตุ้นบอสเบฮีมอธตัวสุดท้าย ก็เหลือเวลาเพียงสามนาทีในการฆ่ามัน
…
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้และคนอื่น ๆ ได้มารวมตัวกันที่โถงห้องจัดเลี้ยงชั้นหนึ่งแล้ว พวกเขากำลังรอให้เสียงระฆังเวลาเที่ยงคืนดังขึ้น ขณะที่นักเรียนเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในห้องโถงทีละคน เพื่อรอเวลางานเลี้ยงสวมหน้ากากในครึ่งหลัง
เจ้าหญิงพระองค์โต เอลิซา นั่งอยู่ถัดจากอาจารย์ใหญ่ไป ใบหน้าอันงดงามนั้นปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย ขณะสนทนากับอีกฝ่าย
ศาสตราจารย์ทอมป์สันกับศาสตราจารย์โจนส์กำลังคุยกัน ส่วนศาสตราจารย์ลิลลี่นอนแผ่อยู่บนโต๊ะราวกับปลาเค็มถูกดอง
…
ภายในวิหารลับ
ดาร์กที่กำลังมองเข้าไปในวิหาร พลันถูกรูปปั้นของเทพธิดาดึงดูดอย่างไม่อาจควบคุมได้
เขาเบิกตาโตในบัดดล เมื่อเห็นว่ารูปปั้นเทพธิดามีการเปลี่ยนแปลงไป จากแต่เดิมที่ดวงตาของนางปิดสนิทกลายเป็นดวงตาเปิดกว้าง
สายตาของทั้งสองฝ่ายพลันสบมองกัน
และเวลานั้นเอง
ม่านหมอกที่ปกคลุมดวงตาของนางก็หายไปในทันใด เผยให้เห็นนัยน์ตาที่นุ่มนวลราวกับสายน้ำ แต่เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น ก่อนที่พวกมันจะกลับกลายเป็นชั่วร้ายและดุดัน!
ใบหน้าอันบอบบางราวสลักหยก กลายเป็นน่าสะพรึงกลัวและน่าสยดสยองราวกับผีร้ายในทันที!
ดาร์กรู้สึกหวาดกลัวจับใจ จากนั้นเขาจึงรีบหันเหสายตาหนีไปทันควัน
และเมื่อตั้งตัวได้ เขาก็หันกลับไปมองนางอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ทั้งดวงตาและใบหน้าของเทพธิดาราวกับไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย มันยังคงศักดิ์สิทธิ์และสง่างามเช่นเคย หาใช่เช่นเมื่อครู่นี้!
แต่ถึงอย่างนั้น พิธีกรรมที่เงียบสงัดและสวยงามภายใต้แสงจันทร์ก็ได้สูญเสียอะไรบางอย่างไปแล้ว ไม่ต่างกับเวลาในนาฬิกาทรายที่เริ่มไหลย้อนกลับ…
ดาร์กใช้สายตาจ้องมองผ่านเพดานโปร่งใส จนเห็นท้องฟ้ายามค่ำคืนนอกปราสาท
แม้ว่ามันจะดูเหมือนกับกระจก แต่เมื่อแสงจันทร์ที่ส่องผ่านกระจกนี้ไปยังวิหารที่ซ่อนอยู่ในทางเดินลับของปราสาท
มันกลับหักเหและควบแน่น สะท้อนกับรูปปั้นของเทพธิดา จนปรากฏแสงพิสุทธิ์เป็นประกายใสออกมา
ในบางครั้งที่ดาร์กเงยหน้าขึ้น เขาเหมือนจะมองเห็นมังกรขาวเต้นระบำอยู่บนฟากฟ้า
ขณะเดียวกัน ยังมีสัตว์ประหลาดในตำนานอย่าง ‘เบฮีมอธ’ เจ้าแห่งสัตว์ร้ายอยู่ด้วย!
เหลืออีกแค่สองนาที
ดาร์กเดินออกมาจากหลังกำแพง
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เขาตัดสินใจได้
รุกกี้เดวิมอนกำลังบินอยู่ข้าง ๆ เขา
ระหว่างสองนิ้วของดาร์ก มีการ์ดเวทมนตร์สีชมพูอ่อนปรากฏอยู่
[ราคะ: 92 หน่วย]
มันยังพอมีที่ว่างเหลืออยู่บ้าง
…
หมอกสีชมพูกำลังพัวพันกัน และผูกมัดสมาชิกภาคีอาหารทะเลทั้งสิบหกคนไว้ จนเหมือนกับใยแมงมุม
สามสิบสี่คนที่ถูกจับเป็นเครื่องสังเวยทั้งหมดถูกสะกดด้วยน้ำพรากวิญญาณ
พวกเขาหมดสติไปในเวลาอันสั้น และขณะเดียวกัน พันธะระหว่างวิญญาณกับร่างกายก็คลายออก สสารแห่งความคิดของพวกเขาสามารถลอยออกมาได้ และพวกมันก็จะหลุดออกจากสมองได้ง่ายขึ้น
มนุษย์ที่สัมผัสกับน้ำพรากวิญญาณ สุดท้ายแล้ว พวกเขาจะกลายเป็นโฮสต์อันสมบูรณ์แบบสำหรับปีศาจ
ในยุคสมัยที่ปีศาจยังมีชีวิตอยู่ น้ำพรากวิญญาณเป็นยาที่ปีศาจใช้กันมากที่สุดสำหรับการทดลองทางชีววิทยา
ทว่าเมื่อเริ่มต้นยุคใหม่ ยาชนิดนี้ก็ถูกจัดเป็นของต้องห้ามอย่างสมบูรณ์
…
น่าแปลกที่มีแค่ดาร์กเท่านั้นที่ยังคงเคลื่อนไหวได้ในบริเวณนี้
เขาเดินเข้าไปในวิหาร และขยับฝีเท้าเข้าไปใกล้รูปปั้นเทพธิดา
ในอากาศ เขาสามารถเห็นลูกบอลเจ็ดลูกที่เกิดจากของเหลวสั่นไหวอย่างรุนแรงได้
ยิ่งเข้าใกล้ เขาก็ยิ่งมองเห็นความทรงจำต่าง ๆ ในลูกบอลของเหลวใสได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
นี่คือความทรงจำทั้งหมดของคู่รักทั้งเจ็ด ตั้งแต่ตอนที่พวกเขายังเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน เมื่อพวกเขากลายเป็นเพื่อนกัน และเมื่อพวกเขาตกหลุมรักกัน
หากใครได้พบรักแท้ในชีวิต ความทรงจำของความรักนั้นจะมีค่ามาก ดังนั้นพวกมันทั้งหมดจึงเป็นสมบัติหายาก
ดาร์กอยากจะลองสัมผัสพวกมัน แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ลงมือทำเช่นนั้น
“มันจะอยู่ได้นานแค่ไหน? มันควรจะจบลงเร็ว ๆ นี้ใช่ไหม?”
เขาเหลือบมองท้องฟ้ายามค่ำคืนเหนือกระจก
พระจันทร์คืนนี้สวยมากจริง ๆ
…
เหลือเวลาอีกแค่หนึ่งนาที
…
“ฟ่อ!”
ในบรรดาเครื่องสังเวยทั้งสามสิบสี่คน จู่ ๆ ก็มีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ
นั่นทำให้ดาร์กรู้สึกประหลาดใจ หญิงสาวผมสั้นสีอีกา และสวมชุดเคานต์แวมไพร์ลุกขึ้นยืนราวกับหุ่นเชิด ภายใต้การควบคุมของหมอกสีชมพู
ดวงตาของหญิงสาวยังคงชัดเจนราวกับมีสติอยู่ แต่ดาร์กก็ยังมองออกว่าแววตาของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
คนคนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำพรากวิญญาณเหมือนกับคนอื่น ๆ และอาจเป็นไปได้ว่า เธอจงใจทำอย่างนั้นเพื่อรอคอยโอกาสที่จะกระทำบางสิ่ง
ทว่าการ์ดเวทมนตร์ที่เธอมองว่าเป็นสมบัติ กลับทรยศต่อเธอในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด
หมอกสีชมพูที่ปล่อยออกมาจากการ์ดเวทมนตร์นั้น ผูกติดอยู่กับร่างกายของเธอราวกับใยแมงมุม และเวลานี้ ร่างกายของเธอก็ถูกควบคุมให้พุ่งเข้าหาชายที่ปรากฏตัวในวิหาร ผู้สวมหน้ากากอีกาสีดำและชุดเจ้าชายรัตติกาล!
“โฮก!” เธอต้องการจะเปล่งถ้อยคำ ทว่าสิ่งที่ออกมาจากลำคอกลับกลายเป็นเสียงคำรามของสัตว์ร้ายเสียอย่างนั้น
แน่นอน เธอรู้ว่าคนที่เธอกำลังลงมือโจมตีอยู่ในตอนนี้คือ คนที่น่าจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่สามารถช่วยชีวิตของเธอได้ ทว่าเธอในตอนนี้กลับทำได้เพียงเฝ้าดูตัวเองฉีกทึ้งชายคนนั้น…
“อ๊า!” แวมไพร์สาวร้องลั่น
เจ้าชายรัตติกาลทำลายจินตนาการของเธอด้วยหมัดหนักอย่างไร้ความปรานี
จากนั้นเขาก็แทงเข่าจากด้านล่าง!
ปัง!
ท้ายที่สุดแล้ว ดาร์กก็คือผู้ที่ได้รับการฝึกฝนจากวัลคีรี (ถึงจะน้อยมากก็เถอะ) แม้ว่าดาร์กจะไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงซึ่งไร้กำลังจะเข้าถึงตัวเขาได้ง่าย ๆ
เขาไม่จำเป็นต้องอัญเชิญสปิริตออกมาจัดการกับเด็กสาวผู้น่าสงสาร ที่ถูกควบคุมโดยหมอกสีชมพูด้วยซ้ำ
แววตาของดาร์กเริ่มจริงจังมากยิ่งขึ้น
“ต้องใช้วิธีนี้จนได้ ดูเหมือนว่าจะใกล้ถึงเวลาแล้วสินะ”
…
จากนั้นดาร์กก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาเห็นสัตว์ร้ายขนาดยักษ์ที่มีเขาโค้งสองเขาอยู่บนหัวของมัน บินผ่านกระจกด้านบนไป
อีกทั้งยังมีเจ้าสาวในชุดสีขาวบริสุทธิ์ กำลังขี่มังกรขาวล้อแสงจันทร์อยู่ในเวลานี้ด้วย
เหง่งหง่าง!
และแล้วเสียงระฆังก็ดังขึ้นในเวลาเที่ยงคืน
…
ชั่วพริบตาเดียว
แสงจันทร์เหนือปราสาทก็เลือนหายไปจากบริเวณกว้าง เหลือเพียงไม่กี่ที่เท่านั้นที่ยังคงมีแสงจันทร์สาดส่องอยู่
ขณะเดียวกัน พื้นที่ที่สูญเสียแสงจันทร์ไปก็ถูกกลืนหายเข้าไปในยามค่ำคืน
มีเพียงปราสาทเซนต์แมเรียนเท่านั้นที่ยังสะท้อนแสงสีขาวของมันราวกับโคมไฟขนาดยักษ์
นักเรียนรู้สึกได้ถึงแสงจันทร์ที่ควบแน่นกัน และคิดว่ามันเป็นเซอร์ไพรส์ในวันฮัลโลวีน
แสงจันทร์ที่สาดเข้ามานั้น สะท้อนและส่องผ่านไปที่รูปปั้นของเทพธิดาโดยตรง
ในเวลานี้ ดาร์กพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างในร่างกายของเขาที่ผิดปกติไป!
อารมณ์ของเขาเริ่มผันผวนและควบคุมไม่ได้
เหมือนกับคราวนั้น…เหมือนกับในคาบเรียนดาราศาสตร์ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาได้ดูพระจันทร์เต็มดวงใกล้ ๆ!
ทว่ามันรุนแรงกว่านั้นมาก!
ระหว่างนิ้วสองนิ้วของเขา การ์ด [ราคะ I] พลันสั่นเทาอย่างบ้าคลั่ง
[ราคะ III] ในซองการ์ดก็ราวกับอยากจะกระโดดออกมายิ่งกว่า!
ทันใดนั้น ดวงตาของรูปปั้นเทพธิดาก็หันมาหาเขา ใบหน้าของนางเริ่มดูน่าเกลียดและบิดเบี้ยวอีกครั้ง
แต่นี่กลับดูเหมือนนางโมโหเสียอย่างนั้น
…
เส้นเลือดสีน้ำเงินพลันปรากฏบนหน้าผากของดาร์ก ความโกรธของเขากำลังควบคุมไม่อยู่
ดาร์กเปิดใช้งาน [ราคะ I] ทันที โดยใช้เป็นสื่อกลางในการสื่อสารกับ [ราคะ] ของรูปปั้น
ตามที่คาดไว้ [ราคะ] ถูกถ่ายเทลงมาราวกับน้ำตก
ดาร์กจ้องมองสีหน้ารูปปั้นเทพธิดาอย่างใกล้ชิด และเขาก็สังเกตเห็นว่า สีหน้าของรูปปั้นเทพธิดากระตุกเล็กน้อย
“จงออกมา!”
ในขณะนี้ ดาร์กกำลังต่อต้านกระแสย้อนกลับของเอฟเฟกต์ [ราคะ] อย่างเอาเป็นเอาตาย เขาเปิดใช้งาน [ราคะ I] ด้วยคาถาอัญเชิญปกติ และพยายามส่ง [ราคะ] ที่ไหลออกมาไปยังรุกกี้เดวิมอน!
ต้องทราบว่า ตอนที่ดาร์กเผชิญกับเหตุการณ์นี้ครั้งแรก เขาตื่นตระหนกเกินไปจนตัดสินใจผิดพลาด และได้ทำลายการ์ดเวทมนตร์ทิ้งไป
แต่คราวนี้เขาพร้อมแล้ว
เขาต้องการใช้สถานการณ์นี้ให้เกิดประโยชน์
ท้ายที่สุดแล้ว รูปปั้นก็เป็นเพียงรูปปั้นเท่านั้น
[ราคะ] ไหลออกจากร่างของเขา ผ่านการ์ด [ราคะ I] ที่เป็นสื่อกลาง ก่อนจะเข้าสู่ร่างของรุกกี้เดวิมอนอย่างต่อเนื่อง!
ในขณะเดียวกัน เทพธิดาที่อาบแสงจันทร์อันแรงกล้าก็ดูดซับแก่นแท้ของแสงจันทร์อย่างบ้าคลั่งเช่นกัน
จากนั้นนางก็เปิดปากอ้าออกอย่างรวดเร็ว
ลูกบอลของเหลวที่ผลิตโดยคู่รักทั้งเจ็ดนั้น ถูกนางดูดเข้าไปทันที
คืนอันศักดิ์สิทธิ์ การบูชายัญ การสังเวย
พิธีกรรมยังคงดำเนินต่อไป
พลังแห่งความปรารถนา พลังแห่งราคะ พลังแห่งแสงจันทร์
นอกจากนี้ ยังมีแหล่งพลังงานบางอย่างที่หลงเหลืออยู่ในรูปปั้นด้วย
พลังจำนวนมากเหล่านี้ยังคงหลอมรวมกัน และสะสมอยู่ในร่างกายของเทพธิดาต่อไป
มันเป็นมุมหนึ่งของม่านหมอกที่ถูกกลบฝังอยู่ในธุลีแห่งประวัติศาสตร์มาช้านาน
ผู้ปกครองในกาลก่อนค่อย ๆ ตื่นขึ้นมาทีละน้อยจากการหลับใหลชั่วนิรันดร์
ปราสาทเซนต์แมเรียนทั้งหมดพลันสั่นสะเทือน
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ซึ่งกำลังรออยู่ในห้องจัดเลี้ยง ถึงกับตบโต๊ะและลุกขึ้นยืนทันที
แอนนาและแองจี้ซึ่งยังคงวิ่งไปมาอยู่ที่ทางเดินของปราสาท ทันใดนั้นก็ถูกล้อมรอบด้วยแสงที่ปล่อยออกมาจากสปิริตตัวเล็ก ๆ รอบตัวพวกเธอ ก่อนจะถูกบังคับให้มาอยู่ข้างอาจารย์ใหญ่อาร์เต้
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ ศาสตราจารย์ทอมป์สัน ศาสตราจารย์โจนส์…
อาจารย์ของสถาบันเซนต์แมเรียนเกือบทั้งหมดแสดงท่าทีเคร่งเครียดในบัดดล
มีเพียงศาสตราจารย์ลิลลี่ที่เงยหน้ามองดูเท่านั้น จากนั้นเธอก็เม้มริมฝีปาก แล้วนอนลงไปอีกครั้ง
…
ช่วงเวลาเดียวกันกับที่แพนดอร่าฆ่าบอสเบฮีมอธตัวสุดท้ายได้สำเร็จ เธอก้มมองลงมาที่ปราสาท
มังกรขาวกำลังสื่อสารกับเธอ ในฉับพลัน มันก็ปล่อยเสียงคำรนกู่ก้องสะท้านฟ้าออกมา
…
ศาสตราจารย์เคเซอร์วางหนังสือลง ก่อนจะหยัดยืนขึ้น แล้วเดินออกจากห้องทำงานไป
…
ภายในวิหารลับ
ดาร์กถือการ์ด [ราคะ I] ไว้สูงเหนือหัว คอยชี้นำพลังของเทพธิดาไปยังรุกกี้เดวิมอนอย่างต่อเนื่อง
ภายใต้การถ่ายเทพลังมหาศาล หน้าผากของรุกกี้เดวิมอนพลันเริ่มสว่างไสวขึ้น ขณะที่สัญลักษณ์มหาบาปก็ยิ่งชัดเจนและสว่างขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา
พลังยังคงถูกดูดซับอย่างบ้าคลั่ง ผ่านการเปลี่ยนแปลงของสัญลักษณ์มหาบาป
ด้วยสัญลักษณ์ที่เป็นแกนกลาง ลำตัวทั้งหมดของมันจึงเริ่มเรืองแสง จนกระทั่งในที่สุดก็กลายเป็นลูกบอลแสงขนาดใหญ่
โครงสร้างชีวิตของมันก็ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!
ปีศาจน้อยในรูปร่างค้างคาวค่อย ๆ กลายร่างเป็นแมวดำที่กอดเข่าและขดตัวเป็นลูกบอลเหมือนกับเด็กทารก
แววตาของดาร์กพลันปรากฏความตื่นเต้นฉายชัดออกมา
จุดประสงค์เดิมของเขาคือ การดูดซับพลังงานของรูปปั้นในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด เพื่อที่รูปปั้นจะได้ถูกขัดขวางระหว่างทำพิธีกรรม
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าสถานการณ์กำลังพัฒนาไปในทิศทางที่เขาคาดเดาไม่ได้เสียแล้ว
มันจะออกมาดีหรือไม่ดีกันนะ?
มันจะไม่ดีใช่หรือเปล่า?
เขาไม่รู้อะไรทั้งนั้น
แต่วิวัฒนาการของรุกกี้เดวิมอนไม่ได้หยุดแค่นั้น!
ในลูกบอลแสงเรืองแสงขนาดใหญ่ แมวดำขดตัวเป็นลูกบอล ก่อนจะเริ่มเหยียดแขนขาออกมาภายใต้การถ่ายเทพลังงานอย่างต่อเนื่อง และทั้งตัวของมันก็กลายเป็นปีศาจเพศหญิง
นี่คือ…นางฟ้าตกสวรรค์ผู้สูงศักดิ์และทรงพลัง
อวตารแห่งความงาม มอนสเตอร์แห่งโลกดิจิทัลซึ่งเป็นร่างสุดยอดที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง
เดอะเลดี้!
บทที่ 105 เทพธิดาแห่งจันทราลืมตาขึ้น
บทที่ 105 เทพธิดาแห่งจันทราลืมตาขึ้น
มี ‘คู่รัก’ ทั้งหมดสิบเจ็ดคู่
ภาคีไม่ได้แยกพวกเขาออกจากกัน แต่เคลื่อนย้ายพวกเขาทั้งหมดเข้าไปในวงแหวนเวทมนตร์แห่งการสังเวยหน้ารูปปั้นเทพธิดา
ภายใต้ผลของน้ำพรากวิญญาณ ทั้งสามสิบสี่คนเหล่านี้จึงหมดสติไปเป็นที่เรียบร้อย
สมาชิกของภาคีเพียงใช้สปิริตในการต่อต้านขัดขืนเท่านั้น หลังจากนั้นพวกเขาก็เรียกสปิริตกลับไป และเริ่มเคลื่อนย้ายคนเหล่านั้นด้วยตัวเอง
เพราะมีสมาชิกในภาคีอยู่สิบหกคน ดังนั้นจึงเคลื่อนย้ายพวกเขาทั้งหมดได้ค่อนข้างรวดเร็ว
ในที่สุดพวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลังจากที่ทุกคู่ถูกย้ายเข้าไปในวงแหวนเวทมนตร์
คุณปลาดาวก็กล่าวขึ้นด้วยความพอใจว่า “ทุกอย่างพร้อมแล้ว สิ่งที่เราต้องทำในตอนนี้คือ รอให้ระฆังดังขึ้น”
จากนั้นสมาชิกของภาคีก็คุกเข่าลงต่อหน้ารูปปั้นเทพธิดา และเริ่มสวดภาวนาอย่างเงียบ ๆ
…
ด้านนอกวิหาร
ดาร์กชะโงกหัวมองสถานการณ์อย่างระมัดระวัง
สมาชิกของภาคีทั้งสิบหกคนกำลังหันหน้าเข้าหารูปปั้น และสวดภาวนาอย่างจริงจัง
เมื่อมองจากภายนอก ดาร์กก็มองเห็นแต่แผ่นหลังของพวกเขาเท่านั้น
‘บางทีนี่อาจเป็นโอกาส?’
‘ถ้าใช้ [ชีพจรมืด] ฉันอาจจะจัดการพวกเขาจนหมดในทันทีเลยก็ได้’
ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในจิตใจของดาร์ก
แต่สุดท้ายเขาก็ปฏิเสธความคิดนี้
การ์ดเมจิกหมวด [ราคะ] จะทำให้พลังของรูปปั้นเทพธิดาเปลี่ยนไป ดังนั้นการใช้มันที่นี่จึงไม่ต่างจากการทำลายตัวเอง
และหากเขาลงมือพลาดไปแม้แต่นิดเดียว คนเหล่านั้นก็จะรู้ตัวทันทีแน่นอน อีกอย่าง ตอนนี้เขาเป็นเพียงนักเรียนชั้นปีหนึ่งที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย คิดจะสู้กับคนพวกนั้นแน่นอนว่าเปอร์เซ็นต์แพ้ย่อมมีมากกว่าชนะ
คนที่อันตรายที่สุดน่าจะเป็นปลาดาว ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของภาคี
…
อันที่จริง ในสถานการณ์เช่นนี้ ทางออกที่ดีที่สุดคือแจ้งให้อาจารย์ทราบ
เนื่องจากศาสตราจารย์เคเซอร์ไม่เต็มใจที่จะลงมือเองโดยไม่ทราบสาเหตุ ดังนั้นดาร์กจึงควรไปหาศาสตราจารย์คนอื่น!
แต่เขาไม่มีเวลาพอที่จะทำอย่างนั้น
ดูเหมือนว่าภาคีกำลังคิดจะทำอะไรบางอย่างในไม่ช้า ถ้าไปหาอาจารย์ตอนนี้ เมื่อเขากลับมา มันก็คงจะสายเกินไปแล้ว
แต่พวกเขากำลังพยายามจะทำอะไรอยู่?
ฟื้นคืนพระชนม์เทพธิดาหรือ?
ถ้าเคร่งศาสนานัก ทำไมไม่ไปอยู่สถาบันโฮลี มิสเทอรีล่ะ?
คิดว่าเทพธิดาสามารถฟื้นคืนได้ง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ?
ดาร์กไม่อาจเข้าใจได้
รูปแบบพฤติกรรมของสมาชิกของลัทธินี้แปลกเกินไป
‘ตอนนี้เป็นเวลาประมาณห้าทุ่มห้าสิบนาทีแล้ว พวกเขากำลังรอเวลาเที่ยงคืน ช่วงเวลาสุดท้ายของคืนอันศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า?’
‘ฉันควรทำยังไงดี?’
‘ฉันจะทำอะไรได้บ้าง?’
ดาร์กก้มหน้าเอนหลังพิงกำแพงและครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว
‘ในหนังสือบอกว่ายังไงนะ?’
‘ในกรณีแบบนี้…’
‘เราต้องวัดจุดแข็งของเราก่อน’
‘คิดว่าตัวเรามีอะไรบ้าง?’
‘แล้วเราทำอะไรได้บ้าง?’
‘ก่อนจะทำอะไร จงคิดหาทางออกก่อนเสมอ’
ดาร์กได้ไอเดียบางอย่างมาอย่างช้า ๆ
ร่องรอยของความตื่นตระหนกในดวงตาพลันหายไป และเขาก็กลับมาสงบลงอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ ดาร์กไม่รู้ว่าสภาพจิตใจของเขาดีขึ้นถึงจุดนี้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้ ตัวเขาก็ไม่ใช่คนที่สามารถคิดอย่างสงบในสถานการณ์อันตรายได้
ทว่ามาตอนนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถคิดโดยไม่ใช้อารมณ์นำได้แล้ว
ความกลัวจะไม่ช่วยเขาในทางใดทางหนึ่ง
ส่วนความโกรธจะมีผลตรงกันข้ามเท่านั้น
เขาเป็นเหมือนเด็กที่จู่ ๆ ก็บุกเข้าไปในฉากฆ่าฟัน และเตรียมที่จะฉกมีดแล่เนื้อจากมือของผู้ใหญ่
…
เวลาผ่านไปทีละนิด
สมาชิกของภาคีเปลี่ยนจากการสวดภาวนาเงียบ ๆ ในตอนแรก ไปเป็นค่อย ๆ สวดภาวนาออกมาเสียงดัง
สิ่งที่ออกมาจากปากของพวกเขาคือ คำกล่าวและคำภาวนาที่ฟังไม่ได้ศัพท์
ทว่ามันชัดเจนและรวดเร็ว ศักดิ์สิทธิ์และสวยงาม
คำสวดภาวนาของทุกคนดูเหมือนจะแตกต่างกัน
แต่ให้ผลเหมือนกับเครื่องดนตรีทุกชนิดในวงซิมโฟนี
แต่ละกลุ่มมีจังหวะของตัวเอง พอรวมกันออกมาก็เป็นท่วงทำนองที่สุดยอด
คำสวดภาวนาของสมาชิกในภาคี กลายเป็นเพลงสวดสรรเสริญอันศักดิ์สิทธิ์
สัญลักษณ์คาถาวงแล้ววงเล่ากลายสภาพเป็นของแข็ง กระโดดโหยงเหยงไปรอบ ๆ รูปปั้นเทพธิดา
มันเป็นคาถาสีขาว สีดำ และสีทอง สลับกับสีชมพูที่มีเสน่ห์
หมอกอันเลือนรางค่อย ๆ ลอยขึ้น
มันเป็นหมอกสีชมพูอ่อนที่ไหลออกมาจากรูปปั้นเทพธิดา
และค่อย ๆ ลามไปสะสมที่ใต้สุดของวิหาร
…
ดาร์กเอนตัวกลับมาพิงกำแพงอีกครั้ง ก่อนจะกลั้นหายใจไว้
จากมุมมองของเขานั้น สามารถมองเห็นหมอกจำนวนมากค่อย ๆ คืบคลานไปบนร่างของสมาชิกของภาคีที่ก้มหัวลงต่อหน้ารูปปั้นเทพธิดา
สายหมอกเริงระบำราวกับอสรพิษที่พยายามเจาะทะลุผ่านหู จมูก ปาก และแม้กระทั่งทุกรูในร่างกายของพวกเขา
แล้วก็ออกมาอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าพวกเขาได้รับการล้างบาปจากเทพธิดา แต่ก็เหมือนกับว่าพวกเขากำลังถูกล้างสมองโดยรูปปั้นเทพธิดาด้วยเช่นกัน
ดาร์กขมวดคิ้ว
เขาสังเกตเห็นว่าหมอกได้ลามไปหาคู่รักทั้งสามสิบสี่คนแล้ว
ราวกับระแวดระวัง มันแยกละอองหมอกออกเป็นสายเล็ก ๆ แล้วค่อยเข้าทางหูซ้าย ทะลุออกมาทางหูขวาของคู่รักเหล่านั้น เชื่อมโยงใยถึงกันทุกคู่
บางคนมีปฏิกิริยาตอบสนอง
แต่บางคนก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ
หมอกไม่สนใจคนที่ไม่ตอบสนอง มันห้อมล้อมแค่ผู้ที่มีปฏิกิริยาเท่านั้น
ในท้ายที่สุด ผู้คนทั้งหมดสิบสี่คน เจ็ดคู่ ก็ถูกหมอกล้อมรอบ
เมื่อความเข้มของหมอกเพิ่มขึ้น ก็มีร่องรอยของของเหลวใสซึ่งถูกหมอกที่เกาะระหว่างหูนำออกมา ของเหลวใสนี้ในไม่ช้าก็กลายเป็นฟองอยู่ข้างหูของคู่รักเหล่านั้น
สิ่งนี้ทำให้นึกถึงฉากที่เฒ่าจอห์นใช้ตะขอแห่งโชคชะตา ดึงความคิดฟุ้งซ่านออกจากจิตใจของดาร์ก ที่ร้านขายของเก่าบนถนนนักเดินทาง
สารเหลวที่หมอกดูดออกมาตอนนี้ดูจะคล้ายคลึงกันเลย?
เนื่องจากความเข้าใจของเขามีจำกัด ดาร์กจึงทำได้เพียงคาดเดาเท่านั้น
เมื่อสารเหลวถูกดึงออกมากขึ้นเรื่อย ๆ สารเหลวที่เป็นของคู่รักแต่ละคู่ก็พลันดึงดูดกันและกัน
พวกมันเป็นเหมือนฟองสบู่ในน้ำ ลอยขึ้นเหนือหัวทีละเล็กทีละน้อย หลอมรวมกันเป็นฟองขนาดใหญ่
พื้นผิวของฟองสบู่กลายเป็นหลุมเป็นบ่อ ราวกับเป็นภาพนูนบนผนัง
…
ในวิหารเล็ก ๆ แห่งนี้ที่เงียบสงัดมาหลายปี
มีคบไฟสองแถวที่ลุกโชนอยู่บนผนังพร้อมกับเปลวเพลิงที่ริบหรี่
รูปปั้นอันศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์เริ่มมีรัศมีที่นุ่มนวลมากยิ่งขึ้น
หมอกสีชมพูค่อย ๆ กระจายออกไปทั่วบริเวณ
สาวกทั้งสิบหกคนที่สวมชุดอาหารทะเลต่างสวดภาวนากันอย่างเคร่งขรึม
ท่วงทำนองอันไพเราะดังก้องกังวานไปทั่วทั้งวิหาร
ฟองอากาศใสขนาดใหญ่เจ็ดฟอง กลิ้งไปมาในอากาศเหนือหัวของผู้คนที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องสังเวย
ในทิศทางที่มองไม่เห็นจากมุมมองของดาร์ก สีหน้าแห่งความสุขเริ่มปรากฏบนใบหน้าของคู่รักทั้งเจ็ด
…
ทันใดนั้น
ในวงแหวนเวทมนตร์ที่ซับซ้อน ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่รูปปั้นเทพธิดา เทียนสีแดงหลายสิบเล่มพลันจุดขึ้นโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
เปลวเพลิงไล่จากบางไปหนา
น้ำมันจากเทียนหยดลงบนตัวเทียน
บนเพดานวิหาร แสงเทียนสะท้อนมันราวกับกระจก
วงกลมของเปลวไฟริบหรี่อยู่ในนั้น
ทันใดนั้น ประกายแสงดุจดวงประทีปพลันส่องสกาว ราวกับระลอกคลื่นบนพื้นผิวของทะเลสาบ
เพดานทั้งหมดล้วนสะท้อนเป็นแสงสีเงินชั้น ๆ
และแล้ว…
เพดานก็หายไป
มันถูกแทนที่ด้วยท้องฟ้ายามค่ำคืนที่สดใส และมีดวงจันทร์ที่สว่างไสวคอยเฝ้าดูทุกอย่าง
ช่วงเวลาที่แสงจันทร์ส่องลอดเข้ามาในวิหาร…รูปปั้นของเทพธิดาพลันลืมตาขึ้น!
บทที่ 104 ดาร์ก เดม่อนแอบดูภาคี
บทที่ 104 ดาร์ก เดม่อนแอบดูภาคี
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดาร์กก็ส่งสัญญาณผ่านสายตาไปให้รุกกี้เดวิมอน ทั้งสองไปหยุดอยู่ข้างหน้าทางเข้าห้องลับ ก่อนที่ดาร์กจะใส่พลังเวทมนตร์เข้าไป
ขณะที่กำแพงกระเพื่อมเป็นระลอกน้ำ รุกกี้เดวิมอนก็จุ่มหัวเข้าไปส่องลาดเลาก่อน
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที มันก็โผล่หัวออกมาจากผนังอีกครั้ง “ปลอดภัย!”
ดาร์กเข้าไปทันที
คบไฟทั้งสองข้างของทางลับถูกจุดแล้ว อันที่จริง แค่สิ่งนี้สว่างขึ้นมาก็เรียกได้ว่าตำแหน่งของเขาถูกเปิดเผยแล้ว
แต่ตอนนี้ดาร์กยังไม่มีวิธีแก้ปัญหานี้
เขาเหลือบมองพื้น ก่อนจะพบว่ามันยังมีร่องรอยน้ำในทางลับ เห็นได้ชัดว่ามีคนเพิ่งเข้ามาที่นี่เมื่อไม่นานมานี้
เมื่อเดินไปตามรอยน้ำหยด ดาร์กก็พบว่ารอยน้ำหายไปอย่างกะทันหันตรงที่ทางแยก
แต่เพียงแค่มาถึงตรงนี้ ดาร์กก็เกือบจะแน่ใจแล้วว่าปลายทางของอีกฝ่ายจะต้องเป็นวิหารอย่างแน่นอน!
เด็กชายรุดหน้าไปยังที่ที่เขากับเวอร์เธอร์เคยต่อสู้กันอย่างรวดเร็ว และเมื่อเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง ดาร์กก็พบกับทางที่นำไปสู่วิหารเทพธิดา ซึ่งยามนี้เปล่งแสงสว่างไสวจนเห็นได้ชัด
มีค้างคาวสองสามตัวบินออกมาจากความมืดและตรงไปตามเปลวไฟ บินเข้าไปในวิหารซึ่งตอนนี้มีสุ้มเสียงแผ่วเบาดังให้ได้ยินเป็นระยะ
“ดูเหมือนว่าจะมีการชุมนุมบางอย่าง?” ดาร์กสังเกตเห็นสถานการณ์ที่ผิดแปลกไปทันทีและเขาเลือกที่จะอ้อมไป
ในไม่กี่นาทีต่อมา เขาก็เข้าใกล้กับวิหาร
เพราะไม่แน่ใจว่ามีใครซ่อนตัวอยู่ข้างนอกหรือไม่ ดาร์กจึงไม่กล้าเข้าไปใกล้มากเกินไป เขาหยุดอยู่ที่มุมหนึ่งซึ่งห่างจากวิหารมากกว่าสิบเมตรและเฝ้าดูอยู่ไกล ๆ
หัวสีบลอนด์โผล่ออกมาจากมุมเล็กน้อย และสายตาของเขาก็มองเห็นผู้คนในวิหารแล้ว
“นี่คือภาคีอาหารทะเลเหรอ?” ดาร์กสงสัยเมื่อรู้ว่าเวอร์เธอร์อาจถูกพามาที่นี่โดยคนในลัทธินี้
แม้ว่าเขาจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับลัทธิดังกล่าว แต่มันก็ง่ายที่จะจินตนาการว่าคนในลัทธินี้กำลังทำอะไรอยู่
“บูชา สังเวย หรืออะไรแนว ๆ นี้ล่ะมั้ง?”
…
“โฮก!”
ทันใดนั้น เสียงคำรามของสัตว์ร้ายพลันสะท้านกึกก้องไปทั่วทั้งปราสาททันที ทิศทางของเสียงดังออกมาจากด้านบนของชั้นปราสาท
ดาร์กไม่ทันได้ระวัง เขารีบปิดหูแล้วเดินก้าวถอยหลังออกมา
ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน พลันมีเสียงคำรามของมังกรดังทะลุทะลวงไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืนเช่นกัน เหตุการณ์นี้ทำให้นักเรียนที่อยู่ในปราสาททุกคนต่างตกใจไม่น้อย
ดาร์กไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น แม้กระทั่งบางคนในวิหารก็ตกใจกลัวเช่นกัน มีบ้างที่ถึงกับรีบออกมาอย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาก็กลับเข้าไปในไม่ช้า
แต่แล้วเสียงคำรามราวกับถูกตัดขาดไปในทันใด และสภาพแวดล้อมก็กลับมาเงียบสงบลงอีกครั้ง
ดาร์กเอนตัวพิงกำแพงกลั้นลมหายใจ ก่อนจิตใจจะสงบลงในที่สุด
จากนั้นเขาก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า นอกวิหารไม่มีที่ไหนที่เขาจะซ่อนตัวได้เลย
สำหรับเสียงคำรามของสัตว์ร้ายจากข้างบน ค่อนข้างเป็นไปได้ว่าบอสบนชั้นเก้าของปราสาทจะถูกอัญเชิญโดยใครบางคนเสียแล้ว
ทุก ๆ วันฮัลโลวีน มักมีอีเวนต์นี้เสมอ
ซึ่งก็ไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไหร่
…
ดาร์กส่งรุกกี้เดวิมอนไปสำรวจเส้นทาง และหลังจากยืนยันได้ว่าไม่มีใครซ่อนตัวอยู่ข้างนอก เขาก็เอนตัวพิงกำแพง ก่อนจะลอบมองไปที่ประตูวิหารอย่างระมัดระวัง
ณ ตรงจุดนี้ เสียงที่ดังออกมาจากข้างในชัดเจนมาก
แม้ว่าระยะมองเห็นจะค่อนข้างแคบ แต่ดาร์กยังสามารถมองเห็นมุมหนึ่งของวิหารได้
และเมื่อเหลือบมองอย่างรวดเร็ว ดาร์กก็ผงะไปในทันที
เขาพอจะคาดเดาเกี่ยวกับการกระทำของลัทธินี้ไว้บ้าง แต่ไม่คิดว่าพวกเขาจะกล้าลักพาตัวนักเรียนมาจริง ๆ
“ในเมื่อศาสตราจารย์เคเซอร์ลงมือตรวจสอบแล้ว มันก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น!”
แต่ความจริงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว และมันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อในสิ่งที่เห็น
แค่มองผ่าน ๆ ดาร์กก็เห็นแล้วว่า มีนักเรียนชายหญิงมากกว่าสิบคู่ถูกผูกมัดอยู่ข้างใน
ในไม่ช้าดาร์กก็เหลือบไปเห็นโรเบิร์ตที่อยู่นอกสุด
เขาถูกมัดไว้กับผู้หญิงอีกคน แล้วยังมีผ้าขี้ริ้วยัดอยู่ในปากด้วย แต่นั่นดูไม่เป็นอันตรายนัก ถึงแม้ดวงตาของเขาจะเบิกกว้างด้วยความโกรธ ทว่าดูเหมือนว่าเขาจะยังมีพลังงานเหลือเฟือ
สก็อตต์ที่สวมชุดปลาหมึกกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา
น่าเสียดายที่ดาร์กไม่เห็นเวอร์เธอร์อยู่ใกล้ ๆ
น่าสงสัยว่าเขาถูกมัดไว้ที่มุมอื่นหรือเปล่า?
…
นอกจากสก็อตต์ที่เป็นผู้ดูแลคู่รักบูชายัญ สมาชิกคนอื่น ๆ ของภาคีก็ยุ่งมาก
พวกเขาวาดวงแหวนเวทมนตร์ที่ซับซ้อนขึ้นรอบ ๆ รูปปั้นเทพธิดา และวางเทียนเวทมนตร์ที่มีลวดลายพิเศษบนรอบวงกลม
หลังจากวาดวงแหวนเวทเสร็จสิ้น สมาชิกภาคีผู้สวมหัวปลาไหลมอเรย์ก็เข้ามาดูโรเบิร์ตและหญิงสาวที่อยู่ข้างหลังเธอด้วยความสนใจ
เธอถามด้วยความสงสัย “นี่เหรอคู่ที่พวกนายจับได้?”
สก็อตต์ตอบอย่างภาคภูมิใจว่า “ไม่ต้องห่วงไป พวกเขามีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนด”
คุณมอเรย์พยักหน้าเล็กน้อย “ดีมาก หลังจากคืนนี้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป”
สก็อตต์รู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน “ตราบใดที่เทพธิดาฟื้นคืนชีพ เราจะเป็นสาวกผู้ภักดีที่สุดของเทพธิดา และทุกคนจะต้องสรรเสริญนามของเรา”
คุณมอเรย์ยิ้ม “ฉันไม่มีความทะเยอทะยานขนาดนั้นหรอก ถ้าสามารถทำให้คนที่ชอบหักอกคนอื่นในโลกนี้ตายได้ ฉันก็พอใจแล้ว”
สก็อตต์ “…”
…
หลังจากนั้นไม่นาน
คนที่สวมชุดปลาดาวพลันปรากฏตัวขึ้นในสายตาของดาร์ก
หลังจากเดินไปรอบ ๆ คู่รักนักเรียน เขาก็หยิบการ์ดเวทมนตร์ออกมา
“จงออกมา”
เสียงสุดท้ายของคู่รักนักเรียนหายไปอย่างสมบูรณ์
จริง ๆ แล้วมันคือการ์ด [เงียบสงัด]!
การค้นพบนี้ทำให้ดาร์กตื่นตัวมากขึ้น
คนที่ขัดเกลาการ์ด [เงียบสงัด] ได้จะต้องเก่งที่สุดในหมู่นักเรียนรุ่นพี่
ดูเหมือนว่าไม่ใช่ทุกคนในภาคีนี้ที่ไร้ประโยชน์เหมือนกับสก็อตต์
คุณปลาดาวไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น เขาหยิบขวดเล็ก ๆ ออกมา ซึ่งข้างในของมันมีของเหลวใสราวคริสตัลอยู่
ในบรรดาคู่รักที่ถูกมัด ดูเหมือนว่าจะมีคนรู้จักที่มาของของเหลวนี้ เพราะจู่ ๆ เขาก็ดิ้นรนและตะโกนออกมา
ทว่าเสียงของเขาถูกผนึกไว้โดยการ์ด [เงียบสงัด] ดังนั้นจึงไม่มีใครได้ยินอะไรเลย
คุณปลาดาวยิ้ม “สมกับเป็นแอนโตนิโอ นายรู้เกี่ยวกับน้ำพรากวิญญาณจริง ๆ ด้วย”
คน ๆ นั้นดิ้นรนอย่างดุเดือดยิ่งขึ้น!
แต่คุณปลาดาวสะบัดนิ้วทันที และทันใดนั้น หยดน้ำพรากวิญญาณก็สัมผัสเข้ากับกลางหน้าผากของชายผู้ชื่อแอนโตนิโอ
ชายคนนั้นหยุดดิ้นรนในทันที รูม่านตาขยายออกและเขาก็หมดสติไป
…
ดาร์กที่ซ่อนตัวอยู่ก็ขมวดคิ้ว
ในใจพลันตระหนักว่า เขาได้ค้นพบบางสิ่งที่เขาไม่รู้จักเข้าเสียแล้ว
น้ำพรากวิญญาณคืออะไร?
…
ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่เขา
ยกเว้นแอนโตนิโอและสมาชิกภาคีอีกสิบหกคน เห็นได้ชัดว่าคนที่เหลือไม่รู้ว่าน้ำพรากวิญญาณคืออะไร
แต่นั่นไม่ได้หยุดพวกเขาจากการดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง หลังจากได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับแอนโตนิโอ
หลายคนถึงกับกรีดเชือกได้สำเร็จและกระโจนเข้าใส่สมาชิกภาคี
แต่เพราะไม่มีการ์ดเวทมนตร์ พวกเขาจึงถูกจับกดหลังจากนั้นเพียงสองนาที
จากนั้นคุณปลาดาวก็หยดน้ำพรากวิญญาณลงระหว่างคิ้วของพวกเขา
เมื่อน้ำพรากวิญญาณซึมเข้าไปในสมองของพวกเขา ทุกคนก็หมดสติไป
บทที่ 103 ดาร์ก เดม่อนกลายเป็นนักสืบจิ๋ว
บทที่ 103 ดาร์ก เดม่อนกลายเป็นนักสืบจิ๋ว
“ดูเหมือนว่ามันได้ผลนะ”
“ยังดีที่พวกเขาไม่ได้สังเกตว่านี่เป็นเอฟเฟกต์สะกดจิตของยานอนหลับฝันดี”
“สุดท้ายก็ยังเป็นแค่นักเรียนปีหนึ่ง”
“นักเรียนปีหนึ่งดีที่สุด!”
เมื่อเห็นว่าเวอร์เธอร์และโรเบิร์ตได้รับเอฟเฟกต์จริง ๆ ปลาหมึกกับปลาปักเป้าก็แทบจะน้ำตาไหล
เมื่อก้าวผ่านความล้มเหลวมาหลายครั้ง พวกเขาก็เติบโตขึ้นเช่นกัน
ปลาหมึกระงับความอยากจะพุ่งออกไปได้สำเร็จ เขาคว้าปลาปักเป้าแล้วพูดว่า “ไม่ เราควรระวังให้มากกว่านี้ จะทำเสียเรื่องไม่ได้”
จากนั้นเขาก็หยิบการ์ดวิญญาณใบใหม่ออกจากซองการ์ดแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ “นักเรียนปีหนึ่งยังไม่มีนิสัยชอบซ่อนการ์ดไว้ตามร่างกายของพวกเขา ตราบใดที่เราปลดกระเป๋าใส่การ์ดออกมาได้ก่อน พวกเขาก็จะไม่สามารถโต้เรากลับได้”
“นั่นสินะ งั้นเดี๋ยวฉันช่วยนายเอง” ปลาปักเป้าถอยหลังมาหนึ่งก้าว ก่อนจะหยิบการ์ดออกมา
ทันทีหลังจากนั้น สปิริตขนาดเล็กสองตัวก็ออกมาจากการ์ดของพวกเขา
สปิริตของปลาหมึกคือวานรน้ำ ส่วนสปิริตของปลาปักเป้าคือหนูอ้วน
ความเร็วของสปิริตทั้งสองตัวนั้นเร็วมาก พวกมันพุ่งตัวออกไปในพริบตาทำให้ยากต่อการมองเห็นด้วยตาเปล่า
โรเบิร์ตยังไม่ทันจะได้ตอบสนอง กระเป๋าใส่การ์ดที่ห้อยอยู่รอบเอวของเขาก็ถูกวานรน้ำดึงออกมา!
หนูอ้วนก็ทำแบบเดียวกัน ทว่าเวอร์เธอร์ถอยห่างออกมาได้ทัน หนูอ้วนจึงตัดสายด้วยตะปูไม่ได้ ถึงอย่างนั้นมันยังกรีดกระเป๋าเก็บการ์ดจนเป็นรอยขาดขนาดใหญ่ได้อยู่ดี
การ์ดเวทมนตร์ของเวอร์เธอร์หล่นออกมาทันที
ในนั้นมีการ์ดคัดสรร [สัตว์อสูรมายา: กวาง] [โทรลล์] และการ์ดเวทมนตร์ที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่อีกหลายใบอยู่ด้วย
ทันทีที่การ์ดตกลงมา สติของเวอร์เธอร์ก็ชัดเจนแจ่มแจ้งในทันที เขาพุ่งเข้าไปหยิบการ์ด [โทรลล์] ที่หล่นออกมา!
แต่จู่ ๆ เงาดำพลันปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา ปัดการ์ด [โทรลล์] กระเด็นออกไป!
เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ไม่เป็นไปตามแผนสักเท่าไหร่ ปลาปักเป้าก็รีบออกไปพร้อมกับ [มนุษย์ปักเป้า] ซึ่งเป็นสปิริตของเขาอีกตัว
[มนุษย์ปักเป้า] มีสองขาที่ขนดก มันยิงหนามแหลมคมออกจากผิวกาย ป้องกันไม่ให้เวอร์เธอร์หยิบการ์ดขึ้นมา
“ใคร… เป็นนายอีกแล้ว!”
สายตาของเวอร์เธอร์กวาดผ่านร่างของปลาปักเป้า ก่อนจะไปหยุดที่ปลาหมึกซึ่งเพิ่งเดินออกมาจากมุมหลบซ่อน
“แล้ว?”
ปลาหมึกเดินออกมาช้า ๆ ตามด้วย [หมึกสามตา] ตัวใหญ่
เวอร์เธอร์รู้สึกโกรธอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “อย่าลืมว่าตอนนั้นใครเป็นคนปล่อยนายไปนะ!”
ปลาหมึกตอบอย่างเศร้าโศก “แน่นอนว่าฉันยังจำรอยฟกช้ำบนร่างกายของตัวเองได้! ถึงแม้ว่านายจะปล่อยฉันไปเพื่อไม่ให้ถูกลงโทษ แต่มันก็ไม่สามารถล้างความอัปยศอดสูที่นายมอบให้ฉันได้ บุตรแห่งวีรบุรุษ! นายและผู้ติดตามของนายจะต้องตกลงไปในห้วงลึกด้วยกัน!”
ดวงตาของเวอร์เธอร์เป็นประกาย คำพูดนี้ทำให้เขาอดนึกถึงหนังสือ ‘สู่ห้วงลึก’ ไม่ได้
เขาเอามือไขว้ไว้ข้างหลัง จากนั้นการ์ด [ความรักต้องห้าม] ก็หลุดออกมาจากช่องที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อทันที
เมื่อเห็นปลาหมึกใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เวอร์เธอร์ก็สะบัด [ความรักต้องห้าม] ไปข้างหน้าและคำรามว่า “ห้วงลึกไม่ต้อนรับนายหรอก!”
หมอกสีชมพูที่ออกมาจากการ์ด [ความรักต้องห้าม] พลันก่อตัวขึ้นร่างเป็นเงาของผู้หญิงคนหนึ่ง และพุ่งเข้าใส่ [หมึกสามตา] ตัวใหญ่ทันที!
เมื่อตาทั้งสามของ [หมึกสามตา] เปลี่ยนเป็นรูปหัวใจ เวอร์เธอร์ก็รู้สึกดีใจมาก!
แต่ตัวปลาหมึกเองไม่ได้สังเกตเลย จนกระทั่ง [หมึกสามตา] ที่เป็นสปิริตของเขา ยกตัวเขาขึ้นด้วยหนวดของมัน ใบหน้าของปลาหมึกพลันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และตื่นตระหนกจนร้องเสียงหลง “ปลาปักเป้า ช่วยฉันด้วย!”
เวอร์เธอร์สั่งให้หมึกสามตาโจมตีอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขบนใบหน้าของเขาทันที
พร้อมกับถือโอกาสนี้หยิบการ์ดที่ตกขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เวอร์เธอร์ก้มลงไป พลันมีหนามแหลมคมหลายสิบลูกพุ่งปักรอบเท้าของเขา!
ปลาปักเป้าหันไปมองปลาหมึกที่ถูกสปิริตตัวเองจับไว้ ก็อดด่าอีกฝ่ายไม่ได้ “ไอ้โง่เอ๊ย!”
นับตั้งแต่แรกเริ่มที่ยังให้ความเคารพปลาหมึก จนถึงตอนที่ยืนยันได้ว่าเขาเป็นเพียงคนงี่เง่าคนหนึ่งเท่านั้น ปลาปักเป้าก็ได้ผ่านเรื่องชวนป่วยจิตมามากมายแล้ว
โดยไม่รอช้า เขาควบคุม [มนุษย์ปักเป้า] ให้ปล่อยหนามแหลมคมจำนวนนับไม่ถ้วนใส่ [หมึกสามตา] ทันที!
หนามแหลมแต่ละอันมีพิษสีดำ และเกือบทั้งหมดถูกยิงเข้าไปในร่างของ [หมึกสามตา]!
[หมึกสามตา] พยายามวิ่งไปข้างหน้าสองสามก้าวก่อนที่สารพิษของปลาปักเป้าจะระเบิดในร่างกายของมัน เมื่อร่างกายของมันเริ่มแข็งทื่อ มันก็อาเจียนหมึกพิษออกมาเป็นจำนวนมาก
…
“ไม่!”
เวอร์เธอร์ไม่คาดคิดมาก่อนว่า [หมึกสามตา] ของสก็อตต์จะไร้ประโยชน์ได้ขนาดนี้ สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
เมื่อสก็อตต์หลุดพ้นจากการรัดกุมของ [หมึกสามตา] แล้ว เขาก็ร้องตะโกนทันทีว่า “วานรน้ำ!”
วานรน้ำมีแขนที่ยาวมาก มันเงยหน้าขึ้นและพ่นน้ำออกมา
เวอร์เธอร์รีบยกแขนขึ้นเพื่อกันกระแสน้ำ แต่เขายังคงถูกกระแสน้ำผลักให้ถอยหลังออกไปอยู่ดี
การ์ดเวทมนตร์บนพื้นก็ถูกน้ำซัดไปด้วย
โรเบิร์ตในเวลานี้เพิ่งจะฟื้นคืนสติได้เล็กน้อย จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปคว้าการ์ดเวทมนตร์ที่ถูกน้ำซัดโดยจิตใต้สำนึกทันที
เขาโยนการ์ดเวทมนตร์ให้เวอร์เธอร์อย่างไม่ต้องคิด “เวอร์เธอร์ รับ!”
เวอร์เธอร์ดีใจมากเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เขาคว้าการ์ดด้วยหลังมือ แล้วร้องตะโกนออกมา “จงออกมา!”
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที แสงที่ปล่อยออกมาจากการ์ดก็กลายเป็นของแข็ง
ลูกขนสีเหลืองครีมตกลงมา
ลูกขนตัวน้อยแลบลิ้นสีชมพูเรียวยาวออกมา หลังจากตกลงมาถึงพื้นแล้ว มันก็เลียน้ำที่นองอยู่บนพื้นก่อนจะส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่ารัก
นี่คือสปิริต [พัฟฟ์สกีน] ที่เวอร์เธอร์สร้างขึ้นโดยใช้วัตถุดิบที่ซื้อจากร้านสิบคะแนน!
“ไม่นะ!”
เสียงร้องอันสิ้นหวังของเวอร์เธอร์และโรเบิร์ตดังขึ้นมาจากทางเดินอีกครั้ง…
…
ดาร์กที่กำลังเดินมาทางห้องลับ พลันได้ยินสุ้มเสียงนั้นอย่างแผ่วเบา
เขาส่งสัญญาณให้รุกกี้เดวิมอนรีบเร่งไปยังทิศทางของเสียงอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อมาถึง สถานที่แห่งนี้กลับมีเพียงแอ่งน้ำ และการ์ดเวทมนตร์สองสามใบตกอยู่ที่ทางเดินใกล้กับห้องลับเท่านั้น
“ไปตรวจสอบที” ดาร์กไม่ได้เดินออกไปทันที แต่สั่งให้รุกกี้เดวิมอนไปตรวจสอบก่อนเช่นเคย
หลังจากที่รุกกี้เดวิมอนบินกลับมา ดาร์กถึงเดินไปยังบริเวณแอ่งและหยิบการ์ดเวทมนตร์ขึ้นมาจากน้ำ
[สัตว์อสูรมายา: กวาง] [โทรลล์] และ [น้ำยาฟื้นฟูพลังเวทมนตร์] จำนวนสองใบ
ห่างออกไปเล็กน้อย มีการ์ดอีกใบ [พัฟฟ์สกีน]
รวมแล้วมีการ์ดเวทมนตร์ทั้งหมดห้าใบ
“กวางกับโทรลล์ พวกนี้มันการ์ดเวทมนตร์ของเวอร์เธอร์ไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงมาหล่นอยู่ไปทั่วตรงนี้?”
ดาร์กเดินตามรอยน้ำที่หลงเหลือ ก่อนจะมองไปยังทิศทางของกำแพงห้องลับ
เขานึกเหตุผลอื่นไม่ออก “พวกเขาเข้าไปในนั้นเหรอ?”
…
ดาร์กวิเคราะห์ “แต่จากที่การ์ดเวทมนตร์กระจัดกระจายอยู่บนพื้นแบบนี้ เวอร์เธอร์ไม่น่าเข้าไปในทางลับโดยสมัครใจ”
“เขาถูกบังคับให้เข้าไปที่นั่น หรือว่าถูกจับเข้าไปกันแน่?”
“เดิมทีเขาก็เป็นที่คนระมัดระวังตัวมากอยู่แล้ว เพราะงั้นก็ไม่น่าจะถูกจับไปได้ง่าย ๆ หรอกใช่ไหม?”
“การ์ดเวทมนตร์พวกนี้น่าจะหล่นลงมาหลังจากถูกโจมตี”
“แต่ไม่มีการ์ดของโรเบิร์ตวางอยู่แถว ๆ นี้เลยนี่สิ พวกเขาอยู่ด้วยกันเสมอ ดังนั้นก็อาจยังพอโต้กลับได้อยู่บ้าง”
“จะว่าไป คู่ต่อสู้ของพวกเขาเป็นผีหรือมนุษย์กันแน่?”
“พวกเขาไม่น่าถูกผีต้อนจนมุมหรอกใช่ไหม?”
“แล้วฉันควร…ไปตรวจสอบไหมนะ?”
บทที่ 102 สถาบันเซนต์แมเรียนถูกภาคีกวาดล้าง
บทที่ 102 สถาบันเซนต์แมเรียนถูกภาคีกวาดล้าง
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างน่าตื่นเต้น
และทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ
…
ค้างคาวจำนวนนับไม่ถ้วนที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมปราสาท พลันกลายเป็นเป้าหมายของนักเรียน
ไม่ว่าจะเป็นค้างคาวที่ถูกปล่อยออกมาโดยแวมไพร์ หรือค้างคาวที่แต่เดิมก็มีอยู่ในปราสาทแล้ว
แม้แต่รุกกี้เดวิมอนที่ดูคล้ายค้างคาวก็เกือบจะกลายเป็นเป้าหมายไปด้วย
ดาร์กแวะหยิบถุงขนมออกจากห้องเรียน ก่อนจะเดินตามทางที่ค้างคาวบินหนีไป
เนื่องจากในถุงขนมมีขนมน้อยลง เขาจึงสามารถหาค้างคาวได้สองสามตัว
แต่หลังจากที่ค้างคาวถูกกำจัดออกไปแล้ว มันก็ไม่ได้ดรอปอะไร
“ดูเหมือนว่าโชคของฉันจะไม่ดีอย่างที่คิด?”
เมื่อเข็มนาฬิกาย่างเข้าสี่ทุ่ม ดาร์กก็ถอยจากชั้นแปดลงไปที่ชั้นเจ็ด
จากนั้นอีกยี่สิบนาทีต่อมา เขาก็ถอยจากชั้นที่เจ็ดไปยังชั้นที่หก
และอีกยี่สิบนาทีถัดไป ดาร์กก็ลงมาถึงชั้นที่ห้า
เกือบชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่ที่เคานต์แวมไพร์ระเบิดตัวเอง ทว่าดูเหมือนจะไม่มีใครพบ ‘ค้างคาวพิเศษ’ เลยสักคนเดียว
มันเป็นเรื่องที่ยากจะอธิบายได้ เมื่อทุกอย่างตกอยู่ภายใต้การค้นหาอย่างเอาเป็นเอาตายของเหล่านักเรียน
“เป็นไปได้ไหมว่ามันหนีไปทางลับ?” ดาร์กอดพึมพำไม่ได้
…
การเคลื่อนไหวของภาคีดำเนินไปอย่างเป็นระบบระเบียบ
นอกจากปลาหมึกและปลาปักเป้าที่ยังคงเร่ร่อนไปมา สมาชิกอีกสิบสี่คนของภาคีก็ได้ผลงานกลับมาบ้างแล้ว
แม้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะจับคู่รักสามคู่ได้สำเร็จ แต่อันที่จริงเป้าหมายนี้ก็เป็นแค่หลักประกัน
เพราะสำหรับเครื่องสังเวยในงานเลี้ยงของนักบุญ พวกเขาต้องการเพียงเจ็ดคู่เท่านั้น
ส่วนคู่อื่น ๆ ก็แค่ตัวสำรองเผื่อไว้
อารมณ์ของมนุษย์เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้และเข้าใจยาก
ไม่มีใครรู้ว่าคนสองคนที่มอบความจริงใจให้กันตั้งแต่แรกเริ่ม จะมีความจริงใจน้อยลงในสักวันหรือไม่
หรือความรู้สึกที่ดูเหมือนจริงใจนั้นจะเป็นเพียงการแสดง?
สมาชิกของภาคีไม่สามารถเสี่ยงกับเรื่องนี้ได้
ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งเป้าหมายมากกว่าเดิมสามเท่า โดยพยายามลดโอกาสที่จะล้มเหลวด้วยจำนวน
การปรากฏตัวของ ‘สมบัติแวมไพร์’ ทำให้พวกเขาทั้งสะดวกและลำบากในเวลาเดียวกัน
เพราะนี่หมายถึงเริ่มมีผู้คนมากมายปรากฏตัวที่ทางเข้าห้องลับมากขึ้นทุกที
แต่พวกเขาก็หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเหล่านั้นได้สำเร็จ และในที่สุดก็ส่งคู่รักที่ถูกจับเข้ามาในวิหารได้
เวลาห้าทุ่มตรง
สมาชิกทุกคนยกเว้นปลาหมึกและปลาปักเป้ากลับมายังวิหาร
มีคู่รักทั้งหมดสิบหกคู่ที่ถูกจับได้ ซึ่งมากกว่าจำนวนเป้าหมายที่แท้จริงถึงสองเท่า
คู่รักเหล่านี้ถูกผูกติดกันเป็นคู่ ๆ
กระเป๋าใส่การ์ดทั้งหมดของพวกเขาถูกตรวจค้น และการ์ดคัดสรรที่จะเปิดเผยตำแหน่งของพวกเขาก็ถูกโยนออกไปนอกทางลับ
ภาคีไม่ได้ปิดปากพวกเขา แต่ทุกคู่ดูเหมือนจะตระหนักได้ว่าการสาปแช่งนั้นไร้ประโยชน์ ดังนั้นจึงไม่มีใครกรีดร้องออกมา
สิบหกคู่ รวมเป็นสามสิบสองคน
พวกเขาถูกทิ้งไว้ที่มุม ๆ หนึ่งของวิหารชั่วคราว และทุกสายตาสามารถเห็นรูปปั้นเทพธิดาสีขาวในวิหารที่ดูเหมือนคนมีชีวิตได้ แทบจะในทันที ผู้คนจำนวนมากถูกดึงดูดโดยรูปปั้น และกลายเป็นคนไร้ชีวิตราวกับว่าวิญญาณของพวกเขาถูกดึงออกไป
หากมีเพียงรูปปั้นนั้นอยู่ที่นี่ มันก็คงให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์แก่ผู้คน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเหล่าภาคีถอดเสื้อคลุมสีดำออกเผยให้ชุดอาหารทะเลข้างใน บรรยากาศโดยรอบก็พลันดูแปลกประหลาดไปเสียหมด และความรู้สึกชั่วร้ายบางอย่างก็เริ่มเข้ามาแทนที่
เด็กสาวที่ดูมีสติสัมปชัญญะอดไม่ได้ที่จะถามผู้หญิงคนเดียวในภาคี นั่นคือคุณมอเรย์ นี่เพราะเสียงของคุณมอเรย์ฟังดูคุ้นเคยสำหรับเธอ
“นี่ฉันขอถามหน่อย เธอจับพวกเรามาทำไม?”
“เพราะพวกเจ้าจะกลายเป็นเครื่องบูชายัญยังไงละ!”
เสียงของคุณมอเรย์เปลี่ยนไปเป็นเสียงของแม่มดแก่ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว
แต่จู่ ๆ เด็กสาวก็เบิกตากว้าง “เบ็ตตี้ นั่นเธอจริง ๆ ด้วย!”
“ใครคือเบ็ตตี้? เจ้าจำคนผิดแล้ว” คุณมอเรย์พูดอย่างเฉยเมย
เด็กสาวที่ชื่อ ‘เจนนี่’ ทรุดตัวลงทันทีและพูดว่า “เบ็ตตี้ เธอทำแบบนี้กับฉันไม่ได้! เราเป็นเพื่อนกันนะ!”
คุณมอเรย์ยังคงพูดอย่างเฉยเมยว่า “ทำไมจะไม่ได้ ก็ในเมื่อโลกนี้มันยังมีผู้หญิงที่กล้าขโมยผู้ชายของคนอื่นไปอยู่”
สีหน้าของเจนนี่เริ่มแข็งทื่อ เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าที่เธอจะพูดสักประโยคออกมา “แต่เขาก็ชอบฉันเหมือนกัน”
“ใช่” คุณมอเรย์ยิ้มอย่างน่ากลัว “ฉันก็เลยจับพวกแกทั้งคู่มายังไงล่ะ!”
“ฮิ ๆ ทุกอย่างมันจบแล้ว เจนนี่!”
“ไม่!”
…
ด้านนอกทางลับ
ปลาหมึกและปลาปักเป้าที่ประสบกับความล้มเหลวหลายครั้ง เริ่มรู้สึกท้อแท้อย่างอดไม่ได้
เพราะจับไม่ได้แม้แต่คู่เดียว พวกเขาจึงละอายใจที่จะกลับไปยังวิหาร เพราะงั้น แม้จะถึงเวลาที่พวกเขาต้องกลับแล้ว แต่ตอนนี้พวกเขาก็ยังเดินเตร่อยู่ข้างนอกอยู่ดี
คนทั้งคู่ดูเหมือนกับชายวัยกลางคนนั่งเอ้อระเหยอยู่ในสวนเพื่อฆ่าเวลา และแสร้งทำเป็นว่ายังมีงานทำหลังถูกไล่ออกจากองค์กร
ทันใดนั้น ปลาหมึกก็คว้าแขนปลาปักเป้าแล้วดึงเขาไปหลบที่มุมหนึ่ง
ขณะที่ปลาปักเป้ายังคงสับสน นักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง สองคนก็ปรากฏตัวขึ้นนอกทางลับ
ราวกับว่าในที่สุดเวอร์เธอร์ก็ตัดสินใจได้ เขาพาโรเบิร์ตมาที่นี่และบอกความลับของเขาว่า “โรเบิร์ต อันที่จริงแล้ว ฉันมีความลับกับนาย!”
โรเบิร์ตชะงักไปครู่หนึ่ง แต่แล้วพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ฉันรู้ เพราะฉันก็มีเรื่องหนึ่งที่ฉันปกปิดนายไว้เช่นกัน!”
“อะไรนะ?” เวอร์เธอร์รู้สึกสับสน
โรเบิร์ตกล่าวต่อ “ฉันรู้อยู่แล้วว่านายจะไม่ปิดบังมันจากฉัน! เราเป็นเพื่อนซี้กันนี่นา นายบอกฉันมาก่อน แล้วเดี๋ยวฉันจะบอกเรื่องของฉันบ้าง!”
เวอร์เธอร์ “อ้อ เอ่อ บางทีนายอยากจะบอกฉันก่อนไหม?”
โรเบิร์ต “ไม่ นายพูดก่อนเลย ความลับของฉันขึ้นอยู่กับความลับของนาย”
เวอร์เธอร์พูดอย่างช่วยไม่ได้ “งั้นฉันจะสารภาพก่อนแล้วกัน อันที่จริง ฉันเจอทางลับที่นี่ นายเห็นไหมว่าไม่มีใครเจอค้างคาวพิเศษนั่นเลย หลังจากเวลาผ่านมานานขนาดนี้ ฉันเลยสงสัยว่ามันน่าจะเข้าไปในเส้นทางลับแล้ว”
หลังจากรอสักพัก โรเบิร์ตก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “แค่เส้นทางลับเหรอ?”
เวอร์เธอร์ประหลาดใจ “นายหมายความว่ายังไง แค่เส้นทางลับ นี่คือความลับที่ใหญ่ที่สุดของฉันเลยนะ แล้วของนายล่ะ?”
โรเบิร์ต “อ่า เอ่อ ที่จริงแล้วฉันไม่มีความลับ”
เวอร์เธอร์ชะงัก “…ช่างเถอะ งั้นนายคิดว่าเราควรเข้าไปทางลับเพื่อตามหามันไหม? ฉันอยากจะก้าวข้ามดาร์กให้ได้จริง ๆ นะ!”
โรเบิร์ต “แน่นอน ฉันจะช่วยนายเอง!”
…
ปลาหมึกผู้แอบซ่อนอยู่ในมุมเริ่มมีสีหน้าที่ดูมืดมน
ทันใดนั้นเขาก็กระซิบกับปลาปักเป้าว่า “ดูสิ ทั้งคู่เหมาะกันไหม?”
ปลาปักเป้าดูสับสน “เหมาะอะไร?”
น้ำเสียงของปลาหมึกมีทั้งความเศร้าโศกและความยินดี “ไปจับพวกมันกันเถอะ ความรู้สึกที่พวกมันมีต่อกันจะต้องเป็นของจริงแน่ ๆ!”
…
ควันพวยพุ่งออกมาอย่างเงียบ ๆ
เวอร์เธอร์กับโรเบิร์ตยังคงคุยกันอยู่ โดยไม่รู้ว่ากำลังมีบางอย่างคืบคลานเข้ามา
ทั้งสองคนให้ความสนใจกับคำว่า ‘ความลับ’ มากเกินไป จนไม่สังเกตเห็นความผิดปกติใด ๆ เลย
ในตอนนั้นเอง พวกเขาค่อย ๆ สูดควันเหล่านั้นเข้าไปทีละนิด
สิบวินาทีต่อมา โรเบิร์ตก็เกาะกับผนังและถามอย่างงง ๆ ว่า “ทำไมฉันถึงรู้สึกเวียนหัวล่ะเนี่ย”
เวอร์เธอร์ก็นวดหน้าผากของเขาอย่างแรงเช่นกัน “ฉันก็รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย เป็นเพราะเราเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า?”
บทที่ 101 สถาบันเซนต์แมเรียนเริ่มต้นยุคล่าขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่
บทที่ 101 สถาบันเซนต์แมเรียนเริ่มต้นยุคล่าขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่
แน่นอนว่า สิ่งของที่ผีจะดรอปให้นั้นขึ้นอยู่กับสิ่งที่อาจารย์วางไว้ข้างใน
…
ดาร์กเป็นเหมือนแมวที่ได้กลิ่นปลา เขาวางถุงขนมใบใหญ่ไว้ในห้องเรียนใกล้ ๆ ก่อนจะวิ่งไปซ่อนในสถานที่นั้นอย่างเงียบ ๆ
เขาไม่ได้อยากขโมยของที่ดรอปออกมา แต่แค่อยากเห็นว่าเคานต์แวมไพร์จะดรอปอะไรต่างหาก
ถ้าเป็นเขี้ยวแวมไพร์จริง ๆ เขาจะพยายามหาทางต่อรองและแลกเปลี่ยนมัน
สิ่งที่เรียกว่า ‘เขี้ยวแวมไพร์’ เป็นวัตถุเล่นแร่แปรธาตุที่ได้จากการผนึกพลังของแวมไพร์ลงในเขี้ยว
เมื่อแวมไพร์ดูดเลือดของเหยื่อ มันจะเจาะเขี้ยวของมันเข้าไปในเส้นเลือดของเหยื่อ
เพื่อให้ดูดเลือดได้สะดวกขึ้น พวกมันจะฉีดสารที่ทำให้เหยื่อรู้สึกสงบ
หากเป็นแวมไพร์บริสุทธิ์ผู้สูงศักดิ์ สารที่ปล่อยออกมาก็จะมีพลังเวทมนตร์ ซึ่งสามารถทำให้เหยื่อตกอยู่ในห้วงสวาท และกลายเป็นทาสราคะผู้ซื่อสัตย์ที่สุดของแวมไพร์ได้
สิ่งนี้เรียกว่า ‘การโอบกอด’
ยิ่งสายเลือดของแวมไพร์ใกล้เคียงกับบรรพบุรุษมากเท่าใด ผลของเขี้ยวก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น
ในยุคก่อนหน้านี้ เขี้ยวแวมไพร์ไม่ใช่ของหายาก ท้ายที่สุดแล้ว แวมไพร์ก็ต้องผลัดฟันทุก ๆ หนึ่งร้อยปี
แต่ด้วยการสูญพันธุ์ของเผ่าปีศาจ เขี้ยวแวมไพร์จึงกลายเป็นของสะสมหายาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำนวนแวมไพร์สายเลือดบริสุทธิ์ที่ตอนนี้หายาก ดังนั้นการส่งต่อทางสายเลือดจึงน้อยลงตามไปด้วย
…
ตามความเข้าใจของดาร์ก เขี้ยวแวมไพร์เป็นไอเทมที่สามารถเปลี่ยน [โทสะ] ให้เป็น [ราคะ] ได้ หากเจ้าของเดิมมีเลือดแวมไพร์บริสุทธิ์เพียงพอ
ดังนั้นมันจึงไม่เพียงแต่จำเป็นเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวยับยั้งและเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาวิกฤตอีกด้วย
…
เขามุ่งไปข้างหน้าด้วยความหวังที่ก่อตัวขึ้น ดาร์กสังเกตว่ามีนักเรียนรุ่นพี่มารวมตัวกันมากขึ้น
ออร่าของเคานต์แวมไพร์ที่เปล่งออกมาในเวลาเกิดของมันนั้นแรงเกินไปหน่อย
คนที่ไวต่อพลังเวทมนตร์จะถูกดึงดูดในทันที
ชั่วพริบตาเดียว ที่ศูนย์กลางรอบแท่นบูชาโลหิตกลางชั้นแปด ก็มีนักเรียนรุ่นพี่มากกว่าหนึ่งโหลมารวมตัวกันอยู่แล้ว
แต่ทุกคนทำตามกฎที่ไม่ได้มีการเขียนไว้ คือเพียงแค่เฝ้าดูและไม่ลงมือ
เว้นแต่นักเรียนรุ่นพี่ที่เรียกเคานต์แวมไพร์ออกมาจะตกอยู่ในอันตราย หรือล้มเหลวในการเอาชนะบอสเท่านั้น เพราะอย่างนั้น ตอนนี้พวกเขาจะไม่ดำเนินการใด ๆ ทั้งสิ้น
หากเวลานั้นมาถึงจริง บอสจะกลายเป็นสิ่งไร้เจ้าของ และไอเทมดรอปของมันจะตกเป็นของใครก็ตามที่เอาชนะมันได้ก่อน
…
ดาร์กซึ่งตามมาทีหลังก็ได้เห็นความแข็งแกร่งของรุ่นพี่ในที่สุด สปิริตที่ติดตามพวกเขาทั้งหมดล้วนอยู่เหนือขั้นที่สอง ซ้ำแล้วออร่าก็ทรงพลังอย่างยิ่ง ซึ่งสามารถสัมผัสได้จากการปรากฏตัวของพวกมัน
มีสปิริตหายากที่ไม่เคยได้ยินได้เห็นมาก่อนมากมาย
ดาร์กเรียกรุกกี้เดวิมอนกลับเข้าไปในการ์ดคัดสรร และเดินตามนักเรียนรุ่นพี่ไปอย่างระมัดระวัง
เมื่อผ่านช่องว่างระหว่างผู้คนไปแล้ว ดาร์กก็ได้เห็นเคานต์แวมไพร์เหนือแท่นบูชาโลหิตอย่างชัดเจน
“ไม่น่าแปลกใจที่รุกกี้เดวิมอนจะบอกว่ามันเป็นอสูรดูดเลือดเวทมนตร์ มันก็คล้ายมากจริง ๆ แต่ภาพลักษณ์ของขุนนางแวมไพร์ดูจะเหมือนเดิม”
เลือดยังคงไหลออกมาจากแท่นบูชาอย่างต่อเนื่อง
“เลือดก็คือพลัง!”
เหนือน้ำพุเลือด เคานต์แวมไพร์หน้าซีดสวมเสื้อคลุมสีแดงเลือดนกปรากฏตัว แล้วจึงตะโกนพร้อมกับอ้าแขนออก
เหนือหัวขึ้นไปมีทะเลเลือดหมุนวนและค้างคาวซึ่งกำลังบินจับกลุ่ม
สัตว์อสูรโลหิตเกิดจากบ่อเลือดทีละตัว และพวกมันก็กระโจนใส่นักเรียนรุ่นพี่ที่ ‘อัญเชิญ’ พวกมันอย่างไม่กลัวตาย
มีนักเรียนรุ่นพี่ทั้งหมดห้าคน แต่พวกเขาไม่ได้สวมเครื่องแบบ ดังนั้นดาร์กจึงไม่สามารถแยกแยะได้ว่าพวกเขามาจากปีไหนบ้าง อย่างไรก็ตาม พวกเขาแข็งแกร่งมาก
รุ่นพี่ทั้งห้าคนนั้นยืนคนละมุม
ทุกคนควบคุมสปิริตอย่างน้อยสามตัว
สัตว์อสูรโลหิตแต่ละชนิดที่เกิดจากทะเลเลือดเป็นสัตว์อสูรที่มีดาวอย่างน้อยหกดวง
แต่รุ่นพี่ทั้งห้ายังคงทำลายสัตว์อสูรโลหิตอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว
พวกเขาไม่รีบเร่ง แต่พยายามลดพลังของเคานต์แวมไพร์ด้วยวิธีนี้ ท้ายที่สุดแล้ว เลือดก็เป็นแหล่งพลังของมัน!
เมื่อทะเลเลือดที่ให้กำเนิดสัตว์อสูรโลหิตหมดสิ้น เคานต์แวมไพร์ก็จะตกสู่ความตาย
ไม่อย่างนั้น มันก็มีโอกาสเกิดใหม่ได้เรื่อย ๆ!
ค้างคาวทุกตัวที่บินออกมาเป็นร่างโคลนของมัน
มันสามารถปรากฏตัวในมุมใดก็ได้ของปราสาทหลังจากเกิดใหม่
ดังนั้นจึงไม่สามารถฆ่าได้จนกว่าทะเลเลือดนั้นจะถูกชำระล้าง
…
นี่เป็นกฎที่แม้แต่ดาร์กก็สามารถเข้าใจได้ แน่นอนว่าไม่มีทางที่รุ่นพี่เหล่านั้นจะไม่เข้าใจ
ดังนั้น หลังจากสองหรือสามนาทีผ่านไป นักเรียนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ตระหนักว่าสงครามแตกหักกับเคานต์แวมไพร์จะเป็นเรื่องที่น่าเบื่อและใช้เวลานานมาก
ดังนั้นในขณะที่บางคนยังคงมา บางคนก็จากไปเช่นกัน
มีเพียงดาร์กเท่านั้นที่ยังคงเฝ้าดูอย่างกระตือรือร้น
ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูรโลหิตที่เกิดจากทะเลเลือดหรือความแข็งแกร่งที่รุ่นพี่ทั้งห้าคนแสดงออกมา เมื่อพวกเขากำจัดสัตว์อสูรโลหิต หรือแม้แต่ใบหน้าซีดของเคานต์แวมไพร์ที่ค่อย ๆ สูญเสียเลือด และดวงตาที่ไม่แยแสของมัน ดาร์กก็เฝ้าดูทั้งหมดด้วยความสนใจอย่างมาก
ตามที่คาดการณ์ไว้
เมื่อน้ำพุเลือดไม่ไหลออกมา และเมื่อทะเลเลือดเหนือหัวของเคานต์แวมไพร์แทบแห้งเหือด บางอย่างก็เกิดขึ้น!
เคานต์แวมไพร์ผู้สง่างาม ระเบิดตัวเองอย่างไร้ยางอาย!
…
คลื่นโลหิตจากการระเบิดได้กลืนกินสปิริต
นักเรียนรุ่นพี่ทั้งห้าใช้วิธีการต่าง ๆ และหลังจากจ่ายราคาจำนวนหนึ่งไปแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็เลี่ยงความเสียหายที่เกิดจากการระเบิดตัวเองของแวมไพร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
อย่างไรก็ตาม แผนการเอาชนะแวมไพร์ก็ล้มเหลวเช่นกัน!
ในตอนเริ่มการอัญเชิญ พวกเขาไม่รู้ว่าบอสลับแปดดาวของคืนนี้จะเป็นเคานต์แวมไพร์ ดังนั้นพวกเขาจึงปล่อยค้างคาวจำนวนมากไว้ในตอนแรก
ในที่สุด ค้างคาวเหล่านั้นก็กลายเป็นอันตรายที่ซ่อนเร้น
เมื่อแวมไพร์หนีไปแล้ว ก็จะไม่มีใครยอมปล่อยเคานต์แวมไพร์ไปเพียงเพราะว่าเคานต์แวมไพร์ถูกอัญเชิญโดยพวกเขา
คราวนี้ใครจัดการมันได้ก่อนก็จะได้ไอเทมดรอป
…
ไม่ว่านักเรียนรุ่นพี่ทั้งห้าจะโกรธและทำอะไรไม่ถูกแค่ไหน พวกเขาก็ประสบความสำเร็จในการเริ่มการล่าขุมทรัพย์ครั้งใหญ่
ใครก็ตามที่พบค้างคาวของเคานต์แวมไพร์ก็จะได้รับสมบัติของแวมไพร์!
งานเลี้ยงที่ค่อย ๆ จบลง กลับกลายเป็นงานเลี้ยงที่น่าสนใจอีกครั้ง
…
ดาร์กเรียกรุกกี้เดวิมอนออกมาอีกครั้ง และวิ่งไปในทิศทางที่ค้างคาวบินหนีไป
ดาร์กไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะเป็นผู้โชคดี แต่ใครล่ะที่ไม่ชอบการล่าขุมทรัพย์?
…
ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปราวกับสายลม
นักเรียนจากชั้นปีต่ำกว่าที่หยุดล่าไป เพราะพลังเวทมนตร์ไม่เพียงพอก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
ปราสาททั้งหลังกลับมามีชีวิตชีวาในทันที
มีนักเรียนหลายคนพูดคุยเกี่ยวกับการร่วมมือกันของนักเรียนรุ่นพี่ทั้งห้าคนนั้น ในขณะที่ค้นหาทุกซอกมุมของปราสาทด้วยความตื่นเต้น
หลังจากที่เวอร์เธอร์ กาวด์เปิดรายการจัดอันดับและสังเกตเห็นว่า ‘ดาร์ก เดม่อน’ ได้ก้าวขึ้นสู่อันดับต้น ๆ ของตารางชั้นปีที่หนึ่งอย่างกะทันหัน มันก็ทำให้เขากัดฟันและตัดสินใจเข้าร่วมการล่าขุมทรัพย์ครั้งนี้ด้วย!
ไดแอนนากับโรส เสือน้อยกับหมีน้อย…
แม้แต่สมาชิกของภาคีก็ยังตื่นเต้นกับสถานการณ์นี้
ยิ่งนักเรียนกระจัดกระจายมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้นเท่านั้น
ปลาหมึกและปลาปักเป้ายังคงมุ่งมั่นในการค้นหาเป้าหมายของพวกเขา!
บทที่ 100 สถาบันเซนต์แมเรียนชโลมไปด้วยเลือด
บทที่ 100 สถาบันเซนต์แมเรียนชโลมไปด้วยเลือด
เสียงระฆังดังขึ้นตอนสามทุ่ม
ดาร์กกำลังรออยู่ในห้องเรียนที่ว่างเปล่าบนชั้นห้าของปราสาท
หลังจากล่ามาได้เกือบชั่วโมง เขาก็พอเข้าใจแล้วว่าเหล่าผีในพื้นที่เล็ก ๆ แห่งนี้กระจายตัวกันอย่างไร
มีผีระดับสี่ดาวเหลืออยู่ไม่มาก แต่ผีระดับสามดาวยังเหลืออีกสี่กลุ่ม
สี่กลุ่มที่ว่ามานั้นคือ ผีพรายที่มีลมหายใจเยือกแข็ง มนุษย์กิ้งก่าปลิดสังหาร วิญญาณสาวผู้โหยหวน และมิโนทอร์แคระที่ถือขวานขนาดเล็ก
ตัวที่ยากที่สุดย่อมต้องเป็น ‘ผีพราย’ อย่างไม่ต้องสงสัย!
หลังจากพิจารณาแผนการแล้วว่า รุกกี้เดวิมอนมีแนวโน้มที่จะถูกลมหายใจเยือกแข็งแช่แข็งเอาได้ ดาร์กจึงได้แต่ปล่อยให้มันไปหลอกล่ออีกสามกลุ่มเท่านั้น
ส่วนตัวเขาเองก็มารออยู่ที่ห้องเรียน ในขณะที่ฟื้นฟูพลังเวทมนตร์ของอีบุยไปด้วย
พูดถึงการเติมพลังเวทมนตร์
ด้วยความแข็งแกร่งของนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งตามปกติ พลังเวทมนตร์สำรองของนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งที่เตรียมมา ส่วนใหญ่น่าจะหมดลงแล้วในตอนนี้
แน่นอนว่าไม่รวมถึงผู้ที่มีพลังเวทมนตร์มหาศาลอย่างเช่นดาร์กกับเวอร์เธอร์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารพลังเวทมนตร์เช่นเอ็มม่ากับซาร่า สวาติที่ยังคงมีพลังเวทมนตร์เหลืออยู่มากมาย
ดังนั้นตารางจัดอันดับ ณ เวลานี้จึงหยุดนิ่งไป
เช่นว่า ในการจัดอันดับบ้านขุนนางปีหนึ่ง ดาร์กนั้นอยู่ในอันดับต้น ๆ และไม่มีใครสามารถสั่นคลอนเขาได้
ส่วนการจัดอันดับโดยรวมของปีหนึ่ง เขาก็ไต่ขั้นจนขึ้นไปอยู่อันดับที่สองแล้วเช่นกัน
นักเรียนบ้านนักปราชญ์ที่เดิมเป็นอันดับหนึ่งค่อย ๆ ตกอันดับลงมา นี่เป็นเพราะความสามารถในการจัดการพลังเวทมนตร์ไม่เพียงพอ จึงถูกแซงหน้าโดยเอ็มม่า ซาร่าและคนอื่น ๆ
แม้ว่าดาร์กจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แต่ในบางครั้งเขาก็ยังเข้าไปตรวจสอบอันดับของไดแอนนา โรส และแพนดอร่าอยู่
ในหมู่พวกเขา ไดแอนนามีอันดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในตารางบ้านขุนนางปีหนึ่ง ขณะที่โรสหลุดออกจากตารางอันดับไปแล้ว
ส่วนรุ่นพี่แพนดอร่า
เธออยู่ตำแหน่งสูงสุดของอันดับชั้นปี และกำลังแข่งขันกับนักเรียนชั้นปีที่ห้าและหก ในตารางอันดับโดยรวมสำหรับการแข่งขันชิงแชมป์!
สิบสองอันดับแรกในตารางอันดับโดยรวมนั้นเกือบจะเรียกได้ว่า เป็นยอดนักเรียนสิบสองอันดับแรก จากในบรรดานักเรียนทั้งหกชั้นปีรุ่นปัจจุบันของสถาบันเซนต์แมเรียน
และตอนนี้เธอก็อยู่ในอันดับที่สาม!
ต้องทราบว่า…นี่เพียงครึ่งทางของชีวิตในสถาบันเท่านั้น
…
“มาแล้ว!”
ลมหนาวที่พัดมาจากนอกหน้าต่างทำให้ดาร์กรู้ว่ารุกกี้เดวิมอนได้แหย่ผีที่ไม่ควรยั่วยุเข้าแล้ว
เด็กชายอัญเชิญอีบุยออกมา และเขาก็ไปหลบตัวซ่อนตัวอยู่ที่ม่านด้านหลังของห้องเรียน
“ช่วยด้วย!” X12
คราวนี้รุกกี้เดวิมอนยังคงกรีดร้อง และเร่งรีบเข้ามาในห้องเรียนเหมือนกับครั้งที่แล้ว
แต่ก่อนที่มันจะตะโกนช่วยครั้งที่สิบสาม น้ำค้างแข็งสีขาวพลันปรากฏขึ้นบนปีกข้างหนึ่งของมัน หลังจากที่ลมหนาวพัดผ่านมา
เจ้าตัวน้อยแข็งทื่อไปในทันที และความเร็วในการบินของมันก็ช้าลงมาก
จากนั้นมนุษย์กิ้งก่าปลิดสังหารก็พุ่งเข้ามาอย่างว่องไว พวกมันหยิบมีดที่ทำจาก ‘เขา’ และฟันเข้าใส่รุกกี้เดวิมอนจากด้านหลังอย่างดุดัน
รุกกี้เดวิมอนส่งเสียงกรีดร้องอย่างน่าสังเวช มันระเบิดพลังแล้วกระโดดไปข้างหน้าสองสามเมตร ก่อนจะไปถึงขอบหน้าต่างในที่สุด
แต่เมื่อมันมาถึงขอบหน้าต่าง กองขวานเล็ก ๆ ก็บินมาจากด้านหลัง รุกกี้เดวิมอนหมอบหัวอย่างไว ขวานขนาดเล็กนับไม่ถ้วนก็บินผ่านหัวของมันอย่างเฉียดฉิวและหายไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน
“อ๊า–!”
เสียงคร่ำครวญของวิญญาณโหยหวนดังก้องไปทั่วห้องเรียน ซัดธุลีฟุ้งนับไม่ถ้วนจนทั้งห้องมีแต่เศษฝุ่น
…
คราวนี้ดาร์กหาโอกาสหนีจากห้องเรียนไม่ได้ เขาจึงต้องกัดฟันและใช้ [ราคะ III] ภายใต้ ‘การโยนอย่างแม่นยำ’ ดาร์กก็โยนอีบุยเข้าไปในกลุ่มผีทันทีที่มีจังหวะ
ผลของ [ราคะ III] ครั้งนี้ดีกว่าครั้งที่แล้ว
ทั้งผีพรายและวิญญาณโหยหวนหยุดการโจมตีด้วยเหตุนี้ และพวกมันก็ส่งเสียง ‘คร่ำครวญ’ อยู่บ่อยครั้ง
พลังของแบล็คบุยซึ่งวิวัฒนาการเสร็จสิ้นบนกลางอากาศ ระเบิดออกทันทีที่เห็นเจ้านายของมันหลังจากที่มันลงจอด
แด่อนธการที่มืดมิดยิ่งกว่าก้นเหว แด่ความลึกล้ำดำมืดที่ยิ่งกว่าคืนรัตติกาล แด่เจ้าแห่งขุมนรกผู้โชติช่วงชัชวาลเหนือทะเลแห่งความโกลาหล ข้าขอวิงวอนและสัตย์สาบานต่อพระองค์ ได้โปรดมอบพลังให้แก่ข้า…เพื่อทำลายพวกโง่เขลาเหล่านี้ที่กล้ามายืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ด้วยเถิด!
[ชีพจรมืด]!
…
“ผีพรายสามดาว มนุษย์กิ้งก่าปลิดสังหารสามดาว วิญญาณคร่ำครวญสามดาว และมิโนทอร์แคระสามดาว มีทั้งหมดเจ็ดสิบหกตัว ตัวละสามสิบคะแนน ครั้งนี้ฉันจะทำคะแนนได้สองพันสองร้อยแปดสิบคะแนน ซึ่งมากกว่าสองเท่าของคะแนนที่ฉันมีในตอนนี้เสียอีก!”
“แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าผีสามดาวจะเป็นขีดจำกัดของแบล็คบุยแล้ว และมันก็อันตรายที่จะล่าระดับสูงกว่านี้”
“อีกอย่างผีก็จำนวนน้อยลงเรื่อย ๆ แล้ว คงเป็นเรื่องยากที่จะหาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับกวาดล้างยกกลุ่มภายในสี่ทุ่มครึ่ง”
“ถึงตอนนี้จะเพิ่งสามทุ่ม แต่ดูเหมือนว่านี่น่าจะเป็นคะแนนสูงสุดที่ฉันสามารถหาได้รวดเดียวในวันนี้แล้ว”
ดาร์กซ่อนตัวอยู่หลังม่านและพิจารณาทุกอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านี้คะแนนใหม่ของดาร์กแทบจะไม่เกินสองพัน แต่หลังจากจัดการฝูงนี้ได้ เขาคงจะมีราว ๆ สี่พันสามร้อยคะแนนได้ และถ้าเร่งมือขึ้นหน่อยบวกกับ [ราคะ III] ที่ยังพอใช้ได้อยู่ เขาก็น่าจะเลื่อนลำดับไปได้สูงกว่านี้
จากประสบการณ์ก่อนหน้า คราวนี้เขาปล่อยให้รุกกี้เดวิมอนบินไปเก็บลูกอม และรีบมุ่งไปยังจุดล่าต่อไปอย่างรวดเร็ว
ดาร์กรู้ตำแหน่งของผีสี่ดาวที่เหลืออยู่แล้ว
เพราะงั้นมันก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยวฝูงผีอีกครั้ง!
…
จนกระทั่งคะแนนของดาร์กเพิ่มขึ้นเป็นสี่พันห้าร้อยคะแนน เขาจึงเก็บอีบุยตัวน้อยที่หมดสภาพกลับเข้าไปในการ์ดเวทมนตร์
เมื่อวาดวงแหวนเวทดาวหกแฉกเสร็จสิ้น ดาร์กก็ค่อย ๆ ลูบท้องอีบุยเพื่อเติมพลังเวทมนตร์ของมันโดยเร็วที่สุด
“วี้~”
เขาอยากจะขึ้นไปดูที่ชั้นบนต่ออีกสักหน่อย
ดาร์กยังพอมีอีกวิธีหนึ่งในการกำจัดผี
หากพวกมันไม่ถูกยั่วยุ ตราบใดที่มีคนให้ลูกอมแก่พวกมัน พวกเขาก็จะสามารถเดินผ่านพวกมันไปโดยไม่ถูกโจมตี
เพราะอย่างนั้น ดาร์กเลยเดินแจกลูกอมไปตลอดทาง ตั้งแต่ชั้นห้าถึงชั้นหก ชั้นหกถึงชั้นเจ็ด และชั้นเจ็ดไปจนชั้นสุดท้าย ซึ่งก็คือชั้นแปด
เมื่อมาถึงชั้นนี้ ดาร์กก็เพิ่มความระมัดระวังขึ้นอย่างยิ่ง โดยพื้นฐานแล้วเขาแค่เดินไปยังสถานที่ที่มีลูกอมจำนวนมากเท่านั้น
นักเรียนรุ่นพี่ดูเหมือนจะไม่อยากหยิบลูกอมหลังจากกำจัดผีเสร็จสักเท่าไหร่ ตอนนี้ถึงได้มีลูกอมถูกทิ้งไว้บนพื้นจำนวนมาก ดาร์กที่ขยันขันแข็งและมีความคิดเรียบง่าย จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเปิดกระสอบ และเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกของมาริโอ้ที่กำลังเก็บเหรียญทองคำ
เมื่อถุงขนมเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ดาร์กก็ยิ่งลำบากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงลากมันไปกับพื้น
พอเวลาประมาณสามทุ่มครึ่ง รุกกี้เดวิมอนซึ่งกำลังสอดแนมอยู่ข้างหน้าก็กรีดร้องและบินหนีไป
สีหน้าของดาร์กมืดมนในทันทีที่เห็นค้างคาวกลุ่มใหญ่พุ่งมารุมล้อมรุกกี้เดวิมอน!
เด็กชายรีบลากถุงขนมไปที่ทางเดินเล็กแคบซึ่งอยู่ใกล้ ๆ และหลังจากที่รุกกี้เดวิมอนวิ่งผ่านไปพร้อมกับฝูงค้างคาว ดาร์กก็ฉวยโอกาสเรียกมันกลับมาที่การ์ดคัดสรร ก่อนจะอัญเชิญมันออกมาอีกครั้ง
“นายทำอะไรลงไป?” ดาร์กถามเสียงเบา
รุกกี้เดวิมอนพูดอย่างหายใจไม่ออก “พวกมันอัญเชิญอสูรดูดเลือดเวทมนตร์ออกมา!”
…
ณ กลางชั้นแปดของปราสาท
นักเรียนรุ่นพี่สองสามคนกำลังยืนล้อม ‘เคานต์แวมไพร์’ บอสลับบนชั้นแปดด้วยความตื่นเต้น!
เพื่อจะกระตุ้นมัน นักเรียนรุ่นพี่กลุ่มนี้พยายามอย่างหนักตลอดทั้งคืน เพื่อกระตุ้นและฆ่าผีลับทั้งหมดแปดตัว ซึ่งตั้งอยู่ประจำมุมทั้งแปดของชั้นแปด จากนั้นพวกเขาก็ได้รับหินอัญเชิญแปดก้อน และอัญเชิญเคานต์แวมไพร์บนแท่นบูชาเลือดได้สำเร็จ
ในฐานะผีระดับบอสที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสองในงานเลี้ยงสวมหน้ากาก เคานต์แวมไพร์ไม่เพียงแต่ให้คะแนนจำนวนมากเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสที่จะดรอปวัตถุดิบหลักที่เกี่ยวข้องกับมันด้วย
ตัวอย่างเช่น เขี้ยวแวมไพร์!
บทที่ 99 ดาร์ก เดม่อนไม่ใช่นักฆ่าหมี
บทที่ 99 ดาร์ก เดม่อนไม่ใช่นักฆ่าหมี
“ผีลับบนชั้นห้าของปราสาทมีอย่างน้อยห้าดาวสินะ”
อันที่จริงแล้วดาร์กไม่ใช่คนที่กล้าหาญ
แต่ที่ยังสงบอยู่ได้เป็นเพราะเขามีความเชื่อมั่นในสปิริตของตัวเอง
ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นระดับห้าดาว หกดาว หรือเจ็ดดาว… เขาก็ยังมีพลังที่จะต่อสู้กับพวกมัน!
นี่ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะพลังอันน่าเหลือเชื่อของเจ้าตัวเล็กอย่าง [ชัคคารุ] ที่มอบความกล้าให้กับดาร์ก
แม้ว่ามันจะมีจุดอ่อนมากมาย แต่ตราบใดที่ดาร์กใช้มันอย่างดี เขาก็จะไร้เทียมทาน
“ให้ฉันได้ทดสอบความแข็งแกร่งของผีลับระดับห้าดาวหน่อย!”
ดาร์กดึงการ์ดอีกสองใบออกจากซองการ์ดมาถือไว้ แต่ยังไม่เรียกใช้งาน
“ชัคคารุ ชัคคารุ!”
เพื่อดึงดูดความสนใจของซอมบี้หมีหุ่นเชิด ชัคคารุจึงพยายามทำอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม ตัวของมันก็ยังเล็กเกินไป…
ซอมบี้หมีหุ่นเชิดไม่คิดจะสนใจมัน และวิ่งไปข้างหน้าด้วยก้าวกระโดด
เพียงก้าวเดียวเท่านั้น มันก็กระโดดข้ามหัวของชัคคารุไปเลย
ใบหน้าของดาร์กขรึมลง เขาอัญเชิญ [สัตว์อสูรมายา: อีบุย] ออกมาอย่างรวดเร็ว
อีบุยปรากฏตัวขึ้นในอากาศและตะโกนใส่ซอมบี้หมี “วี้!”
เห็นได้ชัดว่าเสียงร้องนี้มีประสิทธิภาพมากกว่าเสียงเงียบ ๆ ของชัคคารุ
ซอมบี้หมีหุ่นเชิดหยุดชะงักกึก ก่อนจะยกอุ้งเท้าใหญ่ขึ้นเพื่อกระทืบอีบุย!
หากอีบุยถูกโจมตี มันจะกลายเป็นลูกบอลแสงและสลายไปในอากาศอย่างแน่นอน
โชคดีที่มันว่องไวพอที่จะหลบการโจมตีได้
“ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง!”
ดาร์กนับคูลดาวน์ของคาถาอัญเชิญแบบปกติในใจของเขา ก่อนจะเริ่มร่ายคาถาออกมาทันที
ห้าวินาทีต่อมา
[อัตตา II] ก็ถูกเปิดใช้งาน และแสงสีทองเข้มก็พุ่งเข้าใส่อีบุย
ดวงตาของอีบุยที่ดึงความสนใจจากซอมบี้หมีหุ่นเชิดได้สำเร็จนั้นพลันแปรเปลี่ยนไป และแม้แต่จิตวิญญาณของมันก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
แม้ว่าภายนอกจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ นอกจากสัญลักษณ์พิเศษบนหัวของมัน แต่ภายในของอีบุยกลับแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“เบบี้ดอลล์ อายส์!”
ดาร์กออกคำสั่งโดยไม่ลังเล
ทันใดนั้นเอง แสงสีทองเข้มก็ทอประกายขึ้นในดวงตาของอีบุย แทนที่ด้วยความเย่อหยิ่ง และส่งต่อความรู้สึกนั้นเข้าไปในจิตใจของซอมบี้หมีหุ่นเชิดผ่านสายตาของมัน
ในขณะนั้น แม้แต่ซอมบี้หมีหุ่นเชิดระดับห้าดาวก็ไม่สามารถต้านทาน [เบบี้ดอลล์ อายส์] ของอีบุยระดับสองดาวได้
ความเย่อหยิ่งนี้เปรียบเสมือนความเย่อหยิ่งของสิ่งมีชีวิตที่นั่งอยู่บนยอดดวงดาวและจ้องมองดูโลกอย่างเหยียดหยาม นี่ทำให้ซอมบี้หมีหุ่นเชิดหงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก
และมันก็สูญเสียความปรารถนาที่จะโจมตีไปในทันที
อีบุยตกลงมาบนพื้น พร้อมกับอาการหอบเล็กน้อย
แต่ผลของ [เบบี้ดอลล์ อายส์] ก็อยู่ได้ไม่นาน
หลังจากที่ซอมบี้หมีหุ่นเชิดกลับมารู้สึกตัว มันก็โกรธขึ้งและอ้าปากคำรามใส่ทันที
ในที่สุดมันก็เลิกสนใจหมีตัวน้อยและหันเป้าหมายมาเป็นอีบุย ผู้ซึ่งทำให้มันรู้สึกอัปยศอย่างไม่รู้จบแทน!
→ นี่คือสิ่งที่ดาร์กต้องการเห็น
ฉับพลันนั้น ซอมบี้หมีหุ่นเชิดก็ยกอุ้งเท้าขวาขึ้น และคว้าหัวใจสีดำที่กำลังเต้นอยู่ในอกของมันออกมา!
ภายใต้สายตาที่มองมาอย่างซับซ้อนของดาร์ก มันก็ขว้างหัวใจเข้าใส่อีบุยราวกับกำลังขว้างระเบิด!
ท่าไม้ตาย: ระเบิดหัวใจสีดำ!
…
ตู้ม!
ในทางเดินอันมืดสลัว เสียงระเบิดดังกึกก้องอยู่เป็นเวลานาน
ซอมบี้หมีหุ่นเชิดทุบหน้าอกและคำรามด้วยความตื่นเต้น
แต่หลังจากที่ควันจางหายไป สิ่งที่ปรากฏอยู่ด้านหน้าคือ ชัคคารุที่พลังเวทมนตร์ลดลงเล็กน้อย!
เห็นได้ชัดว่าพลังโจมตีของ [ระเบิดหัวใจสีดำ] นั้นเหนือกว่าพลังป้องกันของชัคคารุ
ซอมบี้หมีหุ่นเชิดตัวนี้จัดได้ว่าเป็นอันดับต้น ๆ ในหมู่ผีระดับห้าดาว
อีบุยที่ปรากฏตัวจากด้านหลังชัคคารุตบหน้าอกของมัน แล้วสีหน้าของมันก็กระตุกเล็กน้อย
มันเพิ่งใช้ [ลอกเลียนแบบ] แต่สกิลที่เลียนแบบมานั้นจำเป็นต้องควักหัวใจออกมาเพื่อใช้งาน ซึ่งยากมากสำหรับมัน!
“ชัคคารุ ชัคคารุ!”
ชัคคารุดึงความสนใจอีกครั้ง
คราวนี้ ในที่สุดมันก็ดึงความสนใจของซอมบี้หมีหุ่นเชิดได้สำเร็จ
…
เมื่อเห็นว่าความสนใจของซอมบี้หมีหุ่นเชิดพุ่งไปที่ชัคคารุแล้ว ดาร์กก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ในที่สุด!
ตามความเห็นของเขา แน่นอนว่าจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของชัคคารุคือ ขนาดตัวที่เล็กและความเร็วที่ต่ำ
แม้ว่าชัคคารุจะถูกอัญเชิญลงมาในสนาม แต่ฝ่ายตรงข้ามก็อาจมองเมินมันอยู่ดี
และถ้าคู่ต่อสู้ยังไม่คิดสนใจมันอีก นั่นก็หมายความว่าการต่อสู้ได้จบลงแล้ว
ซอมบี้หุ่นเชิดหมีที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาคือ ตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อมันพุ่งเข้าหาชัคคารุด้วยความโกรธ ชัคคารุก็ใช้สกิล [แบ่งพลัง] ทันที ลดพลังโจมตีของซอมบี้หุ่นเชิดหมีลงครึ่งหนึ่ง
พลังโจมตีที่สูงกว่าพลังป้องกันในตอนแรก จู่ ๆ ก็ไม่รู้สึกเจ็บปวด
‘การกระทืบสุดแรงควาย’ ของซอมบี้หมีหุ่นเชิดกลายเป็น ‘การกระทืบสุดแรงแมว’ แทน
หลังจากได้รับพลังโจมตีนี้แล้ว ชัคคารุก็ใช้ [ลูกหลอก] ทันทีเพื่อสับเปลี่ยนพลังป้องกันกับพลังโจมตีของตัวเอง
→ พลังโจมตี: 2200 หน่วย
→ ป้องกัน: ???
ด้วยพลังโจมตีสองพันสองร้อยหน่วย [ชัคคารุ] พลันมีความสามารถในการโต้กลับที่เหนือกว่าการ์ดสามดาวทันที
หนวดของมันม้วนขึ้นเป็นหมัด และชกเข้าที่ขาซ้ายของซอมบี้หมีหุ่นเชิด!
เปรี๊ยะ!
กระดูกขาสีซีดพลันเกิดรอยร้าวราวกับกระจกแตกขึ้นมาในทันใด
กระดูกที่เน่าเปื่อยไม่สามารถรองรับร่างที่หนักของซอมบี้หมีหุ่นเชิดได้อีกต่อไป
มันแตกทันที!
…
ซอมบี้หมีหุ่นเชิดที่ไม่มีเท้าซ้ายล้มลงและตามมาด้วยเสียงคำราม
อีบุยกระโจนเข้าไปหามันราวกับลมกระโชกแรง กัดดวงตาที่เป็นกระดุมติดไฟของมัน ทันใดนั้นซอมบี้หมีก็เงยหน้าขึ้นและทึ้งตามันออกมา!
แม้ซอมบี้หมีหุ่นเชิดจะสูญเสียดวงตาไปเพียงข้างเดียว แต่มันก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไป
สองนาทีต่อมา ผีลับระดับห้าดาวตัวนี้ก็ถูกกำจัดโดยสมบูรณ์
[คะแนน +100]
อีบุยจังกระโดดขึ้นเล็กน้อย คว้ากล่องของขวัญด้วยปากของมันแล้วเอามาส่งให้ดาร์ก
ดาร์กหยิบกล่องของขวัญแล้วลูบหัวมันเบา ๆ อีบุยจังไถหัวออดอ้อนอย่างภาคภูมิใจ “วี้!”
…
“นี่คืออะไรน่ะ?”
ดาร์กเปิดกล่องของขวัญ แต่กลับได้เห็นกระดุมสีดำนอนแน่นิ่งอยู่ข้างใน
สิ่งนี้ทำให้เขานึกถึงดวงตาที่เหมือนกระดุมของซอมบี้หมีหุ่นเชิด
“ไม่ว่ายังไง ในเมื่อเป็นไอเทมดรอปของผีลับระดับห้าดาว มันก็ต้องไม่ใช่ของธรรมดา”
หลังจากที่ดาร์กค่อย ๆ วางมันลงในช่องซองใส่การ์ด เขาก็หันหลังกลับมา
ดวงตาบังเอิญเห็นหมีน้อยแอบหนีไปพร้อมกับถุงขนมบนหลังเธอ!
ดาร์กยิ้ม
ในตอนที่เขาวิ่งผ่านแองจี้นั้น นัยน์ตาก็พลันสังเกตเห็นสปิริตกริฟฟินตัวน้อยตัวหนึ่ง
เนื่องจากมีสปิริตของศาสตราจารย์อาร์เต้คอยปกป้องแล้ว ดาร์กจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเธออีกต่อไป
หลังจากที่แองจี้หนีไปแล้ว ดาร์กก็ออกสำรวจต่อ โดยมุ่งความสนใจไปที่ผีสี่ดาวที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวแทน
และในขณะที่หาคะแนน เขาก็อาศัยการต่อสู้ที่เข้มข้นคอยสะสมประสบการณ์การต่อสู้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งแล้ว คุณค่าพิเศษของงานเลี้ยงสวมหน้ากากนั้นมีมากจริง ๆ
และในระยะเวลาอันสั้นดาร์กก็ได้รับอะไรกลับมามากมาย
…
“ว้าว ว้าว”
ตัดภาพมาที่ศาสตราจารย์ลิลลี่ หลังจากเฝ้าสังเกตดาร์กอยู่สักพักหนึ่งแล้ว เธอก็แอบย่องกลับไปทันที
…
งานเลี้ยงสวมหน้ากากยังคงดำเนินต่อไป
นอกจากปลาหมึกและปลาปักเป้า การเคลื่อนไหวของสมาชิกคนอื่น ๆ ในภาคีนั้นค่อนข้างราบรื่น
มีคู่รักสองสามคู่ได้หายตัวไปอย่างเงียบงัน
บทที่ 98 ดาร์ก เดม่อนและเจ้าหญิงกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
บทที่ 98 ดาร์ก เดม่อนและเจ้าหญิงกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
หมีน้อยตัวนั้นย่องเท้ามาอยู่ข้างหลังของดาร์ก
เมื่อดาร์กหันไปมอง หมีน้อยก็รีบซ่อนตัวที่ด้านข้างทางเดินทันที
แต่ด้วยลักษณะขาสั้นป้อมที่วิ่งเร็วไม่ได้นั้น กลับทำให้คนที่ผ่านมาเห็นต่างรู้สึกขบขันไม่น้อย
“นี่มันชุดคอสตูม…”
ดาร์กพึมพำ
ค่อนข้างเป็นไปได้ว่าจะเป็นนักเรียนที่สวมชุดหมี แต่ไม่รู้ว่าเป็นนักเรียนปีหนึ่งหรือปีที่สอง
ดูจากส่วนสูงแล้ว…นักเรียนคนนี้ไม่น่าอายุเยอะ
“หยุดตามฉันซะ” หลังพูดจากระยะไกล ดาร์กก็หันหลังเดินต่อไป
แต่หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าวก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างหลังเขา
นั่นทำให้ดาร์กขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาหันกลับมาพูด “ตามฉันมาทำไม”
หมีน้อยตัวแข็งทื่อ ทันใดนั้นก็ยกมือขึ้นและคำรามเบา ๆ “โฮก!”
ดาร์กถาม “เธออายุเท่าไหร่กัน?”
หมีน้อยตอบ “สิบเอ็ด”
ดาร์ก “…”
หมีน้อย “อะฮิ~ ( 1 > < 1)”
…
ใบหน้าดาร์กมืดครึ้มลง เขากอดอกก่อนแล้วพูดว่า “สิบเอ็ดขวบ งั้นเธอคือแอนนาหรือแองจี้ล่ะ?”
หมีน้อยตอบ “แอนนา!”
ดาร์ก “อ้อ แองจี้สินะ?”
หมีน้อยดื้อด้าน “แอนนา!”
ดาร์กยอมแพ้ “ช่างเถอะ พี่สาวของเธออยู่ไหน?”
องค์หญิงลำดับสามแองจี้กระโดดเข้าไปหาดาร์ก “เลี้ยงหรือหลอก!”
ดาร์กโยนถุงขนมที่เขาถือให้กับเธอ
แองจี้รับมันไว้โดยไม่รู้ตัว แต่เนื่องจากน้ำหนักที่มาก เธอจึงเกือบทำมันหลุดมือ “นี่อะไร?”
ดาร์กยิ้มเล็กน้อย “ลูกกวาดที่เธออยากได้ไง เอาล่ะ ตอนนี้ขนมถุงนี้เป็นของเธอแล้ว ไปเล่นคนเดียวเถอะ แล้วเลิกตามฉันได้แล้ว”
หลังจากกำจัดถุงขนมที่ยุ่งยากออกไปได้ ดาร์กก็รู้สึกมีความสุขมาก
ในอาณาจักร เพราะเขาเป็นบุตรชายของดัชเชส จึงทำให้ได้รู้จักกับเจ้าหญิงทั้งสามมาตั้งแต่เด็ก
เช่นเดียวกับเด็กเล็กที่ชอบวิ่งตามหลังพี่สาว ดาร์กก็เคยตัวติดหนึบกับเจ้าหญิงเอลิซาเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็กเช่นกัน แต่นั่นก็เป็นเรื่องนานมาแล้ว
ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็มีอายุห่างกันอย่างน้อยหกปี เมื่อดาร์กเริ่มจำความได้ เจ้าหญิงก็ยุ่งกับการเรียนแล้ว
หลังจากนั้นมา คนที่เล่นกับเขาก็คือเจ้าหญิงฝาแฝดที่อายุน้อยกว่า
เนื่องจากเจ้าหญิงลำดับที่สองแอนนาเกิดมาพร้อมกับพลังเวทมนตร์มหาศาล มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พลังเวทมนตร์เกิดควบคุมไม่ได้ ทำให้ของเล่นที่อยู่รอบ ๆ ลอยไปมา จนมาโดนหัวของดาร์ก
ในเวลาต่อมา ดาร์กจึงได้ตั้งชื่อเล่นให้กับเธอว่า ‘แม่มดแก่’
หลังจากนั้น…
หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีก
ความสัมพันธ์ระหว่างดาร์กและแอนนาเริ่มแย่ลง แม้แต่ความสัมพันธ์ของเขากับแองจี้ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อดาร์กมีอายุได้ประมาณเจ็ดขวบ
ในตอนนั้น ดาร์กซุกซนและนิสัยเสียมากขึ้น ขณะที่เจ้าหญิงทั้งสองก็ไม่ได้ต่างกันเลย
ผ่านมาเพียงชั่วพริบตา เป็นเวลาห้าปีแล้ว ดาร์กไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับพวกเธออีกครั้งบนทางเดินของปราสาทเซนต์แมเรียน
เด็กชายถอนหายใจเล็กน้อย
แองจี้วางถุงขนมลงบนพื้นแล้ว และแกะเชือกออกมาดูอย่างกระตือรือร้น
“เฮ้ ดาร์ก” แองจี้เรียกทันที
ดาร์กตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “หืม”
แองจี้พูดอีกครั้ง “ทำไมนายถึงมีลูกอมมากมายขนาดนี้ล่ะ? งั้นฉันขอตามนายไปช่วยเก็บลูกอมนะ ตกลงไหม?”
ดาร์กปฏิเสธ “ไม่”
แองจี้พูดอย่างตื่นเต้น “ถ้างั้นก็เป็นอันตกลง!”
ดาร์กไม่อยากให้เธอตามเขาไป เขาใช้ประโยชน์ระหว่างที่เธอดื่มด่ำกับขนมเวทมนตร์ของวันฮัลโลวีน หันหลังวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว!
“อ๊ะ!”
ชุดหมีนั้นเทอะทะอยู่แล้ว
เมื่อเห็นดาร์กวิ่งหนี แองจี้ก็อยากจะไล่ตามเขาทันที เป็นผลให้ถุงขนมถูกเตะโดยไม่ได้ตั้งใจ และขนมจำนวนมากก็กระจัดกระจายกลิ้งไปทั่วพื้น
ท่ามกลางบรรยากาศยามค่ำคืน กลิ่นอายลางไม่ดีพลันปรากฏขึ้น
ดาร์กซึ่งวิ่งไปได้ไม่ไกลก็หยุดลงทันใด เขาได้ยินเสียงบางอย่างมาจากที่ไกล ๆ
เสียงนั้นค่อย ๆ ใกล้เข้ามาและชัดเจนมากยิ่งขึ้น
“หมีน้อยของฉันอยู่ที่ไหน?”
“ใครเห็นหมีน้อยของฉันบ้าง?”
ดาร์กหันไปมองและเขาก็ได้เห็นหุ่นเชิดหมีตัวโต มันโผล่ร่างกายออกมาครึ่งหนึ่งจากอีกฟากหนึ่งของทางเดินอันมืดมิด
ตุ๊กตาหมีสูงสามเมตร ดวงตาแบบกระดุมของมันมีเปลวไฟสีเขียวลุกโชนให้เห็น และผิวหนังบนตัวของมันก็ประกอบไปด้วยผ้าหลากสีสัน ขณะที่ลมหายใจสีดำไหลออกมาจากรอยต่อบนตัว
หากเป็นเพียงแค่นั้น มันก็คงไม่ได้ทำให้คนรู้สึกกลัวจนเกินไป
แต่เผอิญว่าร่างอีกครึ่งหนึ่งของมันที่โผล่ออกมาหลังจากนั้น กลับเป็นโครงกระดูกสีซีดซึ่งมีเศษเนื้อห้อยติดมาด้วย!
“เธอเห็นหมีน้อยของฉันไหม?”
เสียงแหบแห้งนั้นดูเหมือนจะสามารถเจาะเข้าไปในกระดูกของมนุษย์ได้ และมันทำให้คนตัวสั่นกึกโดยไม่รู้ตัว
…
“เอ๋?”
ที่ไหนสักแห่งในปราสาท
ศาสตราจารย์ลิลลี่ ลาปลาซ ผู้ซึ่งกำลังนอนอยู่บนโซฟาและเป่าฟองสบู่อยู่ ทันใดนั้นเธอก็เด้งตัวขึ้นมาจากโซฟา
“เอาจริงเหรอเนี่ย กลไกแบบนั้นก็ถูกกระตุ้นได้ด้วย?”
ศาสตราจารย์ลิลลี่ตื่นเต้นขึ้นในทันที เธอรีบร่ายการ์ดลงบนร่างกาย แล้วจากนั้นร่างกายของเธอก็กลายเป็นเพียงภาพลวงตาอย่างรวดเร็ว
ปีกของแมลงปอบนหลังของเธอพลันกระพืออย่างรวดเร็ว ก่อนจะบินตรงผ่านกำแพงไปยังชั้นห้าของปราสาท
เธอไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด กลับกันคือมีแต่ความสงสัยเสียมากกว่า
“ใครเป็นผู้โชคดีที่สามารถกระตุ้นสิ่งนี้ได้กันนะ”
…
“อุ๊บ!”
เมื่อแองจี้หันกลับมา เธอก็รีบปิดปากตัวเอง
สปิริตตัวเล็กที่ดูเหมือนกริฟฟินโผล่หัวออกมาจากกระเป๋าชุดหมีน้อยของเธอ
แต่แล้วแองจี้ก็มีความคิดอื่น เธอเก็บสปิริตตัวน้อยที่อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ให้มากลับเข้าไปในกระเป๋า แล้วเริ่มกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก
ทว่าทันทีที่กรีดร้อง เธอก็เห็นวัยรุ่นผมบลอนด์ ซึ่งตอนนี้กลับดูแตกต่างจากที่เธอจินตนาการไว้โดยสิ้นเชิง เขาวิ่งผ่านเธอและพุ่งเข้าไปหาซอมบี้หมีหุ่นเชิดที่น่าสะพรึงกลัว!
“โชคดีจริง!”
ดาร์กพยายามระงับความสุขของเขา ขณะถือการ์ดวิญญาณไว้ระหว่างนิ้ว
เขายังคงมั่นใจในการจัดการกับผีลับซึ่งปรากฏตัวเพียงลำพังอยู่
จากคำพูดของซอมบี้หมีหุ่นเชิดนี้ ดูเหมือนว่ามันจะเล็งแองจี้ที่สวมชุดหมีอยู่?
อาจจะเป็นหมีกับลูกกวาดที่กระตุ้นมัน?
หรือจะเป็นเพราะเหตุการณ์ ‘หมีน้อยทำขนมหกบนพื้น’ กันนะ?
ในตอนนี้ดาร์กยังไม่สามารถเข้าใจได้
แต่เรื่องนี้สำคัญไหมน่ะเหรอ?
ไม่สำคัญเลยสักนิด!
ดาร์กหยุดลงอย่างกะทันหัน และการ์ดวิญญาณที่ถือไว้ก็ถูกสะบัดออกในทันที
“จงออกมา!”
สปิริตซึ่งคล้ายกับเต่าตัวเล็กพลันปรากฏตัวขึ้น คั่นกลางระหว่างดาร์กกับหมีตัวใหญ่
…
แองจี้หยุดกรีดร้องแล้ว สายตาจ้องมองไปที่เต่ากระดองสีแดงและสีเหลืองตัวเล็ก เธออดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย “นี่คือสปิริตของดาร์กเหรอ? ทำไมมันดูง่อยจัง?”
ในขณะเดียวกัน สปิริตตัวน้อยที่ดูเหมือนกริฟฟินก็บีบนิ้วของเธออีกครั้ง
แต่มันเพียงกะพริบและหยุดเคลื่อนไหวไปอย่างกะทันหัน
พลันมีภูตตัวน้อยตนหนึ่งโผล่หัวออกมาจากเพดานราวกับผีและกะพริบตา
…
“เจอแล้ว หมีน้อยของฉัน!”
ซอมบี้หมีหุ่นเชิดไม่สนใจชัคคารุกับดาร์กเลยสักนิด แต่กลับจ้องไปที่องค์หญิงลำดับที่สามซึ่งอยู่ในชุดหมีน้อย
และในวินาทีต่อมา มันก็วิ่งเข้าใส่ทันที
บทที่ 97 ดาร์ก เดม่อนไม่ได้สนใจการจัดอันดับ
แจ็กพัมพ์กิ้นส์ถือขวานที่หลั่งไหลเข้ามา ทำให้ห้องเรียนที่ว่างเปล่ามีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อย
ดาร์กยืนอยู่ที่หน้าต่างด้านหลัง เขาจำต้องเหลือทางหนีเอาไว้ ขณะที่ [ราคะ III] ในมือของเขาก็สว่างขึ้นเล็กน้อย
รุกกี้เดวิมอนกรีดร้อง ‘ช่วยด้วย’ ถึงสิบสามครั้งในหนึ่งวินาที อันที่จริงแล้วมันไม่ได้รีบกระพือปีกไปหาดาร์ก แต่บินตรงไปที่หน้าต่างและพุ่งตัวออกไปข้างนอกเลยต่างหาก
แจ็กพัมพ์กิ้นส์ถือขวานตนแรกที่ไล่ตามมาติด ๆ ถึงกับกระแทกเข้ากับขอบหน้าต่าง โดยท่อนบนของร่างกายอยู่นอกหน้าต่าง ส่วนตัวของมันเกือบจะตกลงไปข้างล่าง
แจ็กพัมพ์กิ้นส์ถือขวานตนที่สอง สาม และที่เหลือด้านหลังก็หยุดไม่ทัน จากนั้นพวกมันก็ชนกันเป็นทอด ๆ
รุกกี้เดวิมอนกระพือปีกอยู่นอกหน้าต่าง มันหันหัวกลับมามองพร้อมกับเสียงหัวเราะดังลั่น
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เสียงหัวเราะดังขึ้น หนึ่งในแจ็กพัมพ์กิ้นส์ถือขวานก็หยิบขวานไม้เล็ก ๆ ขึ้นมา จากนั้นก็ขว้างใส่รุกกี้เดวิมอนเต็มแรง!
รุกกี้เดวิมอนพลันกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนกและรีบหลบทันที แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีรอยขีดข่วนเล็กน้อยที่ปลายปีกของมันอยู่ดี ทำให้เจ้าตัวน้อยน้ำตาไหลออกมา
มันไม่กล้าที่จะเยาะเย้ยคู่ต่อสู้อีกต่อไป แต่เปลี่ยนมารักษาระยะห่างเพื่อหลบซ้ายหลบขวา เพื่อดึงดูดความสนใจของผีอย่างต่อเนื่องแทน
จากนั้นพวกก็อบลินหมวกแดงกับซอมบี้ที่แขนและขาหัก ต่างก็เบียดกันเข้ามาทางประตูหน้า
เมื่อไม่สามารถเข้าถึงตัวรุกกี้เดวิมอนได้ ในที่สุดเหล่าผีก็สังเกตเห็นดาร์กซึ่งยืนอยู่ใกล้กับหน้าต่างด้านหลังเสียที
พวกมันเปลี่ยนเป้าหมายในฉับพลัน
ก็อบลินหมวกแดงนั้นเร็วและว่องไวที่สุด พวกมันกรีดร้องและพุ่งใส่เข้าหาดาร์ก
แจ็กพัมพ์กิ้นส์ถือขวานและซอมบี้ต้อนดาร์กให้ไปที่มุมห้องด้วยขบวนรูปพัด
“ได้เวลาแล้ว!” เมื่อเห็นว่าห้องเรียนเต็มไปด้วยผี ดาร์กก็ชูการ์ด [ราคะ III] ขึ้นทันที!
การ์ด [ราคะ III] ระเบิดแสงออกมาเช่นเดียวกับเทพีเสรีภาพถือคบเพลิงสูง!
ไม่ว่าจะเป็นผี ผนัง พื้น หรือเพดาน ล้วนถูกปกคลุมไปด้วยสีชมพูอันเย้ายวน
ผีทั้งหมดตกอยู่ในสภาพชะงักงันทันทีภายใต้แสงสว่างที่เกิดจากการ์ด [ราคะ III]
แต่สมองที่ด้อยพัฒนาของพวกมันดูเหมือนจะไม่เข้าใจว่า [ราคะ] คืออะไร และมีเพียงก็อบลินบางตัวเท่านั้นที่เคลื่อนไหวแปลก ๆ
จากนั้นอีบุยซึ่งอยู่ใกล้เท้าของดาร์กก็กลายเป็นจุดที่แสงแห่ง [ราคะ III] มารวมตัวกัน
แสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างห้องเรียนพลันเริ่มรวมตัวกัน และในที่สุดสัญลักษณ์ [ราคะ] ก็ปรากฏบนหน้าผากของอีบุย
ดาร์กไม่รอให้มันวิวัฒนาการจนเสร็จ
เขาอุ้มมันขึ้นมาและโยนมันเข้าใส่ฝูงผีทันที
อีบุยผู้น่าสงสาร…
…
ในขณะที่ความสนใจของผีถูกเบี่ยงเบนออกไป ดาร์กก็เคลื่อนตัวจากหน้าต่างไปที่ประตู ก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้องเรียน
ปัง!
ขณะที่ประตูปิดลง เสียงร้องของแบล็คบุยก็ดังขึ้นจากภายในห้อง เช่นเดียวกับเสียงกรีดร้องของแจ็กพัมพ์กิ้นส์ถือขวาน ก็อบลินหมวกแดง และเสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัวของซอมบี้
ดาร์กมองเห็นแสงสีดำโผล่ออกมาจากห้องเรียนผ่านทางหน้าต่าง ทันใดนั้นเอง คลื่นอนธการที่ชั่วร้ายและน่าสะพรึงกลัวก็ปะทุออกมาในทันที!
[ท่าไม้ตาย: ชีพจรมืด]
[ชีพจรมืด: ปลดปล่อยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวออกมาเพื่อครอบงำความนึกคิดของฝ่ายตรงข้าม และทำให้เป้าหมายชะงักไปชั่วขณะได้]
“แจ็กพัมพ์กิ้นส์ถือขวานสองดาว ก็อบลินหมวกแดงสองดาว และซอมบี้สองดาว มีผีแต่ละประเภทอยู่ประมาณ 12-15 ตัว แต่ละตัวให้คะแนนยี่สิบคะแนน นั่นหมายความว่า ฉันก็น่าจะได้แต้มราว ๆ 720 ถึง 900 คะแนน ซึ่งเทียบเท่ากับคะแนนที่ได้รับจากการทำงานหนักตามปกติหนึ่งสัปดาห์”
“เวลาคูลดาวน์ของ [ราคะ III] คือเก้าสิบนาที ก่อนงานเลี้ยงจะจบลง ยังสามารถใช้มันได้อีกสองครั้ง”
“และตอนนี้ดูเหมือนว่า แค่ผีสองดาวจะไม่สามารถสนองความอยากอาหารของแบล็คบุยได้”
ดาร์กกำลังพิจารณาอย่างรอบคอบว่า เขาควรจะตะลุยไปยังปราสาทชั้นที่สูงกว่านี้เพื่อให้ได้กำไรมากขึ้นหรือไม่
แต่ในเวลานี้เอง จู่ ๆ ประตูที่อยู่ข้างหลังก็ถูกเปิดออก และแบล็คบุยก็กระโดดเข้ามาในอ้อมแขนของดาร์ก ลิ้นของมันเลียหน้าเขาอย่างชอบใจ
“โอเค พอแล้ว พอ!”
ดาร์กดูทำอะไรไม่ถูก เขาจับอุ้งเท้าหน้าข้างหนึ่งของมันไว้ และชะโงกหัวเข้าไปดูข้างในห้องเรียน
มีขนมบิสกิตมากกว่าสิบชิ้นลอยอยู่ในห้องเรียนขนาดใหญ่ที่ว่างเปล่า
เขารีบสั่งให้รุกกี้เดวิมอนเก็บกวาดทันที
…
คะแนนล่าสุดคือแปดร้อยหกสิบคะแนน เมื่อรวมกับคะแนนก่อนหน้านี้ ดาร์กก็มีคะแนนทะลุหลักพันแล้ว!
เขาหยิบถุงกระสอบใบใหญ่ออกมาจากที่ไหนสักแห่ง และยัดลูกอมทั้งหมดลงในนั้น จากนั้นจึงแบกของขวัญและเดินต่อไปอย่างกับซานตาคลอส
สถานะแบล็คบุยสามารถคงอยู่ได้นาน เพราะงั้นดาร์กจึงสามารถใช้งานมันได้อย่างเต็มที่
เหล่าผีสามดาวไม่อาจสู้กับแบล็คบุยได้เลยแม้แต่การโจมตีเดียว ลูกบอลเงาสามารถกำจัดพวกมันออกไปได้อย่างง่ายดาย และหากพลังเวทมนตร์ไม่เพียงพอ มันก็สามารถไปยืนใต้แสงจันทร์เพื่อเติมพลังงานได้
แน่นอนว่ามันเก่งมาก แต่แบล็คบุยตัวนี้ก็ควบคุมไม่ได้จริง ๆ ทุกครั้งมันจะรอให้ผีเข้าจู่โจมก่อน มันถึงจะโต้กลับ
เรื่องนี้ทำให้ดาร์กตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายไม่น้อย และมันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดไปพร้อม ๆ กับมีความสุข
ในที่สุด หลังจากที่แบล็คบุยฆ่าผีระดับสี่ดาวได้เป็นครั้งแรก ผลของ [ราคะ III] ก็หมดลงทันที
คะแนนของดาร์กก็เพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งพันสองร้อยสามสิบคะแนนด้วย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาอยู่ในอันดับสูงสุดของบ้านขุนนางปีหนึ่ง!
และอันดับสองคือโดรอนซึ่งแพ้เขาในการประลองกันระหว่างชั้นเรียน
เมื่อสี่ชั่วโมงที่แล้ว โดรอนยังคงอวดอ้างตนว่าเป็นที่หนึ่งในชั้นเรียน แต่เขาไม่คิดว่าจะมีคนตามทันในชั่วพริบตา และชั่วพริบตานั้น คะแนนของเขาก็ตามหลังอันดับแรกไปมาก
“โอ้ ดาร์กเองหรอกเหรอ งั้นก็ไม่เป็นไร”
ภายใต้สายตาของเพื่อน ๆ โดรอนยักไหล่อย่างไม่แยแส ทว่าในใจเขากำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างแค้นเคือง
…
ในขณะเดียวกัน
เวอร์เธอร์ ซึ่งยังคงอยู่บนชั้นสามของปราสาท ก็กำลังเก็บเกี่ยวคะแนนอย่างรวดเร็ว โดยอาศัยพลังของ [โทรลล์]
เนื่องจากการมีส่วนร่วมของไซบอร์ก แร็ตแมนของโรเบิร์ต ความเร็วของเขาจึงไม่ช้าเช่นกัน เวอร์เธอร์ยังคงทำงานหนักเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งและได้รับคะแนนซึ่งเขาอาจไม่มีทางหาได้ในหนึ่งเทอม ตอนนี้เขาอยู่ในอันดับที่สอง ซึ่งเป็นอันดับของนักเรียนปีหนึ่ง
อันดับหนึ่งคือ นักเรียนจากบ้านนักปราชญ์
คนฉลาดมักจะคิดหาวิธีต่าง ๆ เพื่อให้ได้ประโยชน์มากขึ้น
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่นักเรียนของบ้านนักปราชญ์จะได้อันดับหนึ่ง
แม้ว่าเวอร์เธอร์จะไม่พอใจเล็กน้อย แต่เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นทุกครั้งที่แซงอันดับนักเรียนบ้านขุนนางปีหนึ่งได้
ทว่าเมื่อมองอีกครั้ง เปลือกตาของเวอร์เธอร์ก็เบิกกว้างขึ้น ดาร์กซึ่งแต่เดิมอยู่แค่อันดับท้าย กลับพุ่งขึ้นมาอยู่อันดับหนึ่งของบ้านขุนนาง!
และจำนวนคะแนนรวมก็น้อยกว่าเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อมองย้อนกลับไปอีกครั้ง ดาร์กก็ติดอันดับที่สามของอันดับโดยรวมของชั้นปีที่หนึ่งแล้ว!
“เขาทำบ้าอะไรอยู่?”
เวอร์เธอร์พูดตะกุกตะกักทันที
โชคดีที่หลังจากนั้น อัตราการเพิ่มคะแนนของดาร์กก็ช้าลงอีกครั้ง นั่นจึงทำให้เขาสงบลง
เพราะมีการล่าเป็นจำนวนมาก ผีบนชั้นสองและสามจึงค่อย ๆ ลดลง
เมื่อไม่ได้เจอผีเป็นเวลาหลายนาที เวอร์เธอร์จึงต้องขึ้นไปบนชั้นสี่เพื่อหาคะแนนเพิ่ม
แต่ถึงเวลานั้น ดาร์กก็ไปถึงชั้นห้าแล้ว!
มีผีระดับสี่ดาวจำนวนมากบนชั้นห้า เช่นเดียวกับผีลับระดับห้าดาว
นักเรียนชั้นปีที่สามส่วนใหญ่ก็มารวมตัวกันที่ชั้นห้าเช่นกัน
จุดประสงค์ของดาร์กครั้งนี้คือ การเรียกผีลับออกมาระหว่างที่ [ราคะ III] คูลดาวน์ เขาวางแผนที่จะใช้ [ชัคคารุ] ฆ่าบอสให้ได้มากที่สุด และรับวัตถุดิบหลัก
เพียงไม่นานหลังจากที่เขาปรากฏตัวบนชั้นห้า เขาก็พบว่ามีหมีน้อยตามหลังเขามา!
บทที่ 96 ดาร์ก เดม่อนเชี่ยวชาญการล่อมอนสเตอร์
บทที่ 96 ดาร์ก เดม่อนเชี่ยวชาญการล่อมอนสเตอร์
องค์หญิงลำดับที่สอง แอนนารีบปีนขึ้นไปที่หน้าต่างชั้นสามของปราสาท และมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนสะพานชั้นสอง
ปลาหมึกสามตาตกลงมาจากฟากฟ้า และคว้าเด็กหญิงที่อยู่บนสะพานไว้ ในตอนที่เด็กชายผู้กำลังเดตกับเด็กหญิงกำลังจะเคลื่อนไหวอยู่นั้น หนวดของปลาหมึกก็ชี้ไปที่คอของเขาแล้ว
สก็อตต์สวมชุดปลาหมึกเดินออกมาจากปลายสะพานด้านหนึ่ง และพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “อย่าส่งเสียงจะดีกว่า ลำคอของนายไม่ได้แข็งเท่าปากของนายหรอกนะ”
บรูเดอร์กลืนน้ำลาย มองดูคู่รักในวัยเด็กของเขาอย่างขลาดเขลา ซึ่งอีกฝ่ายกำลังถูกหนวดปลาหมึกจับไว้
แต่แมรี่ไม่ลังเลที่จะตะโกนว่า “มันคือสปิริต บรูเดอร์ รีบไปขอความช่วยเหลือจากอาจารย์เร็ว!”
บรูเดอร์ดึงความกล้าหาญออกมาแล้วตะโกนว่า “แต่ถ้าฉันไป แล้วเธอล่ะ?”
แมรี่ตอบ “อย่ากังวลไปเลย เราเป็นคู่รักที่พระเจ้ากำหนดไว้นะ นี่เป็นเพียงการทดสอบความรักของเราเท่านั้น ฉันจะไม่เป็นอะไร”
“ถ้าอย่างนั้นฉัน…” บรูเดอร์ก้าวถอยหลัง
แมรี่ขมวดคิ้ว “ไปสิ ฉันจะรอเธอ”
“รอฉันก่อนนะ!” บรูเดอร์หันหลังและรีบวิ่งไป
นี่ช่าง… แม้แต่ละครโรแมนติกเลี่ยน ๆ ก็ยังไม่กล้าที่จะใช้พล็อตนี้เลย
เมื่อเห็นแผ่นหลังของบรูเดอร์หายไปจากสะพานแล้ว ใบหน้าของแมรี่ก็ขรึมลง
เธอพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เอาล่ะ ตอนนี้เขาไปแล้ว อีกอย่างการโจมตีคนในสถาบันเดียวกันมันไม่ใช่เรื่องสนุกเลย แต่พูดก็พูดเถอะ ตอนที่ฉันอยู่ปีหนึ่ง ฉันเห็นนายเรียนวิธีทำปลาหมึกสามตา”
สก็อตต์ ( ⊙ ꇴ ⊙ )
ปลาหมึกสามตาดูเหมือนจะรู้สึกถึงอารมณ์ของเด็กหญิง หนวดของมันที่จับแมรี่ไว้จึงคลายออกไป
แมรี่หลุดจากหนวดแล้วก็ร่วงลงกับพื้น ขณะที่ร่วงลง เธอหมุนตัวและวาดเท้าเตะออกไป
ก่อนหน้านั้น เธอบังคับให้การ์ดเวทมนตร์เลื่อนจากแขนเสื้อไปถึงปลายนิ้ว ใช้เวลาเพียงสามวินาทีในการอัญเชิญ เท้าของเธอที่เตะออกไปพลันถูกปกคลุมไปด้วยเกราะขาที่ส่องแสงระยิบระยับ
ปัง!
พลังที่ระเบิดออกมาในทันทีนั้นยากจะหาใดเทียบ
ร่างของปลาหมึกสามตาโน้มตัวไปข้างหน้าในทันทีหลังจากถูกเตะ เขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวด จากนั้นร่างของเขาก็กระเด็นออกไปราวกับลูกบอล และกระแทกเข้ากับกำแพงปราสาทอย่างรุนแรง!
ตึง!
…
สก็อตต์ ( ‧ ̣ ̥̇ ꒪ ່ ⍢ ꒪ ່ )
…
แมรี่ปรบมือและพูดเบา ๆ ว่า “เป็นงานฮัลโลวีนที่ยอดเยี่ยมมาก ฉันไม่อยากรู้หรอกนะว่านายกับเพื่อนของนายกำลังทำอะไรกันอยู่ แต่บอกเขาให้ปล่อยบรูเดอร์ไปเถอะ แล้วฉันจะไม่สนใจในสิ่งที่นายทำ หืม…? ”
ก่อนจะทันได้พูดจบ เธอพลันเงยหน้าขึ้น เห็นเสือตัวเล็กตัวหนึ่งที่มีปีกสีขาวราวกับหิมะตกลงมาจากฟากฟ้า มือข้างนั้นตะปบใส่หัวปลาหมึกของสก็อตต์เต็มแรง
สก็อตต์กรีดร้องออกมาอีกครั้ง และหมดสติไปหลังจากนั้นไม่นาน
องค์หญิงลำดับที่สองเก็บการ์ดเวทมนตร์ [ปีก] ของเธอไป มือก็ตบฝุ่นบนชุดเสืออย่างเขินอายเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยทักทาย “สวัสดีพี่สาว”
พี่สาวคนนี้แข็งแกร่ง!
เดิมทีแอนนาอยากแสดงฉาก ‘สาวน้อยเวทมนตร์ผู้จุติลงมาจากฟากฟ้าและจัดการกับวายร้าย’ แต่เธอไม่คิดเลยว่า หลังจากที่เธอกระโดดออกจากหน้าต่าง วายร้ายกลับพ่ายแพ้ไปแล้ว
แมรี่เห็นความตั้งใจของแอนนา ทันใดนั้นรอยยิ้มอันอ่อนโยนก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ “เธอเป็นนักเรียนปีหนึ่งหรือเปล่า?”
“ใช่!” แอนนาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบกลับ ความคิดหนึ่งพลันผุดขึ้นมาในหัวของเธออย่างรวดเร็ว
จากความเข้าใจผิดนี้ เธอจึงได้รู้จักกับเด็กหญิงผู้กล้าหาญอย่างรวดเร็ว และติดตามเธอไปจนกระทั่งช่วยชีวิตคนรักในวัยเด็กของเธอจากปลาปักเป้า
…
ในอีกด้าน องค์หญิงลำดับที่สาม แองจี้ ผู้ซึ่งกำลังสวมชุดหมีก็ส่งเสียง “ชิ” และวิ่งออกไปอีกทางหนึ่งอย่างมีความสุข
เจ้าหญิงน้อยทั้งสองจึงได้แยกทางกันในตอนนั้น
ไม่นานสก็อตต์ก็ถูกปลุกโดยปลาปักเป้าที่หนีกลับมา ทั้งสองช่วยกันพยุงตัวเองเข้าไปในปราสาท แม้จะเป็นเส้นทางที่ยาวไกล แต่พวกเขาก็ยังคงก้าวไปข้างหน้า
…
ขณะเดียวกัน…
ดาร์กได้ย้ายจากชั้นสองไปยังชั้นสามเป็นที่เรียบร้อย
ในช่วงเวลานี้ ด้วยความช่วยเหลือของรุกกี้เดวิมอนและอีบุย เขาได้เก็บเกี่ยวผลผลิตมหาศาล แม้ว่าเขาจะไม่เจอ ‘ผีลับ’ อีก แต่เขายังคงได้รับคะแนนมากมาย
ในตารางอันดับของบ้านขุนนางปีหนึ่ง อันดับของดาร์กเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เรื่องนี้ดึงดูดความสนใจของเวอร์เธอร์และโรเบิร์ตอย่างไม่ต้องสงสัย จู่ ๆ เวอร์เธอร์ก็รู้สึกกดดันอย่างมาก และเขาก็รีบขึ้นจากชั้นสองไปยังชั้นสาม
ผีบนชั้นสามโดยทั่วไปจะแข็งแกร่งกว่าชั้นสอง แต่ยังจำกัดอยู่แค่หนึ่งถึงสามดาวเท่านั้น
เพียงว่าผีระดับหนึ่งดาวจะไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไป และจำนวนสามดาวก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ดาร์กเห็นผีผ้าห่มกลุ่มใหญ่เดินอยู่ในห้องโถง!
เมื่อพิจารณาจากจำนวนการ์ดที่เขามีอย่างจำกัด ดาร์กไม่ได้เข้าไปยั่วยุพวกมัน แต่เดินอ้อมโถงทางเดินและแอบย่องไปที่ชั้นสี่อย่างเงียบ ๆ!
หลังจากการเฝ้ามองผีบนชั้นสอง ดาร์กก็พอจะเข้าใจรูปแบบการกระทำของผีเหล่านี้แล้ว
ดังนั้นตามจำนวนและประเภทการ์ดของเขา ดาร์กจึงกำหนดกลยุทธ์ใหม่และเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่!
จากชั้นสี่ของปราสาท ผีสี่ดาวที่ทรงพลังเริ่มปรากฏขึ้น และผีสองดาวและสามดาวก็เริ่มรวมตัวกัน บางครั้งจะเห็นนักเรียนโดนกลุ่มผีไล่ตามอยู่
อืม เหมือนตอนนี้!
เมื่อได้ยินเสียงผีจำนวนมากพุ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ดาร์กก็รีบซ่อนตัวอยู่ในทางเดินทันที
ทันทีหลังจากนั้น เขาก็เห็นรุ่นพี่บ้านขุนนางคนหนึ่ง ดาร์กพอจะมีความประทับใจต่อรุ่นพี่คนนี้อยู่บ้าง และตอนนี้เขากำลังถูกกลุ่มมัมมี่ตามอยู่!
ความเร็วในการเคลื่อนที่ของมัมมี่นั้นช้ากว่าคนทั่วไปเล็กน้อย แต่คล้อยหลังกลุ่มมัมมี่นั้นยังมีแม่มดขี่ไม้กวาด และร่ายเวทเร่งความเร็วอย่างต่อเนื่องอยู่ด้วย
เมื่อนักเรียนรุ่นพี่วิ่งผ่านไปพร้อมกับกลุ่มมัมมี่ที่วิ่งตามเหมือนขบวนรถไฟ ดาร์กก็ค่อย ๆ ออกมาจากทางเดินและลอบปาดเหงื่อของเขา
จากนั้นดาร์กก็เริ่มคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมบนชั้นสี่ของปราสาท
ประมาณสิบห้านาทีต่อมา ดาร์กพบห้องเรียนว่างที่ไม่มีโต๊ะและเก้าอี้แห่งหนึ่งบนชั้นสี่
หลังจากยืนยันได้ว่าไม่มี ‘ผีลับ’ อยู่ในนั้น ดาร์กก็อัญเชิญรุกกี้เดวิมอนออกมา เขาลูบที่แก้มเจ้าตัวน้อยและพูดกับมันอย่างเคร่งขรึมว่า “ตอนนี้ฉันต้องรบกวนนายแล้ว!”
รุกกี้เดวิมอนตีหน้าเศร้า และทำท่าเหมือนตัวเองเป็นแม่ทัพแก่ที่กำลังถูกส่งไปสนามรบ มันพูดอย่างสังเวชใจ “ใช้อีบุยแทนได้ไหม รุกกี้เดวิมอนไม่แข็งแกร่ง”
ดาร์กดุ “ดูถูกตัวเองแบบนั้นไม่ดีเลยนะ เชื่อมั่นในตัวเองหน่อย นายแข็งแกร่งที่สุดแล้ว!”
รุกกี้เดวิมอน “ก็…ได้”
จากนั้นรุกกี้เดวิมอนก็บินออกจากห้องเรียน และบินไปยังฝูงซอมบี้ที่พบระหว่างการสอดแนมก่อนหน้า
ซอมบี้นั้นน่ากลัวกว่ามัมมี่มาก พวกมันไม่เพียงแต่ไม่มีทั้งจมูกและตา แต่ทั้งตัวยังเผยให้เห็นอวัยวะภายในของพวกมันด้วย หนำซ้ำตอนเวลาเดินหรือเคลื่อนที่พวกมันก็จะลากเอาพวกเครื่องในไถไปกับพื้นด้วย
รุกกี้เดวิมอนหยิบก้อนหินขึ้นมาขว้างใส่กลุ่มซอมบี้ ซึ่งกำลังยืนอยู่ใกล้กับขอบหน้าต่างและอาบแสงจันทร์ เมื่อพวกมันหันกลับมา เบ้าตาบุ๋มลึกก็จับจ้องไปที่รุกกี้เดวิมอนทันที!
การต่อสู้พลันเริ่มขึ้น!
การไล่ล่าซอมบี้เพียงโหลเดียวไม่อาจสนองความกระหายของรุกกี้เดวิมอนได้ มันจึงบินไปยังจุดหมายต่อไป ล่อกลุ่มแจ็กพัมพ์กิ้นส์ถือขวานอย่างชำนาญ จากนั้นก็ต่อด้วยการล่อกลุ่มก็อบลินหมวกแดง!
เวลานี้ ดาร์กกำลังยืนรอแม่ทัพแก่อยู่ในห้องเรียนนั้นอย่างเงียบ ๆ มือก็ถูท้องของอีบุยตัวน้อยไปพลาง หลังจากที่พลังงานของมันฟื้นฟูแล้ว ดาร์กก็อัญเชิญมันออกมาอีกครั้ง
“ช่วยด้วย!” x13
พายุพัดกระหน่ำในทันทีที่ปีศาจตัวน้อยปรี่เข้ามาในห้องเรียน แจ็กพัมพ์กิ้นส์ถือขวานซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดก็เงื้อขวานฟันลงจนเกือบจะผ่าครึ่งหัวของรุกกี้เดวิมอนได้
“มาแล้ว!”
สายตาของดาร์กหรี่ลง และเขาก็ดึงเอา [ราคะ III] ออกมา
บทที่ 95 ดาร์ก เดม่อนเปลี่ยนการต่อสู้
นี่เป็นครั้งแรกที่ดาร์กลองใช้ [ลอกเลียนแบบ] ในการต่อสู้จริง
สำหรับอีบุยที่มีพลังเวทมนตร์เพียงหนึ่งร้อยหน่วย สกิล [ลอกเลียนแบบ] ที่กินพลังเวทมนตร์หนึ่งร้อยหน่วยอาจเป็นเหมือน [เสียงมรณะ] ที่ระเบิดพลีชีพก่อนตาย
แต่ด้วยความช่วยเหลือของน้ำยาพลังงาน มันจึงใช้ [ลอกเลียนแบบ] ในขณะที่ยืนอยู่ในสนามรบได้สำเร็จ
จนกว่าจะใช้สกิล [ลอกเลียนแบบ] ครั้งต่อไป ดังนั้นตอนนี้ [แส้วารี] จะกลายเป็นสกิลประจำตัวของมันไปก่อนชั่วคราว
ไม่เหมือนกับ [แส้วารี] ของนางเงือก เมื่ออีบุยเลียนแบบและใช้มัน ทำให้พลังของ [แส้วารี] นั้นพุ่งสูงขึ้น และทำลายแส้ของนางเงือกลงได้
จากนั้นมันก็ควบคุมแส้ให้หมุนต่อไป และฟาดนางเงือกราวกับตีงู!
“อ๊าาาาา!”
นางเงือกกรีดร้องอีกครั้ง ก่อนที่มันจะชักแส้ยาวซึ่งทำจากน้ำขึ้นเป็นครั้งที่สอง แต่แล้วก็ยังคงถูกอีบุยบดขยี้อย่างไร้ความปรานีอยู่ดี
[แส้วารี] ของอีบุยเฆี่ยนมันอย่างดุเดือดและส่งมันลอยละลิ่วออกไปโดยตรง!
“วี้!” อีบุยจังเชิดหน้าอย่างมีชัย
…
[คะแนน +20]
[คะแนน +60]
น่าเสียดายว่าก็อบลินที่ปลอมตัวเป็นนักเรียน เป็นเพียงผีระดับสองดาวธรรมดาทั่วไป
ดาร์กโยนลูกอมแอปเปิ้ลที่เขาได้รับหลังจากเอาชนะผีก็อบลินเข้าไปในปากของรุกกี้เดวิมอน ผลักมันที่พยายามจะเกาะเขาออกไป แล้วเดินไปยังจุดที่นางเงือกสลายไป
กล่องของขวัญเล็ก ๆ ลอยอยู่ตรงนั้น
เขาเปิดกล่องของขวัญและเก็บเกล็ดนางเงือกทันที!
ออร่าพลังเวทมนตร์ที่เปล่งออกมาจากเกล็ดนั้นแข็งแกร่งผิดปกติ
แม้ว่าจะไม่ได้มีค่าและหายากเท่าขนนกฮาร์ปี้ แต่ก็ยังเป็นรางวัลที่ดีมากสำหรับนักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง ซึ่งมีปัญหาในการหาคะแนน
ดาร์กใส่เกล็ดนี้ลงในซองใส่การ์ด และใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มมีความสุข
ไม่ว่าดาร์กจะต้องการมันในอนาคตหรือไม่ แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะเก็บไว้ก่อน
…
ใช้เวลาน้อยกว่าครึ่งชั่วโมง คะแนนของดาร์กก็เพิ่มขึ้นจาก +0 เป็น +170 คะแนน และเขาก็ขึ้นไปอยู่ด้านล่างสุดของอันดับนักเรียนบ้านขุนนางชั้นปีหนึ่ง
ดาร์กไม่ได้สนใจเรื่องนี้ แต่เขายังคงออกสำรวจอย่างกระตือรือร้น
ผีที่แอบซ่อนอยู่เหล่านี้กลับมีความน่าสนใจอย่างคาดไม่ถึง
…
เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงแล้วตั้งแต่เริ่มงานเลี้ยงสวมหน้ากาก
นักเรียนชั้นปีหกยังคงแยกย้ายกันไปในช่วงเวลานี้ โดยกระจายออกจากพื้นที่ที่ปกติจะใช้เรียน และไปยังทั่วทุกหนแห่งของปราสาท
ในมุมมืดที่ไม่มีใครรู้จัก สมาชิกของภาคีทั้งสิบหกคนมารวมตัวกันทีละคน
เมื่อปลาปักเป้า สมาชิกคนสุดท้ายมาถึง ในที่สุดหัวหน้าปลาดาวก็เดินออกมาจากเงามืด
“การซ่อมแซมรูปปั้นเทพธิดาเสร็จเรียบร้อย”
“ถึงเวลาเริ่มสงครามศักดิ์สิทธิ์แล้ว!”
“ชัยชนะจะเป็นของเราในที่สุด”
“ให้ไอ้พวกนั้นได้รู้ว่าใครคือผู้ชนะที่แท้จริง”
“ถึงเวลาที่พวกมันต้องชดใช้แล้ว”
“เพื่อเทพธิดา!”
“ภาคีต้องชนะ!”
“ได้เวลาแล้ว!”
…
สมาชิกของภาคีทั้งสิบหกคนพลันถอดเสื้อคลุมสีดำที่คลุมร่างกายของพวกเขาออก เผยให้เห็นชุดใต้เสื้อคลุมสีดำ
ในวันปกติพวกเขาถูกมองว่าเป็นคนนอกรีตเพราะสิ่งที่พวกเขาสวมใส่ แต่ในงานเลี้ยงสวมหน้ากากนั้นเป็นเรื่องปกติมาก
หลังจากปลุกใจกันแล้วก็แยกย้ายกันไปเป็นคู่
…
“ไหงถึงเป็นนาย?”
“ฉันก็อยากจะถามแบบนั้นเหมือนกัน”
ปลาหมึกได้รับมอบหมายให้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงกับปลาปักเป้า ซึ่งทั้งสองไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไหร่นัก ทั้งอย่างนั้นพวกเขาก็จำต้องไปด้วยกันอยู่ดี
หนทางข้างหน้าคงไม่ง่ายดายนัก และคงมีแต่การช่วยเหลือซึ่งกันและกันเท่านั้น จึงจะสามารถก้าวผ่านความยากลำบากไปได้
…
ปลาหมึกหยิบใบรายการที่ภาคีร่างไว้ล่วงหน้าขึ้นมา รายชื่อคู่รักถูกบันทึกไว้อย่างแน่นขนัดในใบรายการ ซึ่งทั้งหมดถูกระบุว่าเป็นคนนอกรีตโดยภาคี
ปลาปักเป้าก็มีใบรายการ
เป้าหมายของพวกเขาคือ เลือกคู่รักอย่างน้อยสามคู่จากในรายการนี้ก่อนเวลาสิบโมงเช้า และก็ต้องยืนยันว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นมีความจริงใจจริง ๆ
เฉพาะคู่รักที่มีความรู้สึกจริงใจเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติที่จะเป็นเครื่องบูชาในงานเลี้ยงฉลองของเหล่านักบุญ
หากเป็นเพียงคู่รักจอมปลอม พวกเขาก็เป็นแค่เศษธุลีที่ไม่ควรค่าแก่การเป็นเครื่องบูชา!
“เรามาเริ่มกันที่คู่รักปีสองกันดีกว่า ฉันดูไว้แล้วว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนบ้าง”
สก็อตต์ภายใต้ชุดปลาหมึกแสดงท่าทางเย็นชาอย่างยิ่ง
คู่รักคู่นี้เป็นเพื่อนร่วมชั้นของเขาจากปีสองบ้านขุนนาง
ในแต่ละวันทั้งคู่มักจะแสดงความรักต่อหน้าเขา!
สก็อตต์ถึงกับอยากจะบีบคอพวกเขามากกว่าหนึ่งครั้ง
และในที่สุดเขาก็มีโอกาส!
ปลาปักเป้ารั้งไว้ “เดี๋ยวก่อนปลาหมึก ทำไมเราไม่เริ่มจากคู่รักปีหนึ่งล่ะ พวกเขาน่าจะไร้เดียงสาและอ่อนแอกว่านะ”
ปลาหมึกตอบอย่างเศร้าโศก “นายไม่รู้เหรอว่านักเรียนใหม่ปีนี้มีแต่พวกสัตว์ประหลาดทั้งนั้น?”
ปลาปักเป้า “…!”
…
แมรี่และบรูเดอร์ นักเรียนชั้นปีที่สอง เป็นคู่รักที่ถูกคลุมถุงชนมาตั้งแต่เกิด และในอนาคตก็มีแนวโน้มว่าจะแต่งงานกันด้วยซ้ำ
ทั้งสองเกิดมาพร้อม ๆ กัน เติบโตมาด้วยกัน และได้รับคำเชิญจากสถาบันเซนต์แมเรียนด้วยกัน
มิหนำซ้ำครอบครัวของทั้งคู่ก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาตั้งแต่แรก และยังมีกรณีที่บรรพบุรุษแต่งงานกันอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ พ่อและแม่ของพวกเขาจึงมีความสุขมากกับการที่ทั้งสองเป็นคู่รักกัน
อีกทั้งเด็กทั้งสองคนก็ชื่นชอบกันและกันมาก
อย่างน้อยก็จนกว่าพวกเขาจะได้สัมผัสกับโลกที่มีสีสันมากกว่านี้ ในตอนนี้พวกเขายังคงอยู่ในสถานะคู่รักไร้เดียงสา ซึ่งมีความหมายว่าพวกเขาทำแค่ ‘สบตา’ กันเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ เมื่อทั้งคู่เติบโตขึ้นและเริ่มรู้ภาษาแล้ว พวกเขาก็มักจะแสดงความรักโดยไม่คำนึงถึงกาลเทศะ และนั่นทำให้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นเรื่อย ๆ
สก็อตต์ทนมามากพอแล้ว!
เขาอยากจะจับคนทั้งคู่ส่งเข้าไปในวิหาร และให้เทพธิดาตัดสินโชคชะตาสุดท้ายของพวกเขา!
ไฟแห่งความริษยาเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ความโกรธก็ถูกสะสมมากขึ้นและมากขึ้นเช่นกัน
สก็อตต์สามารถมีช่วงเวลาแห่งความสงบสุขได้โดยการซ่อนตัวอยู่ในชุดคอสตูมอันเย็นเฉียบ
“เจอแล้ว!”
ในที่สุดคู่รักไร้ยางอายก็ปรากฏตัวขึ้นในสายตาของเขา
สก็อตต์หรี่ตาลง
ระหว่างงานเลี้ยงสวมหน้ากาก ทั้งคู่ซ่อนตัวอยู่บนสะพานกลางแจ้ง เพลิดเพลินกับบรรยากาศโรแมนติกที่แสงจันทร์ส่องมา
“พวกนั้นเหรอ?”
ในขณะนี้ ดวงตาของปลาปักเป้าก็ลุกเป็นไฟด้วยความอิจฉา
“นั่นแหละพวกเขา แต่ก่อนที่เราจะลงมือ เราต้องยืนยันก่อนว่าความรู้สึกของพวกเขานั้นเป็นของจริงหรือเปล่า?”
รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปากของสก็อตต์
…
แอนนาและแองจี้วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานท่ามกลางปราสาทอันว่างเปล่า
เจ้าหญิงน้อยสองคน คนหนึ่งสวมชุดตุ๊กตาหมี และอีกคนหนึ่งสวมชุดตุ๊กตาเสือ วิ่งไล่หยอกล้อกันเองอย่างเพลิดเพลิน
เหล่าผีที่โผล่ออกมา ล้วนแล้วแต่ถูกสปิริตทั้งสองของอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ขับไล่ให้ออกไปจากเส้นทาง
เวลานี้ ความขัดแย้งภายในอาณาจักรกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น แต่เจ้าหญิงน้อยทั้งสองพระองค์ที่มีสิทธิ์สืบทอดบัลลังก์เมื่อถึงวัยผู้ใหญ่นั้น กลับไม่ได้เป็นศูนย์กลางของการต่อสู้แย่งชิงอำนาจแต่อย่างใด
ทว่าในฐานะพระราชธิดาของจักรพรรดินีลำดับที่สองแห่งราชวงศ์ พวกเธอยังเป็นตัวแทนของกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังจักรพรรดินีลำดับที่สองอีกด้วย
ในมุมของคนอื่น เหล่าเจ้าหญิงอาจดูซุกซนและไม่ค่อยเรียบร้อย แต่ความจริงพวกเธอรู้ว่าตนเองกำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน
สำหรับเจ้าหญิงเอลิซา เธอเกิดมาเพื่อเป็นจักรพรรดินีและเป็นผู้มีสถานะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ส่วนเจ้าชายชาร์ลส์ เป็นพระราชโอรสองค์โตซึ่งประสูติจากจักรพรรดินีลำดับที่หนึ่งและองค์จักรพรรดิ ทั้งยังเป็นเจ้าชายพระองค์เดียวของราชวงศ์
หากเจ้าหญิงเอลิซาได้ขึ้นครองบัลลังก์ สถานภาพของผู้หญิงก็จะสูงขึ้นอย่างแน่นอน
แต่หากว่าเจ้าชายเป็นผู้ขึ้นครองบัลลังก์ แม้ว่าเจ้าหญิงทั้งสามจะยังคงมีสถานะอันสูงส่ง แต่พวกเธอก็จะไม่มีอำนาจในตัดสินเรื่องต่าง ๆ เช่น การแต่งงานของพวกเธอเอง
ดังนั้นพวกเขาจึงมีท่าทีอคติต่อองค์หญิงใหญ่ชั่วคราว
เมื่อแอนนามองไปที่หน้าต่างปราสาท นัยน์ตาของเธอก็เป็นประกายขึ้นมาในทันใด
“แองจี้ มีปลาหมึกอยู่ตรงนั้น!”
“มันคือหมึกกระดองต่างหาก!”
บทที่ 94 กำไรที่คาดไม่ถึงของดาร์ก เดม่อน
บทที่ 94 กำไรที่คาดไม่ถึงของดาร์ก เดม่อน
ผลของ [การ์ดแห่งความสุข] สั้นกว่าที่คาดไว้
ฮาร์ปี้ตื่นขึ้นทันทีหลังจากที่ตกลงไป มันปล่อยเสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงกลัวแทรกขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
พระจันทร์บนท้องฟ้าสว่างมาก
รุกกี้เดวิมอนยังคงต้องการที่จะโจมตีฮาร์ปี้ต่อไป แต่ดาร์กผู้ซึ่งมาถึงทันเวลาก็หยุดมันไว้
รุกกี้เดวิมอนผู้ซึ่งถูกดาร์กจับไว้ด้วยมือเดียวราวกับลูกบาสเกตบอล กระพือปีกหนีและพยายามดิ้นรน
แต่เพราะดาร์กดึงมันลงมาอย่างแรง มันถึงยอมหดเป็นลูกบอล
วินาทีถัดมา ใบมีดลมอันแหลมคมฉีกกระชากผ้าม่านและผ่าแท่นโพเดียมในแนวทแยง!
ตู้ม!
ม่านหลุดเป็นเรียบร้อย และโต๊ะเรียนก็พังไม่เป็นชิ้นดีเช่นกัน
เสียงกรีดร้องของฮาร์ปี้ดังมากจนแทบจะทะลุแก้วหูของดาร์ก
ดาร์กปิดหูทันที แต่คลื่นเสียงยังคงเข้าหูมาได้ และนั่นทำให้เขาเริ่มรู้สึกเวียนหัวขึ้นมา
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที คลื่นเสียงก็หยุดลงกะทันหัน
“นั่นมันสกิลที่สอง!” ดาร์กคิดในใจ สกิลของสปิริตส่วนใหญ่จะมีคูลดาวน์ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้สกิลอย่างเคียวลมและผีสาวคร่ำครวญได้ต่อเนื่องกัน
เพราะการมีสองสกิลก็ถือเป็นการ์ดสีม่วงอันล้ำค่ามากแล้ว
ดังนั้น ความน่าจะเป็นที่ฮาร์ปี้ตนนี้จะไม่สามารถใช้สกิลใด ๆ ได้อีกในขณะนี้จึงมีสูงมาก
พอได้จังหวะหมุนตัว ดาร์กก็ขว้างรุกกี้เดวิมอนออกไปราวกับเป็นลูกซอฟต์บอล!
“อ๊าาาาาา!”
รุกกี้เดวิมอนไม่เคยคิดว่ามันจะกลายเป็นลูกระเบิด
ทันทีที่มันถูกปาออกไป ก็ทำได้เพียงแค่กรีดร้องเท่านั้น
จากนั้นเจ้าตัวน้อยก็หุบปีกโดยสัญชาตญาณและคว้าหน้าฮาร์ปี้ไว้!
กรงเล็บที่แหลมคมจับเข้าที่คอของฮาร์ปี้!
เมื่อมองดูใกล้ ๆ
โครงสร้างร่างกายของรุกกี้เดวิมอน จริง ๆ แล้วก็คล้ายกับฮาร์ปี้ถึงเจ็ดในสิบส่วนเลยทีเดียว
ดาร์กเฝ้าดู [เดมิ ดาร์ท] ของรุกกี้เดวิมอนควบแน่นในอากาศอย่างรวดเร็ว โดยรู้ว่าการต่อสู้ได้จบลงแล้ว!
…
แม้ว่าจะมีสิ่งที่เรียกว่าความแตกต่างของค่าป้องกันระหว่างสปิริต แต่สปิริตที่ไร้พลังก็ไม่ต่างกับผู้พิทักษ์ที่วางโล่ขนาดใหญ่ของพวกเขาลง พวกมันจึงดูอ่อนแอมาก
[เดมิ ดาร์ท] ของรุกกี้เดวิมอนเจาะผิวอันบอบบางของฮาร์ปี้เข้าไปอย่างแม่นยำ
หลังจากนั้นไม่นาน
รุกกี้เดวิมอนก็บินกลับมาโดยนำกล่องของขวัญเล็ก ๆ ที่สวยงามกลับมาด้วย
ดาร์กหยิบกล่องของขวัญออกจากกรงเล็บของเจ้าตัวน้อย จากนั้นเขาจึงแกะริบบิ้นออก ก่อนจะเปิดบรรจุภัณฑ์ด้านนอก
มันคล้ายกับลูกอมเหล่านั้น บรรจุภัณฑ์ด้านนอกยังคงเป็นการ์ดเวทมนตร์แบบใช้ครั้งเดียว แต่สิ่งที่อยู่ภายในไม่ใช่ลูกอมและของหวานอีกต่อไป!
“นี่มัน…”
ดาร์กอดไม่ได้ที่จะแสดงความดีใจออกมา
ข้างในกล่องของขวัญกลับกลายเป็นขนนกฮาร์ปี้!
พิจารณาจากความผันผวนของพลังเวทมนตร์ที่เล็ดลอดออกมาจากขนนกนี้ นี่จะต้องเป็นวัตถุดิบหลักที่มีค่าที่สุด!
ดาร์กเก็บขนนกลงในกระดาษห่ออีกครั้งทันที แล้วใส่ลงในซองการ์ดอย่างระมัดระวัง
[คะแนน +60]
“คะแนนเพิ่มเป็นสองเท่า!”
“แล้วยังได้รับวัตถุดิบเพิ่มเติมด้วย!”
ดาร์กก็รู้สึกเสพติดขึ้นมาทันที
…
หลังจากหยุดพักกันได้ครู่หนึ่ง ดาร์กก็ฟื้นพลังและออกล่าต่อ
รุกกี้เดวิมอนที่ฟื้นจากสถานะ [อัตตา I] กำลังเดินบนพื้นโดยก้มหน้าลง บ่นพึมพำคำที่ไม่อาจอธิบายความหมายได้
แต่ดาร์กไม่สนใจมัน กลับกัน เขากำลังครุ่นคิดถึงจุดหมายต่อไปอย่างรอบคอบ
ความน่าจะเป็นที่ผีและวิญญาณจะหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องเรียนหลายห้องติดต่อกันนั้นมีไม่สูงนัก แต่เขาก็ยังคงออกค้นหาทีละห้องอยู่ดี
ดาร์กไม่ได้หยุดการสำรวจ จนกระทั่งเขาเดินมาถึงห้องน้ำตรงมุมปราสาท
“เลือด!”
เลือดไหลออกมาจากห้องน้ำ
ตู้ม!
ชั่วอึดใจต่อมา ประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดออก และเศษขยะจำนวนนับไม่ถ้วนก็ระเบิดออกมา
มีร่างหนึ่งกรีดร้องเสียงดังและกระแทกตัวเข้ากับผนัง
ทันใดนั้นน้ำปริมาณมากก็ไหลออกมาจากห้องน้ำ
คนกรีดร้องที่บินออกมาก็ถูกกระแสน้ำนี้ซัดออกมาด้วย
ดาร์กเริ่มวิ่งถอยหลังโดยไม่แม้แต่จะคิด
หลังจากที่เขาวิ่งไปได้ห้าหรือหกเมตร น้ำที่อยู่ข้างหลังเขาก็หยุดลงอย่างกะทันหันและถอยกลับไปยังบริเวณรอบ ๆ
จากนั้นดาร์กก็เห็น ‘นางเงือก’ สาวผมกระเซิงว่ายออกมาจากห้องน้ำอย่างเมามัน
แตกต่างจากนางเงือกในเทพนิยายอย่างสิ้นเชิง นางเงือกตรงหน้าดาร์กมีฟันที่แหลมคม ตาสีแดงและหูแหลม นอกจากนี้ ใบหน้าของมันยังเต็มไปด้วยเกล็ดอันน่าเกลียด!
นางเงือกขี่คลื่นและกำลังไล่ตามนักเรียนคนหนึ่ง
ดาร์กก้มหน้าลง จึงได้เห็นว่านักเรียนซึ่งอยู่ในชุดนักเรียน ถูกยิงออกจากห้องน้ำ ก่อนจะนอนคว่ำหน้านิ่งไม่ขยับเขยื้อน
เขาขมวดคิ้วและส่งสัญญาณให้รุกกี้เดวิมอน “ไปดูซิ”
รุกกี้เดวิมอนซึ่งนั่งย่อตัวลงที่เท้า ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่เต็มใจ
เมื่อมันมาถึงด้านหน้าของร่างมนุษย์นั้น มันก็ใช้ปลายปีกจิ้มนักเรียน
จิ้ม ๆ
“อ๊า!”
จู่ ๆ นักเรียนคนนั้นก็หันกลับมา เผยให้เห็นใบหน้าน่าเกลียดที่มีผิวสีเขียวและโลหิตอาบชโลม
“มันเป็นก็อบลิน!”
ก็อบลินที่ปลอมตัวเป็นนักเรียนกระโดดขึ้นมาจากพื้น และกริชในมือของมันก็แทงเข้าใส่รุกกี้เดวิมอนที่กำลังตกใจ
แต่สิ่งที่ถูกแทงด้วยกริชนั้นเป็นเพียงภาพติดตาของรุกกี้เดวิมอนเท่านั้น
รุกกี้เดวิมอนตัวจริงกลายเป็นแสงไปแล้ว
ดาร์กที่ถือการ์ดคัดสรรไว้ ถอยเท้ากลับอย่างรวดเร็ว ก่อนจะอัญเชิญรุกกี้เดวิมอนออกมาใหม่อีกครั้งหลังจากนั้นไม่กี่วินาที
“ทำไมน่ากลัวจังอะ เกือบฉี่รดกางเกงแล้วนะ!”
เมื่อมองไปที่รุกกี้เดวิมอนที่กลัวไม่หยุด ดาร์กก็ดึง [ราคะ I] ออกมาและกระซิบคำ “เตรียมตัวให้พร้อมนะ!”
…
คูลดาวน์ของ [อัตตา I] ยังไม่เสร็จ และมีเพียงการ์ดมหาบาปใบใหม่เท่านั้นที่สามารถใช้ได้ในขณะนี้
โชคดีที่ดาร์กมีการ์ดมหาบาปเพียงพอในขณะนี้
หมอกสีชมพูของ [ราคะ I] พุ่งออกมาทันที
ดวงตาของรุกกี้เดวิมอนสูญเสียการมองไปในทันทีหลังจากถูก [ราคะ I] เสริมพลัง
แต่ด้วยภัยคุกคามของนางเงือกอัปลักษณ์และก็อบลินสีเขียวที่อยู่ตรงหน้ามัน เจ้าตัวน้อยจึงไม่เสียสติไปโดยสมบูรณ์
→ ท้ายที่สุด มันก็เป็นแค่ [ราคะ I]
รุกกี้เดวิมอนผู้ฟื้นความสามารถกลับมา พลันยิงเข็มฉีดยาสามกระบอกใส่ก็อบลินที่ปลอมตัวเป็นนักเรียนทันที!
แต่โดยไม่คาดคิด ก็อบลินกลิ้งหลบ [เดมิ ดาร์ท] ทั้งหมด…
จากนั้นกล้ามเนื้อต้นขาของมันก็ขยายใหญ่ทันที ก่อนจะพุ่งมาราวกับขีปนาวุธขนาดเล็ก กริชในมือของมันกลายเป็นงูพิษ และพุ่งเข้าใส่รุกกี้เดวิมอนซึ่งมีความสามารถในการป้องกันต่ำ
“วี้!”
เสียงร้องดังขึ้น
ก็อบลินกรีดร้องออกมาในทันที และถูกอีบุยตัวน้อยซึ่งเพิ่งปรากฏตัวซัดกระเด็นออกไป
รุกกี้เดวิมอนโกรธจัด มันถือโอกาสนี้ใช้ ‘การเหยียบย่ำอย่างบ้าคลั่ง’ ใส่ก็อบลิน
“อ๊า!”
นางเงือกอัปลักษณ์กรีดร้องทันทีเมื่อเห็นฉากนี้
มันชักแส้ยาวธาตุน้ำซึ่งสร้างขึ้นจากน้ำที่อยู่รอบ ๆ และพุ่งเข้าหารุกกี้เดวิมอนอย่างดุร้าย!
“จงออกมา!”
ดาร์กถือ [น้ำยาพลังงาน] ไว้ระหว่างนิ้วกลางและนิ้วชี้ สะบัดมันเปิดการใช้งานในทันที
ร่างกายของอีบุยพลันสว่างไสวขึ้น รอบตัวของมันเรืองแสงสีขาวที่ลุกโชติช่วง
พลังเวทมนตร์ +200 หน่วย!
“ลอกเลียนแบบ!”
เพียงชั่วพริบตา แส้ยาวธาตุน้ำก็เหินขึ้นและปัดป้องแส้ยาวจากนางเงือกในทันที
“วี้!”
อีบุยเหยียบพื้นเปียกนองอย่างมีชัย
หลังจากใช้พลังเวทมนตร์ไปหนึ่งร้อยหน่วย สกิลลอกเลียนแบบในแถบสกิลของมันเปลี่ยนเป็น [ลอกเลียนแบบ: แส้วารี] ชั่วคราว!
บทที่ 93 ดาร์ก เดม่อนแอบย่องอยู่คนเดียว
ดาร์กที่แยกจากไดแอนนาและโรสได้สำเร็จ ตอนนี้กำลังเดินอยู่เพียงลำพังในมุมมืดของปราสาท
ยิ่งห่างจากพื้นที่ชั้นเรียนมากเท่าไหร่ นักเรียนก็ยิ่งมีน้อยลงเท่านั้น
และพวกรุ่นพี่ก็มักจะตรงไปที่ชั้นที่สูงกว่า ซึ่งเป็นที่สิงสถิตของผีที่มีดาวระดับสูงอยู่!
ดังนั้น พื้นที่ที่ไม่มีมนุษย์บนชั้นสองและสามของปราสาทจึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับนักเรียนชั้นปีแรก ๆ ในการล่าผี
แต่ดาร์กพบว่าตัวเองประเมินความสยองขวัญอันน่าขนลุกของปราสาทต่ำไป
ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง และอุณหภูมิก็ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ลมกลางคืนที่หนาวเย็นยังพัดมาเป็นครั้งคราวทำให้ผู้คนอดสั่นสะท้านไม่ได้
ดาร์กจับมือของเขาและเป่าลมร้อนออกมาเพื่อให้มืออบอุ่น สุดท้ายเขาก็อดอัญเชิญวิญญาณรับใช้ของตัวเองออกมาไม่ได้– รุกกี้เดวิมอน!
“เจ้าเป็นเจ้านายของข้าเหรอ?”
“ใช่ ฉันเป็น”
“เอ๊ะ?”
เมื่อเห็นว่าเจ้านายซึ่งไม่เคยตอบมันมาก่อน ยอมตอบมันแบบธรรมดา ๆ รุกกี้เดวิมอนก็รู้สึกว่าบรรยากาศไม่ดีแล้ว ใบหน้าของมันซีดลดลงทันที
ตึก! ตึก!! ตึก!!!
เสียงฝีเท้าที่คมชัดดังก้องกังวานในปราสาทอันเงียบงัน และค่อย ๆ ดังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป
รุกกี้เดวิมอนจ้องเขม็งไปที่เงาในมุมข้างหน้าอย่างสั่นเทา
แจ็กพัมพ์กิ้นส์ที่มีกล้ามล่ำค่อย ๆ ปรากฏออกมา หัวฟักทองที่ว่างเปล่าของมันกำลังลุกไหม้ราวกับเทียนสลัว
“กรรรร!”
แจ็กพัมพ์กิ้นส์คำรามเสียงต่ำ และกล้ามเนื้อสีเข้มของมันก็บวมขึ้นทันที เมื่อมันเห็น…ดาร์กมันก็เร่งความเร็วขึ้น!
…
“ไม่นะ!”
รุกกี้เดวิมอนส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความกลัว และความคิดที่จะหลบหนีก็ปรากฏขึ้นในทันใด
แต่เมื่อความคิดนั้นเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ลูกบอลแสงสีทองเข้มที่มีหางยาวก็พุ่งเข้ามาที่ด้านหลังศีรษะของมัน
รุกกี้เดวิมอนที่ยังขี้ขลาดเมื่อครู่นี้ หดรูม่านตาของมันทันที และสายตาที่จ้องมองไปทางแจ็กพัมพ์กิ้นส์ก็เต็มไปด้วยความดูถูกและเหยียดหยาม
“เป็นเพียงลูกกระจ๊อกชั้นต่ำของนรก แล้วยังกล้าส่งเสียงต่อหน้านายท่านผู้นี้อีกหรือ!?”
รุกกี้เดวิมอนผู้ซึ่งห่อตัวเองด้วยปีกของมันเหมือนเสื้อคลุม แสดงเสน่ห์ของอสูรดูดเลือดเวทมนตร์
รุกกี้เดวิมอนมองเหยียดใส่แจ็กพัมพ์กิ้นส์และยิง [เดมิ ดาร์ท] ออกไปสามนัดเมื่อเห็นมันเริ่มวิ่งเข้ามา!
“ตายซะ!”
…
ฟุ่บ!
เข็มฉีดยาอันหนึ่งเจาะเข้ากล้ามเนื้อไหล่ซ้ายของแจ็กพัมพ์กิ้นส์ แต่อีกสองอันพลาดไป
แจ็กพัมพ์กิ้นส์หลบเลี่ยงทันทีที่รู้สึกถึงภัยคุกคาม มันย่อตัวลงหลังจากถูกยิงที่ไหล่ จากนั้นก็เกร็งกล้ามเนื้อขาและพลังก็พุ่งออกมาในทันที
ฟิ้ว!
มันกระโดดขึ้นไปกลางอากาศ
ย่นระยะห่างระหว่างมันกับรุกกี้เดวิมอนโดยตรง และจับรุกกี้เดวิมอนที่บินไปมาด้วยกรงเล็บปีศาจของมันอย่างดุเดือด!
“กรรร!”
ราวกับว่ามิติถูกฉีกออกจากกัน
เงากรงเล็บสีดำสามเงาปรากฏขึ้นในอากาศ!
อย่างไรก็ตามรุกกี้เดวิมอนผู้ซึ่งรักษาความเย่อหยิ่งไว้ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้ถอยกลับ กลับกันจู่ ๆ มันก็หายไปจากอากาศ!
“หือ?”
เมื่อแจ็กพัมพ์กิ้นส์ตอบสนองอีกครั้ง เข็มฉีดยาหัวฉลามก็เจาะเข้ากับหัวฟักทองที่ค่อนข้างบอบบาง และโจมตีเทียนที่อยู่ที่หัวใจฟักทอง!
ฟุ้บ!
เปลวเทียนดับลงทันที
ศพของแจ็กพัมพ์กิ้นส์ตกลงมาจากอากาศค่อย ๆ สลายกลายเป็นประกายไฟ เหลือเพียงพายฟักทองชิ้นเล็ก ๆ ที่ถูกห่อไว้อย่างสวยงามลอยอยู่ในอากาศ
ดาร์กเดินจากด้านหลังไปหยิบชิ้นพายฟักทอง
[คะแนน +30]
“ว่าแล้วเชียว ผีสามดาวงั้นสินะ?”
ดาร์กแกะห่อฟอยล์ของพายฟักทองอย่างระมัดระวัง เมื่อเก็บกระดาษห่อแล้วโยนพายฟักทองไปให้รุกกี้เดวิมอน
เพียะ!
รุกกี้เดวิมอนกระพือปีกปัดพายฟักทองทิ้ง
“ข้าคือรุกกี้เดวิมอน ข้าไม่กินอาหารฟรี!”
เฮ้อ~ (ー.ー!)
…
“คนที่เย่อหยิ่งเกินไป แต่ไม่มีความสามารถที่คู่ควรกับความเย่อหยิ่ง มันทำให้พวกเขากลับดูโง่มากยิ่งขึ้นจริง ๆ”
ดาร์กสรุปเหตุการณ์อย่างเงียบ ๆ
และในขณะเดียวกันเขาก็ได้บทเรียนจากมัน
ในการต่อสู้กับแจ็กพัมพ์กิ้นส์เมื่อครู่นี้ รุกกี้เดวิมอนไม่คิดหลบการโจมตีจากอีกฝ่าย เนื่องจากมันหยิ่ง
ต้องขอบคุณดาร์กที่ใช้การ์ดคัดสรรเรียกมันกลับมา รุกกี้เดวิมอนจึงรอดจากกรงเล็บที่เกือบอันตรายถึงตายของ [แจ็กพัมพ์กิ้นส์] สามดาวได้!
มิฉะนั้น รุกกี้เดวิมอนคงถูกบังคับให้กลับไปอยู่ในการ์ดคัดสรร เพราะได้รับบาดเจ็บและจำเป็นจะต้องรอการฟื้นตัว
“แต่ทำไมแจ็กพัมพ์กิ้นส์นี่ถึงแตกต่างจากตัวก่อน?”
เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงแจ็กพัมพ์กิ้นส์ที่เขาได้พบกับไดแอนนาและโรสก่อนหน้านี้ ดาร์กก็รู้สึกว่ามันแปลกเล็กน้อย
แจ็กพัมพ์กิ้นส์ธรรมดาควรเป็นผีตัวเล็ก ๆ ที่มีหัวฟักทอง อย่างมากที่สุดคือ มันถือขวานเล็ก ๆ และขวานนั้นก็ไม่คมเลย
แต่ฟักทองกล้ามล่ำตัวนั้นที่ฉันเพิ่งฆ่าไปคืออะไร?
ศาสตราจารย์เคเซอร์ไม่น่าจะมีรสนิยมแย่ ๆ อย่างนั้นใช่ไหม?
เมื่อคิดถึงมัน ฝีเท้าของดาร์กก็แข็งทื่อขึ้นมาทันที
ในที่สุดเขาก็จำได้ว่าตอนที่เขาทำงานอย่างหนักเพื่อแก้การบ้านคณิตศาสตร์ของนักเรียนปีหนึ่ง คนที่ศาสตราจารย์เคเซอร์เรียกมาให้ช่วยสร้างผี คือภูตตัวน้อยที่ชื่อว่า ‘ลิลลี่’!
ทันใดนั้นเอง ดาร์กก็มีลางสังหรณ์ไม่ดี
…
ด้วยความรู้สึกถึงลางร้ายที่รุนแรงนี้ ดาร์กจึงหันไปทางห้องเรียนซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น เพราะไม่ได้ใช้งานมานาน
ตามทฤษฎีแล้ว ตอนที่วางผี อาจารย์มักจะซ่อนผีที่ก้าวร้าวไว้ในที่ปิดหรือในมุมลับ
ผีที่ปรากฏตัวตามทางเดินเพื่อทำให้นักเรียนกลัว มักจะเป็นตัวตลกและอ่อนแอ
ถ้าเขาอยากได้คะแนนเร็วขึ้น เขาก็ต้องมองหาผีที่มีคะแนนโบนัสพิเศษที่ซ่อนแอบอยู่เหล่านี้
ต้องเป็นตอนที่ก้าวเข้าไปในเงามืดเท่านั้นจึงจะสามารถเก็บเกี่ยวสมบัติได้
ปัง!
ประตูสองบานที่ด้านหน้าและด้านหลังของห้องเรียนปิดลงกะทันหัน
หน้าต่างอีกด้านของชั้นเรียนถูกลมแรงพัดเปิด และโลหิตสีแดงสดก็ไหลออกมาจากผ้าม่านที่ขาดรุ่งริ่ง มันค่อย ๆ ย้อมผ้าทั้งผืนให้เป็นสีแดง
ดาร์กกลั้นหายใจ แต่มือขวาของเขาจับอยู่ที่ซองการ์ดแล้ว
รุกกี้เดวิมอนยังคงรักษาสภาพของ [อัตตา I] โบยบินขึ้นไปในอากาศโดยยกคางขึ้นสูงอย่างหยิ่งทะนง
ฟู่ว!
ลมพัดมาอีกระลอกหนึ่ง
แสงจันทร์ส่องผ่านช่องว่างของม่านที่โบกสะบัด และรัศมีของแสงก็ส่องเข้ามาเติมเต็มห้องเรียนที่มืดมิด
ดาร์กกัดฟันแน่น
หลังจากที่ผ้าม่านปลิวออกไป สัตว์ประหลาดที่มีหัวเป็นมนุษย์และตัวเป็นนกพลันปรากฏอยู่บนราวหน้าต่าง
ในปากใหญ่มีเขี้ยวสองอัน และมีมือของมันก็เปื้อนเลือด!
แม้ว่าจริง ๆ แล้วไม่น่าจะเป็นมือจริง แต่ดาร์กก็อดสั่นสะท้านไม่ได้
“ฮาร์ปี้!”
…
พวกเขาเริ่มต่อสู้กันในสิบวินาทีหลังจากเผชิญหน้ากัน
รุกกี้เดวิมอนที่หยิ่งผยองดูเหมือนจะรู้สึกอับอาย เพราะความช่วยเหลือของดาร์กในการต่อสู้กับแจ็กพัมพ์กิ้นส์ครั้งก่อน
ดังนั้น ก่อนที่ดาร์กจะออกคำสั่ง มันก็เริ่มเปิดฉากโจมตีโดยไม่กลัวตาย!
“จงออกมา!”
ดาร์กดึง [การ์ดแห่งความสุข] ออกมาทันที และคราวนี้ความเร็วในการเปิดใช้งานก็เร็วขึ้นมาก
[การ์ดแห่งความสุข] มีผลเกือบจะในทันที และลำแสงก็พุ่งเข้าใส่ดวงตาของฮาร์ปี้
ในช่วงเวลาแห่งความสับสน ฮาร์ปี้พลาดโอกาสที่จะตอบสนองไป
รุกกี้เดวิมอนสามารถเตะฮาร์ปี้เข้าที่หน้าและผลักมันออกไปได้!
กรี๊ซซซ–!
เสียงกรีดร้องของฮาร์ปี้ดังออกมาจากใต้หน้าต่าง
บทที่ 92 เจ้าหญิงทั้งสามเข้าร่วมสมรภูมิ
บทที่ 92 เจ้าหญิงทั้งสามเข้าร่วมสมรภูมิ
ปราสาทของเซนต์แมเรียนมีเก้าชั้น ไม่นับห้องใต้ดินที่ไม่มีใครรู้จัก พื้นที่ที่นักเรียนใช้เป็นชั้นเรียนนั้นเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ เท่านั้น
แม้แต่ผู้ที่เรียนจบไปแล้ว ซึ่งเคยได้อยู่ในปราสาทแห่งนี้เป็นเวลานานถึงหกปีเต็ม ก็มีเพียงจำนวนน้อยนิดที่สามารถสำรวจพื้นที่ได้จนทั่ว
หากไม่มีกิจกรรมอย่างงานเลี้ยงสวมหน้ากาก จำนวนนี้ก็น่าจะยิ่งน้อยลงไปอีก
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีในการสำรวจพื้นที่
…
ในขณะเดียวกันกับที่นักเรียนหลั่งไหลเข้าไปในปราสาท เจ้าหญิงทั้งสามแห่งอาณาจักรก็ก้าวเข้ามาในปราสาท พร้อมด้วยอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ด้วย
เจ้าหญิงคนโต ‘เอลิซา’
เจ้าหญิงคนรองคือ ‘แอนนา’ ซึ่งเกิดเร็วกว่าน้องสาว ‘แองจี้’ เจ้าหญิงคนสุดท้องสามวินาที
เจ้าหญิงทั้งสามเริ่มสวมชุดและปกปิดใบหน้าของตนเอง
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้กล่าวว่า “พวกเธอไม่ต้องการให้ฉันไปด้วยจริง ๆ เหรอ?”
เจ้าหญิงเอลิซาพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากที่ฉันจะได้พักผ่อน ฉันชอบอยู่คนเดียว หากเป็นไปได้ ฉันอยากจะขอให้อาจารย์ใหญ่ดูแลน้องสาวสุดแสบของฉันสองคนด้วย”
แองจี้ที่พยายามจะสวมชุดหมี เงยหน้าขึ้นมาพูดอย่างโกรธเคือง “พี่ใหญ่ พี่สัญญากับฉันแล้วว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับคนนอก!”
เจ้าหญิงเอลิซายื่นมือออกไปบีบแก้มเด็กตรงหน้า แววตาตำหนิส่งไปยังน้องสาวตัวน้อย “อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ไม่ใช่คนนอก”
แองจี้ยังคงทำแก้มป่อง
แอนนาที่ยืนอยู่ข้างแองจี้ จู่ ๆ ก็เอื้อมมือมาจิ้มแก้มเธอด้วย ทั้งยังยิ้มอย่างร่าเริง “โอ๋ ๆ นะน้องสาวแสนซนของฉัน!!”
แองจี้พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เธอต่างหากที่เป็นน้องสาว!”
แอนนาเชิดหน้ามองราวกับหงส์ขาว “ฉันเป็นพี่สาว เพราะงั้นฉันจะไม่เถียงกับน้องสาว”
ขณะที่เล่นกันอยู่ เจ้าหญิงแอนนาก็หันกลับมาถาม “จะว่าไป ป้าซินเทียคะ เจ้าตัวน่ารำคาญดาร์ก เดม่อนนั่นอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?”
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ยิ้มอย่างนุ่มนวล “ใช่แล้ว เขาเพิ่งเข้าเรียนในปีนี้ และปีหน้าเขาจะกลายเป็นรุ่นพี่ของเธอ”
“ถามจริง?” เจ้าหญิงแอนนาดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างและพูดอย่างแข็งกร้าวว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันไม่เข้าเรียนปีหน้าได้ไหม?”
เอลิซาดีดหน้าผากเธอ “ตลกแล้ว เธอบอกเองว่าอยากเรียนสถาบันเดียวกับฉันไม่ใช่เหรอ?”
แอนนา “ฉันเปลี่ยนใจแล้ว โอ๊ย!”
“ฮ่า ๆๆ เด็กน้อย ห่วงแต่ตัวเอง!”
แองจี้ก็ดีดหน้าผากของแอนนาด้วย เธอใส่ชุดแล้วรีบวิ่งหนีไป
แอนนารีบวิ่งไปจับเธอทันที
เอลิซาหันไปมองไปที่อาร์เต้อย่างรวดเร็ว “อาจารย์ใหญ่คะ”
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นวิญญาณเล็ก ๆ สองดวงที่ถือการ์ดคัดสรรก็บินออกจากตัวเธอ และตามแอนนากับแองจี้ไปอย่างรวดเร็ว
เอลิซาถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วหันกลับมาสวมหน้ากากอันประณีตที่เผยให้เห็นเพียงจมูกและปากของเธอเท่านั้น “อาจารย์ใหญ่ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวไปก่อนนะคะ”
…
ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปราสาท บนชั้นสองในเวลานี้
ดาร์กล้มเหลวในการหนีจากไดแอนนาและโรส ดังนั้นเด็กชายจึงทำได้เพียงเดินไปกับพวกเขาสักพัก
นักเรียนชั้นปีที่สองขึ้นไปต่างมีประสบการณ์ และทุกคนก็มีแผนอยู่แล้ว เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงรีบเร่งไปยังทั่วทุกมุมของปราสาท
ส่วนนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งกระจัดกระจายกันอย่างสมบูรณ์
“ดาร์ก เราควรตามพวกเขาไปไหม?”
ไดแอนนาดูวิตกกังวลราวกับเด็กที่กลัวว่าจะมีใครมาขโมยขนมของเธอ
โรสก็มองไปที่ดาร์กเช่นกัน
ดาร์กตบหน้าผากตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนว่าเขาจำเป็นจะต้องอยู่กับพวกเธอไปอีกสักพักจริง ๆ
ดังนั้นเขาจึงพูดอย่างอดทนว่า “ไม่ต้องห่วง ศาสตราจารย์ต้องเตรียมผีไว้ให้เพียงพออยู่แล้ว ในตอนต้นของงานเลี้ยง แม้ว่าเธอจะไม่ตามหาพวกมัน พวกมันก็จะมาหาเธอเอง”
ขณะที่พูด เขาก็ชี้ขึ้นไปยังเหนือหัวของตนเอง
ไดแอนนาเงยหน้าขึ้นและทันใดนั้นก็เห็นผีที่มีคอยาวมากห้อยลงมาจากเพดาน!
“ว้าว~”
“กรี๊ด!”
ไดแอนนาดึงการ์ดเวทมนตร์และอัญเชิญ [สัตว์อสูรมายา: หมีขั้วโลก] ออกมาทันที
หมีขั้วโลกปรากฏตัวในแสงสีขาว มันลุกขึ้นและกระโจนไปคว้าผีทันที!
โรสกรีดร้องด้วยความตกใจ ก่อนจะคว้าแขนของดาร์กไว้โดยไม่รู้ตัว
ไดแอนนาเห็นแล้วก็คว้าแขนอีกข้างของดาร์กไว้ด้วย
ดาร์กที่ถูกจับแขนทั้งสองข้างไว้ ได้แต่มองอุ้งเท้าหมีขั้วโลกทะลุผ่านร่างของผีไปอย่างทำอะไรไม่ได้ ผีตอบโต้โดยการแลบลิ้นยาวสีแดงเลือดของมันออกมา แล้วเลียหลังคอของหมีขั้วโลก
หมีขั้วโลกพลันตัวสั่นสะท้าน มันโกรธจัด!
“เคี้ยก ๆๆๆ!”
เจ้าผีหัวเราะเยาะและหยอกล้อหมีขั้วโลกด้วยลิ้นของมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
และหมีขั้วโลกก็กลายเป็นเหมือนลูกแมวที่วิ่งไล่ผีเสื้อ…
ประสิทธิภาพการโจมตีทางกายภาพของหมีขั้วโลกที่มีต่อผีนั้นต่ำมาก
แม้ว่าจะเป็นเพียงผีระดับหนึ่งดาว แต่หมีขั้วโลกก็ยังมีปัญหาในการจัดการกับมัน ท้ายที่สุด โรสก็รวบรวมความกล้าและอัญเชิญ [สัตว์อสูรมายา: กระต่ายหิมะ] ออกมา และในที่สุดเธอก็ส่งผีขึ้นสวรรค์ด้วยหมอกเย็นยะเยือก
เมื่อผีหายไป ลูกอมก็ตกลงมาทันที
ในที่สุดดาร์กก็ถูกปล่อย เขาก้มลงหยิบขนมบนพื้นและเริ่มลอกกระดาษห่อขนม
ตัวขนมดูเหมือนลูกอมธรรมดามาก แต่กระดาษห่อขนมกลับถูกแกะสลักด้วยเส้นละเอียด
ดาร์กตระหนักได้ทันที “อย่างนี้นี่เอง!”
ไดแอนนาสังเกตเห็นความสุขบนใบหน้าของดาร์ก จึงถามเขาด้วยความสงสัย “ดาร์ก นายเจออะไรเหรอ?”
เดิมทีดาร์กต้องการทิ้งลูกอมไป แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นไดแอนนามองมาที่เขาอย่างตั้งใจ เด็กชายจึงเก็บกระดาษห่อลูกอมไว้แล้วส่งลูกอมให้อีกฝ่ายแทน
ไดแอนนากินลูกอมในคำเดียว
ดาร์กดึงกระดาษห่อลูกอมออกมาสังเกตอย่างละเอียด
“มันเป็นการ์ดเวทมนตร์แบบใช้ครั้งเดียว ดูท่าว่าน่าจะใส่พลังเวทไว้ล่วงหน้า และให้มันอยู่ได้จนถึงเที่ยงคืน”
ดาร์กสนใจงานฝีมือชิ้นนี้มาก เขาเก็บกระดาษห่อขนมไว้อย่างระมัดระวัง
“ไปต่อกันเถอะ”
…
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง
ทั้งสามคนก็เดินไปจนสุดทางเดินบนชั้นสอง
ดาร์กเอื้อมมือไปเช็ดครีมที่มุมปากของไดแอนนา แล้วใส่กระดาษห่อที่สิบสามลงในกระเป๋าของเขา
ผีที่พวกเขาพบระหว่างทางส่วนใหญ่เป็นเพียงแค่หนึ่งดาวหรือสองดาวเท่านั้น บ้างก็มีลูกอมตกออกมา บ้างก็มีแอปเปิ้ลแคนดี้ บ้างก็เป็นพายฟักทองชิ้นเล็ก ๆ… แต่ทั้งหมดนั้นล้วนบรรจุอยู่ในกระดาษห่อเป็นอย่างดี
“เป็นงานเลี้ยงขนมหวานที่วิเศษจริง ๆ”
หลังจากที่ดาร์กจัดการพายฟักทองชิ้นสุดท้ายเสร็จแล้ว เขาก็บอกไดแอนนาและโรสว่า “เดี๋ยวหลังจากนี้แยกย้ายกันไปนะ อืม เราจะมาพบกันอีกครั้งที่โถงทางเข้าชั้นหนึ่งในอีกห้าชั่วโมงแล้วกัน”
ไดแอนนาพูดอย่างเชื่อฟังว่า “อืม งั้นเจอกันที่งานเต้นรำนะ!”
โรสยิ้มให้ “ไม่ต้องห่วงพวกเรานะ”
ในช่วงครึ่งชั่วโมงที่แล้วดาร์กไม่ได้ทำอะไรเลย เขาแค่บอกให้ไดแอนนากับโรสร่วมมือกันล่าผีเท่านั้น
ทั้งสองคนจึงติดอันดับของบ้านขุนนางปีหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังติดอยู่ในสิบสองอันดับแรกอีกด้วย
ดูเหมือนว่าต่อให้พวกเขาจะจัดการแค่ผีระดับต่ำ แต่พวกเขาก็ยังก้าวหน้าเร็วกว่าคนจำนวนมาก
ส่วนตัวดาร์กเองนั้น ถึงตอนนี้ก็ยัง +0
…
แม้ว่าดาร์กจะไม่สนใจ แต่ที่มุมหนึ่งของปราสาท ดูเหมือนว่าจะมีคนให้ความสนใจกับอันดับของเขาอยู่เสมอ
เวอร์เธอร์อยู่ในอันดับที่สามของบ้านอัศวินปีหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีชื่อของดาร์กในอันดับของบ้านขุนนางปีหนึ่ง เขาก็อดตื่นเต้นไม่ได้
“เราทำได้ โรเบิร์ต!”
“ใช่แล้ว!”
บทที่ 91 ดาร์ก เดม่อนรีบวิ่งไปที่ปราสาท
บทที่ 91 ดาร์ก เดม่อนรีบวิ่งไปที่ปราสาท
ในหอคอยบ้านขุนนาง
ดาร์กหยดน้ำยาแมวหนึ่งหยดลงบนรากหญ้าแมว จากนั้นก็เทน้ำยาลงบนต้นไม้หนอน แล้วจึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ในบรรดางานอดิเรกทั้งหมด การปลูกดอกไม้และหญ้านับเป็นการฝึกฝนจิตใจอย่างแท้จริง
เมื่อนำหญ้าแมวขี้อ้อนกลับเข้าไปในตะกร้านอนแล้ว ดาร์กก็เริ่มตรวจสอบสิ่งที่เขาต้องพกไปอย่างรอบคอบ
งานเลี้ยงสวมหน้ากากจะเริ่มในเวลาหกโมงเย็น และดำเนินต่อไปจนกว่าระฆังจะดังขึ้นในเวลาเที่ยงคืน นักเรียนจะต้อนรับวันใหม่ในโถงแห่งการต้อนรับ
ช่วงเวลานี้ พวกเขาจะต้องมุ่งเข้าไปในปราสาทส่วนลึกเพื่อค้นหาผีที่ซ่อนอยู่และฆ่าพวกมัน
คะแนนที่ได้จากการฆ่าผีจะถูกบันทึกไว้ในการ์ดคัดสรร
นักเรียนสามารถใช้การ์ดคัดสรรตรวจสอบอันดับของพวกเขา ในแต่ละชั้นปีและในแต่ละบ้านได้
แน่นอนว่าส่วนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ อันดับโดยรวม
มันไม่เหมือนกับแชมป์ประจำชั้นปี แชมป์ของอันดับโดยรวมจะไม่เพียงแต่ได้รับตำแหน่งพิเศษเท่านั้น แต่ยังได้รับคะแนนจำนวนมากและรางวัลเป็นทรัพยากรหายากอีกด้วย
ดังนั้นแม้แต่นักเรียนชั้นปีสูง ๆ ก็ยังออกไปร่วมงานเลี้ยงสวมหน้ากากเช่นกัน!
สำหรับรุ่นน้องแล้ว มันไม่ง่ายเลยที่จะดึงเอาคะแนนจากมือของนักเรียนรุ่นพี่
โชคดีที่โรงเรียนมีกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้
ผีมีตั้งแต่หนึ่งดาวถึงแปดดาว
นักเรียนชั้นปีที่สามขึ้นไป จะไม่ได้รับคะแนนจากการฆ่าผีระดับหนึ่งดาว
นักเรียนชั้นปีที่สี่ขึ้นไป จะไม่ได้รับคะแนนจากการฆ่าผีที่ต่ำกว่าสองดาว
นักเรียนชั้นปีที่ห้าขึ้นไป จะไม่ได้รับคะแนนจากการฆ่าผีที่ต่ำกว่าสามดาว
นักเรียนชั้นปีหก จะไม่ได้รับคะแนนจากการฆ่าผีที่ต่ำกว่าสี่ดาว
…
สำหรับดาร์ก เขามีเป้าหมายชัดเจน นั่นคือทำคะแนนให้ได้เยอะ ๆ
ดังนั้นชุดแต่งกายจึงไม่ควรมีน้ำหนักมากเกินไป
และทางที่ดีก็ควรนำไปเพียงกระเป๋าใส่การ์ดเท่านั้น
ดาร์กหยิบการ์ดเวทมนตร์ออกมาและเริ่มจัดระเบียบมัน
เป็นเวลาสองเดือนแล้วตั้งแต่เริ่มเรียนมา
หากไม่นับการ์ดดอกไม้ ตอนนี้ดาร์กก็มีการ์ดเวทมนตร์สิบหกใบแล้ว
1. [อัตตา I]
2. [อัตตา II]
3. [ราคะ I]
4. [ราคะ III]
5. [สัตว์อสูรมายา: อีบุย]
6. [สไลม์ขยะ]
7. [ชัคคารุ]
8. [การ์ดแห่งความสุข]
9. [การ์ดน้ำยาเงียบสงัด]
10. [ผงเผยตัว] 2 ใบ
11. [น้ำยาพลังงาน] 5 ใบ
บวกกับการ์ดคัดสรร รวมเป็นสิบเจ็ดใบ
กระเป๋าใส่การ์ดที่ทางโรงเรียนจัดหาให้สามารถบรรจุการ์ดเวทมนตร์ได้ยี่สิบเอ็ดใบ
ดังนั้นแล้ว เขาจึงคิดจะใส่ [การ์ดแต่งตัว] และกระดาษโน้ต ดินสอ ยางลบ และปากกาพลังเวทเข้าไปในซองด้วย
ทุกอย่างพร้อมแล้ว
ดาร์กเปลี่ยนชุดเป็น ‘ชุดเจ้าชายรัตติกาล’ จากนั้นก็สวมหน้ากากอีกาสีดำ ปรับทรงผม และเปิดประตู
“แฮ่!”
ไดแอนนาโผล่ออกมาจากพุ่มไม้
หลังจากสวม ‘ชุดเจ้าหญิงรัตติกาล’ แล้ว เธอก็เหมือนกลายเป็นนางฟ้าตัวน้อยที่ปรากฏตัวออกมาในเวลายามค่ำคืน สูงส่ง สง่างาม และน่ารักในเวลาเดียวกัน
ข้าง ๆ เธอ โรสสวมเครื่องแบบองครักษ์สีขาวอยู่ โดยเกล้าผมสีบลอนด์อ่อนซ่อนอยู่ใต้หมวก ซึ่งดูเท่อย่างคาดไม่ถึง!
จากที่โรสบอกคือ เธออยากใช้โอกาสนี้เพื่อสัมผัสกับความรู้สึกของการเป็นเด็กผู้ชาย
จากการวิเคราะห์ทางจิตวิทยา นี่คือการแสดงออกถึงจิตใต้สำนึกของเธอที่ปรารถนาจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอขึ้นมา
…
ทั้งคู่ยังไม่ได้สวมหน้ากาก เห็นได้ชัดว่าตั้งใจรอเขาอยู่ที่นี่
ดาร์กอดขมวดคิ้วไม่ได้
ไดแอนนายื่นมือขาวนุ่มของเธอออกมาแล้วพูดว่า “เลี้ยงหรือหลอก”
“เมี้ยว~”
หญ้าแมวเผยให้เห็นใบหน้าครึ่งหนึ่งจากด้านหลังของดาร์ก
ตาของโรสเป็นประกาย “ดาร์ก นายก็มีหญ้าแมวด้วย!”
ดาร์กอาศัยโอกาสนี้บอก “ฉันเลี้ยงมาได้สักพักแล้ว”
โรสมองหญ้าแมวที่มีดอกตูมบานอยู่เหนือหัวของมัน และพูดด้วยความอิจฉา “โห นายดูแลมันดีมากเลย การ์ฟิลด์ของฉันอ้วนมากจนตอนนี้กลายเป็นลูกบอลแล้ว”
ดาร์กหัวเราะขบขัน “แมวอ้วนก็น่ารักนะ เพราะยังไงหญ้าแมวก็ไม่ป่วยเพราะน้ำหนักเกินอยู่แล้ว”
“ก็จริง” โรสแสดงความคิดส่วนตัวของเธอซึ่งหายากมาก “ฉันรู้สึกผ่อนคลายมากเวลาบีบการ์ฟิลด์เล่น แต่บางครั้งฉันก็รู้สึกหายใจไม่ออกเพราะมันนั่งทับอยู่บนหน้าอกของฉัน”
ดาร์กหัวเราะออกมา “ฮ่า ๆ หญ้าแมวฉันชอบนอนข้างหมอนล่ะ”
ไดแอนนามุ่ยปากของเธอ “ไดแอนนาก็อยากซื้อเหมือนกัน!”
ทั้งสามคนยิ้มและเดินไปที่ห้องนั่งเล่น
ไดแอนนาและโรสก็สวมหน้ากากอีกาสีดำครึ่งหน้าและหน้ากากขนนกนกยูงเมื่อพวกเขาลงไปชั้นล่าง
พอพวกเขาทั้งสามคนมาถึง ห้องรับแขกก็เต็มไปด้วยผู้คนแล้ว
ด้วยความกว้างขวางของห้องนั่งเล่นส่วนกลาง จึงทำให้สามารถรองรับนักเรียนทุกคนจากทั้งหกชั้นปีได้
ในตอนที่ยืนอยู่บนบันไดและมองออกไป ก็พบว่านักเรียนรุ่นพี่ส่วนใหญ่แต่งกายด้วยชุดที่เป็นทางการ ซึ่งไม่ฉูดฉาดหรือเรียบง่ายเกินไปนัก เหมือนกับชุดที่สวมใส่ในงานเลี้ยงทั่วไปเสียมากกว่า
ที่สำคัญนักเรียนรุ่นพี่บางคนถึงกับมีกุหลาบแดงอยู่ในกระเป๋าเสื้อ!
จุดประสงค์ของพวกเขาชัดเจนมาก
แต่คงไม่มีใครคาดคิดว่าชุดของพวกเขาจะคล้ายคลึงกันมาก
หากมีเพียงหนึ่งหรือสองคนสวมชุดแบบนี้มันก็ดูจะไม่เป็นปัญหาใหญ่อะไร
แต่ถ้ามีคนหลายสิบคนที่สวมชุดเดียวกัน พวกเขาจะไม่สามารถโดดเด่นจากฝูงชนได้
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้แล้วในตอนนี้
หากพวกเขาอยากโดดเด่น ตอนนี้ก็ทำได้แค่พึ่งพากำลังของพวกเขาเท่านั้น!
ดังนั้นนักเรียนรุ่นพี่จึงหันไปเตรียมพร้อมในส่วนอื่นแทน
นักเรียนชั้นปีน้อย ๆ ยังคงรักษาความไร้เดียงสาแบบเด็ก ๆ อยู่ พวกเขาสวมใส่ชุดสัตว์ประหลาดมากมาย ดูแล้วก็รู้สึกสนุกสนานไปด้วย
ตามความเข้าใจของดาร์กเกี่ยวกับเจ้าหญิงแฝดน้อยทั้งสอง พวกเธอน่าจะสนใจนักเรียนที่แต่งตัวเป็นสัตว์ประหลาดมากกว่า
แน่นอนว่าพวกหล่อนไม่ได้เรียบร้อยอย่างที่ทุกคนคิด…
แต่เจ้าหญิงองค์โตนั้นเป็นคนที่อ่อนโยนและสง่างามโดยแท้จริง บางทีเธออาจจะชอบเครื่องแต่งกายของสุภาพบุรุษก็เป็นได้
…
หอคอยบ้านนักปราชญ์
แม้จะเกือบหกโมงเย็นแล้ว แต่แพนดอร่าก็ยังอยู่ในห้องพักของเธอ
เธอสวมชุดเจ้าสาวสีขาวพิสุทธิ์เหมือนหิมะ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของจิตใจอันงดงามของเธอ
นี่เป็นปีที่สี่แล้วที่เธอจะเข้าร่วมงานเลี้ยงสวมหน้ากากของโรงเรียน แน่นอนว่าเธอรู้ดีว่าช่วงนี้คนจะแน่นในห้องส่วนกลาง
ไม่จำเป็นต้องไปเบียดเสียดเพื่อคว้าโอกาสเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้น
เพียงแค่ยอมออกมาช้าหน่อย เธอก็สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องเลวร้ายได้มากมายแล้ว ทำไมถึงจะไม่ทำล่ะ?
…
หอคอยบ้านอัศวิน
เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตถูกเบียดจนเป็นขนมปังไปแล้ว
ทั้งสองซื้อชุดคอสตูมคนละชุดในวันเสาร์
โรเบิร์ตซื้อชุดมนุษย์หมาป่าแบบคลุมทั้งตัว ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ชุดที่คนทั่วไปสามารถควบคุมได้ แต่โรเบิร์ตมีร่างกายและพละกำลังเพียงพอ
ขณะที่เวอร์เธอร์นั้น สวมชุด ‘ขุนนางแวมไพร์’ ที่เผยให้เห็นใบหน้าเพียงครึ่งเดียว
แวมไพร์กับมนุษย์หมาป่า นี่ดูเป็นคู่ที่น่าสนใจ
…
หอคอยบ้านคนเขลา
…
ในที่สุดก็ถึงช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอย
เข็มชั่วโมงชี้ลงโดยตรง
จากหอนาฬิกาที่ใจกลางโรงเรียนพลันมีเสียงระฆังดังขึ้น
แกร๊ง~!
การกักบริเวณถูกยกเลิกออกไป
ทันใดนั้นเหล่านักเรียนก็รีบพุ่งตัวออกจากหอคอยเหมือนกับกระต่ายป่า
นักเรียนเกือบพันคนรุมเข้าไปในปราสาทเซนต์แมเรียนทันที และผีที่หลับใหลก็ลืมตาขึ้น ค้างคาวสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนก็เริ่มบินออกมาจากทุกที่!
เมื่อเผชิญหน้ากับฝูงค้างคาว นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งซึ่งวิ่งปะปนกันไปในฝูงชน ก็รีบวิ่งเข้าไปในปราสาทอย่างตื่นเต้น
บทที่ 90 สถาบันโรงเรียนเซนต์แมเรียนถูกผีสิง
ในเวลานี้ เอ็มม่า มอร์ติสกำลังนั่งเท้าคาง มือพลิกหน้า ‘ราชาทองคำและสมบัติลับ’ ที่อยู่บนโต๊ะ แต่อันที่จริงแล้วสายตาของเธอไม่ได้มองสิ่งตรงหน้าเลยสักนิด ทว่ากลับลอบชำเลืองมองไปทางด้านหน้าซ้ายอยู่
น่าแปลกที่รุ่นพี่สาว ผู้ทำหน้าที่เป็นบรรณารักษ์รายวันดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์กับบุตรชายแห่งดัชเชสของอาณาจักร
โดยปกติดาร์ก เดม่อนมักจะเดินผ่านเคาน์เตอร์ไป แต่ตอนนี้เขากลับหยุดยืนอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์มาได้หนึ่งหรือสองนาทีแล้ว
เอ็มม่าเคยได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับรุ่นพี่แพนดอร่า โดรากอน
เธอไม่ได้ตั้งใจถามเรื่องนี้กับคนอื่น แต่เพียงแค่นั่งอยู่ในห้องส่วนกลางของบ้านอัศวิน ก็มักจะได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับรุ่นพี่คนนี้อยู่แล้ว
เมื่อพวกเขาพูดถึงรุ่นพี่สาวคนนี้ พวกเขามักจะพูดด้วยความเกรงใจและชื่นชม ราวกับว่าพวกเขาไม่ได้พูดถึงคนที่อายุใกล้กัน แต่… อืม เป็นเทพธิดา?
เหอะ!
เทพธิดาจะเกาะติดเด็กผู้ชายอย่างไร้ยางอายเช่นนี้ได้หรือ?
เอ็มม่าพ่นลมหายใจ
…
ดาร์กมองดูจดหมายเชิญที่รุ่นพี่แพนดอร่าส่งมาให้ ก่อนจะสงสัยว่าซองจดหมายเชิญนี้ซื้อมาจากที่ไหน?
อืม…แต่นิ้วของรุ่นพี่ก็ดูขาวนวลตามากจริง ๆ ส่วนเล็บของเธอก็ดูแคบและยาว ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเธอสามารถข่วนใจของผู้คนได้
“เธออยากได้ไหม?”
แพนดอร่าโน้มตัวลงมา ชุดนักเรียนที่รัดแน่นดันส่วนหน้าอกออกมาทดสอบหัวใจของผู้คนเล่น และลมหายใจของเธอก็ล่องลอยมาพร้อมกับกลิ่นอันหอมหวาน
ดาร์กยื่นจดหมายเชิญกลับไปโดยไม่ลังเล
“ขอโทษด้วยครับ ผมมี…”
“ให้ทายนะ”
แพนดอร่ารับจดหมายเชิญกลับไป อันที่จริงมันมีแค่กระดาษเปล่าอยู่ข้างใน
แต่คิ้วของเธอกลับขมวดเข้ากันเล็กน้อย แกล้งทำเป็นหน้าเสียนิดหน่อย นิ้วเรียวของแพนดอร่าชี้ไปทางเอ็มม่าที่อยู่ข้างหลังดาร์ก ขณะที่ร่างกายท่อนบนของเธอยังคงเอนไปข้างหน้า รุ่นพี่สาวกระซิบข้างหูของดาร์กว่า “ใช่เธอหรือเปล่า?”
ดาร์กขมวดคิ้ว นี่เป็นครั้งที่สองที่รุ่นพี่แพนดอร่าจับคู่เขากับเอ็มม่า
นี่เป็นบรรยากาศระหว่างพวกเขาที่คนอื่นรู้สึกหรือเปล่า?
แพนดอร่ามีความคิดที่เฉียบแหลม ดวงตาของเธอเป็นประกายขณะที่เธอพูดว่า “ถึงเธอจะมีคู่แล้ว แต่เธอก็ยังสามารถเปลี่ยนได้นะ~”
ดาร์กพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ธีมคือฮัลโลวีน ไม่ใช่งานเต้นรำนะครับ”
แพนดอร่าถามต่อ “แล้ววันคริสต์มาสล่ะ?”
ดาร์ก “หา?”
…
ความจริงแล้ว แพนดอร่าเพียงต้องการบรรเทาอารมณ์เครียดของเธอด้วยการหยอกล้อนักเรียนรุ่นน้องเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ออกจากห้องสมุดไป
มันต่างจาก ‘ความง่าย’ ของนักเรียนชั้นปีแรก ๆ อันที่จริงแล้ว นักเรียนชั้นปีสูง ๆ นั้นอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างมาก และนี่นับว่าเป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะกับนักเรียนชั้นยอด
การเรียนและการแข่งขันเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอต้องดูแลงานของเธอในฐานะบรรณารักษ์ แพนดอร่าจึงต้องจัดสรรเวลาให้ดีกว่านักเรียนในปีเดียวกัน
คุณเบลล่าได้เสนอแนะหลายครั้งว่าเธอควรละทิ้งหน้าที่นี้ แต่เธอก็ปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยวเสมอ
เพราะในช่วงปีแรกนั้น กลับเป็นงานของบรรณารักษ์ที่ได้ช่วยชีวิตเธอเอาในยามที่เธอหลงทาง
…
เราไม่ควรลืมว่าเรามาจากไหน
เมื่อเดินไปตามทาง แพนดอร่าก็อดคิดถึงนักเรียนตัวน้อยที่น่ารักไม่ได้
“อืม ความรู้สึกที่ดื้อรั้นแบบนั้นก็ดีเหมือนกันนะ”
…
ดาร์ก เดม่อนกำลังเป็นทุกข์
เขาถูกบังคับให้ทำข้อตกลงสำหรับงานเลี้ยงคริสต์มาส แม้ว่าจะเป็นเพียงฝ่ายเดียวก็ตาม
ถึงแม้ว่าดาร์กจะไม่สนใจว่าคู่ในวันคริสต์มาสของเขาจะเป็นใคร แต่ด้วยเรื่องราวที่มาถึงจุดนี้ เขาพลันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
เมื่อคิดเรื่องนี้ เขาก็นึกถึงประโยคที่ว่า ‘หรือนี่คือความขมขื่นและความเศร้าโศกในช่วงวัยรุ่นใช่ไหม?’
และดาร์กก็กำจัดความคิดฟุ้งซ่านในทันที
วันนี้เป็นวันที่ 29 ตุลาคมแล้ว
และคืนวันมะรืนนี้…จะเป็นคืนวันฮัลโลวีน
…
“มะรืนนี้ก็เป็นงานเลี้ยงสวมหน้ากากแล้ว!”
ที่มุมห้องอ่านหนังสือ
เวอร์เธอร์เกือบทำปากกาหัก!
ในการทำการ์ดเวทมนตร์สำหรับงานเลี้ยงสวมหน้ากาก สองคู่หูได้มานั่งสุมหัวกันตั้งแต่บ่ายแล้ว ทว่าจนตอนนี้ก็ยังไม่ได้อะไรออกมาเป็นชิ้นเป็นอันเสียที
ยิ่งการ์ดเวทมนตร์ซับซ้อนมากเท่าไหร่ ความรู้ต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องมีก็ยิ่งต้องแม่นยำมากขึ้นเท่านั้น อีกอย่างข้อมูลในหนังสือก็เริ่มน้อยลงแล้วด้วย
ถ้าเวอร์เธอร์ต้องการสร้างการ์ดเวทมนตร์ของตัวเอง เขาต้องเรียนรู้ที่จะคำนวณให้เป็น
มันคือเรื่องการคำนวณและคณิตศาสตร์!
ก่อนที่จะเริ่มเรียนภาษาเวทมนตร์ในปีที่สอง วิชาคณิตศาสตร์ถือเป็นฝันร้ายที่ใหญ่ที่สุดของพวกจอมเวทฝึกหัด!
ความอดทนของเวอร์เธอร์นั้นค่อนข้างดี แต่ก็ยังค่อย ๆ สูญเสียไปเมื่อเจอกับตัวเลขเยอะขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อความหงุดหงิดพุ่งขึ้นสมอง จู่ ๆ เขาก็มองเห็น ‘ดวงจันทร์’ ในส่วนลึกของหัวใจ
จากทางเข้าห้องอ่านหนังสือ เธอเดินเข้ามาในแสงจันทร์สีขาวของเขา
การแอบชอบใครสักคนเป็นความรู้สึกที่แปลกมาก หากคุณเก็บเขาไว้ในหัวใจ ตราบใดที่คุณไม่เปิดเผยหรือพูดมันออกมา ความรู้สึกนั้นก็จะใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ…
โรเบิร์ตเคยสนับสนุนให้เวอร์เธอร์ใช้ [ความรักต้องห้าม] เพื่อตรวจสอบค่าความชื่นชอบที่รุ่นพี่แพนดอร่ามีต่อเขา
แต่ในวันนั้น แพนดอร่ากลับหายไป
ดังนั้นเขาจึงไม่มีความกล้าหาญอีกต่อไปแล้ว
→ ตราบใดที่คุณไม่ลืมตา คุณก็จะไม่ตื่นจากความฝัน
อีกทั้งเขาก็รู้ดีว่า เขาและรุ่นพี่เป็นดั่งเส้นขนานสองเส้น
แน่นอน ในจิตใต้สำนึกของเขา นั่นเป็นเพียงสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้
แต่ในอนาคต มันจะไม่เหมือนเดิม
งานเลี้ยงสวมหน้ากากครั้งนี้เป็นโอกาสอันดี
‘ถ้าฉันสามารถเป็นแชมป์ของปีหนึ่งได้ ฉันก็อาจจะดึงดูดความสนใจของรุ่นพี่แพนดอร่าได้ไม่มากก็น้อย’
เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น เวอร์เธอร์เชื่อว่าเขาจะมีความมั่นใจมากขึ้น
บางทีเขาอาจจะชวนเธอไปเต้นรำในงานปาร์ตี้คริสต์มาสก็ได้
→ ปาร์ตี้คริสต์มาสเป็นงานเต้นรำที่แท้จริง แบบที่งานเลี้ยงสวมหน้ากากในวันฮาโลวีนเทียบไม่ติด!
เขาไม่เปลี่ยนใจจนกระทั่งสังเกตเห็นว่ารุ่นพี่แพนดอร่าส่งจดหมายเชิญให้ดาร์กจากระยะไกล
โชคดีที่ดาร์กดูเหมือนจะไม่ได้ตกลง
แต่นี่เป็นโชคจริง ๆ เหรอ?
ดาร์กไม่ตกลง เพียงเพราะเขามีคู่แล้ว
ไม่อย่างนั้นใครจะปฏิเสธคำเชิญจากรุ่นพี่แพนดอร่า?
แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ดาร์กกับรุ่นพี่แพนดอร่าสนิทกันขนาดนี้
แกร็ก!
ในที่สุดปากกาก็หัก
“ฉันจะชนะ”
…
ท้องฟ้ายามค่ำคืนของเซนต์แมเรียนยังคงชัดเจนเหมือนกระจกเงาที่สะท้อนถึงหัวใจของผู้คน แต่นั่นไม่อนุญาตให้พวกเขามองผ่านไปได้
ขึ้นสัปดาห์ใหม่แล้ว
ระหว่างคาบเรียนในวันจันทร์ กะจิตกะใจของนักเรียนไม่ค่อยจะอยู่ในชั้นเรียนสักเท่าไหร่ และอาจารย์ก็รู้สึกว่าการสอนเป็นเรื่องที่ยากขึ้น
ไม่มีคาบเรียนในวันอังคารและวันพุธ
แต่ในวันอังคารหลังเที่ยง นักเรียนทุกคนต้องกลับไปที่หอพัก และพวกเขาไม่สามารถออกจากหอคอยได้จนกว่าจะถึงหกโมงเย็น
นี่คือจุดเริ่มต้นของงานเลี้ยงสวมหน้ากาก!
ไม่มีพิธีเปิดงานโดยอาจารย์
กลับกัน ผีทั่วสถาบันนั้นเป็นพิธีเปิดที่ดีที่สุด!
ผี ซอมบี้ มัมมี่ แจ็กพัมพ์กิ้นส์…
เมื่อเสียงระฆังดังขึ้นตอนหกโมงเย็น จะเป็นเวลาที่ผีและปีศาจปรากฏตัว!
สถาบันขนาดใหญ่จะกลายเป็นเวทีของนักเรียน แต่ก็เป็นเวทีของผีสางด้วย!
นักเรียนหลายพันคนสวมชุดคอสตูมของพวกเขา
เหล่าเจ้าหญิงก็จะแฝงตัวเข้ากับฝูงชนที่สวมหน้ากาก
ปีศาจและผีจะเต้นรำอย่างบ้าคลั่งในความโกลาหล
โดยมีจันทราหนึ่งเดียวจ้องมองลงมายังสถาบันโบราณแห่งนี้
‘ม่านหมอกและความจริง’ จะปรากฏขึ้นบนกระดานหมากรุกเดียวกัน และในเวลาเดียวกันเสมอ
ผู้ใดกันนะ…ที่จะสามารถค้นหาความจริงของตนเองในงานเลี้ยงนี้ได้?
ผู้ใดกันนะ…ที่จะสามารถเผยความจริงสุดท้ายในช่วงแห่งความโกลาหลนี้ได้?
ผู้ใดกันนะ…ที่จะสามารถคว้าโอกาสในงานปาร์ตี้นี้ได้?
เล่นกับวีรบุรุษ!
เล่นกับเจ้าหญิง!
เล่นกับจอมมาร!
…
มาเล่นกันเถอะ!
บทที่ 89 คำเชิญงานเลี้ยงหน้ากากของดาร์ก เดม่อน
บทที่ 89 คำเชิญงานเลี้ยงหน้ากากของดาร์ก เดม่อน
ในห้องส่วนกลาง
ดาร์กวางหนังสือพิมพ์ลง ก่อนจะหันมาดูข้อมูลเกี่ยวกับสก็อตต์ที่เขียนไว้ในสมุดบันทึก เขามีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับรุ่นพี่ปีสองคนนี้อยู่บ้าง
สก็อตต์เป็นคนที่มีชื่อเสียงในชั้นปีที่สอง
แม้ว่ามันจะเป็นในแง่ลบก็ตาม
เมื่อสถานการณ์ทางครอบครัวของเขาเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่ของเขากลัวว่าจะทำให้เขารำคาญ จึงไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กัน
แต่สก็อตต์ก็ยังเข้าใจผิด
เพื่อนร่วมชั้นค่อนข้างทำอะไรไม่ถูก มันเป็นเพียงเดือนที่สองหลังจากเปิดภาคเรียนมาได้ และความสัมพันธ์ระหว่างเขากับทุกคนก็ไม่ดี ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
สรุปคือ ทุกคนมีวิถีชีวิตเป็นของตัวเอง
…
ในวันอาทิตย์ดาร์กหมักผลไม้สีขาวและผลไม้สีน้ำเงินทั้งสามที่เหลือให้เป็นน้ำผลไม้ จากนั้นผสมและคนให้เข้ากันเพื่อทำ [น้ำยาพลังงาน]
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมีการ์ด [น้ำยาพลังงาน] อยู่ทั้งหมดห้าใบ
แม้มันจะเป็นไปไม่ได้ ที่จะใช้การ์ดประเภทเดียวกันมากกว่าสามใบในการแข่งขันประลองอย่างเป็นทางการ แต่ก็ไม่มีข้อจำกัดดังกล่าวนอกการแข่งขัน
ดาร์กกำลังเตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงหน้ากากอยู่แล้ว
…
แน่นอนว่าคนที่กำลังเตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงหน้ากากไม่ได้มีแค่ดาร์กเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นคะแนน ตำแหน่งแชมป์ประจำปี หรือเพื่อดึงดูดความสนใจของเจ้าหญิง
กล่าวโดยสรุป นักเรียนปีหนึ่งเริ่มจริงจังมากขึ้นกว่าเดิม
คนที่ไม่เคยไปห้องสมุดมาก่อนตอนนี้ก็มักจะวิ่งไปที่ห้องสมุด
ห้องอ่านหนังสือซึ่งเคยมีที่นั่งว่างอยู่เสมอก็กลายเป็นแออัดขึ้นมาทันใด
ไม่สำคัญว่าจะเป็นการชั่วคราวหรือเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร แต่ในระยะเวลาสั้น ๆ ผลกระทบของงานเลี้ยงหน้ากากก็ดูเหมือนจะปรากฏขึ้น
นักเรียนในวัยนี้ต้องมีแรงจูงใจ
…
ในคาบเรียนแรกของวันจันทร์ ศาสตราจารย์ซิลเวอร์กล่าวถึงกฎของงานเลี้ยงหน้ากาก กฎเฉพาะได้ถูกบันทึกไว้ในการ์ดคัดสรรและนักเรียนสามารถดูได้ตลอดเวลา
ศาสตราจารย์เคเซอร์เริ่มยุ่งกับการสร้างผีมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่ศาสตราจารย์ลิลลี่ก็ยังถูกลากให้ไปช่วย
และการบ้านคณิตศาสตร์ของนักเรียนปีหนึ่งก็ตกลงบนไหล่ของดาร์กอย่างสมบูรณ์
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นสัปดาห์ก่อนวันฮัลโลวีน แต่ทุกคนรู้สึกว่ามันเหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ
นักเรียนต่างพูดคุยเรื่องวันฮัลโลวีนทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการแต่งหน้า ผี คะแนน หรือเจ้าหญิง พวกเขาไม่เคยเบื่อที่จะพูดถึงเรื่องนี้
และในวันพุธที่ไม่มีใครรู้ว่า ใครเป็นคนยกประเด็นนี้ขึ้นมาก่อน แต่หัวข้อ ‘คู่เต้นรำ’ ก็ได้โผล่ขึ้นมาในหมู่นักเรียนปีหนึ่ง!
ก่อนหน้านั้นหัวข้อนี้ได้รับความนิยมแค่ในหมู่นักเรียนรุ่นพี่เท่านั้น ทว่าตอนนี้มันได้ปรากฏขึ้นในหมู่นักเรียนปีหนึ่งบ้างแล้ว
นี่ดูเหมือนจะเป็นโอกาสสำหรับจอมเวทฝึกหัดที่จะปลุกจิตสำนึกของเพศตรงข้าม
และช่วงเวลานี้ มันก็เกือบจะสองเดือนแล้วหลังจากเริ่มเรียน นับเป็นช่วงเวลาที่พวกจอมเวทฝึกหัดมีความเข้าใจซึ่งกันและกันในระดับปานกลาง
‘ปานกลาง’ คืออะไร?
หมายถึงการพอจะรู้จักกันบ้างแล้วโดยผิวเผิน แต่ไม่ลึกซึ้ง
ในโลกของผู้ชายและผู้หญิง ความประทับใจแรกเท่านั้นที่สวยงามที่สุด และความรักที่พร่ามัวก็เป็นสิ่งที่พึงปรารถนามากที่สุด
เพราะเมื่อมันลึกเกินไป มันก็จะไม่สวยงามอีกแล้ว
…
กล่าวโดยสรุป ดูเหมือนว่าการส่งคำเชิญไปยังเพศตรงข้ามจะเริ่มกลายเป็นกระแสนิยมแล้ว
แน่นอนว่ามีหลากหลายวิธีในการส่งคำเชิญ
บางคนก็ไปหาอีกฝ่ายเพื่อบอกตามตรง
บางคนนั้นมอบจดหมายให้เหมือนกับคำสารภาพรัก
แต่บางคนก็จะอธิบายหนังสือเชิญไปงานเต้นรำอย่างละเอียด
ในฐานะที่เป็นดาวเด่นที่สุดของนักเรียนใหม่ ดาร์ก เดม่อนนั้นเพลิดเพลินไปกับคำเชิญทุกประเภท
ตัวอย่างเช่น หลังจากคาบเรียนอัญเชิญในวันพุธ มีคนเข้ามาหาไดแอนนาและขอให้เธอช่วยส่งต่อคำพูดให้ดาร์ก แต่ดาร์กไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของบุคคลนั้น เขาจึงปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
ไดแอนนาถ่ายทอดคำตอบนั้นกลับไปอย่างมีความสุข
และทันทีที่ดาร์กเดินออกจากหอพักในเช้าวันพฤหัสบดี เขาก็พบกับจดหมายสามฉบับอยู่ที่หน้าประตู!
ตอนนี้ยังเช้าอยู่มาก และมันเพิ่งเป็นเวลาหกโมงกว่าเท่านั้น
มันไม่น่าจะมีใครตื่นเร็วกว่าเขาในวันธรรมดานะ!
ดาร์กไม่ได้เพิกเฉยต่อจดหมายสามฉบับหรือโยนมันลงถังขยะ
แม้ว่านั่นจะสะดวกก็จริง แต่ก็ดูเป็นการไม่ให้เกียรติผู้อื่นมากเกินไป
เขาหยิบจดหมายทั้งสามฉบับขึ้นมา เปิดอ่านในห้องส่วนกลาง แล้วเขียนตอบกลับไปทีละฉบับ
มีชื่อเขียนไว้ในกระดาษจดหมาย แต่ไม่มีหมายเลขห้องเฉพาะ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถคืนจดหมายได้ในตอนนี้
จากนั้นเขาก็ครุ่นคิดและมอบหมายงานนี้ให้ไดแอนนา
ไดแอนนาส่งข้อความตอบกลับไปในทันที และถึงกับเดินฮึมฮัมเพลงกลับมา
หลังจากคาบสองในเช้าวันพฤหัสบดี
ดาร์กถูกเรียกไปที่มุมของปราสาทอีกครั้ง นักเรียนหญิงซึ่งเขาจำไม่ได้ว่ามาจากบ้านไหน กลั้นความเขินอายของเธอไว้และยื่นคำเชิญที่ทำด้วยมืออันแสนประณีตให้กับเขา
เขารู้สึกหมดหนทางจึงต้องบอกอีกฝ่ายว่าเขามีคู่อยู่แล้ว
ในบ่ายวันพฤหัสบดี
ข่าวที่ว่าดาร์ก เดม่อนมีคู่เต้นรำแล้วพลันกระจายไปทั่วทั้งชั้นปีที่หนึ่งเหมือนกับสายลม
ไดแอนนาปกป้องเขาเหมือนแม่ไก่เฝ้าลูกเจี๊ยบตัวน้อย เมื่อมีคนพูดถึง ‘คู่เต้นรำ’ ของดาร์ก เธอก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้น
ดังนั้นข่าวที่ว่าคู่เต้นรำของดาร์กคือ ไดแอนนา จึงขจรขจายออกไปตาม ๆ กันอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้น คำเชิญก็ไม่โผล่มาให้เห็นอีกเลย!
ในที่สุดชีวิตของดาร์กก็กลับมาเงียบสงบลงอีกครั้ง
…
คำเชิญของนักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง ทำให้ดาร์กรู้สึกว่างานนี้มันเป็นงานที่ทางการมากขึ้น
ความรู้สึกในหมู่คนส่วนใหญ่ยังคงคลุมเครือ
และมีร่องรอยการลอกเลียนแบบอย่างดุเดือด
บางคนถึงกับใช้สิ่งนี้เป็นรูปแบบการเปรียบเทียบ
นี่ช่างเด็กมาก
…
วันหยุดสุดสัปดาห์สุดท้ายก่อนวันฮัลโลวีนพลันมาถึงในชั่วพริบตา
สุดสัปดาห์นี้เป็นโอกาสสุดท้ายสำหรับนักเรียนที่ยังไม่ได้ซื้อเครื่องแต่งกาย
เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตกำลังยุ่งอยู่กับการเดินไปรอบ ๆ โดยมองหาเครื่องแต่งกายราคาถูกที่เหมาะกับตัวเอง
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเพลิดเพลินกับบรรยากาศของวันฮัลโลวีนจริง ๆ โดยเลือกหยิบชุดสัตว์ประหลาดที่ถูกลืมไว้ที่มุมห้องขึ้นมาและจ่ายคะแนนออกไป
นอกจากนี้แล้ว ยังมีผู้คนจำนวนมากเช่นไดแอนนาและโรส ที่ต่างก็เริ่มทำการ์ดวิญญาณเพิ่ม
ทันใดนั้นก็มีคนยืมห้องทดลองมากขึ้น
ในเวลานี้เองที่นักเรียนค้นพบว่า ชุดวัตถุดิบที่ศาสตราจารย์เคเซอร์จัดหามาให้นั้น มีราคาแพงมากจนวัตถุดิบหลักที่พวกเขาเตรียมมาเองนั้น ไม่คุ้มที่จะกล่าวถึงเมื่อเจอกับมูลค่าของชุดวัตถุดิบ
กล่าวโดยสรุป ปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้นมาทีละน้อย และนักเรียนบางคนก็ซื้อวัตถุดิบผิดด้วย
ทุกห้องทดลองมีความวุ่นวายเกิดขึ้น
…
สุดสัปดาห์นี้ดาร์กกำลังพยายามทำน้ำยาเผยตัว
เมื่อพูดถึงมอนสเตอร์ของฮัลโลวีน ผีก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
ถ้าเขาต้องการระบุผีที่โปร่งใสหรือมอนสเตอร์ที่มองไม่เห็นอื่น ๆ เขาจะต้องใช้น้ำยาเผยตัว
เพื่อศึกษาสิ่งนี้ดาร์กถึงกับใช้เงินทุนวิจัยไปทั้งหมดห้าร้อยคะแนน ซึ่งมันน่าเหลือเชื่อมากในสายตาของนักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง ณ ตอนนี้
ท้ายที่สุดแล้ว คาบเรียนปกติสี่สัปดาห์จะให้คะแนนเพียงสี่ร้อยแปดสิบคะแนนแก่พวกเขาเท่านั้น
เมื่อจบการทดลอง ดาร์กก็ได้น้ำยาเผยตัวมาสามขวด
ขวดหนึ่งล้มเหลวในขั้นตอนการทำการ์ดน้ำยา
ขวดที่สองประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี การ์ดน้ำยาที่ดาร์กสร้างขึ้นในรอบนี้นั้นอยู่ในรูปของ ‘การ์ดไอเทม’
แต่มันไม่ใช่น้ำยาอีกต่อไป แต่กลายเป็นการ์ด [ผงเผยตัว]
โดย [ผงเผยตัว] มีข้อจำกัดว่า ผู้ใช้จำเป็นต้องค้นหาตำแหน่งของเป้าหมายที่มองไม่เห็นให้ได้ก่อน จึงจะสามารถใช้ออกได้
แต่แค่นี้ดาร์กก็พอใจแล้ว
…
ในเย็นวันอาทิตย์ ใต้แสงตะวันยามอัสดง เด็กชายผมบลอนด์กำลังนั่งจิบชาดำไร้กลิ่นเช่นเคย มือก็พลิกอ่านหนังสืออย่างเงียบ ๆ
และตอนนั้นเอง คำเชิญสำหรับงานเลี้ยงหน้ากากก็ถูกส่งมาหาเขาอีกครั้ง
บทที่ 88 ดาร์ก เดม่อนไม่ยึดติดกับเหตุและผล
หมัดนั้นไร้ความปรานีและระบายความโกรธที่สะสมเอาไว้ของโรเบิร์ตออกไป!
สก็อตต์ไม่เคยถูกชกแบบนี้มาก่อน หัวสมองของเขาขาวโพลนไร้ซึ่งความคิดไปในบัดดล เขาไม่สามารถใช้การ์ดเวทมนตร์ได้ ทั้งหมดที่เขาทำได้คือกรีดร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะความเจ็บปวด!
แต่โรเบิร์ตปฏิเสธที่จะหยุด เขากระโจนไปข้างหน้าและผลักสก็อตต์ลงไปที่พื้น จากนั้นเขาก็นั่งทับเขา ยกกำปั้นขึ้นและชกใส่อีกฝ่ายไม่ยั้ง!
…
หน้ากากของสก็อตต์แตกหัก จนเผยให้เห็นปากและจมูกของเขา
โรเบิร์ตกระชากมันออกอย่างแรง ฉีกหน้ากากตั้งแต่ล่างขึ้นบน จนในที่สุดก็เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาคนนั้น
เนื่องจากเขาเป็นนักเรียนชั้นปีที่สองของบ้านขุนนาง โรเบิร์ตจึงไม่เคยเห็นเขามาก่อน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะหยุดชกหน้าที่เป็นสิวของอีกฝ่าย
จนกระทั่งจมูกของสก็อตต์ฟกช้ำและใบหน้าบวมเป่ง ความโกรธของโรเบิร์ตก็บรรเทาลงไปมากแล้ว
เด็กชายหัวเราะสองสามครั้ง รู้สึกไม่เคยมีความสุขเท่านี้เลยตั้งแต่เข้ามาเรียนในโรงเรียน
สก็อตต์นอนอยู่บนพื้น หอบหายใจเป็นครั้งคราว น้ำมูกน้ำตาไหลเป็นออกมาสายธารจนดูน่าสงสาร
เวอร์เธอร์มองเหตุการณ์จากด้านข้าง เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นโรเบิร์ตทะเลาะวิวาทกับใครสักคนจริง ๆ
หลังจากผ่านคืนนั้นมา โรเบิร์ตก็เผลอหลุดปากบอกเวอร์เธอร์เรื่องที่เขาถูกมัดไว้ค้างคืน แต่ยังคงปกปิดความจริงที่ว่าเขากลายเป็นผู้หญิงไว้
มาตอนนี้เวอร์เธอร์กำลังเชื่อมโยงชายคนนี้กับลัทธิในห้องลับ
ในบรรดาผู้ที่มาปรากฏตัวเหล่านั้น เขาเป็นคนเดียวที่เห็นสก็อตต์สวมชุดปลาหมึกเมื่อนานมาแล้ว
“เราควรทำยังไงต่อ?” เวอร์เธอร์ถามขึ้น
โรเบิร์ตถอนหายใจอย่างพึงพอใจและพูดอย่างเกรี้ยวกราด “จะอะไรอีกล่ะ ส่งเขาไปให้ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ ฉันคิดว่าศาสตราจารย์ซิลเวอร์จะจัดการกับเขาแน่!”
“ไม่ ไม่ ไม่!”
สก็อตต์ที่แกล้งทำเป็นตายอยู่บนพื้น รีบร้องทันทีว่า “อย่าส่งฉันไปหาศาสตราจารย์ซิลเวอร์ ฉันจะถูกไล่ออก! และพวกเธอก็จะต้องถูกลงโทษด้วย!”
โรเบิร์ตเยาะเย้ย “ฉันเนี่ยนะจะถูกลงโทษ? ฉันก็แค่แก้แค้น แล้วฉันจะโดนลงโทษได้ยังไง?”
“ไม่หรอก”
แต่เวอร์เธอร์ขัดจังหวะอย่างกะทันหัน “โรเบิร์ต เขาพูดถูก นายลงมือหนักเกินไป ถ้าศาสตราจารย์ซิลเวอร์รู้เรื่องนี้ ไม่ใช่แค่จะถูกกักบริเวณ แต่ยังอาจถูกหักอย่างน้อยห้าสิบคะแนนด้วย”
โรเบิร์ตอึ้งแล้วตะโกนว่า “เป็นไปได้ยังไง!! นี่มันไม่ยุติธรรมเลย!”
เวอร์เธอร์ส่ายหัว “ไม่มีอะไรที่ไม่ยุติธรรมหรอก แต่เดิมการทะเลาะวิวาทมันก็ผิดอยู่แล้ว”
โรเบิร์ตกังวล “แล้วเราควรทำยังไงดี?”
เวอร์เธอร์แสร้งทำเป็นครุ่นคิดอย่างรอบคอบ “นายก็ได้แก้แค้นแล้ว และล่าสุดเขาก็ไม่ได้ทำอะไรกับนายมาก ทำไมไม่ถือว่าหายกันล่ะ”
โรเบิร์ตท้วง “แต่คราวที่แล้วเขา…”
เวอร์เธอร์ “หืม?”
โรเบิร์ตหดคอลง “ไม่มีอะไร”
เวอร์เธอร์พูดอีกครั้ง “อะแฮ่ม บางทีเราน่าจะถามดาร์กนะ เขาก็อยู่ที่นี่ด้วย เอ๋ ดาร์กไปไหนแล้ว?”
…
ดาร์กจากไปแล้ว
ส่วนวิธีที่เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตจะจัดการกับสก็อตต์ นั่นก็เป็นเรื่องของพวกเขา
แต่ดาร์กเดาว่าเวอร์เธอร์ไม่อยากพาสก็อตต์ไปหาศาสตราจารย์ซิลเวอร์
การ์ดดอกไม้ รูปปั้นเทพธิดา ลัทธิ สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะเชื่อมโยงกันทั้งหมด
หากมีการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน มันย่อมเผยให้เห็นว่ามีร่องรอยแปลกประหลาดที่ยากจะลบเลือนอย่างแน่นอน
และเวอร์เธอร์ก็อยู่ถลำลึกเข้าไปในนั้นแล้ว
ดาร์กถอนตัวทันทีหลังจากที่รู้ว่าเทพธิดานั้นไม่ใช่เรื่องดี
แต่เหตุผลหลักที่เขาไม่ต้องการมีส่วนร่วมเป็นเพราะศาสตราจารย์เคเซอร์
…
ตราบใดที่คุณยังเป็นมนุษย์ คุณจะมีอคติอยู่เสมอ
…
กลางคืนของวันนั้น
สก็อตต์สวมชุดหนังที่ได้รับการซ่อมแซมแล้ว จากนั้นเดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปในห้องลับ
สมาชิกของภาคีที่นั่งอยู่รอบ ๆ อดไม่ได้ที่จะมองดูรอยเย็บบนชุดหนังของเขา
มีสมาชิกทั้งหมดสิบหกคนในภาคี และไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา ยกเว้นผู้นำที่รวบรวมพวกเขามา
หลังจากเข้ามาที่นี่ สก็อตต์ก็ไม่ใช่สก็อตอีกต่อไป แต่เป็นปลาหมึก
“เกิดอะไรขึ้น?”
หัวหน้าของพวกเขาคือคุณปลาดาว ผู้ที่กำลังถามคำถามนี้
เมื่อเผชิญกับคำถามของผู้นำ ปลาหมึกก็ละอายที่จะตอบ
คุณปลาดาวขมวดคิ้วก่อนจะพูดขึ้นว่า “ฉันจำได้ว่าฉันบอกให้นายเฝ้าสังเกตก่อนและอย่าทำอะไรโดยพลการ”
ในที่สุดปลาหมึกก็ทรุดตัวลงและพูดว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรเลยจริง ๆ!”
คุณปลาดาวสับสน “งั้นบุตรแห่งวัลคีรีเป็นคนเริ่มการต่อสู้ก่อนอย่างนั้นเหรอ? เขาเป็นสมบัติล้ำค่าในสายตาของเหล่าอาจารย์ ดวงดาราผู้เป็นความหวังแห่งอนาคตของเซนต์แมเรียน แล้วเขาจะโจมตีคนอื่นก่อนได้ยังไง?”
“ไม่ใช่เขา!” ปลาหมึกร้อง “แต่เป็นบุตรแห่งวีรบุรุษกับผู้ติดตามเขา!”
“จิ๊ ทำไมนายถึงไปยุ่งกับบุตรแห่งวีรบุรุษล่ะ?” คุณปลาดาวรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
ปลาหมึกตอบทันทีว่า “ผมถูกสะกดรอยตาม คนที่เราจัดการในคืนนั้นเป็นผู้ติดตามของบุตรแห่งวีรบุรุษ เขาชื่อโรเบิร์ต บร็อกไฮม์ พวกเขาหาผมเจอ!”
คุณปลาดาวถาม “พวกเขาหานายเจอได้ยังไง?”
ปลาหมึกตอบ “ผมไม่รู้ ผมไม่รู้จริง ๆ มันไม่ใช่ความผิดของผม!”
คุณปลาดาวยิ่งปวดหัว “แล้วนายหนีมาได้ยังไง?”
ปลาหมึกตอบ “บุตรแห่งวีรบุรุษปล่อยผมมา”
คุณปลาดาวอึ้ง “บุตรแห่งวีรบุรุษปล่อยนายมางั้นเหรอ?”
ภาคีอาหารทะเลทั้งหมดต่างหันมองหน้ากันอย่างงุนงง
คนผู้หนึ่งในชุดปลาไหล มอเรย์ ผู้หญิงคนเดียวในภาคี หรือคุณมอเรย์เอ่ยขึ้นอย่างสงสัยว่า “ถ้าอย่างนั้นดาร์ก เดม่อนคือคนที่เรากำลังตามหาอยู่เหรอ?”
ปลาหมึกส่ายหัว “ถึงแม้ว่าผมจะพลาดท่า แต่เขาก็ไม่น่าจะเป็นคนที่ทำลายรูปปั้นเทพธิดาได้ บางทีเหตุผลที่เขาเก็บการ์ดดอกไม้อาจเป็นแค่ความชอบส่วนตัว”
คุณมอเรย์ถามต่อ “งั้นเป็นใครกันล่ะ? มันคงไม่มีทางเป็นบุตรแห่งวีรบุรุษไปได้หรอกใช่มั้ย? จะว่าไปเขาชื่ออะไรนะ?”
ปลาปักเป้าตอบแทน “ดูเหมือนเขาจะถูกเรียกว่าเวอร์เธอร์ ก็อธมั้ง?”
คุณปลาดาวแก้คำ “เวอร์เธอร์ กาวด์ต่างหาก”
ปลาปักเป้า “!”
คุณปลาดาวถอนหายใจ “เราจะฟุ้งซ่านกันไม่ได้แล้ว เวลาของเราใกล้จะหมดแล้ว ต้องรีบซ่อมรูปปั้นก่อนที่คืนอันศักดิ์สิทธิ์*[1]จะมาถึง พอถึงตอนนั้นเราจะสังเวย ‘ชีวิต’ เป็นเครื่องบูชาในงานฉลองของพวกนักบุญทั้งหลายและฟื้นคืนชีพเทพธิดาของเราขึ้นมา!”
…
เมื่อถอดเครื่องแต่งกายหนังออก ปลาหมึกก็กลับมาเป็นสก็อตต์ จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในห้องส่วนกลางของบ้านขุนนางอย่างระมัดระวัง
แต่คนที่เขาต้องการหลีกเลี่ยงมากที่สุดในตอนนี้ กำลังนั่งดื่มด่ำไปกับรสชาและอ่านหนังสือพิมพ์ในห้องส่วนกลาง ข้าง ๆ กันนั้นยังมีเด็กหญิงหน้าด้านสองคนนั่งอยู่ด้วย
สก็อตต์รีบหันไปด้านข้าง พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายเห็นใบหน้าของเขามากที่สุด
ทว่าดาร์กกลับเงยหน้าขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจและสบสายตากับเขา
สก็อตต์ตัวเกร็งในทันที
จนกระทั่งดาร์กก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ต่ออย่างไม่แยแส เขาถึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ดูเหมือนว่าตอนกลางวันดาร์ก เดม่อนจะเดินออกไปก่อน เขาถึงไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของฉันภายใต้ชุดพรางตัว”
สก็อตต์รีบเดินขึ้นบันไดทันที
พื้นที่คับแคบตรงบันไดทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมาก เมื่อลองสัมผัสรอยฟกช้ำบนใบหน้าเบา ๆ มันก็ทำให้สก็อตต์รู้สึกเจ็บปวดจากก้นบึ้งหัวใจ ซึ่งเพิ่มความเกลียดชังต่อโรเบิร์ตและเวอร์เธอร์มากยิ่งขึ้น!
“หัวหน้าบอกว่าฉันห้ามฟุ้งซ่านก่อนที่คืนอันศักดิ์สิทธิ์จะมาถึง แต่ในวันคืนอันศักดิ์สิทธิ์นั้น…”
…
*[1] คืนอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Night) กล่าวได้ว่าเป็นเวลาที่พระคริสต์ได้ประสูติ
บทที่ 87 ดาร์ก เดม่อนเป็นเพียงผู้ชื่นชอบการสะสมการ์ดดอกไม้
“คุณกำลังพูดถึงการ์ดดอกไม้เหรอ?”
ดาร์กลดมือลง การ์ดทั้งสำรับปรากฏขึ้นในมือของเขา
มีการ์ดดอกไม้ทั้งหมดสิบแปดใบ และดาร์กกางพวกมันออกเหมือนกับพัด การ์ดดอกไม้แต่ละใบมีสีที่แตกต่างกัน และโดยรวมแล้วเป็นชุดสะสมที่ยอดเยี่ยม
ดาร์กทำเหมือนนับสมบัติ “ดอกคามิเลียสีแดงสดสื่อถึงความรักที่ถ่อมตน ดอกป๊อปปี้อันงดงามจะไม่ยอมแพ้จนกว่าชีวีจะดับสูญ ดอกพลับพลึงแดงเป็นสัญลักษณ์ของความรักอันน่าโศกเศร้าและเป็นนิรันดร์… ส่วนอันที่ผมโปรดปรานที่สุดก็คือ มันดาลาสีขาวบริสุทธิ์ งดงามและห้อมล้อมไปด้วยความรักทุกรูปแบบ”
สก็อตต์ตกตะลึงไปชั่วขณะ แม้ว่าชุดปลาหมึกจะไม่สามารถแสดงสีหน้าที่ละเอียดได้ แต่ความประหลาดใจของเขานั้นได้แสดงออกมาให้เห็นแล้ว ผ่านการที่เขาหยุดนิ่งไปเป็นเวลานาน
คนคนนี้มีความรู้เกี่ยวกับการ์ดดอกไม้มากแค่ไหนกัน?
นี่พวกเขายังเป็นผู้ที่สร้างการ์ดดอกไม้อยู่ใช่ไหม?!
แต่ทำไมฉันไม่เข้าใจที่เขาพูดเลย?
อีกอย่าง มันดาลาสีขาวบริสุทธิ์…ทำไมมันดูคุ้นตาจัง
นั่นไม่ใช่ใบที่ฉันเสียบเข้าไปในช่องประตูหรอกหรือ?
…
เดิมทีสก็อตต์มาที่นี่โดยมีจุดประสงค์ว่าจะถามคำถามกับดาร์ก
ในบรรดาการ์ดดอกไม้ชุดสุดท้ายที่แจกจ่ายออกไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกเปิดใช้งาน
เรื่องนี้นำไปสู่เหตุที่ว่าประสิทธิภาพการรวบรวม ‘ความรู้สึก’ ของภาคีลดลงอย่างมาก และรูปปั้นเทพธิดาที่แตกร้าวก็ไม่สามารถซ่อมแซมได้เร็วขึ้น
ในไม่ช้า ภาคีก็สังเกตเห็นว่ามีใครบางคนกำลังรวบรวมการ์ดดอกไม้เป็นจำนวนมาก กอปรกับรอยร้าวที่อธิบายไม่ได้ซึ่งเพิ่งปรากฏบนรูปปั้นเทพธิดา เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงสรุปได้ว่า ‘นักสะสมการ์ดดอกไม้’ น่าจะเชื่อมโยงกับ ‘ผู้ทำลายรูปปั้น’
สก็อตต์เป็นเพียงเบี้ยตัวน้อยที่ถูกส่งให้มาสืบสวนเรื่องราว
เมื่อได้รับการยืนยันแล้วว่า นักสะสมการ์ดดอกไม้คือผู้ทำลายรูปปั้น ทางภาคีจะลงโทษเขาโทษฐานที่ทำลายรูปปั้นเทพธิดา!
แต่สก็อตต์ไม่เคยคิดว่าการปลอมตัวของเขาจะน่าอึดอัดถึงเพียงนี้
…
ว่าแล้วดาร์กก็รู้สึกฉงนใจไม่น้อย ใครเขามาที่ถนนนักเดินทางเพื่ออ่านหนังสือพิมพ์กัน ที่สำคัญยังยืนพิงต้นต้นไม้อ่านด้วย?
ยอมเสียคะแนนนิดหน่อยแล้วมานั่งอ่านในร้านอาหาร พร้อมกับบรรยากาศผ่อนคลายไปด้วยจะไม่ดีกว่าเหรอ?
ดาร์กใช้เวลาไม่นานในการตรวจพบคนสะกดรอยตามเขา จากนั้นเขาก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นสก็อตต์
อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้สะกดรอยเป็นคนฉลาด เขาก็จะจากไปเอง
แต่เนื่องจากเขาไม่ได้จากไป ดาร์กจึงตัดสินใจที่จะเผชิญหน้าเพื่อสืบหาข้อมูลบางอย่างจากอีกฝ่าย
แต่ดาร์กไม่คิดเลยว่าก่อนที่จะได้เริ่มการสอบสวน อีกฝ่ายหนึ่งก็เปิดเผยมันออกมาทั้งหมดในประโยคเดียว!
ดาร์กเข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่ายเกือบจะในทันที
เขาเดาได้ด้วยซ้ำว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับปลาหมึกที่อยู่ในภาคีอาหารทะเล และเป็นคนที่เปลี่ยนโรเบิร์ตให้เป็นผู้หญิง
เหตุผลที่ปลาหมึกมาหาเขาย่อมไม่ใช่เรื่องอื่นใด นอกเสียจากพฤติกรรมการเก็บการ์ดดอกไม้ของเขาที่ดึงดูดความสนใจผู้อื่นมากเกินไป
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังใช่ไหมล่ะ?
เขาเป็นเพียงนักสะสมการ์ดดอกไม้ธรรมดา ๆ ที่กระตือรือร้นเป็นพิเศษก็เท่านั้นเอง!
…
ท่าทีชื่นชมและคลั่งไคล้ของดาร์กที่มีให้กับการ์ดดอกไม้นั้น มาจากหัวใจของเขาโดยปราศจากข้ออ้างแต่อย่างใด
สก็อตต์รับรู้ถึงความชื่นชอบนั้น และเชื่อดาร์ก (อย่างโง่เขลา) ทันที
เมื่อเรื่องราวมาถึงจุดนี้แล้ว สก็อตต์ก็สามารถกลับไปรายงานได้ว่า ดาร์กไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับรอยร้าวของรูปปั้น
ทว่าตั้งแต่เข้าร่วมภาคีมา ความคิดบางอย่างในใจเขาก็ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ
→ เขาต้องการเป็นตัวแทนของเทพธิดาและลงโทษคนบาปนี้!
…
ดาร์กถามด้วยความสงสัย “ขอโทษนะ คุณเป็นคนทำการ์ดดอกไม้พวกนี้หรือเปล่า? ถ้าเป็นไปได้ ผมต้องการรวบรวมการ์ดที่ไม่ซ้ำกับที่มีในตอนนี้”
มุมปากของสก็อตต์กระตุกทันที โดยไม่สนใจผลที่ตามมา เขาตะโกนว่า “เวทมนตร์อัญเชิญ… โอ๊ย!”
“ฮ่า ๆๆๆ!”
ความเจ็บปวดเฉียบพลันแล่นมาที่ก้นอย่างกะทันหัน และเสียงหัวเราะที่แหลมคมด้านหลังเขา ทำให้สติของสก็อตต์พร่ามัวไปอยู่ครู่หนึ่ง..
แต่ในชั่วพริบตา โลกของเขาก็เงียบไปโดยสิ้นเชิง
ไม่มีเสียงหัวเราะที่แหลมคม เสียงใบไม้ที่พัดปลิว หรือแม้แต่เสียงถามไถ่ที่ดูเหมือนเป็นห่วงใยของนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งจากบ้านขุนนาง ซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็ไม่อาจได้ยินอีกต่อไป
เขาเปิดปากและตะโกน “——”
แต่ก็ยังไม่ได้ยินอะไร
สก็อตต์ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาไม่สามารถส่งเสียงได้ หรือว่าเขากำลังส่งเสียงแต่ไม่ได้ยิน
สิ่งนี้แตกต่างจากการ์ด [เงียบสงัด] ที่ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ใช้อย่างสิ้นเชิง
อย่างน้อยการ์ด [เงียบสงัด] ก็จะไม่ปิดกั้นการได้ยิน!
สก็อตต์หันกลับไปด้วยความกังวลใจอย่างไม่รู้จบ ในที่สุดเขาก็เห็นผู้ลอบโจมตีข้างหลังเขา นั่นคือเวอร์เธอร์และโรเบิร์ต!
…
“เป็นเขา เขานั่นเอง! ฉันจำได้แล้ว มันคือเขา! ฉันเห็นหนวดปลาหมึกก่อนที่ฉันจะสลบไป!”
“นั่นมันหมึกกระดอง โรเบิร์ต”
เวอร์เธอร์คว้าแขนโรเบิร์ตอย่างช่วยไม่ได้ ห้ามไม่ให้เขาวิ่งไปทุบสก็อตต์อย่างโกรธเคือง
…
รุกกี้เดวิมอนแอบซ่อนตัวอยู่บนชายคา มันปิดปากของตัวเองไว้ ในเมื่อครู่มันเพิ่งจะฉีด [น้ำยาเงียบสงัด] ลงในกระบอกฉีดยา และจากนั้นก็ใช้ [เดมิ ดาร์ท] ยิงมันออกไปใส่ก้นสก็อตต์อย่างแรง
กระบอกฉีดยากลายเป็นจุดแสงระยิบระยับและหายไปในอากาศหลังจากโดนสก็อตต์
สก็อตต์ไม่เห็นเข็มฉีดยา อีกทั้งเวอร์เธอร์กับโรเบิร์ตก็เพิ่งมาถึงที่เกิดเหตุ
เวอร์เธอร์มีสัญชาตญาณที่เฉียบแหลมมาตั้งแต่เกิด เขาจึงสังเกตเห็นสายตาที่ผิดปกติของสก็อตต์ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่ร้านอาหารดนตรีวอลซ์ และหลังจากกินไอศกรีมราคาแพงกับโรเบิร์ตแล้ว เขาก็รู้สึกแปลก ๆ มากยิ่งขึ้น จึงแอบตามสก็อตต์มาตลอดทางจนถึงที่นี่
…
ดังนั้น ณ สถานที่เล็ก ๆ แห่งนี้พลันมีคนสี่คนจากสามฝ่ายยืนอยู่พร้อมกัน
ดาร์กไม่แปลกใจกับการปรากฏตัวของเวอร์เธอร์และโรเบิร์ต
ท้ายที่สุดรุกกี้เดวิมอนก็เห็นก่อนแล้วว่าพวกเขากำลังมา
“ในนามของโรเบิร์ต บร็อกไฮม์ [ไซบอร์ก แร็ตแมน] จงออกมา!”
โรเบิร์ตอัญเชิญสปิริตที่เขาขัดเกลาในคาบวิชาเวทมนตร์พื้นฐานออกมา
มันเป็นหนูที่น่าเกลียดและยืนตัวตรงเหมือนกับมนุษย์
และเป็นเศษซากที่เหลือจากอาณาจักรสคาร์เวนแร็ตแมนที่ล่มสลายไป
ร่างกายของมันมีชิ้นส่วนจักรกลอยู่ทางด้านซ้ายและเลือดเนื้ออยู่ทางด้านขวา ขณะที่ในมือของมันถือเครื่องพ่นกรดอยู่!
“โรเบิร์ต อย่า!”
เมื่อเห็นไซบอร์ก แร็ตแมนที่โรเบิร์ตอัญเชิญมากำลังเล็งเครื่องพ่นไปที่ใบหน้าของปลาหมึก เวอร์เธอร์ก็ห้ามเขาด้วยท่าทางกังวลใจ
ถ้ากรดถูกฉีดใส่หน้าของสก็อตต์ พวกเขาจะถูกลงโทษอย่างแน่นอน หรือไม่ที่แย่กว่านั้นคือ อาจถูกไล่ออกจากสถาบัน!
เซนต์แมเรียนมีกฎห้ามทะเลาะวิวาทกันอย่างชัดแจ้ง และข้อพิพาททั้งหมดควรสะสางในรูปแบบของการประลอง
เพราะการประลองกับดาร์กครั้งล่าสุด เขาจึงไปไล่อ่านกฎของสถาบันที่เกี่ยวข้องเป็นพิเศษ
โดยทั่วไป บทลงโทษสำหรับการทะเลาะวิวาทนั้นไม่รุนแรง และอย่างมากที่สุดก็แค่หักคะแนน
แต่ถ้าเป็นกรณีที่ทำให้อีกฝ่ายเกิดบาดแผลที่รักษาไม่หายแล้วล่ะก็…
อย่างไรก็ตาม กรดของไซบอร์ก แร็ตแมนถูกพ่นเข้าใส่และกัดกร่อนชุดปลาหมึกของสก็อตต์แล้ว
เมื่อโรเบิร์ตต้องการทุบตีอีกฝ่ายต่อ
ริมฝีปากของสก็อตต์พลันกระตุกอย่างรวดเร็ว
เขาร่ายมนตร์อย่างเงียบ ๆ!
ปลาหมึกที่มีตาสีเขียวเข้มสามดวงกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีมวลสารขึ้นมาทันที มันกระโจนเข้าใส่ไซบอร์ก แร็ตแมน และสปิริตสองตัวก็เริ่มต่อสู้กัน
โรเบิร์ตหลุดจากกำมือของเวอร์เธอร์อย่างกะทันหัน เขากำหมัดแน่น และพุ่งไปข้างหน้าชกปากของสก็อตต์อย่างแรง!
ตึง!
“——!”
บทที่ 86 ดาร์ก เดม่อนชอบปลาหมึก
“หาว~” หลังจากข้ามสะพานแต่งตัวมา เวอร์เธอร์กับโรเบิร์ตก็เดินเข้ามาในถนนนักเดินทาง
เมื่อคืนทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด จริง ๆ อาจเรียกว่าเกือบถึงเช้า และแทบจะไม่ได้นอน ก่อนที่พวกเขาจะตื่นมาตอนเก้าโมง
ทั้งคู่ไม่ได้ไปที่โรงอาหารเพื่อทานอาหาร แต่ตรงมาที่ถนนนักเดินทางเลย
ในช่วงสี่วันหลังจากวันจันทร์ ทั้งเวอร์เธอร์และโรเบิร์ตได้พยายามตั้งใจฟังในชั้นเรียนอย่างเต็มที่ และในที่สุดทั้งคู่ก็มีคะแนนเพียงพอที่จะซื้อชุดสำหรับงานเลี้ยงสุดสัปดาห์นี้
อันที่จริง เวอร์เธอร์มีชุด <ไอ้มดแดง> อยู่แล้ว
แต่ชุด <ไอ้มดแดง> นั้นดูหยาบและต่ำเกินไป มันทำให้เขารู้สึกว่าตนเองถูกรุ่นพี่ลีออนหลอกให้ซื้อ
ประการที่สอง เขาเคยสวมชุด <ไอ้มดแดง> ระหว่างการเผชิญหน้ากับสุภาพบุรุษผู้ผิดปกติคนนั้นแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นการเปิดเผยตัวตน เขาต้องซื้อตัวอื่นมาใส่แทน
“ฉันได้ยินข่าวลือมาว่า เจ้าหญิงทั้งสามจะเข้างานร่วมเต้นรำแบบไม่เปิดเผยตัวตน ใครก็ตามที่พระองค์ถูกตาต้องใจ พวกเขาจะได้เต้นรำกับเจ้าหญิงพระองค์นั้นเมื่อเสียงระฆังดังขึ้นในเวลาสิบสองนาฬิกา”
โรเบิร์ตทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรต่อ
เปลือกตาของเวอร์เธอร์หลุบต่ำมองลงพื้น “ฉันไม่สนใจเรื่องนั้นหรอก”
โรเบิร์ตพลันเปลี่ยนเรื่อง “นายรู้จักการล่าผีในวันฮัลโลวีนไหม?”
นัยน์ตาของเวอร์เธอร์เป็นประกายขึ้นมา “แน่นอน ฉันรู้ นั่นเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะได้รับคะแนนมากมาย! ด้วยวิธีนี้ มันจะทำให้ฉันจะมีทุกอย่าง!”
โรเบิร์ตยิ้มมีเลศนัย “ถ้าอย่างนั้นนายคงไม่รู้หรอกว่าปีที่แล้ว นักเรียนปีสามคนไหนที่เป็นแชมป์”
เวอร์เธอร์ทำหน้างง “ทำไมถึงเป็นปีสามล่ะ… เดี๋ยวนะ หรือนายจะบอกว่าแชมป์ปีสามของปีที่แล้ว คือรุ่นพี่แพนดอร่างั้นเหรอ?”
โรเบิร์ตพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ใช่แล้ว ชื่อของเธอปรากฏอยู่ในห้องแสดงรางวัลของสถาบัน! นายคิดว่าไง พอจะมีแรงจูงใจแล้วหรือยัง?”
เวอร์เธอร์ยืนนิ่งในทันที “โรเบิร์ต”
โรเบิร์ต “หืม ว่าไง?”
เวอร์เธอร์ “แชมป์ปีหนึ่งของปีนี้ต้องเป็นของเรา!”
จากนั้น เด็กชายผู้กระตือรือร้นก็เข้าไปในร้านชุดเวลเวท ซึ่งเป็นร้านที่มีชื่อเสียงเพื่อทำให้ตัวเองดูสง่างามมากขึ้น
และในไม่กี่นาทีต่อมาพวกเขาก็วิ่งหนีออกจากร้าน
“มันแพงเกินไป”
“ถ้าเราใช้คะแนนทั้งหมดที่เพิ่งได้มา แล้วเราจะใช้อะไรซื้อวัตถุดิบเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง”
“หรือบางทีเราควรจะซื้อมันในอาทิตย์หน้า?”
“อืม เป็นความคิดที่ดี”
“เวอร์เธอร์ ฉันรู้สึกหิวนิดหน่อย”
“งั้นไปหาอะไรกินกัน”
…
ดังนั้นเวอร์เธอร์และโรเบิร์ตจึงเดินไปตามถนนที่มีร้านอาหาร ด้วยใบหน้าที่หดหู่
โดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งสองเดินผ่านร้านอาหารดนตรีวอลซ์ และเห็นคนทั้งสามคนผ่านชั้นกระจก ซ้ำยังเห็นไปถึงไอศกรีมระดับไฮเอนด์ตรงหน้าของไดแอนนาและโรส
โครก~!
เวอร์เธอร์กลืนน้ำลายแล้วกระซิบ “โรเบิร์ต การซื้อไอศกรีมช็อกโกแลตสตรอว์เบอร์รีสามชั้นต้องใช้กี่คะแนนเหรอ”
โรเบิร์ตตอบ “ดูเหมือนว่าจะสิบเก้าคะแนน…”
เวอร์เธอร์ “สองคาบเรียน!”
โรเบิร์ต “อึก”
เวอร์เธอร์ “เดี๋ยวก่อน เราจะซื้อมันได้แน่นอนหลังวันฮัลโลวีน”
โรเบิร์ต “อันที่จริง ตอนนี้เราก็จ่ายไหว”
เวอร์เธอร์ห้าม “อย่าสิ้นเปลือง เราต้องใช้มันซื้อวัตถุดิบ”
โรเบิร์ตเสนอ “อันที่จริง ฉันคิดว่าเรามีทางออก”
เวอร์เธอร์ทำหน้าสงสัย “หืม?”
…
สก็อตต์ซึ่งพิงต้นเมเปิ้ลและแสร้งทำเป็นอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ เหลือบมองพวกเขาโดยไม่ตั้งใจ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา
ในสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นบุตรแห่งวีรบุรุษ และอีกคน…เป็นคนที่เขาเคยมัดไว้มาก่อน
“ปรากฏว่าเขาเป็นผู้ติดตามของบุตรแห่งวีรบุรุษหรอกเหรอ ฉันก็ดันไปคิดว่าเขาเป็นคนที่ไม่มีอะไรเหมือนกับตัวเอง คืนนั้นเลยยอมเบามือด้วยหน่อย ถ้ารู้แบบนี้แล้วล่ะก็…”
…
ดาร์กละเมียดละไมกับไอศกรีมทีละคำ
วันนี้เขาอารมณ์ดีไม่น้อย แม้ว่ามันจะออกจากแผนที่วาดไว้ไปบ้าง แต่ในที่สุดเขาก็ได้อะไรกลับมา
ไดแอนนาและโรสหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานขณะกินไอศกรีม และยังมีครีมเปรอะเปื้อนอยู่ตรงมุมปากของพวกเธอ
เวอร์เธอร์กับโรเบิร์ตผลักประตูเข้ามา ก่อนจะสั่งไอศกรีมมูลค่าสิบเก้าคะแนนหนึ่งแก้วและช้อนสองช้อนจากเคาน์เตอร์
ดาร์กประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นทั้งสองปรากฏตัว แต่ก็ไม่ได้สนใจอีกฝ่ายมากนัก
“ดาร์ก เรามาสร้างทีมสำหรับงานวันฮัลโลวีนกันเถอะ!”
ไดแอนนาและโรสยังคงพูดคุยเกี่ยวกับกิจกรรมสวมหน้ากาก
ดาร์กสับสน “เราสร้างทีมในกิจกรรมนั้นได้เหรอ”
“แน่นอนสิ!” ไดแอนนาแลบลิ้นสีชมพูของเธอออกมา ก่อนจะเลียครีมสีขาวที่มุมปากแล้วกระซิบว่า “ฉันได้ยินมาว่ารุ่นพี่มักทำแบบนี้กัน การรวมทีมสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการจับ ‘ผี’ ได้ และตอนที่จะสรุปผลสุดท้าย เราก็สามารถรวมคะแนนไว้ที่คนเดียวเพื่อชิงตำแหน่งแชมป์ประจำปีได้!”
ดาร์กผงะ “นี่ไม่ใช่การโกงเหรอ?”
ไดแอนนาสับสน “แต่ทุกคนทำแบบนี้นะ!”
ดาร์กยิ้มอย่างอ่อนโยน “แล้วรู้ไหมว่ามีผู้ชนะด้วยวิธีนี้กี่คน?”
ไดแอนนากดด้ามช้อนเข้ากับลักยิ้ม ครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะตอบว่า “ดูเหมือนจะไม่มี”
ดาร์ก “เห็นไหมล่ะ?”
เขาก้มหน้าลงกินไอศกรีมหนึ่งคำ แล้วจึงพูดต่อ “กิจกรรมนี้จริง ๆ แล้วถือได้ว่าเป็นการทดสอบอย่างหนึ่ง มันมีไว้เพื่อทดสอบผลการเรียนสองเดือนแรกของสถาบัน ถ้าฉันรวมทีมกับเธอ ผลการทดสอบของเธอจะลดลงอย่างมาก”
ไดแอนนาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้ม “ตกลง ฉันจะฟังนาย!”
…
เวลาประมาณสิบโมงครึ่ง
ดาร์กบอกลาเด็กหญิงทั้งสองโดยที่มีไดแอนนายืนจ้องมองมาอย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะเดินผ่านสองเพื่อนซี้และออกจากร้านอาหารไป
เขาสนใจกิจกรรมล่าผีในวันฮัลโลวีนเป็นอย่างมาก แต่ส่วนใหญ่แล้วก็เพื่อคะแนน ส่วนแชมป์ปีนี้ใครอยากได้ก็เอาไป
แต่หลังจากนั้นไม่กี่นาที
เขาเดินออกจากถนนย่านของกิน และเลี้ยวไปทางถนนสายเก่าที่มีผู้คนอยู่บางตา
ถนนนักเดินทางไม่ได้รับความนิยมในทุกพื้นที่ และมักจะมีร้านค้าที่ไม่เป็นที่นิยมซึ่งไม่มีใครสนใจอยู่เสมอ
ร้านค้าเป็นเรื่องธุรกิจ หากไม่มีคนมาเยือน มันก็คงต้องปิดตัวลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดาร์กเคยมาที่นี่ตอนที่เขายังไม่คุ้นเคยกับพื้นที่นี้มาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตั้งใจเข้ามา
ทุกคนต้องมีครั้งแรกเสมอ
เมื่อหันหลังให้กับร้านของเก่าที่ว่างเปล่าแล้ว ดาร์กก็หยุดเดิน เขาหันตัวกลับมาจ้องเส้นทางที่เพิ่งผ่านมา และนับเลขอยู่ในใจ
สาม สอง หนึ่ง…
ในตอนนั้นเอง บุคคลในชุดปลาหมึกพลันปรากฏตัวและเดินออกมาจากด้านหลังกำแพง
ดาร์กจ้องมองชายคนนั้นอย่างระมัดระวัง และถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “คุณตามผมมาจนสุดทางแค่เพราะผมชอบปลาหมึกเหรอ?”
เสียงของสก็อตต์แหบแห้งภายใต้ชุดพรางตัว “ให้ตายสิ มันไม่ใช่ปลาหมึก มันคือหมึก!”
ดาร์กส่ายหัว “พวกมันก็เป็นอาหารทะเลทั้งนั้น ไม่เห็นจำเป็นต้องโกรธเลย มาเข้าเรื่องกันดีกว่า คุณตามผมมาทำไม?”
สก็อตต์ตอบ “ฉันไม่ได้ตามนายมา”
ดาร์ก “?”
สก็อตต์ “ฉันแค่เจอนายโดยบังเอิญ”
ดาร์ก “???”
สก็อตต์ “อะแฮ่ม… นายเป็นคนที่เก็บการ์ดดูดวงความรักใช่ไหม?”
บทที่ 85 ดาร์ก เดม่อนเพลิดเพลินไปกับวัยเยาว์
เช้าวันเสาร์ ณ ถนนนักเดินทางที่อากาศดีและเต็มไปด้วยผู้คน
สก็อตต์เดินไปท่ามกลางฝูงชน บนดวงหน้าปรากฏความมืดมนฉายชัดออกมา
เขาเป็นนักเรียนชั้นปีที่สองและได้รับเลือกให้อยู่บ้านขุนนาง ในฐานะขุนนางสายเลือดบริสุทธิ์
แต่ทั้งหมดนั้นเป็นแค่อดีตไปแล้ว
วันนี้เมื่อปีที่แล้ว เขาเพิ่งเข้าเรียนในสถาบันเซนต์แมเรียนได้แค่สองเดือน ครอบครัวก็ตกอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เนื่องจากพ่อของเขาเป็นผู้แพ้ในสงครามทางการเมือง
จากขุนนางผู้ยิ่งใหญ่หวนสู่ชนชั้นสามัญผู้ต่ำต้อย ภาวะผันผวนที่เกิดขึ้นนี้ใหญ่เกินไป จึงทำให้ใจของสก็อตต์บิดเบี้ยวในฉับพลัน
นักเรียนในเซนต์แมเรียนจะไม่ถูกย้ายไปบ้านอื่น เพียงเพราะการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ในครอบครัวนักเรียน แม้จะเป็นหลังจากการลงทะเบียนแล้วก็ตาม
ดังนั้นสก็อตต์จึงกลายเป็นความหวังเดียวของตระกูล
นอกจากนี้ เขายังกลายเป็นสามัญชนเพียงคนเดียวในชั้นปีที่อยู่บ้านขุนนาง
แม้ว่าเพื่อนร่วมชั้นจะไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เพราะถือเป็นเรื่องของมารยาท แต่ลับหลังพวกมันต้องแอบหัวเราะเยาะเขาแน่นอน
เพราะพ่อเขียนจดหมายถึงเขาผ่านผู้ช่วยร้านค้าบนถนนนักเดินทางอย่างบ้าคลั่ง มันจึงทำให้เขารู้ว่าบนบ่าของเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะอย่างเขาต้องแบกรับภาระหนักแค่ไหน
การเป็นจอมเวทที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเท่านั้น ถึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของตระกูลเขาได้!
แม้ว่าสก็อตต์จะไม่ใช่ขุนนางแล้ว แต่เขาก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้ในฐานะจอมเวท
และหากกลายเป็นจอมเวทที่ยอดเยี่ยมได้ นั่นอาจทำให้เขาสามารถกลับเข้าสู่แวดวงขุนนางได้เช่นกัน
ผู้เป็นแม่มักจะส่งเสียงของเธอมาให้เขาฟังผ่านจดหมายเวทมนตร์ ทั้งยังเอาแต่เรียกชื่อเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“สก็อตต์! สก็อตต์! สก็อตต์!”
“อ๊ากกกกกกกก!”
ภายใต้แรงกดดันจากทั้งสอง และภาระจากภายนอกภายใน สุดท้ายสก็อตต์ก็ทรุดตัวลง
การที่สถานะของตระกูลเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากตั้งแต่อายุยังน้อย อาจทำให้คนบางคนเติบโตได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ใช่ว่าเด็กอายุสิบสองปีทุกคนจะรับภาระหนักแบบนั้นได้
สก็อตต์ไม่อาจเติบโตได้เช่นนั้นและเขาก็ไม่อาจทำตามความคาดหวังของพ่อแม่ได้เช่นกัน สุดท้ายแล้วเขาก็ตกลงไปในวงจรอุบาทว์
คะแนนของเด็กชายค่อย ๆ แย่ลง และอารมณ์ของเขาก็เริ่มแปลกมากขึ้นเรื่อย ๆ
จนกระทั่งวันคริสต์มาสอีฟปีที่แล้ว เด็กสาวที่เขาเคยแอบชอบกลับไปตอบรับคำเชิญของรุ่นพี่ และกลายเป็นคู่เต้นรำของอีกฝ่ายในงานเต้นรำอันแสนโรแมนติกและงดงาม
ตอนนั้นเองที่สก็อตต์วิ่งหนีออกจากงานเต้นรำ จนเผลอเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของปราสาท
และเวลานั้นก็เป็นหัวหน้าภาคีที่ยื่นฟางเส้นสุดท้ายให้แก่เขา
“เจอตัวแล้ว!”
ดวงตาของเด็กชายจ้องมองผ่านช่องว่างระหว่างผู้คน และในที่สุดเขาก็เห็นบุคคลนอกรีตที่รอบตัวรายล้อมไปด้วยผู้หญิง
…
ณ ร้านชุดเวลเวท
เมื่อทั้งสามมาถึง ดาร์กก็ถูกไดแอนนาลากเข้าไปในฝูงชนทันที
เขาไม่เคยคิดว่าร้านนี้จะยุ่งมากในตอนเก้าโมงเช้า
บางทีนี่อาจเป็น ‘ร้านค้าอันโด่งดัง’ ในตำนาน!
ถ้าดาร์กมาเอง เขาคงเดินไปหาร้านอื่นทันทีหลังจากเห็นผู้คนมากมายที่นี่
แต่ในความเป็นจริง คนส่วนใหญ่ก็ชอบที่จะไปเบียดเสียดในร้านค้าที่มีผู้คนพลุกพล่าน
นี่อาจขึ้นอยู่กับความคิดตามสัญชาตญาณ หรืออาจเป็นเพราะร้านค้าที่วุ่นวาย สินค้าต้องไม่ได้มีคุณภาพแย่อย่างแน่นอน
ไม่นานหลังจากนั้น
ดาร์กก็ถูกดึงไปที่มุมหนึ่งของร้าน และยืนอยู่หน้าหุ่นนายแบบตัวหนึ่ง
เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “นี่คือชุดเจ้าชายรัตติกาลที่เธอกำลังพูดถึงใช่ไหม?”
ไดแอนนาพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
หางตาของดาร์กกระตุก
ไม่ใช่ว่าคุณภาพของ ‘ชุดเจ้าชายรัตติกาล’ นี้ไม่ดี แต่คุณภาพมันดีเกินไป มากจนเกินจริงเกินไป!
ทั้งชุดเป็นผ้ากำมะหยี่สีอีกา ปกคอถูกทำมาจากขนสุนัขจิ้งจอกภูเขาหิมะสีดำ โดยมีจิ้งจอกขนปุยห้อยอยู่ข้างหลัง
กระดุมสองแถวทำจากหินออบซิเดียน และบนไหล่มีโอปอลประดับอยู่อย่างประปราย
ขนนกที่ห้อยอยู่ที่ไหล่ข้างหนึ่งอาจเป็นขนของอีกาสีดำ
นั่นเป็นลางร้ายซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของรัตติกาล!
แม้ว่าชุดนี้จะใช้เฉดสีดำที่แตกต่างกันทำออกมา แต่ทั้งชุดก็ยังเรียกได้ว่าสีดำทั้งตัวอยู่ดี
หากสวมชุดดังกล่าวเข้าร่วมปาร์ตี้ฮัลโลวีน เขาอาจได้กลายเป็นจุดสนใจของปาร์ตี้ในทันที
ดาร์กไม่ชอบดึงดูดความสนใจ
“แล้วก็นี่ หน้ากากอีกาดำครึ่งหน้า”
ทว่าไดแอนนากลับชี้ไปยังหน้ากากอีกาสีดำอันหนึ่งอย่างกระตือรือร้น มันถูกประดับด้วยเพชรสีนิลและวางอยู่ที่โต๊ะข้าง ๆ ชุดเจ้าชาย
ดาร์กพูดไม่ออกในบัดดล เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าร้านนี้ทำมาให้ใครใส่กัน?
เจ้าชายของประเทศไหนจะกล้าแต่งตัวแบบนี้?
นี่มันไม่ใช่โลกที่มาจากเกมจีบสาวเลย!
ไม่สิ เดี๋ยวนะ…
ดาร์กนึกถึงเจ้าชายองค์เพียงเดียวของอาณาจักร ชายคนนั้นก็ดูเหมือนจะแต่งตัวแบบนี้…
นี่ชายรูปงามแห่งอาณาจักรถูกเขาเข้าใจผิดอยู่หรือเปล่านะ?
พลันดวงตาของดาร์กเป็นประกายขึ้นมา เขาคิดอะไรบางอย่างออก
แต่แล้วดาร์กก็อ้าปากค้าง “399 คะแนน!”
ในราคานี้ ดูเหมือนว่าหินออบซิเดียน โอปอล และเพชรสีดำล้วนเป็นผลิตภัณฑ์จากเทคโนโลยีเวทมนตร์ทั้งหมด
แต่สำหรับนักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง ราคาของมันยังสูงเกินไป!
‘ฉันเอาไปซื้อผลของต้นไม้หนอนยังดีกว่า!’
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ดาร์กก็เตรียมจะปฏิเสธทันที
แต่ทันใดนั้น ไดแอนนาก็ยิ้มขึ้นมาอย่างมีชัย และดึงเขาไปที่หุ่นอีกตัวซึ่งอยู่ด้านหลัง
“ดูสิ นี่คือชุดเจ้าหญิงรัตติกาล!”
เปลือกตาของดาร์กกระตุก
เช่นเดียวกับชุดเจ้าชายรัตติกาล ชุดเจ้าหญิงสีดำที่สวมอยู่บนหุ่นนางแบบนั้นคู่ควรกับการถูกเรียกว่า ‘ชุดเจ้าหญิงรัตติกาล’ ไม่เพียงถูกประดับตกแต่งอย่างเกินจริง แต่ยังเต็มไปด้วยความหรูหรา เหมือนกับว่ายิ่งมีความหรูหรามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดูเหมือนเจ้าหญิงมากเท่านั้น!
ดาร์กกำลังคิดที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา
ไดแอนนาพลันชี้ไปที่ป้ายกำกับในทันที “ส่วนลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์สำหรับคู่รักล่ะ!”
เปลือกตาของดาร์กกระตุกถี่ยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นมัน ปรากฏว่าเธอเตรียมพร้อมเรื่องนี้ไว้อยู่แล้ว…
…
อีกด้านหนึ่ง โรสแอบหัวเราะคิกคัก ก่อนจะหันมาเลือกชุดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ตัวสีขาว พร้อมกับหน้ากากขนนกนกยูงครึ่งหน้าให้กับตัวเอง
เธอรู้แผนของไดแอนนาอยู่แล้ว
ในที่สุดดาร์กก็ตัดสินใจซื้อ ‘ชุดเจ้าชายรัตติกาล’ นี้
เมื่อได้รับส่วนลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ชุดจึงมีราคาเพียงสองร้อยคะแนน และมันอยู่ในขอบเขตที่เขายอมรับได้
เหนือสิ่งอื่นใด คุณภาพผ้าของชุดนี้นั้นสูงมาก และหลังจากที่เจ้าของร้านเสื้อผ้าร่ายเวทมนตร์ลดขนาดลง มันก็สวมใส่สบายมาก
ดาร์กคิดว่าเขาสามารถเก็บมันไว้ใช้จนถึงงานปาร์ตี้คริสต์มาสได้
ในตอนนั้นมันคงประหยัดเงินไปได้มาก
หลังออกจากร้านชุดเวลเวทแล้ว ดาร์กก็เดินไปร้านอื่น ๆ ต่อกับไดแอนนาและโรส จนสุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่ร้านอาหารระดับไฮเอนด์
ร้านอาหารดนตรีแห่งนี้มีชื่อว่า ‘วอลซ์’ ซึ่งค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่นักเรียน
ดาร์กสั่งไอศกรีมของหวานระดับสูงสุดให้กับไดแอนนาและโรสเป็นพิเศษ ในขณะที่ตัวเขากินแค่ไอศกรีมแก้วเล็ก ๆ ที่ระดับต่ำกว่า
นั่นเป็นเพราะดาร์กคุ้นเคยกับเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการยับยั้ง [ตะกละ] แล้ว
ทั้งสามคนเพลิดเพลินไปกับไอศกรีมรสหวานในฤดูใบไม้ร่วงที่เย็นสบาย และลิ้มรสความสนุกที่แตกต่างไปจากฤดูร้อน
นอกหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดานมีใบเมเปิ้ลร่วงหล่นตามลม และฝูงชนที่พลุกพล่านอยู่ทั่วถนน
ลมหายใจของวัยเยาว์นั้นราวกับว่าวกระดาษที่เชือกขาด มันลอยสูงขึ้น…และสูงขึ้น
…
สก็อตต์ในเวลานี้ลอบเอนกายพิงอยู่ที่ต้นเมเปิ้ล ทำตัวราวกับเป็นสายลับนักสืบ เขาเอาหนังสือพิมพ์ขึ้นมาบังตัว ใบหน้ากลายเป็นซีดเผือดเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันเยาว์วัยที่ลอยมาตามสายลม และนัยน์ตาคู่นั้นก็ราวกับงูพิษที่ฉายชัดออกมาถึงความไม่ประสงค์ดี
บทที่ 84 การสร้างการ์ดน้ำยาของดาร์ก เดม่อน
บทที่ 84 การสร้างการ์ดน้ำยาของดาร์ก เดม่อน
ในการจะทำน้ำยาให้ออกมาเป็นการ์ด [น้ำยา] นอกจากแก่นวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 3 แล้ว โดยพื้นฐานก็จะขึ้นอยู่กับการรวมกันของวัฏจักรพลังงานหมายเลข 21 หมายเลข 33 โดยมีวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 34 เป็นแกน
วิธีการสร้างที่พบได้มากที่สุดคือ การเทน้ำยาลงในปากกาพลังเวทและใช้มันเป็น ‘เม็ดสี’
ดังนั้น เมื่อจอมเวทเขียน ‘ภาษาเวทมนตร์’ ลงบนการ์ดเวทมนตร์เปล่า คุณสมบัติพื้นผิวของการ์ดเวทมนตร์เปล่าก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นคุณสมบัติของน้ำยานั้น ๆ ด้วยวิธีการที่นุ่มนวลที่สุด เพื่อที่การ์ดและน้ำยาจะกลมกลืนจนเข้ากันในที่สุด ซ้ำยังเป็นการเพิ่มโอกาสให้สำเร็จด้วย
สิ่งที่เรียกว่า ‘ภาษาเวทมนตร์’ เป็นศาสตร์วิชาที่จะสอนในปีการศึกษาที่สองเท่านั้น ซึ่งมันจะคล้ายกับ ‘ภาษาโปรแกรม’
และก่อนถึงชั้นปีที่สอง จอมเวทฝึกหัดจะทำได้เพียงคัดลอก ‘แม่แบบ’ เท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการเรียนขัดเกลา
แทนที่จะรอเรียน ‘ภาษาเวทมนตร์’ ให้ชำนาญ แล้วค่อยเอามาต่อยอดเป็นวิธีของตัวเอง
แต่อย่างว่า…สิ่งที่ดาร์กสามารถทำได้ในตอนนี้มีเพียง ‘คัดลอก’ เท่านั้น
…
สามสิบสามนาทีต่อมา
ดาร์กมองวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์ที่แสดงอยู่บนการ์ด และรู้ทันทีว่าตนได้มาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว
ต้องขอบคุณความมั่นคงของนิ้วมือและจิตใจของเขา เพราะในขั้นตอนการทำตลอดจนมาถึงตอนนี้ ยังไม่มีความผิดพลาดใด ๆ เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
ขั้นตอนสุดท้ายคือ การเทน้ำยาลงในรัศมีที่ก่อตัวขึ้นจากวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 3
น้ำผลไม้ผสมที่ทำจากผลไม้สีขาวและผลไม้สีน้ำเงินเหลือเพียงประมาณครึ่งเดียวเท่านั้น
เพราะไม่รู้ว่าน้ำผลไม้ผสมนี้จะเพียงพอหรือไม่ ดาร์กจึงรู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อย
แต่หนังสือบอกว่าไม่จำเป็นต้องใช้มากถึงขนาดนั้น!
หลังจากเทน้ำผลไม้ครึ่งหนึ่งของที่เหลือ ลงในวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์แล้ว ดาร์กก็เริ่มกระบวนการขัดเกลาขั้นตอนสุดท้ายทันที
ในขั้นตอนนี้ การขัดเกลาจะไม่ได้รับอิทธิพลจากพลังภายนอกอีกต่อไป มันแค่ใช้การ์ดเวทมนตร์กึ่งสมบูรณ์ปรับตัวเองเท่านั้น
หากการปรับตัวสำเร็จ การขัดเกลาก็จะสำเร็จเช่นกัน
แต่หากการปรับตัวล้มเหลว มีความเป็นไปได้ว่าการ์ด [น้ำยา] จะมีคุณสมบัติด้อยลง หรือเลวร้ายหน่อยก็กลายพันธุ์ไปเลย
ทว่าส่วนมากแล้วมันมักจะสำเร็จ
…
ตอนนี้ สิ่งที่มองเห็นได้มากที่สุดก็คือ แสงของวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์ที่กะพริบอย่างต่อเนื่องบนการ์ดเวทมนตร์
และเมื่อแสงนี้ดับลงอย่างสมบูรณ์ กระบวนการขัดเกลาทั้งหมดก็จะสิ้นสุดลง
ดาร์กรอประมาณสามนาที
ตอนที่ลมหายใจของเด็กชายเกือบจะหยุดลง การปรับตัวของการ์ดเวทมนตร์ก็เสร็จสมบูรณ์ในที่สุด
เขามองลงไปที่พื้นผิวของการ์ดเวทมนตร์
อาจเป็นเพราะกระบวนการขัดเกลาที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ พื้นผิวของการ์ดจึงค่อนข้างสะอาด
→ ข้าง ๆ ขวดก้นกลมที่เต็มไปด้วยยา มีหลอดทดลองของเหลวสีฟ้า-ขาวเหลืออยู่
“มันเป็นการ์ดไอเทมแล้วใช่ไหม?”
ดาร์กขมวดคิ้วเล็กน้อย
หลังจากขัดเกลาน้ำยาให้เป็นการ์ด [น้ำยา] และไม่รู้ว่ามันเป็นการ์ดไอเทมแล้วหรือยัง วิธีที่ง่ายที่สุดคือให้ดูว่ามีภาชนะอยู่บนพื้นผิวของการ์ดหรือไม่
เพราะการมี ‘ภาชนะ’ นั้นจัดว่ามันอยู่ในประเภทการ์ดไอเทม
ในกระบวนการใช้การ์ดไอเทม สปิริตจะต้องมีกระบวนการ ‘รับผล’
ถ้าดูจากมุมมองนี้ การ์ดเวทมนตร์จะสะดวกกว่า แต่ในแง่ของความเสถียรนั้นมันกลับไม่ได้ดีเท่าการ์ดไอเทม
พูดได้อย่างเดียวว่าแต่ละอย่างก็มีข้อดีข้อเสีย
“ในนามของดาร์ก เดม่อน จงออกมา!”
และมันก็ประสบความสำเร็จ น้ำยาสีน้ำเงินและสีขาวพลันปรากฏขึ้นในอากาศ
…
[ชื่อการ์ด: น้ำยาพลังงาน]
[ประเภท: ไอเทม]
[เอฟเฟกต์: ฟื้นฟูพลังงาน 200 หน่วยหลังจากได้รับ]
…
ไม่ใช่น้ำยา ‘ฟื้นฟูพลังเวทมนตร์’ แต่เป็นการ์ดน้ำยา ‘ฟื้นฟูพลังงาน’
จากการ์ดฟื้นฟูพลังเวทมนตร์ที่ใช้ฟื้นฟูพลังเวทมนตร์หนึ่งร้อยหน่วยอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นการ์ดน้ำยาฟื้นฟูพลังงานที่สามารถฟื้นฟูพลังงานสองร้อยหน่วยได้ในทันทีหลังจากเรียกใช้
นอกจากนี้ หลังจากใช้ไปครั้งหนึ่งแล้ว ยังต้อง ‘ฟื้นฟูพลังเวทมนตร์’ หรือรอให้ฟื้นเต็มที่ก่อนจึงจะสามารถใช้งานได้อีกครั้ง
เอาเข้าจริงแล้วดาร์กค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์
…
หลังจากนั้นแล้ว ดาร์กยังไม่คิดลงมือทำการ์ดเวทมนตร์ ‘น้ำผลไม้ผสมจากผลของต้นไม้ร้องเพลงและผลของต้นเกลียว’ แต่เลือกที่จะทำ [น้ำยาพลังงาน] อีกครั้งเพื่อเก็บประสบการณ์
เมื่อทำจนเชี่ยวชาญเพียงพอแล้ว ดาร์กก็เปลี่ยนไปใช้วิธีทั่วไปซึ่งเป็นขั้นพื้นฐานที่สุดในการขัดเกลาน้ำยาให้เป็นการ์ด [น้ำยา] ตอนนั้นเองที่เขาเริ่มพยายามทำ ‘น้ำยาหูหนวกบื้อใบ้’
ด้วยการฝึกปฏิบัติสองครั้งแรกและใช้น้ำแอปเปิ้ลหนึ่งถ้วย ในที่สุดดาร์กก็ประสบความสำเร็จในการขัดเกลา ‘น้ำยาหูหนวกบื้อใบ้’ ออกมา
…
[ชื่อการ์ด: น้ำยาเงียบสงัด]
[ประเภท: ไอเทม]
[เอฟเฟกต์: หลังจากได้รับแล้วจะไม่ได้ยินเสียง และส่งเสียงใด ๆ ไม่ได้ เป็นระยะเวลาคือ 120 วินาที]
…
หากใช้ในการประลองหนึ่งร้อยยี่สิบวินาทีก็นับว่าเพียงพอแล้ว
ดาร์กยิ้มออกมา
…
ที่เรียกว่า ‘ได้รับ’ ในที่นี้ สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งภายในและภายนอก
แน่นอนว่าการได้รับจากภายนอกคือ การฟาดขวดน้ำยาใส่คู่ต่อสู้โดยตรงเพื่อให้เกิดเอฟเฟกต์
…
ไม่อยากคิดเลยว่าสปิริตที่โดน [น้ำยาเงียบสงัด] เข้าไป จะน่าสงสารและไร้หนทางเพียงใด
อืม…เช่นเดียวกับรุกกี้เดวิมอนในตอนนี้
แต่รุกกี้เดวิมอนได้เรียนรู้เทคนิคลับใหม่แล้ว นั่นคือแกล้งตาย!
แต่ต้องรอให้ผลของน้ำยาผ่านไปก่อนนะ…
“เฮ้~ เฮ้~ ଘ ( ੭ * ˊᵕˋ) ੭”
…
การทดลองจบลงในที่สุด
ดาร์กอัญเชิญ [สไลม์ขยะ] ออกมาเพื่อช่วยจัดการกับเศษซากการทดลอง จากนั้นเขาก็ไปล้างเนื้อล้างตัว ก่อนจะกลับมาฝึก ‘ศาสตร์แห่งจิตตั้งมั่น’ บนเตียงเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง แล้วถึงนอนหลับไป
เช้าวันต่อมา
อาจเป็นเพราะเมื่อคืนนอนดึก ดาร์กจึงรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงไปนั่งที่เก้าอี้บนระเบียงและชาร์จพลัง พร้อมกับอ่าน ‘เจ้าการแต่งตัว’ ไปด้วย
สองชั่วโมงผ่านไปอย่างนั้น
เมื่อดาร์กกำลังเตรียมทบทวนบทเรียน และรวบรวมข้อมูลการทดลองจากเมื่อคืนก่อน พลันมีเสียงมาเคาะประตูดังขึ้นมาก่อน
นี่ไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับเขาจริง ๆ
ตั้งแต่เริ่มภาคเรียนก็ไม่มีใครมาเคาะประตูห้องพักของเขาเลย
เหตุผลหลักคือดาร์กก้าวนำหน้าคนอื่นไปหนึ่งก้าวเสมอ ซ้ำยังไม่เหลือโอกาสให้คนอื่นมากนัก
“ใคร?”
“ฉันเอง ไดแอนนาผู้น่ารักไง”
“ไดแอนนาผู้กินเก่งน่าจะเหมาะกับเธอมากกว่านะ ว่าไหม?”
ดาร์กเปิดประตูอย่างช่วยไม่ได้ เด็กชายมองไดแอนนากับโรสยืนอยู่ที่ประตู
เขาถามขึ้นมา “มีเรื่องอะไร?”
ไดแอนนาเหลือบมองโรสเล็กน้อย ก่อนจะหันมาพูดกับดาร์กแล้วเอ่ยคำชวนออกมา “นายไม่อยากไปซื้อชุดฮัลโลวีนเหรอ?”
โรสเสริม “มันจะถึงวันงานแล้วนะ”
“อ้อ…อืม”
ดาร์กนึกถึงชุดหน้ากากทักซิโด้ห่วย ๆ ของเขา และพยักหน้าในที่สุด
อีกเพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้นก่อนจะถึงวันฮัลโลวีน พวกเขาจำเป็นต้องเตรียมตัวแล้ว
ดาร์กไม่อยากกลายเป็นตัวตลกในงานเลี้ยง
“งั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ!”
ไดแอนนายิ้มสดใสขึ้นมาในทันใด
มันช่างเจิดจ้าเสียจนดาร์กแทบลืมตาไม่ขึ้น “เดี๋ยวฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ”
…
พอเวลาแปดโมงครึ่ง ทั้งสามคนก็มาถึงถนนนักเดินทางผ่านศาลากลางทะเลสาบแล้ว
ไดแอนนาถามด้วยความสงสัย “ดาร์ก นายชอบอะไร?”
ดาร์กสงสัย “หืม?”
ไดแอนนารีบแก้คำ “ฉันหมายถึงนายชอบชุดอะไร!”
ดาร์กครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบว่า “ชุดอะไรก็ได้ ตราบใดที่มันเป็นชุดที่ดีล่ะมั้ง?”
ไดแอนนาพยักหน้าอย่างจริงจัง “ชุดทางการก็ดีนะ แต่ฉันขอแนะนำชุดเจ้าชายรัตติกาลจากร้านชุดเวลเวทให้นายดีกว่า!”
ดาร์กตอบ “ฉันชอบเจ้าชายแห่งความมืดมากกว่าเจ้าชายรัตติกาลนะ”
ไดแอนนา “ฮะ?”
ดาร์ก “ล้อเล่นน่ะ ไปดูกันก่อนดีกว่า”
บทที่ 83 รุกกี้เดวิมอนบื้อใบ้
บทที่ 83 รุกกี้เดวิมอนบื้อใบ้
ผลของต้นไม้ร้องเพลงมีขนาดเท่าผลบลูเบอร์รี เมื่อผ่านการละลายและหมักมันก็ผลิตน้ำผลไม้ได้เพียงถ้วยเล็ก ๆ เท่านั้น
น้ำผลไม้ออกมาเป็นสีน้ำเงินเข้ม และดูเหมือนว่ามนุษย์จะดื่มไม่ได้…
โชคดีที่รุกกี้เดวิมอนไม่ใช่มนุษย์
ดาร์กอดรู้สึกโชคดีเล็กน้อยไม่ได้
รุกกี้เดวิมอนซึ่งถูกบังคับให้มาเป็นผู้ทดลอง ก้มหัวจิบน้ำผลไม้ในถ้วยเล็ก
‘อืม…ยังมีพอรสชาติหวานอยู่บ้าง’
เมื่อคิดได้แบบนี้ รุกกี้เดวิมอนก็ดื่มน้ำผลไม้ของต้นไม้ร้องเพลงจนหมดถ้วยโดยไม่รู้ตัว
“รู้สึกยังไงบ้าง?”
รุกกี้เดวิมอนซาบซึ้งกับความเป็นห่วงเป็นใยที่มาช้าเสียเหลือเกินของดาร์ก มันหันกลับมาพูดว่า “–”
ดาร์กอดถามไม่ได้ว่า “นายจะพูดอะไรน่ะ?”
รุกกี้เดวิมอน “——”
ดาร์ก “( ⊙ o ⊙ )?”
รุกกี้เดวิมอน “————!”
ดาร์ก “พูดไม่ได้เหรอ?”
รุกกี้เดวิมอน “————!!!”
ดาร์ก “ถ้านายไม่พูด ฉันจะรู้ได้ยังไงว่านายต้องการจะบอกอะไรฉัน?”
รุกกี้เดวิมอน “——!!!”
…
รุกกี้เดวิมอนตัวน้อยไม่สามารถส่งเสียงได้อยู่ครู่หนึ่ง
แน่นอนว่าดาร์กตระหนักถึงปัญหาได้ในไม่ช้า เขาเหลือบมองนาฬิกาและจับเวลา
หากไม่มีรุกกี้เดวิมอน ดาร์กจะไม่ทดลองแบบสุ่มสี่สุ่มห้าอย่างแน่นอน
เขาหยิบหนังสือมาอ่านรอสักพัก จนกระทั่งรุกกี้เดวิมอนส่งเสียง “อ้า–” ขึ้นมาอย่างกะทันหัน ดาร์กก็ลุกขึ้นเพื่อบันทึกเวลาทันที
“ใช้เวลาประมาณแปดนาที”
“สมแล้วที่เป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่ใช้ทำการ์ด [เงียบสงัด]”
“เฮ้อ ถ้าใช้น้ำผลไม้นี้ร่วมกับวิธีทำการ์ด [น้ำยา] ได้ ฉันจะค้นพบวิธีอื่นในการสร้างการ์ด [เงียบสงัด] อีกแบบหรือเปล่านะ?”
ไม่มีนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งในสถาบันคนไหนที่ไม่ต้องการการ์ด [เงียบสงัด] ของศาสตราจารย์ซิลเวอร์
ท่วงท่าอันสง่างามยามทำให้ทุกคนเงียบสงบลง ด้วยการโบกมือครั้งเดียวนั้นดูสุดยอดมากจริง ๆ
น่าเสียดายที่การสร้างการ์ด [เงียบสงัด] เป็นเทคนิคที่จะได้เรียนในปีหลัง ๆ เท่านั้น เนื่องจากมีข้อกำหนดด้านความยากของเทคนิคที่ใช้และคุณภาพของวัตถุดิบที่สูงมาก
ในบรรดานักเรียนชั้นปีหนึ่ง หรือแม้แต่ดาร์กก็ยังรู้จักประมาณตัวเอง และไม่เคยคิดที่จะไปแตะวิธีการขัดเกลาระดับนั้นเลย
อย่างไรก็ตาม นี่ดูเหมือนว่าเขาจะมีโอกาสแล้วใช่ไหม?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ดาร์กก็เก็บผลของต้นไม้ร้องเพลงที่เหลืออีกสองผลไว้อย่างระมัดระวัง
แม้ว่าผลของต้นไม้ร้องเพลงจะไม่แพง แต่ผลของต้นไม้ร้องเพลงส่วนใหญ่ที่เขาสามารถซื้อได้ที่ถนนนักเดินทาง จะเป็นผลไม้แห้งแปรรูปเท่านั้น เว้นแต่เขาจะอยากลองเสี่ยงโชคด้วยการไปที่ร้านดอกไม้อีก
…
หลังจากนั้นดาร์กก็หยิบผลของต้นเกลียวซึ่งมีราคาถึงสามสิบคะแนนออกมาเตรียมสำหรับทำการทดลองต่อ
การหมักผลของต้นเกลียวก็ใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีเช่นกัน
โชคดีที่ดาร์กมีเทคนิคการเติมพลังเวทมนตร์ที่ยอดเยี่ยม ไม่เช่นนั้นการหมักคงไม่สำเร็จ
น้ำผลไม้ของผลต้นเกลียวมีสีขาวดำแปลก ๆ บนพื้นผิวมันดูเป็นลวดลายที่ถูกคนไปในทิศทางเดียวกัน
ในที่สุดผลของต้นเกลียวก็หมักเป็นน้ำผลไม้เต็มแก้ว
ดาร์กครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ขณะมองน้ำผลไม้สีดำขาวที่มีอยู่แก้วเดียว ก่อนจะเลือกใช้ช้อนเงินตักขึ้นมาหนึ่งช้อนแล้วยื่นให้รุกกี้เดวิมอน
ดาร์ก “อ้าม”
รุกกี้เดวิมอน “อ้าม”
น้ำผลไม้หนึ่งช้อนถูกส่งเข้าไปในปากของรุกกี้เดวิมอน
ในพริบตานั้นเอง รุกกี้เดวิมอนกางกรงเล็บออก ก่อนจะล้มลงไปนอนกับพื้น
ดาร์กเอื้อมมือไปจี้ท้องของมัน ทำให้เจ้าตัวน้อยหัวเราะคิกคักออกมา
ดาร์กพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอกและถามว่า “เป็นยังไงบ้าง รู้สึกยังไง?”
รุกกี้เดวิมอน “คิก ๆๆ…”
ดาร์ก “หืม?”
รุกกี้เดวิมอน “ฮิ ๆ คิก ๆ…”
คราวนี้มันไม่ได้ยินที่เขาพูด
และดาร์กก็รู้สึกว่าเขาได้ค้นพบความลับของผลต้นเกลียวแล้ว
อาการหูหนวกของรุกกี้เดวิมอนกินเวลาประมาณสองนาที
ดาร์กสรุปผลของน้ำผลไม้สองชนิด และเขียนไว้ในสมุดบันทึกของเขาว่า:
น้ำผลไม้ของต้นไม้ร้องเพลง: สูญเสียการส่งเสียง
น้ำผลไม้ของต้นเกลียว: สูญเสียการได้ยิน
การดื่มน้ำผลไม้ทั้งสองร่วมกันจะทำให้คนหูหนวกและเป็นใบ้ได้
…
ดาร์กมองดูแก้วน้ำจากต้นเกลียว ครุ่นคิดว่าควรจะเก็บรักษาสิ่งนี้ไว้อย่างไร
นอกจากนี้ เขายังอดคิดไม่ได้ว่าถ้าน้ำผลไม้ของทั้งสองอย่างนี้ผสมกัน เอฟเฟกต์จะหายไปหรือเอฟเฟกต์ทั้งสองจะยังคงอยู่?
“ฉันควรลองอีกครั้งไหมนะ?”
ขณะที่ดาร์กกำลังคิดเรื่องนี้ เขาก็หยิบผลของต้นไม้ร้องเพลงขึ้นมาอีกครั้ง แล้วปล่อยให้ [ชัคคารุ] ทำเป็นน้ำผลไม้
จากนั้นก็เอาน้ำผลไม้ทั้งสอง อย่างละหนึ่งช้อนใส่ในถ้วยเล็กอีกใบแล้วผสมให้เข้ากัน
หลังจากที่น้ำสีขาวดำและน้ำสีน้ำเงินเข้มตัดกัน สีกลับไม่ได้ผสมเข้าด้วยกันแต่อย่างใด ตรงกันข้ามมันแบ่งสัดส่วนของสีได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้เห็นได้ทั้งสีดำ สีขาว และสีน้ำเงิน
รุกกี้เดวิมอนผู้ถูกบังคับให้จิบ กลายเป็นวิญญาณรับใช้ที่หูหนวกและเป็นใบ้โดยฉับพลัน
ดูเหมือนว่าเอฟเฟกต์จะแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย มันกินเวลานานถึงห้านาทีเต็ม
จู่ ๆ ดาร์กก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
เมื่อดูจำนวนที่เหลือของน้ำผลไม้ทั้งสองแล้ว เขาก็หมักผลของต้นไม้ร้องเพลงผลสุดท้ายให้เป็นน้ำผลไม้ เพื่อที่จะได้มีส่วนผสมในอัตราส่วนหนึ่งต่อหนึ่ง
หลังจากนั้น เขาก็ผสมน้ำผลไม้ทั้งสองให้เข้ากันจนละเอียด ปิดฝา แล้วพักทิ้งไว้
พอถึงสองทุ่มครึ่ง
ดาร์กรู้ว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะนำสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาใช้
หากไม่มีวิธีการเก็บรักษาที่เหมาะสม อายุของน้ำผลไม้ทั้งสองจะอยู่ได้ไม่นาน เพราะงั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการใช้ไปเลยในขณะที่มันยังสดใหม่อยู่ แล้วจึงนำไปขัดเกลาเป็นการ์ด [น้ำยา] โดยตรง!
…
แน่นอน เขาไม่กล้าถึงขนาดที่จะใช้มันในการทดลองทำการ์ด [น้ำยา] ครั้งแรก
แต่ดาร์กไม่ลืมว่าเขายังมีผลไม้สีขาวและผลไม้สีน้ำเงินอยู่ ดังนั้นจึงยังไม่ถึงคิวของพวกมัน
สรุปแล้ว ขั้นตอนแรกคือการใส่ผลไม้สีขาวหรือผลไม้สีน้ำเงินลงไปในกระดองของชัคคารุ…
แต่ในขณะนั้นเอง ดาร์กซึ่งเพิ่งทำการผสมผสานเล็กน้อยสำเร็จ กลับมีความคิดว่อกแว่กขึ้นในทันใด
เขาใส่ชิ้นส่วนของผลไม้สีขาวและผลไม้สีน้ำเงินลงไปในกระดองของชัคคารุ
ผลไม้ทั้งสองถูกละลายและหมักในกระดองพร้อมกัน จนในที่สุดก็เกิดของเหลวที่มาจากการผสมกันของผลสองอย่างขึ้น
ดาร์กใช้ [อัตตา I] กับรุกกี้เดวิมอนทันที เพื่อให้มันสามารถปล่อยสกิล [เดมิ ดาร์ท] ได้ และถือเป็นการเผาผลาญพลังเวทมนตร์ออกไป
จากนั้นเขาก็ตักน้ำที่ผสมกันหนึ่งช้อนแล้วป้อนให้
หลังจากกลืนน้ำผลไม้ผสมไปหนึ่งช้อนแล้ว รุกกี้เดวิมอนก็รู้สึกว่าพลังเวทมนตร์ในตัวถูกฟื้นฟูขึ้นอย่างรวดเร็ว
ส่วนผลการรักษานั้น มันไม่ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจึงไม่ได้แสดงให้เห็นในขณะนี้
แต่แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับดาร์กแล้ว
เพราะเขาไม่คิดว่ามันจะประสบความสำเร็จในครั้งเดียว
เมื่อผลที่ได้ออกมาน่าพึงพอใจ ดาร์กก็เปิด ‘ปิแอร์จะอธิบายให้ฟังเอง’ ขึ้นมาทันที และเริ่มการทดลองจริงทีละขั้นตอนตามวิธีการที่บันทึกไว้ในหนังสือ
มันมีอยู่หลายวิธีในการขัดเกลา ‘น้ำยา’ ให้เป็น ‘การ์ด [น้ำยา]’ หากจะจำแนกพวกมัน ยาแต่ละชนิดก็จะมีวิธีการขัดเกลาที่แตกต่างกันออกไป
วิธีที่ดาร์กใช้นั้นเป็นวิธีการทั่วไปตามที่มีอธิบายไว้ในนั้น
เพื่อให้แม่นยำยิ่งขึ้น มันเป็นวิธีการทั่วไปในการขัดเกลา [น้ำยาฟื้นฟูพลังเวทมนตร์] ให้เป็นการ์ด [น้ำยา]
การเลียนแบบวิธีนี้และแทนที่ [น้ำยาฟื้นฟูพลังเวทมนตร์] ด้วยน้ำผลไม้ผสมเป็นแนวคิดปัจจุบันของดาร์ก
การสร้างการ์ดเวทมนตร์นั้นต่างจากการสร้างการ์ดวิญญาณโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่แรกเริ่มก็ไม่จำเป็นต้องมีสารตั้งต้นในการเพาะเลี้ยงชีวิตอย่างเช่น น้ำผึ้งวิญญาณและน้ำสกัดกลีบสมอง
เพราะแก่นของมันอยู่ในวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 3 หรือที่เรียกว่า ‘วงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์ของดัลตัน’
ดัลตันคือจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นรองเพียงเมอร์ลินเท่านั้น เขาได้สร้างยุคสมัยใหม่ของตัวเองขึ้นมาด้วยการเปลี่ยนน้ำยาให้เป็นการ์ด [น้ำยา]
บทที่ 82 ดาร์ก เดม่อนแปลงร่างเป็นชาวไร่
เห็นได้ชัดว่าป้าอ้วนชอบดาร์ก
นักเรียนปีหนึ่งที่ทั้งขยัน สุภาพ หน้าตาน่ารัก จะไม่ให้เธอถูกใจได้อย่างไร?
เธอกวักมือเรียกดาร์กและเดินไปที่เคาน์เตอร์
ดาร์กเดินตามมาที่เคาน์เตอร์ และเห็นเธอหยิบตะกร้าออกมาจากด้านล่าง
ตะกร้าไม่ใหญ่มาก และในนั้นมีผลไม้แค่ห้าผล
ดาร์กไม่ได้ศึกษาพืชชนิดอื่นมานอกจากพืชที่เขาต้องการเลย ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นผลไม้ชนิดใดบ้าง
แต่เวลานี้ก็ไม่ใช่เวลาที่ต้องมาอาย หากจะไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง การแสร้งทำเป็นเข้าใจเรื่องที่ไม่รู้อะไรเลยต่างหากที่น่าอาย
ดาร์กเอ่ยปากถามอย่างสงสัย “คุณป้าครับ นี่ผลไม้อะไรเหรอครับ? แล้วมันให้เอฟเฟกต์อะไรบ้างครับ?”
ป้าอ้วนเอื้อมมือออกไป จัดผลไม้สามอย่างรวมกันพลางพูดว่า “สามผลนี้เป็นผลของต้นไม้ร้องเพลง”
ต้นไม้ร้องเพลงเป็นบอนไซชนิดหนึ่งที่จะเกิดเสียงจิ๊บ ๆ เวลาเจอกับแสงแดด เรียกได้ว่าเป็น ‘นาฬิกาปลุกสีเขียว’ ที่เหมาะสำหรับใช้ในหอพักมาก
และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ดาร์กได้รู้ว่า ต้นไม้ร้องเพลงก็ออกผลได้ด้วย
ผลของต้นไม้ร้องเพลงทั้งสามลูกนั้นใหญ่ไม่พอ แต่กลับเกลี้ยงกลมมากทีเดียว ซึ่งมันดูเหมือนกับบลูเบอร์รีขนาดใหญ่สามลูก
แต่ผลของต้นร้องเพลงมีเอฟเฟกต์พิเศษอย่างไรบ้างนี่สิ?
จะทำให้คนร้องจิ๊บ ๆ เหรอ?
ดาร์กมองไปยังป้าอ้วน
ป้าอ้วนยิ้ม “เธออาจจะยังไม่ได้เรียนในปีแรก ผลของต้นไม้ร้องเพลงเป็นหนึ่งในวัตถุดิบหลักของการ์ด [เงียบสงัด] พวกมันสามารถดูดซับคลื่นเสียงได้!”
ดาร์กครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถาม “นี่มันดูไม่สมเหตุสมผลเลยครับ ถ้าผลของต้นไม้ร้องเพลงสามารถดูดซับคลื่นเสียงได้ หลังจากที่ต้นไม้ร้องเพลงไม่มีผลแล้วมันก็ไม่น่าจะร้องเพลงได้อีกต่อไป ไม่ใช่เหรอครับ?”
ป้าอ้วนส่ายหัวแล้วพูดว่า “ตรงกันข้ามเลย หลังจากที่พวกมันออกผลแล้ว พวกมันก็จะส่งเสียงร้องดังขึ้นอีก พวกมันจะดูดซับคลื่นเสียง เก็บไว้และปล่อยมันออกมาอีกครั้ง”
ดาร์กยังคงสับสน แต่ป้าอ้วนดูเหมือนจะไม่อยากพูดต่อ เธอหยิบผลไม้ผลหนึ่งจากอีกสองผลที่เหลือมาวางบนโต๊ะ
ผลไม้นี้มีรูปร่างคล้ายกับสับปะรด แต่มันมีขนาดเท่าฝ่ามือเท่านั้น
ป้าอ้วนกล่าวว่า “นี่คือผลของต้นเกลียว”
ดาร์กทำหน้าสับสน “ต้นเกลียว มันคือต้นไม้อะไรครับ?”
ป้าอ้วนชี้ไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งในร้าน
ดาร์กมองไป มันเป็นต้นไม้เล็ก ๆ และยังดูแปลก เพราะลำต้นของมันเป็นเกลียว ใบไม้ที่งอกออกมาจากมันก็ม้วนตัวราวกับกระดิ่งลม หมุนไปเล็กน้อยตามสายลม และส่งเสียงเหมือนกระดิ่งลม
ทำไมไม่เรียกมันว่าต้นกระดิ่งลมล่ะเนี่ย?
ป้าอ้วนกล่าวว่า “การวางใบต้นเกลียวไว้บนโคนหูสามารถป้องกันอาการวิงเวียนศีรษะได้อย่างมีประสิทธิภาพ สติกเกอร์แก้อาการเมารถที่ขายดีที่สุดตอนนี้ก็ทำจากใบต้นเกลียวเป็นส่วนผสมหลัก แต่ผลของมันทำให้คนเวียนหัวได้”
จู่ ๆ ดาร์กก็สนใจผลต้นเกลียวที่คล้ายสับปะรดนี้
ป้าอ้วนหยิบผลไม้ชิ้นสุดท้ายออกมา
มันเป็นผลไม้กึ่งโปร่งแสงที่มีขนาดใกล้เคียงกับส้ม
เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียด ดาร์กก็เห็นหลุมของผลไม้
ป้าอ้วนกล่าวว่า “นี่คือผลของต้นไม้หนอน”
ดาร์กตกใจทันที “ต้นไม้หนอนก็ออกผลได้เหรอครับ?”
“แน่นอนสิ” ป้าอ้วนอธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “มันต้องใช้วิธีการพิเศษมากในการปลูก เพื่อที่จะให้พวกมันออกผลได้ ผลของมันหายากมากแถมยังสามารถเก็บความทรงจำของผู้คนได้ชั่วคราว แต่ถ้าจะเอาออกมาก็ใส่พลังเวทมนตร์เข้าไปแค่เล็กน้อย มันเป็นเหมือนกับลูกบอลความทรงจำตามธรรมชาติน่ะ”
…
ในตอนนี้มีผลของต้นไม้ร้องเพลงสามผล ผลของต้นเกลียวหนึ่งผล ผลของต้นไม้หนอนหนึ่งผล
ผลไม้ทั้งหมดห้าผล
ในหมู่พวกมัน ผลของต้นไม้ร้องเพลงถูกที่สุด เพราะใช้เพียงสิบคะแนนเท่านั้น
ผลของต้นเกลียวมีราคาแพงกว่าเล็กน้อย โดยมีราคาสามสิบคะแนนต่อชิ้น
ส่วนผลของต้นไม้หนอนนั้นราคาเท่ากับครึ่งหนึ่งของต้นไม้หนอน!
แม้ว่าดาร์กจะมีคะแนนอยู่ แต่เขาก็ไม่อยากใช้จ่ายสิ้นเปลือง สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ซื้อผลของต้นไม้หนอน แต่ใช้หกสิบคะแนนเพื่อซื้อผลไม้ที่เหลืออีกสี่ผล
เหตุผลหลักก็คือ เขานึกไม่ออกว่าผลของต้นไม้หนอนจะมีเอฟเฟกต์อะไรเพิ่มเติม หลังจากถูกหมักเป็นน้ำผลไม้
ถ้าต้องการเก็บความทรงจำ ดาร์กก็มีต้นไม้หนอนอยู่แล้ว ดังนั้นการเอาผลของต้นไม้หนอนมา ดูจะเป็นการเสียคะแนนเปล่า ๆ
ในทางตรงกันข้าม ผลของต้นไม้ร้องเพลงและผลของต้นเกลียว ดูเหมือนจะมีประโยชน์มาก
หลังจากออกจากร้านดอกไม้แล้ว ดาร์กก็เริ่มซื้อของอีกครั้ง
มีหลาย ๆ พื้นที่บนถนนนักเดินทางที่ไม่ได้เปิดให้นักเรียนชั้นปีหนึ่ง
สาเหตุหลักเป็นเพราะว่านักเรียนปีหนึ่งยังมีความรู้เรื่องเวทมนตร์ไม่ดีพอ หากพวกเขาไปสัมผัสกับสิ่งของที่อันตรายมากเกินไป มันจะเป็นอันตรายต่อพวกเขาเอง
ดาร์กมองไปรอบ ๆ ก่อนจะเจอร้านขายน้ำยาในที่สุด
ร้านขายน้ำยาไม่เพียงแต่ขายน้ำยาที่ปรุงสำเร็จแล้วเท่านั้น แต่ยังขายวัตถุดิบบางอย่างสำหรับการปรุงยาด้วย ดังนั้นส่วนใหญ่มันจึงเกี่ยวข้องกับผลไม้และสมุนไพรเป็นหลัก
และผลไม้ที่นี่ก็มีข้อมูลรายละเอียดที่ชัดเจนดี
ดาร์กหยิบผลไม้สีขาวและผลไม้สีน้ำเงินสองสามผลที่อยู่ข้างในออกมา
ผลไม้สีขาวเป็นวัตถุดิบหลักอย่างหนึ่งในการทำ [พลาสเตอร์ฟื้นฟู]
ส่วนผลไม้สีน้ำเงินเป็นวัตถุดิบในการทำ [น้ำยาฟื้นฟูพลังเวทมนตร์]
ในคาบวิชาปรุงยาของศาสตราจารย์ทอมป์สัน ดาร์กได้ใช้ผลไม้สีน้ำเงินเพื่อทำ [น้ำยาเวทมนตร์ความเร็วสูง] และ [น้ำยาฟื้นฟูพลังเวทมนตร์]
น้ำยาที่ทำในสองคาบนั้นยังคงอยู่ในหอพักของเขา
และในเมื่อตอนนี้ เขาได้เรียนรู้วิธีขัดเกลาน้ำยาให้เป็นการ์ดเวทมนตร์แล้ว เขาก็จะให้ความสำคัญกับน้ำยาทั้งสองสำหรับการทดลองก่อน
ผลไม้สีขาวและผลไม้สีน้ำเงินทั้งสองมีราคายี่สิบคะแนน ซึ่งเป็นราคาส่วนลดสำหรับนักเรียน
ดาร์กซื้อไปอย่างละห้าผล
…
พลบค่ำกำลังคืบคลานเข้ามา และท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง
ดาร์กกลับมาพร้อมกับถุงมากมาย
มีหลายคนรอบ ๆ ตัวเขาที่กลับมาพร้อมถุงมากมายเช่นกัน แต่ของพวกเขาเต็มไปด้วยของหวาน ขนม เสื้อผ้า และเครื่องประดับ
แน่นอนว่ายังมีคนผิดปกติอย่างเช่นเอ็มม่า ที่ปล่อยให้นากที่น่าสงสารสองตัวช่วยขนหนังสือสองกอง
เมื่อดาร์กกลับมาที่ปราสาท เขาก็เจอกับไดแอนนาที่เพิ่งกินข้าวเสร็จ และกำลังจะไปตลาดกลางคืนกับโรส
ก่อนที่ดาร์กจะได้พูดอะไร ไดแอนนาก็พูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “ฉันทำเสร็จแล้ว ฉันทำเสร็จแล้ว ฉันทำการบ้านเสร็จแล้ว!”
งั้นก็ดีแล้ว…
ดาร์กหยุดพูด และมองดูพวกเขาจากไปประหนึ่งเป็นบิดาผู้ใจดีกับลูกสาว
…
หลังจากกลับมาถึงห้องพักและจัดของต่าง ๆ โดยใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว ดาร์กก็อัญเชิญชัคคารุออกมาหมักน้ำแอปเปิ้ลให้หนึ่งแก้ว ก่อนจะยกขึ้นมาจิบ
เมื่อพลังในกายฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย เขาก็แทบทนรอไม่ไหวที่จะหยิบผลของต้นไม้ร้องเพลงออกมาทดลอง
มีผลไม้ทั้งหมดสี่ชนิดในหมู่พวกมัน ผลไม้ขาวและผลไม้สีน้ำเงิน เขาสามารถคาดเดาผลได้ แต่ผลของต้นไม้ร้องเพลงและผลของต้นเกลียวนั้นเขายังไม่แน่ใจนัก
เพราะอย่างนั้น ดาร์กจึงอยากรู้เอฟเฟกต์ของผลไม้ทั้งสองชนิดนี้หลังจากที่นำไปหมักเป็นน้ำผลไม้มาก
ในหมู่พวกมันมีผลของต้นไม้ร้องเพลงสามผล ซึ่งมีโอกาสให้เขาลองผิดลองถูกได้มากกว่า และมันก็เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการทดลองครั้งแรก
ผลที่ได้คือผลของต้นไม้ร้องเพลงขนาดเท่าบลูเบอร์รี ถูกหมักเป็นเวลาสิบห้านาที!
ในการหมักผลของต้นไม้ร้องเพลงนี้ให้สมบูรณ์ ดาร์กถึงกับต้องเติมพลังเวทมนตร์ให้ชัคคารุอย่างต่อเนื่อง และเมื่อมันสำเร็จในที่สุด เขาก็อดถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่ได้
จากนั้นเด็กชายก็คลี่ยิ้มออกมา และมองไปยังรุกกี้เดวิมอนผู้ที่กำลังจะแอบหนีออกไป
บทที่ 81 ไม่มีหนังสือใดที่ดาร์ก เดม่อนไม่เชี่ยวชาญ
โดยไม่จำเป็นต้องรอให้อาจารย์สอน หลังจากที่ดาร์กมีไอเดียแล้ว เขาก็ตรงไปที่ห้องสมุดทันที หลังจากจบคาบวิชาเวทมนตร์พื้นฐานในช่วงบ่าย
ในไม่ช้าดาร์กก็พบหนังสือ ‘ปิแอร์จะอธิบายให้ฟังเอง: วิธีทำน้ำยาวิเศษให้เป็นการ์ดเวทมนตร์’
ปิแอร์เป็นนักปรุงยาที่มีชื่อเสียงมากในประวัติศาสตร์เวทมนตร์ และในมุมมองของเขา หากไม่มีน้ำยาคุณก็ไม่สามารถทำการ์ดเวทมนตร์ได้!
หนังสือเล่มนี้มีความหนาประมาณสามนิ้ว ซึ่งทำให้เหล่าจอมเวทฝึกหัดค่อนข้างหวาดกลัวมัน
อย่าว่าแต่นักเรียนปีหนึ่งเลย แม้แต่นักเรียนรุ่นพี่ก็ยังแทบไม่กล้าจะหยิบมันออกจากชั้นวางเลย
หลังจากที่ดาร์กหยิบมันลงมา เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเขายังมีปัญหาที่ต้องจัดการ ดังนั้นเขาจึงวางมันลงบนโต๊ะในห้องอ่านหนังสือชั่วคราว และจองเก้าอี้ด้วยกระเป๋าสะพายไว้ แล้วเดินกลับไปที่ชั้นหนังสือเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง
ในเวลาต่อมา เขาก็พบหนังสือเกี่ยวกับสปิริตประเภทแมลง มือจึงเปิดไปดูคำอธิบายของ ‘ชัคคารุ’ ทันที
คำอธิบายในหนังสือเล่มนี้ค่อนข้างสั้น แต่ครอบคลุมทุกอย่างที่เขาต้องการรู้
‘ชัคคารุ’ เป็นสปิริตหายากที่ไม่มีอยู่ในโลกนี้ และสามารถได้รับจากการขัดเกลาโดยไม่ได้ตั้งใจเท่านั้น
อันที่จริง ‘ชัคคารุ’ ส่วนใหญ่เป็นการ์ดสีขาวและไม่มีสกิล
แม้แต่การ์ดสีน้ำเงินหายากก็มีเพียงสกิลติดตัว [แข็งตัว] เท่านั้น
ไม่มีสกิลอย่าง [ลูกหลอก] เลย
ชื่อการ์ดของ ‘ชัคคารุ’ ในโลกนี้ถูกเรียกว่า [หนอนชัคคารุ] ซึ่งเป็นคำที่แตกต่างจาก [ชัคคารุ] ของดาร์ก
บางทีอาจเป็นความแตกต่างของคำนี้ ทำให้สปิริตทั้งสองประเภทนี้มีลักษณะและค่าพลังเหมือนกันทุกประการ แต่รูปแบบสิ่งมีชีวิตกลับแตกต่างกัน
และบวกกับการที่ดาร์กเปิดใช้งานการ์ดเมจิกหมวดมหาบาป ซึ่งกลายเป็นว่ามันทำให้ [ชัคคารุ] มีความสามารถพิเศษในการหมักผลไม้ให้เป็นน้ำผลไม้ได้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง
[ชัคคารุ] ของเขาไม่เหมือนใคร!
…
หลังจากคลายความสงสัยในใจแล้ว ดาร์กก็กลับไปที่ห้องอ่านหนังสือ แต่ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่ามีคนกำลังอ่าน ‘ปิแอร์จะอธิบายให้ฟังเอง’ ในที่นั่งที่ของเขาอยู่!
ดาร์กเดินไปเคาะโต๊ะ ‘ก๊อก! ก๊อก!’
เอ็มม่าเงยหน้าขึ้นมองเขา จากนั้นเธอก็ปิดหนังสือลงอย่างเงียบ ๆ และลุกขึ้นหันหลังกลับไปนั่งที่ที่นั่งถัดไป
ดาร์กแกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเริ่มอ่านหนังสือทันที
ช่วงแรกของหนังสือเล่มนี้อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างน้ำยาธรรมดากับน้ำยาที่ได้รับการขัดเกลาให้เป็นการ์ดเวทมนตร์แล้ว
น้ำยาธรรมดาหลังจากถูกขัดเกลาเป็นการ์ดเวทมนตร์แล้ว จะแบ่งออกเป็นการ์ดเมจิกและการ์ดไอเทมตามลักษณะที่แตกต่างกัน แต่ให้เอฟเฟกต์ที่ไม่แตกต่างกันมากนัก
น้ำยาที่มีอยู่โดยทั่วไปจะใช้ได้ครั้งเดียว
หลังจากถูกขัดเกลาเป็นการ์ดเวทมนตร์แล้ว มันจะกลายเป็นการ์ด [น้ำยา] ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
แต่ข้อเสียของการ์ด [น้ำยา] คือเอฟเฟกต์จะอ่อนลงและอยู่ได้ไม่นาน
ตัวอย่างเช่น น้ำยาที่สามารถฟื้นฟูพลังเวทมนตร์ได้สิบหน่วยต่อวินาที หลังจากถูกขัดเกลาเป็นการ์ด [น้ำยา] แล้ว มีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นน้ำยาที่สามารถฟื้นฟูพลังเวทมนตร์ได้เพียงสิบหน่วยต่อการใช้แต่ละครั้งเท่านั้น
ข้อดีของการ์ด [น้ำยา] คือใช้งานง่าย พกพาสะดวก และนำกลับมาใช้ใหม่ได้
แน่นอนว่ายิ่งน้ำยามีค่ามากเท่าไหร่ การขัดเกลาการ์ด [น้ำยา] ก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น หากมีทักษะไม่เพียงพอ อาจกลายเป็นว่าต้องสูญเสียส่วนผสมทั้งหมดไปเลยก็เป็นได้
สำหรับจอมเวทแล้ว หากพวกเขาต้องการใช้น้ำยาในการแข่งขันการประลอง พวกเขาจะต้องขัดเกลาน้ำยาให้เป็นการ์ด [น้ำยา] ขึ้นมา
การเรียนรู้วิธีขัดเกลาการ์ด [น้ำยา] เป็นสิ่งที่จอมเวททุกคนต้องพบเจอ
…
ตั้งแต่บ่ายเป็นต้นมา ดาร์กเริ่มอ่านหนังสืออย่างช้า ๆ โดยทิ้งเรื่องอื่น ๆ ไว้ชั่วคราว
อย่างไรก็ตาม ไดแอนนาผู้ค้นพบประโยชน์ของน้ำผลไม้ ได้เริ่มขอน้ำแอปเปิ้ลทุกวันด้วยใบหน้าเขินอาย และโรสก็เริ่มสนใจน้ำผลไม้ลูกแพร์แล้วด้วย
น้ำแอปเปิ้ลทำให้สมองสดชื่น เหมาะเป็นเครื่องดื่มระหว่างการเรียน แถมรสชาติมันก็ดีไม่น้อย
ดาร์กเข้าใจเหตุผลที่ไดแอนนามาขอน้ำแอปเปิ้ล แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมโรสถึงมาขอน้ำลูกแพร์จากเขาด้วย?
อย่างที่รู้ว่าน้ำลูกแพร์สามารถลดร้อนในที่มากเกินไปได้ แต่เธอคงไม่มีร้อนในทุกวันหรอกใช่ไหม?
เขาไม่รู้เลยจนกระทั่งโรสบอกเขาว่าน้ำลูกแพร์สามารถรักษาสิวได้
แต่มันได้จริงเหรอ?
ดาร์กก็ไม่รู้
ขอบเขตความเข้าใจของเขามีขีดจำกัด และเขาก็ไม่ได้คิดตรวจสอบมันด้วย
…
วันศุกร์มาถึงในพริบตา
หลังจากคาบวิชาประลองในช่วงเช้า เหล่านักเรียนต่างตั้งตารอคอยการไปยังถนนนักเดินทางอีกครั้ง
สุดสัปดาห์นี้เป็นหนึ่งสัปดาห์ก่อนวันฮัลโลวีน เหล่านักเรียนของสถาบันจึงเริ่มสนใจเครื่องแต่งกาย สำหรับงานปาร์ตี้หน้ากากมากขึ้น
นักเรียนรุ่นพี่ก็เริ่มคิดว่าตนควรเชิญใครมาร่วมงานปาร์ตี้ดี
ปาร์ตี้เต้นรำฮัลโลวีนไม่ได้โรแมนติกเหมือนปาร์ตี้เต้นรำในวันคริสต์มาส เพราะในงานนี้จะมีกิจกรรมล่าผีซึ่งเป็นกิจกรรมประจำเทศกาล ทำให้มันไม่ค่อยได้รับความนิยมจากคู่รักมากนัก
แต่ครั้งนี้ย่อมต่างออกไป
กำหนดการมาเยือนของเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรได้ยกระดับความคาดหวังของงานเต้นรำแปลก ๆ ไปสู่อีกมิติหนึ่งเลยทีเดียว
นักเรียนคนหนึ่งถึงกับประกาศในทันทีว่า ปาร์ตี้หน้ากากครั้งนี้เขาจะแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายที่เป็นทางการที่สุด และจะกลายเป็นเจ้าชายที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเจ้าหญิง เพราะเป้าหมายของเขาคือการเต้นรำกับเจ้าหญิง!
ส่วนเรื่องที่เขาถูกหัวเราะเยาะนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
กล่าวโดยสรุป เครื่องแต่งกายที่เน้นความตลกขบขันและแปลกประหลาดเหล่านั้นไม่ได้รับความนิยมอย่างปีที่แล้วอีกต่อไป ตรงกันข้ามพวกชุดแวมไพร์ อัศวิน และชุดขุนนางที่สามารถแสดงถึงความงามและอารมณ์ของนักคอสเพลย์ออกมาได้ก็ได้รับความนิยมมากขึ้น
นักเรียนชายหญิงต่างเริ่มมองหาคู่เต้นรำของตัวเอง เนื่องมาจากบรรยากาศที่ค่อย ๆ โรแมนติกขึ้น
นักเรียนชั้นปีหนึ่งไม่มีประสบการณ์เท่านักเรียนรุ่นพี่ ทำให้ต้องใช้เวลาสองสามวันกว่าที่พวกเขาจะคิดออกว่าต้องทำอย่างไร
ดาร์กก็ไปที่ถนนนักเดินทางเช่นกัน แต่เขากำลังมองหาผลไม้ที่เหมาะสมมาทำการ์ด
บนถนนนักเดินทางก็มีร้านค้าที่ขายแต่ลูกแพร์และแอปเปิ้ลเท่านั้นด้วย
แน่นอน เขาจะซื้อแอปเปิ้ลและลูกแพร์กลับไปด้วย แต่ตอนนี้จุดประสงค์หลักคือหาผลไม้ที่มีเอฟเฟกต์พิเศษให้ได้ก่อน
ตัวอย่างเช่น แก้วมังกรในตำนาน!
→ ล้อเล่นนะ
ต่อให้เขาหามันเจอ ดาร์กก็จ่ายไม่ไหวอยู่ดี
เขามาที่ร้านขายวัตถุดิบ ‘นักเดินทางสายลม’ ทันที
แต่ไม่นานเขาก็ออกไปอีกครั้ง
‘นักเดินทางสายลม’ มีวัตถุดิบมากมาย แต่ผลไม้ที่พวกเขาขายมีแต่ผลไม้แห้งเท่านั้น
อย่างที่รู้กันดี…ผลไม้แห้งจะไม่มีน้ำผลไม้
หลังจากออกจาก ‘นักเดินทางสายลม’ แล้วดาร์กก็เดินไปตามถนนสักพัก ก่อนจะเข้าไปใน ‘ร้านดอกไม้และต้นไม้นกกาเหว่า’ ซึ่งเป็นร้านที่เขาเคยซื้อต้นไม้หนอนมาก่อน
การซื้อผลไม้ในร้านขายดอกไม้ฟังดูประหลาดมากเลยใช่มั้ย?
แต่ในฤดูเก็บเกี่ยวใบไม้ร่วง ดอกไม้และต้นไม้มากมายในร้านมันออก ‘ผล’ จริง ๆ!
ป้าอ้วนซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายดอกไม้ยังคงจำหน้านักเรียนปีหนึ่งที่ซื้อต้นไม้หนอนของร้านเธอไปได้
เมื่อดาร์กถาม เธอก็ยิ้มและพูดว่า “ขายให้ได้อยู่หรอก แต่ผลไม้เป็นมูลค่าส่วนหนึ่งของต้นไม้ด้วย ถ้าเธอจะซื้อแต่ผลไม้ ฉันก็ต้องลดราคาต้นไม้ลงน่ะสิ”
ดาร์กยังยิ้มและพูดว่า “แต่ผลไม้สุกแล้วนะครับ สุดท้ายพวกมันก็ต้องถูกเด็ดออกมาอยู่ดี ผมอยากซื้อแค่หนึ่งหรือสองผลเท่านั้น เอาเป็นผลที่ร่วงตามธรรมชาติก็ได้ครับ”
ป้าอ้วนตอบ “นั่นก็ให้ได้อยู่หรอก แต่เธออาจไม่เจอผลที่เธอกำลังมองหานะ”
ดาร์กถาม “ขอผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”
บทที่ 80 การเข้าห้องครั้งแรกของดาร์ก เดม่อน
แอปเปิ้ลมีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามิน มีรสหวานขมและยังสามารถดับกระหาย คลายร้อน ช่วยในการย่อยอาหารได้
นอกจากนี้ยังมีผลเช่นบำรุงเลือดอ่อน ๆ ทำให้จิตใจสงบ และช่วยให้นอนหลับได้อีก
หลังจากแปรรูปผ่านชัคคารุแล้ว ผลที่ได้ในส่วนนี้ก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
มีน้ำยาหลายชนิดที่ทำหน้าที่คล้ายคลึงกัน แต่น้ำยาแสนอร่อยที่ทำจากแอปเปิ้ลเพียงผลเดียวนั้นไม่เคยมีมาก่อน
ในตอนนี้
ดาร์กพลันตระหนักได้ว่า ชัคคารุตัวอื่นของโลกนี้ไม่สามารถทำน้ำผลไม้ได้!
มิฉะนั้น มันคงจะมีน้ำผลไม้ชัคคารุขายอยู่เต็มถนนแล้ว!
“พรุ่งนี้ฉันจะไปดูที่ห้องสมุด”
ดาร์กยังคงทดลองต่อไป
คราวนี้เขาใช้ส้มบ้าง
ส้มสามลูก ได้น้ำส้มสามแก้ว
รุกกี้เดวิมอนดื่มก่อนด้วยความเคารพ
ทันใดนั้นเอง หน้าของมันพลันเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน และรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อออกมาแล้วมันก็ดูสดชื่นและสบายตัวเป็นอย่างมาก
ดาร์กไม่แตะน้ำส้มอีกสองแก้วที่เหลือ
สุดท้าย เขาก็หยิบลูกแพร์ทั้งสามลูกใส่เขาไปในเปลือกของชัคคารุ เพื่อให้ละลายและหมักอย่างรวดเร็ว
แล้วจึงได้น้ำลูกแพร์สามแก้ว ทั้งคู่ได้กลิ่นหอมหวานและสดชื่นโชยออกมา
โดยที่ดาร์กไม่ต้องพูดอะไร รุกกี้เดวิมอนดื่มเข้าไปอีกแก้ว แต่แล้วจู่ ๆ มันก็หรี่ตาและนั่งอยู่กับที่ ไม่เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน
ดาร์กถาม “เป็นยังไงบ้าง?”
รุกกี้เดวิมอนตอบว่า “อากาศเริ่มหนาวแล้ว”
ดาร์ก “…”
มือหยิบน้ำลูกแพร์แก้วหนึ่งขึ้นมาจิบบ้าง เขารู้สึกทันทีว่าลำคอเย็นขึ้นมาเล็กน้อย และปอดก็รู้สึกสดชื่นอย่างน่าประหลาด
“ช่วยขจัดร้อนในได้อย่างนั้นเหรอ?”
…
และในเวลาต่อมา ดาร์กก็จดลงสมุดบันทึกของเขาว่า
น้ำแอปเปิ้ล – ฟื้นฟูสติ
น้ำส้ม – ช่วยในการย่อยอาหารและการทำงานของลำไส้
น้ำลูกแพร์ – ขจัดร้อนใน
“ทำไมรู้สึกอย่างกับได้เป็นแพทย์แผนจีนเลยนะ?”
หลังจากเขียนเสร็จ เขาก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
ความสามารถนี้ของชัคคารุทรงพลังมาก มันสามารถหมักผลไม้ต่าง ๆ ให้เป็นน้ำผลไม้และแถมเอฟเฟกต์พิเศษมาด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ถูกใช้ในการทดลองตอนนี้เป็นเพียงผลไม้ธรรมดาเท่านั้น และเอฟเฟกต์พิเศษที่แถมมาด้วยก็ไม่ได้วิเศษอะไรมากมาย
สุดสัปดาห์นี้ ดาร์กจึงตั้งใจว่าจะไปที่ถนนนักเดินทางเพื่อหาผลไม้ที่มีเอฟเฟกต์พิเศษมาหมัก บางทีเขาอาจจะได้น้ำผลไม้ที่เทียบได้กับน้ำยาของจริงก็ได้
นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าผลที่หญ้าแมวกำลังจะออกผลก็สามารถนำมาหมักได้เช่นกัน
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นจุดที่ต้องพิจารณาอีกต่อไป
…
หลังจากสรุปผลเสร็จสิ้น ดาร์กก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วมองดูน้ำผลไม้ที่เหลืออีกสี่แก้ว
“โรสบอกว่าเธออาหารไม่ค่อยย่อย นั่นอาจเป็นเพราะว่าเธอกับไดแอนนากินเนื้อวัวมากเกินไป”
“อืม ไดแอนนาชอบง่วงนอนเวลาอ่านหนังสือตอนกลางคืน อีกอย่างเนื้อสัตว์มีฤทธิ์ร้อน ถ้าเธอกินเนื้อวัวมากเกินไป ก็น่าจะเป็นร้อนในบ่อย ๆ”
“งั้นเอาไปให้พวกเขาดื่มคนละสองแก้วแล้วกัน”
ดาร์กไม่คิดมาก เขาหาถาดหนึ่งใบและถือออกไปพร้อมกับน้ำผลไม้สี่แก้ว
ห้องของไดแอนนาอยู่ที่ห้อง 233 ห้องของโรสอยู่ที่ห้อง 234 เลขห้องของทั้งคู่จำได้ไม่ยาก
เป็นครั้งแรกที่ดาร์กเข้ามาในหอพักหญิง เขารู้สึกว่าแม้แต่พื้นก็สะอาดกว่าหอพักชาย
โชคดีที่ตอนนี้เลยสามทุ่มกว่าไปแล้ว จึงไม่มีใครอยู่ที่โถงทางเดิน
ดาร์กมาที่ห้องหมายเลข 233 ก่อน เขาเคาะประตูตามมารยาท
“ใครน่ะ?”
เสียงแผ่วเบาดังมาจากข้างใน
“ฉันเอง”
“เอ๊ะ! เอ๋?”
ดาร์กยืนอยู่นอกประตูและรออยู่สักพัก ก่อนที่ไดแอนนาจะเปิดประตูออกมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
เธอมองขึ้นไปที่ดาร์กและกระซิบว่า “มันดึกมากแล้วนะ ทำไมจู่ ๆ นายถึงมากะทันหันแบบนี้เล่า”
ดาร์กยิ้มจาง ๆ แล้วเลื่อนถาดไปข้างหน้า “ฉันทำน้ำผลไม้มาเผื่อสองสามแก้วน่ะ”
“ยังงั้นเหรอ?”
ไดแอนนาขยำมุมชุดนอนของเธอ ก่อนจะก้าวถอยหลังเปิดทางให้อีกฝ่าย
“งั้นก็เข้ามาก่อนสิ!”
“มันจะไม่เป็นไรเหรอ?”
ก่อนหน้านี้ดาร์กไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไป แต่เนื่องจากมาถึงที่แล้ว เขาคิดว่าตนเข้าไปนั่งพักสักหน่อยก็ได้
ยังไงพวกเขาก็เป็นเพื่อนกัน
อันที่จริงแล้วห้องพักของทุกคนมีขนาดเท่ากัน แต่ห้องของไดแอนนากลับเล็กกว่าห้องของดาร์กอย่างเห็นได้ชัด
เธอคงใช้คะแนนจำนวนมากในการตกแต่งห้อง ไม่เพียงแค่มีวอลเปเปอร์สีชมพูบนผนังเท่านั้น แต่มุมและชั้นวางของในห้องยังเต็มไปด้วยตุ๊กตาหมีอีกด้วย
ในขณะเดียวกัน หมีสีขาวดำที่มีโบว์ผูกอยู่ที่หูข้างหนึ่งนั้นดูจะเด่นชัดเป็นพิเศษ
เอ่อ…
“นั่นวิญญาณรับใช้ของไดแอนนาไม่ใช่เหรอ?”
ดาร์กเหลือบมองไปยังวิญญาณรับใช้แพนด้าซึ่งถูกบังคับให้สวมชุดดอกไม้ พลันรู้สึกว่าตนปฏิบัติกับรุกกี้เดวิมอนได้ค่อนข้างดีแล้ว
อย่างน้อยรุกกี้เดวิมอนก็ไม่ต้องใส่กระโปรง…
ดาร์กวางถาดลง หยิบแก้วน้ำส้มกับน้ำแอปเปิ้ลออกมาแล้วยกไปไว้ที่โต๊ะ
มีหนังสือแบบฝึกหัดวางอยู่บนโต๊ะด้วย ดูเหมือนเมื่อครู่ไดแอนนาคงกำลังทำสงครามกับมันอย่างดุเดือด
“น้ำส้มเป็นของว่างที่ดี แต่เธอไม่ควรดื่มมันมากไปนะ”
“ส่วนน้ำแอปเปิ้ลช่วยทำให้สมองสดชื่น ดื่มเล็กน้อยเมื่อเธอง่วง”
ไดแอนนาก้มตัวลงดมกลิ่นของมัน แล้วส่งน้ำส้มกลับไปให้ดาร์ก “ฉันไม่ดื่มแก้วนี้”
ดาร์กชะงัก “อ้อ โอเค”
จากนั้นไดแอนนาก็หยิบน้ำแอปเปิ้ลขึ้นมาและดื่มหมดในอึกเดียว
หลังจากนั้นไม่นาน ดวงตาของเธอพลันสว่างขึ้นและรู้สึกสมองปลอดโปร่งชัดเจน “สดชื่นมาก ตอนนี้ฉันรู้สึกสมองโล่งขึ้นเยอะเลย”
ดาร์กยิ้มเล็กน้อย “เธออยากได้น้ำลูกแพร์ดับร้อนในหน่อยไหม?”
“เฮ้! เฮ้!” ไดแอนนากลอกตาและชี้ไปที่ประตูถัดไป “เอาไปให้โรสเถอะ เธอเป็นร้อนในบ่อยกว่าฉันอีก”
ดาร์กพยักหน้า “ได้ เดี๋ยวฉันเอาไปให้เธอ”
ไดแอนนาพยักหน้า “อืม!”
…
ดาร์กเดินไปเคาะประตูห้องของโรสต่อ
โรสเปิดประตู โผล่หัวออกมา และเมื่อเธอเห็นดาร์ก เธอก็เชิญเขาเข้ามาด้วย
เธอสวมชุดนอนสีขาว ช่วงท้องส่วนล่างดูจะโป่งพองเล็กน้อยและริมฝีปากของเธอก็แตก เห็นได้ชัดว่าโรสกินเนื้อวัวมากเกินไปจนอาหารยังไม่ย่อย
ดาร์กหยิบแก้วน้ำส้มกับน้ำลูกแพร์ให้อีกฝ่ายไป
หลังจากกลับมาที่ห้อง ดาร์กก็เหลือบมองน้ำส้มแก้วสุดท้าย พิจารณาว่าจะดื่มดีหรือไม่ แต่สุดท้ายเขาเลือกจะดื่ม
…เมื่อออกมาจากห้องน้ำแล้ว ดาร์กก็รู้สึกสดชื่นมาก
“น้ำแอปเปิ้ลกับน้ำลูกแพร์เป็นของดีทั้งคู่ ฉันควรเก็บสำรองไว้เผื่ออนาคตสักหน่อยแล้ว”
…
เช้าวันถัดมาเป็นวันอังคาร
คาบแรกเป็นวิชาการประลอง
ศาสตราจารย์โจนส์ทราบแล้วว่า เมื่อวานนี้นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งเพิ่งจะขัดเกลาการ์ดวิญญาณใบใหม่ไป ดังนั้นเธอจึงสุ่มเลือกนักเรียนสองสามคนขึ้นมาสาธิตบนเวทีทันที
หลังจากได้ครอบครองสปิริตตัวใหม่ การประลองระหว่างนักเรียนก็ดีขึ้นกว่าตอนที่มีเพียง [สัตว์อสูรมายา] มาก
มีคนเสนอให้จัดการแข่งขันในชั้นเรียนเหมือนกับครั้งที่แล้ว
แต่ศาสตราจารย์โจนส์บอกว่ายังไม่ถึงเวลา
การ์ดวิญญาณเป็นเพียงประเภทที่ใหญ่ที่สุดในห้าประเภทของการ์ดเวทมนตร์ การแข่งขันในชั้นเรียนครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นหลังจากที่นักเรียนส่วนใหญ่ขัดเกลาการ์ดเมจิก หรือการ์ดไอเทมแรกของพวกเขาได้แล้วเท่านั้น
สำหรับการ์ดเวทสนามและการ์ดพลังอาร์คานา สองอย่างนี้เป็นของศาสตร์ขั้นสูงสุด เธอไม่ได้คาดหวังว่านักเรียนชั้นปีที่หนึ่งในเทอมแรกจะเรียนรู้มันได้
หลังจากคาบเรียนจบลง เวอร์เธอร์ก็ทำตามที่สัญญาไว้และคืนหนึ่งคะแนนที่เขาเป็นหนี้ให้กับดาร์ก
บุตรแห่งวีรบุรุษแสดงความกระตือรือร้นอยู่ตลอดในการคืนคะแนน
ดาร์กรับหนึ่งคะแนนนี้ไปอย่างเฉยเมย ขณะที่ในหัวเริ่มพิจารณาวิธีการสร้างการ์ดเมจิกหรือการ์ดไอเทมแล้ว
“บางทีฉันอาจจะใช้น้ำผลไม้ที่หมักโดยชัคคารุเป็นวัตถุดิบหลักได้”
บทที่ 79 ความสามารถที่น่าตกใจของชัคคารุ
บทที่ 79 ความสามารถที่น่าตกใจของชัคคารุ
แม้ว่าโทรลล์จะมีร่างกายที่ใหญ่โตและออร่าที่น่าสะพรึงกลัว แต่หลังจากที่เหลือค่าโจมตีเพียงเจ็ดร้อยห้าสิบหน่วย มันก็เป็นแค่เศษเนื้อต่อหน้าชัคคารุผู้ซึ่งมีพลังโจมตีสองพันสองร้อยหน่วย
“ชัคคารุ!”
ด้วยเสียงคำรามอันดุดัน ชัคคารุคว้าข้อเท้าของโทรลล์แล้วเหวี่ยงมันกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างรุนแรง!
แม้จะได้รับแรงกระแทกอันน่าสะพรึงกลัว แต่กำแพงปราสาทก็ยังคงไม่บุบสลาย มันสั่นแค่นิดหน่อยและฝุ่นก็ตกลงมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ความเป็นจริงอีกอย่างคือ โทรลล์นั้นติดอยู่ในกำแพง แขนขาของมันกางออกกว้างอย่างหมดสภาพ
หัวของมันได้รับความเสียหายมากที่สุด ทำให้หลุดออกจากสถานะ ‘คลุ้มคลั่ง’ ทันที
ในที่สุดโทรลล์ก็ไม่สามารถต้านทานคำสั่งของเวอร์เธอร์ได้อีกต่อไป และกลับเข้าไปในการ์ดทันที
ขณะเดียวกันแสงจาง ๆ บนร่างของชัคคารุก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
ชัคคารุมีสี่สกิล นอกจากสกิลติดตัว [แข็งตัว] แล้ว ค่าการใช้พลังเวทมนตร์ของแต่ละสกิลก็คือหนึ่งร้อยหน่วย และระยะเวลาของเอฟเฟกต์ก็สั้นมาก
นอกจากนี้พลังเวทมนตร์โดยรวมของมันมีเพียงเก้าร้อยหน่วย และสกิลของมันก็มีคูลดาวน์ด้วย
นี่หมายความว่าภายใต้สถานการณ์ปกติ ชัคคารุจะสามารถโจมตีได้เพียงครั้งเดียว
แต่อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงสปิริตระดับสามดาวที่สามารถอัญเชิญแบบปกติได้ ดังนั้นมันจึงคู่ควรกับการเป็นการ์ดทอง
ดาร์กเก็บเจ้าตัวน้อยกลับมาด้วยความพึงพอใจอย่างมาก
แต่ใบหน้าของเวอร์เธอร์กลับบูดบึ้ง
ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องราวจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้
แต่ถึงอย่างนั้นในใจของเวอร์เธอร์ยังคงรู้สึกผิดอย่างมาก เขาวิ่งเข้าไปหาโรเบิร์ต และถามอย่างเป็นห่วงว่าเขาได้รับบาดเจ็บหรือไม่
โรเบิร์ตโชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาแค่ตกใจกลัวเล็กน้อย
ดาร์กมองสองเพื่อนซี้ยืนกอดกันและโรเบิร์ตก็เกือบจะร้องไห้ เมื่อเห็นภาพนี้เขาก็ส่ายหัวเตรียมจะหันหลังจากไป
ส่วนเรื่องเดิมพันการประลองนั้น…
ดาร์กไม่ใช่คนที่เชื่อฟังกฎขนาดนั้น
แต่เมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็ถูกเวอร์เธอร์หยุดไว้
เวอร์เธอร์กัดฟันพูดว่า “นายชนะ แต่ครั้งหน้าฉันจะเอาคืนให้ได้!”
ดาร์กพยักหน้า “ฉันจะรอ”
สีหน้าของเวอร์เธอร์เริ่มแข็งทื่อ แต่เขายังคงจ่ายหนึ่งร้อยคะแนนตามเดิมพัน และบอกว่าอีกคะแนนหนึ่งที่เขาค้างไว้จะคืนให้ในพรุ่งนี้เช้า
เมื่อดาร์กหันหลังให้กับทั้งคู่ โรเบิร์ตที่จิตใจเพิ่งจะสงบลงก็รีบเตือนเวอร์เธอร์อย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินดังนั้น เวอร์เธอร์ก็ค่อย ๆ หยิบ [ความรักต้องห้าม] ออกมาตรวจสอบดาร์กจากด้านหลัง
ดาร์กรู้ตัวแต่เขาแสร้งทำเป็นไม่เห็น และแผ่นหลังนั้นก็ค่อย ๆ หายไปตรงหัวมุม
…
“เป็นยังไงบ้าง?” โรเบิร์ตถามพลางเช็ดน้ำตา
เวอร์เธอร์ยื่น [ความรักต้องห้าม] ให้เขาดู ค่าความชื่นชอบยังคงเป็นสี่สิบห้าหน่วย!
โรเบิร์ตประหลาดใจ “มันเปล่าประโยชน์เหรอ?”
เวอร์เธอร์พยักหน้าด้วยสีหน้าบูดบึ้ง แต่แล้วก็พูดขึ้นมาว่า “บางทีฉันอาจทำได้ไม่ดี… ให้ตายเถอะ! ฉันควบคุมสปิริตของตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
โรเบิร์ตเตือนว่า “นายกำลังดุตัวเองอยู่หรือเปล่า?”
เวอร์เธอร์ “…”
…
“ยังงั้นเองเหรอ?”
ดาร์กที่หยุดอยู่ตรงหัวมุมเมื่อครู่ พลันหันหลังและจากไปจริง ๆ ในคราวนี้
จุดประสงค์ที่แท้จริงของเวอร์เธอร์ไม่ได้ต่างไปจากที่เขาคาดไว้มากนัก อันที่จริงเมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว มันก็ค่อนข้างจะพูดไม่ออกเลยทีเดียว
ที่สำคัญ คราวนี้ดาร์กรู้ตัวทันทีว่าเวอร์เธอร์กำลังแอบตรวจสอบเขาอยู่ มันแสดงให้เห็นว่าการฝึกฝน ‘ศาสตร์แห่งจิตตั้งมั่น’ นั้นได้ผล อย่างน้อยความก้าวหน้าก็เร็วกว่าที่ศาสตราจารย์เคเซอร์คาดไว้มาก
ดาร์กเชื่อว่าในอีกไม่ช้าเขาน่าจะเข้าใจศาสตร์ลับนี้โดยสมบูรณ์
พอถึงตอนนั้น เขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลแล้วว่า [ความรักต้องห้าม] จะอ่านใจของเขาได้
อันที่จริง [ความรักต้องห้าม] ไม่ได้อันตรายสำหรับดาร์กขนาดนั้น มันส่งผลต่อเขาเพียงเล็กน้อย แต่เขาแค่มองมันเป็นภัยคุกคามเล็ก ๆ ในอนาคตเท่านั้น
เพราะยังมีวิธีการอีกมากที่สามารถแอบส่องจิตใจของผู้อื่นได้ ดาร์กจึงแค่อยากหาวิธีป้องกันไว้
‘ศาสตร์แห่งจิตตั้งมั่น’ เป็นเพียงวิธีการยับยั้งเบื้องต้นเท่านั้น และเขาจำเป็นต้องหาวิธียับยั้งที่ทรงพลังกว่านี้
…
เมื่อกลับไปถึงหอพัก ดาร์กก็เริ่มทดลองการ์ดเมจิกหมวดมหาบาปกับ [ชัคคารุ] ทันที
ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นมีประสิทธิภาพมาก แต่นอกเหนือจากระดับสติปัญญาที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแล้ว ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านความสามารถอย่างก้าวกระโดดเช่นอีบุย
ดาร์กเดาว่านี่เป็นเพราะความพิเศษของ [สัตว์อสูรมายา: อีบุย]
ไม่ใช่สปิริตทุกตัวที่จะมีปัจจัย ‘การเปลี่ยนแปลง’ เหมือนกับอีบุย
อีกอย่าง มันเป็นไปได้เช่นกันว่า [ชัคคารุ] จะไม่เข้ากับลักษณะของ [อัตตา] และ [ราคะ] หรือไม่ก็อาจเป็นเพียงเพราะศักยภาพ ‘การเปลี่ยนแปลง’ ของ [ชัคคารุ] ได้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว
หลังจากที่ดาร์กบันทึกข้อมูลการทดลองเสร็จแล้ว เขาก็ยังคงศึกษาเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับความคิดต่อไป
เวลาผ่านไปราวสองทุ่มครึ่ง เขาก็หยุดจดบันทึกและวาดชัคคารุลงบนสมุดบันทึก
แล้ววาดผลไม้ข้าง ๆ ชัคคารุ
“ใช่แล้ว ไม่แปลกใจเลยที่ฉันมักจะรู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่าง”
“สปิริตแบบชัคคารุ นอกจากการต่อสู้แล้วมันยังมีความสามารถที่สำคัญมากอยู่”
“กระดองมันเหมือนหม้อ ซึ่งสามารถละลายผลเบอร์รีแล้วใช้หมักเป็นน้ำผลไม้เบอร์รีที่เข้มข้นและอร่อยได้ และยังมีความสามารถพิเศษในการฟื้นฟูความแข็งแกร่งทางกายภาพได้ด้วย!”
“พอคิดถึงลักษณะเฉพาะของเบอร์รีแล้ว โลกนี้อาจไม่มีเบอร์รีแบบเดียวกับในโลกของ <มอนสเตอร์ขนาดพกพา> แต่ถ้าฉันแทนที่ด้วยผลไม้อื่น ๆ ฉันอาจจะสามารถหมักน้ำผลไม้ดี ๆ ได้”
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ดาร์กจึงอดไม่ได้ที่จะมองดูกองผลไม้ตรงมุมห้อง
นั่นคือผลไม้ที่เขาซื้อเพื่อสะสมการ์ดดอกไม้ ดาร์กเคยคิดหาวิธีจัดการกับพวกมันมาก่อน เพราะเขาไม่สามารถกินหมดได้คนเดียว
ตอนนี้เขาสามารถใช้พวกมันในการทดลองได้แล้ว!
และเนื่องจากเป็นการทดลอง แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะสุ่มบีบผลไม้ลงไปโดยไม่เลือกหน้า
ดาร์กแบ่งผลไม้ออกเป็นหมวดหมู่ต่าง ๆ
ได้แก่ แอปเปิ้ล มะนาว แล้วก็ลูกแพร์
เขาซื้อแต่ของพวกนี้
“งั้นเริ่มด้วยแอปเปิ้ลแล้วกัน”
ดาร์กหยิบการ์ดวิญญาณ [ชัคคารุ] ออกมาอย่างกระตือรือร้น และอัญเชิญแบบปกติ
บนกระดองของชัคคารุมีอยู่แปดรู ซึ่งยังดีที่สามารถใส่ผลไม้เข้าไปได้
เพราะถ้ามันใส่เข้าไปไม่ได้ เขาก็ยังหั่นผลไม้ให้เป็นชิ้น ๆ ได้อยู่ดี!
ดาร์กใส่แอปเปิ้ลที่หั่นเป็นชิ้นลงไปในรูเหล่านั้น
ชัคคารุซึ่งระดับสติปัญญาได้เพิ่มขึ้นสูงกว่า 3.0 บิดร่างของมันทันทีและถูกับมือของดาร์ก
“เด็กดี” ดาร์กลูบมันเล็กน้อย
หลังจากที่ชัคคารุเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการแล้ว มันก็หดตัวกลับเข้าไปในเปลือก ละลายและหมักชิ้นแอปเปิ้ลอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปไม่ถึงห้านาที แอปเปิ้ลสามผลก็ถูกหมักเป็นน้ำแอปเปิ้ลแสนอร่อย!
ดาร์กขอบคุณชัคคารุและเก็บมันเข้าไปในการ์ดชั่วคราว ในขณะที่ปล่อยให้มันฟื้นฟูพลังเวทมนตร์ที่หายไป ดาร์กก็อัญเชิญรุกกี้เดวิมอนออกมา
รุกกี้เดวิมอนบินลงจากขาตั้งนกและมองดูน้ำแอปเปิ้ลสามถ้วยบนโต๊ะ คราวนี้มันสนใจจนน้ำลายไหลย้อย
ในฐานะที่เป็นวิญญาณรับใช้ มันไม่จำเป็นต้องกินอะไรเลย แค่หมั่นกลับไปในการ์ดคัดสรรเพื่อเติมพลังเวทมนตร์ก็เพียงพอแล้ว
อย่างไรก็ตาม รุกกี้เดวิมอนเป็น <มอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่ในโลกดิจิทัล> ด้วย และมันก็มีความสามารถในการกินจริง ๆ
“เลือกดื่มสักแก้วสิ” ดาร์กบอกเจ้าตัวน้อย
รุกกี้เดวิมอนก้มหน้าลงไปยังถ้วยที่อยู่ใกล้ที่สุด และดื่มน้ำแอปเปิ้ลทั้งแก้วในคราวเดียว!
“เป็นยังไงบ้าง?” ดาร์กถามทันที
รุกกี้เดวิมอนหรี่ตาและเพลิดเพลินกับรสชาติที่ยังค้างอยู่ในคออย่างตั้งใจ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง มันก็ตอบว่า “รู้สึกสบายหัวขึ้นมากเลย”
ยืนยันได้แล้วว่า มันไม่มีสารอันตรายเจือปนเลย
ดาร์กหยิบถ้วยขึ้นมาชิมอย่างระมัดระวัง
จากนั้นสมองที่เมื่อยล้าหลังจากอ่านหนังสือมาเป็นเวลานาน พลันกลับมากระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง
“นี่มันมีผลทำให้สมองสดชื่นงั้นเหรอ?”
บทที่ 78 ดาร์ก เดม่อนเล่นกับโชคชะตา
เวอร์เธอร์มองภาพตรงหน้าอย่างตื่นเต้น เขาไม่คิดว่าเต่าแดงตัวน้อยจะยืนหยัดต่อสู้กับโทรลล์ได้
แต่หลังจากสามวินาทีนั้นเอง
โทรลล์ก็กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
ภายใต้สายตาของทั้งสาม จู่ ๆ มันก็ยกเท้าขึ้นมาจับไว้ และเริ่มกระโดดกระโหย่งกระเหย่งราวกับเป็นกระต่าย
→ ดูจากเหงื่อเย็นเยียบที่ไหลออกมาและเสียงกรีดร้องบาดหู โทรลล์ดูเจ็บปวดมากจริง ๆ!
→ แถมยังมีจุดกลม ๆ สีแดงเลือดตรงกลางฝ่าเท้าขวาด้วย!
แต่ชัคคารุผู้ซึ่งถูกโทรลล์เหยียบเข้าไป กลับมุดออกมาจากเปลือกราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“โฮก!”
หลังจากทำตัวอับอายขี้ขายหน้าแล้ว ดวงตาของโทรลล์ก็ค่อย ๆ เอ่อล้นไปด้วยสีแดงราวกับโลหิต เส้นเลือดสีน้ำเงินซึ่งหนาและยาวพลันปูดขึ้นที่ดวงตาทั้งสองข้าง และสายตาของมันที่จ้องมองไปยังชัคคารุก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป
โดยไม่รอคำสั่งของเวอร์เธอร์ โทรลล์ยกแขนที่ยาวมากของมันขึ้นและกำหมัดใหญ่สองข้างอย่างดุดัน จากนั้นก็กระโดดขึ้นกลางอากาศ แล้วง้างหมัดกระแทกลงมาเต็มสูบ
ตู้ม!
ชัคคารุกระเด้งกระดอนขึ้นลงเหมือนลูกยางบอลทันที
ตอนที่การโจมตีมาถึง มันหดตัวเข้าไปในกระดองอย่างรวดเร็ว ทำให้แทบไม่มีรอยขีดข่วนบนกระดองเต่าสีแดงเลย
สองเพื่อนซี้ไม่เคยเห็นความรุนแรงระดับนี้มาก่อน
โรเบิร์ตตกตะลึงจนลืมหน้าที่ผู้ตัดสินไปอย่างสิ้นเชิง
เวอร์เธอร์ยังดีกว่าเล็กน้อย แต่ก็ยังตกใจเกินกว่าจะพูด
เขารู้แค่ว่านี่คือโทรลล์ของเขา!
โทรลล์ที่ทรงพลัง เชื่อถือได้ และอยู่ยงคงกระพัน!
ปัง! ปัง! ปัง!
โทรลล์ไม่หยุดมือ มันทุบชัคคารุซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
มีเพียงดาร์กที่อยู่ข้างหน้าเท่านั้น ที่เห็นว่าใต้ล่างฝ่ามือของมันแดงเถือกและบวมอย่างผิดปกติแล้ว
แต่ไม่เหมือนกับตอนที่ส่งเสียงกรีดร้อง โทรลล์ในตอนนี้ดูเหมือนจะเข้าสู่สถานะคลุ้มคลั่งแล้ว?
เห็นได้ชัดว่ามันสูญเสียความรู้สึกเจ็บปวดไป ถึงได้โจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยเปล่าประโยชน์แบบนี้
ใช่แล้ว
ในสายตาของเวอร์เธอร์ โทรลล์นั้นกล้าหาญและไร้เทียมทาน แต่ในสายตาของดาร์ก มันช่างโง่เขลามาก
เห็นได้ชัดว่าชัคคารุนั้นตัวเล็กและมีน้ำหนักเบามาก อีกอย่าง พลังโจมตีของมันคือศูนย์ แค่หยิบขึ้นมาแล้วขว้างทิ้งไปจะไม่ง่ายกว่าเหรอ?
ทำไมถึงต้องทุบเอา?
แต่ท้ายที่สุดแล้ว โทรลล์ก็ขึ้นชื่อเรื่องความโง่เขลา ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่เข้าใจกันได้
ดาร์กมองศึกตรงหน้าอย่างสงบนิ่ง
เขาเรียนรู้จากตำราเรียนว่า พลังโจมตีและพลังป้องกันที่แสดงบนการ์ดวิญญาณสามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงได้ แต่มันก็เป็นเพียงข้อมูลอ้างอิงเท่านั้น
สปิริตแต่ละประเภทมีพลังโจมตีและพลังป้องกันที่แตกต่างกันตามสถานการณ์ของตัวมันเอง
เช่นเดียวกับชัคคารุ มันมีเพียงกระดองแข็งซึ่งค่าพลังป้องกันสูงสุดถึงสองพันสองร้อยหน่วย แต่ร่างกายภายในของมันกลับค่อนข้างบอบบาง
และต่อให้เป็นกระดอง ก็ไม่ใช่ทุกส่วนที่จะมีพลังป้องกันสองพันสองร้อยหน่วยได้
จอมเวทผู้ทรงพลังทุกคนล้วนเข้าใจสปิริตของตัวเองเป็นอย่างดี และนั่นทำให้พวกเขาสามารถดึงจุดที่แข็งแกร่งออกมาใช้ในการต่อสู้ได้ดี
มาตอนนี้ ภายใต้การทุบของโทรลล์ พลังป้องกันของชัคคารุก็ค่อย ๆ เผยออกมาทีละนิด
และหลังจากการทุบตีอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งนาที
ชัคคารุก็ยังคงปลอดภัย
แต่แทนที่จะท้อแท้ โทรลล์กลับโกรธมากขึ้น
“พอแล้ว โทรลล์! ใช้มือของนายจับมันไว้!”
เวอร์เธอร์ซึ่งจมอยู่ในความปีติยินดี ในที่สุดก็สงบลงหลังจากผ่านไปหนึ่งนาทีเต็ม
เด็กชายรีบออกคำสั่งที่ดีที่สุดที่เขานึกออกมาได้
เมื่อได้ยินคำสั่ง โทรลล์ก็แข็งทื่ออยู่ที่เดิมเป็นเวลาครึ่งวินาที จากนั้นมันก็กางฝ่ามือที่บวมแดงออก แล้วตบลงไป!
“แบ่งพลัง”
ในที่สุดเสียงของดาร์กก็ดังขึ้น
ชัคคารุน้อยซึ่งถูกทุบตีอยู่ฝ่ายเดียวมานานกว่าหนึ่งนาที พลันเลิกดวงตาอันเรียวรีของมันขึ้น
ตอนที่ฝ่ามือของโทรลล์เกือบจะถึงตัวของเจ้าเต่าน้อย ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายก็ถูกแบ่งออกเท่า ๆ กัน
หลังจากนั้น ชัคคารุก็ยกขาขึ้นและป้องกันการตบของโทรลล์ได้สำเร็จ!
ฉากนี้ทำเอารอบข้างหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
โทรลล์หอบหายใจอย่างหนัก ใบหน้าของมันเริ่มน่าเกลียด
“โทรลล์ ดาบสอง—”
เมื่อเห็นว่าโทรลล์ไม่สามารถทำอะไรกับชัคคารุได้จริง ๆ เวอร์เธอร์จึงสั่งให้มันใช้ท่าไม้ตาย [ดาบสองคม] ทันที
แต่คราวนี้ โทรลล์หันกลับมาจ้องมองเจ้านายอย่างดุเดือดด้วยดวงตาสีแดงเลือดทันที และกลิ่นอายที่ดุร้ายของมันก็ควบคุมไม่ได้อีกต่อไป
เวอร์เธอร์รู้สึกเย็นเยียบไปทั้งหัวใจ และคำสั่งเขาก็ถูกขัดจังหวะโดยฝ่ายตรงข้าม
ดาร์กถามขึ้นอย่างแผ่วเบา “กาวด์ โทรลล์ของนายมีสกิลอย่างคลุ้มคลั่งไหม?”
“คลุ้มคลั่งเหรอ? ไม่มีหรอก มันเป็นแค่การ์ดสีฟ้า—”
เวอร์เธอร์ยกมือขึ้น แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
การ์ดวิญญาณ [โทรลล์] ซึ่งเดิมเปล่งแสงสีน้ำเงิน ตอนนี้กลับถูกห่อหุ้มด้วยรัศมีสีม่วง!
และในบรรดาข้อมูลที่เขาได้รับหลังจากใส่พลังเวทมนตร์เข้าไป ก็ทำให้เห็นมันว่ามีสกิล ‘คลุ้มคลั่ง’!
“ไม่นะ!”
หัวใจของเวอร์เธอร์เดินช้าลงไปครึ่งจังหวะ
จากนั้น…โทรลล์พลันเข้าสู่สถานะคลุ้มคลั่งอย่างสมบูรณ์!
“โฮก–!!!”
มันกางแขนออกด้วยใบหน้าที่น่าสะพรึงกลัว และปากก็อ้าออกกว้างเผยให้เห็นเขี้ยวที่แหลมคม
แต่แล้วจู่ ๆ มันก็หันไปมองโรเบิร์ตที่ยืนอยู่ข้างสนาม
บางทีอาจเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่หวาดกลัวผู้แข็งแกร่ง แต่ชอบรังแกผู้อ่อนแอ
แม้แต่โทรลล์ที่ตกอยู่ในสถานะ [คลุ้มคลั่ง] อย่างสมบูรณ์ก็ยังมองออกว่าโรเบิร์ตเป็นผู้อ่อนแอที่สุดในที่นี้
โรเบิร์ตอาจไม่คิดว่า ตนที่ยืนอยู่ข้างสนามในฐานะผู้ตัดสินจะกลายเป็นเป้าหมายของมัน
เด็กชายแสดงสีหน้าหวาดกลัวและล้วงเอา [สัตว์อสูรมายา: ปราสาท] ออกมาจากซองการ์ดในที่สุด ทว่าริมฝีปากของเขายังคงสั่น ทำให้ไม่สามารถใช้คาถาอัญเชิญแบบปกติได้
และโทรลล์ก็ไม่ยอมให้เวลาโรเบิร์ตเพิ่ม
เงาดำขนาดใหญ่พลันเข้ามาบดบังวิสัยทัศน์ของโรเบิร์ต รูม่านตาของเด็กชายขยายออกอย่างรวดเร็ว เขามัวแต่ตกตะลึงกับกลิ่นอายอันดุร้ายของโทรลล์หลังจากที่มันตกอยู่ในสถานะคลุ้มคลั่ง และลืมแม้กระทั่งว่าต้องหนีไปเสียด้วยซ้ำ
“วะ… เวอร์เธอร์…”
เขาถอยกรูดไปชิดกำแพง เกือบจะร้องไห้ออกมา
“ไม่ต้องกลัว โรเบิร์ต ฉันจะเก็บมันกลับไปเดี๋ยวนี้!”
เวอร์เธอร์รีบโบกการ์ดวิญญาณ [โทรลล์] พยายามดึงโทรลล์กลับเข้าไปในการ์ด
แต่คำสั่งของเขาไม่ได้รับการตอบสนอง
โทรลล์เอื้อมมือออกไปและคว้าโรเบิร์ตเอาไว้ในมือ
แต่เมื่อกำลังจะขว้างโรเบิร์ตออกไป มันกลับหยุดนิ่งเสียดื้อ ๆ
ชัคคารุน้อยใช้ขาเล็ก ๆ ยกเท้าของโทรลเหมือนยกรถขึ้นด้วยแม่แรง
ร่างของโทรลล์เริ่มไม่สมดุล มันเอนตัวไปข้างหน้า ก่อนหัวของมันจะพุ่งชนเข้ากับกำแพง
โรเบิร์ตพบว่านิ้วที่จับเขาหลวมลงแล้ว จึงดิ้นหลุดออกอย่างรวดเร็ว
ดาร์กมองดูโทรลล์ด้วยความสนใจ และพลันฉุกคิดว่านี่อาจเป็นฉากที่ทำให้ตัวเอกทั้งสามคนกลายเป็นเพื่อนกันในตอนแรกของ <ภาพยนตร์แนวโรงเรียนเวทมนตร์>
และตัวเขาเองก็เข้ามาแทนที่บทบาทของเอ็มม่าในกรณีนี้
แต่ดาร์กส่ายหัวอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นโลกปกติ และมันไม่น่าจะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘สคริปต์’ อยู่ โชคชะตาควรถูกขีดเขียนด้วยน้ำมือของพวกเขาเอง
เหตุการณ์นี้อาจเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเสียมากกว่า
ด้วยสกิล ‘ลูกหลอก’ ชัคคารุตัวน้อยจึงได้กลายเป็นชัคคารุตัวใหญ่ที่มีพลังโจมตีสองพันสองร้อยหน่วยทันที จากนั้นมันก็จับเท้าของโทรลล์ไว้
บทที่ 77 หัวใจที่เมตตาของดาร์ก เดม่อน
“เดี๋ยวก่อน!”
สีหน้าของเวอร์เธอร์เปลี่ยนไป เขาดึงโรเบิร์ตไปที่มุม ๆ หนึ่งอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองคนหยิบการ์ดคัดสรรออกมาตรวจสอบกฎดังกล่าวอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเวอร์เธอร์ก็กระซิบ “เราจะทำยังไงดีโรเบิร์ต? มีกฎนี้อยู่จริง ๆ ด้วย แบบนี้ไม่ใช่ว่า…สถาบันสนับสนุนการเล่นพนันจริง ๆ เหรอ?”
โรเบิร์ตคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ฉันก็ไม่รู้ แต่ได้ยินข่าวลือมาบ้าง”
เวอร์เธอร์ถาม “ข่าวลืออะไร?”
โรเบิร์ตพยายามลดเสียงลงให้เบาที่สุด “สถาบันของเราดูเหมือนจะเป็นเจ้ามือพนันรายใหญ่ที่สุดที่อยู่เบื้องหลังการประลอง…”
เวอร์เธอร์รีบหยุดเพื่อนสนิททันที “อย่าพูดไร้สาระน่า ถ้าศาสตราจารย์ได้ยินเข้า เราจะ… เฮ้อ เราควรไปท้าต่อไหมเนี่ย? จะว่าไป นายคิดแบบนั้นจริง ๆ เหรอ? …ว่าตราบใดที่เราแสดงความแข็งแกร่งออกมา เราจะสามารถเพิ่มความชื่นชอบของเขาได้”
โรเบิร์ตตอบอย่างหนักแน่น “แน่อยู่แล้ว! ดาร์กเป็นบุตรชายคนเดียวของดัชเชส แถมเขายังเป็นขุนนางด้วย ดังนั้น การที่เขาจะหยิ่งไปบ้างมันก็เป็นเรื่องปกติ เขาอาจดูเข้าถึงได้ง่ายเวลาคุยกับเรา แต่ที่จริงแล้ว…”
เวอร์เธอร์สงสัย “ที่จริงแล้วอะไร?”
โรเบิร์ตตอบ “นี่คือเรื่องที่ฉันได้ยินมาจากเพื่อนของพ่อนะ คนประเภทนี้จริง ๆ แล้วเป็นคนปากว่าตาขยิบ เหตุผลที่พวกเขาดูใจดีก็เพราะพวกเขาไม่ใส่ใจคนอื่นเหมือนแมวเหมือนหมา โดยธรรมชาติแล้วพวกเขาจึงไม่สนแม้กระทั่งจะโกรธเราด้วยซ้ำ”
เวอร์เธอร์ประหลาดใจ “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?”
โรเบิร์ตยืนยัน “ไม่งั้นนายจะอธิบายเรื่องที่ว่ายังไงเล่า ผ่านมาหลายวันแล้ว ค่าความชื่นชอบของเขาที่มีต่อนายไม่ได้เพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่กลับอยู่นิ่ง ๆ ที่สี่สิบห้าหน่วยเท่านั้น?”
เวอร์เธอร์เห็นด้วย “นี่มันก็…มีเหตุผล!”
โรเบิร์ตเสริมต่อ “เพราะงั้นนะ ไม่ว่านายจะชนะหรือแพ้ ตราบใดที่นายแสดงความแข็งแกร่งออกมาได้ มันจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน หากนายต้องการปลดล็อกความชื่นชอบแปดสิบหน่วย นายก็ต้องจ่ายมัน”
เวอร์เธอร์ถามทันทีว่า “แล้วคะแนนของเราล่ะ”
โรเบิร์ตหน้าเศร้าทันที “โทษที ฉันมีแค่หกสิบแปดคะแนน”
เวอร์เธอร์ “…”
…
ดาร์กเอนตัวพิงกำแพงขณะรอสองคนนั้น เขาตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้ประลองกับเวอร์เธอร์แล้ว
ท้ายที่สุด เขาก็ต้องการทดสอบความสามารถของ [ชัคคารุ]
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวอร์เธอร์และโรเบิร์ตเดินกลับมา ทั้งคู่ก็ดูเขินอายเป็นอย่างมาก
บุตรแห่งวีรบุรุษพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง และสุดท้ายก็พูดว่า “ขอยืมหนึ่งคะแนนหน่อยได้ไหม?”
…
ขอยืมหนึ่งคะแนน?
ดาร์กมึนงง “พวกนายมีแค่เก้าสิบเก้าคะแนนงั้นเหรอ?”
“อ่า แฮะ ๆ…” เวอร์เธอร์เกาหัวอย่างเขินอาย “เราเพิ่งซื้อวัตถุดิบไปน่ะ”
เดี๋ยวก่อนนะ พวกนายไม่ได้ไปซื้อวัตถุดิบของตัวเองที่ร้านสิบคะแนนหรอกเหรอ?
แต่ก็อย่างที่คนเขาว่า ‘ความจริงบางเรื่องไม่ต้องพูดออกมาก็ได้’*[1]
ดาร์กไม่ได้โง่
เขาตอบอย่างช่วยไม่ได้ “ฉันไม่ใช่คนที่ใครคนอื่นมาขอยืมคะแนนแล้วจะปฏิเสธหรอกนะ”
แต่ทันทีที่ดาร์กพูดแบบนี้ สีหน้าของเวอร์เธอร์ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ก่อนจะพูดว่า “เดี๋ยวก่อนนะ” เขาดึงโรเบิร์ตและวิ่งกลับไปที่มุมห้อง…อีกครั้ง
…
เวอร์เธอร์กระซิบ “โรเบิร์ต นายว่าถ้าตอนนั้นพวกเรามาขอยืมคะแนนดาร์ก เรื่องมันจะง่ายมากขึ้นเลยใช่ไหม?”
โรเบิร์ตก็เหมือนเพิ่งรู้สึกตัว “ใช่เลย!”
เวอร์เธอร์เสริม “ยกตัวอย่างเช่น ถ้าฉันมีคะแนนติดตัวสิบคะแนน แล้วมีคนต้องการยืมห้าคะแนนจากฉัน ปกติฉันจะไม่เต็มใจให้แน่นอน แต่ถ้าฉันมีหนึ่งพันคะแนนล่ะ”
โรเบิร์ตค้าน “ใจเย็นก่อน ตอนนั้นเราไม่ได้สนิทกับเขานะ!”
เวอร์เธอร์รีบตอบโต้ “ไม่ใช่อย่างนั้น ก็เหมือนกับการเปรียบเทียบที่นายบอก มันก็เหมือนกับเราเห็นหมาแมว เราก็ให้อาหารพวกมันโดยไม่หวังผลตอบแทนอยู่แล้ว”
โรเบิร์ตรีบห้ามความคิดเวอร์เธอร์ “เวอร์เธอร์ ได้โปรดอย่ารู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยขนาดนั้น โอเคไหม?”
เวอร์เธอร์ “…”
โรเบิร์ตเสริม “อันที่จริง ถ้าเราไปยืมคะแนนจากดาร์ก ไม่แน่เราอาจจะสูญเสียมากกว่านี้ก็ได้ หยุดคิดเรื่องนี้กันเถอะ”
เวอร์เธอร์ตอบ “อืม!”
…
หลังจากนั้นไม่นาน
เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตก็กลับมาหาดาร์กอีกครั้ง
แต่เดิมดาร์กอยากจะบอกว่าการยืมคะแนนจากคนอื่น เพื่อมาต่อสู้กับคนคนนั้นจะฟังดูงี่เง่าเล็กน้อย ทำไมไม่กลับมาใหม่ในวันพรุ่งนี้ล่ะ แล้วก็อย่าลืมสิว่าการเรียนก็สามารถเพิ่มคะแนนได้!
แต่เวอร์เธอร์กลับแสดงสีหน้าราวกับจะบอกว่า ‘ฉันพร้อมแล้ว เข้ามาเลย!’
ดาร์กรู้สึกหมดหนทาง และยอมให้หนึ่งคะแนนแก่เขา
ขอยืมเงิน…เพื่อจะคืนเงินนั้นกลับมาอีกที ช่างแปลกคนเสียจริง
ดาร์กเอ่ยปากถาม “แล้วเราจะไปประลองกันที่ไหนกันดี? ห้องโถงประลองไหม?”
เวอร์เธอร์โบกมืออย่างรวดเร็ว “ที่นั่นมีคนเยอะเกินไป หาสักมุมของปราสาทเป็นไง?”
ดาร์กพยักหน้า “ก็ได้”
ดังนั้นทั้งสามจึงตรงไปที่มุม ๆ หนึ่งของปราสาทในชั้นหนึ่ง
ปราสาทแบบนี้ย่อมมีหลายมุมที่ไม่มีใครสนใจ
โรเบิร์ตกล่าวว่า “ฉันจะเป็นผู้ตัดสินเอง วิธีการประลองเอาเป็นโหมดขั้นสูงและใช้สปิริตได้ตัวเดียวเท่านั้น หากสปิริตของฝ่ายไหนหมดสภาพก่อนจะถือว่าฝ่ายนั้นแพ้ เดิมพันคือหนึ่งร้อยคะแนนโดยมีการ์ดคัดสรรเป็นพยาน มีฝ่ายใดจะคัดค้านหรือไม่?”
“ไม่มีคำคัดค้าน”
“ไม่มีคำคัดค้าน”
สัญญาพลันปรากฏขึ้น
การ์ดคัดสรรของทั้งสามบันทึกการท้าทายนี้เอาไว้
ดาร์กหวังที่จะทดสอบสกิลของ [ชัคคารุ] ดังนั้นเขาจึงเอามันออกมา
และแน่นอนว่าเวอร์เธอร์ก็ดึง [โทรลล์] ออกมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ
แม้ปากจะบอกว่าไม่สนใจเรื่องแพ้ชนะในตอนที่คุยกับโรเบิร์ต แต่เอาเข้าจริงแล้ว เวอร์เธอร์คิดแบบนั้นเสียที่ไหน?
นี่เป็นการประลองเลยนะ ดังนั้นเขาต้องชนะ!
ทั้งสองขยับห่างจากกันประมาณห้าเมตร แต่ละคนถือการ์ดวิญญาณไว้ในมือ
โรเบิร์ตตะโกนเสียงดัง “3 2 1 เริ่มได้!”
ช่วงเวลาแห่งการต่อสู้เริ่มต้นขึ้นทันที!
สีหน้าของดาร์กและเวอร์เธอร์เปลี่ยนไปแทบจะพร้อมกัน
“ในนามของดาร์ก เดม่อน [ชัคคารุ] จงออกมา!”
ดาร์กโบกมือไปมาอย่างราบรื่น เสร็จสิ้นการอัญเชิญแบบปกติในเวลาเพียงหกวินาที
ชัคคารุ ผู้ซึ่งไม่ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ตั้งแต่กำเนิด กลายสภาพเป็นตัวเป็นตนเมื่อร่อนลงสู่พื้น มันเป็นวิญญาณดวงเล็ก ๆ ที่ดูไม่มีพลังอะไรเลย
“โฮก!”
วินาทีต่อมา
โทรลล์ที่ถูกอัญเชิญโดยเวอร์เธอร์ก็ตกลงบนพื้น และคำรามใส่ชัคคารุ!
กลิ่นเหม็นพวยพุ่งออกมาจากปากของมัน ทำให้พื้นที่ตรงนั้นบิดเบี้ยวราวกับระลอกคลื่นซัดกระแทกออกมา
แม้ว่าโทรลล์จะสูงเกือบสี่เมตรและเป็นสปิริตระดับสามดาว แต่ค่าพลังของมันในทุกด้านนั้น มีการกระจายกันอย่างเท่าเทียมกันซึ่งนับว่าทรงพลังพอตัว
[ชื่อการ์ด: โทรลล์]
[ประเภท: การ์ดวิญญาณ]
[ระดับ: ✪✪✪]
[เผ่าพันธุ์: อมนุษย์]
[คุณสมบัติ: ปกติ]
[พลังเวทมนตร์: 1200 หน่วย]
[พลังโจมตี: 1500 หน่วย]
[พลังป้องกัน: 1400 หน่วย]
[ท่าไม้ตาย: ดาบสองคม]
พลังโจมตีของมันเป็นค่าสูงสุดของการ์ดระดับสามดาวแบบปกติ ส่วนค่าพลังเวทมนตร์และพลังป้องกันก็ไม่อ่อนแอเช่นกัน ถือเป็นสปิริตทั่วไปที่ได้รับการศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนโดยจอมเวทแล้ว
‘ธรรมดา’ ไม่ได้หมายความว่าอ่อนแอ ตรงกันข้าม มันมีความหมายเดียวกับคำว่าแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะทรงพลังมากพอและยังใช้งานง่าย มันจึงปรากฏตัวบ่อยครั้งในการแข่งขันการประลอง
และในฐานะที่เป็นการ์ดธรรมดา โทรลล์จึงแทบไม่มีจุดอ่อนเลย
มันเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการขยายจำนวนการ์ดในเด็ค
และท่าไม้ตาย [ดาบสองคม] สามารถสร้างความเสียหายอย่างหนักแก่ศัตรู ด้วยการลดพลังเวทมนตร์สูงสุดของมันลงครึ่งหนึ่ง!
เมื่อได้เห็นโทรลล์แสดงพลังที่เหนือชั้นออกมา ทั้งเวอร์เธอร์และโรเบิร์ตก็อดตื่นเต้นไม่ได้
“ไปเลย โทรลล์!”
ภายใต้คำสั่งของเวอร์เธอร์ โทรลล์ขยับต้นขาหนา ๆ ของมันทันที และก้าวเข้าไปหาชัคคารุที่มีขนาดตัวเท่ามด หลังจากผ่านไปเพียงสองหรือสามก้าว มันก็มาอยู่ตรงหน้าชัคคารุแล้ว
จากนั้นโทรลล์ก็ยกฝ่าเท้าขึ้นสูงและเหยียบเจ้าตัวน้อยทันที!
ตู้ม!
ฝุ่นคละคลุ้งปกคลุมไปทั่วบริเวณ
“ฉันชนะแล้วใช่ไหม?”
*[1] 人艰不拆 คำแสลงจีน มีความหมายเชิงว่า คนอื่นเขาลำบากมามากพอแล้ว ความจริงบางเรื่องไม่ต้องพูดออกมาก็ได้ มักใช้ในบทสนทนาตอบโต้เมื่อผู้อื่นพูดความจริงอันน่าสะเทือนใจออกมา
บทที่ 76 เวอร์เธอร์ กาวด์โป๊ะแตก
ปากของศาสตราจารย์กระตุก แต่ยังคงอธิบายให้ฟัง “ดูจากข้อมูลแล้ว ชัคคารุเป็นสปิริตที่หายากมาก จึงไม่เคยมีใครสามารถหาวิธีขัดเกลาแบบตายตัวเพื่อสร้างมันขึ้นมาได้ ความหายากของมันส่วนใหญ่เป็นเพราะค่าพลังป้องกันสองพันสองร้อยหน่วย นี่คือขีดจำกัดสูงสุดที่จอมเวทฝึกหัดสามารถทำได้”
ดาร์กพยักหน้าเล็กน้อย
ปกติแล้ว พลังโจมตีและป้องกันสูงสุดของการ์ดวิญญาณสามดาวควรจะเป็นหนึ่งพันห้าร้อยหน่วย
หนังสือเรียนได้กำหนดพลังโจมตีและพลังป้องกันสูงสุดของสปิริตในแต่ละระดับดาวไว้อย่างชัดเจน
1 ดาว 500 หน่วย
2 ดาว 1,000 หน่วย
3 ดาว 1,500 หน่วย
4 ดาว 2,000 หน่วย
5 ดาว 2,500 หน่วย
6 ดาว 3,000 หน่วย
7 ดาว 3,500 หน่วย
8 ดาว 4,000 หน่วย
9 ดาว 4,500 หน่วย
…
พลังโจมตีและพลังป้องกันที่สูงเหล่านี้ มีความเป็นไปได้คือจะต้องสละค่าพลังใดค่าพลังหนึ่งไป
แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่เสมอ…
[ชัคคารุ] เป็นหนึ่งในนั้น
ในฐานะที่เป็นสปิริตระดับสามดาว สิ่งที่ [ชัคคารุ] ทิ้งไปมีมากกว่าค่าพลังโจมตี
จุดอ่อนของมันชัดเจนมาก ทั้งความเร็วที่อยู่ในระดับต่ำและขนาดตัวที่เล็กเพียง 0.6 เมตร ทำให้มันไม่สามารถเป็นเกราะป้องกันได้
ดังนั้นแม้ว่า [ชัคคารุ] จะหายาก แต่มันก็มีประโยชน์ไม่มากอยู่ดี
แต่สกิลทั้งสี่ของมันกลับใช้งานได้จริง
[แข็งตัว: สกิลติดตัว สปิริตที่มีสกิลนี้จะไม่ถูกฆ่าตายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว]
[แบ่งพลัง: ใช้พลังจิตเพื่อรวมค่าพลังโจมตีของตัวเองกับคู่ต่อสู้ แล้วแบ่งเท่า ๆ กัน]
[แบ่งการป้องกัน: ใช้พลังจิตเพื่อรวมค่าพลังป้องกันของตัวเองกับคู่ต่อสู้แล้วแบ่งเท่า ๆ กัน]
[ลูกหลอก: ใช้พลังจิตเพื่อสลับพลังโจมตีและพลังป้องกัน]
ด้วยสกิลทั้งสี่นี้ของชัคคารุ แม้ว่าจะไม่ใช่โล่เนื้อที่มีคุณสมบัติครบถ้วน แต่ก็สามารถกลายเป็นสปิริตที่มีคุณสมบัติเหมาะสมได้
ในการแข่งขันประลองปกติ มันจะกลายเป็นฝันร้ายของศัตรูอย่างแน่นอน!
…
แน่นอนว่าดาร์กไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลสกิลของ [ชัคคารุ] ได้
มีแค่พลังเวทมนตร์ พลังโจมตี และพลังป้องกันของสปิริตเท่านั้นที่จะแสดงบนพื้นผิวการ์ด ในขณะที่สกิลทั้งหมดถูกซ่อนไว้
แม้ว่าศาสตราจารย์เคเซอร์จะอยากรู้มากขึ้นอีก แต่เขาก็ไม่ได้สำรวจเพิ่มเติม
อาจารย์เพียงยิ้มเล็กน้อย “เดม่อน เทพธิดาแห่งโชคลาภชอบเธอมากจริง ๆ”
ดาร์กพยักหน้า “ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันครับ”
…
หลังจากทำของตัวเองเสร็จ ดาร์กก็เริ่มหันไปสังเกตวิธีการขัดเกลาของคนอื่นบ้าง
อาจเป็นเพราะมีประสบการณ์จากการขัดเกลาการ์ดวิญญาณ [สัตว์อสูรมายา] จอมเวทฝึกหัดจึงทำได้ดีขึ้นในคาบนี้ และหลายคนถึงกับขัดเกลาการ์ดวิญญาณได้สำเร็จ
คนที่สองที่ประสบความสำเร็จต่อจากดาร์กคือ เอ็มม่า
เนื่องจากเอ็มม่าไม่ได้อัญเชิญสปิริตของเธอออกมาในชั้นเรียน ดาร์กจึงไม่รู้ว่า [โกลเดนบีสต์] ที่เธอขัดเกลาได้คืออะไร
มีสปิริตหลายประเภทซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้มีบันทึกไว้ในหนังสือ
แต่ที่สะดุดตาที่สุดในชั้นเรียนนี้คือ บุตรแห่งวีรบุรุษ!
เวอร์เธอร์ขัดเกลาได้สำเร็จพร้อมกับเสียงระเบิด
เมื่อทุกคนหันไปมองเหตุการณ์นี้ ก็เห็นเขาหยิบการ์ดเวทมนตร์ที่เสร็จแล้วออกจากกองขี้เถ้าด้วยใบหน้าดำเมื่อม!
บางทีเด็กชายอาจอดใจรอไม่ไหวที่จะได้เห็นว่าสปิริตของเขาเป็นอย่างไร เวอร์เธอร์จึงอัญเชิญมันออกมาทันทีจากด้านหลังของห้องเรียน
ปรากฏว่าเป็นโทรลล์!
ยักษ์ที่มีความสูงเกือบจรดเพดานห้อง เมื่อมันยืนตัวตรงก็ส่งเสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัวออกมาทันที!
โฮก!
เวอร์เธอร์เช็ดขี้เถ้าออกจากใบหน้า ก่อนเผยให้เห็นฟันขาวเรียงตัว เขาเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นเต้น
“ถ้าฉันมีสิ่งนี้ ฉันจะไม่หลงทางในทางลับ…”
โรเบิร์ตสับสน “เวอร์เธอร์ นายกำลังพูดถึงอะไรอยู่เนี่ย?”
“ไม่มีอะไร” เวอร์เธอร์หัวเราะ “นายไม่คิดว่าโทรลล์ของฉันเจ๋งบ้างเหรอ?”
โรเบิร์ตอดปิดจมูกไม่ได้ “ฉันไม่รู้ว่ามันเจ๋งหรือเปล่า แต่มันดูไม่ค่อยฉลาดเลย ว่าไหม?”
เวอร์เธอร์พูดอย่างมีความสุขว่า “โทรลล์ทุกตัวก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ? ไม่มีสมอง แต่แข็งแรง หนังหนา และการมีสติปัญญาต่ำก็ไม่ใช่จุดอ่อน เพราะฉันคือสมองของมัน”
โรเบิร์ตตอบ “นั่นก็จริง”
ตอนที่ทั้งสองกำลังคุยกัน ศาสตราจารย์เคเซอร์ก็เดินเข้ามาแล้ว “กาวด์ เธอจะอัญเชิญโทรลล์ในห้องเรียนไม่ได้นะ”
เวอร์เธอร์รีบบอก “ผมจะเก็บมันไปเดี๋ยวนี้ครับ”
ทว่าตอนนี้ทั้งชั้นเรียนกำลังคุยกันว่า บุตรแห่งวีรบุรุษสร้างการ์ดเวทมนตร์ออกมาเป็นโทรลล์ได้อย่างไร
โทรลล์เป็นการ์ดวิญญาณระดับสามดาว ที่มีทั้งพลังการโจมตีและพลังป้องกันที่ดี ซึ่งส่วนใหญ่มักพบเห็นได้ในสนามประลอง
สิ่งนี้ทำให้เวอร์เธอร์รู้สึกภูมิใจในตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย
…
แน่นอนว่า ดาร์กกังวลกับสปิริตที่ไดแอนนาขัดเกลาออกมามากกว่า [โทรลล์] ของเวอร์เธอร์เสียอีก
มันคือ [ไกอาแบร์] หมีสีน้ำตาล!
สมกับเป็นสมาชิกตระกูลของหมีแห่งอาณาจักร เธอมีความผูกพันกับหมีจริง ๆ!
ไดแอนนาถือการ์ดวิญญาณของเธออย่างมีความสุข และหมุนตัวอวดไม่หยุด
ดาร์กทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมเธอ เหมือนกับเกลี้ยกล่อมเด็กเล็ก
โรสที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็เพิ่งขัดเกลาครั้งที่สองเสร็จสิ้น ก่อนที่ชั้นเรียนจะจบลง
มันเป็นสปิริตกระต่ายเหมือนกับ [สัตว์อสูรมายา: กระต่ายหิมะ] และดูเหมือนจะมีสกิลฟื้นฟู
…
คาบเรียนนี้นับเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่สำหรับนักเรียนชั้นปีหนึ่ง
นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งส่วนใหญ่มีสปิริตตัวแรกที่สามารถอัญเชิญออกมาในเกมได้แล้ว
ตอนนี้พวกเขาได้เรียนรู้วิธีขัดเกลาการ์ดวิญญาณแล้ว ในภายหลังพวกเขาย่อมสามารถพึ่งพาความสามารถของตนเอง โดยซื้อวัตถุดิบและนำไปขัดเกลาเองได้ในอนาคต
แทบจะพูดได้เลยว่านับจากนี้เป็นต้นไป พวกเขากำลังเริ่มต้นกันแล้วจริง ๆ
…
แต่สิ่งที่ทำให้ดาร์กประหลาดใจก็คือ ทันทีที่คาบเรียนวิชาปรุงยาในบ่ายวันนี้จบลง เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตก็เข้ามาหาเขาและขอท้าประลอง!
ดาร์กรู้สึกประหลาดใจในจุดนั้น
แม้ว่าเขาจะคุ้นเคยกับกฎเกณฑ์ของสถาบัน และรู้ว่าสถาบันสนับสนุนการประลองกันอย่างเป็นทางการระหว่างนักเรียนมาก แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจเจตนาของเวอร์เธอร์
‘เป็นไปได้ไหมที่เวอร์เธอร์ได้วิวัฒนาการไปเป็นตัวเอกในนิยายกำลังภายใน และค้นพบเอกลักษณ์ของตัวเอกนิยายกำลังภายในที่อยู่ในตัวเองแล้ว ซึ่งนั่นก็คือ เพิ่มความแข็งแกร่ง → อวดแล้วโดนตบหน้า → เพิ่มความแข็งแกร่ง → อวดแล้วโดนตบอีกครั้ง → …สุดท้ายก็กลายเป็นเหยื่อของการโดนตบหน้า?’
ดาร์กถามด้วยสายตาเเปลก ๆ “ทำไมล่ะ?”
แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าเวอร์เธอร์จะเตรียมตัวมาเพื่อการนี้
เขากับโรเบิร์ตมองหน้ากัน แล้วเขาก็ได้รับความกล้าหาญผ่านสายตาของเพื่อนสนิท ก่อนจะพูดว่า “ฉันรู้ว่านายดูถูกฉันตั้งแต่เริ่มเรียน”
ดาร์ก “หา?”
เวอร์เธอร์ “อย่าปฏิเสธเลย ฉันรู้ว่านายคิดยังไงกับฉัน”
ดาร์ก “โห”
เวอร์เธอร์ “แต่วันนี้ฉันจะบอกให้นายรู้ว่าเราอยู่ในระดับเดียวกัน!”
เฮ้อ (´- ﹏ -`;)
ดาร์กถาม “แล้วนายรู้กฎการประลองระหว่างนักเรียนไหม?”
เวอร์เธอร์เดาว่า “ยุติธรรม เท่าเทียม และเปิดกว้าง?”
ดาร์กพยายามรักษาสีหน้าเขาให้ปกติอย่างยากลำบาก “มันคือการเดิมพันอย่างน้อยร้อยคะแนนต่างหากเล่า!”
เวอร์เธอร์ “ฮะ?”
ทั้งที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยแต่กลับอาจหาญมาท้าอย่างนั้นเหรอ?
นายจะต่อสู้ในการประลองโดยไม่จ่ายค่าตอบแทนได้อย่างไร?
บทที่ 75 การ์ดทองอันสูงส่งของดาร์ก เดม่อน
คราวนี้ มีการ์ดเวทมนตร์เปล่าราคาสิบคะแนนสองใบอยู่ในชุดวัตถุดิบด้วย
แต่นอกเหนือจากการ์ดสองใบนั้นแล้ว ยังมีวัตถุดิบอื่น ๆ อีกหลายอย่างรวมอยู่ในชุดวัตถุดิบด้วย นักเรียนแต่ละคนจะได้วัตถุดิบที่แตกต่างกันไป
หลังจากทบทวนบทเรียนไปครึ่งชั่วโมง ในที่สุดคาบเรียนก็เข้าสู่ภาคปฏิบัติ
ดาร์กคุ้นเคยกับกระบวนการสร้างแล้ว เพราะงั้นการเคลื่อนไหวของเขาจึงราบรื่นราวกับคลื่นน้ำ
เขาไม่ได้สนใจคนอื่นในตอนนี้ แต่เริ่มเตรียมน้ำผึ้งวิญญาณและน้ำสกัดกลีบสมองก่อน
คราวนี้ ด้วยเวลาน้อยกว่าสามสิบนาที ดาร์กก็มาถึงขั้นตอนสุดท้ายของการขัดเกลาขั้นพื้นฐานแบบสุ่มแล้ว
หลังจากที่เปิดใช้งานวงแหวนขัดเกลาเวทมนต์หมายเลข 1 เขาก็เริ่มเพิ่มสิ่งต่าง ๆ ลงไปอย่างเข้มงวดและจริงจัง!
ศาสตราจารย์เคเซอร์มาหยุดยืนอยู่ข้างหลังเขา
ไดแอนนาอยากเข้ามาดูด้วย แต่เพราะศาสตราจารย์ยืนอยู่ เธอจึงทำได้แค่เหลือบมองเท่านั้น
‘จากความน่าจะเป็น ยิ่งคุณสมบัติวัตถุดิบหลักทางชีวภาพใกล้เคียงกันมากเท่าไหร่ โอกาสสำเร็จก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น’
ดาร์กมองดูวัตถุดิบหลักสองสามอย่างที่วางอยู่ตรงหน้าเขา และเริ่มลังเลขึ้นมา
ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อที่จะได้การ์ดดอกไม้มาไว้กับตัว เขาถึงกับซื้อวัตถุดิบที่ไร้ประโยชน์ไปมากมาย
นอกจากกระดองเต่า ‘อายุร้อยปี’ และเศษเกราะเวทในตอนแรกแล้ว มันยังมีวัตถุดิบอีกมากมายที่อธิบายไม่ได้ เช่น กำไลเปลือกหอย ตางู ลูกอมเวทมนตร์ และแมลงยักษ์
เมื่อเห็นว่าแสงของวงแหวนขัดเกลาเวทมนต์หมายเลข 1 เริ่มวูบไหว ดาร์กก็กัดฟันและเริ่มใส่วัตถุดิบหลักเกือบทั้งหมดลงไป
อาจเป็นเพราะส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบที่ไร้ประโยชน์ วงแหวนขัดเกลาเวทมนต์หมายเลข 1 จึงกลืนกินพวกมันเข้าไปทั้งหมด!
เมื่อเห็นว่าแสงของวงแหวนขัดเกลาเวทมนต์เปล่งออกมาอย่างรุนแรงแล้ว ดาร์กกำลังจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก จู่ ๆ ศาสตราจารย์เคเซอร์กลับพูดขึ้นมาว่า “ถ่มน้ำลายใส่เข้าไป”
ดาร์กสะดุ้ง “หา?”
ศาสตราจารย์เคเซอร์ย้ำ “น้ำลายของมนุษย์ประกอบด้วยสารหลายอย่าง เมื่อมีวัตถุดิบหลักมากเกินไป การเติมน้ำลายลงไปอาจช่วยให้การเร่งปฏิกิริยาการขัดเกลาให้ดีขึ้น”
ดาร์กทำหน้าแปลก ๆ แต่เขายังทนต่อความน่าอับอายและถ่มน้ำลายเข้าไปในวงแหวนขัดเกลาเวทมนต์
นี่เป็นหนึ่งในความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ศาสตราจารย์เคเซอร์มีใช่ไหม?
…
สรุปแล้ว หลังจากที่ถ่มน้ำลายเข้าไป แสงของวงแหวนขัดเกลาเวทมนต์ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
หลังจากผ่านไปครึ่งนาที วัตถุดิบทั้งหมดก็ถูกดูดซับเข้าไป และจากนั้นก็เริ่มคายสิ่งสกปรกออกจากพื้นผิวของการ์ด
เก็บแก่นสำคัญและกำจัดของเสีย
นี่คือขั้นตอน ‘หัวใจหลัก’ ของวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์ขั้นพื้นฐานแบบสุ่ม
ครั้งสุดท้ายที่ใช้ขนแมวในการขัดเกลา ดาร์กล้มเหลวในขั้นตอนนี้ และทำการ์ดไหม้
แต่คราวนี้ แสงที่ส่องอยู่บนการ์ดเวทมนตร์นั้นชัดเจนขึ้นจนดูเหมือนว่ามันจะ ‘สำเร็จ’?
ทว่าในไม่ช้า การ์ดเวทมนตร์ก็เต็มไปด้วยสิ่งเจือปนมากขึ้นเรื่อย ๆ
ดาร์กจ้องไปยังเนินเขาที่ดูราวกับสิ่งปฏิกูลขนาดเล็กผุดขึ้นมากลางอากาศด้วยสีหน้าพิกล
“เหม็น!!”
ไดแอนนาปิดจมูกพลางกระซิบ
โรสหันหน้าไปทางหน้าต่างเงียบ ๆ
ศาสตราจารย์เคเซอร์ถอยออกไปสองเมตร
กลิ่นอันไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ นี้ดึงดูดความสนใจของทั้งห้องเรียนได้อย่างรวดเร็ว
ดาร์กเอนหลังหนีอย่างงุ่มง่ามเล็กน้อย แต่ไม่ได้ถอยออกห่างไป
…
“หมอนั่นยังเร็วเหมือนเดิม!”
เอ็มม่าขมวดคิ้วราวกับไม่เต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้
มีกองเหรียญทองโบราณกองใหญ่อยู่ที่มุมโต๊ะของเธอ
…
“ล้มเหลวเหรอ?”
โรเบิร์ตถามพร้อมกับอ้าปากค้าง
เวอร์เธอร์ส่ายหัว “ไม่รู้สิ”
‘สมบัติ’ ที่ซื้อจาก ‘ร้านสิบคะแนน’ ถูกวางไว้บนโต๊ะของพวกเขา
อันที่จริง เวอร์เธอร์เฝ้าสังเกตดาร์กมาตั้งแต่ต้นแล้ว และเห็นกระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่กองวัตถุดิบหลักที่ราคาอย่างน้อยสองสามร้อยคะแนนจนถึงขั้นตอนสุดท้ายที่อีกฝ่ายทำ
จากนั้นเขาก็เหลือบมองที่กอง ‘สมบัติ’ ของเขาและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า
ช่องว่างระหว่างพวกเขากว้างขึ้นก่อนที่เขาจะรู้ตัวเสียอีก
หากก้าวแรกช้า ทุกย่างก้าวหลังจากนั้นก็ยิ่งจะช้ากว่า
หากตนยังพอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ ช่องว่างระหว่างทั้งสองฝ่ายก็จะยิ่งกว้างขึ้นไปอีก
เหมือนกับการเป็นหนี้ ซึ่งมีแต่จะมากขึ้นและมากขึ้น
เวอร์เธอร์กัดฟันและเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาในทันใด “ในเมื่อน้ำลายได้ผล แล้วผม เล็บ กับส่วนอื่น ๆ ล่ะ”
แน่นอนว่าผมกับเล็บของคนทั่วไปนั้นไม่ดี
แต่เวอร์เธอร์รู้ว่าเขาเป็นคนพิเศษ บางที…เลือดที่สืบทอดมาจากวีรบุรุษอาจนำความสำเร็จมาให้เขาได้ล่ะมั้ง?
…
ตอนนั้นเอง การ์ดเวทมนตร์บนโต๊ะของดาร์กก็หยุด “ขับของเสีย”
ดาร์กกลั้นหายใจ แหย่แหนบเข้าไปในกองสิ่งสกปรก จากนั้นจึงค่อย ๆ ดึงการ์ดเวทมนตร์ออกมา จากนั้นนำไปวางไว้ใต้ก๊อกน้ำเพื่อล้างออกอย่างรวดเร็ว
ขณะที่คราบบนพื้นผิวถูกชะล้างออกไป มุมหนึ่งของการ์ดเวทมนตร์ก็ค่อย ๆ เปิดเผยออกมา
มันเป็นวงแหวนสีทองจาง ๆ!
ดาร์กมือสั่นเทา และเขาเกือบจะทำการ์ดหล่น
แม้ว่าเขาจะเคยใช้ [ราคะ III] เพื่อวิวัฒนาการอีบุยให้กลายเป็นการ์ดสีส้มที่มีสามสกิลมาก่อน แต่อันที่จริง การ์ดวิญญาณสองใบที่เขามีนั้นเป็นการ์ดสีน้ำเงินที่มีสกิลเพียงสกิลเดียว
นอกเหนือจากการจำแนกการ์ดวิญญาณตามจำนวนสกิลแล้ว พวกมันยังปล่อยวงแหวนเป็นสีที่สอดคล้องกันด้วย ซึ่งสามารถรับรู้ได้ด้วยตาเปล่า
แน่นอนว่า ‘สีทอง’ เป็นตัวแทนของการ์ดระดับทอง การ์ดที่มีสี่สกิล และเป็นการ์ดระดับสูงในหมู่การ์ดวิญญาณ
ก่อนที่ ‘การ์ดศักดิ์สิทธิ์’ ซึ่งมี ‘พลังศักดิ์สิทธิ์’ จะปรากฏขึ้น พวกมันถึงกับถูกเรียกว่าเป็นการ์ดศักดิ์สิทธิ์เองเลยด้วยซ้ำ!
ดาร์กไม่คิดเลยว่าตัวเองจะทำการ์ดสีทองได้จากกองขยะ!
เขาอดใจรอแทบไม่ไหว มือใช้ผ้าผืนหนึ่งเช็ดคราบสุดท้ายบนพื้นผิวของการ์ดออกไป และในที่สุดก็เห็นภาพสปิริตบนพื้นผิวของการ์ด!
สปิริตตัวนั้นมีหัวสีเหลืองเล็ก ๆ โผล่ออกมาจากเปลือกแข็งสีแดงราวกับหนอนตัวเล็ก ขาทั้งสี่เหลวเป็นเมือกเหมือนกับสไลม์ บนกระดองที่มีแปดรูคล้ายกับกระดองเต่า และตุ่มนูนบนกระดองเป็นวงกลมสีขาว หัวและแขนขาของมันยื่นออกมาจากรู ดูนุ่มนิ่มมาก
“ที่แท้ก็เป็นโกลเดนชัคคารุ!”
คำอุทานของศาสตราจารย์เคเซอร์ดังมาจากด้านหลัง
ดูเหมือนว่า <ชัคคารุ> จะถูกเลียนแบบเข้ามาในโลกนี้ด้วย
ดาร์กมองไปยังชัคคารุด้วยความประหลาดใจ นี่คือสุดยอดเกราะป้องกันที่เกินความคาดหมายของเขา!
[ชื่อการ์ด: ชัคคารุ]
[ประเภท: การ์ดวิญญาณ]
[ระดับ: ✪✪✪]
[เผ่าพันธุ์: ประเภทแมลง]
[คุณสมบัติ: หิน]
[พลังเวทมนตร์: 900 หน่วย]
[พลังโจมตี: 0 หน่วย]
[พลังป้องกัน: 2200 หน่วย]
[ท่าไม้ตาย: แข็งตัว แบ่งพลัง แบ่งการป้องกัน ลูกหลอก]
…
‘อีบุยยังมีอยู่ในโลกนี้แล้วการมีชัคคารุจะแปลกอะไร?’
‘การ์ดสามดาวที่มีพลังป้องกันสองพันสองร้อยหน่วย? …แต่นี่คือค่าพลังที่ชัคคารุควรมีอยู่ดี’
‘ท้ายที่สุด วิญญาณกระดูกขาว 3 ดาว มีพลังโจมตี 0 หน่วย พลังป้องกัน 2200 หน่วย นักรบโล่ 4 ดาว มีพลังโจมตี 100 หน่วย พลังป้องกัน 2600 หน่วย โล่เงิน 5 ดาว มีพลังโจมตี 0 หน่วย พลังป้องกัน 3000 หน่วย เป็นเรื่องปกติมาก!’
ดังนั้น
ดาร์กหันกลับมาถามอย่างไร้เดียงสา “ศาสตราจารย์ครับ นี่เป็นสปิริตที่หายากหรือเปล่า?”
บทที่ 74 อนาคตที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ของดาร์ก เดม่อน
ดาร์กไม่ได้พยายามปกปิด อันที่จริงเขาไม่สามารถปกปิดมันได้
ผู้ที่สามารถเปิดร้านบนถนนนักเดินทางได้ย่อมไม่มีใครเป็นคนธรรมดา
ชายชราคนนี้อาจดูใจดี แต่เมื่อออกจากถนนนักเดินทาง เขาอาจจะเป็นคนนิสัยโหดเหี้ยมก็ได้ ใครจะไปรู้?
ดาร์กชี้ไปยังตะขอแล้วถามว่า “คุณปู่ครับ นี่คือตะขอแห่งโชคชะตาในตำนานไม่ใช่เหรอครับ?”
ชายชราลูบเครายาวของเขา แล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “หายากมากที่คนอายุน้อยอย่างเธอจะดูออกได้ ใช่แล้ว รูปร่างของมันเหมือนกับตะขอแห่งโชคชะตา อืม… อันที่ใช้ตกวิญญาณล่ะนะ”
ดาร์กสงสัย “รูปร่างของมัน?”
ชายชราพยักหน้า หยิบตะขอที่เป็นสนิมออกจากหิ้งแล้วเช็ดฝุ่นออก
จากนั้นเขาก็พูดว่า “ที่ตำนานยังเป็นตำนานก็เพราะมันเป็นเรื่องประโลมโลกและคาดเดาไม่ได้ ถ้าคนพิสูจน์มันได้จริง ๆ แล้วตะขอนี้จะยังเป็นของที่คู่ควรกับคำว่าตำนานได้ยังไง? เพราะงั้นแล้วตะขอนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเลียนแบบตำนานนั้นเท่านั้น”
ดาร์กพยักหน้า ‘เหมือนจะเข้าใจ’ แต่ด้วยความสงสัยเล็กน้อย “งั้นมันเกี่ยววิญญาณได้ไหมครับคุณปู่?”
ชายชราเหลือบมองมาที่เขา และทันใดนั้นก็โบกตะขอไปข้างหน้า
วูบ!
ดาร์กก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัว และตะขอเคลื่อนผ่านหัวของเขาไปในทันใด
ชายชราหัวเราะคิกคักและพูดว่า “ไม่ได้หรอก มันเกี่ยววิญญาณไม่ได้ สิ่งเดียวที่มันเกี่ยวออกมาได้มีแต่ความคิดฟุ้งซ่านเท่านั้น”
“ความคิดฟุ้งซ่าน?”
จู่ ๆ ดาร์กก็เข้าใจและอดตั้งใจฟังไม่ได้
ชายชราพูดต่อ “มาเถอะ ฉันจะแสดงให้เธอดู… ว่าแต่เธอชื่ออะไร?”
ดาร์กตอบ “ดาร์กครับ แล้วคุณปู่ล่ะ?”
ชายชราพยักหน้า “เรียกฉันว่าปู่จอห์นเถอะ”
พูดเสร็จเขาก็เดินเข้าไปในร้านที่มีแต่แสงสลัว ๆ
ดาร์กลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ตามเข้าไป
คุณปู่จอห์นจุดตะเกียงน้ำมันเมื่อเขาเข้าไปข้างใน
แสงไฟพลันส่องสว่างไปทั่วทั้งร้าน
ปู่จอห์นหยิบกระดาษทรายชิ้นหนึ่งออกมาจากลิ้นชักแล้วสะบัดให้ดาร์กดู มันคือ ‘กระดาษขัดเงา’
จากนั้นก็ใช้กระดาษทรายถูที่ตะขออยู่ครู่หนึ่ง สนิมเก่าก็ค่อย ๆ หลุดออกมา
เมื่อเขาหยุดถู ‘ตะขอแห่งโชคชะตา’ ก็กลายเป็นของใหม่
ดาร์กรู้สึกประหลาดใจ
“ดูให้ดี!”
ปู่จอห์นมองไปที่ดาร์ก พลันมือของชายชราหยิบตะขอขึ้นมาจิ้มที่หัวของเด็กชาย!
ตะขอครึ่งหน้ากลายเป็นภาพลวงตาทันทีเมื่อแตะโดนผิวหนัง
จากนั้นก็มีฟองใส ๆ ถูกเกี่ยวออกมาจากหัวของเขา!
เป๊าะ!
ปู่จอห์นเหยียดนิ้วออกเพื่อเป่าฟองสบู่
“การไม่มีความคิดฟุ้งซ่านนั้นเป็นความรู้สึกที่ดีมาก~”
ชายชรามีสีหน้าที่สดชื่น
…
ดาร์กอดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า “มันสามารถเกี่ยวสสารแห่งความคิดออกมาจากจิตใจได้ไหมครับ?”
ปู่จอห์นพยักหน้า แล้วเหวี่ยงตะขอกลับไปที่ชั้นวาง “ของเก่าไม่รับประกันคุณภาพหรอกนะ และเธอตอนนี้ก็ใช้มันไม่ได้ด้วย หากเธอขึ้นปีห้าแล้ว ถ้าตะขอยังอยู่ฉันจะขายมันให้เธอ”
…
ริมฝีปากของดาร์กขยับเหมือนจะพูด แต่ในที่สุดเขาก็ออกจากร้านขายของเก่าไปโดยไม่พูดอะไร
อันที่จริง ดาร์กรู้ว่าไอเทมระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับสมองทั้งหมดนั้นต้องการความสามารถในการควบคุมที่สูง
มันเหมือนกับเครื่องหยดสมองวิเศษในมือของเขา แต่เขากลับกล้าใช้เพียงแค่ ‘วิธีแมลงปอสัมผัสน้ำ’ ที่ปลอดภัยที่สุดเท่านั้น
ของเลียนแบบตะขอแห่งโชคชะตานี้คล้ายกับเครื่องหยดสมองวิเศษมาก ยกเว้นว่าอย่างหลังสามารถดึงสสารออกมาได้ทีละหยดเท่านั้น ในขณะที่อย่างแรกสามารถเกี่ยวออกมาได้อย่างมากมาย!
นั่นเป็นเรื่องที่อันตรายเกินไป
หากเป็นแค่ความคิดฟุ้นซ่านก็ไม่เป็นไร แต่มันอาจทำให้บางความคิดที่สำคัญหายไปได้เช่นกัน
“ปีห้าเหรอ?”
ดาร์กอดคิดไม่ได้
“ตอนปีห้าฉันจะยังต้องการมันอยู่ไหมนะ?”
…
หลังจากซื้อการ์ดเวทมนตร์เปล่าและวัตถุดิบสำหรับการทดลองแล้ว ดาร์กก็เดินออกจากถนนนักเดินทาง
เขายังคงคิดถึงตะขอแห่งโชคชะตาอยู่ แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อเดินเข้าไปในปราสาท หยาดฝนก็โปรยปรายลงมาอย่างเงียบ ๆ
ฝนตกแล้ว
“โชคดีจริง!”
ดาร์กแหงนมองเมฆฝนที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในท้องฟ้ายามค่ำคืน และรู้สึกว่าตนโชคดีอย่างช่วยไม่ได้
…
ในสองวันของวันหยุดสุดสัปดาห์
หากดาร์กไม่อยู่ห้องนั่งเล่น เขาก็จะไปสิงอยู่ในห้องสมุด
บางครั้งเขาก็ไปที่ถนนนักเดินทางเพื่อรวบรวมการ์ดดอกไม้เป็นหลัก
แต่จำนวนการ์ดดอกไม้ชุดใหม่ดูจะมีไม่มาก ราวกับว่าผู้ที่แจกจ่ายมันไม่มีเหลือในมือแล้ว
หลังจากที่ดาร์กไปซื้อของที่ถนนนักเดินทาง เขาได้การ์ดดอกไม้กลับมาเพียงสามใบเท่านั้น
แต่นี่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกท้อแท้แต่อย่างใด
ในเมื่อมีการ์ดดอกไม้ เขาก็สามารถขอให้นักเรียนคนอื่นรวบรวมให้ได้
เพียงแต่ว่าการ์ดดอกไม้นี้ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่น่าเชื่อถือตลอด และบางทีมันอาจจะใช้ไม่ได้ในสักวัน
ท้ายที่สุด พลังของมันก็ถูกยืมมาจากที่อื่น
ดาร์กใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องสมุดเพื่อศึกษาความรู้เชิงทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความคิด
เขาพบว่าความรู้ของเขาในด้านนี้ยังบกพร่องอยู่มากเกินไป ถ้าสามารถศึกษาให้ละเอียดกว่านี้ได้ เขาอาจจะใช้วิธีการที่ชาญฉลาดกว่านี้ดึงเอา [อัตตา] และมหาบาปอื่น ๆ ออกมาภายในหนึ่งเดือนได้
แทนที่จะรอเดือนหน้าเหมือนอย่างในตอนนี้…
…
สัปดาห์ที่สามของเดือนตุลาคมมาถึงในพริบตา
ในคาบเรียนแรกของเช้าวันจันทร์ ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ยังคงพูดถึงความรู้ทางทฤษฎีเกี่ยวกับการอัญเชิญบูชายัญ นักเรียนแทบจะไม่ได้เรียนจนจบคาบ แต่หลังจากเลิกเรียน จู่ ๆ พวกเขาก็ตื่นตัว
แม้แต่ดาร์กก็อดยิ้มไม่ได้
คาบเรียนต่อไปเป็นวิชาเวทมนตร์พื้นฐานของศาสตราจารย์เคเซอร์ จากคำเกริ่นนำของศาสตราจารย์เคเซอร์ พวกเขาจะได้เริ่มการสร้างการ์ดวิญญาณใบที่สองในชีวิตของพวกเขา
แน่นอนว่า…มีคนอย่างดาร์กที่สร้างใบที่สองไปแล้ว
เอ็มม่า มอร์ติสก็เป็นหนึ่งในนั้น เมื่อเธออยู่ในห้องสมุด เธอจะอัญเชิญสปิริตตัวที่สองออกมาเป็นครั้งคราว
มันคือเหรียญทองที่มีปีก และสกิลที่ดีที่สุดของมันคือ การเล่นเป็นเหรียญทอง
สิบนาทีก่อนเวลาสิบโมงเช้า
ศาสตราจารย์เคเซอร์มาถึงห้องเรียนก่อนเวลาสิบนาที และห้องเรียนก็คลาคล่ำไปด้วยเหล่านักเรียนแล้ว
เขาเหลือบมองไปยังจอมเวทฝึกหัดที่กระตือรือร้นด้วยความพึงพอใจและปรบมือตรงประตู
ทันใดนั้นเอง พลันมีก้อนเนื้อ รูปร่างเหมือนกับมนุษย์สองตนขนกล่องขนาดใหญ่เข้ามา
“ฉันต้องการนักเรียนสามคนมาช่วยฉันแจกเอกสารหน่อย”
หลังจากนำสปิริตกลับเข้าไป ศาสตราจารย์เคเซอร์ก็พูดขึ้น
เอ็มม่าซึ่งอยู่แถวแรกเสมอยืนขึ้นอย่างเงียบ ๆ
เด็กหญิงอีกสองคนตามมาช่วยด้วยรอยยิ้ม “มาช่วยกันเถอะ”
ไม่มีใครรู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ความนิยมของเอ็มม่าเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
…
“ฉันคิดว่าคงไม่มีใครในห้องนี้ลืมมันไปแล้วหรอกใช่ไหม?”
ศาสตราจารย์เคเซอร์เดินไปยังแท่นสอนหลังจากเสียงกริ่งดังขึ้น เขายังคงความสุภาพไว้เสมอ
“ในบทเรียนนี้ เราจะมาฝึกวิธีการขัดเกลาพื้นฐานร่วมกัน อย่าดูถูกเพียงเพราะคำว่า ‘พื้นฐาน’ เชียว รู้ไหมว่าต่อจากนี้ไปอีกนานแสนนาน มันจะกลายเป็นวิธีที่พวกเธอใช้ทำการ์ดวิญญาณบ่อยที่สุด เอาล่ะ ตอนนี้เปิดตำราและมาทบทวนขั้นตอนเฉพาะของวิธีการขัดเกลาพื้นฐานกัน”
ทันทีที่เสียงของอาจารย์จบลง คลื่นเสียงบ่นเซ็งแซ่ก็กระหึ่มซัดเป็นคลื่นขึ้นไปยังแท่นโพเดียม
“หือ? เราควรจะเริ่มการสร้างการ์ดทันทีเลยไม่ใช่เหรอ?”
“ศาสตราจารย์~~~~~~”
จอมเวทฝึกหัดราวกับถูกเทน้ำเย็นราดใส่หัวในตอนที่พร้อมจะเริ่มกระบวนการสร้างแล้ว
บรรยากาศทั้งห้องเรียนดูหมดกำลังใจไปในทันที
แน่นอนว่าศาสตราจารย์เคเซอร์ยังคงสอนต่อ โดยไม่สนใจพวกเขาแม้แต่น้อย!
บทที่ 73 ดาร์ก เดม่อนต้องตาตะขอแห่งโชคชะตา
เวอร์เธอร์ กาวด์โชคดีมากที่เขามาช้าเพราะเจ็บก้นอยู่
เดิมที เด็กชายคิดว่าเหล่าสมาชิกภาคีจะไม่มารวมตัวกันในคืนนี้หลังจากชุมนุมกันไปแล้วเมื่อคืน เพราะงั้นเขาจึงอยากจะมาดูว่ารูปปั้นของเทพธิดาได้ถูกชายชุดดำเมื่อคืนทำลายไปหรือไม่
แต่ดูจะเกินกว่าที่คาดไว้ เพราะไม่เพียงแต่สมาชิกของภาคีเท่านั้นที่มา มันยังมีพวกเขาอีกหลายคนอยู่ด้วย
ด้วยท่าทางนอบน้อมและก้มกราบของพวกเขาซึ่งดูถ่อมตัวมาก ได้ขับประกายความศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดาออกมา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เวอร์เธอร์ได้เห็นการรวมตัวของพวกเขา
แต่เด็กชายมักจะรู้สึกว่าตัวเขาไม่เหมือนกับพวกสมาชิกภาคี
มันคือความแตกต่างทางลำดับชั้น
สิ่งนี้ทำให้เวอร์เธอร์รู้สึกว่าเขาเป็นคนพิเศษ
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะต้องมาอยู่ต่อ
จากมุมมองของเวอร์เธอร์ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถมองเห็นดวงตาของเทพธิดาได้ แต่ในใจกลับรู้สึกว่ารูปปั้นเทพธิดานั้นมีความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น
เขาถอยกลับไปอย่างเงียบ ๆ
แม้จำนวนรอยแตกร้าวบนรูปปั้นเทพธิดาจะเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังมี ‘ช่างฝีมือ’ คอยซ่อมแซมนางอยู่
เขาไม่จำเป็นต้องกังวลไป
…
บรรยากาศในสถาบันเซนต์แมเรียนนั้นรื่นเริงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เพราะข่าวที่ว่าเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรกำลังจะเสด็จมาเข้าร่วมงานวันฮาโลวีนได้แพร่กระจายออกไปราวกับไฟป่า ทำให้เกิดเป็นกระแสต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ
นักเรียนของสถาบันจึงตื่นเต้นกันไม่หยุด
นี่ไม่ใช่แค่นักเรียนปีหนึ่งเท่านั้น
แต่เป็นทั้งปราสาทที่กำลังเดือดพล่านไปด้วยความตื่นเต้น
เจ้าหญิงคนโต เอลิซา พระองค์เป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์ที่ทรงอำนาจที่สุดเช่นเดียวกับเจ้าชาย ทำให้มีผู้คนมากมายชื่นชมในรูปลักษณ์และคุณธรรมของเธอ
ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะบอกว่า เด็กผู้ชายมากกว่าครึ่งในปราสาทต่างก็ชื่นชมเธอ
แน่นอนว่าความชื่นชมและความรักนั้นไม่เหมือนกัน
กำหนดการเข้าร่วมของเจ้าหญิงได้ยกระดับงานเฉลิมฉลองวันฮาโลวีนโดยตรงจนพุ่งสูงขึ้น
นักเรียนที่ถือว่างานนี้เป็นงานที่มีเพียงปีละครั้ง ก็เริ่มคิดว่ามันน่าสนใจขึ้นมา
เด็กผู้ชายอยากแต่งตัวให้เป็นทางการและหล่อเหลามากขึ้น
สาว ๆ ก็ต้องการทำให้ตัวเองดูสวยขึ้น จะดีที่สุดถ้าพวกเธอสามารถจัดเต็มคอสตูมประชันกับเจ้าหญิงได้!
เพราะนี่คือปาร์ตี้คอสตูม หรือจะเรียกอีกนัยหนึ่งว่า งานเลี้ยงเต้นรำใต้หน้ากากก็ได้ ด้วยมันเป็นงานเลี้ยงที่มีความพิเศษ ดังนั้น แม้แต่คนทั่วไปก็สามารถสวมชุดเจ้าหญิงได้โดยไม่ถูกผู้อื่นเหยียดหยาม
แน่นอนว่าผู้หญิงทุกคนอยากเป็นเจ้าหญิง
ยิ่งไปกว่านั้น งานครั้งนี้จะมีเจ้าหญิงตัวจริงอยู่ร่วมในปาร์ตี้ด้วย!
“เด็กชะมัด!”
เอ็มม่าพึมพำขณะเลือกกิ๊บติดผมที่น่ารักน่าใส่อย่างระมัดระวัง
ว่ากันว่าร้านเสริมสวยที่เปิดโดยเอลฟ์มีสารสกัดจากพืชซึ่งสามารถยืดผมได้ชั่วคราว
เธอไม่ได้ไม่ชอบผมนุ่มฟูของตัวเอง แต่บางครั้งก็มีการอยากลองสไตล์อื่นบ้าง
…
วันศุกร์สัปดาห์ที่สองของเดือนตุลาคม
จอมเวทฝึกหัดต่างมีคะแนนกันมากขึ้นแล้ว และในขณะเดียวกัน พวกเขายังมีข้ออ้างอย่าง ‘เตรียมวัตถุดิบหลักสำหรับทำการ์ดวิญญาณ’ ด้วย ดังนั้นถนนนักเดินทางในช่วงสุดสัปดาห์นี้จึงคึกคักเป็นอย่างมาก ถึงกับบอกได้ว่า คุณสามารถเห็นนักเรียนปีหนึ่งได้อยู่ทุกที่
ในที่สุดก้นของเวอร์เธอร์ก็หายเจ็บ ตอนนี้เขากับโรเบิร์ตกำลังซื้อของด้วยกันใน ‘ร้านสิบคะแนน’ โดยหวังว่าจะได้วัตถุดิบราคาถูกแต่ของพิเศษ
เวอร์เธอร์ถูกหักคะแนนห้าสิบคะแนนจากการใช้ [ความรักต้องห้าม] กับศาสตราจารย์เคเซอร์
และถึงแม้ว่าโรเบิร์ตจะเป็นเหยื่อในคืนนั้น แต่เขาก็ยังโดนหักสิบคะแนน โทษฐานอยู่นอกหอพักในยามวิกาล…
เขาบ่นว่าศาสตราจารย์ซิลเวอร์ใจดำจริง ๆ และซิสเตอร์คาไลด์ใจดีกว่ามาก
ในขณะเดียวกัน
ดาร์กก็มาที่ถนนนักเดินทางเช่นกัน
เขาซื้อของบางอย่างที่หญ้าแมวชอบ และคิดเกี่ยวกับวัถตุดิบที่จะใช้ขัดเกลาการ์ดวิญญาณในคาบวิชาเวทมนตร์ของวันจันทร์ที่จะถึง
เด็กชายเบื่อที่จะใช้ขนหญ้าของแมวเป็นวัตถุดิบแล้ว เขาต้องการลองอะไรใหม่ ๆ บ้าง
ตัวอย่างเช่น ขนหนูกับไม้ฟ้าผ่ารวมกัน?
เขาได้ยินมาว่า มันมีสปิริตชื่อหนูสายฟ้าอยู่ แม้ว่าจะแค่สองดาว แต่มันกลับมีความรวดเร็วมาก เหมาะสำหรับถือลูกบอลเวทมนตร์เพื่อหลบเลี่ยงการถูกโจมตีในการแข่งประลอง
สำหรับจอมเวทฝึกหัดที่ไม่สามารถใช้พลังเวทมนตร์ควบคุมลูกบอลเวทมนตร์ในอากาศได้ นี่คือสปิริตที่คุ้มค่าคุ้มราคากับพวกเขามาก
นอกจากนี้ การผสมผสานกิ้งก่าเปลี่ยนสีและเห็ดร่มโปร่งแสงก็เป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน ว่ากันว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่จะขัดเกลาสปิริตที่มีสกิลพรางตัวได้!
สปิริตเช่นนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ย่อมเป็นสิ่งที่จอมเวทฝึกหัดผู้ไม่พร้อมจะโต้กลับของฝ่ายตรงข้ามกลัวมากที่สุด
ด้วยอัตราของจำนวนการ์ดเวทมนตร์ที่เพิ่มขึ้น จึงมีแนวโน้มว่าก่อนวันฮาโลวีน จะมีนักเรียนชั้นปีหนึ่งบางคนได้สิทธิ์เข้าร่วมชมรมการประลอง
การเข้าร่วมการแข่งขันประลองเวทมนตร์เป็นวิธีหลักในการหาคะแนนเพิ่ม
ดาร์กกำลังเตรียมการสำหรับเรื่องนี้อยู่แล้ว
เขาหวังจะมีการ์ดวิญญาณขั้นที่สอง (4-6 ดาว) ก่อนหน้านั้นด้วย
แม้ว่าการใช้การ์ด [ราคะ III] จะทำให้อีบุยวิวัฒนาการเป็นแบล็คบุยสี่ดาวได้ แต่ ‘การไม่เชื่อฟัง’ เจ้านายนั้นร้ายแรงเกินไป ทำให้ไม่สามารถใช้ในเกมปกติได้
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นมหาบาปของ ‘เทพธิดา’ แต่ก็ไม่ได้ดีไปกว่าของตัวเขาเอง
ดาร์กก้าวเข้าไปในร้านขายวัตถุดิบ
ร้านขายวัตถุดิบที่ชื่อว่า ‘ร้านนักเดินทางสายลม’ เป็นร้านค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่นักเรียนอายุน้อยบนถนนนักเดินทาง
นักเรียนสองชั้นปีแรกมีคะแนนแค่เล็กน้อยเท่านั้น พวกเขาจึงต้องการร้านค้าประเภทนี้เพราะราคาของไม่แพงมากเกินไป
ดาร์กมองดูกิ้งก่าแห้ง หนูแห้ง ตะขาบแห้ง แมงป่องแห้ง… เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพ่อมด
วัตถุดิบธรรมดาบางอย่างเหล่านี้ต้องการคะแนนเพียงไม่กี่คะแนน และวัตถุดิบที่แพงที่สุดก็ไม่เกินหนึ่งร้อยคะแนน
เด็กชายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็ตัดสินใจซื้อกระดองเต่าสีดำอายุหนึ่งร้อยปีมาพร้อมกับเศษเกราะเวทมนตร์จำนวนหนึ่ง
แต่เขาจะใช้มันหรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่อง
ภายใต้กรณีที่ว่าแบล็คบุยไม่สามารถอัญเชิญได้ เขาก็ต้องการการ์ดวิญญาณที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันสำหรับบางกลยุทธ์
เช่น [สัตว์อสูรมายา: ปราสาท] ของโรเบิร์ตก็เป็นตัวอย่างที่ดี
→ และคงจะดีถ้ามันมีดาวมากกว่านี้
จากนั้นเขาก็ได้รับการ์ดดอกไม้จากเจ้าของร้านนักเดินทางสายลมอย่างน่าประหลาดใจ ซึ่งการจะได้รับมันก็ต่อเมื่อมีคนใช้จ่ายเกินหนึ่งร้อยคะแนน
ดูเหมือนว่า…
ร้านค้าบนถนนนักเดินทางจะแจกการ์ดดอกไม้อีกแล้วเหรอ?
แม้ว่าดาร์กจะไม่รู้สาเหตุ แต่นี่เป็นข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัย
เด็กชายเริ่มมีแรงจูงใจในทันที และความกระตือรือร้นในการจับจ่ายของเขาก็เพิ่มขึ้น
ร้านขนม ร้านดอกไม้ ร้านเครื่องประดับ ร้านเสื้อผ้า…
ดาร์กแวะเยี่ยมชมร้านค้าเกือบครึ่งบนถนนนักเดินทาง ก่อนที่เขาจะรู้ตัว
เด็กชายมองดูการ์ดดอกไม้แจกฟรีทั้งแปดใบในมือของเขาแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ยามพระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยไปทางทิศตะวันตก เมฆาสีชาดเริ่มเข้าปกคลุมท้องนภา
แสงไฟหลากสีสว่างไสวไปตามถนนนักเดินทาง
ดาร์กมาหยุดอยู่หน้าร้านขายของโบราณร้านหนึ่ง ของโบราณบนแผงขายดึงดูดสายตาของเขาไว้ จนไม่อาจละสายตาและหันหลังจากไปได้
บังเอิญว่าดาร์กได้เห็นรูปร่างหน้าตาของโบราณวัตถุนี้จากหนังสือ ตอนที่เขากำลังหาวิธียับยั้งมหาบาปทั้งเจ็ดประการ
มันคือตะขอแห่งโชคชะตา!
ตามตำนานเล่าว่าในยุคโบราณ พระเจ้าจะทรงหย่อนสายเบ็ดจากฟากฟ้า โดยมีตะขอแห่งโชคชะตาแขวนอยู่บนสายเบ็ดนั้น
พระเจ้าเป็นนักตกปลา มนุษย์เป็นปลา และมนุษย์ที่ถูกตะขอเกี่ยวไว้จะถูกดึงไปบนสวรรค์
แม้ว่าบรรทัดสุดท้ายในหนังสือจะบอกว่า ‘เมื่อวิญญาณถูกเกี่ยวไป มันก็จะถูกนำขึ้นไปยังสรวงสวรรค์’
อย่างไรก็ตาม ดาร์กมีความประทับใจต่อตะขอนี้
นอกจากคราบสนิม รูปร่างของตะขอเกี่ยวนี้เหมือนกับที่บันทึกไว้ในหนังสือทุกประการ
แน่นอนว่ามีของเลียนแบบที่คล้ายกันมากมายในร้านขายของโบราณนี้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะได้มาโดยอาศัยความรู้เพียงเล็กน้อยจากหนังสือ
เขาแค่รู้สึกว่าสิ่งนี้มีค่ามากแม้ว่าจะเป็นของเลียนแบบก็ตาม
“เจ้าหนู เธอชอบอะไรล่ะ?”
ชายชราผู้มีรอยย่นบนหน้าเดินออกจากร้านขายของโบราณที่มืดสลัว ท่าทางของเขาดูใจดีมาก
บทที่ 72 อีบุยวิ่งควบ (ม้า) ใต้แสงจันทร์
ระยะเวลาวิวัฒนาการคงอยู่ประมาณสิบหกนาที
เมื่อสัญลักษณ์ [ราคะ] บนหน้าผากของแบล็คแคทมอนจางลง มันก็จะกลับมาเป็นรุกกี้เดวิมอนในพริบตา
แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นไปตามคาด แต่ดาร์กยังรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
หลังจากคืนสภาพ รุกกี้เดวิมอนก็ตื่นขึ้นมาในทันทีและหนีออกจากอ้อมกอดของดาร์ก เจ้าตัวน้อยบินกลับไปที่ขาตั้งนกและหันหน้าเข้าใส่กำแพง และหันหลังให้กับดาร์ก
เขาได้ยินมันพึมพำเบา ๆ ว่า “รุกกี้เดวิมอนสูญเสียศักดิ์ศรีไปหมดแล้ว รุกกี้เดวิมอนอยากจะตายจริง ๆ ทางไปนรกอยู่ที่ไหนนะ?”
ดาร์กยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ และอัญเชิญ [สไลม์ขยะ] ออกมาเพื่อให้มันเก็บกวาดเศษซากการทดลอง
หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ในที่สุดคูลดาวน์ของ [ราคะ III] ก็เสร็จสิ้น
ดูเหมือนว่านอกจากข้อเสีย ‘การสูญเสียการควบคุม’ การ์ดเวทมนตร์ [ราคะ III] ใบนี้ก็ค่อนข้างสมบูรณ์แบบในด้านอื่น ๆ
แน่นอนว่าการ์ดเวทมนตร์เปล่าราคาห้าสิบคะแนนก็สำคัญเช่นกัน
ดาร์กไม่รีบเร่งสำหรับการทดลองครั้งที่สอง แต่ทานอาหารเช้าที่รุกกี้เดวิมอนนำมาให้เสร็จก่อน และจากนั้นจึงเริ่มกระบวนการสุดท้ายในตอนกลางคืน
การวิวัฒนาการอย่างไม่คาดคิดของรุกกี้เดวิมอนทำให้เขามีความคาดหวังอย่างมากกับอีบุยตัวน้อย
เช่นเดียวกับ <มอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่ในโลกดิจิทัล> <มอนสเตอร์ขนาดพกพา> ก็เป็นสายพันธุ์ที่สามารถวิวัฒนาการได้
แม้ว่าหลักการวิวัฒนาการของทั้งสองจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงก็ตาม
แต่เนื่องจากสัญลักษณ์ของ [ราคะ] คล้ายกับดวงจันทร์ บางทีมันอาจมีพลังของดวงจันทร์เหมือนกับ [อัตตา] ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพลังดวงอาทิตย์ก็เป็นได้
และอีบุยก็มีโอกาสพัฒนาเป็น <แบล็คบุย> ได้!
…
“จงออกมา”
ภายใต้สายตาที่จ้องมองมาของรุกกี้เดวิมอน ดาร์กเอาการ์ด [สัตว์อสูรมายา: อีบุย] ออกมาอัญเชิญ
“วี้?”
จากนั้น
ฟิ้ว!
วิวัฒนาการ!
เพลงมา!
คราวนี้มันวิวัฒนาการจริง ๆ!
ภายใต้แสงพร่างพราวของการ์ด [ราคะ III] สัญลักษณ์ [ราคะ] พลันปรากฏบนหน้าผากของอีบุย
แสงจันทร์สีชมพูอ่อน ๆ ถูกปล่อยออกมาจากหน้าผากของเจ้าตัวน้อย และค่อย ๆ ห่อหุ้มร่างที่เล็กกะทัดรัดของมันไว้
อีบุย → แบล็คบุย!
ต่างจากแบล็คบุยดั้งเดิม บนขนสีเข้มของแบล็คบุยตัวนี้มีลวดลายวงแหวนสีชมพูปรากฏขึ้น
สีดำเป็นตัวแทนของกลางคืน
สีชมพูเป็นตัวแทนของราคะ
มันเป็นตัวแทนแห่งจันทราที่เดินอยู่ท่ามกลางคืนราตรีอันมืดมิด และยังเป็นสปิริตที่ชวนให้ลุ่มหลงซึ่งนี่เป็นสัญลักษณ์ของราคะ
…
[ชื่อการ์ด: แบล็คบุย]
[ประเภท: การ์ดวิญญาณ]
[ระดับ: ✪✪✪✪]
[เผ่าพันธุ์: ประเภทนกและสัตว์]
[คุณสมบัติ: ความมืด]
[พลังเวทมนตร์: 1500 หน่วย]
[พลังโจมตี: 1600 หน่วย]
[พลังป้องกัน: 1900 หน่วย]
[ท่าไม้ตาย: แสงจันทร์ ชีพจรมืด ลูกบอลเงา]
…
“สามสกิล!”
หลังจากการวิวัฒนาการ อีบุยกลายเป็นการ์ดสีส้มสี่ดาว
และเป็นการ์ดสีส้มที่มีสกิลฟื้นฟูตัวเองที่หายากมาก!
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของการ์ดวิญญาณคือ พลังชีวิตที่ไม่เพียงพอ
พลังเวทมนตร์นั้นไม่เพียงแต่เป็นแก่นชีวิตของสปิริตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแก่นพลังงานด้วย
หากไม่มีจอมเวทคอยช่วยเหลือ สปิริตสี่ดาวที่มีค่าพลังเวทมนตร์หนึ่งพันห้าร้อยหน่วยจะสามารถคงอยู่ได้เพียงประมาณสามสิบนาที โดยที่ไม่ใช้สกิลใด ๆ เลย
แต่สปิริตที่ไม่มีท่าไม้ตายก็หมายถึงไม่มีวิญญาณ
ดังนั้นจอมเวทจึงมักจะเตรียมการ์ดเติมพลังงานไว้ในเด็ค
สปิริตที่มีสกิลฟื้นฟูตัวเองสามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
[แสงจันทร์] ของแบล็คบุยเป็นสกิลฟื้นฟูที่ทรงพลังมาก!
[แสงจันทร์: ฟื้นฟูพลังเวทมนตร์ได้สูงสุดถึงหนึ่งส่วนสี่ หากอยู่ใต้แสงจันทร์ มันสามารถฟื้นพลังเวทเวทมนต์สูงสุดหนึ่งส่วนสองในคราวเดียว และฟื้นฟูพลังเวทมนตร์อย่างต่อเนื่องถึงสี่หน่วยต่อวินาที!]
นอกจากนี้ สกิลโจมตีระยะไกล [ชีพจรมืด] และสกิลระเบิดจุดเดียว [ลูกบอลเงา] ทำให้แบล็คบุยสามารถใช้การโจมตีได้หลากหลายมากขึ้น
และที่เกินจริงที่สุดคือพลังป้องกันหนึ่งพันเก้าร้อยหน่วย!
เมื่อเทียบกับแบล็คแคทมอน พลังโจมตีของแบล็คบุยนั้นอ่อนแอกว่าเล็กน้อย แต่พลังป้องกันของมันนั้นต้องอยู่ในอันดับต้น ๆ ของการ์ดสี่ดาวอย่างไม่ต้องสงสัย!
พลังโจมตีสามารถชดเชยได้ด้วยสกิล แต่พลังป้องกันเป็นอะไรที่ยากจะชดเชยได้
เมื่อเทียบกับแบล็คแคทมอนซึ่งมีค่าพลังโจมตีหนึ่งพันเก้าร้อยหน่วยและค่าพลังป้องกันเก้าร้อย ค่าความแข็งแกร่งของแบล็คบุยสามารถมองเห็นได้อย่างรวดเร็ว
…
ทว่าก่อนที่ดาร์กจะมีความสุขไปมากกว่านี้ เขาก็ถูกแบล็คบุยผลักลงไปนอนที่พื้น
เผ่าพันธุ์ของอีบุยมีลักษณะคล้ายแมวกับสุนัขจิ้งจอกผสมกัน และมันไม่เคยลังเลเลยที่จะใช้ลิ้นตัวเองเลียเจ้านาย
ยังดีที่ดาร์กมีประสบการณ์ในการจัดการกับแบล็คแคทมอนมาแล้ว เพราะอย่างนั้น เวลาชั่วครู่หนึ่งเขาก็ทำให้แบล็คบุยสงบลงได้
“บางทีฉันควรจะหา [ราคะ III] อีกใบ เพราะถ้ามีสปิริตสี่ดาวสองใบก็น่าจะดีสินะ?”
ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของดาร์กชั่ววูบหนึ่ง
แต่เด็กชายส่ายหัวอย่างรวดเร็ว
ข้อบกพร่องของ [ราคะ III] นั้นชัดเจนอยู่แล้ว
[ราคะ] ที่มาจากเทพธิดานั้นแตกต่างจาก [ราคะ] ของดาร์กอย่างสิ้นเชิง และมันไม่มีคุณค่าให้วิจัยมากนัก
จุดประสงค์หลักที่ดาร์กทำการทดลองบ่อยครั้ง และสร้างการ์ดเมจิกหมวดมหาบาปนั้น ยังคงเป็นแค่การวิเคราะห์มหาบาป
ส่วนการเพิ่มความแข็งแกร่งเป็นเพียงผลพลอยได้ที่ตามมาเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงไม่ควรวางเกวียนไว้หน้าม้า*[1]
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่จำเป็นต้องไปที่วิหารนั่นอีก
สำหรับการ์ดดอกไม้ สร้างเอาจากการ์ดสำเร็จรูปยังอาจเป็นไปได้มากกว่า
…
ค่ำคืนมาถึงในไม่ช้า
ขณะที่ดาร์ก เดม่อนกำลังตัดสินใจ ก็พลันมีเสียงร้องไห้ดังออกมาจากวิหาร
“เป็นไปได้ยังไงกัน! นะ…นี่พวกเราทำงานอย่างหนักมาทั้งเดือนเลยนะ!”
ยามนี้ สมาชิกภาคีมากกว่าหนึ่งโหลภายใต้ชุดคลุมสีดำและหน้ากาก กำลังนั่งคุกเข่าต่อหน้าเทพธิดาอย่างหวาดผวา
“ท่านเทพธิดา ได้โปรดยกโทษให้เราด้วย!”
ดวงตาของเทพธิดาสั่นไหวเล็กน้อย และช่องว่างนั้นก็ค่อย ๆ เลิกขึ้น!
นางเกิดบนดวงจันทร์และลงมายังโลก นางเป็นทั้งเทพธิดาแห่งจันทราและมารดรแห่งผืนพิภพ…
นางมักจะตื่นขึ้นในเวลากลางคืนและหลับใหลในเวลากลางวัน
ดาร์กไม่รู้ว่าเพราะเขาตัดสินใจมาวิหารในตอนกลางวัน จึงทำให้ตนหลีกเลี่ยงจากความโชคร้ายไปได้
หลังจากรับ ‘เครื่องสังเวย’ ของภาคีแล้ว ความนุ่มนวลราวกับชลธีไหลธารพลันปรากฏขึ้นในดวงเนตรของเทพธิดา
และเมื่อมันถูกล้อมรอบไปด้วยหมอก ก็ยิ่งทำให้ภาพนี้ดูศักดิ์สิทธิ์และไม่อาจหยั่งรู้ได้
เพียงแต่มีรอยร้าวน่าสยดสยองปรากฏขึ้นบนแก้มอันบอบบางของรูปปั้น นั่นช่างทำลายความสมบูรณ์แบบของนางไปอย่างสิ้นเชิง
สมาชิกของภาคีมือประสานก้มหัวแนบกับพื้น ทั่วทั้งร่างสั่นเทาไม่หยุด
โดยไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่า ดวงเนตรของเทพธิดาได้เปิดช่องว่างเล็ก ๆ ขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ
เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้วนับตั้งแต่การก่อตั้งภาคี ทว่านี่กลับเป็นครั้งแรกที่มีความผิดพลาดดังกล่าวเกิดขึ้น
ไม่มีใครรู้ว่าทำไมรูปปั้นเทพธิดาที่กำลังจะได้รับการบูรณะอย่างสมบูรณ์จึงเกิดรอยร้าวอีกครั้ง
ขณะที่ทุกคนกำลังคุกเข่าและก้มศีรษะหมอบกับพื้น หมอกสีชมพูอ่อนพลันไหลออกมาจากเทพธิดา และลอยเข้าไปในร่างกายของสมาชิกภาคี ราวกับเติมเต็มบางอย่างให้กับความคิดและจิตใจของพวกเขา
ในไม่ช้า เสียงของเทพธิดาก็ดังขึ้นในหูของทุกคนอย่างเลือนรางและลึกลับเล็กน้อย
หนึ่งในสมาชิกชั้นนำของภาคีดูเหมือนจะรู้สึกถึงการให้อภัยของเทพธิดา เขาจึงก้มกราบซ้ำแล้วซ้ำเล่าขณะที่ร้องไห้ไปด้วยอย่างรู้สึกขอบคุณ “ท่านเทพธิดาแห่งจันทราผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดชี้นำทางพวกเราต่อไป เส้นทางแสงจันทร์เป็นเส้นทางของเรา ท่านเทพธิดาจงเจริญ!”
*[1] ไม่ควรวางเกวียนไว้หน้าม้า เป็นสำนวน มีความหมายว่า การลำดับสิ่งที่ต้องทำผิดไป
บทที่ 71 ราคะอันไร้สิ้นสุดของรุกกี้เดวิมอน
รุกกี้เดวิมอนที่นอนอยู่บนเตียง จู่ ๆ ก็ส่งเสียงร้องอันน่าสยดสยองออกมา
ราวกับว่าลำแสงสีชมพูกลายเป็นใบแหลมมีดคมนับไม่ถ้วน ฟันร่างของมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่ท่าทางแบบนี้หลอกดาร์กไม่ได้นานแล้ว
เขามองดูเหล่าแสงมาบรรจบกันที่ระหว่างคิ้วของรุกกี้เดวิมอน และรูปแบบกะโหลกศีรษะบนหน้าผากมัน ก็ถูกแทนที่ด้วยสัญลักษณ์มหาบาปอันใหม่
แสงสีชมพูที่ปล่อยออกมาจาก [ราคะ III] ถูกดูดกลืนเข้าไปและจากนั้นก็ระเบิดออกมา โดยที่มีสัญลักษณ์เป็นแกนกลาง ทั้งตัวของมันเริ่มเรืองแสงอย่างเจิดจ้า และในที่สุดร่างกายที่เปล่งแสงสีชมพูก็เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง
ตอนนั้นเอง โครงสร้างสิ่งมีชีวิต ทั้งร่างกายของมันซึ่งกำลังส่องสว่างอยู่ก็ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ!
มันเหมือนกับการเปลี่ยนแปลงจากลูกอ๊อดไปเป็นคางคก จากสัตว์ทะเลกลายเป็นสิ่งมีชีวิตบนบก มันคือการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบสิ่งมีชีวิต วิวัฒนาการที่ยิ่งใหญ่ของสายพันธุ์!
“อ๊ะ นี่มัน!”
ดาร์กตระหนักเกือบจะในทันที ว่านี่คือการวิวัฒนาการ!
รุกกี้เดวิมอนที่โดนอิทธิพลของ [ราคะ III] กำลังวิวัฒนาการจริง ๆ!
สำหรับ <มอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่ในโลกดิจิทัล> ที่ควรจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นชุดข้อมูล [ราคะ III] ก็เหมือนกับการ์ดข้อมูลที่เต็มไปด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาล
ความปีติยินดีไร้ที่สิ้นสุดเติมเต็มไปทั้งหัวใจของดาร์ก
เขามองข้ามข้อความ +1 ที่เคลื่อนผ่านวิสัยทัศน์ไปอย่างไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าเป็นเพราะดาร์กตื่นเต้นที่ได้เห็นรุกกี้เดวิมอนวิวัฒนาการ!
“มันจะกลายเป็นอะไรนะ? <เดวิมี> <รุกกี้ดรากอน> <ฟรอสต์เดวิมอน>?”
<มอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่ในโลกดิจิทัล> มีเส้นทางวิวัฒนาการมากเกินไป
โดยเฉพาะ <มอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่ในโลกดิจิทัล> อย่างรุกกี้เดวิมอน สาขาวิวัฒนาการของมันสามารถขยายไปสู่ <มอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่ในโลกดิจิทัล> ประเภทไวรัสจำนวนมากได้
ดาร์กมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เพียงผิวเผิน
แต่สิ่งนี้ทำให้เขาสนุกมากขึ้น
ไม่มีใครไม่ชอบการวิวัฒนาการ!
ไม่ว่าจะเป็น <เดวิมี> <รุกกี้ดรากอน> หรือ <ฟรอสต์เดวิมอน> พวกมันล้วนเป็น <มอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่ในโลกดิจิทัล> โตเต็มวัยที่ทั้งทรงพลังและยอดเยี่ยม
แม้ว่ารูปลักษณ์แสนชั่วร้ายของมันอาจจะดึงดูดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คนอยู่บ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีจอมเวทที่เล่นการ์ดหมวดความมืดหรือปีศาจอยู่เลย
ช่างเรื่องนี้ไปเถอะ มีเพียงการแสวงหาความสุดยอดเท่านั้นที่สำคัญที่สุด!
มาเลยเพื่อนยาก!
ฉันเลือกนาย!
เดมิ… <แบล็คแคทมอน>?
แมวผิวดำยังคงเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงไปมา
มุมปากของดาร์กแข็งค้าง
เขาควรจะอธิบายอย่างไรดี แบล็คแคทมอนไม่น่าจะแย่ขนาดนั้นหรอก…ใช่ไหม?
ขนสีดำ หูแมวขนาดใหญ่ และใบหน้าที่เข้ารูปอย่างบรรจงสรรค์สร้าง ตัวเล็กกะทัดรัด น่ารัก มีถุงมืออุ้งเท้ากรงเล็บ หางยาวเรียวเหมือนสาวผิวแทนที่ร้อนแรง…
“เมี้ยว!”
แบล็คแคทมอนหยุดนิ่ง
นัยน์ตาสีเหลืองอำพันค่อย ๆ ลืมขึ้นพร้อมกับขนตายาวสั่นเล็กน้อย
ราวกับเด็กแรกเกิด มันมองโลกด้วยสายตาที่อยากรู้อยากเห็น
จากนั้นสายตาก็เพ่งไปยังดาร์กด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า!
“เมี้ยว~! นายท่าน!”
ทันใดนั้น ดวงตาของแบล็คแคทมอนก็กลายเป็นรูปหัวใจ และลิ้นสีชมพูของมันก็เลียที่มุมปาก ทำให้ริมฝีปากชุ่มชื้นและยืดหยุ่น
สัญลักษณ์มหาบาปบนหน้าผากของมัน ปลดปล่อยหมอกสีชมพูออกมาอย่างต่อเนื่องเมื่ออารมณ์เปลี่ยนไป
ดาร์กอยากรู้ความแตกต่างระหว่างตราสัญลักษณ์ [ราคะ] และ [อัตตา]
แบล็คแคทมอนกระโดดใส่เจ้านายพร้อมกับร้อง ‘เมี้ยว’ ฉับพลัน พลังอันท่วมท้นกดทับดาร์กลงกับพื้นทันที!
เมื่อเห็นหมอกหนาทึบในดวงตาของแบล็คแคทมอน ดาร์กก็ตระหนักว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง!
“ลุกออกไป!”
แบล็คแคทมอนไม่ฟัง
“ในนามของดาร์ก เดม่อน ฉันขอสั่งให้เธอลุกขึ้น วิญญาณรับใช้ของฉัน!”
สัญลักษณ์มหาบาประหว่างคิ้วของแบล็คแคทมอนกะพริบ ซึ่งดูเหมือนจะต่อต้านคำสั่งบังคับจาก ‘ระบบวิญญาณรับใช้’
ในทางกลับกัน มันแลบลิ้นสีชมพูออกมาเลียดาร์ก โดยเริ่มจากคางของเด็กชายไปถึงหน้าผากของเขา
“นี่มัน… ควบคุมไม่ได้เหรอ?”
ดาร์กแสดงสีหน้าซับซ้อน อดทนกับน้ำลายบนใบหน้าของเขา
[ราคะ I] ไม่ได้แสดงอาการออกมาอย่างเต็มที่
แต่ด้วย [ราคะ III] มันก็ปรากฏออกมาอย่างสมบูรณ์
การ์ดเมจิกหมวดมหาบาป [ราคะ] ที่สร้างจากรูปปั้นเทพธิดา ในที่สุดมันก็เปิดเผยข้อเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมัน!
วิวัฒนาการไม่ถูกลำดับ และ <มอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่ในโลกดิจิทัล> ก็ควบคุมไม่ได้
ดาร์กอดคิดถึงเรื่องสยองขวัญไม่ได้ เรื่องที่ <ทีเร็กซ์ของไท>วิวัฒนาการเป็น <ปีศาจโครงกระดูกเถ้า> ด้วยความผิดพลาด
ในที่สุดดาร์กก็ควบคุมตัวเองได้สำเร็จ
‘โชคดีที่มันวิวัฒนาการเป็นแบล็คแคทมอน’
ถ้าเป็น <เดวิมี> หรืออะไรเทือกนั้น เขาคงถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ไปแล้ว!
ทันทีที่ดาร์กคิดเรื่องนี้ หัวใจของเขาพลันรู้สึกเย็นเยียบ แต่เมื่อมองไปที่แบล็คแคทมอน ดวงตาของเขาก็ดูโล่งใจไม่น้อย
ดาร์กกอดเจ้าตัวน้อย ลูบคาง หู อก ท้อง และหน้าผากของมันอย่างชำนาญ
อย่างไรมันก็คือการลูบแมว~!
ดาร์กเชี่ยวชาญเรื่องนี้มาก
ภายใต้การกระทำของเด็กชาย แบล็คแคทมอนซึ่งมีพลังเหนือกว่า พลันกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ด้อยกว่าลูกแมวทั่วไป และไม่สามารถหลุดพ้นจากความสุขนี้ได้
ดาร์กใช้พลังกายพลังใจทั้งหมดกับมันจนเจ้าตัวน้อยพอใจ
ในที่สุด แบล็คแคทมอนก็หยุดเคลื่อนไหวและเพลิดเพลินไปกับความพึงพอใจที่ได้รับมา ดาร์กบันทึกข้อมูลใหม่ลงในสมุดบันทึกของเขาอย่างรวดเร็ว
[ชื่อการ์ด: แบล็คแคทมอน]
[ประเภท: การ์ดวิญญาณ]
[ระดับ: ✪✪✪✪ ]
[เผ่าพันธุ์: ประเภทนกและสัตว์]
[คุณสมบัติ: ความมืด]
[พลังเวทมนตร์: 1500 หน่วย]
[พลังโจมตี: 1900 หน่วย]
[พลังป้องกัน: 900 หน่วย]
[ท่าไม้ตาย: หมัดแมว, ราคะอันบ้าคลั่ง]
…
ขนสีดำขลับของมันมีสเน่ห์มาก แบล็คแคทมอนนั้นนอกจากจะเป็นวิญญาณรับใช้ประเภทไวรัสแล้ว มันยังเป็นเจ้าตัวน้อยที่ชั่วร้ายอย่างสมบูรณ์ด้วย เพราะมันสามารถอาศัยและเอาตัวรอดในความมืดได้อย่างน่าขนลุก
แบล็คแคทมอนเกิดมาพร้อมกับนิสัยที่ชั่วร้าย มีความหยิ่งทะนงในตนเองสูง ชอบรังแกผู้อ่อนแอกว่า และมันยังเป็น <มอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่ในโลกดิจิทัล> เจ้าปัญหา
โดยพื้นฐานแล้ว ต้องเรียกว่ามันเป็น <มอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่ในโลกดิจิทัล> สายความมืดที่วิวัฒนาการเป็น <มอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่ในโลกดิจิทัล> ประเภทนางฟ้าตกสวรรค์
นั่นเป็นเพราะมันมีท่าไม้ตาย [หมัดแมว]!
…
[หมัดแมว: ใช้กรงเล็บขนาดใหญ่ฟาดฟันศัตรู]
[ราคะอันบ้าคลั่ง: เสน่ห์อันแสนเย้ายวนใจ อันตรายเกินกว่าจะควบคุม]
…
“ถ้าเป็นการ์ดวิญญาณ มันคงจะเป็นการ์ดสีน้ำเงินที่มีสองสกิล ซึ่งเกิดจากการผสมผสานที่ทรงพลังของสกิลโจมตีหนึ่งสกิล และสกิลควบคุมหนึ่งสกิล”
“ราคะอันบ้าคลั่ง…จากคำอธิบาย มันคล้ายกับ [ความรักต้องห้าม] ของเวอร์เธอร์มาก”
“ต่อไปก็เป็นบันทึกตราสัญลักษณ์สินะ”
…
ดาร์กวาดสัญลักษณ์มหาบาปของ [ราคะ] อย่างรวดเร็ว
ไม่เหมือนกับสัญลักษณ์ของ [อัตตา] เพราะตราสัญลักษณ์ของ [ราคะ] นั้นเป็นสีเขียว
ตรงกลางสัญลักษณ์มีตราประทับแปลก ๆ และด้านบนรอยตราประทับเป็นสัญลักษณ์ทางดาราศาสตร์ที่เป็นสัญลักษณ์ของ ‘ดวงจันทร์’
วงกลมด้านนอกของตรามีบางสิ่งที่เขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษ
เลเวล: 666
ระบบ: แอสโมเดียส
รหัส: ราคะ
และด้านใต้สัญลักษณ์นั้น วงกลมด้านในเขียนไว้ว่า
[คำเตือน! การชำระล้างระดับ 7]
…
หลังจากที่ดาร์กวาดตราสัญลักษณ์ทั้งหมด เขาก็คัดลอกข้อความ
วงแหวนรอบนอก:
เลเวล: 666
ระบบ: แอสโมเดียส
รหัส: ราคะ
วงแหวนภายใน:
[คำเตือน! การชำระล้างระดับ 7]
…
“ลูซิเฟอร์ แอสโมเดียส… ฉันเข้าใจแล้ว นี่มันชื่อเทพปีศาจที่เป็นสัญลักษณ์ของบาปทั้งเจ็ด เทพปีศาจราคะเป็นลำดับที่เจ็ดในนรก”
บทที่ 70 ดาร์ก เดม่อนแสดงความขอบคุณต่อคำสั่ง
ดาร์กครุ่นคิดถึงเรื่องหนึ่งอยู่ชั่วขณะ
‘ทำไมฉันต้องเข้าไปในทางเดินลับตอนกลางคืน?’
‘ฉันเข้าไปในตอนกลางวันก็ได้ไม่ใช่เหรอ?’
เห็นได้ชัดว่าถ้าเข้าไปในตอนกลางวัน มันจะมีประโยชน์มากกว่า
1. ไม่มีการลาดตระเวนของโกเลม
2. อาจารย์ไม่ว่าง
3. มันสว่าง!
ในบ่ายวันพุธไม่มีเรียน
ดาร์กเดินอ้อมเส้นทางไปเล็กน้อย และเข้าไปในทางลับเมื่อไม่มีใครเห็น
จากนั้นก็เดินตามเส้นทางที่เขาออกมาเมื่อคืนนี้ และสิบกว่านาทีต่อมาเขาก็เจอวิหารแล้ว
อย่างที่คิดเลย…
ไม่มีใครอยู่ในวิหาร!
ทั้งภาคีลึกลับและเวอร์เธอร์ที่บาดเจ็บ ดูเหมือนจะไม่มีใครเข้าใจถึงประโยชน์ของการมาในตอนกลางวันเลย
ดาร์กสั่งให้รุกกี้เดวิมอนเฝ้าระวัง จากนั้นเขาก็อัญเชิญอีบุยตัวน้อยออกมาและเริ่มรวบรวม [ราคะ] ทันที!
ขั้นตอนที่สำคัญที่สุด คือการดึง [ราคะ] ออกมา
มันอาจเป็นเรื่องยากสำหรับคนอื่น
แต่สำหรับดาร์ก เพียงแค่ใส่พลังเวทมนตร์เล็กน้อยก็สามารถดึง [ราคะ] ที่สะสมอยู่ในรูปปั้นเทพธิดาออกมาได้
จากนั้นเขาก็สามารถใช้เครื่องหยดสมองวิเศษเพื่อดึงมันออกมาได้ตามต้องการ และเขายังสามารถดึงได้จนเต็มหลอด!
ง่ายเกินไปแล้ว
ง่ายเสียจนดาร์กเกือบคิดว่ามันเป็นเพียงความฝัน
ขวดแห่งความคิดที่เขายืมมาจากศาสตราจารย์สามารถเก็บได้สามสิบหยดเต็ม
ดาร์กเติมเต็มขวดแห่งความคิดอย่างรวดเร็ว และถึงกับดูดเก็บลงในเครื่องหยดสมองวิเศษอีกหยด ก่อนจะออกจากวิหารอย่างไม่เต็มใจ
แต่เด็กชายไม่ได้สังเกตว่าหลังจากที่เขาจากไป ผิวสีขาวราวกับหยกของเทพธิดาก็เริ่มแตกออกอย่างช้า ๆ…
…
พอเวลาบ่ายสามครึ่ง ดาร์กก็กลับมาที่หอพักแล้ว
เขาเอาอุปกรณ์ทดลองออกมา และวางขวดแห่งความคิดที่มุมบนซ้าย วางเครื่องหยดสมองวิเศษบนหิ้งโดยยกปากขึ้น จากนั้นก็ล้างมือและเริ่มทำการทดลอง
สำหรับการสร้างการ์ดเมจิกหมวดมหาบาป ดาร์กพอมีประสบการณ์บ้างแล้ว
โดยทั่วไปหากจะสร้างให้ได้อย่างแม่นยำตามวิธีการสร้าง [การ์ดอารมณ์]
ต้องต้ม ‘น้ำสมอง’ ก่อนแล้วจึงค่อยทำ ‘น้ำยาปิดผนึก’
ดาร์กหยิบการ์ดเวทมนตร์เปล่ามาวางออกบนโต๊ะทดลอง
จากนั้นก็เกลี่ย ‘น้ำสมอง’ ที่ดูเหมือนไข่ขาวบนการ์ดเวทมนตร์เปล่าให้ทั่ว เพื่อเปลี่ยนคุณสมบัติพื้นผิวของการ์ดเวทมนตร์และทำให้เคลือบสสารความคิดเช่นอารมณ์ไปกับมันได้ง่ายขึ้น
ในขั้นตอนถัดมา
ดาร์กหยิบเครื่องหยดสมองวิเศษ กดปลายเครื่องหยดสมองวิเศษกับการ์ดเวทมนตร์เปล่า และบีบสมองวิเศษอย่างแรง!
หยดของ [ราคะ] ที่เก็บไว้ในสมองวิเศษถูกบีบออกมา!
‘น้ำสมอง’ ปรากฏออกมา และ [ราคะ] ก็ดูราวกับสีสันที่หยดลงบนกระดาษสีขาว สีของมันกระจายไปทั่วการ์ดในทันที
ต่างจากสีทองเข้มที่ [อัตตา] แสดงให้เห็น เพราะ [ราคะ] เป็นสีชมพูที่ดูเลือน ๆ และมันก็จางมาก!
เมื่อการทดลองดำเนินมาถึงจุดนี้ ดาร์กก็พบปัญหาทันที “เดี๋ยวก่อนนะ ฉันจำได้ว่าตอนที่ทำการ์ดเวทมนตร์อัตตาแค่ [อัตตา] หยดเดียวก็เปลี่ยนการ์ดเวทมนตร์เปล่า ให้กลายเป็นสีทองเข้มมากได้แล้ว แต่นี่มันจางมากเลย…เป็นเพราะปัญหาด้านคุณภาพหรือเปล่า? หรือหยดเดียวไม่พองั้นเหรอ?”
ด้วยความสงสัย ดาร์กจึงดึง [ราคะ] อีกหยดหนึ่งออกมาจากขวดแห่งความคิด และหยดมันลงบนพื้นผิวของการ์ดอีกครั้ง
สีชมพูบนพื้นผิวการ์ดในที่สุดก็เข้มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ดีเท่ากับ [ราคะ I] ที่สร้างด้วยการ์ดดอกไม้
จนกระทั่ง [ราคะ] หยดที่สามลงไป สีของการ์ดเวทมนตร์ถึงใกล้เคียงกับ [ราคะ I] มาก
ดาร์กบันทึกปรากฏการณ์นี้และเริ่มใช้ ‘น้ำยาปิดผนึก’
…
หลังจากผ่านไปประมาณสิบนาที ในที่สุดการ์ดเมจิกหมวด [ราคะ] ก็เสร็จสมบูรณ์
ดาร์กหยิบการ์ดใบนี้ขึ้นมา และสังเกตมันอย่างระมัดระวังชั่วขณะหนึ่ง
บางทีอาจเป็นเพราะกระบวนการทดลอง เขาจึงรู้สึกว่า ‘มัน’ ดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก
“ฉันควรลองดูก่อน”
ทันใดนั้น เขาก็หันไปมองที่รุกกี้เดวิมอนผู้ซึ่งแกล้งทำเป็นหลับ โดยหลับตาอยู่บนหิ้งนก
…
การทดลองแสดงให้เห็นว่า การ์ดเวทมนตร์นี้มีเอฟเฟกต์อยู่บ้าง แม้ว่าจะระยะเวลาการเกิดเอฟเฟกต์ด้อยกว่าการ์ดดอกไม้เล็กน้อย
จากนั้นเขาก็ทำการคำนวณอย่างง่าย
“[ราคะ I] หนึ่งใบใช้ [ราคะ] ตั้งสามหยด ถ้าเป็นอย่างนี้ [ราคะ II] จะไม่ต้องการเก้าหยดเลยเหรอ? แล้ว [ราคะ III] ล่ะ ต้องใช้ประมาณสามสิบหยดเลยรึเปล่าเนี่ย?”
ถ้าเขายังคงสร้าง [ราคะ II] ต่อไป ก็มีแนวโน้มว่า [ราคะ] ที่เหลืออยู่อาจไม่เพียงพอที่จะสร้าง [ราคะ III] ได้ ดังนั้นดาร์กจึงตัดสินใจข้าม [ราคะ II] และพยายามสร้าง [ราคะ III] แทน!
“เหลืออีกยี่สิบแปดหยด ฉันหวังว่าจะพอนะ”
ดาร์กไม่ได้คาดหวังอะไรมากกับการ์ด [ราคะ] ที่สร้างจากรูปปั้นเทพธิดา เขาเพียงหวังว่าการทดลองนี้จะให้ประสบการณ์สำหรับการสร้าง [อัตตา III] ในภายภาคหน้าได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม เขายังคงหยิบการ์ดเวทมนตร์เปล่าราคาห้าสิบคะแนนใบหนึ่งจากสองใบ และเริ่มสร้าง [ราคะ III] อย่างระมัดระวัง
ขั้นตอนการผลิตนั้นก็เหมือนกับครั้งก่อน ยกเว้นตอนหยด [ราคะ] ลงไป เพราะเขาจะใช้ [ราคะ] ทั้งยี่สิบแปดหยดเต็ม!
ใช่แล้ว เขาจะใส่ [ราคะ] ที่เหลือทั้งหมดเข้าไป!
ผลที่ได้คือการ์ดเวทมนตร์เปล่าใบนี้ ถูกย้อมจากภายในสู่ภายนอกจนกลายเป็นสีชมพูทองที่มีกรุ่นกลิ่นแห่งความเสน่หา และให้ความรู้สึกเหมือนถูกยั่วยวนอยู่ตลอดเวลา
ดาร์กสงบสติอารมณ์และทำการทดลองต่อไป
เขาใช้ [น้ำยาปิดผนึก] และวาดวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์
วงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์เจ็ดวงถูกวาดขึ้นในคราวเดียว!
เมื่อวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์สุดท้ายถูกกระตุ้นสำเร็จ แม้แต่ดาร์กเองก็พูดไม่ออก เพราะเขาสามารถสร้าง [ราคะ III] ขึ้นมาได้จริง ๆ
…
จากรูปลักษณ์ภายนอก [ราคะ III] นี้ดูเหมือนจะไม่แตกต่างจาก [ราคะ I] มากนัก แต่มีเพียงสีเท่านั้นที่ดูมีเสน่ห์มากขึ้น และยังมีกลิ่นหอมลอยอวลออกมาแต่ไม่น่ารำคาญใจ
ทว่าไม่มีอะไรที่สามารถประเมินได้จากรูปลักษณ์เท่านั้น
ถ้าดาร์กต้องการรู้เอฟเฟกต์ของมัน มีวิธีเดียวเท่านั้นที่จะรู้ได้!
ดาร์กอดมองรุกกี้เดวิมอนอีกครั้งไม่ได้
“ไม่! นายท่าน ไม่เอาอีกแล้ว!”
และแล้ว…รุกกี้เดวิมอนที่เพิ่งฟื้นจากผลของราคะก็ตกลงไปในขุมนรกอีกครั้ง!
“เมี้ยว เมี้ยว~!”
หญ้าแมวเหลือบมองจากหน้าต่างระเบียง
เสียงเหมียวเหมียวน่ารักนี้ รุกกี้เดวิมอนกลับคิดว่านี่คือน้ำเสียงเยาะเย้ยจากอีกฝ่าย!
มันเหยียดอุ้งเท้าออกแล้วนอนลง
“มาเลย! เอาที่สบายใจเลย!”
ชีวิตก็เหมือนกับการตกเป็นเป้าของนางโง่ ในเมื่อคุณไม่สามารถต้านทานได้เช่นนั้นก็ต้องหันมาเรียนรู้ที่จะสนุกกับมันแทน
รุกกี้เดวิมอนติดตามดาร์กมานานแล้ว ในที่สุดมันก็เข้าใจวลีที่โด่งดังนี้
…
ดาร์กส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
รุกกี้เดวิมอนค่อนข้างน่าสงสาร
‘ฉันขอโทษจริง ๆ นะที่ต้องทำแบบนี้กับนายตลอดเลย’
แต่การทดลองที่ควรทำ…ก็ต้องทำให้ได้!
ดาร์กสูดหายใจเข้าลึก ๆ และหนีบการ์ดเวทมนตร์ [ราคะ III] ด้วยนิ้วชี้และนิ้วกลาง จากนั้นสะบัดมือไปข้างหน้าเพื่อเปิดใช้งาน
“ในนามของดาร์ก เดม่อน จงออกมา!”
เพียงชั่วพริบตา
แสงสีชมพูเข้มก็พุ่งออกมาจากการ์ดเวทมนตร์ [ราคะ III]
เกือบทั่วทั้งห้องพักสว่างไสวเต็มไปด้วยสีชมพู
ยกเว้นตัวผู้ร่ายเอง ทุกสิ่งได้รับผลกระทบหมด หญ้าแมวที่อยู่นอกหน้าต่างส่งเสียงร้องแผ่วเบา
ส่วนรุกกี้เดวิมอนที่โดนแสงโดยตรงนั้น…
บทที่ 69 ดาร์ก เดม่อน…กลางวันแสก ๆ
มี [ราคะ] สะสมอยู่ในรูปปั้นเทพธิดานี้เยอะมาก หากแยกออกมาได้ อย่าว่าแต่ [ราคะ I] และ [ราคะ II] เลย แม้แต่ [ราคะ III] และ [ ราคะ IV] ก็สร้างได้!
ปัญหาเดียวคือดูเหมือนมันจะยังขาด ‘กลิ่นอาย’ ไปอยู่บ้าง
ดาร์กได้สัมผัสกับ [ราคะ] ในรูปปั้นเทพธิดานี้ไปบ้างแล้วโดยผ่านการเชื่อมต่อ แต่มันกลับมีบางอย่างที่ขาดหายไปในนั้น ซึ่งเขาไม่สามารถสัมผัสได้
บางทีอาจเป็นเรื่องความแตกต่างด้านคุณภาพ หรือมีอะไรบางอย่างที่ขาดเกินไป
สรุปแล้ว มันแตกต่างจาก [ราคะ] ของดาร์กเล็กน้อย
นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไม [ราคะ] ของเทพธิดาถึงสามารถนำมาใช้ทำการ์ดดอกไม้ได้
“และอีกปัญหาคือ ฉันมีความรู้ไม่พอ!”
ดาร์กอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
ความรู้ไม่สามารถหาได้ในชั่วข้ามคืน และมันต้องใช้เวลาอย่างมากในการเพิ่มพูนสะสม
เขาไม่ควรรีบร้อน
“ดูเหมือนพรุ่งนี้ฉันควรมาอีกครั้ง”
หลังจากตัดสินใจแล้ว ดาร์กก็ไม่อยู่ในวิหารนี้อีกต่อไป เขารู้สึกว่าตัวเองต้องไปพบศาสตราจารย์เคเซอร์และขอยืมขวดแห่งความคิดมาใช้
…
ขากลับนั้นสั้นกว่ามาก
เหตุผลหลักคือ ดาร์กเจอเวอร์เธอร์กำลังเดินกะเผลก พลางใช้มือลูบก้นป้อย ๆ ตัวเองอยู่ เมื่อเห็นแบบนั้น ดาร์กจึงเดินตามอีกฝ่ายไปยังทางลัด
เมื่อออกจากทางลับได้ เวลาก็ย่ำใกล้เที่ยงคืนแล้ว
ดาร์กรีบแยกทางกับเวอร์เธอร์ แล้วกลับไปที่หอคอยของบ้านขุนนางก่อนเคอร์ฟิว
สรุปได้ว่า การเดินเล่นในค่ำคืนนี้ผ่านไปได้อย่างราบรื่น
แม้จะสูญเสียการ์ดดอกไม้และการ์ด [ราคะ I] ไป แต่อย่างน้อย ยังมีการ์ดเมจิกหมวดราคะที่รอเขาอยู่อีกมากมายในอนาคต
คืนนี้ดาร์กหลับสบายพอสมควร
…
ตรงกันข้าม เวอร์เธอร์กำลังนอนพลิกตัวไปมา
เขาต้องรีบกลับมาหอพัก ก่อนที่ประตูหอคอยของบ้านอัศวินจะปิดห้ามไม่ให้เข้า นั่นทำให้ก้นของเขายิ่งระบมมากขึ้นเพราะออกแรงวิ่ง
แต่เมื่อเด็กชายนึกถึงชายชุดดำที่เขาพบในทางเดินลับ ความเจ็บปวดก็รุนแรงน้อยลง
“เขาไม่ใช่สมาชิกของภาคี แต่น่าจะเข้ามาด้วยเหตุผลอื่นเหมือนกับฉัน”
“บ้าจริง เขาเป็นใครกัน?”
“ฉันเกือบจะจับเขาได้แล้ว! โอ๊ย!”
คืนนั้น เวอร์เธอร์นอนคว่ำทั้งคืน
…
สายลมอุ่นพัดผ่านประตูเข้ามา
เมื่อแสงแดดลอดผ่านช่องผ้าม่าน หญ้าแมวซึ่งไวต่อแสงเป็นพิเศษก็ลืมตาขึ้นต่อหน้าดาร์ก
พอดาร์กตื่นขึ้นก็พบว่าหน้าเขาเปียก…
เด็กชายวางหญ้าแมวกลับเข้าไปในตะกร้านอนเล็ก ๆ บนโต๊ะข้างเตียงอย่างไม่เต็มใจแล้วลุกขึ้นไปล้างหน้า
“ดูดีมาก”
ดาร์กมองเข้าไปในกระจก แล้วอัญเชิญ [สไลม์ขยะ] ออกมามาสก์หน้า จากนั้นเขาก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
‘เดลี่เสจ’ ของวันนี้แตกต่างออกไปเล็กน้อย
ดาร์กกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ตามลำพังในห้องนั่งเล่นส่วนกลาง วันนี้พาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์เป็นสี พร้อมด้วยรูปถ่ายของเจ้าหญิงทั้งสาม
เจ้าหญิงคนโตนั้นดูอ่อนโยนและมีคุณธรรม ส่วนเจ้าหญิงฝาแฝดทั้งสองก็น่ารักและน่าเอ็นดู
‘เดลี่เสจ’ ประกาศว่า เจ้าหญิงทั้งสามมีกำหนดการมาเยือนสถาบันเซนต์แมเรียนในวันฮาโลวีน และพวกเธอจะเข้าร่วมงานฮาโลวีนของสถาบันในฐานะตัวแทนของราชวงศ์
ในทางการเมือง นี่นับเป็นการแสดงความปรารถนาดีที่ชัดเจนมาก
และเนื่องจากอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ยอมรับ จึงถือได้ว่าเป็นการแสดงจุดยืนที่ชัดเจน
ในหน้าเดียวกัน เลยด้านล่างพาดหัวข่าวไปเล็กน้อย มีการเผยแพร่ภาพถ่ายของเจ้าชายด้วย
ในส่วนของเจ้าชายนั้น พระองค์จะเสด็จไปที่สถาบันโฮลี มิสเทอรีเพื่อเข้าร่วมงานฮาโลวีนในคืนวันฮาโลวีน
“นี่ทั้งสองฝ่ายประกาศจุดยืนชัดเจนแล้วเหรอ?”
ดาร์กขมวดคิ้วเล็กน้อย
ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ภายนอกหรือภายใน เขาก็ไม่อยากเห็นมันเกิดขึ้นทั้งนั้น
แต่มนุษย์…เป็นสิ่งมีชีวิตแบบนั้นมาตั้งแต่สมัยโบราณ
ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ พวกเขาย่อมไม่หยุดต่อสู้แน่นอน
ขณะที่จิบชาดำ ดาร์กก็วางหนังสือพิมพ์ลง
ถึงแม้เขาจะเป็นนกพิราบ แต่ตนก็หาได้คัดค้านการตัดสินใจบางอย่างของเหยี่ยว
แต่เพราะวัลคีรีเป็นถึงผู้นำของพรรคนกพิราบ แน่นอนว่าเขาในฐานะบุตรแห่งดัชเชส ย่อมต้องยืนหยัดอยู่ข้างหลังเธออย่างมั่นคง
อย่างไรก็ตาม ดาร์กเพิ่งอายุเพียงสิบสองปี และนับจากนี้ไปอีกหกปีข้างหน้า เวลาส่วนใหญ่ของเขา แน่นอนว่าต้องถูกใช้ไปในสถาบันเซนต์แมเรียน เพราะอย่างนั้น สิ่งต่าง ๆ ภายนอกย่อมไม่เกี่ยวข้องกับเขาสักเท่าไหร่
แทนที่จะสนใจเรื่องพวกนั้น เขาควรคิดถึงความจริงที่ว่าเจ้าหญิงทั้งสามกำลังเสด็จมาเข้าร่วมงานวันฮาโลวีนดีกว่า เชื่อเลยว่ามันต้องสร้างความตื่นเต้นให้กับทุกคนได้อย่างแน่นอน!
“เอลิซา แอนนา และแองจี้ ฉันจำได้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขากับฉันนั้นไม่ดีเท่าไหร่”
“…หวังว่านั่นจะช่วยให้ฉันไม่ต้องรับมือกับพวกเธออย่างลำบากนะ”
…
คาบแรกของวันพุธคือ คาบวิชาปรุงยา
ดาร์กมาที่ห้องเรียนแต่เช้า และมองดูเวอร์เธอร์ที่เดินเข้ามาทางประตูหลังโดยมีโรเบิร์ตประคองอยู่
‘ถ้ามันเจ็บขนาดนั้นทำไมไม่ไปห้องพยาบาลเล่า? ซิสเตอร์คาไลด์น่าจะยินดีช่วยเขาบรรเทาอาการปวดที่ก้นนะ’
ดาร์กระงับความอยากที่จะหัวเราะและครุ่นคิดในหัว
เนื่องจากเวอร์เธอร์และโรเบิร์ตได้รับบาดเจ็บภายในวันเดียว ทั้งสองจึงเดินเข้ามาในห้องเรียนด้วยใบหน้าขมขื่น
“โอ๊ย!”
เวอร์เธอร์นั่งลงอย่างระมัดระวัง แต่ยังคงกัดฟันด้วยความเจ็บปวด
โรเบิร์ตพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ทำไมนายไม่ไปห้องพยาบาลล่ะ? จริง ๆ แล้วซิสเตอร์คาไลด์เป็นคนดีนะ เธอไม่น่ากลัวอย่างที่ข่าวลือบอกหรอก”
“ฉันสบายดี” เวอร์เธอร์รีบพูด “ถ้าฉันชินกับมัน ฉันก็ไม่เจ็บแล้ว”
เป็นผลให้ทันทีที่ชั้นเรียนเริ่ม ศาสตราจารย์ทอมป์สันเห็นว่าเวอร์เธอร์ยิ้มในขณะที่เขากำลังสอน อาจารย์จึงเรียกเขาขึ้นมาบนแท่นโพเดียม
เวอร์เธอร์อดทนต่อความเจ็บปวด และทำแบบฝึกหัดจนเสร็จ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวเมื่อเดินลงจากแท่นโพเดียม
…
คาบที่สองคือ คาบวิชาอัญเชิญ
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์นำ [การ์ดอัญเชิญ] ออกมาสอน ซึ่งมันสามารถตอบสนองต่อเทคนิคการอัญเชิญ และสามารถใช้ฝึกฝนการอัญเชิญบูชายัญได้
จอมเวทฝึกหัดร่ายคาถาอัญเชิญอย่างตื่นเต้น พวกเขาเรียกลูกบอลแสงขนาดใหญ่ออกมาลูกแล้วลูกเล่า
ก่อนที่คาบเรียนจะจบลง ศาสตราจารย์ซิลเวอร์บอกกับนักเรียนว่าพวกเขาสามารถซื้อ [การ์ดอัญเชิญ] จากเธอเพื่อฝึกฝนได้ ด้วยราคาเพียงร้อยคะแนน แต่สุดท้ายก็มีนักเรียนไม่เกินหนึ่งในสามที่ซื้อมัน
…
แน่นอนว่าดาร์กซื้อมันมา
คะแนนของเขาเพิ่มขึ้นด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ไม่ว่าจะเป็นการช่วยโรเบิร์ต หรือ ‘ตารางสูตรคูณ’ พวกมันทำคะแนนให้แก่เขามากมาย
สิ่งสำคัญคือ ชุดการ์ดอัญเชิญนี้ใช้งานง่ายมาก เขาพบว่าคาถาอัญเชิญปกติของเขา สามารถลดระยะเวลาให้สั้นลงจนเหลือน้อยกว่าหกวินาทีได้ แม้ว่าเขาจะเพิ่งเริ่มเรียนรู้การอัญเชิญด้วยวิธีบูชายัญ แต่เขาก็เรียนรู้มันได้รวดเร็ว
การต่อสู้กับเวอร์เธอร์เมื่อคืนนี้ ทำให้ดาร์กตระหนักถึงความสำคัญของการอัญเชิญ
เพราะในการต่อสู้ระหว่างจอมเวท ทุกวินาทีมีความสำคัญ มีแค่การบีบอัดเวลาร่ายและคูลดาวน์ของคาถาอัญเชิญให้ถึงขีดจำกัดเท่านั้น เราถึงจะไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในระหว่างการต่อสู้
…
หลังเลิกเรียนดาร์กสูดหายใจเข้าลึก ๆ และมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของศาสตราจารย์เคเซอร์อีกครั้ง
เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ แต่ขอยืมขวดแห่งความคิดจากศาสตราจารย์เท่านั้น
เมื่ออาจารย์ถามอย่างเป็นกันเอง เขาก็ยิ้มและบอกว่าการทดลองของเขาก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว และหากใช้ขวดแห่งความคิดก็จะทำให้สะดวกมากขึ้น
ศาสตราจารย์เคเซอร์เพียงให้กำลังใจเขาด้วยคำพูดสองสามคำ จากนั้นจึงตรวจการบ้านของนักเรียนต่อไป
ทั้งสองไม่ได้พูดถึงการ์ดดอกไม้ตั้งแต่ต้นจนจบ
หลังจากที่ดาร์กออกจากห้องทำงาน เขาก็ไปที่โรงอาหารเพื่อทานอาหาร แล้วจึงกลับไปที่หอพัก หยิบเอาเครื่องหยดสมองวิเศษพร้อมกับเครื่องมือต่าง ๆ ออกมา จากนั้นก็ตรงไปยังทางเดินลับอีกครั้งในระหว่างกลางวัน!
บทที่ 68 การปะทะกันครั้งแรกของดาร์กและเวอร์เธอร์
“หือ! คิดว่าฉันจะปล่อยให้นายตามทันงั้นเหรอ?”
ช่องว่างความแข็งแรงระหว่างพวกเขา เผยออกมาให้เห็นตั้งแต่ตอนวิ่งรอบโถงในคาบวิชาการประลองแล้ว
ดาร์กวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ตื่นตระหนก และบางครั้งเขายังหันกลับไปมองเวอร์เธอร์ซึ่งอยู่ด้านหลัง มองดูบุตรแห่งวีรบุรุษวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตายและหอบหายใจไม่ทัน
แต่เวอร์เธอร์ไม่ได้โง่
เมื่อเห็นความแตกต่างระหว่างพวกเขา เด็กชายก็นึกถึงกวางของตน!
เวอร์เธอร์ปีนขึ้นไปบนหลังกวางและอดทนต่อความรู้สึกไม่สบายระหว่างขายามมันวิ่ง ผ่านดวงตาของหน้ากากไอ้แมลงวัน เขาจ้องมองไปข้างหน้าอย่างดุดันราวกับว่าจะแทงชายเบื้องหน้าตนให้ได้!
แต่ทันใดนั้นเอง ดาร์กที่วิ่งไปข้างหน้ากลับเลี้ยวหายไปตรงหัวมุม
ตั้งแต่วินาทีที่เวอร์เธอร์ปีนขึ้นไปบนกวาง ดาร์กก็รู้ทันทีว่าการแข่งจบลงแล้ว
อย่างที่ทราบว่า การอัญเชิญสปิริตออกมาเป็นเวลานานนั้นจำเป็นต้องใช้พลังเวทมนตร์อย่างต่อเนื่อง
ส่วนพรสวรรค์ด้านพลังเวทมนตร์ของบุตรแห่งวีรบุรุษก็เพียงพอที่จะสนับสนุนเขาตลอดทั้งคืน
อาศัยการเลี้ยวหัวมุมของดาร์ก เขาอาจจะสามารถทิ้งระยะออกห่างเล็กน้อยได้สักพัก แต่ให้สลัดอีกฝ่ายหลุดไปเลยมันก็ยังคงเป็นเรื่องยากอยู่ดี
เมื่อมันเป็นแบบนี้แล้ว ดาร์กจึงตัดสินใจสู้กลับทันที
ในวินาทีที่แปด สไลม์ขยะปรากฏตัวขึ้นในมือของเด็กชาย
หลังจากเลี้ยวอีกมุมหนึ่ง อีบุยเริ่มออกตัววิ่งตามเขาและมันก็วิ่งไปข้างหน้า
ที่ทางแยกต่อไป สัญลักษณ์ของอัตตาปรากฏบนหน้าผากของอีบุย
ความเร็วของมันเพิ่มขึ้นและหายตัวไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
ในที่สุดเวอร์เธอร์ กาวด์ก็ได้เห็นแผ่นหลังของดาร์กอีกครั้ง เขาถ่ายโอนพลังเวทมนตร์เข้าไปในกวางอย่างต่อเนื่อง เพราะเขามีการ์ดดอกไม้พิเศษอยู่ในมือแล้ว
[ความรักต้องห้าม]!
ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายลดลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อเวอร์เธอร์คิดว่าเขาตามคนข้างหน้าทันแล้ว เจ้านั่นกลับถอดหมวกทรงสูงออกแล้วปามันมาทางเขา!
หมวกทรงสูงสีดำสนิทหมุนไปในอากาศ และเกือบจะชนกับเวอร์เธอร์ที่ขี่กวางไล่มาด้วยความเร็วสูง
เวอร์เธอร์ไม่มีเวลาตอบสนอง แต่กวางกระโดดไปทางขวาทันที ช่วยให้เจ้านายมันหลบหมวกทรงสูงที่กำลังมาถึงหน้าได้ในวินาทีสุดท้ายพอดี
แต่ทันใดนั้นเอง! มวลน้ำของวัตถุซึ่งคล้ายสไลม์สีเขียวพลันปรากฏขึ้นจากด้านหลังของหมวกทรงสูง และสาดเข้าใส่ใบหน้าของเวอร์เธอร์
เมื่อวิสัยทัศน์ของเด็กชายถูกบดบัง ความตื่นตระหนกก็บังเกิดขึ้นในหัวใจเขาทันที
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก
เขาเห็นเงาเล็ก ๆ แวบไปมาอยู่ในอากาศ จากนั้นกวางของเขาก็กรีดร้อง ก่อนจะถูกกำจัดออกไปทันทีโดยไม่อาจสู้กลับได้แต่อย่างใด
จากนั้นสไลม์สีเขียวบนใบหน้าเวอร์เธอร์ก็หายไป
เขาตกลงมาจากอากาศ
โชคดีที่กวางหยุดเคลื่อนไหวทันทีเมื่อการมองเห็นของเจ้านายมันถูกบดบัง มิฉะนั้น หากมันยังพุ่งไปข้างหน้าเช่นเดิม เวอร์เธอร์อาจตกลงมาบาดเจ็บสาหัสได้
…
ที่มุมทางเดิน
หลังจากที่ดาร์กโบกมือ จุดแสงสองจุดก็พุ่งกลับเข้ามาในการ์ดเวทมนตร์
นี่ถือเป็นการต่อสู้ที่เรียบง่าย
“ฉันว่าเขาไม่น่าเห็นอะไรหรอกมั้ง”
ดาร์กเหลือบมองบุตรแห่งวีรบุรุษที่ล้มไปนอนกับพื้น ก่อนจะพึมพำเสียวแผ่วเบา
เด็กชายเดินอ้อมไปบนทางแยกอีกทาง มือหยิบหมวกทรงสูงสีดำขึ้นจากพื้น หันหลังให้กับเวอร์เธอร์พลางปัดฝุ่นออกจากหมวก เมื่อสะอาดแล้ว เขาจึงสวมมันอย่างสง่างามและสงบนิ่ง
…
จากนั้นดาร์กก็เลิกสนใจเพื่อนร่วมชั้น และรีบกลับไปที่วิหารเล็ก ๆ
ตอนนี้ ‘ภาคี’ อาหารทะเลนั่นออกไปแล้ว และ ‘ปัจจัยไม่แน่นอน’ อย่างเวอร์เธอร์ก็ถูกขจัดออกไปแล้ว หากดาร์กไม่ใช้โอกาสนี้ศึกษาวิหาร มันคงจะเป็นการทำให้ ‘ของขวัญจากศาสตราจารย์เคเซอร์’ เสียเปล่าจริงไหม?
ดาร์กไม่สนใจจุดประสงค์ของภาคีนั่น
เขาแค่มาหาต้นตอสาเหตุของ ‘การ์ดดอกไม้’
ตอนนี้มันชัดเจนมาก รูปปั้นเทพธิดาในวิหารนี้เป็นต้นตอที่ว่าของ ‘การ์ดดอกไม้’!
เมื่อดาร์กก้าวเข้ามา คบไฟที่ดับไปก็สว่างขึ้นอีกครั้ง มันส่องสว่างไปทั่วทุกซอกมุมของห้องโถง
ดาร์กเรียกรุกกี้เดวิมอนออกมา และปล่อยให้มันบินไปรอบ ๆ วิหารเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครซ่อนตัวอยู่
ในทางกลับกัน เขาก็เดินไปที่ด้านหน้าของรูปปั้นและสังเกตเทพธิดาอย่างระมัดระวัง มันทำให้รู้สึกถึง ‘ความศักดิ์สิทธิ์’ ได้ในทันที
เธอเอามือกุมหน้าอก ดวงตาหลับตาพริ้มและก้มหน้าเล็กน้อย ราวกับหญิงสาวที่บริสุทธิ์กำลังสวดมนต์อยู่ในโบสถ์
รัศมีอันนุ่มนวลที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายของเธอทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจมาก
แต่ดาร์กกลับไม่รู้สึกถูกแรงดึงดูดจากเทพธิดาได้ง่าย ๆ เช่นเวอร์เธอร์ เขาสังเกตอย่างระมัดระวังอยู่ครู่หนึ่ง และเริ่มพิจารณาว่านี่น่าจะเป็นวิหารของเทพธิดาสักองค์
“พลังของการ์ดดอกไม้มาจากสิ่งนี้ ความใคร่ลดลงเพราะถูกชำระให้บริสุทธิ์ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์งั้นเหรอ?”
เพื่อยืนยันข้อสันนิษฐานของเขา ดาร์กจึงหยิบการ์ด [ราคะ I] ออกมา
แต่เมื่อพลังเวทมนตร์ถูกถ่ายโอนเข้าไปใน [ราคะ I] รูปปั้นเทพธิดาพลันเปล่งประกายออกมาพร้อมกัน!
ดาร์กหลับตาลง แต่แล้ว [ราคะ +1] กลับล่องลอยผ่านวิสัยทัศน์อันมืดมิดของเขาไปอย่างรวดเร็ว
สิ่งนี้ทำให้เขาตอบสนองทันที และหยุดการป้อนพลังเวทมนตร์ให้กับ [ราคะ I] แทบจะในตอนนั้น!
“หือ! ปรากฏว่ามันเป็นพลังจากรากฐานเดียวกัน!”
สีหน้าของดาร์กเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเขารู้ว่ามันคืออะไร
ภายใต้รูปลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดาองค์นี้ กลับมีมหาบาป [ราคะ] ที่หนาแน่นกว่าที่เขามีในตอนนี้!
ปรากฏว่าเหตุผลที่การ์ดดอกไม้สามารถลดค่า [ราคะ] ได้ หาใช่ถูกทำให้บริสุทธิ์ แต่เพื่อดูดซับต่างหาก!
ณ ตอนนี้
การใช้การ์ด [ราคะ I] เป็นสื่อกลาง ปริมาณของ [ราคะ] ที่สะสมอยู่ในตัวเทพธิดาพลันหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของดาร์ก!
ราวกับมวลน้ำหลากที่ไหลลงสู่เบื้องล่าง และจะหยุดมันได้ก็ต่อเมื่อต้องเข้าสู่สภาวะสมดุลเท่านั้น!
โชคดีที่การ์ด [ราคะ I] ก็เป็นแค่การ์ด [ราคะ I] มันทั้งเล็กและเปราะบางเกินไปในฐานะ ‘ท่อ’ ส่งพลังงาน ดังนั้นตอนนี้มันถึงเป็นเพียง [ราคะ +1] เท่านั้น
เพียงแต่ว่าท่อส่งได้เชื่อมต่อกันแล้ว แม้ว่าดาร์กจะหยุดป้อนพลังเวทมนตร์แต่ก็ไม่สามารถปิดมันได้อยู่ดี
ในช่วงเวลาที่สำคัญนี้
ดาร์กดึงการ์ด [อัตตา I] ออกมา
หลังจากผ่านไปหกวินาที ดวงตาของรุกกี้เดวิมอนก็เปลี่ยนไป
ดาร์กโยนการ์ด [ราคะ I] ขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยไม่ลังเล
และรุกกี้เดวิมอนผู้ซึ่งไม่พอใจกับการ์ดเวทมนตร์ใบนี้มาเป็นเวลานาน ก็กระพือปีกโจมตีมัน กระบอกฉีดยาที่มีหัวฉลามสามอันพุ่งเข้าหาการ์ดสีชมพูและขยี้จนแหลกเป็นชิ้น ๆ!
“ฮ่า ๆๆๆ!”
เสียงหัวเราะอันดุร้ายของรุกกี้เดวิมอนดังก้องไปทั่ววิหาร
“ข้าคือรุกกี้เดวิมอน สิ่งมีชีวิตชั้นสูงโดยธรรมชาติ เจ้าเป็นแค่การ์ดเวทมนตร์ กล้าดียังไงมายั่วโมโหข้า”
“ถ้ามีการ์ดใบไหนกล้ามายั่วโมโหข้าอีก มันก็จะจบลงเช่นนี้แหละ!”
“โฮะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
…
“เฮ้อ…”
เมื่อการ์ด [ราคะ I] แตกสลาย การเชื่อมต่อระหว่างดาร์กกับเทพธิดาก็พังทลายลง
เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่สายตาที่มองไปยังเทพธิดากลับมืดครึ้มมากขึ้น
“มีตัวตนเช่นนี้อยู่ในเซนต์แมเรียนได้ยังไงกัน?”
“ศาสตราจารย์เคเซอร์คงรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่เขากำลังคิดอะไรอยู่?”
“หรือต้องการให้ฉันทำลายสิ่งนี้?”
“แล้วใครคือเทพธิดา?”
คำถามแล้วคำถามเล่าผุดขึ้นมา
ดาร์กเล่นกับการ์ด [อัตตา I] ในมือพลางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่
ตอนนั้นเอง…
จู่ ๆ ก็มีความคิดผุดขึ้นมาในหัวของเขา
“ถ้าฉันใช้เทพธิดาองค์นี้ ฉันจะสามารถสร้างการ์ด [ราคะ] ระดับสูงกว่านี้ได้ไหมนะ?”
บทที่ 67 รุกกี้เดวิมอนร้องขอความเป็นธรรม
“เธอหูฝาดไปหรือเปล่า”
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ปรากฏตัวขึ้นในอีกสิบวินาทีต่อมา ดวงตางดงามจับจ้องไปยังผนังรอบ ๆ อย่างไม่แน่ใจเล็กน้อย
ศาสตราจารย์ดีดี้กระพือปีกบินพลางมองไปรอบ ๆ ด้วยเช่นกัน “ถ้าเราไม่ตรวจสอบ ฉันคงรู้สึกมีบางอย่างผิดปกติอยู่ตลอดเวลา และตอนนี้เด็ก ๆ ก็เริ่มรับมือได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเห็นด้วย “ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว ที่ผ่านมาเราไม่มีเวลาแม้แต่จะได้เรียนรู้เลย… นับประสาอะไรกับการออกมาเดินเล่นตอนกลางคืนกัน!”
…
มันมีเพียงกำแพงกั้นเท่านั้น
ดาร์กสงบจิตสงบใจ รอให้ศาสตราจารย์ซิลเวอร์และศาสตราจารย์ดีดี้จากไป และเมื่อพวกอาจารย์ไปแล้ว เด็กชายก็โล่งใจ ปล่อยรุกกี้เดวิมอนลง
รุกกี้เดวิมอนถูกเจ้านายกอดรัดเอาไว้อย่างรุนแรง เมื่อครู่มันแทบจะขาดใจตายไปให้รู้แล้วรู้รอด
พอหายใจได้จึงหอบเอาอากาศเข้าไปเต็มปอด และจู่ ๆ ก็รู้สึกราวกับตัวมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจิตใจขึ้นมาจริง ๆ จากนั้นเจ้าตัวแสบจึงเอ่ยขึ้นว่า “อากาศช่างดีเหลือเกิน”
ดาร์กพูดไม่ออก “นายเป็นแค่วิญญาณรับใช้ ถึงกับต้องตอบสนองเวอร์ขนาดนี้ด้วย?”
รุกกี้เดวิมอนก้มหน้าลงและพึมพำ “เป็นวิญญาณรับใช้แล้วไงเล่า? เป็นวิญญาณรับใช้แล้วไม่มีสิทธิ์หายใจรึไง ฮึ?”
ดาร์กไม่สนใจจะพูดกับมันอีกแล้ว “ไปเถอะ หาทางไปกันต่อ”
“ก็ได้ ( 。 •ˇ‸ˇ• 。 )”
รุกกี้เดวิมอนก้มหัว คอตกและบินไปข้างหน้าตามเจ้านายสั่ง
ดาร์กหยิบปากกาพลังเวทของเขาออกมา พลางทำเครื่องหมายตามทางโดยทิ้งรอยพลังเวทไว้บนผนัง
ผีเสื้อจากการ์ดดอกไม้เห็นได้ชัดว่ามันไม่ฉลาดนัก จึงไม่รู้ว่าจะเลือกเดินไหน จึงทำได้เพียงแค่ชี้นำทางเท่านั้น
ถ้าดาร์กเดินตามมันไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า เขาคงเดินชนกับกำแพง
ในใจรู้สึกดีใจที่ตัวเองเอากระเป๋าสะพายข้างมาด้วย และเครื่องมือที่จำเป็นทั้งหมดก็อยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน
อาศัยแค่จินตนาการเชิงพื้นที่ในหัวสมองของเขา ย่อมไม่เพียงพอที่จะวาดแผนที่จากอากาศได้
คบไฟทั้งสองข้างของทางลับยังคงสว่างขึ้นเรื่อย ๆ และมันค่อย ๆ ส่องทางนำไปข้างหน้า
ดาร์กเดินผ่านไปทุกเส้นทาง เมื่อเดินผิดทางก็แค่เดินกลับมาแล้วเลือกทางอื่นแทน
เด็กชายทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ จนเขาใช้เวลาเดินอยู่ในเขาวงกตลับมานานกว่าครึ่งชั่วโมง!
ช่วยไม่ได้ที่การทำเช่นนี้ มันทำให้ประสาทสัมผัสของดาร์กทื่อลงไปตามกาลเวลาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นการยากที่จะแยกแยะทิศทางไหว
ขณะที่เขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังข้ามกำแพงมา
“ปลาหมึก สิ่งที่นายทำเมื่อคืนนี้มันมากเกินไปหน่อยนะ!”
“นายนี่จริง ๆ เลยปลาปักเป้า ถ้ายอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ ก็ออกจากภาคีเราไปเลยดีกว่า!”
“ฉันรู้ว่านี่เป็นเพียงการทดสอบ แต่…”
“ไม่มีแต่! ดูคางอ้วน ๆ กับพุงป่อง ๆ ของนายสิ พ่อแม่นายบอกแบบนี้แล้วทิ้งนายรึเปล่า?”
“ปลาหมึก นั่นหยาบคายมาก…”
“ฉันแค่พูดความจริง”
“ช่างมันเถอะ ฉันเถียงนายไม่ชนะอยู่แล้ว เราต้องทำอะไรต่อไปถ้างั้น?”
“ซ่อนตัว อย่าให้อาจารย์รู้”
…
ขณะที่เสียงเหล่านั้นหายไป ดาร์กก็พึมพำกับตัวเอง “ฉลาดจริง ๆ ที่เรียกกันด้วยชื่ออาหารทะเล ดูเหมือนว่าคุณปลาหมึกจะเป็นคนที่เปลี่ยนโรเบิร์ตให้กลายเป็นผู้หญิงเมื่อคืนนี้สินะ”
จากนั้นเขาก็รอที่เดิมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเคลื่อนตัวไปตามกำแพง จนในที่สุดเขาก็เห็นเส้นทางรอบกำแพง
ดาร์กเคลื่อนตัวไปทิศทางตรงกันข้ามกับที่ปลาหมึกและปลาปักเป้าได้หายไป และในที่สุดเด็กชายก็กลับมาอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง
จากปฏิกิริยาของผีเสื้อ เขารู้สึกได้ว่าจุดหมายสุดท้ายไม่น่าจะอยู่ไกลจากนี้
ดังนั้น ฝีเท้าของเด็กชายจึงชะลอตัวลง
ดาร์กไม่รู้ว่ามีคนใน ‘ภาคี’ ที่ว่านี้กี่คน
ถ้ายังมีคนอยู่ข้างใน เขาต้องเตรียมใจให้พร้อมก่อนจะลงมือ
แต่ดูเหมือนดาร์กจะโชคดีมาก เพราะกระทั่งเข้ามาในห้องโถงเล็กแล้ว เขาก็ไม่เจอใครเลย…ไม่สิ มีคนอยู่!
ดาร์กหันหลังกลับทันที แผ่นหลังพิงกำแพงแล้วค่อยลอบมองเข้าไป
ทว่าผีเสื้อกลับดูเหมือนตื่นเต้นราวกับพบเจออะไรบางอย่าง มันบินเข้าไปข้างในนั้นอย่างควบคุมไม่ได้
‘นี่ไม่ดีแล้ว’ ดาร์กครุ่นคิดกับตัวเอง แล้วเห็นว่าด้านหลังรูปปั้นในห้องโถง มีเงาที่เพิ่งเปิดปรากฏออกมาถอยตัวกลับในทันที!
“( ⊙ o ⊙ ) หืม?”
ปฏิกิริยานี้?
ดาร์กรู้สึกประหลาดใจ
คนที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังนั่น…ดูเหมือนกังวลว่าจะถูกเจอตัวเช่นกัน
สิ่งนี้ทำให้ดาร์กตระหนักได้ในทันทีว่านั่นก็เป็นผู้บุกรุกด้วย
“ฉันควร… แกล้งคนคนนั้นไหมนะ”
ความคิดนี้หายไปในพริบตา
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ทำอย่างนั้นจริง ๆ
สาเหตุหลักคือผีเสื้อบินไปรอบ ๆ รูปปั้นแล้วกำลังร่อนตัวลงมา โดยการบินไปตามส่วนต่าง ๆ ของรูปปั้นราวกับเก็บน้ำหวาน
รูปปั้นดูประณีตดุจหยกที่เรียบเนียน สวยงามจนเปล่งประกายแสงสีขาวนวลออกมา และทุกครั้งที่ผีเสื้อบินร่อนลงมา พวกมันจะจับต้องกับประกายแสงนั้น
แต่ประกายแสงนั้นอยู่ได้ไม่นานก็กลับกลายเป็นฝุ่นผงระยิบระยับและหายวับไปในอากาศ
คนที่ซ่อนตัวอยู่หลังรูปปั้นได้รับผลกระทบจากผีเสื้ออย่างเห็นได้ชัด ดาร์กสามารถได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบาจากอีกฝ่าย
ดูเหมือนว่าบุคคลนั้นจะต้องการไล่ผีเสื้อที่เข้าไปใกล้?
ด้วยการคาดเดาบางอย่างในใจ ดาร์กดึงชุดหน้ากากทักซิโด้ออกจากซองการ์ด
“จงออกมา”
หลังจากแสงริบหรี่ลง ชุดนักเรียนของดาร์กก็ถูกแทนที่ด้วยชุดแต่งกายราคาถูก
ชุดดำ หมวกทรงสูง แว่นสีขาว เสื้อคลุมสีแดงเข้ม ถุงมือสีขาว และดอกกุหลาบสีแดงเลือดนก!
หากไม่รวมวัสดุการแต่งกายที่ราคาถูก มันก็ถือได้ว่าเป็นเครื่องแต่งกายสุภาพบุรุษทั่วไป
ดาร์กแตะแก้มของเขา ในใจรู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่น่าเรียกว่า ‘หน้ากาก’ เพราะมันเป็นแค่แว่นตาคู่เดียว
แต่จะให้หาอะไรมาปิดใบหน้าตอนนี้ เขาก็หาไม่ได้จริง ๆ
…
ในขณะเดียวกัน…
คนที่ซ่อนตัวอยู่หลังรูปปั้นอาจรู้สึกหงุดหงิดกับผีเสื้อ หรือเขาอาจค้นพบว่าดาร์กก็เป็น ‘ผู้บุกรุก’ เช่นกัน… แน่นอนว่า เขาอาจรู้สึกตนเองถูกพบตัวแล้วด้วยเช่นกัน
และภายในเวลาอันสั้น เขาก็เริ่มไล่ผีเสื้อรุนแรงขึ้น!
ทันใดนั้นเอง หลังจากที่รูปปั้นสว่างไสวด้วยประกายแสงผิดปกติ ผีเสื้อที่บินอยู่รอบ ๆ รูปปั้นก็ถูกกวาดล้างไปจนหมดสิ้น!
เปรี๊ยะ!
ดาร์กดึงการ์ดดอกสกุลเขากวางอ่อนออกมา และพบว่ามีรอยร้าวร้ายแรงปรากฏขึ้นตรงกลางการ์ดดอกไม้ใบนี้!
“ไม่คิดเลยว่าศาสตราจารย์จะไม่ได้โกหกฉัน มันเป็นแค่ของเล่นจริง ๆ”
ดาร์กตระหนักว่าในที่สุดเขาก็พบความจริงในคำพูดของศาสตราจารย์ และไม่รู้ว่าตนควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เพราะหากเป็นการ์ดวิญญาณธรรมดา มันจะไม่ถูกทำลายโดยตรงแม้ว่าสปิริตจะถูกทำลายไป
…
“หยุดซ่อนตัว แล้วออกมาซะ!”
เวอร์เธอร์ กาวด์เดินออกมาจากด้านหลังรูปปั้นตามด้วยกวางตัวผู้คู่บารมี!
ดาร์กเกือบหัวเราะออกมาหลังจากเห็นชุดของเวอร์เธอร์
ที่จริงแล้วเวอร์เธอร์ก็ใช้การ์ดแต่งตัวเช่นกัน และมันคือ <ชุดไอ้มดแดง> แบบเต็มตัว หรือจะเรียกว่า ‘<ชุดไอ้แมลงวัน>’ ที่ทำขึ้นโดยรุ่นพี่ลีออน!
หมอนั่นหลงกลรุ่นพี่ลีออนแล้ว
สรุปคือเวอร์เธอร์สวมชุดแมลงวัน ที่ดูเหมือนแมลงวันตัวใหญ่ มีหน้ากากดวงตาขนาดใหญ่อยู่บนใบหน้าของเขา
หากตัดเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกไป มันก็ปกปิดตัวตนของเขาได้ดีทีเดียว อีกอย่างชุดไอ้แมลงวันนี้ดูจะมีประโยชน์กว่าชุดหน้ากากทักซิโด้ของดาร์กเสียอีก
แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าเขาพยายามปกปิดตัวเองอยู่ แล้วทำไมถึงต้องเรียกกวางสีขาวออกมาด้วย?
“ไม่นะ ฉันกลั้นหัวเราะไม่ไหวแล้ว ฉันต้องเรียนรู้จากเวอร์เธอร์และอย่าทำพลาดแบบเดียวกับเขา”
ดาร์กหันหลังกลับและวิ่งหนีไปโดยไม่ลังเล ทิ้งภาพแผ่นหลังอันลึกลับของเขาให้กับบุตรแห่งวีรบุรุษ ซึ่งในที่สุดก็รวบรวมความกล้าที่จะก้าวออกมา
แต่เวอร์เธอร์ดูเหมือนจะอารมณ์ค้างไปหน่อย เมื่อเห็นใครบางคนหนีไปโดยไม่ต่อสู้ ในใจราวกับรู้สึกถูกกระตุ้น เขาวิ่งไล่ตามอีกฝ่ายไปทันที
บทที่ 66 ดาร์ก เดม่อนดำดิ่งสู่ราตรี
ทินกรคล้อยต่ำลงและความมืดก็เริ่มมาเยือน จันทราปรากฏตัวออกมาทางทิศตะวันตก
ดาร์กหยุดพักจากการทดลองแล้วมาลูบหญ้าแมวเล่น หลังจากที่ทานอาหารเย็นที่รุกกี้เดวิมอนเอามาให้เสร็จ เขาก็เริ่มการทดลองรอบที่สองต่อ
ครั้งนี้ ดาร์กใช้วิธีขัดเกลาขั้นพื้นฐาน [ประเภทพืช – ธาตุแสง]
ผลที่ได้คือ ไม่ดีอย่างที่คิด
ด้วยประสบการณ์การผลิต [สไลม์ขยะ] เดิมทีดาร์กคิดว่าการจัด ‘ประเภทพืช’ ของเขานั้นน่าจะถูกต้อง
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น
บางทีเหตุผลที่ขัดเกลา [สไลม์ขยะ] ออกมาได้ อาจเป็นเพราะเล็บของเขาน่าจะเป็นวัตถุดิบหลักที่แท้จริง
ตรงกันข้าม หลังจากที่ใช้วิธีขัดเกลาพื้นฐานของ [ประเภทนกและสัตว์ – คุณสมบัติแสง] มันกลับราบรื่นมาก
เพียงแต่ในขั้นตอนสุดท้ายของการเติมวัตถุดิบหลักนั้นมีขนแมวไม่เพียงพอ!
ไม่ว่าจะใส่ขนแมวกี่เส้นในวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1 แสงของวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์ก็ยังคงสลัว
ปรากฏการณ์นี้อธิบายไว้ในหนังสือเรียน และมันเกิดจาก ‘คุณภาพ’ ของวัตถุดิบหลักนั้นไม่เพียงพอ!
ดาร์กสรุปว่า [ประเภทนกและสัตว์ – คุณสมบัติแสง] น่าจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง แต่ขนแมวที่ดูดซับ [อัตตา] เพียงเล็กน้อยนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้การ์ดเวทมนตร์ใบนี้สำเร็จ
มันต้องการวัตถุดิบหลักที่คุณภาพสูงกว่านี้!
นั่นคือผลจากหญ้าแมวและ [อัตตา]!
“สุดท้าย ฉันก็ยืนยันการใช้ผลได้”
ดาร์กอดดีใจไม่ได้
เขามีขนแมวเยอะมาก แต่กลับมีผลเพียงลูกเดียว
อาจเรียกว่า ความล้มเหลวก่อนหน้านี้ทั้งหมดมีไว้สำหรับความสำเร็จในท้ายที่สุด
เขาหยิบปากกาขึ้นมาเขียนในสมุดจดว่า
1. ประเภทนกและสัตว์
2. คุณสมบัติแสง
3. [อัตตา]
…
การทดลองสิ้นสุดลงแล้ว
สิ่งที่ดาร์กต้องทำตอนนี้คือรอให้เดือนหน้ามาถึง
เด็กชายวางเก้าอี้นั่งเล่นบนระเบียง มือกอดหญ้าแมว และอ่านหนังสือ ‘เจ้าแห่งการแต่งตัว’ ซึ่งเป็นหนังสือบันเทิง
เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับการ์ดแต่งตัว แต่สามารถอ่านมันเป็นกิจกรรมยามว่างได้
เนื้อหาส่วนแรกของ ‘เจ้าแห่งการแต่งตัว’ เป็นเพียงการแนะนำวิธีง่าย ๆ สำหรับทำการ์ดแต่งตัว และส่วนที่เหลือก็เป็นการออกแบบเครื่องแต่งกายแปลก ๆ ทุกประเภท
ดาร์กเห็นเครื่องแต่งกายที่นำหน้าด้วยอักษร D และตามด้วยอักษร C
โดยรวมแล้วมันน่าสนใจมาก
…
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ
แสงจันทร์กลับมาส่องแสงทอประกายอีกครา
ในตอนที่ดาร์กใกล้เคลิ้มหลับ พลันมีผีเสื้อสีม่วงลากหางเรืองแสงยาวบินโฉบใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบา
หลังจากผ่านไปหลายวินาที
ดาร์กถึงลุกขึ้นจากเก้าอี้
“เมี้ยว!”
หญ้าแมวส่งเสียง
ดาร์กเบิกตากว้างและมองดูผีเสื้อสีม่วงชมพูบินออกจากห้อง หางยาวของพวกมันก่อตัวเป็นกาแล็กซีที่ส่องแสง ปรากฏร่องรอยความลึกลับและความงดงามให้เห็น
“เกิดอะไรขึ้น?”
ดาร์กจับหญ้าแมวลงมาวางไว้บนเก้าอี้ เขาเดินเข้าไปในห้องนอน และหยิบการ์ดกล้วยไม้ผีเสื้อออกจากซองใส่การ์ดที่วางอยู่บนโต๊ะ
แม้จะไม่มีการใส่พลังเวทมนตร์เข้าไป แต่การ์ดดอกไม้ก็จะเปิดใช้งานเอง
ผีเสื้อบินออกจากการ์ดอย่างต่อเนื่องและเริงระบำไปรอบ ๆ
ดาร์กมองดูนาฬิกาที่ผนัง มันเป็นเวลาสามทุ่มเกือบสี่ทุ่มแล้ว
ภายใต้สถานการณ์ปกติ เขาควรจะเตรียมตัวเข้านอนได้แล้ว
แต่เนื่องจากวันนี้เขาทุ่มเทพลังงานมากเกินไปในการทดลอง ทำให้เสียการรับรู้เวลาไปกับการอ่านหนังสือตั้งแต่ตอนนั้น
แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
อันที่จริง หลังจากงีบสั้น ๆ ดาร์กก็กลับมาสดชื่นและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอีกครั้ง
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันยุ่ง ก่อนจะหันมาสวมชุดคลุมนักเรียนที่แขวนไว้บนไม้แขวนเสื้อ
เขาตรวจสอบการ์ดดอกไม้และใส่มันไว้ในซองใส่การ์ดตามเดิม
อันที่จริง รากฐานของการ์ดดอกไม้นั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องการลดค่า [ราคะ] ซึ่งสำคัญมากสำหรับเขา
‘มันทำให้รู้สึกแปลก ๆ ว่าถ้าไม่ลงมือทำตอนนี้ก็จะสายเกินไปแล้ว’
‘เห็นชัด ๆ ว่ากระทำของศาสตราจารย์เคเซอร์คือ ต้องการให้ฉันออกตามหาต้นตอที่แท้จริง’
‘แต่มันดูเหมือนเขาจะยังลังเลอยู่ สภาวะจิตใจของเขาค่อนข้างคลุมเครือเสียจริง’
‘มีเหตุผลอะไรที่ทำให้เขาตัดสินใจได้ยากกัน?’
‘ฉันควรเชื่อเขาดีไหม?’
…
ดาร์กเดินไปที่ประตู แต่เมื่อกำลังจะเปิดมัน เขาก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา เด็กชายหันกลับมาหยิบการ์ด [หน้ากากทักซิโด้] ออกจากลิ้นชักแล้วใส่ลงในซองใส่การ์ด
“ไม่คิดเลยว่าฉันจะมีการ์ดเก้าใบแล้ว”
ห้องนั่งเล่นส่วนกลางของบ้านขุนนางในเวลานี้ว่างเปล่า ไร้ผู้คน
ดาร์กเดินลงบันไดและแสงไฟเวทมนตร์ที่แขวนอยู่บนผนังก็ลุกพรึบขึ้นโดยอัตโนมัติ
เขาไม่ได้อยู่ในห้องนั่งเล่นนาน แต่เดินผ่านไปถึงประตูทางเข้าหอพัก
อสรพิษขนนกที่เฝ้าหอคอยยังขดตัวและหลับตา ไร้ท่าทีและปฏิกิริยาใด ๆ
ดาร์กเดินข้ามสะพานและเข้าไปในภายในปราสาท
ปราสาทเซนต์แมเรียนมีทางเชื่อมต่อกันเป็นอย่างดี และมีโกเลมคอยตรวจตราอยู่ทุกคืน
อย่างไรก็ตาม โกเลมจะอยู่ในโหมดตักเตือนก่อนเวลาเที่ยงคืนและจะเข้าสู่โหมดเฝ้ายามหลังเที่ยงคืน หากมันพบนักเรียน พวกเขาจะถูกจับทันที
ดังนั้น ปราสาทในยามเที่ยงคืนของทุกวันจะเป็นจุดเริ่มต้นของเคอร์ฟิว
ดาร์กหยิบการ์ดคัดสรรออกมา และอัญเชิญรุกกี้เดวิมอนออกมา
รุกกี้เดวิมอนสัมผัสได้ถึงความคิดของดาร์ก มันจึงอดไม่ได้ที่จะแสดงความตื่นเต้นออกมา
ชีวิตในสถาบันอันน่าเบื่อได้ปกปิดธรรมชาติดั้งเดิมของมันไป
มันคือรุกกี้เดวิมอน รุกกี้เดวิมอนที่ถูกลิขิตให้โผทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า!
ราตรีเป็นดินแดนของมัน
เหนือท้องนภายามค่ำคืน มันคือผู้ปกครอง!
“มานี่เลย”
“วู้ วู้!”
ใบหน้าของดาร์กมืดครึ้มลง เมื่อมองไปยังรุกกี้เดวิมอนที่กำลังบินอยู่ตรงทางเดิน เขาพูดอย่างช่วยไม่ได้ “จำได้ไหมว่าครั้งล่าสุดฉันตามเวอร์เธอร์ไปถึงที่ไหน พาฉันไปที่นั่นที”
รุกกี้เดวิมอนสงบลงทันทีและพูดอย่างเย่อหยิ่งว่า “แน่นอน ข้าจำได้!”
ดาร์กยิ้ม “งั้นก็รีบไปสิ /p>
ค่ำคืนอันแสนมืดมิดเป็นสภาพแวดล้อมที่ดีอย่างแท้จริง
เขารู้สึกว่าอารมณ์ที่ถูกระงับจนถึงตอนนี้ดูเหมือนจะหาทางออกได้แล้ว และมันก็ค่อย ๆ หลั่งไหลออกมาทีละน้อย
ดาร์กสะบัดมือ และผีเสื้อก็บินตามมือของเขามา โดยทิ้งร่องรอยเรืองแสงในอากาศราวกับริบบิ้น
ศาสตราจารย์เคเซอร์กล่าวว่า การ์ดดอกไม้ใบนี้จะนำพาเขาไปยังต้นตอของเรื่องราว แต่ตอนนี้พวกมันยังบินไปรอบ ๆ การ์ดอย่างไร้จุดหมาย
ดาร์กเดาว่าเป็นเพราะระยะทางไกลเกินไป
โชคดีที่เขาเคยตามเวอร์เธอร์ไปได้ระยะหนึ่งมาก่อน ดังนั้นจึงสามารถย่นระยะทางและเวลาให้มันสั้นลงได้
เด็กชายเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไปพร้อมกับรุกกี้เดวิมอนที่บินนำไป มันเริ่มจากหน้าต่างบานนั้น ที่ซึ่งเขาเคยดูดวงจันทร์มาก่อน จากนั้นไปที่ชั้นถัดไป ข้ามสะพาน และเข้าสู่พื้นที่ส่วนอื่นของปราสาท
ดาร์กยังคงเคลื่อนไหวในขณะที่หลีกเลี่ยงโกเลมไปด้วย
ผ่านไปราวสิบนาที ในที่สุดดาร์กก็พบเข้ากับรูปปั้นนักบวชตัวใหญ่ที่เขาเคยใช้ซ่อนตัวเมื่อครั้งล่าสุด
และเป็นที่นี่เช่นกันที่ผีเสื้อเริ่มตอบสนอง มันบินไปทิศทางหนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจง
“ที่นี่สินะ”
ดาร์กตระหนักว่าเขาอยู่ในระยะดังกล่าวแล้ว
ครั้งที่แล้วรุกกี้เดวิมอนคลาดกับเวอร์เธอร์ไม่ไกลจากที่นี่
เมื่อจำได้ว่าโลกของเกมนี้มีแม่แบบจาก <ภาพยนตร์แนวโรงเรียนเวทมนตร์> จึงเป็นไปไม่ได้ที่ปราสาทจะไม่มีทางเดินลับ
ดังนั้นเวอร์เธอร์อาจหลีกเลี่ยงการสะกดรอยตามจากรุกกี้เดวิมอนด้วยอุโมงค์ลับ
ดาร์กเดินตามผีเสื้อจนมันบินไปเกาะกับผนัง ตอนนั้นเองที่มันหยุดบินไปรอบ ๆ
เขาตระหนักว่าตนมาถึงจุดหมายแล้ว และมันควรอยู่ที่ไหนสักแห่งในกำแพงนี้
“ทางนี้เหรอ?”
ดาร์กหรี่ตาและเริ่มสำรวจผนังอย่างรวดเร็ว
ด้วยร่องรอยของพลังเวทมนตร์ที่ใส่เข้าไป จู่ ๆ นิ้วมือของดาร์กก็ทะลุผ่านเข้าไปในกำแพง!
หลังจากตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ดาร์กก็ออกคำสั่งให้รุกกี้เดวิมอนเป็นผู้นำทางและเข้าไปข้างในทันที
แต่แล้วฝูงผีเสื้อกลับเข้าไปก่อนที่รุกกี้เดวิมอนจะออกนำ!
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าแว่วมาจากด้านหลัง
สีหน้าของดาร์กเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาคว้ารุกกี้เดวิมอนแล้วเดินผ่านกำแพงไป
บทที่ 65 ดาร์ก เดม่อนค้นพบความจริง
หลังจากโรเบิร์ตได้ผ่านเรื่องราวความโกลาหลทั้งหมดมาแล้ว เขาก็กลายเป็นเด็กดี
และหากปราศจากการยุยงของโรเบิร์ต เวอร์เธอร์ก็หยุดสร้างปัญหาเช่นกัน…
วิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ในตอนบ่ายก็ผ่านไปอย่างสงบสุข ท่ามกลางความง่วงนอนของเหล่าจอมเวทฝึกหัด
หลังเลิกเรียนดาร์กไม่ได้ไปห้องสมุดตามปกติ แต่ตรงไปที่ห้องทำงานของศาสตราจารย์เคเซอร์แทน
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังตัดสินใจเคาะประตูอยู่ดี
ก๊อก! ก๊อก!
“เข้ามาได้”
เสียงของศาสตราจารย์เคเซอร์ดังมาจากห้องทำงาน
ดาร์กบิดลูกบิดประตูแล้วดันเข้าไป
ศาสตราจารย์เคเซอร์นั่งอยู่หลังโต๊ะของเขา บนโต๊ะมีกองการบ้านอยู่เต็มไปหมด แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่การบ้านของนักเรียนปีหนึ่ง
“เดม่อนเหรอ? เธอมาได้เวลาพอดี”
ศาสตราจารย์เคเซอร์วางปากกาลงแล้วกระโดดลงจากเก้าอี้ตัวสูง
ดาร์กถาม “ศาสตราจารย์ครับ การวิจัยเกี่ยวกับการ์ดดอกไม้ได้ผลไหมครับ?”
“อืม…” ศาสตราจารย์เคเซอร์เปิดลิ้นชัก และหยิบเอาการ์ดดอกไม้ออกมาแล้วเขย่าให้ดาร์กดู
เขาเหมือนเด็กอวดของเล่นใหม่
ดาร์กอดหัวเราะไม่ได้ จากนั้นก็ปิดประตูให้สนิทแล้วเดินไปที่หลังโต๊ะ
ศาสตราจารย์ยื่นการ์ดให้เขาและพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “นี่ ลองใส่พลังเวทมนตร์เข้าไปสิ”
ดาร์กหยิบมันขึ้นมาและสังเกตอย่างละเอียด
การ์ดดอกไม้ใบนี้ไม่ใช่ดอกกุหลาบสีเขียวของศาสตราจารย์เคเซอร์ใบเดิม แต่เป็นอีกใบจากแหล่งที่ไม่รู้จัก
“นักเรียนคนหนึ่งมอบให้ฉัน” ศาสตราจารย์เคเซอร์กล่าวอย่างรู้ทัน
ดาร์กกะพริบตาอย่างสับสน
ศาสตราจารย์เคเซอร์พูดอย่างช่วยไม่ได้ “ก็ได้ มีคนกำลังเล่นการ์ดนี่ในชั้นเรียน ฉันก็เลยยึดมันมา ยังไงก็เถอะ อย่าไปสนใจที่มาของมันนักเลย นี่เป็นผลงานที่ฉันทำอย่างระมัดระวังเมื่อคืนนี้เชียวนะ”
บนหน้าการ์ดดอกไม้แสดงภาพดอกสกุลเขากวางอ่อนสีม่วงอมชมพู ซึ่งเป็นกล้วยไม้ที่มีกลีบดอกคล้ายปีกผีเสื้อ เป็นสัญลักษณ์ของความรักอันสูงส่งและสง่างาม
ดาร์กได้ถ่ายโอนพลังเวทมนตร์เข้าไป และดอกสกุลเขากวางอ่อนที่หน้าการ์ดก็กลายเป็นผีเสื้อที่มีชีวิตชีวาขึ้นมา มันไม่ใช่ดอกสกุลเขากวางอ่อนแต่เป็นผีเสื้อจริง ๆ!
ผีเสื้อสีม่วงชมพูกระพือปีกและขยับท่าอย่างสง่างาม
ขณะที่ดาร์กสะบัดการ์ด เจ้าผีเสื้อตัวนั้นก็วนรอบการ์ดดอกไม้ ซึ่งทำให้รู้ว่าพวกมันเหมือนจะเชื่อมต่อกัน
แสงเรืองคล้ายละอองเกสรเล็ก ๆ เล็ดลอดออกมาจากหางของผีเสื้อ ทิ้งร่องรอยที่ส่องแสงเป็นหางยาวไว้เบื้องหลัง
มันดูน่าทึ่งมากแม้แต่ในตอนกลางวัน ส่วนตอนกลางคืนคงไม่ต้องพูดถึง
ดาร์กประหลาดใจ “ศาสตราจารย์ คุณทำได้อย่างไร?”
ศาสตราจารย์เคเซอร์ยิ้ม “ก็แค่เคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ น่ะ นี่ไม่ใช่การ์ดเวทมนตร์ ถ้าชอบเธอจะเอาไปก็ได้ มันมีที่มาเดียวกับการ์ดดอกไม้นั่นแหละ ไม่แน่ว่ามันอาจจะพาเธอไปเจอกับต้นตอสาเหตุ อีกอย่าง มีความลับมากมายในสถาบันที่เราสนับสนุนให้นักเรียนสำรวจด้วยตัวเอง และแน่นอน อย่าลืมเคอร์ฟิวเที่ยงคืนด้วย”
…
ดาร์กออกจากห้องทำงานไปด้วยความสงสัย
คำพูดของศาสตราจารย์เคเซอร์ไม่ได้ทำให้ความสงสัยของเด็กชายกระจ่างชัดขึ้นเลย
“เขาตรวจสอบและยืนยันว่าไม่มีอันตรายแล้วเหรอ? หรือ… เขาจัดการกับอันตรายไปแล้ว?”
“ไม่อย่างนั้นทำไมเขาถึงบอกว่าสถาบันสนับสนุนให้นักเรียนสำรวจด้วยตัวเอง…”
ดาร์กใส่การ์ดดอกสกุลเขากวางอ่อนลงในซองใส่การ์ด และรู้ว่าตัวเองอาจจะไม่สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมจากศาสตราจารย์เคเซอร์ได้อีกต่อไป
‘แบบนี้ ถ้าฉันต้องการสืบต่อ ก็ทำได้แค่ไปคุยกับเวอร์เธอร์เท่านั้นสินะ’
‘เคอร์ฟิวเที่ยงคืน… คือคำเตือน’
‘โรเบิร์ตได้จ่ายราคาสำหรับการเดินเล่นตอนกลางคืนไปแล้ว’
‘อืม งั้นฉันควรทำยังไงต่อไปดีนะ?’
…
ขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดาร์กก็กลับไปที่หอพักของบ้านขุนนาง
เขาตัดสินใจว่าจะไม่คิดมากกับเรื่องนี้ เพราะอย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ยังมีบุตรแห่งวีรบุรุษอยู่
ดาร์กถึงกับสงสัยว่าเวอร์เธอร์มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับเรื่องนี้ และ [ความรักต้องห้าม] ก็เป็นข้อพิสูจน์ชั้นดี
แทนที่จะเสี่ยงถลำลึกเข้าไปมากกว่านั้น ดาร์กจึงตัดสินใจรอให้ความลับปรากฏออกมาเองดีกว่า
หรือไม่ก็เหยียบตามรอยเท้าบุตรแห่งวีรบุรุษ เตรียมผ้าเช็ดปาก มีดและส้อม จากนั้นค่อยเพลิดเพลินไปกับงานเลี้ยงในจุดที่ปลอดภัย
สรุปคือ คืนนี้หลังจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น มันไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีเลยหากคิดจะลงมือ
เด็กชายจัดตารางการทดลองและเริ่มทำการทดลองของคืนนี้ก่อนกำหนด
การมี [สไลม์ขยะ] ตัวเดียวนับว่าเพียงพอแล้ว ดาร์กจึงไม่คิดลองใช้ [ประเภทพืช – คุณสมบัติหญ้า] อีกครั้ง แต่เขาทำการทดลองครั้งที่สองและครั้งที่สามตามวิธีการขัดเกลาขั้นพื้นฐานกับ [ประเภทนกและสัตว์ – คุณสมบัติหญ้า] แทน
การทดลองทั้งสองจบลงด้วยความล้มเหลว
ดังนั้นดาร์กจึงเปลี่ยนวิธีการของตัวเอง
เขาต้องการใช้วิธีการขัดเกลาขั้นพื้นฐานที่อธิบายไว้ในหนังสือเรียน ซึ่งเรียกว่า ‘วิธีการขัดเกลาแบบสุ่ม’
ความยากของวิธีการขัดเกลาแบบสุ่มนั้นค่อนข้างต่ำ แต่ก็ยังมีอัตราความสำเร็จค่อนข้างต่ำอีกเช่นกัน
ทว่าเมื่อจอมเวทจับทางความรู้ที่ว่าไม่ถูก ก็มักจะใช้วิธีนี้เพื่อค้นหาแนวคิดอื่นเช่นกัน
ดังนั้น ไม่ใช่แค่การทดลองที่ประสบความสำเร็จจะสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คนได้ การทดลองที่ล้มเหลวก็ยังสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คนได้เช่นกัน
…
เขายังคงใช้น้ำผึ้งวิญญาณและน้ำสกัดกลีบสมอง
แต่วัตถุดิบต่อจากนี้แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
‘วิธีการขัดเกลาแบบสุ่ม’ ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนแค่ใส่วัตถุดิบจำนวนมากลงในหม้อใบใหญ่แล้วต้มให้เข้ากัน
โดยมีวงแหวนเวทมนตร์สองสามวงอยู่ตรงกลาง และทุกสิ่งที่เหลือหลังจากการต้มจะถูกขัดเกลาลงในการ์ดเวทมนตร์
เพราะมีการระบุคุณสมบัติรวมไปถึงลักษณะและข้อกำหนดสำหรับวัตถุดิบบางอย่างไว้เท่านั้น แทนที่จะกำหนดวัตถุดิบให้ชัดเจนไปเลย จึงทำให้การกะปริมาณและกำหนดเวลาไม่ค่อยจะแม่นยำ นี่ยังรวมไปถึงการขัดเกลาวัตถุดิบที่มีองค์ประกอบสุ่มจำนวนมากตั้งแต่เริ่มทดลอง ดังนั้น แม้ว่าจะเป็นคนเดียวกันและใช้วัตถุดิบเดียวกัน แต่ผลลัพธ์กลับอาจแตกต่างไปจากกันได้
มันถึงได้เรียกว่า ‘วิธีการขัดเกลาแบบสุ่ม’
ใช้เวลาไปสามสิบสองนาที ในที่สุดดาร์กก็มาถึงขั้นตอนสุดท้ายของการขัดเกลาการ์ดวิญญาณ
หลังจากที่เปิดใช้งานวงแหวนขัดเกลาเวทมนต์หมายเลข 1 แล้วเขาก็เริ่มใส่สิ่งต่าง ๆ เพิ่มเข้าไป
อย่างแรกเลย ขนแมว
จากนั้นก็ขนแมวอีกครั้ง
และสุดท้ายก็ยังเป็นขนแมว!
เพื่อให้แน่ใจในความบริสุทธิ์ของวัตถุดิบหลัก ดาร์กจึงไม่ได้เพิ่มสิ่งอื่นใดนอกจากขนแมวลงไป
เมื่อขนแมวเส้นสุดท้ายถูกดูดกลืนเข้าไป แสงของวงแหวนขัดเกลาเวทมนต์หมายเลข 1 ก็ค่อย ๆ บรรจบกัน และในที่สุดก็สงบลง
ดาร์กมองดูการ์ดเวทมนตร์บนโต๊ะอย่างระมัดระวัง
กาวสีดำหนา ๆ ติดอยู่บนพื้นผิวของการ์ด มีกลิ่นที่คล้ายกับกลิ่นไหม้เล็กน้อย
เขาหยิบปากกาพลังเวทขึ้นมาแล้วเคาะมัน
ตู้ม!
ส่วนหนึ่งของกาวระเบิดออกทันใด
รัศมีเปลวไฟพลันพุ่งขึ้นแล้วแผ่ออกไปรอบด้านทันที
ดาร์กตอบสนองอย่างรวดเร็ว โดยคว้าผ้ากันไฟที่มุมโต๊ะมาปิดไว้
พรึ่บ! พรึ่บ!
ไฟดับลงทันทีหลังจากเกิดเสียงแตกสองครั้ง
เด็กชายดึงผ้ากันไฟกับส่วนที่เหนียวออก จากนั้นจึงค่อย ๆ ใช้มือจับมุมของการ์ดเวทมนตร์ด้วยแหนบ และดึงมันออกมาอย่างระมัดระวัง
ด้านหน้าของการ์ดเวทมนตร์ดำสนิท เห็นได้ชัดว่าเป็นความล้มเหลว
“ถึงจะล้มเหลว แต่ก็เห็นได้เลยว่ามันเป็นคุณสมบัติแสงไฟ”
“ว่าแต่ขนของหญ้าแมวมีคุณสมบัติแสงไฟได้ยังไง? หรือว่าอาจเป็น… พลังของดวงอาทิตย์?”
“เย่อหยิ่ง กับ พระอาทิตย์”
“นี่ไง… นี่แหละปัญหา!”
จู่ ๆ ดาร์กก็ตระหนักได้
ในการทดลองครั้งก่อน เขาใช้วิธีขัดเกลาขั้นพื้นฐานของคุณสมบัติหญ้ามาโดยตลอด แต่แท้จริงแล้ว คุณสมบัติของแสงที่เป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์นั้นเหมาะสมกับ [อัตตา] ที่สุด
หลังจากที่หญ้าแมวดูดซับ [อัตตา] คุณสมบัติของมันก็เริ่มเอนไปทางแสง
ในการขัดเกลาขนแมว เขาควรใช้วิธีการขัดเกลาขั้นพื้นฐาน [ประเภทพืช – คุณสมบัติแสง] หรือ [ประเภทนกและสัตว์ – คุณสมบัติแสง]!
บทที่ 64 ดาร์ก เดม่อนพัฒนาความสัตย์จริง ความเมตตา และความงาม
“แค่ก! แค่ก! แค่ก!”
ซิสเตอร์คาไลด์ไอสามครั้งด้วยความตกใจ
เธอก้มหน้าลงเพื่อสังเกตอย่างละเอียด
เด็กผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงห้องพยาบาลนั้นดูเหมือนเด็กผู้ชายก็จริง แต่เห็นได้ชัดว่าเด็กตรงหน้าไม่มีลูกแอปเปิ้ลของอดัม*[1] และพัฒนาการทางร่างกายของเธอก็ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ อาจจะดูเกินวัยไปด้วยซ้ำ
ถ้าไม่ใช่เพราะนักเรียนข้าง ๆ ชี้ให้เห็นเพศที่แท้จริงของเธอคนนี้ ซิสเตอร์คาไลด์คงไม่มีทางเดาได้เลยว่าเธอเป็นเด็กผู้ชาย
“แน่ใจนะ?”
เธอยังคงอดไม่ได้ที่จะถามกลับ
ดาร์กแสดงความสงสารและพยักหน้า “ใช่ครับ”
ยังไงก็ไม่น่าเป็นพี่สาวฝาแฝดของโรเบิร์ตที่จู่ ๆ ก็โผล่มาในหมู่นักเรียนปีหนึ่งหรอกใช่ไหม?
“งั้นก็เป็นเรื่องแล้ว!” ซิสเตอร์คาไลด์สูดหายใจเข้าลึก ๆ “ในช่วงสองปีที่ผ่านมา แม้แต่การแกล้งที่เกินเลยก็แค่ทำให้คนกลายเป็นหมูเท่านั้น ฉันไม่คิดเลยว่าจะมีอะไรที่หนักกว่าการเป็นหมูได้”
“กลายเป็นหมู?!!”
ดาร์กไม่สามารถบอกได้ว่าการถูกแปลงเป็นหมู หรือแปลงเพศตรงข้ามนั้นอันไหนหนักกว่ากัน
แต่ซิสเตอร์คาไลด์รู้สึกชัดเจนว่าอย่างหลังนั้นหนักกว่าสุด ๆ
แต่เนื่องจากการถูกแปลงเป็นหมูยังสามารถรักษาให้หายได้ ดังนั้น การถูกแปลงเป็นเพศตรงข้ามก็น่าจะรักษาได้ง่ายเหมือนกัน…ใช่ไหม?
ด้วยความคิดนี้ ดาร์กจึงถามว่า “รักษาได้ไหมครับ?”
ซิสเตอร์คาไลด์หยิบถุงมือยางสีขาวยู่ยี่ออกจากกระเป๋าของเธอแล้วสวมใส่ จากนั้นก็ตอบอย่างเคร่งขรึมว่า “รากเหง้าของการเปลี่ยนเพศเป็นการแปลงกายแบบหนึ่ง มันเหมือนกับการแปลงร่างเป็นหมู แกะ หรือคางคก ในทางทฤษฎี แม้ว่าเธอจะปล่อยไว้เฉย ๆ เพราะเดี๋ยวมันก็สิ้นฤทธิ์ไปเองโดยอัตโนมัติหลังจากผ่านไปสักพัก แต่แน่นอนว่า เราไม่สามารถตัดสินใจได้ง่ายนักก่อนการวินิจฉัย ซิลเวอร์ ถ้าเธอจะกรุณาละก็นะ”
“ซิลเวอร์… ศาสตราจารย์เหรอครับ?”
เมื่อรู้สึกถึงสายลม ดาร์กก็หันหน้าไปและเห็นศาสตราจารย์ซิลเวอร์ยืนอยู่ข้างหลังเขาอย่างเงียบ ๆ
เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แน่นอนว่าอาจารย์ย่อมไม่ละเลยอยู่แล้ว
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์พูดอย่างเคร่งขรึม “เธอไปเรียนก่อนเถอะ ฉันแจ้งศาสตราจารย์โจนส์ให้แล้ว”
“ครับศาสตราจารย์”
ดาร์กโค้งคำนับและออกจากห้องพยาบาล
เรื่องใหญ่ก็ควรส่งต่อให้มืออาชีพจัดการอยู่แล้ว
เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
…
“เฮ้ เดม่อน”
“อรุณสวัสดิ์ กาวด์”
ระหว่างทางไปห้องเรียน ดาร์กได้พบกับเวอร์เธอร์
เด็กชายดูกระสับกระส่ายมาก ใบหน้าของเขาซีดเผือดขณะทักทายดาร์ก
เขาถามโดยไม่คาดหวัง “เดม่อน นายเห็นโรเบิร์ตไหม? ฉันหมายถึงบร็อกไฮม์น่ะ”
ดาร์กตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้านายกำลังตามหาบร็อกไฮม์นายไปหาที่ห้องพยาบาลได้ แน่นอนว่าฉันไม่แนะนำให้นายไปหาเขาในตอนนี้ เพราะคาบเรียนกำลังจะเริ่มแล้ว”
เวอร์เธอร์ร่าเริงขึ้นมาทันที “เขาอยู่ในห้องพยาบาลเหรอ? เขาโอเคไหม? เขาท้องเสียใช่มั้ย? เฮ้อ ฉันตามหาเขาอยู่สักพักแล้ว”
ดาร์กมีสีหน้าแปลก ๆ “ก็ประมาณนั้น”
เรื่องน่าอับอายแบบนี้ควรเก็บไว้เป็นความลับจะดีกว่า
“โอเค” เวอร์เธอร์พูด “ยังไงก็เถอะ เดม่อน… เดม่อน? หืม? เดินช้าลงหน่อย ฉันแทบจะหมดแรงแล้ว ฉันยังไม่ได้กินข้าวเช้าด้วยซ้ำ!”
…
เมื่อดาร์กมาถึงห้องเรียน เขาก็พบว่ามีข่าวเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งถูกใครบางคนแกล้งแพร่กระจายไปทั่วชั้นเรียน
โชคดีที่ไม่มีใครรู้ว่า ‘เด็กผู้หญิง’ ที่ถูกแกล้งคือโรเบิร์ต ไม่อย่างนั้นพวกจอมเวทฝึกหัดคงจะไม่ยอมหยุดส่งเสียงคุยเอะอะโวยวายอย่างแน่นอน
นักเรียนไม่ได้สังเกตเลยว่าโรเบิร์ตขาดเรียน และศาสตราจารย์โจนส์ก็มาที่ห้องเรียนตามปกติ
เธอไม่ได้พูดอะไรมาก แต่เริ่มสอนทันที
บทเรียนคาบนี้เน้นไปที่เรื่องปฏิสัมพันธ์ระหว่างคุณสมบัติของสปิริต
มีคุณสมบัติทั้งหมดยี่สิบประเภท แต่มีเพียงแสงสว่างและความมืดเท่านั้น ที่สามารถดำรงอยู่โดยไม่ขึ้นกับคุณสมบัติอื่น ๆ อีกสิบแปดประเภท
“ทุกสิ่งมีทั้งด้านสว่างและด้านมืด และพวกมันไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติอื่น ๆ แต่แน่นอนว่ามันยังมีข้อจำกัดระหว่างกันและกันอยู่ เช่นว่า สปิริตประเภทผีนั้นเกลียดแสง แต่พวกมันเป็นข้อจำกัดทางชีวภาพ ไม่ใช่ข้อจำกัดคุณสมบัติพลังงาน”
“สิ่งที่เรียกว่าการยับยั้งคุณสมบัติพลังงาน หมายถึงการแยกตัวออกจากการเชื่อมโยงทางกายภาพระดับหนึ่ง และเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการชนะทางและแพ้ทางของพลังงานบริสุทธิ์ ซึ่งอิงจากวิทยาศาสตร์เชิงประจักษ์”
“เหมือนกับน้ำแข็งที่ยับยั้งมังกรได้”
ศาสตราจารย์โจนส์ยักไหล่
“ใครจะรู้ว่าทำไมคุณลักษณะน้ำแข็งจึงสามารถยับยั้งคุณลักษณะของมังกรได้ อาจเป็นเพราะมังกรเป็นสัตว์เลือดเย็นก็ได้มั้ง?”
…
บทเรียนนี้ค่อนข้างน่าสนใจ
ศาสตราจารย์โจนส์มักเลือกนักเรียนมาที่หน้าชั้นเรียน เพื่ออัญเชิญสปิริตออกมาสาธิต และสร้างฉากตลกมากมายให้ทุกคนได้หัวเราะ แต่เมื่อศาสตราจารย์โจนส์ขอให้นักเรียนจดเรื่องการยับยั้งของคุณสมบัติและบอกให้นักเรียนจดจำไว้เพื่อที่เธอจะได้สุ่มถามในชั้นเรียนถัดไป มันก็กลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจน้อยลง
แม้แต่ในตอนท้ายของชั้นเรียน ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าโรเบิร์ตไม่ได้อยู่ด้วย
…
ทันทีที่เสียงเลิกคาบดังขึ้น เวอร์เธอร์ก็รีบออกจากห้องเรียน
แม้ว่าดาร์กจะรู้สึกว่าโรเบิร์ตไม่ต้องการให้เวอร์เธอร์มาเยี่ยมเขา แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะห้ามอีกฝ่ายไว้
คาบที่สองเป็นคณิตศาสตร์
ศาสตราจารย์ลิลลี่ปรากฏตัวที่ประตูหลังและงอนิ้วชี้เรียกดาร์กออกมา
เด็กชายวางหนังสือเรียนและออกไปกับศาสตราจารย์ชั่วคราว
ทั้งสองไปทางมุมที่ไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ ศาสตราจารย์ลิลลี่ก็ตบไหล่ดาร์กอย่างพอใจ “ทำได้ดีมาก สมกับเป็นนักเรียนที่ฉันชอบมากที่สุด”
ดาร์ก “…”
ศาสตราจารย์ลิลลี่ยังคงตื่นเต้น “ฉันได้ยินมาแล้ว การจัดการของเธอนั้นเยี่ยมมาก แม้ว่าบร็อกไฮม์จะเป็นตัวสร้างปัญหา แต่มันคงแย่เกินไปถ้าเขาจะมีเงามืดในใจตั้งแต่ปีแรก ยังดีที่ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา เพราะงั้นเราจะถือว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นการเล่นตลกธรรมดาเท่านั้น”
ดาร์กถาม “แล้วคนที่แกล้งล่ะครับ?… ผมหมายถึงใครเป็นคนทำ?”
ศาสตราจารย์ลิลลี่ตอบ “บร็อกไฮม์ตื่นแล้ว เขาบอกว่าเขาถูกทำให้สลบกะทันหันระหว่างเดินเล่นเมื่อคืนนี้ และเขาก็ไม่เห็นอะไรเลย”
จากนั้นเธอก็เปลี่ยนบทสนทนา “แต่เธอไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก อาจารย์จะจัดการเอง นอกจากนี้ ศาสตราจารย์เคเซอร์ยังขอให้ฉันส่งต่อข้อความว่า สิ่งที่เธอขอให้เขาทำนั้นได้ผลแล้ว จะว่าไป เธอไปขออะไรกับเขากัน?”
สีหน้าของดาร์กเริ่มแข็งกระด้าง และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดว่า “ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่คำถามในพวกเรื่องทดลองเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น”
ดูเหมือนศาสตราจารย์เคเซอร์จะไม่ได้บอกอาจารย์คนอื่น ๆ เกี่ยวกับการ์ดดอกไม้เหรอ?
แต่ในเมื่อเขาไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ แล้วทำไมอาจารย์ถึงต้องให้คนอื่นส่งต่อข้อความด้วย?
เมื่อดาร์กกลับมาที่ห้องเรียน เขาก็ยังคิดเรื่องนั้นอยู่
…
ชั้นเรียนกำลังจะเริ่มแล้ว
เวอร์เธอร์กลับมาอย่างมีความสุข โดยมีโรเบิร์ตที่หายป่วยแล้วมาด้วย
“โรเบิร์ต เยี่ยมมากที่นายสบายดี”
“แค่ปวดท้องเอง อย่าพูดดังนักสิ…”
ดาร์กเหลือบไปทางนั้น และสบตากับโรเบิร์ตพอดี
โรเบิร์ตแสดงท่าทีอ้อนวอนทันที
ดาร์กค่อย ๆ ส่งสัญญาณว่าโอเค แล้วขยิบตาให้
โรเบิร์ตพยักหน้าขอบคุณ
เวอร์เธอร์สังเกตเห็นบางอย่างแปลก ๆ “โรเบิร์ต นายพยักหน้าทำไม?”
โรเบิร์ต “ไม่มีอะไร แค่ยุงกัดหางตา”
เวอร์เธอร์สงสัย “ยุง ทำไมฉันไม่โดนกัดเลยล่ะ?”
โรเบิร์ตตอบ “บางทีเลือดของฉันอาจจะอร่อยกว่ามั้ง?”
เวอร์เธอร์ขำ “ฮ่า ๆ”
…
ในคาบเรียนนี้ ศาสตราจารย์ลิลลี่แจก [ตารางสูตรคูณ] ที่เธอเรียนรู้มาจากดาร์ก
แน่นอนว่าในโลกนี้มีเรื่องการคูณ แต่เนื่องจากการศึกษาในอดีตนั้นไม่เฟื่องฟู จึงไม่มีระบบและวิธีการคำนวณที่เข้าใจง่าย หนำซ้ำยังไม่มีการประดิษฐ์ ‘ตารางคำนวณ’ และ ‘ตารางสูตรคูณ’ ด้วย
อย่างไรก็ตาม หลังจบวิชานี้
แม้แต่ตอนที่ดาร์กกำลังเดินอยู่ในทางเดิน ก็ได้ยินเสียงจอมเวทฝึกหัดทั้งหลายกำลังท่องมัน “หนึ่งคูณหนึ่งเท่ากับหนึ่ง หนึ่งคูณสองเท่ากับ…”
…
*[1] ลูกกระเดือก
บทที่ 63 ทวงความชอบธรรมให้กับโรเบิร์ต บร็อกไฮม์
ดาร์กได้กลิ่นป๊อบคอร์นเจ้าปัญหา และเหมือนแมวที่ดมเจอกลิ่นปลา
เขาตอบสนองแทบจะในทันที ดาร์กหยุดเท้าอยู่ตรงทางเข้าชั้นเรียนการประลอง เด็กชายหันหลังกลับ และรีบเดินไปยังจุดที่เสียงกรีดร้องดังขึ้นมา
แต่แทนที่จะเดินเข้าไปในทางเดิน เขากลับหยิบ [สัตว์อสูรมายา: อีบุย] ออกจากซองการ์ดแทน
สถาบันไม่อนุญาตให้อัญเชิญวิญญาณรับใช้ในทางเดินสุ่มสี่สุ่มห้า ทว่าน่าแปลกที่ไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับสปิริต
แน่นอน แม้ว่าจะมีคนอัญเชิญวิญญาณรับใช้ออกมา ผู้คนส่วนมากก็ไม่สนใจมันอยู่ดี
แต่พอดีว่ารุกกี้เดวิมอนไม่ได้อยู่เคียงข้างดาร์กในเวลานี้
“จงออกมา!”
แสงสีขาวแผ่กระจายไปทั่วการ์ดเวทมนตร์ อีบุยตัวน้อยกระโดดออกมาจากการ์ด และกลายเป็นร่างจริงเมื่อตกลงสู่พื้น
“วี้?”
“ไปดูตรงนั้นที ถ้าเจออันตรายก็รีบกลับมา”
ดาร์กชี้ไปที่ต้นเสียง
อีบุยเข้าใจทันทีและเริ่มออกตัววิ่ง
ในขณะนี้ มีนักเรียนเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่บนทางเดิน
คนที่ได้ยินเสียงกรีดร้องก็มารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าเซนต์แมเรียนจะมีบ้านเพียงสี่หลังและสี่ชั้นเรียนของแต่ละชั้นปี แต่ก็มีหกปีการศึกษาซึ่งรวมเป็นยี่สิบสี่ชั้นเรียน!
มีนักเรียนสี่สิบถึงห้าสิบคนในแต่ละชั้น รวมเป็นนักเรียนเกือบพันคนในปราสาท ตัวเลขนี้ถือว่ามากแล้ว
โดยปกติในปราสาทจะมีทางแยกหลายทางและผู้คนก็กระจัดกระจายกันอยู่เสมอ จึงเป็นเรื่องยากที่จะเห็นผู้คนจำนวนมากรวมตัวอยู่ด้วยกัน
แต่เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องเบียดเสียดกันในที่เดียว และทางเดินก็กลายเป็นแออัดขึ้นมา
ดาร์กไม่ใช่คนเดียวที่ได้กลิ่นป๊อบคอร์นเร็วที่สุด เพราะคนที่อยู่ใกล้กว่าเขาก็เริ่มมุงกันแล้ว แถมยังเพลิดเพลินกับละครตรงหน้าด้วย
อีบุยตัวน้อยยื่นหัวของมันออกไปดูอยู่ครู่หนึ่ง และทันใดนั้นมันก็ถูกใครคนหนึ่งยกตัวขึ้นมา!
“วี้!!”
ก่อนที่มันจะมองย้อนกลับไป ก็มีบางสิ่งแปลก ๆ ยับยั้งเอาไว้
“วิญญาณรับใช้ที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน… หือ? เป็นสปิริตหรอกเหรอ?”
อีบุยอยากจะขัดขืนแต่ทันใดนั้นมันก็รู้สึกถึงออร่าที่น่าสะพรึงกลัวและยอมแพ้ในทันที
การมีไอคิวสูงหมายความว่าสามารถตัดสินสถานการณ์ได้เช่นกัน
เมื่อดาร์กมาถึง เขาก็เห็นสปิริตของตัวเองถูกรุ่นพี่แพนดอร่าจับเอาไว้
เด็กชายเช็ดเหงื่อเย็น ๆ ที่ไหลลงมาข้างหน้าผาก มือยกการ์ดเวทมนตร์ขึ้น
“วี้~”
อีบุยผู้ซึ่งถูกกดดันเกินกว่าจะรับไหว รีบร้องขอความช่วยเหลือจากเจ้านายทันที
ดาร์กเพิกเฉยต่อสายตาของรุ่นพี่แพนดอร่าและดึงอีบุยกลับเข้ามาในการ์ดเวทมนตร์โดยตรง
จากนั้นเขาก็แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและถามว่า “รุ่นพี่ เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”
แพนดอร่าเหลือบมองแล้วตอบว่า “ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก”
มันไม่มีอะไรร้ายแรงจริง ๆ
เป็นเพียงนักเรียนชั้นปีหนึ่งที่ถูกมัดเอาไว้กับเสา
เห็นได้ชัดว่าคนที่เล่นพิเรนทร์ได้ไว้ชีวิตเขาแล้ว และมัดตัวเขาไว้เท่านั้น
…
นอกจากนี้นักเรียนที่กรีดร้องก็ถูกพบตัวแล้ว
เป็นเด็กหญิงจากบ้านขุนนางซึ่งยืนอยู่ข้างเสา เธอถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนในตอนนี้ และเห็นได้ชัดว่าเธอกำลังหวาดกลัว
คาดว่ามันคงเป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์กะทันหันเช่นนี้!
ตอนที่ดาร์กเหลือบมองไปยังเสา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็เบียดเข้าไปในฝูงชนและเดินออกไป
เพราะแทบไม่มีนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งเลย ดังนั้นจึงไม่มีใครจำเด็กผู้หญิงน่าเกลียดที่ถูกผูกติดอยู่กับเสาได้ ซ้ำแล้ว เด็กคนนั้นยังนอนหลับเหมือนหมูตายอีกด้วย
แต่มันเป็นโรเบิร์ต บร็อกไฮม์!
แม้ว่าดาร์กจะไม่รู้ว่าเขาถูกร่ายคาถาประเภทไหนลงไป ทว่าลักษณะของโรเบิร์ตบนใบหน้าของเด็กหญิงยังคงชัดเจนมาก
เมื่อนึกถึงเวอร์เธอร์ที่กำลังมองไปรอบ ๆ บนทางเดินช่วงเช้าตรู่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขากำลังตามหาโรเบิร์ตที่หายตัวไป
ดาร์กไม่ค่อยชอบโรเบิร์ตเท่าไหร่
แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน ดังนั้นดาร์กจึงจำต้องช่วยเหลืออีกฝ่ายเท่าที่จะทำได้
ขณะที่ไม่มีใครจำใบหน้าของโรเบิร์ตได้ ดาร์กก็รีบถอดเสื้อคลุมออกแล้ววางไว้บนหัวของอีกฝ่าย
โรเบิร์ตยังคงหลับอยู่ เห็นได้ชัดว่าอยู่ภายใต้ยานอนหลับหรือคาถาที่มีผลคล้ายกัน
เนื่องจากเชือกที่ใช้ผูกมัดเป็นปมตาย ดาร์กจึงต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการแก้มัน
ในเวลานี้ มีนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งปรากฏตัวในฝูงชนมากขึ้น แต่พวกเขาทั้งหมดมองมาจากด้านหลัง
นักเรียนรุ่นพี่ดูเหมือนจะมองว่าการกลั่นแกล้งในระดับนี้เป็นเรื่องปกติ
แต่นักเรียนชั้นปีหนึ่งที่เห็นกลับค่อนข้างหวาดกลัว
…
“เธอต้องการความช่วยเหลือไหม?”
รุ่นพี่แพนดอร่าชี้ไปที่หัวของโรเบิร์ต
ดาร์กแก้เชือกแล้วตอบทันทีว่า “ไม่”
ถ้าโรเบิร์ตตื่นขึ้นมาในเวลานี้ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ไอคิวของคนบางคนเป็นสิ่งที่คุณไม่ควรคาดหวังมาก
แค่ส่งเขาไปที่ห้องพยาบาลน่าจะวางใจได้มากกว่า
…
โชคดีที่ห้องพยาบาลอยู่ไม่ไกลจากที่นี่
หลังจากที่รุ่นพี่แพนดอร่าช่วยแยกคนรอบข้างออกไป ดาร์กก็ไปห้องพยาบาลได้อย่างราบรื่น
แพทย์ประจำสถาบันเซนต์แมเรียนเป็นซิสเตอร์ ว่ากันว่าเธอเคยเป็นซิสเตอร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ขึ้นตรงกับโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์โดยตรง ทว่าเธอกลับถูกไล่ออกเนื่องจากละเมิดศีล และมาที่เซนต์แมเรียนเพื่อรับตำแหน่งแพทย์ประจำสถาบันแทน
ส่วนเธอฝ่าฝืนศีลข้อไหนนั้น… ผู้คนนั้นมีความคิดเห็นกันไปต่าง ๆ นานา
“ซิสเตอร์คาไลด์อยู่ไหมครับ?”
ดาร์กพยุงโรเบิร์ตและผลักประตูเข้าไป
ประตูไม่ได้ล็อก แต่ดูเหมือนไม่มีใครอยู่ข้างใน?
ดาร์กต้องพาโรเบิร์ตไปที่เตียงก่อน
ห้องพยาบาลไม่มีกลิ่นยาเหมือนในโรงพยาบาลทั่วไป กลับกัน มันมีการระบายอากาศที่ดี ซึ่งเป็นจุดที่ช่วยให้ผ่อนคลาย
ทว่ากลับมีแส้เหมือนงูแขวนอยู่บนผนังสีขาวราวหิมะ ด้วยเหตุผลบางอย่างแส้นั้นดูเหมือนจะถูกปกคลุมด้วยเกล็ดอย่างแน่นหนา ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“อรุณสวัสดิ์”
จู่ ๆ ผ้าปูที่นอนสีขาวของเตียงถัดไปก็ถูกยกขึ้น และซิสเตอร์คาไลด์ ซึ่งมีผมยุ่ง ๆ ก็โผล่หัวออกมา
ดาร์กตกตะลึงและถามโดยไม่รู้ตัวว่า “คุณเป็นใคร?”
“ฉันเป็นแพทย์ประจำสถาบันที่เธอกำลังมองหาไง”
ซิสเตอร์คาไลด์ค่อย ๆ ยกผ้าขึ้นและเดินออกมา
ดูเหมือนเธอจะเพิ่งตื่น ซ้ำยังหาวเป็นครั้งคราว เสื้อคลุมสีขาวของเธอติดกระดุมแค่ตรงกลางเท่านั้น ซึ่งดูเป็นคนสบาย ๆ แต่ไม่เรียบร้อยเล็กน้อย
ดาร์กเบนความสนใจของเขาออกไปอย่างรวดเร็ว และทำเครื่องหมายห้องพยาบาลว่าเป็นสถานที่อันตรายในใจ
มีบางอย่างผิดปกติกับแพทย์ของสถาบันนี้!
ผิดปกติมาก!
…
เขายังต้องไปเรียน ดาร์กจึงพูดอย่างรวบรัดว่า “นี่เป็นเพื่อนร่วมชั้นของผม โรเบิร์ต บร็อกไฮม์ ปีหนึ่งจากบ้านอัศวิน ตอนที่ผมพบเขา เขาถูกมัดไว้กับเสา…”
“อืม มันคือยาหลับฝันดี” ซิสเตอร์คาไลด์แค่ดมและพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไร เธอจะตื่นขึ้นในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า”
ดาร์กสงสัย “ยาหลับฝันดี… ใช่ยาที่ช่วยให้นอนหลับได้ใช่ไหมครับ?”
ซิสเตอร์คาไลด์ปัดผมสีเงินที่ตกอยู่ตรงหางตาแล้วยิ้มให้ “ใช่ ทุกปีจะมีผู้โชคร้ายสองสามคนที่นอนหลับมากเกินไปถูกส่งมาหาฉัน และบางคนก็จะมีความสุขเมื่อพวกเขาตื่นขึ้น”
ดาร์กถาม “ทำไมถึงเป็นแบบนั้นเหรอครับ?”
ซิสเตอร์คาไลด์ตอบ “เพราะพวกเขาไม่ต้องไปเรียนและก็จะไม่โดนลงโทษด้วย มันเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่เหรอ?”
ดาร์ก “…”
ไม่แปลกใจเลยที่เธอถูกไล่ออก!
ดาร์กชี้ไปที่โรเบิร์ตและพูดอย่างหมดหนทาง “ถ้าแค่นั้นก็ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ปัญหาอยู่ที่อื่น”
ซิสเตอร์คาไลด์ถาม “มีปัญหาอะไรงั้นเหรอ?”
ดาร์กตอบ “เขาเป็นผู้ชายครับ”
บทที่ 62 สไลม์ขยะ
อย่างน้อย ‘สไลม์ขยะ’ นี้ถึงแม้จะถูกเรียกว่า ‘ขยะ’ แต่ก็ไม่ใช่… อืม แต่มันก็ยังเหมือนขยะมากอยู่ดี
ถึงอย่างนั้นก็คงไม่ได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว
พลังโจมตีและพลังป้องกันทั้งหมดเป็นศูนย์ ดูเหมือนว่าไม่เหมาะสำหรับการประลอง แต่ท่าไม้ตาย [กรดในกระเพาะที่แข็งแกร่ง] สามารถใช้จัดการกับขยะได้
แทนที่จะเป็น ‘สไลม์ขยะ’ ดาร์กชอบเรียกมันว่า ‘สไลม์ถังขยะ’ มากกว่า!
“จงออกมา!”
หลังจากใช้คาถาอัญเชิญปกติเพื่อเรียกสไลม์ขยะออกมา ดาร์กก็ได้ลองเสริมพลังด้วย [อัตตา I] [อัตตา II] และ [ราคะ I]
บางทีเพราะโครงสร้างสมองของสไลม์ขยะนั้นเรียบง่ายเกินไป มันจึงไม่สามารถแสดงอาการ ‘เย่อหยิ่ง’ และ ‘ความใคร่’ ออกมาได้
และระดับสติปัญญาก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
ตามกฎทั่วไป ระดับสติปัญญามาตรฐานของสปิริตควรเป็น 2.0
แต่ระดับสติปัญญาของสไลม์ขยะนี้ดูเหมือนว่าจะอยู่ระหว่าง 1.0 – 2.0 ซึ่งเหนือกว่าพารามีเซียมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
มันสามารถเข้าใจคำสั่งได้ แต่ตอบสนองช้ามาก
รู้สึกราวกับมีค่าตอบสนองช้ามากกว่าพันหน่วย
มันทำให้ดาร์กสงสัยว่าเป็นเพราะมีอะไรผิดพลาดระหว่างกระบวนการกลั่นหรือไม่
แต่เมื่อดาร์กนึกถึงขนแมว และเล็บที่เขาโยนเข้าไปในวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1 เขาก็เข้าใจอะไรบางอย่าง
เทคโนโลยีเวทมนตร์เป็นเทคโนโลยียุคใหม่ที่พัฒนาขึ้นจากการเล่นแร่แปรธาตุ ดังนั้นมันจึงเป็นไปตาม ‘กฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม’ ในระดับหนึ่ง
สำหรับส่วนที่ไม่เท่าเทียมกันนั้น
เหล่าจอมเวทมักเรียกติดตลกว่า ‘ขโมยเอาจากประตูแห่งสัจธรรม’
…
ต่อไปดาร์กได้ทำการทดลองตามวิธีการกลั่นขั้นพื้นฐานของ [ประเภทนกและสัตว์ – คุณสมบัติหญ้า]
คราวนี้การทดลองล้มเหลวโดยไม่คาดคิด และการ์ดเวทมนตร์เปล่าก็ถูกทำลายโดยตรง
ดาร์กไม่รู้ว่าทำไม อาจเป็นเพราะ ‘ประเภทนกและสัตว์’ ไม่ตรงกับขนของหญ้าแมวหรือไม่?
สุดท้ายเขาก็อัญเชิญสไลม์ขยะออกมาเพื่อกำจัดขยะที่เหลือทั้งหมด
อย่างไรเสีย การเก็บเกี่ยวในคืนนี้ยังถือว่าดีมาก
สไลม์ขยะทำให้การกำจัดขยะสะดวกและง่ายขึ้นมาก จนเขาไม่ต้องขนขยะไปทิ้งอีกต่อไป!
หลังจากจำแนกข้อมูลการทดลองแล้ว ดาร์กก็ตัดสินใจทำการทดลองต่อในคืนพรุ่งนี้
คืนนั้น เด็กชายหลับไปพร้อมกับรอยยิ้มหวาน
…
เวลาสิบโมงตรง
ในสถาบันเซนต์แมเรียน นักเรียนที่ไม่โหยหาความบันเทิงยามค่ำคืน โดยเฉพาะนักเรียนปีหนึ่งมักจะไม่นอนดึกเกินไป
ห้องส่วนกลางเกือบจะว่างตั้งแต่ตอนสามทุ่มครึ่ง
ส่วนใหญ่จะย้ายกิจกรรมบันเทิงไปที่ห้องพักแทนที่จะอยู่ในห้องนั่งเล่น
ณ ห้องนั่งเล่นส่วนกลางของบ้านอัศวิน
เชิงเทียนเหนือดาบไขว้ที่เอาไว้ตกแต่งยังคงลุกโชน
มันคือแสงเทียนอันเป็นเอกลักษณ์ของเทียนเวทมนตร์ และในขณะที่มันสว่างเพียงพอ ก็ยังสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนที่ไม่ทำร้ายดวงตา
ณ มุมห้องส่วนกลาง
เอ็มม่าน่าจะเป็นคนสุดท้ายที่กลับไปที่ห้องพัก
เธอมักจะกลับจากห้องสมุดมาที่ห้องนั่งเล่นตอนประมาณสามทุ่ม
นี่อาจเป็นความดื้อรั้นครั้งสุดท้ายของเด็กหญิงตัวน้อย จริง ๆ แล้วเธอไม่ต้องการถูกตัดขาดจากกิจกรรมทางสังคมโดยสิ้นเชิง
ในเรื่องนี้ดาร์กแตกต่างจากเธออย่างมาก
จนกระทั่งไม่มีใครอยู่ในห้องนั่งเล่นรวมอีก เอ็มม่าทำหน้าบึ้ง หยิบหนังสือแล้วเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง
หอพักชายอยู่ด้านซ้าย หอพักหญิงอยู่ด้านขวา
แม้ว่าทางเดินจะเชื่อมกัน แต่ก็มีบันไดแยกแต่ละฝั่งของชั้นหนึ่ง ดังนั้นเด็กชายและเด็กหญิงจึงมักจะเดินไปคนละฝั่ง
เมื่อเอ็มม่าจากไป เทียนบนเชิงเทียนก็ดับลงโดยอัตโนมัติ
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน แสงเทียนก็กลับมาสว่างอีกครั้ง!
เอ็มม่าเพิ่งจะเดินขึ้นไปบนชั้นสอง แต่ตอนนั้นเองที่เธอสังเกตเห็นแสงไฟที่มาจากชั้นล่าง ในใจจึงอดรู้สึกสงสัยไม่ได้
เวลานี้ใครอยู่ข้างล่างกัน?
ความอยากรู้ของเธอนั้นมีมากจริง ๆ
ดังนั้นเธอจึงย่องเท้าเบา ๆ แล้วชะโงกหัวออกจากชั้นบนสุดของบันได พลันได้เห็นบุตรแห่งวีรบุรุษที่กำลังเดินออกไปจากห้องนั่งเล่น!
เวอร์เธอร์ กาวด์? เวลานี้เขาจะไปไหนกัน?
เอ็มม่าตั้งใจจะตามเพื่อนร่วมบ้านไป
แต่หลังจากคิดอีกครั้งก็เปลี่ยนใจ ท้ายที่สุดแล้ว ที่ที่เวอร์เธอร์จะไปก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธออยู่ดี
เพราะงั้นเอ็มม่าจึงถือหนังสือเดินกลับไปที่ห้องพักเหมือนเดิม
…
ทว่าที่บันไดฝั่งตรงข้าม มีอีกคนที่แอบย่องลงมาข้างล่างอย่างเงียบ ๆ
เป็นโรเบิร์ต บร็อกไฮม์!
หลังจากอาบน้ำเสร็จ โรเบิร์ตก็นอนอยู่บนเตียงเป็นเวลานานและเพราะนอนไม่หลับสักที เขาจึงอยากไปหาเวอร์เธอร์เพื่อเล่นเกมสักตา
น่าแปลกที่เขาบังเอิญเห็นเพื่อนสนิทแอบออกมาจากหอพัก
โรเบิร์ตไม่รู้ว่าทำไม แต่เขาไม่ได้ส่งเสียงเรียกอีกฝ่ายแต่อย่างใด
นั่นเพราะเขารู้มาสักพักแล้วว่าเวอร์เธอร์แอบออกไปข้างนอกในตอนกลางคืน
ทุกครั้งที่ถามอีกฝ่าย เวอร์เธอร์ก็จะเปลี่ยนเรื่องไป ไม่ยอมบอกเขา
โรเบิร์ตรู้เพียงว่ามันเกี่ยวข้องกับ [ความรักต้องห้าม] ในมือของเวอร์เธอร์
‘เขามีความลับระหว่างเพื่อนได้ยังไงกัน?’
โรเบิร์ตต่างจากเอ็มม่า
เด็กชายเดินตามเพื่อนสนิทไปอย่างเงียบ ๆ
…
ค่ำคืนผ่านพ้น
ตะวันฉายแสงขับไล่ความมืดมิดในยามราตรี
เช้าตรู่มาเยือนเซนต์แมเรียนอีกครั้ง
ดาร์กตื่นจากการหลับใหลและเกิดความคิดขึ้นในทันใด
“ถ้าฉันเอาสไลม์ขยะมาทาหน้า มันจะดูดสิ่งสกปรกออกจากรูขุมขนบนใบหน้าเหมือนกับมาสก์บำรุงผิวชั้นหนึ่งไหมนะ?”
เขาลองใช้กับฝ่ามือก่อน และพบว่ามันมีประโยชน์จริง ๆ
จากนั้นเขาก็ทาสไลม์ขยะลงบนใบหน้าจริง ๆ เหลือไว้แต่จมูกและปากของเขา
สไลม์ขยะดิ้นไปมาช้า ๆ บนใบหน้าของเขา เด็กชายรู้สึกคันและเย็นเล็กน้อย
แต่เมื่อเขาดึงมันออกในห้านาทีต่อมา ดาร์กก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันใด!
“อ๊ะ! นี่มัน!”
ดาร์กมองดูสิ่งสกปรกเป็นจุด ๆ ถูกย้ายจากพื้นผิวของสไลม์ขยะโปร่งใสไปยังแกนเล็ก ๆ ด้านใน ทำให้เกิดจุดสีดำขนาดเล็ก
จากนั้นสไลม์ขยะก็ใช้สกิล [กรดในกระเพาะที่แข็งแกร่ง] ย่อยจุดด่างดำอย่างรวดเร็ว
“นี่มันวิเศษมาก!”
หลังจากล้างหน้าอีกครั้ง ดาร์กก็มองใบหน้าของเขาในกระจก รู้สึกว่ารูขุมขนของเขาบางลงและใบหน้าก็เรียบเนียนขึ้น
“ทำไมไม่มีใครค้นพบสปิริตที่มีประโยชน์เช่นนี้เลย? หรือสไลม์ขยะตัวอื่นแตกต่างจากของฉัน?”
เมื่อดาร์กคิดว่าจะไปห้องสมุดในตอนเที่ยงเพื่อตรวจสอบดู เขาก็เก็บหนังสือเรียนและออกจากหอพักไป
รุกกี้เดวิมอนนำอาหารเช้ามาให้ และวันนี้ก็มี ‘เดลี่เสจ’ อยู่ในตะกร้าด้วย
เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะรุกกี้เดวิมอน เชฟลูกผสมจึงเริ่มชอบดาร์ก เดม่อน ซึ่งเป็นเจ้านายของมันไปด้วย
ขณะที่อ่านหนังสือพิมพ์เพื่อให้รู้เหตุการณ์ปัจจุบันในอาณาจักร ดาร์กก็กินไส้กรอกและไข่พร้อมกับมิลก์เชคไปด้วย
ตอนที่อ่านหนังสือพิมพ์เกือบเสร็จ อาหารเช้าก็หมดลงแล้ว
แต่ก่อนที่เขาจะใส่จานลงในตะกร้า เพื่อให้รุกกี้เดวิมอนส่งกลับไป
ดาร์กกลับคิดว่านั่นมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่
เพราะในที่สุด วันนี้เขาก็มีเครื่องล้างจานอัตโนมัติแล้ว
…สไลม์ขยะดูดคราบนมบนจานอย่างรวดเร็ว และภาชนะทั้งชุดก็ถูกทำความสะอาดจนเหมือนใหม่
หลังจากที่รุกกี้เดวิมอนส่งตะกร้ากลับไป เชฟลูกผสมก็แปลกใจเล็กน้อย พวกเขาทั้งหมดรู้สึกว่าบุตรชายของวัลคีรีมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
เวลาประมาณเจ็ดโมงกว่า
ระหว่างทางไปชั้นเรียนการประลอง ดาร์กเจอกับเวอร์เธอร์ที่ดูตื่นตระหนกและเหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่าง
เขาสับสนเล็กน้อย
แต่เพราะเวอร์เธอร์วิ่งหนีไปแล้ว ดาร์กเลยไม่ได้ไล่ตามอีกฝ่าย
สิบนาทีต่อมา
ทันใดนั้นเอง พลันมีเสียงกรีดร้องออกมาจากมุมปราสาท
“อ๊าาา!”
ช่างเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ได้น่าตื่นเต้นเสียจริง
บทที่ 61 การ์ดวิญญาณใบที่สองของดาร์ก เดม่อน
“เมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว”
ดาร์กวางหญ้าแมวไว้บนต้นขา มือก็เกาคางเจ้าตัวน้อยไปด้วย ในขณะที่สังเกตดอกตูมบนหัวอย่างละเอียด
โดยทั่วไป หญ้าแมวจะปกป้องดอกตูมของมันโดยสัญชาตญาณเพื่อไม่ให้เสียหาย
ดาร์กระงับความปรารถนา ‘อีกหนึ่งหยด’ และพยายามสร้างหัวข้อการวิจัยใหม่
‘ถ้า [อัตตา] ไม่เพิ่มแล้ว งั้นปลูกให้มันบานขึ้นแบบปกติได้ไหมนะ?’
ฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูที่หญ้าแมวผลิดอกออกผล
เมื่อคิดแบบนี้ ดาร์กก็ระงับแรงกระตุ้นได้
ในเมื่อสถานการณ์ค่อนข้างคงที่ ก็ไม่จำเป็นจะต้องเสี่ยง
ท้ายที่สุดแล้ว สมองก็เป็นระบบที่ซับซ้อนที่สุดของร่างกายมนุษย์ ถึงจะเป็นอุบัติเหตุเล็กน้อย แต่มันก็ยังทำให้เกิดความเสียหายที่ไม่อาจแก้ไขได้อยู่ดี
ดาร์กทำให้หัวใจของเขามั่นคงได้สำเร็จ โดยอาศัยการควบคุมตนเองที่ฝึกฝนในช่วงเดือนนี้
ทว่าในไม่ช้าเขาก็เกิดความคิดใหม่ว่าถึงดอกไม้จะยังไม่บาน แต่เขายังสามารถทำการทดลองอื่น ๆ ได้
แม้ว่าจะไม่สามารถสัมผัสดอกตูมได้ แต่หญ้าแมวเองก็เป็นพืชอวบน้ำ ส่วนขนบนตัวของมันก็คล้ายกับหนามของต้นกระบองเพชร
การดูดซึมและการเปลี่ยนแปลงของ [อัตตา] จึงไม่สามารถเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ได้
อีกอย่าง ส่วนหนึ่งที่รั่วไหลก็มีแนวโน้มว่าจะแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย
เพราะอย่างนั้น ดาร์กเลยสงสัยว่าเป็นไปได้ไหมที่จะทดลองกับขนแมวก่อน?
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ดาร์กก็เปิด ‘กลั่นวิญญาณ – คู่มือทั่วไป’ และหาวิธีการปรับแต่งพื้นฐานของ [ประเภทนกและสัตว์ – หญ้า] และ [ประเภทพืช – คุณสมบัติหญ้า] อย่างรวดเร็ว
ปัจจุบันหญ้าแมวไม่ได้แสดงคุณสมบัติอื่นใด เพราะตามระบบนิเวศของมัน ภายนอกของเจ้าตัวน้อยนั้นเป็นประเภทนกและสัตว์ ส่วนแก่นแท้ของมันเป็นประเภทพืช
ดังนั้น ในตอนนี้ ดาร์กจึงสามารถทดลองจากสองทางนี้ได้
เขาบันทึกย่อสองวิธีพื้นฐานเหล่านี้ เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน และด้วยวิธีนี้ เขาจะสามารถทำความคุ้นเคยกับมันได้
จากนั้น แถวยอดหญ้าแมวที่ใกล้กับตรารับรอง เขาเลือกขนยาวมาสิบเส้นแล้วตัดออก ล้างด้วยน้ำแล้วเช็ดให้แห้ง
หลังจากนั้น หญ้าแมวที่ชอบสร้างปัญหาก็ถูกขังไว้ที่ระเบียงเหมือนเดิม…
…
ทุกอย่างพร้อมแล้ว
ดาร์กเริ่มการทดลองอย่างกระตือรือร้น
ศาสตราจารย์เคเซอร์ไม่ได้มอบหมายการบ้านที่เกี่ยวข้องในคาบเรียนนี้ แต่นี่เป็นเพียงช่วงเวลาให้นักเรียนได้เตรียมตัว สำหรับวิชาเวทมนตร์พื้นฐานในวันจันทร์หน้า ซึ่งจะมีการทดลองและนักเรียนจำเป็นจะต้องนำวัสดุของตัวเองมาด้วย เช่น ผม อวัยวะพืช ฯลฯ
แน่นอน ถ้านักเรียนมีแรงบันดาลใจในตนเอง ศาสตราจารย์เคเซอร์ก็ไม่ว่าอะไรที่จะให้ยืมกุญแจห้องทดลองแก่พวกเขา
ทว่าดาร์กไม่ทำแบบนั้นอีกต่อไป เพราะตอนนี้เขามีห้องปฏิบัติการขนาดเล็กของตัวเองแล้ว
ขั้นแรกคือ ปรุงยาแล้วทำวัตถุดิบ
แม้ว่า ‘วิธีการกลั่นขั้นพื้นฐาน’ จะมีคำว่า ‘พื้นฐาน’ แต่จริง ๆ แล้วกลับยากกว่าวิธีการสร้างของ [สัตว์อสูรมายา] มาก
การสร้าง [สัตว์อสูรมายา] นั้นเพียงทำตามคำแนะนำทีละขั้นตอน นอกจากบางขั้นตอนแล้ว มันก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย
อย่างไรก็ตาม ‘วิธีการกลั่นขั้นพื้นฐาน’ นั้นเกี่ยวข้องกับวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์มากกว่า ทั้งยังค่อนข้างซับซ้อน มีข้อจำกัด และอัตราความล้มเหลวของยาบางชนิดก็สูงมากด้วย
ในกระบวนการกลั่นทั้งหมด หากมีขั้นตอนใดขั้นหนึ่งผิดพลาด เป็นไปได้สูงว่าดาร์กจะต้องทำใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง
โชคดีที่วัตถุดิบที่ใช้เป็นวัตถุดิบพื้นฐาน
และวัตถุดิบที่ดาร์กซื้อไว้ในช่วงสุดสัปดาห์ก็สามารถนำมาใช้งานได้พอดี
เขาทำตามขั้นตอนโดยเริ่มจากน้ำผึ้งวิญญาณขวดเล็ก ๆ ก่อน
น้ำผึ้งวิญญาณเป็นพื้นฐานสำหรับการสร้างสิ่งกึ่งมีชีวิต และมักใช้กันอย่างแพร่หลายในการกลั่นสปิริต
วิธีการกลั่นขั้นพื้นฐานเกือบทั้งหมดล้วนใช้น้ำยาสุดพิเศษนี้
นอกจากนี้ น้ำสกัดกลีบสมองก็นับว่าใช้กันอย่างแพร่หลายเช่นกัน
หลังจากนั้น ดาร์กก็เริ่มเตรียมน้ำสกัดกลีบสมองต่อ
…
กระบวนการเตรียมการทั้งหมดใช้เวลาไปครึ่งชั่วโมง โดยพื้นฐานแล้ว เขามีวัตถุดิบเพียงพอสำหรับทำยาสองขวด
ในระหว่างขั้นตอนการปรุงยา ดาร์กไม่รู้สึกกดดันเลย เขาสามารถรักษาสภาวะความกระตือรือร้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นยาที่เขาเตรียมจึงมี ‘จิตวิญญาณ’ ในตัวมัน
ถัดมา ดาร์กหยิบการ์ดเวทมนตร์เปล่าออกมาวางไว้บนโต๊ะ เกลี่ยน้ำผึ้งวิญญาณให้ทั่วและเท่ากัน จากนั้นจึงหยดน้ำสกัดกลีบสมองลงไป
พอตากแห้งครู่หนึ่งดาร์กก็ทา ‘น้ำมันหอมระเหยจากพืช’ สีเขียวเข้มเป็นชั้น ตามด้วยโรย ‘ผงคุณสมบัติ’ ซึ่งมีหญ้าเป็นส่วนประกอบลงไป
‘ผงคุณสมบัติ’ เป็นผงยาสามัญชนิดหนึ่ง ซึ่งมันแบ่งออกเป็นยี่สิบคุณสมบัติ
เพราะกระบวนการผลิตมีความซับซ้อนมาก ผู้คนจึงมักซื้อผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปแทน
ดาร์กก็ซื้อผงคุณสมบัติมาทั้งชุดเช่นกัน
หลังจากนี้ เขาต้องวาดวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 7 เพื่อรวมวัตถุดิบส่วนนี้กับการ์ดเวทมนตร์เปล่าก่อน
นี่นับเป็นก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่
…
รวมแล้วใช้เวลาเกือบชั่วโมง
บนโต๊ะของดาร์ก มีการ์ดเวทมนตร์กึ่งสำเร็จรูปซึ่งความสมบูรณ์แบบอยู่ในระดับสูงวางไว้
ด้านหน้าของการ์ดเวทมนตร์ใบนี้มีสีเขียว ซึ่งเป็น [ประเภทพืช – คุณสมบัติหญ้า]
“ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว”
ดาร์กสูดลมหายใจเข้า มือหยิบปากกาพลังเวทขึ้นมา แทนที่ปรอทด้วย ‘สารละลายคลอโรฟิลล์’ และเริ่มวาดวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1
ครั้งนี้ใช้เวลาเพียงสิบสี่วินาทีเท่านั้น!
จากนั้นวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1 ก็ถูกวาดออกมา!
ในขณะที่เส้นเชื่อมต่อกัน วงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์ทั้งหมดก็ระเบิดออกเป็นแสงสีเขียวจาง ๆ!
ดาร์กหยิบขนหญ้าแมวด้วยแหนบอย่างระมัดระวัง แล้ววางลงบนวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1!
ขนค่อย ๆ ถูกแสงสีเขียวกลืนเข้าไป
แต่แสงของวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1 กลับไม่สว่างขึ้น
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นดาร์กก็ใส่ขนแมวเส้นที่สองและสามตามไป… ในที่สุด ขนแมวทั้งสิบเส้นก็ถูกโยนเข้าไปในการ์ด
สุดท้าย แสงก็สว่างขึ้นเล็กน้อย แต่ยังไม่เสถียรมากอยู่ดี
จู่ ๆ ดาร์กก็มีแนวความคิดอีกอย่าง เขาตัดเล็บตัวเองชิ้นเล็ก ๆ แล้วใส่เข้าไปด้วย
พริบตาเดียว แสงสีเขียวก็ดับลง!
วัสดุทั้งหมดถูกกลืนเข้าไป และการ์ดเวทมนตร์ทั้งใบก็ได้กลายเป็นรังไหมสีเขียวทันที
…
“เสร็จแล้วเหรอ?”
ด้วยความสงสัยดาร์กหยิบมีดสีเงินขนาดเล็กที่มีความกว้างประมาณครึ่งเซนติเมตรออกมา จากนั้นใส่พลังเวทมนตร์เข้าไป และค่อย ๆ ผ่าเปิดรังไหมสีเขียวทั้งหมดออกอย่างระมัดระวัง
ระหว่างกรีดรังไหม แสงสีเขียวก็พุ่งออกมาจากช่องว่างอย่างต่อเนื่อง
แต่เมื่อรังไหมทั้งหมดถูกผ่าครึ่ง
ทันใดนั้นเอง รังไหมก็กลายเป็นของเหลวสีเขียวเมือก และอ่อนตัวลงจนหล่นตุบ!
“ล้มเหลวเหรอ?”
สายตามองไปที่การ์ดเวทมนตร์ซึ่งแช่อยู่ในตัวสไลม์ ดาร์กก็ใช้แหนบคีบมันออกมาแล้วล้างออกด้วยก๊อกน้ำ
หลังจากทำความสะอาดแล้ว เขาก็พลิกด้านเพื่อดูใกล้ ๆ
บนการ์ดมีแอ่งวัตถุคล้ายเมือกสีเขียว
“สไลม์สีเขียว?”
ดาร์กอดนึกถึงสิ่งมีชีวิตในท่อน้ำทิ้งทั่วไปไม่ได้
[ชื่อการ์ด: สไลม์ขยะ]
[ประเภท: การ์ดวิญญาณ]
[ระดับ: ✪]
[เผ่า: ประเภทธาตุ]
[คุณสมบัติ: หญ้า]
[พลังเวทมนตร์: 100 หน่วย]
[พลังโจมตี: 0 หน่วย]
[พลังป้องกัน: 0 หน่วย]
[ท่าไม้ตาย: กรดในกระเพาะที่แข็งแกร่ง]
[กรดในกระเพาะที่แข็งแกร่ง: หลั่งกรดในกระเพาะอาหารที่ย่อยสสารที่สัมผัสได้]
…
“หืม สไลม์ขยะ?”
มือของดาร์กสั่นเทา และเขาเกือบจะโยนมันทิ้งไป
“นี่คือสำเร็จหรือล้มเหลวกันแน่?”
“พลังโจมตีป้องกันทั้งหมดเป็นศูนย์ แล้วการ์ดใบนี้มันมีประโยชน์ยังไง?”
หลังจากที่ดาร์กอ่านข้อมูลของ [สไลม์ขยะ] เขาก็ไม่ผิดหวังจริง ๆ
เมื่อมีข้อมูลแล้ว ก็หมายความว่าการกลั่นครั้งนี้ประสบความสำเร็จ
ส่วนจะมีประโยชน์หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าเขาจะนำไปใช้อย่างไรในอนาคต
บทที่ 60 ดาร์ก เดม่อนตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
คาบเรียนแรกของช่วงบ่ายเป็นคาบวิชาปรุงยา
ในช่วงครึ่งชั่วโมงแรกของคาบเรียน ศาสตราจารย์ทอมป์สันได้ทบทวนการปรุง [น้ำยาเวทมนตร์ความเร็วสูง] กับนักเรียน
และในชั่วโมงต่อมา เขาก็สอนการปรุง [น้ำยาฟื้นฟูพลังเวทมนตร์] แบบทั่วไป
ด้วยความประมาทของสองคู่หู เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตจึงทำผิดพลาดมากมาย จนเกิดเสียงหัวเราะขึ้นภายในชั้นเรียน
ตรงกันข้าม ดาร์กปรุงยาด้วยวิธีธรรมดา ๆ และหลังจากที่ได้รับอนุญาตจากศาสตราจารย์แล้ว เขาก็ไปช่วยไดแอนนาที่ซุ่มซ่ามปรุงยา
เมื่อต้องปรุงยา ไดแอนนานั้นไม่ระมัดระวังเท่าโรสสักเท่าไหร่
แม้ว่าเธอจะมีความอดทนสูง แต่น้ำยาบางชนิดก็ไม่จำเป็นต้องอดทน
น้ำยาส่วนใหญ่จะกำหนดเวลาสำหรับการปรุง
เมื่อเกินเวลาที่กำหนด วัตถุดิบบางอย่างจะสูญเสียประสิทธิภาพไปในทันที
นั่นคือเหตุผลที่ศาสตราจารย์ทอมป์สันสนับสนุนให้นักเรียนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
แน่นอนว่าถ้ามีใครทำไม่ได้ หนำซ้ำยังขอความช่วยเหลือจากเพื่อนไม่ได้อีก เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว
ในตอนที่ดาร์กกำลังสอนไดแอนนา เขาก็สังเกตเห็นว่าแม้เอ็มม่าจะดูหงุดหงิด แต่ที่จริงแล้วเธอกำลังช่วยเพื่อนร่วมชั้นที่อยู่รอบ ๆ อยู่
งานเลี้ยงน้ำชาของสาว ๆ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาดูท่าจะส่งผลกับเธออย่างมาก
แต่อย่างน้อยเธอก็ได้เรียนรู้วิธีการเข้าสังคมกับผู้อื่นล่ะนะ
…
คาบวิชาปรุงยาจบลง
ดาร์กไม่ได้ตรงไปห้องสมุดในทันทีเหมือนปกติ แต่เจ้าตัวกลับนั่งอยู่ในห้องเรียนต่ออีกครู่หนึ่ง
กระทั่งเห็นเวอร์เธอร์และโรเบิร์ตเดินไปหอคอยของบ้านอัศวิน เขาถึงค่อยไปที่ห้องสมุดพร้อมกับความผิดหวังเล็กน้อย
วันนี้ศาสตราจารย์ทอมป์สันมอบหมายการบ้านที่เกี่ยวข้องกับ [น้ำยาฟื้นฟูพลังเวทมนตร์] ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงกว่าจะเสร็จ
หลังจากที่ดาร์กพบข้อมูลที่เกี่ยวข้องแล้ว เขาก็เริ่มทำการบ้าน
ความแตกต่างระหว่าง [น้ำยาฟื้นฟูพลังเวทมนตร์] และ [น้ำยาเวทมนตร์ความเร็วสูง] คืออย่างหนึ่งสามารถฟื้นฟูพลังงานเวทมนตร์ได้อย่างต่อเนื่องในปริมาณมากได้
หากน้ำยาทั้งสองอย่างนี้ทำเป็นการ์ดเวทมนตร์ได้ พวกมันคงจะกลายเป็นการ์ดเมจิกเติมพลังงานซึ่งคล้ายกับ [เหรียญทอง X3] ของเอ็มม่า
ดาร์กเพิ่มความคิดเห็นของเขา และรายงานที่น่าพอใจก็เสร็จสมบูรณ์
ขณะเดียวกัน เขาก็เริ่มพิจารณาด้วยว่าจะเพิ่มการ์ดเมจิกเติมพลังงานสองสามใบลงในสำรับของเขาดีไหม
…
ณ ห้องส่วนกลางของบ้านอัศวิน
หลังจากเงียบไปนาน เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตที่เพิ่งเล่นหมากรุกเวทมนตร์เสร็จก็เก็บกระดาน
ระหว่างทางไปห้องสมุด โรเบิร์ตก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “เวอร์เธอร์ นายวางแผนที่จะหยุดใช้การ์ดดอกไม้ใบนั้นจริง ๆ เหรอ?”
เวอร์เธอร์ดูผิดหวังมาก “ฉันจะทำอะไรได้อีก? ศาสตราจารย์เคเซอร์บอกไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าถ้าเขาเห็นฉันใช้มันอีกครั้ง มันจะไม่จบแค่การหักห้าสิบคะแนนแน่”
โรเบิร์ตหันไปมองรอบ ๆ ตัว เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ เขาก็พูดขึ้นมาว่า “แต่เมื่อเช้า ตอนที่เราใช้มันก็เป็นไปด้วยดีไม่ใช่เหรอ? ตราบใดที่เราไม่ไปส่องอาจารย์อีก นักเรียนธรรมดาก็ตรวจจับไม่เจอหรอก ยิ่งกว่านั้น แม่กุญแจในการ์ด…”
“พูดถึงแม่กุญแจ” เวอร์เธอร์อุทานออกมาทันที “ฉันว่า…ดาร์ก เดม่อนเป็นคนดีจริง ๆ”
โรเบิร์ตมึนงง “อะไรนะ?”
เวอร์เธอร์กล่าว “รู้ไหมว่าใครอยู่ในห้องทำงานตอนที่ฉันโดนด่าเมื่อเที่ยง”
โรเบิร์ตงงเข้าไปอีก “จะมีใครอีกนอกจากศาสตราจารย์เคเซอร์”
“ศาสตราจารย์ไม่ได้อยู่คนเดียว” เวอร์เธอร์ถอนหายใจ “ในตอนนั้น ดาร์กก็อยู่ที่นั่นด้วย! ถ้าเขาไม่อยู่ที่นั่น ฉันคงทนต่อแรงกดดันจากศาสตราจารย์ไม่ได้หรอก อีกอย่าง ฉันคิดว่าเขาคงตั้งใจไปที่ห้องทำงานของอาจารย์เพื่อช่วยไม่ให้ฉันเครียดมาก”
โรเบิร์ตประหลาดใจ “เดี๋ยวก่อนนะ เวอร์เธอร์ ทำไมนายถึงคิดอย่างนั้น ดาร์กจะเป็นคนดีขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เวอร์เธอร์ส่ายหัว “อย่าพูดอย่างนั้นสิ เราไม่ได้รู้จักเขาดีพอสักหน่อย บางทีการรุดไปทักทายเมื่อตอนเช้าอาจส่งผลจริง ๆ ก็ได้นะ”
โรเบิร์ตแย้ง “แต่ค่าความชื่นชอบลดลงนะ เวอร์เธอร์!”
เวอร์เธอร์ตอบ “ความชื่นชอบมันผันผวนได้อยู่แล้ว เพราะงั้นตัวเลขนั้นอาจเป็นแค่เลขชั่วคราว”
โรเบิร์ตเสนอ “งั้นเราไปตรวจสอบเขาอีกครั้ง ตอนนี้เขาต้องอยู่ในห้องสมุดแน่ ๆ”
เวอร์เธอร์ปฏิเสธ “ไม่ ฉันจะไม่ใช้มันอีกต่อไปแล้ว”
โรเบิร์ตยุ “แต่นายไม่อยากรู้ว่าเหรอว่ารุ่นพี่แพนดอร่าชอบนายมากแค่ไหน?”
เวอร์เธอร์ชะงัก “ฉัน…”
…
ภายใต้การยุยงอย่างต่อเนื่องของโรเบิร์ต เวอร์เธอร์ก็เริ่มหวั่นไหว
“ใช้แค่ครั้งเดียว ตราบใดที่เราไม่โดนจับได้…”
“นายใช้มันไปหลายครั้งในตอนเช้าแล้ว และไม่มีใครสังเกตเห็นหรอกน่า”
“ตราบใดที่ไม่ได้ใช้มันกับศาสตราจารย์…”
โรเบิร์ตโน้มตัวเข้ามาใกล้ “ใช้มันเป็นครั้งสุดท้าย!”
…
อย่างไรก็ตาม เวอร์เธอร์ซึ่งมาห้องสมุดด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า กลับพบว่ารุ่นพี่แพนดอร่าไม่ได้อยู่ที่นี่ในวันนี้
ขณะที่ในใจรู้สึกผิดหวัง เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน
แต่พฤติกรรมของเวอร์เธอร์ กลับทำให้โรเบิร์ตตระหนักว่าเพื่อนของเขาอาจตกหลุมรักรุ่นพี่สาวเข้าแล้ว
…
ณ ห้องอ่านหนังสือ
หลังจากที่ดาร์กทำการบ้านวิชาปรุงยาเสร็จแล้ว เขาก็กำลังจะกลับไปที่หอพักเพื่อดูแลต้นไม้หนอนและหญ้าแมว
แต่เมื่อกำลังจะเก็บข้าวของของ เขาก็พบว่าเวอร์เธอร์กับโรเบิร์ตกำลังเดินมาทางนี้
“ขอโทษนะ เรานั่งตรงนี้ได้ไหม?”
เวอร์เธอร์ชี้ไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของดาร์ก
โต๊ะสามารถนั่งได้สี่คน
ที่ผ่านมามีเพียงไดแอนนาและโรสเท่านั้น ที่จะนั่งตรงข้ามกับดาร์ก
ดาร์กขมวดคิ้วเล็กน้อยและตอบว่า “แน่นอน”
แล้วเวอร์เธอร์และโรเบิร์ตก็นั่งลงทีละคน
เวอร์เธอร์ทำการบ้านของเขาและกำลังจะพูดอีกสองสามคำกับดาร์กเพื่อเพิ่มความชื่นชอบของเขา กลับพบว่าอีกฝ่ายได้ลุกขึ้นยืนแล้ว
สีหน้าของเขาชะงักไปทันที
แน่นอนว่าดาร์กจะไม่หยุดเพราะเรื่องนี้
หลังจากที่เด็กชายเดินหายลับไปแล้ว
เวอร์เธอร์ก็สังเกตเห็นเอ็มม่านั่งอยู่ที่โต๊ะถัดไป บรรยากาศยิ่งน่าอึดอัดเข้าไปใหญ่
…
ดาร์กออกจากห้องสมุดและตรงกลับไปที่หอพัก
หลังจากดูแลต้นไม้หนอนและหญ้าแมวแล้วเขาก็เริ่มฝึก ‘ศาสตร์แห่งจิตตั้งมั่น’ ตามวิธีที่ศาสตราจารย์เคเซอร์สอนทันที
แต่ตามที่ศาสตราจารย์กล่าวไว้ว่า หากใครต้องการเชี่ยวชาญ ‘ศาสตร์แห่งจิตตั้งมั่น’ ก็มีแต่ต้องพึ่งพาความพากเพียรและความอุตสาหะอย่างต่อเนื่องในระยะยาวเท่านั้น
วิธีที่ดีที่สุดคือ ฝึกฝนมันเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนเข้านอนทุกวัน
ดังนั้น หลังจากฝึกฝนอย่างไร้ผลไปครึ่งชั่วโมง ดาร์กก็หยิบ ‘กลั่นวิญญาณ – คู่มือทั่วไป’ ออกมาอ่าน
แต่หลังจากอ่านได้เพียงครู่หนึ่ง เขาก็วางหนังสือลงและลุกขึ้นยืน
ดาร์กค่อนข้างรู้สึกไม่สบายใจตลอดทั้งวัน ราวกับมีบางอย่างที่ต้องทำแต่ยังไม่ได้ทำ
“เมี้ยว~”
หญ้าแมวลากกระถางมาถูที่ขาเด็กชาย
ดาร์กก้มหน้าลงและมองดูหญ้าแมวที่น่ารัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งดอกไม้ที่กำลังจะเบ่งบานบนหญ้าแมว พลันดวงตาของเขาฉายวาบราวกับนึกออกแล้ว
“ใช่แล้ว”
“ค่า [อัตตา] ของวันนี้ยังไม่ได้ใช้เลยนี่”
“แค่หยดเดียว บางทีดอกไม้อาจจะบานวันนี้เลยก็ได้!”
“แต่จำนวนของเดือนนี้ถูกใช้ไปหมดแล้ว”
“ถ้าฉันยังคงใช้ค่าอัตตาต่อไป ฉันจะต้องเสี่ยงพอตัว”
“แต่อีกแค่หยดเดียว…”
ดาร์กตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนกับเวอร์เธอร์
บทที่ 59 ดาร์ก เดม่อนเชี่ยวชาญเทคนิคโบราณ
หลังจากที่เวอร์เธอร์จากไป ดาร์กก็พูดกับศาสตราจารย์เคเซอร์ว่า “ศาสตราจารย์ครับ คุณพบอะไรไหม?”
ศาสตราจารย์เคเซอร์ส่ายหัวและกล่าวว่า “เทคโนโลยีสำหรับการขัดเกลาการ์ดเวทมนตร์นั้นพัฒนามามากแล้ว แม้ว่าจะแยกส่วนอื่นออกได้ แต่มันยังยากที่จะแยกแกนหลักสำคัญของการ์ดออกมาได้ นี่คือเหตุผลที่การ์ดเวทมนตร์ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นใหม่สามารถขายได้อย่างมั่นใจ”
ดาร์กอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจเล็กน้อยหลังจากได้ฟัง
แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
เป็นเพราะการ์ดเวทมนตร์มีเทคโนโลยีป้องกันการขโมยในตัวเอง ซึ่งจุดนี้ก็มีคนสนใจและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เทคโนโลยีการ์ดเวทมนตร์พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
ศาสตราจารย์เคเซอร์กล่าวเสริมว่า “ยังไงก็ตาม ฉันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายโบราณที่มาจากการ์ดดอกไม้ใบนั้น มันอาจเกี่ยวข้องกับพลังบางอย่างที่ฉันไม่คุ้นเคย แต่เวอร์เธอร์ กาวด์เป็นบุตรแห่งวีรบุรุษ เขาต้องได้รับบางอย่างมาจากวีรบุรุษอยู่แล้ว เป็นเรื่องธรรมดาที่ฉันจะมองไม่เห็น”
ดาร์กครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเอ่ยถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการมาเยี่ยมของเขาว่า “แล้วศาสตราจารย์ครับ ผมจะป้องกันการ์ดเวทมนตร์แบบนี้ไม่ให้อ่านความคิดได้ยังไงเหรอครับ?”
ศาสตราจารย์เคเซอร์หยิบปากกาพลังเวทขึ้นมา หมุนไปรอบ ๆ แล้วคลี่ยิ้ม “เดม่อน มันไม่ง่ายเลยล่ะ”
ดาร์กก็ยิ้มเช่นกัน “นั่นคือเหตุผลที่ผมมาหาคุณครับ ศาสตราจารย์”
ศาสตราจารย์เคเซอร์กวักมือเรียก “มานี่สิ”
ดาร์กลุกขึ้นและเดินไปหลังโต๊ะ เพื่อเผชิญหน้ากับศาสตราจารย์เคเซอร์
ศาสตราจารย์มองเขาขึ้น ๆ ลง ๆ และพูดว่า “เดม่อน เธอเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์มาก แต่บางครั้งมันก็ไม่ดีที่จะรีบมุ่งไปข้างหน้าโดยลืมมองรอบข้าง เทคโนโลยีเวทมนตร์ที่เกี่ยวข้องกับสมองนั้นอันตรายมาก และการวิจัยของมนุษย์ที่เกี่ยวกับสมองนั้นอยู่ในระดับเชิงประจักษ์เท่านั้น แต่ถ้าเธออยากจะเรียนรู้จริง ๆ ฉันสามารถสอนเวทมนตร์จิตวิญญาณให้เธอได้”
ดาร์กสงสัย “เวทมนตร์จิตวิญญาณ?”
ศาสตราจารย์เคเซอร์พยักหน้า “ใช่แล้ว ตอนนี้เทคโนโลยีเวทมนตร์กำลังได้รับความนิยม จนเวทมนตร์โบราณถูกลืมเลือนกลายเป็นธุลีแห่งประวัติศาสตร์ไปแล้ว ทว่าสิ่งที่เราต้องเข้าใจก็คือ เทคโนโลยีที่ถูกลืมหายไปนั้นไม่จำเป็นต้องแย่เสมอไป”
ดาร์กเห็นด้วยว่า “จริงครับ เช่นเดียวกับประวัติศาสตร์ เราก็ได้รับแรงบันดาลใจจากอดีตเสมอ”
ศาสตราจารย์เคเซอร์รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขากล่าวว่า “เธอยังไม่มีพื้นฐานเวทมนตร์ ดังนั้นเราจะข้ามเวทมนตร์จิตวิญญาณที่เข้าใจยากไปก่อน ฉันมีเวทมนตร์ที่สามารถต้านทานการรุกรานทางจิตวิญญาณแบบนี้ได้ โดยเน้นที่ความแข็งแกร่งของจิตใจ เธอต้องการจะเรียนรู้ไหม?”
ดาร์กพยักหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ
…
เวทมนตร์ของศาสตราจารย์เคเซอร์นั้นธรรมดามาก มันถูกเรียกว่า ‘ศาสตร์แห่งจิตตั้งมั่น’ กล่าวกันว่าเป็นเทคนิคที่ใช้โดยจอมเวทสายจิตวิญญาณสมัยก่อนเพื่อรวมความแข็งแกร่งทางจิตใจ
หลังจากที่เชี่ยวชาญเทคนิคนี้แล้ว แม้ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะป้องกันการรุกรานทางจิตใจตลอดเวลาเหมือนศาสตราจารย์เคเซอร์ แต่ตราบใดที่ถูกใช้ล่วงหน้า มันสามารถทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันชั่วคราวได้
อย่างไรก็ตาม เทคนิคนี้ไม่ง่ายนักที่จะเชี่ยวชาญ ย่อมต้องใช้ความอุตสาหะอย่างมาก
…
หลังจากสอนวิธีการฝึกแล้ว ศาสตราจารย์เคเซอร์ก็กล่าวว่า “ฉันสามารถช่วยให้เธอสัมผัสกับสภาวะของการใช้ศาสตร์แห่งจิตตั้งมั่นได้นะ”
ดาร์กรู้ดีว่านี่คือโอกาส และพูดอย่างจริงจังทันทีว่า “ผมต้องทำยังไงครับ?”
ศาสตราจารย์เคเซอร์พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “แค่หลับตาลง”
ดาร์กหลับตาลงทันที
ศาสตราจารย์เคเซอร์ยกมือขึ้น ปลายนิ้วเปล่งแสงออกมา และทันใดนั้น เขาก็ชี้ไปที่จุดระหว่างคิ้วของดาร์ก
รัศมีของแสงกระจายออกทันที มันกระเพื่อมราวกับหายใจ
ทันใดนั้นดาร์กก็รู้สึกว่าจิตใจของเขาว่างเปล่า ไร้ซึ่งสิ่งใดนอกจากจุดดำเล็ก ๆ ตรงกลาง
เมื่อเขาเพ่งความสนใจไปที่จุดดำนี้ ให้รู้สึกเหมือนกับว่าวิญญาณของเขาจะถูกดูดเข้าไป
“อ๊ะ!”
เขาร้องออกมาและลืมตาขึ้น
ศาสตราจารย์ถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
ดาร์กตอบว่า “มันรู้สึกเหมือนกับว่าจิตใจทั้งหมดของผมจดจ่ออยู่ที่จุดเล็ก ๆ และไม่มีความคิดอื่นใดอีกเลย”
ศาสตราจารย์กล่าวด้วยความพอใจว่า “ใช่แล้ว นี่คือสภาวะที่จิตตั้งมั่น จำความรู้สึกนี้ไว้ มันสามารถช่วยให้เธอเชี่ยวชาญศาสตร์แห่งจิตตั้งมั่นได้เร็วขึ้น”
ดาร์กพยักหน้าทันที
ที่จริงแล้ว เขาได้รับมามากกว่าที่ศาสตราจารย์เคเซอร์คิดไว้เสียอีก
เพราะหลังจากที่ได้สัมผัสมาครั้งหนึ่งแล้ว เขาก็รู้ทันทีว่านี่เป็นเทคนิคที่สามารถช่วย ‘ควบคุมอารมณ์’ ได้!
‘นี่มันมีประสิทธิภาพมากกว่าการสวดบทแผ่เมตตาเสียอีก’
แม้ว่าจะไม่ป้องกันอารมณ์ที่ระเบิดขึ้นมาอย่างฉับพลันได้ แต่ก็สามารถป้องกันการปะทุอารมณ์อย่างต่อเนื่องได้
ตัวอย่างเช่น เวลาโมโหสักอะไรอย่าง ความโกรธที่เพิ่มขึ้นสามารถระงับได้ด้วยการฝึกจิตตั้งมั่นนี้
ตราบใดที่ยับยั้งได้ทันท่วงทีก็จะสามารถหยุด [โทสะ +1] ได้ทัน และจะไม่มีการเพิ่มเป็น [โทสะ +2] [โทสะ +3] [โทสะ +10] อะไรแบบนี้
…
“ศาสตราจารย์ครับ” ดาร์กเอ่ยขึ้นทันใด
ศาสตราจารย์เคเซอร์มอง “มีอะไรเหรอ?”
ดาร์กครุ่นคิดและพูดว่า “อันที่จริง เมื่อวานผมไปถนนนักเดินทางเพื่อถามรุ่นพี่ที่มอบการ์ดดอกไม้ให้ผมถึงที่มาของการ์ดดอกไม้พวกนั้น”
ศาสตราจารย์เคเซอร์เริ่มสนใจในทันที “ใครเป็นคนทำกันล่ะ? นักเรียนธรรมดาไม่สามารถประดิษฐ์สิ่งของที่วิจิตรบรรจงเช่นนี้ได้แน่”
ดาร์กจงใจกล่าวว่า “รุ่นพี่บอกว่าเป็นคุณ”
ศาสตราจารย์เคเซอร์แสดงสีหน้างุนงง “ฉันเหรอ? เดี๋ยวนะ มีคนปลอมตัวเป็นฉันงั้นเหรอ? งั้นการ์ดดอกไม้พวกนี้ก็น่าจะมีกลอุบายที่ฉันไม่รู้อีก ขอฉันดูก่อนนะ…”
ดาร์กไม่คิดว่าศาสตราจารย์เคเซอร์จะตระหนักและเข้าใจได้เร็วขนาดนี้ แค่เพียงประโยคเดียว แต่มันกลับทำให้เขาทราบถึงปัญหาทันที
ศาสตราจารย์เคเซอร์รีบดึงการ์ดดอกไม้ออกจากซองการ์ดอย่างรวดเร็ว
การ์ดดอกไม้ประดับด้วยดอกกุหลาบสีเขียวระยิบระยับภายใต้แสงไฟ
ศาสตราจารย์ยื่นมือออกมาแล้วกดลงไป กุหลาบสีเขียวลอยออกมาและมีใบหน้าที่สวยงามเล็กน้อยปรากฏขึ้นบนการ์ด
ดาร์กเพิ่งบังเอิญได้เห็น และพบว่ามันเป็นภูตตัวน้อยที่มีปีกผีเสื้อ
เขาไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพียงแค่คิดซะว่าเป็นเพื่อนเก่าของศาสตราจารย์เคเซอร์
ศาสตราจารย์เคเซอร์ลังเลอีกครั้งเมื่อเขาหยิบเครื่องมือในการรื้อการ์ดดอกไม้ออกมา
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็วางเครื่องมือลงแล้วพูดว่า “เอางี้ดีกว่า ฉันจะคุยกับอาจารย์คนอื่นในตอนบ่าย ไม่ต้องห่วง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเรา บางทีนี่อาจเป็นแค่การเล่นตลกก็ได้นะ?”
ดาร์กตอบว่า “ผมก็หวังว่าอย่างนั้นครับ”
จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศในห้องทำงาน ทว่าดาร์กไม่คิดอยู่อีกต่อไป จากนั้นเขาจึงเดินออกไปจากห้องทำงานอีกฝ่าย
…
ระหว่างทางไปโรงอาหารดาร์กนึกถึงปฏิกิริยาต่าง ๆ ของศาสตราจารย์เคเซอร์ และมั่นใจว่าศาสตราจารย์เคเซอร์ไม่มีทางเป็นผู้สร้างการ์ดดอกไม้ได้
กลับกัน อีกฝ่ายดูเหมือนจะปกปิดความลับบางอย่างไว้
แล้วเวอร์เธอร์ที่เป็นเจ้าของ [ความรักต้องห้าม] มีบทบาทอะไรในเรื่องนี้?
ดาร์กค่อย ๆ เริ่มสนใจเรื่องราวขึ้นมา
แต่เขารู้ว่าควรยับยั้งตัวเองไว้ ท้ายที่สุด การเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ดังกล่าวและถลำลึกเกินไป ย่อมมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางอารมณ์ได้
อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าหากเขาจะนั่งชมมันพร้อมกินป๊อปคอร์นไปด้วย
หลังจากที่เขาทานอาหารเที่ยงเสร็จก็เป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว
ดาร์กไม่ลืมที่จะไปห้องสมุดเพื่อขอยืม ‘กลั่นวิญญาณ – คู่มือทั่วไป’
→โชคดีที่ยังมีเหลืออยู่ในห้องสมุดสองสามเล่ม
บทที่ 58 ดาร์ก เดม่อนกำลังดักฟัง
“เวอร์เธอร์ กาวด์ หักห้าสิบคะแนน! มาที่ห้องทำงานของฉันหลังเลิกเรียนด้วย”
น้ำเสียงของศาสตราจารย์เคเซอร์นั้นเรียบนิ่งแต่ยังสัมผัสได้ถึงโทสะของเจ้าตัว
ทุกคนในห้องเรียนหยุดเขียนโดยพร้อมเพรียงกัน
เสียงเสียดสีระหว่างปลายปากกากับพื้นผิวกระดาษหายไปในทันที และทั้งห้องเรียนก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด
ในบรรยากาศเช่นนี้ เวอร์เธอร์เงยหน้าขึ้นท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมานับไม่ถ้วน ใบหน้าของเขาซีดเซียวและมุมปากของเขากระตุก
“หึ!”
ศาสตราจารย์เคเซอร์ เหลือบมองการ์ด [ความรักต้องห้าม] แล้วหันหลังเดินต่อไป
“จดบันทึกต่อไป!”
นี่อาจเป็นครั้งแรกที่อาจารย์โกรธตั้งแต่เริ่มเรียนมา
ในฐานะศาสตราจารย์ที่โด่งดังที่สุดในชั้นปีหนึ่ง ศาสตราจารย์เคเซอร์มักจะแสดงท่าทางที่น่าชื่นชมเสมอ วิธีการสอนของเขาก็น่าสนใจมากและไม่น่าเบื่อเลย
สิ่งนี้ทำให้นักเรียนสรุปได้ในทันทีว่า บุตรแห่งวีรบุรุษต้องทำผิดพลาดอย่างเหลือทนแน่นอน!
มีความสงสารปรากฏในสายตาของนักเรียนบ้านอัศวิน
ขณะที่นักเรียนบ้านขุนนางส่วนใหญ่ดูถูกเหยียดหยาม
แม้แต่ปากของดาร์กก็อ้าค้างครึ่ง ไม่รู้ว่าจะสงสารหรือหัวเราะดี
[โทสะ -1]
สรุปสั้น ๆ เหตุการณ์นี้ทำให้ค่าโทสะลดลงไปหนึ่งหน่วย
ดาร์กหันกลับมาสนใจสมุดบันทึกต่อ
สำหรับเรื่องนี้ เขาเดาว่าเวอร์เธอร์คงใช้ [ความรักต้องห้าม] นั้นตรวจสอบศาสตราจารย์เคเซอร์จากด้านหลัง
จะตรวจสอบอาจารย์ไปเพื่ออะไรกัน?
ศาสตราจารย์เคเซอร์เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุในตำนานที่มีชีวิตอยู่มาตั้งแต่สมัยของเมอร์ลิน!
แม้ว่าตอนนี้เขาจะกลายเป็นจอมเวทแล้ว แต่มันก็ยิ่งทำให้เขาแข็งแกร่งและทรงพลังมากขึ้น
เวอร์เธอร์ใช้การ์ดดอกไม้ส่องเข้าไปในจิตใจของจอมเวทที่เต็มไปด้วยความสามารถขนาดนี้! นี่อยากตายขนาดนั้นเลยเชียว?
โชคดีที่ศาสตราจารย์เคเซอร์เป็นคนอารมณ์ดี
ถ้านี่คือศาสตราจารย์โจนส์ผู้มีสายเลือดของยักษ์ เขาคงถูกเธอตบจนล้ม
อนิจจา
เขามือไม้ซุกซนอะไรเช่นนี้!
…
หลังจากที่ดาร์กจดบันทึกเสร็จ เขาก็มองไปที่เวอร์เธอร์อีกครั้ง
เด็กชายดูประหม่า แต่ในที่สุดเขาก็เริ่มจดบันทึกร่วมกับโรเบิร์ต
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ
ในที่สุดคาบเรียนก็ใกล้จบลง
ศาสตราจารย์เคเซอร์เหลือบมองมาที่เวอร์เธอร์ จากนั้นจึงเก็บเอกสารการสอนและเดินออกจากชั้นเรียน
เวอร์เธอร์ก้มหน้าลง เก็บหนังสือเรียนอย่างช้า ๆ
โรเบิร์ตอดไม่ได้ที่จะถามว่า “จะทำยังไงดี?”
เวอร์เธอร์บ่นอุบ “ฉันจะทำอะไรได้อีก? นี่ก็ต้องไปที่ห้องทำงานเขาแล้ว”
โรเบิร์ตใช้สมองและคิดคำปลอบโยนได้ในที่สุด “ใจเย็น ๆ เวอร์เธอร์ ศาสตราจารย์หักนายไปห้าสิบคะแนนแล้วไม่ใช่เหรอ? ไม่น่ามีการลงโทษอย่างอื่นแล้วล่ะ”
“การลงโทษอย่างอื่น?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เวอร์เธอร์ก็เงยหน้าขึ้น “เขาคงจะไม่ไล่ฉันออกใช่ไหม?”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เวอร์เธอร์ก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก
สำหรับคะแนนของเขาที่กลายเป็นตัวเลขติดลบ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาควรกังวลในตอนนี้
เวอร์เธอร์ได้รับหนังสือแจ้งการรับเข้าเรียนจากสถาบันเซนต์แมเรียนในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และจากนั้นก็เป็นครูใหญ่ที่พาเขามาที่สถาบัน
หากถูกไล่ออกจากสถาบัน เขาก็ไม่มีที่อื่นให้ไปอีกแล้ว!
เพราะสถาบันเซนต์แมเรียนเป็นบ้านหลังเดียวของเขา
…
ระหว่างทางไปห้องทำงาน ไม่ว่าโรเบิร์ตจะปลอบเขามากแค่ไหน เวอร์เธอร์ก็ไม่อาจสงบลงได้
เด็กชายมาที่หน้าห้องทำงานของศาสตราจารย์เคเซอร์ด้วยความสิ้นหวังและเคาะประตู
“เข้ามา”
เวอร์เธอร์หมุนลูกบิดประตู ดันช่องว่างให้เปิดออก และมองเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวัง
แต่สิ่งแรกที่เขาเห็นกลับไม่ใช่ศาสตราจารย์เคเซอร์ที่โกรธจัด
แต่คือดาร์ก เดม่อน ซึ่งกำลังเอนกายลงบนโซฟาและจิบชาดำ
…
เมื่อดาร์กเห็นเวอร์เธอร์โผล่หัวเข้ามา เขาก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรและชี้ไปที่ประตูพร้อมกับถ้วยน้ำชาของเขา
หลังจากที่เวอร์เธอร์รู้แล้ว เขาก็รีบเดินเข้าไปในห้องทำงานและปิดประตูอย่างราบรื่น
จากนั้นในที่สุด เด็กชายก็เห็นศาสตราจารย์เคเซอร์นั่งอยู่หลังโต๊ะของเขา
สีหน้าของศาสตราจารย์เคเซอร์นั้นเรียบสงบ ไม่ได้โกรธอย่างที่เขาคิด
ควบคู่ไปกับการมีดาร์กที่เป็นนักเรียนปีเดียวกับเขา ความกระวนกระวายในใจของเวอร์เธอร์จึงลดลงอย่างมาก
เวอร์เธอร์ก้มหน้าลงและเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว พอมาถึงหน้าโต๊ะ เขาก็โพล่งออกมาว่า “ศาสตราจารย์ครับ”
กึก!
เวอร์เธอร์ตัวสั่นทันที
มันคือเสียงดาร์กที่เดินกลับไปวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะน้ำชา
…
แน่นอน ดาร์กไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเวทมนตร์เคลื่อนย้ายเลย เป็นเวอร์เธอร์ที่เดินช้าเกินไป และปล่อยให้ดาร์กเดินไปถึงโต๊ะน้ำชาก่อน
เนื่องจากมันเป็นปัญหาที่เกิดจากการ์ดดอกไม้ ดาร์กจึงเริ่มบทสนทนากับศาสตราจารย์ได้อย่างง่ายดาย
แต่ไม่นานหลังจากที่เขาและศาสตราจารย์เคเซอร์คุยกัน เวอร์เธอร์ก็มาถึง ดังนั้นเขาจึงนั่งลงและเริ่มกินป๊อปคอร์นของเขา แค่ก ไม่สิ เริ่มดื่มชา
อย่างไรเสีย เขาก็คุ้นเคยกับห้องทำงานนี้
…
ศาสตราจารย์เคเซอร์เงยหน้าขึ้นแล้วใช้ปลายนิ้วแตะบนโต๊ะ “เอาการ์ดเวทมนตร์นั่นมาให้ฉันดูหน่อย”
แม้ว่าเวอร์เธอร์จะลังเลใจ แต่ภายใต้แรงกดดันของศาสตราจารย์เคเซอร์ เขาก็ยังคงมอบ [ความรักต้องห้าม] ให้
หลังจากที่ศาสตราจารย์เคเซอร์ รับการ์ดแล้ว เขาก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “การ์ดดอกไม้? เธอเปลี่ยนการ์ดดอกไม้ใบนี้ให้เป็นการ์ดเวทมนตร์งั้นเหรอ?”
เวอร์เธอร์กัดฟันพูดว่า “ครับ ศาสตราจารย์”
ศาสตราจารย์เคเซอร์หยิบการ์ดเวทมนตร์ออกจากลิ้นชักแล้วแปะมันลงบนโต๊ะ ทันใดนั้นก็มีลูกบาศก์เวทมนตร์ล้อมรอบ [ความรักต้องห้าม] เอาไว้
จากนั้นเขาก็ยกปากกาพลังเวทขึ้นและจิ้มไปที่ [ความรักต้องห้าม]
พลังเวทมนตร์นั้นถูกรวบรวมและถ่ายโอนเข้าไปใน [ความรักต้องห้าม] ผ่านบาเรีย
เวอร์เธอร์มองอย่างประหม่า
ดาร์กก็เบิกตากว้าง เต็มไปด้วยความอยากรู้
แต่หลังจากที่ [ความรักต้องห้าม] สัมผัสกับพลังเวทมนตร์ของศาสตราจารย์เคเซอร์ มันก็สั่นสะท้านและมีหมอกบาง ๆ ผุดขึ้นมา
ศาสตราจารย์เคเซอร์อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “มันถูกพันธนาการไว้อย่างแน่นหนาแล้ว”
จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและมองที่เวอร์เธอร์ “เธอมีอะไรจะพูดไหม?”
เวอร์เธอร์กัดฟันไม่พูดอะไร
ศาสตราจารย์เคเซอร์กล่าวต่อว่า “ตามกฎของสถาบัน แม้แต่อาจารย์ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้ความลับของนักเรียนมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการสร้างการ์ดเวทมนตร์ แต่ถ้าเธออยากจะ… อืม ดูเหมือนว่าเธอจะไม่อยาก…”
ศาสตราจารย์เคเซอร์โบกมือและปลดบาเรียออก
จากนั้นเขาก็ผลัก [ความรักต้องห้าม] กลับมาที่หน้าเวอร์เธอร์และพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “จำที่ฉันพูดเมื่อต้นปีการศึกษาได้ไหม? การ์ดเวทมนตร์นั้นไม่มีความแตกต่างระหว่างความดีกับความชั่ว แต่ผู้ใช้มีความแตกต่างระหว่างความดีกับความชั่ว หากไม่ได้รับความยินยอมจากผู้อื่น การสอดแนมจิตใจผู้อื่นถือเป็นเรื่องต้องห้าม ฉันหักคะแนนจากเธอแค่ห้าสิบคะแนน เนื่องจากเป็นความผิดครั้งแรกของเธอ ฉันหวังว่าเธอจะไม่ทำผิดพลาดแบบเดิมอีก”
เวอร์เธอร์นำ [ความรักต้องห้าม] กลับคืนมา แผ่นหลังเย็นเยียบเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ
ภายใต้สายตาของศาสตราจารย์เคเซอร์ เขารวบรวมความกล้าและกล่าวว่า “ครับ ศาสตราจารย์ ผมจะไม่ทำมันอีก”
…
เมื่อเวอร์เธอร์เดินออกจากห้องทำงาน โรเบิร์ตก็รีบเดินเข้ามาหาเขา
เวอร์เธอร์ปิดประตูแล้วเอนพิงโรเบิร์ตอย่างอ่อนแรง
ตอนพูดกับศาสตราจารย์เคเซอร์ มันราวกับว่าเขาอยู่ภายใต้แรงกดดันที่มองไม่เห็นซึ่งบดขยี้จิตวิญญาณของเขาซ้ำแล้วซ้ำ
มีเพียงความคิดเดียวในใจของเขานั่นคือ เขาจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว!
บทที่ 57 ดาร์ก เดม่อนค้นพบสิ่งที่น่าสนใจ
ตรงมุมนั้นดาร์ก เดม่อนไม่ได้จากไปจริง ๆ
ทันทีที่พ้นสายตาของเวอร์เธอร์และโรเบิร์ต เขาก็หยุดเดินและฟังสองคนนั้นพูดกัน
เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตไม่ได้คุยกันเบา ๆ ดังนั้นดาร์กจึงได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกเขาทั้งหมด
“ปรากฏว่าการ์ดดอกไม้มีฟังก์ชันใหม่ ซึ่งสามารถดูความชื่นชอบของผู้คนได้”
“เดี๋ยวก่อนนะ นี่ไม่ใช่ฟีเจอร์ที่ตัวละครเอกของเกมจีบสาวต้องมีไม่ใช่เหรอ? มันปรากฏออกมาในรูปแบบนี้จริง ๆ เหรอ?”
“แล้วเขาก็แค่ต้องการเพิ่มความชื่นชอบของฉันเองงั้นเหรอ?”
“มีรางวัลอะไรรึไง? หรือเขาจะสามารถปลดล็อกฉากคัตซีน CG ได้? ฮ่า ๆๆ เป็นไปไม่ได้แน่ ๆ”
“ถึงจะดูไร้ประโยชน์ไปหน่อย แต่จะปล่อยให้เขาสอดแนมจิตใจฉันอย่างนี้ไม่ได้”
“ดูเหมือนจะมีศาสตร์ลับใน <ภาพยนตร์แนวโรงเรียนเวทมนตร์> ซึ่งเป็นเวทมนตร์ปิดกั้นจิตใจ ทำให้คนอื่นใช้เวทมนตร์อ่านใจกับตนไม่ได้ มันสามารถจำลองความทรงจำปลอมแปลงได้ เพราะงั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่โลกนี้จะไม่มีมันด้วย”
ดาร์กยังคงฟังอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อสังเกตเห็นว่ามีคนเข้ามาในทางเดินมากขึ้น เขาก็รีบออกไป
“คาบเรียนต่อไปคือ คาบเรียนของศาสตราจารย์เคเซอร์ ถ้าการ์ดดอกไม้ไม่เกี่ยวกับศาสตราจารย์เคเซอร์ บางทีฉันอาจจะขอข้อมูลบางอย่างจากเวอร์เธอร์ได้”
…
เมื่อดาร์กมาถึงห้องเรียนเวทมนตร์พื้นฐาน เอ็มม่า มอร์ติสก็นั่งอยู่แถวหน้าแล้ว
เขาคลี่ยิ้มและนั่งอยู่ในแถวสุดท้ายริมหน้าต่างเช่นเดิม รอการมาถึงของเวอร์เธอร์และโรเบิร์ต
ตามพฤติกรรมของเวอร์เธอร์และโรเบิร์ต เขาเดาว่าแม้ว่าเวอร์เธอร์จะได้ผลประโยชน์จากการเพิ่มความชอบของผู้อื่นจริง ๆ แต่ก็น่าจะได้เฉพาะคนพิเศษบางคนเท่านั้น
เช่น ตัวละครหลักในเกม!
และจากการคาดเดานี้ เอ็มม่าก็ควรเป็นหนึ่งในนั้น
เมื่อคาบเรียนกำลังจะเริ่มขึ้น เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตก็เดินเข้ามาในห้องเรียนผ่านประตูหน้า นี่คือสิ่งที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นมาก่อน
อีกทั้ง เวอร์เธอร์ยังจงใจถือ [ความรักต้องห้าม] ไว้ในมือ
แม้ว่าเขาจะแสร้งทำตัวตามสบาย แต่เห็นได้ชัดว่าเขา ‘ตรวจสอบ’ เอ็มม่าด้วย [ความรักต้องห้าม]!
จากนั้นเวอร์เธอร์และโรเบิร์ตก็รีบเดินไปอีกด้านหนึ่งของแถวสุดท้ายของห้องเรียน
ก่อนที่ทั้งคู่จะวางกระเป๋านักเรียน พวกเขาก็สุมหัวตรวจสอบการ์ดกัน
[ชื่อ: เอ็มม่า มอร์ติส]
[ความหายาก: SSR]
[ความชื่นชอบ: 31]
โรเบิร์ตรู้สึกประหลาดใจ “สามสิบเอ็ดงั้นเหรอ ก็เหมือนหลาย ๆ คนแหละเวอร์เธอร์ ดูเหมือนว่าเอ็มม่าจะไม่ได้เกลียดนายมาก ฉันอยากรู้จริงว่าเธอชอบฉันแค่ไหน บางทีเธออาจจะไม่ได้เกลียดฉันขนาดนั้นก็ได้!”
เวอร์เธอร์เหลือบมองเขาและยิ้มอย่างเชื่องช้า “ฮ่า ๆ”
แต่แล้ว เขาก็สังเกตเห็นว่ามีแม่กุญแจในการ์ด!
แม้ว่ามันจะไม่ใช่แม่กุญแจสีทองเหมือนของดาร์ก แต่ก็ยังคงเป็นแม่กุญแจสีส้ม
เขาเอื้อมมือไปแตะมันทันที จากนั้นประโยคก็ปรากฏขึ้นด้านล่างแม่กุญแจ: ปลดล็อกความชื่นชอบ 80 หน่วย
“เพราะความหายากอย่างนั้นเหรอ?”
เวอร์เธอร์สังเกตเห็นจุดสำคัญทันที
“ความหายากของดาร์กคือ UR ดังนั้นมันเลยเป็นแม่กุญแจสีทอง ความหายากของเอ็มม่าคือ SSR ดังนั้นจึงเป็นแม่กุญแจสีส้ม แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าอันไหนหายากกว่า แต่มันเกี่ยวข้องกับความหายากอย่างไม่ต้องสงสัย”
โรเบิร์ตยังตระหนักถึงหน้าที่ของแม่กุญแจ และใบหน้าของเขาก็ดูน่าเกลียดเล็กน้อย “ถ้างั้น ที่ไม่มีแม่กุญแจในข้อมูลของฉันก็เพราะว่า…”
เวอร์เธอร์รีบปลอบ “อย่าคิดมากน่าโรเบิร์ต ไปตรวจสอบคนอื่นดีกว่า บางที เอาเป็นศาสตราจารย์เคเซอร์ไหม?”
ดวงตาของโรเบิร์ตเป็นประกาย “เอ็มม่าและดาร์กมีกุญแจ ศาสตราจารย์ก็ต้องมีกุญแจด้วย”
เวอร์เธอร์กระซิบ “ลดเสียงลงหน่อย พอศาสตราจารย์มา เราค่อยคิดทำอะไรสักอย่าง”
…
“ความหายากของฉันคือ UR และความหายากของเอ็มม่าคือ SSR เหรอ?”
ดาร์กยกปากกาขึ้นและเขียนเกรดลงในสมุดบันทึกของเขา: N, R, SR, SSR, UR
“มันเกี่ยวกับระดับความหายากสินะ”
“หากระดับความชอบถึงแปดสิบก็จะปลดล็อกรางวัลบางอย่าง มันน่าจะมีเงื่อนไขการปลดล็อกรางวัลเพิ่มเติมไปอีก เช่น ระดับความชอบที่เก้าสิบ และระดับความชอบที่หนึ่งร้อย”
“ช่างเป็นโลกที่มาจากเกมจีบสาวจริง ๆ มีองค์ประกอบหลายสิ่งอยู่เต็มไปหมดเลย”
“แต่ความนิยมในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นไม่ง่ายที่จะเพิ่มขึ้นเหมือนกับตัวละครในเกม”
“นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจจริง ๆ”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ [โทสะ] ในใจเขาก็เบาขึ้นมาก
“เวอร์เธอร์ กาวด์เป็นคนที่น่าสนใจจริง ๆ”
…
ศาสตราจารย์เคเซอร์มาถึงห้องเรียนสายไปครึ่งนาที และยังมีผ้าพันแผลสีขาวอยู่บนหัวของเขา
เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตต่างหวังว่าศาสตราจารย์เคเซอร์จะก้าวลงจากแท่นโพเดียม เพื่อที่พวกเขาจะได้ตรวจสอบอีกฝ่ายโดยใช้การ์ดดอกไม้ได้
แต่ศาสตราจารย์เคเซอร์ไม่ได้ก้าวออกจากแท่นเลย เว้นแต่เขาจะสั่งการบ้าน
→เหตุผลคือแท่นวางเท้าบนโพเดียม
ในคาบเรียนนี้ ศาสตราจารย์เคเซอร์ได้พูดคุยเกี่ยวกับ ‘วิธีการสร้างการ์ดวิญญาณทั่วไป’ และแนะนำหนังสือ ‘กลั่นวิญญาณ – คู่มือทั่วไป’ ให้กับนักเรียน
จอมเวทฝึกหัดส่วนใหญ่ตั้งใจฟัง
ดาร์กก็ให้ความสนใจเช่นกัน
ความรู้ส่วนนี้มีความสำคัญมากสำหรับจอมเวท และสิ่งที่พวกเขาสามารถเรียนรู้ได้จากตำราเรียนนั้นก็มีจำกัดมาก
ศาสตราจารย์เคเซอร์ได้สอน ‘วิธีการกลั่นขั้นพื้นฐาน’ เป็นหลัก ซึ่งรวมวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หลาย ๆ วงเข้าด้วยกัน และสุดท้ายก็จบลงด้วยวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1 หลังจากใส่น้ำยา ชิ้นส่วนพืช ฟันปีศาจ ผม เลือด และลูกตาลงในวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์ จากนั้นกระบวนการกลั่นก็จะเริ่มต้นขึ้น
เพียงแต่ว่าวิธีการกลั่นแบบนี้ไม่มีตัวเลือกตายตัว ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ล่วงหน้าเลยว่าจะได้อะไรในท้ายที่สุด
ดาร์กจึงเรียกมันว่า ‘วิธีการกลั่นแบบสุ่ม’
ในทางตรงกันข้าม ‘กลั่นวิญญาณ – คู่มือทั่วไป’ ที่ศาสตราจารย์เคเซอร์กล่าวถึงได้บันทึก ‘วิธีการกลั่นขั้นพื้นฐาน’ ที่มีรายละเอียดค่อนข้างมาก
ในหนังสือเล่มนั้น วิธีการทำการ์ดวิญญาณจะแบ่งย่อยออกตามเผ่าพันธ์ุและคุณสมบัติ
มีทั้งหมดสิบห้าเผ่าพันธุ์ ยี่สิบคุณสมบัติ และวิธีการกลั่นพื้นฐานที่แตกต่างกันสามร้อยวิธี!
“เยี่ยมไปเลย นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการ”
ดาร์กจดชื่อหนังสือและเตรียมจะยืมจากห้องสมุดหลังเลิกเรียน
หลังจากศาสตราจารย์เคเซอร์สอนบทนี้เสร็จแล้ว เขาก็ให้เวลานักเรียนจดข้อมูลจากกระดานดำ
จากนั้นเขาก็เดินออกจากแท่นโพเดียมเพื่อดูว่านักเรียนกำลังจดบันทึกอย่างจริงจังหรือไม่
เมื่อเขาเดินไปที่ดาร์ก เขาก็เหลือบมองที่โน้ตที่หนาเตอะแต่เรียบร้อยแล้วพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปอีกด้านหนึ่งของห้องเรียน
เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตนั่งอยู่ตรงนั้น
ทั้งสองรีบแสร้งทำเป็นจดบันทึกโดยรอให้ศาสตราจารย์หันหลังกลับ เมื่อศาสตราจารย์เดินจากไป ในที่สุดเวอร์เธอร์ก็รู้ว่านี่คือโอกาสของเขา
เขาหยิบ [ความรักต้องห้าม] ขึ้นมาทันทีและตรวจสอบศาสตราจารย์เคเซอร์
อึดใจต่อมา
ตู้ม!
หมอกสีชมพูพุ่งออกมาจากผิวการ์ด [ความรักต้องห้าม] และการ์ดก็สั่นอย่างบ้าคลั่ง
เวอร์เธอร์ตกใจและรีบเอาการ์ดลง
ศาสตราจารย์เคเซอร์ขมวดคิ้วและสายตาจ้องมองมาที่เขา
บทที่ 56 เวอร์เธอร์ กาวด์เปิดกล่องเวทมนตร์
เมื่อปราศจากปัญหาหนี้สิน เวอร์เธอร์ก็ดูเหมือนจะสูญเสียจิตวิญญาณของเขาไปอีกแล้ว
ถึงแม้จะบอกว่าเขาต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่การทำการบ้านให้เสร็จก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาทำได้เท่านั้น
ในโลกนี้ ไม่มีอะไรน่าสนใจไปกว่าหมากรุกเวทมนตร์!
ถ้าให้เวอร์เธอร์เลือกอย่างอื่น บางทีมันอาจจะเป็น [ความรักต้องห้าม] ในมือเขา!
เวอร์เธอร์เล็งการ์ดดอกไม้ไปที่เพื่อนร่วมชั้นในแถวหน้าอย่างระมัดระวัง
หลังจากการเฝ้าภาวนาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสามคืน ในที่สุดเขาก็ได้รับการตรัสรู้ของ ‘เทพธิดา’
วารีวิศุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ที่หยดลงมาจากอากาศทำให้ [ความรักต้องห้าม] ยกระดับไปอีกขั้น
ตอนนี้ตราบใดที่ [ความรักต้องห้าม] เล็งเป้าไปที่หัวใคร ภาพบุคคลนั้น และข้อมูลบางอย่างจะสามารถแสดงบนการ์ดได้แบบนี้:
[ชื่อ: ???]
[ความหายาก: ???]
[ความชื่นชอบ: ???]
แม้ว่าเวอร์เธอร์จะไม่พบเอฟเฟกต์อื่นนอกเหนือจากนี้ แต่มันก็น่าสนใจพอแล้ว ใช่หรือไม่?
“เวอร์เธอร์นายทำอะไรน่ะ?” โรเบิร์ตถามเสียงต่ำ
เวอร์เธอร์เล็ง [ความรักต้องห้าม] ไปที่โรเบิร์ต และพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ของเล่นชิ้นใหม่ล่ะ!”
[ชื่อ: โรเบิร์ต บร็อกไฮม์]
[ความหายาก: R]
[ความชื่นชอบ: 80 หน่วย]
เวอร์เธอร์วาง [ความรักต้องห้าม] ลงบนโต๊ะ “ฟังนะ โรเบิร์ต ความหายากของนายคือ R! ความชื่นชอบคือ 80 หน่วย”
โรเบิร์ตงุนงง “ฉันเข้าใจว่ามันหายากนะ แต่ R หมายถึงอะไร แล้วความชื่นชอบนี่…”
เวอร์เธอร์ตอบ “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่า R หมายถึงอะไร แต่คนส่วนใหญ่คือ N นายเป็นคนพิเศษ โรเบิร์ต!”
“จริงอะ?” โรเบิร์ตหัวเราะขึ้นมาทันที “ถ้าอย่างนั้นความโปรดปรานนี่คือ…”
เวอร์เธอร์กระซิบ “อาจจะเป็นระดับของความเป็นมิตรกับฉัน ส่วนใหญ่อยู่ต่ำกว่าห้าสิบหน่วย โรเบิร์ต นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันจริง ๆ!”
โรเบิร์ตยิ้มอย่างมั่นใจ เขามั่นใจอย่างเต็มที่ในเรื่องนี้ “แล้วเอ็มม่าล่ะ? นายเคยตรวจสอบเอ็มม่าบ้างไหม?”
เวอร์เธอร์ส่ายหัว “เธอนั่งไกลเกินไป และมีคนกำลังมา”
เอ็มม่าอยู่ในแถวแรก แน่นอน เขาไม่สามารถตรวจสอบเธอได้
แต่เวอร์เธอร์นึกถึงอีกคนอย่างรวดเร็ว และอดมองไปยังหน้าต่างแถวสุดท้ายไม่ได้
โรเบิร์ตสังเกตเห็นสายตาของเขาและเริ่มสนใจ “อยากลองไหม?”
เวอร์เธอร์พยักหน้า “นายช่วยฉันดูศาสตราจารย์ซิลเวอร์หน่อย ฉันจะลองดู”
…
ดาร์กบังเอิญมองไปและสบตาเข้ากับเขา
เวอร์เธอร์รีบเก็บ [ความรักต้องห้าม] และแสร้งทำเป็นกระซิบกับโรเบิร์ต
เมื่อดาร์กหันหน้าไปและหยุดให้ความสนใจ เวอร์เธอร์ก็หยิบ [ความรักต้องห้าม] ออกมา และเล็งไปที่ดาร์กอย่างรวดเร็ว
[ชื่อ: ดาร์ก เดม่อน]
[ความหายาก: UR]
[ความชื่นชอบ: 45]
เวอร์เธอร์สะดุ้งเล็กน้อยและถอนหายใจ “สี่สิบห้าหน่วย ฉันไม่นึกเลยว่าดาร์กจะเป็นมิตรกับฉันมากกว่าหลาย ๆ คนเลย”
โรเบิร์ตเดา “พ่อแม่ของพวกนายทั้งคู่เป็นดาบแห่งอาณาจักร บางทีเขาอาจจะอยากเป็นเพื่อนกับนายด้วยก็ได้?”
เวอร์เธอร์ “…”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เวอร์เธอร์ก็สังเกตเห็นเครื่องหมายแม่กุญแจสีทอง ปรากฏขึ้นที่มุมขวาบนของการ์ด
เขาเอื้อมมือไปแตะมัน และประโยคหนึ่งพลันปรากฏขึ้นใต้เครื่องหมายแม่กุญแจว่า: ความชื่นชอบ 80 ปลดล็อกแล้ว
…
กริ๊ง!
คาบเรียนอัญเชิญสิ้นสุดลงหลังจากการตำหนิของศาสตราจารย์ซิลเวอร์ และโรเบิร์ตซึ่งถูกจับได้และโดนหักคะแนนในนาทีสุดท้ายก็ได้แต่ยักไหล่
ดาร์กเหลือบมอง แล้วใส่หนังสือลงในกระเป๋าของเขา พร้อมที่จะไปที่ชั้นเรียนถัดไปโดยตรง
ว่ากันว่าหลังจากคาบ [สัตว์อสูรมายา] ศาสตราจารย์เคเซอร์จะสอนวิธีสร้างการ์ดวิญญาณทั่วไปที่สามารถใช้ได้อย่างหลากหลาย ให้กับนักเรียนในคาบเรียนนี้
ดาร์กสนใจเรื่องนี้มาก
และดูเหมือนว่านักเรียนชั้นปีหนึ่งส่วนใหญ่ก็ให้ความสนใจมันเป็นอย่างมากด้วย
ท้ายที่สุดแล้ว ถ้าพวกเขาต้องการเข้าร่วมชมรมการประลอง พวกเขาจำต้องมีการ์ดเวทมนตร์ยี่สิบใบ
หากสามารถเรียนรู้วิธีการทำการ์ดวิญญาณทั่วไปได้ พวกเขาก็จะหาการ์ดเวทมนตร์ครบยี่สิบใบด้วยความรวดเร็ว
→ไม่มีใครไม่ชอบการประลอง!
ดาร์กก็อดเดินเร็วขึ้นไม่ได้
แต่ไปได้ครึ่งทาง เขาก็สังเกตเห็นใครบางคนตามมาจากด้านหลัง
ดาร์กทำเป็นไม่รู้ตัว หลังจากเขาเดินตรงไปอีกสองสามก้าวแล้วเลี้ยวมุมหลบไป จากนั้นก็หันกลับมารอ
เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตเดินชนเข้ากับเขา
ดาร์กรีบเคลื่อนตัวไปด้านข้าง
โรเบิร์ตหยุดได้ทัน แต่เวอร์เธอร์พุ่งชนกำแพงไปแล้ว
“โอ๊ย~”
แม้แต่มองก็ยังเจ็บแทน!
ดาร์กเริ่มพูด “พวกนายตามฉันมาทำไม?”
“ฮะ ๆ” โรเบิร์ตยักไหล่และหัวเราะอย่างเชื่องช้าสองครั้ง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เวอร์เธอร์ซึ่งลูบหัวทำตัวไม่ถูกหันกลับมาตอบว่า “เอ่อ…พ่อแม่เราเป็นสหายกันไม่ใช่เหรอ? ฉันแค่คิดว่าเราก็เข้าเรียนได้เดือนกว่าแล้ว แต่ยังไม่เคยได้แนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการเลย”
ดาร์กขมวดคิ้วเล็กน้อย มีร่องรอยการระวังตัวแวบผ่านในดวงตาของเขา
ท่าทีของเวอร์เธอร์นั้นกะทันหันเกินไป
ถ้าเวอร์เธอร์มาหาเพื่อนตั้งแต่ตอนเริ่มเข้าสถาบัน ดาร์กก็อาจจะเชื่อ
แต่อย่างที่เวอร์เธอร์พูดเอง นี่ก็ผ่านมามากกว่าหนึ่งเดือนแล้วตั้งแต่เข้าสถาบัน!
ในช่วงเวลานี้ พวกเขาเดินเข้าและออกจากห้องเรียนเดียวกันกี่ครั้งแล้ว? ทำไมถึงต้องเป็นตอนนี้?
เขาคิดถึงพฤติกรรมแปลก ๆ ของเวอร์เธอร์ในห้องเรียน…
ดาร์กเบนความคิดออกไป แต่ยังคงท่าทางอันสูงส่งของเขาไว้ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนหน้าและพูดว่า “ได้ ฉันคือดาร์ก เดม่อน ยินดีที่ได้รู้จัก”
เวอร์เธอร์รู้สึกตื่นเต้นอย่างอธิบายไม่ถูก เขาเอื้อมมือออกไปอย่างรวดเร็วและโบกมือ “เวอร์เธอร์ กาวด์ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน!”
“จริงเหรอ?” ดาร์กยิ้มอย่างบอกไม่ถูก “ฉันจะไปที่ห้องเรียนเพื่อทวนบทเรียนล่วงหน้า ไว้เราค่อยคุยกันทีหลัง”
เวอร์เธอร์ตอบ “เยี่ยม!”
…
พวกเขารอให้ดาร์กเดินจากไป
โรเบิร์ตผลักแขนของเวอร์เธอร์และกระซิบถาม “เป็นไง? จับมือกับนักเรียนตัวอย่างตรง ๆ มันรู้สึกยังไงบ้าง?”
“ฮ่า ๆ ดีมากเลย!” เวอร์เธอร์พูดอย่างอารมณ์ดี
จากนั้นเขาก็หยิบ [ความรักต้องห้าม] ขึ้นมาและมองดู แล้วใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันใด
[ชื่อ: ดาร์ก เดม่อน]
[ความหายาก: UR]
[ความชื่นชอบ: 44]
เวอร์เธอร์ประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมความชื่นชอบถึงลดลงแทนที่จะเพิ่มขึ้นล่ะ”
โรเบิร์ตโน้มตัวมาดูใกล้ ๆ และลังเล “เป็นเพราะเราไปรบกวนเขาหรือว่าเขาโกรธเพราะเราตามเขามา?”
เวอร์เธอร์พูดอย่างกังวลใจ “อย่างนั้นเหรอ? แต่เราแค่อยากจะทักทายเองนะ”
โรเบิร์ตพูด “ทำไมนายไม่ให้ของขวัญเขาในวันฮัลโลวีนดูล่ะ? การได้รับของขวัญจะทำให้ความเป็นมิตรของเขาเพิ่มมากขึ้นใช่ไหม?”
เวอร์เธอร์เห็นด้วย “เป็นความคิดที่ดี แต่เขาชอบอะไร? ลูกอมแอปเปิ้ลใช้ได้ไหม?”
โรเบิร์ตยักไหล่ “บางทีชุดหมากรุกเวทมนตร์ก็เป็นตัวเลือกที่ดี”
เวอร์เธอร์ตอบ “ใช่แล้ว ไม่มีใครไม่ชอบหมากรุกเวทมนตร์”
โรเบิร์ตถามต่อ “แล้วเราจะตรวจสอบเอ็มม่าเมื่อไหร่ดี?”
เวอร์เธอร์ทำหน้าสับสน “เดี๋ยวก่อน โรเบิร์ต ทำไมนายถึงสนใจเอ็มม่าขนาดนั้น? ตอนชั้นเรียนนายก็พูดถึงเอ็มม่าด้วย”
โรเบิร์ตผงะไป หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็พูดออกมา “ไม่ใช่แล้ว เวอร์เธอร์ นายคงไม่คิดว่าฉันเป็นพวกมาโซคิสม์หรอกนะ? ฉันแค่อยากจะดูว่าความเป็นมิตรของเธอที่มีต่อนายจะต่ำแค่ไหน! นายไม่อยากรู้เหรอ?”
เวอร์เธอร์อ้าแขนและส่ายหัวอย่างแรง “ไม่ ๆ ฉันไม่อยากรู้เลย!”
โรเบิร์ตจี้ “นายอยากรู้”
เวอร์เธอร์ยอม “ก็ได้ ฉันอยากรู้ก็ได้”
บทที่ 55 แนวทางการอัญเชิญด้วยวิธีบูชายัญ
เมื่อมองไปที่รุกกี้เดวิมอนซึ่งกำลังหน้าแดงและคร่ำครวญ ดาร์กก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งเหงื่อ
“เฉียดฉิว!”
“ดีนะที่มีรุกกี้เดวิมอนอยู่ด้วย!”
ดาร์กหยิบสมุดบันทึกของเขาขึ้นมาเพื่อบันทึกเอฟเฟกต์อย่างรวดเร็ว
การ์ดดอกไม้ใบนี้เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อรวมกับโบนัสพลังของการ์ดดอกไม้เอง มันน่าจะมีพลังมากกว่า [อัตตา I]
“บันทึกชั่วคราวของ [ราคะ I]”
“จากที่เห็น อย่างน้อยก็เป็นเวอร์ชันสูงสุดของ [การ์ดแห่งความสุข] แค่การรั่วไหลเพียงเล็กน้อยก็ทำให้รุกกี้เดวิมอนตกอยู่ในห้วงความสุขสุดขีด”
“แต่ทำไมการ์ดดอกแอปริคอทถึงประสบความสำเร็จ ส่วนการ์ดดอกพลัมสีแดงถึงล้มเหลว?”
“เป็นเพราะความแตกต่างของสีรึเปล่า?”
“นี่มันแปลกไปหน่อย”
ดาร์กเขียนไว้ในโน้ตว่า ‘บางทีแอปริคอทอาจจะเหมาะกับ [ราคะ] มากกว่า’
เพื่อพิสูจน์ข้อสรุปนี้ เขาต้องทำการทดลองเพิ่มเติม
แต่ก่อนหน้านั้นเขาต้องศึกษา [ราคะ I] ให้ละเอียดก่อน
ดาร์กดึง [สัตว์อสูรมายา: อีบุย] จากซองการ์ด และอัญเชิญอีบุยตัวน้อยออกมา
“วี้~”
อีบุยจังเอียงศีรษะและมองมาที่เขา
ดาร์กอดจ้องมองที่มันไม่ได้ แต่สุดท้ายเขาก็กัดฟันออกคำสั่ง
อีบุยจังซึ่งมีระดับสติปัญญาถึง 2.5 แสดงให้เห็นร่องรอยของความเศร้าโศก แต่ยังคงกระโดดไปที่โต๊ะและกดอุ้งเท้าของมันบนการ์ดดอกไม้สีชมพู
ร่องรอยของหมอกสีชมพูลอยขึ้นจากการ์ดดอกไม้ ทำให้อีบุยหรี่ตาเล็กน้อย แต้มระเรื่อสีแดงปรากฏขึ้นบนแก้มของมัน ขณะที่ร่างกายของมันสั่นไปด้วย
แต่อีบุยยังไม่หมดสติไปอย่างที่รุกกี้เดวิมอนโดน
จากนั้นมันก็ตบการ์ดอีกสองครั้ง จนไม่มีหมอกที่ค้างอยู่ในการ์ดดอกไม้อีกต่อไป
จากสิ่งนี้ทำให้ดาร์กตัดสินว่า ‘มันน่าจะเป็นเพียงการรั่วไหลของหมอกในขณะที่ขัดเกลา’
ดังนั้น เขาจึงเริ่มแหย่มันด้วยปากกาพลังเวทมนตร์ ตามด้วยใช้มือ และในที่สุดก็หยิบการ์ดดอกไม้ไว้ในมือ
ไม่กี่นาทีต่อมา
รุกกี้เดวิมอนตื่นขึ้น แต่เมื่อมันเงยหน้าก็เห็นอีบุยผู้ต่ำต้อยนอนแผ่สบายอยู่ในอ้อมแขนของเจ้านายและเลียนิ้วของเขา
ต่อจากนั้น มันก็เห็นการ์ดสีชมพูในมืออีกข้างของเจ้านายของมัน รุกกี้เดวิมอนจึงรีบหลับตาลงทันที!
“จงออกมา เวทอัญเชิญ!”
ดาร์กเปิดใช้งาน [ราคะ I] เป็นครั้งแรก
ทันใดนั้น ชั้นของแสงแวววาวก็ปรากฏขึ้นบน [ราคะ I] กลีบดอกไม้สีชมพูก็พวยพุ่งออกมาทันที มันไม่ใช่ดอกแอปริคอทอีกต่อไป แต่เป็นดอกไม้แปลก ๆ อีกชนิดหนึ่ง
กลีบดอกไม้เหล่านี้กลายเป็นหมอกเมื่อสัมผัสกับอากาศ ตามการชี้นำพลังเวทมนตร์ พวกมันพุ่งไปยังรุกกี้เดวิมอนที่แกล้งตาย!
อั๊ก!
รุกกี้เดวิมอนกรีดร้องขณะที่มีหมอกสีชมพูล้อมรอบ
แล้วรุกกี้เดวิมอนก็ไปนอนหอบหายใจอยู่บนหัวของดาร์ก…
หลังจากนั้น เขาก็ใช้การ์ดกับอีบุยจังอีกครั้ง จนในที่สุดก็ได้ผลการทดลองออกมา
ผลของ [ราคะ I] นั้นแข็งแกร่งกว่า [อัตตา I] มาก แต่ยังไม่อาจเทียบได้กับ [อัตตา II]
ระยะการใช้งานประมาณสิบห้านาที ซึ่งนานกว่าระยะเวลาของ [อัตตา I] และการคูลดาวน์ก็สั้นกว่า โดยใช้เวลาเพียงสามสิบนาทีเท่านั้น
ตามการประมาณการเบื้องต้น [ราคะ I] นี้น่าจะถึงขีดจำกัดที่มหาบาปจะไปถึงได้
นอกจากนี้ หลังจากที่อีบุยจังกลับมาเป็นปกติ ระดับสติปัญญาของมันก็เพิ่มขึ้นเป็น 3.0
ส่วนรุกกี้เดวิมอนเขาไม่มีทางตัดสินได้
…
ดาร์กบันทึกข้อมูลทั้งหมดด้วยความพึงพอใจ
การทดลองจึงจบลง
ในตอนบ่ายเขาใช้เครื่องหยดสมองวิเศษเพื่อดึง [อัตตา] ออกมาอีกครั้ง และพยายามยื่นปลายหยดใกล้กับปากหญ้าแมว แต่หญ้าแมวดูเหมือนจะไม่สนใจหลอดหยดและปฏิเสธที่จะดื่มมัน
ดาร์กไม่อยากให้เสียของ ดังนั้นเขาจึงใส่ [อัตตา] หยดนี้เข้าไปในกิ่งต้นไม้หนอน
ทันใดนั้น ราวกับว่าหญ้าแมวได้กลิ่นของอร่อย มันร้องเหมียวและกระโจนเข้าไปหาทันที
จากนั้นดอกตูมที่อยู่บนหัวหญ้าแมวก็เติบโตขึ้นในอัตราที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า!
ดาร์กสังเกตและบันทึก ในใจรู้สึกมีความสุขไม่หยุด
ในนาทีที่สิบเจ็ดหลังจากที่หญ้าแมวดูดซับ [อัตตา] หยดนั้น ดอกตูมบนหัวของมันก็หยุดขยายขึ้น แต่มันเติบโตเป็นดอกไม้เล็ก ๆ แทน!
…
ดาร์กดึง [อัตตา] หนึ่งหยดออกมาแล้วถ่ายโอนเข้าไปในกิ่งต้นไม้หนอนทุกบ่ายจนถึงสุดสัปดาห์
เช่นเคย หญ้าแมวใช้สองอุ้งเท้าคว้ากิ่งต้นไม้หนอนแล้วดูดอย่างเอร็ดอร่อย!
ดอกตูมที่อยู่เหนือหัวมันใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ!
และค่อย ๆ เติบโตจนบานสะพรั่ง!
ดาร์กบันทึกข้อมูลอย่างตื่นเต้น “ด้วยอัตรานี้ อีกหนึ่งหยดน่าจะสามารถทำให้มันบานได้ อีกสองหยดอาจจะออกผล!”
แต่หลังจากบันทึก เขาก็ตระหนักได้ว่าโควตา [อัตตา] ที่เขาสามารถดึงออกมาได้ในเดือนนี้หมดลงแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น ดาร์กก็สงบลงทันที
“เมี้ยว~”
“เมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว!”
…
พริบตาก็เป็นเช้าวันจันทร์
จอมเวทฝึกหัดทั้งหลายที่พักผ่อนเป็นเวลาสองวันครึ่งก็ได้กลับมาจดจ่อกับกิจวัตรการเรียนที่ยุ่งวุ่นวายของพวกเขาต่อ
ในคาบเรียนการอัญเชิญครั้งแรก ในที่สุด ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ก็เริ่มสอนหนึ่งในคาถาขั้นสูงของคาถาอัญเชิญปกติ การอัญเชิญด้วยวิธีบูชายัญ!
‘การอัญเชิญด้วยวิธีบูชายัญ’ เป็นคาถาอัญเชิญพิเศษที่มีพื้นฐานมาจากการอัญเชิญสปิริตซึ่งมีสี่ดาวหรือมากกว่านั้น
การ์ดเวทมนต์ถูกแบ่งตามระดับดาว สามดาวแรกคือขั้นหนึ่ง สี่ดาวถึงหกดาวคือขั้นสอง เจ็ดดาวถึงเก้าดาวเป็นขั้นที่สาม เก้าดาวขึ้นไปเป็นขั้นที่สี่
แต่ละขั้นที่สูงขึ้น เวลาร่ายและคูลดาวน์ของการอัญเชิญก็จะเพิ่มขึ้นไปหนึ่งระดับ
เวลาอัญเชิญปกติของหนึ่งถึงสามดาวสามารถบีบอัดให้ไม่เกินสามวินาทีได้
ดาวสี่ดวงจะใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งนาที และจากห้าถึงเจ็ดดาวจะใช้เวลาอย่างน้อยสามสิบนาที
สูงกว่าเก้าดาว มันจะใช้เวลาสามชั่วโมง และสปิริตบางตัวอาจต้องใช้เวลาทั้งวันทั้งคืน หรือแม้กระทั่งต้องร่ายคาถาต่อเนื่องหลายเดือนเพื่ออัญเชิญออกมา!
ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาเทคโนโลยีเวทมนตร์ แม้ว่าจอมเวทจะมีการ์ดวิญญาณเวทระดับสูง แต่ก็ยากที่จะอัญเชิญพวกมันออกมาในการต่อสู้ตรงหน้าได้
ทุกครั้งที่มีการอัญเชิญสปิริตระดับสูงออกมา จึงจำเป็นต้องใช้บุคลากรจำนวนมากปกป้องไว้
ย้อนกลับไปประมาณสามสิบปีที่แล้ว เทคนิคการอัญเชิญพิเศษก็ปรากฏขึ้นในหมู่จอมเวท ทำให้สามารถอัญเชิญสปิริตระดับสูงได้โดยการสังเวยสปิริตระดับต่ำ ซึ่งทำให้เวลาอัญเชิญสั้นลงได้สำเร็จ
แต่การสังเวยทุกครั้งจะสร้างความเสียหายที่ไม่สามารถซ่อมแซมได้ให้กับการ์ดวิญญาณระดับต่ำ
จนกระทั่งถึงยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีนี้ได้รับการคิดค้นขึ้นใหม่ มันจะไม่สร้างความเสียหายให้กับการ์ดวิญญาณระดับต่ำอีกต่อไป และทำให้เวลาในการอัญเชิญสังเวยสั้นลงด้วย มันได้รับการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘การอัญเชิญด้วยวิธีบูชายัญ’
แก่นของการอัญเชิญด้วยวิธีบูชายัญคือ การสะสมดาว
✪ + ✪ = ✪✪
✪✪ + ✪✪ = ✪✪✪✪
✪ + ✪✪ + ✪✪✪✪ = ✪✪✪✪✪✪✪
ไม่คำนึงถึงจำนวนการ์ด แต่เพียงต้องสะสมดาวให้พอ
เกณฑ์ที่จำเป็นคือ ถ้าต้องการอัญเชิญสปิริตขั้นสามออกมา จะต้องมีสปิริตขั้นสองอย่างน้อยหนึ่งตัวในการสังเวยเป็นต้น
…
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ได้สาธิตในชั้นเรียน โดยใช้เวลาสิบห้าวินาทีในการเรียกสปิริตระดับหกดาวออกมา สิ่งนี้ทำให้พวกจอมเวทฝึกหัดตกตะลึง
การอัญเชิญด้วยวิธีบูชายัญและคาถาอัญเชิญแบบปกติใช้คูลดาวน์เท่ากัน ส่วนเวลาในการร่ายสั้นที่สุดและคูลดาวน์ที่สั้นที่สุดคือสามวินาที
…
ในตอนนี้เอง ดาร์กจึงตระหนักได้ว่าเวลาอัญเชิญแปดวินาทีของเขายังไม่เพียงพอ
“ต้องหลีกเลี่ยงความเย่อหยิ่งและความหุนหันพลันแล่น!”
ในขณะที่เขาไม่ได้สนใจชั้นเรียน แต่สายตากลับสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของเวอร์เธอร์ซึ่งนั่งอยู่แถวสุดท้ายด้วย
→ นั่นเขากำลังดูใครบางคนผ่านการ์ดดอกไม้อยู่เหรอ?
บทที่ 54 จุดเริ่มต้นของการ์ดเมจิกหมวดราคะ
แสงจันทร์ส่องสว่างในยามค่ำคืน และสถาบันเซนต์แมเรียนก็เต็มไปด้วยเงากระดำกระด่าง
ศาสตราจารย์ดีดี้ แม็กซ์เวลลอยอยู่บนหอนาฬิกาเกลียวตรงกลางปราสาท เธอกระพือปีกผีเสื้อเบา ๆ
หน้าผากปรากฏรอยย่นลึกบริเวณหว่างคิ้ว ตรงหน้ามีดวงจันทร์สองดวงที่ไม่สมบูรณ์สะท้อนอยู่ในดวงตาของเธอ
…
ยามแสงแรกอรุณพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ผืนนภาก็แหวกออกและความอบอุ่นก็แทรกซึมเข้ามา
ดาร์กเทยาลงบนต้นไม้หนอน ป้อนน้ำแมวให้หญ้าแมว และหลังจากรับประทานอาหารเช้าที่รุกกี้เดวิมอนนำมาแล้ว เขาก็ออกจากหอคอย มุ่งหน้าไปยังถนนนักเดินทาง
เช้าตรู่ของฤดูใบไม้ร่วงนั้นหนาวเล็กน้อย บนถนนนักเดินทางมีคนอยู่กระจัดกระจายไปทั่ว
ดาร์กซื้อรั้วและของเล่นแมว
หลังจากคิดไปคิดมา เขาก็ซื้อชุดเครื่องมือทดลองตามแบบในห้องทดลองด้วย
เครื่องมือทดลองทั่วไปนั้นราคาไม่แพง ส่วนที่แพงที่สุดคือ ส่วนที่ผ่านการแปรรูป เช่น แท่งแก้วปรอทที่ศาสตราจารย์ทอมป์สันใช้ในชั้นเรียน
นอกจากนี้ เขาซื้อการ์ดเวทมนตร์เปล่าที่ราคาสิบคะแนน เป็นจำนวนสิบใบ การ์ดเวทมนตร์เปล่าที่ราคาห้าสิบคะแนน เป็นจำนวนสองใบ และวัสดุพื้นฐานบางอย่างที่ใช้กันทั่วไป สรุปคือซื้อมาหลายอย่าง
คะแนนลดลงไปในอัตราที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และเหลือเพียงสองร้อยคะแนนในตอนท้ายสุด
“ถ้าฉันไม่สามารถไปที่ห้องทดลองได้ตลอดเวลา ก็จำเป็นต้องมีชุดเครื่องมือของตัวเองบ้าง”
ดาร์กพยักหน้าอย่างพึงพอใจและขนถุงหลายใบกลับไปที่หอพัก
ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงเช้าเท่านั้น
โชคดีที่หอพักกว้างขวางพอที่จะมีมุมเล็ก ๆ ให้ทดลอง ซึ่งก็นับว่าเพียงพอแล้ว
จากนั้นดาร์กก็หยิบการ์ดแต่งตัวที่เขาซื้อมาเมื่อวานจากซองใส่การ์ดออกมาแล้ววางลงบนโต๊ะ
ตามคำอธิบายของรุ่นพี่ลีออน ดาร์กเพียงต้องสลักวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์รูป ○ ขนาดเล็กสุดท้ายที่มุมล่างขวาของการ์ดแต่งตัวเพื่อเปิดใช้งาน
การ์ดแต่งตัวเป็นการ์ดไอเทมชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของชุดเกราะ
มันไม่มีผลเรื่องพลังโจมตีและป้องกันโดยสิ้นเชิง แต่เน้นไปที่สไตล์และการออกแบบเท่านั้น มันมีเพิ่มมาแค่ฟังก์ชัน ‘เปลี่ยนไซซ์’ เท่านั้น
การ์ดแต่งตัว <ไอ้มดแดง> ที่ทำโดยรุ่นพี่ลีออน เป็นเพียงการเลียนแบบอย่างคร่าว ๆ
แต่จริง ๆ แล้วมันคือ ชุดคอสเพลย์!
ดาร์กทำตามขั้นตอนสุดท้ายอย่างรวดเร็ว และลองอีกครั้ง
‘ใส่ยังไงนะ?’
มันสะดวกก็จริง แต่ถ้ามองในแง่ของงานฝีมือมันก็ยังค่อนข้างหยาบไปหน่อย
โดยเฉพาะชุดหน้ากากทักซิโด้ ซึ่งไม่ต่างจากชุดธรรมดาเลย
เพราะมันมีไว้ใช้ในวันฮาโลวีน ที่จริงแล้วควรซื้อชุดระดับไฮเอนด์จะดีกว่า
“แบบนี้ไม่ได้แน่ ถ้าแม่รู้ว่าฉันใส่ของราคาถูกแบบนี้ เธอร้องไห้ตายพอดี”
เมื่อคิดแล้ว ดาร์กจึงโยนการ์ดแต่งตัวลงในลิ้นชัก และตัดสินใจว่าจะแยกส่วนมันออกเมื่อเขาต้องการศึกษามัน
…
จากนั้นดาร์กก็เลือกการ์ดดอกไม้หนึ่งในเก้าใบ เพื่อเตรียมทำการทดลอง
จุดประสงค์ของการทดลองนั้นง่ายมาก นั่นคือ เพื่อยืนยันข้อสันนิษฐานก่อนหน้านี้เพิ่มเติม
ปรากฏการณ์ที่เกิดจากการ์ดดอกไม้เพียงใบเดียวไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าพวกมันสามารถดูดซับ [ราคะ] ได้
จำเป็นต้องมีการทดลองมากมายเพื่อยืนยัน
นอกจากนี้ ดาร์กยังต้องการดูว่าเขาสามารถควบคุมความถี่ของการป้อนพลังเวทมนตร์ได้หรือไม่ เผื่อว่าหลังจากที่การ์ดดอกไม้ดูดซับ [ราคะ] ไปแล้ว มันจะไม่เสียหายแต่อย่างใด
นี่ต้องพูดว่า ส่วนใหญ่เป็นเพราะการ์ด [ความรักต้องห้าม] ของเวอร์เธอร์เป็นแรงบันดาลใจให้กับเขา
เนื่องจากเวอร์เธอร์สามารถแปลงการ์ดดอกไม้ให้เป็นการ์ดเวทมนตร์ได้ เขาคิดตัวเองก็น่าจะสามารถทำได้เช่นกัน
…
[ราคะ: 92]
อืม มากกว่าสิ้นเดือนที่แล้วสองหน่วย
หลังจากที่ค่ามหาบาปเกินหนึ่งร้อยหน่วย มันจะเพิ่มยากขึ้นเล็กน้อย ซึ่งทำให้เขามีความคล่องตัวมากขึ้น
ดาร์กไม่สนใจสองหน่วยที่เพิ่มมา แต่สังเกตการ์ดดอกไม้บนโต๊ะอย่างละเอียด
การ์ดดอกไม้อันวิจิตรบรรจงประดับประดาด้วยดอกพลัมสีแดงที่กำลังผลิบาน มันดูเย็นเยียบแต่ภาคภูมิ ทะนงตนแต่งดงาม
ทว่าความชั่วร้ายแบบไหนที่ซ่อนอยู่ภายใต้พื้นผิวที่สวยงามเช่นนี้กัน?
เขาใช้ปากกาพลังเวทเป็นสื่ออีกครั้ง จากนั้นก็จิ้มลงไปที่การ์ดดอกไม้และค่อย ๆ ถ่ายพลังเวทมนตร์ทีละน้อย
ดอกพลัมสีแดงในการ์ดดอกไม้บานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมสดชื่น
ด้วยการป้อนพลังเวทมนตร์อย่างต่อเนื่อง พวกมันจึงค่อย ๆ กระจายออกไป และเครื่องหน้าแสนบรรจงซึ่งพิศุทธ์ไร้มลทินก็ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวการ์ด
รอยรูปหัวใจใต้หางตาทำให้ใบหน้านั้นดูบริสุทธิ์อย่างเห็นได้ชัด
ดาร์กกลั้นหายใจและเปลี่ยนความคิดของเขาอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าของรุ่นพี่แพนดอร่าหายไป และหญ้าแมวที่น่ารักก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“เมี้ยว~”
เจ้าตัวน้อยนั่งยอง ๆ บนโต๊ะข้างเตียงและร้องเรียกได้จังหวะพอดี
“เงียบ!”
รุกกี้เดวิมอนที่อยู่บนราวนกยืน ยกอุ้งเท้าขึ้นใส่หญ้าแมว ดวงตาของมันแสดงให้เห็นถึงความเย่อหยิ่ง และจ้องมองลงไปยังหญ้าแมวซึ่งถูก ‘ผูกติดกับกระถางดอกไม้’ แล้วดึงเอาความรู้สึกของผู้ที่อยู่เหนือกว่าออกมาอย่างต่อเนื่อง
ดาร์กยังคงมุ่งความสนใจไปที่การปรับการส่งออกของพลังเวทมนตร์
ด้วยการป้อนพลังเวทมนตร์อย่างต่อเนื่อง ดอกพลัมสีแดงบนการ์ดดอกไม้ก็เกิดความผิดปกติ!
มือของเขาหยุดการป้อนพลังเวทมนตร์ในทันที และยกปากกาพลังเวทมนตร์ออก
ลูกพลัมสีแดงสั่นสะท้านและหยุดลงหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง
จากนั้น ดาร์กก็ใช้ปากกาพลังเวทและพยายามป้อนพลังเวทมนตร์เล็กน้อยอีกครั้ง
[ราคะ -1]
ด้วยพลังเวทมนตร์เพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็ทำให้การ์ดดอกไม้ทะลุผ่านจุดวิกฤตได้
ลูกพลัมสีแดงที่เพิ่งสงบลงพลันกระสับกระส่ายขึ้นมาในทันที!
กลีบดอกสีแดงสดแตกออกจากกลีบเลี้ยง และกลายเป็นพายุขึ้นมาขณะที่มันพุ่งออกจากการ์ด หมุนวนและส่งเสียงหวีดแหลม
ดาร์กรีบถอยหลังทันที
รุกกี้เดวิมอนพร้อมที่จะลงมือแล้ว มันกางปีกออกแล้วยิงเข็มฉีดยาขนาดใหญ่ ขณะฝ่าพายุกลีบดอกไม้ มันก็ตอกการ์ดลูกพลัมสีแดงไว้บนโต๊ะ
…
ดาร์กไม่ละทิ้งการทดลองเพราะเหตุนี้
เขาเก็บการ์ดดอกพลัมสีแดงที่เสียหายไว้ในถุงที่ปิดสนิท แล้วหยิบการ์ดดอกไม้ใบใหม่ออกมาอีกครั้ง
ดอกแอปริคอทสีขาวอมชมพูดูเขินอายและน่ารัก
ดาร์กหยิบปากกาและใส่พลังเวทเข้าไป
แม้ว่าคราวนี้เขาจะระมัดระวังมากขึ้น แต่พลังเวทมนตร์ที่การ์ดดอกไม้สามารถต้านทานได้ยังคงถึงจุดวิกฤต
เมื่อมองดูดอกแอปริคอทที่สั่นไหวอย่างบ้าคลั่งในการ์ดดอกไม้ ดาร์กก็ครุ่นคิดเป็นเวลานาน และท้ายที่สุดก็ตัดสินใจป้อนร่องรอยของพลังเวทมนตร์ต่อไป!
[ราคะ -1]
ทันทีที่ระบบแจ้งผ่านสายตาของเขา เด็กชายก็หยุดส่งพลังเวทมนตร์ทันที
แต่การ์ดดอกแอปริคอทใบนี้กลับมีการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึง!
ดอกแอปริคอทบนการ์ดกลายเป็นเส้นไหมเส้นเล็ก!
เส้นไหมสีชมพูเหล่านี้ไม่ได้กลายเป็นงูเถาวัลย์ และพุ่งออกมากัดเหมือนเส้นไหมของดอกกุหลาบสีดำ
เส้นเหล่านี้เหมือนผ้าทอ พันรอบการ์ดดอกไม้อย่างประณีต
เมื่อช่องว่างสุดท้ายในการ์ดดอกไม้ถูกปกคลุมด้วยเส้นไหม พวกมันก็ละลายหายไปอย่างรวดเร็ว มีเพียงการ์ดดอกไม้สีชมพูจาง ๆ ที่กำลังจะตาย
ดาร์กมองดูการ์ดดอกไม้ที่กลายเป็นสีชมพูด้วยสายตาชอบกล ก่อนที่เขาจะส่งสัญญาณให้รุกกี้เดวิมอนหยิบมันขึ้นมาดู
ความเย่อหยิ่งในดวงตาของรุกกี้เดวิมอนหายไปแล้ว มันบินออกจากราวนกยืนทันที ก่อนจะแหย่การ์ดดอกไม้ด้วยอุ้งเท้าของมัน
ด้วยการแหย่นี้ ลมหายใจแผ่วเบาก็ลามเลียขึ้นไปบนอุ้งเท้าของมัน
ฟึ่บ!
รุกกี้เดวิมอนหมุนตัวด้วยเท้าข้างเดียว ใบหน้าแดงก่ำราวกับคนเมาก่อนจะล้มพับลงไป
บทที่ 53 ธุลีแห่งเทพบรรพกาล
หลังจากทนโดนอีกฝ่ายหยอกล้อ ดาร์กก็ได้รู้ตำแหน่งของหนังสือเกี่ยวกับหญ้าแมวจากรุ่นพี่แพนดอร่า และไม่นานก็พบสำเนาของ ‘การจำลองของโลกพืช’ ในห้องสมุด
ในคืนวันศุกร์มีคนในห้องสมุดค่อนข้างน้อย
ดาร์กรินชาดำไร้กลิ่นให้ตัวเองแล้วอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ
‘การจำลองหมายถึง ปรากฏการณ์การปรับตัวทางนิเวศวิทยา โดยที่สิ่งมีชีวิต ‘เลียนแบบ’ สิ่งมีชีวิตอื่น หรือสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีชีวิตในแง่ของสัณฐานวิทยา พฤติกรรม และลักษณะอื่น ๆ ของมันที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่าย ถือเป็นพฤติกรรมพิเศษที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตในการวิวัฒนาการระยะยาวของธรรมชาติ’
‘ปรากฏการณ์ทางชีวภาพของหญ้าแมวเกิดจากการจำลอง’
‘ตัวอย่างการจำลองทั่วไป ประกอบด้วยผู้จำลอง วัตถุที่จำลอง และผู้ถูกหลอกลวง’
‘ยกตัวอย่าง หญ้าแมว’
‘ผู้จำลองคือ หญ้าแมวเอง’
‘วัตถุที่จำลองคือ แมว’
‘ผู้ถูกหลอกลวงคือ มนุษย์’
…
“อวัยวะสำคัญทั้งหกของพืช ได้แก่ ราก ลำต้น ใบ ดอก ผล และเมล็ด”
“แยกหญ้าแมวตามโครงสร้างต้นไม้”
“ส่วนที่ฝังอยู่ในดินคือราก”
“หางคือลำต้น”
“แล้วขนรอบ ๆ ตัวของมันคือ… ใบไม้งั้นเหรอ?”
เมื่อเห็นเช่นนั้น ดาร์กก็ตกตะลึง
ตามภาพต้นฉบับ เขาคิดว่าส่วน ‘แมว’ ของหญ้าแมวน่าจะเป็น ‘ผล’
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น
ขนของแมวคือใบไม้ ส่วนลำตัว แขนขา และหัวนั้นเหมือนกับลำต้นหลักของกระบองเพชร มันคือส่วนลำต้น
ในส่วนของดอกและผลนั้น…
ทุกฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ดอกไม้แสนสวยงามจะเติบโตบนยอดหญ้าแมว
เมื่อดอกไม้เหี่ยวเฉาก็จะออกผล
ส่วนเมล็ดนั้นก็อยู่ในผลโดยธรรมชาติ
…
ดาร์กอ่านหนังสือต่อไปและค่อย ๆ เข้าใจระบบนิเวศของหญ้าแมวอย่างละเอียดมากขึ้น
เมื่อใกล้บานสะพรั่ง พวกมันจะลำเลียงสารอาหารส่วนใหญ่ในลำต้นไปยังส่วนบนของยอด จากนั้นพวกมันก็จะออกดอกตูม กระบวนการคือผลิใบ ผสมเกสร และออกผลในที่สุด
“นี่เป็นกระบวนการที่สำคัญ”
ดาร์กวาดกระบวนการทั้งหมดเป็นกราฟลงในสมุดบันทึกของเขา จากนั้นจึงวาดวงกลมบนรูปยอดหญ้าแมวเป็นเครื่องหมายว่าเขาพบสาเหตุแล้ว
เพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของตัวเอง เขาต้องอ่านหนังสือมากมาย จนกระทั่งสามทุ่มดาร์กก็ยืม ‘เจ้าแห่งมิมิค’ อีกเล่มหนึ่ง แล้วจึงออกจากห้องสมุด
รุ่นพี่แพนดอร่าไม่ได้อยู่ในห้องสมุดเสมอไป หากแต่เป็นคุณเบลล่าที่ทำหน้าที่เกือบตลอดเวลา
หลังจากดาร์กกลับมาที่หอพัก เขาก็เปิดไฟ วางหนังสือที่ยืมไว้บนโต๊ะ แล้วเดินไปที่ระเบียง
“เมี้ยว~”
หญ้าแมวเดินด้วยขาสั้น ๆ มาหาดาร์ก เด็กชายคุกเข่าลงและเกาคางมัน อีกมือหนึ่งตรวจสอบตรารับรอง [อัตตา] ที่อยู่บนหัวของเจ้าตัวน้อยอย่างระมัดระวัง
จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นรอยนูนขนาดเล็กบนตรารับรอง [อัตตา]!
เมื่อสัมผัสรอยนูนด้วยปลายนิ้ว ดาร์กก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
หญ้าแมวที่ดูดซับ [อัตตา] เข้าไปจะให้ผลแบบไหนออกมานะ?
“หากพูดถึงผล มีน้ำยามากมายที่ทำจากผลหลากหลายชนิด และแม้แต่การ์ดวิญญาณบางใบก็ต้องการผลพิเศษเป็นวัตถุดิบหลัก ก่อนที่มันจะออกผลสำเร็จ ฉันอาจต้องวิจัยยาหรือสปิริตที่เกี่ยวข้องกับมันซะก่อน”
เมื่อคิดถึงอนาคต ดาร์กก็รู้สึกมีความสุขที่ได้ลูบคลำแมวอีกครั้ง
ค่า [โทสะ] ในใจเขาก็ลดลงเล็กน้อยเช่นกัน
สักพักดาร์กก็อุ้มหญ้าแมวไปล้างที่ห้องน้ำ พอล้างเสร็จเขาก็วางมันลงบนโต๊ะข้างเตียง เขาอ่านหนังสือ ‘เจ้าแห่งมิมิค’ อยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงผล็อยหลับไป
…
หากแต่คืนวันศุกร์ยังไม่สิ้นสุด
ไดแอนนาและโรสยังคงส่งเสียงดังอยู่ในห้องนั่งเล่น
หลังงานเลี้ยงน้ำชา เอ็มม่าได้รับเชิญไปที่ชมรมอ่านหนังสือของบ้านนักปราชญ์ และเธอก็นอนหลับไปทั้งคืน
หลังจากพักผ่อนแล้ว แพนดอร่าก็เตรียมตัวสำหรับการประลองเวทมนตร์ในวันพรุ่งนี้
เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตสนุกสนานกันมาก พอกลับมาที่หอพักก็ดึกมากแล้ว
แต่ไม่นานหลังจากกลับมาที่หอพัก เวอร์เธอร์ก็เปิดประตูอย่างเงียบ ๆ เหลือบมองที่ห้องของโรเบิร์ต ก่อนจะออกจากหอคอยของบ้านอัศวินไป
เด็กชายเดินผ่านปราสาทอันเงียบสงบ เวอร์เธอร์อดนึกย้อนถึงเหตุการณ์ในตอนบ่ายไม่ได้
ประโยคสุดท้ายของเอ็มม่านั้นรุนแรงเกินไป
เกือบทำให้เขาตัดสินใจผิด
โชคดีที่โรเบิร์ตเสนอให้ไปทำการบ้านที่ห้องสมุด นั่นถึงทำให้เขาเห็นความหวังของการเปลี่ยนแปลง
‘คิดถึงพ่อแม่ที่ตายไปแล้วด้วย!’
แม้ว่าเวอร์เธอร์จะไม่เคยพบกับพ่อแม่ของเขา แต่เขาก็โตมากับการฟังเรื่องราวของวีรบุรุษ
วีรบุรุษเป็นบุคคลที่เขาชื่นชมเสมอมา
ในวันที่อาจารย์ใหญ่อาร์เต้บอกเขาว่าเขาเป็นบุตรชายแห่งวีรบุรุษ เขาดีใจมาก!
แต่ตอนนี้ เมื่อมองย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เขาทำในเดือนนี้
เวอร์เธอร์อยากจะขุดหลุมบนพื้นดินและฝังตัวเองให้มิด!
→ ตอนที่เข้าไปในห้องสมุดครั้งแรก เขาคิดอย่างนั้นจริง ๆ
→ และเขายังตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ ให้ตัวเองก้าวข้ามดาร์ก เดม่อนก่อนปิดเทอมนี้ด้วย!
แต่สองชั่วโมงต่อมา การคำนวณอย่างหนักได้ขจัดความประสงค์ของเวอร์เธอร์
หลังจากที่เขาและโรเบิร์ตจ้องตากัน สองเพื่อนซี้ก็ตกลงที่จะหยุดพัก
ใช่
พวกเขาเรียนรู้สิ่งที่ดาร์กสอนมา!
…
เสียงฝีเท้าเดียวก้องกังวานในทางเดิน
เวอร์เธอร์ดึงการ์ด [ความรักต้องห้าม] ออกมาและถ่ายเทพลังเวทมนตร์ลงไปเล็กน้อย หมอกสีชมพูกระจายออกบนพื้นผิวของการ์ดและค่อย ๆ กลายเป็นร่างมนุษย์ที่รางเลือน
เขาไม่ได้ลืมเป้าหมายเล็ก ๆ ของเขา นั่นคือเหนือกว่าดาร์ก!
เพื่อการนั้น วิธีการแบบเดิมดูเหมือนจะไม่สามารถทำได้อีกต่อไป และวิธีเดียวที่จะทำได้คือการหาวิธีอื่น
ตามการนำทางของหมอกสีชมพู เวอร์เธอร์ก็มาถึงวิหารเล็ก ๆ ที่เขาเคยมาเมื่อคืนนี้อีกครั้ง
กลุ่ม ‘ช่าง’ ที่กำลังโห่ร้องทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้อยู่ที่นี่
เขาตรวจสอบสภาพแวดล้อมอย่างระมัดระวัง และยืนยันว่าไม่มีใครซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้องเหมือนเมื่อคืนนี้ ถึงค่อยเดินมายืนอยู่หน้ารูปปั้น
ผิวของรูปปั้นเทพธิดานั้นละเอียดอ่อนขึ้นเรื่อย ๆ และใบหน้าที่บอบบางก็มีรัศมีที่นุ่มนวลราวกับสามารถลืมตาได้ตลอดเวลา
เวอร์เธอร์ดึงหนังสือ ‘วันวาน’ ออกจากกระเป๋าสะพายซึ่งเขายืมมาจากโรเบิร์ตเมื่อบ่ายนี้ จากนั้นจึงมองดูใบหน้าของรูปปั้นอย่างระมัดระวัง
‘วันวาน’ เป็นบันทึกเกี่ยวกับเทพเจ้าที่ครองโลกในอดีต
พวกเขาปรากฏตัวขึ้นเมื่อห้ายุคก่อนหน้าเป็นอย่างน้อย โดยเดินทางมาจากดวงดาวและมุ่งสู่ห้วงลึก ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยยิ่งใหญ่ และเคยปกครองอาณาจักรทั้งหมด… จนกระทั่งพวกเขาถูกลืมไปตามกาลเวลาแห่งประวัติศาสตร์ อีกทั้งพวกเขายังเป็นผู้ปกครองเก่าที่ถูกฝังอยู่ใต้ธุลีแห่งบรรพกาล!
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง
ดวงตาของเวอร์เธอร์ฉายประกายแห่งความสุข
เขาพบเทพธิดาที่มีใบหน้าคล้ายกับรูปปั้น
‘นางเกิดบนดวงจันทร์และลงมายังโลก ทั้งยังเป็นถึงเทพธิดาแห่งจันทราและมารดรแห่งผืนพิภพ ความสามารถของนางครอบคลุมทั้งการกำเนิดของสิ่งมีชีวิตและมีนิสัยรู้คุณของแผ่นดิน นอกจากนี้นางยังเป็นเทพธิดาที่สวยที่สุด เจ้าแห่งอนธการ ความงามของนางเป็นนิรันดร์ และศักดิ์สิทธิ์ นางดูแลความอุดมสมบูรณ์และความรัก…’
บทที่ 52 ดาร์ก เดม่อนพยายามออกจากหมอก
เรื่องที่ว่าเวอร์เธอร์และโรเบิร์ตทำการบ้านเสร็จหรือไม่ ดาร์กสงสัยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาไม่ได้ตั้งใจจะเจาะลึกเข้าไป
การถือการ์ดดอกไม้เก้าใบทำให้ดาร์กรู้สึกว่าตอนนี้เขามีหนทางในการควบคุม [ราคะ] มากขึ้น แต่ถ้าการ์ดดอกไม้นี้ถูกสร้างขึ้นโดยศาสตราจารย์เคเซอร์ เขาก็ต้องการที่จะเรียนรู้และเข้าใจวิธีการสร้างมัน!
ประการแรกเลยคือ ต้องมีแหล่งการ์ดดอกไม้ที่มั่นคง
และในทางกลับกัน เขาสงสัยมากว่าทำไมการ์ดดอกไม้ใบนี้ถึงสามารถดูดซับค่า [ราคะ] ได้!
แต่ถ้าเขาถามศาสตราจารย์เคเซอร์โดยตรงมันก็อาจจะดูกะทันหันเล็กน้อย
ดาร์กครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และนึกขึ้นได้ว่าเขายังมีขวดแห่งความคิดซึ่งเขายังไม่ได้คืนอาจารย์ไป
คิดได้แล้วจึงเร่งฝีเท้า เตรียมจะกลับไปที่หอพักเพื่อเอาขวดแห่งความคิดออกมา
…
ห้องนั่งเล่นส่วนกลางในคืนวันศุกร์มักจะเป็นช่วงเวลาที่พลุกพล่านมากที่สุด
นักเรียนจะระบายความกดดันจากการเรียนที่สะสมมาตลอดทั้งสัปดาห์ โดยเลิกกังวลเกี่ยวกับการบ้านและเวลาเรียน เพราะมันเป็นวันศุกร์ ส่วนการบ้านก็ไว้ทำในวันพรุ่งนี้ ส่วนช่วงเวลาเรียนก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาในวันมะรืนนี้
แม้แต่ห้องส่วนกลางของบ้านขุนนางก็ไม่มีข้อยกเว้น
ดาร์กเดินผ่านฝูงชน หลบสายตาที่จ้องเขม็งมาของไดแอนนาและรีบสาวเท้าเข้าไปในห้องพัก
ภายในห้องนั้นเงียบมาก และยังคงเหมือนเดิมก่อนที่เขาจะออกไป
ดาร์กปิดประตู เปิดไฟ แล้วเดินไปที่โต๊ะ
ขวดแห่งความคิดถูกวางไว้ในลิ้นชัก
หลังจากที่เขาหยิบมันขึ้นมาและกำลังจะออกไปอีกครั้ง ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียง ‘เมี้ยว’
สายตาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองทางระเบียง
‘หญ้าแมวตื่นแล้วเหรอ?’
เขาเปิดประตูและมองดูหญ้าแมวที่อยู่ตรงระเบียง
แต่กลับมีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ตอบกลับมา
…
บนระเบียง
หญ้าแมวใช้อุ้งเท้าจับกิ่งหนอนซึ่งห้อยต่องแต่งอยู่ ลิ้นสีชมพูนุ่มเลียกับดูดหัวของกิ่งหนอนไปมา
กิ่งหนอนที่แข็งเพราะถ่ายเท [อัตตา] สามหยดเข้าไปในตอนนั้น ตอนนี้กลับอ่อนตัวลง
[โทสะ +1]
เมี้ยว!
หญ้าแมวไม่ได้สังเกตว่าเจ้าของของมันกำลังโกรธเลย เจ้าตัวน้อยเพียงวางกิ่งหนอนลงและวิ่งเข้าไปหาดาร์ก
ก้านหางของแมวยาวพอที่จะวิ่งไปที่เท้าของดาร์กได้
ดาร์กย่อตัวและคุกเข่าลง เขาสงสัยว่าควรบีบหน้านุ่ม ๆ ของมันเพื่อระบายความโกรธหรือไม่
ทันใดนั้น เขาก็สังเกตเห็นรอยจาง ๆ บนหน้าผากของหญ้าแมว
“ตราประทับของอัตตา?”
ดาร์กขมวดคิ้ว ความโกรธเคืองในใจก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็ยืนยันได้ว่ามันเป็นตราประทับของอัตตาจริง ๆ แต่น่าประหลาดใจที่หญ้าแมวไม่แสดง ‘ความเย่อหยิ่ง’ ของมันออกมาเหมือนรุกกี้เดวิมอนและอีบุย
‘เพราะมันเป็นพืชเหรอ?’
ดาร์กครุ่นคิด ปล่อยให้หญ้าแมวจับนิ้วเขาไปดูดเล่น
‘จะว่าไปแล้ว หญ้าแมวที่เหมือนมีชีวิตนี้มีอยู่ได้อย่างไร’
ดวงตาของดาร์กเป็นประกาย จากนั้นเขาก็ดึง [อัตตา I] ออกจากซองการ์ด
“จงออกมา!”
ลูกบอลแสงสีทองเข้มพุ่งออกมาจาก [อัตตา I] แล้วจมลงไปในหัวหญ้าแมว
แต่การ์ดเวทมนตร์ที่สามารถทำให้คนเย่อหยิ่งกลับไม่ได้ส่งผลกระทบต่อหญ้าแมวเลย
‘ฉันควรไปที่ห้องสมุดแล้วตรวจสอบมันซะ!’
ดาร์กสูดหายใจเข้าลึก ๆ มือวางหญ้าแมวลง จากนั้นจึงย้ายต้นไม้หนอนเข้ามาในห้อง
นี่ถึงเรียกวัวหายล้อมคอกอย่างแท้จริง
พรุ่งนี้เขาจะไปที่ถนนนักเดินทางเพื่อซื้อรั้วกั้นแยกต้นไม้หนอน จากนั้นค่อยไปหาซื้อบอลแมวเพื่อเอาบรรเทาความเบื่อหน่ายของหญ้าแมว
ดาร์กนั่งจดบันทึกและพบว่าตัวเองกลับมายุ่งอีกแล้ว
‘ฉันควรไปที่ห้องสมุดก่อนหรือไปหาศาสตราจารย์ก่อนดี?’
‘ไปหาศาสตราจารย์ก่อนดีกว่า!’
‘ห้องสมุดไปตอนกลางคืนก็ไม่สาย’
…
ศาสตราจารย์เคเซอร์ไม่ได้อยู่ในห้องทำงาน ดังนั้นดาร์กจึงไปที่ห้องทดลองแทน
เป็นไปตามที่คาดไว้ เขาพบว่าศาสตราจารย์เคเซอร์กำลังทำการ์ดเวทมนตร์อยู่ในห้องทดลอง
แต่วันนี้อาจารย์ไม่ได้ทำ [แจ็คพัมป์กิ้น] ทว่ากำลังทำ [มัมมี่] ด้วยผ้าพันแผลและหุ่น
ดาร์กคิดอย่างรวดเร็วว่าจะเปิดบทสนทนาอย่างไรเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น มือของเขาเปิดประตูเข้าไป พร้อมกับดึงการ์ดดอกไม้มันดาลาสีขาวออกมา
“เดม่อน? เธอต้องการยืมห้องทดลองเหรอ? กุญแจห้องทดลองถัดไปอยู่ในลิ้นชักที่สองของห้องทำงานนะ”
ศาสตราจารย์เคเซอร์ดูจริงจัง
ดาร์กไม่ได้วางขวดแห่งความคิดลงบนโต๊ะทดลองโดยตรง กระทั่งเขาเดินเข้ามาและพูดว่า “ศาสตราจารย์ครับ ผมเอาสิ่งนี้มาคืน”
“ขวดแห่งความคิด?” ศาสตราจารย์เคเซอร์เหลือบมองแล้วยิ้มขึ้น “เธอจะใช้งานนานกว่านี้อีกหน่อยก็ได้นะ”
ดาร์กตอบ “ไม่ครับ ศาสตราจารย์ ผมซื้อต้นไม้หนอนมาแล้ว”
เขาต้องการพูดถึงเรื่องอารมณ์และความคิดก่อน แล้วจึงเปลี่ยนไปใช้หัวข้อการ์ดดูดวงความรัก
แต่หลังจากเห็นการ์ดดอกไม้ในมือของเด็กชาย ศาสตราจารย์เคเซอร์ก็พูดออกมาโดยไม่รู้ตัว “หืม เธอสนใจการ์ดดอกไม้ด้วยเหรอ?”
ดาร์กขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ใช่ครับ ศาสตราจารย์ ผมกำลังสงสัยว่าสิ่งที่เรียกว่าการทำนายของการ์ดดอกไม้นี้เกี่ยวข้องกับการแอบดูจิตใจของผู้คนหรือเปล่า?”
ศาสตราจารย์เคเซอร์อึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงยิ้มอย่างมีความสุข
เขาวางงานลง ถอดถุงมือทดลองออก แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันไม่นึกเลยจริง ๆ ว่างานวิจัยของเธอที่เกี่ยวข้องกับสสารแห่งความคิดจะมาถึงระดับนี้ได้”
หลังจากพูดเสร็จ เขาก็กลับไปที่โต๊ะทดลองและเหยียดมือออก
ขณะที่ดาร์กตื่นตัวระมัดระวังตัว อาจารย์ก็หยิบเอาการ์ดดอกไม้จากซองออกมา มันเป็นการ์ดดอกกุหลาบสีเขียว
กุหลาบสีเขียวที่ไร้เดียงสาและเรียบง่าย มันมาพร้อมกับพรที่มอบให้แด่วัยเยาว์ และยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความปรารถนาในรักนิรันดร์
นัยน์ตาของศาสตราจารย์เคเซอร์ฉายแววอ่อนโยนออกมาและเขาก็พูดต่อ “ถึงแม้นี่จะเป็นเพียงกลอุบาย แต่มันมีบางอย่างในนั้นที่ฉันไม่อาจมองเห็นได้ ตราบใดที่พลังเวทถูกขัดจังหวะ มันก็สามารถแยกออกได้อย่างปลอดภัย ดังนั้น มันจึงไม่เป็นอันตรายอะไร”
…
เมื่อดาร์กเดินออกจากห้องทดลอง เขาก็ยอมแพ้ในการทดสอบศาสตราจารย์เคเซอร์แล้ว
แม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถยืนยันได้ แต่ในใจกลับรู้สึกว่าศาสตราจารย์เคเซอร์ไม่น่าเป็นคนทำการ์ดดอกไม้จริง ๆ
ส่วนรุ่นพี่ลีออนก็ดูเหมือนจะไม่ได้โกหกเช่นกัน อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องโกหกด้วยซ้ำ
‘ถ้าอย่างนั้น หมายความว่ามีคนอื่นปลอมตัวเป็นศาสตราจารย์เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่นเหรอ?’
ดาร์กคิดถึงการ์ดแต่งตัว
‘ถ้าการ์ดแต่งตัวสามารถสร้างพื้นผิวแบบที่ต้องการ งั้นบางทีมันก็น่าจะสามารถสร้างผิวหนังของเป้าหมาย และปลอมเป็นคนคนนั้นได้?’
นี่เป็นทั้งสมมติฐานและการอนุมาน
‘บางทีฉันควรศึกษาการ์ดแต่งตัวด้วย’
…
รุ่นพี่สาว แพนดอร่ากำลังเล่นกับหญ้าแมวชินชิล่าตัวอ้วนของเธอบนเคาน์เตอร์ของห้องสมุด
เธอใช้การ์ด [เงียบสงัด] ขนาดเล็กรอบ ๆ หญ้าแมว เพื่อให้แน่ใจว่าหญ้าแมวจะไม่ส่งเสียงดังรบกวนนักเรียนในห้องสมุด
ดาร์กรู้สึกว่าพฤติกรรมของเธอนั้นค่อนข้างแปลกไป เพราะเธอไม่เคยนำหญ้าแมวมาที่ห้องสมุดมาก่อน
‘นี่คือเหยื่อเหรอ?’
ขณะที่คิดอย่างนั้น นิ้วของดาร์กก็เอื้อมมือไปเกาคางของชินชิล่าโดยไม่รู้ตัว
มีเกล็ดบนคางของชินชิล่า ซึ่งมันอุ่นนุ่มไม่น้อย
“เธอซื้อหญ้าแมวมาหรือเปล่า?” รุ่นพี่แพนดอร่าหรี่ตาเอ่ยถาม
ดาร์กตอบ “ผมซื้อแมวขนสั้นมาตัวหนึ่ง”
บทที่ 51 ดาร์ก เดม่อนต้องตาชุดหน้ากาก
การ์ดเมจิกหมวดแต่งตัวเป็นที่นิยมอย่างมากในสถาบันเซนต์แมเรียน
นักเรียนมักต้องการถอดชุดนักเรียนตัวเดิม แล้วเปลี่ยนไปสวมใส่เสื้อผ้าชุดโปรดทันทีหลังจากเข้าสู่ถนนนักเดินทาง
แต่เพราะไม่มีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ที่ทางเข้าและทางออกของถนนนักเดินทางน่ะสิ
หากพวกเขาไม่มีการ์ดแต่งตัว พวกเขาก็จำเป็นต้องยืมห้องที่ร้านขายเสื้อผ้าเท่านั้น และพวกเขายังต้องนำเสื้อผ้าครบชุดมาด้วย ซึ่งนั่นไม่สะดวกและดูไม่ดีเอาเสียเลย
นอกจากนี้ ร้านขายเสื้อผ้าบนถนนนักเดินทางก็มักจะจัดหาเฉพาะเสื้อผ้าตามกระแสล่าสุดเท่านั้น ไม่ใช่การ์ดแต่งตัว
ดังนั้นนักเรียนที่อยากได้การ์ดแต่งตัวจึงต้องหาซื้อจากแผงขายของที่นักเรียนรุ่นพี่ตั้งขึ้นเท่านั้น เว้นเสียแต่จะทำขึ้นมาเอง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการสร้างการ์ดแต่งตัวมีความซับซ้อนพอสมควร และขายได้คะแนนไม่มากนักจึงมีคนไม่ค่อยสร้างขึ้นมาเท่าไหร่
ดาร์กหยุดเดินยืนดูอย่างสงสัย และพบว่าการ์ดแต่งตัวทั้งหมดที่ขายในแผงนี้เป็น ‘ธีมฮาโลวีน’ ทั้งหมด
เมื่อพูดถึงฮาโลวีน มันย่อมทำให้ผู้คนนึกถึงฟักทอง ลูกอม ผี และหน้ากาก!
ในวันฮาโลวีน ทั้งปราสาทของสถาบันเซนต์แมเรียนจะกลายเป็นเวทีคอสตูมขนาดใหญ่ ซึ่งจะให้ทุกคนสวมหน้ากากปกปิดใบหน้าไว้!
หากใครก็ตามสามารถจับ ‘ผี’ ที่ซ่อนอยู่ในงานเลี้ยงหน้ากากได้ ก็จะสามารถแลกเป็นคะแนนได้!
ผู้ที่จับ ‘ผี’ ได้มากที่สุดจะได้รับฉายาพิเศษ
เมื่อใกล้ถึงวันฮาโลวีน รุ่นพี่ที่มีประสบการณ์บางคนก็เตรียมตัวพร้อมแล้ว และดาร์กยังได้ยินพวกเขาพูดถึงเรื่องนี้ในห้องนั่งเล่นเป็นบางครั้งบางคราว
สำหรับนักเรียนปีหนึ่ง วันฮาโลวีนเป็นโอกาสอันหาได้ยากที่จะได้รับคะแนนเป็นจำนวนมาก!
ไม่ว่าในกรณีใด วันนั้นจะไม่มีใครสวมชุดนักเรียน!
แน่นอนว่าดาร์กก็ไม่ต้องการเป็นข้อยกเว้นเพียงคนเดียว
เขาเดินไปที่แผงขายการ์ดแต่งตัวก่อน ครุ่นคิดว่าจะซื้อการ์ดใบหนึ่งมาใช้ เพราะมันไม่ได้มีราคาแพง
มองผ่าน ๆ จะเห็นว่ามีราคาสามระดับ ‘33 คะแนน’ ‘66 คะแนน’ และ ‘88 คะแนน’
ดาร์กไม่ได้สนใจเรื่องราคามากนัก
เขาคุกเข่าลงและมองดูพวกมันอย่างละเอียดครู่หนึ่ง
สำหรับธีมฮาโลวีน การ์ดส่วนใหญ่จะคลุมร่างกายเกือบทั้งหมด แน่นอนว่าย่อมมีชุดแนวซัคคิวบัสที่เปิดเผยเรือนร่าง แต่ก็ไม่ได้มากมายขนาดนั้น
ที่มีเยอะมากที่สุดคือ ‘แวมไพร์’ ‘อัศวิน’ ‘สัตว์ประหลาด’ และ ‘ราชวัง’ แม้ว่าจะมีอีกหลายแบบ แต่มันก็มีไม่เยอะเท่าไหร่
“ปีหนึ่งบ้านขุนนางเหรอ?”
นักเรียนรุ่นพี่เจ้าของร้านเอ่ยถามอย่างเป็นกันเอง
ดาร์กพยักหน้าและกล่าวอย่างสุภาพ “สวัสดีครับ รุ่นพี่”
นักเรียนรุ่นพี่ยิ้มอย่างพึงพอใจ “แม้ว่าฉันจะเป็นสมาชิกของบ้านคนเขลาแต่ก็ยังถือว่ารุ่นพี่ของนายล่ะนะ ฉันชื่อลีออน ถ้าเพื่อนร่วมชั้นของนายต้องการการ์ดแต่งตัวด้วย นายสามารถบอกให้พวกเขามาหาฉันที่ห้องส่วนกลางของบ้านคนเขลาได้เลย”
ดาร์กถามด้วยความสงสัย “ห้องส่วนกลางของบ้านคนเขลาไม่มีผู้พิทักษ์ทางเข้าเหรอครับ?”
ลีออนอธิบายว่า “มีสิ แต่ผู้พิทักษ์ของเราอัธยาศัยดีมาก ตราบใดที่นายเอาของขวัญมาด้วย โอ้ ฉันหมายความว่า เอาน้ำมันหล่อลื่นขวดเล็ก ๆ มาด้วย มันก็จะเปิดประตูให้นาย”
ดาร์กประหลาดใจ “น้ำมันหล่อลื่น?”
“อะแฮ่ม!” ลีออนหันเหสายตามองไปทางอื่นแล้วพูดอย่างเขินอายว่า “นายแค่ต้องเอามันมาด้วย ในเมื่อนายยังเป็นน้องใหม่ในบ้านขุนนาง ฉันขอแนะนำชุดแวมไพร์ตัวนี้เลย! นี่คือชุดคอสตูมบ้านขุนนางที่โด่งดังที่สุดในอดีต ฉันยังฉีดแยมเลือดหวานเข้าไปในเขี้ยวด้วย ตราบใดที่นายใส่พลังเวทเข้าไป เลือดปลอมก็จะไหลออกมา!”
“นั่นฟังดูดีมาก!”
ดาร์กหรี่สายตาลง พลิกดูชุดแวมไพร์ไปมาก่อนจะพบว่าทั้งชุดเป็นสีแดงดำแบบดั้งเดิม มันก็ดูดี แต่เขากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป
ดาร์กถามอย่างเป็นกันเองว่า “มีชุดจอมมารบ้างไหมครับ?”
ลีออนแสดงสีหน้าแข็งทื่อ “ไม่มีหรอก แต่มีชุดวีรบุรุษนะ จะว่าไป ฉันจำได้ว่านักเรียนปีหนึ่งรุ่นนี้ มีคนหนึ่งที่อ้างตัวว่าเป็นบุตรแห่งวีรบุรุษในบ้านของนายด้วยนี่?”
ดาร์กตอบ “ไม่ เขาอยู่ในบ้านอัศวิน”
“บ้านอัศวินเหรอ?” ลีออนกล่าว “ฉันหวังว่าเขาจะใส่ชุดไอ้มดแดงของฉันได้นะ”
ดาร์กตกใจ “ชุดไอ้มดแดง?”
“ใช่แล้ว” ลีออนพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ย้อนกลับไปเมื่อสมัยที่ยังคงมีปีศาจอยู่ ชายผู้นี้ถือเป็นวีรบุรุษที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากแห่งยุค เขาจะแปลงร่างเป็น <ไอ้มดแดง> โดยการใส่การ์ดแต่งตัวลงในเข็มขัดพิเศษของเขา มันคล้ายกับการ์ดเมจิกหมวดชุดศักดิ์สิทธิ์ในทุกวันนี้มาก นายรู้จักวัลคีรี อัลเวตต์ไหม? เธอเป็นหนึ่งในผู้ถือชุดทองคำศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบสองอยู่ล่ะ”
แน่นอน ดาร์กย่อมรู้จักวัลคีรีคนนี้ และเขายังเห็นเธอบ่นอยู่เลยว่าชุดของเธอคับเกินไป
สิ่งที่เรียกว่า ‘ชุดศักดิ์สิทธิ์’ นั้นคล้ายกับ ‘ชุดเกราะ’ ใน <อัศวินราศี> มาก ชุดทองคำศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบสองชุดได้รับการออกแบบตามกลุ่มดาวทั้งสิบสองกลุ่ม ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มพลังและความเร็วของผู้ใช้ได้หลายร้อยเท่า!
→เมื่อวัลคีรีสวมชุดศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น เธอถึงจะกลายเป็นวัลคีรีตัวจริง!
ดาร์กอดไม่ได้ที่จะสนใจชุด <ไอ้มดแดง>
แต่ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
ทำไมชุด <ไอ้มดแดง> ของลีออนถึงดูเหมือนชุดไอ้แมลงวัน?
‘ช่างมันเถอะ ฉันควรจะเลือกอะไรที่ปกติหน่อย’
ชุดเต็มตัวจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของเขา ถ้าดาร์กวางแผนจะทำการใหญ่ในวันฮาโลวีน ทางดีที่ก็ควรจะเลือกชุดที่เบากว่า
ตัวอย่างเช่น ‘ชุดหน้ากากทักซิโด้’ นั้นก็ดีมากเช่นกัน
ชุดดำ แว่นตาขาว เสื้อคลุมสีแดงเลือดนก ถุงมือขาว และดอกกุหลาบสีแดงเลือดนก!
และราคาเพียงแค่สามสิบสามคะแนนเท่านั้น
“เอาอันนี้พอครับ”
ดาร์กไม่ได้ใช้เวลาคิดเรื่องนี้มากนัก ท้ายที่สุดหากเขาไม่ชอบมัน เขาค่อยหาใหม่ได้
รุ่นพี่ลีออนไม่ได้อารมณ์เสียที่ดาร์กเลือกการ์ดแต่งตัวที่ถูกที่สุด แต่เขายังอธิบายอย่างสุภาพด้วยว่าต้องสลักวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์บนการ์ดแต่งตัวอย่างไร
ดาร์กได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมายจากรุ่นพี่คนนี้ พลันรู้สึกว่าสามสิบสามคะแนนนี้คุ้มค่ามาก!
เมื่อกำลังจะจากไป รุ่นพี่ลีออนก็หยุดเขาไว้ “เดี๋ยวก่อนนะ ฉันจะให้การ์ดดูดวงความรักแก่นายเป็นของขวัญด้วย!”
…
ดาร์กถือการ์ดดูดวงความรักที่ลีออนมอบให้ แล้วจิตใจของเขาก็สับสนเล็กน้อย
‘รุ่นพี่ลีออนก็ดูจะเป็นคนซื่อสัตย์ และยังเป็นนักเรียนของบ้านคนเขลา ซึ่งดูไม่เหมือนคนโกหกเลยจริง ๆ อย่างนั้นแล้ว การ์ดดูดวงความรักพวกนี้มาจากศาสตราจารย์เคเซอร์จริง ๆ งั้นเหรอ?’
‘ศาสตราจารย์เคเซอร์ย่อมมีทักษะเวทมนตร์เพียงพอที่จะทำแน่นอน แต่ทำไมเขาต้องทำการ์ดประเภทนี้ล่ะ?’
ดาร์กมองดูการ์ดดอกไม้อันแสนประณีตในมืออย่างระมัดระวัง เขานึกไม่ถึงว่าศาสตราจารย์เคเซอร์ซึ่งมีเลือดก็อบลินจะทำสิ่งนี้
จากคำกล่าวของลีออน ศาสตราจารย์เคเซอร์เพิ่งมอบการ์ดดอกไม้ให้กับพวกนักเรียนรุ่นพี่ และขอให้พวกเขามอบมันให้กับคนที่พวกเขาชอบ
จำนวนการ์ดดอกไม้มีไม่มาก และหนึ่งใบที่ดาร์กได้รับมาคือการ์ดดอกไม้ใบสุดท้ายที่ลีออนมี
พอดาร์กไปที่ร้านลูกอมประหลาดเพื่อซื้อลูกอม เขาก็ได้รับการ์ดดอกไม้มาอีกใบ!
จากนั้นจึงไปร้านดอกไม้ ร้านเครื่องประดับ ร้านเสื้อผ้า…
บางร้านให้การ์ดดอกไม้แก่เขา แต่บางร้านก็แจกการ์ดทั้งหมดที่มีก่อนหน้านี้ไปแล้ว
หลังจากไปร้านค้าไม่กี่แห่ง รวมกับร้านของรุ่นพี่ลีออนด้วย ดาร์กได้รับการ์ดดอกไม้ทั้งหมดแปดใบ
และเมื่อรวมกับที่เขามีอยู่แล้ว มันคือเก้าใบ!
“การ์ดดอกไม้เก้าใบ การมาครั้งนี้คุ้มค่ามาก”
ตอนที่ดาร์กเดินออกจากศาลาริมทะเลสาบ เขาก็บังเอิญเดินผ่านเวอร์เธอร์และโรเบิร์ต
ความเหินห่างระหว่างทั้งสองคนดูเหมือนจะหายไป และพวกเขากลับมาสุมหัวเล่นด้วยกันอีกครั้ง
‘จะว่าไป พวกเขาทำการบ้านเสร็จหรือยังนะ?’
ดาร์กสงสัย
บทที่ 50 ความผิดพลาดของดาร์ก เดม่อนทำให้เกิดผลที่ตามมา
ดวงตาของดาร์กเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจเมื่อเขาเดินเข้าไปในห้องลับกับเสมียนสาว
‘อัจฉริยะคนไหนที่ดัดแปลงหญ้าแมวเหล่านี้กัน?’
กระถางหญ้าแมวหลายสิบใบถูกวางไว้อย่างหนาแน่นทั่วทั้งห้อง
พวกมันทั้งหมดดูสะลึมสะลือภายใต้อิทธิพลของเครื่องเทศชนิดพิเศษ
ที่เด่นที่สุดคือ หญ้าปลาทองขนาดใหญ่!
ภาพปลาทองอ้วนที่มีเกล็ดสีขาวและครีบสีแดงเติบโตบนใบหญ้านั้นเป็นเหมือนกับฝันร้าย!
ถ้าหญ้าแมวเป็นสิ่งที่สรรค์สร้างจากมนุษย์ หญ้าปลาทองนั้นก็เป็นสิ่งที่สรรค์สร้างจากปีศาจ!
รอบ ๆ ตัวปลาทองก็มีหญ้าอื่น ๆ เช่น หญ้างู หญ้าสกังก์ หญ้าเม่น หญ้าไส้เดือน หญ้าปลาไหล หญ้านกพิราบ หญ้าหอยเป๋าฮื้อ หญ้าหนู หญ้าปลาหมึก หญ้าแมงมุม หญ้าแมงป่อง หญ้าจิ้งจก และหญ้าแมวสายพันธุ์ใหม่ที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้อีกมากมาย!
เมื่อเห็นดาร์กประหลาดใจมากจนพูดไม่ออก เสมียนก็ถามว่า “เธอคิดยังไง มีอันไหนที่เธอชอบไหม?”
ดาร์กยกมือขึ้นเพื่อดันกรามที่ตกลงมา แล้วตอบหลังจากนั้นครู่หนึ่ง “ปลาทองตัวนั้นดูดีเลย”
“จริงเหรอ?” เสมียนถามด้วยความประหลาดใจในทันที “ฉันก็คิดว่ามันดูดีมากเลย ดวงตาของปลาที่ดูหมองคล้ำและไร้ชีวิตชีวาเล็กน้อยกับร่างกายที่อวบอ้วนของมัน ช่างน่ารักจริง ๆ!”
ดาร์กหลุดเสียง “ฮะ”
เสมียนยังคงพูดต่อไปว่า “อันที่จริง พวกพันธุ์ใหม่ชุดนี้ถูกพัฒนามาจากบุคคลที่เราเชิญมาเป็นพิเศษ มันยังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบ เหตุผลหลักคือต้องการดูว่าผลตอบรับเป็นอย่างไร ถ้าผลตอบรับดีละก็–”
ดาร์กขัดขึ้นทันที “ผมตั้งตารอผลงานของคุณเลย แต่ตอนนี้ทำไมเราไม่ลองกลับไปดูหญ้าแมวทั่วไปก่อนล่ะ?”
เสียงของเสมียนมีความกระตือรือร้นน้อยลง “ถ้าอย่างนั้นก็ได้”
…
หลังจากกลับมาที่ข้างนอก เขาก็มองไปรอบ ๆ กระถางหญ้าแมว และในที่สุดก็เลือกลูกแมวตัวน้อยที่สวยงามในหมู่พวกมัน
ดาร์กไม่เลือกสายพันธุ์ เพราะตัวเขาชอบทุกสายพันธุ์
ไม่ใช่ว่าดาร์กจงใจเลือกลูกแมวตัวน้อยนี้ แต่เหมือนว่ามันจะเลือกเขามากกว่า เจ้าตัวน้อยงับนิ้วเขาด้วยปากเล็ก ๆ ของมัน
ภาพที่ลูกแมวคว้ามือของเขาไว้ด้วยอุ้งเท้าเล็ก ๆ สองอันแล้วดูดนิ้วเข้าไว้ โจมตีหัวใจของดาร์กเข้าเต็มเปา
[โทสะ -1]
ผลลัพธ์ก็เกิดขึ้นทันทีเช่นกัน
อันตรายของ [โทสะ] ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในใจเขาดูเหมือนจะเบาบางขึ้นเล็กน้อยเพราะเหตุนั้น
หญ้าแมวราคาไม่แพงเพียงแค่ห้าสิบคะแนนต่อกระถาง และน้ำยาแมวขวดเล็กก็ราคาหนึ่งคะแนน สามารถใช้ได้ถึงสองหรือสามสัปดาห์
ดาร์กจ่ายเงินอย่างมีความสุข และวางแผนที่จะนำต้นไม้หนอนและหญ้าแมวกลับไปที่หอพักก่อน
เมื่อเขาเดินผ่านร้านกาแฟป่า ดวงตาก็ชำเลืองมองเข้าไปข้างในโดยไม่รู้ตัว จึงทันได้เห็นเอ็มม่ากำลังโต้เถียงกับรุ่นพี่สาวอยู่
ทั้งสองคนมีหนังสือเล่มเดียวกันอยู่ในมือ และทั้งคู่ดูจริงจังจนถึงขั้นโกรธจัด
แต่ดูจากสีหน้าของรุ่นพี่คนอื่น ๆ รอบตัวแล้ว ดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องนี้เลย
ตรงกันข้าม พวกเขาพยักหน้ากันหงึก ๆ แทน
…
‘นี่คือสิ่งที่เรียกว่างานเลี้ยงน้ำชาของสาว ๆ งั้นเหรอ?’
ดาร์กขบริมฝีปาก รู้สึกว่าที่นี่คือ ถ้ำปีศาจเสียมากกว่า
เขาเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
พอกลับมาถึงหอพักก็เป็นเวลาบ่ายสามโมงแล้ว
เด็กชายวางหญ้าแมวไว้บนระเบียงกว้าง และทำตามคำแนะนำของเสมียน ผูกเชือกที่ยื่นออกมาจากกระถางดอกไม้กับราวบันได เป็นการล่ามกระถางดอกไม้ไว้
ด้วยวิธีนี้ หญ้าแมวจะวิ่งไม่ได้
เมื่อหญ้าแมวคุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมที่นี่แล้ว ต่อให้อยากจะไล่มันออกไป เขาก็ไม่อาจทำได้
จากนั้นดาร์กก็ใช้เครื่องเทศชนิดพิเศษที่ซื้อมาจากร้าน โรยเมล็ดพืชสักสองสามเม็ดบนหญ้าแมว มันก็เข้าสู่สภาวะง่วงนอนในทันที
…
หลังจากนั้น ดาร์กก็ยกต้นไม้หนอนที่สำคัญที่สุดไปไว้บนโต๊ะ พิจารณาเทียบกับคำอธิบายในหนังสือ และตรวจสอบบันทึกอย่างละเอียด
มือหยิบเครื่องหยดสมองวิเศษและขวดแห่งความคิดออกมา หลังจากดึงความคิดของเขา เตรียมที่จะใส่ [อัตตา] สองหยดที่เก็บไว้ในขวดแห่งความคิดเข้าไปยังกิ่งหนึ่งของต้นไม้หนอน
กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาประมาณสิบนาที มันมีรูเล็ก ๆ ที่ส่วนหน้าของกิ่งหนอนคล้ายกับปากของหนอน ซึ่งสามารถเปิดออกได้โดยการใส่พลังเวทมนตร์เข้าไปเล็กน้อย และมันจะปิดลงเมื่อพลังเวทมนตร์แผ่เข้าไป นอกจากนี้ยังมีชั้นของเยื่อเมือกเหลวอยู่ด้านใน ซึ่งสามารถเก็บสสารแห่งความคิดไว้ได้อย่างปลอดภัย
หลังจากที่ใส่สสารแห่งความคิดเข้าไป กิ่งของหนอนก็จะแข็งตัวและแสดงสถานะ ‘หนัก’ แปลก ๆ ห้อยลงมาเหมือนผลสุก
เมื่อมันห้อยจนโค้งได้ระดับหนึ่ง นั่นหมายความว่ามันจะไม่สามารถรับอะไรเข้าไปข้างในได้อีกแล้ว
ดาร์กคิดว่ากิ่งนี้น่าจะสามารถเก็บ [อัตตา] ได้อีกหนึ่งหยด ดังนั้น ตาม ‘วิธีแมลงปอสัมผัสน้ำ’ เขาจึงดูดค่า [อัตตา] ที่ล้นออกมาอีกหนึ่งหน่วยแล้วฉีดเข้าไป
ด้วยวิธีนี้ ตอนนี้มีสามหยดอยู่ข้างใน
และค่า [อัตตา] ของดาร์กซึ่งเพิ่มขึ้นมาหนึ่งหน่วยในสัปดาห์นี้ จะยังคงอยู่ที่หนึ่งร้อยสี่หน่วย
ปกติแล้ว ในตอนนี้เขาควบคุมค่าต่าง ๆ ของมหาบาปเจ็ดประการได้ค่อนข้างดี และเข้าสู่สภาวะของการเติบโตทีละน้อยเท่านั้น
แผนต่อไปของดาร์กคือ การพยายามสร้างการ์ดเวทมนตร์ที่มีค่า [อัตตา] สิบหน่วย!
เวลาในการสร้างตามที่วางแผนไว้คือ เดือนหน้าหลังวันฮาโลวีน
[อัตตา] สามหยดในตอนนี้ และ [อัตตา] สองหยดที่จะดูดออกมาในครั้งต่อไปสามารถเก็บไว้ได้จนถึงต้นเดือนหน้า
ในช่วงเวลานี้ เขาต้องดูแล [ต้นไม้หนอน] ในขณะที่เรียนรู้การทำการ์ดเวทมนตร์ที่ครอบคลุมมากขึ้น!
นอกจากนี้ แผนการเก็บการ์ดดอกไม้ก็จำเป็นต้องใส่ใจด้วย
เขาเหลือบดูคะแนนที่เหลืออยู่และตัดสินใจไปที่ถนนนักเดินทางอีกครั้ง
แน่นอน ดาร์กย้ายต้นไม้หนอนไปที่ระเบียงเพื่อให้มันอาบแดดก่อน
…
ดาร์กรู้เรื่องการ์ดดอกไม้น้อยมาก เพราะเขาได้รับข้อมูลจากไดแอนนาและโรสเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้นก็พอจะรู้คร่าว ๆ ว่าเรื่องนี้กำลังแพร่กระจายออกไปในสองวิธี
หนึ่งคือการ ‘ส่ง’ มีคนแจกการ์ดดอกไม้โดยเสียบเข้าไปในประตูของหอพักนักเรียน
ดาร์กเคยได้รับการ์ดดอกไม้มันดาลาสีขาวมาก่อนด้วย
ตอนแรกเขาคิดว่านี่เป็นวิธีที่คล้ายกับ ‘การแจกใบปลิว’ แต่ภายหลังก็พบว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับ ‘ของขวัญ’ นี้!
เห็นได้ว่าอีกฝ่ายก็เลือกคนที่จะมอบของขวัญชิ้นนี้ให้ด้วย
ส่วนอีกวิธีหนึ่งในการแจกการ์ดดอกไม้คือ ถนนนักเดินทาง
ดูเหมือนว่าจะมีคนขายการ์ดดอกไม้จำนวนมากให้กับร้านค้าบางแห่งบนถนนนักเดินทาง และร้านค้าเหล่านั้นก็ได้มอบการ์ดดอกไม้เป็นของขวัญให้กับนักเรียนที่มาซื้อของ
แต่ไม่ใช่ทุกร้านที่ให้มา
ร้านเดียวที่ดาร์กรู้ในตอนนี้คือร้านขายขนมประหลาด
เขาเลยตัดสินใจไปร้านขนมก่อน
แม้ว่าเขาอาจจะไม่ได้รับข้อมูลใด ๆ กลับมา แต่การได้การ์ดเพิ่มก็นับว่าไม่เลวเลย
…
ดาร์กมาถึงถนนนักเดินทางอีกครั้ง แต่เพราะครั้งนี้เขาไม่ได้มาอย่างมีเป้าหมายแน่วแน่ จึงทำให้ได้เห็นสิ่งมากมายที่ไม่ได้สนใจในก่อนหน้านี้
สิ่งที่ชัดเจนที่สุดที่เขาสังเกตเห็นคือ คนขายของตามท้องถนนดูเหมือนจะมีลูกค้ามากกว่าร้านค้าในถนนนักเดินทาง
และมีนักเรียนรุ่นพี่ที่ตั้งแผงขายของอยู่สองข้างทาง ขายมันทุกอย่าง!
ดาร์กยังเห็นการ์ดเวทมนตร์กึ่งสำเร็จรูปที่มีระดับความสำเร็จมากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นการโกงชัด ๆ!
สถาบันกำหนดว่าทุกคนสามารถใช้การ์ดเวทมนตร์ที่สร้างขึ้นเองได้เท่านั้น แต่ผู้คนมักพบช่องโหว่ในการแหกกฎเสมอ
ขณะที่เดินไปต่อ หัวใจของเขาก็เต้นแรงทันทีที่เห็นนักเรียนรุ่นพี่ขายการ์ดแต่งตัว!
บทที่ 49 ดาร์ก เดม่อนเดินบนเส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับ
ที่จริงแล้วดาร์กพูดกับรุ่นพี่แพนดอร่าน้อยมาก
ส่วนใหญ่เป็นแค่ประโยคหรือสองประโยค ในระหว่างขั้นตอนการลงทะเบียนเข้าและออกจากห้องสมุด
แต่เพื่อไม่ให้ได้รับ [ราคะ +1] ดาร์กจึงมักจะวิ่งหนีทันทีหลังจากลงทะเบียนเสร็จ
เมื่อเข้าและออกจากห้องสมุดหลายครั้งเกินไป เขาก็ค่อย ๆ เคยชินกับเรื่องนี้
แม้ว่านี่จะไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเห็น…
ดาร์กหันหน้ามาแล้วพูดว่า “สวัสดีครับ รุ่นพี่”
แพนดอร่ากะพริบตา เกล็ดมังกรรูปหัวใจใต้ดวงตาของเธอสะท้อนสีสันงดงาม
รุ่นพี่สาวกอดอกแล้วถามขึ้นว่า “นายมาที่นี่เพื่อซื้อหญ้าแมวเหรอ?”
เดิมทีดาร์กไม่ต้องการซื้อมัน แต่พอคิดดูอีกที การเลี้ยงหญ้าแมวในหอพักก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ความคิดที่แย่
การเลี้ยงแมวเป็นวิธีกล่อมเกลาจิตใจที่ดี
มันสามารถช่วยบรรเทาอารมณ์และลดความเครียดได้
โดยเฉพาะการไม่ต้องเก็บอึแมว
หากใช้อย่างถูกต้อง ความสามารถในการลดค่า [โทสะ] อาจดีกว่าไอเทมเวทมนตร์ในตำนานเหล่านั้นด้วยซ้ำ
‘งั้นฉันก็ต้องซื้อกระถางแล้ว!’
แต่ก่อนหน้านั้น เขาต้องซื้อกระถางต้นไม้หนอนก่อน
แน่นอนว่าดาร์กจะไม่เรียงลำดับความสำคัญผิด
‘ถ้าเขาซื้อหญ้าแมว แล้วไม่มีคะแนนเพียงพอที่จะซื้อต้นไม้หนอน นั่นไม่เหมือนการวางเกวียนไว้ข้างหน้าม้าหรอกเหรอ?’
คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบว่า “ผมก็คิดอยู่นะ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
แพนดอร่าถามอย่างกระตือรือร้นว่า “ติดปัญหาอะไรงั้นเหรอ? หรือว่าคะแนนไม่พอ? ฉันให้ยืมแบบไม่คิดดอกเบี้ยได้นะ แล้วนายค่อยจ่ายคืนภายในหนึ่งเดือน โอเคไหม?”
‘ทำไมดูเหมือนกับว่าเธอเคยพูดประโยคนี้มาหลายครั้งแล้วนะ?’
ดาร์กพูดไม่ออก
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ตอบว่า “ผมยังมีเรื่องที่ต้องทำ เพราะงั้นไม่ขอรบกวนรุ่นพี่แล้ว ขอตัวนะครับ”
หลังจากพูดจบเขาก็เดินออกไปครึ่งก้าวอย่างเงียบ ๆ
แต่อย่างไรก็ตาม รุ่นพี่สาวแพนดอร่าก็คว้าโอกาสนี้ไว้ เธอไม่ยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ
ก่อนที่ดาร์กจะได้แม้แต่ย่างครึ่งก้าวที่เหลือ เธอก็ขวางทางเขาไว้ ดวงตาคู่สวยหรี่มองพลางพูดยิ้ม ๆ ว่า “นายมีนัดกับใครหรือเปล่า? เด็กผู้หญิงตัวเล็กที่นั่งข้างหลังนายบ่อย ๆ นั่นเหรอ?”
→เธอกำลังพูดถึงเอ็มม่า
ดาร์กไม่ได้พยายามวิ่งหนี แต่ตอบอย่างจริงจังว่า “รุ่นพี่ ผมยังเด็กอยู่นะครับ”
แพนดอร่าอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ก็ถามต่ออย่างสงสัย “ฉันนึกว่าเด็กผู้ชายในวัยนี้ไม่ชอบให้ใครเรียกตัวเองว่าเด็กซะอีก?”
ดาร์กตอบอย่างตรงไปตรงมา “นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”
แพนดอร่าหัวเราะเบา ๆ “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตารอนายโตขึ้นเท่านั้นสินะ”
เมื่อเหลือบมองริมฝีปากสีชมพูอันอวบอิ่มของเธอ ดาร์กก็รู้สึกว่าค่าราคะของเขาแทบจะควบคุมไว้ไม่ได้
แล้วเขาก็รีบพูดว่า “ไว้เจอกันนะครับ”
จากนั้นเขาก็เคลื่อนตัวผ่านเธอและรีบวิ่งหนีไปทันที!
…
‘ไว้เจอกันครับ?’
‘ไม่น่ารักเลยจริงๆ…♥…’
…
หลังจากหนีออกจาก ‘ร้านดอกไม้และต้นไม้คิตตี้’ ดาร์กก็หันกลับมาและเข้าไปใน ‘ร้านดอกไม้และต้นไม้นกกาเหว่า’ ซึ่งอยู่ไม่ไกลแทน
ดาร์กเลิกคิดว่า ‘นกกาเหว่า’ เป็นนกประเภทไหน เขาเดินตรงเข้าไปในร้าน
สินค้าหลักของร้านดอกไม้และต้นไม้นกกาเหว่า เป็นต้นไม้บอนไซชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘ต้นไม้ร้องเพลง’ ซึ่งจะส่งเสียงเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ถือเป็น ‘นาฬิกาปลุกตามธรรมชาติ’ ซึ่งเหมาะที่จะเอาไว้ใช้ในหอพักมาก
ดาร์กลอดตัวผ่านต้นไม้ร้องเพลงและทันใดนั้นเอง เขาก็เห็นต้นไม้หนอนปลูกในกระถางดอกไม้ตรงมุมห้อง!
ต้นไม้หนอน เป็นตัวเลือกที่ค่อนข้างถูกในสามตัวเลือก ดังนั้นมันจึงเป็นตัวเลือกแรกของดาร์กด้วย
เมื่อเทียบกับ [ขวดสมองวิเศษ] และ [ขวดแห่งความคิดขั้นสูง] ต้นไม้หนอนนั้นมีข้อเสียที่ชัดเจน
หนึ่งคือ อายุในการเก็บรักษาจะได้รับผลกระทบอย่างมากจากการเติบโตของต้นไม้หนอนเอง
หากเลี้ยงไม่ถูกวิธีย่อมทำให้เกิดรูตามกิ่งได้ง่าย และสสารที่สะสมอยู่ในกิ่งหนอนก็จะไหลออกมา ถึงกับที่บางครั้งพวกมันก็ถูกกิ่งของหนอนดูดกลืนเข้าไป
อีกอย่างคือ ปริมาณที่สามารถเก็บไว้ได้นั้นมีไม่มาก
หนอนโตเต็มที่ในแต่ละกิ่งสามารถเก็บได้เพียงปริมาณที่เทียบเท่ากับหนึ่งในสามของขวดสมองวิเศษ และยังขึ้นอยู่กับความหนาของกิ่งหนอนด้วย
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีข้อดีที่ชัดเจนเช่นกัน
อย่างแรกเลย หนอนแต่ละกิ่งอยู่แยกจากกันเพื่อให้สามารถเก็บอารมณ์ที่แตกต่างกันไว้ในกิ่งของหนอนแต่ละกิ่งได้
ประการที่สอง มันไม่ได้แพงมาก!
…
หลังจากที่ดาร์กถามถึงคุณภาพและอายุของต้นไม้หนอนนี้ ในที่สุดเขาก็ถามประเด็นสำคัญว่า “ราคากี่คะแนนครับ?”
เจ้าของร้านดอกไม้และต้นไม้นกกาเหว่าเป็นป้าอ้วน เธอมองดาร์กขึ้นลงและพูดอย่างใจดีว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่นักเรียนปีหนึ่งสามารถซื้อได้หรอกนะ แค่ต้นไม้อย่างเดียวก็ราคาแปดร้อยคะแนนแล้ว ถ้าเธอต้องการจะเลี้ยงอย่างดีอีก เธอก็ต้องซื้อยาที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ดูแลมันอีกด้วย ยิ่งกว่านั้น ยาที่ใช้ก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละฤดูกาล ซึ่งมันลำบากมากเลยนะ!”
ดาร์กครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ค่ายาใช้คะแนนเท่าไหร่?”
คุณป้าอ้วนงุนงงอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบ “สามสิบคะแนนสำหรับยาฤดูใบไม้ร่วงหนึ่งขวด และมันใช้ได้หนึ่งเดือน ห้าสิบคะแนนสำหรับยาฤดูหนาวหนึ่งขวด และมันก็ใช้ได้หนึ่งเดือนเช่นกัน”
ดาร์กคิดอย่างรอบคอบและพบว่ามันอยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้
การซื้อต้นไม้หนอนก็เหมือนกับการผ่อนชำระ โดยมีค่าดาวน์แปดร้อยคะแนนและเป็นการผ่อนชำระต่อเดือน
ส่วน [ขวดสมองวิเศษ] และ [ขวดแห่งความคิดขั้นสูง] เป็นราคาจ่ายเพียงงวดเดียว
จากราคาขายของต้นไม้หนอนนี้ เขาก็รู้ว่า [ขวดสมองวิเศษ] และ [ขวดแห่งความคิดขั้นสูง] เป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถจ่ายได้!
ดาร์กไม่คิดต่อสู้ดิ้นรนอีกต่อไป
มือจดบันทึกทุกสิ่งที่เขาต้องระวังในการปลูกต้นไม้หนอนที่ป้าอ้วนพูด จากนั้นก็ซื้อกระถางต้นไม้หนอนนี้และขวดยาฤดูใบไม้ร่วงหนึ่งขวด
ต้นไม้หนอนมีความสูงประมาณแปดสิบเซนติเมตร กิ่งเหมือนตัวหนอนแปดกิ่งคล้ายกับท่อนยาง
หลังจากใส่ลงในถุงบรรจุภัณฑ์สีดำ ดาร์กก็โผล่หัวออกมาและเหลือบมองไปที่ ‘ร้านดอกไม้และต้นไม้คิตตี้’ เมื่อยืนยันว่ารุ่นพี่แพนดอร่าจากไปแล้ว เขาก็เดินเข้าไปในร้านอีกครั้ง
→ดาร์กตัดสินใจซื้อหญ้าแมวมากระถางหนึ่ง!
‘ฉันยังมีคะแนนเหลืออยู่เจ็ดร้อยสี่สิบคะแนน มากกว่าที่คาดไว้เสียอีก’
ดาร์กประเมินว่าเขาสามารถซื้อของได้อีกมากมาย ดังนั้นจึงมองไปรอบ ๆ ร้านดอกไม้และต้นไม้คิตตี้
ในร้านมีหญ้าแมวหลายชนิดจริง ๆ และยังมีทุกสายพันธุ์ทีเดียว
หญ้าแมวเองก็ดูมีมารยาทดีมาก
แต่ละต้นทำให้ผู้คนอดลูบพวกมันไม่ได้
ขณะที่เดินไปรอบ ๆ ร้าน จู่ ๆ ดาร์กก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เพราะข้างหน้าเขามีงูปรากฏอยู่!
มันคืองูเห่าที่มีหางฝังอยู่ในกระถาง!
เมื่อเขาเห็นมัน ดวงตาเรียวรีคู่นั้นก็ลืมขึ้นมา จากนั้นมันก็เลื้อยร่างเรียวยาวมาทางเขา
ดาร์กช็อกในทันที!
“ไม่ต้องกลัว”
เสมียนที่ร้านขายดอกไม้และต้นไม้คิตตี้เป็นพี่สาวในวัยยี่สิบต้น ๆ ผมของเธอมัดเป็นหางม้า บนตัวสวมผ้ากันเปื้อนและถุงมือ ทำให้ดูมีภาพลักษณ์ที่เรียบง่าย
เธออาจเห็นดาร์กเดินไปมาเป็นเวลานานแล้ว จึงเข้ามาอธิบายอย่างสงบว่า “นี่คือหญ้าแมวสายพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่าหญ้างู ไม่ต้องห่วงมันไม่กัดคนหรอก เนื้อแท้ของมันก็ยังเป็นพืชอยู่”
แน่นอนว่าดาร์กไม่กลัว เขาแค่แปลกใจเล็กน้อย “ในเมื่อมีหญ้างูอยู่ เป็นไปได้ไหมว่า…”
“อืม” พี่สาวเสมียนทัดผมที่ห้อยลงมาถึงเปลือกตาไปไว้หลังใบหูของเธอและหัวเราะเบา ๆ “สินค้าชุดใหม่มีหญ้าแมวประเภทสัตว์หลายชนิดเลย เธออยากดูไหมล่ะ?”
บทที่ 48 ดาร์ก เดม่อนถูกจับได้ว่ากินป๊อปคอร์น
หลังจากนั้น เอ็มม่าก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก
ทว่าบรรยากาศระหว่างเวอร์เธอร์กับโรเบิร์ตกลับหยุดนิ่งในทันที!
…
‘⊙▽⊙’
ดาร์กรู้สึกประหลาดใจ
เมื่อรวมสิ่งที่เขาเห็นในวันจันทร์และพฤติกรรมแปลก ๆ มากมายระหว่างพวกเขาทั้งสองฝ่ายเมื่อเร็ว ๆ นี้ดาร์กก็พอเข้าใจแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น
แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจคือ ความสัมพันธ์ของทั้งสามคนแย่ลงจนแตกหักได้อย่างไร
‘เป็นเพราะดาร์กไม่ได้กดดันพวกเขาในฐานะวายร้ายใช่หรือไม่’
‘เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม?’
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นดาร์กก็เริ่มสนใจในถึงสิ่งที่จะตามมา
เอ็มม่าทำลายความสัมพันธ์ของเธอกับเวอร์เธอร์และโรเบิร์ตอย่างสิ้นเชิง หนำซ้ำ ความสัมพันธ์ระหว่างเวอร์เธอร์กับโรเบิร์ตก็ร้าวฉานเพราะคำพูดสุดท้ายของเอ็มม่า
เช่นนั้นแล้วเวอร์เธอร์จะหันไปคบกับเอ็มม่าเพื่อสร้างความสัมพันธ์แบบเก่า หรือเขาจะยังเป็นเพื่อนกับโรเบิร์ตต่อ?
‘เหมือนดูละครเลย!’
ดาร์กคิดว่าเขาสามารถไปที่ถนนนักเดินทางทีหลังได้ ส่วนตอนนี้เจ้าตัวตัดสินใจที่จะเฝ้าดูเหตุการณ์ตอนต่อไปว่ามันจะพัฒนาไปอย่างไรในขณะที่กินป๊อปคอร์น
…
ไม่ว่าจะในแง่มุมไหน เวอร์เธอร์ก็เชื่อฟังคำพูดสุดท้ายของเอ็มม่า กุญแจสำคัญคือ พฤติกรรมของโรเบิร์ตที่ทำให้เขาลำบากซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันจึงทำให้เขาตระหนักได้ว่าคำเตือนของเอ็มม่าไม่ได้ไร้มูลความจริงเสียทีเดียว
ใช่แล้ว เวอร์เธอร์ค่อย ๆ ตระหนักถึงที่มาของปัญหา
นี่เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้บรรยากาศระหว่างพวกเขาค่อย ๆ แย่ลง
ก่อนที่อากาศจะแข็งตัวอย่างสมบูรณ์ ในที่สุดโรเบิร์ตก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เวอร์เธอร์ อย่าบอกนะว่านายเชื่อคำพูดของเอ็มม่าจริง ๆ และอยากจะ…”
เวอร์เธอร์หัวเราะอย่างเคอะเขินแล้วตบไหล่โรเบิร์ต “นายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร โรเบิร์ต? เราเป็นเพื่อนรักที่คบกันมาตั้งแต่เปิดเทอม หนี้บ้า ๆ นี้หมดไปแล้ว เราจะไปซื้อของที่ถนนนักเดินทาง หรือกลับไปเล่นหมากรุกเวทมนตร์ที่หอกันสักรอบดีล่ะ?”
“เฮ้อ อย่าทำให้ฉันกลัวสิ” โรเบิร์ตถอนหายใจอย่างโล่งอก “แน่นอนว่าเราต้องกลับไปที่ห้องสมุด…”
เวอร์เธอร์ผงะไปทันทีและพูดด้วยความประหลาดใจ “พูดจริงเหรอ? ห้องสมุดน่ะนะ?”
โรเบิร์ตหัวเราะอย่างเชื่องช้าและพูดว่า “การบ้านวิชาคณิตศาสตร์และประวัติศาสตร์เวทมนตร์ยังไม่เสร็จเลยใช่ไหม?”
เอ็มม่าคงไม่เคยคิดมาก่อนว่าคำพูดที่เธอพูดกับเวอร์เธอร์จะส่งผลต่อโรเบิร์ตมากกว่าเวอร์เธอร์เสียอีก!
ขณะที่บรรยากาศแทบจะหยุดนิ่ง ในที่สุดโรเบิร์ตก็ตระหนักว่าถ้าตัวเองไม่เปลี่ยนแปลงใด ๆ เขาก็จะสูญเสีย ‘บุตรแห่งวีรบุรุษ’ ในฐานะเพื่อนไปโดยสิ้นเชิง
…
เมื่อเห็นทั้งสองคนมุ่งหน้าไปยังห้องสมุดจริง ๆ สายตาของดาร์กก็ค่อย ๆ แปลกขึ้น และเขาก็เดินออกจากมุมห้องพร้อมกับครุ่นคิด
‘หือ? สงสัยจริงว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน’
เมื่อความสัมพันธ์มีรอยแตกร้าว มันย่อมไม่สามารถประสานคืนได้โดยง่าย
ดาร์กขบคิดขณะเดินไปตามทางที่เอ็มม่าหายตัวไป
‘พูดถึงเรื่องนั้น เอ็มม่าอยากจะไปงานเลี้ยงน้ำชาของสาว ๆ จริงเหรอ? อะไรที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปกัน?’
…
แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงของเอ็มม่า มอร์ติสเป็นเพราะคำพูดของดาร์กหลังจากชนะการแข่งขัน เธออยากลองสิ่งที่เรียกว่า ‘การจัดสรรเวลาอย่างเหมาะสมสำหรับการเรียนและการพักผ่อน’
นั่นคือ การใช้กิจกรรมที่น่าสนใจเพื่อผ่อนคลายจากการเรียนที่น่าเบื่อ มีเวลาพักสมองบ้าง เพื่อให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เธอรู้เกี่ยวกับงานเลี้ยงน้ำชาที่ถนนนักเดินทางจากใบปลิวที่สาวใช้ตัวน้อยมอบให้เมื่อเธอเดินผ่านร้านกาแฟป่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
เวลานั้น เธอโยนใบปลิวทิ้งไป แต่ความทรงจำของเธอกลับดีเหลือเกิน
ร้านกาแฟป่าเป็นร้านกาแฟในธีม ‘ป่าแท้จริง’ ตราบใดที่แขกก้าวเข้าไปในร้าน พวกเขาก็จะเข้าไปในขอบเขตของ [การ์ดเวทมนตร์แห่งทุ่งป่า]
เพลิดเพลินกับกาแฟหอมกรุ่นในสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบของต้นไม้ใหญ่ซึ่งมีเสน่ห์เฉพาะตัว
ครั้งนี้งานเลี้ยงน้ำชาของสาว ๆ จัดขึ้นโดยนักเรียนรุ่นพี่ในนามชมรมหนังสือ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างสาว ๆ ภาควิชาวรรณกรรมเป็นหลัก
เอ็มม่ารู้สึกว่าความบันเทิงประเภทนี้อาจเหมาะกับเธอ
ดังนั้นเพื่อที่จะเก่งขึ้น เธอจึงก้าวออกจากกรงความคิดที่เรียกว่า ‘แสวงหาความรู้’
…
นิสัยของมนุษย์ไม่ได้มีมาแต่กำเนิด
แม้แต่ตัวละครที่มีบุคลิกตอนต้นในหนังสือก็เปลี่ยนไปตามพัฒนาการของหนังสือ
จะเป็นการถดถอยหรือการเติบโต?
มันก็ขึ้นอยู่กับตัวละครทั้งนั้น
…
ดาร์กเข้าใจดีเช่นกัน
เขาเข้าไปในศาลากลางทะเลสาบคล้อยหลังจากเอ็มม่า เลือกโต๊ะหินตัวใดตัวหนึ่งจากสองโต๊ะ จากนั้นนั่งลงบนเก้าอี้หินตัวหนึ่ง บิดสะโพกเล็กน้อย และโชคดีไปที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ในครั้งแรก
มันเป็นอีกครั้งที่เขาเดินออกจากศาลาริมทะเลสาบและข้ามสะพานสไตล์สวนที่รู้จักกันในชื่อ ‘สะพานเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย’ แล้วจึงมาถึงถนนนักเดินทาง
ไม่ได้มาแค่สัปดาห์เดียว ถนนนักเดินทางก็ดูจะแปลกตาไปเล็กน้อย
ดาร์กไม่รีบร้อนไปที่ร้านมอร์แกน แต่ตัดสินใจเดินไปมาในร้านขายกระถางต้นไม้แทน
มีกฎว่าห้ามเลี้ยงสัตว์ในปราสาทของสถาบันเซนต์แมเรียน แต่ไม่มีใครห้ามไม่ให้ปลูกดอกไม้และต้นไม้ แม้แต่ศาสตราจารย์ทอมป์สันจากวิชาปรุงยาก็ยังกล่าวถึงต้นไม้กระถางที่น่าสนใจในชั้นเรียนเป็นครั้งคราว ทั้งยังแนะนำให้นักเรียนลองปลูกดู
เช่น ต้นที่อยู่ตรงหน้าดาร์กพันธุ์นี้ มันคือ… หญ้าแมว!
ทันทีที่เขาเข้าไปในร้านนี้ ความสนใจของดาร์กก็ถูกดึงไปโดยต้นหญ้าแมวที่วางอยู่ในที่ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด และทำเอาเขาเกือบลืมจุดประสงค์ที่จะมาหาต้นไม้หนอนที่ร้านแห่งนี้
หญ้าแมวที่ว่านี้เป็นพืชที่ดูเหมือนแมวยกเว้นหางของมันซึ่งเป็นเหง้า!
ทุกฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ดอกไม้สวยงามจะงอกงามอยู่บนยอดหญ้าแมว
สถาบันห้ามเลี้ยงแมว แต่อนุญาตให้เลี้ยงหญ้าแมวได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องลึกลับ
แม้ว่ารากหญ้าแมวจะต้องปลูกในดิน แต่ตราบเท่าที่พวกมันต้องการ พวกมันก็สามารถเคลื่อนที่ได้โดยการลากกระถางดอกไม้ไปด้วย…
แม้จะออกจากดินไปครู่หนึ่ง มันก็ไม่เหี่ยวแห้งในทันที
ที่สำคัญกว่านั้น พวกมันยังร้องเหมียว ๆ และมีนิสัยส่วนใหญ่ของแมวด้วย ยกเว้นแค่การขับถ่ายและการกินที่ต่างออกไป
→พูดอีกอย่างก็คือ ไม่จำเป็นต้องเก็บอึและซื้ออาหารแมว
แต่ก็มีน้ำยาที่เรียกว่า ‘น้ำยาแมว’ แทน
แค่เท ‘น้ำยาแมว’ ลงบนหญ้าแมวทุกวัน แล้วนำไปตากแดดก็เพียงพอแล้ว!
เท่าที่ดาร์กรู้ หลังจากการเปิดถนนนักเดินทางเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เด็กผู้หญิงหลายคนก็มีหญ้าแมวอยู่ในหอพักแล้ว
ตัวอย่างเช่น โรส เธอซื้อการ์ฟิลด์สีส้มไป
“แมวเป็นเพื่อนที่สามารถรักษาจิตใจได้ดีจริง ๆ”
ดาร์กเกาคางของแมวหูสั้นและอดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำ
“นายคิดอย่างนั้นด้วยเหรอ?”
มีกลิ่นคุ้นเคยยืนอยู่ข้างหลังเขา และดาร์กก็สั่นเทาราวกับลูกแมวที่เจอสิงโต แม้แต่นิ้วเท้าก็เกร็งขึ้นมา
ราวกับว่ากลิ่นหอมกำลังลูบไล้หลังคอของเขา และแม้ว่าดาร์กจะไม่ได้มองย้อนกลับไป เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ทาบทับลงมาอย่างหนักหน่วง!
มือของเด็กชายยังคงลูบไล้แมวต่อไป และเอ่ยถามด้วยความสงสัย “รุ่นพี่ ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ?”
แพนดอร่าหัวเราะเบา ๆ “ฉันตามเธอมา”
ดาร์กถามต่อ ” อืม คุณมาซื้อน้ำยาแมวเหรอครับ?”
รุ่นพี่สาวว่า “หลอกเธอยากจริง ๆ!”
บทที่ 47 ความลับการเรียนรู้ของดาร์ก เดม่อน
หลังจากจบคาบเรียน ศาสตราจารย์โจนส์ก็เชิญดาร์กขึ้นมาบนเวทีเพื่อมอบคะแนนหนึ่งพันคะแนนให้สำหรับผู้ชนะการประลอง
เมื่อดาร์กซึ่งยังตัวไม่โตเต็มวัยมายืนอยู่ข้างศาสตราจารย์โจนส์ ศีรษะของเขาก็อยู่แค่ขอบล่างสุดของลูกบาสเกตบอลศาสตราจารย์โจนส์เท่านั้น
อาจารย์สาวผู้มีสายเลือดยักษ์นั้นตัวใหญ่เกินไป…
ดาร์กพยายามอย่างเต็มที่ที่จะคลี่รอยยิ้มบนใบหน้า ยามต้องเผชิญหน้ากับเพื่อนร่วมชั้นที่พากันส่งเสียงดังอยู่ด้านล่างเวทีอย่างใจเย็น
ศาสตราจารย์โจนส์กล่าวว่า “เดม่อน เธอช่วยแบ่งปันเคล็ดลับการเรียนรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เพื่อนร่วมชั้นฟังหน่อยได้ไหม?”
ดาร์กตอบอย่างสุภาพ “แน่นอนครับ”
ศาสตราจารย์โจนส์กล่าวด้วยความพอใจว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะยกเวทีให้เธอ”
ดาร์กพยักหน้ารับและเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และเอ่ยปากขึ้น “อันที่จริง การเรียนรู้ไม่เคยมีทางลัด ผมสามารถชนะได้ในวันนี้ก็เพราะมีวินัยในตนเอง”
“ผู้ที่ควบคุมตนเองได้จึงจะเป็นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุด แต่การควบคุมตัวเองมากเกินไปในบางครั้งอาจส่งผลเสียได้ ดังนั้นระดับของวินัยในตนเองจึงมีความสำคัญมากเช่นกัน”
“ไม่ว่าจะเป็นความปรารถนาหรือการเรียนรู้ การมีวินัยในตนเองนั้นย่อมเป็นสิ่งจำเป็น”
“โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบจัดสรรเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเรียนและการพักผ่อน หาหนังสือที่น่าสนใจมาผ่อนคลายการเรียนที่น่าเบื่อ และปล่อยให้สมองได้พักผ่อนบ้าง”
“ยิ่งกว่านั้น ทุกคนคือผู้กำหนดโชคชะตาของตนเอง…”
…
ดาร์กพูดประมาณสิบห้านาที
บางคนเรียนรู้บางอย่างจากดาร์ก และบางคนก็ต้องการให้เขาพูดจบเร็ว ๆ เพื่อจะได้กลับไปหาอะไรกิน
นี่เป็นเหมือนเส้นทางแห่งชีวิต มันมีป้ายบอกทางแยกระหว่างทาง ด้านซ้ายขรุขระแต่นำไปสู่ยอด ด้านขวาเรียบแต่นำไปสู่รางน้ำ และคนส่วนใหญ่ก็ยังเลือกไปทางด้านขวา
นี่คือความรู้สึกของดาร์กในเดือนที่ผ่านมา
ท่ามกลางเสียงปรบมืออย่างไม่กระตือรือร้นจากนักเรียนชั้นปีหนึ่ง ดาร์กก็เดินลงจากเวทีไปและการประลองก็สิ้นสุดลงอย่างแท้จริง
และแล้วบ่ายวันศุกร์ก็มาถึง ถนนนักเดินทางเปิดขึ้นอีกครั้ง!
ดาร์กดึงการ์ดคัดสรรออกมาเพื่อตรวจสอบคะแนนของเขา ซึ่งตอนนี้มีหนึ่งพันห้าร้อยเจ็ดสิบคะแนนแล้ว
…
เมื่อเทียบกับการเปิดถนนนักเดินทางครั้งแรก นักเรียนปีแรกจะยับยั้งชั่งใจมากขึ้นในครั้งนี้
พูดสั้น ๆ ไม่ใช่เพราะเหตุที่ว่า ‘คะแนนไม่พอ’ อย่างแน่นอน!
โชคดีที่สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปบางอย่างก็ไม่แพงขนาดนั้น นักเรียนสามารถสั่งกาแฟหนึ่งถ้วยด้วยคะแนนเพียงเล็กน้อย และใช้เวลาพักผ่อนที่ร้านกาแฟป่าซึ่งอยู่บนถนนนักเดินทาง
…
ก่อนมุ่งหน้าไปยังถนนนักเดินทาง ดาร์กหยิบสมุดบันทึกที่ใช้สำหรับจดรายการออกมาอีกครั้ง
มีไอเทมเพิ่มเติมสองสามรายการในสัปดาห์นี้ และมันก็มากกว่าสัปดาห์ที่แล้ว
ไอเทมเหล่านี้ล้วนเป็นภาชนะที่สามารถใช้เก็บสสารแห่งความคิดได้เป็นเวลานาน
[ขวดสมองวิเศษ: หนึ่งในเครื่องมือเล่นแร่แปรธาตุของหมวดสมองวิเศษ มันสามารถเก็บอารมณ์ ความปรารถนา ความรู้ และสสารอื่น ๆ ไว้ในสมองจำลองวิเศษ ข้อดีคือ ใช้งานได้นานและสามารถจัดเก็บได้เป็นเวลานาน แต่ข้อเสียก็คือ อาจทำให้วัสดุที่เก็บไว้ปนเปื้อนและกลายพันธุ์ได้!]
[หนอนต้นไม้: ไม้กระถางชนิดหนึ่งที่มีกิ่งเหมือนหนอนซึ่งสามารถดูดซับอารมณ์ ความปรารถนา ความรู้ และสสารอื่น ๆ เข้าสู่กิ่งหนอนได้ เนื่องจากแก่นแท้ของกิ่งหนอนคือพืช ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เก็บไว้จะปนเปื้อน แต่ข้อเสียก็คือ ถ้าต้นไม้และตัวหนอนตายไป มันจะปลูกขึ้นมาใหม่ได้ยาก]
[ขวดแห่งความคิดขั้นสูง: ขวดแห่งความคิดรุ่นพรีเมียม นอกจากราคาแพง ก็ไม่มีอันตรายใด ๆ และอายุการเก็บรักษาสสารก็นานถึงหนึ่งเดือน]
อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ล้วนมีราคาแพงมาก
เป้าหมายแรกของดาร์กในวันนี้คือ การเลือกซื้อหนึ่งในนั้น
…
ตั้งแต่เที่ยงจนถึงเที่ยงครึ่ง เป็นช่วงเวลายอดนิยมที่ผู้คนจะกรูกันไปที่ถนนนักเดินทาง
ดาร์กตั้งใจรอจนเที่ยงครึ่งถึงค่อยออกจากหอคอยบ้านขุนนาง
ระหว่างทางไปประตูปราสาท เขาบังเอิญไปเจอเวอร์เธอร์ โรเบิร์ต และเอ็มม่า
‘ดูเหมือนว่าพวกเขาจะอยู่ด้วยกันเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาไม่ใช่เหรอ?’
ดาร์กจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ได้ และมองดูพวกเขาอย่างสงสัย
…
เอ็มม่า มอร์ติสหวีผมสีน้ำตาลนุ่ม ๆ ของเธอ แล้วรวบด้วยกิ๊บติดผมรูปแมวน่ารัก ส่วนบนใบหน้าก็ลงแป้งบาง ๆ เพื่อทำให้ผิวขาวขึ้น
เธอไม่เคยแต่งตัวขนาดนี้มาก่อน ดังนั้นรูปลักษณ์ของเด็กหญิงในตอนนี้จึงเปลี่ยนไปอย่างมาก
‘เป็นไปได้ไหมว่าความพ่ายแพ้ในการประลองนั้นเกินกว่าที่เธอจะรับได้?’ ดาร์กครุ่นคิดอย่างลังเล
อีกด้านหนึ่ง เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตยังคงเหมือนเดิม
เมื่อทั้งสองเสียโอกาสสุดท้ายที่จะชำระหนี้ไป หลังจากขบคิดกันอย่างหนัก ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะขอโทษสำหรับการทะเลาะกันครั้งก่อนและขอให้เอ็มม่ายกโทษให้
“ฉันขอโทษแล้วเอ็มม่า!”
โรเบิร์ตยืนต่อหน้าเอ็มม่าอีกครั้ง
เอ็มม่าขมวดคิ้วอย่างโกรธเคืองเล็กน้อย “ฉันได้ยินแล้ว ช่วยหลีกทางให้หน่อยได้ไหม?”
เวอร์เธอร์คว้าแขนโรเบิร์ตอย่างรวดเร็ว โดยไม่รู้ว่าคำขอโทษนั้นมันมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
อาจเพราะบางทีความคิดของโรเบิร์ตยังเด็กอยู่ เขาคงคิดว่าตัวเองสามารถล้างหนี้ได้หากเขาเอ่ยปากขอโทษ
แต่เวอร์เธอร์มีประสบการณ์กว่านั้นมาก เขารู้ว่าส่วนใหญ่การพูดขอโทษไม่สามารถแก้ปัญหาได้
ทั้งสองคนมาที่นี่เพื่อขอร้องให้เอ็มม่ายกเลิกหนี้!
มันคือหนี้หกร้อยสี่สิบคะแนนเต็ม และกำลังจะเพิ่มสองเท่าเป็น หนึ่งพันสองร้อยแปดสิบคะแนนในอีกครึ่งชั่วโมง!
ถ้าพวกเขาเป็นเจ้าหนี้ ย่อมไม่ให้หนี้ครั้งนี้โมฆะง่าย ๆ แน่!
เมื่อนึกถึงสำนวนก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการชำระหนี้ เวอร์เธอร์ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงและพูดว่า “เอ็มม่า ฉันกับโรเบิร์ตตระหนักถึงความผิดพลาดของตัวเองแล้ว พวกเราไม่ควรบังคับเธอให้ยืมเงินเพื่อซื้อหมากรุกเวทมนตร์ และเราก็ไม่ควรดูหมิ่นเธอ… ”
เอ็มม่าไม่พอใจ “เธอเคยพูดแบบนี้มาก่อนแล้ว! และฉันก็ยอมรับคำขอโทษแล้วด้วย ตอนนี้หลีกไปได้หรือยัง?”
“ไม่” เวอร์เธอร์ดึงความกล้าออกมาแล้วพูดว่า “เดี๋ยวก่อนสิ เธอพอจะช่วยปลดหนี้ได้ไหม? เช่นว่า เปลี่ยนสัญญาแล้วก็ล็อกหนี้คะแนนไว้ที่หกร้อยสี่สิบเป็นไง?”
โรเบิร์ตขัดจังหวะ “หกร้อยสี่สิบก็เยอะแล้ว!”
เวอร์เธอร์รู้สึกหงุดหงิด เขาอยากจะปิดปากโรเบิร์ตทันที!
เอ็มม่าเหลือบมองโรเบิร์ตอย่างเยาะเย้ย และในที่สุดก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “พวกนายไม่ได้เป็นหนี้ฉันหกร้อยสี่สิบคะแนน มันแค่ห้าคะแนน เวอร์เธอร์ ขอแค่ห้าคะแนน แล้วต่อจากนี้ไปเราก็จบกัน!”
เวอร์เธอร์หูผึ่งเพราะคิดว่าตัวเองได้ยินผิดไป “หมายความว่าไง? จะเป็นห้าคะแนนได้ยังไง?”
เอ็มม่ากล่าวว่า “ถ้านายมีเวลา ก็ไปตรวจสอบกฎระเบียบของสถาบันเพิ่มเติมด้วยเวอร์เธอร์! คะแนนจะถูกหมุนเวียนเป็นสกุลเงินพิเศษที่ใช้ภายในโดยสถาบันเซนต์แมเรียน มันเป็นไปไม่ได้ที่สถาบันจะไม่ควบคุมปัญหาการยืมคะแนน คะแนนที่ดอกเบี้ยมากกว่าสิบเท่าของจำนวนต้น สถาบันจะไม่ให้การยอมรับ เพราะงั้นตั้งแต่บ่ายโมงของวันจันทร์ สัญญานั้นก็ถือว่าเป็นโมฆะแล้ว และนายจะต้องคืนจำนวนเงินเดิมให้ฉันเท่านั้น”
เวอร์เธอร์ตะลึง “แต่เธอพูดก่อนหน้านี้ว่า…”
เอ็มมาพูดอย่างโกรธเคือง “เพราะโรเบิร์ตดูถูกฉัน ดังนั้นทำไมฉันต้องบอกเธอด้วย?”
เวอร์เธอร์หันไปมอง “โรเบิร์ต…”
เอ็มม่าดึงการ์ดคัดสรรออกมาทันที “แค่ห้าคะแนน เวอร์เธอร์ รีบ ๆ หน่อย! บ่ายนี้มีงานเลี้ยงน้ำชาเซนต์แมเรียนที่ร้านกาแฟป่า ถ้าฉันไปช้าเพราะเธอแล้วละก็…”
เวอร์เธอร์รีบรูดการ์ดของเขาเพื่อชำระหนี้ทันที
และแล้วภาระที่อยู่บนบ่าของเขามาตลอดทั้งสัปดาห์ก็หายไปในที่สุด เวอร์เธอร์รู้สึกเหมือนร่างกายของเขากำลังลอยขึ้นไปในอากาศ เขาเกือบคิดไปเองว่าตัวเองสามารถบินได้ในขณะนี้
หลังจากเก็บการ์ดคัดสรรของเธอแล้ว เอ็มม่าก็พูดอย่างไร้ความปรานีว่า “แล้วก็นะเวอร์เธอร์ ฉันคิดว่ามันจำเป็นที่จะต้องเตือนนายหน่อย หยุดไปเที่ยวกับโรเบิร์ตซะ! คิดถึงพ่อแม่ที่ตายไปแล้วของนายด้วย!”
บทที่ 46 ดาร์ก เดม่อนสังหารเหี้ยน
เวอร์เธอร์ที่พ่ายแพ้และโรเบิร์ตผู้สิ้นหวังกลายเป็นประติมากรรมหินไปพร้อมกันท่ามกลางลมกระโชกแรง
แต่บรรยากาศของเกมกลับร้อนระอุขึ้น เพราะการต่อสู้ระหว่างเวอร์เธอร์กับเอ็มม่านั้นน่าตื่นเต้นทีเดียว
…
ในรอบที่สามของการแข่งขัน
เดิมทีจะจัดการประลองสี่คู่พร้อมกัน แต่ตอนนี้มันลดลงเหลือสองคู่พร้อมกัน
เมื่อถึงคราวของดาร์กอีกครั้ง สาวน้อยกลุ่มหนึ่งก็รวมตัวกันอยู่ที่นอกเวทีอย่างรวดเร็ว
เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากบ้านขุนนาง แต่นักเรียนจากอีกสามบ้านก็ปะปนเข้ามาด้วยเช่นกัน
โดยเฉพาะเด็กหญิงในบ้านนักปราชญ์ พวกเธอไม่สามารถต้านทานเสน่ห์ของเด็กชายในปีเดียวกันที่ทั้งเรียนเก่ง มีวินัยในตนเอง แล้วยังหล่อเหลาได้ สำหรับพวกเธอแล้ว ดาร์กเป็นเหมือนกับเจ้าชายที่หลุดออกมาจากนิยาย
แน่นอน เด็กเหล่านี้ยังอยู่ในวัยที่ไร้เดียงสา และพวกเธอจะรู้สึกเขินอาย หากเผลอสัมผัสมือของเด็กชายโดยบังเอิญ นี่หมายความได้ว่าความชอบที่พวกเขามีต่อดาร์กนั้นยังคงบริสุทธิ์อยู่
ในสนามประลอง
ดาร์กมองไปยังนักเรียนของบ้านอัศวินที่อยู่ตรงข้ามสนาม และไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายสู้กลับ
แม้ว่าจะไม่ได้น่าตื่นเต้นเท่าแมตช์อื่น ๆ แต่แมตช์ที่จบเร็วเช่นนี้ก็ยังคงมีเสน่ห์เฉพาะตัวอยู่ดี
…
การประลองรอบที่สี่
ดาร์กชนะอีกครั้งโดยไม่มีข้อยกเว้น
…
ในรอบที่ห้า เหลือผู้เล่นเพียงห้าคน
ผู้เล่นทั้งห้าคนคือ ดาร์กและไดแอนนาจากบ้านขุนนาง เอ็มม่าจากบ้านอัศวิน ซาร่า สวาติและนักเรียนชายอีกคนหนึ่งจากบ้านนักปราชญ์
ดาร์กโชคดีที่ไม่ต้องประลองในรอบนี้ แต่เป็นนักเรียนสองคนจากบ้านนักปราชญ์ที่ได้เจอกับไดแอนนา และเอ็มม่าตามลำดับ
ผลคือ นักเรียนจากบ้านนักปราชญ์ทั้งสองคนไม่สามารถชนะได้
ซาร่า สวาติจากบ้านนักปราชญ์ได้แสดงความแข็งแกร่งอันทรงพลังออกมา แต่เธอก็ยังแพ้เอ็มม่าอยู่ดี
ส่วนเด็กชายอีกคน เขาก็ถูกไดแอนนาบดขยี้!
…
ในรอบรองชนะเลิศ
คราวนี้เป็นไดแอนนาที่ได้รับการสนับสนุนจากเทพธิดาแห่งโชค
ดังนั้นจึงเป็นดาร์กและเอ็มม่าที่ได้ต่อสู้ในรอบรองชนะเลิศ!
แม้ว่านี่จะเป็นรอบรองชนะเลิศที่มีผู้เล่นสามคน แต่ในสายตาของนักเรียนของบ้านอัศวินและบ้านขุนนาง มันเทียบเท่ากับรอบชิงชนะเลิศ!
มันเป็นรอบที่จะตัดสินว่าผู้ชนะคือ บ้านอัศวินหรือบ้านขุนนาง!
การเผชิญหน้าที่ดุเดือดนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคน
แม้แต่เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตที่กลายเป็นหินก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง!
ไม่ว่าพวกเขาจะไม่ชอบเอ็มม่ามากแค่ไหน พวกเขาก็ยังอยู่ข้างบ้านอัศวิน
ภายใต้สายตาของนักเรียนทั้งในสี่บ้าน ศาสตราจารย์โจนส์ทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินด้วยตัวเอง
ดาร์กและเอ็มม่าเข้าไปในสนามประลองคนละฟากและยืนอย่างมั่นคงในตำแหน่งของผู้เล่น
ผู้ประลองสามารถจั่วการ์ดได้ในระหว่างขั้นตอนการเตรียมการ และดาร์กกับเอ็มม่าต่างก็ถือ [สัตว์อสูรมายา] เพียงใบเดียวไว้ในมือ
สีหน้าของดาร์กไม่ได้แสดงออกมากนัก
แต่เห็นได้ชัดว่าเอ็มม่ารู้สึกประหม่าเล็กน้อย
“ดาร์ก เดม่อน!”
เอ็มม่าก็เรียกความกล้าหาญออกมาและเอ่ยปากขึ้น
แม้ว่าดาร์กจะงงงวย แต่เขาก็ยังให้ความสนใจ
เอ็มม่ากัดฟัน แต่สุดท้ายเธอพูดเพียงว่า “ฉันจะไม่แพ้นาย!”
ดาร์กตกใจ เดิมทีเขาต้องการจะยั่วยุเธอว่า ‘ฉันรู้จักเธอด้วยเหรอ?’ แต่คิดว่ามันคงจะทำร้ายหัวจิตหัวใจที่บอบบางของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ มากเกินไปเลยไม่ได้พูด
ดาร์กตอบ “ฉันเห็นความพยายามของเธอแล้ว”
เอ็มม่า “???”
…
“ถ้ามีอะไรจะพูดก็พูดกันหลังจบการประลอง ตอนนี้จดจ่อกับการต่อสู้ก่อน”
ศาสตราจารย์โจนส์ขัดจังหวะการคุยระหว่างทั้งสองฝ่าย และเริ่มนับถอยหลังสู่การต่อสู้
ทั้งคู่สร้างความประหลาดใจให้แก่เธอครั้งใหญ่ในการแข่งขันของคาบเรียนนี้ และเธอต้องการรู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด
‘จะเป็นดาร์กที่ฝ่าฟันมาอย่างราบรื่นโดยอาศัยทักษะการอัญเชิญอันยอดเยี่ยมของเขา’
‘หรือจะเป็นเอ็มม่าที่มีการ์ดเวทมนตร์อีกสองใบ’
มันเป็นความสุขของอาจารย์ที่เห็นลูกศิษย์เติบโตเกินกว่าที่คาดไว้!
เธอยกมือขึ้นเบา ๆ และดอกไม้ไฟนับถอยหลังสามวินาทีก็ปรากฏขึ้นใจกลางของสนาม!
3! 2! 1!
เริ่มได้!
ดาร์กอัญเชิญ [สัตว์อสูรมายา] ออกมาก่อนโดยไม่ลังเลใด ๆ
แต่มันต่างไปจากครั้งก่อน
อีบุยไม่ได้รีบเร่งไปยังฝั่งตรงข้ามในทันที แต่วิ่งเหยาะ ๆ อยู่ครู่หนึ่งมาที่ใจกลางเวที
เมื่อเอ็มม่าอัญเชิญ [สัตว์อสูรมายา: นาก] ด้วยเวลาสิบเอ็ดวินาทีครึ่ง อีบุยก็ลุกขึ้นยืนและเหยียดอุ้งเท้าชี้ไปที่ตัวนาก
ใช้เวลาครู่กว่าที่นากที่มีสติปัญญาระดับ 2.0 จะตอบสนอง และก็มี ‘เสียงแหลม’ ดังขึ้นจากอีบุย!
“วี้ วี้!”
อีบุยยื่นอุ้งเท้าออกมาอีกครั้งและกวักมือเรียก
จากนั้นนากก็เข้ามาที่ใจกลางของเวทีอย่างระมัดระวัง
สปิริตสองตัวซึ่งมีพลังโจมตีและพลังป้องกันหนึ่งร้อยหน่วย มิหนำซ้ำ ขนาดของพวกมันยังเกือบจะเท่ากัน ก็ได้เริ่มเผชิญหน้ากันอย่างใกล้ชิดที่ใจกลางของเวที
“อี้ค อี้ค!”
นากอ้าปากออกเสียง!
“วี้ วี้?”
อีบุยเอียงศีรษะและใช้กระบวนท่า [ทำตัวน่ารัก]
นากยิ้มทันทีและหัวเราะ “อี้ค อี้ค!”
จากนั้นอีบุยก็เดินผ่านมันไปอย่างสงบและวิ่งเหยาะ ๆ ไปที่ลูกบอลเวทมนตร์ของเอ็มม่าด้วยก้าวเล็ก ๆ อย่างรวดเร็ว
เอ็มม่าอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสังเกตเห็นว่าดาร์กใช้การ์ดเวทมนตร์ใบใหม่!
‘นั่นคือการ์ดเวทมนตร์อะไร?’
เมื่อมองไปยังนากซึ่งกำลังหัวเราะคิกคักและสูญเสียพลังการต่อสู้ไปทั้งหมด สมองของเอ็มม่าแทบจะหยุดทำงาน
แน่นอนว่าเธอไม่สามารถยืนเฉย ๆ และไม่ทำอะไรเลยไม่ได้
มือดึงเอาการ์ดที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาอย่างรวดเร็ว [หีบสมบัติทองคำ]!
ในขณะที่ [เหรียญทอง X3] สูญเสียผลของมัน ก็มีเพียง [หีบสมบัติทองคำ] เท่านั้นที่สามารถบรรเทาหัวใจของเธอได้เล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เวลาคูลดาวน์ของคาถาอัญเชิญของเธอคือสิบห้าวินาที แตกต่างจากดาร์กที่ลดลงเหลือน้อยกว่าแปดวินาทีแล้ว เธอยังต้องรออีกสักพักก่อนจึงจะสามารถใช้การ์ดเวทมนตร์ใบใหม่ได้
เมื่อคูลดาวน์อัญเชิญของเธอเสร็จแล้ว อีบุยก็เริ่มกดอุ้งเท้าลงบนลูกบอลเวทมนตร์เหมือนทุกรอบที่แล้วมา!
แปะ!
ตีหนึ่งครั้ง
ค่าพลังเวทมนตร์ของลูกบอลเวทมนตร์ลดลงหนึ่งร้อยหน่วย
แปะ!
ตีอีกครั้ง
ค่าพลังเวทมนตร์ของลูกบอลเวทมนตร์ลดลงหนึ่งร้อยอีกครั้ง
“นากจัง ตื่น!”
ในที่สุดเอ็มม่าก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา
นากดูเหมือนจะได้ยินเสียงของเธอ และทันใดนั้นมันก็หลุดจากผลที่ทำให้เคลิบเคลิ้มของ [การ์ดแห่งความสุข] หัวของมันหัน [ปืนฉีดน้ำ] โจมตีคำรบหนึ่งพุ่งออกไปในทันที!
แต่อีบุยคว้าลูกบอลเวทมนตร์และเคลื่อนไปข้างหน้า
ปัง!
ค่าพลังเวทมนตร์ของลูกบอลเวทมนตร์ลดลงหนึ่งร้อยหน่วย
แต่ลูกบอลเวทมนตร์ก็ถูกกระแทกออกไปด้วย [ปืนฉีดน้ำ]
‘นี่คือโอกาสของฉัน!’
เอ็มม่าฉวยโอกาสทันทีและเปิดใช้งาน [หีบสมบัติทองคำ] ด้วยคาถาอัญเชิญ!
หลังจากผ่านไปสิบเอ็ดวินาทีครึ่ง หีบสมบัติที่เต็มไปด้วยทองคำก็ปรากฏขึ้นบนสังเวียน!
ทว่าอีบุยในสนามประลองหันหลังให้ ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความรังเกียจ
เมื่อกล่องสมบัติทองคำปรากฏขึ้นตรงหน้า มันแค่ยิ้มอย่างดูถูก เดินผ่านมันด้วยย่างก้าวที่สง่างาม แล้วตบลูกบอลเวทมนตร์
แปะ!
ค่าพลังเวทมนตร์ของลูกบอลเวทมนตร์ลดลงอีกหนึ่งร้อย
เมื่อนากวิ่งกลับมา มันก็ยกอุ้งเท้าขึ้นอีกครั้ง!
แปะ!
…
มันก็ยังไม่ใช่การประลองแบบปะทะ
ไม่มีการต่อสู้ระหว่างสปิริตทั้งสอง มีเพียงเสียงแปะ ๆๆ
ดาร์กไม่จำเป็นต้องใช้ [อัตตา II] เกมก็จบลงแล้ว
เขานำอีบุยกลับเข้าไปในการ์ด ใส่ [การ์ดแห่งความสุข] และ [อัตตา I] ลงในซองการ์ด จากนั้นหันหลังเดินจากไป
ราวกับว่าการแข่งขันรอบรองชนะเลิศนี้ไม่แตกต่างจากนัดอุ่นเครื่องนัดแรก
อันที่จริงมันก็เป็นความจริงด้วย
ระดับของนักเรียนชั้นปีหนึ่งต่ำเกินไป
เมื่อเอ็มม่าใช้การ์ดเวทมนตร์สองใบ เขาก็ใช้ได้สามใบแล้ว!
ทำให้การประลองครั้งนี้ดูไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
เนื่องจากการประลองที่เพิ่งจบนั้นดูแปลกเกินไป ผู้ชมนอกเวทีจึงตอบสนองไม่ทันเวลา
กระทั่งดาร์กออกจากเวทีถึงค่อยมีเสียงปรบมือแผ่วเบาดังขึ้น
จากนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ ลั่นไปทั่วสนาม!
…
รอบชิงชนะเลิศครั้งต่อไป ยิ่งไร้ความหมายมากขึ้นไปอีก
ความเร็วในการอัญเชิญของไดแอนนาถือว่าเร็วอยู่ แต่เธอยังไม่สามารถอัญเชิญมันออกมาได้ภายในเวลาไม่ถึงสิบสามวินาที และเมื่อไม่สามารถอัญเชิญหมีขั้วโลกที่น่าภาคภูมิใจของเธอออกมาได้ เกมก็จบลงแล้ว
…
ในท้ายที่สุด แม้แต่ศาสตราจารย์โจนส์ก็อดกุมหน้าผากของเธอไม่ได้
เป็นครั้งแรกที่การประลองเช่นนี้ปรากฏในอาชีพการสอนของเธอ
ความแตกต่างนั้นมากเกินไป!
บทที่ 45 เวอร์เธอร์ กาวด์ยืนขึ้นอย่างไม่คิดมาก
การ์ดเวทมนตร์ใบที่สอง!
นี่เป็นการโกงในสายตาของจอมเวทฝึกหัด!
ทำไมพวกเขาถึงมีการ์ดเวทมนตร์เพียงใบเดียว แต่เอ็มม่ามีการ์ดสองใบ?
‘ศาสตราจารย์ เธอกำลังโกง!’
โรเบิร์ตร้องคำรามในใจ!
‘เธอทำแบบนี้ได้ยังไง? เธอไม่รู้เหรอว่านี่คือความหวังสุดท้ายของเรา? ไม่สิ! เธอฉลาดมาก เธอคงรู้มานานแล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่เธอทำการ์ดเวทมนตร์ใบที่สองไว้เป็นพิเศษเพื่อป้องกันไม่ให้เราชำระหนี้ได้!’
เมื่อโรเบิร์ตเศร้าและโกรธอย่างอธิบายไม่ถูก เวอร์เธอร์ก็ได้รับผลกระทบบนเวทีเช่นกัน
แต่เขายังดูสงบ
ค่าพลังป้องกันของลูกบอลเวทมนตร์เป็นศูนย์ ดังนั้นเมื่อถูกโจมตี ค่าพลังงานเวทมนตร์ของบาเรียชีวิตจะลดลงโดยตรง
เอ็มม่าตีลูกบอลเวทมนตร์ไปสามครั้ง แต่บาเรียพลังชีวิตยังคงมีพลังงานเวทมนตร์สองร้อยหน่วย
‘มันควรจะสามารถต้านทานการโจมตีครั้งต่อไปได้!’
“ฉันแค่จบการประลองก่อนที่การโจมตีครั้งต่อไปจะมาถึง!”
เวอร์เธอร์พึมพำ ทันใดนั้นก็ชูการ์ด [สัตว์อสูรมายา: กวาง] และตะโกนว่า “จงส่องแสง! แสงวิญญาณ!”
ทันใดนั้น กวางในสนามประลองก็เงยหัวขึ้น ปล่อยแสงอันแรงกล้าอย่างผิดปกติออกมาจากระหว่างเขากวางของมัน!
ท่าไม้ตาย: แสงวิญญาณ!
การใช้พลังงานเวทมนตร์: 50 หน่วย
คูลดาวน์: 60 วินาที
คูลดาวน์ท่าไม้ตายของวิญญาณเวทมนตร์หนึ่งดาวมักจะอยู่ที่สามสิบวินาที
คูลดาวน์ใด ๆ ที่นานกว่าสามสิบวินาทีหมายถึงพลังต้องสูงอย่างไม่ต้องสงสัย!
แสงวิญญาณส่องสว่างไปครึ่งหนึ่งของเวที ทำให้นากไม่มีที่หลบซ่อน!
เวอร์เธอร์อดยิ้มอย่างมีชัยไม่ได้
แต่จู่ ๆ เอ็มม่าก็ยกการ์ดในมือขึ้น
กิ๊ง!
เหมือนเสียงเหรียญทองกระทบกันเล็กน้อย
ลวดลาย ‘Φ’ ปรากฏขึ้นในดวงตาของนากพร้อม ๆ กัน
มันคือสัญลักษณ์แทนเหรียญศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักร!
[เหรียญทอง X3]
การ์ดเวทมนตร์ในมือของเอ็มม่านั้นเป็นการ์ดที่เรียบง่ายและไร้การตกแต่ง!
ทว่าเหรียญทองแต่ละเหรียญสามารถชาร์จสปิริตได้เพียงครั้งเดียว
และการชาร์จแต่ละครั้งจะให้พลังงานเวทมนตร์ห้าสิบหน่วย ซึ่งอาจทำให้คูลดาวน์ท่าไม้ตายสั้นลงได้
โดยสรุปแล้วเธอสามารถชาร์จพลังงานสปิริตได้สามครั้ง!
นี่หมายความว่านากของเธอสามารถปลดปล่อยท่าไม้ตายได้อีกสองครั้ง ซึ่งเพียงพอที่จะตีพลังเวทมนตร์ที่เหลือสองร้อยหน่วยของลูกบอลเวทมนตร์ได้
เงื่อนไขคือ ถ้านากของเธอสามารถรอดไปได้น่ะนะ
เมื่อเห็นว่านากไม่สามารถทนต่อแสงวิญญาณได้เลย เอ็มม่าจึงต้องใช้การชาร์จสองครั้งติดต่อกันเพื่อให้นากเอาชีวิตรอดมาด้วยพลังงานเวทห้าสิบหน่วยอย่างหวุดหวิด
ในขณะเดียวกัน กวางของเวอร์เธอร์ก็เหลือพลังเวทมนตร์เพียงห้าสิบหน่วยเท่านั้น!
สปิริตจะเริ่มใช้พลังเวทมนตร์ของตัวเองตั้งแต่สามถึงห้านาทีหลังจากถูกอัญเชิญออกมา
ตราบใดที่ใช้ไปอีกหนึ่งหน่วย สปิริตทั้งสองฝ่ายก็จะไม่สามารถปลดปล่อยสกิลของพวกเขาได้อีกต่อไป!
นัยน์ตาของเวอร์เธอร์ยังคงเฉียบคม และเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ “ฆ่ามันเลยเจ้ากวาง!”
เอ็มม่ากรีดร้อง “หลบเร็ว! วิ่งไปรอบ ๆ เวที!”
ในสนามประลองเล็ก ๆ ที่มีความยาวเพียงสิบเมตร กวางตัวผู้ของเวอร์เธอร์ไม่สามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วเต็มที่ ในทางกลับกัน นากของเอ็มม่าซึ่งตัวเล็กกว่าและคล่องแคล่วกว่ามาก กลับมีข้อได้เปรียบในเวทีเล็ก ๆ เช่นนี้
เอ็มม่ามองมือของเวอร์เธอร์อย่างกังวลใจ และสัมผัสซองการ์ดอีกครั้ง…
ในอีกด้านหนึ่ง เวอร์เธอร์ก็สังเกตเห็นการกระทำของเอ็มม่าและอดไม่ได้ที่จะบ่นว่า ‘เธอมีการ์ดอีกใบเหรอ?’
‘ให้ตายสิ ฉันซ่อนมันไว้ไม่ได้แล้ว! เดิมทีฉันต้องการใช้มันเพื่อจัดการกับเดม่อนแท้ ๆ!’
เวอร์เธอร์กัดฟันและดึงการ์ดใบที่สองออกจากซองการ์ด
ใช่แล้ว เขาก็มีการ์ดเวทมนตร์ใบที่สองด้วย!
…
นอกสนาม เมื่อเห็นว่าเวอร์เธอร์มีการ์ดใบที่สอง โรเบิร์ตก็พูดอย่างตื่นเต้นทันทีว่า “ฉันว่าแล้ว! เวอร์เธอร์ไม่เคยทำให้ฉันผิดหวัง!”
สองมาตรฐานที่แท้จริง
…
ไดแอนนาอดไม่ได้ที่จะถาม “ดาร์ก ทำไมพวกเขาถึงมีการ์ดเยอะจัง”
ดาร์กมองไปยังการ์ดเวทมนตร์ใบที่สองของเวอร์เธอร์ คิ้วของเขาขยับเล็กน้อย
เขารู้สึกถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย
…
เมื่อเห็นการต่อสู้ที่เข้มข้นขึ้น นักเรียนที่อยู่นอกสนามก็เริ่มตื่นเต้น
โดยเฉพาะบ้านอัศวินทุกคนต่างโห่ร้องอย่างภาคภูมิใจ
แม้ว่านักเรียนส่วนใหญ่จะมีความประทับใจที่ไม่ดีกับทั้งสองคนบนเวทีนี้ ฝ่ายหนึ่งคือ คนที่ทำอะไรตามใจตัวเอง และยังเป็นลูกชายของวีรบุรุษด้วย อีกคนคือ เด็กหญิงผู้หยิ่งทะนงที่คิดว่าเธอเหนือกว่าคนอื่น แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นนักเรียนของบ้านอัศวิน
…
ขณะอยู่บนเวที เวอร์เธอร์และเอ็มม่าชูการ์ดเวทมนตร์ขึ้นสูงเกือบพร้อมกัน!
“ความรักต้องห้าม!”
“หีบสมบัติทองคำ!”
การ์ดเวทมนตร์ในมือของเวอร์เธอร์ปล่อยหมอกสีชมพูออกมา ก่อตัวเป็นเงาของผู้หญิง!
ขณะที่การ์ดเวทมนตร์ในมือของเอ็มม่าระเบิดออกเป็นแสงสีทองระยิบระยับ!
บนสนามประลอง แสงสีชมพูและแสงสีทองแย่งชิงความได้เปรียบกัน เป็นเวลาเดียวกับที่กวางและนากกำลังจ้องมองกันอยู่
ดวงตาของนากกลายเป็นรูปหัวใจในขณะที่ดวงตาของกวางเปลี่ยนเป็นรูป Φ!
ทั้งสองไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าการ์ดเวทมนตร์ของอีกฝ่ายกลับกลายเป็นการ์ดที่มีคุณลักษณะเดียวกันกับที่พวกเขามี!
นากถูกดึงดูดด้วยความรักต้องห้ามและถูกควบคุมโดยเวอร์เธอร์ในคราวเดียว
ส่วนกวางก็ถูกดึงดูดด้วยหีบสมบัติสีทอง และถูกควบคุมโดยเอ็มม่าในลักษณะเดียวกัน!
เด็กสองคนราวกับแลกเปลี่ยนการควบคุมสปิริตของพวกเขาในทันที
…
“มันจบแล้ว!”
ทันทีที่เวอร์เธอร์เห็นสถานการณ์ในสนาม หัวใจของเขาก็จมลงสู่ก้นบึ้ง
กลับกัน เอ็มม่ารู้สึกปลาบปลื้ม และพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน “เจ้ากวาง จู่โจมลูกบอลเวทมนตร์!”
ลูกบอลเวทมนตร์ที่โดนนากโจมตียังคงลอยอยู่ในอากาศ
กวางตัวนั้นวิ่งอย่างดุเดือด ก่อนที่นากจะทันได้ลงมือ เขากวางขนาดใหญ่ก็ได้โจมตี และทุบบาเรียพลังชีวิตบนลูกบอลเวทมนตร์ของเวอร์เธอร์ไปแล้ว!
ตู้ม!
บาเรียพลังชีวิตแตกเป็นเสี่ยง กลายเป็นแสงดาราดวงน้อยและค่อยสลายไป
“ฉันชนะ! ฉันชนะแล้ว!”
เอ็มม่ากระโดดดีใจ!
ตอนนี้เอง ในที่สุดเธอก็ได้เปิดเผยอารมณ์ที่เด็กในวัยนี้ควรมี
ใบหน้าเล็ก ๆ ของเด็กหญิงแดงก่ำไปด้วยความตื่นเต้น
…
เวอร์เธอร์กำลังหน้าเสีย “ฉันแพ้ มันเป็นไปไม่ได้ ฉันจะแพ้เอ็มม่าได้ยังไง? แล้วเดม่อนล่ะ?”
การ์ดเวทมนตร์หลุดจากมือของเขาและสะบัดกลีบดอกไลแลคออกมาจำนวนมาก
หมอกสีชมพูหดเข้าไปในการ์ด ค่อย ๆ กลับกลายเป็นร่างมนุษย์ที่เลือนราง
การ์ดดอกไม้นี้เดิมทีเป็น [การ์ดทำนายความรัก] แต่ถึงแม้จะกลายเป็นการ์ดเวทมนตร์ [ความรักต้องห้าม] ไปแล้ว ก็ยังไม่สามารถย้อนคืนความพ่ายแพ้ของเขาได้
นี่คือชัยชนะของความพยายาม และความพ่ายแพ้อย่างเกียจคร้าน
…
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?”
โรเบิร์ตที่นอกเวทีร้องลั่น!
“เห็นได้ชัดว่าก่อนที่เวอร์เธอร์จะเข้าสู่สนามประลอง เขาบอกว่าตราบใดที่เขาไม่ได้ช้ากว่าเธอ เขาก็จะชนะ!”
“มันจบแล้ว มันจบแล้ว!”
“หลังจากบ่ายเป็นต้นไป มันจะกลายเป็น 1,280 คะแนน! เราจะไม่สามารถชำระหนี้ได้แล้ว!”
ในความคิดของโรเบิร์ตคือ เอ็มม่าถือแส้เหยียบหลังทั้งคู่ไว้ และด่าทอพวกเขาในฐานะทาสด้วยน้ำเสียงที่แหลมคมราวกับแม่มด!
(σ ` д′)σ) ╥ ﹏ ╥ )
‘มันน่าสังเวชเกินไปแล้ว!’
…
ดาร์กครุ่นคิดในใจว่า ‘เหรียญทองเพิ่มพลัง หีบสมบัติทองคำ… นี่คือมูลค่าของเงินเหรอ? แต่ความรักต้องห้ามล่ะ? มันน่าจะมาจากการ์ดดอกไม้ใช่ไหม? เวอร์เธอร์เปลี่ยนการ์ดดอกไม้ให้เป็นการ์ดเวทมนตร์ได้ยังไง? ถ้าฉันตามเขาไป ฉันจะสามารถหาที่มาของการ์ดดอกไม้ได้ไหมนะ?’
…
ความพ่ายแพ้ของบุตรแห่งวีรบุรุษไม่ได้ส่งผลต่อความต่อเนื่องของการประลอง
เมื่อเวอร์เธอร์ออกมาจากสนามประลอง คนที่เข้ามาทักทายเขาไม่ใช่โรเบิร์ตที่กำลังตกอยู่ในจินตนาการอันสิ้นหวัง แต่เป็นเด็กชายสองสามคนจากบ้านอัศวิน
“ทำได้ดีมาก เวอร์เธอร์ สิ่งที่นายทำเมื่อกี้ยอดเยี่ยมมาก!”
เด็กชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าสดใสตบไหล่และให้กำลังใจเขา
เด็กชายอีกคนสะกิดแขนและปลอบ “อย่าท้อแท้ ศัตรูของนายคือเอ็มม่า”
สีหน้าของเวอร์เธอร์เริ่มแข็งทื่อ เขารู้สึกแย่ลงไปอีกเมื่อได้ยินชื่อเธอ
บทที่ 44 ศึกแรกของเอ็มม่า มอร์ติส ผู้มุ่งสู่เส้นทางจ้าวแห่งนาก
w(゚Д゚)w —> สีหน้าของโดรอนในยามนี้
…
“ฮ่า ๆๆๆ!”
ไดแอนนามองดูหมีขาวตัวใหญ่ของเธอยกกระดองเต่าของโรเบิร์ตขึ้นทีละน้อย และหัวเราะออกมาพร้อมชูแขนขึ้น
ในทางกลับกัน โรเบิร์ตทำหน้าเหมือนเห็นผี เขาอ้าปากกว้างราวกับจะสามารถใส่ไข่ห่านเข้าไปได้!
“อย่ายืนดูเฉย ๆ โรเบิร์ต!”
เวอร์เธอร์อดไม่ได้ที่จะตะโกนเสียงดัง
แต่นอกเหนือจากการหุบปากของเขา โรเบิร์ตก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาจะทำอะไรได้อีก
นักเรียนของบ้านอัศวินที่เคยล้อเลียนโรเบิร์ตเมื่อคืนก่อนแต่ถูกตบหน้าในรอบแรก ก็หัวเราะอย่าง ‘ไร้เดียงสา’ เช่นกัน
มันเป็นเรื่องตลกจริง ๆ
เมื่อเห็นว่าปราสาทของเขากำลังจะถูกทำลายโดยหมีขาวตัวใหญ่ ในที่สุดโรเบิร์ตก็ตะโกนว่า “อดทน!”
ในที่สุดปราสาทก็ตอบรับการเรียกของเขาเป็นครั้งแรก และชั้นของสีเหลืองสดก็ไหลผ่านกำแพง
เห็นได้ชัดว่าปราสาทที่ใช้สกิล [อดทน] นั้นแข็งแกร่งขึ้น และการเสริมพลังก็ช่วยให้ปราสาทดูดซับแรงกระแทกได้มากขึ้นเช่นกัน
แต่อย่างไรก็ตาม [อดทน] ก็คือ [อดทน] ท้ายที่สุด มันก็ไม่ใช่ [หยั่งราก]
→ มันยังเปลี่ยนความจริงที่ว่ามันจะคว่ำไม่ได้!
“โฮก!”
พลังหมีของหมีขั้วโลกระเบิดออกมา และพลิกปราสาทของโรเบิร์ตหงายตึงไปในลมหายใจเดียว!
ด้วยเหตุนี้ ลูกบอลเวทมนตร์จึงไม่ได้รับการปกป้องอีกต่อไป
เมื่อไดแอนนาสั่งให้หมีขั้วโลกเป่าบาเรียของลูกบอลเวทมนตร์ออกไป การประลองที่ไม่สมดุลนี้จึงจบลงอย่างแท้จริง
…
โรเบิร์ตออกจากสนามด้วยใบหน้าที่ดูไม่จืด และส่งมอบความหวังให้กับเวอร์เธอร์ “เพื่อนยาก ฉันต้องฝากนายแล้ว”
เวอร์เธอร์ตอบ “ไม่ต้องห่วง ฉันจะชนะให้ได้”
โรเบิร์ต “นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเรา”
เวอร์เธอร์ “ฉันรู้แล้ว!”
…
ไดแอนนาสะบัดการ์ดเพื่อถอนหมีขั้วโลกและออกจากสนามอย่างมีความสุข
หลังจากเห็นโรสและดาร์กแล้ว เธอก็วิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปหา ตบหน้าอกอย่างภาคภูมิใจ แล้วพูดว่า “เป็นไง? หมีของฉันตัวใหญ่ใช่ไหม?”
ดาร์กยกนิ้วโป้งและชมว่า “ใหญ่มาก!”
…
“หมายเลขสิบสามและสิบหก”
ศาสตราจารย์โจนส์ประกาศหมายเลขสำหรับคู่ต่อไป
…
เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตก็ตัวสั่น พวกเขาเกือบจะหันหน้าไปมองในทิศทางเดียวพร้อมกัน
เอ็มม่า มอร์ติส กำลังดูการประลองอยู่คนเดียว
ทันใดนั้น เธอก็สังเกตเห็นว่ามีใครบางคนกำลังมองมาที่เธออยู่ จึงหันไปสบสายตาของคนทั้งสองพอดี
“เฮือก!”
พวกเขาหลบสายตาออกไปทันที
เอ็มม่าหันกลับมาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตมองหน้ากันและยืนขึ้นพร้อมกัน
โรเบิร์ตอดไม่ได้ที่จะเตือนว่า “อย่าแพ้เชียว!”
ดวงตาของเวอร์เธอร์ดูเคร่งขรึมเล็กน้อย “ไม่มีทาง ตราบใดที่ฉันไม่ช้ากว่าเธอละก็นะ”
หลังจากการประลองรอบล่าสุด เวอร์เธอร์ได้รู้ความเร็วในการอัญเชิญของเขาแล้ว
แม้ว่าเวลาในการฝึกฝนจะมีไม่มากนัก แต่เวลาร่ายคาถาอัญเชิญปกติของเขาถูกบีบอัดเหลือสิบสองวินาที ซึ่งมันเกือบจะเท่ากับของเอ็มม่า
เขาเชื่อด้วยซ้ำว่าตราบใดที่เขาจดจ่อมากขึ้นอีกนิด เขาจะสามารถบีบอัดเวลาลงได้อีกหนึ่งวินาที!
หากเป็นเวลาสิบเอ็ดวินาที แม้ว่าจะเป็นการต่อสู้กับดาร์กก็ยังมีโอกาส!
สนามประลองชั่วคราวมีความกว้างเพียงสิบเมตร แม้ว่าระยะทางสิบเมตรจะดูใหญ่โต แต่หากเดินข้ามไปมันก็เป็นเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น
ทว่าสปิริตจะใช้เวลาตั้งแต่ถูกอัญเชิญไปจนถึงลงพื้น
และต้องใช้เวลาในการเริ่มวิ่งและเร่งความเร็วอีกด้วย
ตราบใดที่สปิริตของเขาสามารถอัญเชิญออกมาได้สำเร็จ ก่อนที่บาเรียพลังชีวิตของลูกบอลเวทมนตร์จะถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ สปิริตจิ้งจอกน้อยตัวนั้นที่ดูเหมือนจะไม่มีพลังโจมตีและป้องกันสูงก็ไม่ควรจะเป็นศัตรูของกวางตัวมหึมาของเขา
→บังเอิญว่า เวอร์เธอร์และโดรอนคิดแบบเดียวกัน
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้
เวอร์เธอร์รู้ดีว่าคู่ต่อสู้คนปัจจุบันของเขาคือ เอ็มม่า!
“มันจะไม่เป็นปัญหา นากของเอ็มม่านั้นอ่อนแอมาก สิ่งเดียวที่ฉันต้องระวังก็คือ มันสามารถพ่นน้ำได้”
…
เวอร์เธอร์และเอ็มม่าเดินผ่านกัน แต่ทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน
จอมเวทฝึกหัดที่เพิ่งเข้ามาในสถาบันยังคงใสซื่อเกินไปและไม่รู้ว่าจะยั่วยุกันอย่างไร
เวทีแบ่งออกเป็นฝั่งสีแดงและสีน้ำเงิน เวอร์เธอร์ยืนอยู่ฝั่งสีแดง และเอ็มม่ายืนอยู่ฝั่งสีน้ำเงิน
ผู้ตัดสินคือ ซิกวาร์ด จากบ้านขุนนาง
ซิกวาร์ดดูไม่ชอบใจเล็กน้อยเมื่อมองนักเรียนคนสำคัญสองคนของบ้านอัศวินเจอกันในรอบที่สอง
แต่เขายังต้องเป่านกหวีด
“ปี๊ด! เตรียมพร้อม!”
เวอร์เธอร์และเอ็มม่าหยิบ [การ์ดเวทมนตร์] ในมือของพวกเขาทันที
…
นอกเวที ดาร์กเดินเข้ามาพร้อมกับไดแอนนาและโรสเพื่อเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด
เขาก็สนใจเกมนี้มากเช่นกัน
ไดแอนนาถามเสียงต่ำ “ดาร์ก นายคิดว่าใครจะชนะ?”
ดาร์กหรี่ตาเล็กน้อย “ดูเผิน ๆ เวอร์เธอร์มีข้อได้เปรียบ แต่ที่จริงแล้ว…”
ไดแอนนาถาม “จริงเหรอ?”
ดาร์กตอบ “ทั้งคู่ไม่ได้อ่อนแอ”
ไดแอนนาสับสน “หือ?”
…
“เริ่มประลองได้!”
สิบเอ็ดวินาทีครึ่ง
เวอร์เธอร์ทำลายขีดจำกัดและอัญเชิญเสร็จก่อนเอ็มม่า!
กวางตัวโตเด่นสง่าก็โผล่ออกมาจากแสงสีขาว และเขากวางขนาดใหญ่ดุจกิ่งไม้ก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างดุดัน
การออกวิ่งเริ่มขึ้นในเวลาไม่ถึงครึ่งวินาที
เอ็มม่าก็เสร็จสิ้นการอัญเชิญก่อนสิบสองวินาทีเช่นกัน!
นากซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับอีบุยตัวน้อย ไถลตัวเมื่อกำลังจะขึ้นบก มันหลบการพุ่งชนของกวาง และเลือกที่จะวิ่งวนเป็นวงกลมอย่างว่องไว!
ความคิดของเอ็มม่านั้นชัดเจนมาก
เมื่อเปรียบเทียบความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว นากของเธอไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกวางของเวอร์เธอร์
แต่เป้าหมายสูงสุดของการประลองไม่ใช่เพื่อเอาชนะสปิริตของคู่ต่อสู้ แต่เพื่อทำลายบาเรียพลังชีวิตของลูกบอลเวทมนตร์ต่างหาก!
แม้ว่าเธอจะล้มเหลวในการเลียนแบบดาร์กเมื่อเกมที่แล้ว แต่เธอยังคงเปิดใจเรียนรู้มัน
นักเรียนใหม่ชั้นปีที่หนึ่งส่วนใหญ่ในเวลานี้ยังคงหมกมุ่นอยู่กับการต่อสู้ประลองพลังเวทมนตร์ โดยไม่เข้าใจธรรมชาติของการประลองเวทมนต์เลย
…
เมื่อเห็นนากของเอ็มม่าพุ่งเข้าหาลูกบอลเวทมนตร์ราวกับสายลม หัวใจของเวอร์เธอร์ก็เต้นแรงขึ้นเล็กน้อย เขารีบเรียกกวางตัวนั้นให้กลับไปป้องกันอย่างรวดเร็ว!
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ทำให้เขาพลาดโอกาสแรกที่จะชนะ
การโจมตีของกวางนั้นแข็งแกร่งกว่าการโจมตีของนากอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ เวอร์เธอร์ก็เป็นฝ่ายได้เริ่มบุกก่อน และระยะทางตรงก็สั้น เขามีโอกาสที่จะทำลายบาเรียพลังชีวิตของอีกฝ่าย ก่อนที่จะเสียบาเรียพลังชีวิตของตัวเองไปอย่างแน่นอน
แต่เวอร์เธอร์ในเวลานี้ยังไม่ตระหนักถึงมัน
กวางกลับไปตั้งรับและไม่สามารถไล่ตามนากที่ว่องไวได้ หลังจากที่บาเรียชีวิตของลูกบอลเวทมนตร์ถูกนากกัดแทะอย่างแรง ค่าพลังเวทมนตร์ก็ลดลงอย่างมาก!
แต่นากไม่กล้าเข้าใกล้ต่อ มันวิ่งหนีจากลูกบอลเวทมนตร์ไปทันที
เวอร์เธอร์รู้สึกประหม่าเล็กน้อย เขารู้ว่าเอ็มม่าจะเป็นคู่ต่อสู้ที่ยาก แต่ไม่คิดว่ามันจะยากขนาดนี้
“ไม่ ฉันปล่อยให้ไปสู่ทางตันแบบนี้ต่อไม่ได้… ฉันต้องหาทางอื่น!”
เวอร์เธอร์คิดอย่างรวดเร็วแล้วก็พบวิธี
ภายใต้คำสั่งของเขา กวางก้มศีรษะลง ดันลูกบอลเวทมนตร์ขึ้นมา และวางมันไว้ระหว่างเขากวางทั้งสอง!
“สมบูรณ์แบบ!”
เวอร์เธอร์เริ่มตื่นเต้น
เพราะนากของเอ็มม่าไม่กล้าเผชิญหน้ากับกวางเลย มันทำให้เวอร์เธอร์รู้สึกเหมือนได้รับชัยชนะ
เขาสั่งให้กวางตัวนั้นพุ่งเข้าหาลูกบอลเวทมนตร์ของเอ็มม่าทันที!
แต่เมื่อกวางตัวนั้นวิ่งขึ้นไป จู่ ๆ เอ็มม่าก็สั่งให้นากเข้ามาใกล้
นากตัวน้อยฉวยโอกาสแล้วอ้าปากพ่นน้ำ กระแทกลูกบอลเวทมนตร์ที่ติดอยู่ในเขากวาง!
ลูกบอลเวทมนตร์กระเด็นไปทันที!
ในขณะเดียวกัน ค่าพลังเวทก็ลดลงมากเช่นกัน!
…
“ท่าไม้ตาย?”
เวอร์เธอร์ไม่ตกใจแต่ดีใจ
ท่าไม้ตายของการ์ดวิญญาณระดับหนึ่งดาวมักจะใช้พลังเวทมนตร์ห้าสิบหน่วย สำหรับสปิริตที่มีพลังเวทมนตร์เพียงหนึ่งร้อยหน่วย มันสามารถปลดปล่อยได้เพียงครั้งเดียว!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตอนนี้นากไม่ใช่ภัยคุกคามอีกต่อไปแล้ว!
เขาสั่งให้กวางจับลูกบอลเวทมนตร์ทันที
แต่ทันทีที่มันจับลูกบอลเวทมนตร์ นากตัวน้อยซึ่งน่าจะปล่อยท่าไม้ตายออกมาไม่ได้อีก ก็พ่นน้ำออกมาอีกครั้ง!
กระแสน้ำนี้แม่นยำอย่างยิ่ง
ลูกบอลเวทมนตร์ของฝ่ายแดงถูกกระแทกขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง!
ค่าพลังเวทห้าร้อยลดลงเหลือสองร้อยแต้ม!
เวอร์เธอร์จ้องไปที่นากของเอ็มม่า สปิริตที่ควรจะสลายไปทันทีหลังจากใช้พลังเวทมนตร์ครบหนึ่งร้อยหน่วยแล้ว ยังคงยืนอย่างแข็งแรง!
‘เกิดอะไรขึ้นกันแน่?’
เมื่อหันไปมอง เวอร์เธอร์ก็ตระหนักว่ามีการ์ดอีกใบอยู่ในมือของเอ็มม่า!
บทที่ 43 ไดแอนนาไม่เคยกลัวการท้าทาย
“นี่จบแล้วเหรอ?”
ไดแอนนามองดาร์กที่เดินกลับมาช้า ๆ กะพริบตาและรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เริ่มการแข่งขันสี่คู่พร้อมกัน คนอื่นยังคงประลองกันอยู่ แต่เขากลับสู้เสร็จแล้ว
| ๑ °ェ° ๑)ノ
ไดแอนนาอยากจะบอกดาร์กเรื่องหนึ่งมาตลอด
อันที่จริง เธอไม่ได้คาดหวังกับดาร์กไว้สูงในเรื่องการประลอง เพราะอีบุยดูไม่เหมือนสปิริตที่สามารถต่อสู้ได้เลย มันไม่เหมือนหมีขาวที่ดุร้ายของเธอเลย!
‘แต่การประลองสามารถต่อสู้แบบนี้ได้เหรอ?’
ปราศจากการปะทะกันระหว่างสปิริต เขาอาศัยความไวในการอัญเชิญที่เร็วกว่าเพื่อโจมตีพลังชีวิตของคู่ต่อสู้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะเรียกสปิริตออกมาได้เสียอีก!
การหยุดชะงักในนาทีสุดท้ายน่าจะเป็นความเมตตาของดาร์ก
เพราะนี่คือการประลองครั้งแรกในชีวิตของเด็กคนนั้น หากเธอแพ้ก่อนที่จะได้อัญเชิญสปิริตออกมา มันคงจะกลายเป็นเงามืดในใจไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน
…
แน่นอนว่าไดแอนนาไม่ได้ดูเกมนี้คนเดียว
ทั้งเอ็มม่าและเวอร์เธอร์ต่างเบนความสนใจมาที่ฝั่งนี้ทันทีเมื่อดาร์กเดินออกจากเวที
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าการประลองครั้งนี้จะจบลงแบบนี้!
เอ็มม่าวัดความเร็วในการอัญเชิญของเขาอย่างระมัดระวังและใบหน้าของเธอก็ซีดทันที
ดาร์กทำได้เร็วเกินไป!
ใช้เวลาเพียงแปดวินาทีในการร่ายคาถาอัญเชิญ นี่มันเกินระดับของนักเรียนปีหนึ่งไปโดยสิ้นเชิง!
เดิมทีเธอคิดว่าการที่ตัวเองอัญเชิญสำเร็จในเวลาสิบสองวินาทีนั้นเร็วพอแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะยังช้าเกินไป!
มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถแก้ไขได้ด้วยช่องว่างระหว่างความแข็งแกร่งและความอ่อนแอของสปิริต
แต่มันขึ้นอยู่กับระดับทักษะเวทมนตร์ล้วน ๆ
ในทางกลับกัน สีหน้าของเวอร์เธอร์ก็ไม่ได้ดีมากนัก
เขาต้องการชนะการแข่งขันครั้งนี้
แต่ถ้าเป็นเกมที่เขาแพ้ก่อนจะเรียกสปิริตออกมาได้ แล้วเขาจะชนะได้อย่างไร?
‘เวลาร่ายคาถาอัญเชิญของฉันคือเท่าไหร่นะ?’
เวอร์เธอร์รู้ทันทีว่าเขาไม่ได้ตรวจสอบระยะเวลาร่ายเลย!
…
“คู่ต่อไป หมายเลขที่หนึ่ง หมายเลขที่สิบสาม”
ศาสตราจารย์โจนส์สุ่มแผ่นหมายเลขของคู่ที่ห้าโดยตรง
โรเบิร์ตตกใจ “ตานายล่ะ เวอร์เธอร์!”
เวอร์เธอร์พยักหน้า จากนั้นคว้าแผ่นหมายเลขแล้วเดินไปที่สนามที่สามอย่างช้า ๆ
คู่ต่อสู้ของเขาเป็นนักเรียนจากบ้านคนเขลาซึ่งเขาไม่คุ้นหน้า
นักเรียนคนนั้นดูจริงใจ
แต่เมื่อทั้งสองฝ่ายเข้าสู่สนามประลอง จู่ ๆ นักเรียนของบ้านคนเขลาก็ลดเสียงลงแล้วพูดว่า “นายคือลูกชายของวีรบุรุษจริง ๆ เหรอ?”
เวอร์เธอร์มึนงง ไม่เข้าใจว่าทำไมคนคนนี้ถึงถามคำถามนี้
ระหว่างการต่อสู้ ทั้งสองใช้คาถาอัญเชิญเกือบพร้อมกัน!
เวอร์เธอร์เรียกกวางตัวนั้นออกมาเร็วกว่าอย่างน้อยสองวินาที แต่เมื่อกวางตัวนั้นร่อนลง เร่งความเร็ว และพุ่งเข้าไปในพื้นที่อัญเชิญของคู่ต่อสู้ นักเรียนจากบ้านคนเขลาก็ร่ายคาถาอัญเชิญของเขาเสร็จด้วยเช่นกัน
กระทิงดำที่มีชั้นผิวหินบนหน้าผากก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้าของลูกบอลเวทมนตร์ และหยุดกวางของเวอร์เธอร์ไว้!
อย่างไรก็ตาม กวางตัวผู้ยังคงวิ่งต่อไปโดยไม่ลังเล มันพุ่งชนกระทิงดำโดยอาศัยการเสริมพลังที่มาจากการเร่งความเร็ว!
เวอร์เธอร์ฉวยโอกาสและเอาชนะกระทิงผิวหยาบได้ในที่สุด
…
หลังจากนั้น ไดแอนนา โรส เอ็มม่า และโรเบิร์ตก็เริ่มประลองกัน
ไดแอนนาชนะอย่างไม่ต้องสงสัย [สัตว์อสูรมายา: หมีขั้วโลก] ของเธอเอาชนะ [สัตว์อสูรมายา: กระต่ายยูนิคอร์น] ของคู่ต่อสู้ด้วยการตบเพียงครั้งเดียว
ในอีกเกมหนึ่ง โรสแพ้การประลอง…
และโดยไม่คาดคิด นากของเอ็มม่าก็ชนะไปได้อย่างหวุดหวิด
เดิมทีเอ็มม่าต้องการใช้ความเร็วในการอัญเชิญสิบสองวินาทีเพื่อพยายามสร้างสถานการณ์แบบเดียวกับดาร์ก
แต่คู่ต่อสู้ของเธอคือนักเรียนชั้นยอดของบ้านนักปราชญ์ แม้ว่าอีกฝ่ายจะช้ากว่าเธอเล็กน้อย แต่ก็ยังอัญเชิญสำเร็จภายในสิบสี่วินาที
นากของเอ็มม่าเป็น [สัตว์อสูรมายา] มาตรฐานที่มีพลังเวทมนตร์ พลังโจมตี และพลังป้องกันเพียงหนึ่งร้อยหน่วยเท่านั้น หากต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้โดยตรงก็นับว่าเสียเปรียบเต็มประตู ทว่าในที่สุดมันก็หาโอกาสพ่นน้ำหนึ่งคำใส่หน้าสปิริตของคู่ต่อสู้ พลิกความพ่ายแพ้ให้เป็นชัยชนะได้!
ส่วนโรเบิร์ต…
เขาโชคดีได้เจอกับนักเรียนจากบ้านคนเขลา
ทั้งคู่ใช้เวลามากกว่าสิบหกวินาทีในการอัญเชิญสปิริตออกมา
โรเบิร์ตอัญเชิญ [สัตว์อสูรมายา: ปราสาท] เหนือลูกบอลเวทมนตร์โดยตรง และตัวหมากรุกปราสาทที่แข็งนอกกลวงในก็ครอบลูกบอลเวทมนตร์ขนาดเล็กไว้ได้อย่างสมบูรณ์ กลายเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งไร้การสั่นคลอน!
เกมนี้ลากยาวไปจนจบรอบแรก
ภายใต้สีหน้าที่สับสนของเหล่านักเรียน ศาสตราจารย์โจนส์ประกาศอย่างไม่เต็มใจให้ทั้งสองฝ่ายสามารถเข้าสู่รอบต่อไปได้
ดังนั้นในรอบแรกจึงมีนักเรียนทั้งหมดสี่สิบคนผ่านที่เข้ารอบต่อไป
…
การแข่งขันรอบที่สองเริ่มขึ้นทันที
ดาร์กยังคงเป็นคนแรก
คู่ต่อสู้ของเขาเป็นนักเรียนจากบ้านขุนนาง
เดิมทีนักเรียนคนนี้คุยโม้กับเพื่อนไว้
สัตว์อสูรมายาของเขาคือ ไดโนเสาร์ ประเภทมังกรตัวเล็ก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความได้เปรียบด้านพลังอย่างท่วมท้นในรอบการประลองครั้งล่าสุด!
จากบรรดาคู่ต่อสู้ทั้งหมด มีเพียงหมีขั้วโลกของไดแอนนาเท่านั้นที่สามารถเทียบกับเขาได้
ดังนั้นจึงเข้าใจได้ว่าทำไมเขาจึงดูภูมิใจมาก
แต่ในชีวิตจริง การมีพลังที่แข็งแกร่งไม่ได้หมายความว่าจะชนะเสมอไป เพราะในโลกนี้ย่อมมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเสมอ
โดรอนเข้าสู่สนามประลองด้วยใบหน้าซีดเซียว
เมื่อเด็กชายเข้ามาใกล้ดาร์ก จู่ ๆ เขาก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา และถามด้วยใบหน้าเขินอาย “เดม่อน ขอฉันอัญเชิญสัตว์อสูรมายาก่อนได้ไหม?”
ดาร์กมองอย่างเฉยเมย “นายคิดอะไรอยู่?”
โดรอนหัวเราะแห้ง ๆ และเดินไปบนเส้นทางแห่งความล้มเหลว
…
“เหอะ! เหอะ! เหอะ!”
โดรอนซึ่งพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว รีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำและทุบอ่างล้างหน้าทันที
“บัดซบ! แค่เร็วกว่านิดหน่อย! มีอะไรให้น่าภูมิใจกัน?”
“เขาต้องเรียนอัญเชิญก่อนเข้าสถาบันแน่ ๆ!”
“ไม่งั้น เขาคิดเหรอว่าจะเอาชนะฉันได้ ฮะ!”
“อย่าให้ฉันตามทันนะ!”
…
หลังจากสาปแช่งและร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง เด็กชายก็ออกมาจากห้องน้ำอย่างสง่างามและผ่าเผย
โดรอนเดินออกมาพร้อมกับตาที่แดงด้วยเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ทันได้เห็นไดแอนนาคู่ต่อสู้เพียงคนเดียวในใจของเขา กำลังประลองกับโรเบิร์ตแห่งบ้านอัศวิน!
ตระกูลโดรอนเป็นคู่ปรับตลอดกาลกับตระกูลเกรทเบเยอร์ในอาณาจักรแห่งนี้ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองตระกูลก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น
เขาและไดแอนนาเคยพบกันระหว่างการเยี่ยมเยียนตระกูลเมื่อนานมาแล้ว
แต่ไดแอนนาผู้ไร้หัวใจกลับจำเขาไม่ได้เลย
เรื่องนี้ทำให้โดรอนรู้สึกไม่พอใจเป็นเวลานาน
สำหรับเขา โรเบิร์ต คู่ต่อสู้ของเธอเป็นเพียง ‘ผู้ติดตาม’ ของบุตรแห่งวีรบุรุษ และยังเป็นแค่ลูกน้องที่น่ารังเกียจ
แต่เป็นเพียงเพราะว่า [สัตว์อสูรมายา: ปราสาท] ของโรเบิร์ตนั้นโดดเด่นจริง ๆ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะระแวดระวังอีกฝ่าย
“โดรอน นายโอเคไหม?”
“อืม ฉันเพิ่งไปเข้าห้องน้ำมา”
โดรอนยิ้มอย่างไร้ที่ติ และถามเพื่อนนักเรียนของเขาว่า “เป็นอย่างไรบ้าง หมีแห่งราชอาณาจักรไม่น่าทำให้เราผิดหวังใช่ไหม?”
นักเรียนอ้วนตัวเล็กกอดอกแล้วพูดอย่างภาคภูมิว่า “ดูเอาเองเถอะ”
โดรอนหันไปมอง
“โฮก!”
จู่ ๆ หมีขั้วโลกของไดแอนนาก็คำราม จากนั้นก็สอดนิ้วของมันเข้าไปในช่องว่างระหว่างปราสาทกับพื้นดิน และยกปราสาทหนักขึ้นทันที!
บทที่ 42 ดาร์ก เดม่อนไม่สนุกกับการประลอง
หลังจากพูดถึงกฎเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ต้องให้ความสนใจระหว่างการประลอง ศาสตราจารย์โจนส์ก็หยิบขวดโหลที่มีแผ่นตัวเลขออกมา และขอให้นักเรียนหยิบไปทีละคน
เหล่าจอมเวทฝึกหัดก้าวออกมาทีละคน สอดมือเข้าไปในขวดโหลและจั่วแผ่นตัวเลขออกมา
น่าแปลกที่มีนักเรียนเพียงแค่เจ็ดสิบแปดคนจากทั้งสี่บ้านที่สร้าง [สัตว์อสูรมายา] ได้สำเร็จภายในสัปดาห์นี้
เฉลี่ยแล้วแต่ละบ้านมีไม่ถึงยี่สิบคนที่ทำได้!
นักเรียนที่เหลือส่วนใหญ่ยังคงล้มเหลว และต้องเริ่มสะสมคะแนนเพื่อซื้อชุดวัตถุดิบใหม่
ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่านี่เป็นกับดักที่ศาสตราจารย์จงใจวางไว้อย่างเจตนา เพื่อสั่งสอนนักเรียนปีหนึ่งที่ใช้คะแนนของพวกเขาไปกับถนนนักเดินทางจนหมด ก่อนที่จะสามารถสร้าง [สัตว์อสูรมายา] ขึ้นมาได้
พูดสั้น ๆ คือ ดาร์กไม่รู้ว่ามีใครได้รับบทเรียนนี้หรือไม่ แต่เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตได้รับบทเรียนแล้วอย่างแน่นอน…
ส่วนเรื่องจะเปลี่ยนไปหลังจากที่ได้รับบทเรียนหรือไม่แล้วนั้น มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
…
ดาร์กเดินไปที่โหลแล้วหยิบป้ายที่มีหมายเลขเจ็ดขึ้นมา
“เอ่อ ฉันต้องชะตากับเลขเจ็ดหรือเปล่าเนี่ย?”
ไดแอนนาเดินเข้ามาหาเขาตามปกติ “ดาร์ก นายได้เลขอะไร?”
ดาร์กตอบ “เลขเจ็ด แล้วเธอล่ะ?”
ไดแอนนาตอบ “เจ็ดสิบเจ็ด ฮิฮิ!”
โรส “ห้าสิบห้า…”
“บรรดาผู้ที่ได้หมายเลขแล้ว ก็ใส่พลังเวทมนตร์เข้าไป แยกแผ่นหมายเลขออกจากกัน แล้วส่งด้านสีน้ำเงินมาให้ฉัน”
ศาสตราจารย์โจนส์หยิบขวดเปล่าออกมาอีกครั้ง แล้วใส่แผ่นหมายเลขสีน้ำเงินจากนักเรียน
จากนั้น ดาร์กจึงสังเกตเห็นว่าแผ่นหมายเลขในมือของเขามีสองด้านคือ สีแดงและสีน้ำเงิน ด้วยร่องรอยของพลังงานเวทมนตร์ที่ถ่ายเทเข้าไป แผ่นสีแดงและสีน้ำเงินจะสูญเสียพลังงานแม่เหล็กและทำให้แยกออกได้โดยง่าย
หลังจากมอบแผ่นสีน้ำเงินตามคำสั่งของศาสตราจารย์โจนส์ ดาร์กก็ถือแผ่นสีแดงไว้และรออย่างเงียบ ๆ
สนามที่อยู่ตรงกลางสนามถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วนเท่า ๆ กัน และศาสตราจารย์โจนส์ก็วางลูกบอลเวทมนตร์สองลูกในแต่ละส่วน
นักเรียนที่ไม่มี [สัตว์อสูรมายา] มีหน้าที่แค่ใส่พลังเวทมนตร์ลงไปในลูกบอลเวทมนตร์ และเรียนรู้วิธีเปิดใช้งานบาเรียพลังชีวิตเท่านั้น
จากนั้น อาจารย์ก็เลือกคนอีกสี่คนมาเป็นผู้ตัดสิน
“เกมนี้ใช้ระบบแพ้คัดออก”
ศาสตราจารย์โจนส์หยิบแผ่นหมายเลขสี่คู่ออกจากโหลแล้ววางไว้ที่ด้านข้าง
เธอพลิกแผ่นหมายเลขและพูดว่า “ผู้เล่นในรอบแรกของการแข่งขันรอบแพ้คัดออกคือ หมายเลขหกกับแปด หมายเลขสามกับยี่สิบแปด หมายเลขหกสิบหกกับเจ็ด และหมายเลขสี่สิบเก้ากับห้า เตรียมตัวให้พร้อม”
…
ดาร์กเหลือบมองแผ่นหมายเลขเจ็ดสีแดงในมือ แต่เขาก็ไม่ได้กังวลอะไรมาก
ตรงกันข้าม ไดแอนนาและโรสที่อยู่ข้าง ๆ เขาดูประหม่ามากกว่าเจ้าของหมายเลขเสียอีก
“ดาร์ก นายทำได้! เราจะเป็นกำลังใจให้นายอยู่ข้าง ๆ!”
“นายทำมันได้แน่!”
‘ทำไมพวกเขาถึงทำเหมือนกับฉันกำลังเข้าร่วมรายการแสดงความสามารถพิเศษ X เลย?’
ดาร์กเดินไปที่สนามหมายเลขสามด้วยใบหน้ามืดมน
มีทั้งหมดแปดคนที่จะประลองในเวลาเดียวกัน บ้างก็สงบ บ้างก็ประหม่า
ดาร์กเหลือบมองไปที่คู่ต่อสู้ของเขา ผู้เล่นหมายเลขหกสิบหกที่เดินมาอยู่สนามเดียวกันกับเขา เธอเป็นเด็กผู้หญิงจากบ้านนักปราชญ์ ผมเปีย ตาโต และใบหน้าซีดขาว
เขาปลอบเด็กตรงหน้าอย่างสบาย ๆ “อย่ากังวลไปเลย มันเป็นแค่การฝึกซ้อม”
“โอเค อืม” เด็กหญิงกัดฟันและกำมือแน่น
ทั้งสองคนมาถึงตำแหน่งผู้เล่นที่ปลายสนามทั้งสองฝั่ง
เกมอย่างเป็นทางการจะมีแท่นผู้เล่น ซึ่งทำให้ผู้เล่นมองเกมจากที่สูงได้ แต่ที่นี่ แน่นอนว่ามีเพียงตำแหน่งยืนของผู้เล่นธรรมดาที่วาดด้วยเส้นสีขาวเท่านั้น
ดาร์กยืนอยู่ในตำแหน่งผู้เล่นและมองไปที่สนาม
สนามสำหรับการแข่งขันในครั้งนี้ยืมกฎของสนามจริงมา โดยแบ่งเป็นหนึ่งส่วนหกของสนามที่ใกล้กับตำแหน่งของผู้เล่นออกเป็นเขตอัญเชิญ
นี่หมายความว่า พื้นที่อัญเชิญของสปิริตนั้นถูกจำกัดไว้ และไม่สามารถอัญเชิญสปิริตมาบนสนามของคู่ต่อสู้ได้โดยตรง นั่นคือ การอัญเชิญแบบขวางหน้า!
ว่ากันว่าการประลองแบบเก่าไม่มีกฎนี้ และจอมเวทมักใช้ ‘ยุทธวิธีอัญเชิญ’ นี้ ซึ่งทำให้การแข่งขันวุ่นวายมาก
จอมเวทบางคนถึงกับใช้ ‘ยุทธวิธีขัดขวางการมองเห็น’ โดยการอัญเชิญสปิริตขนาดใหญ่มาบังหน้าคู่ต่อสู้เพื่อปิดกั้นการมองเห็น…
ต่อมากฎก็ค่อย ๆ ดีขึ้นและเรื่องน่าขบขันนี้ก็น้อยลงมาก
แต่จินตนาการของมนุษย์ไม่เคยมีขีดจำกัด มันยังมีกลอุบายมากมายที่ยังเล็ดลอดกฎนี้ได้
ผู้ตัดสินสนามหมายเลขสามคือ เรินต์เกนจากบ้านขุนนาง
“สวัสดี”
เรินต์เกนโบกมือให้ดาร์ก เขาดูสิ้นหวังมาก
ท้ายที่สุดแล้ว การได้ทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินก็เท่ากับการทำตัวอับอายขายหน้าประชาชี
แต่พวกเขาทำได้เพียงโทษตัวเอง เพราะพวกเขาล้มเหลวในการสร้าง [สัตว์อสูรมายา] ภายในหนึ่งสัปดาห์
ดาร์กจำเพื่อนร่วมชั้นคนนี้ที่ไปซื้อของตั้งแต่เช้าวันเสาร์ได้อย่างแน่นอน
ดูเหมือนว่าเรินต์เกนจะใช้คะแนนทั้งหมดไปกับถนนนักเดินทาง ซึ่งท้ายที่สุดก็ทำให้คะแนนไม่เพียงพอจนไม่สามารถซื้อชุดวัตถุดิบเพิ่มเติมสำหรับทำการทดลองได้
และเพื่อนของเขา ซิกวาร์ดก็ดูเหมือนจะเป็นผู้ตัดสินอยู่ที่สนามข้าง ๆ…
ดาร์กยิ้มเล็กน้อย
สำหรับการประลองที่เป็นทางการ สำรับการ์ดจะต้องวางบน ‘โต๊ะการ์ด’ ในสนามของผู้เล่น และการ์ดเวทมนตร์จะถูกขยายโดยกลไกการฉายภาพเวทมนตร์เพื่อให้ผู้ชมรับชมได้ง่ายขึ้น
ในขณะเดียวกันก็มีกฎเช่น ‘การสับการ์ดในสนาม’ ‘เริ่มต้นด้วยการ์ดห้าใบ’ ‘มีเวลาสามสิบวินาทีต่อหนึ่งรอบ’ ‘จั่วการ์ดสองใบในแต่ละรอบ’ และอื่น ๆ อีกมากมาย
กระบวนการประลองแบ่งออกเป็นสามขั้นตอนเท่านั้น
1. ระยะเตรียมการ: สับการ์ด สื่อสาร (ยั่วยุ) เริ่มเกม
2. ช่วงการต่อสู้: จั่วการ์ด อัญเชิญ ต่อสู้ (โจมตี)
3.ช่วงจบ: สื่อสาร (ยั่วยุ) เก็บการ์ด ปิดจบ
…
แน่นอนว่าการประลองวันนี้ไม่มีกฎเกณฑ์มากมายนัก
เด็กหญิงผมเปียจากบ้านนักปราชญ์ที่อยู่อีกด้านหนึ่งบีบการ์ด [สัตว์อสูรมายา] เพียงใบเดียวในมือของเธออย่างประหม่าเพื่อรอผู้ตัดสินเป่านกหวีด
จู่ ๆ ดาร์กก็กังวลว่าเธออาจจะทำลายมันด้วยแรงบีบนั่น
ลูกบอลเวทมนตร์ของทั้งสองฝ่ายได้ปรับใช้บาเรียพลังชีวิตที่มีค่าพลังงานเวทห้าร้อยหน่วย และตอนนี้ก็ลอยอยู่ต่อหน้าทั้งสองฝ่าย
การใช้พลังเวทมนตร์เพื่อควบคุมลูกบอลเวทมนตร์ในอากาศเป็นเทคนิคขั้นสูง ซึ่งไม่ได้อยู่ในหลักสูตรการสอนของนักเรียนชั้นปีหนึ่ง
ดังนั้น หากพวกเขาต้องการขยับลูกบอลเวทมนตร์ พวกเขาต้องผลักมันด้วยร่างกายเท่านั้น
เรินต์เกนให้สัญญาณ “ปี๊ด! เริ่มเตรียมตัว”
ดาร์กดึง [สัตว์อสูรมายา: อีบุย] ออกจากซองการ์ด จับมันไว้ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลาง และเข้าสู่ขั้นตอนเตรียมการ
เรินต์เกนให้สัญญาณต่อ “เริ่มนับถอยหลังสู่การประลองสามสิบวินาที!”
เรินต์เกนนับ “…3 2 1 เริ่มได้!”
ช่วงเวลาการประลองเริ่มต้นขึ้น
“ถึงตาฉันแล้ว! อีบุย จงออกมา!”
ดาร์กยกการ์ดเวทมนตร์ขึ้นมาทันที และในวินาทีที่แปดของช่วงการประลอง เขาก็อัญเชิญสัตว์อสูรมายาได้สำเร็จ!
อีบุยหล่นลงกับพื้นเบา ๆ แล้วออกวิ่งดุจลมกระโชกแรง
แค่วินาทีที่สิบสองนับตั้งแต่เริ่มประลอง มันก็วิ่งข้ามสนามต่อสู้ที่มีความกว้างเพียงสิบเมตร และใช้อุ้งเท้าของมันตบลูกบอลเวทมนตร์ที่ลอยอยู่บนพื้น!
“วี้?”
อีบุยเอียงคอและมองไปที่เด็กหญิงซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม จากนั้นอีบุยก็แสดงท่าทางน่ารักออกมา
แล้วมันก็ตีลูกบอลสี่ครั้งติดต่อกัน
เด็กสาวผมเปียนิ่งอึ้งกับความน่ารักของมัน และพลังเวทมนตร์ของเธอก็ถูกขัดจังหวะ เมื่อรู้ตัว เธอก็รีบเริ่มอัญเชิญสัตว์อสูรมายาของตัวเองเป็นครั้งที่สอง
อีบุยรอเธออัญเชิญสัตว์อสูรมายาอย่างอดทน จากนั้นก็โจมตีลูกบอลเวทมนตร์ครั้งสุดท้าย
“การประลองจบลงแล้ว!”
“ผู้ชนะคือ ดาร์ก เดม่อน”
ดาร์กถอนหายใจ เก็บการ์ดแล้วหันหลังกลับ
‘ง่ายจัง’
‘น่าเบื่อแฮะ’
บทที่ 41 การประลองครั้งแรกของดาร์ก เดม่อน
‘ใคร?’
เวอร์เธอร์ตกใจมากจนเดินเลี่ยงแท่นบูชาโดยไม่รู้ตัวแล้วไปซ่อนอยู่หลังรูปปั้นของเทพธิดา
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น
ดูเหมือนว่ามีคนมามากกว่าหนึ่งคน
จู่ ๆ เวอร์เธอร์ก็รู้สึกเสียใจอย่างอธิบายไม่ได้ ‘ปรากฏว่าไม่ใช่คนเดียวที่ถูกเลือก’
ความรู้สึกแบบนี้ มันเหมือนกับของเล่นที่ในที่สุดเขาก็ได้มาแต่กลับถูกคนอื่นเอาไปเล่น ไม่ใช่เล่นแค่คนเดียว แต่เล่นกันหลายคนด้วย!
อึก!
เขาไม่กล้าวู่วาม ทำได้เพียงฟังเสียงเพื่อคาดเดาการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย
มีคนอย่างน้อยห้าหรือหกคนเข้ามาในห้องโถงนี้ เสียงของพวกเขาเบามาก ไม่รู้ว่ากำลังพูดถึงอะไร แต่ท้ายที่สุด ดูเหมือนว่าพวกเขาจะวางอะไรบางอย่างไว้ข้างหน้ารูปปั้นของเทพธิดาและร่ายเวทมนตร์สักคาถา
บรรยากาศตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ
ทั้งหมดต้องขอบคุณพลังใจอันแข็งแกร่งของเขาที่ยังสามารถสงบสติอารมณ์ได้ หากเป็นโรเบิร์ตมาอยู่ตรงนี้ เขาคงตะโกนออกมาด้วยความตกใจไปแล้ว
เมื่อร่ายคาถาถึงระดับหนึ่ง แสงสีขาวบนร่างของเทพธิดาก็เริ่มไหลราวกับน้ำและสว่างขึ้นเรื่อย ๆ
เวอร์เธอร์เงยหน้าขึ้นและพบว่าร่องรอยเสียหายเล็ก ๆ น้อย ๆ บนรูปปั้นได้รับการซ่อมแซมอย่างระมัดระวัง!
‘ไม่ใช่ว่าพวกเขาเป็นแค่กลุ่มช่างที่มาซ่อมรูปปั้นหรอกเหรอ?’
ความคิดนี้หายไปในพริบตา ตัวเขาเองก็ไม่เชื่อ
เมื่อร่ายคาถาจบลงแล้ว บรรยากาศก็เบาลงไปด้วยเล็กน้อย เสียงของกลุ่ม ‘ช่าง’ ก็ดังขึ้นเช่นกัน
แม้สุ้มเสียงจะแผ่วเบา แต่ตอนนี้เวอร์เธอร์ก็ได้ยินแล้วว่าพวกเขากำลังพูดถึงอะไร
“เผาพวกมันให้ตายสิ!”
“เพื่อเทพธิดา!”
“เราจะทำให้สำเร็จ!”
“นี่คือสงครามศักดิ์สิทธิ์!”
…
จันทราที่สว่างไสวหายไปและตอนเช้าก็ใกล้เข้ามา
แสงอรุณส่องลงมาจากฟากฟ้า เผยเส้นทางแห่งแสงสว่างแก่ผืนแผ่นดิน
ดาร์กเปิดประตูและเดินออกจากห้องนอน บางสิ่งที่ตกลงมาตามรอยขอบประตูทำให้เขานึกสนใจ
เมื่อมองลงมาแล้วเห็นสิ่งนั้นมุมปากของดาร์กก็กระตุก
เขาก้มลงไปหยิบการ์ดดอกไม้จากพื้น มองดูมันอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“ความเสน่หาก็เหมือนไหมที่ยาวหลายหมื่นไมล์ มันดาลาสีขาวบริสุทธิ์เป็นดอกไม้แห่งความรักที่นุ่มนวล ใครก็ตามที่เห็นดอกไม้นี้ก็จะปราศจากความชั่วร้าย”
ดาร์กผสานพลังเวทมนตร์เข้าไปในการ์ดดอกไม้ แล้วอีบุยตัวน้อยก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนการ์ด
…
ก่อนที่วิชาศึกษาสัตว์เวทมนตร์จะเริ่มขึ้น วันศุกร์นี้จึงมีแค่วิชาประลองวิชาเดียว
อย่างที่กล่าวไปว่า จุดประสงค์ของการเรียนวิชาประลองในเช้าวันศุกร์คือ เพื่อให้วิชาประลองนั้นอยู่ไปได้นานตราบเท่าที่ต้องการ…
คาบเรียนวันนี้ยังคงมีทั้งสี่บ้านเข้าร่วมด้วยเช่นเคย
สถานที่เรียนอยู่ที่โถงประลองสอง
ก่อนแปดนาฬิกา นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งเกือบทั้งหมดมาที่โถงประลองแล้ว ส่วนใหญ่ต่างตั้งหน้าตั้งตารอการประลองคู่แรกในชีวิตอย่างใจจดใจจ่อ
แม้ว่าสิ่งที่เรียกว่าโหมดระดับสูงนี้จะเป็นเพียงรูปแบบเรียบง่ายของการประลองของจริง แต่ก็ไม่มีใครสนใจมันมากขนาดนั้น
ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถเล่นได้ และสามารถตะโกนว่า ‘ถึงตาฉันแล้ว’ ได้ ก็จะทำให้นักเรียนปีหนึ่งมีความสุขไปอีกนาน
แน่นอนว่ายังมีคนที่ไม่มีความสุขอยู่ด้วย
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถสร้าง [สัตว์อสูรมายา] ได้ภายในหนึ่งสัปดาห์
ในคาบวิชาเวทมนตร์ของเมื่อวาน มีหลายคนถูกหักคะแนนเพราะทำการบ้านสร้างสัตว์อสูรมายาไม่สำเร็จ
หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเวอร์เธอร์ โรเบิร์ตก็คงเป็นหนึ่งในนั้น
ตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาเรียน ดาร์กก็หาม้านั่งสำหรับพักผ่อนรอแล้ว
ไม่นานนัก ไดแอนนากับโรสก็มานั่งข้างเขา
“ดาร์ก นายคิดว่าใครจะชนะในเกมวันนี้” ไดแอนนาถามอย่างตื่นเต้น
ดาร์กยิ้ม “มันเป็นแค่เกมในชั้นเรียนเท่านั้น”
“ฮ่า!” ไดแอนนาตบขาของเธอ “ยังไงก็เถอะ หมีขาวตัวใหญ่ของฉันก็กระหายการประลองอยู่แล้ว!”
โรสคว้าแขนเสื้อของไดแอนนาอย่างรวดเร็วและกระซิบว่า “ลดเสียงลงหน่อยสิ เมื่อคืนเธอบอกว่าอยากดูเป็นเด็กผู้หญิงมากกว่านี้ไม่ใช่เหรอ?”
ไดแอนนา (,,• ₃ •,,)
…
กริ่งเริ่มต้นคาบเรียนดังขึ้น
นักเรียนหยุดพูดคุยกัน และพวกเขาก็เริ่มเข้าแถวกันที่กลางโถง
ศาสตราจารย์โจนส์มาถึงช้ากว่าปกติครึ่งนาที
“วันนี้อากาศดี เรามาวิ่งอุ่นเครื่องกันก่อน”
อาจารย์สาวก็โหดเหี้ยมเช่นเคย ให้พวกเขาวิ่งรอบโถงอย่างไร้ความปรานี
เหล่านักเรียนซึ่งเต็มไปด้วยความคาดหวังในตอนนี้ต่างก็ท้อแท้
“ฉันก็คิดว่าวันนี้เราไม่ต้องวิ่งเสียอีก…”
แม้ว่านักเรียนจะบ่นกระปอดกระแปด แต่พวกเขาก็ยังต้องวิ่งเพราะคำสั่งของศาสตราจารย์
โรเบิร์ตรู้ดีว่าแต้มโบนัสเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้ของเขาได้ จึงไม่ได้กระตือรือร้นอีกต่อไป
เขาควบคุมความเร็วและวิ่งเคียงบ่าเคียงไหล่กับเวอร์เธอร์ ในที่สุด เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เวอร์เธอร์ เมื่อคืนนายไปไหนมา ตอนสามทุ่มฉันไม่เห็นนายเลย”
เวอร์เธอร์เปิดปากของเขาและพูดขึ้นหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง “โรเบิร์ต ร่างกายของฉันไม่แข็งแกร่งเท่านาย ไว้เรามาคุยกันหลังวิ่งได้ไหม?”
โรเบิร์ตตอบ “ก็ได้”
…
หลังจากผ่านไปสองรอบ นอกจากนักเรียนไม่กี่คนที่ยังมีแรง นักเรียนปีหนึ่งของทั้งสี่บ้านต่างหมดพลังกันไปหมด
เดิมทีโรเบิร์ตต้องการจะสอบสวนต่อ แต่ศาสตราจารย์โจนส์ก็พูดเสียงดังว่า “พวกที่ยังมีเรี่ยวแรงมาช่วยหน่อย”
โรเบิร์ตต้องเดินไปพร้อมกับนักเรียนที่ร่างกายแข็งแรงสองสามคนเพื่อช่วยศาสตราจารย์โจนส์จัดการสถานที่ด้วยความสิ้นหวัง
ใช้เวลาประมาณสิบนาทีหลังจากจัดการสถานที่จนเสร็จสิ้น
นักเรียนก็ฟื้นคืนสติและรวมตัวกันรอบศูนย์กลางของสนาม
ผ่านไปครู่หนึ่ง ศาสตราจารย์โจนส์จึงหยิบลูกบอลโลหะที่มีรูสามรู ซึ่งดูคล้ายกับลูกโบว์ลิงออกมาแล้วถือไว้ด้วยมือข้างเดียว
เธอมองดูนักเรียนทั้งสี่บ้านและถามอย่างเป็นกันเองว่า “มีใครรู้บ้างว่าฉันกำลังถืออะไรอยู่?”
เหล่าจอมเวทฝึกหัดต่างชำเลืองมองกันและกัน จากนั้น แทบจะทันทีพวกเขามากกว่าครึ่งก็ยกมือขึ้น!
คราวนี้แม้แต่เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตก็ยกมือ!
ศาสตราจารย์โจนส์สุ่มเลือกนักเรียนคนหนึ่ง
นักเรียนคนนั้นตอบอย่างตื่นเต้นว่า “มันคือลูกบอลเวทมนตร์ ศาสตราจารย์!”
ศาสตราจารย์โจนส์กล่าวด้วยความพอใจว่า “ใช่ มันคือลูกบอลเวทมนตร์ หัวใจหลักของการประลองด้วยเวทมนตร์”
จากนั้นเธอก็วางนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลางเข้าไปในรูทั้งสามของลูกบอลเวทมนตร์ แล้วกล่าวต่อ “ลูกบอลเวทมนตร์ หรือเรียกอีกอย่างว่า ลูกบอลประลองหรือลูกบอลชีวิต ตราบใดที่พลังเวทมนตร์ถูกป้อนไว้เช่นนี้ เธอจะสามารถสร้างบาเรียพลังชีวิตได้รอบสามร้อยหกสิบองศา สวาติ เธออธิบายเกี่ยวกับการจำแนกประเภทของบาเรียพลังชีวิตได้ไหม?”
“ได้ค่ะศาสตราจารย์”
ซาร่า สวาติก้าวออกจากกลุ่มทันที ผิวสีข้าวสาลีของเธอยังคงโดดเด่นมาจนถึงทุกวันนี้
“บาเรียพลังชีวิตของลูกบอลเวทมนตร์ โดยทั่วไปแบ่งออกเป็นห้าระดับ และความแข็งแกร่งของบาเรียที่สอดคล้องกันของแต่ละระดับนั้นก็แตกต่างกัน ค่าพลังเวทมนตร์ของบาเรียพลังชีวิตระดับแรกคือหนึ่งพันหน่วย ระดับที่สองคือสองพันหน่วย ระดับที่สาม สี่ และห้าคือสี่พันหน่วย แปดพันหน่วย และหนึ่งหมื่นหกพันหน่วยตามลำดับ! ในการประลองเวทมนตร์ หากบาเรียพลังชีวิตของลูกบอลเวทมนตร์ของฝ่ายตรงข้ามถูกทำลาย หรือฝ่ายตรงข้ามยอมแพ้ หรือฝ่ายตรงข้ามใช้การ์ดเวทมนตร์จนหมดก็ถือว่าได้รับชัยชนะ”
“ห้าคะแนนให้กับสวาติ”
ศาสตราจารย์โจนส์ใส่พลังเวทมนตร์เข้าไปในลูกบอลเวทมนตร์ จากนั้นบาเรียทรงกลมที่ประกอบด้วยรูปทรงหกเหลี่ยมหลายอันก็ปรากฏขึ้น
เธอค่อย ๆ ผลักมันไปข้างหน้า แล้วลูกบอลเวทมนตร์ที่เป็นโลหะทั้งหมดก็ลอยไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ
ลูกบอลเวทมนตร์บินผ่านหัวของนักเรียนไป แล้วจึงกลับมาที่มือของศาสตราจารย์โจนส์
เธอกล่าวว่า “ในการประลองอย่างเป็นทางการ วิธีจัดการลูกบอลเวทมนตร์เพื่อหลบหลีกการโจมตีของคู่ต่อสู้ก็เป็นเทคนิคที่ต้องเรียนรู้เช่นกัน แน่นอนว่าเราไม่มีข้อกำหนดมากมายสำหรับการประลองในวันนี้ และสิ่งที่เราจะใช้คือ ลูกบอลเวทมนตร์ฝึกหัดเท่านั้น ซึ่งค่าพลังเวทมนตร์ของพลังชีวิตตั้งไว้ที่ห้าร้อยหน่วย”
บทที่ 40 ดาร์กและเวอร์เธอร์กำลังเดินไปคนละเส้นทาง
เมื่อเห็น [ราคะ -1] ที่ลอยผ่านสายตาไปก็ทำให้ดาร์กมั่นใจว่าข้อสงสัยของเขานั้นไม่ผิด
การ์ดดอกไม้ใบนี้สามารถรู้ถึงความคิดของผู้คนผ่านการถ่ายทอดพลังเวทมนตร์ได้
สิ่งที่เรียกว่า ‘ทำนายดวงชะตา’ ไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกเสียจากแค่ดึง ‘บุคคลที่ผู้คนคิดถึงในใจ’ ขณะใช้การ์ดออกจากความคิด
การให้การ์ดดอกไม้มีแนวคิดเรื่อง ‘การทำนายความรัก’ ช่วยให้ผู้คนนึกถึงคนที่พวกเขาชอบโดยธรรมชาติเมื่อใช้มัน แล้วบุคคลนั้นก็จะปรากฏขึ้นมาบนการ์ด
‘คนที่บุคคลนั้นชอบหรือรัก’ ก็ทำตามกลไกนี้เดียวกัน
มันเป็นเพียงกลอุบายเล็กน้อย
เพราะไม่เป็นอันตรายจึงไม่ทำให้คนระแวดระวัง
บนพื้นผิวการ์ด มันเป็นแค่ของเล่นชิ้นเล็ก ๆ ที่น่าสนใจมาก
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะไม่เรียบง่ายอย่างที่คิดไว้เสียแล้ว
…
ดาร์กใช้ปากกาพลังเวทเพื่อทดสอบอีกครั้งและยืนยันว่าการ์ดดอกกุหลาบสีดำได้รับความเสียหายจริง ๆ เขาจึงหยิบสมุดบันทึกออกมาจด
1. การ์ดดอกไม้สามารถดูดซับความคิดของผู้คนผ่านการถ่ายโอนพลังเวทมนตร์
2. ต้องมีผู้ที่ใส่พลังเวทมนตร์มากเกินไปโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับไม่มีใครพูดเรื่องนี้จนถึงตอนนี้ แสดงว่าการ์ดดอกไม้มีการตอบสนองพิเศษต่อพลังเวทมนตร์ของคนบางคนเท่านั้น และในตอนนี้มีเพียงฉันเท่านั้น
3. การ์ดดอกไม้สามารถดูดซับค่ามหาบาปได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าลำดับรากฐานของมันนั้นสูงมาก
4. คนที่ทำการ์ดดอกไม้แบบนี้ต้องเป็นคนระดับสูง
5. ฉันต้องการมัน
…
ไม่ว่าใครจะเป็นคนทำการ์ดดอกไม้นี้และเพื่อจุดประสงค์อะไร ความสามารถในการดูดซับ [ราคะ] ของการ์ดนั้นก็ไม่เปลี่ยนแปลง!
ถ้าสามารถรวบรวมการ์ดดอกไม้ได้เพียงพอ เขาก็จะสามารถพยายามเพิ่มค่า [ราคะ] ให้มากกว่าหนึ่งร้อยหน่วย เพื่อสร้างการ์ดเมจิกหมวดราคะได้
หัวใจของดาร์กเริ่มกระสับกระส่าย
เขาเกือบจะสูญเสียการควบคุมค่า [โลภะ] ของตัวเองไป
ดาร์กทำให้จิตใจของเขาสงบลงอย่างรวดเร็ว ลงมือเก็บกวาดส่วนที่เหลือของการ์ดดอกไม้ และบรรจุมันไว้ในถุงปิดผนึก
…
ในขณะเดียวกัน เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตกำลังฝึกประลองกันที่ทางเดินในปราสาท
สัตว์อสูรมายาของเวอร์เธอร์เป็นกวางธาตุแสง
เมื่อมันยกศีรษะขึ้น ความสูงจะอยู่ที่ประมาณสองเมตร เขากวางแสนสง่างามของมันแตกแขนงราวกับกิ่งไม้ ทั้งยังให้พลังโจมตีที่สูงกว่าสัตว์อสูรมายาทั่วไปมาก
แต่เนื่องจากแก่นแท้ยังเป็นสัตว์อสูรมายา พลังเวทมนตร์ของมันจึงมีเพียงหนึ่งร้อยหน่วยเท่านั้น
[ชื่อการ์ด: สัตว์อสูรมายา]
[ประเภท: การ์ดวิญญาณ]
[ระดับ: ✪ ]
[เผ่าพันธุ์: ประเภทนกและสัตว์อสูร]
[คุณสมบัติ: แสง]
[พลังงานเวทมนตร์: 100 หน่วย]
[พลังโจมตี: 200 หน่วย]
[พลังป้องกัน: 100 หน่วย]
[ท่าไม้ตาย: แสงสว่างแห่งจิตวิญญาณ]
…
แม้ว่าข้อมูลความสามารถ [สัตว์อสูรมายา: อีบุย] ของดาร์กจะไม่ได้แสดงอยู่บนการ์ด แต่ [สัตว์อสูรมายา: กวาง] ของเวอร์เธอร์และ [สัตว์อสูรมายา: ปราสาท] ของโรเบิร์ตนั้นกลับปรากฏข้อมูลที่สมบูรณ์อยู่บนการ์ด
[สัตว์อสูรมายา] ของเด็กทั้งสามคนนั้นแตกต่างจากสัตว์อสูรมายาทั่วไป
เวอร์เธอร์ไม่ได้มั่นใจอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าเรื่องจะคว้าชัยชนะในคาบเรียนก็จริง
แต่หลังจากซ้อมกับโรเบิร์ตได้สักพัก เขาก็ค่อย ๆ พบว่าความคิดของตนไร้เดียงสาเกินไป
ปราสาทของโรเบิร์ตนั้นแข็งแกร่งมาก!
แม้แต่พลังโจมตีสองร้อยหน่วยของกวางก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับมันได้!
หลังจากพยายามอยู่หลายครั้งแต่ไม่เป็นผล เวอร์เธอร์ก็พูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “มันไม่ยุติธรรมเลย โรเบิร์ต”
โรเบิร์ตยิ้มอย่างมีชัย ไม่แสดงอาการท้อแท้อีกต่อไป “ไม่ เวอร์เธอร์ นี่คือความจริง! สามร้อยมากกว่าสองร้อย ใครก็รู้!”
เวอร์เธอร์ขมวดคิ้ว “แต่ฉันจำได้ว่าศาสตราจารย์โจนส์เคยพูดว่าข้อมูลบนการ์ดวิญญาณสามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงได้เท่านั้น ไม่คิดว่าความจริงจะมีแตกต่างอยู่มาก”
โรเบิร์ตพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ฉันเคี้ยวยากกว่าที่นายคิดไงล่ะ! ฮ่า ๆๆ!”
“สู้ต่อไม่ได้แล้ว!”
เวอร์เธอร์ถอนหายใจ “คืนนี้พอแค่นี้แล้วกัน ฉันอยากไปฝึกเองต่อด้วย”
แล้วทั้งสองก็แยกย้ายกัน
…
เมื่อโรเบิร์ตเดินไปรอบ ๆ บริเวณข้างนอกก็เห็นว่านักเรียนชั้นปีหนึ่งหลายคนกำลังฝึกประลองกัน แต่พวกเขาก็แค่เล่นกันอย่างไม่จริงจัง เมื่อเห็นเช่นนั้นเด็กชายจึงยิ้มออกมาอย่างบอกไม่ถูก
…
เวอร์เธอร์ดึงการ์ดดอกไม้สีม่วงแดงออกมาหลังจากแยกกับโรเบิร์ต
เมื่อเติมพลังเวทมนตร์ลงไป ใบหน้าของบุคคลนั้นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งในการ์ดดอกไม้
สีหน้าของเวอร์เธอร์ดูงุนงงเล็กน้อย ทว่าความผิดปกติที่การ์ดแสดงให้เห็นในห้องสมุด ทำให้เขาตระหนักได้ว่าการ์ดดอกไม้นี้ไม่ธรรมดา
แต่เขาไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไรน่ะสิ?
เขาควรบอกศาสตราจารย์หรือไม่?
หรือเขาควรจะสำรวจมันด้วยตัวเอง?
ถ้าเขาบอกศาสตราจารย์ ความลับของเขาจะถูกเปิดเผยใช่ไหม?
เด็กชายตัดสินใจไม่ได้
เวอร์เธอร์ดึง ‘สู่ห้วงลึก’ ที่เขาพกติดตัวออกมา
เพราะคืนนี้ยังเป็นคืนจันทร์เต็มดวง ดังนั้นเขาจึงสงสัยว่าตนเองจะยังเห็นลูกศรหรือไม่
เด็กชายเปิดปกหนังสือแล้วก้าวออกจากปราสาทเพื่ออาบแสงจันทร์ พลันแถวข้อความเริ่มบิดเบี้ยวและหมอกสีชมพูก็ลอยขึ้นมาจากหน้าหนังสือ
แต่พวกมันไม่ได้มาบรรจบกันเป็นรูปร่างลูกศร
กลับกัน มันลอยไปทางการ์ดสีม่วงในมือของเขาแทน!
เวอร์เธอร์ตกใจและแยกทั้งสองอย่างออกจากกันโดยไม่รู้ตัว
แต่หมอกสีชมพูก็เร่งความเร็วขึ้น และพุ่งเข้าไปในการ์ดดอกไม้ทันที!
ตอนนั้นเอง การ์ดดอกไม้ก็เปลี่ยนไปทันที ดอกไม้สีม่วงบนการ์ดเริ่มบานทีละดอก และปล่อยกลิ่นหอมฉุนของมันออกมา
แล้วภาพเหมือนของรุ่นพี่แพนดอร่าก็มีชีวิตขึ้นมาทันที!
รุ่นพี่สาวดึงร่างของเธอครึ่งหนึ่งออกมาจากการ์ด จากนั้นก็ยกมือแสนเรียวบางขึ้นมารวบผมไว้ด้านหลังใบหูของเธอ เผยให้เห็นลำคอระหงที่นวลตาและบอบบาง
ดวงตาของเวอร์เธอร์เบิกกว้าง เขามองดูรุ่นพี่แพนดอร่าที่เหมือนกับคนจริง ๆ จนตกตะลึง!
…
ไม่กี่นาทีต่อมา
เวอร์เธอร์ใส่ ‘สู่ห้วงลึก’ กลับเข้าไปในกระเป๋านักเรียน เหลือแต่การ์ดดอกไม้ที่ถูกหมอกสีชมพูห่อหุ้มไว้ในมือ
เขาวางการ์ดดอกไม้ไว้ในฝ่ามือ และมองลงไปที่รุ่นพี่แพนดอร่าซึ่งเปลี่ยนท่าทางอยู่ในการ์ดดอกไม้เป็นครั้งคราว เขากระซิบว่า “ทางนี้หรือเปล่า?”
รุ่นพี่แพนดอร่าหัวเราะเบา ๆ และพยักหน้าเล็กน้อย
เสียงหัวเราะของเธอช่างอ่อนโยนและใสกังวาน ราวกับว่าน้ำพุไร้มลทินหลั่งไหลเข้าสู่หัวใจของเวอร์เธอร์
เวอร์เธอร์ทำตามการชี้นำของเธออย่างหมกมุ่น
ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็มาถึงที่ที่เขามาเมื่อคืน เวอร์เธอร์เดินผ่านรูปปั้นของจอมเวทอย่างเร่งรีบ แล้วเลี้ยวไปทางแยกอีกทางหนึ่ง
การชี้นำของรุ่นพี่แพนดอร่านั้นชัดเจนยิ่งกว่าหมอกที่เวอร์เธอร์เคยเห็นเมื่อวานนี้
เขาเข้าไปในเส้นทางลับและเร่งฝีเท้าของตัวเอง ไม่นานหลังจากนั้นก็มาถึงห้องโถง
เป็นสถานที่ลับซึ่งซ่อนอยู่ในส่วนลึกของปราสาท ห้องโถงนี้มีขนาดประมาณห้องเรียนบรรยาย นอกจากนี้ยังมีเสาหินสองเสาตั้งอยู่ตรงกลาง และมันถูกแกะสลักด้วยลวดลายการระบำของเทพธิดา
เบื้องหน้าเป็นแท่นบูชาสูง
และบนแท่นบูชามีรูปปั้นของเทพธิดาอยู่!
…
เมื่อเวอร์เธอร์ก้าวเข้ามา คบไฟทั้งสองด้านของห้องโถงก็สว่างขึ้นโดยอัตโนมัติ ส่องสว่างไปทั่วทุกมุมของห้องโถง
เด็กชายมองไปที่รูปปั้นอย่างประหม่า
รูปปั้นตรงหน้าแกะสลักจากหยกขาวละเอียดอ่อน และฝุ่นแห่งประวัติศาสตร์ก็ไม่ทิ้งร่องรอยไว้มากนัก
เขาเอามือประสานกันตรงหน้าอก หลับตา และพยักหน้าเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังสวดอ้อนวอนอะไรบางอย่าง
แสงจากเปลวไฟส่องสว่างอยู่บนนั้นสะท้อนแสงสีขาวจนราวกับเป็นดวงจันทร์ที่สุกสกาว
จู่ ๆ เวอร์เธอร์ก็นึกขึ้นได้ว่า พอเห็นอะไรแบบนี้ เขารู้สึกเหมือนจิตใจตัวเองถูกดึงดูดออกไป
มันศักดิ์สิทธิ์และสวยงามมาก
กึก!
จู่ ๆ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น
บทที่ 39 ดาร์ก เดม่อนไม่รู้ว่าคู่รักคืออะไร
ดาร์กถือการ์ดดอกไม้ไว้ในมือพร้อมกับมองเข้าไปใกล้ ๆ
หากสิ่งนี้สามารถเป็นที่นิยมได้ มันคงไม่ใช่ของระดับต่ำอย่างแน่นอน
วัสดุของการ์ดดอกไม้นั้นคล้ายกับของการ์ดเวทมนตร์ อีกทั้งเจ้าดอกไม้ที่แสดงให้เห็นก็ดูสมจริง ให้ความรู้สึกราวกับจะบานได้ทุกเมื่อ
การ์ดดอกไม้ของไดแอนนาเป็นลายดอกซากุระ ในขณะที่การ์ดที่อยู่ในมือของดาร์กเป็นดอกกุหลาบสีดำ
นอกจากนี้ การ์ดดอกไม้ของศาสตราจารย์ลิลลี่ยังเป็นแม่มดสีคราม
ดาร์กเห็นว่าการ์ดดอกไม้ของเอ็มม่าคือ ดอกลิลลี่
ดอกซากุระ เป็นสัญลักษณ์ของความรักและความหวัง แสดงถึงความรักที่สง่างาม เรียบง่าย และบริสุทธิ์
กุหลาบดำ เป็นสัญลักษณ์ของความรักที่สิ้นหวัง เต็มไปด้วยความเกลียดชังและการสาปแช่ง ทั้งยังแสดงถึงความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะควบคุมบงการชีวิตของคนรัก
แม่มดสีคราม เป็นตัวแทนของความรักที่บริสุทธิ์ คำอธิษฐานซึ่งวอนขอให้ปาฏิหาริย์ที่เป็นไปไม่ได้เกิดขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งหมายความได้ว่า การได้พบคุณคือเรื่องปาฏิหาริย์
ส่วนดอกลิลลี่นั้น หมายถึงความสุขเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี หรือเป็นความสุขที่ยิ่งยืนและยาวนาน ซึ่งนับเป็นพรอันล้ำค่าสำหรับคนรักและครอบครัว
การ์ดดอกไม้นี้ใช้ดอกไม้มากมายหลากหลายชนิด ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้การ์ดดอกไม้แต่ละใบมีความหมายที่ต่างกันเท่านั้น ทว่ามันยังเพิ่มองค์ประกอบการสะสมพลังเวทอีกด้วย
นอกจากรูปลักษณ์ที่สวยงามแล้ว การทำงานของการ์ดดอกไม้ยังดีมากเช่นกัน
การใส่พลังเวทมนตร์เข้าไปทำให้ดอกไม้ ‘มีชีวิต’ และปล่อยกลิ่นหอมของมันออกมาได้
โดยเฉพาะเวทมนตร์ที่ทำให้คุณเห็น ‘คนในดวงใจ’ หรือแม้แต่คนที่ ‘เขาคนนั้นชอบ’ ก็ยังได้!
นี่เป็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักเรียนสถาบันเซนต์แมเรียนซึ่งกำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น!
หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดาร์กก็ผสานพลังเวทมนตร์ จากนั้นสะบัดเบา ๆ ทำให้กุหลาบสีดำบนการ์ดกระเด็นออกไปในทันที และกลีบดอกไม้ก็ปลิวละล่องไปตามสายลม
เมื่อเอื้อมมือออกไปจับดอกกุหลาบสีดำ เขาก็รู้สึกเย็นมือเล็กน้อยขณะถือมันไว้ ก่อนที่มันจะสลายหายไปราวกับน้ำ
ตอนนั้นเอง ดาร์กก็เงยหน้าขึ้น!
ภาพตรงหน้ากลับเป็นไดแอนนาที่ขยับเข้ามาใกล้มากจนจมูกของเธอแทบจะแตะกับจมูกของเขา
กลิ่นนมหอม ๆ ฟุ้งเข้าไปในโพรงจมูกของดาร์ก
‘อืม เด็กคนนี้แอบกินทอฟฟี่ในห้องสมุด!’
ดาร์กซึ่งจับได้ว่าไดแอนนาก่ออาชญากรรมก็จิ้มหน้าผากของเธอแล้วดันให้ห่างออกไปทันที
“~~~~(>_<)~~~~”
แม้ไดแอนนาจะผละออกไปอย่างไม่มีความสุข แต่ดวงตาของเธอยังคงจับจ้องไปที่ [การ์ดดูดวงความรัก] ในมือของดาร์ก
ดาร์กไม่สนใจ แต่เขาอยากจะดูว่า ‘คนที่ชอบ’ ของตัวเองเป็นใคร
ปรากฏว่าคนคนนั้นคือ อีบุย! o( =•ω•= )m
“เอ๊ะ?”
ดวงตาของไดแอนนาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
ดาร์กส่ายหัวและยิ้ม “ดูเหมือนว่า [การ์ดดูดวงความรัก] ใบนี้จะไม่น่าเชื่อถือนัก”
ทว่าเมื่อเขาใส่พลังเวทมนตร์เข้าไป สายตาก็สังเกตเห็นบางอย่างแปลก ๆ!
“อันนี้ให้ฉันได้ไหม?”
ดาร์กเงยหน้าขึ้นแล้วถาม
ไดแอนนาพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ดาร์ก นายชอบสปิริตของตัวเองจริง ๆ!”
เด็กชายพยักหน้าเห็นด้วย “ท้ายที่สุดแล้ว มันก็เป็นการ์ดวิญญาณใบแรกของฉัน แต่ดูเหมือนว่าเจ้าการ์ดดอกไม้ทำนายดวงชะตาใบนี้จะไม่ได้บอกถึงคนที่ชอบจริง ๆ หรอก กลับกันแล้วฉันคิดว่ามันเป็นเพียงกลอุบายหลอกลวงเสียมากกว่า”
“อย่างนั้นเหรอ?”
ไดแอนนาเอียงศีรษะและกลับมามีความสุขอีกครั้ง
…
อีกด้านของห้องอ่านหนังสือ
เวอร์เธอร์กำลังหัวคิ้วขมวด พลางกัดปากกาขณะทำการบ้าน
เป็นโรเบิร์ตเสียอีกที่ย่ำแย่กว่าเขา
ผลที่ตามมาของการไม่ตั้งใจฟังในชั้นเรียนนั้นค่อย ๆ สั่งสมมากขึ้น เมื่อการบ้านยากขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดก็มีปัญหาที่เขาไม่สามารถหาคำตอบได้ ไม่ว่าจะคิดไปมากเพียงใดก็ตาม
เวอร์เธอร์วางปากกาลง แล้วหยิบการ์ดดอกไม้ออกมาจากช่องว่างในหนังสือเรียน
การ์ดดอกไม้ใบนี้แถมมากับตอนที่พวกเขาซื้อหมากรุกเวทมนตร์
ตัวการ์ดดอกไม้ประดับด้วยไลแลคสีแดง อันสื่อถึงความรู้สึกของรักแรกพบ
เมื่อใส่พลังเวทมนตร์เข้าไปอย่างเงียบ ๆ ดวงหน้าแสนงดงามและยุติธรรมก็พลันปรากฏขึ้นบนการ์ด
เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ของวัยเยาว์นั้นไร้เดียงสา
ตั้งแต่แรก เวอร์เธอร์แค่สนใจเพราะเธอมีความคล้ายคลึงกับแม่ของเขาเท่านั้น
แต่ต่อมามันก็ค่อย ๆ กลายเป็นความรัก
…
โรเบิร์ตเหลือบมองและพึมพำ “ถ้านายชอบเธอมากขนาดนั้น ทำไมไม่ไปขอเธอคบล่ะ?”
เวอร์เธอร์หน้าแดง กำลังจะบอกว่าแค่ขอมองดูเธอจากระยะไกลตัวเองก็พอใจแล้ว ทว่าใบหน้าสาวสวยบนการ์ดกลับแลบลิ้นออกมาและเลียที่มุมปากของเธอ
“เหวอ!” เวอร์เธอร์กรีดร้องขึ้นมา
ภายในห้องสมุดที่ต้องการความเงียบ สุ้มเสียงของเขาพลันดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายได้ในทันที
โรเบิร์ตถามเสียงต่ำ “เป็นอะไรไป?”
“ไม่…ไม่มีอะไร”
เวอร์เธอร์หน้าขึ้นสีและนั่งลง มือของเขากำการ์ดดอกไม้ไว้เงียบ ๆ
“เลิกทำการบ้านแล้วไปซ้อมประลองกันเถอะ พรุ่งนี้คือความหวังสุดท้ายของเราแล้ว!”
โรเบิร์ตรอคอยช่วงเวลานี้ เขารีบปิดตำรากับการบ้านแล้วยัดใส่กระเป๋านักเรียนในทันที
จากนั้นทั้งสองก็ออกจากห้องสมุดอย่างรวดเร็ว
ตอนเห็นเวลาที่เคาน์เตอร์ หัวใจของเวอร์เธอร์แทบพุ่งออกมา
…
คืนนั้น
ดาร์กออกจากห้องสมุดก่อนเวลาอันควร
เขาค่อนข้างกังวลกับความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในตอนที่ใส่พลังเวทมนตร์ลงการ์ดดอกไม้
แต่ไม่สะดวกจะทดลองในห้องสมุดจริง ๆ
ดาร์กจึงทำได้แค่กลับไปที่หอพักก่อนเท่านั้น
เมื่อเขาเดินออกจากห้องสมุด ท้องฟ้าก็มืดแล้ว
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรี จึงพบว่าคืนนี้ก็ยังเป็นคืนจันทร์เต็มดวง
พอกลับมาถึงหอพัก เขาก็ล็อกประตูแล้ววางกระเป๋านักเรียนลง จากนั้นจึงหยิบการ์ดดอกกุหลาบสีดำออกมาอีกครั้ง
‘มีบางอย่างไม่ถูกต้อง’
ดาร์กวางการ์ดดอกไม้ลงบนโต๊ะ หัวคิ้วขมวดอย่างครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะหยิบปากกาพลังเวทออกมาจากลิ้นชัก
การใช้ปากกาพลังเวทเป็นสื่อกลางในการถ่ายโอนพลังเวทมนตร์ จะทำให้สามารถหลีกเลี่ยงอันตรายบางอย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพและสังเกตสิ่งต่าง ๆ ได้สะดวกยิ่งขึ้น
ดาร์กถอยออกไปเล็กน้อย เขายื่นมือออกมา จากนั้นก็วางปากกาพลังเวทบนการ์ดดอกไม้ แล้วส่งพลังเวทมนตร์ของตัวเองลงไป
ปริมาณที่ใช้ไม่เหมือนกับที่เขาทำในห้องสมุด แต่เป็นการใส่พลังลงไปอย่างต่อเนื่อง!
ในไม่ช้า ดอกกุหลาบสีดำบนการ์ดก็หายไป ภายใต้การถ่ายพลังเวทมนตร์อย่างต่อเนื่องและ ‘คนในดวงใจ’ ก็ปรากฏขึ้นบนการ์ด
ครั้งนี้ภาพที่ออกมายังคงเป็นอีบุย
แต่เมื่อดาร์กเปลี่ยนความคิดในใจ อีบุยก็หายไป
คราวนี้คนที่ปรากฏตัวบนการ์ดกลายเป็น ‘วัลคีรี อัลเวตต์’ ซึ่งอยู่ที่คฤหาสน์ดยุกอันแสนห่างไกล
น่าแปลกที่อัลเวตต์เป็นหญิงสาวผมบลอนด์ผู้อ่อนโยน
หากไม่มีรูปปั้นสลักไว้ทั่วอาณาจักร ผู้คนคงคิดว่าเธอคืออัญมณีล้ำค่าของตระกูลขุนนางชั้นสูง
เมื่อดาร์กเปลี่ยนความคิดอีกครั้ง ภาพเหมือนของมารดาก็ค่อย ๆ หายไป
คราวนี้ ไดแอนนาปรากฏตัวบนการ์ด
จากนั้นจึงเป็นโรส แพนดอร่า ศาสตราจารย์ลิลลี่…
ใบหน้าจำนวนมากส่องประกายไปทั่วการ์ด และพลังเวทมนตร์ก็ถูกใส่เข้าไปในการ์ดดอกไม้มากขึ้นเรื่อย ๆ
ตอนนั้นเอง กลีบของดอกกุหลาบสีดำพลันร่วงหล่นก่อนจะแตกออกเป็นเส้นด้ายเรียวยาวสีดำ
เส้นด้ายสีดำเหล่านั้นกลายเป็นเถาวัลย์หนามขึ้นมา มันพันกันจนเป็นเกลียวเหมือนกับงูตัวเล็ก
เมื่อดาร์กยกปากกาพลังเวทขึ้นมาก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เถาวัลย์หนามสีดำแหวกออกมาจากการ์ด ปลายเถาวัลย์กลายเป็นหัวงูและพุ่งเข้าใส่เขาทันที!
“เดมิ ดาร์ท!”
กระบอกฉีดยาหัวฉลามสามกระบอกพุ่งออกไปทันที มันทะลุผ่านหัวงูในพริบตา และตอกการ์ดดอกไม้ที่กำลังจะขยับบนโต๊ะ!
[ราคะ -1]
บทที่ 38 เรื่องราวความรักวัยเยาว์ของสถาบันเซนต์แมเรียนมีปัญหาเสียจริง
เวอร์เธอร์ กาวด์ผลักภาพจิตรกรรมฝาผนังออกอย่างระมัดระวังและปรากฏตัวขึ้นหลังกำแพง
เขารู้สึกได้ราง ๆ ว่ามีใครบางคนกำลังตามเขาอยู่ แต่เมื่อกำลังจะหันกลับไปดู ลูกศรสีชมพูก็ชี้ไปที่กำแพง
เหนือลูกศรมีคำว่า ‘พลังเวทมนตร์’ ปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ
เวอร์เธอร์ใช้มือซ้ายส่งพลังเวทมนตร์ออกไป กำแพงพลันกลายเป็นระลอกคลื่นเหมือนน้ำ
เขากัดฟันเดินเข้าไปในทางลับที่ถูกซ่อนไว้ในทันที
ทั้งสองฝั่งของทางลับ มีคบไฟอยู่ทุกสองสามเมตร
เมื่อมีคนอยู่ใกล้ คบเพลิงก็จะถูกจุดขึ้นเพื่อแสดงเส้นทาง
บนทางลับมีเส้นทางคดเคี้ยวมากมาย และยังมีทางแยกอีกหลายทาง บางครั้งก็คดเคี้ยวราวกับงู บางครั้งก็ขึ้น ๆ ลง ๆ ทำให้ประสาทสัมผัสของเวอร์เธอร์สับสน เขาไม่สามารถบอกได้เลยว่าตัวเองกำลังจะขึ้นหรือลง
หลังจากที่ออกมาได้ในที่สุด สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเขาคือ ทิวทัศน์ที่เขาสามารถมองเห็นทุกส่วนของปราสาทได้
และเมื่อเดินไปอีกไม่กี่ก้าว เขาก็เข้าสู่เส้นทางลับอีกแห่ง
หลังจากวนซ้ำสองสามครั้ง เวอร์เธอร์ก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ
ขณะที่หมอกบนหน้าหนังสือค่อย ๆ หายไป ลูกศรก็พร่าเลือน และ ‘มุ่งสู่ห้วงลึก’ ก็กลับไปนิ่งเงียบ
เวอร์เธอร์รู้สึกเหมือนถูกหลอก!
…
คล้อยหลังจากนั้น ต้องใช้เวลาครึ่งชั่วโมงเต็มกว่าที่เวอร์เธอร์จะหนีจากทางลับที่เหมือนเขาวงกตและกลับมายังห้องส่วนกลางของบ้านอัศวินได้
โรเบิร์ตยังคงเร่งรีบสร้าง [สัตว์อสูรมายา]
และบังเอิญว่ามีเพื่อนนักเรียนปีเดียวกันสนใจ เขาจึงแนะนำคำสองสามคำ
อาจเป็นเพราะว่าตอนนี้โรเบิร์ตเข้าใจความยากและคุณค่าของการสะสมคะแนน เขาจึงระมัดระวังในทุกขั้นตอน ดังนั้นกระบวนการสร้างจึงค่อนข้างราบรื่น ตอนนี้เขาได้มาถึงจุดสำคัญที่สุดและขั้นตอนที่ยากที่สุดด้วย นั่นคือการวาดวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1
เวอร์เธอร์มองดูเงียบ ๆ ไม่กล้าขัดจังหวะ
ในขณะที่วาดวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์ที่แม้แต่ไดแอนนาก็สามารถวาดได้สำเร็จ โรเบิร์ตรู้สึกประหม่าอย่างยิ่ง!
เป็นผลให้นิ้วของเขาสั่นและปากกาของเขาเคลื่อนออกไป เขาทำพลาด!
“ไม่–”
“อย่ากังวล โรเบิร์ต นายยังไปต่อได้!”
เวอร์เธอร์รีบวิ่งไปจับมือเขา!
โรเบิร์ตมีเหงื่อออกมาก แต่ด้วยความช่วยเหลือของเวอร์เธอร์ เขาก็ควบคุมปากกาได้สำเร็จและยังคงวาดเส้นต่อไป
แม้ว่าเส้นที่เพิ่มมาจะสะดุดตามาก แต่ในที่สุดเขาก็วาดวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1 ทั้งหมดเสร็จสิ้น!
วงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์เปล่งแสงออกมาได้สำเร็จ
โรเบิร์ตสั่นสะท้านอย่างประหม่า ดังนั้นหลังจากพยายามหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็สามารถหยิบขนของสัตว์อสูรมายาได้อย่างราบรื่น และใส่เข้าไปในวงแหวนเวทมนตร์
ขณะที่ขนค่อย ๆ กลืนไปกับแสงสีทองของวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1 แสงก็สว่างขึ้น
เส้นไหมสีทองถูกแยกออกจากวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1 ห่อรอบการ์ดเวทมนตร์และสร้างรังไหมสีทองในที่สุด!
…
เวอร์เธอร์กล่าวว่า “อีกก้าวเดียว โรเบิร์ต เติมพลังเวทมนตร์ของนายเข้าไป แล้วคิดว่านายชอบอะไร”
โรเบิร์ตเหยียดมือออกแล้วกดลงบนรังไหมสีทอง ค่อย ๆ ใส่พลังเวทมนตร์เข้าไป “ฉันชอบอะไรงั้นเหรอ? หมากรุกเวทมนตร์มั้ง?”
การ์ดเวทมนตร์โผล่ออกมาจากรังไหม
โรเบิร์ตรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยที่จะหยิบการ์ดเวทมนตร์ใบนี้ซึ่งหลอมรวมจากความพยายามอย่างหนักของทั้งคู่ตลอดสามวัน โครงร่างโปร่งใสที่คลุมเครือแต่เดิมบนพื้นผิวการ์ดเริ่มเปลี่ยนไปทันทีหลังจากที่สัมผัส
มันไม่ใช่สุนัขผู้พิทักษ์ของ <เจ้าเด็กผมแดงที่ชอบพูด ‘ร้ายกาจ!’> ใน <ภาพยนตร์โรงเรียนเวทมนตร์> แต่กลับเป็นปราสาทนิรันดร์ในหมากรุกเวทมนตร์!
[ชื่อการ์ด: สัตว์อสูรมายา]
[ประเภท: การ์ดวิญญาณ]
[ระดับ: ✪ ]
[เผ่าพันธุ์: ประเภทธาตุ]
[คุณสมบัติ: ดิน]
[พลังเวทมนตร์: 300 หน่วย]
[พลังโจมตี: 0 หน่วย]
[พลังป้องกัน: 300 หน่วย]
[ท่าไม้ตาย: ปกป้อง]
…
เมื่อโรเบิร์ตอัญเชิญ [สัตว์อสูรมายา: ปราสาท] ของเขาออกมา ทุกคนก็ตกตะลึง
ปราสาทในหมากรุกเวทมนตร์นั้นเทียบเท่ากับชีวิตของผู้เล่น โดยใช้ตาราง 3X3 คงที่ และมีแถบพลังชีวิตเป็นสิบเท่าของชิ้นอื่น ๆ อาจใช้หนึ่งรอบเพื่อเปิดใช้งานสกิลในตัว [ป้องกัน] และลดความเสียหายที่ปราสาทได้รับลงครึ่งหนึ่งในรอบถัดไป
เมื่อปราสาทถูกยึด ผู้เล่นถึงจะประกาศยอมแพ้
และ [สัตว์อสูรมายา: ปราสาท] ของโรเบิร์ตก็เป็นยักษ์ขนาดยี่สิบเจ็ดลูกบาศก์เมตรเช่นกัน พอมันถูกอัญเชิญออกมาก็ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่ไม่อาจสั่นคลอนได้!
“ว้าว! โรเบิร์ต นายสุดยอดมาก!”
เวอร์เธอร์ตบไหล่โรเบิร์ตอย่างประหลาดใจ
โรเบิร์ตก็ตื่นเต้นจนช่วงคอเปลี่ยนเป็นสีแดงเช่นกัน เขาพูดอย่างตื่นเต้นว่า “มานี่สิ ปราสาทของฉัน มาให้ฉันดูแกหน่อย!”
→ปราสาทจังไม่ได้ขยับแม้แต่นิ้วเดียว
หลังจากพยายามหลายครั้ง ใบหน้าของโรเบิร์ตก็ซีดเซียว
จู่ ๆ ก็มีใครบางคนหัวเราะออกมา “แปลกใจอะไรโรเบิร์ต? ปราสาทในหมากรุกเวทมนตร์ก็ขยับไม่ได้อยู่แล้ว มันเป็นเรื่องปกติเลยไม่ใช่เหรอ? ฮ่า ๆๆ โทษนะ แต่ฉันกลั้นไม่ได้แล้ว ฮ่า ๆๆๆๆๆ!”
…
คืนนั้นโรเบิร์ตฝันว่าเขาแปลงร่างเป็นปราสาทที่แสนสง่างาม แต่กลับถูกหนูเขี้ยวใหญ่กลุ่มหนึ่งกัดแทะจากมุมกำแพงและพังทลายลงในที่สุด
…
เวอร์เธอร์ก็ฝันเช่นกัน
เขาฝันถึงบรรณารักษ์ในห้องสมุดของสถาบัน เป็นรุ่นพี่สาวคนนั้น ในฝัน เขากำลังเดินไปพร้อมกับเธอที่สวนหลังสถาบัน
…
วันพฤหัสบดี ทุกอย่างดูเหมือนจะกลับมาเป็นปกติ
ทั้งเวอร์เธอร์และโรเบิร์ตกลับมาทำตัวตามปกติ พวกเขาไม่มีแรงจูงใจที่จะเรียนอีกต่อไป แต่ทั้งคู่มีวินัยมากกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย ทว่ายังคงหลีกเลี่ยงเอ็มม่าหลังเลิกเรียนอยู่เหมือนเดิม
เอ็มม่าไม่คิดจะคุยกับพวกเขาด้วยซ้ำ
ดาร์กก็สะสมคะแนนเช่นเคย เขาเก็บคะแนนไว้เพื่อที่จะไปถนนนักเดินทางอีกครั้ง
เพราะคาบเรียนนั้นเขาเป็นครูสอนแทน เลยได้รับคะแนนถึงสองร้อยคะแนน!
นอกจากนี้ เนื่องจากเขาไปบ่นว่าตัวเองไม่ได้รับคะแนนที่เพียงพอสำหรับ [สูตรตารางคำนวณ] ศาสตราจารย์ลิลลี่จึงให้คะแนนเพิ่มอีกหนึ่งร้อยห้าสิบคะแนน
เพราะงั้นการหาคะแนนจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา
…
หลังจากจบคาบเรียนประวัติศาสตร์เวทมนตร์ในตอนบ่าย ดาร์กก็ไปที่ห้องสมุดตามปกติ
ผู้คนจะค่อย ๆ เติบโตขึ้น ตอนนี้เขาสามารถเดินผ่านรุ่นพี่แพนดอร่าได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนท่าทางแล้ว
หลังจากเดินออกมา จู่ ๆ เขาก็หันมาเห็นว่าเวอร์เธอร์กำลังพูดกับรุ่นพี่สาวอย่างประหม่า เรื่องนี้ทำให้เขานึกบางอย่างขึ้นได้ ดังนั้นเขาจึงอดยิ้มไม่ได้
วิชาคณิตศาสตร์ให้การบ้านใหม่อีกครั้ง และเมื่อใดก็ตามที่สิ่งนี้เกิดขึ้นไดแอนนากับโรสจะมาหาเขาเสมอ
ดาร์กมองดูเด็กหญิงสองคนที่นั่งตรงข้ามโต๊ะอย่างเชื่อฟัง แล้วรู้สึกทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย
ตอนห้าโมงเย็นไดแอนนาทำการบ้านเสร็จแล้ว เธอเอนหลังพิงเก้าอี้ และยืดร่างกายที่แข็งทื่อของเธอ
หลังจากยืดเส้นยืดสาย ไดแอนนาก็กระสับกระส่าย เธอดึงการ์ดดอกไม้ที่มีดอกกุหลาบสีดำอยู่ด้านหลังซองการ์ดออกมาอย่างเงียบ ๆ แล้วเดินไปที่โต๊ะดาร์ก
“เฮ้ ดาร์ก อยากลองการ์ดดูดวงอันนี้ไหม? ฉันได้ยินมาว่ามันแม่นมาก!”
ดาร์กเงยหน้าขึ้นมองแล้วพูดอย่างเป็นกันเอง “ดูดวงความรักน่ะเหรอ?”
“นายรู้สินะ…” ไดแอนนาเหมือนแมวน้อยที่โดนจับได้ว่าขโมยปลาแห้ง จากนั้นดึง [การ์ดดูดวงความรัก] กลับไปเล็กน้อย
“ฉันก็ไม่ได้อยู่หลังเขาขนาดนั้นหรอกนะ” ดาร์กรู้สึกขบขันเล็กน้อย
เขาถามอีกครั้งว่า “เธอไปเอามาจากไหน?”
“หา?” ไดแอนนาคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ใบหนึ่งได้มาจากร้านขายขนม แล้วฉันก็ไปเจอใบนี้ที่ช่องประตูตอนที่ออกมาเมื่อเช้านี้”
ดาร์กขมวดคิ้วเล็กน้อย “มีคนกำลังแจกการ์ดดอกไม้นี่เหรอ? เธอให้ฉันดูการ์ดใบนี้หน่อยได้ไหม?”
ไดแอนนาตอบด้วยความดีใจทันที “แน่นอน นายดูได้เลย!”
บทที่ 37 เวอร์เธอร์ กาวด์ก้าวสู่ห้วงลึก
เมื่อคาบเรียนดาราศาสตร์สิ้นสุดลง ค่ำคืนก็มืดมิดแล้ว
มีพระจันทร์เด่นสง่าเพียงดวงเดียวอยู่บนฟากฟ้า และแสงจันทร์ก็สว่างไสวดูสดใส
นักเรียนต่างตระหนักได้ในทันทีว่าคืนนี้พระจันทร์เต็มดวง
…
ดาร์ก เดม่อนเดินอยู่บนทางแคบ หลีกเลี่ยงฝูงชน เขาต้องหามุมที่ไม่มีใครอยู่ เพื่อทำให้ตัวเองสงบลง
ปราสาทเซนต์แมเรียนมีทางเชื่อมถึงกันมากมาย และมีโกเลมลาดตระเวนทุกคืน
เด็กชายพยายามเลี่ยงที่จะเจอกับโกเลม และหาที่ที่สามารถเปิดหน้าต่างได้ เขานั่งอยู่บนขอบหน้าต่างและเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
ตอนเห็นพระจันทร์เต็มดวงอย่างใกล้ชิดที่หอนาฬิกา มันทำให้อารมณ์ของดาร์กผันผวนอย่างควบคุมไม่ได้ และร่างกายของเขาก็ร้อนขึ้นเล็กน้อย
เหตุผลก็เพราะ [ราคะ] ทำให้เกิดปัญหา!
[ราคะ +1] ค่อย ๆ ลอยเข้ามาในวิสัยทัศน์ของเขา ทำให้เขารู้ว่าดวงจันทร์เป็นสัญลักษณ์ของ [ราคะ]!
ก่อนหน้านี้ ดาร์กไม่เคยคาดคิดว่าความเชื่อมโยงระหว่างบาปทั้งเจ็ดกับดวงดาวจะใกล้ชิดกันมากขนาดนี้
มหาบาปเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นที่มาของความชั่วร้าย
และดวงดาวก็ได้ชื่อว่าเป็นจุดเริ่มต้นของเหล่าทวยเทพ
ทำไมพวกมันถึงเชื่อมโยงกันได้?
อะไรคือแก่นแท้ของสิ่งที่เรียกว่ามหาบาป?
…
ความคิดของมนุษย์ก็เหมือนรถไฟ
เมื่อเริ่มแล้วก็ยากที่จะหยุด
สายตาของดาร์กกวาดออกไป และทันใดนั้น เขาก็สังเกตเห็นร่างหนึ่งแวบผ่านที่สะพานภายนอกด้านล่าง
ดูเหมือนจะมีใครบางคนไม่สามารถยับยั้งความเหงาในตอนกลางคืนได้
…
เวอร์เธอร์ กาวด์รู้สึกว่าเขาได้มาถึงทางแยกในชีวิตของตัวเองแล้ว
เขาโอนคะแนนให้โรเบิร์ตไป และในตัวก็เหลือเพียงสามสิบคะแนน
โรเบิร์ตเมื่อได้หนึ่งร้อยคะแนนแล้ว ในที่สุดก็สามารถไปหาศาสตราจารย์เคเซอร์เพื่อซื้อชุดวัตถุดิบ [สัตว์อสูรมายา] ราคาหนึ่งร้อยคะแนนได้
เขาได้ยินมาว่าชุดวัตถุดิบของ [สัตว์อสูรมายา] นั้นค่อนข้างแพง และเวลาที่นักเรียนสามารถซื้อได้ด้วยร้อยคะแนนก็มีเฉพาะตอนเริ่มเรียนเท่านั้น
เหลือเวลาเพียงหนึ่งคืนก่อนคาบเรียนวิชาเวทมนตร์ครั้งต่อไป และคืนนี้ก็เป็นโอกาสสุดท้ายของโรเบิร์ต
เดิมทีนี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ
จริง ๆ แล้วเวอร์เธอร์ควรอยู่ช่วยโรเบิร์ตทำการบ้าน
แต่เขาปลีกตัวออกมาในขณะที่โรเบิร์ตไปหาศาสตราจารย์เคเซอร์
และมันเป็นครั้งแรกที่เวอร์เธอร์ออกมาคนเดียวในตอนกลางคืน
เมื่อไม่มีใครอยู่รอบ ๆ ปราสาทขนาดใหญ่ก็เต็มไปด้วยร่องรอยของความรกร้างและความเศร้าโศกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เวอร์เธอร์ไม่ใช่คนขี้กลัว แต่เขาอดไม่ได้ที่จะจับแขนและตัวสั่นเทา
กระทั่งมาถึงสะพานด้านนอก จึงเพ่งความสนใจไปที่หนังสือสีดำความหนาสองนิ้วในมือ ความเย็นเยียบค่อย ๆ คลายตัวลง
หลังจากที่เด็กชายเช็กแล้วว่าแสงจันทร์ส่องตรงมาที่หนังสือ เขาก็เปิดปกหนังสือใต้แสงจันทร์ และประโยคสั้น ๆ พลันดึงดูดสายตาเขา
[จ้องมองลงไปในก้นเหว]
ภายใต้แสงจันทร์ ข้อความนั้นสั่นไหวได้ในสายตาของเขาก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นข้อความอื่น ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนแต่สามารถเข้าใจได้
[สลายม่านหมอก เสาะหาความแท้จริง คราจันทร์เต็มดวงจะนำพาเจ้าไป]
…
ตอนที่เวอร์เธอร์ได้หนังสือ ‘สู่ห้วงลึก’ เล่มนี้มา คือตอนที่เขาเข้าห้องสมุดในวันที่สองของสถาบัน
เพื่อทำการบ้านของวิชาอัญเชิญให้เสร็จ เขาจึงมองหาข้อมูลเกี่ยวกับ ‘มิโนทอร์’
จากนั้นก็ได้พบ ‘สู่ห้วงลึก’ ที่ซ่อนอยู่ตรงมุมห้อง
หลังจากยืนยันกับโรเบิร์ตแล้วว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่มองเห็นการเปลี่ยนแปลงของข้อความ เวอร์เธอร์ก็รู้สึกว่าตนเป็นผู้ถูกเลือก
นามสกุลของเขาคือกาวด์ และยังเป็นทายาทโดยสายเลือดของ ‘วีรบุรุษ’ ในตำนาน ทว่าในความเป็นจริง นอกจากได้รับการต้อนรับ และเสียงชื่นชมจากนักเรียนในตอนแรกแล้ว เขาก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองจะพิเศษอะไรในฐานะ ‘บุตรแห่งวีรบุรุษ’
กระทั่งมาเจอหนังสือเล่มนี้!
…
‘จันทร์เต็มดวง!’
ช่างเป็นคำที่ดึงดูดผู้คนเสียจริง
หลังจากเล่นสนุกมานานกว่าหนึ่งเดือน เขาก็เกือบจะลืมหนังสือที่ซ่อนอยู่ในลิ้นชักนี้ไปแล้ว
มาจำหนังสือเล่มนี้ได้ก็ตอนที่มองพระจันทร์เต็มดวงในคาบเรียนดาราศาสตร์
เวอร์เธอร์อดตื่นเต้นไม่ได้ และมาที่นี่พร้อมกับหนังสือในมือ
เมื่อแสงจันทร์ส่องลงบนกระดาษได้ประมาณสิบห้าวินาที ข้อความที่แสดงก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง
หมอกสีชมพูลอยขึ้น และบรรจบกันเป็นรูปลูกศร บ่งบอกอะไรบางอย่างแก่เขา
เวอร์เธอร์ดีใจมากและรีบวิ่งตามที่ลูกศรชี้ไปทันที
…
ชั้นบน ดาร์กซึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่าง บังเอิญเห็นทุกสิ่งอย่าง และเห็นกระทั่งลูกศรสีชมพูที่มีเพียงคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้ นัยน์ตาของเด็กชายค่อย ๆ แปลกขึ้น
“ฉันควรหยุดเขาหรือปล่อยไปดีนะ?”
ถ้าเป็นเมื่อวาน ดาร์กคงจะเมินมันไปอย่างแน่นอน
แต่คืนนี้เขาไม่สามารถปล่อยไปได้
ดาร์กดึงการ์ดคัดสรรออกมา อัดเสี้ยวพลังเวทมนตร์เข้าไป และอัญเชิญรุกกี้เดวิมอนออกมา
“ตามไป”
“รับทราบ!”
รุกกี้เดวิมอนกางปีกบินลงมาทันที
ดาร์กก็กระโดดลงจากชั้นที่อยู่ เดินไปที่สะพานด้านล่างอย่างรวดเร็ว
ด้วยการ์ดคัดสรรที่อยู่ในมือ เขาจึงสามารถรับรู้ได้ว่ารุกกี้เดวิมอนอยู่ที่ใด
หลังจากข้ามสะพานไปแล้ว เขาก็ไม่รีบร้อน
ดาร์กรักษาระยะห่างไว้ และมีแค่ในตอนที่เขามองไม่เห็นเวอร์เธอร์เท่านั้นถึงจะเร่งความเร็วขึ้นโดยไม่รีบร้อน
เวลาผ่านไปถึงสามทุ่มครึ่ง นอกจากโกเลมใบ้ในปราสาทแล้วก็ไม่มีใครเห็นอีกเลย
เขาเดินตามตลอดสิบนาที
เวอร์เธอร์ยังคงเดินไปข้างหน้า แต่จู่ ๆ ดาร์กก็ได้ยินเสียงฝีเท้าข้างหลังเขา!
เมื่อครุ่นคิดแล้วจึงรีบซ่อนตัวหลังรูปปั้นของนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่รู้จัก
เสื้อคลุมขนาดใหญ่ของจอมเวทปกปิดทั้งร่างกายของเขาอย่างมิดชิด
ฝีเท้าที่รวดเร็วเล็กน้อยเดินผ่านดาร์กไปโดยไม่แม้แต่จะสังเกตเห็น
เด็กชายถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเสียงหายไปอย่างสมบูรณ์ ก่อนจะเดินออกมาช้า ๆ จากด้านหลังรูปปั้น
ในขณะนั้น การ์ดคัดสรรก็สั่นสะท้านในทันใด
หลังจากนั้นไม่นานรุกกี้เดวิมอนก็บินกลับมา
มันคลาดกับเขาไปแล้ว!
…
“ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ตัวจึงเร่งฝีเท้าขึ้น หลังจากเดินเลี้ยวไปแล้ว เขาก็หายตัวไปทันที!”
รุกกี้เดวิมอนอธิบายด้วยเสียงต่ำ ความรู้สึกผิดปรากฏบนใบหน้าเจ้าตัวน้อย
ดาร์กพยักหน้า “เขาไม่เห็นนายใช่ไหม?”
ไม่แปลกใจเลยที่รุกกี้เดวิมอนจะคลาดกับเวอร์เธอร์ไป
ท้ายที่สุด เด็กคนนั้นก็เป็นถึงบุตรชายของวีรบุรุษ และมีความสามารถพิเศษที่ไม่อาจล่วงรู้ได้อยู่เสมอ บางทีเขาอาจมี ‘สัมผัสที่หก’ และ ‘สัมผัสที่เจ็ด’ ในตำนาน?
คำถามหลักคือ มีคนเห็นรูปร่างหน้าตาของรุกกี้เดวิมอนหรือไม่
รุกกี้เดวิมอนส่ายหัวอย่างเร่งรีบ “ไม่มี!”
“งั้นก็ไม่เป็นไร”
ดาร์กกำลังเดินกลับ
‘เดิมที ก็ไม่จำเป็นต้องตามเขาไปอยู่แล้ว’
เขาไม่ได้กังวลเรื่องนี้มากนัก
มีความไม่แน่นอนมากมายในปราสาทเซนต์แมเรียน
ประวัติของปราสาทนั้นเก่าแก่มาก ทั้งยังมีความลับมากมายที่ซ่อนไว้อยู่
ใครจะรู้ว่าจะมีเกิดอะไรขึ้น?
บทที่ 36 คาบวิชาดาราศาสตร์ของดาร์ก เดม่อนได้เริ่มขึ้นแล้ว
โดยพื้นฐานแล้วดาราศาสตร์เป็นวิชาที่น่าสนใจ และเวลาเรียนขึ้นก็อยู่กับการจัดตารางของศาสตราจารย์ดีดี้
แม้ว่าตารางเวลาจะบอกว่าทุ่มครึ่งถึงสามทุ่ม แต่ศาสตราจารย์ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างอิสระอยู่ดี
ตัวอย่างเช่น คาบเรียนดาราศาสตร์ของวันนี้เริ่มเวลาหกโมงเย็น
…
เนื่องจากไม่มีเรียนในบ่ายวันพุธ นักเรียนส่วนใหญ่จึงไม่รีบร้อน หลังจากได้รับแจ้งเตือน พวกเขาก็พูดคุยกันเงียบ ๆ สักพักโดยเดาว่าศาสตราจารย์ดีดี้จะสอนอะไรในวิชาดาราศาสตร์
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างดาราศาสตร์กับชีวิตประจำวันนั้นมีน้อยเกินไป มันเป็นภาพลวงตายิ่งกว่าเวทมนตร์ที่สามารถสัมผัสได้โดยตรง นักเรียนทำได้เพียงใช้จินตนาการในการคิดเกี่ยวกับสิ่งที่จะสอน
เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตไม่ได้ผ่อนคลายขนาดนั้น
ทั้งสองเริ่มกังวล
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ได้คิดที่จะดูหนังสือเรียนล่วงหน้า เพียงแต่ว่าวิชาดาราศาสตร์นั้นไม่มีหนังสือเรียนด้วยซ้ำ!
ยิ่งไปกว่านั้น หลังตอนบ่าย หนี้ของพวกเขาจะเพิ่มเป็นสองเท่า นั่นคือสามร้อยยี่สิบคะแนน!
แต่พวกเขามีคะแนนเพียงหนึ่งร้อยยี่สิบคะแนนในขณะนี้ และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับสองร้อยคะแนนจากสามคาบถัดไป
ดังนั้นพวกเขาจึงละทิ้งความคิดที่จะหาคะแนนจากห้องเรียนโดยสิ้นเชิง
โรเบิร์ตแค่อยากจะนอนลง และรอความตายมาเยือน
ขณะที่ เวอร์เธอร์ฝากความหวังไว้กับวิชาการประลองในวันศุกร์!
รางวัลแชมป์สำหรับการแข่งขันในคาบเรียนคือหนึ่งพันคะแนน ถ้าเขาได้รับรางวัลนี้ก่อนบ่ายวันศุกร์ เขาก็จะสามารถชำระหนี้ได้!
แผนดั้งเดิมของเวอร์เธอร์คือ การใช้ [สัตว์อสูรมายา] ฝึกฝนการต่อสู้ตั้งแต่คืนนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการชนะ
แต่ตอนนี้ ไม่เพียงแต่จะมีเวลาช่วงกลางคืนเท่านั้น เวลาสำหรับการนอนหลับเสริมก็น้อยลงด้วย!
“เดี๋ยวนะ พูดถึง [สัตว์อสูรมายา]…”
เวอร์เธอร์อดไม่ได้ที่จะมองโรเบิร์ตและพึมพำ “โรเบิร์ต พรุ่งนี้เช้าคือวิชาเวทมนตร์พื้นฐานนะ แล้ว [สัตว์อสูรมายา] ของนายอยู่ที่ไหน?”
สีหน้าของโรเบิร์ตค่อย ๆ เปลี่ยนจากความกังวลเป็นความกลัว
…
ดาร์ก เดม่อนอยู่ในห้องสมุด
ในบรรดานักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง มีสี่คนที่ใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ในห้องสมุด
สี่คนที่ว่ามานั้น คือดาร์ก เอ็มม่า ซาร่า และนักเรียนที่ไม่รู้ชื่อจากบ้านคนเขลา
นับเป็นหนึ่งคนจากแต่ละบ้าน!
โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาเป็นนักเรียนตัวอย่างในบ้านของตน
หลังจากที่ดาร์กได้รับแจ้งคาบเรียนดาราศาสตร์ เขาจึงต้องการหาหนังสือเกี่ยวกับดาราศาสตร์มาอ่าน
เนื่องจากดาราศาสตร์เป็นวิชาอิสระ จึงไม่มีการสอบปลายภาค ดังนั้นเขาจึงมองหาหนังสืออย่างสบาย ๆ
หนังสือสองเล่มที่ชื่อว่า ‘สัญลักษณ์ทางดาราศาสตร์’ และ ‘ถอดรหัสดาราศาสตร์’ ทำให้ดาร์กรู้สึกสนใจ
ดังนั้น เขาจึงดึงหนังสือทั้งสองเล่มออกมาแล้วถือไปที่โต๊ะในห้องอ่านหนังสือ
เหตุผลที่ดาร์กสนใจ ‘สัญลักษณ์ทางดาราศาสตร์ เพราะเขาเห็นวงกลมสัญลักษณ์บนหน้าปกของหนังสือเล่มนี้ และหนึ่งในนั้นคือ ‘⊙’ ที่ปรากฏบนตรา [อัตตา]
“โอ้ นี่เป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์นี่เอง”
ดาร์กวาดวงกลมบนกระดาษแล้วเติมจุดอย่างระมัดระวัง
“สัญลักษณ์แห่งความเย่อหยิ่งคือดวงอาทิตย์ ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้ไม่เป็นที่ยอมรับ”
“ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ”
“ดาวเคราะห์ทั้งแปด ดาวเคราะห์น้อย อุกกาบาต ดาวหาง วัตถุท้องฟ้า ชั้นนอกดาวเนปจูน และฝุ่นในอวกาศของระบบสุริยะล้วนโคจรรอบดวงอาทิตย์”
“ลำดับแห่งอัตตาคือ เลขหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวเลขที่ตรงกับสัญลักษณ์ตรงกลาง”
“ถ้าฉันจำไม่ผิด รูปแบบวิวัฒนาการรูปแบบหนึ่งของอีบุยก็มีพลังของดวงอาทิตย์อยู่”
“นี่คือจุดอ้างอิงสินะ”
“วิธีเชื่อมโยงดวงอาทิตย์กับอัตตา… บางทีมันอาจจะช่วยฉันวิเคราะห์มหาบาปอย่าง [อัตตา] ได้”
…
ก่อนที่ดาร์กจะรู้ตัวก็เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว
ดาร์กกินของหวานในห้องขนม และดื่ม ‘ชาดำไร้กลิ่น’ สักแก้ว จากนั้นก็เก็บสัมภาระก่อนจะออกจากห้องสมุดไป
วันนี้เขาดึงค่า [อัตตา] ออกมาเก็บไว้เช่นกัน โดยเป้าหมายคือ สะสมคะแนนให้ได้มากที่สุดก่อนบ่ายวันศุกร์ จากนั้น ดาร์กจะไปหาภาชนะที่สามารถทำให้สสารแห่งความคิดสดใหม่ได้นานขึ้น และคืน [ขวดแห่งความคิด] ให้กับศาสตราจารย์เคเซอร์
ขณะเดินผ่านเอ็มม่า สายตาก็เหลือบไปเห็นเธอกำลังศึกษาเรื่อง ‘มูลค่าของเงิน’
นั่นทำให้ดาร์กสับสนเล็กน้อย เขาสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้กำลังทำอะไรอยู่
เมื่อนึกถึงการทะเลาะวิวาทระหว่างเธอกับเวอร์เธอร์และโรเบิร์ต ดาร์กก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
ห้องเรียนดาราศาสตร์อยู่ที่หอนาฬิกาทรงเกลียวใจกลางปราสาทเซนต์แมเรียน
หลังจากเดินวนตามบันไดเวียนภายนอกและขึ้นไปบนชั้นที่สิบสอง นักเรียนก็จะไปถึงห้องเรียนดาราศาสตร์ของศาสตราจารย์ดีดี้ได้
และถ้าไม่มาให้เร็วก็จะเข้าเรียนสายแน่นอน
ดาร์กรู้สึกโชคดีเล็กน้อยที่ตัวเองมีนิสัยที่ดีในการมาห้องเรียนตั้งแต่เนิ่น ๆ
คาบเรียนนี้ยังคงมีนักเรียนจากทั้งสี่บ้านเข้าร่วม เห็นได้ชัดว่านักเรียนของบ้านนักปราชญ์สนใจเรื่องดาราศาสตร์มากกว่า หลายคนต่างกระซิบอย่างตื่นเต้นอยู่ในห้องเรียนก่อนที่ดาร์กจะมาถึง
ศาสตราจารย์ดีดี้เป็นภูตตัวน้อยที่ใจดีมาก ในฐานะที่เป็นหัวหน้าอาจารย์ประจำบ้านคนเขลา เธอจึงไม่เคยโกรธเลยแม้แต่ตอนหักคะแนนจากนักเรียนก็ตาม
และเมื่อใดที่คาบเรียนจบลง เธอก็จะกลายเป็นคนสบาย ๆ
อย่างตอนนี้ที่นักเรียนกำลังคุยกันในห้องเรียน เธอก็ยังคงไม่ว่าอะไร
ใช่แล้ว ตอนนี้ศาสตราจารย์ดีดี้นั่งรออยู่บนโพเดียมแล้ว
…
ยามเย็น เวลาหกโมงตรง
กริ่งสำหรับเริ่มต้นคาบเรียนไม่ได้ดังขึ้น
แต่กลับเป็นเสียงระฆังที่แสดงถึงการสลับกันของกลางวันและกลางคืนแทน!
เหง่งหง่าง!
ระฆังดังขึ้นทั่วทั้งสถาบัน
อาทิตย์อัสดงและพระจันทร์ก็แทนที่
บนบันไดเวียนที่แสงค่อย ๆ เลือนหายไป เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตกำลังจ้ำอ้าวขึ้นมาอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนกระต่าย
ทั้งสองตั้งนาฬิกาปลุกและวางแผนที่จะตื่นให้ตรงเวลา ทว่าหลังจากลุกขึ้นก็ขอนอนต่ออีกสิบนาที ก่อนจะรีบออกจากหอพัก
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้กินอะไรเลย ทั้งยังนอนไม่หลับด้วย
หมากรุกเวทมนตร์หนึ่งรอบก่อนเข้านอนทำให้พวกเขาเสียเวลาพักผ่อนอันมีค่าไป
การวิ่งในขณะท้องว่างก็ทำให้พวกเขาเหนื่อยมากขึ้นเช่นกัน
“มันจบแล้ว!”
ระฆังแห่งความสิ้นหวังกระแทกวิญญาณที่ท้อแท้ของพวกเขา
ปัง!
ทั้งสองผลักประตูเสียงดังและรีบเข้ามาในห้องเรียน!
“หักคะแนนกาวด์และบร็อกไฮม์คนละห้าคะแนน”
ศาสตราจารย์ดีดี้ไม่แม้แต่จะหันไปมองพวกเขา เธอวาดดวงจันทร์บนกระดานดำ
เห็นได้ชัดว่าเธอตั้งใจจะสอนเรื่องความรู้ทางดาราศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับดวงจันทร์ในคาบเรียนนี้
เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตเดินเข้าไปในห้องเรียนอย่างหดหู่และหย่อนก้นนั่งลงอีกมุมหนึ่งของแถวสุดท้าย
สำหรับคะแนนที่โดนหักไป ทั้งสองคนไม่ได้ใส่ใจมากขนาดนั้นอีกต่อไปแล้ว
เพราะไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถรวบรวมคะแนนได้เพียงพออยู่ดี
…
เนื่องจากเป็นคาบเรียนดาราศาสตร์ครั้งแรกในปีแรก ศาสตราจารย์ดีดี้จึงไม่ได้สอนอะไรที่ลึกซึ้งเกินไป
ในครึ่งหลังของคาบเรียน จู่ ๆ เธอก็โบกมือ และเพดานของห้องเรียนก็โปร่งใสในทันที
มันเปรียบเสมือนกระจกเงาน้ำ ทำให้ระยะห่างจากท้องฟ้ายามราตรีสั้นลง
นักเรียนไม่เคยสังเกตดวงจันทร์ใกล้ขนาดนี้
ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิดเป็นระลอกคลื่น ดวงจันทร์ทรงกลมที่ครอบครองทัศนวิสัยลอยเด่นอยู่บนเพดานราวกับแผ่นหยก!
“ว้าว!”
บรรยากาศที่น่าเบื่อแต่เดิมหายไป
ห้องเรียนพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันที
ศาสตราจารย์ดีดี้มองเด็ก ๆ ร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ ขณะมองพระจันทร์เต็มดวงด้วยสายตาอ่อนโยน และเธอก็ไม่ได้หยุดพวกเขา
น่าแปลกที่มีคนสองคนที่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงบางสิ่งที่พลุ่งพล่านในใจเมื่อพวกเขามองดูพระจันทร์เต็มดวงในระยะใกล้
คนหนึ่งคือ ดาร์ก
และอีกคนคือ เวอร์เธอร์
บทที่ 35 ความพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายของเวอร์เธอร์ กาวด์
การเดินจากแถวหลังของห้องเรียนไปยังแท่นด้านหน้าไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเวอร์เธอร์เลย
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาก้าวขึ้นโพเดียม แต่เป็นครั้งแรกที่เขามั่นใจมากต่างหาก
เวอร์เธอร์หยิบแท่งแก้วปรอทภายขึ้นมาตามคำสั่งของศาสตราจารย์ทอมป์สัน
ปรอทเป็นวัสดุเวทมนตร์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด โดยมีอัตราการส่งพลังเวทมนตร์มากกว่าเก้าสิบสามเปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นปากกาพลังเวทหรือแท่งแก้ว พวกมันทั้งหมดก็ใช้ปรอทเป็นแกนหลัก
หลังสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกจากแท่งแก้ว เวอร์เธอร์ก็เหลือบมองไปทั่วห้องเรียนโดยไม่ได้ตั้งใจ
เอ็มม่านั่งอยู่ที่แถวหน้าของห้องเรียน ซึ่งเห็นได้ชัดเจนทีเดียว
แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจเขา เพียงแต่จ้องมองไปที่ ‘ของเหลวสีรุ้ง’ โดยไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
เพื่อนร่วมชั้นในบ้านอัศวินก็รู้สึกประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดที่เห็นเขายกมือขึ้นเป็นครั้งแรก
นักเรียนของบ้านขุนนางทำเหมือนกับกำลังดูละครสัตว์ และเฝ้ารอการแสดงที่ดีของเขาอยู่
เด็กชายไม่รู้ว่านักเรียนของทั้งสองบ้านต่างประหลาดใจพลางขบขันกับทรงผมเล้าไก่และความหมองคล้ำบนใบหน้าของเขา
แถวสุดท้ายของห้องเรียน คนที่นั่งริมหน้าต่างเป็นดาร์ก… ‘เขากำลังอ่านหนังสืออยู่เหรอ?’
‘ทำไมเขาถึงไม่ถูกเรียกออกมาในเมื่อสายตาของเขาไม่ได้ดูโพเดียมในชั้นเรียน’
เวอร์เธอร์ไม่มีเวลาครุ่นคิดเรื่องนี้ เพราะจิตใจของเขากำลังยุ่งเหยิงอยู่ การใช้สมองมากเกินไปตลอดทั้งคืนทำให้เขารู้สึกว่าจิตใจของตัวเองกำลังจะระเบิดออกมา
เพียงเพราะจิตใจที่เข้มแข็ง เขาจึงยังสามารถประคองสติไว้ได้และไม่งีบหลับเหมือนโรเบิร์ต
พูดถึงโรเบิร์ต… เขาออกอาการง่วงอีกแล้ว!
เวอร์เธอร์ตื่นขึ้นทันที เหงื่อไหลออกมาจากหน้าผากของเขา
‘ไม่ ฉันต้องดึงดูดความสนใจของศาสตราจารย์ทอมป์สัน!’
ดังนั้นเขาจึงสอดแท่งแก้วปรอทเข้าไปในบีกเกอร์โดยไม่รู้ตัว!
ของเหลวสีรุ้งเติมเต็มบีกเกอร์ไปครึ่งแก้ว และสีทั้งเจ็ดถูกผสมเข้าด้วยกันราวกับเม็ดสีทั้งหมดถูกเทเข้าด้วยกันในรวดเดียว ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกขยะแขยง ไม่ต้องพูดถึงการแยกสีทั้งเจ็ดเลย!
แต่เพราะเมื่อคืนเวอร์เธอร์ได้อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้มาบ้าง มันจึงทำให้เขาเชื่อว่าตัวเองน่าจะสามารถแยกมันออกจากกันได้!
ศาสตราจารย์ทอมป์สันเหลือบมองที่ใบหน้าซีดเผือดของเขาและถามอย่างกังวลว่า “กาวด์ เธอโอเคไหม?”
“ผมไม่เป็นไรครับศาสตราจารย์”
เวอร์เธอร์สูดหายใจเข้าลึก ๆ และพยายามถ่ายเทพลังเวทมนตร์ลงในแท่งแก้วปรอท
ของเหลวสีรุ้งเป็นของเหลวพิเศษ แต่ละสีมีความสัมพันธ์ที่แตกต่างกันต่อความเข้มข้นของพลังเวทมนตร์ที่แตกต่างกัน
ดังนั้น เขาเพียงแค่ต้องแบ่งพลังเวทมนตร์ออกเป็นเจ็ดระดับในแท่งแก้วปรอท จากนั้นค่อย ๆ ปรับและกวนมันด้วยความเร็วคงที่ จากนั้นของเหลวสีรุ้งที่มีสีต่างกันจะถูกดูดซับด้วยพลังเวทมนตร์ที่มีความเข้มข้นต่างกัน แบ่งออกเป็นเจ็ดชั้นที่สีต่างกัน!
แน่นอนว่าทฤษฎีก็คือก็ทฤษฎี ส่วนการปฏิบัตินั้นย่อมแตกต่างออกไปเสมอ
แม้ว่าเวอร์เธอร์จะมั่นใจในความสามารถด้านพลังเวทมนตร์ของตัวเอง แต่เขาก็ยังอยู่ในสภาพที่ไม่ดี
เพื่อป้องกันความผิดพลาด เขาจึงชะลอความเร็วให้มากที่สุด
…
เมื่อเวอร์เธอร์เริ่มกวน ดาร์กก็เงยหน้าขึ้น
ความกระตือรือร้นที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนของบุตรชายวีรบุรุษทำให้เด็กชายประหลาดใจ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเวอร์เธอร์จะไปได้ไกลแค่ไหน
เวอร์เธอร์ที่ยืนบนแท่นโพเดียมแบ่งความเข้มข้นของพลังเวทมนตร์ออกเป็นเจ็ดระดับได้สำเร็จ แต่ขั้นตอนต่อไปเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
มันเป็นเรื่องยากมากที่จะรักษาระดับพลังเวทมนตร์อย่างต่อเนื่อง และการควบคุมความเข้มข้นของพลังเวทมนตร์ให้คงที่ จากนั้นจึงกวนแท่งแก้วปรอทด้วยความเร็วที่คงที่!
ในบรรดานักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง มีเพียงดาร์กเท่านั้นที่ทำได้
คนที่สองและคนที่สามคือ เอ็มม่าและซาร่า สวาติผู้จริงจังแห่งบ้านนักปราชญ์
เดิมทีศาสตราจารย์ทอมป์สันต้องการขอให้ดาร์กขึ้นมาสาธิต แต่เวอร์เธอร์ยกมือขึ้นก่อน
เนื่องจากเป็นบุตรชายของวีรบุรุษที่ยกมือขึ้น ศาสตราจารย์ทอมป์สันจึงให้ความไว้วางใจเขาเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าเวอร์เธอร์จะทำได้ไม่ดีในเดือนแรกของการเรียนก็ตาม
โชคดีที่แม้ว่าเขาจะช้ากว่าที่คาดไว้เล็กน้อย แต่เขากลับใช้วิธีที่ถูกต้อง
สิ่งนี้เปลี่ยนมุมมองของเขาต่อบุตรชายของวีรบุรุษเล็กน้อย
ไม่กี่นาทีต่อมา
ในที่สุดของเหลวสีรุ้งในบีกเกอร์ก็ถูกแบ่งออกเป็นเจ็ดชั้นจากบนลงล่าง
‘ฉันทำมันได้’
เวอร์เธอร์ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ผมทำได้แล้วครับ ศาสตราจารย์!”
แต่เมื่อเขาหันไปมองศาสตราจารย์ทอมป์สันด้วยความประหลาดใจ พลังเวทมนตร์ที่เทลงในแท่งแก้วปรอทก็ควบคุมไม่ได้ในทันที และสีทั้งเจ็ดที่เพิ่งแยกออกจากกันก็กลับไปผสมกันใหม่อีกครั้ง
สิ่งนี้ทำให้เขาตกตะลึง
แปะ! แปะ! แปะ!
เสียงปรบมือดังเข้ามาในหูของเขา
เป็นกำลังใจจากศาสตราจารย์ทอมป์สัน
“ทำได้ดีมากกาวด์ ให้ห้าคะแนน!”
เวอร์เธอร์เกือบจะยิ้มด้วยความประหลาดใจ
‘ตอนนี้ช่องว่างระหว่างฉันกับเดม่อนน่าจะแคบลงแล้วใช่ไหม?’
แต่ทันทีที่เขากำลังจะกลับไปที่นั่ง เขาก็ได้ยินคำตำหนิที่รุนแรงของศาสตราจารย์ทอมป์สันว่า “ฉันเคยพูดถึงเรื่องนี้ในคาบแรกไปแล้ว ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้นอนในชั้นเรียนของฉัน! บร็อกไฮม์ หักสิบคะแนน!”
…
กริ่งดังขึ้น เป็นสัญญาณหมดคาบเรียน
เวอร์เธอร์ปลุกโรเบิร์ตที่หลับไปชั่วขณะอย่างเงียบ ๆ
“เป็นอะไรไป เวอร์เธอร์เหรอ? วิชาต่อไปแล้วเหรอ?”
“อืม วิชาต่อไปกำลังจะเริ่มแล้ว”
“อ้อ ใช่ โรเบิร์ต”
“อะไร?”
“ฉันได้คะแนนมากกว่านายสิบห้าคะแนน”
…
ในวิชาอัญเชิญต่อมา
โรเบิร์ตที่เพิ่งตื่นนอนไม่ได้ทำอะไรผิดพลาด
ทว่าในไม่ช้าทั้งคู่ก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามเรียนในนาทีสุดท้าย
คาบเรียนนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ผล็อยหลับไป แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้รับคะแนนเพิ่มเติมอยู่ดี
โชคดีที่ไม่มีการหักคะแนน
หลังเลิกเรียน ทั้งสองก็มานั่งในห้องเรียนเพื่อสรุปผล
“75+20+20-5-10+20=120 ยังขาดไปอีกสี่สิบคะแนน”
เวอร์เธอร์ถอนหายใจแรง เขาพบว่ามันยากมากที่จะหาคะแนนได้
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพยายามอย่างหนักแล้ว แต่ทำไมมันถึงยังไม่ได้ผลล่ะ?
โรเบิร์ตก็ผิดหวังอย่างมากเช่นกัน
หลังจากผ่านความล้มเหลวมากมาย เขาก็ไม่ได้มองโลกในแง่ดีเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
โรเบิร์ตพูดด้วยความสิ้นหวัง “เวอร์เธอร์ เราควรคุยกับเอ็มม่าอีกครั้งไหม?”
เวอร์เธอร์หันไปมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำอย่างตกใจ “ถามจริง? ลืมไปแล้วหรือไงว่านายดุเธอเมื่อสองวันก่อน?”
“แค่ไม่กี่คำเอง” โรเบิร์ตพูดอย่างรู้สึกผิด “เธอน่าจะยกโทษให้เราอยู่แหละ”
เวอร์เธอร์อดไม่ได้ที่จะกุมหัวด้วยความหงุดหงิด “นายคิดอะไรอยู่? เราเลิกเป็นเพื่อนกับเธอแล้ว!”
โรเบิร์ต “แต่…”
ดวงตาของเวอร์เธอร์หรี่ลง “ไม่มีแต่! ฉันจะไม่หนี ยิ่งกว่านั้น เรายังมีโอกาส! ไปเล่นหมากรุกเวทมนตร์แล้วก็ลืมเรื่องนี้ไปซะ”
โรเบิร์ตตกใจมาก “ตอนนี้นายยังอยากเล่นหมากรุกเวทมนตร์อยู่อีกเหรอ?”
เวอร์เธอร์ตอบ “ทำไมล่ะ? ฉันจะนอนหลังจากเล่นสักรอบ ฉันไม่ได้นอนมาสามสิบชั่วโมงแล้ว!”
โรเบิร์ตรั้ง “ไปกินข้าวก่อน วันนี้ไม่มีเรียนแล้ว”
เวอร์เธอร์เห็นด้วย “ก็ได้”
…
ทั้งสองมาถึงโรงอาหารและสั่งอาหารสองสามจาน
โรเบิร์ตกินเยอะมาก
แต่เวอร์เธอร์ไม่มีความอยากอาหารเลย
เขาสังเกตเห็นถึงสายตาของผู้คนรอบตัวที่มองมาที่ตัวเองดูแปลกไปเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงหวีผมยุ่ง ๆ ของตนโดยไม่รู้ตัว
ตอนนี้เอง นักเรียนจากสี่บ้านก็ได้รับแจ้งเตือนพร้อม ๆ กัน
วันนี้มีวิชาดาราศาสตร์!
บทที่ 34 ดาร์ก เดม่อนไม่เข้าใจความมืดในยามราตรี
ดาร์กไม่ได้โง่พอที่จะนอนดึกเพื่อรอให้คูลดาวน์ของ [อัตตา II] เสร็จสิ้น
เมื่อเด็กชายตื่นขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้น แสงสลัวก็ลอดผ่านม่านเข้ามาในห้อง
ดาร์กไม่รอช้าร่าย [อัตตา II] ไปที่รุกกี้เดวิมอนที่กะพริบตาขึ้นมา
“อ๊า… ฮ่า ๆๆ ଘ (  ̄ ˇ  ̄ )/ !”
รุกกี้เดวิมอนบินขึ้นไปในอากาศ แล้วจ้องมองลงมาที่เจ้านายของมันอย่างดูถูก ทั้งยังปล่อยเสียงหัวเราะอย่างเย่อหยิ่งออกมา
แน่นอนว่าดาร์กไม่สนใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ จากนั้นเขาก็มุ่งไปที่การวิจัยโดยตรง “รุกกี้เดวิมอน ใช้สกิลอื่น ๆ กับกำแพงสิ”
ไม่ว่าในกรณีใด วิญญาณรับใช้จะไม่สามารถต้านทานคำสั่งอย่างเป็นทางการของจอมเวทได้
แต่ในทางกลับกัน สปิริตไม่จำเป็นต้องถูกควบคุมโดยกฎนี้เสมอไป
แน่นอน ภายใต้สถานการณ์ปกติ มันยังคงเป็นไปไม่ได้ที่วิญญาณรับใช้ที่มีระดับสติปัญญาสองจะมีความคิดที่จะขัดคำสั่งของเจ้านาย
ดังนั้นแม้ว่ารุกกี้เดวิมอนจะไม่เต็มใจ แต่มันก็ยังใช้สกิลอื่นกับกำแพง จากนั้นดวงตาของมันก็เบิกกว้างขึ้น คลื่นแสงเกลียวสองคลื่นก็พุ่งออกมาจากรูม่านตาสีทองเข้มทันที!
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับผนัง ดาร์กคงคิดว่ามันได้เรียนรู้สกิลแบบ ‘ปืนใหญ่ลำแสงพิเศษ’ แล้ว
แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักว่านี่อาจเป็นสกิลพิเศษสำหรับสิ่งมีชีวิต
ดาร์กอัญเชิญ [สัตว์อสูรมายา: อีบุย] ทันที
แม้ว่าสปิริตจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตของจริง แต่ก็ถือได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตจำลอง
แน่นอนว่าคลื่นแสงเกลียวที่ปล่อยออกมาจากดวงตาของรุกกี้เดวิมอนในที่สุดก็ได้ผล ดวงตาของอีบุยจังค่อย ๆ สับสน จากนั้นก็ผล็อยหลับไป!
[ท่าไม้ตาย: ปีศาจสะกดจิต]
[ปีศาจสะกดจิต: ปล่อยคลื่นสะกดจิตที่สะกดจิตศัตรูได้จากดวงตา]
…
หลังจากทำการทดลองเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้แล้ว ดาร์กก็เริ่มกำหนดเป้าหมายต่อไป
“ยังคงมี [อัตตา] เหลืออยู่ห้าหน่วยซึ่งเป็นขีดจำกัดของเดือนนี้… แต่ฉันคิดว่ามันไม่พอ”
“ส่วนขวดแห่งความคิดนี้ก็เก็บพลังแห่งความคิดไว้ได้เพียงสามวันเท่านั้น ซึ่งถือว่าสั้นเกินไป บางทีอาจถึงเวลาที่จะต้องหาคะแนนเพิ่มเพื่อซื้อของที่ดีกว่านี้แล้ว”
“นอกจากนี้ ฉันยังต้องการลองใช้การ์ดเมจิกหมวดมหาบาปอื่น ๆ ด้วย”
“อืม~ ขอดูก่อนนะ ค่าที่ใกล้ร้อยหน่วยที่สุดคือโทสะและราคะ…”
“เดี๋ยว! ทำไมฉันถึงมีความคิดนี้ล่ะ อันตรายเกินไปแล้ว!”
ดาร์กทิ้งความคิดที่อันตรายนี้ไปอย่างรวดเร็ว จุดประสงค์หลักในตอนนี้ คือการลดค่าของ [อัตตา] ก่อนทำการทดลองอื่น ๆ
หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน ความสามารถในการควบคุมตนเองของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เว้นแต่ว่า [ราคะ] นั้นควบคุมได้ไม่ง่ายนัก [โทสะ] ก็ยังน่ากังวลอยู่ และสุดท้ายก็เหลือ [โลภะ] ซึ่งค่อนข้างอันตรายเล็กน้อย
ตราบใดที่ค่า [อัตตา] ซึ่งควบคุมได้ยากที่สุดถูกทำลายลง มันก็จะไม่มีปัญหาในระยะสั้น
และในอนาคต เมื่อความสามารถในการควบคุมตนเองของเขาแข็งแกร่งขึ้นไปอีก ดาร์กก็จะสามารถควบคุมค่ามหาบาปอื่น ๆ ให้อยู่ที่ประมาณหนึ่งร้อยหน่วยได้…
…
ในขณะที่ผืนท้องฟ้าของสถาบันเซนต์แมเรียนถูกปกคลุมไปด้วยหมู่ก้อนเมฆ นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งก็ได้เข้าสู่คาบเรียนวิชาปรุงยาครั้งที่สองของสัปดาห์นี้แล้ว
ดาร์กมาถึงห้องเรียนล่วงหน้าตามปกติ แต่ที่ทำให้เขาแปลกใจคือ มีนักเรียนอีกสองคนอยู่ภายในห้องต่างจากตอนปกติซึ่งเขาไม่เคยเห็น
วันนี้เวอร์เธอร์กับโรเบิร์ตมาถึงห้องเรียนก่อนอย่างหาได้ยาก!
“เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากัน?”
แม้ว่าเขาจะสังเกตเห็นแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติกับทั้งสองคนตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน ทว่าดาร์กก็ไม่ได้สนใจ
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้สถานการณ์มันชัดเจนมาก!
แม้ว่าปกติแล้วเวอร์เธอร์จะไม่สวมเสื้อผ้าหรูหราเหมือนบางคน แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของตัวเองเป็นอย่างมาก ดาร์กไม่เคยเห็นเขามีผมยุ่งอย่างกับเล้าไก่เหมือนในวันนี้!
‘แล้วทำไมตาของพวกเขาถึงบวมแบบนั้น?’
‘ถูกรังแกมาเหรอ?’
‘นอกจากฉันแล้ว ใครจะกล้ารังแกบุตรแห่งวีรบุรุษกัน?’
‘โอ้พระเจ้า!’
‘อะไรติดอยู่บนหน้าผากของโรเบิร์ตน่ะ?’
“ต้องชนะ?”
ดาร์กพูดไม่ออก
…
เมื่อเวลาเรียนใกล้เข้ามา จำนวนคนในห้องเรียนก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น
มีเพื่อนบางคนอดไม่ได้ที่จะถามพวกเขา
เวอร์เธอร์กัดปากกาขณะกำลังอ่านหนังสือ ใบหน้าของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
ดูเหมือนว่าวิญญาณของโรเบิร์ตจะออกจากร่างไปแล้วจึงหลงเหลือเพียงแต่กายหยาบ เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า “ไม่เป็นไร มันเป็นเพียงราคาของการเรียนรู้!”
…
ปรากฎว่ามันเป็นราคาของการเรียนรู้
‘พวกเขาคงไม่ได้อ่านหนังสือกันทั้งคืนหรอกใช่ไหม?’ การทำแบบนั้นไม่ใช่เรื่องดีเลย
วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ เข้านอนตอนสี่ทุ่ม ตื่นหกโมงเช้า และงีบหลับครึ่งชั่วโมงเพื่อรักษาจิตวิญญาณในแต่ละวัน
ดาร์กอยากถ่ายทอดประสบการณ์ของตัวเองให้กับพวกเขาจริง ๆ
แต่ดูเหมือนเขาจะไม่มีโอกาส
ในไม่ช้า เสียงกริ่งบอกเริ่มคาบเรียนก็ดังขึ้นตอนแปดนาฬิกาตรงเวลา
ศาสตราจารย์ทอมป์สันก้าวเข้ามาในห้องเรียนและพูดว่า “วันนี้เป็นคาบทฤษฎีนะ”
แค่ประโยคเดียวเขาก็ขจัดความกระตือรือร้นทั้งหมดออกจากนักเรียนได้
แม้ว่าคาบทดลองจะยากกว่า แต่นักเรียนชั้นปีหนึ่งก็ชื่นชอบการปรุงยาด้วยตนเองมากกว่า เมื่อเทียบกับการเรียนทฤษฎีที่แสนน่าเบื่อ
ตรงกันข้าม ดวงตาของเวอร์เธอร์และโรเบิร์ตเป็นประกาย!
“เราโชคดีใช่ไหม? โรเบิร์ต”
“ใช่ เวอร์เธอร์ ดูเหมือนว่าความพยายามของเราได้รับการยอมรับจากเทพธิดาแห่งโชคแล้ว”
“วิชาปรุงยาวันนี้ ฉันจะได้คะแนนมากกว่านายห้าคะแนนแน่นอน!”
“ฮ่า ๆๆ นายมั่นใจมากนะเวอร์เธอร์”
…
ประมาณห้านาทีหลังจากเริ่มคาบเรียน ศาสตราจารย์ทอมป์สันได้ถามคำถามแรกว่า “วิธีทำให้น้ำผึ้งวิญญาณบริสุทธิ์ในขั้นตอนการเตรียมคืออะไร จำได้ว่าฉันพูดถึงคำถามนี้ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีใครจำได้ไหม?”
เวอร์เธอร์ยกมือขึ้นทันใด!
แต่ก่อนที่ศาสตราจารย์ทอมป์สันจะสังเกตเห็น เขาก็รีบลดมือลงอย่างรวดเร็ว
การยกมือขึ้นลงนี้ช่างน่ากลัวจริง ๆ ราวกับชักรอกที่เสียการควบคุมและดิ่งลงสู่พสุธาในทันที
เวอร์เธอร์ปาดเหงื่อและได้สติกลับมาในที่สุด
โรเบิร์ตถามอย่างกังวลใจ “เกิดอะไรขึ้นเวอร์เธอร์?”
เวอร์เธอร์ดูเขินอาย “ฮ่า ๆๆ ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าศาสตราจารย์พูดอะไรไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แล้วนายล่ะโรเบิร์ต”
โรเบิร์ตก็ดูสับสน “ถ้านายไม่รู้ ฉันจะรู้ได้ยังไง?”
…
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เวอร์เธอร์บีบต้นขาของโรเบิร์ตอย่างแรง
“อุ๊บ~!”
โรเบิร์ตกระโดดขึ้นเหมือนตั๊กแตนแต่เขารีบปิดปากไว้ทัน
โชคดีที่ศาสตราจารย์ทอมป์สันกำลังเขียนกระดานดำและหหันลังให้กับพวกเขา จึงไม่ได้สังเกตเห็นฉากนี้
เมื่อครู่ โรเบิร์ตหลับไปรอบที่สาม
มันไม่ใช่เรื่องตลกเลยที่จะเผลอหลับในชั้นเรียนของศาสตราจารย์ทอมป์สัน
เมื่อเทียบกันแล้ว ศาสตราจารย์ดีดี้ผู้สอนประวัติศาสตร์เวทมนตร์จะหักคะแนนสูงสุดสิบคะแนน ซึ่งเป็นคะแนนพื้นฐานของบทเรียน
แต่ศาสตราจารย์ทอมป์สันจะหักคะแนนต่อไปแม้ว่านักเรียนจะถึงจุดติดลบแล้วก็ตาม!
โรเบิร์ตเหงื่อออกและรู้สึกว่าตาบวมอีกครั้ง ขณะที่เปลือกตาของเขาหนักเหมือนกับถูกเหล็กถ่วง
…
เมื่อผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า
ในที่สุด ศาสตราจารย์ทอมป์สันก็พูดถึงประเด็นที่พวกเขาดูตัวอย่างมาเมื่อคืนนี้ นั่นคือ วิธีใช้พลังเวทมนตร์เพื่อช่วยในการเตรียมปรุงยา
เวอร์เธอร์มั่นใจในพลังเวทมนตร์ของเขา
ศาสตราจารย์ทอมป์สันเท ‘ของเหลวสีรุ้ง’ ที่ผสมกับหลายสีลงในบีกเกอร์ขนาดห้าลิตรจนเต็ม จากนั้นก็ดึงแท่งแก้วที่บรรจุปรอทไว้ตรงกลางออกมา
เขากำลังจะเรียกนักเรียนมาสาธิต และเวอร์เธอร์ซึ่งตาปูดบวมเหมือนคางคกก็ยกมือขึ้นทันที!
“หืม? เวอร์เธอร์ กาวด์ เธอมาแสดงให้นักเรียนคนอื่นดูได้”
บทที่ 33 ตรารับรองของการ์ดเมจิกหมวดอัตตา
“เวทอัญเชิญ!”
ดาร์กหนีบการ์ดเวทมนตร์ [อัตตา] ด้วยนิ้วชี้และนิ้วกลาง แล้วปัดไปด้านหน้าเพื่อเปิดใช้งาน [อัญเชิญ]!
ทันใดนั้น ลำแสงสีทองนิลก็พุ่งออกมา!
ความหนาของลำแสงนี้เป็นสิ่งที่ดาร์กไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลย
รุกกี้เดวิมอนซึ่งกำลังกุมหัวและนั่งยอง ๆ อยู่บนโต๊ะ ก็ตกใจเช่นกัน
แสงสีทองนิลดูเหมือนจะถูกชักนำ ก่อนจะพุ่งเข้าใส่หน้าผากของรุกกี้เดวิมอนอย่างแม่นยำ!
“อ๊า!”
รุกกี้เดวิมอนส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดทันที ราวกับว่ามันถูกทุบด้วยค้อนหนัก มันบินถอยหลังไปชนกำแพง ทำให้เกิดเสียง ‘ปั้ก!’ แล้วจากนั้นก็ไถลตัวลงมาราวกับซ้อมตาย อีกทั้งยังทิ้งร่องรอยไว้บนผนัง
ห้องนอนเงียบไปครู่หนึ่ง
มุมปากของดาร์กกระตุก แต่เขาเพียงแค่จ้องไปที่รุกกี้เดวิมอนไม่เคลื่อนไหวอย่างเงียบงัน
จนกระทั่งครึ่งนาทีต่อมา รุกกี้เดวิมอนก็ปรือตาขึ้น และตบปีกของมันราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันยืนขึ้นด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง “ช่างโสโครกเสียจริง อากาศก็อบอ้าว ไหนจะมีฝุ่นฟุ้งอีก การอยู่ที่นี่อีกแค่วินาทีเดียวก็ทำให้ข้ารู้สึกป่วย รู้ไหมว่าเจ้าทำอะไรลงไป? เจ้าไม่ได้อุทิศตนเพื่อทำหน้าที่เป็นทาสรับใช้ที่ดี และยังไม่คิดที่จะถวายเครื่องเงินเลิศหรูกับเลือดที่อร่อยที่สุดให้แก่เจ้านายหรืออย่างไร”
ดาร์กอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “นายเป็นแวมไพร์ประเภทไหนกัน?”
รุกกี้เดวิมอนส่ายหัวเล็กน้อย “แวมไพร์? ไม่ อย่าได้เอาสายพันธุ์ชั้นต่ำเช่นนั้นมาเทียบกับข้า ข้าเป็นถึงดาราที่เจิดจรัสและเป็นบุตรแห่งรุ่งอรุณ ในท้ายที่สุดข้าก็จะได้ขึ้นไปยังสรวงสวรรค์ และครองบัลลังก์เหนือเหล่าทวยเทพ ส่วนเจ้าก็จะตกไปยังห้วงที่ลึกที่สุดในขุมนรก”
“นี่มันจูนิเบียว*[1]ขั้นสุดเลยนี่หว่า”
ดาร์กเขียนไว้ในสมุดบันทึกของเขา
‘ยืนยันว่าถ้าอัตตาแรงไปอาจทำลายสมองได้’
…
จากนั้นเขาก็กรองคำพูดของรุกกี้เดวิมอนโดยอัตโนมัติและตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงอย่างละเอียด
ที่ชัดเจนที่สุดคือลายกะโหลกศีรษะที่หน้าผาก หลังจากถูกแสงสีดำของ [อัตตา] ชน มันก็กลายเป็นรอยแดงแปลกประหลาด
ดูเหมือนจะมีตราพิเศษเพิ่มขึ้นมา โดยมีตราประทับ ‘屮’ อยู่ตรงกลาง และเหนือตรานั้นมีสัญลักษณ์ ‘⊙’
วงกลมด้านนอกของตราประทับถูกเขียนเป็นภาษาอังกฤษ
เลเวล: 666
ระบบ: ลูซิเฟอร์
รหัส: อัตตา
และใต้สัญลักษณ์นั้น วงกลมด้านในของตราเขียนไว้ว่า
[คำเตือน: ชำระล้างระดับ 1]
…
ดาร์กครุ่นคิดชั่วขณะหนึ่ง คัดลอกข้อมูลบนตราประทับออกมาทั้งหมด ก่อนจะค่อยแปลออกมา
วงแหวนรอบนอก:
เลเวล: 666
ระบบ: ลูซิเฟอร์
รหัส: อัตตา
วงแหวนภายใน:
[คำเตือน: ชำระล้างระดับ 1!]
…
แม้ว่าดาร์กจะไม่เข้าใจความหมายของ 666 และอีกสองสัญลักษณ์ แต่เขาเข้าใจคร่าว ๆ ว่านี่เป็นตราที่แสดงถึง ‘ความเย่อหยิ่ง’ เป็นส่วนใหญ่
“ดูเหมือนว่าการ์ดเวทมนตร์ [อัตตา] ใหม่นี้จะทำให้รุกกี้เดวิมอนได้รับตราประทับอัตตา!”
“แต่นอกเหนือจากนั้นล่ะ? มันมีความสามารถอื่น ๆ รึเปล่า? มันคงไม่ใช่แค่ลายน้ำใช่ไหม?”
ดาร์กอุ้มรุกกี้เดวิมอนขึ้นมาจากพื้นแล้วสั่งให้ยิง [เดมิ ดาร์ท] ไปที่กำแพงเหมือนครั้งก่อน
“กล้าดียังไงมาสั่งข้า ปลดโซ่ตรวนของข้าออกเดี๋ยวนี้!”
“เดมิ ดาร์ท!”
“ไม่!”
แม้จะมีการต่อต้านด้วยวาจา แต่ร่างกายของรุกกี้เดวิมอนก็เชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายอย่างตรงไปตรงมา
กระบอกเข็มฉีดยาสามกระบอกที่มีหัวฉลามควบแน่นอย่างรวดเร็วจากใต้ปีกและยิงไปที่ผนัง!
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
เข็มฉีดยาสามอันเจาะผนังพร้อมกัน
เทียบกับสามรูที่ปรากฏเมื่อครั้งล่าสุด รูครั้งนี้ใหญ่กว่ามาก!
“พลังของมันแข็งแกร่งขึ้น!”
ดาร์กรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
การ์ด [อัตตา] ใหม่นี้ไม่เพียงแต่ทนต่อการอัดฉีด [อัตตา] สามหน่วยเข้าไปเท่านั้น แต่ยังได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมากอีกด้วย
“โอเค ฉันจะตั้งชื่อมันว่า [อัตตา II] เป็นการชั่วคราว!”
วิญญาณรับใช้นั้นแตกต่างจากสปิริต เนื่องจากไม่สามารถแสดงข้อมูลในรูปของการ์ดได้
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความแข็งแกร่งของรุกกี้เดวิมอนนั้นเพิ่มขึ้น บางทีมันอาจจะไม่ใช่สัตว์วิเศษหนึ่งดาวที่ไร้ประโยชน์อีกต่อไป
“บางทีฉันควรจะทดลองกับอีบุยก่อน”
…
ประมาณสิบสามนาทีต่อมา ตรา [อัตตา] บนหน้าผากของรุกกี้เดวิมอนก็ค่อย ๆ จางลงและเปลี่ยนกลับไปเป็นลายกะโหลกสีขาวก่อนหน้า
ในขณะที่สติของมันฟื้นคืน รุกกี้เดวิมอนก็กระพือปีกของมันทันที และพูดกับตัวเองอย่างกระวนกระวายว่า “ฮะ ไหงหกโมงแล้วล่ะ? ฉันต้องรีบไปที่โรงอาหารเพื่อซื้อของให้เจ้านายกิน ฉันจะปล่อยให้เจ้านายที่รักของฉันหิวไม่ได้…”
ดาร์ก “…”
…
หลังจากทานอาหารที่เจ้าตัวน้อยเอามาให้ และอ่านหนังสือเกี่ยวกับการวิจัยอารมณ์ ดาร์กก็รอคูลดาวน์ของ [อัตตา II] ผ่านไปอย่างเงียบ ๆ
เป็นผลให้เขารอถึงสามชั่วโมงเต็ม!
คูลดาวน์ที่นานเช่นนี้ทำให้ดาร์กค่อย ๆ ตระหนักว่า [อัตตา II] ใบนี้อาจไม่สมบูรณ์
“ปัญหาน่าจะอยู่ที่คุณภาพของการ์ดเวทมนตร์เปล่าและวัตถุดิบที่ใช้ทำ บางทีการจับคู่ของวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์ก็มีปัญหาเล็กน้อยเช่นกัน?”
“แม้ว่า [อัตตา II] จะดูเหมือนใช้งานได้ แต่คูลดาวน์ที่นานเกินไปทำให้มันไม่สามารถใช้เป็นครั้งที่สองในการแข่งเดียวกัน หรือแม้แต่ในวันเดียวกันได้!”
“ฉันต้องหาวิธีปรับแต่งมัน หรือทำการ์ดสำรองเพิ่ม แต่กลับมีข้อจำกัดเรื่องจำนวนการ์ดต่อสำรับในการแข่งขันปกตินี่สิ…”
“แต่เห็นได้ในระดับหนึ่งว่า [อัตตา] สามหน่วยน่าจะเป็นขีดจำกัดที่การ์ดเวทมนตร์เปล่าสิบคะแนนใบนี้สามารถรับได้”
หลังจากบันทึกผลการทดลองแล้วดาร์กก็หยิบ [อัตตา II] ขึ้นมาอีกครั้ง
ส่วนเป้าหมายการทดลองครั้งนี้แน่นอนว่าคือ อีบุยน้อย
อีบุยผู้ถูกอัญเชิญจาก [สัตว์อสูรมายา: อีบุย] ลืมตาขึ้นอย่างน่ารัก และเอียงศีรษะเล็กน้อย “วี้?”
ดาร์ก เดม่อน เจ้าของสายเลือดจอมมารผู้ชั่วร้าย ยื่นมือไปทางอีบุยผู้น่ารักอย่างไร้ความเมตตา!
“จงออกมา!”
ปัด → วิวัฒนาการ → แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย!╭ ( ・ ㅂ ・ ) و ̑̑
หลังจากที่ถูกลำแสงของ [อัตตา II] กระแทก ตราสีแดงของ [อัตตา] ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผากของอีบุยด้วย
ตรานี้ไม่เพียงแต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกย้อนแย้ง แต่กลับทำให้มันดูน่ารักขึ้นแทน
อย่างไรก็ตาม อีบุยเย่อหยิ่งขึ้นมาทันที มันไม่มองหน้าเจ้านายของมันอีกต่อไปแล้ว แต่กลับหันหลังให้กับดาร์กและมองออกไปยังนอกหน้าต่างแทน
เขาไม่แปลกใจ แต่หยิบการ์ด [สัตว์อสูรมายา: อีบุย] ขึ้นมาตรวจสอบข้อมูล
[ชื่อการ์ด: สัตว์อสูรมายา]
[ประเภท: การ์ดวิญญาณ]
[ระดับ : ✪✪ ]
[เผ่าพันธุ์: ประเภทนกและสัตว์อสูร]
[คุณสมบัติ: ปกติ]
[พลังงานเวทมนตร์: 500 หน่วย]
[พลังโจมตี: 700 หน่วย]
[พลังป้องกัน: 300 หน่วย]
[ท่าไม้ตาย: ลอกเลียนแบบ, เบบี้ดอลล์ อายส์]
“แม้ว่าจะไม่ได้วิวัฒนาการ แต่ก็มีค่าพลังเพิ่มขึ้น และก็มีสกิลเพิ่มขึ้นอีกสกิล…”
[ท่าไม้ตาย: เบบี้ดอลล์ อายส์]
[เบบี้ดอลล์ อายส์: อีบุยมองคู่ต่อสู้ด้วยสายตาหยิ่งผยอง ทำให้คู่ต่อสู้รู้สึกหงุดหงิดและลดความอยากต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม]
“พูดอีกอย่างก็คือ จากการ์ดสีน้ำเงินเป็นการ์ดสีม่วง?”
…
“เดี๋ยวนะ นี่หมายความว่า รุกกี้เดวิมอนก็มีสกิลพิเศษภายใต้ผลของ [อัตตา II] ด้วยเหรอ?”
[1] จูนิเบียว คือ อาการเพ้อฝันของเด็กม. 2
บทที่ 32 เอ็มม่า มอร์ติสไม่ใช่เจ้าหนี้ที่แท้จริง
ตอนที่เอ็มม่ายืมหนังสือจากห้องสมุด เป็นช่วงคืนก่อนที่ถนนนักเดินทางจะเปิด
การอ่านชีวประวัติบุคคลในประวัติศาสตร์ และการฟังบรรยายหัวข้อประวัติศาสตร์เป็นหนึ่งในงานอดิเรกที่หายากของเธอ
หนังสือ ‘บันทึกตำนานของบุคคลในประวัติศาสตร์’ นี้ค่อนข้างสนุก ซึ่งได้รวบรวมเรื่องราวที่ดูน่าเหลือเชื่อและน่าสนใจไว้มากมาย
และหน้าที่เธอกำลังอ่านอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักประดิษฐ์หมากรุกเวทมนตร์ นามว่าอามิคิด
ตามตำนาน เมื่อนานมาแล้วอามิคิดได้คิดค้นหมากรุกเวทมนตร์รุ่นแรกที่มีกระดานหมากรุกหกสิบสี่ช่อง ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ในเวลานั้น ดังนั้นกษัตริย์จึงได้ประทานรางวัลแก่อามิคิดอีกครั้ง
เมื่อกษัตริย์ถามเขาว่าต้องการสิ่งใด เขาก็ตอบว่า “ฝ่าบาท ข้าต้องการข้าวสาลีเพียงเล็กน้อย โปรดให้ผู้ใดเอาเมล็ดข้าวสาลีมาวางบนกระดานหมากรุกที่เราประดิษฐ์ขึ้น หนึ่งเม็ดในช่องแรก สองเม็ดในช่องที่สอง สี่เม็ดในช่องที่สาม แปดเม็ดในช่องที่สี่ และสิบหกเม็ดในช่องที่ห้า และต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าช่องที่หกสิบสี่จะเต็ม”
ไม่จำเป็นต้องพูดถึงขนาดกระดานหมากรุกที่จะต้องสามารถใส่เมล็ดพืชได้มากขนาดนั้นเลย สรุปสั้น ๆ เรื่องนี้เหมือนกับตอนจบของ ‘เศรษฐีล้มละลาย’ ที่ดาร์กเล่า
ในที่สุดราชาก็พบว่าแม้ว่าเขาจะหมดทุกอย่าง แต่เขาก็ยังไม่สามารถเติมกระดานหมากรุกหกสิบสี่ได้!
เอ็มม่าได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องนี้
เพียงแต่เธอไม่ได้คาดหวังว่าเวอร์เธอร์และโรเบิร์ตจะแย่ถึงขนาดที่พวกเขาไม่สามารถได้รับคะแนนพื้นฐานจากชั้นเรียน ทั้งที่รู้ว่าตัวเองกำลังมีหนี้ก้อนใหญ่อยู่!
โดยเฉพาะเหตุการณ์ในคาบเรียนคณิตศาสตร์ซึ่งเกินความคาดหมายของเธอ!
…
ตอนแรกเอ็มม่ารู้สึกหงุดหงิดและโกรธที่บุตรแห่งวีรบุรุษทำตัวเหลวแหลก เธอจึงอยากจะสอนบทเรียนให้กับพวกเขา และคงจะดีไม่น้อยหากพวกเขาสามารถเข้าใจถึงความสำคัญของคะแนนได้
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้กลับเป็นสิ่งที่เธอไม่ได้คาดคิดมาก่อน
สำหรับหนี้ที่ว่า อันที่จริงแล้วกฎของสถาบันได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า หนี้ที่มากกว่าสิบเท่าของจำนวนเดิมนั้นไม่ถูกต้อง และจะไม่ได้รับการยอมรับจากสถาบัน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไปถึงบ่ายวันจันทร์ สัญญาจะถือเป็นโมฆะโดยสิ้นเชิง และเวอร์เธอร์และโรเบิร์ตจำเป็นต้องจ่ายคืนเพียงห้าคะแนนเท่าเดิมเท่านั้น
แต่เรื่องที่พวกเขาสองคนไม่เคยอ่านกฎของโรงเรียน…
เอ็มม่าไม่คิดว่ามันเกี่ยวข้องกับเธอ
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เธอให้คะแนนกับพวกเขา เธอก็ไม่เคยคิดที่จะเอามันกลับคืนมา
ทว่าเธอเองก็ไม่ได้ใจดีพอที่จะเตือนพวกเขา
เมื่อเห็นคนน่ารำคาญสองคนวิ่งเต้นไปทั่วอย่างไร้ประโยชน์เพื่อ ‘หนี้ก้อนโต’ ที่ไม่มีอยู่จริง เอ็มม่าก็อดไม่ได้ที่จะสนุกไปกับมัน
พูดได้เพียงว่านี่คือธรรมชาติของมนุษย์ ตัวเธอไม่ใช่คนที่จิตใจดีแสนบริสุทธิ์
ตอนนี้ดูเหมือนว่าสิ่งต่าง ๆ กำลังแปรเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีแล้ว ท้ายที่สุด พวกเขาก็ไม่เคยเข้าห้องสมุดเร็วขนาดนี้มาก่อน!
…
อีกด้าน ดาร์ก เดม่อนเอาตัวเข้ามาอยู่ในห้องทดลองแล้ว
พอยืมกุญแจจากศาสตราจารย์เคเซอร์ได้ เขาก็เข้ามาในห้องทดลองทันที
หลังจากเก็บ [อัตตา] ไว้เป็นเวลาสามวัน ดาร์กก็แทบทนรอไม่ไหวที่จะทดสอบมัน
[อัตตา] หยดที่สามถูกดึงออกมาจากร่างกาย ซึ่งนี่ไม่ได้ทำให้เขาลำบากมากนัก
กลับกัน ตอนนี้เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับการสร้าง [อัตตา I] แล้ว
ดาร์กดึง [อัตตา] ของวันนี้ออกมาก่อน จากนั้นก็โยนมันลงใน [ขวดแห่งความคิด] และผสมกับ [อัตตา] จากสองวันก่อนหน้า แล้วจึงปิดฝาขวดพร้อมกับเขย่าเล็กน้อยเพื่อผสมให้เข้ากัน
ในไม่ช้า ร่องรอยของสีทองคำเข้มที่มองเห็นไม่ชัดก็ปรากฏขึ้นในขวด
สองนาทีต่อมา เขาก็หยิบวัตถุดิบพื้นฐานจากตู้ทดลองและเริ่มต้มยาเสริมที่เรียกว่า ‘น้ำสมอง’
การใช้น้ำยาชนิดนี้กับการ์ดเวทมนตร์ล่วงหน้าอาจทำให้คุณสมบัติพื้นฐานของการ์ดเวทมนตร์เปลี่ยนไปเล็กน้อย และทำให้สสารแห่งความคิด เช่น อารมณ์ต่าง ๆ เคลือบไปกับมันได้ง่ายขึ้น
นี่ถือได้ว่าเป็นกำไรจากการอ่านหนังสือในช่วงนี้
หลังจากที่ต้ม ‘น้ำสมอง’ สำเร็จแล้ว มันก็กลายเป็นของเหลวที่ดูเหมือนไข่ขาวและมีรสเปรี้ยวเล็กน้อย
ขั้นตอนต่อไปคือการต้มลงในแผ่นที่ทำหน้าที่เป็น ‘ของเหลวปิดผนึก’
หลังจากที่ ‘ของเหลวปิดผนึก’ พร้อมแล้ว ในที่สุดก็ถึงคราวทำการ์ดเวทมนตร์
จำนวนที่เหลืออยู่ของการ์ดเวทมนตร์เปล่าคือสอง
ใบหนึ่งซื้อมาและอีกใบคือ ของที่เหลือจากคาบเรียนวิชาเวทมนตร์
ดาร์กหยิบหนึ่งในนั้นมาวางบนโต๊ะทดลองแล้วเกลี่ย ‘น้ำสมอง’ ให้ทั่ว
จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกและค่อย ๆ สงบอารมณ์ลง นิ้วของเขาไม่สั่นอีกต่อไป
[ขวดแห่งความคิด] มีแผ่นฟิล์มที่ป้องกันการสูญเสียสสารแห่งการคิด เช่น ความทรงจำ ซึ่งอยู่ต่ำกว่าปากขวดหนึ่งถึงสามนิ้ว
ดาร์กใส่เครื่องหยดสมองวิเศษเข้าไปในปากขวดอย่างระมัดระวัง เขาค่อนข้างระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้ชั้นฟิล์มแตก
เมื่อวางปลายเครื่องหยดสมองวิเศษลงในตำแหน่งที่เหมาะสม เขาก็บีบสมองวิเศษเบา ๆ และปล่อยมัน
หลังจากทำซ้ำหลายครั้ง หยดสมองวิเศษก็ส่งเสียงร้องแหลม ๆ ออกมา
ดาร์กหยุดบีบ จากนั้นเขาก็ดึงหลอดเครื่องหยดสมองวิเศษออกมา และกดปลายหลอดหยดสมองวิเศษกับการ์ดเวทมนตร์เปล่า และบีบสมองวิเศษออกมาอย่างแรง!
ค่า [อัตตา] ที่สมองวิเศษดูดเข้าไปก็ถูกบ้วนออกมาทันที!
ผลของ ‘น้ำสมอง’ ปรากฏขึ้นทันที และ [อัตตา] ก็ค่อย ๆ กระเพื่อมออกไปด้านนอกราวกับหมึกถูกเทลงในน้ำ
เมื่อการ์ดเวทมนตร์เปล่าถูกย้อมเป็นทองคำเข้ม ดาร์กก็รีบเอา [อัตตา] อีกหนึ่งหยด ปล่อยมันลงบนพื้นผิวของการ์ด
จนสีทองเข้มขึ้นเรื่อย ๆ
และท้ายที่สุด ก็ถึงหยดที่สามของ [อัตตา]!
ด้วยหยดของ [อัตตา] ที่แผ่ออก ‘สีดำ’ ค่อย ๆ กลืนกินสีที่เรียกว่า ‘ทองคำเข้ม’ และสุดท้ายก็กลายเป็น ‘ทองนิล’
ดาร์กบันทึกปรากฏการณ์นี้และเริ่มใช้ ‘ของเหลวปิดผนึก’
…
เมื่อวงเวทขั้นสุดท้ายแสดงผล การ์ดเวทมนตร์ [อัตตา] ทองนิลแบบใหม่ก็ถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์!
ดาร์กฝืนต้านความอยากที่จะทดลองต่อ จากนั้นเขาก็ลบหลักฐานในห้องทดลองก่อน แล้วจึงคืนกุญแจให้ศาสตราจารย์เคเซอร์
ก่อนจะรีบกลับไปที่ห้องนอนและหยิบการ์ดคัดสรร [สัตว์อสูรมายา: อีบุย] [อัตตา I] [การ์ดแห่งความสุข] และการ์ด [อัตตา] ใบใหม่นี้ออกมา นี่คือการ์ดเวทมนตร์ทั้งหมดที่เขามีตอนนี้
โดยทั่วไป การทดลองจำเป็นต้องมีการเปรียบเทียบ
ดาร์กหยิบ [อัตตา I] ขึ้นมาดูสักพักแล้ววางลงอีกครั้ง จากนั้นก็เตรียมทดสอบการ์ด [อัตตา] ใบใหม่ทันที
จากนั้นก็มองดูการ์ดคัดสรรสลับกับ [สัตว์อสูรมายา: อีบุย] แล้วจึงค่อยหยิบการ์ดคัดสรรขึ้นมา
การ์ดคัดสรรเป็นการ์ดเวทมนตร์ระดับสูงที่แจกโดยสถาบัน มันถูกทำขึ้นมาอย่างดีและไม่มีทางเสียหายได้ง่าย ๆ
ในฐานะที่เป็นวิญญาณรับใช้ รุกกี้เดวิมอนจึงทนทานกว่าสปิริตทั่วไปเช่นกัน
ดาร์กสูดหายใจเข้าลึก ๆ
“ในนามของดาร์ก เดม่อน ขออัญเชิญวิญญาณรับใช้!”
ดาร์กถือการ์ดคัดสรรไว้ด้วยนิ้วชี้และนิ้วกลาง พร้อมกับร่ายคำ [อัญเชิญ]!
ด้วยการสูญเสียพลังเวทมนตร์จำนวนมาก วงแหวนเวทมนตร์หกแฉกก็ปรากฏขึ้น
รุกกี้เดวิมอนออกมาจากวงแหวนเวทอย่างน่าสงสาร มันรู้โดยทันทีว่าคืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่ยากลำบาก
บทที่ 31 เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตพยายามไปในทางที่ถูกต้อง
โรเบิร์ตรู้สึกเสียใจทันทีหลังจากที่ตะโกนออกมา อย่างไรก็ตาม มันสายไปแล้วที่จะกลับคำพูด
เขายืนโน้มตัวไปข้างหน้าและค้ำโต๊ะด้วยฝ่ามือ เมื่อเห็นสายตาของเพื่อนนักเรียนเกือบทุกคนที่จ้องมองมา สติของเขาก็กลับมาในทันใด และเข้าใจสถานการณ์ของตัวเองในทันที
…
“บร็อกไฮม์ คุณมีปัญหาอะไรกับเอ็มม่า มอร์ติสหรือเปล่า?”
เสียงของดาร์กยังคงเรียบนิ่ง
แต่โรเบิร์ตได้ยินเป็นความนัยที่ต่างออกไป บนตัวเขามีเหงื่อเย็นเยียบและขาก็เกือบจะสั่นเข้าแล้ว
เรื่องราวของเศรษฐีเจมี่คล้ายกับสถานการณ์ของเขามาก
โรเบิร์ตอารมณ์ไม่มั่นคงเพราะเขาถูกจับได้ว่าตัวเองไม่ได้ทำการบ้านมาก่อน และเพราะตัวอย่างที่ดาร์กยกมา มันทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกเอ็มม่าโกงด้วยคะแนนมากกว่ายี่สิบเอ็ดล้านคะแนน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่ได้
‘มันจบแล้ว ฉันทำมันพังหมดแล้ว!’
โรเบิร์ตรู้สึกสิ้นหวังจนไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าเวอร์เธอร์กำลังกระตุกชายเสื้อของเขาอย่างดุเดือด
“บร็อกไฮม์ ฉันจะถามอีกครั้ง คุณมีปัญหาอะไรกับเอ็มม่า มอร์ติสไหม?”
ดาร์กยืนอยู่บนเวทีแล้วถามอีกครั้ง
โรเบิร์ตทำได้เพียงกัดฟันแล้วตอบว่า “ไม่ ไม่มี”
ดาร์กว่า “อย่างนั้น บร็อกไฮม์หักสิบคะแนน”
…
คาบเรียนคณิตศาสตร์จบลงแล้ว
ดาร์กเก็บหนังสือเรียนและมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของศาสตราจารย์ลิลลี่ โดยตั้งใจจะช่วยเธอจัดห้องทำงาน อย่างน้อยก็เก็บขวดไวน์ทั้งหมดไปทิ้ง
คล้อยหลังจากที่เขาเดินออกไปก็มีความโกลาหลเกิดขึ้นในหมู่นักเรียนปีหนึ่ง
นักเรียนของบ้านขุนนางนั้นตื่นเต้นที่สุด เพราะการสอนของดาร์กยอดเยี่ยมมาก!
พวกเขาถึงกับบอกว่าอยากให้ดาร์กสอนมากกว่าศาสตราจารย์ลิลลี่!
แม้แต่นักเรียนของบ้านนักปราชญ์ก็ยังยอมรับว่าการสอนของดาร์กในชั้นเรียนนี้ยอดเยี่ยมมาก
ส่วนท่าทีของนักเรียนบ้านคนเขลานั้นเรียบง่ายมาก พวกเขาเพียงแค่ชื่นชมดาร์กเท่านั้น
มีเพียงนักเรียนของบ้านอัศวินเท่านั้นที่ถูกจับจ้องจากอีกสามบ้านที่เหลือด้วยสายตาแปลก ๆ และในใจของพวกเขาก็รู้สึกซับซ้อน
คาบเรียนนี้ พวกเขาเป็นเหมือนตัวอย่างของนักเรียนที่ไม่ดี และราวกับเป็นสมาชิกคณะละครสัตว์ในสายตาของบ้านอื่น ๆ
โรเบิร์ตซึ่งเป็นตัวตลกก็แทบอยากจะซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะ!
ถูกหักยี่สิบคะแนน!
ไม่เพียงแต่เขาจะเสียคะแนนพื้นฐานทั้งหมดสำหรับคาบเรียนนี้ แต่เขายังสูญเสียคะแนนพื้นฐานทั้งหมดของเวอร์เธอร์ไปด้วย!
เดิมทีทั้งสองได้รับเจ็ดสิบห้าคะแนนจากการตั้งใจเรียนอย่างหนัก และเหลือเพียงห้าคะแนนสุดท้ายก็จะสามารถชำระหนี้ทั้งหมดได้แล้ว ทว่าห้าคะแนนนี้กลับกลายเป็นกำแพงที่ข้ามไปไม่ได้แล้ว!
นี่ถือเป็นความผิดของใครกัน?
แน่นอน ว่ามันไม่ใช่ความผิดของดาร์ก
และดาร์กก็ให้อภัยมากพอแล้ว!
คงไม่มีใครบอกว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมากเกินไป
นี่อาจเป็นความผิดของโรเบิร์ตเท่านั้น
เพราะเขาไม่ได้ทำการบ้านเอง
…
“ขอโทษ ทั้งหมดมันเป็นความผิดของฉัน”
โรเบิร์ตพูดขึ้นด้วยความรู้สึกผิด
เวอร์เธอร์พิงกำแพงพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นจึงตอบรับเบา ๆ ว่า “ไม่เป็นไร โรเบิร์ต ไปยืมห้าคะแนนจากคนอื่นกันเถอะ”
เมื่อก่อนเป็นโรเบิร์ตที่คอยปลอบโยนเขา ทว่าตอนนี้สถานการณ์กลับกันแล้ว
เวอร์เธอร์ไม่ได้โกรธขนาดนั้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือโรเบิร์ตได้สติกลับมาในที่สุดและเขาไม่ได้เปิดเผยเรื่องหนี้ให้คนอื่นรู้
มิฉะนั้น เขาไม่รู้ว่าเอ็มม่าจะเดือดร้อนหรือไม่ แต่พวกเขาเดือดร้อนแน่นอน
แต่การเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีและมีชื่ออยู่บนเสาแห่งความอัปยศของเซนต์แมเรียนเป็นเวลาหกปีก็ไม่ใช่เรื่องที่จอมเวทฝึกหัดจะทนได้…
ในเรื่องนี้พวกเขาไม่ใช่แค่เหยื่อเท่านั้น
เมื่อเนื้อเรื่องถูกเปิดเผย บางทีตัวเอกในเรื่องที่ดาร์กเล่าอาจจะเปลี่ยนจากคนที่ชื่อ ‘เศรษฐีเจมี่’ เป็น ‘ลูกชายของวีรบุรุษเวอร์เธอร์และเพื่อนตัวน้อยของเขา’ แทน!
เมื่อนึกถึงตอนที่เขาโด่งดังมากในช่วงเข้าสถาบันแรก ๆ แต่ตอนนี้เขากลับต้องแบกรับภาระเอาไว้มากมาย เวอร์เธอร์ก็เริ่มหลงทาง
“ถ้าตั้งใจเรียนตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ฉันจะได้ยืนบนโพเดียมแทนเดม่อนหรือเปล่านะ?”
…
สิ่งต่าง ๆ ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เวอร์เธอร์คิด
พวกเขาล้มเหลวในการหายืมคะแนนเมื่อคืนนี้ แล้ววันนี้พวกเขาจะสามารถหายืมคะแนนได้อย่างไร?
ยิ่งกว่านั้น หลังจากที่ได้ฟังเรื่องสั้นที่ดาร์กบอกแล้ว นักเรียนชั้นปีหนึ่งอาจตระหนักถึงความสำคัญของคณิตศาสตร์และคะแนนในตอนนี้ ดังนั้นจึงไม่มีใครต้องการให้คะแนนแม้แต่หน่วยเดียว
เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตไม่สามารถอธิบายเหตุผลในการยืมคะแนนได้โดยตรง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องถามนักเรียนหลายคนไปทีละคนเท่านั้น แต่การพูดขอยืมบ่อย ๆ กลับกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญในสายตาของนักเรียนคนอื่น
…
เมื่อเวลา 12:45 น. เวอร์เธอร์ทำการคำนวณบางอย่าง
ในอีกสิบห้านาที หนี้จะเพิ่มเป็นสองเท่า จะเปลี่ยนจากแปดสิบเป็นหนึ่งร้อยหกสิบ
และหากพวกเขามีเพียงเจ็ดสิบห้าคะแนน พวกเขาจะต้องการอีกแปดสิบห้าคะแนน!
แต่เหลือเพียงสามคาบเรียนก่อนถึงกำหนดจ่ายถัดไป
ทั้งสามคาบจะให้คะแนนพื้นฐานเพียงหกสิบคะแนนเท่านั้น หากพวกเขาต้องการได้รับคะแนนให้เพียงพอในสามคาบนี้ พวกเขาจำเป็นต้องได้เพิ่มยี่สิบห้าคะแนน!
เวอร์เธอร์พูดขึ้นเสียงเบา “โรเบิร์ต มาตั้งใจเรียนกันเถอะ!”
โรเบิร์ตพูดด้วยน้ำเสียงท้อแท้ “เวอร์เธอร์ ว่าแต่นายทำการบ้านวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์เสร็จแล้วเหรอ?”
เวอร์เธอร์ “…”
…
ในห้องทำงานของศาสตราจารย์ลิลลี่
“มาครับ ดื่มนี่ก่อน…”
“ไม่ ไม่! ใจเย็น ๆ เดี๋ยวมันก็หก! อึก! ขมมาก~ อี๋!”
ดาร์กวางซุปแก้เมาลงบนโต๊ะ และในที่สุดก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ศาสตราจารย์ลิลลี่เป็นมากกว่าศาสตราจารย์ของนักเรียนปีหนึ่ง
ถ้าเขาไม่ปลุกเธอตอนเที่ยง เขาอาจถูกบังคับให้ไปเป็นอาจารย์ของนักเรียนรุ่นพี่แทนด้วย!
ในเวลานั้น เขาอาจจะต้องพูดถึงแคลคูลัส คณิตศาสตร์ควอนตัม ฯลฯ
อาจเป็นความคิดที่ดีที่จะสอนความรู้เกี่ยวกับเรขาคณิตบ้าง
แต่เขากลัวว่าการสอนสิ่งเหล่านั้นจะทำให้เขามีความรู้สึกว่าเหนือกว่า จากนั้นมันก็จะเป็นเกมโอเวอร์สำหรับเขา
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ เขาจึงสั่งให้รุกกี้เดวิมอนไปเอาซุปแก้เมาจากเชฟลูกผสมมา แม้ว่ารสชาติของมันจะขมเฝื่อนก็ตาม
ศาสตราจารย์ลิลลี่ลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทางเหนื่อยล้า เสื้อคลุมของเธอเลื่อนหล่น เผยให้เห็นลาดไหล่ที่อ่อนนุ่มและไหปลาร้าของเธอ
ดาร์กรีบเก็บเสื้อคลุมของเขากลับอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงหนีออกไปก่อนที่ศาสตราจารย์ลิลลี่จะมีโอกาสถามอะไรเขา “ศาสตราจารย์ครับ ผมยังมีเรียนต่อ ไม่ขอรบกวนคุณแล้ว นอกจากนี้ ผมได้อธิบายการบ้านทั้งหมดของเมื่อสัปดาห์ก่อนไปแล้วด้วยครับ”
ปัง!
…
สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในคาบประวัติศาสตร์เวทมนตร์ในตอนบ่าย
ศาสตราจารย์ดีดี้อ่านเอกสารเตรียมบทเรียนเช่นเคย โดยเลือกนักเรียนสองคนตอบคำถามเป็นครั้งคราว
โดยทั่วไปแล้ว ตราบใดที่นักเรียนไม่ได้ผล็อยหลับไปในคาบเรียนนี้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเสียคะแนน
เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตมาที่ห้องเรียนก่อนเวลาและทำการบ้านให้เสร็จ แม้ว่าคำตอบจะไม่ถูก แต่ก็ไม่เสียคะแนน…
หลังเลิกเรียน ทั้งสองก็รีบไปที่ห้องสมุด
พวกเขาไม่เคยกระตือรือร้นในการเรียนขนาดนี้ตั้งแต่เริ่มเปิดภาคเรียน
สองคาบเรียนในเช้าวันพุธจะเป็นวิชาปรุงยาและวิชาอัญเชิญ มันเป็นเรื่องยากมากที่จะได้รับคะแนนพิเศษยี่สิบห้าคะแนนจากสองคาบนี้
ถ้าพวกเขาอยากได้ยี่สิบห้าคะแนนเพิ่มก็จำเป็นต้องมีผลงานที่ดีกว่าดาร์กและเอ็มม่าเสียอีก!
…
เอ็มม่าเดินเข้ามาในห้องสมุด พอดีกับที่เห็นแผ่นหลังของทั้งสองหายไปอย่างรวดเร็ว
“พวกเขาอยู่ที่นี่เหรอ?”
เด็กหญิงบ่นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แล้วเธอก็หันหลังกลับ เข้าไปในห้องอ่านหนังสือจากอีกทางหนึ่ง ตรงไปยังที่ที่เธอเคยนั่ง
เมื่อนั่งลงแล้ว เธอก็หยิบ ‘บันทึกตำนานแห่งบุคคลในประวัติศาสตร์’ เล่มหนักออกจากกระเป๋านักเรียน มือก็พลิกไปยังหน้าที่มีที่คั่นหนังสือ
ด้านซ้ายเป็นภาพบุคคล และด้านขวาเป็นตำนานของบุคคลผู้นี้
หลังจากอ่านเนื้อหานี้อีกครั้ง แล้วเอ็มม่าก็อดพึมพำกับตัวเองไม่ได้ว่า “ไม่นึกเลยว่าเรื่องที่เดม่อนเล่าในวันนี้จะคล้ายกับเรื่องนี้”
บทที่ 30 สมการเลขยกกำลังของดาร์ก เดม่อน
นี่เป็นเรื่องที่โรเบิร์ตสงสัยที่สุดในตอนนี้
หากไม่มีการนับคะแนนสำหรับคาบนี้ เขาและเวอร์เธอร์ก็จะไม่สามารถชำระหนี้ที่เหลือได้
‘อา… ทำไมมันต้องเป็นคาบนี้ด้วย!’
โรเบิร์ตกู่ร้องอย่างท้อแท้ในใจ
…
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ดาร์กได้สอน เขาจะรู้ได้อย่างไรว่ามีการนับคะแนนหรือไม่?
ดาร์กคิดอยู่ครู่หนึ่งและตัดสินใจลองดู “เยี่ยมมาก คำถามของบร็อกไฮม์ถือว่าสร้างสรรค์มาก ดูเหมือนว่าทุกคนจะกังวลกับคำถามนี้เช่นกัน ทำไมเราไม่มาทำการทดลองกันล่ะ?”
โรเบิร์ตสงสัย “การทดลองอะไร?”
จู่ ๆ ดาร์กก็พูดเสียงดัง “บร็อกไฮม์ หักห้าคะแนน!”
สีหน้าของโรเบิร์ตเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
เขารีบหยิบการ์ดคัดสรรออกมาเพื่อตรวจสอบ และเขาเสียคะแนนไปห้าคะแนนจริง ๆ!
ดาร์กถาม “เป็นไง? คะแนนหายไปหรือเปล่า?”
โรเบิร์ตพยักหน้าด้วยใบหน้าเศร้า “ใช่”
ดาร์กยิ้มเล็กน้อย “บร็อกไฮม์ เพิ่มห้าคะแนน”
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเหตุผลคืออะไร แต่เห็นได้ชัดว่าเขามีอำนาจควบคุมคะแนนของนักเรียนในคาบเรียนนี้ได้
เมื่อทราบว่าดาร์กสามารถหักคะแนนได้จริง นักเรียนที่ไม่พอใจก็ข่มกลั้นความไม่พอใจนี้เอาไว้
ดาร์กกล่าวว่า “ในเมื่อทุกคนไม่มีคำถามแล้ว เราก็จะเริ่มคาบเรียนอย่างเป็นทางการ โปรดนำหนังสือแบบฝึกหัดออกมาแล้วเปิดไปยังหน้า XX ว่าแต่… ทุกคนทำการบ้านเสร็จแล้วใช่ไหม?”
เมื่อเผชิญกับคำถามของเขา นักเรียนจากบ้านนักปราชญ์ก็เผยสีหน้าดูถูกออกมา และบางคนในบ้านอัศวินถึงกับเปิดหน้าแบบฝึกหัดเพื่อแสดงให้เขาเห็น
พวกเขาได้เรียนวิชาคณิตศาสตร์ครั้งสุดท้าย เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว ซึ่งผ่านมาได้ห้าวันพอดี
ตราบใดที่ยังเป็นนักเรียนที่ใส่ใจกับการเรียน ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะทำไม่เสร็จใช่ไหม?
แต่เดิม ตามแนวทางปฏิบัติของศาสตราจารย์ลิลลี่ การบ้านจะถูกรวบรวมก่อนสิ้นสุดคาบเรียน พวกมันจะถูกตรวจและแจกคืนในคาบเรียนถัดไป ซึ่งการบ้านสำหรับสัปดาห์ใหม่ก็จะถูกสั่งมาพร้อมกัน
แต่ดาร์กต้องการฆ่าเวลา ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะพูดคุยเกี่ยวกับการบ้านในวันนี้
อย่างไรเสีย เขาก็เป็นคนที่แก้การบ้านส่วนใหญ่ของนักเรียนปีหนึ่ง
หลังจากอธิบายการบ้านในคาบเรียนแล้ว มันยังช่วยให้เขาไม่ต้องมานั่งแก้ไขการบ้านของนักเรียนในภายหลังอีกด้วย!
แต่เมื่อเขากำลังจะเปิดหนังสือแบบฝึกหัด จู่ ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นและสังเกตเห็นว่าสีหน้าของโรเบิร์ตที่ดูน่าเกลียด
…
สีหน้าที่โรเบิร์ตแสดงออกมานั้นยิ่งกว่าน่าเกลียด เขาแทบอยากจะร้องไห้ด้วยซ้ำ!
เพราะเขาลืมทำการบ้านจริง ๆ!
แน่นอน เวอร์เธอร์ที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็ไม่ได้ทำการบ้านเช่นกัน!
เพียงแต่ว่าการควบคุมอารมณ์ของเวอร์เธอร์นั้นดีกว่าโรเบิร์ต เขาก็เลยไม่ได้แสดงออกมามากนัก
การบ้านของวิชาคณิตศาสตร์นั้นถูกมอบหมายทั้งหมดในวันพฤหัสบดี เนื่องจากใกล้จะถึงสุดสัปดาห์แล้ว นักเรียนหลายคนจึงมาทำร่วมกันในช่วงสุดสัปดาห์
แต่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นวันแรกของการเปิดถนนนักเดินทาง!
เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตได้ใช้เงินมหาศาลเพื่อซื้อหมากรุกเวทมนตร์ตัวล่าสุด และตั้งแต่บ่ายวันศุกร์ พวกเขาก็เล่นหมากรุกเวทมนตร์มาตลอดทั้งสัปดาห์ แล้วพวกเขาจะจำการบ้านที่ได้รับมอบหมายได้อย่างไร?
เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา พวกเขามัวแต่คิดหาวิธีที่จะยืมคะแนน พวกเขาก็เลยไม่ได้ทำการบ้านเลยสักตัว!
“โอ๊ย!”
โรเบิร์ตรู้สึกเจ็บที่ต้นขาอย่างกะทันหันและหันไปมองเวอร์เธอร์โดยไม่รู้ตัว
เวอร์เธอร์ดึงมือของเขาและขยิบตาส่งสัญญาณให้เขาทำตัวปกติอย่างรวดเร็ว
แต่ว่าเขาจะทำตัวปกติได้อย่างไร?
เดิมทีดาร์กก็ไม่ได้อยากจะสนใจขนาดนั้น แต่ท่าทางของโรเบิร์ตนั้นชัดเจนมากจนนักเรียนของบ้านขุนนางที่อยู่ตรงข้ามทางเดินทั้งหมดสังเกตเห็น
นักเรียนคนหนึ่งถึงกับมองมาที่เขาอย่างมุ่งร้ายและค่อย ๆ ยกมือขึ้น!
ถ้าเขาปล่อยผ่านไปในเวลานี้ มันคงไร้เหตุผลจริงๆ
ดาร์กพูดอย่างช่วยไม่ได้ “พาวเวลล์ มีอะไรเหรอ?”
พาวเวลล์ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ และชี้ไปที่โรเบิร์ตอย่างผยอง “คุณเดม่อน ฉันเห็นหนูตัวหนึ่งซ่อนการบ้านไว้ที่หว่างขา”
ดาร์กหันไปมองโรเบิร์ตและเวอร์เธอร์ที่อยู่ข้าง ๆ เขาแล้วพูดว่า “กาวด์ช่วยตรวจการบ้านของบร็อกไฮม์ที”
เวอร์เธอร์ก้มหน้าลงอย่างช่วยไม่ได้และเอื้อมมือไปหาหนังสือแบบฝึกหัดของโรเบิร์ต
เขาไม่มีทางเลือก เพราะเขาก็ไม่ได้ทำเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงต้องหักหลังโรเบิร์ต
หลังจากแสร้งทำเป็นตรวจสอบอีกครั้ง เวอร์เธอร์พูดอย่างช่วยไม่ได้ “ขออภัย ดูเหมือนว่าเขาจะลืมทำการบ้านจริง ๆ”
สีหน้าดาร์กเปลี่ยนเป็น ‘บูดบึ้ง’ ทันที “เอาล่ะ บร็อกไฮม์ คุณจำได้ไหมว่าถ้าไม่ทำการบ้านจะโดนหักกี่คะแนน”
โรเบิร์ตกัดฟัน
ดาร์กพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “บร็อกไฮม์ หักสิบคะแนน!”
เวอร์เธอร์คว้ามุมของหนังสือแบบฝึกหัดไว้แน่น
วินาทีนั้น เขารู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีปรากฏขึ้นมา!
…
ดาร์กไม่ได้คาดคั้นจนเกินไป เขาหันกลับมาเขียนแบบฝึกหัดลงบนกระดานดำ พลางอธิบายโจทย์ทีละข้อ
เด็กชายตั้งคำถามเป็นครั้งคราว และยกเรื่องมาอธิบายโจทย์ยาก ๆ บางข้อด้วย มันดียิ่งกว่าการสอนของศาสตราจารย์ลิลลี่เสียอีก
นักเรียนค่อย ๆ พบว่าแบบฝึกหัดที่ยากผิดปกติเหล่านั้นดูเหมือนจะง่ายขึ้นในทันใด!
และโรเบิร์ตในกลุ่มผู้ชมก็หน้าซีด
เวอร์เธอร์พยายามอย่างเต็มที่เพื่อแสร้งทำเป็นว่าเขากำลังฟังอยู่ เขาไม่เคยเกลียดตัวเองที่ไม่ได้ทำการบ้านมากขนาดนี้มาก่อน
แน่นอน ทั้งคู่เป็นนักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง
และเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นบุตรของดาบคู่แห่งอาณาจักร
คนหนึ่งกำลังบรรยายบนโพเดียม อีกคนไม่ได้ทำการบ้านแล้วยังกลัวว่าจะถูกจับได้!
มือของเขากำปากกาด้วยแรงที่ไม่เคยมีมาก่อน
…
การอธิบายแบบฝึกหัดนั้นราบรื่นกว่าที่ดาร์กคาดไว้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการยื้อเวลา!
ถามคำถามสิบนาทีและทำแบบฝึกหัดครึ่งชั่วโมง แล้วสี่สิบนาทีนั้นก็ผ่านไปในพริบตา
ดาร์กมองดูนาฬิกาและตระหนักว่าเขาควรบอกความรู้ที่เป็นประโยชน์บางอย่าง
ดังนั้นเขาจึงทำตามความคิดเริ่มแรกและพูดเกี่ยวกับ ‘สมการเลขยกกำลัง’
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถพูดเกี่ยวกับเลขชี้กำลังได้ เนื่องจากเป็นไปได้มากที่พวกจอมเวทฝึกหัดเหล่านี้จะไม่เข้าใจ
ความคิดที่จะพูดถึงเรื่องนี้มาจากการพบเห็นโดยบังเอิญที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ซึ่งเกี่ยวกับข้อถกเถียงเรื่องหนี้ระหว่างเอ็มม่ากับเวอร์เธอร์และโรเบิร์ต
แม้ว่าดาร์กจะไม่ได้ยินเนื้อหาโดยละเอียดอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาหยุดนึกถึงเรื่องราวเกี่ยวกับการล้มละลายของเศรษฐีเงินล้าน
เนื่องจากดาร์กยืนอยู่บนแท่นโพเดียมในวันนี้ เขาจึงต้องการเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนนักเรียนเหล่านั้นฟัง
ดังนั้นเขาจึงทำตามความคิดของตัวเองและเริ่มพูด “ดาดา วิชี จอมเวทไข่มังกรชื่อดังเคยกล่าวไว้ว่าคณิตศาสตร์เป็นพื้นฐานของจอมเวททั้งหมด! บางคนคิดว่าคณิตศาสตร์มีผลต่อการประลองเวทมนตร์เพียงเล็กน้อย ดังนั้นคุณเลยไม่สนใจที่จะเรียนรู้ และไม่ต้องทำการบ้านด้วยซ้ำ พฤติกรรมแบบนี้ถือว่าโง่มาก!”
“ถ้าคุณไม่รู้แม้แต่คณิตศาสตร์พื้นฐาน อย่าว่าแต่การประลองเวทมนตร์เลย แม้แต่ในชีวิตปกติ คุณจะถูกคนอื่นหลอก”
“กาลครั้งหนึ่ง มีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อเจมี่ที่ล้มละลายเพราะเขาไม่รู้คณิตศาสตร์”
จากนั้นดาร์กก็เล่าเรื่อง
อยู่มาวันหนึ่ง เจมี่ เศรษฐีพันล้านได้พบกับเรื่องที่แปลกประหลาด
คนที่ชื่อเวเบอร์พูดกับเขาว่า “ผมต้องการทำสัญญากับคุณ ผมจะให้หนึ่งแสนเหรียญศักดิ์สิทธิ์แก่คุณทุกวันตลอดทั้งเดือน แต่คุณต้องให้ 0.1 เหรียญแก่ผมในวันแรกเท่านั้น และให้เงินผมมากเป็นสองเท่าของวันก่อนหน้าทุกวัน”
เจมี่เห็นความแตกต่างระหว่าง 0.1 ถึง 100,000 และรู้สึกประหลาดใจมาก “จริงเหรอ! คุณจะรักษาคำพูดของคุณใช่ไหม?”
หลังจากทำสัญญา เจมี่ก็ปลาบปลื้มใจ
ในวันแรก เจมี่ใช้ 0.1 เหรียญและได้รับ 100,000
วันรุ่งขึ้น เจมี่ใช้ 0.2 เหรียญและได้รับ 100,000
ในวันที่สิบ เจมี่มีเงินทั้งหมดหนึ่งล้าน และจ่ายเพียง 5.12 เหรียญศักดิ์สิทธิ์
ในวันที่ยี่สิบ เจมี่มีทั้งหมดสองล้าน ในขณะที่เวเบอร์มีเหรียญศักดิ์สิทธิ์มากกว่าห้าพันเหรียญเท่านั้น
เจมี่อดคิดไม่ได้ว่า “จะดีแค่ไหนถ้าสามารถต่อสัญญาได้สองหรือสามเดือน!”
แต่หลังจากยี่สิบเอ็ดวัน สถานการณ์เปลี่ยนไป!
ในวันที่ยี่สิบเอ็ด เจมี่ใช้จ่ายมากกว่าหนึ่งหมื่น และได้รับหนึ่งแสน
ในวันที่ยี่สิบแปด เจมี่ใช้เงินไปมากกว่า 1.34 ล้านและมีรายได้เพียง 100,000 เท่านั้น
จึงทำให้สุดท้ายเจมี่ต้องจ่ายมากกว่ายี่สิบเอ็ดล้านเหรียญศักดิ์สิทธิ์ให้กับเวเบอร์เพื่อแลกกับเหรียญศักดิ์สิทธิ์ 3.1 ล้านเหรียญในหนึ่งเดือน!
แล้วเจมี่ก็ล้มละลาย!
…
“เอ็มม่า!”
เสียงคำรามของโรเบิร์ตดังก้องไปทั่วห้องเรียน
บทที่ 29 คาบเรียนคณิตศาสตร์ของดาร์ก เดม่อน
เมื่อดาร์กได้รับการแจ้งเตือนนี้ เขาก็ตกตะลึง
เขาอ่านหลาย ๆ รอบเพื่อยืนยันว่าชื่อของเขาถูกเขียนไว้ในหนังสือแจ้งเตือน!
‘ศาสตราจารย์ลิลลี่กำลังคิดจะทำอะไร?’
ตั้งแต่จบวิชาประลองไปจนถึงคาบวิชาคณิตศาสตร์ มีเวลาพักแค่สามสิบนาที
ดาร์กรีบไปที่ห้องทำงานของศาสตราจารย์ลิลลี่เพื่อสอบถาม
ประตูห้องทำงานไม่ได้ล็อก และภายในนั้นก็เงียบสงบ
เมื่อดาร์กเคาะไปสองสามครั้ง จากนั้นเขาก็แง้มประตูเข้าไป
ทันใดนั้น แอลกอฮอล์กลิ่นแรงที่ลอยอวลอยู่ในอากาศก็พุ่งออกมาจากรอยแง้มของประตู จนเกือบจะซัดดาร์กออกไป!
‘โอ้พระเจ้า กลิ่นนี่มันอะไรกัน?’
ดาร์กปิดจมูกของเขาทันที จากนั้นรวบรวมความกล้า และเสี่ยงชีวิตเพื่อผลักประตูห้องทำงานให้เปิดออก!
แล้วเขาก็ได้เห็นภูตน้อยตัวเหม็นนอนอยู่บนโต๊ะที่มักใช้วางหนังสือ การบ้าน และกล่องดินสอ!
ปีกแมลงปอของศาสตราจารย์ลิลลี่ซ้อนทับกันจนย่น และบนโต๊ะก็รายล้อมไปด้วยขวดไวน์กองพะเนิน
เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?!
“ดาร์กเหยอ? @[email protected]”
ศาสตราจารย์ลิลลี่พยายามลืมตา เมื่อเห็นว่าเป็นดาร์ก เธอก็ยกแขนขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “ฉัน… ฉันหวังพึ่งเธอนะ!”
พอพูดจบ ศาสตราจารย์ลิลลี่ก็หลับตาลงอีกครั้งและกรนเหมือนกับหมูตาย
“…”
‘มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันเนี่ย?’
เขารีบปิดประตูเพื่อไม่ให้สภาพที่น่าอายของหัวหน้าอาจารย์ประจำบ้านนักปราชญ์ถูกเปิดเผย
หลังจากที่ดาร์กยืนยันว่าศาสตราจารย์ลิลลี่เพิ่งหลับไป เขาก็พาเธอออกจากโต๊ะและวางลงบนโซฟาข้าง ๆ โต๊ะทำงาน
โชคดีที่ศาสตราจารย์ลิลลี่เป็นเพียงภูตน้อยที่บอบบาง มิฉะนั้น เขาอาจจะไม่สามารถขยับตัวเธอได้
ฟึ่บ!
มีบางอย่างหลุดออกจากมืออีกข้างของศาสตราจารย์ลิลลี่
ดาร์กก้มลงหยิบมันขึ้นมา มันเป็นการ์ดดอกไม้สวยงามซึ่งประดับด้วยดอกไม้สีคราม
‘แม่มดสีคราม?’
ความรักอันบริสุทธิ์และความเมตตากรุณา แม่มดสีครามผู้รักษาสัญญา
เมื่อเขาสัมผัสการ์ด ดอกไม้บนการ์ดจะเคลื่อนออกด้านข้าง และเผยให้เห็นบุคคลที่ปกคลุมไปด้วยดอกไม้ เป็นมนุษย์วัยรุ่นที่มีใบหน้ากลมและรอยยิ้มหวาน ๆ ราวกับภูต
‘นี่คือใคร?’
ดาร์กขมวดคิ้ว แต่รู้สึกว่าเขาไม่ควรดูความลับของคนอื่น จึงสอด [การ์ดดูดวงความรัก] กลับเข้าไปในมือของศาสตราจารย์ลิลลี่
จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อคลุมออกแล้วสวมให้ศาสตราจารย์
หลังจากนั้นเขาก็หันหลังออกจากห้องทำงาน พร้อมเริ่มการสอน!
…
มันเป็นเพียงการสอนแค่หนึ่งบทเรียนเท่านั้น
วิชาคณิตศาสตร์ในชั้นปีหนึ่งนั้นเรียบง่ายเสียจนน่ากลัว
แม้ว่าดาร์กจะไม่มีเวลาเตรียมการสอน แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องเตรียมบทเรียนจริง ๆ
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือต้องเผชิญหน้ากับนักเรียนของทั้งสี่บ้านพร้อมกัน
เนื่องจากศาสตราจารย์โจนส์และศาสตราจารย์ลิลลี่ได้ปรับชั้นเรียน บ้านทั้งสี่จึงเรียนสองคาบด้วยกันในช่วงเช้า
เขาไม่ค่อยห่วงบ้านขุนนางและบ้านอัศวิน
แต่สำหรับนักเรียนของบ้านนักปราชญ์และบ้านคนเขลานั้น ดาร์กไม่รู้จักพวกเขาเลยจริง ๆ
โชคดีที่มันเป็นเพียงการสอนแค่บทเรียนเดียว
‘ฉันหวังว่าจะผ่านมันไปได้นะ’
‘แต่ฉันควรสอนอะไรพวกเขาดีล่ะ? หรือว่า… จะเป็นสมการเลขยกกำลังดีนะ?’
…
เสียงกริ่งดังขึ้น
ดาร์กเดินเข้ามาในห้องเรียนตอนนาทีสุดท้าย
เพราะเป็นห้องเรียนขนาดใหญ่ นักเรียนจากบ้านทั้งสี่จึงนั่งเรียงกันเป็นสี่แถว
เมื่อดาร์กเดินเข้ามาในห้องเรียน บรรยากาศภายในห้องเรียนก็เงียบแปลก ๆ
อาจเป็นเพราะไม่มีใครคิดว่าวันหนึ่งนักเรียนรุ่นเดียวกันจะไปยืนสอนพวกเขาอยู่บนโพเดียม
ดาร์กสัมผัสได้ถึงสายตาของนักเรียนในชั้นปีเดียวกัน แต่เขากลับไม่รู้สึกอึดอัดสักนิด
ในฐานะบุตรชายของดัชเชสเพียงคนเดียวในอาณาจักรและวัลคีรีซึ่งเป็นหนึ่งในดาบคู่ของอาณาจักร เขาจึงได้รับความสนใจมาตลอด
เพราะได้รับคำชมและคำเยินยอที่มากเกินไป ทั้งยังปล่อยตัวตามใจชอบจนบ่มเพาะนิสัยเลวร้ายขึ้นมา
แต่โชคดีที่มันไม่สายเกินไปที่จะแก้ไข
ดาร์กก้าวขึ้นไปบนแท่น
จากนั้นเขาก็ได้สัมผัสมุมมองพิเศษเฉพาะของศาสตราจารย์เคเซอร์ทันที!
“ปรากฏว่ามันไม่ง่ายสำหรับศาสตราจารย์เคเซอร์เลย”
มีอาจารย์สามคนในสถาบันที่สูงน้อยกว่าร้อยห้าสิบเซนติเมตร
แต่ศาสตราจารย์ลิลลี่และศาสตราจารย์ดีดี้ต่างก็เป็นภูตมีปีก จึงมักจะบินอยู่ในอากาศเสมอ
มีเพียงศาสตราจารย์เคเซอร์เท่านั้นที่ลำบากเป็นพิเศษ!
ดาร์กอายุสิบสองปีในปีนี้ ซึ่งสูงกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบเซนติเมตรแล้ว และเขาก็ดูไม่เตี้ยเลยตอนที่ยืนอยู่กับนักเรียนชั้นปีเดียวกัน
แต่ทันทีที่ดาร์กยืนอยู่บนแท่น เขารู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป
จากนั้นเขาก็มองลงมาและสังเกตว่ามีแท่นวางเท้าซ่อนอยู่ใต้โพเดียม!
…
ดาร์กที่จู่ ๆ ก็สูงขึ้นเล็กน้อย แนะนำตัวเองก่อน “สวัสดีทุกคน ผมคือดาร์ก เดม่อน เชื่อว่าน่าจะมีคนจำนวนน้อยที่ไม่รู้จักผม สรุปสั้น ๆ ก็คือผมจะสอนวิชานี้เป็นการชั่วคราว และถ้าอยากรู้อะไรถามก่อนได้เลย”
สำหรับคาบเรียนเก้าสิบนาที ดาร์กได้วางแผนที่จะใช้เวลาสองสามนาทีในการตอบคำถาม จากนั้นใช้เวลาหลายสิบนาทีพูดคุยเกี่ยวกับการบ้านที่สอนในชั้นเรียนที่แล้ว และสุดท้ายก็พูดถึงเนื้อหาบางส่วนที่ปีหนึ่งยังไม่ได้เรียน
อาจเป็นเพราะเขาหน้าตาดีพร้อมด้วยรอยยิ้ม บรรยากาศในห้องเรียนจึงผ่อนคลายลงมาก
เอ็มม่า มอร์ติสแห่งบ้านอัศวิน ยกมือขึ้น และดาร์กก็พยักหน้าให้เธอ
เอ็มม่าถามทันที “ศาสตราจารย์ลิลลี่ไปไหน? ทำไมเธอถึงมาสอนไม่ได้?”
แน่นอน นักเรียนทุกคนต้องการทราบคำตอบของคำถามนี้ และเกิดความโกลาหลในชั้นเรียนขึ้นเล็กน้อยด้วยเหตุนี้
ดาร์กอดยิ้มไม่ได้ “เมื่อคืนนี้ ศาสตราจารย์ลิลลี่ได้ศึกษาเกี่ยวกับปีศาจของลาปลาซ เธอเพิ่งหลับไปไม่นานเพราะความอ่อนเพลีย”
เอ็มม่าถามด้วยความสงสัยอีก “ปีศาจของลาปลาซคืออะไร?”
ดาร์กตอบ “สัตว์วิเศษชนิดหนึ่ง”
เอ็มม่านั่งลงอย่างสงสัย
นักเรียนใหม่อีกคนจากบ้านนักปราชญ์ยกมือขึ้นทันที
ดาร์กพูดว่า “นักเรียนจากบ้านนักปราชญ์ คุณมีคำถามอะไรไหม?”
นักเรียนใหม่พูดอย่างฉุนเฉียว “ทำไมนายถึงยืนบนโพเดียมได้?”
ดาร์กตอบว่า “เพราะผมเคยแก้การบ้านให้คุณ”
สีหน้าของเด็กชายคนนั้นแข็งทื่อทันที และเขาก็นั่งลงอย่างเชื่องช้า
จากนั้น นักเรียนหลายคนยกมือขึ้นเพื่อถามคำถาม
นักเรียนส่วนใหญ่ของบ้านนักปราชญ์รู้สึกไม่พอใจ ในขณะที่นักเรียนของบ้านอัศวินดูไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ ส่วนนักเรียนของบ้านคนเขลาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก แต่นักเรียนของบ้านขุนนางกลับรู้สึกภูมิใจผิดกับสามบ้านที่เหลือ
ดาร์กเพียงเหลือบมองไปรอบ ๆ และสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ มากมายจากเพื่อนนักเรียน
นักเรียนของบ้านขุนนางใช้โอกาสนี้เพื่อเยาะเย้ยบ้านอัศวิน
ดาร์กกำลังคิดที่จะเตือนพวกเขา แต่ก็เห็นโรเบิร์ตยกมือขึ้นเสียก่อน
“โรเบิร์ต บร็อกไฮม์ เชิญ”
โรเบิร์ตยืนขึ้นและถามคำถามที่เขาสนใจมากที่สุด “ขอโทษนะ แต่คะแนนสำหรับวิชานี้ยังนับอยู่ไหม?”
บทที่ 28 เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตได้คะแนนรวมเจ็ดสิบห้าคะแนน
เมื่อพูดถึงการศึกษาก่อนวัยเรียนของชนชั้นสูงที่ดาร์กได้รับ การฝึกขี่ม้าและยิงธนูก็รวมอยู่ในนั้นด้วย
ในฐานะลูกชายของวัลคีรี เขายังได้รับการฝึกฝนวิชาดาบด้วย แต่ต่อมาก็ยอมแพ้กลางคัน
นักเรียนใหม่ส่วนใหญ่ของบ้านขุนนางก็เหมือนกัน แม้ว่าพวกเขาจะเกียจคร้านและหย่อนยานในระหว่างการฝึก แต่พวกเขาก็ยังสามารถรักษาสมรรถภาพทางกายไว้ใกล้เส้นมาตรฐานที่ยอมรับได้
ทว่านักเรียนของบ้านนักปราชญ์หลายคนนั้นถือหนังสือและอ่านมันตลอดทั้งวันโดยไม่ออกกำลังกาย สมรรถภาพทางกายของพวกเขาจึงด้อยกว่าบ้านขุนนางมาก
แต่นี่เทียบไม่ได้กับนักเรียนของบ้านอัศวิน!
โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกับนักเรียนของบ้านคนเขลา
ด้วยวิธีนี้ทำให้เห็นชัดว่า ใครจะตามหลังและใครจะวิ่งไม่จบ
หนอนหนังสืออย่างเอ็มม่าที่ดาร์กไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงได้รับมอบหมายให้ไปที่บ้านอัศวินจึงไม่มีความได้เปรียบทางสมรรถภาพทางกายเมื่อเทียบกับโรส หลังจากผ่านไปเพียงครึ่งรอบ เธอก็เริ่มหอบ และใบหน้าก็ซีดเซียวหลังจากวิ่งได้รอบหนึ่ง
โรสก็ไม่ต่างจากเธอสักเท่าไหร่
แต่เวอร์เธอร์ค่อนข้างดีกว่า โภชนาการที่ได้รับจากโรงอาหารตลอดหนึ่งเดือนช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารไปได้มาก ดังนั้นสุขภาพของเขาจึงค่อย ๆ ฟื้นตัว
แม้ว่าจะรู้สึกเหมือนกระดูกของเขาปวดร้าวไปทั่วหลังการวิ่ง แต่เวอร์เธอร์ก็สามารถผ่านมาได้
หลังจากชะลอความเร็วด้วยการสนับสนุนของโรเบิร์ต ทั้งคู่ก็หันไปมองเอ็มม่า
อารมณ์ในดวงตาของเวอร์เธอร์นั้นไม่แน่นอน ในขณะที่โรเบิร์ตกำลังมองอย่างเยาะเย้ย!
ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลว่าจะโดนหักคะแนน เขาอาจจะพูดเยาะเย้ยเธอด้วยซ้ำ
…
“มอร์ติสหักห้าคะแนน รอธร็อคหักห้าคะแนน สวาติหักห้าคะแนน…”
ศาสตราจารย์โจนส์หักคะแนนนักเรียนที่วิ่งไม่ครบรอบอย่างไร้ความปราณี!
“ดูเหมือนว่าการจ็อกกิ้งตอนเช้าที่ฉันแนะนำให้พวกเธอทำเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจะไม่มีใครทำเลยสินะ”
“ฉันเคยเห็นนักเรียนจากบ้านนักปราชญ์หลายคนเหมือนพวกเธอ! คิดว่าสมองที่ชาญฉลาดนั่นจะทำให้พวกเธอได้เปรียบในการประลองเวทมนตร์สินะ แต่เธอไม่รู้ตัวเลยว่าการประลองเวทมนตร์นั้นต้องพึ่งสมรรถภาพทางกายของจอมเวทด้วย นับตั้งแต่สมัยโบราณมา มีจอมเวทนับไม่ถ้วนที่หมดสติบนสนามประลองเพราะขาดสมรรถภาพทางกาย! หรือพวกเธออยากขึ้นพาดหัวข่าวด้วยเรื่องนี้ด้วย?”
ศาสตราจารย์โจนส์แสดงด้านที่เข้มงวดออกมาเป็นครั้งแรก
“พักห้านาที!”
…
ทันทีที่แววตาของศาสตราจารย์โจนส์อ่อนลง ไดแอนนาก็วิ่งเข้าไปหาโรสทันทีและอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนคล้ายกับอุ้มเจ้าหญิง โดยไม่คำนึงถึงความเหนื่อยล้าของตัวเอง จากนั้นก็พาเธอไปพักผ่อนที่ม้านั่งข้างสนาม
ส่วนนักเรียนที่เหลือมีเพื่อนไม่มากก็น้อยคอยช่วยดูแล
ในท้ายที่สุด เหลือเพียงเอ็มม่าผู้โดดเดี่ยว เธอเหงื่อออกและนั่งหน้าซีดอยู่บนพื้น
เวอร์เธอร์ทนดูไม่ได้เลยพูดว่า “โรเบิร์ต เราควรช่วยเธอไหม?”
โรเบิร์ตหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ช่วยเธอ? ช่วยทำไม? เวอร์เธอร์ เราไม่ใช่เพื่อนกับเธอสักหน่อย!”
เวอร์เธอร์เห็นด้วย “นายพูดถูก”
นี่คือจุดเปลี่ยนของเรื่อง
…
ห้านาทีต่อมา
นักเรียนจัดกลุ่มใหม่ พวกเขายืนอยู่เป็นสี่กลุ่มซึ่งเป็นตัวแทนของบ้านสี่หลัง
ในที่สุด ศาสตราจารย์โจนส์ก็พูดถึงหัวข้อของวันนี้ “เกี่ยวกับทฤษฎีพื้นฐานของการประลอง เราได้พูดถึงเรื่องนี้ไปแล้ว บทเรียนวันนี้ส่วนใหญ่เป็นการซ้อมประลองเวทมนตร์ โดยทั่วไปแล้ว นักเรียนปีหนึ่งจะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมชมรมการประลองและการแข่งขันการประลองที่ถูกจัดโดยสถาบันการศึกษา แต่เรามีโหมดการแข่งขันของเราเอง ซึ่งเป็นโหมดระดับสูงที่สร้างโดยจอมเวทสีชาด ใครสามารถอธิบายได้ว่าโหมดระดับสูงคืออะไร?”
ในกลุ่มบ้านอัศวิน โรเบิร์ตส่ายหัวและกระซิบทันทีว่า “เวอร์เธอร์ นี่เป็นโอกาสที่จะได้รับคะแนนพิเศษ!”
ทว่าสีหน้าของเวอร์เธอร์กลับแสดงความรู้สึกผิดและความเขินอายผสมกัน “แต่ฉันไม่รู้นี่”
เอ็มม่ายกมือขึ้นอย่างสั่นเทา
ดาร์กไม่สนใจในแต้มเล็กน้อยเหล่านั้นอีกต่อไป
ศาสตราจารย์โจนส์มองผ่านใบหน้าของเอ็มม่า ทว่าเธอเลือกผู้หญิงจากบ้านนักปราชญ์ “สวาติ เธออธิบายมา”
“ค่ะ ศาสตราจารย์”
เด็กหญิงที่ชื่อซาร่า สวาติมีผิวสีข้าวสาลีดูสุขภาพดี จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากอวบอิ่มเล็กน้อย
เธอยังกระตือรือร้นที่จะกู้คะแนนที่เพิ่งถูกหักไปกลับคืนมา จากนั้นเธอก็กล่าวว่า “โหมดระดับสูงคือ โหมดการประลองที่มีการ์ดวิญญาณใบเดียวเป็นแกนหลัก จอมเวทฝึกหัดได้รับอนุญาตให้ใช้การ์ดวิญญาณและการ์ดเมจิกสนับสนุนเท่านั้น การ์ดเวทมนตร์ที่เหลือจะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ และจอมเวทสามารถอัญเชิญสปิริตได้เพียงตัวเดียวในแต่ละรอบของการแข่งขันเท่านั้น ตามกฎก่อนการประลอง สามารถแบ่งได้เป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว การต่อสู้แบบคู่ การต่อสู้แบบกลุ่มสามคน และการต่อสู้แบบกลุ่มหกคนค่ะ”
“โอเค ห้าคะแนนสำหรับสวาติ”
ซาร่ายังคงต้องการจะพูดต่อ แต่ศาสตราจารย์โจนส์ตัดบทขึ้นมาว่า “โหมดระดับสูงส่วนใหญ่เอาไว้ทดสอบคุณภาพของการ์ดวิญญาณ แม้ว่าจะมีการ์ดวิญญาณเพียงใบเดียว แต่ก็สามารถท้าประลองได้ ซึ่งเหมาะสำหรับนักเรียนปีหนึ่งของเรามากกว่า เอาล่ะ ผู้ที่สร้างการ์ดวิญญาณได้สำเร็จ จงก้าวออกมา”
นักเรียนใหม่เดินออกทีละคน
บ้านขุนนางมีดาร์ก ไดแอนนาและอีกสามคน
บ้านอัศวินมีเอ็มม่า เวอร์เธอร์และอีกสองคน
บ้านนักปราชญ์มีซาร่าและอีกหกคน
บ้านคนเขลามีเพียงคนเดียว
มีคนออกมาทั้งหมดสิบเจ็ดคน นอกจากไดแอนนาและเวอร์เธอร์ ทุกคนล้วนเป็นนักเรียนชั้นยอดในปีหนึ่ง
“มีแค่สิบเจ็ดคนเองเหรอ?”
สีหน้าของศาสตราจารย์โจนส์แสดงความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด “นี่เป็นรุ่นที่แย่ที่สุดที่ฉันเคยสอนมาเลย!”
นักเรียนไม่พูดอะไร
ศาสตราจารย์โจนส์กล่าวต่อ “วันนี้จะเป็นแค่การบรรยายกับการจำลองการแข่งขันเท่านั้น ส่วนการประลองจริงจะถูกจัดขึ้นอีกครั้งในคาบเรียนของวันศุกร์นี้ ผู้ชนะจะได้รับรางวัลหนึ่งพันคะแนน!”
“หนึ่งพันคะแนน? ฉันสามารถซื้อลูกอมที่น่าสนใจได้กี่เม็ดกัน?” มีใครบางคนพูดขึ้นเบา ๆ (¯ ﹃ ¯)
เหล่าจอมเวทฝึกหัดที่เพิ่งใช้เวลาช็อปปิงบนถนนนักเดินทางเมื่อไม่นานมานี้และยังไม่รู้สึกหนำใจ ก็เริ่มพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นทันที
เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตก็ตื่นเต้นเช่นกัน “ถ้าเรามีคะแนนหนึ่งพันคะแนน หนี้แบบไหนเราก็ใช้คืนได้”
แม้แต่เอ็มม่าก็สนใจ “ร้านหนังสือโบราณที่ก็อบลินเปิด ดูเหมือนจะมีหนังสือเวทมนตร์โบราณราคาแพงมากมายทีเดียว…”
แน่นอนว่ามีคนต้องการใช้ทางลัดเช่นกัน “ร้านเวทมนตร์ของฮอร์นขายการ์ดเวทมนตร์กึ่งสำเร็จรูป แม้แต่ผู้เริ่มต้นก็สามารถหาการ์ดเวทมนตร์ได้ง่าย ๆ ในราคา 998!”
สีหน้าของดาร์กไม่แยแส แต่พอคิดว่าคะแนนของเขาก็มีไม่เพียงพอ…
ศาสตราจารย์โจนส์อดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นว่ารางวัลหนึ่งพันคะแนนมีผลต่อนักเรียนอย่างมาก
เนื้อหาในคาบเรียนต่อไปจะเป็นการคัดเลือกนักเรียนจากทั้งสิบเจ็ดคนนี้ที่สร้าง [สัตว์อสูรมายา] สำเร็จให้ออกมาสาธิตแก่นักเรียนคนอื่น
เวอร์เธอร์เข้าร่วมอย่างกระตือรือร้นเพื่อที่จะรับห้าคะแนนให้ได้
นอกจากคะแนนจากการเรียนพื้นฐานแล้ว เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตยังได้คะแนนสามสิบคะแนนจากคาบเรียนนี้!
และเมื่อวานนี้พวกเขาก็ได้สี่สิบห้าคะแนนมาแล้ว ดังนั้นตอนนี้พวกเขาจึงมีคะแนนเต็มเจ็ดสิบห้าคะแนน!
“เจ็ดสิบห้าคะแนน! เวอร์เธอร์!”
โรเบิร์ตพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ต่อไป ตราบใดที่เราได้ห้าคะแนนในวิชาคณิตศาสตร์ เราก็จะสามารถจ่ายหนี้ได้! แล้วจากนั้นเราก็จะสามารถกำจัดยัยนากตัวนั้นออกไปได้!”
เวอร์เธอร์ก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน “แค่ห้าคะแนน เราจะต้องได้มันแน่นอน!”
…
หลังเลิกเรียน
นักเรียนในสี่บ้านได้รับการแจ้งเตือนอีกครั้ง
คาบวิชาคณิตศาสตร์ของวันนี้จะถูกจัดขึ้นในห้องเรียนขนาดใหญ่ และนักเรียนคนโปรดของศาสตราจารย์ลิลลี่… ดาร์ก เดม่อนจะเป็นผู้สอน
บทที่ 27 เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตเริ่มต้นบนเส้นทางแห่งชีวิต
“พวกเราขอแค่ห้าคะแนน ถ้ามากเกินไปก็สามคะแนนก็ได้ ได้โปรด…ให้เราสักคะแนนก็ยังดี!”
“ขอโทษจริง ๆ นะ แต่ฉันจำเป็นต้องเก็บคะแนนที่เหลือทั้งหมดไว้ ถ้าฉันสร้าง [สัตว์อสูรมายา] ล้มเหลวอีกครั้งจะทำยังไง? ฉันก็อยากทำการบ้านให้เสร็จนะ”
“คะแนนเดียวเนี่ยนะ? คะแนนเดียวจะไปมีประโยชน์อะไร? ไปหาวิธีอื่นเถอะ”
“โรเบิร์ต? นายไปยืมจากเวอร์เธอร์ก็ได้ถ้านายมีคะแนนไม่พอ”
“ฮะ? บุตรชายของวีรบุรุษก็คะแนนไม่พองั้นเหรอ? ไม่มีทาง!”
“ฉันสัญญาว่าจะให้บาร์บาร่ายืมคะแนนแล้ว เธอซื้อของที่ถนนนักเดินทางมากเกินไปเลยมีคะแนนไม่พอเหมือนกัน”
“โรเบิร์ตเหรอ? ลืมไปเถอะ ถ้าเป็นเวอร์เธอร์มาขอยืมฉันละก็… อันที่จริง ฉันก็ต้องซื้อชุดวัตถุดิบ [สัตว์อสูรมายา] ด้วย เหมือนกัน ฮะ ๆ”
“ฮะ ๆ ที่หน้าแกสิ!”
…
ขณะที่เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตกำลังดิ้นรนเพื่อขอยืมคะแนนจากคนอื่น ดาร์กก็พบกับความสุขใหม่ในห้องนอน
“โครงการวิจัยสปิริต!”
แน่นอนว่าผู้คนสามารถค้นพบความเป็นไปได้มากมาย ตราบใดที่พวกเขาคิดอย่างรอบคอบ แม้ว่าจะมีสายเลือดคลุ้มคลั่งของจอมมาร พวกมันก็ต้องยอมจำนนต่อมันสมองของมนุษย์
การวิจัย [สัตว์อสูรมายา: อีบุย] เป็นไปด้วยดีโดยไม่มีปัญหาใด ๆ
ด้วยการหายไปของเอฟเฟกต์ [อัตตา I] อีบุยจึงกลับมามีบุคลิกที่นุ่มนวลและน่ารัก ดูไม่หยิ่งยโสอีกต่อไป แต่จิตวิญญาณในดวงตาของมันยังคงอยู่
แม้ว่าระดับสติปัญญาจะไม่ดีเท่ารุกกี้เดวิมอนแต่ก็ยังมีระดับสติปัญญาที่ 2.5 ซึ่งใกล้เคียงกับวิญญาณรับใช้ปกติ
เมื่อเทียบกับวิญญาณรับใช้แล้ว สปิริตสามารถรักษาร่างกายของพวกมันได้เป็นเวลานาน ในขณะที่ใช้พลังเวทมนตร์ตลอดเวลา
การบริโภคเริ่มต้นคือ พลังเวทมนตร์ที่ดึงมาจากคาถาอัญเชิญของจอมเวท
การใช้พลังเวทมนตร์ส่วนนี้ค่อนข้างช้า แม้ว่าจะไม่ได้มากมายนัก แต่ก็สามารถอยู่ได้เป็นเวลาสามถึงห้านาที และจากนั้นก็จะเริ่มใช้พลังเวทมนตร์ของตัวเอง
อัตราการใช้พลังเวทมนตร์ของสปิริตหนึ่งดาวคือ หนึ่งหน่วยต่อวินาที
จากพลังเวทมนตร์รวมของอีบุยที่หนึ่งร้อยหน่วย ซึ่งสามารถอยู่ได้เพียงนาทีสี่สิบวินาทีเท่านั้น
หากท่าไม้ตาย [ลอกเลียนแบบ] ที่ใช้พลังงานเวทมนต์หนึ่งร้อยหน่วยถูกปล่อยออกมา มันจะสลายไปในทันที!
และครั้งต่อไปที่ดาร์กต้องการอัญเชิญมันออกมาอีกครั้ง เขาจะต้องชาร์จพลังเวทมนตร์ของมันก่อน
หากเติมพลังให้สปิริตหลายครั้งในระยะเวลาสั้น ๆ ความทนทานของการ์ดวิญญาณจะลดลงอย่างรวดเร็ว
ซึ่งเหมือนกับการลดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่เมื่อชาร์จหลายครั้งเกินไป
แต่ก็มีวิธีการซ่อมแซมการ์ดวิญญาณที่สอดคล้องกันอยู่
มันสามารถซ่อมแซมได้โดยใช้ส่วนหนึ่งของวัสดุที่ใช้ทำการ์ดวิญญาณ
ดังนั้นจอมเวทมักจะบันทึกสำเนาของวัตถุดิบสำหรับการ์ดวิญญาณหลักไว้เป็นข้อมูลสำรอง
“เดมิ ดาร์ท!”
ด้วยการสะบัดปีกของรุกกี้เดวิมอน มันก็ยิงเข็มฉีดยาหัวฉลามออกมา!
อีบุยหลบหลีกอย่างคล่องแคล่วก่อนที่จะใช้ท่าไม้ตาย [ลอกเลียนแบบ] อย่างรวดเร็ว และเข็มฉีดยาที่มีสีแตกต่างกันเล็กน้อยก็ก่อตัวขึ้นและยิงไปทางรุกกี้เดวิมอน!
รุกกี้เดวิมอนกรีดร้องขณะบินหลบการโจมตี และอีบุยก็หายไปหลังจากปล่อยสกิล [ลอกเลียนแบบ]
ดาร์กมองไปที่อีบุยตัวน้อยที่ค่อย ๆ ควบแน่นบนการ์ด [สัตว์อสูรมายา: อีบุย] และเริ่มพยายามเติมพลังเวทมนตร์ตามคำอธิบายในหนังสือเรียน
การเติมพลังเวทมนตร์ไม่ใช่เรื่องยาก เขาเพียงแค่ต้องให้ความสนใจกับความเร็วและปริมาณของพลังเวทมนตร์ที่ป้อนเข้าไป เมื่อการ์ดวิญญาณค่อย ๆ สว่างขึ้น แสดงว่าพลังเวทมนตร์เต็มแล้ว
ดาร์กรวบรวมพลังเวทที่ปลายนิ้วเพื่อวาดวงแหวนเติมพลังเวทมนตร์รูปดาวหกแฉก จากนั้นชี้ไปที่ศูนย์กลางของวงแหวนเวทมนตร์ซึ่งเป็นตำแหน่งบริเวณท้องของอีบุยแล้วใส่พลังงานเวทมนตร์เข้าไป
“วี้วี้…”
อีบุยบนการ์ดส่งเสียงแปลก ๆ ทำให้ดาร์กตกใจ
จากนั้นเขาก็รู้ทันทีว่าเขาอาจจะสามารถเข้าสู่ขอบเขตของ [จอมเวทพันธะวิญญาณ] ได้อีกทางหนึ่ง
…
สองนาทีต่อมา
ดาร์กเรียนรู้วิธีการเคลื่อนวงแหวนเวทมนตร์ขณะเติมพลังเวทมนตร์
วงแหวนเติมพลังเวทมนตร์ขยับตามการเคลื่อนไหวของนิ้วเด็กชาย และพลังเวทมนตร์ยังคงไหลออกไปไม่หยุด
ดาร์กใช้นิ้วลูบท้องของอีบุยตัวน้อย พลางฟังเสียง ‘วี้วี้’ จากนั้นมุมปากของเขาก็โค้งขึ้นอย่างชั่วร้าย
[ราคะ +1]
…
วันอังคาร
ในที่สุดวิชาการประลองของสัปดาห์นี้ก็เข้าสู่บทเรียนใหม่
เมื่อเวลาเจ็ดโมงเช้า จู่ ๆ ก็มีการแจ้งเตือนปรากฏขึ้นบนการ์ดคัดสรรของนักเรียนปีหนึ่งของทั้งสี่บ้าน
ดาร์กดึงการ์ดคัดสรรที่สั่นอยู่ตลอดเวลาออกจากซองการ์ด และเห็นว่าเป็นการแจ้งเตือนให้เปลี่ยนห้องเรียน
“งั้นวันนี้วิชาประลองจะสอนที่โถงประลองกันเหรอ?”
สถาบันเซนต์แมเรียนมีโถงประลองอยู่สามที่ คือในที่ร่มสอง และกลางแจ้งหนึ่ง
โถงประลองในที่ร่มจะใช้สำหรับการเรียนการสอน โดยแบ่งออกเป็นโถงประลองหนึ่ง และโถงประลองสอง
ส่วนลานประลองกลางแจ้งจะใช้สำหรับการแข่งขันประลอง และยังเป็นอีกสถานที่ที่บุคคลภายนอกได้รับอนุญาตให้เข้ามาเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือจากถนนนักเดินทาง
ทุกสัปดาห์ตั้งแต่บ่ายวันศุกร์จนถึงสิ้นคืนวันหยุดสุดสัปดาห์จะมีผู้ชมนับไม่ถ้วนจากทั่วอาณาจักรมาชมการแข่งขัน และยังมีแฟนคลับจำนวนมากอีกด้วย!
แน่นอนว่าวงจรการพนันก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
มักมีข่าวลือภายนอกว่าสถาบันเซนต์แมเรียนเป็นผู้อยู่เบื้องหลังวงการพนันนี้…
วิชาประลองสำหรับนักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง วันนี้อยู่ที่โถงประลองสอง
เมื่อดาร์กมาถึงห้องโถง ก็มีนักเรียนสองสามคนกำลังจ้องมองอยู่ด้วยความสงสัย
ในช่วงนอกเวลาเรียน ไม่ว่าจะเป็นโถงประลองในที่ร่มหรือกลางแจ้ง ทั้งหมดล้วนถูกครอบครองโดยนักเรียนอาวุโส นี่เป็นครั้งแรกที่นักเรียนใหม่ได้เห็นสิ่งอำนวยความสะดวกในลักษณะที่ผ่อนคลายเช่นนี้
ความประทับใจแรกที่มีต่อโถงประลองนั้นคือ สูงมาก!
เพดานนั้นสูงเทียมเมฆ
ความประทับใจที่สองก็คือ ยิ่งใหญ่!
ว่ากันว่าสนามประลองในโถงประลองนั้นถูกสร้างโดยใช้ [การ์ดเวทสนาม] เป็นต้นแบบ และสามารถเปลี่ยนสนามประลองเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ตามความต้องการ
พอใกล้เวลาแปดโมง นักเรียนก็หลั่งไหลเข้ามาในสถานที่แห่งนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ
ทั้งบ้านขุนนาง บ้านอัศวิน บ้านนักปราชญ์ และบ้านคนเขลา
ไม่นานนักเรียนใหม่จากบ้านทั้งสี่ก็มาถึง
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เข้าเรียนในชั้นเรียนเดียวกัน
นักเรียนใหม่ของบ้านขุนนางนั้นได้เข้าร่วมชั้นเรียนกับนักเรียนใหม่ของบ้านอัศวินอยู่บ่อยครั้ง
ส่วนนักเรียนใหม่ของบ้านนักปราชญ์ก็เข้าร่วมชั้นเรียนกับนักเรียนใหม่จากบ้านคนเขลาบ่อยเช่นกัน
ทั้งสองฝ่ายจึงไม่ค่อยคุ้นเคยกันเท่าไหร่
เมื่อศาสตราจารย์พาวาร์ โจนส์มาถึง สี่บ้านก็ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งในห้องโถง และบ้านในแต่ละฝั่งก็อยู่ห่างจากกัน
“ในเมื่อทุกคนมีความกระตือรือร้น งั้นเรามาวิ่งรอบโถงประลองกันสักสองรอบก่อนเถอะ”
ศาสตราจารย์โจนส์แต่งตัวเป็นอาจารย์พลศึกษา เธอสวมเสื้อโค้ตตัวเล็ก ๆ บนร่างกายท่อนบนเท่านั้น ชายเสื้อท่อนบนผูกเป็นโบว์ใต้ลูกบาสเกตบอลทั้งสองของเธอ มันห่อลูกบอลแน่นและเผยให้เห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องที่แข็งดุจหิน!
เห็นได้ชัดว่าจอมเวทฝึกหัดได้สัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่า ‘วิ่งรอบ’ ตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว ดังนั้นจึงมีเสียงโอดครวญดังระงมขึ้นในห้องโถง
คนแรกที่ออกตัวคือ โรเบิร์ต!
โรเบิร์ตเพียงชำเลืองมองเวอร์เธอร์ก่อนจะรีบวิ่งออกจากฝูงชน
ซึ่งดูน่าเกรงขามและเด่นชัดมาก
“ดีมาก ห้าคะแนนให้บร็อกไฮม์!”
โรเบิร์ตดีใจมาก และเขาก็เริ่มวิ่งเร็วขึ้น!
แม้ว่าโถงประลองจะมีขนาดใหญ่ แต่โรเบิร์ตก็ผ่านการฝึกทหารอย่างเป็นทางการก่อนเข้าเรียน ดังนั้น เขาจึงมีร่างกายที่แข็งแรงมากและไม่รู้สึกเหนื่อยแม้จะวิ่งสองรอบแล้ว
ในทางกลับกัน เวอร์เธอร์นั้นหมดแรงเร็วมาก
ส่วนดาร์กน่ะเหรอ?
ดาร์กจบการวิ่งสองรอบด้วยความเร็วที่ไม่เร่งรีบ ตอนที่เขาวิ่งเสร็จ เวอร์เธอร์ เอ็มม่า โรส และนักเรียนบ้านนักปราชญ์จำนวนมากเพิ่งเริ่มรอบที่สองเท่านั้น
บทที่ 26 วิกฤตหนี้ครั้งใหญ่ของเวอร์เธอร์และโรเบิร์ต
โรเบิร์ต บร็อกไฮม์ไม่คิดเลยว่าเอ็มม่า มอร์ติส จะเป็นเด็กผู้หญิงที่นิสัยเสียมาก!
เดิมเขาคิดว่าเด็กผู้หญิงที่เกิดในเมืองเดียวกับตัวเองจะน่าเชื่อถือ และน่าจะสามารถยืมเงินจากเธอได้โดยไม่ต้องกังวล แต่เขาไม่ได้คิดเลยว่าตั้งแต่แรกที่อีกฝ่ายให้คะแนนมา ตัวเขาก็ตกลงไปในกับดักเธอแล้ว!
“ยัยตัวแสบ!” เขาสาปแช่ง
“โรเบิร์ต…” เวอร์เธอร์พยายามรั้งเขาไว้แต่ไม่สำเร็จ
โรเบิร์ตมาจากตระกูลทหาร แม้ว่าเขาจะโง่เขลาแต่ยังคงมีกำลังดุร้ายเหลือล้น!
และแม้ว่าเวอร์เธอร์จะสืบทอดสายเลือดของวีรบุรุษ แต่เขาก็ไม่ได้รับการศึกษาที่ดีหลังจากที่พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตไป นอกจากนี้สมรรถภาพทางกายของเขาก็ไม่แข็งแรงพอเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงตัวผอมเล็กน้อย
ความแข็งแกร่งของทั้งสองอาจจะสลับกันในไม่ช้า แต่ไม่ใช่ตอนนี้
โรเบิร์ตโกรธมาก แม้แต่แก้มและลำคอของเขาก็ยังแดงก่ำด้วยความโกรธ
น้ำลายจากการตะคอกของเขาเกือบจะกระเซ็นบนใบหน้าของเอ็มม่า
ถึงอย่างนั้น เอ็มม่าก็ยังดูเย็นชาและสงบนิ่ง ไม่ได้สนใจเด็กชายเลยแม้แต่น้อย
…
เมื่อเห็นโรเบิร์ตเงื้อกำปั้นที่ใหญ่เท่าขนมปังเนื้อขึ้น เวอร์เธอร์ก็รีบคว้ามือของเขาไว้ เอ็มม่ายิ้มอย่างเย็นชา “คนที่ทำตัวเป็นเด็กก็รู้แค่วิธีใช้หมัดเท่านั้นแหละ”
เมื่อพูดเช่นนั้น สีหน้าของโรเบิร์ตก็แข็งทื่อ เขาคลายมือที่กำไว้ และในที่สุดเวอร์เธอร์ก็สามารถคว้าแขนของเพื่อนไว้ได้
แต่ความโกรธของเขายังไม่หายไป เด็กชายยังคงกัดฟันแน่น “แค่ห้าคะแนน ฉันจะไปยืมสักคนมาเดี๋ยวนี้แหละ!”
เอ็มม่าพูดอย่างเย็นชาว่า “เราทำสัญญากันแล้ว โรเบิร์ต”
โรเบิร์ตคำราม “ฉันขาดแค่ห้าคะแนนเท่านั้น!”
เอ็มม่าไม่สนใจ “สายไปแล้ว โรเบิร์ต ตอนนี้มันเป็นคูณสองรอบที่สี่แล้ว”
พวกเขาทำสัญญาตอนบ่ายโมงของวันศุกร์
โรเบิร์ตคิดเสมอว่ามันเป็นวันหลังจากที่คุยกัน ดังนั้นเขาจึงลืมไปเลยโดยไม่รู้ตัว
แต่ที่จริงแล้ว ตั้งแต่เริ่มจากเซ็นสัญญา บ่ายโมงของวันเสาร์จะเป็นวันที่สอง บ่ายวันอาทิตย์จะเป็นวันที่สาม ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงของวันจันทร์ซึ่งมันเป็นวันที่สี่!
ในสัญญาระบุว่า เงินจะถูกคูณเพิ่มเป็นสองเท่าในวันแรก สี่เท่าในวันที่สอง แปดเท่าในวันที่สาม และสิบหกเท่าในวันที่สี่
สิบหกคูณห้าเท่ากับแปดสิบคะแนน!
โรเบิร์ตคิดว่าพวกเขาเพียงแค่ต้องจ่ายสี่สิบคะแนน
ตอนนี้มีคะแนนอยู่แล้วสามสิบห้าคะแนน เมื่อพวกเขาเรียนวิชาปรุงยาเสร็จในตอนบ่าย พวกเขาจะมีห้าสิบห้าคะแนน ด้วยวิธีนี้พวกเขาจะชำระหนี้ได้อย่างง่ายดาย
ต่อให้พวกเขาจะไม่ได้รับคะแนนจากคาบวิชาปรุงยา แต่ตราบใดที่พวกเขายังสามารถยืมห้าคะแนนจากคนอื่นได้ มันก็ยังไม่เป็นไร
เวอร์เธอร์ก็คิดแบบเดียวกัน
“ใจเย็น ๆ โรเบิร์ต”
ในที่สุดเวอร์เธอร์ก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
ตอนแรกเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ไม่เข้าใจจนกระทั่งตอนนี้
“ถึงจะแปดสิบคะแนน เราก็สามารถจ่ายคืนได้ง่าย ๆ ตอนบ่ายมีเรียนหนึ่งคาบ พรุ่งนี้เช้าอีกสองคาบ บวกกับที่เรามีอยู่แล้วตอนนี้ เราจะได้เก้าสิบห้าคะแนนเต็ม! มันมากเกินพอแล้วน่า!”
โรเบิร์ตคำนวณแล้วสงบลงในที่สุด “เมื่อเราจ่ายคะแนนทั้งหมดคืนแล้ว เอ็มม่า เราจะไม่เป็นเพื่อนกันอีกต่อไป!”
…
“เข้าใจแล้ว พวกเขาติดหนี้เธอ ดูเหมือนว่าทั้งสามคนจะยังคบกันอยู่ แม้ว่าความสัมพันธ์จะไม่ปกติก็ตาม…”
เมื่อเห็นว่าไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้น ดาร์กก็หันหลังจากไป
‘แค่แปดสิบคะแนน เป็นเขาก็สามารถชำระได้ในพริบตา’
…
วิชาปรุงยา
จากคาบเรียนนี้ ศาสตราจารย์ทอมป์สันเริ่มสอนนักเรียนถึงวิธีทำ [น้ำยาเวทมนตร์ความเร็วสูง]
นี่เป็นน้ำยาพิเศษที่สามารถช่วยให้จอมเวทฟื้นพลังเวทมนตร์ที่จำเป็นต่อการ [อัญเชิญแบบปกติ] สามครั้งได้อย่างรวดเร็ว และสามารถดื่มได้วันละครั้ง
เมื่อการประลองเริ่มขึ้น หากมันเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ ก็จะเป็นการทดสอบจำนวนรวมของพลังเวทมนตร์และความสามารถในการฟื้นฟูของจอมเวท
[น้ำยาเวทมนตร์ความเร็วสูง] มักจะมีบทบาทในช่วงเวลาวิกฤต
เพื่อให้ ‘ไม่โดนหักคะแนน และได้รับคะแนนพิเศษ’ ในคาบเรียนนี้ เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตจึงจริงจังมากกับการฟังในชั้นเรียนรวมไปถึงตอนทำการทดลอง
แต่พวกเขาก็ใจร้อนเกินไป
เมื่อโรเบิร์ตกำลังต้มยา เขาบังเอิญใส่ ‘หญ้าขยาย’ เข้าไป มันจึงทำให้หม้อระเบิดและเป่าฝากระเด็นขึ้นในอากาศ!
ขณะรีบเร่งเพื่อช่วยโรเบิร์ตจัดการกับยาที่เอ่อล้นออกมา เวอร์เธอร์ก็เผลอทำน้ำยาของเขาหกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ!
ไม่เพียงทั้งสองจะถูกหักห้าคะแนน แต่พวกเขายังถูกสั่งให้ทำความสะอาดห้องเรียนด้วย!
…
“ศาสตราจารย์ทอมป์สันได้อธิบายอันตรายของหญ้าขยายตั้งแต่สัปดาห์ก่อนในคาบเรียนแล้วนะ โรเบิร์ต”
เมื่อเอ็มม่าออกจากห้องเรียน เธอก็ล้อเลียนเขา
ไม่ว่ามันจะเป็นการเยาะเย้ยจริงหรือไม่ก็ตาม จากมุมมองของโรเบิร์ตแล้ว มันเป็นการเยาะเย้ยที่แย่มาก!
“ฉันจะทำยังไงดี เวอร์เธอร์ เราเสียสิบคะแนนอีกแล้ว!”
หลังจากโกรธอยู่ครู่หนึ่ง โรเบิร์ตก็รู้สึกหดหู่ใจ
เวอร์เธอร์ใช้การ์ดคัดสรรเพื่อดูสัญญา
แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “สัญญานี่มันอะไรกันเนี่ย หนี้ต้องชำระเป็นก้อนเดียว ฉันคิดว่าเราจะสามารถทยอยจ่ายเพื่อลดหนี้ลงได้ก่อน แล้วการทบยอดครั้งถัดไปจะไม่มากเกินไปหน่อยเหรอ”
“ยัยเอ็มม่า! เธอหลอกเราตั้งแต่แรกแล้ว!” โรเบิร์ตพิงไม้ถูพื้นกับผนังแล้วจับหัวด้วยความเจ็บปวด
เวอร์เธอร์สงบนิ่งกว่ามาก “ดูเหมือนว่าเราต้องขอยืมคะแนนจากคนอื่นก่อนบ่ายโมงของวันพรุ่งนี้ ในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน”
โรเบิร์ตตัวสั่น “ยืมคะแนนอีกแล้วเหรอ? นายแน่ใจนะ? ตราบใดที่เราไม่เสียคะแนนสำหรับทั้งสองคาบในเช้าวันพรุ่งนี้ เราจะได้รับสี่สิบคะแนน บวกกับสี่สิบห้าคะแนนของวันนี้ เราน่าจะมีคะแนนพอ”
เวอร์เธอร์ส่ายหัวและพูดว่า “นายยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ? ว่าห้าคะแนนต่อคาบเป็นคะแนนที่มากที่สุดที่เราจะได้รับตามปกติ”
สมกับเป็นลูกชายของวีรบุรุษ!
…
หลังจากทำความสะอาดห้องเรียน เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตก็เริ่มขอยืมคะแนนทุกที่
เป้าหมายหลักของพวกเขาคือนักเรียนของบ้านอัศวิน
แอนดรินาเป็นเด็กดี ผมสีน้ำตาลของเธอถูกมัดเป็นหางม้า และมักมีรอยยิ้มร่าเริงบนใบหน้าที่ตกกระของเธอ
เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตไม่ค่อยคุยกับเธอ อันที่จริงพวกเขาคุยกับเธอเพียงครั้งเดียวในช่วงสัปดาห์แรก
สัปดาห์แรกของภาคเรียนเป็นช่วงเวลายอดนิยมของเวอร์เธอร์
แต่ความกระตือรือร้นของจอมเวทฝึกหัดก็หายไปในที่สุด ยิ่งกว่านั้น เมื่อเวอร์เธอร์ได้รับอิทธิพลจากโรเบิร์ตทีละน้อย และในเกือบทุกชั้นเรียน คะแนนของเขาจะถูกหักโดยอาจารย์ ความประทับใจของเขาในจิตใจของจอมเวทฝึกหัดย่อมแย่ลงเรื่อย ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในสัปดาห์ที่สาม ไม่มีเด็กผู้หญิงคนไหนกล้าพูดกับพวกเขาแล้ว
โรเบิร์ตผลักเวอร์เธอร์ไปแนวหน้า โดยบอกว่าเขาสามารถยืมคะแนนได้ง่ายขึ้นด้วยชื่อเสียงของเขา
เวอร์เธอร์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูดออกมาด้วยความสิ้นหวัง
ในที่สุดแอนดรินาก็เข้าใจว่าทำไมเด็กชายทั้งสองจึงเรียกเธอมาที่ทางเดิน เธออดไม่ได้ที่จะถาม “โรเบิร์ตมีคะแนนไม่พอซื้อชุด [สัตว์อสูรมายา] เหรอ?”
เวอร์เธอร์อยากอธิบายแต่อายที่จะพูด
โรเบิร์ตพูดทันทีว่า “ใช่ แอนดรินา เธอก็รู้ คะแนนของพวกเราถูกเอาไปซื้อหมากรุกเวทมนตร์แล้ว! เธอช่วยให้เรายืมหน่อยได้ไหม เราสามารถทำสัญญาและชำระหนี้ภายในสามวันก็ได้!”
แต่แอนดรินาแค่ส่ายหัวและพูดว่า “ขอโทษนะ แต่ฉันก็ต้องซื้อชุด [สัตว์อสูรมายา] เหมือนกัน”
บทที่ 25 อีบุยแสดงท่าทางรังเกียจ
โดยทั่วไป [สัตว์อสูรมายา] ในฐานะที่เป็นการ์ดวิญญาณเริ่มต้นของจอมเวทฝึกหัด มันจะทำตามความคาดหวังของจอมเวทฝึกหัดและเปลี่ยนเป็นเผ่าพันธุ์กับคุณสมบัติที่เกี่ยวข้อง
แต่ไม่ว่ามันจะเปลี่ยนไปอย่างไร มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่ามันเป็นการ์ดระดับหนึ่งดาวได้ และข้อมูลทั้งสาม อันได้แก่ พลังเวทมนตร์ พลังโจมตี และพลังป้องกัน ซึ่งมีทั้งหมดหนึ่งร้อยหน่วยนั้นถือว่าอ่อนแอมาก
มันมีความสำคัญเชิงทฤษฎีของมากกว่าความสำคัญเชิงปฏิบัติอย่างมาก
เมื่อจอมเวทจากสถาบันเซนต์แมเรียนแข็งแกร่งขึ้น พวกเขามักจะปฏิบัติต่อ [สัตว์อสูรมายา] ราวกับเป็นสมบัติ แต่ไม่ค่อยได้ใช้ในการต่อสู้
แต่ดาร์กมองเห็นความเป็นไปได้จาก [สัตว์อสูรมายา] ของเขาเอง!
ท้ายที่สุด ‘ความแตกต่างในการรับรู้จะเป็นตัวกำหนดความแตกต่างในการใช้เวทมนตร์!’
‘บางที [สัตว์อสูรมายาอีบุย] ตัวนี้ที่มีลักษณะของ <มอนสเตอร์ขนาดพกพา> จะมีความสามารถในการวิวัฒนาการเหมือน <มอนสเตอร์ขนาดพกพา> จริง ๆ ด้วยหรือไม่’
…
หลังจากคิดแล้วดาร์กก็สังเกตภายในห้องเรียน
ในห้องเรียน ยกเว้นไดแอนนาและโรสที่ค่อย ๆ คืบหน้าไปราวกับหอยทาก ผลงานชิ้นแรกของนักเรียนทุกคนก็จบลงด้วยความล้มเหลว
ความยากในการสร้าง [สัตว์อสูรมายา] คือมีหลายขั้นตอน และความผิดพลาดในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งอาจนำไปสู่ความล้มเหลว
ดังนั้นนักเรียนจึงต้องระมัดระวังและมั่นคงให้มาก
นี่คือสิ่งที่ศาสตราจารย์เคเซอร์ต้องการสื่อถึงพวกเขา
ในท้ายที่สุด แม้กระทั่งหลังจากที่เสียงกริ่งดังจบคาบเรียน ก็ไม่มีใครทำขั้นตอนทั้งหมดสำเร็จ
โรสก็ล้มเหลวเช่นกัน
และไดแอนนายังคงทำต่อไปอย่างช้า ๆ
ศาสตราจารย์เคเซอร์พูดติดตลกว่า “โชคดีที่เธอสามารถสร้างการ์ดในห้องเรียนต่อไปได้ จนกว่าความพยายามครั้งที่สองจะล้มเหลว แต่การบ้านจนถึงคาบต่อไปคือการสร้าง [สัตว์อสูรมายา] ให้สำเร็จ เธอสามารถมาขอซื้อวัตถุดิบใหม่กับฉันได้ในราคาหนึ่งร้อยคะแนนต่อชุด และจะมีให้เพียงคนละหนึ่งชุดเท่านั้น”
หลังจากพูดจบเขาก็เก็บเอกสารการสอน ฮัมเพลงเล็กน้อยแล้วเดินจากไป
…
ดาร์กไม่ได้ออกไปทันทีเพราะเขาต้องการเห็นว่าสัตว์อสูรมายาของคนอื่นจะเป็นอย่างไร
คนที่สองที่ทำสำเร็จคือเอ็มม่า มอร์ติสตามที่ดาร์กคาดไว้
เอ็มม่าช้ากว่าดาร์กเพียงหนึ่งก้าว เธอทำการ์ดเสร็จในห้านาทีหลังจากกริ่งจบคาบเรียนดังขึ้น!
หลังจากทำการ์ดเสร็จแล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากและเหลือบมองที่ดาร์กอีกครั้ง
ต่างกับดาร์กที่นิ่งเฉย เธอใช้ [คาถาอัญเชิญแบบปกติ] ทันทีหลังจากสร้างเสร็จ อัญเชิญสปิริตตัวแรกในชีวิตออกมา!
และมันก็… ยังเป็นตัวนากอีก!
ดูเหมือนเอ็มม่าจะชอบตัวนากมากจริง ฟันหน้าของนากตัวนี้ใหญ่กว่าวิญญาณรับใช้ของเธอมาก
คนที่สามที่สร้างเสร็จ กลับกลายเป็นว่าไดแอนนาอย่างน่าประหลาดใจ!
“เย้ เย้ เย้!”
หลังจากที่ไดแอนนาตื่นเต้นอยู่เป็นเวลานาน เธอก็เรียก [สัตว์อสูรมายา] ของเธอออกมา
มันไม่ใช่แพนด้ายักษ์ที่ดูโง่เขลา แต่เป็นหมีขั้วโลกสีขาวเหมือนหิมะ!
ถึงภายนอกจะดูเหมือนว่าเธอไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่ในใจเธอยังคงหวังว่าเธอจะเป็นเหมือนสมาชิกคนอื่น ๆ ของตระกูลเกรท เบเยอร์ที่มีร่างกายสูงใหญ่และแข็งแรง ทั้งยังดุร้ายราวกับหมีขั้วโลก!
จากนั้นดาร์กก็มองไปที่เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่ง
โรเบิร์ตทำลายวัตถุดิบชุดที่สองจนหมดก่อนที่คาบเรียนจะจบ
กลับกัน เวอร์เธอร์ทำได้ดีมาก และตอนนี้เขาก็มาถึงขั้นตอนสุดท้ายของการวาดวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1 แล้ว
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ฝึกฝนมากนัก แต่สองมือคู่นั้นก็ยังมั่นคงมาก
บางทีนี่อาจเป็นพรสวรรค์ของวีรบุรุษ
หลังเลิกเรียนประมาณสิบสองนาที เวอร์เธอร์ก็กลายเป็นคนที่สี่จากทั้งสองบ้านที่สร้างการ์ดวิญญาณเสร็จ!
ใบหน้าของโรเบิร์ตแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น เขาดูตื่นเต้นกว่าเวอร์เธอร์มาก
และหลังจากที่เวอร์เธอร์สร้างการ์ดเสร็จแล้ว เขาก็อัญเชิญ [สัตว์อสูรมายา] ออกมาทันที
ปรากฏว่ามันเป็นกวางขาวเรืองแสง!
กวางตัวนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นประเภทนกและสัตว์อสูร คุณสมบัติของมันคือแสง ซึ่งตรงกันข้ามกับคุณสมบัติวิญญาณรับใช้ของเวอร์เธอร์
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเวอร์เธอร์เป็นบุตรของวีรบุรุษ แต่จิตวิญญาณรับใช้ของเขาดันเหมือนกับดาร์กซึ่งเป็นประเภทปีศาจและมีคุณสมบัติคือความมืด!
บางทีอาจเป็นเพราะการต่อต้านปีศาจโดยสัญชาตญาณ เวอร์เธอร์จึงไม่ได้ปล่อยวิญญาณรับใช้ของเขาออกมามากนัก แต่ดาร์กเคยเห็นมันโดยบังเอิญ เจ้าตัวนั้นดูเหมือนมิโนทอร์ที่น่ารัก
และวิญญาณรับใช้ของโรเบิร์ตก็คือประเภทหุ่นยนต์ซึ่งมีคุณสมบัติเหล็ก
หุ่นยนต์หัวกลมและมีแขนอเนกประสงค์ สามารถเปลี่ยนเป็นเครื่องมือต่าง ๆ ได้ ในขณะที่ส่วนล่างของมันคือล้อเลื่อน ซึ่งดูมีประโยชน์มาก
ดาร์กค่อนข้างอิจฉาวิญญาณรับใช้หุ่นยนต์ของโรเบิร์ต ด้วยระดับสติปัญญา 2.5 ก็เพียงพอที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยการทดลองได้!
…
หลังจากที่เวอร์เธอร์ทำสำเร็จ โรสก็ล้มเหลวอีกครั้ง
เธอดูหงุดหงิดแต่ก็ไม่ผิดหวังมากนัก จากนั้นไดแอนนาก็ยกวัตถุดิบชุดที่สองให้เธอ และทั้งสองก็เริ่มเตรียมการสำหรับการสร้างการ์ดครั้งที่สามด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม คาบแรกในช่วงบ่ายจะเริ่มอีกครั้งตอนบ่ายโมงครึ่ง พวกเขาจึงยังมีเวลาอีกมาก
…
เที่ยงครึ่ง
หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน ดาร์กก็กลับไปที่ห้องนอน
จากนั้นเขาก็อัญเชิญสัตว์อสูรมายาของเขา
สัตว์อสูรมายา: อีบุย (ที่ดูเหมือนจอมมาร)!
การปรากฏตัวของอีบุยนี้ไม่เหมือนในอนิเมะและสมจริงกว่ามาก
รูปร่างหน้าตาของมันเหมือนสุนัขจิ้งจอกมากกว่า ใบหน้ากลมเล็กแต่เดิมของมันกลายเป็นแหลม ขนของมันดูสง่างามมากขึ้น และหูของมันก็ให้ความรู้สึกเหมือน ‘สัตว์อสูรมายา’
“วี้?”
มันเอียงหัวเล็กน้อยขณะทำเสียงสับสน
ซึ่งดูน่ารักมาก
แต่ระดับสติปัญญาของมันคือสอง ซึ่งค่อนข้างน่าเสียดาย
หลังจากพยายามสั่งให้อีบุยทำท่าพื้นฐานเช่น ‘หลบ’ ‘พุ่งไปข้างหน้า’ ‘นอนหงายท้อง’ ‘นั่งอ้าขา’ ‘ตีลังกากลับหลัง’ ดาร์กก็เอา [อัตตา I] อันล้ำค่าออกมาจากกระเป๋าใส่การ์ด
“ฉันหวังว่ามันจะได้ผล จงออกมา!”
เปิดใช้งาน [อัตตา]!
ลูกบอลแสงสีทองเข้มพุ่งออกมาเป็นหางยาว และกระแทกเข้าที่หน้าผากของอีบุย!
“วี้!”
อีบุยยกมือขึ้นปิดหน้าผากโดยไม่รู้ตัว และเมื่อวางลง ดวงตาของมันก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
ดาร์กพยายามจะลูบไล้มัน แต่เจ้าตัวน้อยกลับหลบเลี่ยงเขาด้วยท่าทางรังเกียจ!
ท่าทีแบบนี้น่าทึ่งมาก!
โดยปกติแล้ว สปิริตที่มีระดับสติปัญญาเพียงสอง จะเชื่อฟังคำสั่งของจอมเวทอย่างสมบูรณ์
เป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะหลีกเลี่ยงการสัมผัสของเจ้านาย!
“งั้นแต่ละคนก็การแสดงความหยิ่งผยองที่แตกต่างกันงั้นเหรอ?”
เมื่อนึกถึงท่าทางหยิ่งผยองของรุกกี้เดวิมอน ดาร์กก็เขียนบันทึกที่เกี่ยวข้องลงในสมุดบันทึกของเขา
“อีบุย ชาโดว์บอล!”
อีบุยเหลือบมองเขาด้วยความรังเกียจ
“อีบุย กระดิกหาง!”
อีบุยเหลือบมองเขาด้วยความรังเกียจอีกครั้ง
“อีบุย โกรธ!”
อีบุยเพียงชำเลืองมองเขาด้วยท่าทางรังเกียจอยู่ดี
…
“ธรรมชาติของการ์ดเวทมนตร์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป มีเพียงท่าไม้ตาย [ลอกเลียนแบบ] ที่ใช้พลังงานเวทมนตร์หนึ่งร้อยหน่วย”
ดาร์กเอื้อมมือออกไปเกาคางของอีบุย แม้ว่าอีบุยจะพยายามเอนหลังหนีอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรอีก
“ดูท่าทางแล้ว รูปแบบสิ่งชีวิตของมันก็แตกต่างไปเล็กน้อย อย่างน้อยระดับสติปัญญาก็ได้รับการพัฒนา ซึ่งฉลาดขึ้นมาก!”
“จะว่ามันก็เหมือนกับรุกกี้เดวิมอนเลยแฮะ”
“บางทีนี่อาจเป็นเอฟเฟกต์พื้นฐานของการ์ดเมจิกหมวด [อัตตา]”
“หาก [อัตตา I] สามารถพัฒนาไปถึง [อัตตา II] ได้ก็น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม”
…
ตอนบ่ายโมงสิบนาที ดาร์กไปยังที่ห้องเรียนปรุงยาล่วงหน้า แต่บังเอิญเจอกับเวอร์เธอร์ โรเบิร์ต และเอ็มม่าระหว่างทาง
‘ดูเหมือนว่าพวกเขาจะกำลังเถียงกัน?’
บทที่ 24 การ์ดวิญญาณใบแรกของดาร์ก เดม่อน
เนื่องจากเป็นการ์ดของมือใหม่ แม้ว่าการ์ดวิญญาณ [สัตว์อสูรมายา] จะมีขั้นตอนการสร้างมากกว่า แต่ทุกขั้นตอนก็ไม่ยากเกินไป
ส่วนที่ยากที่สุดเพียงอย่างเดียวคือการวาดวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1!
แต่วงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1 ถูกสอนมาตั้งแต่บทเรียนแรกของวิชาเวทมนตร์พื้นฐานแล้ว และได้รับการอธิบายเพิ่มมาเป็นเวลาสี่สัปดาห์เต็ม
แม้แต่หุ่นจำลองอย่างไดแอนนาก็สามารถวาดมันได้อย่างชำนาญ
สิ่งที่นักเรียนขาดคือ ประสบการณ์ภาคปฏิบัติเท่านั้น
นี่เป็นปัญหาหลัก สำหรับนักเรียนใหม่ส่วนใหญ่ เพราะวันนี้เป็นการฝึกฝนครั้งแรก
มันเป็นครั้งแรกที่พวกเขาวาดวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์ด้วยปากกาพลังเวทมนตร์!
แต่ดาร์กไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้
เมื่ออยู่ในสมาธิ เขาก็วาดวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์อย่างรวดเร็วและมั่นคง!
“ขั้นตอนแรกคือ การใช้น้ำผึ้งวิญญาณกับการ์ดเวทมนตร์”
น้ำผึ้งวิญญาณสร้างขึ้นโดยผสมผงดินจากรากของต้นไม้วิญญาณกับน้ำผึ้งของผึ้งวิญญาณอย่างสม่ำเสมอ
ลักษณะของน้ำผึ้งวิญญาณที่ก่อตัวขึ้นมีความโปร่งบางและมีรสชาติหวาน
หากรับประทานก็จะสามารถบำรุงพลังเวทมนตร์ได้
แต่หากใช้ภายนอกก็สามารถสมานแผลที่ผิวหนังได้
แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ในการทำการ์ดวิญญาณ แต่น้ำผึ้งวิญญาณก็ยังเป็นที่นิยมอย่างมาก
ในแวดวงของสตรีชั้นสูง หากใครไม่มีขวดน้ำผึ้งวิญญาณ พวกเขาจะถูกมองเหยียดทีเดียว!
“หลังจากเกลี่ยน้ำผึ้งวิญญาณอย่างสม่ำเสมอ การ์ดเวทมนตร์ก็จะสามารถรองรับการปลูกฝังรูปแบบสิ่งมีชีวิตจำลองแล้ว จากนั้นจึงหยดน้ำสกัดกลีบสมองที่เพิ่งปรับตัวและโรยผงเวทมนตร์ลับ…”
ประมาณสิบห้านาทีต่อมา การ์ดวิญญาณกึ่งสำเร็จรูป [สัตว์อสูรมายา] ก็ถูกวางลงบนโต๊ะอย่างเงียบ ๆ
เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายในกระบวนการสร้างทั้งหมด
ดาร์กเปลี่ยนปรอทในไส้ของปากกาพลังเวทมนตร์ด้วยน้ำยาสีทอง จากนั้นจึงเริ่มวาดวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1 วงสุดท้าย
ภายในสิบห้าวินาที วงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1 ก็ถูกวาดออกมาอย่างสมบูรณ์!
ทันทีที่วงจรเชื่อมต่อกัน วงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์ทั้งหมดก็สว่างไสวไปด้วยแสงสีทอง!
ดาร์กไม่รอช้า ใช้แหนบคีบขนสัตว์อสูรมายาโปร่งใสขึ้นมา และวางมันไว้บนวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1
ขนค่อย ๆ กลืนไปกับแสงสีทอง และแสงที่ปล่อยออกมาจากวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1 ก็หนาแน่นขึ้น
เมื่อกลืนขนทั้งเส้นจนหมด แสงสีทองก็สว่างจ้าถึงขีดสุด
เส้นไหมสีทองถูกแยกออกจากวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1 และการ์ดเวทมนตร์ถูกห่อทีละชั้น ในที่สุดก็กลายเป็นรังไหมสีทอง!
…
จนถึงตอนนี้ กระบวนการสร้างการ์ดวิญญาณสัตว์อสูรมายาได้สิ้นสุดลงแล้ว
‘แต่มันจะประสบความสำเร็จหรือไม่’
ไม่มีใครรู้จนกว่ารังไหมสีทองจะแตกออก
อืม… มันเหมือนกับแมวของชโรดิงเจอร์เลย
นับตั้งแต่เตรียมวัตถุดิบ จนถึงกระบวนการสุดท้าย รวมเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมง
เมื่อดาร์กหยุดพักหายใจ เขาก็สังเกตเห็นว่าเกือบทุกคนในห้องเรียนกำลังมองมาที่เขา!
เด็กชายมึนงงและสังเกตเห็นว่าดวงตาของเพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่จับจ้องมาที่รังไหมสีทอง ราวกับพวกเขาคาดหวังว่าสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจะฟักออกมา
แม้แต่ศาสตราจารย์เคเซอร์ก็ยังมายืนอยู่ข้างกายโดยที่เขาไม่รู้ตัว
หือ?
ทำไมพวกเขาถึงมองมาที่ฉันล่ะ?
แล้วการ์ดของพวกเขาล่ะ?
ล้มเหลวงั้นเหรอ?
…
“ศาสตราจารย์ครับ?” ดาร์กอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
ศาสตราจารย์เคเซอร์ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ดีมาก ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีข้อผิดพลาดหรือบกพร่องเลย เธอคือผู้มีพรสวรรค์ในการสร้างการ์ดเวทมนตร์ทีเดียว”
[อัตตา +…]
สีหน้าของดาร์กเปลี่ยนไปเล็กน้อย และเขาก็รีบพูดอย่างสุภาพ “ไม่หรอกครับศาสตราจารย์ ผมแค่เก่งกว่าเพื่อนร่วมชั้นนิดหน่อยเท่านั้น”
…
ศาสตราจารย์เคเซอร์พยักหน้า “ดาร์ก ยังเหลืออีกขั้นตอนสุดท้ายนะ”
ดาร์ก “ขั้นตอนสุดท้าย?”
ศาสตราจารย์เคเซอร์ตอบ “เติมพลังเวทมนตร์และใส่ความปรารถนาของเธอลงไป”
“ความปรารถนา?”
ดาร์กขมวดคิ้วเล็กน้อย ศาสตราจารย์เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่ารูปร่างของสัตว์อสูรมายานั้นขึ้นอยู่กับความปรารถนาภายในใจของจอมเวท
แต่คำกล่าวเชิงนามธรรมนี้มีความชัดเจนน้อยกว่า 1+1=2 เสียอีก
แล้วความปรารถนาคืออะไร?
แม้ในใจจะมีความสงสัย แต่เขาก็เอื้อมมือไปจับรังไหมสีทองและใส่พลังงานเวทมนตร์เข้าไปอย่างช้า ๆ
“สิ่งที่เรียกว่าสัตว์อสูรมายาคืออะไร?”
“สัตว์อสูรมายาที่สร้างขึ้นเป็นสปิริตที่ดูเหมือนกับเป็นความปรารถนาภายในใจของจอมเวทงั้นหรือ?”
“เผ่าพันธุ์? ลักษณะ? พลังโจมตีและพลังป้องกัน? ท่าไม้ตาย?”
…
ความคิดของดาร์กไม่ยอมหยุดนิ่ง
ทันใดนั้นดาร์กก็รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวเล็กน้อย เขาจึงปล่อยมืออย่างรวดเร็ว จากนั้นเปลือกนอกของรังไหมสีทองก็แตกออก
เริ่มจากช่องว่างนี้ รังไหมสีทองทั้งหมดค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นแสง
เมื่อแสงมาบรรจบกัน มีเพียงการ์ดเวทมนตร์ที่ยังคงอยู่บนโต๊ะ
ดาร์กเหยียดสองนิ้วออกและคีบการ์ดอย่างระมัดระวัง
เค้าโครงโปร่งใสรางเลือนบนพื้นผิวการ์ดแต่เดิมเริ่มเปลี่ยนไปทันทีหลังจากที่เขาจ้องมองไปที่มัน
เมื่อการเปลี่ยนแปลงสิ้นสุดลง สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่คุ้นเคยอย่างน่าประหลาดก็เข้ามาในดวงตาของเขา!
“เดม่อน เธอจะลองอัญเชิญมันออกมาดูไหม?” ศาสตราจารย์เคเซอร์กล่าว
ดาร์กส่ายหัว “ไม่ครับ ผมต้องการรอจนกว่าผมจะรู้ข้อมูลของมัน”
ศาสตราจารย์เคเซอร์พยักหน้า “ถ้างั้นเธอสามารถสร้าง [สัตว์อสูรมายา] ตัวที่สองต่อไปได้เลย”
…
เพื่อนร่วมชั้นพบว่าดาร์กไม่ได้แสดงอาการอยากอัญเชิญ [สัตว์อสูรมายา] ออกมา ซึ่งไม่สามารถสนองความอยากรู้ของพวกเขาได้ พวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะกระซิบคุยกัน
บริเวณโต๊ะแถวแรก เอ็มมา มอร์ติสแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างยิ่ง
เห็นได้ชัดว่าเธอทำมันเร็วกว่าดาร์ก แต่สุดท้ายทำพลาดเพราะเธอรีบร้อนเกินไป และมันก็ล้มเหลวในที่สุด!
ไม่อย่างนั้นเธอจะเป็นคนที่เร็วที่สุด!
…
“ดาร์ก ช่วยแสดง [สัตว์อสูรมายา] ของนายให้ฉันดูหน่อยได้ไหม?” ไดแอนนาถามเสียงต่ำ
โรสที่อยู่ข้าง ๆ เธอก็มีดวงตาที่เปล่งประกายเช่นกัน
ดาร์กยิ้ม คราวนี้เขาไม่ได้ปฏิเสธ แต่ให้พวกเขาดูการ์ด [สัตว์อสูรมายา] โดยตรง
[ชื่อการ์ด: สัตว์อสูรมายา]
[ประเภท: การ์ดวิญญาณ]
[ระดับ: ✪ ]
[เผ่าพันธุ์: นกและสัตว์อสูร]
[คุณสมบัติ: ปกติ]
[พลังเวทมนตร์: 100 หน่วย]
[พลังโจมตี: 100 หน่วย]
[พลังป้องกัน: 100 หน่วย]
[ท่าไม้ตาย: ลอกเลียนแบบ]
ใช่แล้ว นี่คือการ์ดวิญญาณเวทมนตร์ที่เรียกว่า ‘สัตว์อสูรมายา’ แต่จริง ๆ แล้วเขาอัญเชิญ <อีบุย> ออกมา!
…
“ต่อจากรุกกี้เดวิมอนก็เป็นอีบุย?”
“มอนสเตอร์เหนือจิตนาการ เข้าใจยาก และคาดเดาไม่ได้งั้นเหรอ?”
“นี่เป็นข้อแก้ตัวอะไรกันแน่!”
“ลอก <มอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่ในโลกดิจิทัล> ยังไม่พอ นี่กำลังพยายามลอก <มอนสเตอร์ขนาดพกพา> ด้วยอีกรึไง?”
‘เดี๋ยวนะ นี่คืออีบุยที่ฉันสร้างเอง เป็นไปได้ไหมว่านี่คือรูปลักษณ์ดั้งเดิมของสัตว์อสูรมายาก่อนที่จะถูกสังเกต’
ดาร์กรู้สึกว่าการเดาของเขาน่าจะถูกต้อง
เช่นเดียวกับรุกกี้เดวิมอนในโลกนี้ที่เป็นเพียงปีศาจชั้นต่ำที่ไม่สามารถพัฒนาได้
อีบุยซึ่งถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ‘สัตว์อสูรมายา’ อาจมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันเพื่อหลีกเลี่ยงการประท้วงเรื่องลิขสิทธิ์!
อย่างไรก็ตาม จากแผงข้อมูลของ [สัตว์อสูรมายา] เขาพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ
[ท่าไม้ตาย: ลอกเลียนแบบ]
[ลอกเลียนแบบ: เลียนแบบท่าไม้ตายที่ฝ่ายตรงข้ามเพิ่งใช้และใช้ท่าเดียวกัน]
สัตว์อสูรมายาตัวจริงจะไม่มีท่าไม้ตายนี้
‘มันหมายความว่าสัตว์อสูรมายาของฉัน เช่นรุกกี้เดวิมอน… ทั้งหมดจะเป็นประเภทที่ชั่วร้ายงั้นเหรอ?’
‘เอิ่ม…’
‘อีบุยนี่ก็จะแบบ… เหมือนจอมมารของอีบุยเหรอ’
บทที่ 23 แมวของดาร์ก เดม่อนก็คลานเข้าไปในกล่องเช่นกัน
“เอาล่ะ! มาเริ่มเรียนกันเลย”
ศาสตราจารย์เคเซอร์รอเสียงกริ่งดังขึ้นก่อนจะเดินไปที่กลางโพเดียม
เขามองดูนักเรียนในห้องเรียนที่เป็นเหมือนลูกแกะตัวน้อยที่กำลังรอคอยอาหาร และก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอ่อนโยนราวกับแสงอาทิตย์
“ฉันเชื่อว่านักเรียนทุกคนได้สอบถามเรื่องคาบเรียนของวันนี้จากรุ่นพี่แล้ว อย่างที่พวกเธอคิด วิชาเวทมนตร์พื้นฐานของวันนี้จะเป็นภาคปฏิบัติ เราจะสร้างการ์ดวิญญาณใบแรกกัน!”
…
“ว้าว!”
ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนของบ้านขุนนางหรือนักเรียนของบ้านอัศวิน พวกเขาต่างก็ตะโกนด้วยความตื่นเต้น
เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วที่นักเรียนใหม่เข้าสู่สถาบันเซนต์แมเรียน แต่พวกเขากลับเพิ่งได้เริ่มสร้างการ์ดวิญญาณใบแรก! เหล่านักเรียนแทบรอไม่ไหวที่จะสร้างมันขึ้นมา เพราะพวกเขาย่อมตื่นเต้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แน่นอน ถ้าเป็นวิชาของศาสตราจารย์ซิลเวอร์ พวกเขาคงไม่กล้าส่งเสียงดัง…
ศาสตราจารย์เคเซอร์ให้เวลาพวกเขาสองนาทีในการสงบสติอารมณ์ แล้วพูดต่อด้วยรอยยิ้มว่า “จะตื่นเต้นก็ไม่เป็นไรหรอก แต่อย่าฟุ้งซ่านระหว่างเรียนล่ะ คาบเรียนวันนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อจอมเวทฝึกหัดทุกคน สปิริตตัวแรกในชีวิตของจอมเวทมักจะเป็นคู่หูที่ใกล้ชิดกับพวกเขาไปตลอดชีวิต”
ขณะที่พูด เขาก็ดีดนิ้วและหลังจากนั้นการ์ดวิญญาณที่มีแสงแวววาวก็ปรากฏขึ้นระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ของเขา
หลังจากนั้น โดยไม่ต้องร่ายคาถาใด ๆ สปิริตที่เหมือนลูกแมวดวงตาสีทอง มีปีกสีขาวและเขาแหลมเล็ก ๆ บนหน้าผากก็ปรากฏขึ้นจากการ์ดใบนั้น
“นี่คือสปิริตตัวแรกของฉัน สัตว์อสูรขนนกหิมะตาทอง”
“ศาสตราจารย์คะ!”
จู่ ๆ เด็กหญิงจากบ้านอัศวินก็ยกมือขึ้นเพื่อถามคำถาม
หลังจากที่ศาสตราจารย์เคเซอร์พยักหน้า เธอก็ถามต่อไปว่า “สัตว์อสูรตัวนี้เป็นหัวข้อของเราในวันนี้หรือเปล่าคะ?”
ศาสตราจารย์เคเซอร์พูดอย่างตลกขบขัน “แน่นอนว่าไม่ ดูเหมือนว่านักเรียนรุ่นพี่จะไม่ได้บอกอะไรเธอมากนักนะ หัวข้อของเราในวันนี้คือ สัตว์อสูรมายา!”
…
“สัตว์อสูรมายา?”
ดาร์กหยุดพลิกหน้าหนังสือเรียน
นักเรียนก็เริ่มกระซิบกัน
สิ่งที่เรียกว่าสัตว์อสูรมายาเป็นสัตว์อสูรประเภทเงาลวงตาที่ไม่มีรูปร่างที่แน่นอน ในตำนานเล่าว่าพวกมันมองเห็นด้วยตาเปล่าไม่ได้ด้วยซ้ำ!
“ไม่มีทาง?‼ ( ๑ ° ㅁ ° ๑)”
ไดแอนนาถามอย่างโง่เขลาว่า “ในหนังสือบอกไว้ว่าสัตว์อสูรมายามองไม่เห็นด้วยตาเปล่าไม่ใช่เหรอคะ?”
ศาสตราจารย์เคเซอร์กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “รากเหง้าของสัตว์อสูรมายานั้นมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าก็จริง แต่เราจอมเวทสามารถทำให้มองเห็นได้ เอาล่ะ เก็บหนังสือเรียนไป เรื่องที่ฉันจะสอนเธอไม่ได้เขียนไว้ในนั้น”
เขาเขียนว่า ‘สัตว์อสูรมายา’ บนกระดานดำและกล่าวว่า
“ก่อนที่มนุษย์จะมองเห็นสัตว์อสูรมายา รูปร่างของพวกมันนั้นไม่แน่นอน อาจเป็นแมว สุนัข หรือแม้แต่มังกรก็ได้! สัตว์อสูรมายานั้นต่างคนก็เห็นเป็นคนละรูปร่าง”
“แต่สปิริตต่างจากสัตว์อสูรมายาตัวจริง ตั้งแต่วินาทีแรกที่พวกมันถูกสร้างขึ้น จอมเวทจะจำพวกมันได้ หลังจากได้รับการยอมรับจากจอมเวทแล้ว พวกมันจะได้คงอยู่ในรูปแบบที่จอมเวทเห็นเสมอ”
“สำหรับรูปร่างจะเป็นอย่างไร ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความปรารถนาในใจของพวกเธอ”
“คาบเรียนวันนี้ ฉันจะสอนวิธีทำการ์ดสัตว์อสูรมายาตั้งแต่ต้นจนจบ และพวกเธอมีวัตถุดิบที่เพียงพอสำหรับการ์ดสองใบ หากทำได้ดี เธอก็สามารถมีสัตว์อสูรมายาได้สองตัว แต่ถ้าล้มเหลว… แน่นอนเธอจะไม่ได้รับอะไรเลย!”
…
สิ้นคำพูดนั้น เสียงสนทนาอันแผ่วเบาในห้องเรียนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
แม้แต่เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตก็อดไม่ได้ที่จะประหม่า และพวกเขาก็ลืมปัญหาใหญ่ที่สุดของพวกเขาไปเสียแล้ว
ศาสตราจารย์เคเซอร์ก็หยุดพูดเรื่องเก่าและหยุดเล่าเรื่องด้วย เขาเริ่มอธิบายขั้นตอนในการทำสัตว์อสูรมายาอย่างละเอียด และเขียนไว้บนกระดานดำ
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง หัวข้อทั้งหมดก็ถูกอธิบาย
คาบเรียนที่เหลืออีกหนึ่งชั่วโมงให้นักเรียนได้ฝึกฝนสิ่งที่ได้เรียนรู้
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาจะสร้างการ์ดวิญญาณ และมันจะไม่ได้ราบรื่นอย่างแน่นอน
เหตุผลในการเตรียมวัตถุดิบสองชุดก็คือ ให้มีโอกาสในการได้ลองผิดลองถูก
ศาสตราจารย์เคเซอร์ก้าวออกจากแท่นโพเดียมและสังเกตอย่างถี่ถ้วน
…
ที่แถวสุดท้ายบริเวณริมหน้าต่างของห้องเรียน
ดาร์กได้เริ่มสร้างการ์ดวิญญาณสำหรับสัตว์อสูรมายา
คำอธิบายของศาสตราจารย์เคเซอร์เกี่ยวกับสัตว์อสูรมายานี้ทำให้เขานึกถึงแมวของชโรดิงเจอร์*[1]
แมวที่น่าสงสารได้ตายไปหลายปีแล้ว แต่ผู้คนยังคงถามซ้ำ ๆ ว่ามันยังมีชีวิตอยู่หรือตายแล้ว
เนื่องจากประสบการณ์อันยาวนานของเขาในการสร้างการ์ดเวทมนตร์ ดาร์กจึงสามารถเริ่มต้นได้เร็วกว่าคนอื่น ๆ
เขาจัดประเภทของที่ต้องใช้ทดลองทั้งหมดอย่างรวดเร็วตามหมายเหตุบนกระดานดำ ผสม หั่น และสุดท้ายแบ่งเป็นแผ่นเล็ก ๆ แล้ววางลงบนโต๊ะ ดาร์กทำตามขั้นตอนแต่ละขั้นตอนอย่างระมัดระวัง
องค์ประกอบหลักของสัตว์อสูรมายาคือ ขนยาวโปร่งแสงที่ถูกผนึกไว้ในถุงสูญญากาศ
ฉลากบนถุงระบุว่าเป็นขนของสัตว์อสูรมายา แต่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษก่อนที่จะถูกผนึก เพื่อให้ความโปร่งแสงของเส้นขนยาวนี้ลดลงเล็กน้อย และสามารถมองเห็นได้จาง ๆ ด้วยตาเปล่า
มีขนเพียงสองเส้นในชุดวัตถุดิบทั้งหมด
จะเห็นได้ว่าขนของสัตว์อสูรมายาตัวจริงนั้นเป็นวัตถุดิบที่มีค่ามาก
วงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หลักสำหรับการสร้างการ์ดวิญญาณ คือวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1
วงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1 เรียกอีกอย่างว่า ‘วงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์แห่งเมอร์ลิน’ ซึ่งถูกสร้างขึ้นครั้งแรกโดยจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่อย่างเมอร์ลิน แต่ถูกพัฒนาจนสมบูรณ์หลังจากผ่านไปแล้วหลายชั่วอายุคน
จอมเวทระดับสูงต้องการเพียงแค่ร่ายวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 1 บนรูปปั้น และด้วยพลังงานเวทมนตร์มหาศาล รูปปั้นก็จะสามารถ ‘ฟื้นคืนชีพ’ และกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหมือนโกเลมได้!
นี่คือวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์ สิ่งที่มันแอบเข้าไปไม่ใช่แค่ประตูแห่งความจริง แต่เป็นความลับที่อยู่ในหัวใจของชีวิต!
หลังจากเมอร์ลินก็ไม่มีใครสามารถสร้างปาฏิหาริย์เช่นนี้ได้
ก่อนที่จะเริ่มต้นสร้างการ์ด ดาร์กก็ได้ฝึกวาดวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หลายแบบไว้
เขาไม่ได้เริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการสร้างจนกระทั่งยืนยันได้ว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว
ขณะเดียวกัน ในตอนนี้ก็มีนักเรียนจำนวนมากได้เริ่มต้นแล้ว
พวกเขาต้มส่วนผสม หั่นเป็นชิ้น ๆ และเพิ่มสิ่งต่าง ๆ ลงในการ์ดเวทมนตร์เปล่า ความรู้สึกคือแทบรอไม่ไหวที่จะยัดทุกอย่างลงในการ์ดเวทมนตร์โดยคิดเพียงว่าสัตว์อสูรมายาจะโผล่ออกมาจากในนั้น…
ศาสตราจารย์เคเซอร์เดินผ่านเด็กเหล่านี้และไม่พูดอะไรมาก
บางคนแค่ต้องประสบกับความล้มเหลวก่อนที่จะเข้าใจถึงคุณค่าของความสำเร็จ
…
เวอร์เธอร์กับโรเบิร์ตกำลังเตรียมวัตถุดิบเหมือนทำแกงกะหรี่
ไดแอนนาและโรสได้เรียนรู้ความผิดพลาดของพวกเธอในอดีตแล้ว ตอนนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเธอจะเดินตามรอยของดาร์ก
แม้ว่าความคืบหน้าจะช้ากว่า แต่ก็ไม่ได้ประมาท
ประสิทธิภาพของเอ็มม่าถือว่าสูงที่สุดในห้องเรียน เธอเริ่มเพิ่มวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์ลงในการ์ดเวทมนตร์เปล่าแล้ว
ระหว่างกระบวนการสร้าง เธอมองไปยังโต๊ะแถวสุดท้ายของห้องเรียนอย่างระมัดระวังเป็นครั้งคราว
และดาร์กที่อยู่มุมแถวสุดท้ายนั้นก็เร่งความเร็วขึ้น
*[1] ทฤษฎีแมวของชโรดิงเจอร์ คือ การทดลองที่นำแมวไปไว้ในกล่องที่มีสารกัมมันตรังสี และเกิดเป็นคำถามว่า แมวตัวนั้นตายหรือไม่ จึงเปรียบว่า หากไม่ลองเปิดกล่องดูก็จะไม่มีวันรู้ว่าแมวตัวนั้นของชโรดิงเจอร์ตายหรือไม่
บทที่ 22 เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตพยายามจะชำระหนี้
พายุแห่งความขัดแย้งภายนอกไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสถาบันเซนต์แมเรียนมากนัก
ไม่มีการสมคบคิดอะไรมากมายในหมู่จอมเวทฝึกหัด
วันอาทิตย์แรกของการเปิดถนนนักเดินทางได้ผ่านไปอย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางเสียงร้องเรียนบ่อยครั้ง
จากนั้นนักเรียนใหม่ก็เข้าสู่คาบแรกของสัปดาห์ที่ห้า
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ยังคงเข้ามาในชั้นเรียนตรงเวลา ทว่าเธอไม่ได้ใช้การ์ด [เงียบสงัด] อีกต่อไป เพราะนักเรียนใหม่ได้เรียนรู้ในครั้งนั้นแล้ว
“เริ่มจากสัปดาห์นี้ เราจะเรียนรู้วิธีการใช้อัญเชิญในระหว่างการประลอง!”
การอัญเชิญนั้นมีเวลาร่ายและช่วงเวลาร่าย
พลังเวทมนตร์มีทั้งการส่งออกของพลัง ช่วงเวลาที่ส่งออกสูงสุดได้อย่างต่อเนื่อง และรวมไปถึงขีดจำกัดสูงสุดของการใช้พลังเวทมนตร์
เมื่อพลังเวทมนตร์เหลือน้อยลง พลังที่ส่งออกไปก็จะยิ่งลดน้อยลง
ดังนั้นวิธีการใช้พลังเวทที่มีจำกัดเพื่อปลดปล่อยการอัญเชิญหลายครั้งในช่วงเวลาเดียวกันอย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอที่สุด จึงเป็นจุดที่ทุกคนจำเป็นต้องพิจารณาเป็นพิเศษ
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการบริหารพลังเวทมนตร์และการจัดการเวลาเป็นหลัก ซึ่งจำเป็นต้องมีการคำนวณทางคณิตศาสตร์เข้ามาช่วย!
จอมเวทไข่มังกรดาดาวิชีเคยกล่าวไว้ว่าคณิตศาสตร์เป็นพื้นฐานของจอมเวททั้งหมด!
ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้หรือการค้นคว้า ก็ไม่อาจแยกออกจากคณิตศาสตร์ได้!
เดือนนี้ดาร์กได้ประเมินพลังเวทมนตร์ของตัวเองแล้ว
ปริมาณพลังเวทมนตร์ทั้งหมดของเขายังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเกินค่ามาตรฐานของนักเรียนปีที่สามไปแล้ว
ส่วนคุณภาพของพลังเวทมนตร์นั้นใกล้เคียงกับนักเรียนชั้นปีสอง แม้จะอยู่ในสภาพที่ไม่มีการปรับแต่งก็ตาม
แต่กับพลังที่ส่งออกนั้นดูจะเกินจริงไปหน่อย
ด้วยการอัญเชิญแบบปกติที่เขาเชี่ยวชาญในตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับ ‘พลังส่งออกติดขัด’ ที่เกิดจากการร่ายอย่างต่อเนื่อง
ในฐานะนักเรียนดีเด่นจากนักเรียนชั้นปีหนึ่ง เวลาที่ใช้ในการอัญเชิญปกติของดาร์กถูกบีบอัดให้เหลือน้อยกว่าสิบวินาที เช่นเดียวกันกับการคูลดาวน์ของอัญเชิญ
นี่หมายความว่าเขาสามารถใช้การอัญเชิญแบบปกติเพื่อเปิดใช้งานการ์ดเวทมนตร์สามครั้งในหนึ่งนาที
‘ใช้การอัญเชิญแบบปกติ เพื่อเปิดใช้งานการ์ดเวทมนตร์สามใบอย่างต่อเนื่อง ภายในหนึ่งนาที’ นี่คือหนึ่งในบททดสอบสุดท้ายของวิชาอัญเชิญปีแรก
และด้วยความสามารถในการทำแบบฝึกหัดของทั้งภาคเรียนจนเสร็จภายในเวลาไม่ถึงเดือน จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ดาร์กจะเป็นที่ชื่นชอบของอาจารย์
…
คาบวิชาอัญเชิญวันนี้ก็ยังเรียนกับนักเรียนของบ้านอัศวิน
ดาร์กนั่งในตำแหน่งเดิมและมองภาพรวมในห้องเรียนแบบพาโนรามา
เขาเข้าใจเนื้อหาที่ศาสตราจารย์ซิลเวอร์จะสอนในวันนี้แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการกระตุ้นค่า [โลภะ] ในคาบเรียนตอนนี้ แต่อย่างไรก็ยังต้องให้ความสนใจกับค่า [เกียจคร้าน] อยู่ดี เพราะงั้นดาร์กถึงนำหนังสือออกมาอ่านตามปกติ
เนื่องจากหนังสือทุกเล่มที่เขาอ่านมีความเกี่ยวข้องกับวิชาที่เรียน อาจารย์จึงมักไม่ว่าอะไรกับหนังสือพวกนั้น และเพื่อนบางคนก็เริ่มที่จะพูดคุยกับเขา
ตัวอย่างเช่น หนังสือที่ดาร์กกำลังอ่านอยู่คือ ‘การอัญเชิญพันธะวิญญาณของจอมเวทสีชาด – ความแตกต่างระหว่างการอัญเชิญสปิริตกับการอัญเชิญเวทมนตร์อื่น ๆ’
มีการเพิ่มแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า ‘พันธะ’ ซึ่งถือเป็นรากฐานของ ‘การอัญเชิญพันธะวิญญาณ’
เมื่อแนวคิดนี้ปรากฏขึ้นครั้งแรก มันก็ถูกเย้ยหยันโดยจอมเวทหลายคน
นักวิชาการเชื่อว่าระดับสติปัญญาของสปิริตสูงสุดอยู่ที่สอง ซึ่งต่ำกว่าระดับ 2.5 ของวิญญาณรับใช้ครึ่งหน่วย ดังนั้นความสามารถในการสั่งให้พวกมันโจมตีและหลบหลีกจึงมีขีดจำกัด ส่วนวิธีการสื่อสารกับสปิริตและสร้างพันธะทางวิญญาณนั้นมันเป็นความฝันที่โง่เขลา!
แต่ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปหลังจากที่จอมเวทสีชาดขึ้นสู่การประลองชิงแชมป์ระดับอาณาจักรในปีนั้น!
พลังของการอัญเชิญพันธะวิญญาณเริ่มมีค่า และเหล่าจอมเวทเริ่มมองว่าการ์ดวิญญาณเป็น ‘สิ่งมีชีวิต’ และบางคนถึงกับพูดกับการ์ดวิญญาณ
ผู้บ้าคลั่งบางคนถึงกับถ่ายเทวิญญาณของพวกเขาเข้าไปในการ์ดเวทมนตร์ เพื่อพยายามสร้าง [พันธะ] โดยการเพิ่มระดับสติปัญญาของสปิริต เพื่อให้สปิริตระเบิดพลังที่มันแสดงให้เห็นบนการ์ดได้
แต่ดาร์กยังไปไม่ถึงจุดนั้น หนังสือในมือของเขาส่วนใหญ่พูดถึงแค่วิธีสื่อสารกับสปิริตและรับการตอบสนองจากสปิริตเพื่อลดการใช้พลังเวทมนตร์และเวลาร่ายในการอัญเชิญมันเท่านั้น
นอกจากนี้ เพื่อที่จะย่นระยะเวลาร่ายอัญเชิญสปิริตให้สั้นลง ก็จำเป็นต้องฝึกฝนความรู้ในหนังสือเล่มนี้
“ฉันได้ยินมาว่าศาสตราจารย์เคเซอร์จะสอนเราถึงวิธีทำการ์ดวิญญาณใบแรกในเนื้อหาถัดไป เมื่อสร้างขึ้นมาได้แล้ว เราจะสามารถใช้ความรู้นี้ได้”
ดาร์กอดคิดไม่ได้ว่าสปิริตตัวแรกของเขาจะเป็นอย่างไร
และเวลานั้นเอง เขาก็เห็นโรเบิร์ตและเวอร์เธอร์กำลังคุยกระซิบกระซาบกัน ราวกับกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่
…
เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตยังนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องเรียน ซึ่งอยู่ใกล้กับประตูหลัง
โรเบิร์ตเหลือบมองไปทางหน้าต่างราวกับหัวขโมยและกระซิบว่า “เห็นไหม ฉันบอกนายแล้วว่าศาสตราจารย์จะไม่เรียกคนที่นั่งที่ด้านหลัง นายเห็นไหมว่าช่วงนี้เดม่อนก็ไม่ได้ถูกเรียกบ่อยแล้ว!”
“นายกำลังพูดถึงดาร์กอยู่หรือเปล่า?” เวอร์เธอร์ยังคงกระซิบอีกว่า “ยังไงก็เถอะ เราต้องเก็บคะแนนให้ได้! ภายในวันนี้ นายต้องได้สี่สิบคะแนน!”
โรเบิร์ตคำนวณ “ไม่ต้องห่วง 10+10+10+10 เท่ากับสี่สิบคะแนน! เรียนแค่สองคาบเท่านั้น!”
เวอร์เธอร์ “เยี่ยมเลย…”
…
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ “กาวด์ เธอช่วยตอบคำถามนี้หน่อยได้ไหม? วิธีปรับลมหายใจให้ถูกต้องระหว่างการเปลี่ยนคาถาอัญเชิญสองคาถาเรียกว่าอะไร?”
เวอร์เธอร์ “…”
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ “ฉันหวังว่าเธอจะจริงจังในชั้นเรียนมากกว่านี้นะ! หักห้าคะแนนสำหรับกาวด์!”
…
เวอร์เธอร์ถาม “โรเบิร์ต ฉันควรทำยังไงดี!”
โรเบิร์ตตอบ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องเครียด วันนี้มีสามคาบ จะเสียอีกสิบห้าคะแนนก็ไม่เป็นไร!”
เวอร์เธอร์ “สิบห้าคะแนน โชคร้ายแค่ไหนก็ไม่เกินขนาดนั้นหรอก”
โรเบิร์ต “ไม่ต้องห่วง เวอร์เธอร์”
…
คาบเรียนอัญเชิญสิ้นสุดลงภายใต้สายตาอันเยือกเย็นของศาสตราจารย์ซิลเวอร์
ในห้องเรียนวิชาเวทมนตร์ ศาสตราจารย์เคเซอร์เข้ามาในห้องก่อนหน้านี้ห้านาที แต่นักเรียนไม่สงบลงด้วยเหตุนี้ บางคนถึงกับถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ว่า “ศาสตราจารย์ วันนี้คุณจะสอนวิธีทำการ์ดวิญญาณกับเราจริง ๆ เหรอครับ?”
“แน่นอน” ศาสตราจารย์เคเซอร์ค่อย ๆ ดึงการ์ดเวทมนตร์ออกจากแขนเสื้อของเขาและเปิดใช้งาน
จากนั้นกล่องซึ่งดูหนักก็ปรากฏขึ้นบนแท่น
ศาสตราจารย์เคเซอร์ปรบมือและถามขึ้นว่า “มีใครจะช่วยฉันแจกจ่ายวัตถุดิบในกล่องนี้ไหม?”
“หนูค่ะ!”
“ผมครับ!”
หลังจากทั้งคู่ตอบ เอ็มม่าก็ลุกขึ้นจากที่นั่งเงียบ ๆ และเริ่มแจกจ่ายวัตถุดิบ
ในที่สุด นักเรียนที่ส่งเสียงดังสุดก็ได้แต่มอง
ศาสตราจารย์เคเซอร์ยิ้ม “มอร์ติส หนึ่งชุดต่อคนนะ”
เอ็มม่าตอบ “ค่ะ ศาสตราจารย์”
…
ดาร์กเป็นคนสุดท้ายที่ได้
นี่คือชุดวัตถุดิบในกระเป๋าใส และข้างในมีการ์ดเวทมนตร์เปล่าอยู่สองใบ!
เห็นได้เลยว่าราคาพื้นฐานของชุดวัตถุดิบนี้สูงกว่ายี่สิบคะแนน!
บทที่ 21 ดาร์ก เดม่อนไร้ที่ติ
เมื่อดาร์กตื่นขึ้น เสียง ‘ฝน’ ก็ดังต้อนรับเช้าวันอาทิตย์มาจากนอกหน้าต่าง
เขาหรี่ตาขณะลุกขึ้นทำกิจวัตรล้างหน้าและแปรงฟัน โดยไม่ให้โอกาส [เกียจคร้าน] ได้ทำคะแนน
วันนี้ดาร์กไม่ได้ไปที่ห้องนั่งเล่น แต่อยู่เงียบ ๆ ภายในห้องนอนพักใหญ่
ค่ามหาบาปบางครั้งก็ควบคุมได้ยาก
เช่นตอนนี้ที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแค่มองดูสายฝนตกที่ริมหน้าต่าง จิตใจอยู่ในช่วงสงบผ่อนคลาย จึงไม่มีอะไรถูกกระตุ้น
ทว่าสภาพจิตใจเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรักษาไว้
พอประมาณเจ็ดนาฬิกา ดาร์กก็ไปที่โรงอาหารเพื่อทานมื้อเช้าซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก จากนั้นจึงออกไปยืม [ขวดแห่งความคิด] จากศาสตราจารย์เคเซอร์
ดูเหมือนศาสตราจารย์เคเซอร์จะเชื่อว่าเขากำลังศึกษาเรื่องของอารมณ์อยู่ ดังนั้นเขาจึงมอบมันให้กับดาร์กโดยไม่ถามอะไรมาก
และ [ขวดแห่งความคิด] ตามชื่อของมันก็คือภาชนะที่ใช้เก็บ ‘สสารแห่งความคิด’ เช่น ความทรงจำ อารมณ์ ความรู้ และความคิด
แน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็นความทรงจำ อารมณ์ ความรู้ หรือความคิด มันก็มักจะจางหายไปตามกาลเวลา
การใช้ [ขวดแห่งความคิด] เพียงอย่างเดียวซึ่งมีราคาสองสามร้อยคะแนน ไม่เพียงพอต่อการป้องกันการเจือจางของสสารแห่งความคิดได้อย่างสมบูรณ์
มันเป็นเพียงกำแพงที่ปิดกั้นให้สสารแห่งความคิดเจือจางช้าลงเท่านั้น
ระยะเวลาในการเก็บสสารแห่งความคิดสูงสุดคือเจ็ดสิบสองชั่วโมง หลังจากนั้นความเร็วของการเจือจางจะเพิ่มขึ้น
ดาร์กจึงตั้งเวลาทดลองถัดไปในบ่ายวันอังคารหรือเย็นของวันที่สาม
เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะได้รับค่า [อัตตา] สามหน่วยสำหรับการทดลอง
…
อาจเป็นเพราะว่าฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ พวกนักเรียนใหม่จึงได้แต่หมกตัวอยู่ในห้องนั่งเล่นด้วยความหงุดหงิด
บางคนกำลังอ่านหนังสือ บางคนกำลังเล่นหมากรุก และบางคนก็พยายามหนักเพื่อทำการบ้านให้เสร็จ
ไดแอนนาเป็นคนประเภทสุดท้าย
เธอพาโรสไปหาที่ตรงมุมห้องนั่งเล่น และรีบทำการบ้านให้เสร็จพร้อมกัดปากกาของเธอ
ไดแอนนาไม่ได้ฉลาดมาก สิ่งที่คนอื่นมักจำได้หลังจากอ่านเพียงครั้งเดียว เธอมักจะต้องอ่านมากกว่าสองครั้ง
พรสวรรค์ของเธอเน้นไปที่พลังเวทมนตร์และความแข็งแกร่งทางกายภาพเสียมากกว่า
หากยังเป็นยุคก่อนหน้าซึ่งเป็นยุคที่ปีศาจมีอยู่จริง เธอคงเป็นพาลาดินที่เก่งด้านเวทมนตร์และศิลปะอย่างแน่นอน เด็กหญิงอาจจะสามารถต่อสู้ในสนามรบ และสุดท้ายเรื่องราวของเธอก็จะขจรไกลไปตลอดยุคสมัย
ทว่าในยุคของเซนต์แมเรียนที่ความรู้เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
การจะเป็นจอมเวทที่มีคุณสมบัติเหมาะสม พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะใช้สมองของตนเอง
ส่วนเหตุผลที่ไดแอนนายังคงสามารถตามนักเรียนคนอื่นได้ทันก็ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากโรสครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งมาจากการสอนของดาร์ก!
โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ที่ยากที่สุด ดาร์กช่วยเธอเอาไว้มาก
เขาจะพยายามหลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอยู่เสมอ เพราะตอนแรกเขากลัวว่าจะระงับอารมณ์ชั่ววูบของตัวเองไว้ไม่ไหว และหากได้เจอพวกงี่เง่าบางคนเข้าค่าโทสะของเขาอาจถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที
มาตอนนี้ดาร์กกังวลว่าจะควบคุมค่าอัตตาไม่ได้และกลายเป็นคนเย่อหยิ่งในท้ายที่สุด เด็กพวกนั้นเป็นแค่กลุ่มนักเรียนจอมเวทฝึกหัดปีหนึ่งซึ่งไม่คู่ควรกับเขาเลย!
หัวข้อของสถาบันเซนต์แมเรียนใน ‘เดลี่เสจ’ กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง ส่วนใหญ่เป็นเพราะลูกหลานของ ‘ดาบคู่แห่งอาณาจักร’ ที่ได้เข้าศึกษาในสถาบันเซนต์แมเรียนด้วย
ความคิดเห็นบางส่วนจากอาจารย์และนักเรียนของสถาบันโฮลี มิสเทอรีนั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาได้แต่หวังว่าหากหนึ่งในนักเรียนใหม่สองคนนี้ถูกจับได้ว่าทำอะไรไม่ดีและถูกรายงาน ความเย่อหยิ่งของสถาบันเซนต์แมเรียนจะถูกกดข่มไว้อย่างแน่นอน!
ที่สำคัญคือ พวกเขามุ่งเป้าไปที่ดาร์ก เดม่อน ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงที่ย่ำแย่มาก ว่ากันว่าดยุกน้อยผู้นี้เป็นพวกโลภในความสุขทางราคะทุกรูปแบบตั้งแต่อายุยังเล็ก ชื่อเสียงที่ว่าเขานั้นเย่อหยิ่ง เกียจคร้าน โง่เขลาและเอาแต่ใจ ทำให้เหมาะกับเป็นกระสอบทรายอย่างมาก
และการพุ่งเป้าไปที่ดาร์ก เดม่อนอาจเป็นไปได้ว่าจะสามารถส่งผลกระทบที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นต่อพรรคนกพิราบที่มีดัชเชสอัลเวตต์เป็นผู้นำ!
ทุกอย่างมักมีการขัดแย้งกันไปมาอยู่เสมอ
วัลคีรีที่ครั้งหนึ่งเคยต่อสู้อย่างกล้าหาญในสนามรบและสังหารศัตรูโดยไม่กะพริบตา ในที่สุดนางก็จะได้เข้าใจถึงคำว่า ‘พัก’ และผันตัวกลายเป็นพรรคนกพิราบผู้สนับสนุนสันติภาพแทนบ้าง
กองทัพคริสตจักรที่เคยสนับสนุนการอยู่ร่วมกันอย่างสันติเพื่อลดการสังหารในสงครามได้กลายเป็นพรรคเหยี่ยวที่มุ่งมั่นขยายกองทัพเมื่อการพัฒนาของพวกเขาถูกขัดขวาง!
อย่างที่สุภาษิตโบราณว่าไว้ ‘หากไร้ซึ่งสงครามแล้วจะมีศรัทธาได้อย่างไร?’
แน่นอนว่าพระสันตะปาปาแห่งคริสตจักรจะต้องออกมาด้วยตัวเอง แต่หัวหน้าอาร์คบิชอป หนึ่งในสมาชิกวุฒิสภา 36 คน มักพูดในวุฒิสภาและสนับสนุนให้กษัตริย์ส่งกองทหารออกไปและพิชิตอาณาจักรเล็ก ๆ โดยรอบ ในขณะที่พวกเขากำลังอ่อนแอ
กษัตริย์ทรงชราภาพและสูญเสียจิตวิญญาณการต่อสู้ไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงสนับสนุนให้เจ้าชายขึ้นครองบัลลังก์และพิชิตโลกแทน
เจ้าชายองค์แรกมีความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่และใกล้เคียงกับเป้าหมายของโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์
ส่งผลให้พรรคนกพิราบหันไปสนับสนุนเจ้าหญิงผู้อ่อนโยน ซึ่งพอเหมาะพอดีกับที่ช่วงนี้เพิ่งมีกระแสสนับสนุนให้สตรีมีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกให้เจ้าหญิงขึ้นครองบัลลังก์!
แน่นอน ทุกคนรู้ดีว่าทำไมในเกมจีบสาวถึงมีฉากแบบนี้
อย่างไรก็ตาม แมลงวันจะไม่กัดไข่ที่ไม่มีรอยร้าว ซึ่งหมายความว่าไข่จะคงอยู่ยงคงกระพันหากพวกมันไม่มีรอยร้าว!
สายลับของพรรคเหยี่ยวได้แทรกซึมเข้าไปในสถาบันเซนต์แมเรียนแต่กลับไม่พบเรื่องราวอะไรของดาร์กเลย
มีแต่บอกว่าเขาประพฤติดี เกรดดี มีวินัยในตนเอง ขยันหมั่นเพียร ไม่โลภ ไม่อิจฉาริษยา สุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน สง่า งดงาม…
ดูเหมือนว่าคำพูดดี ๆ ทั้งหมดสามารถใช้กับเขาได้
ใช่แล้ว นี่คือดาร์ก เดม่อน!
เด็กชายผู้ยอดเยี่ยม สมบูรณ์แบบและไร้ที่ติ!
ซิสเตอร์ตัวน้อยที่ลอบมองดูเขาอยู่ลับ ๆ เกือบจะพ่ายแพ้ต่อเสน่ห์ของดาร์ก เดม่อน!
หากพวกเขาต้องขุดคุ้ยหาเรื่องที่จะทำเป็นประเด็นให้ได้ บางทีวิญญาณรับใช้ของดาร์กซึ่งเป็นปีศาจก็อาจเป็นกระแสที่ทำประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ได้…
ในทางตรงกันข้าม ข่าวคราวทายาทอีกคนหนึ่งของดาบคู่แห่งอาณาจักรนั้นกลับไม่ค่อยดีนัก
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นบุตรแห่งวีรบุรุษผู้สูงศักดิ์ยิ่งกว่าวัลคีรี แต่กาวด์คนนี้ใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนกับลูกชายของขุนนางบ้านนอก
เขาไม่เพียงแต่ทำการบ้านได้ไม่ดีเท่านั้น แต่บางครั้งยังมาเรียนสายอีกด้วย!
เมื่อผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ คะแนนทั้งหมดของกาวด์ถูกก็หักไปครึ่งหนึ่ง!
นับเป็นความอัปยศต่อตระกูลของวีรบุรุษอย่างยิ่ง!
นอกจากนี้ วิญญาณรับใช้ของเขาก็ยังเป็นประเภทปีศาจอีกด้วย!
ทายาทของสองวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำลายล้างปีศาจจนราพณาสูร แต่วิญญาณรับใช้ของทั้งสองกลับกลายเป็นประเภทปีศาจเสียอย่างนั้น!
แม้ว่าจะควรมองดูที่แก่นแท้ผ่านรูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งการเกิดขึ้นของวิญญาณรับใช้ประเภทปีศาจนั้นมีปัจจัยหลายประการเข้ามาเกี่ยวข้อง มันจึงหาได้มีความหมายอะไรเลย
ทว่าในสายตาของผู้คนที่ไม่เข้าใจเวทมนตร์ นี่เป็นเหตุการณ์สำคัญที่อาจทำให้เกิดความคิดเห็นของสาธารณชนบ้าคลั่ง!
อย่างไรก็ตาม แม้แต่พรรคเหยี่ยวก็ไม่กล้าโจมตีบุตรชายทั้งสองของดาบคู่แห่งราชอาณาจักรพร้อม ๆ กัน
เพราะนี่อาจจะทำให้เกิดการสวนกลับระดับชาติ!
เมื่อผู้คนค่อย ๆ มีความรู้มากขึ้น การหลอกคนก็ยิ่งยากขึ้นเรื่อย ๆ
เดิมทีที่พวกเขาต้องการทำคือ แอบปลุกเร้าความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่าย และบางทีพวกเขาอาจใช้สิ่งนี้ดึงบุตรชายของวีรบุรุษเข้าสู่พรรคของตนเองได้
ทว่าตอนนี้ เด็กทั้งสองคนกลับไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย!
อย่างไรก็ตาม เดลี่เสจยังคงรายงานการโต้เถียงทุกประเภทที่ออกมาจากผู้เขียนของทั้งสองกลุ่ม
ในฐานะที่เป็นสำนักพิมพ์รายใหญ่ที่สุดและมีอำนาจมากที่สุด เดลี่เสจจึงมีผู้อ่านอยู่ทั่วทั้งอาณาจักร
เวลาเพียงเดือนเดียวก็ทำให้ประชาชนทุกคนรู้ว่าทายาทของดาบคู่แห่งอาณาจักรได้เลือกเรียนที่เซนต์แมเรียน และรวมไปถึงรู้เกี่ยวกับการปรากฏตัวอีกครั้งของบุตรแห่งวีรบุรุษด้วย
บางคนกังวลเป็นพิเศษว่าบุตรชายของวีรบุรุษจะสืบทอดพลังของวีรบุรุษมาหรือไม่?
หากเป็นเช่นนั้น การปรากฏตัวของเขาก็หมายความว่าคำทำนายของผู้เผยพระวจนะกำลังจะเป็นจริง และภัยพิบัติจะกลับมาถูกไหม?
บทที่ 20 จุดเริ่มต้นของการ์ดเมจิกหมวดอัตตา
ดาร์กไม่ได้แปลกใจมากกับการเข้ามาอย่างกะทันหันของศาสตราจารย์เคเซอร์
เขาแสดงผลงานต่อศาสตราจารย์และถือโอกาสสอบถามปัญหาที่พบระหว่างกระบวนการผลิต
ศาสตราจารย์เคเซอร์ตกใจที่เขาสามารถสร้าง [การ์ดขัดเกลาอารมณ์] ได้สำเร็จ
หลังจากนั้น ขณะให้คำตอบต่าง ๆ แก่ดาร์ก เขาก็ได้ตรวจสอบการ์ดอารมณ์ที่ถูกสร้างโดยเด็กนักเรียนตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจในที่สุด “เดม่อน เธอเข้าใจในเรื่องอารมณ์อย่างลึกซึ้งจนน่าตกใจเลยทีเดียว”
“จริงเหรอครับ?” ดาร์กดูสับสน
“บางครั้งการถ่อมตัวเกินไปก็ไม่ดีเท่าไหร่” ศาสตราจารย์เคเซอร์กะพริบตา “เธอควรจะภูมิใจในตัวเองนะ ตอนอายุเท่าเธอ ฉันยังนั่งเล่นบ่อโคลนอยู่เลย”
จากนั้นเขาก็หันกลับมาและพูดว่า “ถ้าเธออยากจะทำต่อก็ทำได้เลย แต่อย่าลืมเอากุญแจมาคืนที่ห้องทำงานฉันก่อนห้าโมงเย็นล่ะ”
ดาร์กตอบ “ครับ ศาสตราจารย์!”
…
“เหลือการ์ดเวทมนตร์เปล่าสองใบ”
ดาร์กจ้องมองไปที่การ์ดเวทมนตร์ว่างสองใบสุดท้ายแล้วเรียกรุกกี้เดวิมอนออกมา
“จงออกมา!”
ก่อนที่รุกกี้เดวิมอนจะทันได้ตอบสนอง ลูกบอลแห่งแสงที่ลอยจาก [การ์ดแห่งความสุข] ก็พุ่งไปที่ด้านหลังศีรษะของมัน
จากนั้นท่าทีที่ดุร้ายตามธรรมชาติของเจ้าตัวน้อยก็เปลี่ยนไปในทันที
“มีความสุขไหม?” ดาร์กถาม
รุกกี้เดวิมอนพยักหน้าอย่างโง่เขลา “มีความสุข”
“ดี”
ดาร์กยิ้มและใส่ [การ์ดแห่งความสุข] ลงในซองการ์ด ในที่สุดเขาก็มีการ์ดเวทมนตร์ที่ทำเองใบแรก!
…
หลังจากสั่งให้รุกกี้เดวิมอนเฝ้าประตู ดาร์กก็ดูจริงจังขึ้น
[การ์ดแห่งความสุข] เป็นเพียงการทดลอง สิ่งที่เขากำลังจะทำต่อไปคือการทดลองที่แท้จริง
เขาไม่ได้สนใจน้ำยา ‘เสียงแห่งความสุข’ อีก แต่หันไปสนใจขั้นตอนที่สองแทน มือขยับวนคนส่วนผสมให้เป็นแผ่น แล้วเตรียมการล่วงหน้า
‘แผ่น’ นี้ทำหน้าที่เป็น ‘ของเหลวปิดผนึก’ เป็นตัวเชื่อมปิด
ด้วยชั้น ‘แผ่น’ นี้ ‘อารมณ์’ ที่อยู่ในนั้นจะไม่รั่วไหล ลดความขัดแย้งระหว่างวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์กับวัสดุและการ์ดเวทมนตร์ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำลายธรรมชาติของอารมณ์ที่ถูกถ่ายเทเข้าไป
หากได้รับการขัดเกลา มันก็สามารถทำหน้าที่เป็น ‘ฟิล์มกันรอย’ ได้
ดาร์กนั่งลงบนเก้าอี้ หยิบเครื่องหยดสมองวิเศษออกมา และทำให้ร้อนด้วยตะเกียงแอลกอฮอล์เพื่อเปิดใช้งาน
จากนั้นเขาก็ใช้ ‘วิธีแมลงปอสัมผัสน้ำ’ อีกครั้ง กดปลายหยดสมองวิเศษกับขมับ บีบ ‘สมองวิเศษ’ เบา ๆ แล้วปล่อย เขาทำซ้ำหลายครั้ง
ไม่จำเป็นต้องมีการควบคุมที่ดี เพราะค่าเดียวที่ล้นออกมาในขณะนี้คือ [อัตตา]
ร่องรอยของเส้นสีดำบาง ๆ ถูกดูดเข้าไปในสมองวิเศษ และในที่สุด [อัตตา] ก็เปลี่ยนจาก 111 เป็น 110 หน่วย!
“กะ!”
สมองวิเศษกรีดร้อง!
ดาร์กหยุดกดทันที แล้วจุ่มปลายของมันลงไปในน้ำ
ทันทีที่สมองวิเศษสัมผัสกับน้ำ มันก็สงบลงโดยธรรมชาติ
เมื่อเอามันออกมาอีกครั้งและทำให้น้ำแห้ง สมองวิเศษก็หยุดกรีดร้องแล้ว
หลังจากนั้น ดาร์กก็กดปลายเครื่องหยดสมองวิเศษกับการ์ดเวทมนตร์เปล่า ก่อนจะบีบสมองวิเศษออกมา
ค่า [อัตตา] ที่เก็บไว้ในสมองวิเศษก็ถูกบ้วนออกมา!
ในไม่ช้า การ์ดเวทมนตร์เปล่าใบนี้ก็ถูกย้อมเป็นสีทองเข้ม
เมื่อสีทองเข้มบนการ์ดเวทมนตร์เรียบและสม่ำเสมอ ดาร์กก็วางแผ่นที่ต้มไว้ล่วงหน้าบนพื้นผิวของการ์ดเวทมนตร์
…
ขั้นตอนต่อมาก็เหมือนเดิม
หลังจากมีประสบการณ์ที่ทำสำเร็จมาแล้ว ดาร์กก็มีความเชี่ยวชาญในเทคนิคของเขามากขึ้น
เขาเสร็จสิ้นการผลิต [อัตตา I] นี้อย่างรวดเร็ว!
เมื่อดูจากรูปลักษณ์ การ์ด [อัตตา I] ใบนี้มีฟิล์มป้องกันอีกชั้นหนึ่งเมื่อเทียบกับชั้นก่อนหน้า
แต่ผลกระทบที่แท้จริงยังคงต้องได้รับการยืนยัน
ยิ่งกว่านั้น เขาจะไม่ทดลองที่นี่
…
“ใกล้จะถึงเวลาคืนกุญแจให้ศาสตราจารย์เคเซอร์แล้ว”
ดาร์กลบหลักฐานการทดลองของเขาและออกจากห้องทดลองไป
…
เวลาห้าโมงเย็น
ดาร์กกลับไปที่ห้องนอนของเขาและอัญเชิญรุกกี้เดวิมอนออกมาเพื่อเตรียมการทดลอง
‘ฉันได้ทำทุกอย่างที่สามารถทำได้แล้ว นี่จะเป็นการทดลองที่ตัดสินความสำเร็จหรือความล้มเหลว!’
รุกกี้เดวิมอนฉลาดมาก มันรู้ทันทีว่าตัวเองกำลังจะโดนทรมาน จึงหดปีก กุมหัวและร้องออกมา “ประท้วง ประท้วง วิญญาณรับใช้ก็มีชีวิตเหมือนกันนะ!”
ดาร์กยิ้มอย่างใจดี “ไม่ต้องกลัว มันไม่เจ็บหรอก”
รุกกี้เดวิมอนยังคงปฏิเสธ “ไม่! ไม่! o(>﹏<)o ไม่!”
“จงออกมา!”
ดาร์กถือการ์ดเมจิก [อัตตา] ด้วยนิ้วชี้และนิ้วกลาง แล้วเปิดใช้งาน!
ทันใดนั้นการ์ดเวทมนตร์ก็ทำงาน!
มันคู่ควรกับที่เป็น [อัตตา I] จากการสร้างขึ้นตามวิธีการของ [การ์ดขัดเกลาอารมณ์]
แม้แต่แสงสีดำที่ถูกปล่อยออกมาหลังจากการเปิดใช้งานก็ยังเหนือยิ่งกว่า
ลูกบอลแสงสีทองเข้มพุ่งออกมาจากการ์ดเวทมนตร์นั้นมีความโค้งมนมากขึ้น เสถียรขึ้นและเร็วขึ้นขณะลอย
ก่อนที่รุกกี้เดวิมอนจะตอบสนอง มันก็โดนลูกบอลแสงจู่โจม
เจ้าตัวน้อยเอื่อยเฉื่อยอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับว่าสมองของมันลัดวงจร แล้วจึงเปลี่ยนจากโหมด ‘ซุกซน’ เป็นโหมด ‘หยิ่งผยอง’
ଘ(੭*ˊᵕˋ)੭
หลังจากช่วงเวลานี้ สีหน้าที่แสร้งทำเป็น ‘เสียใจ’ กลายเป็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความเย่อหยิ่งและความไม่เคารพในทันที!
มันเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “เจ้ากล้าดียังไงถึงบังคับให้นายท่านผู้นี้ทำอะไรที่ขัดกับเจตจำนงของตัวเอง! เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าได้ก่ออาชญากรรมอะไรลงไป!”
ดาร์กอึ้ง “ฮะ?”
รุกกี้เดวิมอนพูดอย่างผยองว่า “นายท่านผู้นี้จะให้โอกาสเจ้า ลูบนายท่านผู้นี้ซะแล้วนายท่านผู้นี้จะยกโทษให้เจ้า!”
ดาร์กยื่นมือออกด้วยท่าทางมึนงงและลูบหัวจนมันหรี่ตา ทั้งยัง ครางออกมาด้วยความพอใจ
หลังจากนั้นดาร์กก็เขียนลงในสมุดบันทึกว่า
‘ความหยิ่งผยองที่มากเกินไปอาจทำลายสมองได้’
…
ชื่อการ์ด: อัตตา I
ประเภท: การ์ดเมจิก
เอฟเฟกต์: ทำให้คนหยิ่งผยอง
…
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าครั้งนี้ [อัตตา I] ให้ผลดีกว่าและยังมีระยะเวลานานขึ้น
รุกกี้เดวิมอนไม่กลับมาเป็นปกติจนผ่านไปถึงยี่สิบนาที
ยิ่งไปกว่านั้น การ์ด [อัตตา I] ยังไม่พังหลังจากใช้งาน
กระทั่งลูกบอลแสงสลัวจาง ๆ ยังลอยออกจากสมองของรุกกี้เดวิมอนและกลับมาที่การ์ด
หลังจากตรวจสอบการ์ดด้วยพลังเวทมนตร์แล้ว ดาร์กก็พบว่าแสงสีดำที่ปล่อยออกมาจาก [อัตตา I] นั้นอ่อนแอมาก แต่มันยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
นี่หมายความว่า [อัตตา I] นี้เป็นการ์ดเวทมนตร์ที่ใช้ซ้ำได้!
แม้ว่าจะมีความสำคัญในการใช้งานจริงเพียงเล็กน้อย
แต่จากมุมมองของการทดลอง นี่นับเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย!
สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพในการพัฒนาที่ยั่งยืนของการ์ดเมจิกหมวด [อัตตา] และเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการพัฒนา [อัตตา II]
อารมณ์คือพลัง
และความปรารถนาของบาปทั้งเจ็ดยังเป็นพลังที่มีศักยภาพมากอีกด้วย!
…
หลังจากผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง แสงที่ [อัตตา I] ปล่อยออกมาก็กลับมาสู่ระดับปกติ
“คูลดาวน์ห้าสิบเก้านาทีโดยประมาณ”
เพื่อทดสอบว่าเอฟเฟกต์จะอ่อนลงจากการใช้ครั้งที่สองหรือไม่ ดาร์กจึงเปิดใช้งาน [อัตตา I] อีกครั้ง
รุกกี้เดวิมอน “???!!!”
…
ผลสรุปการทดลองแสดงให้เห็นว่า [อัตตา I] ค่อนข้างเสถียร และไม่มีสัญญาณของการอ่อนพลังลงในขณะนี้
เมื่อพิจารณาด้วยการตรวจสอบการ์ด เขาก็พบว่าการ์ดเมจิกนี้เกือบจะเหมือนกับผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป!
ดาร์กมองดูการ์ดเวทมนตร์เปล่าใบสุดท้ายและกระตือรือร้นที่จะทดสอบการ์ดเวทมนตร์เปล่าใบนี้
เพื่อการนั้น เขาต้องยืม [ขวดแห่งความคิด] ซึ่งสามารถเก็บอารมณ์ได้และมีมูลค่าหลายร้อยคะแนนจากศาสตราจารย์เคเซอร์ให้ได้!
บทที่ 19 ดาร์ก เดม่อนพยายามนำความสุขมาให้ผู้คน
สามทุ่มครึ่ง
ดาร์กออกจากห้องสมุดกลับไปนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นรวมสักพักได้ แล้วถึงกลับไปอาบน้ำที่ห้องในที่สุด
จากนั้นดื่มนมหนึ่งแก้วแล้วเข้านอน
กิจวัตรของนักเรียนชั้นยอดนั้นแสนเรียบง่ายและเข้มงวด
ก่อนหน้านี้ดาร์กไม่เคยคิดว่าเขาจะมีนิสัยที่ดีได้ขนาดนี้
เพื่อพัฒนาการทางร่างกายและสุขภาพ เด็กชายพยายามทำให้แน่ใจว่าตัวเองนอนครบแปดชั่วโมงต่อวัน
หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ‘นอนเร็วและตื่นเช้า’
ดาร์กมักจะไตร่ตรองอยู่บ่อยครั้งว่าหากตัวเองกำจัดเลือดของจอมมารได้สำเร็จจริง ๆ เขาจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า?
คำตอบนั้นไม่แน่นอน
แต่พอเดาได้ว่ามันคงจะไม่เปลี่ยนไปมาก
มีปัจจัยมากมายในการสร้างนิสัย แต่โดยทั่วไปหลังจากการสร้างสำเร็จ ก็เป็นเรื่องค่อนข้างง่ายที่จะรักษามันต่อไป
ดาร์กค่อย ๆ รู้สึกว่าชีวิตเช่นนี้ไม่ได้แย่เลย แต่เสียดายที่มันถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่ตรวน ซึ่งทำให้เขารู้สึกกดดันทางจิตใจเล็กน้อย
และสิ่งที่อยากจะทำในตอนนี้ คือขจัดความกดดันนี้ออกไป
…
หลังตื่นนอนตอนหกโมงเช้า ดาร์กมาที่ห้องนั่งเล่นและหยิบหนังสือพิมพ์ ‘เดลี่เสส’ ซึ่งจัดพิมพ์โดยทางอาณาจักรติดมือมาด้วย แต่ก่อนจะเพลิดเพลินกับอาหารเช้าที่รุกกี้เดวิมอนนำมาให้ก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากทางบันไดโดยไม่คาดคิด
เขาเคยอ่านหนังสือและหนังสือพิมพ์ในช่วงเวลานี้ แต่กลับไม่ค่อยได้เห็นคนอื่นสักเท่าไหร่
มันค่อย ๆ กลายเป็นความสุขที่ได้เพลิดเพลินไปกับห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่เพียงลำพัง
แต่เขาไม่คิดว่าวันนี้จะเปลี่ยนไป
ผู้ที่ลงมาจากบันไดเป็นนักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง ทั้งสองคนยังดูง่วงนอนอยู่ พอเห็นว่าพวกเขาสวมชุดใหม่แล้ว ดาร์กก็รู้ในทันทีว่าพวกเขากำลังจะไปที่ถนนนักเดินทางแต่เช้า
เพราะนี่เป็นสุดสัปดาห์แรกของการเปิดถนนนักเดินทาง ดาร์กจึงเข้าใจความตื่นเต้นของพวกเขาได้
เด็กชายไม่ได้มองดูเพื่อนร่วมชั้นสองคนนั้นอีกและหันกลับมาอ่านหนังสือพิมพ์ มือก็ใช้ช้อนคนนมผสมน้ำตาลต่อไป
“อรุณสวัสดิ์ ดาร์ก”
“อรุณสวัสดิ์ ดาร์ก”
“อรุณสวัสดิ์ เรินต์เกน ซิกวาร์ด”
พวกเขาทักทายกันและแยกย้ายจากไป
หลังจากที่เรินต์เกนและซิกวาร์ดเดินออกมาจากหอคอย พวกเขาก็กระซิบกระซาบกัน
เรินต์เกนถอนหายใจ “เขาตื่นเช้ามากเลย”
ซิกวาร์ดกล่าว “ไม่น่าแปลกใจที่เขานำหน้าเราเสมอ พระเจ้าจะทรงตอบแทนผู้ที่ทำงานหนัก นี่คงเป็นเรื่องจริง”
เรินต์เกนถาม “บางทีเราควรจะขยันมากกว่านี้ไหม?”
ซิกวาร์ดตอบ “ใช่เลย”
เรินต์เกนออกความเห็น “ไม่นึกเลยว่าดาร์ก เดม่อนตัวจริงจะเป็นแบบนี้… ฉันรู้สึกว่าตัวเองสามารถเป็นเพื่อนกับเขาได้”
ซิกวาร์ดค้าน “นั่นน่าจะยากหน่อยนะ ถึงดาร์กจะใจดีมาก แต่ดูเหมือนเขาไม่ค่อยเข้าสังคมกับคนอื่นเท่าไหร่เลย”
เรินต์เกนยอมแพ้ “เฮ้อ! เอาล่ะ สองวันนี้มาสนุกกันเถอะ! จากนั้นเราค่อยเริ่มพยายามให้หนักตั้งแต่วันจันทร์หน้า!”
ซิกวาร์ดเห็นด้วย “ตามนั้น!”
…
ร่างของทั้งสองค่อย ๆ จางหายไป
…
รุกกี้เดวิมอนบินกลับมาเล่าบทสนทนาระหว่างเรินต์เกนและซิกวาร์ดให้ดาร์กฟัง
เด็กชายยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหัว นั่นมันคำพูด ‘จะพยายามหนักในวันพรุ่งนี้’ สุดคลาสสิคไม่ใช่รึไง
คนที่ผัดวันประกันพรุ่งมักไม่สามารถทำอะไรได้สำเร็จ
หนึ่งวันนี้มีค่า สองวันพรุ่งนี้ก็มีค่า
แต่แล้วดาร์กกลับคิดถึงมันอีกครั้ง
หากไร้การคุกคามจากเลือดของจอมมาร บางทีตนอาจจะเหมือนกับพวกเขา
“แน่นอน ทุกสิ่งมีทั้งด้านดีและด้านร้าย”
ดาร์กจิบนมแล้วครุ่นคิด
…
เคเซอร์ ศาสตราจารย์วิชาเวทมนตร์พื้นฐานเป็นผู้อาวุโสที่ใจดีมาก
ว่ากันว่าเขาเป็นหนึ่งในนักเล่นแร่แปรธาตุตั้งแต่สมัยของเมอร์ลินเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ในขณะนี้
เนื่องจากความรู้และวาทศิลป์ที่กว้างขวางของเขา ชั้นเรียนของศาสตราจารย์เคเซอร์จึงมีความน่าสนใจอยู่เสมอ ไม่เหมือนกับของศาสตราจารย์ภูตตัวน้อยอีกสองท่าน
เนื่องจากบรรพบุรุษของเขาเป็นก็อบลิน ศาสตราจารย์เคเซอร์จึงสูงเพียงหนึ่งร้อยสี่สิบเซนติเมตรเท่านั้น ดูสูงกว่าก็อบลินเลือดบริสุทธิ์แต่เตี้ยกว่ามนุษย์ปกติ
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครเลือกปฏิบัติกับเขาด้วยเหตุผลนี้
อันที่จริง ในบรรดาอาจารย์ผู้สอนทั้งหมด เขาเป็นศาสตราจารย์ที่โด่งดังที่สุด หากวิชาเวทมนตร์พื้นฐานง่ายกว่านี้ เขาก็จะน่าได้รับความนิยมมากกว่านี้
เมื่อดาร์กพบศาสตราจารย์เคเซอร์ ก็เห็นว่าเขากำลังทำงานในสิ่งที่เด็กชายดูแล้วไม่เข้าใจในห้องปฏิบัติการ
“เดม่อน ทำไมเธอถึงมาที่นี่ล่ะ” ศาสตราจารย์เคเซอร์สังเกตเห็นเขาก่อน
ดาร์กถามด้วยความสงสัย “ศาสตราจารย์กำลังทดลองอะไรอยู่เหรอครับ?”
ศาสตราจารย์เคเซอร์ยิ้มอย่างมีชัยและเขย่าแยมฟักทองถังใหญ่ข้างหน้าอย่างแรง “ฉันกำลังเตรียม [แจ็คพัมพ์คิน] น่ะสิ!
ดาร์กครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรู้ตัว จากนั้นเขาก็ประหลาดใจ “เอ่อ ศาสตราจารย์ มันยังอีกตั้งเดือนกว่าจะถึงวันฮาโลวีนนะครับ!”
“ทำมันล่วงหน้าก่อน นั่นคือคติประจำใจของฉัน” ศาสตราจารย์เคเซอร์หัวเราะ
…
ดาร์กได้กุญแจห้องทดลองถัดไปจากศาสตราจารย์เคเซอร์อย่างง่ายดาย
ทั้งหมดเป็นเพราะความประพฤติที่ดีของดาร์ก เขาเป็นนักเรียนตัวอย่างในความคิดของอาจารย์ทุกคนอยู่แล้ว และอาจารย์ทุกคนก็ชอบในตัวเขามากกว่าเอ็มม่าเสียอีก
เมื่อดาร์กบอกศาสตราจารย์เคเซอร์ถึงจุดประสงค์ของการยืมห้องทดลอง คือเพื่อ ‘ฝึกสร้างการ์ดอารมณ์’ ศาสตราจารย์เคเซอร์ก็ให้กุญแจแก่เขาโดยไม่สงสัย และยังบอกอีกว่าต้องการที่จะแนะนำเขาในระหว่างการฝึกด้วย!
แน่นอนว่าดาร์กไม่ต้องการให้ศาสตราจารย์แนะนำ ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธด้วยการบอกว่าเห็นศาสตราจารย์กำลังยุ่งอยู่
พอมาถึงห้องทดลองถัดไป ดาร์กกดล็อกประตูแล้วเปิดตู้ทดลอง
แน่นอนว่ามันเต็มไปด้วยสิ่งของต่าง ๆ
แม้ว่าจะเป็นไอเทมพื้นฐานทั้งหมด แต่การสร้างการ์ดอารมณ์ไม่จำเป็นต้องใช้ของระดับสูงอะไรทั้งนั้น
ดาร์กนับมันอย่างละเอียดและหาทุกสิ่งที่เขาต้องการ เขาหยิบแผ่นตะแกรงจากด้านข้าง เอาส่วนประกอบจากตู้ห้องทดลอง จากนั้นจึงใส่ลงในไปแผ่นตะแกรงทีละชิ้น
ต่อไปก็ลองทำ [การ์ดขัดเกลาอารมณ์] ตามตำราเรียน
ดาร์กพลิกตำราไปหน้าที่อธิบายถึงวิธีการสร้าง วางมันลงบนโต๊ะ แล้วกดไว้ด้วยวัตถุขนาดเล็ก
จากนั้นเขาก็เริ่มปรุงยาเวทมนตร์!
น้ำยา [เสียงแห่งความสุข] สามารถทำให้ผู้คนหัวเราะได้หลังจากดื่มมันเข้าไป
น้ำยานี้ไม่ได้ทำให้ผู้คนมีความสุขจริง ๆ แต่มันสามารถแทนที่ ‘อารมณ์ที่มีความสุข’ และใช้เป็น ‘หมึก’ ได้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้หยดสมองวิเศษเพื่อส่งอารมณ์ลงไปในการ์ดเปล่าแล้ว ดาร์กสามารถใช้น้ำยานี้หยดลงบนการ์ดเวทมนตร์เปล่ากึ่งสำเร็จรูป แล้วปรับแต่งเพื่อสร้างการ์ดอารมณ์ใบใหม่ได้
เดิมที วิธีที่ง่ายที่สุดในการทำการ์ดอารมณ์คือการใช้น้ำยา ‘เสียงแห่งความสุข’
ดาร์กทิ้งน้ำยาและแทนที่ด้วย [อัตตา] โดยตรง
แต่เนื่องจากเป็นการทดลองจริงของ [การ์ดขัดเกลาอารมณ์] จึงจำเป็นต้องเริ่มด้วยการปรุงยา
โชคดีที่เขาได้เรียนรู้วิธีปรุงยาในชั้นเรียนปรุงยาแล้ว
เด็กชายใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการทำน้ำยาสีเขียวอ่อนให้เหมือนกับที่ตำราเรียนกล่าวไว้ จากนั้นจึงเทลงไปใน ‘ขวดหมึก’
เสร็จแล้วจึงใช้ปากกาพลังเวทเพื่อดูดซับ ‘หมึก’ และทาผิวของการ์ดเมจิกเปล่าด้วยสีเขียวอ่อน
หลังจากนั้นก็นำส่วนประกอบต่าง ๆ มาต้มให้เป็นแป้ง และทาลงบนพื้นผิวของการ์ดเมจิก เมื่อผ่านการอบแห้งตามธรรมชาติก็ได้เป็นฟิล์มใสขึ้นมา
ต่อมาก็ทำตามขั้นตอน ดาร์กวาดวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 7 ขึ้นมาบนแผ่นฟิล์มใสก่อน แล้วจึงทำการปรับแต่งเบื้องต้นเพื่อให้น้ำยา ‘เสียงแห่งความสุข’ และการ์ดเมจิกหลอมรวมเข้าด้วยกันในตอนเริ่มต้น
จากนั้นเขาก็วาดวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 18 ที่ด้านหลังเพื่อสร้างกรอบล็อกพลังงานในการ์ดเมจิก
เมื่อเสร็จขั้นตอนนี้แล้ว ดาร์กก็วาดวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 21 หมายเลข 33 และหมายเลข 34 ลงไปพร้อม ๆ กันเพื่อสร้างวงจรพลังงาน เพื่อให้การ์ดเมจิกสามารถฟื้นตัวได้เองโดยอัตโนมัติหลังจากที่พลังเวทมนตร์หายไป
ในที่สุด เขาก็ใช้วงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 13 เพื่อปรับแต่งการ์ดเพิ่มเติม และวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 9 เพื่อเพิ่มผลเอฟเฟกต์!
กระบวนการทั้งหมดค่อนข้างซับซ้อน และวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์แต่ละวงจะต้องทับซ้อนกันบางส่วน
ดาร์กไม่เพียงแต่จะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์แต่ละวงทำงานได้อย่างถูกต้องเมื่อเปิดใช้งานการ์ด แต่ยังต้องตรวจสอบให้แน่ใจด้วยว่าวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์แต่ละวงจะไม่รบกวนผลของกันและกัน
แม้ว่าดาร์กจะฝึกฝนหลายครั้งในห้องสมุดเมื่อคืนนี้ แต่เขาก็ยังล้มเหลวในทันที
ทว่าเขาไม่ได้ท้อแท้และพยายามต่อไป จนในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จ
…
“โอ้ พระเจ้า ฉันคิดว่าเธอกำลังทำการ์ดอารมณ์ง่าย ๆ เสียอีก!”
แม้ว่าดาร์กจะมั่นใจว่าล็อกประตูไว้แล้ว แต่ศาสตราจารย์เคเซอร์ก็ยังคงผลักประตูเข้ามาด้วยความประหลาดใจ ราวกับว่าไม่มีตัวล็อกเลย แถมยังมีฟักทองวางอยู่บนหน้าของเขาด้วย
บทที่ 18 สถาบันเซนต์แมเรียนค่อย ๆ ถูกความรักกัดเซาะ
[ณ ห้องนั่งเล่นรวมบ้านอัศวิน]
ภายในห้องนั่งเล่นแห่งนั้นเงียบสงบกว่าเมื่อก่อนมาก เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตกำลังเล่นหมากรุกเวทมนตร์กันอยู่
หมากรุกเวทมนตร์เป็นประเภทหมากรุกที่ดัดแปลงมาจาก [หมากรุกมอนสเตอร์แคปซูล] แต่ละฝั่งมีตัวหมากรุกยี่สิบเอ็ดชิ้น โดยแต่ละชิ้นมีพลังโจมตี พลังป้องกัน พลังชีวิต ทักษะ และจำนวนการเคลื่อนไหวที่สามารถทำได้ในแต่ละรอบต่างกันไป
วิธีเล่นคือ วางหมากหมากรุกในพื้นที่ฝั่งตัวเอง เดินมันไปข้างหน้าและฆ่าหมากของคู่ต่อสู้โดยการขยับหนึ่งตัวต่อรอบ จากนั้นยึดครองป้อมปราการและปักธงเพื่อคว้าชัยชนะในที่สุด
เวอร์เธอร์และโรเบิร์ตติดหนี้ห้าคะแนนเพื่อซื้อหมากรุกเวทมนตร์ตัวใหม่นี้ แต่ละชิ้นเป็นโกเลมจิ๋วที่มีระดับสติปัญญา 0.5 มันสามารถขยับได้ตามคำสั่งไม่กี่อย่าง มันสามารถร้องเพลง เต้น และแม้แต่แร็ปได้!
ในเวลานี้ เวอร์เธอร์กำลังสั่งให้ตัวหมากรุกนางเงือกที่สวยงามตัวหนึ่งร้องเพลง เขาเริ่มมึนเมากับเสียงของมัน
ในขณะที่โรเบิร์ตสั่งให้ตัวหมากรุกเมดูซ่าเต้น และนั่งทึ่งกับการเต้นของมัน
ไม่ไกลออกไป เอ็มม่า มอร์ติสจ้องมองดูพวกเขาอย่างเคร่งขรึม พลางเยาะเย้ยอยู่ในใจ
นักเรียนด้อยคุณภาพสองคนของสถาบันเซนต์แมเรียนไม่รู้ว่าวันดี ๆ ของพวกเขากำลังจะจบลงแล้ว!
…
[ลานประลองกลางแจ้งเซนต์แมเรียน]
มังกรขาวลำตัวเรียวยาวกำลังบินอยู่เหนือท้องนภา เกล็ดพิสุทธิ์ดั่งหิมะส่องแสงเป็นประกายสีเงินล้อแสงอาทิตย์ และนั่นรวมถึงเขาที่เงาดุจหยกของมันก็พร่างพราวด้วยแสงอันเจิดจ้าเช่นกัน
ยามนี้แพนดอร่า โดรากอนกำลังยืนอยู่บนเวทีผู้เข้าแข่งขัน ด้วยท่าทีที่อ่อนช้อยของหญิงสาวดูนุ่มนวลราวกับมังกรขาว
เธอโน้มตัวและเท้าศอกกับแท่นด้านหน้า คางบอบบางวางอยู่บนฝ่ามือดุจหยกขาว นัยน์ตากำลังมองดูเหล่าเด็กนักเรียนซึ่งกำลังทำสีหน้าตื่นตระหนกอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างเบื่อหน่าย
ง่ายเกินไป
เพราะชีวิตราบรื่นเกินไป ทุกอย่างจึงกลายเป็นไม่น่าสนใจ
‘ฉันหาคุณค่าของชีวิตได้แค่จากการเฝ้ามองความน่ารักอันเยาว์วัยของเด็กชายขี้อายคนนั้นเท่านั้น’
แพนดอร่าก้มหน้าลง เล่นกับเล็บที่ผิดแปลกไปจากมนุษย์ทั่วไป มันแคบกว่า ยาวกว่า และแหลมกว่า จนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาบาง ๆ
เมื่อหญิงสาวเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง นักเรียนฝ่ายตรงข้ามก็ตกตะลึงจนทรุดตัวลงกับพื้นไปแล้ว
ท่ามกลางกลุ่มผู้ชม เหล่าแฟนคลับจากทุกบ้านต่างส่งเสียงตะโกนชื่อของเธอ แถมยังมีป้ายขนาดใหญ่ที่ชูขึ้นซึ่งบนนั้นเขียนคำไร้ยางอายไว้ด้วย
เมื่อแพนดอร่าก้าวเท้าลงจากเวที เธอก็โบกมือไปในทิศทางที่เสียงเชียร์ดังที่สุด ตอนนั้นเองที่บรรยากาศคล้ายกับปะทุขึ้นไปอีกสามเท่า
และเธอก็คลี่รอยยิ้มมีเสน่ห์ออกมา
…
หญิงสาวผู้นี้ นามของเธอคือแพนดอร่า โดรากอน นักเรียนชั้นปีสี่แห่งบ้านนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ผู้มีแฟนคลับนับไม่ถ้วนและถูกขนานนามว่า ‘สาวมังกรเงิน’…
[ถนนนักเดินทาง]
โรสซึ่งถูกไดแอนนาลากไปจับจ่ายซื้อของรอบ ๆ แผงขายขนมทั้งหมด ยามนี้กำลังเอนกายพิงเก้าอี้ของร้านไอศกรีมอย่างเหนื่อยอ่อน เธอก้มหน้าลูบท้องที่ยื่นป่องออกมาเล็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะแสดงรอยยิ้มแสนขมขื่น
“โรสจัง เธอต้องหัดที่จะปฏิเสธบ้างนะ!”
แต่มันอร่อยจริง ๆ นี่!
…
วัยเยาว์นั้นสวยงามเสมอ ทุกคนล้วนก้าวไปตามจังหวะชีวิตของตน
เกมการ์ดเล็ก ๆ ที่เรียกว่า [ดูดวงความรัก] กำลังได้รับความนิยมอย่างเงียบ ๆ
ไดแอนนากำลังเล่นการ์ดดอกซากุระที่ร้านขายขนมมอบให้ แต่จู่ ๆ มันก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ดอกซากุระบนการ์ดพลันโบยบินขึ้นไปบนอากาศ
มันบินออกจากการ์ดจริง ๆ
ดอกซากุระสีชมพูขาวลอยละล่องอยู่ในอากาศ มันส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ
‘ยามดอกซากุระผลิบานและปลิดปลิวไปตามสายลม คนที่คุณชอบที่สุดจะปรากฏขึ้นบนการ์ด’
“ไดแอนนา คำทำนายออกมาแล้วเหรอ?”
โรสยืดหลังตรงอย่างต้องการจะดูด้วย
ไดแอนนาเช็ดกลีบดอกไม้บนการ์ดและเห็นคนที่ปรากฏใน [การ์ดดูดวงความรัก] พลันริ้วสีแดงอ่อนแสนน่ารักก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าขาวละมุนและอ่อนโยนของเธอ
เธอรีบยกมือเล็ก ๆ ขึ้นมาปิดหน้าการ์ดไว้
แล้วหันไปมองโรสอย่างไม่พอใจ “ขอดูของเธอก่อน!”
โรสเอนหลังพิงเก้าอี้พลางทำสีหน้าเศร้าใจ “บอกแล้วไงว่าของฉันไม่ขึ้นใครเลย อีกอย่าง เมื่อวานก็ได้ยินคนพูดว่า หลังจากคนที่เธอชอบที่สุดปรากฏขึ้นบนการ์ดแล้ว เธอสามารถใส่พลังเวทมนตร์ลงไปในการ์ดดูดวงความรัก ระหว่างที่คิดถึงคนคนนั้นอยู่ก็จะสามารถค้นหาคนที่เขาชอบได้เหมือนกัน อยากลองไหม?”
“ไม่!”
ไดแอนนาส่ายหัวอย่างแรง แต่ปลายนิ้วของเธอกลับค่อย ๆ ใส่พลังเวทมนตร์ลงในการ์ด
เธอขยับนิ้วออกไปและเหลือบมอง ทันใดนั้นใบหน้าของเธอก็ซีดลง เพราะมันไม่ใช่เธอ!
…
แพนดอร่ากลับมาที่ห้องสมุด มือสวยสัมผัสรูปเด็กชายผมบลอนด์ตัวน้อยซึ่งปรากฏอยู่บน [การ์ดดูดวงความรัก] และกำลังพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะแต่งงานกับเขาอย่างจริงจัง
…
เอ็มม่า มอร์ติสหยิบหนังสือหนาเท่าหัวแม่มือจากมุมโต๊ะ เธอเปิดหนังสือไปหน้าที่คั่นไว้และเหลือบมองที่ [การ์ดดูดวงความรัก] ซึ่งมันถูกใช้เป็นที่คั่น แต่แค่ยังไม่ได้เปิดใช้งาน
ข้างโต๊ะของเธอ หนังสือเรียนของเวอร์เธอร์ กาวด์ก็มีการ์ดแบบนี้อยู่ด้วย
…
ณ ห้องอ่านหนังสือของห้องสมุด ดาร์กกำลังอ่าน ‘ทฤษฎีเวทมนตร์เบื้องต้น 2’ อย่างละเอียด
ไม่มีหนังสือเรียนในห้องสมุด และหนังสือเรียนเวทมนตร์เบื้องต้นของปีสองเล่มนี้ เขาก็ยืมมาจากคุณเบลล่า ผู้เป็นบรรณารักษ์ห้องสมุด ว่ากันว่านี่เป็นหนังสือเรียนเก่าที่นักเรียนคนก่อนทิ้งไว้ในห้องสมุด
แน่นอนว่า ‘ทฤษเวทมนตร์เบื้องต้น 2’ นี้ไม่เหมือนกับ ‘ตำราปรุงยาขั้นสูง’ ของ <ภาพยนตร์แนวสถาบันเวทมนตร์> ในภาคหก
มันเป็นแค่หนังสือเรียนธรรมดาที่มีบันทึกย่อในชั้นเรียน
อย่างไรก็ตาม บันทึกเหล่านั้นยังคงช่วยให้ดาร์กเข้าใจความรู้ที่ยาก ๆ ในหนังสือเรียนได้ง่ายขึ้น
ตั้งแต่ปีที่สองเป็นต้นไป หลักสูตรของสถาบันเซนต์แมเรียนจะมีความยากขึ้นในเชิงคุณภาพ
หากปีแรกเป็นเพียงการแนะนำ ปีที่สองก็คือการเริ่มเรียนอย่างแท้จริง!
ช่องว่างนี้ใหญ่มาก นักเรียนใหม่ที่ไม่ตั้งใจเรียนในปีแรกจะล้มเหลวในการไล่ตามความยากของหลักสูตรทันที และจากนั้นพวกเขาจะตกลงไปในลูปนรกของการเรียนพิเศษที่ไม่รู้จบ!
แม้แต่ดาร์กก็รู้สึกว่าหลักสูตรค่อนข้างยาก
แต่โชคดีที่ทักษะในการเข้าใจของเขานั้นดีมากจริง ๆ และสามารถเข้าใจมันได้ทีละเล็กทีละน้อย
ในไม่ช้าเขาก็พบบท ‘การสร้างการ์ดอารมณ์อย่างแม่นยำ’
ความรู้ในตำราเรียนของภาคเรียนแรกและปีแรกอยู่ที่ระดับของการทำ ‘การ์ดแสดงอารมณ์อย่างง่าย’ เท่านั้น
หากดาร์กต้องการปรับปรุง [อัตตา I] เขาต้องเรียนรู้วิธีการสร้างระดับสูงที่ซับซ้อนมากขึ้น
“ปรากฏว่าวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 7 ถือเป็นแค่รูปแบบการถูซึ่งจะส่งพลังแห่งอารมณ์ลงไปในการ์ดเวทมนตร์เท่านั้น”
“เพื่อปรับแต่งอารมณ์ จำเป็นต้องมีวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 13”
“เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 9”
“เพื่อป้องกันการสูญเสียพลังงาน จำเป็นต้องมีวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 18”
“เพื่อให้สามารถใช้ซ้ำได้ จำเป็นต้องมีวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 21 หมายเลข 33 และหมายเลข 34”
“ไม่คิดเลยว่าจะมีกฎมากมายในการสร้างการ์ดอารมณ์เล็ก ๆ เช่นนี้”
ดาร์กสูดหายใจเข้าลึก ๆ
นอกเหนือจากวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์แล้ว การขัดเกลาการ์ดอารมณ์ยังต้องการไอเทมอื่น ๆ ช่วยด้วย
เขาเหลือบดูคะแนนบางส่วนที่ยังคงเหลืออยู่ และรู้สึกว่าอาจเป็นความคิดที่ดีที่จะสมัครขอสิทธิ์ใช้ห้องทดลองชั่วคราวจากศาสตราจารย์ด้านวิชาเวทมนตร์พื้นฐาน
ท้ายที่สุด เขาสามารถหาส่วนประกอบการทดลองมากมายในห้องทดลองได้ฟรี ๆ
บทที่ 17 ดาร์ก เดม่อนกำลังจะออกเดินทางบนถนนอันสูงส่ง
“ดูเหมือนว่า [อัตตา I] ไม่ได้ให้พลังมากเกินไป”
ดาร์กสังเกตพฤติกรรมของรุกกี้เดวิมอนอย่างละเอียด
เจตจำนงของมันยังคงอยู่ แต่เป็นเพราะอิทธิพลของ [อัตตา I] ที่เปลี่ยนบุคลิกของมัน
ดูเหมือนว่าเจ้าตัวน้อยนี่ต้องการทำลายโซ่นก เพราะมันรู้สึกเหมือนตัวเองโดน ‘ดูถูก’ แต่ไม่มีกำลังเพียงพอจะปลดเอง
“พูดถึงพลัง…”
ดาร์กนึกถึงสกิลไม้ตายของรุกกี้เดวิมอน [เดมิ ดาร์ท] ทันที
ในฐานะที่เป็นวิญญาณรับใช้ เดิมมันไม่มีความสามารถในการปลดปล่อยท่าไม้ตาย
แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เป็นไปได้ว่ามันอาจจะทำได้!
ดาร์กเขียนข้อความสองสามคำบนโน้ตแล้วเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “รุกกี้เดวิมอนใช้ [เดมิ ดาร์ท] กับกำแพงหน่อย”
รุกกี้เดวิมอนหุบปีก เงยหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่งและปากเล็ก ๆ นั้นพูดอย่างหยิ่งผยองว่า “ปล่อยข้า!”
“ฮะ ๆ”
จู่ ๆ ดาร์กก็รู้สึกขบขันกับคำขอของมัน
อย่างไรก็ตาม วิญญาณรับใช้ก็ยังเป็นวิญญาณรับใช้ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะขัดต่อเจตจำนงของเจ้านายอย่างแท้จริง
เพื่อที่จะสังเกตการปลดปล่อยสกิลของรุกกี้เดวิมอนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดาร์กจึงปลดล็อกที่ข้อเท้าของมัน
พอรุกกี้เดวิมอนเป็นอิสระ มันกระพือปีกสองครั้ง จากนั้นก็สะบัดปีกและตะโกนว่า “เดมิ ดาร์ท!”
ภายใต้ปีกของมัน เข็มฉีดยาสามกระบอกที่มีหัวฉลามพลันปรากฏขึ้น และพวกมันก็กระแทกเข้ากับผนัง
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
เข็มฉีดยาสามอันเจาะผนังพร้อมกัน กลายเป็นรูปสามเหลี่ยมที่สมบูรณ์แบบ!
แต่หลังจากนั้นไม่นาน กระบอกฉีดยาทั้งสามนี้ก็ลุกเป็นไฟและหายไป เหลือไว้เพียงรูสามรูบนผนัง
ดาร์กเขียนในสมุดจดทันทีว่า
‘การปลดปล่อยสกิลประสบความสำเร็จ พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้ถูกทดลองนั้นไม่ใช่วิญญาณรับใช้อีกต่อไป’
…
เวลาบ่าย 15:43 นาที
สีทองเข้มในดวงตาของรุกกี้เดวิมอนค่อย ๆ จางลง กลับไปเป็นสีเหลืองอ่อนตามปกติ
ทันทีหลังจากนั้น มันก็กางปีกออก แล้วล้มตัวลงนอนบนโต๊ะพร้อมกับส่งเสียง ‘ปั้ก’ กรงเล็บของมันแข็งและนอนอยู่กับที่เหมือนนกกระจอกตายแล้ว
‘ระยะเวลาของสถานะอัตตาอยู่ที่ประมาณสิบสามนาที มากกว่าเอฟเฟกต์ของการ์ดอารมณ์ทั่วไปสามถึงห้าเท่า’
ดาร์กเขียนข้อความนี้ลงในสมุดจดของเขา จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองรุกกี้เดวิมอนและพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “อย่าแกล้งตาย”
รุกกี้เดวิมอนยังคงนิ่งเฉย
ดาร์กเอื้อมมือไปเกาคางของมัน
ทันใดนั้นรุกกี้เดวิมอนก็ ‘หัวเราะคิกคัก’ และหดตัวเป็นลูกบอล
จากนั้นมันก็ตัวกระตุกอย่างกะทันหัน และเงยหัวขึ้นอย่างแข็งทื่อ ดวงตาเล็ก ๆ ของมองไปยังดาร์กด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยการอ้อนวอน
“ดูไม่ใช่สีหน้านายตอนชี้มาที่จมูกฉันแล้วเรียก ‘เจ้าทาส’ เลยนะ”
ดาร์กพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
รุกกี้เดวิมอนกลิ้งกลอกตาไปมาและเข้าใจทันทีว่าเจ้านายของมันไม่ได้โกรธ จึงรีบพูดอย่างประจบสอพลอว่า “นาย~ ท่าน~~”
ดาร์กอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปทั้งตัว
จากนั้นเขาก็รีบเขียนลงในสมุดจดของเขาว่า “การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบสิ่งชีวิตไม่ได้ถูกย้อนกลับ”
…
แม้ว่าดาร์กจะไม่รู้ว่าเหตุใดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจึงยังคงอยู่ แต่รุกกี้เดวิมอนได้เปลี่ยนจากวิญญาณรับใช้ไปเป็นรูปแบบสิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงกับ <มอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่ในโลกดิจิทัล> มากขึ้นหลังจากถูกร่าย [อัตตา] ใส่
ตอนนี้ ดาร์กเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่สามารถย้อนกลับได้
มันเหมือนกับว่าจอมเวทได้ปลุกพรสวรรค์ของพวกเขาและเมื่อมีพลังเวทมนตร์ พวกเขาก็จะไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป
นอกจากนี้ หลังจากที่รุกกี้เดวิมอน ‘ปลุก’ พรสวรรค์ของมัน มันก็ยิ่งส่งเสียงดังมากขึ้นไปอีก!
แม้ว่ารุกกี้เดวิมอนจะพูดไม่ได้มาก่อน แต่บางครั้งความซุกซนและนิสัยชอบหลอกล่อคนจำนวนมากอย่างไร้ยางอายก็ทำให้มันมีชื่อเสียงอย่างมาก
พอตอนนี้มันพูดได้แล้ว ดาร์กไม่คิดว่าจะมีใครต้านทานมันได้
เด็กชายไม่ต้องการให้มันทำลายการบริการส่งของเพียงแห่งเดียวของสถาบันเซนต์แมเรียน
‘หรือบางทีฉันควรจะปิดปากมัน?’ ดาร์กคิด
ภายใต้สายตาแปลกประหลาดของเจ้านายรุกกี้เดวิมอนรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและหุบปีกของมันอย่างชาญฉลาด ราวกับเด็กนักเรียนที่ถูกตำหนิ
ดาร์กส่ายหัวและตัดสินใจที่จะศึกษามันต่อ “นายไม่ได้รับอนุญาตให้พูดต่อหน้าคนอื่น เข้าใจไหม?”
…
หลังจากใช้เครื่องหยดสมองวิเศษไป ตอนนี้เขาก็ลดค่า [อัตตา] จาก 112 เป็น 111 หน่วย
แน่นอน มันยังห่างไกลจากคำว่าเพียงพอ
แต่การใช้เครื่องหยดสมองวิเศษนั้นอันตรายมาก ดังนั้นเขาจึงต้องระมัดระวัง
ดาร์กไม่ได้เริ่มใช้มันเป็นครั้งที่สองทันที
‘คู่มือผู้ใช้เครื่องหยดสมองวิเศษ’ ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ‘ถ้าไม่อยากอยู่ดี ๆ แล้วกลายเป็นคนโง่ จำไว้ว่าห้ามดึงสสารแห่งความคิดออกเกินเดือนละครั้ง!’
มันคือการเรียกรวมกันของความทรงจำ อารมณ์ ความรู้ ความคิด และสสารอื่น ๆ ว่าเป็น ‘สสารแห่งความคิด’ และแนะนำให้จอมเวทใช้เครื่องหยดในลักษณะที่จำกัด
แต่ดาร์กที่อ่านหนังสือทั้งเล่มรู้ดีว่าจอมเวทที่ใช้วิธีนี้มักจะใช้เครื่องหยดสองหรือสามครั้งภายในหนึ่งเดือน
เพราะการทดลองมักมาพร้อมกับความล้มเหลว และหากใครต้องการก้าวหน้า ก็ต้องแบกรับภาระ
ด้วยจำนวนการสกัดสสารแห่งความคิดที่เพิ่มขึ้นภายในหนึ่งเดือน ปัจจัยเสี่ยงก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน หลังจากใช้ทั้งสามครั้ง ปัจจัยเสี่ยงจะสูงเกือบถึงหกสิบเปอร์เซ็นต์ซึ่งอันตรายมาก
แน่นอนว่าจอมเวทในหนังสือมีความกล้าที่จะดึงเพิ่มอีกสองหรือสามครั้งภายในหนึ่งเดือน เพราะความแม่นยำที่ยอดเยี่ยม
ถึงกระนั้น หากพวกเขายังคงทำเช่นนี้เป็นเวลาหลายเดือน มันก็ง่ายที่จะทำให้พวกเขาเกิดอาการ ‘ความจำเสื่อม’ เช่นกัน
ดาร์กมีความตระหนักในตนเองสูง เขารู้ว่าแม้ว่าเขาจะสกัดสสารแห่งความคิดเดือนละครั้ง แต่ก็ยังเป็นอันตรายอย่างยิ่ง นั่นคือเหตุผลที่เขาเลือก ‘วิธีแมลงปอสัมผัสน้ำ’
‘วิธีแมลงปอสัมผัสน้ำ’ ทำได้เพียงสกัดสสารแห่งความคิดที่รั่วไหลออกจากสมองของเขา และปัจจัยเสี่ยงก็ต่ำมาก
แต่ถึงอย่างไร มันก็ไม่สามารถใช้งานได้โดยประมาท
ตาม ‘คู่มือผู้ใช้เครื่องหยดสมองวิเศษ’ ควรใช้วิธีนี้ทุก ๆ ยี่สิบสี่ชั่วโมง และหลังจากใช้อย่างต่อเนื่องมากกว่าสิบครั้ง ก็ควรใช้แบบเดือนเว้นเดือน เว้นระยะให้สมองฟื้นคืนสภาพ
สมองเป็นระบบที่ซับซ้อนที่สุดของร่างกายมนุษย์ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะประมาทเกินไป
นอกจากนี้ยังไม่ต้องรีบร้อนอีกด้วย
ตามความเข้าใจของดาร์กเกี่ยวกับ ‘วิธีแมลงปอสัมผัสน้ำ’ วิธีนี้ควรใช้เพื่อแยกส่วนของค่ามหาบาปที่เกินร้อยหน่วยเท่านั้น
ดังนั้น มีเพียง [อัตตา] เท่านั้นที่สามารถสกัดได้ในขณะนี้
หลังจากนี้ เขาจะไปที่ห้องสมุดเพื่อค้นหาและศึกษาเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการ์ดเมจิกหมวดอารมณ์ และพยายามปรับปรุง [อัตตา I] ให้ดียิ่งขึ้น หรือมุ่งเน้นที่การพัฒนา [อัตตา II]
…
เวลา 16:30 น. ดาร์กได้ปรากฏตัวในห้องสมุดแล้ว
แพนดอร่า รุ่นพี่สาวจากห้องสมุดดูเหมือนจะลาพักร้อน ดังนั้นเธอจึงไม่อยู่ที่นี่
มันเยี่ยมมาก!
ดาร์กลงทะเบียนเสร็จภายใต้สายตาที่ใจดีของคุณเบลล่า และเข้าไปในห้องสมุดด้วยอารมณ์ที่ผ่อนคลาย
การผลิต [อัตตา I] เดิมทีอยู่ในแผนของเขาแล้ว แต่ก็เป็นเพียงหนึ่งในหลาย ๆ อย่างที่เขาวางแผนจะทำ
เขารู้ดีว่าถ้าเพียงแค่ระงับความปรารถนาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าและไม่สามารถเปลี่ยนมหาบาปให้เป็นพลังได้ เขาก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังมาก
มีแต่คนโง่เท่านั้นที่เลือกที่จะหนี ในขณะที่คนฉลาดจะหาทางตอบโต้
วันนี้เขาได้ยืนยันแล้วว่าวิธีการทำให้มหาบาปที่ล้นออกมาเป็นการ์ดเมจิกเป็นวิธีที่จะตอบโต้ได้
สำหรับขอบเขตที่สามารถพัฒนาได้ของการ์ดเมจิกหมวดมหาบาป และจุดแข็งที่พวกมันสามารถแสดงออกมาได้นั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด
…
แสงริบหรี่ส่องไปที่โต๊ะห้องสมุด
แผ่นหลังของดาร์ก เดม่อนดูสูงส่งมากขึ้นเรื่อย ๆ
บทที่ 16 รุกกี้เดวิมอนอยากบินได้สูง ๆ
ระลอกคลื่นของหมึกหนากระจายออกเป็นวงกลม
ทันใดนั้น การ์ดเวทมนตร์ทั้งใบก็ถูกย้อมเป็นสีทองเข้ม!
เมื่อสีทองเข้มบนการ์ดเรียบและสม่ำเสมอ ดาร์กก็หยิบปากกาพลังเวทมนตร์ขึ้นมาทันทีโดยใช้ความรู้ที่เรียนจากในชั้นเรียน วาดวงกลมสร้างวงแหวนเวทมนตร์หมายเลขเจ็ดที่ด้านหน้าของการ์ด
นี่เป็นวิธีง่าย ๆ ในการทำ ‘การ์ดเมจิกหมวดอารมณ์’ ซึ่งสามารถสร้างการ์ดเมจิกที่มีหลายอารมณ์เช่น ‘ความเศร้า’ ‘ความสุข’ หรือ ‘ความโกรธ’ เป็นต้น
เมื่อใช้การ์ดเมจิกนี้ ผู้คนจะสามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่สัมพันธ์กัน
ในหมู่พวกมัน [การ์ดแห่งความสุข] ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่ชนชั้นสูง
หลังจากวันแห่งความยุ่งเหยิง ขุนนางจะนั่งลงแล้วใช้ [การ์ดแห่งความสุข] ขจัดความกังวลทั้งหมดของพวกเขาทิ้งไป ทำให้สามารถรับมือกับรุ่งเช้าวันใหม่ที่แสนวุ่นวายด้วยจิตใจที่สดใสได้
ในการประลอง จอมเวทที่ฉลาดจะใช้การ์ดเมจิกหมวดอารมณ์เพื่อสร้างอารมณ์ให้ตัวเอง ไม่ก็สปิริตของคู่ต่อสู้ หรืออาจจะเพิ่มพลังต่อสู้ของสปิริตตัวเอง และบางครั้งสามารถทำให้สปิริตของฝ่ายตรงข้ามเปิดเผยจุดอ่อนออกมาได้
เนื่องจากวิธีการเตรียมการ์ดเมจิกหมวดอารมณ์นั้นง่ายมาก จึงถือเป็นเป้าหมายการเรียนของนักเรียนใหม่ในเดือนแรก
ดาร์กเป็นเด็กที่เรียนรู้ไวและมีเสถียรภาพมากที่สุดในชั้นเรียน และยังถูกเรียกว่า ‘หัตถ์แห่งนกอินทรี’ อยู่พักหนึ่ง
ปากกาพลังเวทมนตร์เป็นปากกากลวงที่เลียนแบบโครงสร้างของหลอดเลือด
สารปรอทที่ไหลในเส้นเลือดของปากกาพลังเวทมนตร์จะนำทางพลังเวทมนตร์ไปที่ปลายปากกา ทำให้จอมเวทสามารถรวบรวมและปรับแต่งพลังเวทมนตร์เพื่อวาดเส้นที่ละเอียดยิ่งขึ้นได้
แม้ว่าจอมเวทย์ที่เก่ง ๆ จะสามารถทำแบบเดียวกันได้โดยไม่ต้องใช้ปากกาพลังเวทมนตร์ แต่การใช้ปากกาพลังเวทมนตร์ก็สามารถลดการกระจายของสมาธิและเพิ่มประสิทธิภาพได้
แน่นอนว่าผู้เริ่มต้นอย่างดาร์กไม่สามารถทำได้โดยปราศจากปากกาพลังเวทในเวลาอันสั้น
การวาดวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์นั้นต้องรวดเร็ว มั่นคง และแม่นยำ
ดาร์กวาดโครงร่างของวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลขเจ็ดเสร็จภายในเวลาเพียงเจ็ดวินาที
ในขณะที่วงแหวนเวทมนตร์ทั้งหมดเสร็จสิ้น แสงสีขาวที่สว่างจ้าก็ระเบิดออกมา!
แต่แสงสีขาวก็เสื่อมลงอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนเป็นสีทองเข้มของการ์ดเมจิก
ดาร์กจ้องไปที่การ์ดเมจิกอย่างประหม่า
ขั้นตอนการขัดเกลาขั้นสุดท้ายของการ์ดเมจิกก็เหมือนกับการใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในหม้อแล้วเคี่ยวบนกองไฟ ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรก่อนที่จะเปิดฝา
สิ่งที่นักเรียนใหม่ทำในพิธีคัดสรรก็คือขั้นตอนสุดท้ายนี้เอง
อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นการ์ดคัดสรรได้รับการปรับปรุงจนถึงจุดที่สามารถสร้างได้โดยอัตโนมัติเพียงแค่ฉีดพลังเวทมนตร์เข้าไปเท่านั้น
แต่การ์ดเวทมนตร์ที่อยู่ตรงหน้าดาร์กเป็นการ์ดใบแรกที่ดาร์กสร้างขึ้นเอง!
ความสำเร็จไม่เพียงแต่มีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่ยังแสดงให้เห็นว่าในที่สุดดาร์กก็ได้ค้นพบวิธีที่จะเปลี่ยนบาปทั้งเจ็ดให้เป็นพลังแล้ว
สาระสำคัญของเวทมนตร์ คือจินตนาการ
ไม่ว่าจะเป็นความรู้ อารมณ์ ความคิด หรือความคิดสร้างสรรค์ ล้วนดูเหมือนเป็นขุมพลังได้
ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดที่มหาบาปเจ็ดประการจะไม่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังได้
…
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที วงแหวนเวทมนตร์ที่ขัดเกลาแล้วก็สลักลึกที่ด้านหลังของการ์ดเมจิก ผสมผสานวัสดุกับการ์ดเวทมนตร์
เมื่อวงแหวนเวทมนตร์ขัดเกลาหมายเลขเจ็ดปรากฏขึ้นที่ด้านหลังการ์ดเวทมนตร์อย่างชัดเจน การปรับแต่งการ์ดเวทมนตร์นี้ก็เสร็จสมบูรณ์!
ขั้นตอนต่อไปคือการทดสอบการ์ด
แม้แต่การ์ดเวทมนตร์มาตรฐานที่ทำขึ้นตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ก็มีผลแตกต่างกันเนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ
ยิ่งกว่านั้นการ์ดเวทมนตร์ที่อยู่ตรงหน้าดาร์กก็ยังเป็นของที่ทำด้วยตัวเอง
เขาต้องทำการทดลองเล็ก ๆ
แน่นอนว่าหนูทดลองไม่สามารถเป็นตัวเขาเองได้
ดาร์กหันมาแล้วมองไปที่รุกกี้เดวิมอนซึ่งยืนอยู่บนแท่นยืนนกบนเพดานราวกับนกเค้าแมว
จากนั้นเขาก็เผยรอยยิ้มใจดี
…
แม้ว่าวิญญาณรับใช้จะถือได้ว่าเป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตจำลอง แต่มันเป็นสายพันธุ์ที่มีระดับสติปัญญา 2.5 คือมีอารมณ์และความนึกคิดของตัวเอง
ในกรณีนี้ มันอาจจะได้รับผลกระทบจากการ์ดเมจิกหมวดอารมณ์
ดาร์กกวักมือเรียกรุกกี้เดวิมอน
รุกกี้เดวิมอนเอียงศีรษะ ก่อนจะกางปีกแล้วบินลงมา
ดาร์กนำการ์ดเมจิก [อัตตา] ไปที่โต๊ะอื่น จากนั้นดึงโซ่นกออกมาจากโต๊ะ เปิดหัวเข็มขัด และรัดข้อเท้าซ้ายของรุกกี้เดวิมอนไว้
หน้าต่างห้องถูกปิดและผ้าม่านถูกกางออก
สร้างห้องลับที่สมบูรณ์แบบ
หลังจากที่รุกกี้เดวิมอนสวมปลอกข้อเท้า มันก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้า (,,• ́. • ̀,,)
ดาร์กมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วสังเกตเวลาในสมุดจดของเขา
“3:29 น. ฉันควรรออีกหนึ่งนาที”
เมื่อเวลาสามโมงครึ่งพอดี
“ถึงเวลาแล้ว จงออกมา!”
ดาร์กหนีบการ์ดเมจิก [อัตตา] ด้วยนิ้วชี้และนิ้วกลาง จากนั้นเปิดใช้งาน [อัญเชิญ]
ทันใดนั้นการ์ดเมจิกก็เปิดใช้งาน!
ชั้นแสงสีดำปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของการ์ด และลูกบอลแสงสีทองเข้มที่มีหางยาวก็พุ่งออกมาจากการ์ดเมจิก ยิงเข้าที่หัวของรุกกี้เดวิมอน
ในขณะนั้นดาร์กและรุกกี้เดวิมอนก็หลับตาลงพร้อมกัน
เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่ง และห้องก็เงียบมากจนพวกเขาได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มหล่นลงกับพื้น
รุกกี้เดวิมอนลืมตาขึ้นก่อนแสงสีทองเข้มจะพุ่งออกมาจากช่องว่างในดวงตาของมัน
ปากของมันอ้าค้าง ตาของมันแหลมคม คางของมันยกขึ้นเล็กน้อย และมันก็พูดว่า “รุกกี้เดวิมอนผู้นี้อยากบินสูง ๆ!”
ଘ(੭*ˊᵕˋ)੭
…
ดาร์กสะดุ้งก่อนจะดีใจออกมา!
ไม่ว่ารุกกี้เดวิมอนจะได้รับผลกระทบจากการ์ดเมจิก [อัตตา] หรือไม่ ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
ที่สำคัญตอนนี้ คือมันพูดได้แล้ว!
อย่างที่ทราบกันดีว่า <มอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่ในโลกดิจิทัล> นั้นสามารถพูดภาษามนุษย์ได้
แต่กลไกการเกิดของวิญญาณรับใช้นั้นแตกต่างจาก <มอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่ในโลกดิจิทัล>
อย่างน้อยรุกกี้เดวิมอนนี้ก็ไม่สามารถพูดได้ในตอนแรกและระดับสติปัญญาของมันก็ต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉานทั่วไปเล็กน้อยด้วย
มาตอนนี้หลังจากที่ดูดซับพลังงานของ [อัตตา] เข้าไปแล้วก็ไม่มีปัญหาในการพูดคุยตามปกติ
“นี่หมายความว่ารูปแบบสิ่งชีวิตของมันถูกเปลี่ยนไป และตอนนี้ก็ใกล้เคียงกับ <มอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่ในโลกดิจิทัล> มากขึ้นหรือเปล่า”
“ศาสตราจารย์ซิลเวอร์เคยกล่าวไว้ว่าการกำเนิดของวิญญาณรับใช้นั้นขึ้นอยู่กับพลังเวทมนตร์ ความรู้ บุคลิกภาพ และปัจจัยอื่น ๆ ของจอมเวท”
“บางทีวิญญาณรับใช้ที่ฉันอัญเชิญออกมานั้นอาจไม่ใช่รูปแบบชีวิตแบบเดียวกับรุกกี้เดวิมอนที่มีอยู่ในโลกนี้”
“จอมเวทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อย่างเมอร์ลินเคยกล่าวไว้ว่า ความแตกต่างในการรับรู้ เป็นตัวกำหนดความแตกต่างในเวทมนตร์”
“นอกจากนี้…”
ดาร์กมองดูการ์ดเมจิก [อัตตา] ในมือของเขา
มีรอยร้าวเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนตัวการ์ด!
การ์ดเมจิกหมวดอารมณ์นั้นสามารถนำมาใช้ซ้ำได้
แต่ดูเหมือนว่าการ์ดเมจิกใบนี้จะเกินหมวดหมู่ของ ‘อารมณ์’ ปกติ และกลายเป็นการ์ดแบบใช้ครั้งเดียว
จากจุดนี้ ดาร์กพลันนึกถึงคำว่า ‘ทำให้เป็นปีศาจ’ ขึ้นมา !
สิ่งที่เรียกว่า ‘สัตว์วิเศษ’ ในโลกนี้คือสัตว์ป่าทั้งหมดที่สูญเสียจิตใจหลังจากถูก ‘ทำให้เป็นปีศาจ’ !
สถานะปัจจุบันของรุกกี้เดวิมอนน่าจะเป็น ‘ทำให้หยิ่งผยอง’ ซึ่งใกล้เคียงกับ ‘ทำให้เป็นปีศาจ’
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งและบันทึกการ์ดเวทมนตร์ใบนี้เป็น [อัตตา I] จากนั้นจึงจดเอฟเฟกต์ที่เกี่ยวข้องลงในสมุดบันทึก
ต่อไป เขาจะสังเกตเพิ่มเติมว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าที่รุกกี้เดวิมอนที่ถูก ‘ทำให้หยิ่งผยอง’ จะกลับสู่สภาพเดิม
…
“เจ้าทาส! ปลดกุญแจข้อเท้าของข้าซะ!”
บทที่ 15 ค่าอัตตาของดาร์ก เดม่อนรั่วไหล
ดาร์กเหลือบมองไปที่เครื่องหยดสมองวิเศษในมือของมอร์แกนตาเดียวและขมวดคิ้ว “ทำไมเครื่องหยดสมองวิเศษอันนี้ถึงดูเส็งเคร็งจัง?”
มอร์แกนตาเดียวตอบอย่างสบาย ๆ ว่า “มันถูกเก็บไว้นานแล้ว แน่นอนว่ามันจะต้องเส็งเคร็ง”
จากนั้นเขาก็เสริมว่า “และต่อให้ไม่เป็นแบบนั้น ฉันก็ไม่คิดว่าเธอจะจ่ายได้”
ดาร์กไม่โกรธกับเรื่องเล็กน้อยนี้ เขาเพียงแต่พูดว่า “ขอผมดูหน่อยครับ”
มอร์แกนตาเดียวส่งเครื่องหยดสมองวิเศษให้
ดาร์กบีบเครื่องหยดสมองวิเศษและขยับมาตรงหน้าเพื่อสังเกตอย่างถี่ถ้วน
สมองวิเศษของเครื่องหยดสมองวิเศษนี้เก่ามาก และดูเหมือนว่ามันจะเป็นมากกว่าการเก็บไว้เป็นเวลานาน
เขาเคยศึกษาเรื่องนี้อย่างรอบคอบมาก่อน
หยดสมองวิเศษเป็นสิ่งมีชีวิต แม้ว่าระดับสติปัญญาของมันจะอยู่ที่ 0.1 โดยพื้นฐานแล้วเหมือนกับพารามีเซียม ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ช่วงชีวิตมันก็จะมีแค่ป่วย แก่ และตาย
อายุขัยปกติของหยดสมองวิเศษคือสิบปี กล่าวอีกนัยหนึ่งคือหยดสมองวิเศษนี้อาจไม่สามารถอยู่ได้นาน!
เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เครื่องหยดนี้อายุเท่าไหร่แล้ว?”
มอร์แกนตาเดียวไม่ตอบคำถามดาร์กในทันที จากนั้นเขาก็ให้ตัวเลขที่แม่นยำมากอย่างไม่คาดคิด “แปดปีกับอีกหกเดือน”
‘งั้นก็มีชีวิตอยู่ได้เพียงสิบเดือนกว่า ๆ เท่านั้นน่ะสิ รับไม่ค่อยได้เลยแฮะ’
ดาร์กครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมอง “เท่าไหร่ครับ?”
มอร์แกนตาเดียวยิ้ม “พันคะแนน”
อันที่จริง แม้ว่าเครื่องหยดสมองวิเศษจะเหลืออายุหนึ่งปี แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถซื้อได้ด้วยพันคะแนน!
มอร์แกนตาเดียวเสนอราคานี้เพียงเพื่อพิสูจน์ว่าดาร์กไม่สามารถจ่ายพันคะแนนได้!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือเพียงเพื่อยั่วโมโหเขาเฉย ๆ
แต่ดาร์กไม่รู้เรื่องนี้ เขาคิดว่ามันเป็นราคาปกติและถึงกับพยายามต่อรองราคา
เนื่องจากมอร์แกนตาเดียวยืนกรานราคามา ดาร์กไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูดว่า “ก็ได้ พันก็พัน ช่วยห่อให้ผมด้วย”
มอร์แกนตาเดียวพูดด้วยความสงสัย “จ่ายมาก่อน”
ดาร์กหยิบการ์ดคัดสรรออกมา แล้วมองไปยังคนขาย
มอร์แกนตาเดียวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงหยิบการ์ดการค้าที่เซนต์แมเรียนเตรียมขึ้นเป็นพิเศษสำหรับพ่อค้าออกมาด้วย
ดาร์กวางการ์ดคัดสรรไว้บนการ์ดพ่อค้า เพียงแค่แปะกัน หนึ่งพันคะแนนก็ถูกดึงออกจากการ์ดคัดสรรและโอนไปยังการ์ดพ่อค้าของมอร์แกนตาเดียว
มอร์แกนตาเดียวหยิบการ์ดพ่อค้ามามองใกล้ ๆ และเริ่มทำตัวแปลกขึ้นเรื่อย ๆ
เขาไม่เข้าใจ นักเรียนใหม่ที่เพิ่งเริ่มเรียนได้ไม่ถึงเดือน จะมีคะแนนเต็มพันคะแนนได้ยังไง?
แต่เมื่อพูดไปแล้วว่าราคาของมันคือพันคะแนน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถกลับคำพูดของตัวเองได้
จากนั้นเขาก็หยิบขวดเปล่าออกจากตู้ เทน้ำสะอาดลงไป แล้วใส่เครื่องหยดสมองวิเศษลงไปในน้ำ มือขันฝาขวดแล้วค่อยส่งต่อให้ดาร์ก
“เอาไป”
ดาร์กกะพริบตา รับขวดแก้วแล้วหันหลังเดินจากไป
แต่ทันทีที่เขาไปถึงประตู เสียงของมอร์แกนตาเดียวก็ดังตามมาจากข้างหลัง
“เดี๋ยวก่อน เธอชื่ออะไร?”
“ดาร์ก เดม่อน”
…
พันคะแนนนั้นค่อนข้างแพงสำหรับดาร์ก
ตั้งแต่ตอนที่เขาวางแผนจะไปที่ถนนนักเดินทางเพื่อซื้อของที่จำเป็น ดาร์กก็เริ่มสะสมคะแนนอย่างตั้งใจ
ในฐานะนักเรียนปีหนึ่ง การได้คะแนนมันง่ายเกินไปสำหรับเขา
แม้แต่นักเรียนใหม่ที่บ้านนักปราชญ์ก็ไม่สามารถเอาคะแนนไปจากเขาได้!
คู่แข่งคนเดียวที่เขามี คือเอ็มม่า มอร์ติส
ทุกครั้งที่อาจารย์ถามคำถาม เอ็มม่าจะรีบตอบเสมอ
ดาร์กรู้สึกรำคาญกับเรื่องนี้ เขาจึงเปลี่ยนวิธีการและหันไปช่วยศาสตราจารย์ ‘ตรวจการบ้านของนักเรียน’ เพื่อรับคะแนนเพิ่มเติมแทน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับชั้นเรียนคณิตศาสตร์ ศาสตราจารย์ลิลลี่ถึงขนาดต้องการให้เขาขึ้นโพเดียมสอนด้วย
ดังนั้น คะแนนที่เขาได้รับในเดือนแรกคือพันสองร้อยคะแนนพอดี!
แม้แต่เอ็มม่าซึ่งมีคะแนนมากมายก็ไม่สามารถเทียบกับเขาได้
หลังจากใช้ไปหนึ่งพันคะแนน ดาร์กก็ไปที่ร้านขายของชำและซื้อชุดเครื่องมือทดลองพื้นฐานที่สุดชุดหนึ่ง
นั่นเป็นการสิ้นสุดการเดินทางของเขาบนนถนนนักเดินทาง
…
บ่ายสามโมง
ขณะที่นักเรียนใหม่ส่วนใหญ่ยังคงเดินเล่นอยู่ที่ถนนนักเดินทาง ดาร์กก็กลับมาที่หอพักของตัวเองแล้ว
เขาต้องเรียนรู้วิธีใช้ [เครื่องหยดสมองวิเศษ] อย่างถูกต้องก่อนสิ้นสุดสัปดาห์นี้
ก่อนหน้านี้เขาได้ยืมหนังสือที่เกี่ยวข้องจากห้องสมุดและอ่านมันมาระยะหนึ่งแล้ว
[คู่มือผู้ใช้เครื่องหยดสมองวิเศษ] ซึ่งซ่อนอยู่ที่ชั้นยี่สิบสามของชั้นวางหนังสือ มันอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้เครื่องหยดสมองวิเศษไว้เกือบทั้งหมด
ไม่เพียงแต่รวมวิธีการซึมซับความจำเฉพาะเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวิธีการควบคุมอารมณ์เพื่อให้ซึมซับได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
การใช้เครื่องหยดสมองวิเศษเป็นสิ่งที่อันตรายมาก จำเป็นต้องใช้ทักษะการควบคุมพลังเวทมนตร์ที่สูงมาก และมีความรู้ในระดับที่จำเป็น
หากดำเนินการโดยประมาท มีความเป็นไปได้สูงที่ส่วนหนึ่งของความทรงจำจะถูกดูดซับไปอย่างถาวรและทำให้เกิดอาการความจำเสื่อมโดยตรง!
ในประวัติศาสตร์ มีแม้กระทั่งจอมเวทผู้โชคร้ายคนหนึ่งที่ดูดอารมณ์ ‘ความโศกเศร้า’ ของเขาไปตลอดกาลโดยไม่ได้ตั้งใจ และเขากลายเป็นคนที่ไม่รู้สึกถึงความโศกเศร้าอีกเลย
ในบรรดาวิธีที่ปลอดภัยและง่ายที่สุดคือวิธีที่เรียกว่า ‘วิธีแมลงปอสัมผัสน้ำ’
กล่าวโดยย่อก็คือการกดปากแหลมของหยดสมองวิเศษกับขมับแล้วบีบ ‘สมองวิเศษ’ เบา ๆ แทนหมวกยางและดูดอารมณ์ความปรารถนาและสิ่งอื่น ๆ ที่ล้นตามธรรมชาติเข้าสู่ ‘สมองวิเศษ’
ตราบใดที่บุคคลนั้นไม่ได้สัมผัสกับสมองอย่างลึกซึ้ง อันตรายก็สามารถลดลงได้!
ดาร์กตัดสินใจใช้วิธีนี้!
นี่อาจเป็นวิธีเดียวที่เขาสามารถใช้ได้ในปัจจุบัน
เด็กชายวางอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เตรียมไว้ไว้บนตู้เตี้ยข้างเตียง ก่อนจะนอนลงไป ดาร์กสงบสติอารมณ์ก่อนทำตามวิธีที่สอนในหนังสือ
ที่จริงแล้วเมื่อลมหายใจราบรื่น เขาสามารถตั้งสมาธิและกระตุ้นอารมณ์หรือความปรารถนาบางอย่างผ่านกิจกรรมของสมองได้!
แต่ดาร์กละเว้นขั้นตอนนี้
กลับกัน เขาหยิบเครื่องหยดสมองวิเศษขึ้นมาโดยตรง กดปากปลายแหลมกับขมับของเขา ใช้สองนิ้วบีบบนสมองวิเศษแล้วปล่อยมัน
เส้นสีดำบาง ๆ ถูกดูดออกจากสมองด้วยวิธีนี้!
“อย่างที่คาดไว้ ไม่จำเป็นต้องจดจ่อกับการกระตุ้นอารมณ์ เพราะ [อัตตา] ของฉันได้รั่วไหลออกมาแล้ว”
ดาร์กครุ่นคิดเงียบ ๆ ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือไม่
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาต้องไม่โกรธ!
“ระบบ แสดงค่าชี้วัดให้ฉันดู”
[รับทราบ]
หลังจากนั้นไม่นาน
ค่าชี้วัดทั้งเจ็ดก็ปรากฏในวิสัยทัศน์ของดาร์ก
[อัตตา 112 หน่วย]
[ริษยา 44 หน่วย]
[โทสะ 96 หน่วย]
[เกียจคร้าน 60 หน่วย]
[โลภะ 82 หน่วย]
[ตะกละ 58 หน่วย]
[ราคะ 90 หน่วย]
ค่าชี้วัดอัตตามีมากกว่าร้อยหน่วยแล้ว!
ด้วยเส้นสีดำที่ถูกดูดออกไป ในที่สุด [อัตตา] ก็เปลี่ยนจาก 112 หน่วยเป็น 111 หน่วย!
“กะ-”
จู่ ๆ หยดสมองวิเศษก็กรีดร้อง!
ดาร์กรีบหยุดกด
เขาอ่านมาจากหนังสือ ในนั้นเขียนไว้ เสียงกรีดร้องของหยดสมองวิเศษหมายความว่า ความสามารถของสมองวิเศษถึงขีดจำกัดแล้ว
“พูดอีกอย่างก็คือ มันดูดเอา [อัตตา] ของฉันไปได้แค่หน่วยเดียว”
ดาร์กลุกขึ้นนั่งอย่างระมัดระวัง หลังจากลุกขึ้นนั่งได้เขาก็เดินมายืนหน้าตู้เตี้ย แล้วค่อยวางการ์ดเวทมนตร์เปล่ากึ่งสำเร็จรูปลงบนกลางตู้
เพราะการ์ดเวทมนตร์เปล่ากึ่งสำเร็จรูปชนิดนี้ต้องการทักษะงานฝีมือที่สูงมาก ซ้ำยังใช้เวลานานมากในการผลิต
ดังนั้น จอมเวทส่วนใหญ่จึงเลือกจะซื้อมันจากร้านค้าโดยตรงมากกว่า
การ์ดเวทมนตร์เปล่าในถนนนักเดินทางขายในราคาสิบคะแนน
ตามอัตราแลกเปลี่ยนแล้วมันแพงกว่าราคาตลาด
แต่ว่าความแตกต่างของราคาระหว่างสิ่งนี้ จะเป็นตัวดึงดูดพ่อค้านักเดินทางให้มาที่ถนนนักเดินทางเพื่อตั้งรกรากมากขึ้น
ดาร์กซื้อการ์ดเวทมนตร์เปล่ามาเพียงห้าใบเท่านั้น
เขาใช้ปากปลายแหลมคมของเครื่องหยดสมองวิเศษกับการ์ดเวทมนตร์เปล่า จากนั้นก็เมินเฉยต่อเสียงกรีดร้องของหยดสมองวิเศษ เขาบีบสมองเวทมนตร์อย่างรุนแรง!
“กะ! กะ! กะ…”
[อัตตา] หนึ่งหน่วยที่เก็บไว้ในสมองวิเศษถูกคายออกมาบนการ์ดเวทมนตร์เปล่าทันที!
ทันใดนั้น หยดหมึกหนาสีทองเข้มก็กระจายออกบนการ์ดที่มีพื้นผิวสีขาวราวกับหิมะ!
บทที่ 14 เอ็มม่า มอร์ติสต้องการเปลี่ยนแปลง
ณ ทะเลสาบเดียวกัน ศาลาเดียวกัน แต่หลังจากก้าวออกไปและข้ามสะพานมาแล้ว เขาก็มาถึงโลกใบใหม่
สิ่งที่ทักทายเป็นอย่างแรกคือ…
อากาศแห่งอิสรภาพ! o(*≧▽≦)ツ┏━┓
นักเรียนไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎของสถาบันอีกต่อไป การ์ดเมจิกหมวดแต่งตัวสามารถทำให้ร่างกายคุณมีสีสันได้
“เจ้าชุดนักเรียน! จงหายไปซะ!”
ดาร์กเห็นแม้กระทั่งเด็กนักเรียนหญิงที่ชอบแกล้งทำเป็นจริงจัง กรีดร้องออกมาทันที
ยูนิฟอร์มซึ่งปกปิดทุกส่วนสำคัญบนร่างกายของเธอ ถูกเปลี่ยนเป็นชุดเดรสลายลูกไม้สีดำพร้อมแขนเสื้อพองที่เผยให้เห็นไหล่และไหปลาร้าของเด็กหญิง
รุ่นพี่อีกคนที่ดูเหมือนนักเรียนดีเด่นก็หวีผมด้วยการ์ดเมจิกเพื่อเปลี่ยนทรงผมจากทรงหน้าม้าเป็นทรงดำขลับผมตรงยามเดินลงจากสะพาน
ชุดนักเรียนของเธอกลายเป็นชุดสูทขนาดเล็กซึ่งสามารถอวดรูปร่างของเธอได้
การ์ดเวทมนตร์ในมือของเด็กหญิงนั้นกลายเป็นดอกกุหลาบสีแดงสด
จากนั้นเธอก็สอดดอกกุหลาบสีแดงเข้าไปในกระเป๋าหน้าอกและเดินจากไปอย่างสง่างาม ไร้ซึ่งท่าทางเนิร์ด ๆ ที่เคยมีให้เห็นก่อนหน้านี้
แต่งตัว เล่น ออกเดต ช็อปปิง ดื่ม ร้องเพลง เต้นรำ…
ถนนนักเดินทางเป็นเหมือนกับแดนสวรรค์ที่ผิดแปลกไปจากสถาบันเซนต์แมเรียนอย่างสิ้นเชิง เพราะมันมีทุกสิ่งที่สถาบันเซนต์แมเรียนไม่มี!
และเพื่อจะเพลิดเพลินกับสิ่งเหล่านี้อย่างเต็มที่ สิ่งจำเป็นที่นักเรียนต้องมี คือคะแนนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น!
…
แม้ว่าถ้วยบ้านจะจัดขึ้นทุกปีการศึกษา แต่ก็ไม่มีใครยับยั้งชั่งใจตั้งแต่ช่วงต้นเทอมเพื่อปลายเทอมได้
มันมีคำกล่าวในสถาบันเซนต์แมเรียนที่ใช้ไม่ได้กับคนหมู่มากว่า ‘ยิ่งคุณใช้มากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งได้รับมากขึ้นเท่านั้น!’
เพราะเนื่องจากมีนักเรียนต้นแบบเพียงไม่กี่คน หลายคนจึงใช้คำนี้เป็นข้ออ้างเพื่อโน้มน้าวตนเองให้ใช้จ่ายมากเท่าที่พวกเขาต้องการ
แน่นอนว่ายังมีพวกที่ซื้อของไม่ได้ด้วยซ้ำ
…
ตอนที่ดาร์กเดินวนรอบถนนนักเดินทาง เขาก็เห็นเวอร์เธอร์และโรเบิร์ตอีกครั้ง ทั้งสองกำลังเดินออกจากร้านขายของเล่นด้วยความหงุดหงิด
เห็นได้ชัดว่าคะแนนที่โดนหักไปนั้นไม่เพียงพอที่จะซื้อของเล่นที่พวกเขาต้องการได้
ดาร์กไม่มีเวลาสนใจคนอื่นมากนัก เขาแค่เหลือบมองแล้วเดินจากไป
เป็นผลให้ไม่เห็นเอ็มม่า มอร์ติส นักเรียนผู้ทำคะแนนได้เยอะอีกคนหนึ่งซึ่งบังเอิญผ่านมา กำลังถูกนักเรียนที่ด้อยกว่าสองคนเข้าไปพัวพัน
…
ตอนแรกเอ็มม่ามาที่ถนนนักเดินทางก็เพื่อหาหนังสือเบ็ดเตล็ดบางเล่มที่ไม่มีในห้องสมุดของสถาบัน แต่ในตอนนั้นเอง เธอก็เห็นดาร์กที่ดูเหมือนจะมองหาอะไรบางอย่างระหว่างทางจึงเดินตามไปอย่างไม่รู้ตัว
และมันจบลงด้วยการเข้าไปพัวพันกับเวอร์เธอร์และโรเบิร์ต
เอ็มม่าพูดด้วยความหงุดหงิดและโกรธเคืองว่า “ปัญหาคือพวกนายมีคะแนนไม่พอ? คนปกติเขาควรจะมีสี่ร้อยแปดสิบคะแนนอยู่แล้วนี่ ต่อให้จะไม่ได้คะแนนเป็นรางวัลเลยสักครั้งก็เถอะ แล้วพวกนายล่ะ?”
เวอร์เธอร์ตอบอย่างเขินอาย “ฉันมีแค่สองร้อยห้าสิบ…”
โรเบิร์ตหน้าแดงอีกครั้ง “เอ็มม่า เราแค่อยากขอยืมห้าคะแนนจากเธอ มันง่ายสำหรับเธอใช่ไหม? เราจะคืนส่วนนี้ให้ตอนเริ่มเรียนในวันจันทร์เลย!”
เวอร์เธอร์เหลือบมองที่หมากรุกเวทมนตร์ตัวใหม่ในร้าน และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เราขาดแค่ห้าแต้มเอง!”
เอ็มม่ามองดูเพื่อนร่วมชั้นที่รู้จักกันในนาม ‘บุตรแห่งวีรบุรุษ’ แล้วรู้สึกแย่เล็กน้อย
ทันใดนั้นความคิดก็ผุดขึ้นมา
เธออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอีกครั้ง และพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ฉันให้ยืมได้ แต่พวกนายต้องจ่ายคืนเป็นสองเท่า และทุกวันที่คืนคะแนนล่าช้า พวกนายจะต้องจ่ายคืนเป็นสองเท่าของคะแนนเดิม! ก็คือวันที่สองต้องจ่ายเป็นสองเท่าของวันแรก วันที่สามคือสองเท่าของวันที่สอง และต่อ ๆ ไปอีก ฉันรับเงินแค่รวดเดียวเท่านั้น ถ้าพวกนายตกลง ฉันจะให้นายยืมและลงนามสัญญาด้วยการ์ดคัดสรร!”
โรเบิร์ตตกลงทันทีโดยไม่ได้คิด “พรุ่งนี้ฉันจะจ่ายให้เธอสิบคะแนน พรุ่งนี้ยี่สิบคะแนน และวันจันทร์สี่สิบคะแนน นั่นหมายความว่าคาบเรียนสองคาบสำหรับคนคนหนึ่ง ไม่มีปัญหา!”
แม้เวอร์เธอร์จะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ความกระตือรือร้นในการซื้อหมากรุกเวทมนตร์ทำให้เขาเพิกเฉยต่อความแปลกประหลาดนี้โดยไม่รู้ตัว
เด็กชายทั้งสองลงนามในสัญญาด้วยการ์ดคัดสรรเพื่อเป็นหลักฐาน จากนั้นก็รีบเข้าไปในร้านขายของเล่นเพื่อซื้อหมากรุกเวทมนตร์ตัวล่าสุดที่สามารถร้องเพลงและแร็ปได้!
…
ขณะเดียวกัน…
หลังจากเดินไปมาเป็นเวลานาน ในที่สุดดาร์กก็พบร้านที่เชี่ยวชาญด้านเครื่องมือเวทมนตร์ นั่นคือร้านมอร์แกน
ถนนนักเดินทางเต็มไปด้วยร้านขายของชำมากมายซึ่งสามารถซื้อของถูก ๆ ได้ทุกแห่ง
แต่ [เครื่องหยดสมองวิเศษ] เป็นเครื่องมือเล่นแร่แปรธาตุที่ต้องการความเป็นมืออาชีพสูงมาก และราคาก็แพงมากเช่นกัน ทั้งยังซื้อได้แค่ในร้านค้าเฉพาะทางเท่านั้น
ดาร์กค้นหาอยู่นานก่อนจะพบร้านมอร์แกนในช่องว่างระหว่างร้านเครื่องประดับสองแห่ง
เขาผลักประตูไม้ที่อยู่ในสภาพทรุดโทรมเข้าไป ทันใดนั้นกลิ่นอับชื้นก็โชยเข้ามาในจมูก
“เจ้าตัวเล็ก ห้ามแตะต้องอะไรทั้งนั้น หากทำสินค้าของเราเสียหาย เธอชดใช้ไม่ไหวหรอกนะ”
มอร์แกนตาเดียวซึ่งยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ทำแค่เปิดผ้าปิดตาออกและมองดูก่อนที่เขาจะตระหนักได้ว่าดาร์กเป็นนักเรียนใหม่อย่างแน่นอน
เดือนเดียว นักเรียนใหม่จะหาคะแนนได้เท่าไหร่กัน?
มอร์แกนเข้าใจชัดเจนในเรื่องนี้มาก
เขาเอ่ยปากไล่ดาร์กอย่างไร้มารยาท “ของที่ถูกที่สุดในร้านเรามีมูลค่าหลายพันคะแนน นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอสามารถจ่ายได้ในฐานะนักเรียนใหม่”
ดาร์กเหลือบมองไปยังกลุ่มหลอดทดลองบนหิ้งแล้วถามว่า “หลอดทดลองพวกนี้มีค่าหนึ่งพันคะแนนด้วยเหรอ?”
“เอ่อ…”
มอร์แกนตาเดียวนิ่งงันกับคำถามนี้ และใช้เวลานานกว่าเขาจะตอบด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “แล้วทำไมหลอดทดลองเวทมนตร์ที่มีอุณหภูมิคงที่ชุดนี้จะมีค่าหนึ่งพันคะแนนไม่ได้ล่ะ?”
ดาร์กถามต่อ “แล้วบีกเกอร์นี่ล่ะ? กระติกน้ำนี่ด้วย? จานระเหยนี่ยังไง?”
มอร์แกนตาเดียวทุบเคาน์เตอร์ “ไม่ใช่เรื่องของแก!”
ดาร์กส่ายหัวของเขา ดูเหมือนเจ้าของร้านจะอารมณ์ไม่ดีไหนจะยังทำตัวเหมือนเด็กอีก หรือบางทีเขาคงอยู่ในช่วงวันนั้นของเดือน?
ดาร์กหยุดล้อเล่นกับมอร์แกนตาเดียวและมองขึ้นไปบนชั้นวาง
หากมีหลอดทดลองและบีกเกอร์ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่ขายเครื่องหยดใช่ไหม?
“เบ้าหลอมเปลวไฟ ตะเกียงแอลกอฮอล์วิญญาณปีศาจ เครื่องแยกเวทมนตร์… แท่งแก้วที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เครื่องหยดพลังเวทมนตร์…”
เครื่องหยดพลังเวทมนตร์นี้น่าจะเป็นของที่ด้อยกว่าเครื่องหยดสมองวิเศษ เพราะมันดูดซับพลังเวทมนตร์ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เครื่องหยดเป็นหลอดสั้น ๆ ที่มีรูที่ปลายด้านหนึ่งและลูกยางที่ปลายอีกด้านหนึ่ง ใช้ในการวัดของเหลวตามจำนวนหยด
แต่ในกระบวนการสร้างการ์ดเวทมนตร์ มันมักจะใช้เพื่อดูดซับพลังเวทมนตร์ ความรู้ ความคิด… และแม้แต่วิญญาณ!
ตามตำนาน ว่ากันว่าเคยมีจอมเวทคนหนึ่งถ่ายเทวิญญาณของเขาเข้าไปในการ์ดเวทมนตร์เพื่อสร้างสปิริตที่มีสติปัญญาระดับสาม!
เครื่องหยดสมองวิเศษที่ดาร์กต้องการนั้นมีระดับต่ำกว่าเครื่องหยดที่ดูดซับวิญญาณได้
มันไม่ใช่ของหายากชนิดที่หาซื้อไม่ได้
แต่บนชั้นวางนี้กลับไม่มีให้เห็นเลยจริง ๆ!
เขาต้องเดินไปที่เคาน์เตอร์และปลุกมอร์แกนตาเดียวที่แกล้งหลับอย่างงุ่มง่าม
“สวัสดีครับเจ้าของร้าน คุณมีเครื่องหยดสมองวิเศษบ้างไหม?”
มอร์แกนตาเดียวไม่เงยหน้าขึ้น “นักเรียนใหม่อยากได้ของแบบนั้นไปทำไม?”
ดาร์กยังคงรักษามารยาทที่จำเป็น “เพื่อการทดลอง”
มอร์แกนตาเดียวเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางแปลก ๆ แต่ก็ยังพูดว่า “รอเดี๋ยวก่อน ฉันจะไปดูข้างใน”
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็หยิบเครื่องหยดสมองวิเศษออกมา ทว่ารูปร่างหน้าตาออกจะไม่ค่อยดีนัก
บทที่ 13 ดาร์ก เดม่อนก้าวสู่จุดเปลี่ยน
คาบเรียนวันศุกร์นั้นผ่อนคลายมาก เพราะมีเพียงคาบวิชาการประลองในตอนเช้าคาบเดียวเท่านั้น
เมื่อเที่ยงวันมาเยือน เส้นทางไปยังถนนนักเดินทางจะเปิดขึ้น และจะไม่ปิดจนกว่าจะถึงเวลาเที่ยงคืนของวันอาทิตย์
ในช่วงเวลานั้น นักเรียนทุกคนสามารถเข้าออกจากถนนนักเดินทางได้อย่างอิสระ
ไม่เพียงแต่นักเรียนใหม่ที่เพิ่งได้รับอนุญาตเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงนักเรียนรุ่นพี่ที่เก็บตัวอยู่ในปราสาทมาตลอดทั้งสัปดาห์ด้วย
แม้ว่าสถาบันเซนต์แมเรียนจะมอบของใช้ประจำวันทุกประเภทให้ฟรี แต่สิ่งของอื่น ๆ ทั้งหมดจำเป็นต้องซื้อที่ถนนนักเดินทาง
นักเรียนสามารถใช้คะแนนของตนซื้ออะไรก็ได้ที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นของเล่น ลูกกวาดแปลก ๆ เสื้อผ้าสวยงาม เครื่องประดับ หรือแม้แต่ตุ๊กตาน่ารัก
แน่นอนว่าสินค้าส่วนใหญ่เป็นตำราการปรุงยาและไอเทมอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับการทำการ์ดเวทมนตร์
ที่เป็นแบบนี้เพราะอาจารย์ของสถาบันมักให้นักเรียนชั้นปีสูงทำการบ้านที่ต้องใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์หรือหนึ่งเดือนกว่าจะเสร็จ
โดยของที่จำเป็นสำหรับทำการบ้านต้องซื้อที่ร้านค้าในถนนนักเดินทาง
นอกจากนี้ ยังมีนักเรียนบางคนที่ทำตำราการปรุงยา ไอเทม และการ์ดเวทมนตร์กึ่งสำเร็จรูปของตัวเอง ซึ่งของพวกนั้นจะถูกขายที่ถนนนักเดินทางด้วย
นักเรียนชั้นปีสูง ๆ ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในดันเจี้ยนสามารถล่าสัตว์เวทมนตร์ หาของแล้วเอามาขายให้กับพ่อค้าที่ถนนนักเดินทางได้
และพ่อค้าก็จะจ่ายเป็นคะแนนด้วย
ในถนนนักเดินทาง มูลค่าต่อหนึ่งหน่วยคะแนนคือสิบหกเหรียญศักดิ์สิทธิ์ ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนนั้นจะถูกปรับตามการเปลี่ยนแปลงของตลาด
นักเรียนใหม่ที่เรียนได้เดือนเดียวไม่รู้ว่าพวกเขาเพียงแค่ตั้งใจฟังในแต่ละคาบเรียนก็จะสามารถรับคะแนนเป็นจำนวนหนึ่งร้อยหกสิบเหรียญศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว!
หากนับสิบสองคาบเรียนต่อสัปดาห์ นักเรียนสามารถรับเหรียญศักดิ์สิทธิ์ได้ถึงเจ็ดพันหกร้อยแปดสิบเหรียญต่อเดือน!
มาวันนี้พ่อค้าในถนนนักเดินทางทำเอาพวกนักเรียนที่ไม่ได้ตั้งใจฟังในคาบเรียนเจ็บปวดจนอยากกระอักเลือดออกมา!
…
“ดาร์กไปด้วยกันไหม?”
“ไม่ล่ะ วันนี้ฉันมีเรื่องต้องทำ”
“งั้นฉันจะไปกับโรโระก่อนนะ ได้ยินมาว่ามีร้านขายขนมที่น่าสนใจบนถนนนักเดินทาง ฉันอยากจะลองดูมานานแล้ว!”
ไดแอนนาจับแขนโรสและรีบวิ่งออกไป
ดาร์กส่ายหน้า เพราะตนมีแผนที่ต้องทำในวันนี้
ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังถนนนักเดินทาง เขาหยิบสมุดบันทึกออกมาจากกระเป๋าและพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งของต่าง ๆ ที่จดมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
[เขี้ยวแวมไพร์: ฟันของแวมไพร์ เมื่อมันเจาะเข้าไปในเส้นเลือด มันสามารถทำให้ผู้คนรู้สึกสงบได้ ผลข้างเคียงคือ [ราคะ] หลังจากเสียเลือด]
[มารยาทแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตน: หมวกทรงสูงของขุนนางปีศาจ ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะหยาบคายแค่ไหน เมื่อสวมใส่แล้วจะถ่อมตัวและสุภาพ แต่เมื่อถอดหมวกจะโกรธจัด!]
[น้ำตาแห่งมหาสมุทร: น้ำตาของนางเงือก สามารถใช้ทำยาที่สามารถลดน้ำหนักได้ แต่จริง ๆ แล้วมันคือการทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร]
[รองเท้าเต้นรำสีแดงของมาร์กาเร็ต: รองเท้าเต้นรำของแม่มดผู้ลึกลับมาร์กาเร็ต สามารถช่วยให้ผู้สวมใส่เต้นรำได้สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก ราคาที่ต้องจ่าย คือไม่สามารถถอดมันออกได้]
[แอปเปิ้ลมีพิษของคาเตอริน่า: แอปเปิ้ลที่ราชินีคาเตอริน่าปลูกไว้ในสวนหลังวัง สามารถดูดซับความอิจฉาริษยาและเปลี่ยนให้กลายเป็นยาพิษที่ทำให้ผู้คนหลับไปตลอดกาล มีเพียงจุมพิตแห่งรักแท้เท่านั้นที่สามารถขจัดผลของยาได้]
[เหรียญทองของแกลนเด็ท: เหรียญทองที่ตกทอดมาจากแกลนเด็ทผู้ที่ถือมันจะกลายเป็นคนตระหนี่และโลภมาก พวกเขาจะถือว่าเงินคือชีวิต และครอบครัวเป็นเพียงมูลสัตว์]
[ตุ๊กตาวูดู: ตุ๊กตาต้องสาปที่สร้างด้วยหัวใจที่ริษยาอย่างแรงกล้า เข็มในตุ๊กตาจะทำให้ผู้คนรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด]
[หม้อแห่งการละเว้น: มันสามารถดูดซับความปรารถนาและปล่อยให้ผู้คนเข้าสู่สภาวะที่ไม่สามารถรู้สึกถึงความสุขหรือความเศร้าได้ โดยสูญเสียความสามารถในการนึกถึงความปรารถนาเหล่านั้นไป]
[วงแหวนแสงดาวประดับฟ้า: วงแหวนของจอมเวทแห่งแสงดาวประดับฟ้าผู้ยิ่งใหญ่ มันสามารถเห็นฉากของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวในจักรวาล ทำให้ผู้คนรู้สึกไร้ค่าในตัวเอง และมันอาจทำให้ผู้คนร่วงหล่นด้วยความกลัว]
[หนอนฝันร้าย: มันสามารถเจาะเข้าไปในความฝัน ดูดซับความปรารถนาของมนุษย์ ราคาคือสมองจะมีรู]
[เครื่องหยดสมองวิเศษ: มันจะดูดซับเนื้อสมองจำนวนเล็กน้อย รวมทั้งอารมณ์ ความปรารถนา ความรู้ ฯลฯ ซึ่งมักใช้ในการผลิตการ์ดเวทมนตร์ขั้นสูง การใช้บ่อย ๆ จะทำให้สูญเสียความจำทางอ้อม]
[ไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์: สามารถชำระจิตใจและทำให้จิตใจของผู้สวมใส่บริสุทธิ์ได้ ผลข้างเคียงคือสมองสึกกร่อน]
[ระฆังสยบวิญญาณ: เขย่าระฆังให้ผู้คนสงบ แม้นตายไป ก็ไม่หวั่นไหว]
[ธูปเทพจันทรา: การจุดธูปในระหว่างเรียนจะสามารถทำให้จิตใจบริสุทธิ์ ขจัดความคิดที่วอกแวก และปรับปรุงประสิทธิภาพในการอ่าน]
[ความโกรธเกรี้ยวของพระเจ้า: ไม้กายสิทธิ์แห่งยุคโบราณ สามารถเปลี่ยนความโกรธให้เป็นเปลวไฟแห่งเวทมนตร์ ถ้าความโกรธไม่หยุด เพลิงเวทมนตร์ก็จะไม่ดับ!]
…
สมุดบันทึกทั้งหมดเป็นรายชื่อไอเทมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งดาร์กหามาจากหนังสือหลายเล่มในช่วงที่ผ่านมา
สิ่งเหล่านี้อาจเป็นไอเทมเวทมนตร์ที่หลงเหลือจากยุคก่อนหรืออาจถูกปรับแต่งให้เป็นการ์ดไอเทมเวทมนตร์
แต่ไม่ว่ามันจะเป็นแบบไหน เพื่อต่อต้านบาปเจ็ดประการนั้นย่อมจำเป็นมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ตามคำที่ว่า คุณต้องจ่ายบางสิ่งหากต้องการบางอย่าง หลายสิ่งหลายอย่างย่อมมีผลข้างเคียงที่ยากจะละเลยไปได้ และราคาที่ต้องจ่ายก็ร้ายแรงเช่นกัน
ตอนนี้มีของไม่กี่อย่างที่ดูเหมือนจะไม่มีผลข้างเคียง
ในหมู่พวกมัน สิ่งที่ดาร์กต้องการมากที่สุดคือเครื่องมือเล่นแร่แปรธาตุอย่าง [เครื่องหยดสมองวิเศษ] และสินค้าล้ำค่าชั้นยอด [ธูปเทพจันทรา] พวกมันมีผลข้างเคียงที่ยอมรับได้ และหาได้ในถนนนักเดินทาง
ดาร์กเชื่อว่า [ธูปเทพจันทรา] จะทำให้คนกระหายในความรู้ และเห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้อันตรายมาก เขาจำเป็นต้องทดลองอะไรบางอย่างเพิ่มเติม
ดังนั้น จุดประสงค์ของเขาที่จะไปยังถนนนักเดินทางวันนี้คือเพื่อหา [เครื่องหยดสมองวิเศษ] ก่อน!
[เครื่องหยดสมองวิเศษ]
เป็นเครื่องมือเล่นแร่แปรธาตุที่ใช้สกัดสารจากสมอง มันเหมาะสำหรับการผลิตการ์ดเวทมนตร์ระดับสูงที่แม่นยำ
ดาร์กอ่านหนังสือหลายเล่มและถามศาสตราจารย์เคเซอร์ ผู้เป็นอาจารย์สอนวิชาเวทมนตร์พื้นฐาน เขามั่นใจมากว่ามันน่าจะสามารถดึงอารมณ์และความปรารถนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากต้องใช้เทคโนโลยีที่สูงมากและไม่สามารถใช้ได้บ่อย ๆ
ถ้าดาร์กไม่สามารถซื้อมันจากถนนนักเดินทางได้ เขาอาจจะต้องหาวิธีเอามันมาจากการทดลองของศาสตราจารย์เคเซอร์แทน
แม้ว่าจะไม่เหมาะกับการใช้ซ้ำ ๆ แต่หากเป็นกรณีฉุกเฉินเขาสามารถใช้มันเท่าที่จำเป็นได้
ปัญหาเร่งด่วนคือต้องดูดเอา [อัตตา] ออกไปบ้าง!
…
หลังจากนักเรียนใหม่ซึ่งยืนอยู่ตรงประตูของปราสาทหายไป ก็ถึงเวลาที่ดาร์กจะไปบ้าง เขาเดินไปที่ประตูปราสาทอย่างสงบและสง่างาม
สิ่งที่ถูกพร่ำสอนมาของความเป็นชนชั้นสูงมันฝังรากถึงกระดูกของเขาทำให้การเคลื่อนไหวของดาร์กยังคงประณีตสุขุมแม้จะตรงข้ามกับจิตใจที่กำลังวิตกกังวลอยู่ก็ตาม
ทางเดินไปยังถนนนักเดินทางตั้งอยู่ในศาลาริมทะเลสาบนอกปราสาท
ขณะข้ามสะพานที่มีสวนยาวไปถึงศาลาริมทะเลสาบอันสวยงาม สายตาของเด็กชายก็เหลือบมองสภาพแวดล้อมอย่างเป็นนิสัยไปด้วย
นอกจากที่นั่งแบบวงกลมตรงขอบศาลาแล้ว ศาลาริมทะเลสาบที่กว้างขวางนี้ยังมีโต๊ะและเก้าอี้หินรองรับทั้งหมดแปดชุด
มันมีคำจารึกที่สลักไว้บนเสาหินอยู่ตรงข้ามว่า ‘หากเราพยายามค้นหา มันก็จะมีที่สำหรับพัฒนา รอเราอยู่ที่ไหนสักแห่งอยู่เสมอ’
ดาร์กกะพริบตาและเห็นใครบางคนนั่งอยู่บนเก้าอี้หิน เขาคนนั้นบิดก้นแล้วจู่ ๆ ก็หายวับไปในอากาศ
ยังมีคนที่บิดมันมาเป็นเวลานาน แต่คนที่ยังอยู่ก็ยังอยู่กับที่ไม่ไปไหน!
“ดูเหมือนว่าทางเข้าของถนนทางเดินจะถูกย้ายออกไป มีโต๊ะหินแปดตัวและเก้าอี้หินแปดตัวสำหรับแต่ละโต๊ะ เฉพาะคนที่เลือกเก้าอี้หินที่ถูกต้องจากแปดตัวเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าสู่ถนนนักเดินทางได้”
เขาเหลือบมองโรเบิร์ตและเวอร์เธอร์ที่กำลังหน้าแดง แล้วนั่งลงกับเก้าอี้หินอีกโต๊ะหนึ่งซึ่งยังไม่เคยมีใครนั่งมาก่อน
ดาร์กอดทนมาก เขารอจนกระทั่งทุกคนที่โต๊ะอื่นล้มเหลว ก่อนที่ตนจะบิดสะโพกเล็กน้อยแล้วหายตัวไปจากตรงนั้น
…
บทที่ 12 ดาร์ก เดม่อนพยายามเอาชีวิตรอดอย่างเหนียวแน่น
คาบเรียนในวันอังคารนั้นมีวิชาประลอง วิชาคณิตศาสตร์ และวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์
พาวาร์ โจนส์ คือศาสตราจารย์ประจำวิชาการประลองของปีหนึ่ง และเป็นอาจารย์ที่สายเลือดของยักษ์!
ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังเป็นหัวหน้าอาจารย์ประจำบ้านขุนนางอีกด้วย!
หัวหน้าอาจารย์ประจำบ้านอัศวิน คือศาสตราจารย์ซาราห์ ซิลเวอร์ของวิชาอัญเชิญ ส่วนบ้านนักปราชญ์กับบ้านคนเขลาคือศาสตราจารย์ลิลลี่ ลาปลาซจากวิชาคณิตศาสตร์ และศาสตราจารย์ดีดี้ แม็กซ์เวลแห่งวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ตามลำดับ
เช่นเดียวกับ เกมจีบสาวทั่วไป หัวหน้าอาจารย์ประจำบ้านสี่คนนี้เป็นผู้หญิงทั้งหมด!
สถาบันเซนต์แมเรียนนั้น ตั้งแต่ชื่อสถาบันไปจนถึงเหล่าอาจารย์ทั้งหมดให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นโรงเรียนเวทมนตร์หญิงล้วน
เพราะศาสตราจารย์โจนส์มีสายเลือดของยักษ์ รูปร่างของเธอจึงมีขนาดใหญ่กว่ามนุษย์ธรรมดาเป็นเท่าตัว ผมที่ตัดสั้น ผิวสีแทน และร่างกายที่แข็งแรงเกินกว่าคนทั่วไปเนื่องมาจากมวลกล้ามเนื้อ
แม้ว่าดาร์กจะไม่สนใจศาสตราจารย์ผู้สูงเกินสองเมตรและมีลูกบาสเกตบอลสองลูกอยู่บนหน้าอก แต่ดูเหมือนเธอจะเป็นที่ชื่นชอบของนักเรียนในสถาบันเป็นอย่างมาก?
ได้ยินมาว่าต้นกำเนิดสายเลือดยักษ์ของศาสตราจารย์โจนส์นั้นมาจากราชวงศ์ยักษา และพ่อของเธอก็เป็นมนุษย์ชนชั้นสูงที่มีเลือดบริสุทธิ์ แม้ว่าเธอจะไม่ใช่เลือดบริสุทธิ์ในแง่ของเผ่าพันธุ์ แต่เธอก็เป็นเลือดบริสุทธิ์อย่างแท้จริงในแง่ของ ‘ชนชั้นสูง’!
กล่าวได้ว่าในบรรดานักเรียนชั้นปีสูง ๆ ของเซนต์แมเรียน เธอมีผู้ชื่นชมมากมายทั้งชายและหญิง แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นเพราะพลังของเธอ
ทั้งนักเรียนใหม่ของบ้านขุนนางและบ้านอัศวินต่างก็ตั้งตารอที่จะเรียนวิชาการประลองของศาสตราจารย์โจนส์
ทว่าช่างน่าเสียดายที่ในคาบเรียนนี้ ศาสตราจารย์สาวสอนเพียงความรู้เชิงทฤษฎีเบื้องต้นบางส่วน รวมไปถึงกฎและยุทธวิธีของการประลอง การจับคู่การ์ดเวทมนตร์ต่าง ๆ การได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างคุณสมบัติของแต่ละเผ่าพันธ์ุ…
ข่าวดี คือการรับสมัครของชมรมการประลองจะมีขึ้นในบ่ายวันศุกร์นี้
แต่ข่าวร้าย คือต้องมีการ์ดเวทมนตร์อย่างน้อยยี่สิบใบเพื่อเข้าร่วมชมรม!
แน่นอนว่าข่าวร้ายนี้ทำลายความหวังของนักเรียนใหม่ที่กำลังรอคอยจะเข้าร่วมชมรมการประลองนี้โดยตรง!
นี่เพิ่งจะเป็นวันที่สองของภาคเรียนแรก ใครจะไปมีการ์ดเวทมนตร์ถึงยี่สิบใบกัน?
แต่ก็นั่นแหละ หากพวกเขาไม่สามารถรวบรวมสำรับการ์ดได้ แล้วจะเข้าร่วมชมรมการประลองได้อย่างไรกัน?
…
คาบวิชาคณิตศาสตร์ที่อยู่ถัดมาน่าเบื่อและยากกว่าวิชาประลอง
นักเรียนใหม่สุดจะแสนเศร้า และบอกเป็นเสียงเดียวกันว่านี่คงเป็นคาบเรียนที่ยากที่สุดในปีแรกแล้ว!
ไดแอนนาบอกว่าเธอนอนฝันทั้งคาบ
อีกด้าน แม้ว่าโรสจะให้ความสนใจกับคาบเรียน แต่ใบหน้าของเธอก็ดูสับสน เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจ
ส่วนดาร์กนั้น
เขาไม่ได้ฟังเลย
เลขคณิตระดับประถมศึกษาแบบนี้ช่างดูถูกไอคิวของเขาจริง ๆ!
[อัตตา +1]
ศาสตราจารย์ลิลลี่ ลาปลาซแห่งวิชาคณิตศาสตร์เป็นที่รู้จักในนามภูตตัวน้อย ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเอลฟ์
ทั้งยังมีอายุยืนยาว และสะสมปัญญาเหมือนกับเอลฟ์
ศาสตราจารย์ลิลลี่ ลาปลาซ ชอบให้นักเรียนเรียกเธอว่าศาสตราจารย์ลิลลี่
เช่นเดียวกับภูตตัวน้อยส่วนใหญ่ เธอมีรูปลักษณ์เหมือนมนุษย์เด็กที่อายุไม่เกินสิบเอ็ดหรือสิบสองปี จนดูอ่อนกว่าวัยนักเรียนใหม่ที่นั่งอยู่ในที่นี้ด้วยซ้ำ
ส่วนสูงของเธอนั้นใกล้เคียงกับไดแอนนา
นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ตัวน้อยยังมีปีกแมลงปอและดูเหมือนจะไม่ชอบใส่รองเท้า เธอมักบินอยู่เสมอ ขาจึงแทบไม่เคยแตะพื้นเลย
ศาสตราจารย์ดีดี้ แม็กซ์เวล เป็นศาสตราจารย์วิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ในคาบเรียนที่สาม เธอก็เป็นภูตตัวน้อยเช่นกัน แต่ต่างกันที่ปีกของเธอดูแก่กว่ามาก อีกทั้งยังมีริ้วรอยลึกที่หน้าผาก
ที่ไม่ต่างกันคือ วิธีการสอนของศาสตราจารย์ดีดี้นั้นเหมือนกับของศาสตราจารย์ลิลลี่ พวกเขาบรรยายตามหนังสือทั้งหมด
ทั้งสองอาจมีความรู้และความเข้าใจที่ดี แต่ไม่เหมาะที่จะสอนเลย…
ประวัติศาสตร์เวทมนตร์ถือได้ว่าเป็นวิชาที่น่าเบื่อที่สุด โชคดีที่ศาสตราจารย์ดีดี้ประนีประนอม แม้ว่านักเรียนจะเผลอหลับในคาบเรียน เธอก็เพียงแค่สะกิดและหักคะแนนห้าหรือสิบคะแนนเท่านั้น
…
นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ดีดี้ยังรับผิดชอบคาบเรียนดาราศาสตร์ในคืนวันพุธอีกด้วย
วิชาดาราศาสตร์นั้นเป็น ‘วิชาที่น่าสนใจ’ ซึ่งจะจัดขึ้นเมื่อศาสตราจารย์ดีดี้แจ้งให้ทราบเท่านั้น
ดังนั้นก่อนเข้าเรียนหนึ่งเดือนจึงไม่มีวิชาดาราศาสตร์กำหนดไว้ในตารางเรียน
เช่นเดียวกันนั้น มันเคยมีวิชาศึกษาสัตว์เวทมนตร์ในวันศุกร์!
แต่มีข่าวลือว่าวิชาศึกษาสัตว์เวทมนตร์นี้จะไม่เริ่มจนกว่าจะถึงภาคการศึกษาถัดไป และมีความเป็นไปได้สูงว่าจะถูกเลื่อนออกไปอีก
นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในดันเจี้ยนนอกปราสาท ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะเรียนวิชาศึกษาสัตว์เวทมนตร์
เป็นผลให้เหลือวิชาเรียนเพียงหกวิชาสำหรับแต่ละสัปดาห์ ได้แก่ วิชาอัญเชิญ วิชาเวทมนตร์พื้นฐาน วิชาปรุงยา วิชาการประลอง วิชาคณิตศาสตร์ และวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ โดยที่แต่ละวิชามีสองคาบ
เป็นว่าผ่อนคลายได้!
…
[ห้องสมุด]
ดาร์กรีบลงทะเบียนให้เสร็จก่อนที่แพนดอร่าจะมาถึงและนั่งที่เดิมกับเมื่อวาน
จากนั้นเขาก็นำการบ้านจากคาบเรียนวิชาคณิตศาสตร์ออกมาและเริ่มแก้โจทย์
โจทย์ปัญหาพวกนี้ง่ายเกินไป!
ใช้เพลงเก้าเก้า (ตารางสูตรคูณจีน) ดาร์กก็ตอบคำถามได้อย่างรวดเร็ว
ตอนที่เอ็มม่านั่งลงข้าง ๆ เขาก็ทำเสร็จเกือบครึ่งแล้ว
พอเวลาล่วงเลยไปถึงห้าโมงเย็น ดาร์กก็แก้โจทย์ทั้งหมดเสร็จแล้ว!
นั่นหมายความว่าการบ้านวิชาเลขสำหรับเทอมนี้ของเขาเสร็จหมดแล้ว!
ดาร์กปิดสมุดและวางไว้ที่มุมซ้ายบนของโต๊ะอย่างพึงพอใจ
เพราะตอนที่แก้โจทย์ จิตใจเขาค่อนข้างสงบ ค่า [โลภะ] จึงไม่ทำงาน
ทว่าน่าเสียดาย เพราะเขามีความสุขกับมัน [อัตตา +1] ก็เลยเด้งขึ้นมา!
‘นี่หมายความว่าฉันพอใจที่แก้ปัญหาคณิตศาสตร์ระดับเด็กประถมได้งั้นเหรอ?’
ดาร์กช็อก!
เอ็มม่าก็ช็อก!
เธอนึกไม่ออกเลยว่าดาร์กทำแบบฝึกหัดครบชุดได้อย่างไรภายในระยะเวลาอันสั้น
ทุกคนเป็นนักเรียนปีหนึ่งเหมือนกัน แต่ทำไมเขาถึงฉลาดนัก?
เอ็มม่าประหลาดใจมากก่อนจะเริ่มนั่งแก้โจทย์ของตัวเองบ้าง
…
หลังจากทำการบ้านเสร็จแล้ว ดาร์กก็มองไปยังค่า [อัตตา] ที่ไม่สามารถลดลงได้ด้วยเหตุผลบางอย่าง แม้ว่าจะไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ บนใบหน้า แต่ในใจเขากลับเป็นกังวลมาก
“นี่ฉันเป็นคนหยิ่งจริง ๆ เหรอ?”
ดาร์กเริ่มถามตัวเอง
…
และคำถามนี้ก็ติดอยู่ในใจของเขาไปเป็นเดือน
ดาร์กไม่รู้ว่าเดือนนี้ตัวเองรอดมาได้อย่างไร!
แต่มันเป็นความจริงที่ว่าชีวิตก็เหมือนกับการตกเป็นเป้าของนางโง่ ในเมื่อคุณไม่สามารถต้านทานได้เช่นนั้นก็ต้องหันมาเรียนรู้ที่จะสนุกกับมันแทน
ดาร์กกลายเป็นดาวเด่นในหมู่นักเรียนปีหนึ่ง!
กิจวัตรของเขาคือ ตื่นนอนตอนหกโมงเช้า และปรากฏตัวที่ห้องนั่งเล่นตอนหกโมงสิบห้าโมงในทุกเช้า
วิญญาณรับใช้ของเด็กชายจะลอดผ่านปราสาทและบินจากช่องระบายอากาศไปยังห้องครัวของโรงอาหาร
เชฟลูกผสมชอบรุกกี้เดวิมอนมาก มันจึงชอบมอบของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้อยู่เสมอ
แม้ว่าของขวัญเหล่านั้นจะมีแต่พวกก้อนหินที่หยิบขึ้นมาตามแม่น้ำ ดอกไม้เล็ก ๆ ที่หยิบมาจากริมถนน ใบโคลเวอร์ในอาทิตย์อัสดง และขนนกหลากสีสันสวยงามก็ตาม…
แต่พวกมันเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่วิญญาณรับใช้ตัวน้อยจะสามารถหาได้
ลูกผสมพวกนี้มักจะปักดอกไม้ระหว่างผมของพวกเขา เก็บใบโคลเวอร์ไว้ในลิ้นชัก และเก็บก้อนกรวดกับเศษแก้วเอาไว้ในขวดโหล
ทุก ๆ เช้า รุกกี้เดวิมอนจะมาตรงเวลาเสมอ
จากนั้นเหล่าคนครัวก็จะมอบตะกร้าซึ่งบรรจุขนมและนมที่เตรียมไว้ให้กับรุกกี้เดวิมอน
เจ้าตัวน้อยจะใช้กรงเล็บที่แข็งแรงสองข้างนั้นคว้าตะกร้าและบินกลับไปที่หอคอยบ้านขุนนาง
ดาร์กคุ้นเคยกับการรับประทานอาหารเช้าในห้องนั่งเล่นแล้ว
การอ่านขณะทานอาหารไปด้วยสามารถลดโอกาสการเกิด [ตะกละ] และ [โลภะ] ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แน่นอนว่านี่คือความตั้งใจที่แท้จริงของเขา!
หลังจากทานเสร็จ รุกกี้เดวิมอนก็จะไปคืนตะกร้าที่ห้องครัว
ส่วนดาร์กที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นก็จะอ่านหนังสือต่อไป
เขาจะไม่ไปที่ห้องเรียนคาบแรกจนกว่าคนในห้องจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น
ตอนแรกเขาเป็นคนแรกที่มาที่ห้องเรียน แต่ต่อมาเขาสังเกตเห็นว่ามีคนอื่นจากบ้านอัศวินที่มาเร็วกว่าเขาในทุกชั้นเรียน
โชคดีที่ตัวเอกหญิงคนแรกในเกมยังไม่โตพอ เธอจึงอยู่นอกขอบเขตเป้าหมายของเขา
เมื่อเทียบกับไดแอนนาที่ชอบมีปัญหามากกว่า เอ็มม่าเป็นเหมือนกับลูกแมวตัวน้อยข้างถนนที่ไม่เป็นอันตราย
ไดแอนนาเริ่มรบกวนเขามากขึ้นเรื่อย ๆ
สาเหตุหลักคือ การบ้านวิชาคณิตศาสตร์
ไดแอนนาไม่มีพรสวรรค์ด้านตัวเลข และโรสก็ไม่ได้เก่งไปกว่าเธอมากนัก
ดังนั้น เมื่อเด็กหญิงสองคนนี้มาหาดาร์กซึ่งเป็นนักเรียนหัวดีอย่างสิ้นหวัง เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสอนเทคนิคลับ [ตารางสูตรคูณ] ให้พวกเธอ!
ตารางสูตรคูณคือการใช้ ‘ตาราง’ ในกระบวนการคำนวณเพื่อให้การคำนวณสะดวกยิ่งขึ้น
เทคนิคลับนี้เขาได้เรียนจากศาสตราจารย์ลิลลี่โดยตรงและแพร่กระจายไปทั่วสถาบันเซนต์แมเรียนในภายหลัง
สำหรับภูตผู้ชาญฉลาด วิธีการคำนวณนี้ไม่ถือว่ามีความจำเป็นเลย แต่สำหรับผู้เริ่มต้น วิธีนี้กลับช่วยได้มาก
ศาสตราจารย์ลิลลี่ยังตั้งชื่อมันว่า [ตารางสูตรคูณของดาร์ก] และให้คะแนนเขาเต็มห้าสิบคะแนน!
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ทำให้ดาร์กรู้สึกกังวลมาก เพราะค่า [อัตตา] ของเขามันเพิ่มขึ้นอีกครั้ง!
แม้ว่าจะใส่ใจกับการควบคุมอารมณ์ของตัวเองอยู่เสมอ แต่แจ้งเตือนมหาบาปทำให้เขาอดประหลาดใจไม่ได้ในทุกครั้งที่พลาด!
…
เห็นได้ชัดว่าดาร์กพยายามหลีกเลี่ยงการสื่อสารให้มากที่สุด ดำเนินชีวิตแบบชาวพุทธที่ไม่มีความปรารถนา ไร้ซึ่งทุกข์โศกหรือความปีติยินดีในตนเอง
โชคร้ายที่ยิ่งเขาต้องการทำเช่นนั้นมากเท่าไร เขาก็ยิ่งโดดเด่นในหมู่นักเรียนที่ไร้เดียงสาและซุกซนมากขึ้นเท่านั้น
ไม่มีใครสนใจเรื่อง ‘ข่าวลือ’ ก่อนเข้าเรียน ทุกคนมีนิยามใหม่ให้กับดาร์ก เดม่อนโดยอิงจาก ‘เชื่อในสิ่งที่เห็น’
ขยัน ฉลาด และหล่อเหลา แม้ว่าจะเฉยชาเล็กน้อย แต่นั่นไม่ใช่ภาพลักษณ์ที่ชนชั้นสูงควรมีหรอกหรือ?
ตรงกันข้ามแล้ว เวอร์เธอร์ กาวด์ ลูกชายของ [ดาบคู่แห่งอาณาจักร] กลับเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี
เวอร์เธอร์ไม่ได้รับการศึกษาก่อนวัยเรียนระดับสูง เขาเรียนแค่วิธีอ่านเขียนในโบสถ์ และท่องจำสูตรการบวกลบเท่านั้น
แม้ว่าเด็กชายจะฉลาดมาก แต่เขาก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะ และยังถูกโรเบิร์ตลากไปเล่นด้วยอยู่เสมอ
นี่เรียกว่า คนใกล้ชาดติดแดง คนใกล้หมึกติดดำ*[1] พอเวอร์เธอร์ไม่มีเอ็มม่า สาวน้อยผู้รู้ทุกเรื่องคอยอยู่เคียงข้าง และเหลือเพียงโรเบิร์ตซึ่งมีนิสัยแย่ ๆ ที่อยู่ด้วย มันก็กลายเป็นว่าเด็กชายจึงรับเอาอิทธิพลนั้นมาจากเขาโดยปริยาย
นอกจากนี้ ตอนอยู่ในชั้นเรียน เวอร์เธอร์มักจะฟุ้งซ่านอยู่เสมอ ดังนั้นการเรียนของเขาจึงย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ
สถานการณ์ของตัวเอกและตัวร้ายในเกมต้นฉบับขณะนี้กำลังจะสลับกัน และในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ณ อีกมุมหนึ่ง เกมไพ่ชื่อ [ดูดวงความรัก] ก็ได้กลายเป็นที่นิยมในหมู่นักเรียนปีหนึ่ง!
…
แต่สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับดาร์กที่เป็นคนไร้สังคม
เขายังคงรักษากิจวัตรประจำวันของตัวเอง ทุกเช้าหลังเลิกเรียนคาบสอง เด็กชายจะไปที่โรงอาหารและจัดการมื้อกลางวันอย่างพอเหมาะพอดี จากนั้นก็กลับไปที่ห้องนั่งเล่นตอนเที่ยงตามปกติ
ขั้นต่อไปคือการชงกาแฟและอ่านหนังสือ
หากมีการบ้านที่สามารถทำได้เลย เขาจะทำการบ้านก่อน
พอทำการบ้านเสร็จก็จะอ่านหนังสือต่อ
รุกกี้เดวิมอนจะนำขนมบิสกิตมาด้วย ซึ่งทั้งหมดจะเป็นของขบเคี้ยวหยาบ ๆ เพื่อไม่ให้เกิด [ตะกละ]
และหนังสือที่เขาอ่านก็ไม่ใช่หนังสือเรียนอีกต่อไป แต่เป็นหนังสือเกี่ยวกับ [คู่มือเวทมนตร์] และ [ตำราการปรุงยา] ที่ยืมมาจากห้องสมุดแทน
เพราะหมกมุ่นอยู่กับหนังสือเหล่านั้นเป็นครั้งเป็นคราวเท่านั้น ค่า [โลภะ] จึงเพิ่มขึ้นช้า ๆ
หลังเลิกเรียนคาบสามในตอนบ่าย เขาก็จะไปห้องสมุดตามปกติ
นอกจากตกใจกับเสน่ห์ของรุ่นพี่สาวตอนพบกันครั้งแรกแล้ว ดาร์กก็ไม่ได้ทำให้เกิด [ราคะ +1] อีกต่อไปเมื่อเขาสบตากับอีกฝ่าย
ถึงอย่างนั้น รูปร่างของแพนดอร่าก็ยังน่าดึงดูดเกินไป ซึ่งมันทำให้ดาร์กตื่นตระหนกอยู่เสมอ
และทุกครั้งที่เขาวิ่งหนีก็มักจะได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักตามมาจากข้างหลัง นี่ทำให้เขาสงสัยว่าเธอหัวเราะอะไร
…
หากดูจากค่าเจ็ดบาปทั้งหมดแล้ว
[เกียจคร้าน] ถือเป็นตัวที่เขาควบคุมได้ดีที่สุด
ดาร์กไม่คิดว่าเขาจะมีความอุตสาหะเช่นนี้ หลังจากพยายามอย่างหนักมาหนึ่งเดือน ค่า [เกียจคร้าน] ก็ไม่เพิ่มขึ้นเลย และยังลดลงด้วยซ้ำ!
อันดับสองคือค่า [ริษยา]
เพราะหนังสือเรียนของปีหนึ่งง่ายเกินไป พวกพลังเวทมนตร์และความถนัดที่เกี่ยวข้องกันจึงค่อย ๆ เพิ่มขึ้นหลังจากที่เลือดของจอมมารเข้าสู่ขั้นปลุกให้ตื่น เขาไม่เพียงแต่เป็นผู้นำในชั้นเรียนคณิตศาสตร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงชั้นเรียนอัญเชิญ ชั้นเรียนเวทมนตร์ และชั้นเรียนปรุงยาอีกด้วย
คนเดียวที่สามารถเทียบชั้นกับดาร์กในแง่ของความสามารถได้ คือเวอร์เธอร์ ผู้สืบทอดสายเลือดของวีรบุรุษ
แต่เวอร์เธอร์กลับไม่สนใจเรียนเลย
ดาร์กจึงไม่มีใครให้อิจฉา
ยกเว้นบางครั้งเขาอาจจะอารมณ์เสียเล็กน้อยเมื่อเห็นนักเรียนใหม่เล่นกันหรือคุยหัวข้อวัยเดียวกัน ดังนั้น [ริษยา] จึงไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่ก็ไม่ได้ลดลงเช่นกัน
แต่ก็มีตัวเลขค่ามหาบาปที่เพิ่มขึ้นตามเวลาในช่วงนี้อยู่…
อีกอารมณ์หนึ่งที่เขาพยายามระงับคือ [โทสะ]!
ใช่ เขาสามารถกำราบ [โทสะ] ได้ทันเวลา แต่ความพิโรธของสายเลือดจอมมารกับระบบผู้ช่วยจอมมารนั้นฝังรากลึกอยู่ในใจของเขาเสมอ และมันก็ยิ่งลึกขึ้นเรื่อย ๆ
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าจู่ ๆ วันหนึ่งมันก็ระเบิดออกมา?
ดาร์กกังวลเรื่องนี้
[โลภะ] ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุม แต่ก็มีอันตรายซ่อนเร้นจากการปะทุอย่างกะทันหัน
ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าค่า [ราคะ] จะไม่น่ากังวลนัก แต่ไดแอนนาก็เริ่มเกาะติดเขามากขึ้นเรื่อย ๆ จากการรบกวนแค่ดาร์กคนเดียวในตอนที่เธอเพิ่งเริ่มเรียน ไปจนถึงการรบกวนเขากับเด็กผู้หญิงคนอื่นในตอนนี้
แต่ดาร์กไม่สามารถตำหนิใครได้ เพราะเขาขุดหลุมศพของตนขึ้นมาเอง!
ทุกครั้งที่ไดแอนนายืนกรานจะถามคำถามเกี่ยวกับการบ้านของเธอ เขาก็อดไม่ได้ที่จะบีบใบหน้าเล็ก ๆ นั่น
ผลก็คือ [ราคะ] เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน และมีแต่จะเพิ่มขึ้น ไม่ได้ลดลงเลยสักนิด!
ดาร์กเคยสงสัยว่ามันจะลดลงอย่างรวดเร็วด้วย [กิจกรรมส่วนตัวของผู้ชายสุขภาพดี] หรือไม่
แต่เขาไม่กล้าลอง เขากลัวว่ามันจะระเบิดในทันที!
และน่าแปลกตรงค่าที่ควบคุมยากสุดคือ [อัตตา]!
เดิมทีดาร์กคิดว่านี่เป็นบาปที่ควบคุมได้ง่ายที่สุด ท้ายที่สุดเขาก็มีความทรงจำเกี่ยวกับชีวิตก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากอุปนิสัยของชีวิตนี้ชั่วขณะหนึ่ง แต่เขาก็สามารถลดอารมณ์ที่เย่อหยิ่งแบบนั้นได้เล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ดาร์กไม่คิดเลยว่าความทรงจำในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาจะเป็นเชื้อร้ายที่แท้จริง!
เมื่อดูค่า [อัตตา] ที่ทะลุเกินหนึ่งร้อยหน่วยไปได้สำเร็จในสิ้นเดือน และสีของมันยังเปลี่ยนจากแดงสดเป็นม่วงเข้มขึ้น เขาก็ชักรู้สึกไม่ดี
…
บ่ายวันศุกร์ของสัปดาห์ที่สี่ นักเรียนใหม่จะได้รับอนุญาตให้ออกจากปราสาทเป็นครั้งแรก โดยสามารถไปย่านการค้าและเขตพื้นที่สันทนาการแห่งเดียวภายในเขตสถาบันเซนต์แมเรียนได้ ชื่อของมันคือ ถนนนักเดินทาง!
ดาร์กนับคะแนนของเขาอย่างเงียบ ๆ ซึ่งมีมากกว่านักเรียนใหม่ทั่วไปมาก เขารู้ว่าเวลาของตัวเองกำลังจะหมดลงแล้ว
[1] คนใกล้ชาดติดแดง คนใกล้หมึกติดดำ เป็นคำอุปมา ดังเช่น คนที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน หรือใกล้กับอะไร ก็จะติดนิสัยหรือสิ่งนั้นมาด้วย สุภาษิตไทยใช้คำว่า “คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล”
บทที่ 11 เวอร์เธอร์ กาวด์ตกหลุมรัก
ขณะที่ดาร์กกำลังตั้งใจอ่านหนังสืออยู่นั้น เอ็มม่า มอร์ติสก็เดินพึมพำเข้ามาในห้องอ่านหนังสือ
เธอมาห้องสมุดช้ากว่าดาร์กเพียงเล็กน้อย แต่ใช้เวลาอยู่ที่ชั้นหนังสือมากกว่าเขา
เอ็มม่าเกิดในครอบครัวนักวิชาการ พ่อของเธอสอนเด็ก ๆ ที่อยู่ในโบสถ์และแม่ของเธอก็เป็นศิษย์ของนักปราชญ์ท่านหนึ่ง
หลังจากทำลายเผ่าปีศาจแล้ว มนุษยชาติก็เข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา พอวัลคีรีมีชื่อเสียงไปทั่วโลกในฐานะตัวแทนของอิสตรี เสียงของผู้หญิงก็มีน้ำหนักขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และสตรีผู้ยอดเยี่ยมในด้านต่าง ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมากมาย แม้แต่ในการชกมวย พวกเธอก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าผู้ชาย
นอกจากนี้ จอมเวทยังไม่มีการแบ่งแยกเพศ และการมีอยู่ของพวกเธอยังทำให้สถานะของผู้หญิงสูงขึ้นด้วย
เพราะได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เธอจึงรักหนังสือมากและมีความกระหายรู้อย่างมาก ทั้งยังสืบทอดนิสัยเฉพาะตัวของแม่มาด้วย
ไม่ใช่ว่าเอ็มม่าหาเพื่อนไม่เก่ง ทว่าตั้งแต่เข้าสถาบันมา เธอรู้สึกว่าเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงในปีเดียวกันนั้นไร้เดียงสาเกินไปจึงไม่สนใจที่จะพูดคุยกับพวกเขาเท่าไหร่
นอกจากนี้ สถาบันเซนต์แมเรียนยังมีห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักร และถือเป็นสรวงสวรรค์ในความฝันของเธอ!
เด็กหญิงตกอยู่ในภวังค์ความตื่นเต้นที่ได้เห็นหนังสืออันล้ำค่า จึงอดไม่ได้ที่จะอยู่ตรงชั้นหนังสือเป็นเวลานาน
แตกต่างจากดาร์กที่เอามาแค่หนังสือ ‘รวมสปิริต’ เพราะเอ็มม่านั้นหอบหนังสือมาทั้งกอง
แก้มเธอขึ้นสีระเรื่อเล็กน้อย เนื่องจากเดินหอบหนังสือกองตั้งสูงจนมันโซเซไปมา
ในที่สุดเอ็มม่าก็เจอโต๊ะว่างที่อยู่ใกล้ ๆ โต๊ะของดาร์ก จากนั้นจึงวางหนังสือลงแล้วก็รู้สึกอดใจรออ่านหนังสือแทบไม่ไหว
เด็กหญิงตื่นเต้นมากจนไม่ทันสังเกตเห็นเพื่อนร่วมชั้นซึ่งนั่งอยู่ด้านซ้ายมือของเธอ
เด็กนักเรียนใหม่สองคน พวกเขากำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างเงียบสงบในระยะที่ห่างกันเพียงแค่สองหรือสามเมตร
…
ห้องสมุดได้จัดเตรียมของว่างสำหรับผู้ที่หิว หากไม่นับชาดำ ขนมหวานทั้งหมดจะรับประทานได้แค่เฉพาะในห้องรับรองเท่านั้น
เพราะดาร์กกินไซรัปเค้กไปสองก้อนตอนประมาณหกโมงเย็น เขาเลยไม่กล้ากินมัฟฟินช็อกโกแลตสุดโปรดเพิ่ม ดังนั้น หลังจากที่กินเค้กเสร็จ เขาก็ดื่มนมแก้วเล็ก ๆ แล้วค่อยเดินกลับไปที่ห้องอ่านหนังสือ
‘รวมสปิริต’ ถือได้ว่าเป็นหนังสือภาพประกอบ ซึ่งอธิบายเกี่ยวกับสปิริตที่น่าสนใจด้วยภาพสี และคำบรรยายมันก็อ่านสนุกมาก
ดาร์กค่อย ๆ พบว่าการอ่านหนังสือบันเทิงประเภทนี้แตกต่างจากการอ่านตำราเรียน ตราบใดที่ไม่ได้มีเนื้อหาหนักหน่วง มันก็จะไม่ทำให้เกิดค่า [โลภะ]
ยิ่งกว่านั้นหนังสือ ‘รวมสปิริต’ ก็ยังเต็มไปด้วยความรู้ซึ่งไม่ถือว่าเป็น [เกียจคร้าน]
จากนั้นดาร์กก็ตระหนักอย่างรวดเร็วว่า ถ้าที่นี่มี ‘นิยาย’ ขายอยู่ เขาอาจจะตายอย่างอนาถได้…
หากอยากอ่านตอนต่อไปก็จะถือเป็น [โลภะ] ได้
และการอ่านนิยายตามใจฉันโดยปราศจากความรู้ใด ๆ ก็จะถือเป็น [เกียจคร้าน]
ดังนั้นการอ่าน ‘นิยายบนเว็บ’ เพื่อสนองความอยากจึงอาจเพิ่มค่าชี้วัดทั้งสองได้
มันจะน่ากลัวเกินไปไหม!
…
เวลาประมาณหนึ่งทุ่ม
กลุ่มเด็กที่ตะโกนส่งเสียงดังพากันเข้ามาในห้องสมุด
เวอร์เธอร์ กาวด์ยืนอยู่ตรงกลาง เขาถูกรายล้อมไปด้วยนักเรียนใหม่ของบ้านอัศวินที่ต่างตื่นเต้นและยิงคำถามต่าง ๆ ใส่ไม่หยุด โดยไม่รู้เลยว่าการกระทำนี้จะส่งผลเสียอย่างไรต่อห้องสมุดอันเงียบสงบ
โรเบิร์ตถูกกีดกันให้อยู่นอกวงราวกับลูกเป็ดขี้เหร่ที่ถูกเพื่อนทอดทิ้งในตอนจบ
ทั้งสองได้อัญเชิญวิญญาณรับใช้ออกมาทีละคน และตั้งใจจะมาที่ห้องสมุดเพื่อหาข้อมูล
ทว่ามันไม่เหมือนอย่างที่ดาร์กคิดไว้ เพราะวิญญาณรับใช้ของเวอร์เธอร์ไม่ใช่กวาง และวิญญาณรับใช้ของโรเบิร์ตก็ไม่ใช่สุนัขล่าเนื้อ…
บรรณารักษ์แพนดอร่า โดรากอน มองดูเด็กดื้อกลุ่มนี้ และอดจะขมวดคิ้วที่ดูดีของเธอไม่ได้
ทันใดนั้นเอง เวอร์เธอร์และคนอื่น ๆ ก็สัมผัสได้ถึงลมกระโชกแรง และเสียงของทุกคนก็หายวับไปในพริบตา!
“การ์ด [เงียบสงัด]?”
เวอร์เธอร์ปิดปากของเขาทันที เพราะเห็นหญิงสาวหลังเคาน์เตอร์ขมวดคิ้วของเธออย่างเย็นชา
ผิวของหญิงสาวดูงดงามเกินไป ผมทิ้งตรงสวยราวกับน้ำตกอันธการ และบนใบหน้าก็มีเกล็ดรูปหัวใจอยู่ใต้ดวงตาของเธอ
แพนดอร่ายืดตัวขึ้นเล็กน้อย ช่วงบนโน้มไปข้างหน้าจนสัดส่วนที่เต็มไปด้วยความเป็นแม่ถูกเบียดอัดเป็นทรงสามเหลี่ยมซึ่งเกิดจากร่างกายของเธอแนบชิดกับโต๊ะ เอวของหญิงสาวเว้าโค้งสวย และขาใต้กระโปรงก็เรียวสวยอย่างน่าประหลาดใจ
“แม่!”
ผลของการ์ด [เงียบสงัด] เพิ่งจะหายไป เสียงของเวอร์เธอร์ที่โพล่งออกมาโดยไม่รู้ตัวก็ดังขึ้นอย่างชัดเจนในทันที
ตอนนั้นเองที่ทุกสายตาหันไปมองเขา!
แก้มของเวอร์เธอร์กลายขึ้นสีและอดไม่ได้ที่จะก้มหัวลง
“มาลงทะเบียนตรงนี้”
แพนดอร่าพูดอย่างไร้อารมณ์
เด็กใหม่พวกนี้ทำให้เธอรู้สึกแย่
นักเรียนใหม่ทุกคนควรจะเป็นเหมือนกับเด็กผมบลอนด์ตัวเล็ก ๆ ก่อนหน้านี้ที่น่ารัก อ่อนวัย และขี้อายไม่ใช่หรือ? พอคิดถึงท่าทางเขินอายของเด็กน้อยหลังจากถูกพี่สาวใหญ่เข้าหา… เธอก็รีบยับยั้งรอยยิ้มเอาไว้แล้วจ้องเขม็งไปที่พวกเด็กตรงหน้า
โดยเฉพาะเจ้าเด็กหัวโจก…
‘แม่’ อะไรกัน?
ฉันเหมือนแม่เขามากงั้นเหรอ?
หรือเป็นไปได้ไหมว่า…
ถึงเด็กนี่จะอายุยังน้อย แต่จริง ๆ แล้วเขาอาจมีความคิดที่บิดเบี้ยว
ความประทับใจแรกพบที่แพนดอร่ามีต่อเวอร์เธอร์นับว่าติดลบ!
…
เวอร์เธอร์หน้าแดงจนกระทั่งเข้าไปในห้องสมุด
นักเรียนคนอื่น ๆ เดินจากไป เหลือแค่โรเบิร์ตที่อยู่ข้างเขา
โรเบิร์ตอดไม่ได้ที่จะถามต่อว่า “เวอร์เธอร์ ทำไมเมื่อกี้นายถึงพูดว่าแม่ล่ะ?”
เวอร์เธอร์สูดลมหายใจเข้าและควักจี้อันประณีตออกมาจากคอเสื้อ มันเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดของเขา
กริ๊ก!
เด็กชายเปิดจี้เผยให้เห็นรูปข้างใน
“นี่คือแม่ของฉัน ฉันดูมันทุกคืนแล้วจินตนาการว่าแม่มีหน้าตายังไง”
โรเบิร์ตโน้มตัวลงมา
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ภาพนี้จึงเป็นเพียงภาพเงา
และมันถูกถ่ายจากระยะไกล
แม้ว่าภาพเงานี้จะรางเลือนเล็กน้อย แต่ยังคงเห็นเรือนร่างโค้งเว้าของแม่ของเวอร์เธอร์ รวมไปถึงเส้นผมสีดำอันยาวสลวยเป็นเอกลักษณ์ของเธอ
ซึ่งดูค่อนข้างคล้ายกับรุ่นพี่สาวคนนั้นจริง ๆ
โรเบิร์ตครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็พูดว่า “งั้นฉันช่วยหาชื่อรุ่นพี่คนนั้นให้ไหม?”
เวอร์เธอร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็ส่ายหัว “ช่างมันเถอะ”
จากนั้นเขาก็เริ่มหาข้อมูลอย่างเงียบ ๆ
…
จิตใจของเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงมักคาดเดาได้ยาก
อย่างที่เวอร์เธอร์เคยบอกว่าให้ช่างมันไป แต่เขาก็ยังคงคิดต่ออยู่ในใจ
และในที่สุดเอ็มม่าก็รู้สักทีว่าคนที่อยู่ข้างหน้าทางด้านซ้ายคือดาร์ก เธอคิดว่าคน ๆ นี้ช่างน่ารำคาญเสียจริง แล้วยังชอบมาอยู่ในสายตาของเธออีก
แต่ถึงอย่างนั้น ในใจเด็กหญิงกลับรู้สึกมีความสุขอย่างอดไม่ได้
ท้ายที่สุด นอกจากนักเรียนใหม่ของบ้านนักปราชญ์แล้วก็มีคนไม่กี่คนที่ร่ำเรียนอย่าง ‘จริงจัง’ เหมือนกับพวกเขา
ดาร์กเป็นคนเดียวที่เธอรู้สึกว่าเขาไม่ได้ไร้เดียงสานัก
…
เวลาสามทุ่ม
เด็กชายเหลือบมองนาฬิกาแล้วปิดหนังสือ ‘รวมสปิริต’ เขาลุกขึ้นและเดินออกมาจากโต๊ะ
เอ็มม่ายังคงอ่านหนังสืออย่างจริงจัง แต่ดาร์กแกล้งทำเป็นไม่เห็น
เขาหาชั้นหนังสือตามหมายเลขที่จดจำไว้ แล้วก็วาง ‘รวมสปิริต’ กลับไปที่ตำแหน่งเดิม จากนั้นจึงเหลือบมองไปยังตำแหน่งอื่นระหว่างทาง
‘สู่ห้วงลึก’ มีคนดึงออกไปแล้ว
บทที่ 10 ดาร์ก เดม่อนกับกับดักไร้ค่า
“มันจะมีแผนผังชั้นหนังสือของห้องสมุดให้ไหมนะ?”
ดาร์กหยิบการ์ดคัดสรรออกมาแล้วใส่พลังเวทมนตร์เข้าไป
เมื่อการ์ดคัดสรรรับรู้ความคิดของเด็กชาย มันก็แสดงแผนผังชั้นหนังสือของห้องสมุดบนพื้นผิวของการ์ดให้เห็น
ห้องสมุดของสถาบันเซนต์แมเรียนมีเพียงชั้นเดียว ทว่าความสูงของชั้นหนังสือแต่ละชั้นกลับสูงจรดเพดาน
สถาบันใช้วิธีการแยกแบบกายภาพ โดยวางหนังสือที่ทำความเข้าใจยากไว้ชั้นบนสุด
หากคุณไม่มีความสามารถในการบิน คุณก็ไม่มีทางได้สัมผัสหนังสือลึกลับเหล่านั้นได้
แต่วิญญาณรับใช้ของดาร์กมีปีก นี่จึงนับเป็นข้อได้เปรียบ!
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นวิญญาณรับใช้ที่เข้ามาแทนที่ ‘นกฮูก’ กระนั้นวิญญาณรับใช้ของนักเรียนส่วนใหญ่ก็ไม่มีปีกและบินไม่ได้ ซึ่งน่าหงุดหงิดมาก
ดาร์กหาบริเวณที่มีเครื่องหมาย [วิญญาณรับใช้] บนแผนผังชั้นหนังสือของห้องสมุด และเดินเข้าไปทันที
ความแตกต่างระหว่าง ‘วิญญาณรับใช้’ และ ‘สปิริตทั่วไป’ คือ พวกมันสามารถอยู่นอกการ์ดเวทมนตร์เป็นเวลานานได้ และไม่จำเป็นต้องใช้พลังเวทมนตร์ของเจ้านาย
ส่วนสปิริตไม่เป็นเช่นนั้น ไม่ว่าพวกมันจะมีพลังมากแค่ไหน การดำรงอยู่ของพวกมันก็มีเวลาจำกัด
เมื่อเกินเวลาที่กำหนด พวกมันจะเริ่มใช้พลังเวทมนตร์ของตัวเองและจะหายไปเมื่อพลังเวทมนตร์เหลือศูนย์
ยิ่งกว่านั้น ระดับสติปัญญาของสปิริตคือสอง ซึ่งต่ำกว่าระดับของวิญญาณรับใช้ครึ่งระดับ ไม่พอพวกมันยังอยู่ในระดับเดียวกับโกเลมชั้นต่ำอีกด้วย
เนื่องจากห้องสมุดมีขนาดใหญ่มาก ดาร์กจึงใช้เวลาเกือบสิบนาทีในการหาชั้นวางหนังสือที่มีป้ายกำกับว่า [วิญญาณรับใช้] แม้ว่าจะมีแผนผังชั้นหนังสือก็ตาม
มีชั้นวางที่มีแต่หนังสือที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณรับใช้ทั้งหมดอยู่ด้วย!
“ตอนนี้ฉันต้องหาเองแล้วสินะ”
ดาร์กอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้น
ความสูงของชั้นหนังสือนั้นมากจนมองไม่เห็นด้านบน
แล้วเขายังให้ชื่อชั้นหนังสือนี้ว่า ‘สูงตระหง่านเทียมเมฆ’ ด้วย!
ดาร์กไม่รู้ว่าชั้นหนังสือนี้เก็บหนังสือไว้กี่เล่มกันแน่!
“แล้วฉันจะหาหนังสือที่ต้องการได้ยังไง? หรือว่าต้องกลับไปถามบรรณารักษ์อีกครั้งเนี่ย?”
“บ้าจริง แม้แต่การทำการบ้านก็เสี่ยงเพิ่มค่าชี้วัดด้วย”
ท้ายที่สุด ดาร์กจึงทำได้เพียงปักหลักและเริ่มค้นหาอย่างช้า ๆ จากล่างขึ้นบน
รุกกี้เดวิมอนอยู่ในประเภทปีศาจ ดังนั้นเขาแค่ต้องการหาหนังสือที่เกี่ยวข้องกับประเภทปีศาจ
แต่พอผ่านไปได้ไม่เท่าไหร่ เขาก็พบว่าตำราในชั้นหนังสือนี้กลับเต็มไปด้วย ‘สปิริตพิเศษ – วิญญาณรับใช้’ ‘เรื่องเล่าของวิญญาณรับใช้และสปิริต’ ‘คู่มือการผลิตวิญญาณรับใช้ขั้นพื้นฐาน’ ‘การสร้างวิญญาณรับใช้ 101’ และอื่น ๆ!
“เป็นไปได้ไหมว่าฉันมาหาผิดที่”
ดาร์กตระหนักว่าเขาอาจเข้าใจอะไรผิดไป
ข้อมูลเกี่ยวกับรุกกี้เดวิมอนม่ควรอยู่ในชั้น [วิญญาณรับใช้] แต่ควรอยู่ในชั้น [การ์ดเวทมนตร์] หรือ [สปิริต] โดยตรง!
จะเป็นการดีที่สุดที่คือหมวด ‘หนังสือภาพวิญญาณ’ ที่มีรายการจำนวนมากให้ดู!
หลังจากรู้เรื่องนี้แล้ว ดาร์กก็เปิดการ์ดคัดสรรเพื่อค้นหาชั้นหนังสือสปิริต!
และมีชั้นหนังสือหลายสิบแถวที่มีป้ายกำกับว่า [สปิริต]!
“ก็นะ คราวนี้ไม่เพียงแค่มองไม่เห็นยอดเท่านั้นแล้ว…”
ดาร์กถอนหายใจและเริ่มการค้นหาที่ยาวนาน
…
หลังจากใช้เวลาครึ่งชั่วโมงเต็ม ดาร์กก็สังเกตเห็นหนังสือชื่อ ‘สู่ห้วงลึก’ ซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งของหนังสือหลายพันเล่ม!
หัวใจที่แทบจะสิ้นหวังของเขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาทันที และเขาก็รีบดึงหนังสือหนาสองนิ้วออกมาพลิกดูอย่างรวดเร็ว
มีแค็ตตาล็อกอยู่!
เริ่มจากหน้าที่สองเป็นหน้ารายการซึ่งบันทึกเกี่ยวกับปีศาจนับพัน!
ดาร์กไม่ได้เอาไปอ่านที่ห้องอ่านหนังสือ แต่ยืนกวาดสายตาอยู่ตรงหน้าชั้นวาง
เมื่อพลิกกลับมาที่หน้าแรกก็เจอประโยคสั้น ๆ
[จ้องมองลงไปในก้นเหว]
เดิมทีดาร์กอยากเพิกเฉย แต่จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเวียนหัว และข้อความจู่ ๆ ก็เปลี่ยนไปกลายเป็นข้อความอีกแบบหนึ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนแต่ดันเข้าใจได้
“วิธีแบบนี้…มันคือคัมภีร์ลับโบราณงั้นเหรอ?”
ข้อความลับโบราณเป็นข้อความเวทมนตร์ชนิดหนึ่งที่มีการเข้ารหัสในตัวเองซึ่งปีศาจโบราณใช้เพื่อถ่ายทอดความรู้
ข้อความเวทมนตร์ชนิดนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะ ระดับการเข้ารหัสอยู่ระหว่าง 1-12 และจำเป็นต้องมีลำดับของเลือดปีศาจที่สอดคล้องกันจึงจะเข้าใจ
ในโลกนี้ มันยังเป็นวิธีการเข้ารหัสแบบพิเศษอีกด้วย!
ดาร์กไม่รู้ว่าลำดับสายเลือดของเขาในปัจจุบันนั้นสามารถจัดอยู่ในลำดับใดได้ และไม่รู้ระดับการเข้ารหัสของข้อความเวทมนตร์นี้เลยแม้แต่น้อย
ทว่ามันไม่ได้ทำให้เขาไม่เข้าใจคำเหล่านี้
[สลายม่านหมอก เสาะหาความแท้จริง คราจันทร์เต็มดวงจะนำพาเจ้าไป]
…
ดาร์กกะพริบตาแล้วถอนหายใจ มือพลิกไปยังหน้ารายการโดยตรง
เขาพบหนังสือภาพประกอบสายพันธุ์ปีศาจชื่อ [รุกกี้เดวิมอน] ตามลำดับตัวอักษร
ท้ายที่สุดมันก็เป็นแค่การบ้านของชั้นปีแรก ดาร์กสงสัยว่าศาสตราจารย์ซิลเวอร์อาจแค่ต้องการให้พวกเขาเรียนรู้วิธีหาข้อมูลในห้องสมุด
เนื่องจากข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับรุกกี้เดวิมอนนั้นถูกเขียนไว้อย่างชัดเจนในหนังสือภาพประกอบเล่มนี้ เขาจึงสามารถทำการบ้านให้เสร็จได้ เพียงแค่คัดลอกข้อมูลในนั้น
ดาร์กหยิบปากกาและกระดาษออกมาแล้วคัดลอกอย่างรวดเร็ว
รุกกี้เดวิมอนเป็นประเภทปีศาจ คุณสมบัติของมันคือความมืด และอยู่ใน ‘ลำดับที่สิบสองของวิญญาณรับใช้’ ในการจัดลำดับของปีศาจ และยังถือว่าเป็นปีศาจชั้นต่ำที่มีลำดับต่ำสุด
คำอธิบายเขียนไว้ว่ามันเป็นขยะในหมู่พวกปีศาจ เจ้าตัวน้อยที่น่ารังเกียจ ไร้ซึ่งพลังแต่ชอบการกลั่นแกล้งและกลอุบาย อีกทั้งยังขี้ประจบผู้ที่อยู่เหนือกว่าด้วย
<รุกกี้เดวิมอน>
เลเวล: 1 ดาว
พลังเวทมนตร์: 100 หน่วย
พลังโจมตี: 100 หน่วย
พลังป้องกัน: 100 หน่วย
สกิล: [เดมิ ดาร์ท]
รุกกี้เดวิมอนจะยิงเข็มฉีดยาขนาดใหญ่ใส่ฝ่ายตรงข้ามและดูดเลือดของคู่ต่อสู้ออกมา โดยใช้พลังเวทมนตร์ห้าสิบหน่วย
ในฐานะวิญญาณรับใช้ พลังโจมตีและการป้องกันของ รุกกี้เดวิมอนจึงถูกตั้งไว้ที่หนึ่งร้อยหน่วย และมีพลังเวทมนตร์อีกหนึ่งร้อยหน่วย ทว่าไม่มีท่าไม้ตาย แต่ถึงอย่างนั้น ความเร็วในการบินของมันก็มีโบนัสพิเศษซึ่งมาพร้อมกับสกิลพิเศษของวิญญาณรับใช้ [ติดตาม]
โดยพื้นฐานแล้ว วิญญาณรับใช้ส่วนใหญ่สามารถใช้สกิลนี้ได้ พวกมันเก่งในการรับส่งจดหมาย และสามารถแทนที่นกฮูกหรือนกกาเหว่าได้
ดาร์กคัดลอกข้อมูลอย่างรวดเร็วและเอาหนังสือกลับไปวางที่ชั้นโดยไม่มีปัญหา
จากนั้นเขาก็เจอหนังสือ ‘รวมสปิริต’ ใกล้ ๆ จึงถือเข้าไปในห้องอ่านหนังสือ
หากไม่มีการบ้านของวิชาเวทมนตร์และวิชาปรุงยา เขาจะว่างตั้งแต่ตอนบ่ายนี้จนถึงเวลานอน
นักเรียนใหม่ชอบเดินเล่นรอบโรงเรียนหลังจากทำการบ้านเสร็จ หรือเล่นเกมเล็ก ๆ ในห้องส่วนกลาง
บางคนชอบทำการบ้านหลังจากเล่นสนุกแล้ว
ดาร์กไม่สนใจที่จะไปเยี่ยมชมปราสาทหรือคิดจะพบปะกับผู้คน ดังนั้นห้องสมุดน่าจะเป็นที่ที่ดีที่สุดสำหรับเขา
หลังจากเทถ้วยชาดำพิเศษลงในชุดน้ำชาที่มุมห้องแล้ววางลงบนมุมโต๊ะ ดาร์กก็เปิดหนังสือ ‘รวมสปิริต’ และอ่านมันประหนึ่ง ‘กำลังอ่านนิตยสารบันเทิง’
ลึก ๆ แล้วดาร์กรู้สึกว่าชีวิตที่สงบสุขแบบนี้เหมาะกับเขามากที่สุด
สถาบันเซนต์แมเรียนอันแสนกว้างใหญ่มีเพียงมุมเล็ก ๆ นี้เท่านั้นที่สามารถทำให้เขาสบายใจได้
มันดีมาก
ตัวชี้วัดมหาบาปไม่เพียงจะไม่เพิ่มขึ้น แต่ [โทสะ] และ [เกียจคร้าน] ยังลดลงเล็กน้อยด้วย
บทที่ 9 ดาร์ก เดม่อนบังเอิญเข้าไปในถ้ำปีศาจ!
ศาสตราจารย์วิชาเวทมนตร์พื้นฐาน คือศาสตราจารย์เคเซอร์ นักเล่นแร่แปรธาตุที่มีสายเลือดก็อบลิน!
ในยุคที่เทคโนโลยีเวทมนตร์ค่อย ๆ เข้ามาแทนที่การเล่นแร่แปรธาตุแบบโบราณ สถานะของศาสตราจารย์เคเซอร์ก็ดูอึดอัดเล็กน้อย
ถึงกระนั้น มันก็ไม่ได้ขัดขวางไม่ให้เขามีทักษะเวทมนตร์ที่เทียบเท่ากัน
ในคาบเรียนแรกของเขา ศาสตราจารย์เคเซอร์ไม่ได้กล่าวถึงข้อมูลที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับเวทมนตร์ แต่แนะนำข้อเท็จจริงพื้นฐานบางประการเกี่ยวกับการ์ดเวทมนตร์ให้กับนักเรียนเท่านั้น
การ์ดเวทมนตร์แบ่งออกเป็นห้าประเภท ได้แก่ การ์ดวิญญาณ การ์ดเวทมนตร์ การ์ดไอเท็ม การ์ดเวทสนาม และการ์ดพลังอาร์คานา
นอกจากนี้ยังมีการ์ดศักดิ์สิทธิ์และการ์ดลี้ลับอีกด้วย!
การ์ดศักดิ์สิทธิ์คือการ์ดที่มี ‘พลังศักดิ์สิทธิ์’
ส่วนการ์ดลี้ลับหมายถึง ‘การ์ดเร้นลับ’!
ศาสตราจารย์เคเซอร์พูดถึงการ์ดวิญญาณเป็นหลักในคาบเรียนนี้
การ์ดวิญญาณเป็นประเภทหนึ่งของการ์ดเวทมนตร์ที่สามารถอัญเชิญสปิริตได้!
การ์ดวิญญาณส่วนใหญ่มีข้อมูลเจ็ดชุด
หนึ่งคือ ‘ชื่อจริง’ เป็นชื่อเฉพาะเมื่อมีการเรียกชื่อจริงเท่านั้นถึงจะสามารถอัญเชิญสปิริตได้
สองคือ ‘เลเวล’ โดยเลเวลของวิญญาณจะถูกแสดงด้วยจำนวนดวงดาว การอัญเชิญแบบปกติสามารถอัญเชิญสปิริตที่มีหนึ่งถึงสี่ดาวเท่านั้น ส่วนสปิริตที่มีจำนวนดาวมากกว่านั้นจำเป็นต้องใช้การอัญเชิญแบบพิเศษ
สามคือ ‘เผ่า’ การ์ดวิญญาณมีทั้งหมดสิบห้าเผ่าพันธุ์ เผ่ามนุษย์ เผ่าอมนุษย์ เผ่ามังกร เผ่านางฟ้า เผ่าปีศาจ เผ่าอันเดด เผ่าธาตุ เผ่าภูต เผ่าจักรกล เผ่าแมลง เผ่าสัตว์เลื้อยคลาน เผ่านกและสัตว์ เผ่าพืช เผ่าปลา และเผ่าเทพ
สี่คือ ‘คุณสมบัติ’ การ์ดวิญญาณจะมียี่สิบคุณสมบัติ ซึ่งได้แก่ปกติ ไฟ น้ำ ไฟฟ้า หญ้า น้ำแข็ง ต่อสู้ พิษ ดิน บิน พลังจิต แมลง หิน ผี มังกร มืด เหล็ก ภูต แสง และเงา
ห้าคือ ‘พลังเวทมนตร์’ ในที่นี้หมายถึงทั้งค่าพลังชีวิตและพลังงานที่ใช้สำหรับกระบวนท่าพิเศษ เมื่อพลังเวทมนตร์กลับไปเป็นศูนย์ สปิริตจะหายไป และไม่สามารถอัญเชิญได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ จนกว่าพลังเวทจะเต็ม
หกคือ ‘พลังโจมตีและพลังป้องกัน’ โดยความสามารถในการโจมตีและป้องกันของสปิริตสามารถแสดงได้ด้วยค่าตัวเลข
เจ็ดคือ ‘ท่าไม้ตาย’ หรือสกิลวิญญาณ เนื่องจากการปลดปล่อยสกิลจำเป็นต้องใช้พลังเวทมนตร์ การ์ดสีขาวจึงนับว่าไม่มีสกิล การ์ดสีน้ำเงินมีหนึ่งสกิล การ์ดสีม่วงมีสองสกิล และการ์ดสีส้มมีสามสกิล
…
เพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ศาสตราจารย์เคเซอร์จึงหยิบการ์ดวิญญาณออกมาสาธิตให้ดู
ด้านหน้าของนักเรียนใหม่ที่ไร้ซึ่งความกระตือรือร้นมีงูหลามสีขาวที่ปล่อยไอเย็นยะเยือกถูกอัญเชิญออกมา!
งูหลามยักษ์สี่ดาวประเภทสัตว์เลื้อยคลาน มีน้ำค้างเกาะเป็นน้ำแข็ง ทำให้นักเรียนเหล่านี้ตกใจเป็นอย่างมาก!
…
เมื่อจบคาบเรียนเวทมนตร์พื้นฐาน นักเรียนใหม่จึงรีบออกจากห้องเรียนราวกับว่าพวกเขาได้รับอิสรภาพและวิ่งตรงไปที่โรงอาหารกันเป็นกลุ่ม
สำหรับนักเรียนในวัยนี้ คาบวิชาเวทมนตร์พื้นฐานค่อนข้างน่าเบื่อ
แต่ดาร์กตั้งใจฟังมาก!
ก่อนที่คาบเรียนจะจบลง เขาเห็นแจ้งเตือน [โลภะ +1] แล้ว!
แต่ต่อมาเขาพบว่า
สิ่งที่เรียกว่าความโลภนั้นคล้ายกับความรู้สึกในใจ ซึ่งเกินกว่าจะเป็นความปรารถนาธรรมดา!
‘ความปรารถนาที่จะบรรเทาสถานการณ์ปัจจุบัน’ ของเขาถือเป็น [โลภะ]
แม้ว่าเขาจะจงใจทำเป็นไม่ตั้งใจเรียน มันก็ยังใช้ไม่ได้ผล!
เรื่องนี้ได้ล้มล้างความคิดที่จะหย่อนยานเป็นครั้งคราวแต่เดิมของเขาลง
และในคาบเรียนนี้เขาก็ได้รู้เกี่ยวกับบางสิ่งอย่าง
การ์ดเวทมนตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ์ดวิญญาณที่สามารถอัญเชิญสปิริตที่มีหลายเผ่าพันธุ์และคุณสมบัติที่เหนือจินตนาการของเขาออกมาได้!
ในหมู่พวกมัน ประเภทนางฟ้าและเทพเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์
“เผ่าเทพนั้นกล่าวกันว่ามีเฉพาะการ์ดศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น และบนโลกก็มีจำนวนไม่มาก ขณะที่การ์ดเผ่านางฟ้ามีเยอะกว่ามาก หากฉันหาการ์ดวิญญาณประเภทนางฟ้าได้หนึ่งหรือสองใบละก็…”
การยับยั้งพลังของจอมมารด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ไม่ว่าจะเป็นโลกไหนก็ตาม
ดาร์กคิดว่าเขาอาจพบหนทางแล้ว
แต่ศาสตราจารย์เคเซอร์บอกพวกเขาอย่างชัดเจนว่าในสถาบันเซนต์แมเรียน ทั้งครูและนักเรียนจะใช้ได้เฉพาะการ์ดเวทมนตร์ที่พวกเขาทำขึ้นเองเท่านั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้าเขาต้องการชำระตัวเองด้วยการ์ดวิญญาณประเภทนางฟ้า เขาก็ทำได้เพียงแค่ต้องสร้างมันขึ้นมาเองเท่านั้น
จะยากเกินไปแล้ว!
…
ดาร์กเดินไปที่โรงอาหารพร้อมความกังวล ทานอาหารกลางวันที่เรียบง่าย แล้วกลับไปที่ห้องนอนเพื่องีบหลับเติมพลังให้กับคาบเรียนปรุงยาช่วงบ่าย
เพราะไดแอนนามีโรสเป็นเพื่อนแล้ว เธอจึงไม่มายุ่งกับเขาอีก ซึ่งมันทำให้ดาร์กโล่งใจหน่อย
ทว่าหลังจากหลับไปได้เพียงครึ่งชั่วโมง เขาก็รู้สึกหัวใจกระตุกและตื่นขึ้น
เสียงแจ้งเตือนของ [เกียจคร้าน +1] เล็ดลอดออกมาอย่างเงียบ ๆ
“ฮะ!”
[โทสะ +1]
“ฉันจะงีบสักหน่อยไม่ได้เลยเหรอ?”
ดาร์กเหลือบมองนาฬิกาแขวนและอดยิ้มไม่ได้ “ดูเหมือนว่าต่อจากนี้ฉันจะต้องตั้งนาฬิกาปลุกเวลางีบซะแล้ว งีบนานกว่าครึ่งชั่วโมงก็ไม่ได้แถมยังต้องตื่นตอนหกโมงเช้าอีกสินะ?”
ดาร์กเรียกระบบออกมาดูค่าเจ็ดบาป
[อัตตา 93 หน่วย]
[ริษยา 42 หน่วย]
[โทสะ 95 หน่วย]
[เกียจคร้าน 72 หน่วย]
[โลภะ 74 หน่วย]
[ตะกละ 54 หน่วย]
[ราคะ 75 หน่วย]
โดยทั่วไปแล้วทุกค่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะค่า [โทสะ]!
แม้ว่าค่า [โทสะ] จะเพิ่มขึ้นง่ายที่สุดในบรรดาบาปทั้งเจ็ด แต่เมื่อความโกรธสงบลง มันก็จะลดลงเล็กน้อย
แต่ก็ยังมากกว่าค่าเริ่มต้นไปสองหน่วยแล้ว
นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีแน่นอน!
ดาร์กเพียงลุกขึ้น ยัดตำราเรียนวิชาปรุงยาลงในกระเป๋าแล้วเดินไปอ่านหนังสือที่ห้องนั่งเล่นส่วนกลาง
เดิมทีเขาต้องการไปที่ห้องสมุดเพื่อตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับรุกกี้เดวิมอนสำหรับการบ้านคาบวิชาอัญเชิญ
แต่เมื่อคิดว่าเหลือเวลาก่อนคาบเรียนช่วงบ่ายเพียงชั่วโมงเดียว ในที่สุดก็ตัดสินใจรอให้คาบเรียนวิชาปรุงยาจบก่อนแล้วค่อยไปห้องสมุด
บางทีเขาอาจจะต้องไปห้องสมุดเพื่อตรวจสอบการบ้านที่ได้รับมอบหมายจากอาจารย์ในวิชาปรุงยาด้วย
“เดี๋ยวนะ ถ้าฉันหาข้อมูลเป็นเวลานานจนไม่เสร็จสักที แล้วอยากทำต่อให้มันเสร็จเลยหาข้อมูลต่อไป… ค่า [โลภะ] จะเพิ่มขึ้นเยอะเลยมั้ยเนี่ย?” ดาร์กเป็นกังวล
“หวังว่าจะไม่นะ…”
ในใจเขากังวลเล็กน้อย แล้วก็มาถึงคาบเรียนที่สามของวันนี้
ดาร์กทำได้ดีในคาบที่สามเนื่องจากอ่านล่วงหน้ามาพอประมาณ
ศาสตราจารย์ทอมป์สันในคาบเรียนวิชาปรุงยานั้นไม่เหมือน <ศาสตราจารย์วิชาปรุงยาในภาพยนตร์เวทมนตร์เรื่องหนึ่ง> ไม่เพียงยกย่องเขาแต่ยังให้คะแนนอีกด้วย
การสร้างการ์ดเวทมนตร์จำเป็นต้องใช้การปรุงยาเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงต้องมีสมาธิ!
แต่ศาสตราจารย์ทอมป์สันไม่ได้กล่าวถึงประเภทการปรุงยาที่เขาสนใจ ดังนั้นค่า [โลภะ] จึงไม่ได้เพิ่มขึ้น
หลังจากผ่านทั้งสามคาบเรียนไป ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หรือนักเรียน ทุกคนก็เริ่มมองเขาไม่เหมือนเดิม
…
ดาร์กลดการสื่อสารกับเพื่อนร่วมชั้นของเขาให้น้อยที่สุดและไปห้องสมุดหลังเลิกเรียน
บรรณารักษ์ประจำห้องสมุดเป็นผู้หญิงหุ่นจ้ำม่ำร่างเล็กชื่อว่า เบลล่า ทว่าบรรณารักษ์รายวันนั้นเป็นรุ่นพี่ผู้หญิง
เธอมีรูปร่างผอมเพรียว เส้นผมสีอีกาและเรียวขาคู่นั้นก็ทรงเสน่ห์มาก มากเสียจนดาร์กไม่กล้ามองรุ่นพี่สาวคนนี้อีก หลังจากลงทะเบียนเสร็จแล้วเขาก็รีบเข้าไปในห้องสมุด
“เป็นเด็กใหม่ที่น่ารักอะไรอย่างนี้นะ”
แพนดอร่ามองดูเด็กชายตัวน้อย ‘ขี้อาย’ ที่มีหน้าตางดงาม เธอไม่สามารถควบคุมเสียงหัวเราะเบา ๆ ได้หลังจากมองเขาวิ่งหนีไปขณะที่มือก็ปิดปากตัวเองไว้
…
หญิงสาวไม่รู้เลยสักนิดว่าหลังดาร์กไปซ่อนตัวอยู่หลังชั้นหนังสือ เขาจับหน้าอกตัวเองไว้และหอบหายใจ
แจ้งเตือนว่า [ราคะ +1] ทำให้เขาติดป้ายห้องสมุดแห่งนี้ว่าเป็นถ้ำปีศาจในทันที!
…
คล้อยหลังจากดาร์กไม่นาน เอ็มม่า มอร์ติสก็เข้ามาในห้องสมุดด้วย
บทที่ 8 ดาร์ก เดม่อนเชี่ยวชาญในการแบ่งน้ำหนักการเรียนและการพักผ่อน
“ประเภทปีศาจ?”
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์เดินเข้ามาใกล้ดาร์กโดยที่เขาไม่รู้ตัว กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของเอลฟ์ลอยเข้าไปในโพรงจมูกเด็กชาย ทำให้เขารู้สึกกระตือรือร้นในการจะทำบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้เล็กน้อย
ดาร์กสูดหายใจเข้าเล็กน้อยและถามด้วยความสงสัย “ศาสตราจารย์ นี่ยังไม่หมดยุคของปีศาจอีกหรือครับ? ทำไมผมถึงสามารถอัญเชิญวิญญาณรับใช้ประเภทนี้ได้?”
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์อธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า “วิญญาณรับใช้ของการ์ดคัดสรรเป็นเพียงวิญญาณเวทมนตร์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นผลผลิตของการเล่นแร่แปรธาตุที่ซับซ้อน มันเหมือนกับโกเลม ไม่มีชีวิตที่แท้จริง ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่า [ประเภทปีศาจ] เป็นเพียงการจำแนกประเภทของวิญญาณเวทมนตร์เท่านั้น ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นปีศาจจริง ๆ ในฐานะที่เป็นจอมเวท เธอต้องเรียนรู้ที่จะแยกแยะความจริง สำรวจมัน และอย่าสับสนกับรูปลักษณ์ ส่วนทำไมเธอถึงอัญเชิญประเภทปีศาจออกมาได้ นั่นเป็นเพราะพลังเวทมนตร์ ความรู้ และบุคลิกภาพของเธอล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับมัน นอกจากนี้เทคโนโลยีของวิญญาณเวทมนตร์จริง ๆ แล้วยังไม่สมบูรณ์แบบ จึงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังไม่สามารถอธิบายได้”
นักเรียนใหม่ที่อยู่รอบ ๆ ต่างผงกศีรษะอย่างงุ่มง่าม แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าศาสตราจารย์หมายถึงอะไร แต่ก็ยังประทับใจในเรื่องนี้
มีเพียงดาร์กเท่านั้นที่ถามอย่างจริงจังว่า “ศาสตราจารย์ครับ วิญญาณรับใช้ของผมชื่อว่าอะไร?”
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ตอบอย่างด้วยเสียงจริงจัง “นี่จะเป็นการบ้านของเธอ ก่อนเริ่มคาบเรียนอัญเชิญครั้งต่อไป เธอจะต้องอัญเชิญวิญญาณรับใช้ของตัวเองให้สำเร็จ ไปหาประเภท ชื่อ ลักษณะของพวกมันแล้วเขียนรายงานสามร้อยคำส่งให้ฉัน เอาล่ะ ห้าคะแนนสำหรับเดม่อน!”
ขณะที่ศาสตราจารย์ซิลเวอร์พูด เธอก็เดินไปหานักเรียนอีกคน
ดาร์กมองตามแผ่นหลังของอาจารย์ไป นึกสงสัยว่าเธอคงไม่รู้จักชื่อปีศาจประเภทนี้เหมือนกัน
ท้ายที่สุดเจ้านี่ก็คือ <รุกกี้เดวิมอน> !
‘ดูเอล! เซนต์แมเรียน ซูเปอร์ XX อะคาเดมี!’ สมควรถูกเรียกว่าเกมมอนสเตอร์อย่างแท้จริง พวกเขาลอกแม้แต่ <อนิเมะที่มอนสเตอร์อาศัยอยู่ในโลกดิจิทัล> มาด้วย!
แม้ดาร์กจะรู้ดีว่าเกมนี้ลอกเลียนผลงานของคนอื่น แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันจะขนาดนี้
เด็กชายรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
รุกกี้เดวิมอนเหมือนจะสามารถพัฒนาเป็น <แวมเวน่อม> ได้ด้วยใช่ไหมนะ?
สาขาวิวัฒนาการของมอนสเตอร์ใน <อนิเมะที่มอนสเตอร์อาศัยอยู่ในโลกดิจิทัล> นั้นมีมากและซับซ้อนเกินไป เขาจึงจำไม่ได้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม วิญญาณรับใช้ของการ์ดคัดสรรควรเป็นของวิญญาณเวทมนตร์ระดับล่าง หน้าที่หลักของพวกมันคือช่วยเจ้าของส่งข้อความ หรือรับส่งจดหมายแบบ ‘นกฮูก’ ใน <ภาพยนตร์โรงเรียนเวทมนตร์>
ตามข้อมูลจากจอมเวท ระดับสติปัญญาของวิญญาณรับใช้คือ 2.5 ซึ่งต่ำกว่าสัตว์ทั่วไปเล็กน้อยและไม่เป็นอันตราย
ดาร์กจิ้มที่หัวของรุกกี้เดวิมอน และพบว่าการตอบสนองของมันยังคงเฉื่อยชาเล็กน้อย น่าจะเป็นเพราะมันเพิ่งเกิดหรือเปล่า?
ร่างของรุกกี้เดวิมอนนั้นกลมดิก ปีกเหมือนค้างคาวและมีกรงเล็บสามนิ้ว หัวกะโหลกสีขาวประทับอยู่บนหน้าผาก แม้ว่ามันจะน่าเกลียด แต่ดูไปดูมาดาร์กก็คิดว่ามันค่อนข้างน่ารักดี
ที่สำคัญคือมันมีปีกและบินได้ ซึ่งเหมาะกับเป็นวิญญาณรับใช้มาก!
เด็กชายยอมรับอย่างรวดเร็วว่าเขาอัญเชิญได้รุกกี้เดวิมอนออกมา ท้ายที่สุดแล้ววิญญาณรับใช้ของจอมมารก็เป็นปีศาจตัวน้อยไม่ใช่หรือ?
…
จากนั้นดาร์กก็เริ่มมองไปรอบ ๆ
พูดให้ดูดีคือการสังเกตความก้าวหน้าของนักเรียน แต่ความจริงคือการทำตัว ‘ขี้เกียจ’ ในชั้นเรียน!
เขาเรียนมานานกว่าหนึ่งชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว แล้วถ้าอยากพักบ้างจะทำไม่ได้เลยหรือ?
ความคิดค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในจิตใจของดาร์ก
จู่ ๆ เขาก็นึกขึ้นได้!
หากเรียนมากเกินไปจะเป็นการเพิ่มค่า [โลภะ] ดังนั้นเมื่อเขากำลังเรียนอยู่ก็ควรหยุดพักเป็นระยะ ๆ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเรียนและการพักผ่อน นี่เป็นทางออกที่ดีเลยไม่ใช่หรือ?
ดาร์กระงับความรู้สึกของการ ‘ชื่นชมตัวเอง’ อย่างรวดเร็วและไม่ยอมให้มันพัฒนาไปสู่ ‘เย่อหยิ่ง’
บางทีอาจเป็นเพราะเขาเป็นนักเรียนใหม่จึงกระตือรือร้นในการเรียนรู้การอัญเชิญมากกว่าปกติ
ในที่สุดคุณสาวน้อยผู้รู้ทุกเรื่องก็อัญเชิญวิญญาณรับใช้สำเร็จในการทดลองครั้งที่สอง!
…
เมื่อเอ็มม่าอัญเชิญวิญญาณรับใช้ได้สำเร็จ เธอไม่ได้สังเกตว่าเธอมีวิญญาณรับใช้ประเภทใด แต่มองกลับไปที่มุมห้องเรียนโดยไม่รู้ตัว
การแสดงออกในดวงตาของเธอเห็นได้ชัดว่าภาคภูมิใจ และดูเหมือนว่าเธอต้องการจะพูดว่า ‘ดูสิ ฉันก็ทำได้เหมือนกัน!’
อย่างไรก็ตาม ดาร์กแค่เหลือบมองเธอเพียงเล็กน้อย จากนั้นจึงเบือนหน้าหนีไปราวกับว่าเขาไม่สนใจเธอ
เอ็มม่าหันกลับมาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
แต่วิญญาณรับใช้ตัวน้อยที่นั่งยอง ๆ อยู่บนโต๊ะทำให้เธอยิ้มได้อย่างรวดเร็วอีกครั้ง
มันเป็นนากตัวเล็กที่มีขนสีขาว
ไม่ว่าจะเป็นตาที่โต ขาที่สั้น หรือท่าทางขยี้หน้าขณะส่งเสียงอย่างขี้อาย ทุกท่วงท่าล้วนกระตุ้นความมันเขี้ยวของเด็กหญิงตัวน้อยด้วยความน่ารัก
…
“เป็นนากสินะ”
ดาร์กคาดเอาไว้แล้ว
นากเป็นสัตว์ที่กระตือรือร้น ตื่นตัว และขี้สงสัย เป็นผู้พิทักษ์ของคุณสาวน้อยผู้รู้ทุกเรื่องในเกมต้นฉบับ
แน่นอน เธอมักจะเรียกมันออกมา
“ดังนั้นวิญญาณรับใช้ของโรเบิร์ตก็น่าจะเป็นสุนัขล่าเนื้อ และวิญญาณรับใช้ของเวอร์เธอร์ก็คือกวาง”
ดาร์กเหลือบมองไปตรงนั้น แต่กลับพบว่าโรเบิร์ตและเวอร์เธอร์กำลังเกาหัวกันอยู่ เห็นได้ชัดว่าความคืบหน้าของพวกเขาไม่เป็นไปด้วยดี
อันที่จริง นักเรียนใหม่ของบ้านขุนนางมักจะอัญเชิญวิญญาณรับใช้ได้เร็วกว่าพวกบ้านอัศวินอยู่แล้ว
นี่เป็นข้อได้เปรียบของการศึกษาก่อนเข้าเรียน
“ว้าว!”
เสียงร้องด้วยความประหลาดใจดึงดูดความสนใจของดาร์ก
เขาพบว่าไดแอนนาก็ประสบความสำเร็จในการอัญเชิญวิญญาณรับใช้ก่อนที่ชั้นเรียนจะจบลงเช่นกัน!
มันเป็นหมีแพนด้าที่มีหัวกลม!
แพนด้าตัวเท่าตุ๊กตานอนอยู่บนโต๊ะ ดวงตาของมันยังคงดูสับสน ท่าทางคล้ายโง่เขลาและน่ารักในเวลาเดียวกัน
“มันเป็นวิญญาณรับใช้ที่เหมาะกับเธอจริง ๆ…”
ดาร์กอดกุมหน้าของเขาไม่ได้
ลูกสาวของตระกูลเกรทเบย์เยอร์ หมีที่สง่างามแห่งราชอาณาจักร ดันอัญเชิญสัตว์โง่เง่าเช่นนี้ออกมาได้
กะ…ก็คงได้แหละ
แพนด้าก็ยังเป็นหมีอยู่ดี
เห็นได้ชัดว่าไดแอนนาพอใจกับวิญญาณรับใช้ของเธอมาก และถึงกับวางมันไว้บนหัวตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งถูกสายตาของศาสตราจารย์ซิลเวอร์จ้องมองถึงหยุดทำ
โรสเป็นคนเดียวที่อัญเชิญวิญญาณรับใช้ออกมาไม่ได้ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล
…
คาบที่สองในตอนเช้าคือ เวทมนตร์พื้นฐาน
ถ้าการอัญเชิญเป็น ‘วิธีการใช้การ์ดเวทมนตร์’
แล้วทฤษฎีคู่มือเวทมนตร์คือ ‘ทฤษฎีพื้นฐานของการสร้างการ์ดเวทมนตร์’
คาบเรียนการประลองก็คือ ‘คาบเรียนการต่อสู้ภาคสนาม!’
นักเรียนได้รับคำสั่งไม่ให้อัญเชิญวิญญาณรับใช้ในทางเดินของโรงเรียน แต่ก็ยังมีคนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎและวิ่งไปทั่วโดยอุ้มวิญญาณรับใช้ไว้
ดาร์กไม่สนใจคนเหล่านั้น แต่ตรงไปยังห้องเรียนเวทมนตร์พื้นฐานก่อน
ช่วงพักระหว่างคาบเรียนเต็มครึ่งชั่วโมง คนเกียจคร้านมักหาอะไรทำฆ่าเวลา ทว่าคนขยันจะเริ่มเตรียมตัวก่อนเข้าเรียน
เพื่อไม่ให้ถูกหาว่า [เกียจคร้าน] ดาร์กจึงหยิบตำราเรียน ‘คู่มือทฤษฎีเวทมนตร์เบื้องต้น 1’ ออกมาเปิดผ่าน ๆ อย่างไม่ให้จริงจังเกินไป
ดังนั้นเมื่อเอ็มม่า มอร์ติสรีบเข้ามาในห้องเรียน เธอก็เห็นคนที่นั่งแถวสุดท้ายของริมหน้าต่างกำลังร่ำเรียนอย่างหนักหน่วงและจริงจัง
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนในบ้านขุนนางจะทำจริง ๆ
โดยทั่วไปแล้วคนแบบนี้ควรไปอยู่บ้านนักปราชญ์!
เอ็มม่าพึมพำคำที่คล้ายกันแล้วหาที่นั่งในแถวแรก เธอหยิบตำราเรียนออกมาอ่านล่วงหน้าก่อนเรียนเช่นกัน
ดาร์กเหลือบมองเด็กผู้หญิงที่อยู่ทางขวาของแถวหน้าแล้วนึกสงสัยว่ามีการ์ดเวทมนตร์ที่สามารถบรรเทาสถานการณ์ปัจจุบันของเขาได้หรือไม่?
มันคงจะดีถ้ามีการ์ดที่สามารถขจัดเลือดของจอมมารออกไปได้ แต่ถ้าไม่มีการ์ดแบบนั้น ขอแค่เป็นการ์ดที่สามารถซึมซับอารมณ์ด้านลบ หรือทำให้จิตใจของผู้คนสงบลงก็ไม่เลวเช่นกัน
บทที่ 7 มีบางอย่างผิดปกติกับวิญญาณรับใช้ของดาร์ก เดม่อน
ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนใหม่จากบ้านขุนนาง หรือนักเรียนใหม่จากบ้านอัศวิน ทุกคนในห้องต่างอดไม่ได้ที่จะหันไปพูดคุยกันทันทีที่พวกเขาได้ยินคำว่า ‘ถ้วยต้องประสงค์’ ออกมาจากปากของศาสตราจารย์ซิลเวอร์
โรเบิร์ตดูเหมือนจะไม่รู้ตัวถึงความยุ่งยากที่เขาก่อขึ้นก่อนหน้านี้ เขายังเป็นนักเรียนใหม่ที่มีเสียงดังที่สุดของบ้านอัศวินและตะโกนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นจนคอเปลี่ยนเป็นสีแดง
“นี่เวอร์เธอร์! นายได้ยินที่ศาสตราจารย์พูดไหม ตราบใดที่เราได้ถ้วยต้องประสงค์ ทุกคนจากบ้านอัศวินจะสามารถขอพรได้!”
“อย่าเพิ่งตื่นเต้นไปเลยโรเบิร์ต ศาสตราจารย์เพียงแค่บอกว่าเราจะมีโอกาสขอพร แต่ไม่ได้บอกว่ามันจะทำให้ความปรารถนานั้นเป็นจริงได้เสียหน่อย”
แม้ว่าเวอร์เธอร์จะตื่นเต้นมาก ทว่าเขายังคงรักษาจิตใจไว้ได้อย่างมั่นคงซึ่งตรงกันข้ามกับโรเบิร์ต
อีกด้านหนึ่งของห้อง เสียงของไดแอนนานั้นดังที่สุดในบรรดานักเรียนจากบ้านขุนนาง เธอตะโกนใส่โรสอย่างตื่นเต้น แต่ก็เห็นได้ชัดว่ายังไม่พอใจขณะที่เธอกระโจนไปยังที่นั่งของดาร์กและตะเบ็งเสียงดัง “ถ้าเราได้ถ้วยต้องประสงค์มา ฉันอยากจะขอผนังช็อกโกแลต โคมไฟแคนดี้ เตียงท็อปเค้กนุ่ม ๆ พรมเค้กน้ำตาล และบ้านขนมไก่ทอดพุดดิ้ง!”
เมื่อได้ยินไดแอนนาอธิบายลักษณะของบ้านขนมที่เธอต้องการอย่างกระตือรือร้น ดาร์กก็เกือบจะถูกครอบงำจากอารมณ์ร่าเริงสุดเหวี่ยงของเด็กหญิง
เมื่อสังเกตว่าแจ้งเตือน [โลภะ +1] ของเขายังไม่ปรากฏขึ้นมา ดาร์กก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นเขาก็ยิ้มให้ไดแอนนาและเตือนเธอว่า “ไดแอนนา ผู้ที่โลภจะไม่ได้รับอะไรเลยนะ”
หากถ้วยต้องประสงค์สามารถเติมเต็มความปรารถนาใด ๆ ได้จริง ๆ ไม่มีทางที่สิ่งของที่มีพลังอำนาจเช่นนั้นจะถูกใช้เป็นรางวัลสำหรับนักเรียนของสถาบันเซนต์แมเรียน
เมื่อพิจารณาจากคำจารึกที่เขียนบนถ้วยต้องประสงค์ ความปรารถนาส่วนใหญ่ที่บรรลุผลคงมีเฉพาะเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
‘ไม่อย่างนั้น ฉันคงขอให้เอา ‘เลือดของจอมมาร’ ที่ไหลเวียนอยู่ภายในตัวกับระบบโง่ ๆ นี่ออกไปจากร่างด้วย!’
…
คราวนี้ ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ไม่ได้ใช้การ์ด [เงียบสงัด] แต่รอให้ทุกคนลดเสียงลงก่อนจะพูดว่า “นอกจากการตัดสินผู้ชนะของถ้วยบ้านแล้ว คะแนนยังเป็นสกุลเงินของสถาบันเซนต์แมเรียนด้วย ส่วนการใช้คะแนนเหล่านี้ เธอสามารถไปที่ถนนนักเดินทางเพื่อซื้ออะไรก็ได้ตามที่เธอต้องการ แล้วยังสามารถใช้มันเป็นวิธีในการแลกเปลี่ยนกับครูหรือนักเรียนจากสถาบันเซนต์แมเรียนได้ แน่นอนว่าทุกธุรกรรมจะถูกบันทึกไว้ด้วยการ์ดคัดสรร สถาบันจะยอมรับการทำธุรกรรมที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น เพื่อให้เข้าใจชัดเจน ทุกคนในที่นี้ ใครรู้วิธีได้รับคะแนนบ้าง?”
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์วางมือบนโต๊ะขณะกวาดสายตาไปทั่วห้องด้วยใบหน้าแสนจริงจัง
ในฐานะลูกครึ่งเอลฟ์แล้ว ศาสตราจารย์ซิลเวอร์จึงได้สืบทอดความงามอันเกินจริงและอายุขัยที่ยืนยาวของเอลฟ์มา
แม้ว่าท่าทีจะดูจริงจังอยู่เสมอ แต่ในตอนที่อยู่คนเดียวเธอก็ยังมีความอ่อนแอให้เห็นอยู่
และเพราะอย่างนั้นมันจึงกลายมาเป็นจุดขายของเธอ
ใน ‘ดูเอล! เซนต์แมเรียน ซูเปอร์ XX อะคาเดมี!’ ศาสตราจารย์ซิลเวอร์เป็นอาจารย์ที่โด่งดังที่สุดในหมู่ผู้เล่น และแน่นอนว่าเธอเป็นตัวละครที่จีบได้ด้วย
ถ้าเธอไม่ได้สร้างความประทับใจแรกด้วยภาพลักษณ์ที่จริงจังและเข้มงวดซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เสน่ห์และความน่าชื่นชอบของเธอลดลงเช่นนี้ ‘พลังอันยิ่งใหญ่’ ของดาร์กอาจระเบิดอีกครั้ง
และถ้ามันเกิดขึ้นจริง ก็ไม่สำคัญแล้วว่าตอนนั้นเขาจะเข้าชั้นเรียนของเธอได้หรือไม่ แต่ถามว่าตายแล้วหรือยังจะดีกว่า
เมื่อได้ยินคำถามของศาสตราจารย์ซิลเวอร์ นักเรียนจากทั้งสองบ้านก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นเหมือนกับดาร์ก คือไม่สนใจกฎของสถาบันมากนัก
หลังจากนั้นไม่นาน นักเรียนหญิงคนหนึ่งก็ยกมือขึ้น
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์หันไปทางนักเรียนและเรียกชื่อเธอโดยตรงว่า “เอ็มม่า มอร์ติส เชิญเธอตอบได้”
เอ็มม่า มอร์ติสเป็นเด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลที่มีใบหน้าเกลี้ยงกลมเหมือนเด็ก เธอดูเติบโตช้ากว่าคนรอบข้างแต่อย่างน้อยก็ยังสูงกว่าไดแอนนา
เด็กหญิงรู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อยืนขึ้นจนเผลอกัดลิ้นตัวเอง หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ตอบเรียบ ๆ ว่า “มีหลายวิธีที่จะได้รับคะแนนค่ะ วิธีที่ง่ายที่สุด คือการตั้งใจเรียน ซึ่งในแต่ละคาบคุณจะได้รับสิบคะแนน การตอบคำถามของอาจารย์ถูกต้องก็สามารถทำให้ได้รับคะแนนพิเศษอีกด้วย นอกจากนี้ ผลการสอบปลายภาคยังสามารถแปลงเป็นคะแนนได้… และ เอ่อ… ใช่แล้ว ยังได้โดยการเข้าร่วมในการประลองเวทมนตร์ด้วยค่ะ!”
“ดีมาก มอร์ติส ฉันให้เธอห้าคะแนน”
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ปรบมือและบอกให้เอ็มม่านั่งลง “แน่นอนว่าถ้าพวกเธอตอบคำถามของอาจารย์ถูกต้องก็จะได้คะแนนพิเศษไป แต่ถ้าพวกเธอคนไหนประพฤติตัวไม่ดีในชั้นเรียน อาจารย์ก็มีสิทธิ์ที่จะหักคะแนนบางส่วนด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีการประลองเวทมนตร์ในสถาบันเซนต์แมเรียนที่ถือว่ามีความสำคัญมาก ตรงนี้ทุกบ้านที่เข้าร่วมจะได้รับคะแนนจำนวนมหาศาล ส่วนวิธีการเข้าร่วมนั้น ศาสตราจารย์ที่ดูแลการประลองจะเป็นคนบอกเธอเอง เอาล่ะ ตอนนี้มาเริ่มคาบเรียนของเราอย่างเป็นทางการกันเถอะ เปิดตำราคู่มือการอัญเชิญเบื้องต้นของพวกเธอซะ”
…
“คุณสาวน้อยผู้รู้ทุกเรื่องงั้นเหรอ?”
ดาร์กเหลือบมองแผ่นหลังของเอ็มม่าอีกครั้ง แล้วก็นึกได้ว่าเธอน่าจะเป็นนางเอกคนสุดท้ายในกลุ่มฮาเร็มของตัวเอก
แต่เพราะเส้นผมสีน้ำตาลนุ่มฟูของเอ็มม่า และใบหน้าที่เหมือนเด็กนั้นไม่ได้ทำให้ดาร์กรู้สึกสนใจ
อีกอย่างเขาไม่อยากติดต่อกับสมาชิกฮาเร็มเท่าไหร่ แต่ก็ก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องหลีกเลี่ยงพวกเขาโดยเจตนา
โดยเฉพาะกับความจริงที่ว่าเขาไม่ถูกความเป็นนางเอกดึงดูดให้เข้าหาเลย
หลังจากนั้น ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ก็เริ่มสอนเกี่ยวกับเทคนิคการอัญเชิญขั้นพื้นฐานที่สุด
การอัญเชิญเป็นสิ่งที่สร้างจากการ์ดเวทมนตร์ ซึ่งสามารถอัญเชิญสิ่งต่าง ๆ ที่ถูกผนึกอยู่ภายในการ์ดออกมาได้ ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณ ไอเทม ยาพิษหรือยารักษาและอื่น ๆ
และว่ากันว่ายังมีเทคนิคการอัญเชิญอีกมากมาย เช่น การอัญเชิญด้วยวิธีบูชายัญ การอัญเชิญด้วยวิธีการหลอมรวม การอัญเชิญด้วยพิธีกรรม และการอัญเชิญแบบย้อนกลับ
การ์ดเวทมนตร์บางใบถึงกับมีคาถาอัญเชิญแบบพิเศษด้วย!
ความชำนาญของเทคนิคอัญเชิญจะกำหนดจากจำนวนการ์ดเวทมนตร์ที่จอมเวทสามารถใช้พร้อมกันได้
พูดง่าย ๆ ก็คือถ้าคุณต้องใช้ห้าวินาทีในการร่ายคาถาอัญเชิญ ส่วนคู่ต่อสู้ของคุณใช้เวลาแค่เพียงสามวินาที เขาก็จะโจมตีได้เร็วกว่าคุณได้สองวินาที
และถ้าถึงเวลาคูลดาวน์ คาถาอัญเชิญของคุณจะใช้เวลานานถึงสามสิบวินาที นั่นหมายความว่าคุณไม่มีโอกาสใช้การ์ดเวทมนตร์ใบที่สามภายในเวลาหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ
เช่นเดียวกับที่โรมัน ฟอมีน็อค ปรมาจารย์จอมเวทชื่อดังเคยกล่าวไว้ว่า ‘การอัญเชิญสามารถกำหนดขีดจำกัดสูงสุดและต่ำสุดของคู่ต่อสู้ได้’
แบบฝึกหัดที่นักเรียนต้องทำในบทเรียนนี้ คือใช้เทคนิคการอัญเชิญเรียกวิญญาณรับใช้ซึ่งถูกผนึกไว้ในการ์ดคัดสรรออกมา
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการอธิบายเกี่ยวกับระเบียบข้อบังคับของสถาบัน อีกครึ่งชั่วโมงสอนทฤษฎีเบื้องต้นของการอัญเชิญ และอีกครึ่งที่เหลือก็ให้นักเรียนได้ลองปฏิบัติ
หลังจากที่ดาร์กแน่ใจแล้วว่าค่า [โลภะ] ไม่ได้เพิ่มขึ้น เขาก็พยายามใช้เทคนิคการอัญเชิญโดยทำตามขั้นตอนที่เขียนไว้ในตำราเรียน
เป็นเพราะในห้องเล่นตอนเช้า ดาร์กจึงได้เตรียมตัวมาก่อนแล้ว ตอนนี้ความก้าวหน้าจึงเร็วกว่านักเรียนใหม่ส่วนใหญ่
อีกอย่างการ์ดคัดสรรยังเป็นไอเทมสำหรับผู้เริ่มต้น การตั้งค่าเปิดใช้งานการอัญเชิญจึงง่ายกว่าการ์ดเวทมนตร์ทั่วไป
แล้วก็บึ้ม! ดาร์กอัญเชิญวิญญาณรับใช้ซึ่งถูกผนึกไว้ในการ์ดคัดสรรสำเร็จตอนเวลาเก้าโมงครึ่ง!
การ์ดคัดสรรเป็นการ์ดเวทมนตร์ชนิดหนึ่งซึ่งพิเศษมาก มันมีฟังก์ชันในตัวที่ทรงพลังค่อนข้างมาก
เพราะตัวนักเรียนจะเป็นคนที่ทำขั้นตอนสุดท้ายของการผลิตการ์ดคัดสรรได้สำเร็จ วิญญาณรับใช้ที่แต่ละคนอัญเชิญออกมาจึงแตกต่างกัน
“ในนามของดาร์ก เดม่อน ขออัญเชิญวิญญาณรับใช้!”
การใช้การ์ดคัดสรรเพื่ออัญเชิญช่วยลดความยากได้อย่างมาก เนื่องจากฟังก์ชันคาถาอัญเชิญพิเศษของการ์ด
ขณะที่ดาร์กร่ายคาถาอย่างถูกต้อง พลังเวทมนตร์ในร่างกายก็ถูกถ่ายเทลงไปในการ์ดคัดสรรผ่านปลายนิ้วของเขา
ฉับพลัน การ์ดคัดสรรส่องแสงจ้าขึ้นมาดึงดูดความสนใจของนักเรียนทุกคนในห้อง
เอ็มม่าซึ่งดูเนื้อหาเรียนล่วงหน้ามาก่อนแล้วแต่ก็ยังคงล้มเหลว แม้เธอจะพยายามอัญเชิญครั้งแล้วครั้งแล้วก็ยังอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง
หลังแสงสีขาวส่องประกายสงบลง เธอก็มองเห็นใบหน้าที่หล่อเหลาและแววตาที่สงบของดาร์ก เมื่อเห็นภาพนั้นไปเด็กสาวก็อดทอดถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เพราะมันสร้างความประทับใจให้กับเธอได้อย่างลึกซึ้ง
เอ็มม่ากัดฟันเลิกมองดาร์ก เพราะไม่อยากเห็นสิ่งที่เขาอัญเชิญ เธอพลิกดูตำราอย่างรวดเร็ว ค้นหาจุดที่อาจพลาดไปก่อนจะลองอัญเชิญอีกครั้ง
นิสัยชอบแข่งขันของเธอถูกเปิดเผยออกมาอย่างสมบูรณ์
…
ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เอ็มม่าคิด ดาร์กกำลังมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก
เขาทันสังเกตเห็นว่าพลังเวทมนตร์ที่ถูกถ่ายเทลงในการ์ดคัดสรรนั้นพุ่งเร็วและเร็วขึ้นราวกับว่ามันกำลังดูดซับพลังเวทมนตร์ทั้งหมดของเขา!
พลังเวทมนตร์ที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการตื่นของสายเลือดจอมมารนั้นใกล้จะหมดแล้ว
และในขณะเดียวกันวงแหวนเวทมนตร์รูปหกเหลี่ยมก็ปรากฏขึ้นบนการ์ดคัดสรร!
“นี่มัน…!”
เมื่อเห็นวิญญาณรับใช้ที่เขาอัญเชิญผ่านการ์ดคัดสรรมาได้ ดาร์กก็รู้สึกว่าปัญหาใหญ่ของเขาเพิ่งเริ่มขึ้น
สิ่งที่ปรากฏออกมานั้นเป็นปีศาจตัวน้อยที่มีลักษณะเหมือนค้างคาว
อีกทั้งยังไม่ใช่ปีศาจตัวน้อยธรรมดาเสียด้วย!
บทที่ 6 ดาร์ก เดม่อนจะไม่ยอมแพ้ต่อความกระหายรู้
อุณหภูมิในเดือนกันยายนเริ่มเย็นลง เช้าตรู่ของสถาบันเซนต์แมเรียนมีลมหนาวพัดผ่านมาและแช่ทุกสรรพสิ่งอย่างสวยงามราวกับปฐพีไร้ใจ
หนาวจนสั่น!
ดาร์กไม่เคยคิดมาก่อนว่าการอยากรู้อะไรสักอย่างจะถูกเรียกว่า ‘โลภ’ ได้!
สายเลือดจอมมารนี่อยากถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้จนเริ่มทำตัวไร้ยางอายเลยหรือ?
‘แล้วตอนนี้ควรทำยังไงต่อดี?’
‘ฉันควรอ่านต่อไปไหม?’
‘ฉันควรเข้าเรียนหรือเปล่า?’
ระหว่างความเกียจคร้านกับความเพียร
และระหว่างการแสวงหาความรู้กับความโลภ
‘ฉันต้องรักษาสมดุลยังไง?’
‘ฉันเรียนหนักเกินไปเหรอ?’
‘หรือเป็นเพราะอ่านหนังสือนานเกินไปหรือเปล่า?’
ดาร์กมองขึ้นไปที่นาฬิกานกกาเหว่าเหนือเตาผิง และเห็นว่ามันเป็นเวลาเจ็ดโมงยี่สิบนาทีแล้ว
‘อ่านหนังสือใช้เวลาประมาณหกสิบห้านาที แต่มีสมาธิอ่านจริง ๆ ห้าสิบนาที ขอแค่มีเวลาอ่านเยอะ ๆ ฉันก็จะสามารถค่อย ๆ เพิ่มความรู้ให้มากขึ้นได้’
“การอยากรู้ให้มากขึ้นก็ยังนับเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งอยู่ดี แต่ถ้ามันมากไปสุดท้ายก็จะกลายเป็นความโลภแทน”
“แต่ก็ยังยากเกินที่คนธรรมดาจะไปถึงระดับนั้นอยู่ดี”
ดาร์กตระหนักเกี่ยวกับตนเองในเรื่องนี้ เขารู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนประเภทที่กระหายความรู้ขนาดนั้น
หลังจากที่เลือดของจอมมารเข้าสู่ขั้นปลุกให้ตื่นขึ้นแล้ว เกณฑ์ของการกระตุ้นตัวชี้วัดบาปก็ลดลงมาก!
สมมติว่าคนอื่นมีความอยากหรือต้องการ ระดับ 10 ถึงจะเรียกว่าโลภได้
แต่ของเขาแค่ระดับ 7, 8 หรือ 9 นั้นก็ถือว่าโลภแล้ว!
เพราะงั้นไม่ใช่ว่าดาร์กไม่สามารถเรียนรู้ได้
แต่เขาไม่สามารถเรียนรู้มากเกินไปได้!
การเข้าชั้นเรียนและทำการบ้านตามปกติควรจะอยู่ในช่วงของความเพียร
การเรียนแบบมีกระตือรือร้นและการเรียนรู้แบบค่อยเป็นค่อยไปนั้นแตกต่างกันอย่างแน่นอน
สำหรับเรื่องนี้ เขาจำเป็นต้องทดลองเล็ก ๆ น้อย ๆ สักสองสามอย่างก่อน
ดาร์กสูดหายใจเข้าลึก ๆ ตัวชี้วัดของความโลภคือ 73 หน่วย มันยังมีพื้นที่มากพอสำหรับการลองผิดลองถูกอยู่
คนโง่จะเลือกถอยกลับในเวลานี้
แต่คนฉลาดจะพยายามหาวิธีที่เหมาะสม
[อัตตา +1]
(゚⊿゚)ツ
ดาร์กปิดตำราเรียนลง เวลานี้ผู้คนมารวมตัวกันอยู่ในห้องนั่งเล่นส่วนกลางแล้ว แต่เพราะเขาจมอยู่กับเนื้อหามากมายในตำราจนไม่ทันสังเกต
หลังจากอ่านจบแล้ว ดาร์กก็สะพายกระเป๋าเดินออกจากหอคอยไปเพียงลำพัง เขาข้ามสะพาน และเข้าไปในปราสาท
ภายในปราสาทของสถาบันนั้นซับซ้อน แต่การ์ดคัดสรรได้แสดงผังทางเดินให้เขาเห็น
อาหารในโรงอาหารของสถาบันนั้นอุดมสมบูรณ์และหลากหลาย ไม่เหมือนกับงานเลี้ยงต้อนรับเมื่อคืนนี้ซึ่งแทบไม่มีอาหารมังสวิรัติเลย
ดาร์กเลือกอาหารง่าย ๆ สองสามอย่างและทานอาหารเช้าอย่างมีมารยาท
จากนั้นเขาก็ทำตามคำแนะนำของการ์ดคัดสรรและหาห้องเรียนสำหรับชั้นปีที่หนึ่ง
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบแปดโมงเช้าและนักเรียนใหม่ทั้งหมดก็มาถึงเกือบครบแล้ว
ห้องเรียนอัญเชิญมีขนาดใหญ่มาก เป็นอัฒจันทร์ที่สามารถรองรับได้สองชั้นเรียน
นักเรียนปีหนึ่งของบ้านขุนนาง ดูเหมือนจะได้เรียนกับปีหนึ่งของบ้านอัศวินสินะ?
ดาร์กเดินมาที่แถวสุดท้ายตรงมุมห้องของกำแพงทางด้านซ้ายอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะเก็บกระเป๋านักเรียนของเขาไว้ในลิ้นชัก
“เฮ้!”
เพิ่งจะนั่งลง ไดแอนนาซึ่งดูเหมือนจะสังเกตเห็นเขาก็เดินเข้ามาหาอย่างไร้ยางอาย
ดาร์กเหลือบมองใบหน้าที่อ่อนนุ่มของเธอ และระงับความอยากบีบมันอย่างรวดเร็ว
‘โชคดีที่จิตใจของฉันเร็วกว่ามือ!’
ดาร์กกดนิ้วของเขาและชี้ไปที่แถวหน้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ไดแอนนากำลังจะนั่งลงข้าง ๆ เขาเห็นแบบนั้น เธอจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า “ดาร์กต้องการให้ฉันไปนั่งกับเธอเหรอ?”
ดาร์กยังไม่พูดอะไร
แต่ไดแอนนาพูดอย่างมีความสุขว่า “เด็กคนนั้นดูไม่ร่าเริงเลย ไดแอนนาจะไปช่วยเธอเดี๋ยวนี้!”
ดาร์กยังคงไม่พูดอะไรอยู่ดี
ไดแอนนาวิ่งไปที่แถวหน้าและเล่นกับหญิงสาวที่ดูขี้อายเล็กน้อยคนนั้น
[ริษยา +1]
“…”
ดาร์กเงียบ
…
โรส รอธร็อครู้สึกสับสนเล็กน้อยเมื่อเธอต้องรับมือกับไดแอนนาผู้ที่ดูจะกระตือรือร้นมากเกินไป
เด็กหญิงซึ่งเพิ่งฉลองวันเกิดของเธอไปเมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว และยังไม่เคยก้าวออกจากปราสาทก่อนที่จะมายังสถาบันเซนต์แมเรียน
พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตด้วยน้ำมือของกองทัพจอมมาร จากนั้นเธอก็อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าสี่ปี เมื่ออายุได้ห้าขวบ เธอก็ถูกไวเคานต์ซึ่งเป็นลุงของเธอพากลับบ้าน
ไวเคานต์รอธร็อคและภรรยาของเขาแต่งงานกันมาสิบปีแต่ยังไม่มีทายาท เดิมทีไวเคานต์ต้องการเลี้ยงเธอเป็นบุตรสาว แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าภรรยาของตัวเองจะตั้งครรภ์ขึ้นหลังจากที่โรสเข้ามาในปราสาทได้แค่หกเดือน!
เพราะอย่างนั้น โรสที่มีความสุขกับการเลี้ยงดูแบบ ‘เจ้าหญิงน้อย’ ได้เพียงครึ่งปีก็กลายเป็นภาระที่ไม่มีใครรัก
ไวเคานต์ไม่สามารถพาเธอกลับไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าได้ ดังนั้นพวกเขาจึงปล่อยให้สาวใช้ในปราสาทดูแลแทน
โรสยังคงได้รับอาหารสามมื้อต่อวันและตำราเรียนก่อนวัยเข้าศึกษา นอกจากนี้ เธอยังได้รับการสอนมารยาทของชนชั้นสูงอีกด้วย แต่ว่านอกเหนือจากนั้น เธอก็ไม่ได้รับอะไรอีกเลย
เด็กหญิงถูกคุมขังอยู่ในห้องของปราสาท บางครั้งก็เห็นคู่สามีภรรยาไวเคานต์เล่นกับลูกพี่ลูกน้องที่กำลังเติบโตของเธออยู่ในสวนผ่านบานหน้าต่าง ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกเศร้าใจไม่น้อย
บุคลิกของเธอได้รับผลกระทบอย่างมากจากสภาพแวดล้อมของครอบครัว เธอค่อย ๆ กลายเป็นเด็กเก็บตัวและชอบเพ้อฝัน อีกทั้งยังขี้อายและกลัวที่จะยื่นมือออกไป
ไดแอนนาที่ปรากฏตัวต่อหน้าเธอในเวลานี้เปรียบเหมือนแสงที่ส่องเข้ามาในหัวใจดวงน้อย ๆ ของเธอ
โรสค่อย ๆ ถูกไดแอนนาพิชิตใจ และเด็กหญิงทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนซี้กันในไม่ช้า
…
มิตรภาพในวัยเด็กนั้นเรียบง่ายและมีค่า มันเป็นเรื่องยากที่จะได้รับมันเมื่อเติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่
ดาร์กซึ่งมีส่วนทำให้เกิดความสัมพันธ์ทั้งหมดนี้โดยไม่ได้ตั้งใจก็มีความสุขเช่นกันที่ได้เห็น
“ไดแอนนามีเพื่อนใหม่แล้ว เธอก็ไม่น่าจะกวนฉันอีก”
เขาเอียงศีรษะเล็กน้อยแล้วปล่อยให้ลมพัดกระทบแก้ม จากนั้นก็มองออกไปนอกหน้าต่างตามทิศทางที่ลมพัดมา
ดอกลิลลี่อันเป็นสัญลักษณ์ของสถาบันเซนต์แมเรียนกำลังเบ่งบานในความหนาวเย็น
…
ศาสตราจารย์ซาราห์ ซิลเวอร์ ครูสอนวิชาอัญเชิญประจำชั้นปีหนึ่งเดินเข้ามาในห้องเรียนภายในหนึ่งวินาทีก่อนระฆังของชั้นเรียนจะดังขึ้น
ห้องเรียนซึ่งเสียงดังเป็นพิเศษเนื่องจากนักเรียนใหม่ที่อยากรู้อยากเห็นพลันกลายเป็นเงียบสงัดไปในพริบตา
ไม่ใช่เพราะนักเรียนใหม่เงียบเอง แต่เพราะเมื่อศาสตราจารย์ซิลเวอร์เข้ามา สายลมแห่งความเงียบงันก็พัดเข้ามาในห้องเรียนด้วย มันทำให้เสียงในห้องเรียนหายไปทันที!
บ้านขุนนางนั้นเต็มไปด้วยนักเรียนที่ได้รับการศึกษาระดับแนวหน้าก่อนวัยเรียน ส่วนใหญ่จึงตระหนักได้ว่าศาสตราจารย์ซิลเวอร์กำลังใช้การ์ด [เงียบสงัด]!
แต่หลายคนในบ้านอัศวินไม่รู้เรื่องการ์ดดังกล่าวด้วย
โรเบิร์ตที่นั่งข้างเวอร์เธอร์ถึงกับตะโกนออกมาด้วยความกลัว ใบหน้าจนถึงคอของเขาแดงก่ำราวกับถูกต้มในน้ำเดือด
พอศาสตราจารย์ซิลเวอร์เดินไปที่โต๊ะและยกเลิกคำสั่งการ์ดเวทมนตร์ เสียงกรีดร้องของโรเบิร์ตก็ดังขึ้น!
“อ๊า–!”
w(゚Д゚)w
…
“บร็อกไฮม์ เนื่องจากเป็นคาบเรียนแรก ฉันจะไม่หักคะแนนของเธอในครั้งนี้”
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์กล่าวพร้อมกับทัดผมสีบลอนด์ที่ปลิวอยู่ด้านหน้าไปไว้หลังใบหูแหลมของเธอด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
“ก่อนเริ่มชั้นเรียน เรามาเริ่มด้วยกฎของสถาบันกันก่อน ซึ่งฉันเชื่อว่าพวกเธอส่วนใหญ่ยังไม่ได้อ่านมัน ฉันชื่อซาราห์ ซิลเวอร์ ลูกครึ่งเอลฟ์ เป็นศาสตราจารย์สอนวิชาอัญเชิญของสถาบันเซนต์แมเรียน”
คาบ ๆ หนึ่งของสถาบันเซนต์แมเรียนมีเก้าสิบนาที เริ่มด้วยคาบแรกตอนแปดโมงเช้า พักระหว่างคาบครึ่งชั่วโมง และจบคาบที่สองเวลาสิบเอ็ดโมงครึ่ง ส่วนตอนบ่ายมีคาบเดียว ซึ่งเริ่มเวลาบ่ายสอง
สถาบันจะนำระบบคะแนนมาใช้เหมือนกับในภาพยนตร์โรงเรียนเวทมนตร์ที่มีถ้วยของแต่ละบ้าน ส่วนความแตกต่างกันก็คือของสถาบันเซนต์แมเรียนกลับใช้เป็นจอกศักดิ์สิทธิ์!
‘จอกศักดิ์สิทธิ์แมเรียน’ ว่ากันว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์ที่มีมาตั้งแต่ก่อตั้งสถาบัน ทั้งยังเป็นที่รู้จักกันในนาม ‘ถ้วยต้องประสงค์’ เนื่องจากมีพลังในการเติมเต็มคำอธิษฐาน
และในบรรดาบ้านทั้งสี่หลัง บ้านที่มีคะแนนสูงสุดซึ่งสามารถคว้าแชมป์ถ้วยบ้านไปได้ จะมีสิทธิ์ขอพรจากถ้วยต้องประสงค์โดยอนุญาตให้ทุกคนตั้งแต่ชั้นปีที่หนึ่งถึงปีที่หกของบ้านนั้นมีโอกาสขอพรได้แค่เพียงครั้งเดียว
บนถ้วยต้องประสงค์สลักข้อความเขียนไว้ว่า ‘ผู้ที่โลภจะไม่ได้รับสิ่งใดตอบ’
บทที่ 5 ดาร์ก เดม่อนพยายามเป็นนักเรียนอีกครั้ง
“หลังจากที่พวกเธอกลับไปแล้ว อย่าลืมใช้การ์ดคัดสรรตรวจสอบกฎเกณฑ์ข้อบังคับของสถาบันด้วยล่ะ สุดท้ายนี้ ฉันขอให้นักเรียนใหม่ค้นพบคุณค่าของตนเองในสถาบันเซนต์แมเรียนในอีกหกปีข้างหน้า!”
งานเลี้ยงเปิดภาคเรียนจบลงด้วยเสียงโห่ร้องยินดีของนักเรียน
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ไม่ได้บอกใบ้ตามพล็อตเหมือนที่อาจารย์ใหญ่ในภาพยนตร์โรงเรียนเวทมนตร์คนนั้นทำ
เรื่องนี้ทำให้ดาร์กสับสนเล็กน้อย
ทว่าเมื่อเขาคิดเกี่ยวกับมันอย่างถี่ถ้วน แม้ว่าจะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น ตัวเอกก็จะจัดการเรื่องนี้ให้กับทุกคนอยู่ดี และมันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาที่อยู่ในฐานะตัวร้าย
ฉันควรดูแลตัวเองดีกว่า!
สถาบันเซนต์แมเรียนเป็นโรงเรียนประจำ นอกจากวันหยุดประจำปี จะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ออกจากสถาบัน
เมื่อประตูใหญ่ของสถาบันปิดลง เงิน อำนาจ และเส้นสายทั้งหมดจะถูกตัดขาด
ความรู้ ความสามารถ และผลงานเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการจัดอันดับ
แม้จะเป็นบุตรชายของดัชเชส แต่ถ้ามีผลการเรียนย่ำแย่ เขาก็ยังรั้งท้ายชาวบ้านอยู่ดี
ยิ่งกว่านั้น ผู้ที่สามารถเข้าสู่สถาบันเซนต์แมเรียนได้อนาคตย่อมเป็นจอมเวทที่ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจของชนชั้นสูง
ดาร์กรู้ว่าชื่อเสียงของเขาไม่ได้ดีนัก ดังนั้นนักเรียนของบ้านขุนนางต้องการใกล้ชิดกับเขาก็เพียงเพราะเขาเป็นขุนนางเลือดบริสุทธิ์เท่านั้น
แต่นั่นก็สอดคล้องกับความคิดที่จะลดการเข้าสังคมลง เขาก็จะสามารถฝึกฝนตัวเองในขณะที่ก็ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข และต้องศึกษาเกี่ยวกับองค์ความรู้ต่าง ๆ เพื่อหาวิธีกำจัดสายเลือดจอมมารให้หมดก่อนที่มันจะตื่นเต็มที่!
นอกเหนือจากสถาบันโฮลี มิสเทอรีแล้ว สถาบันเซนต์แมเรียนก็เป็นสถานที่ที่มีมรดกตกทอดและตำราเยอะที่สุดในอาณาจักร หากไม่มีวิธีกำจัดเลือดของจอมมารก็แสดงว่าเกมนี้จบสิ้นแล้ว
…
พวกเขาเดินตามนักเรียนรุ่นพี่ออกจากห้องโถงใหญ่ ขึ้นบันไดหินอ่อน ข้ามทางเดินที่คดเคี้ยวซึ่งเต็มไปด้วยรูปคน และข้ามสะพานที่ยื่นสูง ในที่สุดนักเรียนใหม่ของบ้านขุนนางก็มาถึงหอคอยที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของสถาบัน มันคืออาคารหอพักของบ้านขุนนาง!
สถาบันเซนต์แมเรียนมีหอคอยอยู่สี่แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งมีเก้าชั้น และยังไม่นับรวมห้องใต้ดิน
ชั้นแรกเป็นห้องส่วนกลาง
ตั้งแต่ชั้นสองขึ้นไปมีหอพักสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งถึงชั้นปีที่หกตามลำดับ
ชั้นแปดเป็นห้องซ้อมต่อสู้ และชั้นที่เก้าเป็นหอดูดาว!
ผู้พิทักษ์ของบ้านขุนนางเหมือนสิ่งมีชีวิตในตำนานซึ่งถูกเรียกว่า ‘อสรพิษขนนก’!
อสรพิษตนนี้มีปีกสีสันสดใส ทั้งฉลาด อ่อนโยน และสง่างาม
ผู้ใดก็ไม่สามารถโกหกมันได้ เพราะดวงตาที่มองทะลุความเท็จ และเห็นความจริง จึงถูกขนานนามว่าเป็น ‘ผู้เผยสัจจะ’!
หอพักของบ้านขุนนางจึงเป็นหอคอยแห่งเดียวในสี่บ้านซึ่งสามารถผ่านเข้าไปได้โดยไม่ต้องใช้ ‘กุญแจ’ เช่น ข้อมูลประจำตัวและรหัสผ่าน ก็เนื่องจากการมีอยู่ของสัตว์ผู้พิทักษ์นี้
ตราบใดที่มีคนเดินผ่านหน้าอสรพิษขนนก มันก็จะรู้ทันทีว่าคนผู้นั้นเป็นนักเรียนของบ้านขุนนางหรือไม่
ดาร์กมองไดแอนนาที่เข้าไปในหอคอยอย่างเร่งรีบ ส่วนเขาก็เดินตามเธอไป
พอถึงตาที่ดาร์กต้องเดินผ่านหน้าอสรพิษขนนกซึ่งติดอยู่กับหน้าประตู มันก็เปิดรูม่านตาซึ่งมีพลังงานส่องสว่างขึ้นมา นี่ไม่เหมือนกับอสรพิษยักษ์ที่ไร้ชีวิตเลย!
เขาทำตัวนิ่งเงียบ
ทว่าแสงสีขาวที่ส่องออกมาจากดวงตาของอสรพิษขนนกเพียงแค่กวาดไปทั่วร่างกายของเด็กชายเพียงครั้งเดียวแล้วกลับมาบรรจบกัน
จากนั้นอสรพิษขนนกก็หลับตาลงและไม่ส่งเสียงอีก
ดาร์กรีบก้าวเท้าเดินเข้าไปในหอคอยก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“…นึกว่าสายเลือดจอมมารจะถูกจับได้ซะแล้ว!”
ตอนแรกที่ดาร์กเห็นว่าการตื่นขึ้นของสายเลือดจอมมารมีบางอย่างที่เหมือนกับแถบความคืบหน้า เขาก็คิดว่ามันคงมีช่องว่างให้พอฉกฉวยอยู่บ้าง
แต่ตอนนี้ แม้ว่าจะปลุกสายเลือดให้ตื่นขึ้นเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ เขาก็ไม่สามารถหนีเนตรแห่งสัจจะของอสรพิษขนนกตัวนี้ได้!
“นี่เป็นความยากระดับตำนานหรือเปล่าเนี่ย?”
…
“ดาร์ก นายอยู่ห้องหมายเลขอะไรเหรอ?”
ไดแอนนาคว้าการ์ดคัดสรรแล้ววิ่งมาหาอีกครั้ง
ดาร์กเหลือบมองที่ประตูด้วยความหวาดกลัวและชักนำพลังเวทมนตร์เข้าไปในการ์ดคัดสรร
ลาย ‘มงกุฎ’ ที่ด้านหน้าของการ์ดคัดสรรจางหายไป เผยให้เห็นสิ่งที่เขาต้องการรู้
“หมายเลข 201”
“ฮะ? ไดแอนนาอยู่ตั้งห้องหมายเลข 233 ห่างกันมากเลยนะเนี่ย!”
“แต่ทุกคนก็อยู่ตึกเดียวกันไม่ใช่เหรอ?”
หลังจากพูดคุยสบาย ๆ ไม่กี่คำ ดาร์กก็เดินไปที่ชั้นสองอย่างรวดเร็วแล้วมองหาห้องที่อยู่แรก ๆ ของชั้นสอง
เขาไม่ได้ผ่อนคลายจนกระทั่งเข้าไปในห้องและลงกลอนประตูเสร็จสรรพ จากนั้นดาร์กก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
‘ต่อให้เอาสองชั่วชีวิตมารวมกัน ฉันก็ไม่เคยเครียดขนาดนี้มาก่อนเลย’
หอพักเป็นห้องพักเดี่ยว ไม่เพียงมีเตียงขนาดใหญ่ที่นุ่มน่านอน แต่ยังมีห้องน้ำแยกต่างหากอีกด้วย
ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันก็ใหม่เอี่ยม และชุดตำราเรียนปีแรกก็วางอยู่บนเตียงแล้ว
ในที่สุดดาร์กก็จัดเตียงเสร็จ เขาถึงกับหมดเรี่ยวแรง
“พรุ่งนี้ค่อยคิดละกัน”
…
เช้าวันรุ่งขึ้น
ดาร์กลืมตาขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อน เห็นนาฬิกาทองแดงที่แขวนอยู่บนผนังตรงข้ามหัวเตียง เข็มชั่วโมงเพิ่งชี้ไปที่เลขหก
“หกโมงเช้าแล้ว? ดูเหมือนว่าคาบเรียนจะเริ่มตอนแปดโมง… งั้นฉันขอนอนต่ออีกหน่อยเถอะ”
[เกียจคร้าน +1]
ระบบแสนโหดร้ายพุ่งผ่านสายตาของเขาไปในทันใด
ดาร์กตกตะลึงและความง่วงนอนของเขาก็หายเป็นปลิดทิ้ง!
“ฟู่ว… อึก…”
ค่า [โทสะ] ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาหนึ่งหน่วย ดาร์กเช็ดเหงื่อของเขา
ตอนนี้ค่าชี้วัดที่มีช่องว่างให้พลาดน้อยที่สุดคือ [อัตตา] และ [โทสะ] ในขณะที่ [ริษยา] และ [ตะกละ] ไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเท่าไหร่นัก
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ดาร์กเปลี่ยนเป็นชุดนักเรียนและตรงไปยังห้องนั่งเล่นส่วนกลางที่ชั้นหนึ่ง
ชุดนักเรียนของบ้านขุนนางเป็นสีดำขอบสีทอง มีมงกุฎเล็ก ๆ ประดับอยู่บนหน้าอก ทางสถาบันยังมอบกระเป๋าที่สามารถใส่การ์ดเวทมนตร์ได้ถึงยี่สิบเอ็ดใบให้กับนักเรียนทุกคน
ห้องส่วนกลางในเวลานี้เงียบมาก และดวงไฟเวทมนตร์ซึ่งลอยอยู่บนผนังจะสว่างขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อมีคนมา
พอหายง่วงอีกครั้ง ดาร์กก็หาที่นั่งลงด้วยท่าทางเศร้า ๆ แล้วหยิบตำราเรียนออกจากกระเป๋าสะพายทีละเล่ม
เพื่อที่จะกำจัดเลือดของจอมมาร นอกเหนือไปจากการค้นหาวิธีการที่ถูกต้องแล้ว ความรู้และความสามารถที่จำเป็นก็มีความสำคัญมากเช่นกัน
ลองนึกภาพว่ามันจะสิ้นหวังขนาดไหนถ้ามีตำราเวทมนตร์ที่บันทึกวิธีการกำจัดอย่างถูกต้องวางไว้ตรงหน้าเขา แต่เขากลับไม่เข้าใจมันเลย?
“สิ่งที่ตรงกันข้ามกับ [เกียจคร้าน] คือ [ความเพียร]”
ดาร์กหยิบตำราที่จำเป็นสำหรับคาบเรียนแรกของวันนี้ ‘คู่มือการอัญเชิญเบื้องต้น’ ออกมาจากกองหนังสือจำนวนมาก!
[การอัญเชิญ] คือวิธีปลุกพลังของการ์ดเวทมนตร์ ซึ่งถือว่าเป็นคาถาพื้นฐานที่จอมเวททุกคนต้องเชี่ยวชาญ!
คาบวิชาอัญเชิญถูกจัดเป็นคาบแรกของวันจันทร์เพื่อสอนให้นักเรียนใหม่รู้ถึงวิธีการอัญเชิญ ‘วิญญาณรับใช้’ จากการ์ดคัดสรร!
ภายใต้แสงสลัวรางเลือน ดาร์กเปิดตำราและเริ่มดูเนื้อหาของวิชาในห้องนั่งเล่นซึ่งปราศจากผู้คน
…
หลังจากนั้นไม่กี่นาที เขาก็ค่อย ๆ เข้าสู่สมาธิ
ด้วยชีวิตก่อนหน้าที่ยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ดาร์กจึงมีทักษะการตีความและทำความเข้าใจอยู่มาก
หากให้เทียบกับบรรดาจอมเวทในวัยเดียวกัน เขาคิดว่าไม่น่าจะมีใครที่มีทักษะความเข้าใจแข็งแกร่งกว่าเขา
“บางทีการเป็นนักเรียนอีกรอบก็ไม่เลวนะ?”
[อัตตา +1]
“…”
ดาร์กกลับมาได้สติทันที และเขาไม่แม้แต่จะสาปแช่ง
…
หากใครสามารถเข้าสู่สภาวะแห่งการเรียนรู้ได้ มันคงจะเป็นความรู้สึกที่ดีมาก
เพราะสามารถสัมผัสได้เลยว่าพวกเขากำลังพัฒนาอยู่จริง ๆ
ความกระหายใคร่รู้ของมนุษยชาตินั้นมีมาแต่กำเนิด มีเพียงการแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่อง การสำรวจสิ่งที่ไม่รู้ และการไขปริศนาเท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถเปลี่ยนโลกก้าวข้ามไปสู่ยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ได้
หลังจากเรียนหนักมาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง
[โลภะ +1]
“บ้าเอ๊ย!”
[โทสะ +1]
บทที่ 4 การควบคุมอารมณ์ของดาร์ก เดม่อน
ด้วยความช่วยเหลือของไดแอนนา (กัดฟันพูด) ดาร์กก็ยับยั้งแรงกระตุ้นของตะกละได้สำเร็จ!
ส่วนทำไมจึงกลายเป็น [ริษยา +1]
ดาร์กบอกได้เพียงว่าเขาไม่เข้าใจว่าความริษยาคืออะไร!
เขามองจานอาหารค่ำที่ว่างเปล่าตรงหน้าพร้อมกับระงับความหงุดหงิดในใจ สายตาเหลือบมองอาหารบนโต๊ะของคนอื่นทีละคน
เนื้ออบ ไก่ย่าง ซี่โครงแกะ ไส้กรอก สเต๊ก ยอร์กเชอร์พุดดิ้ง มันฝรั่งครีมย่าง น้ำเกรวี่ ซอสมะเขือเทศ…และถั่ว!
ด้วยการพยายามรักษาท่วงท่าสง่างามและกลืนน้ำลายอย่างเงียบ ๆ ดาร์กจึงตักถั่วเล็กน้อยจากชามเงินใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยถั่วแล้ววางลงในจานของเขา…
“เริ่มจากถั่วก่อนแล้วกัน! ตะกละไม่ได้หมายความว่าเราต้องหยุดกิน การจำกัดของกินไม่น่าจะเพิ่มค่า [ตะกละ] ได้”
สมกับเป็นอาหารอันแสนอร่อยที่รังสรรค์โดยอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ผู้ถูกขนานนามด้วยฉายา ‘นักบุญ’ แม้กระทั่งสตูถั่วธรรมดาก็ยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ดาร์กตักถั่วขึ้นมาหนึ่งเม็ดจากกองถั่ว จากนั้นใช้ส้อมเงินจิ้ม ก่อนจะแล่ด้วยมีดหั่นอาหาร และกินเข้าไปทีละชิ้น
หลังจากเคี้ยวช้า ๆ รสชาติของถั่วก็แผ่ซ่านออกในปากเล็กน้อย มันหวานมาก!
เขาอดไม่ได้ที่จะหรี่ตา มือก็จิ้มเมล็ดถั่วอีกครึ่งหนึ่งขึ้นมา
นักเรียนใหม่ของบ้านขุนนางคนหนึ่งซึ่งนั่งตรงข้ามเขา เธอมีชื่อว่าโรส รอธร็อค ในมือกำลังถือช้อนเงินที่ใช้ตักถั่วคำใหญ่จากชามใบเล็กแล้วยัดเข้าปากตัวเอง
มันเป็นเวลาเดียวกับตอนที่เห็นว่าเพื่อนฝั่งตรงข้ามนั้นดูสง่างามมากยามทานถั่ว โรส รอธร็อคจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนผ่าวที่แก้มเล็กน้อย แล้วเธอก็ค่อย ๆ ดึงช้อนที่ยัดเข้าไปในปากออกมา…
โรสหยิบมีดและส้อมขึ้นมาทำตามดาร์กอย่างเชื่องช้า แต่ก็ปล่อยถั่วหล่นออกจากมีดและส้อมอยู่เสมอ
เห็นแบบนี้แล้วมันยิ่งทำให้เธอชื่นชมดาร์กที่สามารถใช้มีดและส้อมจัดการถั่วได้อย่างชำนาญ
“ฉันได้ยินมาตลอดเลยว่าบุตรชายคนเดียวของตระกูลดัชเชสเป็นเด็กซุกซนบุคลิกไม่ดี และยังไร้ซึ่งสมบัติผู้ดีของชนชั้นสูง แต่ไม่คิดเลยว่าความจริงเขาจะดูสง่างามมากขนาดนี้”
เด็กผู้หญิงมักชอบจินตนาการถึงบุคลิกของคนอื่นจากพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ เสมอ
ไม่ต้องพูดถึงว่าเธอเป็นนกน้อยที่เพิ่งจะหนีออกมาจากกรงได้ ทำเอารู้สึกตื่นเต้นจนสมองเกือบขาดออกซิเจนยามคิดถึงอิสรภาพที่จะได้รับหลังจากลงทะเบียนเรียน และเพราะอย่างนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่เธอจะจินตนาการถึงดาร์กแบบนี้
…
ดาร์กกำลังต่อสู้กับถั่วอย่างหนักจึงไม่ได้สังเกตเห็นความแปลกประหลาดของเด็กสาวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อเห็นว่าตัวเองใกล้กินถั่วบนจานหมดแล้ว เขาก็เริ่มคิดถึงอาหารอันแสนอร่อยชิ้นต่อไป บางทียอร์กเชอร์พุดดิ้งอาจเป็นทางเลือกที่ดี
แม้ว่าจะถูกเรียกว่า ‘พุดดิ้ง’ แต่จริง ๆ แล้วยอร์กเชอร์พุดดิ้งเป็นเหมือนขนมปังชนิดหนึ่งและรสชาติก็คล้ายกับขนมปังเนื้อนุ่ม
ในการรับประทานอาหาร มันมักถูกวางไว้เป็นของหวานทานคู่กับจานเนื้อย่างอยู่เสมอ
ขณะที่น้ำมันซึ่งหยดจากเนื้อย่างจะถูกนำไปใช้กับถาดพุดดิ้ง และแป้งจะถูกเทลงในกระทะ เมื่อควันน้ำมันเพิ่มขึ้น พุดดิ้งจะพองตัวเป็นรูปร่างขนมปังหลังจากอบเสร็จแล้ว ผิวของพุดดิ้งจะเป็นสีทอง ข้างนอกกรอบข้างในนุ่ม แล้วถ้าได้กินคู่กับน้ำเกรวี่และเนื้อสับบนนั้นละก็…
แค่คิดก็ทำให้ดาร์กน้ำลายสอแล้ว!
เขากำลังจะยกมือขึ้นหยิบยอร์กเชอร์พุดดิ้ง แต่ไดแอนนาที่อยู่ข้าง ๆ กลับพูดขึ้นว่า
“เฮ้ ดาร์ก นายชอบถั่วเหรอ ถ้าอย่างนั้นไดแอนนาก็จะให้ส่วนของไดแอนนากับนายด้วย!”
เมื่อเธอพูดอย่างนั้น มือก็เทถั่วจานใหญ่ตรงหน้าลงในจานอาหารค่ำของดาร์ก!
แล้วเธอก็เสริมอีกประโยคว่า “นายจะคิดว่ามันเป็นของขวัญขอบคุณสำหรับขาแกะกับซอสน้ำผึ้งก็ได้!”
เมื่อหันกลับไปแล้ว เธอก็บ่นเสียงต่ำ “ไดแอนนาไม่ชอบถั่ว…”
ดาร์กขมวดคิ้วมองดูกองถั่วบนจานตัวเอง
[โทสะ +1]
“ฮะ!”
…
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้โกรธเลย แต่ค่า [โทสะ] กลับเพิ่มขึ้นทันที
นี่เป็นเพราะสายเลือดจอมมารเข้าสู่ขั้นปลุกพลังจนทำให้เขาตกต่ำได้ง่ายขึ้นหรือ?
ดาร์กกลืนเมล็ดถั่วอย่างเงียบ ๆ
ในใจแม้รู้สึกกระวนกระวายและหงุดหงิด แต่ท่วงท่าภายนอกกลับสงบและสง่างาม การเคลื่อนไหวก็ไม่มีความเร่งรีบให้เห็น
เมื่อดาร์กจัดการถั่วบนจานเสร็จ อาหารบนโต๊ะก็พลันหายไปหมด!
จบมื้อหลักแล้ว ถึงเวลามื้อของหวาน!
ไอศกรีมหลากหลายรสชาติ พายแอปเปิ้ล ไซรัปเค้ก มัฟฟินช็อกโกแลต โดนัทสอดไส้แยม พุดดิ้งแยม พายสตรอว์เบอร์รีวางอยู่บนโต๊ะ…
กลิ่นหอมหวานรุนแรงกำลังยั่วยวนใส่ดาร์ก!
เด็กชายจ้องมองที่ของหวานอย่างเงียบ ๆ
เขายังไม่อิ่มเลย!
ความหิวในท้องและกลิ่นหอมของขนมทำให้ดาร์กไม่อาจต้านทานได้!
มือเอื้อมมือไปหยิบสปันจ์เค้กช็อกโกแลตที่เขาโปรดปราน และความอดทนต่อความอยากอาหารก่อนหน้านี้ก็พังพินาศในทันที!
[ตะกละ +1]
“มันก็แค่หนึ่งหน่วย ฉันแค่เสียไปหนึ่งหน่วย!”
ดาร์กเอื้อมมือไปที่เค้กไซรัปอีกครั้ง
[ตะกละ +1]
“ไม่เป็นไร ค่าชี้วัดของตะกละยังมีที่ว่างเหลือเฟือ!”
“แต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปฉันจะงดกินแน่นอน ค่าชี้วัดก็จะลดลงด้วยเหมือนกัน”
[ตะกละ +1]
ดาร์กกินพายสตรอว์เบอร์รีอีกชิ้นแล้วหยุดลง
จากนั้นเขาก็หยิบผ้าเช็ดหน้าเปียกจากด้านข้างมาเช็ดคราบน้ำตาลที่มุมปากของตัวเองให้แห้ง
“ดาร์ก นายชอบของหวานด้วยเหรอ?”
“ไดแอนนาก็ชอบของหวานเหมือนกัน!”
‘ฉันว่าเธอชอบกินทุกอย่างยกเว้นถั่วนั่นแหละ!’
โดยไม่สนใจเสียงกระซิบของหญิงสาว ดาร์กปรับท่าทางของเขาเล็กน้อย แล้วเหลือบตามองไปยังโต๊ะยาวของบ้านอัศวิน
ยามนี้เวอร์เธอร์ กาวด์มีนักเรียนใหม่ที่กำลังคุยกับเขาอย่างมีความสุข หากคิดไม่ผิดบทบาทของเด็กคนนั้นก็อาจจะคล้ายกับบทบาทของ <เจ้าเด็กผมแดงที่ชอบพูด ‘ร้ายกาจ!’>
<เจ้าเด็กผมแดง> ผู้น่าสงสาร หลังจากทำงานสกปรกใน <ภาพยนตร์โรงเรียนเวทมนตร์> มาทั้งชีวิต ในที่สุดก็ได้ลงเอยกับ <เด็กสาวอัจฉริยะเลือดสีโคลน> ซึ่งนับว่าจบลงอย่างมีความสุข
แต่ในเกมจีบสาวอย่าง ‘ดูเอล! เซนต์แมเรียน ซูเปอร์ XX อะคาเดมี!’ เขาถูกกำหนดให้ไม่ได้อะไรสักอย่างเลย
ชีวิตที่โดดเดี่ยวอาจเป็นจุดจบของเขา
ดาร์กอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ อย่างน้อยเขาก็ยังมีคู่หมั้นหนึ่งคนที่กำลังจะเข้าเรียนในปีการศึกษาหน้าให้ตั้งตารอคอย
แล้วใครมีบทบาทที่คล้ายกับตัวละคร <เด็กสาวอัจฉริยะเลือดสีโคลน> กันล่ะ?
ดาร์กหันมองดูรอบ ๆ สองสามครั้งแต่ก็ไม่พบหญิงสาวที่อยู่ใกล้ตัวเอกอย่างเวอร์เธอร์เป็นพิเศษ เขาจึงได้แต่จ้องมองหาตาเขม็ง
…
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าดาร์กจะถอนสายตาของเขาออกไป แต่เวอร์เธอร์ก็ตระหนักถึงสายตาที่จ้องมองมาที่เขาอยู่ดี
อาจเป็นเพราะตัวตนของดาร์กนั้นโดดเด่นกว่าในหมู่เด็กวัยเดียวกัน มันจึงยากที่ผู้คนจะเพิกเฉยต่อเขา
“เด็กผู้ชายที่มีตาเหนือจมูกคนนั้นคือใครเหรอ?” เวอร์เธอร์ถามเสียงเรียบ
โรเบิร์ต บร็อกไฮม์ผู้ซึ่งมีบทบาทคล้ายกับ <เจ้าเด็กผมแดง> ก็ตอบอย่างสับสนว่า “ทุกคนก็มีตาอยู่เหนือจมูกไม่ใช่เหรอ?”
“เอ่อ ฉันกำลังพูดถึงเด็กชายที่หยิ่งผยองคนนั้น” เวอร์เธอร์พูดไม่ออก
โรเบิร์ตยักไหล่ “ถ้านายพูดถึงเด็กผมบลอนด์ เขาก็คือดาร์ก เดม่อน บุตรชายของดัชเชสอัลเวตต์ เซนต์ เดม่อน ดัชเชสคนเดียวในอาณาจักร”
เวอร์เธอร์พึมพำ “อัลเวตต์ เดม่อน วัลคีรีที่รู้จักกันในนามดาบคู่แห่งอาณาจักรคู่กับพ่อของฉัน ถ้าอย่างนั้นลูกชายของเธอก็น่าจะมีเกียรติและเกลียดความชั่วร้ายเหมือนเธอ บางทีฉันกับเขาเราอาจเป็นเพื่อนที่ดีกันได้”
“อุ๊บ!” โรเบิร์ตอดหัวเราะไม่ได้ “เวอร์เธอร์ ไม่ใช่ทุกคนที่จะสืบทอดคุณสมบัติดี ๆ ของพ่อแม่มาอย่างนายหรอกนะ”
เวอร์เธอร์กลับไม่คิดเช่นนั้น “จริงเหรอ แต่ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อแม่ของฉันหน้าตาเป็นยังไง…”
บทที่ 3 ดาร์ก เดม่อนไม่เข้าใจว่าความริษยาคืออะไร
“ฉันชื่อไดแอนนา เกรท เบเยอร์ แล้วนายล่ะ?”
“ดาร์ก เดม่อน”
เกรท เบเยอร์ หมีแห่งราชอาณาจักร!
ทุกคนในตระกูลเกรท เบเยอร์จะเกิดมาพร้อมกับพลังเหนือธรรมชาติ ทั้งชายและหญิงต่างก็แข็งแกร่งราวกับหมีสีน้ำตาล!
ว่าแต่โลลิตัวน้อยตรงหน้าฉันนี่มันอะไรกันเนี่ย?
ไดแอนนา เกรท เบเยอร์ซึ่งเพิ่งเข้าสู่วัยเรียน มีความสูงน้อยกว่าเพื่อนของเธอเล็กน้อย หลังจากปีนขึ้นมาบนเก้าอี้แล้ว เท้าเล็ก ๆ ไม่แม้แต่จะแตะพื้นได้ ใบหน้าที่กลมมนของเธอก็ดูอ่อนโยนและนุ่มนิ่ม
ดาร์กแทบอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปบีบแก้มเด็กผู้หญิงตรงหน้า…
[ราคะ +1]
[โลภะ +1]
“เดี๋ยวก่อน!”
จู่ ๆ ดาร์กก็นึกอะไรบางอย่างออก
‘เธอเป็นตัวละครที่เหมือนกับผู้ติดตามสองคนของ <เจ้าลูกแหง่ผมทองเลือดบริสุทธิ์> ในเกมนี้หรือเปล่า’
มีพวกซื่อบื้อไม่กี่คนหรอกที่กล้าเข้าใกล้บุตรชายของดัชเชสทันทีที่เข้ามาในสถาบันศึกษา!
แต่ให้ตายเถอะ ในเกมขยะนี่ทุกคนเป็นตัวละครหญิงหมดเลย!
ดาร์กสงบลงและตัดสินใจที่จะรักษาระยะห่างจากไดแอนนาและติดต่อเท่าที่จำเป็นเพื่อรักษาชีวิตของเขาเอง
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เกม ‘ดูเอล! เซนต์แมเรียน ซูเปอร์ XX อะคาเดมี’ เหมือนกับเกมจีบสาวทั่วไปที่มีวางขายในตลาด นั่นคือตราบใดที่เป็นตัวละครผู้หญิงน่ารัก ๆ สักหน่อย พวกเขาทั้งหมดก็เป็นตัวละครที่จีบได้
จากมุมมองของผู้เล่น การเอาชนะใจสาวสวยข้างกายตัวร้ายนั้นเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจมาก
นอกจากนี้โลลิก็ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของเกมจีบสาว
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับดาร์ก
เขาไม่มีความคิดใด ๆ กับไดแอนนานอกจากอยากบีบหน้านิ่ม ๆ ของเธอ
การรักษาระยะห่างก็เป็นการป้องกันตัวเองจากความอยากบีบด้วย
ในระยะเริ่มต้นของการฝึกฝนตนเอง การอยู่ห่างจากสิ่งล่อตาล่อใจนับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด
และด้วยประสบการณ์สิบนาทีนี้ ดาร์กได้สูญเสียความมั่นใจในตัวเองไปอย่างสิ้นเชิง!
การหลีกเลี่ยงอัตตานั้นไมค่อยเท่าไหร่ แต่เขาจะหลีกเลี่ยงโทสะ โลภะ และราคะได้อย่างไร?
ความโลภเป็นแรงผลักดันเบื้องหลังความก้าวหน้าของมนุษย์!
การขยายพันธุ์ก็เป็นการกระทำที่จำเป็นสำหรับการคงอยู่ของเผ่าพันธุ์!
ดาร์กจึงรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา
…
“เอ็มม่า มอร์ติส!”
“บ้านอัศวิน!”
…
“ซาร่า สวาติ!”
“บ้านนักปราชญ์!”
…
“ไคลน์ โมเร็ตติ!”
“บ้านคนเขลา!”
…
เมื่อเวลาผ่านไป ในที่สุดก็เหลือเพียงนักเรียนใหม่คนสุดท้ายที่ยังไม่ได้เข้าร่วมพิธีคัดสรร!
เขากลายเป็นบุคคลที่ถูกจับตามองมากที่สุดจากบรรดานักเรียนทั้งหมดของเซนต์แมเรียน
ดาร์กก็อดที่จะมองไปไม่ได้เช่นกัน
นักเรียนใหม่คนสุดท้ายก้าวขึ้นไปบนเวที เขามีผมสั้นสีดำ ใบหน้าไม่ได้หล่อเหลามากนัก แต่นับว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยคนทั่วไป และเครื่องหน้าของเขาก็ดูดีทีเลยเดียว
จะว่าไปแล้ว ดาร์กเองก็เป็นเด็กผมบลอนด์ที่หล่อเหลา ซ้ำยังมีทุกคุณลักษณะที่แสดงถึงความประณีตรังสรรค์จนเกินบรรยาย
ในฐานะตัวร้ายประจำเกม เขาจึงถูกผู้เล่นเรียกด้วยเสน่หาว่า ‘หนุ่มผมทอง’ และถูกเรียกหาว่าเป็นพี่ชายของ ‘เจ้าเด็กหัวเหลือง’
“เวอร์เธอร์ กาวด์!”
เล่นคำกับเวอร์เธอร์ ก็อธหรือ?
ชื่อนี้มันอะไรกัน?
ดาร์กพูดไม่ออก
อืม แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วล่ะ… หมอนี่ต้องเป็นพระเอกแน่นอน!
…
“กาวด์? ตระกูลของวีรบุรุษคนนั้นหรือ?”
ด้วยการปรากฏตัวของเวอร์เธอร์ กาวด์ นักเรียนในห้องโถงก็เริ่มอดไม่ได้ที่จะพูดคุยกัน
เมื่อเทียบกับตระกูลเดม่อนซึ่งอยู่ในสายตาของสาธารณชนมาตลอดแล้ว ตระกูลกาวด์นั้นได้เงียบหายไปหลังจากการเสียสละของวีรบุรุษ
พอมีคนถามถึง ผู้เผยพระวจนะก็มักจะพูดประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมาเสมอ ว่านับตั้งแต่สมัยโบราณ เมื่อใดก็ตามที่วีรบุรุษปรากฏตัวขึ้น เมื่อนั้นมักจะเป็นตอนที่มนุษยชาติต้องการเขา!
ดังนั้น หากถามว่าภัยพิบัติและวีรบุรุษ สิ่งไหนเกิดก่อนกัน?
มันย่อมเป็นการมาถึงของหายนะที่ทำให้วีรบุรุษปรากฏตัว
หรือกลับกัน การปรากฏตัวของวีรบุรุษจะทำให้เกิดหายนะ?
ไม่ว่าจะเป็นผู้ทำนายหรือนักปราชญ์ พวกเขาล้วนต่างก็ต้องการหาคำตอบ
“ดาร์ก นายคิดว่าลูกชายวีรบุรุษจะมาที่บ้านเราไหม?” ไดแอนนาถามด้วยดวงตาเป็นประกาย
ไม่เพียงแค่เธอเท่านั้น แต่หลายคนในบ้านขุนนางต่างก็ตั้งตารอที่จะรับเวอร์เธอร์ กาวด์เข้ามา!
ถึงตระกูลกาวด์จะเป็นตระกูลที่ต่ำต้อย แต่ก็เป็นตระกูลที่มีเกียรติมาตั้งแต่สมัยโบราณ แม้จะถูกกำหนดให้เข้าบ้านขุนนางก็ยังเป็นที่เข้าใจได้!
“ถ้าเวอร์เธอร์ กาวด์เข้าร่วมสถาบันของเราด้วย ‘ดาบคู่แห่งอาณาจักร’ เขาจะไม่อยู่ด้วยกันเหรอ?”
นักเรียนของบ้านขุนนางพูดโดยมีความตื่นเต้นซ่อนอยู่ในน้ำเสียงของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม ความปรารถนาของพวกเขาถูกกำหนดให้ต้องผิดหวัง
ดาร์กมองไปที่ [โทสะ -1] ซึ่งปรากฏอยู่ในสายตาของเขา จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
‘ดูเหมือนว่าตราบใดที่ฉันต้องการ มันก็ยังทำได้อยู่สินะ?’
…
“เวอร์เธอร์ กาวด์!”
“บ้านอัศวิน!”
ดอกไม้ไฟที่ปล่อยออกมาจากการ์ดคัดสรรก่อตัวเป็นหอกขนาดใหญ่ในอากาศ
เวอร์เธอร์ กาวด์เดินไปที่โต๊ะอาหารท่ามกลางเสียงเชียร์ของบ้านอัศวิน
“เรามีกาวด์ล่ะ!”
“เราได้กาวด์ล่ะ!”
ชื่อ ‘เวอร์เธอร์ กาวด์’ กู่ก้องไปทั่วห้องโถง ในสุ้มเสียงมีความกระตือรือร้นและคลั่งไคล้มากกว่าเสียงเชียร์ของดาร์กตอนที่เขาเสร็จสิ้นพิธีคัดสรรเสียอีก!
[ริษยา +1]
‘บ้าเอ๊ย!’
[โทสะ +1]
ดาร์กระงับอารมณ์ของเขาอย่างรวดเร็ว
เขาแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้อิจฉาเลย
แต่ทำไมค่า [ริษยา] ถึง +1
ระบบโง่เง่านี่คงมีปัญหาแน่!
ดาร์กรู้สึกว่าบุคลิกของเขาถูกดูแคลน!
…
เสียงอันแผ่วเบาของอาจารย์ใหญ่อาร์เต้กลบเสียงเชียร์ที่ดังทั่วห้องโถง “นักเรียนใหม่ เก็บการ์ดคัดสรรของตัวเองไว้ มันจะคอยให้คำแนะนำสำหรับชีวิตนักเรียนของเธอไปอีกหกปี!”
ที่สถาบันเซนต์แมเรียน พิธีคัดสรรยังเป็นกระบวนการออกการ์ดคัดสรรอีกด้วย
น้องใหม่ทุกคนจะได้รับการ์ดคัดสรรระหว่างทำพิธี
การ์ดคัดสรรนี้ไม่เพียงแสดงถึงตัวตนของนักเรียนเท่านั้น แต่ยังเป็นการ์ดเวทมนตร์ใบแรกที่นักเรียน ‘ทำด้วยมือ’ หลังจากเข้าศึกษาอีกด้วย!
พวกมันเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตในสถาบันและจะอยู่คู่กับนักเรียนเป็นเวลาทั้งหมดหกปีการศึกษา!
ดาร์กมองไปที่การ์ดคัดสรรของเขา
ในฐานะบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลดยุก เขาจึงได้รับการศึกษาระดับสูงจากตระกูลขุนนางก่อนเข้าเรียน ดังนั้นจึงมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับพลังเวทมนตร์ จอมเวท และการ์ดเวทมนตร์
ในราชอาณาจักร ผู้ที่ได้รับใบตอบรับจากสถาบันเซนต์แมเรียนนั้นต้องมีความสามารถด้านเวทมนตร์ และยังจะเป็นจอมเวทในอนาคต
พลังเวทมนตร์ของจอมเวทนั้นเติบโตขึ้นตามอายุ การใช้พลังเวทมนตร์ซ้ำ ๆ จะช่วยพัฒนาความแข็งแกร่งของพลังเวทมนตร์ แต่ความช่วยเหลือในการเติบโตของพลังเวทมนตร์นั้นมีจำกัดมาก
เนื่องจากไม่มีวิธีลับในการเพิ่มพลังเวทมนตร์อย่างการทำสมาธิ มนุษย์ในอดีตจึงไม่สามารถเอาชนะปีศาจที่เกิดมาพร้อมกับพลังเวทมนตร์อันทรงพลังได้
จนกระทั่งการปรากฏตัวของเมอร์ลิน จอมเวทที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ สงครามก็เกิดการพลิกผัน
เมอร์ลินขัดเกลาความรู้เกี่ยวกับพลังเวทมนตร์ จินตนาการ การปรุงยา และองค์ประกอบอื่น ๆ ให้กลายเป็นการ์ด และได้สร้างการ์ดเวทมนตร์ที่อยู่เหนือกาลเวลาขึ้นมา!
ทั้งยังเผยแพร่ความรู้นี้อย่างไม่เห็นแก่ตัว!
ตั้งแต่นั้นมา จอมเวทก็ละทิ้งไม้กายสิทธิ์ แล้วก็หันไปสร้างการ์ดเวทมนตร์อันทรงพลังอย่างต่อเนื่องเพื่อกวาดล้างเหล่าปีศาจที่ล่วงลับไปแล้ว!
การ์ดคัดสรรที่เดิมให้มาโดยสถาบันเป็นการ์ดเวทมนตร์กึ่งสำเร็จรูป นักเรียนจำเป็นต้องทำขั้นตอนสุดท้ายให้เสร็จเพื่อสร้างการ์ดคัดสรรที่สมบูรณ์ขึ้นมา
…
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้กล่าวปิดพิธีด้วยคำพูดสั้น ๆ จากนั้นเธอก็ดึงการ์ดเวทมนตร์ชุดอาหารออกมา
ด้วยการโบกเพียงครั้งเดียวของเธอก็แจกจ่ายอาหารโอชะอันวิจิตรงดงามไปทั่วทั้งโต๊ะ
ต่อหน้าอาหารอร่อยนับไม่ถ้วน นักเรียนทุกคนหยุดทำเรื่องอื่นไว้ชั่วคราวและกินอาหารกันอย่างมีความสุข
มีเพียงดาร์กเท่านั้นที่จ้องไปที่อาหารตรงหน้าและตัวแข็งทื่อ!
“หือ? ดาร์ก นายไม่ชอบขาแกะเคลือบน้ำผึ้งเหรอ? ให้ไดแอนนาช่วยกินมันเอง!”
ไดแอนนารีบคว้าขาแกะย่างราดซอสน้ำผึ้งของดาร์กไปอย่างรวดเร็ว
[ริษยา +1]
[ตะกละ -1]
บทที่ 2 ดาร์ก เดม่อนเพียงต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
ดาร์กเดินลงจากเวทีท่ามกลางเสียงโห่ร้องต้อนรับของนักเรียนบ้านขุนนาง
แม้ว่ารอยยิ้มจะแข็งทื่อเล็กน้อย แต่เขาก็ยกมือขึ้นโบกให้กับคนเชียร์
ในฐานะขุนนางสายเลือดบริสุทธิ์ผู้สูงศักดิ์ เขาจำต้องรักษามารยาทของสมบัติผู้ดียิ่งกว่าที่ควรจะเป็น และต้องไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป
ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะมีความสงสัยเกี่ยวกับ ‘เลือดบริสุทธิ์’ ของตัวเองมากก็เถอะ!
มันต้องเป็นเลือดบริสุทธิ์แบบไหนกันถึงจะสามารถสืบทอดสายเลือดของจอมมารได้?
ดาร์กหันหน้ามองไปทางเวทีที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า ขณะนั่งอยู่ในที่ของบ้านขุนนาง
ก่อนหน้านี้เขายังยิ้มแย้มแจ่มใส ทว่ามาตอนนี้สีหน้านั้นแทบจะคงเอาไว้ไม่ได้แล้ว!
[เลือดของจอมมารได้เข้าสู่กระบวนการปลุกสายเลือดแล้ว!]
เรื่องนี้ทำให้เขาตกใจมากกว่าเสียงแจ้งเตือนของระบบเสียอีก!
“สาเหตุที่ทำให้สายเลือดของจอมมารเข้าสู่กระบวนการปลุกให้ตื่นขึ้นก่อนถึงเวลาคืออะไรกัน? มันควรจะถูกกระตุ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุในช่วงท้ายของเกมเลยไม่ใช่หรือ?”
“ทำไมมันถึงถูกกระตุ้นขึ้นมาตอนนี้เล่า?”
“หรือจะเป็นเพราะว่าฉันฟื้นความทรงจำขึ้นมาได้แล้ว?”
“ไม่สิ ตอนนี้ฉันไม่มีเวลามาคิดถึงต้นตอของปัญหานี้แล้ว”
“ถ้าไม่อยากถูกปืนใหญ่ของอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ที่อยู่บนเวที ฉันต้องหาทางออกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้…”
“โชคดีที่ระบบแจ้งเตือนว่าสายเลือดจอมมารเพิ่งเข้าสู่กระบวนการปลุกขึ้นมา และยังไม่ฟื้นคืนเต็มที่ เพราะงั้นฉันจึงยังมีโอกาสอยู่!”
ดวงตาของดาร์กสั่นไหว จากนั้นเขาจึงลองเรียกใช้ระบบในความคิดของตัวเอง
[สวัสดีโฮสต์! ระบบช่วยเหลือจอมมารสุดใจอยู่นี่แล้ว!]
มารดามันเถอะ ระบบช่วยเหลือจอมมารอะไรกัน!
ดาร์กกัดฟันกรอด
ระบบโง่ ๆ ที่ช่วยให้เขากลายเป็นจอมมารมีอยู่จริง ๆ ด้วยสินะ!
ทว่าสงครามระหว่างมนุษย์กับปีศาจยุติลงไปนานกว่าสิบปีแล้ว อีกทั้งศึกนั้นยังจบลงด้วยการที่กองทัพปีศาจถูกทำลายและจอมมารก็ถูกผนึกไว้อย่างสมบูรณ์
จึงเป็นผลให้ยุคสมัยของมนุษยชาติได้เปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคของเซนต์แมเรียนโดยไร้ซึ่งการมีอยู่ของปีศาจอีกต่อไป!
ในยุคของเซนต์แมเรียนที่ปีศาจถูกกวาดล้างอย่างสมบูรณ์และจอมมารได้เข้าสู่ภาวะจำศีลนิรันดร์ แล้วจะมีพวกนอกรีตเหลือรอดไปได้อย่างไร?
ไม่เห็นหรือว่าจอมมารในต้นฉบับหลังจากถูกผนึกไว้แล้วยังโดนลากมาแขวนคอและทุบตีอย่างโหดเหี้ยมอีก?
ที่เลวร้ายไปกว่านั้น คือร่างถูกแยกเป็นเจ็ดส่วน และก็ถูกเฆี่ยนตีจนแหลกเหลวไปทั้งอย่างนั้น!
ต่อให้จอมมารคนนี้จะอยู่เหนือจอมมารคนก่อน แต่หากไร้ซึ่งกองทัพแล้วเขาจะไปทำอะไรได้?
หากเป็นแบบนั้น การเปิดเผยตัวตนของเขาออกไปก็ไม่ต่างกับการฆ่าตัวตายน่ะสิ?
แล้วเขาก็ไม่ได้ดีเท่าจอมมารคนก่อนด้วย เพราะจอมมารคนนั้นมีถึงเจ็ดชีวิต!
“บอกหน่อยได้ไหมว่าสายเลือดของจอมมารมันถูกปลุกให้ตื่นขึ้นได้อย่างไร?”
[ราคะ, ตะกละ, โลภะ, เกียจคร้าน, โทสะ, ริษยา และอัตตา นี่คือบาปเจ็ดประการที่จำเป็นสำหรับการปลุกจอมมาร!]
[เมื่อหนึ่งในเจ็ดตัวชี้วัดเหล่านี้สูงเกินกว่าเกณฑ์ สายเลือดจอมมารของโฮสต์จะค่อย ๆ ตื่นขึ้น และกลายร่างเป็นจอมมารผู้ยิ่งใหญ่อย่างไม่อาจย้อนกลับได้!]
[ความคืบหน้าในการปลุกพลังปัจจุบันอยู่ที่ 0%]
[กรุณาทำเป้าหมายให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด!]
“ถ้าอย่างนั้นแสดงตัวชี้วัดให้ฉันดูหน่อยสิ”
[รับทราบ]
หลังจากนั้นไม่นาน
ตัวชี้วัดทั้งเจ็ดก็ปรากฏขึ้นมาในสายตาของดาร์ก
[อัตตา 92 หน่วย]
[ริษยา 39 หน่วย]
[โทสะ 93 หน่วย]
[เกียจคร้าน 71 หน่วย]
[โลภะ 72 หน่วย]
[ตะกละ 52 หน่วย]
[ราคะ 72 หน่วย]
ดาร์กกวาดสายตามองดูก่อนที่แววตาจะเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
ตัวชี้วัดทั้งหมดเจ็ดค่า นอกจากความริษยากับความตะกละซึ่งต่ำกว่าเล็กน้อย ตัวชี้วัดอื่น ๆ มีมากกว่า เจ็ดสิบหน่วย!
ในบรรดาตัวชี้วัดทั้งหมด โทสะมีถึง 93 หน่วย!
“ปรากฏว่าฉันเป็นคนขี้เกียจ เย่อหยิ่ง ตะกละ โลภมาก ตัณหาเยอะ แล้วก็ขี้โมโหมากที่สุดงั้นเหรอ?”
“นี่มันไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์เลย! ค่าสูงสุดของตัวชี้วัดนี่ต้องเท่ากับหนึ่งพันหน่วยแน่ ๆ!”
[คำเตือนด้วยความห่วงใยจากระบบช่วยเหลือจอมมาร ภายใต้สถานการณ์ปกติแล้วค่าสูงสุดของมหาบาปคือ 120 หน่วย]
[โฮสต์ต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเท่านั้นจึงจะสามารถทำให้ค่าอัตตาและโทสะพุ่งสูงทะลุหลอดได้ เพื่อปลุกเลือดของจอมมารให้ตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์และนำเกียรติศักดิ์ความรุ่งโรจน์ของปีศาจกลับคืนมา!]
“พยายามอย่างสุดความสามารถอะไรกันเล่า!”
“ใจเย็น ๆ ใจเย็น ๆ ก่อนตัวฉัน! จะโกรธไม่ได้ จะโกรธไม่ได้แล้ว!”
แค่เปลือกตากระตุกข้างเดียว ค่าโทสะก็เพิ่มขึ้น หนึ่งหน่วยเต็ม ๆ!
ดาร์กรีบผ่อนลมหายใจและคิดว่า “โอ้ มังกรศักดิ์สิทธิ์ โอ้ มารดาแห่งผืนโลกที่เคารพรัก โอ้ พระพุทธเจ้า โปรดช่วยให้ฉันจิตใจสงบด้วย!”
[โทสะ +1]
“แม่งเอ๊ย!”
…
ไม่กี่นาทีต่อมา
ดาร์กก็พบว่าตัวชี้วัดทั้งเจ็ดนี้ไม่คงที่ และตัวชี้วัดที่มีแนวโน้มผันผวนมากที่สุดคือตัวชี้วัด [โทสะ]
หลังจากที่เขาพยายามสงบสติอารมณ์อย่างถึงที่สุดแล้ว ตัวชี้วัด [โทสะ] ก็ค่อย ๆ ลดลงเหลือ 93 หน่วย
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องยากมากที่จะลดตัวชี้วัดความบาปที่สำคัญอย่างอัตตาและริษยาซึ่งเป็นรากเหง้าโดยธรรมชาติของมนุษย์
มันมีสุภาษิตอยู่ว่า “เปลี่ยนประเทศเปลี่ยนง่าย แต่เปลี่ยนนิสัยเปลี่ยนยาก”
แม้ว่าเขาจะฟื้นความทรงจำในอดีตได้ แต่ก็ทำให้อัตตาค่อย ๆ เปลี่ยนจาก 92 เป็น 91 อย่างช้า ๆ
สุดท้ายความทรงจำของชีวิตนี้ก็ไม่เคยถูกลืมเลือนไป
อย่างไร เขาก็เป็นเด็กชายผู้สูงศักดิ์และชั่วร้ายมาตลอดสิบกว่าปี!
ความหยิ่งผยองที่หยั่งรากลึกเช่นนั้นจึงยากจะขจัดให้หมดไปในเวลาสั้น ๆ
แม้ว่าเขาจะเข้าใจแจ่มแจ้ง แต่ก็ยังต้องฝึกลับคมตัวเองเป็นเวลานานเพื่อย้อนค่ากลับไปทีละเล็กทีละน้อย
ตัวชี้วัดทั้งเจ็ดจะต้องลดลงต่ำกว่าเส้นมาตรฐาน
มิฉะนั้น ตราบใดที่เขาประมาท อารมณ์ที่เกี่ยวข้องก็มีแนวโน้มที่จะทะลุค่าเกณฑ์สูงสุดได้!
อารมณ์ที่รุนแรงมีแนวโน้มที่จะทำให้ค่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
และเมื่อถึงตอนนั้นก็คงจะทำให้การลดระดับกลับไปสู่มาตรฐานเดิมเป็นไปได้ยากขึ้น
…
มีเพียงการฝึกฝนตนและอดทนอดกลั้นเท่านั้น จึงจะหลีกเลี่ยงอัตตา โทสะ ตะกละ โลภะ ราคะ ริษยา และเกียจคร้าน ที่จะทำให้เกิดการกระตุ้นสายเลือดของจอมมารแห่งบาปทั้งเจ็ดได้
ในที่สุดดาร์กก็เริ่มกระจ่างแจ้ง!
‘เริ่มตั้งแต่วันนี้ ฉัน ดาร์ก เดม่อนจะเป็นคนใหม่!’
[โฮสต์โปรดพยายามทำตัวเสื่อมทรามเข้าไว้จะได้กลายเป็นจอมมารในเร็ววัน!]
“ไปให้พ้น!”
[โทสะ +1]
…
เมื่อดาร์กรู้แจ้งอย่างสมบูรณ์ พิธีคัดสรรบนเวทีก็ดำเนินต่อไปแล้ว
จากนั้นไม่นาน นักเรียนใหม่ก็ได้รับเลือกให้ไปอยู่ในบ้านที่เหมาะสมกับพวกเขาที่สุดคนแล้วคนเล่า และบ้านขุนนางก็ต้อนรับนักเรียนใหม่เช่นกัน
ทว่าด้วยความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนระหว่างขุนนาง จึงไม่มีใครกล้านั่งข้างบุตรชายของดัชเชสสาวสักคน
‘วัลคีรี อัลเวตต์ เซนต์ เดม่อน’ ได้ปูพรมกวาดล้างสนามรบอย่างเต็มกำลัง โดยมีความเกลียดชังเป็นแรงขับเคลื่อนและได้กำจัดปีศาจไปนับไม่ถ้วน ท้ายที่สุดเธอได้ช่วยวีรบุรุษในขณะนั้นผนึก ‘จอมมารอมตะ’ จนถูกขนานนามว่า ‘ดาบคู่แห่งอาณาจักร’ ร่วมกับวีรบุรุษและเป็นที่เคารพนับถือจากผู้คนทั่วโลก!
หลังจากที่วีรบุรุษเสียสละตัวเองเพื่อผนึกจอมมาร อัลเวตต์ก็กลายเป็นตัวแทนสูงสุดของกองทัพอาณาจักร!
มีเพียงอาจารย์ใหญ่ของสถาบันเซนต์แมเรียน พระสันตะปาปาศักดิ์สิทธิ์ และอาจารย์ใหญ่ของสถาบันโฮลี มิสเทอรีเท่านั้นที่สามารถประมือกับอัลเวตต์ได้
หากสายเลือดของจอมมารยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา ดาร์กก็อยู่ภายใต้การคุ้มครองของวัลคีรีได้ และไม่ว่าเขาจะเลวร้ายเพียงใด เขาก็สามารถเพลิดเพลินไปกับความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งในฐานะดยุกในอนาคตได้
“ไอ้เลือดจอมมารเวรเอ๊ย!”
[โทสะ +1]
…
“เลี่ยงอัตตาและโทสะ เลี่ยงอัตตาและโทสะ!”
ดาร์กหลับตาของเขาอย่างรวดเร็วและพยายามสงบความโกรธลง
[โทสะ -1]
“สวัสดี ฉันขอนั่งตรงนี้ได้ไหม?”
ดาร์กยังคงหลับตา
“งั้นฉันนั่งล่ะนะ!”
“เฮ้!”
“นายดูแปลก ๆ นะ เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ? ฉันมี [สวดส่งผู้วายชนม์] อยู่นะ จะให้นายยืมก็ได้!”
ในที่สุดดาร์กก็ลืมตาขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่มีอารมณ์แปรปรวนว่า “[สวดส่งผู้วายชนม์] น่าจะเป็นการ์ดเมจิกในหมวดคำสาปใช่ไหม? เธอใช้มันช่วยให้หลับได้เหรอ?”
“หา? จริงเหรอ?” ไดแอนนา เกรท เบเยอร์ถามด้วยความประหลาดใจ
เธอที่กำลังอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจนั้นมีเสน่ห์มาก
ดาร์กขมวดคิ้ว เพราะจู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถระงับตัวชี้วัดได้อีกต่อไป
[ราคะ +1]
“บ้าเอ๊ย!”
[โทสะ +1]
บทที่ 1 ดาร์ก เดม่อนที่ไม่ใช่ดาร์ก เดม่อน
“ยินดีต้อนรับสู่สถาบันเซนต์แมเรียน!”
เพลงสวดสรรเสริญอันศักดิ์สิทธิ์ดังไปทั่วห้องโถงอันโอ่อ่า ผ้าม่านสีเข้มอ่อนนุ่มค่อย ๆ แยกออกจากกัน บนเวทีมีสตรีผู้แสนงดงามและสูงส่งที่สุดแห่งสถาบันเซนต์แมเรียนยืนอยู่ อาจารย์ใหญ่ซินเทีย เซนต์ อาร์เต้!
ภูตเก้านางบินอยู่รอบกายอาจารย์ใหญ่ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นดอกไม้และหิ่งห้อย ทำให้เวทีดูชวนฝันและสวยงาม
ห้องโถงใหญ่มีโต๊ะยาวที่ตกแต่งอย่างวิจิตรอยู่สี่โต๊ะ และเทียนนับพันที่ลอยอยู่บนอากาศเหนือโต๊ะคอยส่องสว่างในห้องโถง
แสงเทียนถูกสะท้อนอยู่บนจานอาหารมื้อค่ำสีทองและถ้วยเงิน เป็นประกายสีสันและพร่าเลือนราวกับความฝัน
เมื่อดาร์ก เดม่อนกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง เขาก็ยืนอยู่บนเวทีแล้วโดยมีอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ที่มีกลิ่นหอมกรุ่นลอยตัวอยู่กลางอากาศเคียงข้างตัวเขา
ความทรงจำมากมายไหลย้อนกลับมาในสมองราวกับสายน้ำหลาก
ในที่สุดดาร์กก็จดจำความทรงจำของชีวิตก่อนหน้านี้ได้
“สถาบันเซนต์แมเรียน… นี่คือสถาบันในกัลเกม*[1]ที่ถูกบอยคอตก่อนเปิดตัว แล้วก็กลายเป็นสุดที่รักของคนที่บอยคอตหลังเปิดตัวไม่ใช่เหรอ?”
ดูเอล! เซนต์แมเรียน ซูเปอร์ XX อะคาเดมี!
ในอุตสาหกรรมกัลเกม โดยทั่วไปแล้วอุตสาหกรรมเกมจะเน้นไปที่การออกแบบที่สวยงามมากกว่าการสร้างโครงเรื่องที่น่าติดตาม และเกม ‘ดูเอล! เซนต์แมเรียน ซูเปอร์ XX อะคาเดมี’ ก็ อาจกล่าวได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมือนใครในเวลานั้น
แม้ว่าโครงเรื่องเกือบทั้งหมดจะลอกมาจาก <ภาพยนตร์แนวสถาบันเวทมนตร์> แต่ระบบของมันกลับถูกคัดลอกมาจาก <เกมการ์ดชื่อดัง> และการ์ดที่ใช้ดวลก็มาจากอนิเมะยอดนิยมจากหลากหลายเรื่อง การรวมองค์ประกอบต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างไม่คาดคิดก่อให้เกิดเกมที่น่าสนใจขึ้น
แม้จะไม่ได้พิชิตตัวละครหญิงในเกม แต่ผู้เล่นก็ยังได้รับความสนุกมากมายจากเกมนี้อยู่ดี
‘ดูเอล! เซนต์แมเรียน ซูเปอร์ XX อะคาเดมี’ ได้กลายเป็น ‘เกมที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มเล่นการ์ด’ มาเป็นเวลานาน และเวอร์ชันที่มีการเซนเซอร์ต่าง ๆ ได้กวาดล้างอุตสาหกรรมการละเมิดลิขสิทธิ์ภายในประเทศออกไป
ทว่าดาร์กต้องการรักษาความยุติธรรมไว้ เขาจึงสาบานว่าจะไม่แตะต้องเกม H*[2] ขยะที่ลอกเลียนแบบความคิดของคนอื่น ดังนั้นเขาจึงรู้เกี่ยวกับเกมนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เขาจำได้เลือน ๆ ว่าลาสต์บอสของเกมดูเหมือนจะเป็นขุนนางชั้นสูงนามว่า ‘ดาร์ก เดม่อน’
ในฐานะบุตรชายเพียงคนเดียวของดัชเชสหญิง ดาร์ก เดม่อนจึงมีบทบาทในเกมคล้ายกับ <เจ้าลูกแหง่ผมทองเลือดบริสุทธิ์> ในสถาบันเขาเป็นตัวร้ายในช่วงแรก ๆ ที่ได้เผชิญหน้ากับตัวเอก พอเวลาต่อมาก็ถูกเปิดเผยว่าเป็นทายาทของจอมมาร และได้กลายเป็นจอมมารคนใหม่ สุดท้าย เขาก็ถูกพระเอกฆ่าตายแล้วคู่หมั้นของตัวเองก็ถูกพระเอกแย่งชิงไปด้วย!
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ดาร์กก็เป็นตัวละครที่ชวนน่าสลดใจจริง ๆ แม้กระทั่งชื่อของเขา หรือที่เรียกว่าดาร์ก เดม่อนก็เป็นเพียงตัวตลกที่ถูกกำหนดมาให้เจอแต่โศกนาฏกรรมตั้งแต่ต้น
อืม…
แต่เดี๋ยวก่อน ทำไมชื่อนี้ถึงได้คุ้นหูจังเลยนะ?
ใบหน้าของดาร์กค่อย ๆ ซีดลง
…
“ดาร์ก… ดาร์ก เดม่อน…”
เสียงเรียกอันรื่นหูราวกับสายลมอุ่นพัดผ่านนั้นทำให้ดาร์กหลุดออกจากอารามตกใจ
เขาพยายามควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าที่กำลังกระตุกและหันไปหาอาจารย์ใหญ่อาร์เต้
อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ มีผมสีเงินที่บริสุทธิ์ราวกับแสงจันทร์ และเบื้องหลังขนตายาวเป็นแพของเธอก็มีดวงตาสีฟ้าคู่หนึ่งที่ดูราวกับจะสูบวิญญาณมนุษย์ได้
ในฐานะเป้าหมายของเกม เธอจึงเปรียบเหมือนจันทราที่ส่องสว่างแห่งเซนต์แมเรียน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่งามงดที่สุด เธอเหมาะกับชุดเดรสหรูหราที่มีขนาดเล็กกว่าขนาดจริงถึงสองไซซ์ และตกแต่งด้วยเครื่องประดับรูปดวงจันทร์สีเงินที่ห้อยลงมาบนหน้าอกของเธอ
ดาร์กตระหนักว่าเขายังอยู่ที่งานเลี้ยงเปิดเทอมของสถาบันเซนต์แมเรียน และได้รับการทดสอบเข้าร่วมสาขาวิชาของสถาบันในฐานะเด็กใหม่คนแรกที่เข้าร่วมสถาบัน
เขาพยายามนึกถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาหลังการเกิดใหม่
หลังจากที่ความทรงจำของชาติก่อนกลับคืนมา ความทรงจำของชีวิตนี้ก็พร่าเลือนไปหมด
แต่เมื่อรวมเข้ากับฉากดั้งเดิมของภาพยนตร์สถาบันเวทมนตร์ที่เคยดู เขาก็จำมันได้ในที่สุด
สถาบันเซนต์แมเรียน เป็นสถาบันเดียวในอาณาจักรที่สามารถแข่งขันกับสถาบันโฮลี มิสเทอรีได้ โดยสถาบันได้แบ่งออกเป็นสี่บ้าน
สี่บ้านเหล่านั้น ได้แก่ บ้านขุนนาง บ้านอัศวิน บ้านนักปราชญ์ และบ้านคนเขลา
นักเรียนที่อยู่ในบ้านขุนนางจะเป็นขุนนางเลือดบริสุทธิ์ที่มีสถานะโดดเด่น
ส่วนนักเรียนที่อยู่ในบ้านอัศวินจะมีความกล้าหาญเหมือนกับอัศวินหรือนักรบ
และนักเรียนของบ้านนักปราชญ์จะเป็นผู้สืบทอดความรู้ เป็นผู้รอบรู้ และเฉลียวฉลาด
แม้ว่านักเรียนของบ้านคนเขลาจะไม่มีความกล้าหาญของอัศวินและภูมิปัญญาของนักปราชญ์ แต่พวกเขาก็ไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ ทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!
ทว่าดาร์กไม่ได้วิตกเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก
ก่อนที่สายเลือดของจอมมารจะตื่นขึ้น แม้แต่การ์ดคัดสรรของสถาบันก็ไม่น่าตรวจพบมัน
อีกทั้งเขายังเป็นบุตรชายของดัชเชส ผู้มีเชื้อสายขุนนางชั้นสูงที่ขึ้นตรงต่อราชวงศ์!
ดังนั้นจะต้องได้ไปอยู่บ้านขุนนางแน่นอน
มิฉะนั้น เกมเวรนี่จะไม่สามารถไปต่อได้…
หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว ดาร์กก็เหลือบมองไปยังที่นั่งของนักเรียนปีหนึ่ง แต่เป็นการยากที่จะหาคนที่ดูเหมือนตัวเอกดั้งเดิมท่ามกลางฝูงชนที่หนาแน่น
จากนั้นดาร์กก็นึกได้ว่าเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเอกดั้งเดิมของเกมนี้ชื่ออะไร!
แต่ไม่เป็นไร เนื่องจากเด็กคนนั้นเป็นบุตรแห่งวีรบุรุษผู้ผนึกจอมมาร ในไม่ช้าเขาก็จะโดดเด่นออกมาราวกับหิ่งห้อยในความมืดอยู่ดี
ดาร์กสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดว่า “อาจารย์ใหญ่ครับ ผมพร้อมแล้ว”
“สมกับเป็นบุตรชายคนเดียวของตระกูลเดม่อน” อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ยิ้มเล็กน้อย
ในบรรดาภูตทั้งเก้าที่บินอยู่รอบตัวเธอ ภูตตัวน้อยที่มีรูปร่างเหมือนกริฟฟินได้บินเข้าหาดาร์ก
เมื่อมันบินไปตรงหน้า การ์ดเวทมนตร์เปล่าที่มีภาพมงกุฎ หอก หนังสือเวทมนตร์ และไพ่ทาโรต์ [เดอะฟูล]*[3] ปรากฏอยู่ระหว่างจะงอยปากของมัน
“รับการ์ดคัดสรรมาไว้ในมือเธอ เดม่อน”
ตามความตั้งใจของอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ ดาร์กดึงการ์ดเวทมนตร์ออกมาจากปากของภูตตัวน้อย
“วางการ์ดคัดสรรนี้ไว้ในมือซ้ายแล้วใช้มือขวาปิดไว้ ให้คิดว่าเธอชอบอะไรและต้องการอะไร การ์ดคัดสรรจะให้คำแนะนำแก่เธอเอง”
“ครับอาจารย์”
ดาร์กหรี่ตาลงและเริ่มจินตนาการ
ความเข้าใจเกี่ยวกับเกมนี้ของเขามีจำกัดจริง ๆ รู้เพียงว่าในฐานะบอสวายร้ายของเกม ชีวิตเขาจะต้องล่มจมหลังจากเลือดของจอมมารในตัวตื่นขึ้นเท่านั้น
การตื่นขึ้นของสายเลือดจอมมารนั้นดูเหมือนจะเป็นวันฉลองการบรรลุนิติภาวะของเขา
ก่อนที่เลือดของจอมมารจะตื่นขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้ลงมือกับตัวเอกตัวจริง แต่ก็ยังมีความขัดแย้งเล็กน้อยอยู่บ้าง ทว่าคงไม่ถึงจุดที่เขาจะต้องถูกฆ่าตาย
คู่หมั้นของดาร์กซึ่งเป็นตัวละครหญิงที่โด่งดังที่สุดในเกมก็ยังทิ้งเขาหลังจากที่ตัวเขากลายร่างเป็นจอมมารทำให้ตัวเอกมีโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จากมัน
ดังนั้นตราบใดที่ค้นพบวิธีที่ระงับพลังสายเลือดของจอมมารก่อนพิธีบรรลุนิติภาวะไว้ได้ เขาก็ยังเป็นบุตรชายของดัชเชส ไม่เพียงแต่จะยังมีอำนาจระดับสูง แต่คู่หมั้นก็จะไม่มีวันทิ้งเขาไปแม้ว่าเขาจะชั่วร้ายก็ตาม!
…
ทุกอย่างก็ยังดูไม่เลวร้ายเลยนี่?
…
แสงสีขาวพร่างพราวสว่างขึ้นบนฝ่ามือของเขา และดาร์กรู้สึกว่าการ์ดคัดสรรกำลังปล่อยความร้อนออกมา ราวกับมันกำลังพิมพ์การ์ดอยู่
เสียงนุ่ม ๆ ของอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ดังขึ้นอีกครั้ง “เดม่อน ชูการ์ดคัดสรรขึ้นมาแสดงให้เด็กใหม่ปีนี้ดูว่าการทำพิธีคัดสรรอย่างถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร”
“ครับอาจารย์”
ดาร์กขยับมือขวาของเขาและเห็นว่าการ์ดคัดสรรที่แสดงบนการ์ดนั้นเป็นมงกุฎที่เป็นสัญลักษณ์ของขุนนางจริง ๆ
จากนั้นเขาก็ชูการ์ดคัดสรร ถ่ายเทพลังเวทมนตร์ลงไป และกระตุ้นมัน
บึ้ม!
จู่ ๆ ประกายแสงไฟระยิบระยับก็จุดขึ้น ก่อตัวเป็นมงกุฎสีทองขนาดมหึมาในอากาศ
การ์ดคัดสรรตะโกนว่า “ดาร์ก เดม่อน บ้านขุนนาง!”
โอ้! โอ้! โอ้!
เสียงเชียร์ค่อย ๆ ดังขึ้นจากโต๊ะยาวที่นักเรียนชั้นปีอื่น ๆ ของบ้านขุนนางนั่งอยู่
“ดาร์ก เดม่อน บุตรชายเพียงคนเดียวของดัชเชสหญิง ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามวัลคีรี ย่อมต้องได้รับการคัดเลือกให้มาอยู่บ้านของพวกเราแน่นอนอยู่แล้ว!”
เยี่ยมไปเลย! ดูท่านายน้อยคนนี้จะเป็นที่ชื่นชอบในตระกูลขุนนางเลยไม่ใช่เหรอ?
มุมปากของดาร์กยกยิ้มเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ลดมือลง
[ติ๊ง! สายเลือดของจอมมารได้เข้าสู่กระบวนการปลุกสายเลือดแล้ว…]
“หา!”
อ้างอิง
[1] กัลเกม เป็นชื่อประเภทของเกมจีบสาวชนิดหนึ่ง ซึ่งเกมจีบสาวชนิดนี้จะมีจุดขายหลักคือ มีผู้หญิงที่สวยน่ารักมาเป็นตัวชูโรง
[2] H ย่อมาจาก Hentai หมายถึงการ์ตูนลามก เรต 18+ ของญี่ปุ่น
[3] The Fool เป็นหนึ่งในไพ่ทาโรต์ ซึ่งสอดคล้องกับชื่อ ‘คนเขลา’ ของบ้านลำดับที่สี่ของนิยายเรื่องนี้