ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี – บทที่ 68 จ้าวฮ่าวเป็นคนดีจริงด้วย

บทที่ 68 จ้าวฮ่าวเป็นคนดีจริงด้วย

จ้าวซื่อเฉิงมองเยี่ยนจ้าวเกอครั้งหนึ่ง แล้วพยักหน้าช้าๆ  ข้ารู้จ้าวเกอ ว่าเจ้าอยากจะพูดอะไร 

เมื่อไม่มีคนอื่น จ้าวซื่อเฉิงจะไม่ได้ใช้คำพูดเป็นทางการกับเยี่ยนจ้าวเกออีก แต่เปลี่ยนเป็นการเรียกทั่วไปแทน

 หากจะบอกว่าบรรลุฉับพลัน เช่นนั้นการเปลี่ยนแปลงของฮ่าวเอ่อร์ ก็อาจจะดูมากเกินไป และกะทันหันเกินไป 

 นิสัยของเขาเปลี่ยนไปมาก จนไม่ต้องพูดถึงเมื่อก่อนเลย ส่วนความสามารถทางโอสถ ต่อให้เป็นข้าก็คงจะเทียบไม่ได้เช่นกัน ทางด้านวรยุทธ์ เบื้องต้นข้ายังมองไม่ออก แต่ความก้าวหน้าในช่วงครึ่งปีมานี้นับว่าเหนือกว่าเมื่อก่อนมากโข 

ราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออกตรงไปตรงมาอย่างมาก ไม่มีการดูถูกเพราะว่าเยี่ยนจ้าวเกอเป็นคนรุ่นหลังแต่อย่างใด

สำหรับจ้าวฮ่าวที่ก่อนหน้านี้ไม่เป็นที่น่าสนใจเสมอมา หากจ้าวซื่อเฉิงจะบอกว่าเขารู้มากเพียงใด นั่นก็คงไม่ใช่

ถึงกระนั้นหลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงกับตัวของจ้าวฮ่าวแล้ว ขอเพียงแค่จ้าวซื่อเฉิงยินยอม แน่นอนว่าสามารถตรวจสอบทุกๆ เรื่องขององค์ชายสิบหกผู้นี้ได้ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบันอย่างแจ่มแจ้ง มิเช่นนั้นเขาก็คงไม่เหมาะที่จะเป็นราชาอาณาจักร

 ถ้าจะบอกว่าได้พบกับปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ ได้รับมรดกตกทอดมา หรือมีผู้ยิ่งใหญ่รับเป็นลูกศิษย์ ก็พอจะอธิบายได้อยู่ 

 แต่ศาสตร์แห่งการกลั่นโอสถ ไม่เพียงแต่ต้องมีพรสวรรค์ ทว่าก็ต้องสั่งสมการฝึกฝนอย่างหนักด้วยเช่นกัน ฮ่าวเอ๋อร์ก้าวมาถึงจุดสูงสุดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน 

จ้าวซื่อเฉิงส่ายหนเบาๆ  แต่ว่า เรื่องพวกนี้ค่อยตรวจสอบในภายหลังก็ได้ ข้างกายข้ามีลูกหลานที่ยิ่งกว่าเป็นเลิศคนหนึ่ง สำหรับถังตะวันออกแล้วก็เป็นเรื่องที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย 

เยี่ยนจ้าวเกอฟังไปพลาง พึมพำกับตนเองไปพลาง

สำหรับผู้ที่อยู่เบื้องบน หากผู้ที่อยู่เบื้องล่างมีความสามารถคงไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือทุกอย่างยังอยู่ในขอบเขตที่ตนควบคุมได้หรือไม่

เพียงแค่ตนเองไม่สูญเสียการควบคุมสถานการณ์ไป เช่นนั้นเบื้องล่างยิ่งความสามารถมากก็ยิ่งดี

หลายครั้ง รอยแตกบางรอยที่มองไม่เห็น ใช่ว่าคนอื่นจะมองไม่ออก เพียงแต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ ก็เท่านั้น

จ้าวซื่อเฉิงก็ยังเป็นเช่นนี้ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยนตี๋ก็ยิ่งหลอกลวงถูไถไปก่อนไม่ได้

ดังนั้นตั้งแต่ที่เยี่ยนจ้าวเกอมาถึงโลกใบนี้ ทุกสิ่งอย่างจึงเป็นไปตามลำดับขั้นอย่างช้าๆ

ไม่พูดว่าจะไม่ทำให้คนไม่สงสัยเลย แต่อย่างน้อยๆ ก็ไม่ควรจะมีความแตกต่างจากในอดีตจนเกินไป

แม้ว่าจะนำเตาผลึกหินชั้นในกลับมาได้อีกครั้ง แต่นั่นเป็นการประดิษฐ์สิ่งของขึ้น ไม่ใช่ระดับความสามารถในศาสตร์แห่งการหลอมอาวุธของตนเอง ฝีมือด้านวิชาหลอมอื่นๆ ของตัวเยี่ยนจ้าวเกอเองก็ถือว่าอยู่ในระดับกลางที่เยื้องสูง

ส่วนวิชาเข็มทองผ่านโอสถที่ถูกนำกลับมาอีกครั้ง นั่นเป็นเพียงเคล็ดวิชาหนึ่งเท่านั้น ระดับความสามารถโดยรวมในการกลั่นโอสถของเขาเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ อยู่แล้ว นับว่าสร้างความประทับใจที่มีต่อตนเองให้กับคนอื่นๆ ทีละนิดๆ

ส่วนการเปลี่ยนแปลงด้านวรยุทธ์ และการได้รับมาซึ่งของแปลกประหลาดต่างๆ โดยส่วนมากสามารถใช้คำว่า ‘ได้รับมาโดยบังเอิญ’ หรือ ’บรรลุอย่างกะทันหัน’ มาอ้างอธิบายได้

ตอนนี้เดินช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่อนาคตอันใกล้จะกางปีกโบยบินผงาด

แท้จริงแล้วมีบางครั้งที่คิดๆ ดูแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็อดขำไม่ได้ ‘จ้าวฮ่าว ช่างเป็นคนดีเสียจริง’

ความสำเร็จที่เยียนจ้าวเกอได้รับในตอนนี้ แน่นอนว่ามีมากกว่าจ้าวฮ่าวอยู่แล้ว

แต่เมื่อเทียบกับจ้าวฮ่าวที่เปิดเผยความสามารถอย่างตรงไปตรงมา ราวกับจะไม่เกรงกลัวสิ่งใด เยี่ยนจ้าวเกอกลับดูแล้วปกติกว่า

และแน่นอนว่านี่ก็เป็นเพียงการเปรียบเทียบเท่านั้น

ในสายตาของผู้คนจำนวนมาก เยี่ยนจ้าวเกอก็ผงาดขึ้นมาอย่างไร้ที่ติเช่นเดียวกัน

ทว่าเจ้าของร่างเดิมเมื่อก่อนก็มีอุปนิสัยแบบนี้เช่นกัน ดังนั้นความแตกต่างทั้งก่อนและหลังจึงไม่ได้มากเท่าใดนัก

ด้วยเหตุนี้ การที่เยี่ยนจ้าวเกอบอกกับเฟิงอวิ๋นเซิงว่าตนเองไม่อวดเบ่งนั้น นั่นก็เพราะรู้สึกว่าตนเองไม่อวดเบ่งจริงๆ

สำหรับสายตาที่ไม่คิดเช่นนั้นของเฟิงอวิ๋นเซิง เยี่ยนจ้าวเกอแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าตนน้อยใจยิ่งนัก…

นิสัยที่ชอบอวดความสามารถของตนเอง เขากำลังพยายามควบคุมมันไว้อย่างเต็มกำลัง!

จ้าวซื่อเฉิงทอดถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกจนใจอยู่บ้าง  ความสามารถที่ฮ่าวเอ๋อร์แสดงออกมาในขณะนี้ อย่าว่าแต่เจ้าใหญ่ หรือเจ้าสามเลย แม้จะเป็นเจ้าสี่ก็สู้ไม่ได้ 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย นอกจากองค์ชายใหญ่จ้าวหยวน กับองค์ชายสามจ้าวเฉิงแล้ว อันที่จริงภายในราชวงศ์ถังตะวันออกยังมีจ้าวหมิง องค์ชายสี่อีกด้วย

ลำพังแค่พรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ ไม่นับรวมจ้าวฮ่าวที่จู่ๆ ก็กลายเป็นม้ามืด จ้าวหมิงนับเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาโอรสทั้งหลายที่รายล้อมจ้าวซื่อเฉิง ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นอัจฉริยะท่ามกลางคนรุ่นเยาว์ทั่วทั้งอาณาจักรถังตะวันออก

หลายปีก่อน จ้าวหมิงฝากตัวเข้าเป็นศิษย์เขากว่างเฉิงเพื่อร่ำเรียนวิชาวรยุทธ์ เป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการของเขากว่างเฉิง

เขากว่างเฉิงทรงอำนาจมากที่สุดในนภาพิภพ จอมยุทธ์มากฝีมือล้วนแต่เข้ามาอยู่ในกำมือ ซึ่งผู้ที่เป็นอัจฉริยะของนภาพิภพต่างก็รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เข้าเป็นศิษย์ของสำนัก

เพียงแต่ว่าจ้าวหมิงที่เข้ามาร่ำเรียนที่เขากว่างเฉิงแล้ว ถ้าหากไม่มีเหตุฉุกเฉินที่ใหญ่หลวงใดๆ ตำแหน่งราชาแห่งถังตะวันออกก็จะหมดวาสนากับเขาแล้ว

อาณาจักรถังตะวันออกและอาณาบริเวณใกล้เคียงขึ้นตรงกับเขากว่างเฉิง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทั้งหมดของถังตะวันออกจะกลายเป็นเบื้องล่างที่เป็นส่วนหนึ่งของเขากว่างเฉิง

สามารถฝึกฝนวรยุทธ์ในเขากว่างเฉิงได้ หรือสามารถครอบครองตำแหน่งราชาแห่งถังตะวันออก ท้ายที่สุดแล้วสิ่งใดจะดีกว่ากันแน่ ปัญหานี้ก็ขึ้นอยู่กับความคิดและความเข้าใจของแต่ละบุคคล

ทว่าสำหรับตัวจ้าวหมิงแล้ว เขากลับอยากฝึนฝนวรยุทธ์เพียงเท่านั้น และเต็มใจที่จะเข้าศึกษาวิชาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์มากกว่า

เขาฝากตัวเข้าเป็นศิษย์เขากว่างเฉิง แม้จะดูเหมือนว่าหลุดพ้นจากอาณาจักรถังตะวันออกแล้ว ทว่าถังตะวันออกก็ยังสามารถนำตัวเขากลับไปเสริมกำลังได้เสมอ ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างถังตะวันออกและเขากว่างเฉิงแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปอีก

จ้าวซื่อเฉิงเทใจให้กับเขากว่างเฉิงมาโดยตลอด จึงไม่พยายามสร้างเรื่องที่ทำให้เกิดปัญหากับทั้งสองฝ่ายอย่างแน่นอน นอกจากโอรสคนที่สี่ที่เข้าเป็นศิษย์เขากว่างเฉิงแล้ว โอรสองค์อื่นๆ ที่เหลือล้วนอยู่ที่ถังตะวันออก

นอกจากนี้ที่คู่ควรแก่การเอ่ยถึงอีกเรื่องหนึ่งก็คือ โอรสคนรองของจ้าวซื่อเลี่ยนั้น กลับเข้าเป็นศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

ด้วยเหตุนี้ความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวซื่อเลี่ยและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จึงยิ่งแน่นแฟ้นกว่าปกติ ช่วยขยายอิทธิพลของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่หยุดหย่อน

เยี่ยนจ้าวเกอและจ้าวซื่อเฉิงต่างก็เข้าใจซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี จึงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ ชายหนุ่มพูดขึ้นอย่างช้าๆ ว่า  จ้าวฮ่าวเป็นอะไรกันแน่ ข้าเองก็ไม่มั่นใจนัก แต่จากการคาดเดาของข้า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเขา น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ยอดฝีมือในอดีต เขาอาจจะได้รับการสืบทอดมาจากนักปราชญ์ระดับสูง เซียนกระบี่ตันหั่วาก็เป็นได้ 

พูดถึงตรงนี้ ก็เพียงพอแล้ว

จ้าวซื่อเฉิงพยักหน้า ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ  เชี่ยวชาญในวิชากระบี่ เชี่ยวชาญในวิชากลั่นโอสถ โอสถหมอกควันสลาย…อืม มีความเป็นไปได้จริงอย่างที่เจ้าว่า 

เขาเงยหน้ามองเยียนจ้าวเกอแวบหนึ่ง  หากข้าจำไม่ผิด มีคำร่ำลือกันว่าเซียนกระบี่ตันหั่วกับเขากว่างเฉิงมีความความสัมพันธ์ที่ไม่สู้ดีนัก ถูกต้องหรือไม่ 

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า  เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัด แต่มีเรื่องนี้อยู่จริง ไม่ผิดพะยะค่ะ 

 นอกจากนี้ ก็ไม่รู้ว่ายอดนักปราชญ์ได้ทิ้งข้อมูลใดไว้หรือไม่ และก็ไม่รู้เช่นกันว่าจ้าวฮ่าวสืบทอดอะไรจากตรงนั้นมาบ้าง จึงทำให้เขาเหมือนกับจะมองสำนักข้าเป็นศัตรูอยู่เล็กน้อย 

จ้าวซื่อเฉิงถอนหายใจครั้งหนึ่ง  ข้าฟังจากที่เบื้องล่างมารายงาน ก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน 

 วางใจเถอะ ข้าจะจัดการแก้ปัญหาเอง หากไม่มีความคืบหน้าก็จะจัดการด้วยวิธีอื่น 

ไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเยียนตี๋ จ้าวซื่อเฉิงเองก็ไม่ปล่อยให้โอรสที่เห็นเขากว่างเฉิงเป็นศัตรูเป็นผู้สืบทอดของตนเช่นกัน

หากเป็นการทุ่มกำลังอบรมบ่มเพาะวรยุทธ์ นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ทว่าตำแหน่งราชานั้นอย่าได้หวัง

เยี่ยนจ้าวเกอคำนับครั้งหนึ่ง  ท่านลุงมีวิธีการของท่านลุงเอง จ้าวเกอไม่กล้าพูดมาก เรื่องที่พูดคุยกันในวันนี้ก็เป็นการเสียมารยาทมากแล้ว 

จ้าวซื่อเฉิงโบกไม้โบกมือ  ไม่เป็นไรหรอก บิดาเจ้ามีบุตรเช่นเจ้า มีผู้สืบทอด นับเป็นบุญวาสนา ข้าก็ยังอิจฉาเขาเลย 

ชายหนุ่มเล็กน้อย  ข้าก็หวังว่าข้ากับพี่น้องทุกคน จะมีมิตรภาพที่แน่นแฟ้นเช่นท่านลุงกับท่านพ่อขอรับ 

ในฐานะที่เป็นราชาแห่งอาณาจักรคนหนึ่ง จ้าวซื่อเฉิงอาจจะใช้อารมณ์ตัดสินปัญหามากไปหน่อย

แต่ท่านลุงผู้นี้มีกัลยาณมิตรกับบิดาของตนเองมากพอแน่นอน และยังเป็นห่วงเป็นใยในตัวของเยี่ยนจ้าวเกอมากด้วย

จ้าวซื่อเฉิงและเยี่ยนจ้าวเกอคุยกันเป็นการส่วนตัว แน่นอนว่าเหยียนซวี่เองก็จับตามองอยู่

สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลง พลางเดินไปอีกด้านหนึ่งเพียงลำพัง

มีคนหนึ่งเดินตามหลังเหยียนซวี่ด้วยท่าทีกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก  เยี่ยนจ้าวเกออยู่ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลาง ดันเอาชนะเซียวเซิงที่เป็นปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายได้เสียนี่ 

 หากเป็นเช่นนี้ ทางฝั่งลวี่เวิ่นเกรงว่าจะ… 

ฝีเท้าของเหยียนซวี่ชะงักไปครั้งหนึ่ง สีหน้าหม่นลงเล็กน้อย

ลวี่เวิ่น เป็นลูกศิษย์ที่สืบสายตรงจากฟางจุ่น อาจารย์ลุงรองของเยี่ยนจ้าวเกอ และเป็นผู้ที่โดดเด่นอยู่ในลำดับต้นๆ ของคนรุ่นเยาว์แห่งเขากว่างเฉิงเช่นเดียวกับชายหนุ่ม ทั้งยังถือว่าเป็นหน้าเป็นตาอีกด้วย

เขาอายุมากกว่าและเริ่มฝึกฝนวรยุทธ์มาก่อนเยี่ยนจ้าวเกอ ปัจจุบันอายุยี่สิบห้าปี รุ่นราวคราวเดียวกับเซียวเซิง

เขากว่างเฉิงและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน มีการบาดหมางกันมากทีเดียว

ก่อนจะเกิดความผิดปกติที่หุบเหวปราการมังกร ก็เป็นเยี่ยนจ้าวเกอที่สู้กับเฉาหยวนหลง ลวี่เวิ่นสู้กับเซียวเซิงมาโดยตลอด ทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร ต่างคนต่างก็มีดีเป็นของตนเอง

ขณะนี้ลวี่เวิ่นกำลังเข้าฌานอยู่ที่เขากว่างเฉิง เขาที่เป็นปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายเช่นเดียวกับเซียวเซิง การเข้าฌานครั้งนี้ก็เพื่อที่จะทดลองก้าวข้ามอุปสรรค บรรลุสู่ระดับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาให้ได้

ดูแล้วครั้งนี้ลวี่เวิ่นคว้าโอกาสเอาไว้ก่อน นำหน้าเซียวเซิงไปแล้วเล็กน้อย หากบรรลุถึงระดับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาได้ก่อนก้าวหนึ่งล่ะก็ นั่นก็เหมือนกับการเดินนำคนอื่นไปแล้วก้าวหนึ่งจริงๆ

แต่ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า การถือกำเนิดที่ทรงพลังยิ่งกว่าของเยี่ยนจ้าวเกอนั้น ไม่เพียงเหนือหว่าเฉาหยวนหลงที่เป็นคนหนุ่มในรุ่นเดียวกัน บัดนี้ก็ยังชนะข้ามขั้นอีกด้วย

ระดับวรยุทธ์ของเขา ก็ยิ่งเข้าใกล้กับลวี่เวิ่นมากขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากเหยียนซวี่เงียบไปนาน สีหน้าของเขาก็กลับมาเรียบนิ่งเช่นปกติ แล้วกล่าวอย่างเฉยชาว่า  ตอนนี้ทุกอย่างยังเร็วเกินไป 

……………..

ขณะที่ทุกคนมองดูเยี่ยนจ้าวเกอ ผู้อาวุโสฉิน และเหยียนซวี่ ภายในใจเกิดความคิดต่างๆ นานา

หอศิลาโอสถเป็นกิจการสำคัญที่คอยหนุนราชวงศ์ของอาณาจักรถังตะวันออก ทว่าความจริงแล้ว ในฐานะที่เขากว่างเฉิงเป็นผู้ควบคุมดูแลเกาะนภาตะวันออก ก็ย่อมมีส่วนแบ่งเป็นของตนเองเช่นกัน

ด้านหนึ่งก็เป็นเสมือนเครื่องยืนยัน รับประกันผลประโยชน์และตำแหน่งฐานะของเขากว่างเฉิงในอาณาจักรถังตะวันออก

อีกด้านหนึ่งการที่หอศิลาโอสถเป็นที่นิยม ดำเนินกิจการอยู่ในอาณาจักรถังตะวันออกได้ เขากว่างเฉิงเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่มีบทบาทสำคัญ

แม้จะไม่มีวิชาเข็มทองผ่านโอสถ ไม่มีโอสถหมอกควันสลายในช่วงนี้ ทว่าหอศิลาโอสถก็มีกำไรมหาศาลอยู่แล้ว

ก่อนหน้านี้ อำนาจการจัดการเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องระหว่างเขากว่างเฉิงและหอศิลาโอสถนั้น อยู่ในมือของผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออก

จากขอบเขตของตำแหน่ง นี่ก็เป็นอำนาจที่ผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออกพึงมีด้วยเช่นกัน

เยี่ยนจ้าวเกอชนะและได้ส่วนแบ่งของหอศิลาโอสถจำนวนมาก จากมือของจ้าวซื่อเลี่ยมาเป็นการส่วนตัว ตามหลักเหตุผลทั่วไปแล้ว ส่วนแบ่งเหล่านี้ล้วนต้องมอบให้กับทางสำนักทั้งหมด ให้ทางสำนักรวบรวมจัดการ ส่วนทางสำนักก็ค่อยบำเหน็จรางวัลอื่นชดเชยให้กับเยี่ยนจ้าวเกอ

การมอบบำเหน็จรางวัลนี้ โดยปกติก็ต้องส่งมอบให้เหยียนซวี่ ผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออกเป็นคนจัดการ

แต่ตอนนี้ สถานการณ์กลับตรงข้ามอย่างเห็นได้ชัด ส่วนแบ่งทั้งหมดกลับตกไปอยู่ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอแทน

มูลค่ามากเท่าใดไม่ต้องพูดถึง นี่เป็นการหยิบมีดกรีดเนื้อบนร่างกายของเหยียนซวี่อย่างไม่ต้องสงสัย

จอมยุทธ์คนอื่นๆ ต่างก็มองผู้อาวุโสฉินด้วยความสงสัย แม้แต่จ้าวซื่อเฉิง ราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออกก็ชำเลืองมองอย่างพินิจพิเคราะห์

น้ำเสียงของท่านผู้อาวุโสฉินเรียบเฉย สีหน้าของเหยียนซวี้ก็นิ่งสงบเช่นกัน

เยี่ยนจ้าวเกอมองภาพนี้แล้ว เขายิ้มแต่ไม่พูดอะไร

ระหว่างบิดาของตน เยี่ยนตี๋และอาจารย์ลุงรอง ฟางจุ่น จุดยืนของผู้อาวุโสฉินก็ยังคงอยู่กึ่งกลางเช่นเคย

ถึงแม้ว่าความรู้สึกที่มีต่อเยี่ยนจ้าวเกอจะเปลี่ยนแปลงแล้ว บัดนี้เขาชื่นชมชายหนุ่มเป็นอย่างยิ่ง ทว่าก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้เขาเอนเอียงไปทางฝ่ายของเยี่ยนตี๋ด้วยเหตุผลเช่นนี้

การกระทำเช่นนี้ของผู้อาวุโสฉิน เป็นการให้รางวัลหนุนใจเยี่ยนจ้าวเกอ ในขณะเดียวกันก็เป็นการตักเตือนสั่งสองเหยียนซวี่

ก่อนหน้านี้ที่เหวินหนิงจือรายงานไม่สำเร็จ ทว่ากลับลากตนเองเข้าไปเอี่ยวด้วย เขาเป็นคนที่เหยียนซวี่เชื่อใจ ผู้อาวุโสฉินย่อมต้องจับตามองความสัมพันธ์ของทางฝั่งถังตะวันออกกับเยี่ยนจ้าวเกอเป็นธรรมดา

การสิ้นชีพของหลินอวี้เสา แม้จะยังไม่สามารถสรุปผลออกมาได้ ทว่าในขณะนี้ข้อสงสัยในตัวของเยี่ยนจ้าวเกอก็ถูกตัดออกไปแล้ว

เช่นนั้นแล้วความจริงนางถูกใครทำร้ายกันแน่ นี่เป็นสิ่งที่ควรแก่การสืบเสาะต่อไป

ศพถูกพบและคุ้มกันโดยคนของเหยียนซวี่ บาดแผลเกิดจากวิชาฝ่ามือดุสิต ซึ่งเหยียนซวี่เองก็รู้ซึ้งในวิชาฝ่ามือดุสิตเช่น ด้วยวรยุทธ์ของเขาแล้ว หากต้องการจะสร้างร่องรอยการลงมือของปรมาจารย์ขั้นจิตรานอกระยะต้นนั้น ก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง…

ถึงอย่างไรผู้อาวุโสฉินก็ไม่ได้คิดว่าเหยียนซวี่เป็นผู้ลงมือสังหารหลินอวี้เสาเช่นกัน แต่เพื่อจะจัดการกับเยี่ยนจ้าวเกอ ก็ไม่แน่ว่าเหยียนซวี่อาจจะลงไม้ลงมืออะไรบางอย่างไป

บัดนี้เขาตัดทอนอำนาจส่วนหนึ่งชองเหยียนซวี่ไป แล้วมอบให้กับเยี่ยนจ้าวเกอเป็นผู้รับผิดชอบ นั่นเท่ากับเป็นการตักเตือน

ส่วนเรื่องของการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักของเยี่ยนตี๋และฟางจุ่น ผู้อาวุโสฉินไม่ได้สนใจจะร่วมด้วย ทว่าสำหรับชายชราผู้นี้แล้ว ทั้งสองฝ่ายสู้ก็อยู่ส่วนสู้ ขอบเขตบางอย่างก็ยังจำเป็นต้องรักษาไว้

‘กำไรจะมากหรือน้อยก็เป็นเพียงแค่ด้านหนึ่ง’ เยี่ยนจ้าวเกอคิดอย่างสบายอกสบายใจว่า ‘นี่นับได้หรือไม่ว่า จากที่ข้าเป็นเพียงคนที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย กลายเป็นผู้ที่สามารถหาเงินได้ด้วยตนเองแล้ว?

ผู้อาวุโสฉินกล่าวต่อว่า  เจ้าหาสตรีจันทราพบ แล้วนำนางมาเข้าสำนักก็เป็นผลงานชิ้นใหญ่เช่นกัน 

 ยิ่งใหญ่เสียกว่าความดีความชอบจากวิชาเข็มทองผ่านโอสถ ระดับของเตาผลึกหินชั้นใน และการค้นพบแก่นสารหยก และสิ่งอื่นๆ เสียอีก 

 แต่สภาพจันทรากายสหายเฟิงยังต้องรอการฟื้นฟูอยู่ ตอนนี้พูดเรื่องนี้นับว่ายังเร็วไป ฉะนั้นบำเหน็จของความชอบนี้ไว้ค่อยว่ากันทีหลังก็แล้วกัน 

 หากจันทรากายของสหายเฟิงฟื้นกลับมาได้จริงๆ ทางสำนักจะมีบำเหน็จเป็นพิเศษให้กับเจ้าอย่างแน่นอน 

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า แม้ว่าจะยังไม่รู้รายละเอียดแน่ชัด แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นกับบำเหน็จนี้อยู่บ้างเช่นกัน

ผู้อาวุโสฉินกล่าวว่า  เจ้าเอาชนะเซียวเซิงได้ สร้างชื่อเสียงให้กับเขากว่างเฉิงของเรา แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับความดีความชอบที่นำสตรีจันทรามาเข้าสำนัก แต่ก็มีบำเหน็จรางวัลให้เช่นกัน 

 บำเหน็จรางวัลด้านนี้ จะต้องให้ทางสำนักเป็นผู้ตัดสิน ให้ข้าตัดสินเองก็คงจะไม่ดีนัก เพราะอย่างไรเสียเจ้าก็ไม่ใช่จอมยุทธ์ที่อยู่อาศัยที่เกาะนภาตะวันออกในระยะยาว 

 แต่เจ้าก็สร้างผลงานอย่างต่อเนื่อง ทางสำนักคงไม่ใจแคบกับเจ้านักหรอก ดังนั้นข้าสามารถให้สิทธิพิเศษกับเจ้าได้อย่างหนึ่ง ต้องการสิ่งใดเจ้าสามารถเลือกเองได้ แล้วข้าจะไปรายงานให้กับทางสำนัก 

 เจ้าก็เข้าใจกฎระเบียบดี คิดว่าเจ้าคงไม่ขอรางวัลอะไรที่เป็นไปไม่ได้ 

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้นก็ยิ้มครั้งหนึ่ง แล้วพยักหน้า  ขอบคุณสำนักและท่านผู้อาวุโสฉินเป็นอย่างมาก ข้าไม่ขอปิดบังท่านก็แล้วกัน ข้ายังมีสิ่งหนึ่งที่อยากได้อยู่จริงๆ 

ผู้อาวุโสฉินเอ่ยถาม  โอ้ สิ่งใดหรือ 

ชายหนุ่มยิ้มพลางกล่าวว่า  ข้าอยากได้ของของท่านชิ้นหนึ่ง นั่นก็คือน้ำเต้าหิมะเก้าสมบัติ ที่มาจากเขาปักษาเดียวปักษาแห่งอัสนีพิภพขอรับ 

อีกฝ่ายได้ยินดังนั้นก็มองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอด้วยสายตาสงสัย  เจ้ามีของล้ำค่าที่ต้องเก็บรักษาไว้ในระยะยาวหรือ 

 ข้ารู้มาว่าเจ้าเก็บเอาจิตมังกรน้ำแข็งมาแล้ว เดิมทีก็คิดว่าจะให้โครงกระดูกทั้งหมดกับเจ้าไป 

 แต่การเก็บจิตมังกรน้ำแข็ง หินหยกขนาดใหญ่ก็น่าจะใช้ได้แล้ว 

เยี่ยนจ้าวเกอจึงพูดว่า  ไม่ใช่จิตมังกรน้ำแข็งแต่อย่างใดขอรับ แต่เป็นของอย่างอื่น ไม่ทราบว่าท่านจะสามารถสละของรักชิ้นนี้ให้ข้าได้หรือไม่ 

ผู้อาวุโสฉินโบกมือแล้วก็หยิบน้ำเต้าสีขาวออกมา ก่อนจะโยนไปทางเยี่ยนจ้าวเกอ  มีอะไรจะตัดใจไม่ลงกันเล่า 

 ของสิ่งนี้แม้จะพบเจอได้น้อย แต่ก็ไม่ได้ล้ำค่าอะไร ตอนนั้นข้าเองก็เจอกับโอกาสที่เหมาะเจาะพอดิบพอดี จึงได้มาชิ้นหนึ่งโดยบังเอิญ เลยเก็บเอาไว้มาโดยตลอด 

 ก็เหมือนกับซี่โครงไก่ จะกินก็ไม่ได้รสชาติ แต่จะทิ้งก็เสียดาย 

 หากเจ้าต้องการเพียงแค่สิ่งนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องให้สำนักตัดสิน ข้าตัดสินให้เจ้าด้วยตัวเองได้เลย 

เยี่ยนจ้าวเกอรับเอาน้ำเต้าหิมะเก้าสมบัติเอาไว้ เมื่อสัมผัสโดนมือเข้า ชายหนุ่มพลันรู้สึกได้ถึงความเย็น จึงยิ้มในทันที พลางกล่าวว่า  ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสขอรับ 

ผู้อาวุโสฉินมองเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วเหมือนกับนึกอะไรขึ้นมาได้  เจ้าเด็กน้อย เจ้ามีความคิดอะไรใหม่อีกแล้วใช่หรือไม่ 

เจ้าเด็กน้อยที่ว่าหัวเราะเหอะๆ อย่างไม่ปิดบัง  มีความคิดบางอย่างจริงขอรับ แต่เบื้องต้นยังเป็นเพียงแค่ความคิด จะทำได้หรือไม่ ยังจำเป็นต้องลองดูก่อนขอรับ 

ผู้อาวุโสฉินยื่นนิ้วชี้ออกไปจิ้มเยี่ยนจ้าวเกอ  เจ้านะเจ้า ยังไม่เลิกทำให้เป็นห่วงอีกนะ! 

แม้จะกล่าวเช่นนี้ ทว่าน้ำเสียงกลับอ่อนโยน ในแววตาที่มองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอมีความยินดีและชื่นชมปะปนอยู่อย่างเห็นได้ชัด

เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินก็กลับอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา ด้วยไม่รู้ว่าครั้งนี้เยี่ยนจ้าวเกอคิดจะทำอะไรอีก

เหตุการณ์ต่างๆ ก่อนหน้านี้ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า เยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้ ไม่สามารถวัดได้ด้วยสามัญสำนึกทั่วไปจริงๆ

แม้เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวออกมาอย่างเฉยเมย ทว่าก็อาจจะเป็นพายุฝนฟ้าคะนองอีกครั้งก็เป็นได้

เมื่อพูดคุยบำเหน็จรางวัลของเยี่ยนจ้าวเกอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฉินก็ได้จัดคนตรวจสอบการสิ้นชีพของหลินอวี้เสาอย่างละเอียด

ตัวเขาต้องรับมือกับแรงกดดันของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และทะยานบูรพา กล่าวตามหลักแล้ว หลินอวี้เสาถูกทำร้ายบนแผ่นดินถังตะวันออก ฉะนั้นก็ควรจะต้องเป็นความรับผิดชอบของเหยียนซวี่ ผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออก

แต่ตอนนี้ให้เหยียนซวี่จัดการก็เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะสมอีกต่อไป ดังนั้นผู้อาวุโสฉินจึงจัดการส่งคนอื่นที่ติดตามตนเองมาที่ถังตะวันออกให้ตรวจสอบเรื่องนี้แทน

ส่วนเยี่ยนจ้าวเกอ แม้ว่าจะยืนยันได้แล้วว่าการสิ้นชีพของหลินอวี้เสาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเขาเลย ทว่าก็ยังคงต้องหลีกเลี่ยงการตกเป็นผู้ต้องสงสัยอีกครั้งอยู่ดี

ก่อนหน้านี้เยี่ยนจ้าวเกออาสาขอเป็นผู้ตรวจสอบ ความจริงแล้วแค่จะแสดงทัศนคติและความสำคัญของตนเองออกมาให้ชัดเจนเท่านั้น

การปะทะกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ เขากว่างเฉิงและอาณาจักรถังตะวันออกจำเป็นต้องมีความเข้าใจที่สื่อถึงกัน

ความเคลื่อนไหวที่จะเกิดขึ้นในอาณาจักรถังตะวันออก ไม่ว่าจะเกิดจากเยี่ยนจ้าวเกอ ผู้อาวุโสฉิน หรือเหยียนซวี่ ก็ต้องแจ้งให้กับจ้าวซื่อเฉิง ราชาอาณาจักรถังตะวันออกทราบด้วย

หลังจากตกลงทุกอย่างเรียบร้อยแล้วในขั้นต้น เยี่ยนจ้าวเกอจึงไปส่งจ้าวซื่อเฉิงที่ประตู แล้วใช้ปราณจิตราส่งกระแสจิตไปว่า ‘ท่านลุง ข้าอยากคุยกับท่านเรื่องจ้าวฮ่าว โอรสองค์ที่สิบหกของท่านพะยะค่ะ’

…………..

จ้าวซื่อเฉิงมองเยี่ยนจ้าวเกอพลางพยักหน้าช้าๆ  แต่ไหนแต่ไรจ้าวเกอก็มีพรสวรรค์โดดเด่นอยู่แล้ว แต่ดูจากตอนนี้ เมื่อก่อนคงยังไม่ได้แสดงความสามารถออกมาทั้งหมดสินะ 

 เจ้าเพิ่งแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาในวันนี้ พูดในอีกมุมหนึ่งคือเก็บลึกแสดงออกน้อย 

เยี่ยนจ้าวเกอประสานมือคารวะให้กับจ้าวซื่อเฉิง  ท่านลุงกล่าวชมเกินไปแล้วพะยะค่ะ แต่ครั้งนี้ลำบากท่านลุงแล้ว 

ราชาอาณาจักรถังตะวันออกและผู้อาวุโสฉิน ร่วมมือกันขับไล่ทะยานบูรพาแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไป ก็ไม่ต่างอะไรกับการเลือกข้างอย่างชัดเจนระหว่างเขากว่างเฉิงกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

ถังตะวันออกเป็นส่วนหนึ่งของเกาะนภาตะวันออกแห่งนภาพิภพ ใกล้ชิดกับเขากว่างเฉิงเสมอมา

ทว่าอย่างไรเสียปัจจุบันสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็มีอำนาจมาก พื้นที่ของอาณาจักรถังตะวันออกและอัคคีพิภพที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นชายแดนที่ติดต่อกันโดยตรง

การเปิดศึกอย่างสมบูรณ์ระหว่างสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นมีสิ่งที่ต้องเป็นห่วงอย่างมาก แต่ถ้าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะจัดการกับอาณาจักรถังตะวันออก ก็เป็นเรื่องง่ายดายเหมือนการพลิกฝ่ามือ

แม้ว่าเขากว่างเฉิงจะตามคิดบัญชีให้ในภายหลัง ทว่าหากอาณาจักรถังตะวันออกจะต้องรับความเสียหาย นั่นก็คือภัยพิบัติที่เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน

การสูญเสียทรัพยากรสิ่งของจนถึงกระทั่งผืนแผ่นดิน ล้วนเป็นของนอกกายสามารถทดแทนและหาใหม่ได้ มีเพียงการสิ้นชีพของคนเท่านั้นที่มิอาจหวนคืน

จ้าวซื่อเฉิงส่ายหน้าไปมา  การปฏิวัติครั้งนี้ของหอศิลาโอสถ เดิมทีก็ต้องการที่จะทำให้จ้าวซื่อเลี่ยถอยออกไปอยู่แล้ว นั่นหมายความว่าการแสดงจุดยืนที่มีต่อสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว 

 ใจของข้าอยู่ข้างเขากว่างเฉิงมาโดยตลอด สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ เพียงแต่ครั้งนี้แค่นำทุกสิ่งมาวางเรียงไว้ตรงหน้าของตนเองก็เท่านั้น 

บุตรชายเพียงคนเดียวของสหายเก่าพบเจอกับภัยคุกคามบนแผ่นดินถังตะวันออก จ้าวซื่อเฉิง ราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันผู้นี้ ย่อมไม่ปล่อยผ่านไปเป็นธรรมดา

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องช่วยเหลือเยี่ยนจ้าวเกออย่างถึงที่สุด

ผู้อาวุโสฉินแสดงความเห็นอีกครั้งทันที  ในช่วงเวลาสถานการณ์พิเศษนี้ ข้าจะประจำการณ์อยู่ที่ถังตะวันออก 

 เช่นนั้นก็ต้องลำบากท่านผู้อาวุโสฉินแล้ว  แม้ว่าจะเผชิญกับความกดดันมหาศาลจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ทว่าท่าทีของจ้าวซื่อเฉิงก็ยังคงสุขุมเช่นเคย

เขามองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ  ที่ผ่านมาข้าไม่เคยรู้เลย ว่าเจ้าจะมีฝีมือการกลั่นโอสถยอดเยี่ยมขนาดนี้ 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย  ท่านลุงกล่าวเกินไปแล้วพะยะค่ะ ช่วงนี้ข้าได้รับข้อมูลบางอย่างมาไว้ในมือโดยบังเอิญ จึงศึกษาด้วยตนเองก่อน ทั้งนี้ข้อมูลนั้นยังคงไม่เป็นระบบระเบียบ จำเป็นต้องใช้เวลาในการวิจัยอย่างลึกซึ้งต่อไปขอรับ 

จ้าวซื่อเฉิงถอนหายใจ แล้วพูดว่า  วิชาเข็มทองผ่านโอสถก็เหมือนเช่นเตาผลึกหินชั้นใน หลังจากวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ต่างก็ขาดการสืบทอดไปโดยสิ้นเชิง มีเพียงชื่อของมันที่หลงเหลือให้ได้ยินเท่านั้น 

 วาสนาของเจ้านี่ดีจริงๆ เลย 

ในขณะที่กล่าวก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อเยี่ยนจ้าวเกอสักคำหนึ่ง ทว่าสีหน้าน้ำเสียงค่อนข้างเคร่งขรึมจริงจัง

เหยียนซวี่และคนอื่นๆ ต่างก็ตกใจเล็กน้อย  เข็มทองผ่านโอสถอย่างนั้นหรือ? 

ส่วนผู้อาวุโสฉินนั้นได้ข่าวคราวมาจากทางสำนักบ้างแล้วก่อนหน้านี้ จึงไม่ได้ตกใจมากแต่อย่างใด

เขาในฐานะผู้นำสูงสุดในพื้นที่เกาะนภาตะวันออกนี้ และระยะนี้เยี่ยนจ้าวเกอก็เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ดูแลของเขา มีข่าวคราวก็ต้องรายงานให้กับเขาเป็นธรรมดา

 ก่อนหน้านี้บอกว่ายังอยู่ในช่วงทดลองไม่ใช่หรือ หรือว่าเจ้าควบคุมมันได้แล้วจริงๆ  ใบหน้าของผู้อาวุโสฉินเผยให้เห็นความยินดีเล็กน้อย

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าพลางยิ้มเล็กน้อย  ยังศึกษาอยู่ขอรับ แต่ค่อยๆ ชำนาญการหลอมโอสถที่อยู่ในระดับพื้นฐานขึ้นมาแล้ว 

จ้าวซื่อเฉิงส่ายหน้า  โอสถรักษาแผลพวกนั้นช่างมันก่อน โอสถหมอกควันสลายไม่ใช่โอสถระดับพื้นฐาน นั่นเรียกได้ว่าเป็นโอสถรักษาระดับศักดิ์สิทธิ์แล้ว 

เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากผู้อาวุโสฉินและจ้าวซื่อเฉิงแล้ว คนอื่นๆ ถึงเริ่มเข้าใจแล้วว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร

ใบหน้าเหยียนซวี่ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก เดิมทีลึกลงไปในดวงตาที่จับจ้องเยี่ยนจ้าวเกออยู่ แฝงความเย็นชาเอาไว้เล็กน้อย

ทว่าบัดนี้ ความเยียบชานั้นได้มลายหายไปจนสิ้น เหลือไว้เพียงความสงบนิ่ง

นี่ไม่ได้หมายความว่าเรื่องก่อนหน้านี้จะจางหายไปเหมือนเมฆที่ล่องลอยผ่านไป

กลับกัน เหยียนซวี่มองเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้ ไม่ได้เหมือนผู้อาวุโสพินิจมองชนรุ่นหลังอีกต่อไปแล้ว

วินาทีนี้ เขามองว่าเยี่ยนจ้าวเกออยู่ในระดับเดียวกันกับตนเองเป็นครั้งแรก

ถึงแม้ว่าระดับวรยุทธ์ของเยี่ยนจ้าวเกอจะอยู่ห่างไกลจากเขา ทว่าศาสตร์แห่งการหลอมอาวุธ เตาผลึกหินชั้นใน ศิลาลายเมฆเปลี่ยนเป็นแก่นสารหยก วิชาเข็มทองผ่านโอสถ ยังมีพรสวรรค์และความสามารถส่วนตัวในด้านวรยุทธ์ที่มากเกินกว่าปกติ…

เรื่องราวสามารถมีครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สองได้ แต่จะมีครั้งที่สามหรือสี่ไม่ได้แล้ว

สองครั้งแรกคือความบังเอิญ นับเป็นโชคชะตา ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง ความบังเอิญก็จะกลายเป็นความจำเป็น

เหยียนซวี่มองเยี่ยนจ้าวเกอเงียบๆ ครั้งหนึ่ง แล้วจึงละสายตากลับไป ราวกับจะไม่สนใจอีก

ทว่าแท้จริงแล้วเขาให้ความสำคัญเยี่ยนจ้าวเกอยิ่งกว่าเดิม และยังหมายถึงการตัดสินใจที่มั่นคงแน่วแน่มากขึ้นอีก

คิดในแง่ของการสืบทอด เมื่อการแข่งขันแย่งชิงของรุ่นที่สองตกอยู่ในสภาวะแน่นิ่ง รุ่นที่สามที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง เป็นได้มากที่จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในท้ายที่สุดของรุ่นผู้อาวุโส

ความหวาดระแวงของเหยียนซวี่ที่มีต่อเยี่ยนจ้าวเกอสองพ่อลูกนั้น มีมากกว่าคนอื่นๆ

นั่นไม่ได้มีที่มาจากความเกี่ยวพันในการปะทะแย่งชิงของแต่ละฝ่ายเท่านั้น ทว่ายังเชื่อมโยงกับความหวาดกลัวที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ในส่วนลึกในใจของเขา

จากการที่เยี่ยนตี๋แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังอำนาจนับวันก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เท่านี้เหยียนซวี่ก็เกิดความรู้สึกกินไม่ได้นอนไม่หลับแล้ว

‘เรื่องในตอนนั้นหากพวกเขาสองพ่อลูกรู้เข้าว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับข้า…’

‘เดิมทีคิดว่าแค่ต้องระวังเยี่ยนตี๋ แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าไม่ใช่แค่เยี่ยนตี๋เท่านั้น หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เจ้าเด็กนี่ก็คงจะเป็นภัยที่ใหญ่เอาเรื่องเช่นกัน’

‘เพราะเด็กคนนี้ ชื่อเสียงอำนาจของเยี่ยนตี๋ก็ยิ่งมากขึ้น ถึงขั้นที่อาจจะกดท่านผู้อาวุโสฟางได้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป…’

เหยียนซวี่หายใจเข้าลึก สายตาสงบนิ่งมืดมนลงเรื่อยๆ

เดิมที่ในใจของเขายังมีความลังเลอยู่บ้าง ทว่าในตอนนี้ความรู้สึกนั้นหมดสิ้นไปแล้ว

ส่วนจอมยุทธ์ระดับสูงแห่งเขากว่างเฉิงคนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ ก็ยิ่งมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนขึ้น

ผู้ที่ใกล้ชิดกับฝ่ายของเยี่ยนตี๋ มีความรู้สึกยินดีกับความสามารถของชายหนุ่ม แต่ก็ยากที่จะปักใจเชื่อ ส่วนผู้ที่ใกล้ชิดกับฝ่ายของอาจารย์ลุงรองของเขากลับรู้สึกสับสนที่สุด

อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นคนในเขากว่างเฉิงเช่นกัน ในสำนักของตนเองมีอัจฉริยะรุ่นหลังที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาคนหนึ่ง นับว่าเป็นหน้าเป็นตาให้กับพวกเขาและสำนัก จึงต้องรู้สึกยินดีเป็นธรรมดา

ถึงกระนั้นคนรุ่นหลังที่ยอดเยี่ยมผู้นี้ กลับเป็นคนของฝ่ายตรงข้ามเสียนี่

สำหรับความคิดของทุกคน เยี่ยนจ้าวเกอก็พอจะคาดเดาได้

ความจริงแล้วขณะนี้เขากำลังเตรียมกลั่นโอสถเทพชนิดหนึ่ง เพื่อเป็นการปูทางสำหรับอนาคต และเผื่อใช้เป็นแผนรับมือฉุกเฉินในการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักของบิดา

โอสถนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในโลกแปดพิภพอีกเลยหลังจากวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ เมื่อกลั่นออกแล้วย่อมไม่มีใครรู้จัก

โอสถเป็นสิ่งที่แตกต่างกับอาวุธ เพราะจอมยุทธ์ไม่สามารถสื่อสารหรือทดลองใช้มันได้ เช่นที่ทำกับอาวุธวิเศษหรืออาวุธวิญญาณ

อย่างไรโอสถก็เป็นสิ่งที่ต้องกินเข้าไป หลังจากกินเข้าไปแล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่พูดยาก

สำหรับคนส่วนมากอาจเป็นยาบำรุงชั้นดี ทว่าสำหรับบางคนอาจเป็นพิษร้ายแรง เหตุการณ์เช่นนี้ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น

จึงเป็นเรื่องปกตินัก ที่หลายคนจะเกิดความระแวงและลังเลใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นเยี่ยนจ้าวเกอจำเป็นจะต้องปูทางเอาไว้ก่อน

ทำให้คนอื่นๆ เกิดความประทับใจว่า ‘เยี่ยนจ้าวเกอมีระดับความสามารถในการปรุงโอสถสูงยิ่งนัก สามารถเชื่อถือได้อย่างแน่นอน’

แต่เพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตามากจนเกินไป การปูทางนี้จะต้องค่อยๆ ทำทีละก้าวตามลำดับขั้น

ในขณะเดียวกันกับการปูทาง ก็สร้างความมั่นคงในการควบคุมอาณาจักรถังตะวันออกของเขากว่างเฉิงต่อไปอีกด้วย ขับไล่กรงเล็บที่ยื่นเข้ามาของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ออกไป ลงทุนหนึ่งแรงได้ผลตอบรับมากมาย

หลังจากที่ผู้อาวุโสฉินเข้าใจในความเป็นมาของเรื่องทั้งหมดแล้ว ก็หันไปพยักหน้าเบาๆ ให้กับจ้าวซื่อเฉิงก่อน  ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ที่มีโอรสที่ยอดเยี่ยมอีกคน 

ใบหน้าจ้าวซื่อเฉิงหนักแน่น  ฮ่าวเอ๋อร์อยู่เหนือความคาดหมายของข้าจริงๆ แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังต้องรอการพิสูจน์ก่อน 

 นอกจากนี้ ด้วยตำแหน่งที่อยู่ในหอศิลาโอสถของจ้าวซื่อเลี่ย แม้ว่าเขาจะพ่ายให้กับจ้าวเกอไปแล้ว แต่ข้ารู้จักเขาดี เขาจะไม่ยอมถอยออกไปง่ายๆ แน่ 

 หลายปีมานี้ เขาส่งคนเข้าไปสอดแนมในหอศิลาโอสถจำนวนไม่น้อย ภายในมีผู้ที่คิดการไม่ดีที่จำเป็นจะต้องกำจัดให้หมดสิ้น 

 แต่เมื่อไม่กี่วันมานี้ ก็ทำสำเร็จไปแล้ว  จ้าวซื่อเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง

ผู้อาวุโสฉินพยักหน้า  วิธีการของฝ่าบาท แน่นอนว่าข้าทราบดีอยู่แล้ว 

เมื่อกล่าวจบเขาก็หันไปมองเยี่ยนจ้าวเกอ  จ้าวเกอ ครั้งนี้เจ้าก็สร้างความดีความชอบติดกันหลายครั้งอีกแล้ว 

 ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ระหว่างรอให้ทางสำนักตัดสิน ภายในขอบเขตพื้นที่ข้ามีอำนาจ ข้าสามารถให้บำเหน็จรางวัลกับเจ้า สำหรับความดีความชอบที่เจ้าได้กระทำที่หอศิลาโอสถครั้งนี้ 

 เจ้าศึกษาวิชาโบราณเช่นวิชาเข็มทองผ่านโอสถได้ ซึ่งสามารถยกระดับประสิทธิภาพให้กับโอสถได้จริง ในขณะเดียวกันก็ขับไล่หนอนบ่อนไส้ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในหอศิลาโอสถได้สำเร็จ 

 นอกจากส่วนแบ่งในหอศิลาโอสถที่เจ้าชนะได้จากจิ่นอ๋องด้วยตัวของเจ้าเอง ส่วนแบ่งที่เดิมทีทางสำนักได้ถือเอาไว้อย่างลับๆ ภายในหอศิลาโอสถนั้นก็ขอยกให้เป็นเจ้าทั้งหมด 

 ผลผลิตกำไรทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากเจ้า ข้าจะให้เจ้าเป็นคนจัดสรรแบ่งปันเอง แต่หากสำนักต้องการ เจ้าจำต้องจัดแบ่งให้สำนักโดยไม่ให้สำนักขาดทุน โดยใช้ราคาตลาดหรือทรัพยากรที่เจ้าต้องการแลกเปลี่ยนกัน 

 ส่วนเรื่องที่เกี่ยวข้องระหว่างสำนักกับหอศิลาโอสถ ก็ยกให้เจ้าเป็นคนตัดสิน 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย  ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสฉินขอรับ 

คนอื่นๆ ต่างมองหน้ากัน ส่วนเหยียนซวี่ยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึกเช่นเดิม

……………

ตำแหน่งตันเถียนของเยี่ยนจ้าวเกอมีปราณจิตราขยับหนึ่งนิ่งหนึ่งรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน แปรเปลี่ยนเป็นรูปเต่าและงู อัศจรรย์เฉกเช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงของหยินหยาง

วิชาจากจากคัมภีร์หมัดจอมยุทธ์ ขับเคลื่อนหมัดเต่าสยบคลื่นและหมัดราชันงูสวรรค์ ภาพที่เกิดจากวรยุทธ์แท้สั่นสะเทือนประตูเลือดทวารซางฉวี แล้วแรงระเบิดที่น่ากลัวก็เกิดขึ้นในทันที

เยี่ยนจ้าวเกอก้าวเท้าออกหนึ่งก้าว ไปอยู่ตรงหน้าของชายร่างกำยำ

ไม่ต้องพูดถึงภายในอาคาร ต่อให้เป็นพื้นที่กว้างด้านนอกอาคาร ชายร่างกำยำที่มีระดับวรยุทธ์ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายผู้นี้ ก็ใช้ปราณจิตราลอยตัวขึ้นไม่ทัน!

พลังทั่วร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอระเบิดออก ก่อนที่เขาจะพลิกฝ่ามือแล้วฟาดลงไปทันที!

ในฝ่ามือของชายหนุ่มเป็นสีม่วงแดง ปราณที่ร้อนแผดเผาทำให้ชายร่างกำยำเหมือนกับตกลงไปในเตาร้อน ซึ่งนั่นก็คือฝ่ามือดุสิต วิชาสืบทอดของเขากว่างเฉิง

ชายร่างกำยำแม้จะตะลึงในความเร็วของเยี่ยนจ้าวเกอเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรเขาก็มีวรยุทธ์ในขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย จึงตั้งฝ่ามือขึ้นเสมือนกับตั้งดาบในทันที แล้วยกมือทั้งสองข้างขึ้น

ในขณะที่ปราณจิตรากำลังถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง ก็เปลี่ยนเป็นดาบยาวสองเล่ม ร่ายรำไปมาอยู่ในอากาศ

ดาบจิตราทั้งสองเล่ม เล่มหนึ่งอยู่ข้างบน เล่มหนึ่งอยู่ข้างล่างลอยวนไปมา เล่มหนึ่งรับฝ่ามือที่เยี่ยนจ้าวเกอฟาดลงมา ส่วนอีกเล่มหนึ่งกำลังฟันตรงไปที่ช่วงอกของเขา

บัดนี้ดาบจิตราเจิดจ้า ไอดาบเย็บเยียบมากมายมหาศาล ราวกับสภาพอากาศมากมายเกิดขึ้นพร้อมกัน

หนึ่งในยอดวิชาแปดพิภพ ดาบวิญญาณแปดฉาก!

ยุทธ์วิชานี้ไม่เหมือนวิชาดาบเทพผสานปราณที่ แข็งแกร่งดุเดือดไร้เทียมทาน ทว่าเป็นวิชาดาบที่มีการเปลี่ยนแปลงทิศทางของดาบอันน่าอัศจรรย์

เป็นวิชาวรยุทธ์ประเภทเดียวกันกับหัตถ์เงาสนทยาของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

ทว่าส่วนที่ต่างกันก็คือ ในบรรดายอดวิชาแปดพิภพ วิชาดาบวิญญาณแปดฉากและวิชาฝ่ามือดุสิตนั้นหักล้างกัน หรืออีกความหมายก็คือ วิชาดาบวิญญาณแปดฉากสามารถสกัดกั้นฝ่ามือดุสิตได้นั่นเอง!

ประกายดาบสาดส่องไปทั่วสารทิศ ราวกับมีตะเกียงวังภูมิทัศน์ดวงหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ

เตาเพลิงแม้จะไม่ใช่เพลิง ทว่าความรุนแรงของเพลิงสีม่วงจากฝ่ามือดุสิต เมื่อปะทะเข้ากับแสงที่เกิดจากดาบวิญญาณแปดฉากแล้ว ก็พลันลดความรุนแรงลงในทันที

และในขณะที่ประกายดาบหมุนวน มันก็ราวกับเปลี่ยนเป็นตะเกียงขนาดมหึมา หมุนวนไปแล้วชนเข้ากับเยี่ยนจ้าวเกอ

สีหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอยังคงเหมือนเดิม ทำเหมือนกับมองไม่เห็นประกายดาบที่กำลังฟันเข้าหาตัวเอง

ประตูเลือดทวารซางฉวี่สั่นสะเทือน เต่างูรวมตัวกันบุกโจมตี พลังของวรยุทธ์แท้ที่ศักดิ์สิทธิ์ก็ระเบิดออกมา ส่งพลังเพิ่มไปยังฝ่ามือดุสิต

ระหว่างที่ปราณจิตรารวมตัวกัน เพลิงสีม่วงกลางฝ่ามือของเยี่ยนจ้าวเกอก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ก่อร่างกลายเป็นเตาโอสถขนาดมหึมาอยู่รางๆ!

เตาโอสถถูกเหวี่ยงไปที่ตะเกียงที่เกิดจากดาบจิตราอย่างรุนแรง พลังที่ทั้งหนาแน่นและบ้าคลั่งผ่าตะเกียงนั้นแยกออกในทันที

ชายร่างกำยำขนลุกชันไปทั่วทั้งร่างกาย ก่อนจะตัดสินใจในทันที ทว่าพลังของเยี่ยนจ้าวเกอที่ปะทุออกมานั้นรุนแรงกว่าเขา อีกทั้งยังรวดเร็วกว่าเขาเสียอีก!

เมื่อรุกมาก็รุกกลับ แต่ก่อนที่ดาบจิตราของเขาจะฟันถูกเยี่ยนจ้าวเกอ จะต้องถูกฝ่ามือของเยี่ยนจ้าวเกอฟาดลงมาเหนือศีรษะของเขาก่อนเป็นแน่!

เขาหมดทางเลือก จึงหมุนตัวครั้งหนึ่ง แล้วเก็บดาบเพื่อตั้งรับแทน

ครั้งนี้สูญสิ้นทุกโอกาสแล้ว คิดอยากจะพลิกสถานการณ์กลับมา ก็ไม่มีความหวังอีกแล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอถอนหายใจ แล้วฟาดฝ่ามือลงอย่างต่อเนื่อง การโจมตีราวกับพายุมรสุมทำให้อีกฝ่ายถอยหลังไปตลอดทาง

เดิมทีชายร่างกำยำคิดว่าการโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้ของเยี่ยนจ้าวเกอ คงจะอยู่ต่อเนื่องไม่นาน แต่ใครจะรู้ว่าจะไม่มีที่สิ้นสุดเช่นนี้

แม้แต่การจะดึงระยะห่างออก เขาก็ยังทำไม่ได้ ได้แต่ถูกกักขังอยู่ภายใต้ฝ่ามือที่โจมตีมาของเยี่ยนจ้าวเกอตั้งแต่ต้นจนจบ

ชายร่างกำยำกัดฟันกรอด หมุนร่างกายเป็นวงใหญ่ แล้วฟันดาบออกไป โดยไม่สนใจความปลอดภัยของตนเองอีก!

ทว่าในตอนนี้เอง ร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอกลับพุ่งออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ระเบิดพลังรุนแรงขึ้นอีกขั้นอย่างไม่คาดคิด!

หมัดอสูรหกวิญญาณที่มีพลังระเบิดรุนแรงที่สุด หมัดอสูรวานรจอมพลัง!

ช่วงนาทีสุดท้าย ทั้งพลังและความเร็วของเยี่ยนจ้าวเกอก็ยกระดับขึ้นอีกครั้ง มากกว่าเดิมจนเกินความคาดหมายของทุกคน

เสี้ยววินาทีที่พุ่งออกไป เมื่อหลบหลีกดาบวิญญาณแปดฉากของอีกฝ่ายแล้ว ฝ่ามือของเยี่ยนจ้าวเกอก็ถึงตรงหน้าของชายร่างกำยำ!

ผู้อาวุโสฉินที่ดูการประลองเงียบๆ มาโดยตลอด นาทีนี้ก็ส่งเสียงราวกับชื่นชมและเศร้าโศกออกมา

ครั้นพลังไร้รูปร่างถูกปล่อยออกมา ระยะห่างระหว่างเยี่ยนจ้าวเกอและอีกฝ่ายก็เพิ่มพูนขึ้นมากโขในชั่วพริบตาเดียว

วินาทีถัดมา ทั้งสองก็กลับมายื่นอยู่ที่ตำแหน่งเดิมก่อนที่จะประมือกัน

การประมือของทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วพริบตา ทุกเสี้ยววินาทีต่างเป็นรุกโจมตีและตั้งรับที่เต็มไปด้วยอันตรายมากมาย

และในตอนนี้เอง คนอื่นๆ ต่างก็ทอดถอนหายใจออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย สายตาที่มองเยี่ยนจ้าวเกอเปี่ยมไปด้วยความทึ่งและชื่นชม

เยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่เบื้องหน้านี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะชนะการประลองกับจอมยุทธ์ที่เป็นศิษย์ร่วมสำนัก ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายได้จริงๆ

ชายร่างกำยำคนนี้ไม่ใช่ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายทั่วไป วรยุทธ์ที่ฝึกฝนก็เป็นปราณบริสุทธิ์ อีกทั้งดาบวิญญาณแปดฉากก็เป็นวิชาสืบทอดสายตรงของเขากว่างเฉิงเช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้น เขาผ่านการต่อสู้มานับร้อยครั้ง ประสบการณ์เต็มเปี่ยม โดยปกติแล้วคู่ต่อสู้เช่นนี้ เป็นคู่ต่อสู้ที่อัจฉริยะอายุน้อยส่วนใหญ่ไม่ยินดีที่จะพบเจอมากที่สุด

ทว่าเขากลับพ่ายแพ้ให้กับเยี่ยนจ้าวเกออย่างไม่เหลือชิ้นดี

การประลองทั้งหมด แม้ชายร่างกำยำจะคิดคำนวณไม่รอบคอบ ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอชิงลงมือก่อนในทันทีได้ แต่การรับมือของเขาหลังจากนั้นก็ไม่ได้มีช่องโหว่แต่อย่างใด และเป็นการโต้ตอบที่ดีที่สุด ที่จะสามารถทำได้ในสถานการณ์ตอนนั้น กระนั้นก็ยังคงถูกเยี่ยนจ้าวเกอโจมตีจนพ่ายแพ้

เท่ากับเยี่ยนจ้าวเกอใช้ความสามารถที่สูงกว่าอีกขั้นหนึ่งโจมตีเขาดื้อๆ โดยไม่มีการออมมือแม้แต่น้อย

เหยียนซวี่จ้องเยี่ยนจ้าวเกอนิ่ง

 แม้ว่ารากฐานของเจ้าจะเป็นปราณบริสุทธิ์ แต่หลายๆ วิชาที่เจ้าใช้ กลับไม่ใช่วรยุทธ์ของเขากว่างเฉิง 

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างสงบนิ่ง  ข้าไม่ได้แอบฝึกวิชาวรยุทธ์ของสำนักอื่นแต่อย่างใด เพียงแต่โชคดีที่เคยได้พบเจอมาบ้างก็เท่านั้นเอง 

 ทำให้ท่านผู้อาวุโสเหยียนเห็นเรื่องตลกเสียแล้ว แต่ท่านเองก็ฝึกฝนวิชาวรยุทธ์ที่มาจากนอกสำนักด้วยไม่ใช่หรือขอรับ 

 วรยุทธ์ไร้ที่มาที่ศิษย์ได้รับมาจากภายนอก ข้าอุทิศมันให้กับทางคลังวรยุทธ์ของสำนัก แลกเปลี่ยนกับสุดยอดวิชาลับของสำนัก และเก็บสุดยอดวิชาลับนั้นไว้กับตัว นี่สอดคล้องกับกฎระเบียบของทางสำนักนะขอรับ 

เหยียนซวี่ส่งเสียงไม่พอใจออกมาทีหนึ่ง โดยไม่พูดอะไร

ผู้อาวุโสฉินไม่ได้สนใจเรื่องนี้แต่อย่างใด ทว่ามองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความชื่นชม แล้วพยักหน้าช้าๆ

เยี่ยนจ้าวเกอคนนี้ แท้จริงแล้วแข็งแกร่งกว่าเซียวเซิงด้วยซ้ำ

ผลการประลองนี้ก็ยืนยันได้แล้ว ว่าอย่างน้อยเยี่ยนจ้าวเกอก็มีโอกาสที่จะทำให้เซียวเซิงพ่ายแพ้ซึ่งๆ หน้าได้

ในบรรดาจอมยุทธ์ที่มีวรยุทธ์ค่อนข้างต่ำ อันเนื่องมาจากประสบการณ์ พรสวรรค์ และวิสัยทัศน์ ความห่างชั้นของกระบวนท่าวรยุทธ์ที่ดีและเลว เรื่องของขั้นต่ำสกัดขั้นสูงแม้จะไม่ได้พบเห็นได้บ่อย แต่ก็มีไม่น้อย

การต่อสู้ระหว่างจอมยุทธ์ที่ระดับวรยุทธ์ยิ่งสูงขึ้นไป สถานการณ์ที่ชนะข้ามขั้นก็ยิ่งพบได้ยาก

สามารถมาถึงระดับขั้นที่สูงยิ่งขึ้นได้ พรสวรรค์และโอกาสของแต่ละคนก็มีแต่ไม่มากนัก ระดับยิ่งสูงก็ยิ่งเป็นเช่นนี้

ระหว่างคนที่มีอายุเท่ากัน และคนรุ่นเดียวกันก็จะยิ่งเป็นเช่นนี้

 ขออภัยด้วยขอรับ  เยี่ยนจ้าวเกอยกมือขึ้นประสานกันไว้ระดับหน้าอกแสดงความเคารพกับชายร่างกำยำผู้นั้น จากนั้นก็พูดต่อว่า  หากเซียวเซิงไม่ยอมรับแล้วล่ะก็ ข้าจะหาโอกาสประลองกับเขาดูอีกสักครั้ง 

ทันใดนั้นเอง ก็มีรายงานมาจากข้างนอกว่า จ้าวซื่อเฉิง ราชาอาณาจักรถังตะวันออกได้เดินทางมาถึงด้วยตนเองแล้ว

เหยียนซวี่กับเยี่ยนจ้าวเกอต้อนรับเขาเข้ามา เมื่อจ้าวซื่อเฉิงพบเยี่ยนจ้าวเกอ คำแรกที่กล่าวออกมาก็คือ  ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับขั้นไหนแล้วหรือ ทำให้เซียวเซิงพ่ายแพ้ไปด้วยสถานการณ์แบบใด ถึงได้ยึดเอากงจักรเพลิงสุริยะมาได้ 

เมื่อคำพูดเหล่านี้ออกมาจากราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออก สายตาทุกคนที่อยู่ในห้องต่างก็มองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอเป็นตาเดียว

ชายหนุ่มยิ้มบางๆ พลางเอ่ยว่า  ประมือกันหนึ่งต่อหนึ่งพะยะค่ะ ข้าชนะเขา จึงใช้กระบี่วิญญาณมังกรมรกตปลดกงจักรเพลิงสุริยะของเขา 

เมื่อเทียบกับตลอดการประลองและผลการประลองก่อนหน้านี้แล้ว คนของเขากว่างเฉิงทุกคนต่างก็ต้องถอนหายใจออกมาพร้อมกัน และไม่มีข้อสงสัยใดๆ อีก

ทว่ากลับเป็นจ้าวซื่อเฉิง ราชาอาณาจักรถังตะวันออกที่รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง จึงถามขึ้นมาอีกสองสามประโยค

เยี่ยนจ้าวเกอค่อยๆ ตอบทีละคำถาม จ้าวซื่อเฉิงจึงกล่าวอย่างโอบอ้อมอารีว่า  เยี่ยนตี๋มีผู้สืบทอดต่อแล้ว! 

ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็พยักหน้าพร้อมกัน

มีคนหลุดปากกล่าวออกมาว่า  เยี่ยนอู๋ตี๋อีกคน! 

เยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอในช่วงวัยหนุ่ม เขาเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มรุ่นเยาว์ของมหาอำนาจแปดพิภพ ไม่เคยพ่ายแพ้ให้ผู้ใดเลยสักครั้ง สร้างความกดดันให้กับคนรุ่นเดียวกันในขณะนั้นอย่างยิ่ง

ในตอนที่เยี่ยนตี๋เป็นปรมาจารย์ขณะนั้น ก็สู้กับปรมาจารย์ทุกคนจนไร้ซึ่งคู่ต่อสู้

จนในที่สุดจอมยุทธ์ปรมาจารย์ทุกคนก็เริ่มไม่เรียกชื่อเขาด้วยชื่อจริง ทว่ากลับเพิ่มคำว่า ‘อู๋’ ลงไปตรงกลางระหว่างชื่อและสกุล

จึงพ้องเสียงว่า เยี่ยนอู๋ตี๋ (เยี่ยนไร้เทียมทาน)

จนถึงตอนที่เยี่ยนตี๋ย่างก้าวเข้าสู่ระดับมหาปรมาจารย์แล้วจึงไม่มีคนเรียกฉายานามนี้อีก

ทว่าด้วยเวลาที่ผ่านไป หลายปีมานี้วรยุทธ์ของเยี่ยนตี๋นับวันก็ยิ่งสูงขึ้น ความสามารถเพิ่มสูงขึ้นอย่างมั่นคง แรงกดดันที่แทบปลิดชีพปรมาจารย์ในสำนักก่อนหน้านี้ ค่อยๆ ปกคลุมไปยังมหาปรมาจารย์ทั่วหล้า

นามของเยี่ยนอู๋ตี๋ วันที่จะได้เรียกนามนี้อีกครั้งก็คงไม่ไกลแล้วล่ะ

เมื่อได้ยินคำพูดที่หลุดออกจากปากของคนผู้นั้น แม้ว่าผู้อาวุโสฉินหรือจ้าวซื่อเฉิงจะไม่ได้แสดงปฏิกิริยาชัดเจน ทว่าสายตากลับค่อยๆ ส่องประกายขึ้น

ขณะที่มองเยี่ยนจ้าวเกอ ในใจของทุกคนก็เกิดความคิดเช่นเดียวกันเกิดขึ้นลางๆ

อดีตคือเยี่ยนผู้ไร้เทียมทาน ปัจจุบันก็ยังเป็นเยี่ยนผู้ไร้เทียมทาน!

ส่วนเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ตรงนี้ ก็เหมือนกับเริ่มมีแนวโน้มไร้เทียมทานตามรอยบิดาอยู่รางๆ แล้ว!

…………..

‘เพิ่งจะผ่านจากการบรรลุจากระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในถึงขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นมานานเท่าไร?’

เหยียนซวี่จ้องเยี่ยนจ้าวเกอตาเขม็งโดยไม่ละสายตา พูดไม่ออกอยู่นาน

‘ก่อนหน้านี้เขาปกปิด เก็บซ่อนวรยุทธ์ของตนเองมาตลอดอย่างนั้นหรือ?’ ความคิดแรกแล่นเข้ามาได้หัวของเหยียนซวี่

นอกจากความคิดนี้แล้ว เขาก็คิดเหตุผลอื่นที่ทำให้ตนเองยอมรับได้ไม่ออก

หลายปีที่ผ่านมา เหยียนซวี่เองก็ถือว่าพบพานสิ่งต่างๆ มามาก ยิ่งเป็นสำนักในดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างเขากว่างเฉิงด้วยแล้ว ยอดอัจฉริยะมากความสามารถก็พบเจอมานับไม่ถ้วน

ต่อให้เป็นตอนที่เขายังเป็นวัยรุ่น บุคคลที่เป็นเลิศในระดับคนรุ่นเดียวกัน และเคยพบเจอสัมผัสด้วยตนเองก็มีมากมาย

เหยียนซวี่ที่สามารถก้าวมาจนถึงระดับมหาปรมาจารย์ได้ ก็ใช่ว่าคนทั่วไปจะเทียบเคียงได้เช่นกัน

ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ประสบการณ์ที่เคยฟังเรื่องเล่าขานของบุคคลหลากหลายในตำนานก็มากมายสารพัด

ทว่าก็ยังไม่เคยมีใครที่สามารถบรรลุจากขั้นจิตราชั้นในระยะท้ายจนถึงขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นได้อย่างรวดเร็ว และบรรลุถึงขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางต่อได้ในทันที

เยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ สมัยนั้นเขาก็เพิ่มระดับวรยุทธ์เร็วจนทำให้คนทั้งโลกตกตะลึง เขาใช้เวลาเพียงสั้นๆ ด้วยหนทางที่อัจฉริยะคนอื่นทำตามทั้งชีวิตก็ไม่แน่ว่าอาจจะทำสำเร็จ

ทว่าตอนนี้ได้เห็นการเลื่อนขั้นจากขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นถึงขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางนี้ แม้แต่เยี่ยนตี๋ก็สู้เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้

แม้ว่าจะแตกต่างกันไปตามแต่ละคน จริงอยู่ที่ว่าบางคนอาจจะมีการเพิ่มขึ้นของบางระดับหรือหลายๆ ระดับด้วยความเร็วที่เร็วมาก ไม่เพียงแต่เร็วกว่าคนทั่วไป ยังราบรื่นยิ่งกว่าตอนที่ตนเองฝึกฝนในเวลาปกติเสียอีก

ทว่าเหมือนอย่างเยี่ยนจ้าวเกอเช่นนี้ รวดเร็วเกินไปแล้ว!

ผิดจากมุมมองและสามัญสำนึกของเหยียนซวี่ไปหมดแล้ว

เหยียนซวี่เป็นถึงขนาดนี้ คนอื่นๆ ที่รู้เห็นด้วยคงไม่ต้องเอ่ยปากพูดอะไร ได้แต่ตะลึงอ้าปากค้างกันหมด

ส่วนผู้ที่ยังไม่รู้เรื่องราวละเอียด พอได้ฟังคำอธิบายต่างก็ตัวแข็งทื่อกลายเป็นหิน

แม้จะมีคำพูดที่ว่า อัจฉริยะที่ตายไปไม่ถือเป็นอัจฉริยะ มีเพียงผู้ที่สามารถใช้ศักยภาพที่มีเปลี่ยนเป็นพลังความสามารถที่แท้จริงเท่านั้น จึงจะเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง

ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่เบื้องหน้า กลับเกินออกไปไกลมากจากความเข้าใจของทุกคน

ก็มีคำกล่าวว่าคลื่นใหญ่เซาะดินทราย อัจฉริยะที่สามารถเติบโตจนถึงความคาดหวังสูงสุดอย่างแท้จริงมีอยู่น้อยนิด แต่ศักยภาพที่เยี่ยนจ้าวเกอแสดงออกมาในตอนนี้ ทำให้คนยากจะเชื่อว่าเขาจะตายก่อนวัยอันควรจริงๆ

เฟิงอวิ๋นเซิงที่มองภาพนี้อยู่ข้างๆ ในใจรู้สึกตระหนักรู้มากขึ้น

ตอนแรกที่นางรู้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอใช้เวลาสั้นๆ เช่นนี้ ในการบรรลุจากขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นถึงขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางนั้น นางก็ตกตะลึงไปไม่น้อยเช่นกัน

ตอนนี้มีคนมากมายที่เป็นเช่นเดียวกัน ในที่สุดเฟิงอวิ๋นเซิงก็รู้สึกได้รับความมั่นใจคืนมาเล็กน้อย  เดิมทีก็ไม่ใช่เพราะข้าหูตาแคบจริงๆ 

นางพินิจพิจารณาเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วกระซิบด้วยน้ำเสียงที่มีแต่ตนเองเท่านั้นที่ได้ยินออกมาประโยคหนึ่ง

 แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็ไม่เหมือนกับเรื่องที่คนจะทำได้… 

แรกเริ่มผู้อาวุโสฉินก็ชะงักงันไปเล็กน้อยเช่นกัน สถานการณ์ของเยี่ยนจ้าวเกอนั้นพิเศษ ครั้งนั้นที่เยี่ยนจ้าวเกอบรรลุจากขั้นจิตราชั้นในถึงขั้นจิตราชั้นนอกที่หุบเหวปราการมังกร ก็มีรายงานมายังเขาและทางสำนักโดยเฉพาะ

ดังนั้นผู้อาวุโสฉินจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าบัดนี้ที่ปราณจิตราของเยี่ยนจ้าวเกอหลอมรวมเป็นอาวุธลอยอยู่รอบๆ ก็เป็นการพิสูจน์แล้วว่า ตอนนี้เขาอยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางแล้วจริงๆ

 ดี ดีมาก 

ผู้อาวุโสฉินหายใจเข้าลึก แล้วพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง

ก่อนหน้านี้เยี่ยนจ้าวเกอจงใจปกปิดระดับวรยุทธ์ เจตนาทำให้เกิดผลที่ตามมายิ่งใหญ่หรือไม่ ตอนนี้ผู้อาวุโสฉินยังไม่สนใจ ค่อยตรวจสอบให้แน่ชัดภายหลังก็ได้

ทว่าสำหรับเขากว่างเฉิงในตอนนี้แล้ว ตรงหน้าถือกำเนิดยอดมังกรที่สามารถจัดการปีศาจอัจฉริยะอื่นๆ ได้เช่นนี้ นับเป็นเรื่องที่เพิ่มพูนกำลังใจให้กับผู้คนอย่างยิ่งยวดโดยไม่ต้องสงสัย

ในที่สุดเหยียนซวี่ก็ได้สติกลับมา แล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า  ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้น ไม่สามารถลอกเลียนการลงมือของปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางได้ 

 แต่ถ้ากลับกัน นั่นเป็นเรื่องง่ายยิ่งนัก 

เยี่ยนจ้าวเกอพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สาว่า  วรยุทธ์สูงกว่าระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้น ทั้งยังฝึกฝนฝ่ามือดุสิตของสำนัก ใครเป็นคนกระทำก็เป็นเรื่องง่ายเช่นกันขอรับ 

ดวงตาทั้งสองของเหยียนซวี่ค่อยๆ หรี่ลง สายตาที่มองเยี่ยนจ้าวเกอกลายเป็นเย็นเยียบ

เยี่ยนจ้าวเกอสีหน้าสุขุมใจเย็น  ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านผู้อาวุโสเคยตรวจสอบศพแล้ว ก็น่าจะทราบว่าศิษย์น้องหลินถูกสังหารเมื่อใด 

เหยียนซวี่ก็รีบรายงานช่วงเวลาออกมาทันที

เขามองเยี่ยนจ้าวเกอ  ช่วงเวลาคือ ก่อนที่เจ้าจะพบกับกลุ่มคนของจ้าวซื่อเลี่ย จ้าวหยวน และจ้าวเฉิง 

 ในตอนนั้นคนที่อยู่กับเจ้ามีเพียงองครักษ์ของเจ้าและนาง  เหยียนซวี่กล่าวพลางมองเฟิงอวิ๋นเซิงครั้งหนึ่ง  ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพยานให้เจ้าไม่ได้ 

ฝั่งหนึ่งเป็นคนสนิทที่เยี่ยนตี๋จัดเตรียมมาให้กับเยี่ยนจ้าวเกอ แน่นอนว่าต้องเชื่อฟังคำสั่งของเยี่ยนจ้าวเกออยู่แล้ว

อีกฝั่งหนึ่งก็ต้องการความช่วยเหลือจากเยี่ยนจ้าวเกอ ต้องการให้เขาช่วยนางฟื้นฟูจันทรากาย จึงพามาเพื่อให้เข้าสำนัก

หลังจากที่เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดอยู่เงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก็ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ  ไม่บังเอิญ ตอนนั้นข้าได้พบกับศิษย์น้องเฟิงผู้นี้พอดี เพื่อจะปกป้องนาง ข้ายังอัดเซียวเซิงและเฉาหยวนหลงไปยกหนึ่ง 

 หากคำพูดจากคนของข้า และศิษย์น้องเฟิงยังไม่เพียงพอแก่การเป็นพยานยืนยันได้ เช่นนั้นท่านไม่ขอคำยืนยันจากเซียวเซิงแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไปเลยเล่า 

ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็เงียบสงัดครู่หนึ่ง

พวกเขาก็รับรู้ได้ถึงคำพูดที่ไม่ปกติของเยี่ยนจ้าวเกออย่างรวดเร็ว

ฟังจากความหมายของเยี่ยนจ้าวเกอก็คือ ไม่เพียงแต่เฉาหยวนหลวงเท่านั้น แม้แต่เซียวเซิงก็พ่ายแพ้ให้กับเยี่ยนจ้าวเกออย่างนั้นหรือ?

ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างก็รู้กันดีว่าคนที่ไล่จับเฟิงอวิ๋นเซิงก็คือเซียวเซิง และก็รู้เช่นกันว่าเพื่อปกป้องนาง เยี่ยนจ้าวเกอจึงปะทะกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

แต่ในตอนนั้นคิดเพียงว่าคงไม่ใช่การปะทะกันซึ่งๆ หน้ากับเซียวเซิง อย่างมากที่สุดก็แค่ประมือกับเฉาหยวนหลงและศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง

ตอนนี้ทราบว่าเยี่ยนจ้าวเกอบรรลุระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางแล้ว เช่นนั้นต่อให้เจอกับเซียวเซิงก็คงจะสามารถเอาตัวรอดได้

แต่ว่าถ้ายังต้องคุ้มกันเฟิงอวิ๋นเซิงด้วยแล้ว ก็เป็นเรื่องยากใช่เล่น นั่นทำให้ทุกคนตกตะลึงอย่างมาก

อย่างไรเสียเซียวเซิงก็ไม่ใช่คนที่ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกทั่วไปจะสามารถเทียบเคียงได้

ทว่าดูจากตอนนี้แล้ว ความเป็นจริงก็อยู่เหนือการคาดเดาของทุกคนอีกครั้ง

ก่อนหน้านี้ความสนใจของทุกคนล้วนอยู่ที่จันทรากายของเฟิงอวิ๋นเซิง และการเข้าโจมตีของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ในภายหลัง

ทว่ากลับมองข้ามไปว่าเยี่ยนจ้าวเกอrkตัวเฟิงอวิ๋นเซิงออกมาจากเงื้อมมือของเซียวเซิงได้อย่างไร อีกทั้งยังพากลับมาที่ถังตะวันออกอีกด้วย

เหยียนซวี่จ้องเยี่ยนจ้าวเกอ  เจ้าจะบอกว่าเจ้าเอาชนะเซียวเซิงได้อย่างนั้นหรือ? 

เยี่ยนจ้าวเกอทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ท่านผู้อาวุโสเหยียนก็ทราบแล้วว่าข้าเคยพบกับท่านจ้าวซื่อเลี่ย จิ่นอ๋องแห่งถังตะวันออก และท่านพี่จ้าวหยวนไม่ใช่หรือ 

 ดูแล้วมีบางเรื่อง ที่ท่านยังไม่รู้สินะขอรับ 

เหยียนซวี่ขมวดคิ้ว  เจ้าอยากจะพูดอะไร 

ชายหนุ่มสองมือไพล่หลัง แล้วยิ้มเล็กน้อย  ก็ไม่มีอะไรขอรับ เพราะอย่างไรหลังจากที่จัดการกับเรื่องที่อยู่ตรงหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าก็จะไปรายงานกับท่านผู้อาวุโสฉินอยู่พอดี 

 หากท่านผู้อาวุโสฉินไม่ถือสาแล้วล่ะก็ ระดับของท่านผู้อาวุโสเหยียนสามารถนั่งฟังร่วมกันได้ 

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างไม่รีบร้อนว่า  ส่วนเรื่องที่ข้าสามารถเอาชนะเซียวเซิงได้จริงหรือไม่ หากต้องการจะพิสูจน์นั้นง่ายนิดเดียวขอรับ 

 การกระทำย่อมสำคัญกว่าคำพูดเสมอ 

 ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายของสำนักที่อยู่ที่นี่ ใครก็ได้สักคนหนึ่ง มาประลองกับข้า 

บ้าคลั่ง!

นี่คือความคิดแรกที่อยู่ในใจของทุกคน

เหยียนซวี่ไม่กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว จ้องเยี่ยนจ้าวเกอเขม็งครู่หนึ่งแล้วหันไปมองผู้อาวุโสฉิน

บนใบหน้าของผู้อาวุโสฉินเผยให้เห็นสีหน้าสนอกสนใจ ทว่าก็ไม่ร้อนใจ นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่พูดอะไร

เหยียนซวี่เห็นดังนั้นก็รู้ว่าผู้อาวุโสฉินอนุญาตแล้ว เขาจึงหันไปออกคำสั่ง ไม่นานนักชายกำยำร่างสูงใหญ่คนหนึ่งก็เดินเข้ามา

 เจ้าสองคนก็ลองประลองกันหน่อยแล้วกัน ข้าจะปกป้องตำหนักให้เอง 

เมื่อเหยียนซวี่พูดจบก็เห็นผู้อาวุโสฉินส่ายหน้าไปมา  ถึงอย่างไรพื้นที่ตรงนี้ก็มีจำกัด ไม่สามารถใช้จุดเด่นการลอยตัวของปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายได้ ในเมื่อต้องการประลอง ก็ออกไปข้างนอกกันเถอะ 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย  อันที่จริงก็ไม่แตกต่างกันหรอกขอรับ 

พูดยังไม่จบ เขาก็ส่งแรงไปที่ฝ่าเท้า พลังที่รุนแรงพลันระเบิดออกมา!

เพียงแค่ก้าวเดียว เยี่ยนจ้าวเกอก็ไปถึงตรงหน้าของชายร่างกำยำคนนั้นแล้ว!

…………

ทะยานบูรพาถูกขับไล่จนถอยไป ผู้อาวุโสฉินค้อมศีรษะคำนับให้กับราชาวังถังตะวันออกที่อยู่ไกลออกไปเพื่อแสดงความขอบคุณ  ขอบพระทัยฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่ง บุญคุณครั้งนี้เขากว่างเฉิงจะจดจำไว้ 

 ถ้าหากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มาคิดบัญชีภายหลัง เขากว่างเฉิงจะขอแบกรับเอาไว้เอง 

เสียงของจ้าวซื่อเฉิง ราชาอาณาจักรถังตะวันออกดังออกมาแต่ไกล  ท่านผู้อาวุโสฉินเกรงใจเกินไปแล้ว เขากว่างเฉิงต่างหากที่เป็นเจ้าแห่งนภาพิภพ 

แม้จ้าวซื่อเฉิงจะมองไม่เห็น ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ภายในตำหนักอาศัยก็ลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับแสดงความขอบคุณ  สร้างความวุ่นวายให้กับท่านลุงแล้วขอรับ 

ผู้อาวุโสฉินและเหยียนซวี่กลับเข้าไปในตำหนัก แล้วนั่งประจำที่ใหม่อีกครั้ง

 มาแค่ทะยานบูรพา แสดงให้เห็นว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เร่งด่วนสำคัญมากนัก 

เหยียนซวี่กล่าวอย่างช้าๆ ว่า  สิ่งที่พวกเขาให้ความสนใจในตอนนี้ ยังคงเป็นการหลบหนีของศิษย์ทรยศในสำนัก ซึ่งสำนักเรารับตัวนางมาแล้ว 

 แต่ก็ไม่ใช่สตรีจันทราคนหนึ่งที่พเนจรอยู่ข้างนอก แล้วถูกเขากว่างเฉิงของเราเก็บรับเอาไว้ 

ในขณะที่กล่าว สายตาของเหยียนซวี่ก็มองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอและเฟิงอวิ๋นเซิง

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า การที่เหยียนซวี่คิดเช่นนี้ก็ไม่ผิดนัก เหมือนกับการคาดคะเนของตนโดยบังเอิญ

เฟิงอวิ๋นเซิงได้รับการตรวจอย่างละเอียด โดยยอดฝีมือระดับสูงจำนวนมากของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนล้วนให้ผลสรุปว่าจันทรากายของนางได้สูญสลายไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ไม่มีทางที่จะฟื้นฟูกลับมาได้อีก

มิเช่นนั้นคงไม่เกิดเหตุการณ์ในตอนนั้น ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่อาจทำให้เยี่ยนจ้าวเกอและเขากว่างเฉิงโชคดีเช่นนี้ด้วย

ผู้อาวุโสฉินกล่าวว่า  สำหรับสำนักของเราแล้ว นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง 

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การเคลื่อนไหวของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่รุนแรงมากจนเกินไปนัก

ถึงแม้ว่าจะไม่เกรงกลัวสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่จำเป็น เขากว่างเฉิงก็ยังไม่อยากจะเปิดศึกกับทางนั้น การปะทะของทั้งสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ผลสุดท้ายอาจจะเป็นสถานการณ์ที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถจะควบคุมเอาไว้ได้

อย่างไรเสียกำลังของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็แข็งแกร่งกว่า แน่นอนว่าเขากว่างเฉิงเห็นทีจะต้องพัฒนาตนเองให้มากขึ้นก่อน รอให้มีกำลังมากขึ้น แล้วค่อยเปิดศึกทำสงครามจริงๆ กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

ดังนั้นหลังจากที่เหยียนซวี่ออกไป แม้ว่าท่าทีจะแข็งกระด้าง การลงมือก็ไม่รวนเร แต่การกัดไม่ปล่อยไม่ยอมรับตั้งแต่ต้นว่าสำนักของตนเองรับตัวของเฟิงอวิ๋นเซิงไว้นั้น ก็ทำให้กลายเป็นจุดอ่อนให้กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไม่มากก็น้อย

แม้กระทั่งผู้อาวุโสฉินที่แข็งกระด้างยิ่งกว่า ตรงไปตรงมายิ่งกว่าก็ยังเห็นด้วยกับคำพูดนี้อย่างเงียบๆ

ในตอนนี้เผชิญหน้ากับศัตรูภายนอกเช่นเดียวกัน เยี่ยนจ้าวเกอย่อมไม่เปิดโปงผู้อาวุโสของสำนักตนเองแน่นอนอยู่แล้ว

เฟิงมู่เกอ ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าจะไม่มีความข้องเกี่ยวใดๆ กับตนเองและเขากว่างเฉิงอีกต่อไป

ทว่าเฟิงอวิ๋นเซิงที่เป็นสตรีจันทราน่ะหรือ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง…

จะบอกว่าหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะอย่างนั้นหรือ

ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล มีเรื่องแปลกประหลาดมากมาย จะมีคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

รูปลักษณ์งดงามเช่นนี้ อีกทั้งยังเหมือนกันอย่างกับแกะงั้นหรือ?

นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้กระมัง ไม่แน่ว่าอาจเป็นพี่น้องฝาแฝดที่พลัดพรากกันตั้งแต่เด็กก็เป็นได้…

อย่างไรเสีย ขอคนไม่มีให้ จะสู้ก็สู้กันสักตั้ง

ให้ทางเลือกกับเจ้าแล้ว หากเจ้ายอมอ่อนข้อ ทุกคนก็จะอยู่กันอย่างสงบ หากเจ้าไม่ยอมอ่อนข้อ เช่นนั้นพวกเราก็คงต้องใช้ไม้แข็งกัน

เหยียนซวี่กล่าวว่า  การทดสอบแห่งจันทราครั้งก่อน เมิ่งหว่านพลาดท่าทำมงกุฎจันทราหลุดมือไป จึงตกไปอยู่ในมือของเมืองทะเลมรกตที่เป็นปรปักษ์กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นมิตรกับสำนักของเรา 

 ยอดฝีมือสูงสุดของพวกเขาได้เข้าฌานไปก่อนหน้านี้ ไม่ได้ออกฌานมาโดยตลอด หากไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่หลวงนัก สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่หวังให้ศิษย์ร่วมสำนักตีกันเองจนตายในช่วงนี้เช่นกัน 

ผู้อาวุโสฉินมองไปยังเฟิงอวิ๋นเซิง  ประเด็นสำคัญก็อยู่ที่ตัวของสหายเฟิงคนนี้แล้ว 

 จากการพิจารณาแต่ละด้านแล้ว เจ้าไม่เหมาะที่จะอยู่ที่ถังตะวันออก หรือเกาะนภาตะวันออกต่อไป 

 หากคนจากทางสำนักมาถึงที่นี่แล้ว ก็จะส่งเจ้ากลับไปที่เขากว่างเฉิงเสีย 

เขามองกลับไปที่เยี่ยนจ้าวเกออีก  จ้าวเกอ เจ้าก็กลับไปด้วยเช่นกัน ครั้งนี้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ถูกไล่กลับ แต่หลังจากนี้อาจจะจงใจเล่นงานเจ้าอีกก็ได้ 

 หลังจากกลับสำนักไป เจ้าก็จงตั้งใจช่วยสหายเฟิงฟื้นฟูจันทรากายเสีย 

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยตอบว่า  ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสที่เป็นห่วง แต่ข้าตั้งใจว่าจะอยู่ที่ถังตะวันออกต่ออีกสักระยะหนึ่ง มีบางเรื่องที่ยังจำเป็นต้องเตรียมการ 

 แค่ส่งศิษย์น้องเฟิงกลับสำนักโดยเร็วก็พอแล้วขอรับ เมื่อข้าจัดการธุระในมือจนเสร็จสิ้นแล้ว ถึงจะเดินทางกลับไปที่สำนัก 

 ระยะนี้ข้าจะลดการออกไปข้างนอก ปฏิบัติตนอย่างระมัดระวัง ไม่เปิดโอกาสให้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ 

ผู้อาวุโสฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย  เจ้ายังมีธุระอันใดอีกหรือ 

ชายหนุ่มไม่ได้ตอบในทันที กลับเป็นเหยียนซวี่ที่อยู่ข้างๆ ที่กล่าวขึ้นอย่างช้าๆ ว่า  ความจริงแล้วเขายังมีบางเรื่องที่ต้องอธิบายให้ชัดเจน 

สายตาของผู้อาวุโสฉินมองมา เหยียนซวี่กล่าวว่า  หลินอวี้เสา ศิษย์ในสำนักถูกสังหารที่ถังตะวันออก ผู้ลงมือใช้วิชาฝ่ามือดุสิต ที่สืบทอดโดยตรงภายในสำนักของเรา 

 หลินอวี้เสา หากข้าจำชื่อนี้ไม่ผิดแล้วล่ะก็ จ้าวเกอ…  น้ำเสียงของผู้อาวุโสฉินไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ทว่าสายตากลับจับจ้องอยู่ที่เยี่ยนจ้าวเกออีกครั้ง

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าด้วยสีหน้าท่าทางหนักแน่น แล้วกล่าวตอบว่า  เป็นศิษย์เองที่พานางกลับสำนัก และแนะนำให้เข้าเป็นศิษย์สำนักของเราเองขอรับ 

 ภูมิลำเนาของนางอยู่ที่เดียวกับเยี่ยจิ่ง ซึ่งก็คือถังตะวันออก เกาะนภาตะวันออกขอรับ 

 และก่อนหน้านี้ข้ากับนางเป็นคนรักกันขอรับ  เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็เริ่มที่จะหมดคำพูด

การที่หลินอวี้เสาถูกสังหาร ในใจของเยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกเวทนาและเสียดายอยู่บ้าง อย่างไรเสียก็เป็นหนึ่งชีวิต

การกระทำนั้นถูกหรือผิดยังไม่ต้องพูดถึง ทว่าอย่างน้อยๆ ก็ไม่จำเป็นถึงขั้นที่จะต้องแลกด้วยชีวิตเพื่อชดใช้

ทว่าหากกล่าวอย่างจริงจังก็คือ ทั้งสองคนยังไม่เคยพูดคุยกันแม้แต่คำเดียว มีแค่ความเข้าใจที่ได้จากความทรงจำของเจ้าของร่างคนเดิม เหมือนกับการดูภาพเคลื่อนไหว

หากไม่นับความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมแล้วล่ะก็ เยี่ยนจ้าวเกอยังไม่เคยแม้กระทั่งได้เจอตัวจริงของนางเลย

หากบอกว่าตนเองเศร้าเสียใจอย่างยิ่ง จะมีคนเชื่อหรือไม่

ถึงอย่างไรทั้งสองก็เป็นคู่รักในสายตาของผู้อื่น ดังนั้นเยี่ยนจ้าวเกอจึงทำได้เพียงทำหน้าเศร้า แล้วพูดอย่างช้าๆ ว่า  ตอนที่ข้าอยู่ที่เทือกเขามฤคลับตา ก็ได้รับข่าวนี้แล้ว 

 เพียงแต่ตอนนั้นยังมีภารกิจสำคัญติดตัวอยู่ จึงทำได้เพียงแต่เห็นแก่ส่วนรวมก่อนส่วนตัว 

 ตอนนี้เรื่องของศิษย์น้องเฟิงก็เสร็จสิ้นไประดับหนึ่งแล้ว ข้าจึงอยากขอตามหาตัวคนร้ายด้วยตนเอง เพื่อเป็นการสั่งเสียให้กับวิญญาณที่อยู่บนสวรรค์ของศิษย์น้องหลิน 

เหยียนซวี่มองเยี่ยนจ้าวเกอแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า  ข้าว่าเจ้าอย่าทำตัวให้น่าสงสัยจะดีกว่า 

เยี่ยนจ้าวเกอมองไปยังเหยียนซวี่ ทว่าเหยียนซวี่ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย  ที่เมืองใกล้ปราการมีข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับเจ้ามากมาย 

ผู้อาวุโสฉินขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามว่า  ข่าวลืออะไร 

เหยียนซวี่กล่าวตอบ  ข่าวลือบอกว่าเยี่ยนจ้าวเกอและซือคงจิง ศิษย์หญิงอีกคนหนึ่ง มีท่าทีสนิทสนมกันตอนที่อยู่ในหุบเหวปราการมังกร ยิ่งเดินทางยิ่งใกล้ชิด 

 เมื่อหลินอวี้เสาได้ยินข่าวนี้ก็อยู่เฉยไม่ได้ จึงรีบเร่งมาที่ถังตะวันออก 

เขายังกล่าวไม่ทันจบ ผู้อาวุโสก็เข้าใจความหมายที่ต้องการจะสื่อแล้ว  ข่าวลือเช่นนี้ไม่มีมูลพอให้เชื่อ 

 หลินอวี้เสาแม้จะเป็นคนของถังตะวันออก แต่ก็ไม่ได้มีคู่แค้นแต่อย่างใด  เหยียนซวี่กล่าวว่า  อีกทั้งหลินอวี้เสายังสิ้นชีพด้วยวิชาฝ่ามือดุสิต ซึ่งเป็นวิชาสืบทอดของสำนัก 

เขามองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ  ข้าได้ตรวจสอบด้วยตัวเองมาแล้ว ผู้ที่ลงมือน่าจะมีวรยุทธ์ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้น 

 พิธีโลหิตจิตหวนเวลา ก็ใช้ได้แค่ในสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ทั้งคู่เท่านั้น 

 หากทั้งสองฝ่ายเตรียมการกันมาก่อน ความคิดก็จะต้องเหมือนกันอย่างแน่นอน ซึ่งสามารถกำหนดผลที่จะออกมาไว้ก่อนได้ ฉะนั้นทั้งเจ้ากับคนของเจ้า และสหายเฟิงคนนี้จึงไม่เหมาะสมที่จะใช้ 

 การตายของหลินอวี้เสาตอนนี้ ยังถือว่าเป็นการจากไปอย่างไร้หนทางตรวจสอบความจริง 

เหยียนซวี่หันกลับไปมองผู้อาวุโสฉิน  ตอนนี้จะพูดอะไรก็ยังถือว่าเร็วเกินไป แต่ข้าคิดว่าอย่างน้อยเรื่องนี้เยี่ยนจ้าวเกอควรจะหลีกเลี่ยงการกระทำที่ก่อให้เกิดความสงสัย 

ผู้อาวุโสฉินได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าช้าๆ

ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอกลับแสยะยิ้มออกมา

ผู้อาวุโสขมวดคิ้ว  จ้าวเกอ จงระวังกาลเทศะด้วย 

เยี่ยนจ้าวเกอหุบยิ้ม แล้วพยักหน้าอย่างจริงจัง  หากเป็นระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นแล้วล่ะก็ ข้าไม่ใช่ระดับนี้แล้วขอรับ 

สิ้นคำพูด เขาก็ปลดปล่อยปราณจิตราออกมา หลอมเป็นอาวุธ แล้วลอยไปรอบๆ ร่างกายของตนเอง

เหยียนซวี่ก็ลุกขึ้นยืนในทันทีทันใด จนเก้าอี้ข้างหลังเกือบจะล้มคว่ำ

ก่อนหน้านี้เยี่ยนจ้าวเกอไม่ยอมลงมือ กักเก็บปราณจิตราไว้ ทำให้เขาเพิ่งพบว่าชายหนุ่มมีวรยุทธ์ถึงขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางแล้ว  แต่…เป็นไปได้อย่างไร?  เหยียนซวี่พูดตะกุกตะกัก  ภายใต้การจับตามองของข้าก่อนหน้านี้ไม่นานนัก เจ้าเพิ่งบรรลุจากขั้นจิตราชั้นในเป็นขั้นจิตราชั้นนอกเท่านั้นเอง! 

………….

ภายใต้การประมือของมหาปรมาจารย์ยอดฝีมือสองคน ธรรมชาติและอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมรอบข้างก็เปลี่ยนแปลงไป ผลกระทบไกลออกไปทุกสารทิศ

โชคยังดีที่เมืองชมตะวันมีเขตอาคมเป็นของตัวเอง จึงสามารถควบคุมมรสุมที่พวกเขาพามาในขอบเขตที่กำจัดได้

แต่ภายในขอบเขตนี้ สภาพไม่เหลือชิ้นดีแล้ว

 เขากว่างเฉิงยืนกรานจะเป็นปฏิปักษ์กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของข้าอย่างนั้นหรือ? 

ตอนนี้เอง เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นในอากาศของเมืองชมตะวัน

วินาทีถัดมา ดวงอาทิตย์เจิดจ้าดวงหนึ่งที่ใหญ่ยิ่งกว่าก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ

เมื่อดวงอาทิตย์ดวงนี้ปรากฏขึ้น ดวงอาทิตย์ที่ชายชราชุดทองแปลงกายเป็นนั้น พลันดับความสว่างลงในทันที ส่วนฝ่ามือดุสิตที่แปรเปลี่ยนเป็นไฟเพลิงสีม่วงอยู่ในฝ่ามือของเหยียนซวี่ ก็แทบจะดับลงไปในวินาทีนั้นเช่นกัน!

เหยียนซวี่เปล่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ เตาโอสถที่หลอมจากไฟของฝ่ามือดุสิต ก็เกิดรอยร้าวขึ้นไปทั่วในชั่วพริบตา ก่อนจะแหลกละเอียดไป

เตาโอสถที่แตกละเอียดกลายเป็นเพลิงลาม ลุกไหม้อยู่กลางอากาศ ทว่าไม่นานก็มอดดับไปเช่นกัน

พระอาทิตย์ดวงที่สองที่ลอยอยู่กลางอากาศนั้น กำลังส่องสว่างแข่งกับพระอาทิตย์ดวงจริงบนท้องฟ้า ชั่วขณะหนึ่งราวกับมีพระอาทิตย์สองดวงกำลังสาดส่องอยู่บนท้องฟ้า เหนือเมืองชมตะวันแห่งอาณาจักรถังตะวันออก

บัดนี้เขตอาคมของเมืองชมตะวันไม่สู้ดีนัก ต่างจากตอนที่เหยียนซวี่เผชิญหน้ากับชายชราชุดทอง

อักขระวิญญาณค่อยๆ สว่างวาบขึ้น จนบิดเบือนไปไม่เหลือเค้าเดิม

ผู้อาวุโสฉินนั่งอยู่กลางตำหนัก คิ้วทั้งสองค่อยๆ เลิกขึ้นมา  มาอวดเบ่งผิดที่เสียแล้ว 

ภายในตำหนักพลันเกิดปราณดาบจำนวนมหาศาลพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า

บริเวณที่ปราณดาบพาดผ่านไป ความรู้สึกร้อนจัดที่เกิดจากพระอาทิตย์ทั้งสองดวงก็พลันลดลงในทันที ทั่วหล้าแปรเปลี่ยนเป็นเย็นสบายขึ้นมาก

ทว่าหลังจากที่เย็นสบายแล้ว ก็กลับกลายเป็นหนาวเย็นจนสุดขั้ว!

ขณะนี้ร่างของผู้อาวุโสฉินปรากฏขึ้นที่ด้านบนของตำหนัก มองดูชายชราในชุดสีทองด้วยดวงตากรุ่นโกรธ

เขาคำรามเสียงต่ำ ลมพลันพัดเมฆคล้อย ผืนดินแผ่นฟ้าบิดเบือน เหมือนกับมีดาบมหึมาไร้รูปร่างเล่มหนึ่ง ฟันไปยังภาพลวงข้างหน้าจนแตกร้าว

รอยร้าวลุกลามไปยังพระอาทิตย์ดวงที่สอง คล้ายต้องการจะทำลายมันให้แตกสลายไป!

 ยอดวิชาแปดพิภพ ดาบเทพผสานปราณอย่างนั้นหรือ?  เสียงทุ้มใหญ่ดังมาจากในดวงอาทิตย์เจิดจ้า

วินาทีถัดมา ดวงอาทิตย์เจิดจ้านั้นไม่หลบกลับ ทั้งยังพุ่งตัวตกลงไปยังตำแหน่งของผู้อาวุโสฉิน

ราวกับอาทิตย์คล้อยอัสดง แสงเจิดจ้าหล่นร่วงสู่พื้น ราวกับต้องการจะเผาโลกมนุษย์ให้สิ้นซาก!

ซึ่งนั่นก็คือหนึ่งในเจ็ดวิชาสุริยัน วิชาดาบผลาญฟ้าคล้อยประจิม!

บนประกายดาบเจิดจ้าราวกับตะวันที่กำลังตกดิน ทันใดนั้นก็มีสัญลักษณ์เทพขนาดมหึมาสว่างขึ้น ยิ่งใหญ่ราวกับจะปกคลุมทั้งเมืองชมตะวันเอาไว้

ดาบเทพผสานปราณที่ท่านผู้อาวุโสขับเคลื่อน เมื่อปลายดาบไร้รูปร่างฟาดฟ้าผ่าดิน ก็ปรากฏสัญลักษณ์เทพสว่างขึ้นเช่นกัน

พลังของทั้งสองฝ่ายอยู่ในระดับเดียวกัน เมื่อปะทะเข้าด้วยกัน จึงทำให้เมืองชมตะวันราวกับจะแตกสลายออกเป็นผุยผง

ในตอนนี้เอง ณ เมืองชมตะวันก็มีเสียงของราชาอาณาจักรถังตะวันออกดังขึ้นมา  หากท่านทั้งสองจะประมือกันก็เลือกที่อื่นเถิด คิดจะพังอาณาจักรถังตะวันออกของข้าหรืออย่างไรกัน? 

เขตอาคมเมืองชมตะวันพลันส่องสว่างขึ้นในทันที อักขระวิญญาณที่ผสานเข้าด้วยกันก็ยิ่งหลอมรวมชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ครั้นเขตอาคมเริ่มโคจรอย่างเต็มกำลัง พลังก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

ผู้อาวุโสฉินหยุดปราณดาบลง แล้วพูดอย่างหงุดหงิดว่า  มีคนอยากจะจงใจหาเรื่อง ข้าก็จะเล่นด้วยจนถึงที่สุด คิดจะรังแกเขากว่างเฉิงกันง่ายๆ หรืออย่างไร 

พระอาทิตย์ดวงนั้นหยุดอยู่กลางอากาศ มีเสียงลอดผ่านออกมาว่า  จ้าวซื่อเฉิง เจ้าจะเข้ามาแทรกเรื่องระหว่างข้ากับเขากว่างเฉิงอย่างนั้นหรือ? 

เสียงที่สงบนิ่งของจ้าวซื่อเฉิง ราชาอาณาจักรถังตะวันออกดังขึ้นมาจากเขตอาคมของเมืองชมตะวันว่า  ทะยานบูรพากล่าวหนักเกินไปแล้ว คงไม่ดีนักหากถังตะวันออกของข้าจะเอาตัวเข้าแทรกเรื่องระหว่างทั้งสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ 

 แต่พวกท่านลงไม้ลงมือกันที่เมืองชมตะวัน เกรงว่ายากนักที่ข้าจะแสร้งทำเป็นไม่เห็น 

ภายในตำหนักอาศัย เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตนเอง ‘ที่แท้ก็เป็นทะยานบูรพา หนึ่งในเจ็ดสุริยันนี่เอง แต่ในความทรงจำของข้า เขาเพิ่งเปลี่ยนคนไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน’

ในช่วงเวลาที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ตั้งตัวขึ้นมา มียอดฝีมือที่มีพรสวรรค์โดดเด่นเจ็ดคน ถูกขนานนามว่า ‘เจ็ดสุริยัน’

ซึ่งนามของพวกเขามีความหมายเดียวกับชื่อวิชาเจ็ดสุริยะ นั่นก็คืออรุณเบิกฟ้า ทะยานบูรพา กลางเวหา จรัสแสง คล้อยประจิม แสงสนธยา และแสงรัตติกาล

ภายหลังเจ็ดสุริยันก็กลายเป็นรูปแบบตำแหน่งที่ตายตัว เมื่อคนหนึ่งสิ้นชีพไปหรือสละตำแหน่ง ก็จะมีผู้ที่เข้ามารับช่วงต่อสืบทอดต่อไป

เยี่ยนจ้าวเกอหันหน้ากลับไปมอง สีหน้าของเฟิงอวิ๋นเซิงแปลกประหลาดไปเล็กน้อย

เมื่อเห็นว่าเยี่ยนจ้าวเกอมองนางอยู่ เฟิงอวิ๋นเซิงก็ส่ายหน้า  ท่านอาจารย์ปู่ของข้าก็คือทะยานบูรพารุ่นก่อน หลังจากที่ท่านอาจารย์ปู่เสียไป ทะยานบูรพารุ่นนี้ก็รับช่วงต่อ ซึ่งก็คือคนที่อยู่ด้านนอกนั่นแหละ 

 ปัจจุบันในบรรดาเจ็ดสุริยัน เขาอายุน้อยที่สุด ประสบการณ์น้อยที่สุด แต่วรยุทธ์ทั้งกายก็เขย่าขวัญคนทั้งโลกเช่นกัน 

พระอาทิตย์ที่อยู่กลางอากาศค่อยๆ เลือนหายไป ปรากฏชายวัยกลางคนสวมชุดสีทองคนหนึ่ง ซี่งนั่นก็คือทะยานบูรพารุ่นปัจจุบัน

ทะยานบูรพาจ้องผู้อาวุโสฉินตาเขม็ง จากนั้นก็กวาดสายตามองไปยังเมืองชมตะวันที่อยู่เบื้องล่าง แล้วพูดขึ้นช้าๆ ว่า  มีคนรับศิษย์ทรยศสำนักข้าเอาไว้ ข้าก็ต้องมีถามไถ่เป็นธรรมดา 

 มอบคนมาชดใช้ความผิด 

 มิเช่นนั้น ก็ต้องต่อสู้กันแล้วล่ะ 

ร่างสูงใหญ่ของผู้อาวุโสฉินยืนตระหง่านอยู่กลางท้องฟ้า สีหน้าท่าทางไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย  ข้าบอกไปแล้ว ที่นี่ไม่มีคนที่เจ้าต้องการ 

 หากเจ้าต้องการจะสู้ เช่นนั้นก็สู้ สิ่งอื่นข้าไม่มี มีเพียงดาบหนึ่งเล่ม และหมัดหนึ่งคู่ สู้กับเจ้าจนถึงที่สุด 

ชายชราที่อยู่ด้านข้างทะยานบูรพาพูดด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยวว่า  ข้าเห็นกับตาว่าเยี่ยนจ้าวเกอ ศิษย์สำนักเจ้าพาศิษย์ทรยศสำนักของข้ากลับมา คำพูดไม่กี่คำของเจ้าใช่ว่าจะแก้ต่างได้เสียที่ไหน? 

เหยียนซวี่ยืนอยู่ด้านหลังผู้อาวุโสฉิน กล่าวพร้อมใบหน้าเย็นชา  เจ้าบอกว่าใช่ก็ถือว่าใช่แล้วหรือ? 

 ข้ายังอยากจะบอกว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าขโมยของล้ำค่าของสำนักข้าไป จงส่งคืนกลับมาโดยเร็ว 

ดวงตาทั้งสองของทะยานบูรพาฉายแสงเจิดจ้า ทิ่มแทงจนเหยียนซวี่เจ็บปวดไปทั้งตัว  พูดเพ้อเจ้อ ตายเสียเถอะ! 

ผู้อาวุโสฉินก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว  จะอวดเบ่ง ก็กลับไปอวดที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเสีย! 

และในตอนนี้เอง เสียงของเยี่ยนจ้าวเกอก็ดังออกมาจากในตำหนัก

 ได้พบท่านทะยานบูรพา เยี่ยนจ้าวเกอจากเขากว่างเฉิงนับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง 

 ในเทือกเขามฤคลับตา ข้าได้ประมือกับเซียวเซิงและเฉาหยวนหลงศิษย์สำนักท่าน และได้พบกับเฟิงมู่เกอที่สำนักท่านต้องการตัวจริง 

 แต่หลังจากนั้น ข้ากับเฟิงมู่เกอก็ไม่ได้มีการติดต่อสานสัมพันธ์ใดๆ อีก  เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างเฉยเมย  เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ พวกข้าได้สนทนากัน นั่นกลับทำให้ข้าได้รู้เรื่องราวที่น่าสนใจบางเรื่อง 

 อย่างเช่น ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์สักแห่งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือกว้างไกลในโลกแปดพิภพ ช่วยกันปกปิดหนุนหลัง ปล่อยปะละเลยให้หลานชายของผู้อาวุโสเฒ่าบางคนทำมิดีมิร้ายกับลูกศิษย์หญิงร่วมสำนัก 

 เมื่อทำมิดีมิร้ายไม่สำเร็จ กลับปกป้องคนผิด ให้ร้ายกับศิษย์หญิงผู้นั้น 

 ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ คนบางคนที่หื่นกามเป็นชีวิตจิตใจเหมือนกรรมจะตามสนอง ถูกตัดรากถอนโคนรากฐานของบุตรหลาน… 

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า  ภายหลังคงไม่ต้องกังวลแล้วว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก 

 วาจาเหลวไหลสิ้นดี!  ทะยานบูรพาพูดอย่างเยือกเย็นว่า  ในเมื่อเจ้าพูดจาเหยียดหยามลบหลู่ความบริสุทธิ์ของสำนักข้า วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายตรงนี้ ก็ไม่มีใครพูดอะไรได้! 

 หากเยี่ยนตี๋บิดาเจ้าไม่ยินยอม ก็ให้เขามาที่ยอดเขาเรืองรองเองก็แล้วกัน ดูสิว่าเขาจะมีชีวิตรอดจนไปถึงยอดเขาได้หรือไม่ 

สิ้นคำพูด เขาก็ฟาดฝ่ามือลง

ผู้อาวุโสฉินหัวเราะด้วยความสะใจ  ตนเองกระทำไม่ยุติธรรม สั่งสอนศิษย์ไม่เป็น ปล่อยให้คนหนีไปได้ ตรวจสอบตัวเองดูให้ดีสักหน่อย คงจะดีกว่านี้กระมัง! 

 ที่แห่งนี้ยังไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมากำเริบเสิบสานได้!  

ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอีกครั้ง ราชาอาณาจักรถังตะวันออกไม่เอ่ยกล่าวคำพูดใดๆ เขตอาคมเมืองชมตะวันถูกกระตุ้นให้ทำงาน พุ่งไปทางคนทั้งสอง และกดดันไปพร้อมๆ กัน

ไม่ต้องสงสัย เขาต้องเข้าข้างฝั่งของเยี่ยนจ้าวเกออยู่แล้ว

แม้ว่าจะเป็นปรปักษ์กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไม่ไหว ทว่าก็ต้องทำตัวเป็นกลางในการปะทะกันของทั้งสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้มากที่สุด

ถึงกระนั้นเรื่องมีส่วนเกี่ยวข้องกับบุตรชายคนเดียวของสหายเยี่ยนตี๋ จ้าวซื่อเฉิงก็เลือกฝั่งเลือกฝ่ายโดยที่ไม่ลังเล แม้แต่เสี่ยงกับภัยอันตรายมากมายจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงความเป็นกลางใดๆ

สายตาของทะยานบูรพาดูเยือกเย็น ถ้าหากเป็นในเวลาปกติ เขตอาคมของเมืองชมตะวันไม่สามารถทำอะไรเขาได้สักนิด

ทว่าในตอนนี้ที่เขาสู้กันอย่างดุเดือดกับผู้อาวุโสฉิน หากเสียสมาธิแล้วล่ะก็ อานุภาพของเขตอาคมเมืองชมตะวันก็จะเผยออกมา

ผู้อาวุโสฉินเสมือนกับแม่ทัพในสนามรบนี้ ทำให้ทะยานบูรพาที่มีพลังสูสีกัน เสียเปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ

 ดี ดีมาก!  ทะยานบูรพาถอยตัวออกจากสนามรบ หันหน้ากลับไปมองเมืองชมตะวันครั้งหนึ่ง ไม่กล่าวอะไรอีก เขากลายร่างกลับไปเป็นพระอาทิตย์ใหม่อีกครั้ง แล้วหายตัวไปในอากาศ

…………..

เมื่อผู้อาวุโสฉินออกคำสั่ง เหยียนซวี่พลันชะงักไป ก่อนที่เขาจะพยักหน้า ปล้วลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก

เฟิงอวิ๋นเซิงคำนับให้กับผู้อาวุโสฉินครั้งหนึ่ง  ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสเจ้าค่ะ 

ผู้อาวุโสฉินโบกไม้โบกมือ  สาวน้อย เรื่องของเจ้าใหญ่หลวงนัก ข้าเองก็ไม่สามารถตัดสินได้เองทั้งหมด ต้องรอการตัดสินสุดท้ายจากทางสำนัก 

 เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจดี  เฟิงอวิ๋นเซิงหันหน้ากลับไปมองเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วพูดเสียงเบาว่า  ขอบคุณ 

นามของ ‘หุบเขาผนึกเวหา’ นางที่เดิมเป็นศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็เคยได้ยิน

ที่แห่งนั้นเป็นสถานที่ที่เขากว่างเฉิงใช้ลงโทษกักขังนักโทษความผิดร้ายแรง ซึ่งมีแต่คนป่าเถื่อนอำมหิตที่รอการประหาร หรือไม่ก็เป็นคนของเขากว่างเฉิงที่กระทำความผิดมหันต์ ถึงจะถูกกักขังเอาไว้ภายในหุบเขา

ตามคำร่ำลือ ที่แห่งนั้นมองไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน สภาพแวดล้อมเลวร้ายยิ่งกว่าหุบเหวปราการมังกรเสียอีก

ตั้งแต่เขากว่างเฉิงก่อตั้งขึ้น ยังไม่เคยมีคนที่ถูกนำไปขังไว้ที่หุบเขาผนึกเวหา แล้วสามารถหนีออกมาด้วยตนเองได้เลย

เยี่ยนจ้าวเกอมองนางแวบหนึ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ข้ามั่นใจในตัวเอง 

เฟิงอวิ๋นเซิงตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ว่า  ใช่ ข้าเชื่อใจท่านน้อยเกินไป เป็นความผิดของข้าเอง ครั้งหน้าข้าจะระวัง 

 ครั้งหน้าข้าจะพูดว่า ‘เยี่ยมมาก ก็รู้อยู่แล้วว่าท่านพึ่งพาได้!’ 

ชายหนุ่มตอบอย่างเถียงต่อไปไม่ได้ว่า  สำรวม สำรวม 

ด้านนอกที่พักอาศัยในตอนนี้ แสงสีทองอร่ามราวดวงอาทิตย์ลอยอยู่เหนือถนนใหญ่ ทำให้พื้นดินโดยรอบร้อนระอุขึ้นมาจนยากจะต้านทานไหว ผู้คนที่สัญจรไปมาต่างพากันถอยหนี

ผู้ที่เคยพบเจอมาก่อนต่างก็รู้ดี ว่านั่นคือท่านผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออกของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

ท่าทีราวกับยกทัพมาตีของเขาในตอนนี้ มีจุดประสงค์เพื่อตรงมายังสถานที่ทำการของผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออกของเขากว่างเฉิง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองเกิดความขัดแย้งขึ้นอีกแล้ว

ที่ถังตะวันออก เรื่องเช่นนี้ปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยครั้งนัก ทว่าโดยส่วนมากจะเป็นการประมือกันอย่างเงียบๆ

แต่ตอนนี้กลับมีผู้อาวุโสคุมการณ์ของอีกสำนักหนึ่งมาเยือน ท่าทีดุเดือดขุ่นเคืองอีกด้วย

 การประมือของทั้งสองฝ่ายได้ยกระดับขึ้นแล้ว คงไม่ได้จะออกมือปะทะกันที่เมืองชมตะวันหรอกใช่หรือไม่ การประมือของมหาปรมาจารย์สองคน เห็นทีเพียงแค่ควันหลงก็สามารถทำให้พื้นราบเป็นหน้ากลองได้แล้ว! 

หลายคนรู้สึกเป็นกังวลอยู่ในใจ

ท่ามกลางแสงสีทองนั้น มีเสียงที่เดือดดาลลอดผ่านออกมา  เหยียนซวี่ ข้ารู้ว่าเจ้าเด็กแซ่เยี่ยนนั่นกลับมาแล้ว! 

 เขาปกป้องลูกศิษย์หลบหนีของสำนักข้า และยังทำให้ลูกศิษย์ที่รับหน้าที่ออกตามจับได้รับบาดเจ็บด้วย! 

 เขากว่างเฉิงของเจ้าสั่งสอนคนไม่เป็น เช่นนั้นข้าจะช่วยสั่งสอนแทนก็แล้วกัน! 

 รีบส่งตัวเยี่ยนจ้าวเกอกับหญิงชั่วนั่นมา มิเช่นนั้นข้าจะพังที่นี่เสีย! 

เสียงที่นิ่งสงบของเหยียนซวี่ดังขึ้นจากด้านในตำหนัก  ศิษย์สำนักข้าจะอยู่แห่งหนใด ข้าไม่มีความจำเป็นจะต้องบอกเจ้า สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าทำคนหายเอง ก็ไปตามหาเอาเองสิ เกี่ยวอะไรกับสำนักของข้าเล่า? 

 ที่นี่ไม่มีคนที่เจ้าต้องการ อย่ากล่าวหาใส่ความตามใจชอบสิ แต่ถ้าเจ้าคิดจะหาเรื่อง ข้าก็ยินดีอยู่เป็นเพื่อน 

ในแสงสีทองราวกับแสงของดวงอาทิตย์ค่อยๆ ปรากฏของเขาคนผู้หนึ่งขึ้น เป็นชายชราหน้าเหลี่ยมหูใหญ่ใส่ชุดสีทอง

เขาจ้องมองตำหนักที่อยู่ด้านล่าง แสยะยิ้มพลางกล่าวว่า  เล่นงานคนของสำนักศักดิ์สิทธิ์ของข้าจนบาดเจ็บ ปกป้องคนทรยศสำนักข้า บัดนี้เขากว่างเฉิงช่างอาจหาญยิ่งนัก 

 ดูเหมือนพวกเจ้าคงจะลืมไปแล้ว ว่าหากไม่ใช่เพราะสำนักของข้ายอมอ่อนข้อให้ เขากว่างเฉิงของเจ้าก็คงจะดับสูญไปเสียตั้งนานแล้ว! 

เยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ในห้องโถงได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง  อวดอ้างเสียใหญ่โต 

ครั้งแรกที่โลกปีศาจอัคคีเข้ารุกรานแล้วถูกไล่กลับไป จ่านตงเก๋อ ผู้สะเทือนสวรรค์ได้สิ้นชีพลง ในบรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เขากว่างเฉิงได้รับความเสียหายมากที่สุด ดังนั้นจึงทำให้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งอื่นมีโอกาสตีเสมอขึ้นมา

มีบางคนศรัทธาในความเสียสละของจ่านตงเก๋อและเขากว่างเฉิง ทว่าก็มีบางคนที่ประสงค์ร้ายคิดจะถือโอกาสคนล้มแล้วเหยียบซ้ำ

โชคยังดีที่ตอนนั้นเขากว่างเฉิงมีผู้ที่มีความสามารถรุ่นต่อรุ่นคนหนึ่ง ที่ก่อนหน้านั้นเต็มใจสนับสนุนช่วยเหลือจ่านตงเก๋อ และถูกแสงสว่างของจ่านตงเก๋อบดบังไว้ได้เสนอตัวออกมา

บุคคลผู้นี้มีนามว่าจ่านซีโหลว บุรุษเทียมสวรรค์ น้องชายท้องเดียวกันของจ่านตงเก๋อ และยังเป็นเจ้าสำนักเขากว่างเฉิงต่อจากจ่านตงเก๋ออีกด้วย

หลังจากที่จ่านตงเกอสิ้นชีพไป จ่านซีโหลวก็รับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักแต่เพียงผู้เดียว อีกทั้งยังแสดงความสามารถอันน่าทึ่งออกมา

และเป็นเพราะการปรากฏกายอย่างไม่ทันตั้งตัวของจ่านซีโหลว เขากว่างเฉิงที่เพิ่งผ่านการรุกรานครั้งแรกของปีศาจอัคคี และอยู่ในสถานการณ์ที่ทั้งสำนักกำลังได้รับความเสียหายอย่างหนัก จึงยังไม่ล่มสลายลง อีกทั้งยังสามารถข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดไปได้

จ่านตงเก๋อและจ่านซีโหลวได้กลายเป็นคู่พี่น้องที่มีชื่อเสียงมากที่สุด และเป็นตำนานของโลกแปดพิภพ หลังจากเกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่

หลังจากปีศาจอัคคีเข้ารุกรานครั้งนั้น อาจารย์ปู่สุริยันศักดิ์สิทธิ์ ผู้บัญชาการสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ในขณะนั้นแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งกำลังปะทะกับจ่านซีโหลวและเขากว่างเฉิงไม่หยุดหย่อน

เขากว่างเฉิงที่อยู่ภายใต้การบัญชาของจ่านซีโหลวก็เก็บซ่อนความสามารถของตนเอง คอยเฝ้าระวังและเริ่มสั่งสมกำลังขึ้นใหม่อย่างลับๆ แต่ก็ทำอย่างประมาณตน ไม่เคยให้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เอาเปรียบได้เลยสักครั้ง

หลังจากนั้นอาจารย์ปู่สุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็สละตำแหน่งเจ้าสำนักให้กับรุ่นหลัง แล้ะไม่มีข่าวคราวของเขาอีกเลย

ส่วนจ่านซีโหลวนั้น เขาก็สิ้นใจไปในสงครามกับปีศาจอัคคีอีกครั้ง เช่นเดียวกับพี่ชายที่หลั่งโลหิตเพื่อโลกแปดพิภพจนหยดสุดท้าย

ทว่าเนื่องด้วยความพยายามของจ่านซีโหลว เขากว่างเฉิงก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคงได้อีกครั้ง ไม่ตกอยู่ในสภาวะเคว้งคว้างไหวหวั่นดังเช่นก่อนหน้านี้

ส่วนสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ในระยะนี้ ด้วยการพัฒนาและขยายอำนาจไม่หยุด ในที่สุดสำนักก็ได้อยู่เหนือเขากว่างเฉิง และกลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งแห่งใหม่

เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่  หากอาจารย์ปู่สุริยันศักดิ์สิทธิ์นั่นยังอยู่ล่ะก็ ขอเชิญให้ปรากฏตัวด้วย บัดนี้นับวันการจู่โจมจากปีศาจอัคคียิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โลกแปดพิภพกำลังต้องการยอดฝีมือเช่นนี้อยู่ 

ร่างกายของเหยียนซวี่ปรากฏขึ้นเหนือตำหนัก สายตาสบกับผู้อาวุโสในชุดสีทองแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์  พังทลายเขากว่างเฉิงของข้าอย่างนั้นหรือ? ถ้าคิดว่าทำได้ล่ะก็ เช่นนั้นก็มาลองดูสิ 

ชายชราในชุดสีทองยิ้มอย่างเย็นชา แล้วกล่าวว่า  หากไม่ใช่เพราะทางสำนักไม่อนุญาต ข้าคงจัดการทำลายสำนักของเจ้าไปนานแล้ว แต่วันนี้ข้าจะกำจัดเจ้าก่อนก็แล้วกัน! 

ขณะที่ปราณจิตราทั่วร่างกายของเขากำลังไหลทะลัก ก็มีแสงสีทองปกคลุมเอาไว้อีกครั้ง

แสงสีทองนั้นไม่ได้ดูเหมือนแสงตะวันลวงตาเหมือนอย่างเซียวเซิงและเฉาหยวนหลง แต่เป็นตัวของเขาที่แปรเปลี่ยนไปเป็นพระอาทิตย์ที่ส่องสว่างไปไกล

ความชื้นที่อยู่ในพื้นดินโดยรอบระเหยกลายเป็นไอจนหมดสิ้น หน้าดินบนถนนหนทางเริ่มแตกระแหง ต้นไม้ใบหญ้าต่างก็ไหม้เกรียมเหี่ยวแห้ง

ภายใต้อุณหภูมิที่สูงลิ่ว ทัศนียภาพพลันบิดเบือนไป

สีหน้าของเหยียนซวี่เย็นชา แววตาจริงจัง เขายกมือทั้งสองขึ้นขนานกัน ก่อนจะผลักไปข้างหน้าพร้อมกัน

วรยุทธ์ของมหาปรมาจารย์ถูกเผยออกมาทั้งหมด วิชาฝ่ามือดุสิตที่เหยียนซวี่กำลังปลดปล่อยออกมาในตอนนี้ย่อมแตกต่างออกไป

เปลวเพลิงสีม่วงปรากฏขึ้นในชั่วพริบตา กลายเป็นทะเลเพลิงผืนหนึ่งตั้งขึ้นประจันกับพระอาทิตย์สีทอง

เพลิงสีม่วงของฝ่ามือดุสิตตัดกับแสงอาทิตย์สีทองบนท้องฟ้า อุณหภูมิในอากาศพลันสูงขึ้นอีกครั้งในทันที

สภาพแวดล้อมที่อยู่รอบด้าน สิ่งของบางอย่างที่แห้งและติดไฟง่าย ก็ลุกโชนแผดเผาขึ้นมาเองในทันใด พื้นแผ่นดินที่กว้างไกลออกไปราวกับจะเปลี่ยนเป็นโลกแห่งไฟเพลิงสำหรับเมืองหลวงของอาณาจักรถังตะวันออก มีการสั่นไหวบริเวณใกล้ประตูเมืองชมตะวัน อักขระจิตแต่ละเส้นแต่ละลายปรากฏขึ้นบนหน้าพื้นดิน

ฉับพลันนั้นอากาศเย็นลงเล็กน้อย เหยียนซวี่และชายชราชุดทองต่างก็รู้สึกได้ถึงความกดดันที่กำลังมุ่งตรงมา

ทั้งสองคนยังไม่ได้รามือจากกัน เพียงแต่ปล่อยให้เขตอาคมของเมืองชมตะวันกำหนดขอบเขตการประมือของพวกเขา

กลางอากาศ เพลิงม่วงจากฝ่ามือดุสิตและแสงอาทิตย์เจิดจ้าสลับกันโจมตีไม่หยุด โจมตีกันจนพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน

บัดนั้นชายชราชุดทองแปลงกายเป็นพระอาทิตย์ดุจตะวันกลางเวหา

จู่ๆ พระอาทิตย์ก็ค่อยๆ หดเล็กลง ร่างกายของชายชราชุดทองปรากฏขึ้นอีกครั้ง พระอาทิตย์นั้นปรากฏขึ้นที่กลางฝ่ามือของเขา เจิดจ้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ชายชราชุดทองยกมือขึ้นราวกับกำลังชูพระอาทิตย์ขึ้น จากนั้นก็ฟาดฝ่ามือลงมา!

เหยียนซวี่ประสานฝ่ามือทั้งสองเข้าด้วยกัน เพลิงสีม่วงของฝ่ามือดุสิตที่อยู่ในอากาศรอบๆ พลันหลอมรวมเข้าด้วยกัน ตามวิถีหมัดของเขาที่เปลี่ยนแปลงไป

ไฟเพลิงที่ขยับไหวไปมาวินาทีนี้ถูกบีบอัดหลอมรวมเข้าด้วยกันจนเป็นของแข็งที่มีรูปมีร่าง กลายเป็นเตาโอสถสีม่วงขนาดใหญ่อย่างคาดไม่ถึง

ภายในเตาโอสถ เปลวเพลิงสีม่วงขยับไหวไปมาไม่หยุด พลังของเตาที่ทำการสร้างสรรพสิ่งใต้ผืนฟ้าหรือบนแผ่นดินได้ถูกส่งออก พุ่งตรงไปยังพระอาทิตย์ที่อยู่บนฝ่ามือของชายชราชุดทองผู้นั้น

……….

ผู้อาวุโสฉินนั่งนิ่งไม่ขยับ ดวงตาทั้งสองข้างมองเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วเปลี่ยนไปมองเฟิงอวิ๋นเซิง

แววตาของท่านผู้นี้ แข็งกร้าวราวกับจะหลอมเป็นวัตถุ เขาจ้องมองไปที่ข้อมือของเฟิงอวิ๋นเซิง คล้ายกำลังตรวจจับชีพจรด้วยแววตา

เฟิงอวิ๋นเซิงยืนอยู่ที่เดิมอย่างเงียบเชียบ หลังจากชั่วครู่หนึ่งผู้อาวุโสฉินก็เก็บสายตากลับคืน

 ชีพจรของนางเคยเป็นจันทรากายอย่างแท้จริง แต่บัดนี้พลังหยินสะท้อนกลับอย่างรุนแรง จนสลายหายไปหมดสิ้นแล้ว เพียงแต่ว่าเก่งกาจกว่าคนปกตินิดหน่อยเท่านั้น 

ผู้อาวุโสฉินมองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ แล้วพยักหน้าช้าๆ  อย่างไรก็ต้องตรวจสอบคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ให้ถี่ถ้วนก่อน แล้วถึงจะตัดสินได้ในท้ายที่สุด 

เหยียนซวี่และคนอื่นก็พยักหน้าด้วยเช่นกัน นี่เป็นเหตุผลที่ถูกต้อง ไม่ได้เหนือความคาดหมายของพวกเขาแต่อย่าใด

ทว่าหลังจากนั้นผู้อาวุโสฉินชะงักไปเล็กน้อย สายตาที่มองไปยังเฟิงอวิ๋นเกอมีความเสียดายปะปนอยู่  พรสวรรค์ของนางโดดเด่นกว่าคนทั่วไป ไม่รู้ว่าการทำความเข้าใจและนิสัยของนางเป็นอย่างไร 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มครั้งหนึ่ง  ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะนางประสบกับอุบัติเหตุ ผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมการทดสอบแห่งจันทราของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เป็นอันดับแรก แท้จริงแล้วก็คือนางขอรับ 

 เหตุผลหนึ่งในนั้นก็คือนางได้เข้าเป็นศิษย์ในสำนักก่อน แต่อย่างน้อยๆ ที่ทราบได้ก็คือ นางไม่ได้ด้อยไปกว่าเมิ่งหว่านแน่นอน 

เมิ่งหว่านไม่ได้เป็นเพียงสตรีจันทรา พรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ติดตัวนางก็ไม่ธรรมดา นับว่ามีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอันดับต้นๆ ในกลุ่มคนรุ่นเดียวกัน

พลังของนางแข็งแกร่งขึ้นทุกวี่วัน แม้กระทั่งมีโอกาสได้เป็นรุ่งอรุณทั้งสี่อยู่รางๆ

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวว่า  เพียงแต่หากตอนนั้นศิษย์น้องเฟิงทำให้เซียวเซิงบาดเจ็บบริเวณอื่น ที่ไม่ใช่การตัดตอนเป็นขันทีเช่นนี้แล้วล่ะก็ อาจจะไม่ต้องถึงขั้นต้องหลบหนีเช่นนี้ก็เป็นได้ 

ผู้อาวุโสฉินพยักหน้า แล้วไตร่ตรองอีกครั้ง

หากพรสวรรค์ของเฟิงอวิ๋นเซิงนั้นธรรมดาสามัญ เช่นนั้นแล้วรับตัวนางไว้เพียงแค่เพราะเกลียดชังสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ สำหรับเขากว่างเฉิงแล้วไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด

ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้สมานฉันท์กัน ทว่าก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะไม่ยอมซึ่งกันและกันด้วยเรื่องเพียงเท่านี้

ถ้าเป็นเมืองทะเลมรกต ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งวารีพิภพ กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสัมพันธ์เสมือนน้ำกับไฟ เช่นนั้นอาจจะมีความเป็นไปได้

ลองคิดดูจากมุมอื่นแล้ว ที่นั่นคงดีที่สุดสำหรับเฟิงอวิ๋นเซิง

เพียงแต่ว่าวารีพิภพอยู่ไกลจากนภาพิภพและอัคคีพิภพเกินไป การที่เฟิงอวิ๋นเซิงจะหลบหนีจากการไล่ล่าไปยังวารีพิภพเพียงลำพังนั้นเป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างยิ่ง

ดังนั้นเขากว่างเฉิงจึงกลายเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกับนางที่สุด

หากในตอนนั้นเยี่ยนจ้าวเกอไม่รั้งนางเอาไว้ และไม่จับนางส่งให้เซียวเซิงแล้วล่ะก็ เฟิงอวิ๋นเซิงก็เตรียมตัวที่จะเสี่ยงอันตรายมุ่งหน้าไปวารีพิภพเพียงลำพัง

ทว่าบัดนี้ หลังจากที่ผู้อาวุโสฉินตรวจสอบพบแล้วว่าแม้นางจะสูญเสียจันทรากายไป ถึงกระนั้นตัวนางก็ยังเป็นอัจฉริยะเหนืออัจฉริยะ และเป็นสตรีที่คุ้มค่าแก่การบ่มเพาะ

นี่จึงทำให้ผู้อาวุโสฉินและเขากว่างเฉิงสับสนอยู่บ้าง

ผลพวงที่จะได้รับกับราคาที่ต้องจ่าย จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักให้ดี

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย  ที่จริงแล้วมีวิธีที่จะฟื้นฟูจันทรากายของศิษย์น้องเฟิงกลับคืนมาได้ขอรับ 

ผู้อาวุโสฉินขมวดคิ้ว ทว่าก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เพียงมองไปที่เฟิงอวิ๋นเซิงอีกครั้ง

ครั้งนี้เขายกมือขึ้นชี้นิ้วไปในอากาศ แสงสายหนึ่งก็พุ่งออกจากนิ้วมือของเขา ก่อนจะตกลงบนข้อมือของเฟิงอวิ๋นเซิง

หลังจากตรวจสอบสภาพของเฟิงอวิ๋นเซิงอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้งแล้ว ผู้อาวุโสฉินก็มองเยี่ยนจ้าวเกอพลางถามเสียงต่ำว่า  เจ้าพูดเช่นนี้จะยืนยันด้วยอะไร 

เหยียนซวี่ก็มองเฟิงอวิ๋นเซิงแวบหนึ่งเช่นกัน พลางจ้องมองบนข้อมือของเฟิงอวิ๋นเซิง

ชั่วขณะหนึ่ง เหยียนซวี่ก็ละสายตากลับมา แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า  พูดว่าได้รับความเสียหายนั่นยังน้อยไป ไม่ใช่แค่เพียงได้รับความเสียหายแล้ว แต่หายไปอย่างสิ้นเชิงแล้วต่างหาก 

 การจะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ความยากก็ไม่ต่างอะไรกับการคืนชีพให้กับคนที่ตายไปแล้ว 

 อีกทั้งยังไม่ใช่เพิ่งสิ้นลมหายใจไป แต่เป็นคนที่ตายไปแล้วสองปีต่างหาก 

เหยียนซวี่มองเยี่ยนจ้าวเกอ  ช่วงหลายวันมานี้ เจ้ามักจะทำเรื่องใหญ่เหนือความคาดหมายของทุกคนได้สำเร็จก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีความสามารถที่จะฟื้นชีพคนตายได้ด้วยหรือไม่ 

ผู้อาวุโสฉินไม่ได้พูดอะไร แต่เห็นได้ชัดว่าเห็นด้วยกับความคิดของเหยียนซวี่

เขามองเยี่ยนจ้าวเกออย่างเงียบๆ รอคำอธิบายจากชายหนุ่ม

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า  ท่านผู้อาวุโสฉินเมื่อครู่ท่านได้พูดเอาไว้ว่า ปราณหยินในร่างกายของศิษย์น้องเฟิงแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปอยู่ครึ่งเท่าใช่หรือไม่ 

ผู้อาวุโสฉินพยักหน้า  ไม่ผิด 

ชายหนุ่มกล่าวอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนต่อ  ตอนแรกที่ข้าพบกับนาง ที่จริงแล้วนางไม่ได้แตกต่างจากคนปกติเลยสักนิด จันทรากายแห้งเหือดสูญสิ้นอย่างสิ้นเชิง พบเพียงร่องรอยแต่กลับไม่มีปราณหยินเลยแม้แต่นิดเดียว 

 หือ?!  ดวงตาทั้งสองของผู้อาวุโสฉินเบิกกว้าง

เขามองไปที่เฟิงอวิ๋นเซิงอย่างเหลือเชื่อ จากนั้นเฟิงอวิ๋นเซิงจึงเปิดปากพูดว่า  ช่วงหลายวันมานี้ ข้าได้ร่วมเดินทางกับศิษย์พี่เยี่ยน และได้รับการฝังเข็มจากวิชาลับเข็มทองของศิษย์พี่เยี่ยนลงไปที่จุดลมปราณ ในเส้นเลือดลมที่เหือดแห้งไป ก็รู้สึกได้รางๆ ว่ามีปราณหยินเกิดขึ้นมาใหม่เจ้าค่ะ 

 แม้ว่าจะช้ามาก แต่ก็ต่างจากก่อนหน้านี้แล้ว 

เหยียนซวี่และคนอื่นๆ ต่างก็มองเยี่ยนจ้าวเกอและเฟิงอวิ๋นเซิงอย่างรู้สึกเหลือเชื่อ

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มแล้วพูดว่า  สำนักของเราไม่มีสตรีจันทรามาโดยตลอด ตามหาทุกหนทุกแห่งไหนก็ไม่พบ หลายปีมานี้ได้เห็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งอื่นๆ สามารถเข้าแย่งชิงมงกุฎจันทราได้ แต่สำนักของเราทำได้เพียงแค่เป็นผู้ชม ในใจข้าร้อนรนเป็นอย่างมาก 

 ข้าจึงคิดว่า สตรีจันทราล้วนแล้วถือกำเนิดมาโดยธรรมชาติ เช่นนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะสร้างจันทรากายขึ้นมาได้ในภายหลัง 

 ดังนั้นข้าถึงรวบรวมคัมภีร์ลับต่างๆ ศึกษาวิจัยทางด้านนี้ด้วยตนเอง  เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้าด้วยความรู้เสียดายเล็กน้อย  น่าเสียดาย จันทรากายเป็นของขวัญล้ำค่าที่ฟ้าประทาน ไม่มีความหวังหรือความคืบหน้าที่จะสร้างขึ้นในภายหลังเลย 

เขาหันไปมองเฟิงอวิ๋นเซิง  แต่ข้าก็ได้สั่งสมความรู้ด้านนี้มามากมายยิ่งนัก จนพบว่าแม้จะไม่สามารถสร้างขึ้นได้ในภายหลัง แต่ถ้าหากสภาพจันทรากายที่มีมาแต่กำเนิดได้รับความเสียหาย ก็มีความเป็นไปได้ที่จะฟื้นฟูได้เช่นกัน 

 ต้องขอบใจศิษย์น้องเฟิงที่เชื่อมั่นในตัวข้า ให้ข้าได้ทดลองทำ อย่างไรเสียวิธีที่ข้าคิดออกก่อนหน้านี้ ก็ไม่มีโอกาสได้ทดลองจริงๆ 

ใบหน้าเหยียนซวี่ไร้ซึ่งความรู้สึก พลางมองเยี่ยนจ้าวเกอและเฟิงอวิ๋นเซิงอย่างเฉยชา  เพียงคำพูดจะพิสูจน์ได้อย่างไร 

เยี่ยนจ้าวเกอพลันกล่าว  ตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าได้พบศิษย์น้องเฟิงจวบจนวันนี้ ระยะเวลาไม่ได้ยาวนานแต่อย่างใด 

 รอผ่านไปอีกแค่ไม่กี่วัน ปราณหยินของศิษย์น้องเฟิงก็จะแกร่งขึ้นอีกขั้นหนึ่ง เท่านี้ก็สามารถยืนยันคำพูดของข้าได้แล้ว 

เหยียนซวี่พูดอย่างเย็นชาอีกครั้ง  เมื่อสองวันก่อนข้าเพิ่งไล่คนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กลับไป ตอนนี้พวกเจ้ากลับมาแล้ว พวกเขาก็คงจะมาหาถึงหน้าประตูในไม่ช้าแน่ 

 ถ้าตัดสินก็ต้องตัดสินให้เร็ว ไม่มีเวลามากมายขนาดนั้นมารอให้เจ้าพิสูจน์หรอก 

หางคิ้วเยี่ยนจ้าวเกอกระตุกเบาๆ ครั้งหนึ่ง ขณะกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าผู้อาวุโสฉินยกมือขึ้นห้ามเขาไว้

ดวงตาทั้งสองของผู้อาวุโสร่างสูงใหญ่ของเกาะตะวันออกมองตรงไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ  ข้าเชื่อก่อนก็ได้ว่าคำพูดของเจ้าเป็นความจริง แต่วิธีของเจ้าจะสามารถช่วยนางฟื้นฟูได้ถึงระดับไหน ได้เพียงแค่ส่วนหนึ่ง หรือสามารถฟื้นฟูกลับได้ดังเดิม หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับระดับที่อยูในจุดที่แข็งแกร่งที่สุด 

สีหน้าท่าทางของเยี่ยนจ้าวเกอหนักแน่นขึ้นมา กล่าวอย่างช้าๆ ว่า  การฟื้นฟูจำเป็นต้องใช้เวลา อีกทั้งยังมีเงื่อนไขด้านทรัพยากรและสภาพแวดล้อมที่จำเป็น ตอนนี้เงื่อนไขต่างๆ ยังไม่ครบครัน ยังต้องเก็บรวบรวมเพื่อเตรียมพร้อมขอรับ 

 ส่วนจะฟื้นฟูได้ถึงระดับไหนนั้น…  เยี่ยนจ้าวเกอสบตากับผู้อาวุโสฉินอย่างใจเย็น

 แข็งแกร่งยิ่งกว่านางในตอนนั้น! 

เยี่ยนจ้าวเกอพลันยิ้มขึ้นมา  หากทำไม่ได้ ข้าจะเข้าหุบเขาผนึกเวหาด้วยตัวเอง 

ผู้อาวุโสฉินมองเยี่ยนจ้าวเกอ แววตาลุ่มลึกและสงบนิ่ง

เหยียนซวี่ขมวดคิ้ว ขณะที่กำลังจะพูด ก็มีคนจากด้านนอกเข้ามารายงานว่าคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มาถามไถ่เอาความผิด

 ท่านผู้อาวุโสฉิน  เหยียนซวี่มองไปยังผู้อาวุโสฉิน

ชายชราร่างสูงใหญ่มองอย่างหงุดหงิด  ไล่กลับไป ขอคนไม่มีให้ ที่มีคือกำปั้นคู่หนึ่ง! 

……………

 

วรยุทธ์ความสามารถของท่านผู้อาวุโสเกาะตะวันออก และแรงกดดันไร้รูปร่างที่สร้างให้กับผู้คนรอบข้าง แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่เหยียนซวี่จะเทียบได้

สีหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอเป็นปกติ หลังจากคำนับท่านผู้อาวุโสเกาะตะวันออก ก็มองเฟิงอวิ๋นเซิงที่อยู่ด้านหลังแล้วพูดว่า  ท่านผู้อาวุโสขอรับ นี่ก็คือคนที่ข้าเคยพูดกับท่าน 

 นามเดิมคือเฟิงมู่เกอ ปัจจุบันนามว่าเฟิงอวิ๋นเซิงขอรับ 

เมื่อได้ยิน ‘เฟิงมู่เกอ’ สามคำนี้ ท่านผู้อาวุโสเกาะตะวันออกก็ผงกศีรษะเล็กน้อย ด้วยระดับตำแหน่งของเขา ย่อมต้องล่วงรู้เรื่องราวมากมายทีเดียว

จากนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็แนะนำให้กับเฟิงอวิ๋นเซิงว่า  ศิษย์น้องเฟิง ท่านผู้นี้ก็คือท่านผู้อาวุโสฉิน ผู้อาวุโสระดับหนึ่งแห่งเกาะนภาตะวันออกของสำนักเรา 

เฟิงอวิ๋นเซิงทำความเคารพอย่างมีมารยาท ไม่ปรากฏความบกพร่องเลยแม้แต่น้อย  ข้าน้อยเฟิงอวิ๋นเซิง เคารพท่านผู้อาวุโสเจ้าค่ะ 

สถานการณ์แบบไหนควรมีกิริยาท่าทางอย่างไร ความแตกต่างระหว่างท่าทีง่ายๆ สบายๆ กับไร้มารยาท เฟิงอวิ๋นเซิงเข้าใจแจ่มชัดดี

ด้วยชาติกำเนิดและประสบการณ์ของนาง แน่นอนว่าต้องรู้จักชายชราร่างสูงใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าอยู่แล้ว บุคคลที่เป็นอาวุโสระดับหนึ่งแห่งเขากว่างเฉิง ผู้คุมการณ์เกาะนภาตะวันออกทั้งหมด

ในระบอบการปกครองกฎระเบียบภายในเขากว่างเฉิงมีตำแหน่ง ผู้อาวุโสระดับหนึ่ง ผู้อาวุโสคุมการณ์ และผู้อาวุโสกิจปฏิบัติ

วรยุทธ์และอำนาจอาจไม่เทียบเท่า ทว่าตำแหน่งฐานะของผู้อาวุโสฉินท่านนี้ อยู่ในระดับเดียวกันกับเยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ เพียงแค่พื้นที่ปกครองแตกต่างกัน คนหนึ่งอยู่ภายนอก คนหนึ่งอยู่ภายใน

ตามหลักแล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินเกาะนภาตะวันออก ผู้อาวุโสฉินล้วนสามารถจัดการเองได้ทั้งหมด

ถึงกระนั้น เรื่องที่เกี่ยวกับเฟิงอวิ๋นเซิงในครั้งนี้ส่งผลกระทบมากเกินไป ดังนั้นผู้อาวุโสฉินจึงไม่สามารถถือความเห็นตนเองเพียงฝ่ายเดียวได้

อีกทั้งสำนักเขากว่างเฉิงได้ส่งคนมาเรียบร้อยแล้ว บัดนี้ผู้อาวุโสฉินที่เดินทางมาถังตะวันออกโดยเฉพาะ ก็เพื่อสืบหาความจริงก่อน

ทว่าหากด่านของท่านผู้อาวุโสฉินยังผ่านไปไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่มีคำพูดใดสามารถกล่าวต่อไปได้อีก

เยี่ยนจ้าวเกอมองไปยังผู้อาวุโสฉิน ชายชราผู้นี้เป็นผู้อาวุโสเก่าแก่ของสำนัก เป็นคนรุ่นเดียวกันกับเจ้าสำนักรุ่นก่อน อีกทั้งระหว่างบิดาเยี่ยนตี๋และอาจารย์ลุงรอง เขาก็ไม่ได้เอนเอียงไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสมอมา

ไม่ต้องหวังว่าจะได้รับการดูแล แต่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกให้ร้ายเหมือนอย่างเหยียนซวี่

ทุกอย่างล้วนยึดความจริงเป็นมาตรฐาน และถือเอาผลประโยชน์โดยรวมของเขากว่างเฉิงเป็นสำคัญ

 ท่านผู้อาวุโสฉินขอรับ อย่างที่ข้าเคยรายงานท่านตั้งแต่แรกว่าศิษย์น้องเฟิงผู้นี้เป็นศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ทว่าบัดนี้นางหันหลังออกจากสำนักแล้ว และหวังเข้าพึ่งใต้ร่มสำนักเขากว่างเฉิงของเรา 

เยี่ยนจ้าวเกอพูดด้วยความใจเย็น ไม่เร็วแต่ก็ไม่ช้า

ผู้อาวุโสฉินฟังอยู่เงียบๆ ไม่ได้กล่าวสิ่งใด

ส่วนเหยียนซวี่ก็ไม่ได้พูดแทรก เยี่ยนจ้าวเกอไม่มีทางไม่รู้ว่า หากเขากว่างเฉิงยอมรับลูกศิษย์ที่ทรยศสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แล้วจะมีผลกระทบอย่างไรบ้าง แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ก็ยังพาเฟิงอวิ๋นเซิงกลับมา ผู้อาวุโสฉินเองไม่ได้คัดค้านตั้งแต่ต้น อีกทั้งเรื่องก็ไปถึงสำนักแล้ว นั่นก็แสดงว่าต้องมีสถานการณ์ที่พิเศษมากกว่านั้น

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างสงบนิ่งว่า  ท่านผู้อาวุโสคงจะทราบถึงรายงานในตอนที่สืบเสาะจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มาได้ ซึ่งได้กล่าวถึงนามนามหนึ่งคือ เฟิงมู่เกอ 

 ภายหลังด้วยการปรากฏตัวขึ้นอย่างโดดเด่นของเมิ่งหว่าน จึงถูกคิดว่ารายงานนั้นเป็นข่าวเท็จ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ 

 เฟิงมู่เกอมีตัวตนอยู่จริง ซึ่งก็คือศิษย์น้องเฟิงที่อยู่ด้านหลังข้าคนนี้ขอรับ 

ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นอกจากผู้อาวุโสฉินและเหยียนซวี่แล้ว ก็เป็นบุคคลสำคัญของเขากว่างเฉิงที่อยู่ในเกาะนภาตะวันออก

นอกจากผู้อาวุโสฉินที่ทราบเรื่องราวตั้งแต่แรกแล้ว เหยียนซวี่และคนอื่นๆ เมื่อได้ยิน ‘สตรีจันทรา’ สี่คำนี้ ดวงตาก็พลันเปล่งประกายขึ้นมาทันที

ตามหาทั่วทั้งห้าเกาะอันกว้างใหญ่ไพศาลมานานหลายปี แต่ก็ไม่พบสตรีจันทราเลยสักคน

กระทั่งเขากว่างเฉิงถึงขั้นแอบส่งคนไปตามหาที่ชายแดนของเมืองอื่น หวังว่าจะพบเจอบ้าง ทว่าก็ยังคงไม่ได้อะไรกลับมา

การทดสอบแห่งจันทราเมื่อสองปีก่อน เขากว่างเฉิงก็เป็นได้แค่เพียงผู้นั่งชมอยู่ทุกครั้ง มองดูดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นแย่งชิงมงกุฎแห่งจันทราไปต่อหน้าต่อตา ย่อมรู้สึกจำใจและโมโหเป็นธรรมดา

หากเฟิงอวิ๋นเซิงเป็นสตรีจันทราจริง เช่นนั้นต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เขากว่างเฉิงก็ต้องเก็บนางเอาไว้แน่

ผู้อาวุโสฉินพยักหน้าก่อน จากนั้นก็ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า  ในจดหมายของเจ้าก่อนหน้านี้ กล่าวเพียงว่าจันทรากายของสหายเฟิงผู้นี้ได้รับความเสียหาย แต่กลับไม่ได้บอกว่าเสียหายถึงขั้นไหน 

 การบ่มเพาะสตรีจันทราต้องทุ่มทรัพยากรมิใช่น้อย แต่ด้วยศักยภาพของสำนักศักดิ์สุริยัน แม้ว่าจะมีเมิ่งหว่านอยู่แล้ว การบ่มเพาะสตรีจันทราทั้งสองคนก็ยังคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร 

 สตรีจันทราหนีออกจากสำนักทั้งคนย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คงไม่ปล่อยปละละเลยเช่นนี้แน่ 

 นอกเสียจากว่าจันทรากายของสหายเฟิงจะสูญเสียไปแล้วอย่างสิ้นเชิง 

น้ำเสียงของเยี่ยนจ้าวเกอราบเรียบไม่สูงขึ้นต่ำลงแต่อย่างใด ตอบตามความจริงว่า  ในตอนนี้ เป็นเช่นนั้นไม่ผิดขอรับ 

คิ้วของผู้อาวุโสฉินขมวดเล็กน้อย พลางมองดูเยี่ยนจ้าวเกอและเฟิงอวิ๋นเซิง

ทันใดนั้นเหยียนซวี่ก็เปิดปากพูดช้าๆ ว่า  ต่อให้เป็นสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ก็คงไม่ยอมเสียสตรีจันทรามาเป็นหนอนบ่อนไส้หรอก 

 แต่ถ้าหากเป็นศิษย์ธรรมดาที่สูญเสียจันทรากายไปแล้ว ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ 

ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเดียวกับเหยียนซวี่หรือไม่ เมื่อได้ยินดังนี้ต่างก็พากันขมวดคิ้ว มองเยี่ยนจ้าวเกอและเฟิงอวิ๋นเซิงด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์

เรื่องในวันนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กเลยจริงๆ

หากจันทรากายของเฟิงอวิ๋นเซิงสมบูรณ์ดี นั่นคงไม่ต้องกล่าวอะไรต่อ เขากว่างเฉิงจะรับนางเอาไว้ในทันที ทั้งยิ่งเป็นความดีความชอบของเยี่ยนจ้าวเกอ นับเป็นผลงานชิ้นใหญ่อย่างยิ่ง

ทว่าหากเฟิงอวิ๋นเซิงสูญเสียจันทรากายไปแล้ว เช่นนั้นเขากว่างเฉิงจะยังรับนางเอาไว้อยู่หรือไม่ ก็คงต้องพิจารณาให้ดีอีกครั้ง

การรับเอาศิษย์ทรยศสำนักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ เป็นคุณสมบัติที่ค่อนข้างเลวร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และเขากว่างเฉิงที่เดิมทีก็ไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว การกระทำเช่นนี้จะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ฉันท์ศัตรูยกระดับขึ้นอีกขั้น

เยี่ยนจ้าวเกอที่ก่อเรื่องทั้งหมดนี้ก็ต้องแบกรับชื่อเสียงความมักง่ายบ้าบิ่นไว้ การสร้างปัญหาข้างนอกทำให้สำนักต้องแบกรับภาระที่ไม่จำเป็น

และถ้าหากเฟิงอวิ๋นเซิงเป็นหนอนบ่อนไส้ที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ส่งมา แล้วเขากว่างเฉิงรับนางเอาไว้ ภายหลังเกิดปัญหาขึ้น เยี่ยนจ้าวเกอก็จะเป็นผู้กระทำผิดใหญ่หลวง

สีหน้าเยี่ยนจ้าวเกอยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  ศิษย์น้องเฟิงถูกศิษย์ร่วมสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ข่มเหงรังแก โดยที่ผู้อาวุโสภายในสำนักก็ไม่สามารถให้ความยุติธรรมแก่นางได้ ถึงขั้นจะพลิกขาวเป็นดำเพื่อสังหารนาง 

 อาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาที่คอยดูแลนางเพียงหนึ่งเดียว เมื่อไม่นานมานี้ได้หายสาบสูญไปในทะเลตะวันออกตอนที่ปะทะกับปีศาจอัคคี หลังจากที่ทราบข่าว นางที่หลบหนีมานานนับสองปี จึงทรยศหนีออกจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังฆ่าลูกศิษย์ร่วมสำนักไปแล้วถึงสามคน 

เยี่ยนจ้าวเกอมองทุกคน  สองปีก่อนที่นางจะหลบหนีออกจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นเพราะนางทำร้ายเซียวเซิงจนบาดเจ็บสาหัส หลังจากนั้นเซียวเซิงก็นำคนออกตามไล่ล่านางมาโดยตลอด 

เหยียนซวี่กล่าวอย่างเย็นชาว่า  สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ใช่ว่าจะไม่ยอมเสียสละชีวิตศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งสามคน ถ้านางเป็นตัวล่อให้เราติดกับเล่า? 

ชายหนุ่มยิ้มครั้งหนึ่ง  ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ก็แค่ไม่รู้ว่าท่านผู้อาวุโสเก่าแก่แห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ จะยอมให้หลานชายที่เป็นผู้สืบทอดเชื้อสายเพียงหนึ่งเดียวของตนเป็นขันทีตลอดไปเสียตั้งแต่บัดนี้หรือไม่ 

ทั่วทั้งโถงเงียบสงัดในชั่วพริบตา

เหยียนซวี่ชะงักงันไปเช่นกัน ผู้อาวุโสฉินขมวดคิ้วแล้วถามว่า  เจ้าหมายถึง… 

เยี่ยนจ้าวเกอหน้าตาจริงจัง  ตอนนั้น เซียวเซิงถูกศิษย์น้องเฟิงทำร้ายช่วงล่าง…เอ่อ กล่าวอีกแง่ก็คือเขาใช้การไม่ได้แล้ว 

เฟิงอวิ๋นเซิงก็มีท่าทีจริงจังเช่นกัน พร้อมทั้งโค้งตัวลงคำนับครั้งหนึ่ง  ตอนนั้นข้าอยู่ในเหตุการณ์ขับขันจึงเกิดพลั้งมือไป แม้ว่าเซียวเซิงจะสมควรได้รับกรรมตามสนอง แต่ก็เป็นเรื่องที่เสื่อมเสียหูตานัก ขอความกรุณาท่านผู้อาวุโสทั้งหลายอย่าได้ตำหนิข้าเลยเจ้าค่ะ 

เยี่ยนจ้าวเกอพูดว่า  ข้าปกป้องนาง ครั้งที่สองที่ประมือกับเซียวเซิง ก็ได้พิสูจน์ตรงจุดนี้แล้วขอรับ 

 แน่นอน ก็อาจเป็นไปได้ว่าเพราะเรื่องอื่นเซียวเซิงจึงถูกทำให้เสื่อม…โอไม่สิขอรับ ไม่สามารถใช้สืบเชื้อสายต่อไปได้ จากนั้นสำนักศักดิ์สิทธิ์จึงใช้ประโยชน์จากของที่ไม่ได้การ มาสร้างเรื่องราวเล่านิทาน 

 ฉะนั้นหากศิษย์น้องเฟิงเข้าสู่สำนักของเรา การสอบสวนในภายหลังก็ยังคงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แต่ดูจากโดยรวมแล้ว ข้าคิดว่าคำบอกเล่าของศิษย์น้องเฟิงสามารถเชื่อถือได้ขอรับ 

มุมปากของเหยียนซวี่พลันกระตุก เปล่งเสียงฮึดฮัดออกมาครั้งหนึ่ง ทว่าไม่เซ้าซี้กับคำถามก่อนหน้านี้อีก เขากล่าวว่า  จันทรากายของนางไม่สูญเสียเมื่อไรค่อยว่ากันเถอะ 

ผู้อาวุโสฉินนิ่งเงียบไม่พูดอะไร เขากว่างเฉิงจะตัดสินอย่างไร จุดนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

…………..

 

เมื่อได้ยินว่าหลินอวี้เสามีความเป็นไปได้ที่จะสิ้นชีพด้วยวิชาฝ่ามือดุสิตนี้ ในใจของเยี่ยนจ้าวเกอกลับมีความรู้สึกเหมือนกับเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

เหมือนกับที่เหยียนซวี่รู้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอฝึกฝนฝ่ามือดุสิต เยี่ยนจ้าวเกอเองก็รู้ว่าท่านผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออกท่านนี้ก็ใช้วิชาวรยุทธ์นี้ได้เช่นกัน

เพียงแต่เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่า ตาเฒ่านั่นน่าจะยังไม่ได้สติฟั่นเฟือน จนถึงขั้นที่จะสังหารหลินอวี้เสาด้วยน้ำมือของตัวเองเพื่อที่จะใส่ร้ายเขา

ถึงกระนั้นแม้เหยียนซวี่จะไม่ใช่ฆาตกร ทว่าคำใส่ร้ายป้ายสีและการแพร่ข่าวลือ เบื้องลึกเบื้องหลังคงขาดเขาไปไม่ได้แน่ๆ

ศพของหลินอวี้เสาถูกพบโดยข้ารับใช้ของเหยียนซวี่ และตอนนี้พวกเขาเองก็เป็นผู้ดูแล หากจะลงมือทำกลอุบายอะไรก็ไม่ใช่เรื่องยาก

หากไม่ใช่พวกของเหยียนซวี่เป็นคนลงมือ เช่นนั้นจะเป็นผู้ใดที่สังหารหลินอวี้เสากัน

ทันใดนั้นเอง สมองของเยี่ยนจ้าวเกอก็มีภาพคนคนหนึ่งแล่นผ่านเข้ามา

‘ไม่น่าจะใช่หรอก…’ เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลงเล็กน้อย แววตากลายเป็นเยือกเย็น

‘ยังบอกอยู่เลยว่าจะเล่นงานเจ้าให้หนักสักตั้งแล้วค่อยส่งต่อให้กับทางสำนัก แต่ถ้าเจ้าจะเสียสติถึงขั้นนี้แล้วล่ะก็ ข้าก็จะลดขั้นตอนลง ส่งเจ้าไปเกิดใหม่เลยแล้วกัน’

ไม่นานนัก อาหู่ก็กลับมา เมื่อพบหน้ากันเยี่ยนจ้าวเกอก็เอ่ยถามทันที  หาเจ้าเยี่ยจิ่งนั่นพบแล้วหรือยัง 

อาหู่กำมือใหญ่ไว้อย่างรู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง  คุณชาย ข้าพยายามเต็มที่แล้ว แม่น้ำใต้ดินที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นทุกสาย ข้าก็ไล่ตามหาไปเป็นร้อยเป็นพันลี้แล้วขอรับ 

 เจ้าเด็กนั่นไม่ได้หนีออกจากแม่น้ำ แต่ถูกพัดไปตามแม่น้ำใต้ดิน จวบจนตอนที่ข้าหาร่องรอยบางอย่างพบ เวลาก็ล่วงเลยไปนานมากแล้ว 

 เขาน่าจะออกจากเขามฤคลับตาแล้ว ถ้าเช่นนั้นฟ้าดินกว้างใหญ่ ข้าจะตามหาตัวเขาก็ยากนัก 

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ตำหนิอาหู่แต่อย่างใด กลับโบกไม้โบกมือ  หาไม่เจอก็หาไม่เจอ บึงน้ำแข็งนั่นก็พังทลาย แม่น้ำใต้ดินก็ไหลไปคนละทิศละทาง จะโทษเจ้าคงไม่ได้ 

 แต่ก็ห้ามหยุด หาต่อไป 

เมื่อได้ยินเรื่องราวของหลินอวี้เสาและข่าวลือที่แพร่สะพัด อาหู่ก็อ้าปากค้าง ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่เคยรู้จักกัน จึงมีความรู้สึกสะเทือนใจอยู่บ้าง  ใครกันที่ทำกับแม่นางหลินได้อำมหิตเช่นนี้ 

ทั้งสองคนเดินกลับเข้าไปใกล้ๆ กับกลุ่มคน

อาหู่มองเฟิงอวิ๋นเซิงด้วยความประหลาดใจ

เฟิงอวิ๋นเซิงโบกไม้โบกมือให้กับเขาอย่างเป็นธรรมชาติ แม้เขาจะรู้สึกงุนงง ทว่าก็โบกมือตอบ

เขาหันกลับไปมองเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วยิ้มอย่างซื่อๆ ทีหนึ่ง  แต่ว่าพูดถึงแล้วคุณชายใกล้ชิดกับแม่นางซือคงขนาดนี้…คุณชายคงไม่ได้คิดอะไรใช่หรือไม่ขอรับ 

 ก่อนจะเข้ามาที่เทือกเขามฤคลับตา ก็ไม่เห็นท่านคิดอะไรกับแม่นางซือคง 

 แต่ว่า แม่นางซือคงก็ค่อนข้างงดงามจริงๆ ท่านมีความคิดจะกินนางด้วยหรือไม่ขอรับ 

เยี่ยนจ้าวเกอกลอกตาขาวให้เขาครั้งหนึ่งอย่างขุ่นเคือง

 อีกอย่าง คุณชายขอรับ ท่านไปล่อลวงหญิงงามเช่นนี้จากที่ไหนหรือ  อาหู่แอบเดินเข้าไปใกล้กับเยี่ยนจ้าวเกอ เหล่หางตามองไปทางเฟิงอวิ๋นเซิง แล้วกล่าวขึ้นเสียงเบา  กินแล้วหรือยังขอรับ 

ผู้เป็นนายกลอกตาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือออกไปเคาะกะโหลกอาหู่สักครั้ง

เฟิงอวิ๋นเซิงที่อุ้มโร่วโร่ว สุนัขตัวเล็กสีดำที่ตนเองเลี้ยงเอาไว้อยู่ บัดนี้นางหันหน้ากลับมาด้วยสีหน้าจริงจัง

 ยังไม่ได้ถูกเขากินหรอก ข้ายังคงเป็นหญิงที่ไร้คู่ครอง 

 แค่กๆ…  อาหู่ที่ถูกเยี่ยนจ้าวเกอตบศีรษะเมื่อครู่ยังไม่ทันได้กลับมาเป็นปกติ ก็สำลักน้ำลายของตนทันที ไอขึ้นมาอย่างรุนแรง

มุมปากของเยี่ยนจ้าวเกอกระตุกสองครั้ง  …หญิงสาวยังไม่ออกเรือนสนทนาเรื่องเช่นนี้กับบุรุษ หน้าตาเฉยชาไม่เคอะเขิน ท่าทางสนุกสนานเช่นนี้ก็ได้หรือ 

เฟิงอวิ๋นเซิงลูบขนของโร่วโร่ว ไม่แยแสนัก  หากไม่เป็นเช่นนั้นล่ะ คงถูกผู้ชายพูดจาแทะโลมจนหน้าแดงใจเต้น จนได้ทีขี่แพะไล่ สุดท้ายแล้วไม่หันหลังหนี ถือมืดฟันคน 

 หรือจะให้แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ทำตัวนิ่งเฉย หูทวนลม ปล่อยคนกล่าวหานินทาตามใจ แล้วก้มหน้าก้มตายอมแพ้หรืออย่างไร? 

เยี่ยนจ้าวเกอมองไปที่นาง เฟิงอวิ๋นเซิงก็ผงกศีรษะให้  สองปีนี้ตั้งแต่ออกจากสำนัก ข้าไปมาหลายที่ พบเจอคนและเรื่องราวมากมาย 

 ทั้งซ่อนกายในป่า พรางตัวตามเมือง เพื่อหลบหนีการตามจับของพวกเซียวเซิง ป่าลึกเขาใหญ่ที่ข้าเคยอยู่ ระหว่างที่ซ่อนตัวอยู่ เรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ 

ชายหนุ่มหุบยิ้มแล้วส่ายหน้า ส่วนอาหู่มองดูเฟิงอวิ๋นเซิง ยิ้มแหะๆ แล้วยกนิ้วโป้งชูขึ้นให้นาง

เฟิงอวิ๋นเซิงเองก็ยิ้มแล้วยกนิ้วโป้งให้กับอาหู่เช่นกัน

 ส่วนเรื่องที่บอกว่าข้าถูกคุณชายของเจ้าล่อลวงมาจากที่ใด นั่นนับเป็นเรื่องเล่าของวีรบุรุษช่วยหญิงงามที่น่าซึ้งใจเชียวล่ะ 

 คุณชายเยี่ยนแสดงพลานุภาพอันน่าเกรงขาม เล่นงานสองในรุ่งอรุณทั้งสี่แห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จนย่อยยับ ช่วยหญิงสาวอ่อนแอเช่นข้าเอาไว้ 

อาหู่ตะลึงงัน ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองเยี่ยนจ้าวเกอ  สองคนหรือขอรับ นอกจากเฉาหยวนหลงแล้ว… 

 ยังมีเซียวเซิงด้วย  เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวโดยไม่ใส่ใจ  รายละเอียดเจ้าก็ถามพวกเขาเอาแล้วกัน 

หลังจากที่ฟังการประมือระหว่างเยี่ยนจ้าวเกอกับเฉาหยวนหลงและเซียวเซิง รวมถึงเรื่องที่เยี่ยนจ้าวเกอบรรลุระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางแล้ว อาหู่ก็มองเจ้านายของตนด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา

 คุณชาย ท่านเก่งกาจเกินไปแล้วขอรับ! 

 ประจบประแจงให้มันน้อยๆ หน่อย ถ้าจะประจบข้าล่ะก็ ก่อนอื่นไปทำหน้าเจ้าให้มันจริงใจกว่านี้ก่อน อย่าให้มันปลอมเช่นนั้น 

พวกเขาพูดคุยกัน พลางมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรถังตะวันออก

ทว่าเมื่อเดินมาถึงครึ่งทาง จู่ๆ ด้านหลังก็มีคนไล่ตามมา ซึ่งนั่นก็คือเหยียนซวี่ ผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออก

แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเยี่ยนจ้าวเกอหักหน้าเขา จึงไล่ตามมาคิดบัญชีติดๆ เช่นนี้ แต่เป็นเพราะได้รับการเรียกสอบสวนจากผู้อาวุโสตะวันออก ให้ไปพบกันที่เมืองหลวงอาณาจักรถังตะวันออกเช่นกัน

เหยียนซวี่มองเยี่ยนจ้าวเกอพลางเอ่ยถามว่า  ท่านผู้อาวุโสเกาะตะวันออกมายังถังตะวันออกเพื่อการใดหรือ 

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า  เหตุใดท่านผู้อาวุโสเหยียนจึงมาถามข้าเล่า ข้าเองก็รีบไปเมืองหลวงอาณาจักรถังตะวันออกเพื่อรวมตัวกับท่านผู้อาวุโสเกาะตะวันออกเช่นกัน 

แววตาของเหยียนซวี่กลายเป็นเฉยชาในทันที ก่อนจะเพ่งพินิจเยี่ยนจ้าวเกอ  ช่วงนี้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ดูวุ่นวายไม่สงบ อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็เป็นได้ 

 มีข่าวมาว่าแม้กระทั่งทางสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็เหมือนกับจะถูกทำให้ตื่นตกใจไปด้วย 

 ครั้งนี้เจ้าก่อเรื่องอะไรเอาไว้กันแน่ 

เยี่ยนจ้าวเกอเหมือนกับไม่รู้สึกถึงสายตาเย็นเยียบของเหยียนซวี่  คิดว่าท่านผู้อาวุโสเกาะตะวันออกก็คงชี้แนะให้กับท่านผู้อาวุโสเหยียนไปแล้ว คิดว่าท่านคงต้องมีการพิจารณาเป็นของตนเอง หากข้าปากโป้งพูดมากไป เกรงว่าจะไม่งาม 

ความหมายของคำพูดนี้ก็คือ สิ่งที่เจ้าควรรู้ ผู้อาวุโสเกาะตะวันออกก็ได้บอกเจ้าไปแล้ว

สิ่งที่เจ้าไม่ควรรู้ เจ้าก็อย่ามาถามไถ่จากข้า ข้าไม่มีความจำเป็นต้องรายงานเจ้า

เหยียนซวี่มองเยี่ยนจ้าวเกออย่างเย็นชา แล้วผงกศีรษะอย่างช้าๆ  ดีมาก 

ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสเกาะตะวันออกเพียงแค่ออกคำสั่งกำชับเขาให้ เตรียมรับมือกับคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ขณะเดียวกันก็ให้คุ้มกันความปลอดภัยของกลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอ ที่เหลืออย่างอื่น หลังจากมาถึงเมืองหลวงอาณาจักรถังตะวันออกพร้อมกับเยี่ยนจ้าวเกอค่อยคุยกันต่อหน้า

อีกทั้งยังกำชับเรื่องความปลอดภัยของกลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอเป็นพิเศษ

เมื่อคิดถึงตรงนี้ สายตาของเหยียนซวี่ก็เคลื่อนไปที่เฟิงอวิ๋นเซิง

ก่อนและหลังที่เยี่ยนจ้าวเกอเข้าไปที่เทือกเขามฤคลับตา สมาชิกรอบกายที่มีการเปลี่ยนแปลงเพียงหนึ่งเดียวก็คือนาง

 หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องของท่านผู้อาวุโสเกาะตะวันออกแล้ว เรื่องอื่นๆ เจ้าคงต้องชี้แจงให้ชัดเจนหน่อยเช่นกัน  เหยียนซวี่กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ประโยคหนึ่ง

สีหน้าเยี่ยนจ้าวเกอยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  ทำให้ท่านผู้อาวุโสเหยียนลำบากแล้วขอรับ 

เมื่อทุกๆ คนมาถึงเมืองหลวงอาณาจักรถังตะวันออก ท่านผู้อาวุโสระดับหนึ่งแห่งเกาะตะวันออก ที่ทำหน้าที่ดูแลเกาะนภาตะวันออกของเขากว่างเฉิงได้มาถึงก่อนแล้ว

บัดนี้ผู้อาวุโสแห่งเกาะตะวันออกกำลังรอการมาถึงของกลุ่มของเยี่ยนจ้าวเกอ ณ ลานกว้างที่เดิมทีเหยียนซวี่ประจำการอยู่

เขาเป็นชายชราผมสีเงินรูปร่างสูงใหญ่ปราดเปรียวคนหนึ่ง ดูมีกำลังวังชา ไม่ให้ความรู้สึกถึงความแก่เฒ่าแต่อย่างใด

แววตาของผู้อาวุโสเกาะตะวันออกเป็นประกาย วินาทีแรกที่ทุกคนมาถึง สายตาก็เคลื่อนไปอยู่ที่ร่างของเฟิงอวิ๋นเซิง

หลังจากที่เขาเพ่งพินิจเฟิงอวิ๋นเซิงอย่างถี่ถ้วนแล้ว สายตาก็เคลื่อนไปที่เยี่ยนจ้าวเกอและเหยียนซวี่อีกครั้ง

 จ้าวเกอ เล่ารายละเอียดของเรื่องราวทั้งหมดสิ  ผู้อาวุโสเกาะตะวันออกเปิดปากพูดออกมาว่า  ทางสำนักได้รับผลกระทบไม่น้อยทีเดียว จึงจะส่งคนมา 

เมื่อเหยียนซวี่ได้ฟังถึงตรงนี้ สายตาก็พลันเปล่งประกายเล็กน้อย

ขนาดผู้อาวุโสเกาะตะวันออกยังตัดสินเองไม่ได้ หรือต้องการจะให้ทางสำนักจัดการ?

เรื่องที่เยี่ยนจ้าวเกอก่อเอาไว้ครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยจริงๆ

……………….

 

หลินอวี้เสาออกฌานแล้ว และก่อนหน้านี้เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้แล้วเช่นกัน

หลินอวี้เสาจะมายังถังตะวันออก เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้มาก่อนหน้านี้แล้วเช่นกัน

แม้ว่าจะรู้สึกปวดศีรษะอยู่บ้างกับปัญหาที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งเอาไว้ให้ ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ได้ใส่ใจมากเท่าไร

ส่วนที่ว่าหลินอวี้เสามาเพราะได้ยินว่าเยี่ยจิ่งหายตัวไปในหุบเหวปราการมังกร หรือมาเพราะเยี่ยนจ้าวเกอ เขาเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรขนาดนั้น

ถึงกระนั้นสิ่งเดียวที่เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้คาดคิดก็คือ หลินอวี้เสาสิ้นชีพแล้ว

อีกทั้งจากที่ได้ยินจากผู้ติดตาม ก็คือนางไม่ได้สิ้นชีพเพราะอุบัติเหตุ ทว่าถูกคนสังหาร

เยี่ยนจ้าวเกออึ้งอยู่ครู่ใหญ่ ถึงได้สติกลับมา  ไม่ใช่เซียวเซิงหรือเฉาหยวนหลงใช่หรือไม่ 

นี่คือปฏิกิริยาแรกหลังจากที่เยี่ยนจ้าวเกอได้ฟังข่าวนี้ ทว่าตอนที่จอมยุทธ์ชุดดำมารายงาน ก็ไม่ได้เอ่ยถึงสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ตอนแรก เช่นนั้นก็คงจะไม่ใช่

 …เจอโจรขืนใจอย่างนั้นหรือ? 

แม้จะดูเหลวไหลไปบ้าง ทว่านอกจากกลุ่มคนของเซียวเซิงแล้ว นี่เป็นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวที่เยี่ยนจ้าวเกอคิดได้จริงๆ

เพราะเท่าที่ตนเองรู้ หลินอวี้เสาไม่ได้มีคู่อาฆาตแค้นอะไร อย่างน้อยก็ไม่มีศัตรูที่หวังจะเอาชีวิต

ต่อให้เป็นเพราะเยี่ยนจ้าวเกอแล้วถูกพาลไปด้วย นอกจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็ไม่ได้มีความแค้นอื่นที่ใหญ่หลวงเป็นพิเศษ

ทว่าบริเวณเมืองใกล้ปราการและหุบเหวปราการมังกร มักมีคนหลากหลายประเภทเข้าไปผจญภัยที่หุบเหวปราการมังกรอยู่บ่อยครั้ง ในกลุ่มคนเหล่านั้นมีพวกที่โหดร้ายเลือดเย็น ไม่เกรงกลัวสิ่งใด

หลินอวี้เสาแม้จะเป็นศิษย์เขากว่างเฉิง ทว่าไม่แน่ว่าอาจจะพบเข้ากับคนร้ายจำพวกที่วันนี้มีเหล้าวันนี้เมา หาความสุขไปวันๆ ก็เป็นได้

ในเวลาเช่นนี้ทำได้แค่เพียงพึ่งความสามารถตนเองเท่านั้น

จอมยุทธ์ชุดดำคนนั้นส่ายหน้า แล้วกล่าวเสียงเบาว่า  ตามที่ได้ยินมา พบเพียงศพของแม่นางหลิน ไม่สามารถระบุตัวคนร้ายได้ชัดเจน และแม่นางหลินสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย ไม่เหมือนกับสภาพคนที่ถูกขืนใจมาขอรับ 

เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย คิ้วค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน มีความคิดต่างๆ มากมายแล่นเข้ามาในสมองในชั่วพริบตา

แม้ว่าจะมีเรื่องยุ่งเหยิงกับเจ้าของร่างเดิมอยู่ไม่น้อย ทว่าหลังจากที่เยี่ยนจ้าวเกอข้ามมิติมายังยุคนี้ ก็ยังไม่เคยได้พบกับแม่นางหลินผู้นั้นเลย

เมื่อได้ยินข่าวว่าอีกฝ่ายเสียชีวิตแล้ว แม้ว่าจะไม่รู้สึกเศร้าเสียใจ ทว่าก็รู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อย

อย่างไรเสียหนึ่งชีวิตที่ยังอายุน้อยก็โรยราไปทั้งอย่างนี้

หลังจากนั้นชั่วครู่ใหญ่ เยี่ยนจ้าวเกอก็ถอนหายใจยาวออกมา  กลับไปค่อยว่ากัน 

ทุกคนเดินต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ค่อยๆ ออกจากเทือกเขามฤคลับตาไป

เมื่อถึงพื้นที่ชายแดนของเทือกเขามฤคลับตา บนทางที่เชื่อมต่อไปยังเมืองใกล้ปราการ ก็เห็นจอมยุทธ์เขากว่างเฉิงกำลังเดินตรงเข้ามา

ปรมาจารย์ที่เป็นผู้นำเมื่อเห็นเยี่ยนจ้าวเกอ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปลงอย่างอดไม่ได้  ศิษย์หลานเยี่ยน 

เยี่ยนจ้าวเกอจำได้ว่าเขาคือผู้อยู่ใต้บัญชาการของสวีชวน จึงผงกศีรษะ  มีเรื่องจะคุยกับข้าหรือขอรับ 

อีกฝ่ายกดเสียงต่ำ  ท่านผู้อาวุโสสวีขอให้เจ้าอย่าเพิ่งเข้าเมือง เชิญให้ไปพบกันที่ศาลาโบราณที่อยู่นอกเมืองสิบลี้ 

ชายหนุ่มสีหน้าท่าทางสุขุม  ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เชิญท่านอาวุโสสวีมาที่นี่ก็ได้ ระหว่างทางสนทนาไปเดินไป ข้าต้องรีบไปที่เมืองหลวงอาณาจักรถังตะวันออกขอรับ 

จอมยุทธ์วัยกลางคนผู้นั้นลังเลไปครู่หนึ่ง ทว่าก็ผงกศีรษะแล้วจากไป

สายตาเยี่ยนจ้าวเกอทอดมองออกไปไกล ก็พบว่ามีกลุ่มคนคอยสังเกตการณ์ตนอยู่ เมื่อเห็นว่าตนออกมาจากเทือกเขามฤคลับตาแล้วก็หันหลังกลับออกไปทันที

เห็นได้ชัดว่ากลับไปรายงานข่าวให้กับคนอีกฝ่ายหนึ่ง

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ขัดขวางเอาไว้ ทว่ารีบเดินทางต่อ

กลุ่มคนของจ้าวซื่อเลี่ยและจ้าวหยวนที่ร่วมเดินทางมาด้วย ค่อยๆ สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรถังตะวันออก น้อยนักที่จะปิดบังเรื่องที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินถังตะวันออกจากพวกเขาได้

ส่งคนไปสืบสักหน่อย ไม่ช้าก็มีข่าวกลับมารายงาน ทำเอาสีหน้าของทุกคนแปลกไปในทันที

จ้าวซื่อเลี่ยดูเหมือนจะสงบนิ่ง ทว่าก็ลูบจับหนวดเคราไม่หยุด จ้าวเฉิงมีท่าทีเหมือนกับจะได้ดูละครขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนใบหน้าของจ้าวหยวนเผยให้เห็นถึงความวิตกกังวล

จ้าวฮ่าวกลับมีท่าทีว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน เพียงแต่สังเกตการณ์อยู่ข้างๆ ด้วยแววตาที่เย็นชา

ไม่นานนัก สวีชวนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวลก็ออกจากเมืองใกล้ปราการด้วยตนเอง แล้วมาพบกับกลุ่มของเยี่ยนจ้าวเกอที่กลางทาง

 ศิษย์หลานเยี่ยนกลับมาแล้ว ยังมีท่านจิ่นอ๋อง องค์ชายใหญ่ องค์ชายสาม และองค์ชายสิบหก ไม่ได้พบกันนานเลยนะพะยะค่ะ 

สวีชวนทักทายตามธรรมเนียมก่อน ทว่าไม่นานนักก็ใช้ปราณจิตราผูกเป็นเสียง ส่งกระแสจิตไปยังหูของเยี่ยนจ้าวเกอ ‘นายน้อยเยี่ยนขอรับ ศิษย์หลานหลิน หลินอวี้เสาถูกสังหาร ท่านทราบหรือไม่’

แววตาของเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้มีท่าทีตกใจ ทว่าใบหน้ากลับแสดงสีหน้าเสียใจเล็กน้อยอย่างจงใจ แล้วจึงผงกศีรษะช้าๆ ‘ข้าได้ยินมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนลงมือทำ’

สีหน้าของสวีชวนเจื่อนลงเล็กน้อย ‘มีข่าวลือมาว่าเป็นนายน้อยเยี่ยน ท่าน…’

คิ้วของเยี่ยนจ้าวเกอพลันขมวดกันเป็นปมทันที ‘จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ใครเป็นคนพูดจาเหลวไหล’

‘มีข่าวลือว่า ศิษย์หลานหลินเข้าฌานเป็นเวลานาน ความรู้สึกที่ท่านมีต่อนางก็จืดจางลงแล้ว’ สวีชวนพูดอ้อมๆ เพราะข่าวลือจริงย่อมแย่ยิ่งกว่านี้ ซึ่งก็คือเยี่ยนจ้าวเกอเล่นกับหลินอวี้เสาจนเบื่อแล้ว เขาจึงไม่กล้าพูดเช่นนี้กับชายหนุ่มตรงๆ แน่นอน

‘ข่าวลือบอกว่าการมายังถังตะวันออกครั้งนี้ นายน้อยเยี่ยนยังหันไปชอบพอกับศิษย์หลานซือคงที่ร่วมเดินทางมาด้วย’

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้นก็ทั้งโกรธทั้งขำ ‘ภาพลักษณ์ของข้าเป็นเช่นนี้เองหรอกหรือ’

สวีชวนเหลือบมองด้านหลังเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่ง มองเฟิงอวิ๋นเซิงที่กำลังแหย่เล่นกับสุนัขสีดำ

ฉับพลันนั้น เยี่ยนจ้าวเกอถึงกับกุมขมับ

ท่าทางของชายหนุ่มทำให้สวีชวนไม่กล้าพูดกระตุ้นต่อมประสาทของเขาต่อ จึงพูดแห้งๆ ว่า ‘ข่าวลือบอกว่า หลังจากที่ศิษย์หลานหลินออกฌาน เมื่อได้ยินเรื่องของนายน้อยเยี่ยนกับศิษย์หลานซือคงจิง กังวลว่าจะเสียคนรักไป จึงรีบตามมาที่ถังตะวันออก’

‘หลังจากที่พวกท่านพบกันก็เกิดโต้เถียงกันขึ้น ท่านถูกศิษย์หลานหลินก่อกวนจนรำคาญ ผลจึง…’

สวีชวนกล่าวต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าดำเป็นก้นหม้อแล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า ‘ข่าวลือที่ไม่มีที่มาที่ไปเช่นนี้ ก็ยังมีคนเชื่ออีกหรือ’

ผู้บอกข่าวลือหัวเราะแห้งๆ ‘เพียงแต่ข่าวลือบอกว่า ศิษย์หลานหลินสิ้นชีพด้วยวิชาฝ่ามือดุสิต…’

ม่านตาดำของเยี่ยนจ้าวเกอหดเล็กลงอย่างฉับพลัน ‘ฝ่ามือดุสิตหรือ?’

สวีชวนผงกศีรษะอย่างหนักแน่น ‘ศพถูกพบครั้งแรกโดยคนของท่านผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออก บัดนี้ศพอยู่ในความดูแลของพวกเขา จึงยากนักที่จะเข้าใกล้เพื่อตรวจสอบได้ในเวลาอันสั้น’

‘แต่ว่าเท่าที่รู้มา ที่บริเวณทรวงอกของนางมีบาดแผลขนาดใหญ่ ถูกเผาจนไหม้เกรียม อย่างน้อยๆ ก็เป็นบาดแผลที่เกิดจากวรยุทธ์ที่มีปราณเพลิงอยู่ด้วยอย่างแน่นอน’

‘ทว่าบัดนี้มีข่าวลือแพร่กระจายออกมาว่าศิษย์หลานหลินสิ้นชีพด้วยวิชาฝ่ามือดุสิต’

เขามองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความกังวลอยู่บ้าง

จอมยุทธ์เขากว่างเฉิงที่ใช้วิชาฝ่ามือดุสิตได้ แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีแค่เยี่ยนจ้าวเกอคนเดียว ในถังตะวันออกก็ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวเช่นกัน

ถึงกระนั้นคนที่มีแรงจูงใจก็เหลือเพียงแค่เยี่ยนจ้าวเกอเท่านั้น

แม้ว่าแรงจูงใจนั้นจะเล็กน้อยอยู่บ้าง

ทว่าความเป็นจริงที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยก็คือ ข่าวการฆ่าฟันด้วยเรื่องรักใคร่เสน่หาเช่นนี้ แพร่กระจายออกไปได้ง่ายที่สุด

ท่ามกลางการบอกเล่าปากต่อปาก ข้อความข่าวสารถูกบิดเบือนมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นธรรมดา ยากจะหลีกเลี่ยงการใส่สีตีไข่ให้สนุกปาก ภาพลักษณ์ของเยี่ยนจ้าวเกอจะดูไม่ดีอยู่บ้างก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้

ถ้าแค่ข่าวซุบซิบนินทาลับหลังก็แล้วไป ผู้คนส่วนมากยังคงชอบเรื่องเล่าความรักของหญิงงามกับวีรบุรุษ ทว่าฆ่าฟันด้วยเรื่องรักๆ ใคร่ๆ นั้นเป็นคนละเรื่องโดยสิ้นเชิง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวลือเช่นนี้ ต่อให้ความจริงกระจ่างแล้ว ก็ใช่ว่าประชาชนจะปักใจเชื่อ

เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลงเล็กน้อย

จุดประสงค์ของผู้ที่แพร่กระจายข่าวลือ เกรงว่าคงไม่ใช่แค่เพียงทำลายชื่อเสียงง่ายๆ เช่นนี้

ชายหนุ่มสังหรณ์ใจว่า นี่เหมือนกับการปูเรื่องราวอะไรสักอย่าง…

หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอก็ส่ายหน้าไปมา ‘ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้าจริงๆ ความจริงที่ศิษย์น้องหลินถูกฆาตกรรมต้องตรวจสอบให้ละเอียดแน่อยู่แล้ว’

‘แต่ตอนนี้ข้ายังมีเรื่องเร่งด่วนต้องไปที่เมืองหลวงแห่งอาณาจักรถังตะวันออก เป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวพันกับรากฐานของเขากว่างเฉิงของข้า การจากไปของศิษย์น้องหลิน ข้าเองก็เศร้าเสียใจ แต่ตอนนี้ทำได้เพียงคิดถึงเรื่องส่วนรวมก่อนเรื่องส่วนตัว’

‘ท่านผู้อาวุโสเกาะตะวันออกกำลังรีบเร่งมาที่เมืองหลวงอาณาจักรถังตะวันออก ข้าเองก็จะไปเจอกับเขาที่นั่นเช่นกัน’

สวีชวนอึ้งไป เดิมทีคิดว่าเยี่ยนจ้าวเกอมีใจคิดเพียงแค่ต้องการหลีกหนี ทว่าในเมื่อท่านผู้อาวุโสเกาะตะวันออกมาด้วย เช่นนั้นคงต้องเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ แน่

‘ท่านผู้อาวุโสเหยียนอยู่ที่เมืองใกล้ปราการ เขาสั่งว่าข้าหากพบท่าน ให้นำท่านไปพบเขา ศพของศิษย์หลานหลินก็อยู่ในเมืองเช่นกัน’ หลังจากสวีชวนลังเลอยู่ชั่วครู่ เขาก็กล่าวเสียงเบา

เยี่ยนจ้าวเกอเบะปาก ‘คนแก่หลงลืมง่าย เขาลืมแล้วหรือว่าตอนนี้ข้าไม่ได้อยู่ใต้การดูแลของเขาแล้ว’

‘หากเขามีเรื่อง ก็ให้เขาตามไปที่เมืองหลวงอาณาจักรถังตะวันออกเถิด’

…………….

 

หลินอวี้เสานอนราบอยู่บนพื้น เงยหน้าเหม่อมองท้องฟ้าสีคราม

เมฆขาวลอยล่อง ฟ้าครามดังเดิม

ทว่าอาภรณ์สีขาวดุจหิมะที่นางสวมใส่ บัดนี้กลับเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นผง ร่วงหล่นลงพื้น กลายเป็นสีหม่นหมอง

บริเวณหน้าอกมีบาดแผลขนาดใหญ่ ทว่าไม่มีโลหิตไหลออกมา แต่กลับเป็นสีดำสนิททั่วบริเวณ เหมือนรอยไหม้หลังถูกเปลวเพลิงแผดเผา

โอกาสที่จะรอดชีวิตของเด็กสาวได้สูญสิ้นไปแล้ว

ลมหายใจเฮือกสุดท้าย ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ปรากฏขึ้นอีกครั้งเบื้องหน้า ข้างหูเหมือนกับยังมีเสียงโกรธแค้นสุดชีวิตเสียงนั้นดังสะท้อนอยู่

 พวกเขาบอกว่าเจ้าทำร้ายศิษย์น้องหลานจนบาดเจ็บสาหัส เพราะเหตุใดกัน เกิดอะไรขึ้น 

 เจ้าเยี่ยนจ้าวเกอหมาเวรนั่นทำร้ายข้าถึงสามสี่ครา หลานเหวินเยี่ยนก็เป็นหมารับใช้ของมัน ข้าไว้ชีวิตมันก็ถือว่าเมตตาแล้ว! 

 เรื่องนี้น่าจะเป็นการเข้าใจผิดกัน พวกเรากลับเขาไปอธิบายให้ผู้อาวุโสในสำนักฟังอย่างชัดเจนกันเถิด… 

 กลับเขาตอนนี้ก็เหมือนกับข้าวิ่งเข้าไปติดกับเสียเอง เจ้าอยากให้ข้าตายด้วยน้ำมือบิดาของเจ้าหมาเยี่ยนจ้าวเกออย่างนั้นหรือ? 

 ข้าเพียงแค่… 

 ข้าขอถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจะไปกับข้า หรือกลับไปหาเยี่ยนจ้าวเกอ? 

 เยี่ยจิ่ง เจ้าใจเย็นๆ ก่อน ข้าพูดคุยกับศิษย์พี่เยี่ยนหลายครั้ง เขาไม่ได้เจตนาทำร้ายเจ้า นั่นต้องเป็นการเข้าใจผิดกันแน่ๆ 

 …ไม่อยู่ฝั่งข้า ก็อยู่ฝั่งเยี่ยนจ้าวเกอ คนที่อยู่ฝั่งเยี่ยนจ้าวเกอก็คือศัตรูของข้า! 

จนถึงตอนนี้ ความตกตะลึงในแววตาของหลินอวี้เสายังไม่หายไปทั้งหมด

ก่อนหน้านี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็คิดไม่ถึง ว่าการพบกันอีกครั้งโดยบังเอิญหลังจากที่จากกันไปนาน สุดท้ายผลจะออกมาเป็นเช่นนี้

ประกายตาของหลินอวี้เสาค่อยๆ เลือนรางลง ใบหน้ากลับเผยสีหน้าปล่อยวาง

 ตั้งแต่ตอนนั้นที่ข้าติดตามศิษย์พี่เยี่ยนกลับไปที่เขากว่างเฉิง ก็อาจจะถูกกำหนดผลลัพธ์เช่นวันนี้เอาไว้แล้ว 

 นี่คือชะตากรรมของข้า…สินะ? 

ในวันนี้ บุปผางามที่ยังไม่ทันได้แย้มบาน กำลังจะโรยราลง

นอกเมืองใกล้ปราการ ณ อาณาจักรถังตะวันออก บริเวณทุ่งหญ้าที่อยู่ใกล้กับหุบเหวปราการมังกรและเทือกเขามฤคลับตา ชายชราคนหนึ่งใช้มือยันพื้นลุกขึ้นยืน

 หลินอวี้เสา?  ชายชราหันกลับไปมองผู้ที่อยู่เบื้องหลัง  ข้าจำได้ หญิงสาวที่มีข้อครหากับเยี่ยนจ้าวเกอและเยี่ยจิ่งสินะ 

ชายชราคนนั้นก็คือเหยียนซวี่ ผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออกของเขากว่างเฉิง

จอมยุทธ์ที่อยู่ด้านหลังเขาผงกศีรษะ  ไม่ผิดขอรับ เป็นศิษย์รุ่นเยาว์ที่โดดเด่นยิ่งนัก น่าเสียดายตอนที่พบตัวก็ได้สิ้นใจไปเสียแล้ว ไม่สามารถช่วยชีวิตเอาไว้ได้ขอรับ 

 ดูออกหรือไม่ว่าเป็นใครที่ลงมือ 

 ชี้ชัดไม่ได้ขอรับ เพียงแต่สามารถฟันธงได้ว่าอีกฝ่ายฝึกฝนวรยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับเพลิงรุนแรงขอรับ 

เหยียนซวี่ถามว่า  นางมายังถังตะวันออก เพื่อหาเยี่ยนจ้าวเกอหรือหาเยี่ยจิ่งกันล่ะ 

จอมยุทธ์ผู้นั้นส่ายหน้าพลางกล่าวว่า  เรื่องนี้ข้ายังไม่สามารถยืนยันได้ แต่มีความเป็นไปได้กว่าครึ่งว่าเป็นเยี่ยนจ้าวเกอขอรับ 

 เท่าที่ข้าทราบมา ตอนที่นางอยู่ระหว่างทางมาถังตะวันออก ก็ได้ทราบข่าวที่เยี่ยจิ่งรอดชีวิตกลับมาจากหุบเหวปราการมังกรแล้วขอรับ 

 ยิ่งไปกว่านั้น อย่างไรเสียก่อนหน้านี้นางได้ตามเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว หากฉลาดสักหน่อย ก็น่าจะรักษาระยะห่างกับเยี่ยจิ่งเอาไว้ 

 ก่อนหน้านี้ที่เยี่ยจิ่งเป็นตายยังไม่แน่ชัด จะสนใจหน่อยก็คงไม่มีอะไร ในเมื่อรู้แล้วว่าเยี่ยจิ่งยังไม่ตาย แต่ก็ยังมาถังตะวันออก คิดไปคิดมาก็น่าจะเป็นเพราะเยี่ยนจ้าวเกอขอรับ 

จอมยุทธ์คนนี้เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ก็เกิดลังเลเล็กน้อย

เหยียนซวี่ถามขึ้นด้วยเสียงเรียบนิ่งว่า  เป็นอะไรไปหรือ 

อีกฝ่ายตอบว่า  นั่นเป็นข่าวลือที่ยังไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงขอรับ ได้ยินมาว่าหลังจากที่เยี่ยนจ้าวเกอมายังถังตะวันออก ก็ค่อนข้างใกล้ชิดกับซือคงจิง ศิษย์หญิงของสำนักเราคนหนึ่งขอรับ 

 เป็นไปได้หรือไม่ว่าหลินอวี้เสารู้สึกว่าตำแหน่งของตนถูกคุกคาม อย่างไรเสีย นางกับเยี่ยนจ้าวเกอก็ยังไม่ได้แต่งงานกัน คนหนุ่มสาวเช่นนี้ ใจจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้างก็เป็นเรื่องปกติขอรับ 

เหยียนซวี่ได้ยินดังนั้นก็เงียบไม่พูดอะไร ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงเปิดปากพูด  นำข้าไปดูศพของศิษย์หญิงผู้นั้นหน่อย 

เมื่อมองดูบาดแผลที่หน้าอกของหลินอวี้เสา เหยียนซวี่ก็เงียบไปนาน แล้วทันใดนั้นก็ยื่นฝ่ามือของตนเองออกไป

ระหว่างที่ปราณจิตราเพิ่มพูนขึ้น กลางฝ่ามือของเขาก็มีสีม่วงแดงปรากฏขึ้น ราวกับกำลังหลอมรวมเพลิงไฟสีม่วงของจริงได้ลูกหนึ่ง

นี่ก็คือฝ่ามือดุสิตหนึ่งในยอดวิชาแปดพิภพ วิชาที่สืบทอดโดยตรงของเขากว่างเฉิง

ใบหน้าเหยียนซวี่ไร้ความรู้สึกใดๆ ฝ่ามือหนึ่งประทับอยู่ที่บาดแผลของหลินอวี้เสา

ศพของหญิงสาวสั่นสะเทือนเล็กน้อย แสงสีม่วงที่อยู่บนร่างกายสว่างวาบแล้วก็หายไป

เหยียนซวี่ดึงฝ่ามือกลับมา แล้วหันกลับไปมองจอมยุทธ์ผู้นั้น

 เยี่ยนจ้าวเกอก็เคยฝึกฝนฝ่ามือดุสิตมาก่อน…  จอมยุทธ์ผู้นั้นใจเต้นแรง ก้มศีรษะลงแล้วกล่าวว่า  ตอนที่ข้าพบหลินอวี้เสา นางได้สิ้นใจไปแล้ว จึงไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดลงมือ แต่หลินอวี้เสาสิ้นชีพด้วยวิชาฝ่ามือดุสิตของสำนักเราไม่ผิดแน่ คิดดูแล้วขอบเขตของผู้ที่ก่อเหตุมีจำกัด ข้าจะไปตรวจสอบให้แน่ชัดขอรับ 

ชายชราผงกศีรษะ  ตรวจสอบให้ละเอียด หลินอวี้เสาคนนี้แม้จะยังเป็นศิษย์ชุดขาว แต่อย่างไรเสียก็เป็นผู้สืบทอดของสำนัก จะตายอย่างไม่รู้แน่ชัดได้อย่างไร 

 นอกจากนี้ ค้นหาสถานที่ที่พบศพของศิษย์หญิงคนนี้ให้ละเอียด อาจจะยังมีร่องรอยของเยี่ยจิ่งนั่นอยู่ 

 หากหาไม่เจอก็แล้วไป หากพบก็ไม่ต้องแพร่งพรายไป พามาพบข้าโดยตรง มีร่อยรอยอันใดจงชำระล้างให้สิ้น อย่าเหลือเบาะแสเอาไว้ให้คนอื่นพบเห็น 

ใจของจอมยุทธ์ใต้บัญชาสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะโค้งลงตอบรับ  ขอรับ 

ในเทือกเขามฤคลับตา กลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอกำลังอยู่ระหว่างเดินทางกลับ

เยี่ยนจ้าวเกอเดิน พลางใคร่ครวญในใจถึงข้อมูลที่ได้รับจากจ้าวหยวน จ้าวเฉิง และคนอื่นๆ

‘ไม่เพียงแต่มีฐานที่มั่นอยู่ในเกาะนภาตะวันออก แต่ที่เกาะนภาเหนือก็มีฐานที่มั่นเช่นกัน…’ เยี่ยนจ้าวเกอคิดคำนวณในใจ ‘หรือนั่นจะหมายความว่านอกจากหานเซิ่ง เฒ่ามารหัวขวานแล้ว ขุมอำนาจนี้ยังมียอดฝีมือในระดับมหาปรมาจารย์คนอื่นอีก’

‘หากที่เกาะนภาเหนือก็มีผู้นำที่เป็นมหาปรมาจารย์เหมือนกับหานเซิ่งล่ะก็ เช่นนั้นขุมกำลังนี้จะร่วมมือระหว่างหานเซิ่งและคนอื่นๆ อีกหลายคน หรือว่าเหนือพวกเขายังมีผู้นำที่สูงกว่า’

เยี่ยนจ้าวเกอส่งเสียงจิ๊จ๊ะ ‘ทั้งเกาะนภาตะวันออกและเกาะนภาเหนือต่างก็มีคนของพวกเขาอยู่ แล้วที่อื่นๆ เล่า’

‘นอกเหนือจากนภาพิภพจะมีอีกหรือไม่’

ดวงตาของเยี่ยนจ้าวเกอหรี่ลงเล็กน้อย ‘เกาะนภาตะวันออกมีหุบเหวปราการมังกร เกาะนภาเหนือมีแม่น้ำกรมท่าที่ต่างก็ยื่นออกมาจากอเวจี…’

‘เฒ่ามารหัวขวานก่อเรื่องโดยปักหลักอยู่ที่หุบเหวปราการมังกร หากมีการเคลื่อนไหวของคนอื่นๆ ในขุมอำนาจนี้ เกรงว่าล้วนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับอเวจีเช่นกัน’

ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง

โลกแปดพิภพภายหลังเกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ผลกระทบที่ใหญ่ที่สุด ในเรื่องใหญ่ไม่กี่เรื่องที่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโลก อันดับแรกก็คือปฐพีพิภพกลายเป็นอเวจี ไปจนถึงโลกปีศาจเข้ารุกราน

ไม่แปลกที่เมื่อเรื่องเกี่ยวโยงเข้ากับอวเจี ก็สามารถสะกิดประสาทของทุกคนได้อย่างรวดเร็ว

‘แต่ก็ยังดีที่หลังจากการเคลื่อนไหวลับได้ถูกเปิดเผยแล้ว หากอยากจะตามหาเบาะแสเพิ่มเติมก็ง่ายขึ้นเยอะ’ เยี่ยนจ้าวเกอคิดไปพลาง สายตาหันไปมองจ้าวฮ่าวที่อยู่ในกลุ่มผู้คนไปพลาง

‘จะจัดการกับเขาอย่างไรดี อืม ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปรึกษากับท่านลุงจ้าวดูก่อน’ เยี่ยนจ้าวเกอเบะปาก ไม่ว่าจะเป็นบิดาของตนเองหรืออาจารย์ลุงรอง ก็คงไม่ยินดีที่จะเห็นองค์ชายคนหนึ่งที่มองเขากว่างเฉิงเป็นศัตรู กลายเป็นรัชทายาทแห่งถังตะวันออก รวมไปถึงราชาอาณาจักรถังตะวันออกองค์ใหม่ในอนาคตด้วย

ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จอมยุทธ์ชุดดำคนหนึ่งก็เข้ามาใกล้ แล้วรายงานว่า  คุณชายขอรับ มีข่าวด่วน 

เยี่ยนจ้าวเกอเลิกคิ้วขึ้น  มีอะไร หาเยี่ยจิ่งพบแล้วหรือ 

อีกฝ่ายส่ายหน้า แล้วกล่าวเสียงเบาว่า  ที่เมืองใกล้ปราการมีข่าวว่า แม่นางหลินอวี้เสาถูกคนสังหารแล้วขอรับ 

 หา?  ชั่ววินาทีนั้นเยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกเพียงว่าไร้สาระที่สุด

………………..

 

จ้าวเฉิงแทงเข็มไปเก้าครั้งไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนจ้าวฮ่าวลงเข็มไปห้าครั้ง โอสถเม็ดกลับระเบิดขึ้น นี่ไม่ใช่เพราะจ้าวฮ่าวเก่งไม่เท่าจ้าวเฉิง กลับกัน เป็นเพราะเหนือกว่าจ้าวเฉิงมากต่างหาก

จ้าวเฉิงไม่รู้วิชานี้เลยสักนิดเดียว ทั้งเก้าเข็มล้วนเป็นการทำที่เปล่าประโยชน์ เพียงแค่สร้างรูเล็กๆ บนโอสถเม็ดก็เท่านั้น

ในขณะที่จ้าวฮ่าวแทงเข็มเข้าไป เขาใช้ลมปราณสั่นสะเทือนโอสถเม็ดเพื่อให้เกิดผลลัพธ์

ถึงกระนั้นก็น่าเสียดาย แม้ว่าเขาจะเก่งกาจกว่าจ้าวเฉิง ทว่าก็ยังคงไขปริศนาวิชาเข็มทองผ่านโอสถนี้ไม่ได้

จ้าวฮ่าวยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ต้องการถอยหลบแต่ก็ไม่ได้โบกมือปัดเป่าฝุ่นละอองออกไป

ส่วนฝุ่นละอองที่กระจัดกระจายไปทั่วท้องฟ้าตกลงมาเปรอะเปื้อนทั่วศีรษะและใบหน้าของเขา จนผมกลายเป็นสีขาวโพลน อีกทั้งบนใบหน้ายังถูกขี้เถ้าสีขาวปิดทับไปชั้นหนึ่ง มองไปแล้วช่างน่าขันเป็นที่สุด

จอมยุทธ์ที่อยู่ใต้บัญชาของจ้าวหยวนและจ้าวเฉิง ก็มองไม่เห็นความหยิ่งยโสของเขาก่อนหน้านี้ บัดนี้เห็นเขาประสบกับความโชคร้ายเข้า ก็อดพากันหัวเราะไม่ได้

ใบหน้าจ้าวฮ่าวเต็มไปด้วยฝุ่นเถ้าสีขาว ดวงตาทั้งสองดุจดั่งหมาป่า สายตาจดจ้องไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ

สายตาของเขาในขณะนี้ ไม่มีการดูถูกหรือเหยียดหยาม ทว่าเป็นสายตาของการศัตรูด้วยความแค้นแทน

ไม่ใช่ความแค้นที่มีต่อเขากว่างเฉิง ทว่าเป็นความแค้นที่มีต่อเยี่ยนจ้าวเกอเพียงคนเดียว

ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเห็นชายหนุ่มคนนี้อยู่ในสายตา

สีหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอเรียบนิ่ง และก็ไม่มองจ้าวฮ่าวเลยสักครั้งเดียว ทว่ายกมือประสานกันให้กับจ้าวซื่อเลี่ย  วันนี้ต้องขอบคุณจิ่นอ๋องที่ให้คำแนะนำ เป็นการประลองที่ดุเดือดจริงๆ 

เมื่อเห็นว่าเยี่ยนจ้าวเกอทำเหมือนตนเองไม่มีตัวตนอยู่ จ้าวฮ่าวก็พลันหรี่ตาลงเล็กน้อย

บางครั้งการละเลยมองข้ามนั้น หนักหนายิ่งกว่าการดูถูกเหยียดหยามเสียอีก

โดยปกติจ้าวฮ่าวเป็นคนที่เมื่อคนอื่นบ้าคลั่ง เขาก็จะบ้าคลั่งยิ่งกว่า แล้วบัดนี้เขาจะทนรับการละเลยมองข้ามของเยี่ยนจ้าวเกอได้อย่างไรเล่า

แววตาของเขายิ่งดุดันขึ้น

 น้องสิบหกต้องการจะทดลองใหม่ดูอีกครั้งหรือไม่  จ้าวหยวนพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร ในตอนนี้เองที่ข้างหูของเขามีเสียงดังขึ้น

จ้าวฮ่าวหลับตาลง มือทั้งสองกำหมัดแน่นเงียบๆ เล็บมือจิกเข้าไปกลางฝ่ามือ

เมื่อครู่เพียงแค่ทดสอบไปครั้งหนึ่ง เขาก็รู้ว่าวิชาเข็มทองผ่านโอสถไม่ใช่วิชาที่แค่สังเกตอยู่ข้างๆ ก็สามารถเรียนรู้ได้ง่ายๆ

ต่อให้เขามีระดับความสามารถในการกลั่นโอสถที่อยู่เหนือคนส่วนมากบนโลกใบนี้ แต่ไม่ใช่แค่ทดลองเพียงไม่กี่ครั้งก็สามารถคลำหาทางเจอ

จ้าวหยวนมองดูจ้าวฮ่าวแล้วกล่าวอย่างเฉยเมยว่า  ดูเหมือนน้องสิบหกจะไม่คิดทดลองต่อแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นการประลองครั้งนี้ของพวกเรา ผลจะว่าอย่างไรเล่า? 

ร่างกายของจ้าวฮ่าวเซเบาๆ เมื่อลืมตาขึ้นไม่ได้มองจ้าวหยวนเลยสักนิด สายตาจ้องตรงไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ ‘ดักห่านทั้งปี กลับโดนนกกระจอกจิกตาบอด[1]…’

เขาสูดหายใจเข้าลึก เปิดปากพูดว่า  ครั้งนี้เป็นข้าเองที่พ่ายแพ้ 

จ้าวฮ่าวมองจ้าวหยวนแวบหนึ่งด้วยความเย็นชา คร้านจะพูดไร้สาระให้มากความ

เขามีความมั่นใจเต็มร้อย หากจะให้จ้าวหยวนกลั่นโอสถรักษาบาดแผลด้วยตนเองสักเม็ดแล้วล่ะก็ อย่าว่าแต่เปรียบกับเขาเลย แค่ให้เขาถือรองเท้าให้กับโอสถรักษาบาดแผลของจ้าวฮ่าวก็ยังไม่คู่ควรเลย

ทว่าก่อนหน้านี้เขาพลั้งพูดอย่างมั่นใจออกไปว่าสิ่งที่จ้าวหยวนทำได้ ถ้าจ้าวฮ่าวไม่สามารถทำได้ดีกว่า ก็จะถือว่าเขาแพ้

ผลในขณะนี้ก็คือสิ่งที่จ้าวหยวนทำได้ เขากลับทำไม่ได้

ถึงแม้ว่านั่นไม่มีทางเป็นความสามารถที่แท้จริงของคนอ่อนหัดอย่างจ้าวหยวน จะต้องเป็นเยี่ยนจ้าวเกอใช้ปราณจิตราส่งกระแสจิตคอยชี้นำเป็นแน่

จ้าวฮ่าวแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง แล้วจึงกล่าวตรงๆ ว่า  คนที่ถูกข้าสังหารไปก่อนหน้านี้ ไม่ได้มีคำให้การที่มีประโยชน์อะไร 

 มีเพียงจุดหนึ่ง การรวมขุมอำนาจของพวกเขามีขอบเขตกว้างนัก ไม่เพียงแค่ถังตะวันออกเท่านั้น และไม่ใช่แค่เพียงเกาะนภาตะวันออกอีกด้วย 

 อย่างน้อย ที่เกาะนภาเหนือก็ยังมีฐานที่มั่นของพวกมันอยู่ แต่สถานการณ์ที่แน่ชัด เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน 

เยี่ยนจ้าวเกอที่ฟังอยู่ด้านข้าง พลางจดจำทุกอย่างเอาไว้ในใจ ทว่าสายตายังคงจับจ้องอยู่ที่จ้าวซื่อเลี่ย

เมื่อโบกมือครั้งหนึ่ง กงจักรเพลิงสุริยะก็ถูกเก็บกลับเข้าไปอีกครั้ง รัศมีหายไปเช่นกัน แววตาของจ้าวซื่อเลี่ยเหมือนกับจะดับมืดลงไปเล็กน้อยด้วย

 กลับเมืองหลวงอาณาจักรถังตะวันออกไป คงยังต้องรบกวนจิ่นอ๋องด้วยนะพะยะค่ะ  เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มอย่างอ่อนโยนยิ่งนัก

จ้าวซื่อเลี่ยมองจ้าวฮ่าว มองจ้าวหยวน แล้วก็มองเยี่ยนจ้าวเกอ สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง ฝืนยิ้มพลางกล่าวว่า  จ้าวเกอมาเยือน ข้าก็ต้องต้อนรับขับสู้แน่นอนอยู่แล้ว 

เขามองไปทางจ้าวหยวน แล้วกล่าวเสียงทุ้มว่า  คิดไม่ถึงเลยว่าหลานจะรอบรู้เกี่ยวกับวิชากลั่นโอสถโบราณก่อนวิกฤตการณ์ น่าชื่นชมยิ่ง 

 แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะสามารถเปิดเผยให้ใช้อย่างกว้างขวางได้ วิชาเช่นนี้เพียงพอที่จะทำให้โอสถที่ผลิตขึ้นในถังตะวันออกของเรา ได้ยกระดับขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียว 

จ้าวหยวนประสานมือขึ้นคารวะครั้งหนึ่ง  ที่เสด็จอาจิ่นกล่าวมา หลานก็รู้เพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น ปัจจุบันยังคงคลำหาทางอยู่ คิดว่าอย่างน้อยๆ ก็ให้ก้าวเท้าแรกให้มั่นคงก่อน แล้วค่อยรายงานให้เสด็จพ่อท่านทรงทราบ 

 แต่แน่นอนว่ากลับเมืองหลวงครั้งนี้ต้องรายงานให้เสด็จพ่อรับรู้อยู่แล้ว 

 หอศิลาโอสถอาจจะต้องทำการทดลองอย่างแพร่หลายเสียก่อนกระมัง อย่างไรทุกสิ่งก็ให้เสด็จพ่อเป็นผู้ตัดสินเองดีกว่า 

จ้าวซื่อเลี่ยได้ยินดังนั้น คิ้วพลันก็กระตุกแล้วกระตุกอีก จนเกือบจะยับยั้งความโกรธภายในใจเอาไว้ไม่อยู่

หอศิลาโอสถ เดิมทีอำนาจของที่แห่งนี้ก็เพิ่มขึ้นเพราะโอสถหมอกควันสลายอยู่ในระดับหนึ่งแล้ว บัดนี้เห็นได้ชัดว่าจะยิ่งเพิ่มขึ้นอีกขั้น

หากหอศิลาโอสถพัฒนาตนเองได้ต่อไปเรื่อยๆ ก็สามารถคาดได้ว่า ต่อแต่นี้ไปหอศิลาโอสถก็จะขึ้นนำเหนือที่อื่นๆ กลายเป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญของอาณาจักรถังตะวันออก

ทว่าบัดนี้กลับจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตนเองแล้ว…

จ้าวซื่อเลี่ยทอดถอนใจครั้งหนึ่ง เขารู้ตัวแล้วว่าดูถูกเยี่ยนจ้าวเกอมากเกินไป

เขาเป็นมหาปรมาจารย์ บุตรของตนเองก็อายุมากกว่าเยี่ยนจ้าวเกอ

แม้ว่าช่วงหลายวันมานี้เยี่ยนจ้าวเกอจะโดดเด่นออกนอกหน้านอกตา ทำให้ผู้คนได้เห็นถึงพลังความสามารถและศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ด้านวรยุทธ์

ทว่าจ้าวซื่อเลี่ยก็คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าวิชากลั่นโอสถของเยี่ยนจ้าวเกอจะเหนือกว่าจ้าวฮ่าวได้เช่นกัน

เป็นจริงเช่นที่ท่านผู้เฒ่าหวังกล่าวไว้ ระดับความสามารถวิชากลั่นโอสถของจ้าวฮ่าว เมื่อเทียบกับทั่วหล้าตอนนี้แล้วก็เป็นผู้เหนือชั้นที่มีจำนวนน้อย

ความสูงต่ำของระดับความสามารถในการกลั่นโอสถ มีความเกี่ยวข้องกับระดับสูงต่ำทางด้านวรยุทธ์ของจอมยุทธ์ แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องใกล้ชิดเหมือนอย่างการหลอมอาวุธ

ในบางระดับก็เป็นความรู้ในอีกแขนงหนึ่ง หากอยากจะชำนาญก็ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ และต้องดูระยะเวลาที่สั่งสมความสามารถ

ในความคิดของจ้าวซื่อเลี่ย วรยุทธ์เยี่ยนจ้าวเกอมีระดับความรู้ซึ้งสูงเช่นนี้ แน่นอนว่าจำเป็นต้องมีความมุ่งมั่นแน่วแน่ ตั้งใจฝึกฝน ซึ่งได้ใช้เวลาและกำลังวังชาไปมาก

ต่อให้คนอื่นมีพรสวรรค์ในการกลั่นโอสถที่ไม่ธรรมดา แล้วจะมีเวลาทุ่มเทมากขนาดนั้นได้อย่างไร

หากแค่เพียงบังเอิญรู้วิชาลับเก่าแก่วิชาหนึ่งก็แล้วไป ทว่าถ้าเยี่ยนจ้าวเกอมีความรู้ลึกซึ้งในทุกๆ ด้านของวิชากลั่นโอสถแล้วล่ะก็ นั่นเกรงว่าจะถึงจุดที่ทำให้ผู้คนนึกภาพไม่ออกเลยทีเดียว

จ้าวซื่อเลี่ยเองก็นับว่าเป็นคนที่ผ่านฟ้าผ่านฝนมาไม่น้อยแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังมีความรู้สึกที่ตนมีความรู้และความสามารถน้อยกว่าเยี่ยนจ้าวเกออยู่มากโข

สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง จนท้ายที่สุดก็กลายเป็นการยิ้มเจื่อน

จ้าวหยวนขณะนี้ส่งกระแสจิตอย่างลับๆ ‘ครั้งนี้ต้องขอบคุณจ้าวเกอจริงๆ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยคิดเลยว่าน้องสิบหกของข้าจะเก็บซ่อนพลังของตนเองได้มากถึงขนาดนี้’

‘บุญคุณในวันนี้ ต้องตอบแทนเจ้าแน่’

‘อีกเดี๋ยวเสด็จพ่อถามถึงเรื่องวิชาเข็มทองผ่านโอสถ ข้าคงจำเป็นต้องพึ่งความเห็นของเจ้า’

เยี่ยนจ้าวเกอตอบกลับไปว่า ‘ถึงเวลาข้าจะไปคุยกับท่านลุงเอง ฝ่าบาทวางใจได้ ส่วนเรื่องวิชานี้ ภายใต้เงื่อนไขของขอบเขตของผู้ที่รู้เรื่องราวด้วย หอศิลาโอสถสามารถนำไปใช้ได้’

‘ข้าเข้าใจ’ จ้าวหยวนเข้าใจแจ่มแจ้ง ‘วางใจเถิด ข้าจะไม่ทำให้เขากว่างเฉิงเสียเปรียบแน่นอน’

เฟิงอวิ๋นเซิงยืนอยู่ข้างเยี่ยนจ้าวเกอ  เป็นท่านที่ช่วยองค์ชายใหญ่แห่งถังตะวันออกผู้นั้นใช่หรือไม่ 

ใบหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอแสดงสีหน้าที่ระมัดระวังยิ่ง  นี่ๆ เงียบไว้ 

 เจ้าค่ะๆ เงียบไว้ๆ เงียบที่สุด  เฟิงอวิ๋นเซิงยิ้มพลางส่ายหน้า จากนั้นก็ถามด้วยความประหลาดใจว่า  แต่วิชาลับเช่นนี้ เขากว่างเฉิงของพวกท่านไม่เก็บเอาไว้หรือ ถึงได้ยอมเผยแพร่ให้กับอาณาจักรตะวันออกเช่นนี้ แม้ว่าข้าจะเคยได้ยินมาว่าบิดาของท่านกับราชาอาณาจักรถังตะวันออกจะเป็นสหายร่วมทุกข์กันก็เถอะ 

เยี่ยนจ้าวเกอมองนางแวบหนึ่ง  เจ้าควรพูดว่า ‘เขากว่างเฉิงของพวกเรา’ สิถึงจะถูก 

อันที่จริงเฟิงอวิ๋นเซิงยังไม่ได้เข้าสำนักอย่างเป็นทางการ ตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอเพียงแค่รับปากจะช่วยนางเท่านั้น ท่าทีของเขากว่างเฉิงที่มีต่อนางจะเป็นเช่นไร ก็ยังไม่แน่นอน

ทว่าเฟิงอวิ๋นเซิงที่ได้ยินดังนั้น ก็พลันยิ้มอย่างสดใส  ท่านพูดถูก เป็นความผิดของข้าเอง ต้องเป็นเขากว่างเฉิงของพวกเรา 

 อืม ลื่นหูขึ้นเยอะ  เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะอย่างพอใจ แล้วจึงพูดว่า  วางใจเถิด ก่อนหน้านี้ข้าเคยรายงานวิชาเข็มทองผ่านโอสถให้ท่านพ่อรับทราบแล้ว และทางสำนักเองก็มีพื้นฐานแล้วเช่นกัน 

 ทางด้านถังตะวันออก ต้องขับไล่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และเขาไร้พรมแดนออกไป จึงต้องลงทุนเสียหน่อยเป็นธรรมดา 

 ถึงจะไม่มีเรื่องวันนี้ ก็ต้องพิจารณาแผนอื่นเอาไว้อยู่แล้ว 

 ดังนั้นข้าถึงได้ยึดตำแหน่งของจ้าวซื่อเลี่ยที่หอศิลาโอสถอย่างไรเล่า 

เยี่ยนจ้าวเกอดีดนิ้วครั้งหนึ่ง  เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ ข้าก็ไม่เคยคิดเช่นกันว่ามันจะราบรื่นง่ายดายเช่นนี้ 

ในที่สุดเยี่ยนจ้าวเกอก็มองจ้าวฮ่าวแวบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มอย่างไร้ความเป็นมิตร  ช่างเป็นคนดีเสียจริง ขอบใจเจ้ามากนะ 

………………..

[1] ดักห่านทั้งปี กลับโดนนกกระจอกจิกตาบอด หมายถึง เพราะประมาทเกินไปจึงพลาดท่าให้กับเรื่องที่ไม่ควรพลาด

 

เยี่ยนจ้าวเกอมองจ้าวหยวนที่กำลังเดินไปที่เตากลั่นโอสถ แล้วจึงมองจ้าวฮ่าวในภายหลัง ก่อนจะลูบคางของตนเอง ‘หากวันนี้ข้าไม่ได้อยู่ที่แห่งนี้ สองพี่น้องจ้าวหยวนและจ้าวเฉิงจะต้องถูกตบหน้าอย่างแน่นอน’

‘อีกทั้งพอตบหน้าด้านขวาแล้ว ก็ตบหน้าด้านซ้ายอีก’

‘แล้วหลังจากนั้นไม่แน่ว่าด้วยเหตุผลแปลกประหลาดอีกนานัปการ พวกเขาอาจจะค่อยๆ กลายเป็นหินรองเท้าให้กับจ้าวฮ่าวทีละก้าว’

จากนั้นเขาพลันเบะปาก ‘วิชากลั่นโอสถจำเป็นต้องมีพรสวรรค์ และจำเป็นต้องสั่งสมประสบการณ์ ซึ่งต่อให้เป็นข้า ก็ไม่มีวิธีที่จะทำให้คนทำสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว’

‘ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่มีทางออกโรง ลดตัวลงไปแข่งกับจ้าวฮ่าวแน่นอน’

‘หากทำเช่นนั้น ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ก็ล้วนแต่จะทำให้จ้าวฮ่าวผู้นี้ได้หน้าไป’

‘แต่คิดว่าเป็นเช่นนี้แล้วข้าจะไม่มีวิธีเลยหรืออย่างไร?’

จ้าวหยวนทำตามการชี้แนะของเยี่ยนจ้าวเกอ เขาไม่ได้หยิบเตาโอสถของตนออกมา และไม่ได้เดินไปยังเตาโอสถของจ้าวฮ่าว ทว่ากลับเดินไปตรงหน้าของท่านผู้เฒ่าหวังแทน

 ท่านผู้เฒ่าหวัง ไม่ทราบว่าจะขอโอสถรักษาบาดแผลของน้องสิบหกให้แก่ข้าได้หรือไม่ 

ท่านผู้เฒ่าหวังขมวดคิ้วเล็กน้อย และเผยสีหน้าไม่พอใจ  องค์ชายใหญ่ไม่เชื่อข้า คิดว่าข้าเข้าข้างองค์ชายสิบหกอย่างนั้นหรือ? 

องค์ชายใหญ่ยิ้มเล็กน้อยพลางส่ายหน้า ทั้งยังพูดว่า  แน่นอนว่าไม่ใช่ ท่านผู้เฒ่าหวังอย่าเพิ่งเข้าใจผิดไป ข้าเพียงแต่อยากดูโอสถที่น้องสิบหกกลั่นก็เท่านั้นเอง 

ท่านผู้เฒ่าหวังมองดูเยี่ยนจ้าวเกอและจ้าวซื่อเลี่ย ท้ายที่สุดก็ส่งโอสถรักษาบาดแผลให้กับจ้าวหยวน

เขาถอนหายใจครั้งหนึ่ง  ใช้เวลาน้อยนิด ประสิทธิภาพโอสถไม่ต้องพูดถึง ท่านดูก้นเตาโอสถของเขาเสียก่อน กากโอสถแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่มี วัตถุดิบโอสถถูกนำไปใช้อย่างสมบูรณ์ ไม่มีการสิ้นเปลืองสักนิด 

คำพูดที่พูดออกมานี้ ทำให้ทุกคนล้วนตกตะลึง

จ้าวฮ่าวทำได้สมบูรณ์แบบทั้งสามด้าน ต่อให้ระดับความสามารถของจ้าวหยวนจะพุ่งสูงขึ้น ก็ทำได้มากสุดแค่เสมอ นอกเสียจากว่าประสิทธิภาพของโอสถที่เขากลั่นออกมาจะดีกว่าจ้าวฮ่าว

ทว่านั่นจะยังเป็นโอสถรักษาบาดแผลอยู่หรือ?

สีหน้าของจ้าวหยวนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ในมือกำโอสถรักษาแผลเอาไว้เพื่อชั่งดูปริมาณ แล้วหันหน้ากลับไปมองจ้าวฮ่าว  วิชากลั่นโอสถของน้องสิบหก ช่างเก่งกาจจริงๆ 

จ้าวฮ่าวพูดนิ่งๆ ว่า  เสด็จพี่ใหญ่อยากจะพูดอะไรหรือ 

จ้าวหยวนพูดอย่างใจเย็นว่า  วิชากลั่นโอสถของน้องสิบหกนั้นเลิศล้ำ กระทั่งสามารถทำให้เกิดภาพลวงตาจากไอควันเตาโอสถได้ พี่ใหญ่เช่นข้าต้องขอบอกว่าน่านับถือยิ่งนัก 

 แต่เส้นทางการกลั่นยาลึกล้ำกว้างไกล แต่ละศาสตร์มากมายก่ายกอง… 

ทันใดนั้นจ้าวฮ่าวพูดตัดบทเขา  วิธีกลั่นโอสถนั้นมากมายก็จริง แต่ที่ท่านรู้ ข้าเองก็รู้ ส่วนที่ท่านไม่รู้ ข้าล้วนรู้ทั้งสิ้น 

 เช่นนั้นท่านไม่จำเป็นต้องกล่าวให้มากความ เข้าประเด็นเลยดีกว่า 

เมื่อถูกน้องชายตัดบท จ้าวหยวนไม่ได้โกรธ และยังคงพูดอย่างช้าๆ ว่า  น้องสิบหกกล้าหาญยิ่งนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พี่ใหญ่เช่นข้าก็จะแสดงความสามารถเสียหน่อยล่ะ 

 ข้าบังเอิญได้เรียนวิชากลั่นโอสถมหัศจรรย์แขนงหนึ่งมาเล็กน้อย วันนี้จะขอลองวิชาสักหน่อยก็แล้วกัน 

 ส่วนน้องสิบหก ไม่จำเป็นต้องแกร่งกว่าข้า เพียงแค่ทำให้ได้เหมือนอย่างพี่ใหญ่ วันนี้พี่ใหญ่ก็ขอศิโรราบยอมแพ้ 

 ไม่รู้ว่าน้องสิบหกจะคิดว่าอย่างไร 

จ้าวฮ่าวมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย้ยหยัยทันทีที่ได้ยินดังนั้น จากนั้นเขาก็มองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ

‘วิชามหัศจรรย์หรือ? น่าขันนัก ตอนนั้นข้าใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตเก็บซากวัตถุที่หลงเหลือจากวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ หรือวิชาของสำนักโอสถแขนงใหญ่หลังจากวิกฤตการณ์จากทั่วทั้งโลกแปดพิภพทั้งหมดมาแล้ว’

‘นอกจากเคล็ดวิชาและวิธีปรุงยาเฉพาะของแต่ละดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่เกี่ยวกับการกลั่นโอสถทั่วหล้านี้ ไม่สิ่งใดที่ข้าไม่รู้’

‘วิชากลั่นโอสถของเขากว่างเฉิงของเยี่ยนจ้าวเกอก็มีเอกลักษณ์เฉพาะอยู่บ้าง แต่ไม่มีสักแบบที่ความสามารถของจ้าวหยวนจะเรียนรู้จนชำนาญได้’

‘หรือจะเป็นวิชานอกสำนักที่ได้มาโดยบังเอิญ เหอะ ล้วนเป็นของที่เหลือจากที่ข้าเคยเล่นในอดีตทั้งนั้นแหละ’

จ้าวฮ่าวพลันยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ พลางกล่าวว่า  ต่อให้เสมอกัน ก็ขอถือว่าข้าแพ้! 

จ้าวหยวนยิ้มพร้อมพยักหน้า แล้วหยิบเข็มทองเล่มหนึ่งออกมาทันที จากนั้นก็แทงเข้าไปในโอสถรักษาบาดแผลนั้น

ผู้คนที่เห็นดังนั้นต่างก็ตะลึงงั้น ไม่เข้าใจว่าจ้าวหยวนกำลังทำสิ่งใดอยู่กันแน่

มีเพียงแค่จ้าวฮ่าวและท่านผู้เฒ่าหวังเท่านั้น ที่มีความตื่นตาตื่นใจฉายชัดอยู่ในดวงตา

ทั้งสองคนมองจ้าวหยวนที่ขับเคลื่อนเข็มประหนึ่งปักษากำลังโบยบิน เขาแทงเข็มเข้าไปในโอสถรักษาแผลต่อเนื่องเก้าครั้ง จากนั้นภายในตัวโอสถรักษาบาดแผลก็เริ่มมีหมอกควันจางๆ พรั่งพรูออกมาจากรูเข็ม

ทุกคนที่มองต่างตกอยู่ในภวังค์ พวกเขารู้ว่าหมอกที่พรั่งพรูออกมาเหล่านี้เป็นเพราะการกระทำของจ้าวหยวน ทว่าโอสถไม่ใช่ถุงลมเสียหน่อย จะมีอากาศออกมาจากข้างในได้อย่างไร

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น จ้าวหยวนก็นำโอสถคืนให้กับมือท่านผู้เฒ่าหวัง  เชิญท่านผู้เฒ่าหวังตรวจสอบใหม่อีกครั้ง 

ท่านผู้เฒ่าหวังสูดหายใจเข้าลึก หลังจากตรวจสอบแล้ว ชายชราก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ราวกับกำลังคิดทบทวนอยู่ในใจ

เขาไม่พูดแม้แต่คำเดียวแล้ว เพียงแต่ส่งโอสถเม็ดนั้นให้กับจ้าวซื่อเลี่ยที่อยู่ด้านข้าง หลังจากที่ฝ่ายหลังมองดูแล้ว คิ้วก็พลันกระตุกขึ้นทันที

 ไอควันของเตาไฟที่หลงเหลืออยู่ในโอสถหายไปหมดแล้ว ประสิทธิภาพของโอสถดีขึ้นมากกว่าเดิมอีก จนมีประสิทธิภาพดีสูงสุดตามตำราทฤษฎียารักษาแผลอย่างนั้นหรือ?! 

 แต่ว่าทำได้อย่างไรกัน?! 

ท่านผู้เฒ่าหวังถอนหายใจหนัก ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อยอย่างคาดไม่ถึง จากนั้นเขาก็มองไปยังจ้าวหยวน  ขอประทานอภัยที่ข้าตาฝ้าฟางไป เคล็ดวิชาที่องค์ชายใหญ่ใช้ ใช่วิชาเข็มทองผ่านโอสถหรือไม่ 

จ้าวหยวนยิ้มเล็กน้อย พยักหน้าพลางกล่าวว่า  ท่านผู้เฒ่าหวังสายตาหลักแหลม เป็นเข็มทองผ่านโอสถจริงๆ 

ร่างกายท่านผู้เฒ่าหวังหยุดสั่นแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นแล้วถอนหายใจยาว รู้สึกพึงพอใจอย่างถึงที่สุด  คิดไม่ถึงเลยว่าชั่วชีวิตข้าจะได้เห็นเคล็ดวิชามหัศจรรย์ในยุคก่อนเกิดวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ ชั่วชีวิตนี้ไม่เสียเปล่าจริงๆ! 

จ้าวซื่อเลี่ย จ้าวเฉิง และคนอื่นๆ ล้วนตกตะลึงกับสิ่งนี้  ท่านผู้เฒ่าหวัง… 

หลังจากที่ท่านผู้อาวุโสหวังสงบสติอารมณ์ลงได้แล้วจึงกล่าวว่า  วิชาเข็มทองผ่านโอสถ สามารถสลายไอควันจากเตาไฟที่หลงเหลืออยู่ในโอสถให้หมดได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิผลและคุณภาพของโอสถที่กลั่นสำเร็จแล้วได้อย่างมาก 

 ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ นี่ถือเป็นหนึ่งในเคล็ดวิชากลั่นโอสถชั้นสูง ทว่าภายหลังเกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ก็ขาดการสืบทอดต่อ ปัจจุบันเหลือเพียงคำบอกเล่าและตัวอักษรที่ถูกบันทึกไว้คร่าวๆ เท่านั้น ประหนึ่งกับกลายเป็นตำนานไปแล้ว 

จ้าวหยวนมองไปยังจ้าวฮ่าว แล้วจึงกล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า  ข้าก็รู้เพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น ทำให้ทุกคนหัวเราะเยาะแล้ว 

ดวงตาทั้งสองของจ้าวฮ่าวเต็มไปด้วยความตกตะลึง ทว่ากลับไม่ได้มองไปที่จ้าวหยวน แต่จ้องเยี่ยนจ้าวเกอตาไม่กะพริบ

เยี่ยนจ้าวเกอก็มองจ้าวฮ่าว สีหน้าของเขาคล้ายกับนิ่งเฉย ทว่าแท้จริงแล้วกลับยิ้มอย่างไม่เป็นมิตรเลย ‘อุปนิสัยตัดสินโชคชะตา ข้าชอบรับมือกับเด็กหนุ่มที่เหมือนกันกับข้าจริงๆ’

สายตาของจ้าวเฉิงก็มองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอเช่นกัน แล้วจึงออกคำสั่งกับองครักษ์ข้างกายอย่างลับๆ จากนั้นเขาถึงหยิบโอสถรักษาบาดแผลออกมาเม็ดหนึ่ง และหาเข็มทองเล่มหนึ่งมาด้วย

เขาสังเกตโอสถรักษาบาดแผลนั้นของจ้าวหยวน จากนั้นก็คลำหาตำแหน่ง แล้วจึงแทงเข็มลงไปเก้าครั้งเช่นเดียวกัน ทว่าโอสถรักษาบาดแผลที่อยู่ในมือของตน กลับไม่มีปฏิกิริยาเลยแม้แต่นิดเดียว

 เป็นเคล็ดวิชาพิเศษจริงๆ ด้วย ไม่ใช่ความบังเอิญแต่อย่างใด!  จ้าวเฉิงถอนหายใจออกยาวๆ ด้วยความผิดหวัง

จ้าวหยวนมองจ้าวเฉิงพลางยิ้ม แล้วหยิบโอสถรักษาบาดแผลใหม่ออกมาอีกเม็ดหนึ่ง จากนั้นทำตามขั้นตอนเดิม

ไอหมอกลอยออกมาอีกครั้ง

สายตาของจ้าวซื่อเลี่ยมองสลับไปมาระหว่างเยี่ยนจ้าวเกอและจ้าวหยวน แล้วพลันกล่าวขึ้นมาว่า  โอสถรักษาบาดแผลใช้ได้ แล้วโอสถหมอกควันสลายเล่า? 

องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังของเขาก็รีบนำผงโอสถถุงหนึ่งออกมา เป็นโอสถหมอกควันสลายที่อยู่ในรูปของผงละเอียด

จ้าวหยวนที่เห็นเช่นนั้น สายตาก็นิ่งแข็งไปเล็กน้อย

‘ไม่เป็นไร ใช้ปราณจิตราของตัวเองรวมเข้ากับสิ่งนั้น แล้วหลอมรวมให้เป็นเม็ดก็ได้ จากนั้นทำตามคำชี้แนะของข้า แทงเข็มเข้าไปเก้าครั้ง’ เยี่ยนจ้าวเกอส่งกระแสจิตบอกกล่าวจ้าวหยวนอย่างสบายใจ อีกฝ่ายได้ยินดังนั้นก็พลันผ่อนคลายลงเช่นกัน

เขานำโอสถหมอกควันสลายออกมา แล้วใช้ปราณจิตรารวมเข้ากับโอสถผง ทันใดนั้นยาผงก็ถูกหลอมเป็นรูปร่าง

จ้าวซื่อเลี่ยจ้องมองอย่างไม่ละสายตา แม้ว่าโอสถผงในขณะนี้จะมีรูปร่างเป็นโอสถเม็ด ทว่าแท้จริงแล้วก็ยังคงเป็นผงละเอียดอยู่ ไม่เหมือนโอสถรักษาบาดแผลที่เป็นโอสถเม็ดโดยสิ้นเชิง

หลังจากนั้นจ้าวหยวนก็แทงเข็มลงไปอีกเก้าครั้ง ก่อนจะมีไอหมอกพรั่งพรูออกมาจากข้างใน

ไอหมอกแบ่งออกจากหนึ่งกลายเป็นสอง กลุ่มหนึ่งสีดำ กลุ่มหนึ่งสีขาว กลุ่มสีดำนั้นสลายหายไปในอากาศ ส่วนกลุ่มสีขาวกลับเข้าไปหลอมรวมกับผงควันเมฆาที่หลอมเป็นเม็ดแล้ว

เมื่อตรวจสอบประสิทธิผลของโอสถแล้ว ท่านผู้เฒ่าหวังก็กล่าวชมไม่ขาดปาก ส่วนจ้าวซื่อเลี่ยไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาจากปาก อีกทั้งยังหันกลับไปมองจ้าวฮ่าว

ในที่สุดในแววตาของจ้าวฮ่าวก็ไร้ซึ่งความหยิ่งยโสทะนงตนหลงเหลืออยู่ กลับกลายเป็นความหนักแน่นและตั้งใจ

เขาไม่พูดอะไรมาก เพียงนำผงโอสถหมอกควันสลายออกมาถุงหนึ่ง หลอมรวมผงเป็นโอสถเม็ด แล้วจึงขอเข็มทองจากจ้าวหยวน

จ้าวฮ่าวไม่ยอมแทงเข็มอยู่นาน ทว่าขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดจ้าวฮ่าาวก็แทงเข็มลงไป

เข็มที่หนึ่ง ไม่มีอะไร…

เข็มที่สอง ก็ไม่มีอะไร…

เข็มที่สาม…

เข็มที่สี่…

เข็มที่ห้า…

 ปัง! 

โอสถเม็ดที่หลอมรวมจากผงโอสถหมอกควันสลาย ระเบิดกระจายออกมาทั้งหมด กลายเป็นฝุ่นละอองเต็มท้องฟ้า

………..

 

 ควันจากเตาโอสถสร้างภาพลวงตาขึ้นหรือ  ท่านผู้เฒ่าหวังจ้องมองเตาโอสถขนาดเล็กที่อยู่บนพื้น พลางเบิกตาโต  นี่เป็นภาพที่เกิดขึ้นจากไฟเตาสีเขียวบริสุทธิ์ของการกลั่นโอสถระดับชำนาญเท่านั้น 

วิชากลั่นโอสถของเขาอยู่ในสามอันดับแรกของอาณาจักรถังตะวันออกเสมอ มีเพียงการกลั่นยาบางครั้งเท่านั้น ที่สามารถสร้างภาพลวงตาเช่นนี้ได้

หลังจากชั่วครู่ใหญ่ เขาถึงจะเงยหน้าขึ้นมองจ้าวฮ่าว  ที่หอศิลาโอสถก่อนหน้านี้ เจ้ายังไม่ได้แสดงฝีมือทั้งหมดออกมาหรือ? 

จ้าวฮ่าวยิ้มอย่างทะนงตน  ในตอนนี้ก็ยังไม่แน่ว่าจะใช่ทั้งหมดขอรับ 

ท่านผู้เฒ่าหวังสำลักไปเล็กน้อย แล้วจึงถามต่อว่า  ครั้งก่อนถามองค์ชายสิบหกถึงอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาให้ แต่ฝ่าบาทไม่ยอมบอกกล่าวมาตลอด ไม่ทราบว่าตอนนี้พอจะบอกได้หรือไม่พะยะค่ะ 

 ข้าไม่ได้มีเจตนาเป็นอื่น เพียงแต่ว่าอยากจะพบหน้าสักครั้งหนึ่งเท่านั้น 

ฝ่ายจ้าวฮ่าวกลับกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า  ข้าเคยบอกไปแล้วก่อนหน้านี้ ไม่มีผู้ใดสอนข้าทั้งนั้น ข้าฝึกฝนด้วยตนเอง จะเชื่อหรือไม่ก็สุดแล้วแต่ท่าน 

แม้ท่านผู้เฒ่าหวังจะถูกผู้เยาว์แย้งกลับ แต่เขาก็หาได้โกรธไม่ เพียงแค่ส่ายหน้าติดต่อกันและถอนหายใจเท่านั้น  หากองค์ชายสิบหกไม่ยอมบอก ข้าก็ยากที่จะบังคับฝืนใจได้ 

เขาหันหน้ากลับไปมองจ้าวหยวนและจ้าวเฉิง ก่อนถอนหายใจ  วิชากลั่นโอสถขององค์ชายใหญ่และองค์ชายสาม ข้าเป็นคนชี้แนะเองกับตัว ระดับความสามารถข้าเองก็รู้อยู่แก่ใจ 

 ยากนักที่จะหาคนรุ่นเดียวกันทัดเทียมได้ เพียงแต่…เฮ้อ! 

ท่านผู้เฒ่าหวังไม่ได้พูดจนจบ ทว่าความหมายของคำพูดที่พูดไม่จบนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ฟังออก

เขามองเยี่ยนจ้าวเกอเหมือนจะตั้งใจ แต่ก็เหมือนจะไม่ได้ตั้งใจอยู่แวบหนึ่ง

ในความคิดของชายชรานั้น คำกล่าวนั้นเป็นการเตือนเยี่ยนจ้าวเกออย่างเห็นได้ชัด

การประลองกลั่นโอสถระหว่างจ้าวหยวนกับจ้าวฮ่าวมีแต่จะแพ้ไม่มีชนะ หากเยี่ยนจ้าวเกอยังยืนยันที่จะพนัน ก็เหมือนกับยกกงจักรเพลิงสุริยะให้กับจ้าวซื่อเลี่ยไปเปล่าๆ

กระทั่งในความคิดของท่านผู้เฒ่าหวัง อย่าว่าแต่จ้าวหยวนเลย ต่อให้เยี่ยนจ้าวเกอประลองเสียเอง ก็ต้องสู้การกลั่นโอสถของจ้าวฮ่าวไม่ได้แน่

อย่างไรเสียก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่าเยี่ยนจ้าวเกอมีความชำนาญด้านวิชากลั่นโอสถ

แต่ในฐานะที่เขากว่างเฉิงเป็นหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรย่อมไม่ขาดแคลนยอดฝีมือกลั่นโอสถอยู่แล้ว

ความรู้ที่เยี่ยนจ้าวเกอได้รับสืบทอดมา อาจจะมีอยู่บ้างแต่ก็ยังไม่แน่นัก ทว่าความหวังที่จะเอาชนะจ้าวฮ่าวได้ช่างริบหรี่เหลือเกิน

เพราะตามการคาดเดาของท่านผู้เฒ่าหวัง นอกจากบางวิชาที่ตอนนี้ยังไม่สามารถใช้ได้ชั่วคราวเนื่องด้วยวรยุทธ์ยังน้อยแล้ว ทักษะด้านการกลั่นโอสถของจ้าวฮ่าว สามารถเทียบได้กับยอดฝีมือกลั่นโอสถชื่อดังในปัจจุบันได้แล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอนิ่งเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง เหมือนกับเกิดความลังเลขึ้นมา จากนั้นจึงเงยหน้ามองไปยังจ้าวซื่อเลี่ย  จิ่นอ๋องคิดอย่างไรหรือ 

จ้าวซื่อเลี่ยหรี่ตาลงพลางกล่าวอย่างช้าๆ ว่า  มีรางวัลช่วยเพิ่มความสนุกสนาน การประลองครั้งนี้ย่อมต้องมีความหมาย หากจ้าวเกอยืนยันที่จะพนันล่ะก็ ข้าก็จะอยู่เล่นด้วยแล้วกัน 

เยี่ยนจ้าวเกอจ้องมองเขา จู่ๆ ก็พลันเผยรอยยิ้ม  ดี เช่นนั้นก็พนัน 

จ้าวซื่อเลี่ยมองดูรอยยิ้มของเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วรู้สึกแปลกใจอยู่ลึกๆ

หลังจากที่เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวว่า  ที่จะประลองก็คือทักษะฝีมือการกลั่นโอสถ ไม่ใช่ความล้ำค่าของโอสถที่กลั่นได้ หรือวิธีการปรุงโอสถ 

 ทุกคนกลั่นโอสถง่ายๆ แบบเดียวกันก็พอแล้ว 

 การประลองจะประเมินจากความเร็ว คุณภาพโอสถ และปริมาณของกากโอสถที่เหลือ อันดับแรกคือคุณภาพ จากนั้นคือความเร็ว สุดท้ายพิจารณาว่าสิ้นเปลืองส่วนประกอบโอสถไปมากน้อยเพียงใด 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย เพราะรู้ว่าจ้าวซื่อเลี่ยกลัวตนเองจะมอบวิชากลั่นโอสถลับแห่งเขากว่างเฉิงให้กับจ้าวหยวนเป็นการช่วยเหลือ

ความกังวลของเขาก็ไม่ได้ไร้ซึ่งเหตุผล ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอไม่มีเหตุจำเป็นใดให้ต้องแพร่งพรายวิธีปรุงโอสถของเขากว่างเฉิง

เขาเคยอ่านวิธีปรุงโอสถมากมายจากคัมภีร์ที่เก็บอยู่ในวังเทพ ในนั้นมีโอสถวิเศษชั้นดีมากมายยิ่ง

ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้คิดจะใช้วิธีเช่นนี้ตั้งแต่แรก

จ้าวฮ่าวยังคงมีท่าทีไม่สนใจเช่นเดิม  ไม่จำเป็น แข่งกันว่าท้ายที่สุดแล้วคุณภาพของโอสถของผู้ใดสูงกว่ากันก็พอ เช่นนั้นข้ายินดีเล่นด้วย 

จ้าวซื่อเลี่ยได้ยินดังนั้นก็มองจ้าวฮ่าวแวบหนึ่ง

เจ้าเด็กคนนี้ค่อยๆ ทำให้เขารู้สึกถึงภัยคุกคาม ทว่าก็เป็นเหมือนเนื้อชั้นดีเช่นกัน

เยี่ยนจ้าวเกอชายตามองจ้าวฮ่าวครั้งหนึ่ง พลางกล่าวในใจว่า ‘โอสถหมอควันสลาย ที่แท้ก็เป็นเจ้าที่กลั่นออกมาสินะ’

แม้ว่าจะมีความไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง และยังยืนยันไม่ได้เต็มร้อย ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอยิ่งมอง เงาร่างของจ้าวฮ่าวผู้นี้ก็เหมือนทับซ้อนกับบุคคลในตำนานที่หายไปจากประวัติศาสตร์อยู่รางๆ

หยิ่งยโส ไม่ยอมอยู่เบื้องล่างใคร ไม่มีความเกรงกลัว แสดงความสามารถออกมาให้ประจักษ์

จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ในอดีต ผู้ที่เป็นเลิศในวิชาโอสถและวิชากระบี่ ยอดนักปราชญ์และเซียนกระบี่ นามว่าตันหั่ว

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโอสถหมอควันสลายที่จู่ๆ ปรากฏขึ้นที่ตลาดถังตะวันออก ย่อมมาจากจ้าวฮ่าว

เพราะว่ามีสัมพันธไมตรีกับหอศิลาโอสถมาก่อน จ้าวซื่อเลี่ยและท่านผู้เฒ่าหวังถึงได้รู้ว่าเขามีวิชากลั่นโอสถที่สูงเหนือใคร

ดูท่าทางราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออกเองก็คงรู้เห็นด้วยเช่นกัน

เพียงแต่ว่าในความคิดของเขา การที่เขาให้กำเนิดโอรสที่มีความสามารถอีกคนหนึ่งนั้นนับเป็นเรื่องดียิ่ง แน่นอนว่าเขาย่อมดีใจที่เห็นโอรสประสบความสำเร็จ

พวกเขาในขณะนี้ อาจคิดเพียงแค่ว่าจ้าวฮ่าวได้พบกับเรื่องประหลาดมหัศจรรย์ หรืออาจเพราะก่อนหน้านี้ปกปิดเอาไว้ไม่เปิดเผยมาโดยตลอด

ทว่ากลับไม่เคยคิดถึงว่าองค์ชายสิบหกที่ในอดีตเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจผู้นี้ บัดนี้ภายในร่างกายอาจจะถูกสับเปลี่ยนวิญญาณไปแล้วก็ได้

ยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ถือกำเนิดอีกครั้ง

‘…แต่ เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเขาช่างโง่เหลือเกิน’ เยี่ยนจ้าวเกอไม่รู้ว่าพูดอะไรดี รู้สึกประหลาดใจยิ่ง

เนื่องจากในอดีตอยู่เบื้องบนจนเคยชิน ดังนั้นจึงไม่สามารถจัดการกับความแตกต่างระหว่างฐานะก่อนและหลังเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้ได้ด้วย

หรืออาจจะเป็นเพราะยังไม่อยากปรับตัว

ถึงอย่างไรก็โง่พอตัวทีเดียว…

เซียนกระบี่ตันหั่วในตอนนั้นบ้าคลั่งอย่างยิ่ง ทว่าสามารถก้าวไปถึงจุดสูงสุดเช่นนั้น ก็ไม่ควรจะโง่ถึงเพียงนี้กระมัง

ทว่าสำหรับข้าแล้ว เจ้ายิ่งโง่ยิ่งดี

จะเป็นยอดนักปราชญ์กลับชาติมาเกิดหรือไม่ แท้จริงแล้วเยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก

ถึงกระนั้นในตำนาน เขาก็ไม่ได้เป็นมิตรกับเขากว่างเฉิง

สังเกตจากคำพูดและการกระทำก่อนหน้านี้ของจ้าวฮ่าว เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกถึงจุดนี้อยู่รางๆ เช่นกัน

บัดนี้ยืนกล่าวยั่วยุอยู่ฝั่งเดียวกับจ้าวซื่อเลี่ย ก็ด้วยเหตุผลนี้

แม้ว่าจะไม่เข้าใจว่าสุดท้ายเป็นเพราะเหตุผลใด ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายกล้ายุแหย่ เยี่ยนจ้าวเกอก็จะฟาดด้วยฝ่ามือกลับไปอย่างไม่สนใจ!

 ก่อนหน้านี้ก็ได้บอกไปแล้ว ที่ประลองกันก็คือฝีมือกลั่นโอสถของทั้งสองฝ่าย ไม่เกี่ยวกับระดับชั้นของโอสถหรือวิธีปรุงโอสถ  เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มอย่างเฉยเมย  เริ่มกันเลยเถิด 

จ้าวฮ่าวเริ่มตั้งเตาขึ้นก่อนโดยไม่เกรงใจ

ควันที่ราวกับภูเขาลำธารพลันรวมตัวกันเข้า จากนั้นจ้าวฮ่าวก็หยิบวัตถุดิบวางเข้าไปในเตาอย่างช้าๆ ทุกอย่างมองดูแล้วราวกับภาพลวงตา

หลังจากจ้าวฮ่าวเริ่มกลั่นโอสถ ไอควันก็ลอยขึ้นสูงอย่างไม่หยุดยั้ง เกิดเป็นภาพภูเขาและลำธารเหนือเตากลั่นโอสถอีกครั้ง

ทุกคนเห็นเพียงว่าภูเขาและลำธารกำลังเปลี่ยนแปลงไป ราวกับจะกลืนกินทุ่งนาที่อยู่ใกล้เคียงในพริบตา

ไม่ทันให้ทุกคนเรียกสติกลับมา จ้าวฮ่าวฟาดฝ่ามือกลางอากาศครั้งหนึ่ง ไอควันก็กลับเข้าสู่เตาโอสถอีกครั้ง

ทันใดนั้น ไฟในเตาก็มอดดับไป

ผู้เฝ้าสังเกตการณ์ล้วนตะลึงงัน  เสร็จสิ้นแล้วหรือ! 

จ้าวฮ่าวกวาดตามองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ จ้าวซื่อเลี่ย และท่านผู้เฒ่าหวัง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า  พวกเจ้าตรวจสอบดูเถิด โอสถนั้นเสร็จแล้ว 

สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ร่างของเยี่ยนจ้าวเกอพักหนึ่ง ส่วนลึกในแววตามีความเย้ยหยันเพิ่มมากขึ้น

โอสถที่จ้าวฮ่าวกลั่นเป็นโอสถรักษาบาดแผลที่แสนจะธรรมดาที่สุดที่มีตามตลาด หลังจากที่โอสถหมอกควันสลายปรากฏขึ้น มันก็แทบจะหายไปจากท้องตลาด

ทว่าหลังจากที่จ้าวซื่อเลี่ยและท่านผู้เฒ่าหวังตรวจสอบแล้ว ทั้งคู่ก็ตะลึงไปตามๆ กัน โอสถรักษาบาดแผลที่จ้าวฮ่าวกลั่นออกมานี้ มีประสิทธิภาพแทบจะเทียบเท่าโอสถหมอกควันสลายได้เลยทีเดียว!

ท่านผู้เฒ่าหวังพลันถอนหายใจครั้งหนึ่ง โอสถหมอกควันสลายที่หอศิลาโอสถขายอยู่ตอนนี้ ก็มีการแบ่งระดับคุณภาพเช่นกัน

ขณะนี้โอสถรักษาบาดแผลที่จ้าวฮ่าวกลั่น มีประสิทธิผลคุณภาพแทบจะตามทันโอสถหมอกควันสลายที่ผู้อื่นกลั่นแล้ว นี่ทำให้ท่านผู้เฒ่าทำได้แค่เพียงชื่นชมอีกครั้ง

ทว่าจ้าวหยวนและจ้าวเฉิงกลับมีสีหน้าอึมครึม

หากต้องยอมรับความพ่ายแพ้โดยตรงเช่นนี้ พวกเขายอมเสียหน้าไม่ได้จริงๆ ทว่าผลลัพธ์ของการประลองครั้งนี้ พวกเขากลับต้องยิ่งเสียหน้าเป็นแน่

จ้าวหยวนมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอตามสัญชาตญาณ ยังคงรู้สึกสิ้นหวัง

อย่าเพิ่งกล่าวถึงว่าวิชากลั่นโอสถของเยี่ยนจ้าวเกอจะสามารถเอาชนะจ้าวฮ่าวได้หรือไม่ ถึงต่อให้เอาชนะได้ ก็ไม่สามารถให้เยี่ยนจ้าวเกอลงประลองแทนเขาได้อยู่ดี

อีกทั้งวิชากลั่นโอสถ ไม่ใช่สิ่งที่สามารถพร่ำบอกชี้แนะแค่เพียงไม่กี่ประโยค ก็จะสามารถยกระดับคุณภาพได้ในเวลาอันสั้น

ดูอย่างไรการจะชนะการประลองครานี้ก็ไร้ความหวัง…

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะใช้ปราณจิตราส่งกระแสเสียงให้จ้าวหยวน หลังจากที่อีกฝ่ายได้ฟังแล้ว ดวงตาของเขาก็ค่อยๆ ทอประกาย

…………..

 

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะคำพูดของจิ่นอ๋องอยู่ในลำคอ

ท่านจิ่นอ๋องที่มุ่งหวังในตำแหน่งราชาถังตะวันออกอยู่ตลอดเวลาผู้นี้ ไม่ได้พูดเพราะหวังดีเป็นแน่

แม้ว่าเขาจะเป็นมหาปรมาจารย์ ทว่าด้านประสบการณ์และโลกทัศน์กลับเทียบเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้เลย

พอมองออกอยู่ว่าความสามารถของจ้าวฮ่าวไม่ธรรมดา แต่เขาไม่สามารถรับรู้ได้ถึงเงื่อนงำความลับที่มากกว่านั้น

จ้าวซื่อเลี่ยมองว่า แม้ว่าจ้าวฮ่าวจะเอาชนะจอมยุทธ์ระดับหลอมกายทั้งสองคนได้ ทว่าหากยุยงจนจ้าวหยวนและจ้าวเฉิงที่เป็นอยู่ในระดับปรมาจารย์ให้ลงมือได้ จ้าวฮ่าวจะต้องโดนเล่นงานยับในท่าเดียวอย่างไม่ต้องสงสัย

ความจริงแล้วไม่เพียงแค่จ้าวซื่อเลี่ย ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็เห็นเป็นเช่นนั้น

ขณะนี้ที่พวกเขามองดูจ้าวฮ่าวที่เป็นฝ่ายยั่วยุ ก็เหมือนกับมองดูคนบ้าคนหนึ่ง

แต่เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้เห็นเช่นนั้น จ้าวฮ่าวอยากข้ามช่องว่างระหว่างระดับหลอมกายและระดับปรมาจารย์ยังคงเป็นเรื่องยาก แต่หากจะเผชิญหน้ากับจ้าวหยวนและจ้าวเฉิง กลับไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินความสามารถ จนถึงขั้นที่เขาไม่สามารถประมือด้วยได้

วิถีฝึกฝนวรยุทธ์ของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันอย่างยิ่ง ส่วนความรอบรู้ โลกทัศน์ หรือประสบการณ์ นั่นยิ่งห่างชั้นเข้าไปใหญ่ หากจะบอกว่าฝ่ายหนึ่งอยู่บนฟ้า อีกฝ่ายหนึ่งอยู่บนดินก็ไม่เกินไปนัก

สายตาที่จ้าวฮ่าวมองจ้าวซื่อเลี่ยนั้น แท้จริงแล้วก็มีความไม่ใส่ใจอยู่ในนั้นเล็กน้อย เพียงแต่เมื่อเทียบกับการมองจอมยุทธ์ในระดับปรมาจารย์แล้ว ก็ดูให้ความสำคัญขึ้นมาหลายส่วน

จ้าวซื่อเลี่ยก็ไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีเด่อะไรกับจ้าวฮ่าวอยู่แล้ว ทว่าในความคิดของเขา จ้าวฮ่าวสามารถช่วยเขาเล่นงานจ้าวหยวนและจ้าวเฉิงได้

เกิดการต่อสู้ภายในระหว่างลูกหลานของราชาอาณาจักรถังตะวันออก ยิ่งสู้กันดุเดือดเท่าไร ยิ่งเป็นปรปักษ์กันมากเท่าไร ก็ยิ่งดีต่อจ้าวซื่อเลี่ยมากยิ่งทั่น้น

เดิมทีจ้าวฮ่าวเป็นคนธรรมดา ไม่มีอะไรน่าสนใจ ทว่าบัดนี้เขากลับก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว นับเป็นเป็นตัวหมากที่ดีตัวหนึ่งสำหรับจ้าวซื่อเลี่ย

ส่วนหากในอนาคตจ้าวฮ่าวแข็งแกร่งกว่าจ้าวหยวน และส่งผลกับตำแหน่งของจ้าวซื่อเลี่ย นั่นก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง

อย่างไรเสียจ้าวฮ่าวในขณะนี้เป็นเพียงแค่จอมยุทธ์ระดับหลอมกายคนหนึ่งเท่านั้น

 สิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดของอาณาจักรถังตะวันออกของเราในเกาะนภาตะวันออกคืออะไรหรือ กลั่นโอสถใช่หรือไม่ ประลองกันด้วยสิ่งนี้เป็นอย่างไรเล่า ไม่ทำลายมิตรภาพด้วย 

จ้าวหยวนและจ้าวเฉิงก็ไม่ใช่ลูกที่ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวแต่อย่างใด เชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรถังตะวันออกล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการกลั่นโอสถ เช่นเดียวกันกับการฝึกวรยุทธ์และการปกครอง ซึ่งสืบทอดต่อกันมาเนิ่นนาน

หอศิลาโอสถ องค์กรการกลั่นโอสถที่ใหญ่ที่สุดบนแผ่นดินถังตะวันออก แท้จริงแล้วมีราชสำนักอยู่เบื้องหลัง

‘การที่จ้าวซื่อเลี่ยเสนอความคิดนี้ขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักจ้าวฮ่าวดี นี่ช่างน่าสนใจเสียจริง’ เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้เอ่ยวาจาใดๆ เพียงสังเกตการณ์อยู่ด้านข้างด้วยสายตาเย็นชา มองดูการแสดงของจ้าวซื่อเลี่ย

จ้าวหยวนและจ้าวเฉิงเองก็มองเห็นจุดนี้เช่นกัน จึงมีความลังเลอยู่บ้าง ทว่าก็ไม่อยากยอมจำนนให้

พวกเขาทั้งสองคน คนหนึ่งเป็นโอรสของฮองเฮา คนหนึ่งเป็นโอรสของกุ้ยเฟย ทว่ามารดาผู้ให้กำเนิดจ้าวฮ่าวเป็นเพียงแค่นางกำนัลคนหนึ่งเท่านั้น

สภาพแวดล้อมในการเติบโตและการอบรมสั่งสอนของทั้งสองล้วนเหนือกว่าจ้าวฮ่าวนัก

การประลองวรยุทธ์ หากจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์เล่นงานจอมยุทธ์ระดับหลอมกาย ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ถึงจะชนะได้ก็ไม่มีอะไรน่ายินดี

ทั้งสองมองจ้าวฮ่าวแวบหนึ่ง แล้วผงกศีรษะ บ่งบอกว่าตกลง

ถึงแม้ว่าความสามารถและวรยุทธ์ของจ้าวฮ่าวจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ทั้งสองก็ยังไม่เชื่อว่าจ้าวฮ่าวจะเอาชนะพวกเขาในด้านการกลั่นโอสถได้

จ้าวซื่อเลี่ยยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า  ข้ามีความรู้เกี่ยวกับวิชายาอยู่บ้าง ทำให้ผู้อาวุโสแห่งหอศิลาโอสถให้ความเคารพข้า ท่านผู้เฒ่าหวังก็อยู่ที่นี่พอดี ทั้งคุณชายเยี่ยนก็มีความรู้ล้ำลึก ข้าร่วมกับพวกเขาสามารถชี้แนะให้กับพวกเจ้าได้ เป็นโอกาสที่หาได้ยากนัก 

เยี่ยนจ้าวเกอไม่รู้ว่าจะยิ้มดีหรือไม่ ส่วนจอมยุทธ์กลุ่มหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปกำลังประคองชายชราคนหนึ่งมา

เมื่อเห็นชายชราคนนี้ จ้าวหยวนและจ้าวเฉิงต่างก็เข้าไปทักทาย  ท่านผู้เฒ่าหวัง สวัสดีขอรับ 

มีเพียงจ้าวฮ่าวที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม เพียงผงกศีรษะเบาๆ ให้กับชายชราเท่านั้น

ท่านผู้เฒ่าหวังไม่เพียงแต่ไม่ถือโทษเท่านั้น ทว่ากลับหันไปผงกศีรษะให้กับจ้าวฮ่าวอีกด้วย

จ้าวหยวนและจ้าวเฉิงเห็นดังนั้น ในใจก็พลันตกตะลึง

เมื่อท่านผู้เฒ่าหวังเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว ก็ส่ายหน้าไปมา  ยังมีอะไรให้ต้องประลองอีกหรือ ในเมื่อวิชากลั่นโอสถขององค์ชายสิบหกเหนือกว่าข้าเสียอีก 

 เขาอายุยังน้อย มีระดับวรยุทธ์พอตัว ทว่าความเก่งกาจของวิชากลั่นโอสถ ข้าที่อายุปูนนี้แล้วก็เพิ่งจะเคยได้พบได้เจอ 

เขามีฐานะพิเศษ นิสัยก็ตรงไปตรงมา การพูดการจาจึงไม่ได้มีความหวั่นเกรงสิ่งใดอยู่เลย

เมื่อกล่าวคำพูดนี้ออกไป จ้าวหยวนและจ้าวเฉิงต่างก็ตกตะลึง

บนแผ่นดินอาณาจักรถังตะวันออก ผู้ที่สามารถประลองการกลั่นโอสถกับชายชราตรงหน้าคนนี้ได้ ก็มีเพียงแค่ราชาอาณาจักรถังตะวันออกเท่านั้น

แม้แต่ท่านจิ่นอ๋อง จ้าวซื่อเลี่ยที่เป็นมหาปรมาจารย์ผู้นี้ ก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับท่านผู้เฒ่าหวังที่อยู่เพียงระดับปรมาจารย์

สีหน้าของจ้าวฮ่าวเรียบเฉย พูดขึ้นว่า  แค่ระดับปรมาจารย์ แต่ระดับการกลั่นโอสถของเจ้าถือว่าไม่เลวเลย 

รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจ้าวซื่อเลี่ย  นี่ก็เป็นเรื่องที่ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีผู้มากความสามารถในด้านการกลั่นโอสถ ปรากฏตัวในถังตะวันออกของเรา ทั้งยังคนรุ่นเยาว์อีกด้วย 

‘ท่านไม่ทราบนี่สิแปลก’ เยี่ยนจ้าวเกอกลอกตาขาวครั้งหนึ่ง โดยไม่ให้ผู้อื่นสังเกตเห็น ‘หากท่านไม่ทราบ แล้วเหตุใดท่านต้องเสนอความคิดเช่นนี้’

‘ว่าแต่ท่านรู้ได้อย่างไรหรือ’

สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอเคลื่อนผ่านไปมาระหว่างจ้าวซื่อเลี่ยและจ้าวฮ่าว ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ร่างของท่านผู้เฒ่าหวัง

สีหน้าของจ้าวหยวนและจ้าวเฉิงไม่ค่อยสู้ดีนัก ทว่าจ้าวฮ่าวกลับยิ้มอย่างยโส  การประลองกลั่นโอสถ เสด็จพี่ทั้งสองคงจะไม่มีโอกาสเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เช่นนั้นก็ประลองวรยุทธ์เถิด 

เยี่ยนจ้าวเกอที่ปิดปากเงียบมาโดยตลอด นาทีนี้ก็เปิดปากพูดว่า  อย่างที่ท่านจิ่นอ๋องกล่าวมา เพียงแค่เรื่องเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องทำลายมิตรภาพแต่อย่างใด 

 ประลองกลั่นโอสถก็แล้วกัน 

จ้าวหยวนมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความประหลาดใจ แม้แต่จ้าวซื่อเลี่ยก็ยังรู้สึกแปลกใจเช่นกัน

 แต่ในเมื่อพวกเราได้มาพบกันที่นี่โดยบังเอิญ เหตุใดจึงจะไม่เพิ่มสีสันให้กับการประลองครั้งนี่สักหน่อยเล่า  เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว

จ้าวซื่อเลี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย  โอ้ ไม่ทราบว่าจ้าวเกอจะอยู่ฝ่ายใดหรือ 

หากเยี่ยนจ้าวเกอเลือกข้างจ้าวฮ่าว ในใจของจ้าวซื่อเลี่ยก็คงต้องเกิดข้อกังขา ในความคิดของเขานี่ไม่ใช่เพียงแค่การพนันเท่านั้น

แต่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า เยี่ยนจ้าวเกอและเยี่ยนตี๋ผู้เป็นบิดาหนุนหลังเขาอยู่ จะเปลี่ยนจากจ้าวหยวนมาสนับสนุนจ้าวฮ่าว จากบรรดาลูกหลานของราชาอาณาจักรถังตะวันออกทั้งหมด!

สีหน้าจ้าวหยวนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าสายตาที่มองเยี่ยนจ้าวเกอกลับมีความตื่นตระหนกอย่างชัดเจน

 ข้าอยู่ฝ่ายท่านพี่จ้าวหยวน  เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

จ้าวหยวนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทว่าคนอื่นๆ กลับงุนงงไม่เข้าใจ จ้าวซื่อเลี่ยพูดว่า  ด้วยคำพูดของท่านผู้เฒ่าหวังนั้นศักดิ์สิทธิ์ ข้าจึงเห็นดีเห็นงามกับเสด็จหลานจ้าวฮ่าวยิ่งกว่า 

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า  เช่นนั้นก็เรียบร้อยแล้ว 

 ไม่ทราบว่าจ้าวเกออยากจะพนันอะไรบ้างหรือไม่ 

 ข้าพนันตำแหน่งของท่านจิ่นอ๋อง ในหอศิลาโอสถ 

เมื่อจ้าวซื่อเลี่ยได้ยินดังนั้น แววตาของเขาพลันวูบไหว จ้องเยี่ยนจ้าวเกอเขม็ง

หอศิลาโอสถร่ำรวยมั่งคั่ง ไม่เพียงครอบครองตำแหน่งผู้นำในด้านโอสถของอาณาจักรถังตะวันออกของเท่านั้น ยังเป็นผู้นำเข้าและส่งออกรายใหญ่ที่สุดในอาณาจักรอีกด้วย

ผู้อยู่เบื้องหลังที่ใหญ่ที่สุดก็คือราชสำนักของอาณาจักรถังตะวันออก และแน่นอนว่าผู้นำสูงสุดคือราชาอาณาจักรถังตะวันออก แต่จ้าวซื่อเลี่ยเองก็เป็นหุ้นส่วนที่มีความสำคัญไม่น้อยเช่นกัน

การที่โอสถล้ำค่าอย่างหมอกควันสลายปรากฏขึ้น ยิ่งทำกำไรจำนวนมหาศาล จนเริ่มที่จะบีบรัดตลาดยาประเภทเดียวกันในเกาะนภาตะวันออก

คนอื่นต่างตะลึงงันกันถ้วนหน้า การประลองเล็กๆ ทว่าของพนันกลับยิ่งใหญ่เช่นนี้ ดูจะประมาทเกินจริงไปหน่อยกระมัง

ทว่าเมื่อลองคิดอย่างละเอียดดู จากภูมิฐานของเยี่ยนจ้าวเกอ สิ่งของของจ้าวซื่อเลี่ย อย่างอื่นจะมีอะไรที่เยี่ยนจ้าวเกอจะชายตามองได้อีกหรือ

เมื่อคิดเช่นนี้ ทุกคนก็ล้วนปล่อยวาง เพียงแต่ในใจก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ

มีบิดาที่เก่งกาจคนหนึ่ง ช่างโชคดีเสียจริง…

 ส่วนของที่ข้าจะพนัน คิดว่าท่านจิ่นอ๋องก็คงจะสนใจมากเช่นกัน  พูดแล้วเยี่ยนจ้าวเกอก็สะบัดมือ กงจักรเพลิงสุริยะ อาวุธวิญญาณระดับล่างพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

จ้าวซื่อเลี่ยหลุดปากออกมาว่า  กงจักรเพลิงสุริยะของเซียวเซิง?! 

คนอื่นๆ ล้วนตกตะลึง  อาวุธวิญญาณป้องกันตัวของเซียวเซิงแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์หรือ เหตุใด… 

เหตุใดถึงอยู่ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอได้?!

หรือว่า…

เยี่ยนจ้าวเกอพูดอย่างสงบนิ่งว่า  เซียวเซิงพ่ายแพ้ให้กับข้า ของสิ่งนี้จึงกลายเป็นยุทธภัณฑ์ของข้า ข้าจะใช้สิ่งนี้พนันกับท่านจิ่นอ๋อง คงจะมีน้ำหนักพอนะพะยะค่ะ 

ลมหายใจของจ้าวซื่อเลี่ยพลันหอบหนัก สำหรับเขาที่มีระดับวรยุทธ์อยู่ในขั้นมหาปรมาจารย์แล้ว อาวุธวิญญาณเป็นของล้ำค่าที่ยากนักจะได้มาครอบครอง

เขาครอบครองหุ้นส่วนในเศรษฐกิจอันสำคัญของถังตะวันออก ภายในนั้นไม่เพียงแต่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจเท่านั้น ทว่ายังเกี่ยวพันถึงปัญหาในระยะยาวของตำแหน่งราชาในภายภาคหน้าอีกด้วย

ทั้งสองสิ่งช่างเปรียบเทียบคุณค่าได้ยากเหลือเกิน

ถึงอย่างไรก็ตาม อาวุธวิญญาณที่เป็นของเซียวเซิงชิ้น บัดนี้กลับตกอยู่ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอ เป็นความน่าอับอายอันใหญ่หลวงสำหรับเซียวเซิงอย่างไม่ต้องสงสัย

หากจ้าวซื่อเลี่ยช่วยนำมันคืนมาได้ จะเป็นบุญคุณใหญ่หลวงอย่างแน่นอน ไม่ต้องเอ่ยถึงเซียวเซิง เพราะผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลังเซียวเซิง ก็คือท่านผู้อาวุโสเก่าแก่แห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

เพียงแต่เยี่ยนจ้าวเกอรู้ดีว่าวิชากลั่นโอสถของจ้าวฮ่าวเหนือกว่ามาก ทว่ากลับยังกล้ายื่นข้อเสนอการพนันเช่นนี้ หัวใจของจ้าวซื่อเลี่ยก็อดที่จะเต้นตึกตักขึ้นมาไม่ได้

ต้องมีความมั่นใจมากเพียงใดกัน ถึงจะกล้าที่จะยืนหยัดเผชิญความยากลำบากเช่นนี้

เหตุผลต่างๆ บอกกับจ้าวซื่อเลี่ยว่า ทางที่ดีอย่าพนันกับเยี่ยนจ้าวเกอจะดีกว่า

หลายคนต่างมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความตะลึง เพราะไม่คาดคิดว่าวรยุทธ์ขั้นจิตรานอกระยะท้ายอย่างเซียวเซิง จะพ่ายแพ้ให้กับเยี่ยนจ้าวเกอ

มีเพียงแค่จ้าวฮ่าวผู้เดียวที่ดูเหมือนจะไม่รู้ ว่าการที่เยี่ยนจ้าวเกอยึดเอากงจักรเพลิงสุริยะของเซียวเซิงมาได้นั้นมีความหมายอันใด ทว่ายังคงมีสีหน้านิ่งเฉยไม่สนใจใยดีอยู่เช่นเดิม

หรือเขาอาจจะเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ ทว่าก็ยังคงไม่เห็นอยู่ในสายตา…

จ้าวซื่อเลี่ยคิดจะหลอกใช้ความคิดของเขา ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ แต่เขาไม่ได้สนใจเหมือนกันต่างหาก ภายหลังยังมีเวลาให้แก้แค้นอยู่

จ้าวฮ่าวมองเยี่ยนจ้าวเกอ พลางแค่นหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง  หึ เขากว่างเฉิง คนที่มาจากเขากว่างเฉิง…ฮ่าๆ! 

 เสด็จอาจิ่น ในเมื่อเขาอยากจะพนัน เช่นนั้นก็ให้เขาพนันไปเถิด  จ้าวฮ่าวกล่าวอย่างสงบนิ่ง ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง เตาโอสถขนาดเล็กกะทัดรัดใบหนึ่งพลันตกลงบนพื้น

ภายในเตาโอสถก็เกิดเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมา ควันสีเขียวดำเลือนรางหลายสายลอยขึ้นไปในอากาศ ค่อยๆ หลอมรวมเป็นรูปภูเขาและสายน้ำ

เมื่อเห็นภาพเหล่านี้ คนอื่นๆ ก็เกิดความตกตะลึงงัน

ท่านผู้เฒ่าหวังเบิกตาโพลงทันที

ดวงตาจ้าวซื่อเลี่ยก็ส่องประกายขึ้นมา

 มีความสามารถ เอาแต่ใจ หยิ่งทระนง แต่…  มุมปากของเยี่ยนจ้าวเกอยกขึ้นเบาๆ  …แต่ ก็โง่พอตัว 

 เจ้าเด็กน้อย ช่างโชคไม่ดีเอาเสียเลย เพราะข้าก็มีนิสัยเลือดร้อนไม่พอใจก็ลงมือเช่นกัน 

………..

 

จ้าวเฉิงมองจ้าวฮ่าวด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร ฝ่ายจ้าวฮ่าวก็กวาดตามองเขาครั้งหนึ่ง พลางฉีกยิ้มและส่ายหน้า

เห็นๆ กันอยู่ว่าจ้าวเฉิงเป็นจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์แล้ว จะจัดการเขาที่ยังอยู่เพียงระดับหลอมกาย ตามหลักแล้วไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงเลยด้วยซ้ำ

ทว่าในแววตาของจ้าวฮ่าวไม่มีความระแวงหรือความหวาดกลัวเลยสักนิด มีเพียงความนิ่งเฉยไร้ความรู้สึก

ในความนิ่งเฉยนั้น ปรากฏความไม่สนใจใยดีปะปนอยู่ด้วย

เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลงเล็กน้อย ‘แววตาที่เขามองจ้าวเฉิง ไม่ต่างอะไรกับแววตาที่ใช้มองข้าเลย… ’

‘ในสายตาของเขา ข้ากับจ้าวเฉิงอยู่ในระดับเดียวกัน’ เยี่ยนจ้าวเกอพลันแสยะยิ้ม

จ้าวฮ่าวกล่าวถามอย่างเฉยเมยว่า  พี่สามอยากให้ข้าดื่มเหล้าโทษทัณฑ์อะไรหรือ 

จ้าวเฉิงแค่นหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง  น้องสิบหกช่วงนี้วรยุทธ์ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วก็จริง แต่ประสบการณ์การต่อสู้จริงก็ยังคงน้อยอยู่ 

 คนพวกนี้ของพี่สาม ช่วยน้องสิบหกฝึกซ้อมได้พอดิบพอดีเลย 

 สั่งสมประสบการณ์ให้มากหน่อย หากเจ้าเอาแต่ลงไม้ลงมือกับลูกน้อยเช่นนี้ ครั้นเจอศัตรูผู้เก่งกาจตัวจริงเข้า คนที่ซวยจะเป็นเจ้าเองนะ 

แววตาเหยียดหยามในดวงตาของจ้าวฮ่าวยิ่งเพิ่มมากขึ้น เขามองจ้าวเฉิงราวกับผู้ใหญ่กำลังมองเด็กไม่รู้ความที่กำลังเล่นเสียงดังอยู่

เขาไม่ได้พูดอะไรให้มากความ พลันชักกระบี่ออกจากฝัก ยืนอยู่ที่เดิมนิ่งๆ  ผู้ใดต้องการโดนสั่งสอน 

ในสายตาของผู้อื่นเห็นเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป แต่เยี่ยนจ้าวเกอมองเห็นความนัยมากกว่านั้น

หากมองจากมุมมองของเยี่ยนจ้าวเกอ พลังที่จ้าวฮ่าวแผ่ออกมาเปลี่ยนไปทันทีที่เขาชักกระบี่ออกมา

พลังนั้นแข็งกร้าว โหมกระหน่ำ และเฉียบคมอย่างชัดเจน!

ทั่วทั้งร่างของเขาเสมือนกับกระบี่คมกริบที่เพิ่งชักออกมาจากฝัก เตรียมจะพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องนภา ฟาดฟันทุกสิ่งให้ขาดสะบั้น

นี่เป็นพลังบริสุทธิ์รูปแบบหนึ่ง ยากที่จะบรรยายเป็นคำพูด ทว่าก็มีอยู่จริง

จ้าวฮ่าวในตอนนี้ยังคงเป็นจอมยุทธ์ระดับหลอมกายไม่ผิดแน่ เขาไม่ได้ซ่อนเร้นพลังความสามารถในระดับที่สูงกว่านั้นเอาไว้แต่อย่างใด แต่พลังของเขากลับเหมือนอยู่เหนือกว่าคนส่วนมากบนโลกใบนี้

ราวกับมีปรมาจารย์ปรากฏอยู่ตรงหน้า แต่ไม่คู่ควรให้ผู้ใดเอ่ยถึง

คิ้วของเยี่ยนจ้าวเกอกระตุก ‘น่าสนใจ หรือว่า…’

แม้ว่าจ้าวเฉิงอยากจะเล่นงานจ้าวฮ่าวให้เจียนตายด้วยมือของตนใจจะขาด ทว่าอย่างไรเสียเขาก็อยู่ระดับปรมาจารย์แล้ว อายุอานามก็มากกว่าจ้าวฮ่าวสิบกว่าปี

ถึงพฤติกรรมของจ้าวฮ่าวจะไร้ความนอบน้อมอย่างมาก ทว่าต่อหน้าธารกำนัล อีกทั้งยังมีเยี่ยนจ้าวเกออยู่ ณ ที่แห่งนี้ด้วย จ้าวเฉิงจึงยับยั้งความคิดที่จะลงมือด้วยตนเองไป

แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้คิดจะปล่อยจ้าวฮ่าวไปง่ายๆ

วรยุทธ์ของจ้าวฮ่าวอยู่ระดับยุทธ์หลอมกายขั้นแปด ขั้นชักจูงลมปราณระยะกลาง แม้ว่าคู่ต่อสู้ที่จ้าวเฉิงหามาให้เขาจะอยู่ในขั้นชักจูงลมปราณระยะกลางเช่นกัน ทว่าก็มีกลิ่นอายดุดัน แสดงให้เห็นชัดเจนว่าใช้ชีวิตอยู่ด้วยการฆ่าฟัน คมดาบอาบโลหิตมาจนชินชา ประสบการณ์มากมายเหลือเฟือจนเทียบไม่ได้

ไอสังหารทั่วทั้งร่างกายหนาแน่นจนแทบจะทำให้คู่ต่อสู้ที่ประสบการณ์ไม่มากพอกลัวหัวหด กลายเป็นลูกแกะที่ยอมให้ฆ่าแกงแต่โดยดี

ทว่าจ้าวฮ่าวแทบไม่ต้องใช้แรง ก็เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ในกระบวนท่าเดียว!

เพียงฟาดกระบี่ลงแค่ครั้งเดียว แขนข้างหนึ่งของอีกฝ่ายก็ลอยขึ้นไปบนฟ้า!

ระดับความโหดเหี้ยมนี้ ทำให้ทุกคนต้องเบี่ยงสายตาตามไป

 บังอาจนัก!   สีหน้าของจ้าวพลันอึมครึม เขาโบกมือครั้งหนึ่ง นักดาบขั้นชักจูงลมปราณระยะท้ายคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังก็ฝ่าผู้คนออกมา

นักดาบผู้นี้อยู่ระดับยุทธ์หลอมกายขั้นเก้า ขั้นชักจูงลมปราณระยะท้าย อีกทั้งยังห่างจากขั้นประจักษ์กายา ซึ่งเป็นขั้นที่สิบไม่มากนัก

จ้าวฮ่าวกลับมีท่าทีไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด จากนั้นโจมตีด้วยกระบี่พลางยิ้ม  ก็เหมือนๆ กันหมด 

ผลการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย ทำให้ผู้ที่ชมการต่อสู้ตกตะลึงไปตามๆ กันอีกครั้ง

ผู้ชนะยังคงเป็น จ้าวฮ่าว!

เขาหัวเราะเสียง ‘หึ’ ครั้งหนึ่ง  คนต่อไปจะเป็นขั้นประจักษ์กายา หรือว่าพี่สามจะลงสนามด้วยตัวเอง 

ในขณะที่กล่าว ทั่วทั้งร่างของเขาเกิดเสียงดังเปรี๊ยะ จากนั้นก็เป็นเสียงอึมครึมของสายฟ้าดังขึ้นแผ่วเบา

เสียงฟ้าผ่าไม่ได้ดังจากข้างนอก ทว่าดังออกมาจากภายในร่างกายของจ้าวฮ่าว

ทุกคนต่างตะลึงงันไปพร้อมๆ กัน  ลมปราณเข้าสู่กระดูก เสียงสายฟ้าชำระล้างไขกระดูกหรือ นี่เป็นการชำระล้างไขกระดูกครั้งแรก หลังจากบรรลุถึงขั้นชักจูงลมปราณระยะท้ายหรือนี่! 

เฟิงอวิ๋นเซิงที่อยู่ข้างกายเยี่ยนจ้าวเกอ เห็นดังนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ แล้วจึงมองเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่ง

แม้นางจะไม่ได้กล่าวอะไร ทว่าก็เห็นได้ชัดว่านางนึกถึงเรื่องที่เยี่ยนจ้าวเกอเผชิญหน้ากับเซียวเซิงก่อนหน้านี้

เยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่ได้ยิ้ม ทว่ามองจ้าวฮ่าวอย่างสงบนิ่ง

 เขายังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด อีกทั้งวิชากระบี่สังหารที่ถนัดจริงๆ ก็ยังไม่ได้แสดงออกมา 

ชายหนุ่มมองเห็นทะลุปรุโปร่งมากกว่าคนรอบข้างนัก  สู้เร็วจบเร็วเช่นนี้ เขาอาศัยประสบการณ์ที่มีมากกว่าคู่ต่อสู้ และการควบคุมกระบี่ที่อยู่ในมือ 

 ก็เหมือนกับข้า ไม้ไผ่ท่อนหนึ่งก็ใช้เป็นกระบี่ได้ ไม่ต้องใช้ปราณจิตราแต่ก็สามารถเล่นงานจอมยุทธ์ขั้นประจักษ์กายาให้จนมุมได้เช่นกัน 

 เขามีความรอบรู้ในวิชากระบี่ที่ล้ำลึกมาก กระบี่ไม้ กระบี่ไผ่ แม้กระทั่งการใช้นิ้วแทนกระบี่ หรือใช้ความรู้สึกที่มีต่อกระบี่ รวบรวมลมให้เฉียบคมดุจกระบี่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีกระบี่ ดังนั้นต่อให้ไม่ได้พกพาสิ่งอื่นติดตัว เพียงหนึ่งกระบี่ในมือ ก็มากเพียงพอ 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มครั้งหนึ่ง  เมื่อครึ่งปีก่อนรู้แจ้งขึ้นมาฉับพลันอย่างนั้นหรือ 

 ฮ่าๆ… 

จ้าวฮ่าวในขณะนี้หยาบคายไร้เหตุผลอย่างยิ่ง เขาถือกระบี่ขึ้นในแนวขวาง  พี่สามยังมีคนอื่นอยู่อีกหรือไม่ หรือพี่สามคิดจะมาด้วยตนเอง? 

 พี่ใหญ่เล่า จะมาเล่นกับข้าด้วยกันสักหน่อยไหม ข้าได้หมด 

สีหน้าจ้าวเฉิงอึมครึมเหมือนสีน้ำลึก กัดฟันยิ้มพลางกล่าวว่า  ได้สิ น้องสิบหก เมื่อก่อนข้ามองไม่ออกเลย แต่เจ้าดูจะลำพองตัวเร็วไปหน่อยแล้ว 

ขณะที่กล่าว เขาก็สาวเท้าออกมาด้วย

ถูกจ้าวฮ่าวยั่วยุเช่นนี้ เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องยับยั้งชั่งใจอีกต่อไป และไม่จำเป็นต้องกังวลว่าราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออกจะถามหาความผิดภายหลัง

 พี่น้องสายเลือดเดียวกัน ก็ควรจะรักใคร่ปรองดองซึ่งกันและกัน ประลองฝีมือกับผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันก็แล้วไป แต่การประมือระหว่างจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์กับจอมยุทธ์ระดับหลอมกาย ก็ดูจะเกินเหตุไปเสียหน่อย 

ตอนนี้เอง เสียงหนึ่งก็พลันดังขึ้นจากบริเวณที่ไกลออกไป ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนหน้าตาเคร่งขรึมดุดันคนหนึ่งก็ปรากฏกายต่อหน้าทุกคน

เขามองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอเป็นอันดับแรก แล้วผงกศีรษะ  จ้าวเกอ ไม่ได้พบกันนานเลยนะ 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มรับ  ราศีท่านจิ่นอ๋องเหนือกว่าในอดีตอีกนะขอรับ 

ผู้มาเยือนคือพระอนุชาของราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออก ยอดฝีมือเป็นอันดับสองในราชวงศ์ถังตะวันออก จิ่นอ๋องผู้นี้มีนามว่าจ้าวซื่อเลี่ย เยี่ยนจ้าวเกอรู้จักเขามาก่อนหน้านี้แล้ว

ทว่า จุดยืนของคนผู้นี้กลับเอนเอียงไปทางสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ นับเป็นบันไดก้าวข้ามที่ใหญ่ที่สุดในการนำอิทธิพลสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่อาณาจักรถังตะวันออก

ตำแหน่งรัชทายาทของอาณาจักรถังตะวันออกยังคงไม่แน่ชัดมาโดยตลอด ซึ่งมีสาเหตุมากมายมาจากคนผู้นี้

ไม่ว่าจะเป็นอำนาจมืดของเขาหรือสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องหลัง ล้วนคอยสร้างความกดดันแก่ราชาอาณาจักรถังตะวันออก หวังให้แต่งตั้งพระอนุชาเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์

สำหรับวรยุทธ์ของเชื้อพระวงศ์เหล่านี้ พลังของคนคนเดียวสามารถเปลี่ยนแปลงพลิกแผ่นดินได้ กฎระเบียบจารีตของทางโลกจึงไม่เหมาะจะนำมาใช้กับพวกเขา

อย่างเช่น หากราชาอาณาจักรถังตะวันออกเกิดสวรรคตกะทันหันในวันนี้ เช่นนั้นความสูญเสียของอาณาจักรถังไม่ใช่เพียงแค่ราชาองค์หนึ่งเพียงเท่านั้น ทว่ายังสูญเสียมหาปรมาจารย์คนหนึ่งด้วย

นั่นเท่ากับว่าอาณาจักรถังตะวันจะต้องเจอกับความเสียหายครั้งใหญ่หลวงเช่นกัน

ไม่ว่าจะเป็นจ้าวหยวนหรือจ้าวเฉิง ถึงพวกเขาจะบรรลุสู่ระดับปรมาจารย์ ทว่าก็ไม่สามารถพัฒนาความสามารถให้สูงขึ้นได้ในเวลาอันสั้น แม้จะได้รับตำแหน่งราชา ก็ยังไม่สามารถแทนที่เสด็จพ่อของพวกเขาได้โดยสมบูรณ์

เช่นเดียวกันกับจิ่นอ๋อง แม้ว่าจะระดับพลังของเขาจะด้อยกว่าราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออก ทว่าก็นับเป็นยอดฝีมือระดับมหาปรมาจารย์เช่นเดียวกัน หากรับใช้ราชาองค์ใหม่ด้วยความสัตย์ซื่อก็แล้วไป ทว่าหากเขามีใจคิดการอื่น สถานการณ์ก็พลันจะซับซ้อนขึ้นมาทันที

ในราชวงศ์ของโลกมนุษย์ ราชาองค์เดิมจะแต่งตั้งผู้สืบทอดก่อนสวรรคต จึงต้องกำจัดความไม่สงบทั้งหมดออกไปก่อน

ทว่าสถานการณ์ของท่านจิ่นอ๋องเป็นเช่นนี้ ทำให้ราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออกรู้สึกร้อนใจเช่นกัน

อย่างไรเสีย จ้าวซื่อเลี่ยก็เป็นมหาปรมาจารย์คนหนึ่ง และเป็นส่วนสำคัญของกำลังอำนาจอาณาจักรถังตะวันออก หากสังหารเขา ที่ต้องรับความเสียหายก็ยังเป็นอาณาจักรถังตะวันออก

ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวซื่อเลี่ยยืนอยู่เบื้องหลังของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ทว่าราชาอาณาจักรถังตะวันออกกลับมีเขากว่างเฉิงหนุนหลัง นั่นจึงยากที่จะลงมือได้ง่ายๆ

สถานการณ์ของอาณาจักรถังตะวันออก ทุกวันนี้ยังคงรักษาสมดุลไว้ได้ แต่คนภายนอกก็พอจะมองออกแล้วว่าเริ่มกระท่อนกระแท่น ราชาอาณาจักรถังตะวันออกและเขากว่างเฉิงแม้จะเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่อันตรายที่แฝงอยู่ก็ไม่น้อยเช่นกัน

จ้าวซื่อเลี่ยและเยี่ยนจ้าวเกอต่างฝ่ายต่างคำนับกัน ก่อนจะหัวเราะพลางมองไปที่สามพี่น้อง จ้าวหยวน จ้าวเฉิง และจ้าวฮ่าว  หากจะประลองกัน ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้วรยุทธ์เลยนี่ 

 วิธีประลองที่ไม่ทำลายไมตรีมีถมเถไป 

…………….

 

เยี่ยนจ้าวเกอมองออกว่าเด็กหนุ่มคนนั้นน่าจะเป็นองค์ชายเช่นเดียวกัน เป็นพี่น้องของจ้าวหยวน เพียงแต่ตนเองไม่เคยพบมาก่อน

สถานการณ์ ณ ตรงนั้น ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอที่มองดูอยู่เกิดความสนใจ

จ้าวหยวน องค์ชายใหญ่โอนเอนไปทางกลุ่มของเยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ เขากว่างเฉิง เฉกเช่นราชาอาณาจักรถังตะวันออก บิดาของเขา

ตัวจ้าวหยวนและเจ้าของร่างเดิมของเยี่ยนจ้าวเกอก็มีความสนิทสนมกันอยู่บ้าง

ทว่าจ้าวเฉิง องค์ชายสาม ไม่สามารถเอาชนะจ้าวหยวนในเรื่องนี้ได้ จึงหันไปใกล้ชิดกับกลุ่มของอาจารย์ลุงรองของเยี่ยนจ้าวเกอแทน

ถึงแม้ว่าราชาอาณาจักรถังตะวันออกจะเอนเอียงไปทางเยี่ยนตี๋ ทว่าอย่างไรเสียเหยียนซวี่ ผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออกของเขากว่างเฉิงก็เป็นคนของอีกกลุ่มหนึ่ง จ้าวเฉิงจึงไม่ได้ลำบากอะไร

หากท้ายที่สุดแล้วผู้ชนะการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักเขากว่างเฉิงคืออาจารย์ลุงรองของเยี่ยนจ้าวเกอ เช่นนั้นตำแหน่งของราชาอาณาจักรแห่งถังตะวันออกในภายภาคหน้าก็น่าหวั่นใจ

ทว่าดูจากภาพรวมแล้ว ตำแหน่งองค์รัชทายาทถังตะวันออกยังไม่มีการกำหนดแน่ชัด จึงมีการแย่งชิงระหว่างจ้าวหยวนและจ้าวเฉิงอยู่เป็นทุนเดิม

พวกเขาทั้งสองไม่ถูกชะตากันมานานแล้ว อีกทั้งยังเพ่งเล็งกันมาโดยตลอด

การพุ่งเป้าหมายไปยังองค์ชายอีกคนเช่นเดียวกันเช่นตอนนี้ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ได้พบเห็นมานานมากแล้ว

 พวกข้ารับพระราชโองการจากเสด็จพ่อ ให้ตามท่านอาจิ่นอ๋องเข้าป่ามาจับขโมย  เสียงของจ้าวเฉิงดังมาแต่ไกล  คนผู้นั้นถูกองครักษ์ของข้าและท่านพี่ใหญ่ล้อมเอาไว้ในเขาลูกนี้หมดแล้ว อีกฝ่ายก็ถูกพวกข้าเล่นงานจนบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน หากไม่เป็นเช่นนี้ เจ้าคิดว่าเจ้าจะรับมือได้หรือ? 

 บัดนี้ถูกเจ้าโฉบเอาผลงานไป แม้แต่เบาะแสก็คิดจะยึดครองเอาไว้ผู้เดียว น้องสิบหกเจ้าจะไม่ประเมินกำลังตัวเองมากไปหน่อยหรือ? 

จ้าวหยวนก็กดเสียงต่ำลงเช่นกัน  น้องสิบหก จะแบ่งผลงานให้เจ้าส่วนหนึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหา แต่อย่าได้ปกปิดคำให้การของคนผู้นั้นเลย หากมีเบาะแสตามมาภายหลัง พวกเราก็ต้องรีบตามสืบเสาะต่อไปให้เร็วที่สุด 

 ฝ่ายตรงข้ามกับเฒ่ามารหัวขวาน และความผิดปกติของหุบเหวปราการมังกรมีส่วนเกี่ยวข้องกัน ไม่สามารถละเลยได้ หากเกิดล่าช้าไป จะพูดจะกล่าวกับเสด็จพ่อได้ยาก อีกทั้งความดีความชอบจะกลายเป็นความผิดเอาได้ 

เมื่อได้ยินนามของเฒ่ามารหัวขวานและหุบเหวปราการมังกร เยี่ยนจ้าวเกอก็ยิ่งทวีความสนใจมากขึ้นอีก  อืม น่าสนใจ ไปดูกันสักหน่อยดีกว่า 

เยี่ยนจ้าวเกอเดินมาถึงด้านหน้า เห็นเด็กหนุ่มที่ถูกล้อมจับเอาไว้ยิ้มพลางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า  ควรทำอย่างไร ในใจข้าคิดเอาไว้บ้างแล้ว ไม่รบกวนท่านพี่ทั้งสองมาสอนหรอก เมื่อกลับไปยังเมืองหลวงและรายงานกับเสด็จพ่อแล้ว ทุกอย่างย่อมมีคำตอบของมันเอง 

น้ำเสียงของเขาไม่มีความเกรงใจใดๆ จนจ้าวหยวนและจ้าวเฉิงเริ่มมีน้ำโห

ทว่าทันใดนั้นเอง เยี่ยนจ้าวเกอก็ปรากฏตัวขึ้น ทั้งสองจึงรีบระงับความโกรธนั้นไว้ พลันละสายตาจากเด็กหนุ่มผู้นั้น แล้วหันมาทักทายเยี่ยนจ้าวเกอ

 จ้าวเกอ บังเอิญจริง เจ้าเองก็อยู่แถวนี้หรือ? 

 คุณชายเยี่ยน 

จอมยุทธ์อาณาจักรถังตะวันออกที่เดินทางมาพร้อมกับจ้าวหยวนและจ้าวเฉิง ผู้ที่เป็นจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ต่างประสานมือพร้อมกัน ส่วนจอมยุทธ์ระดับหลอมกายก็โค้งตัวคำนับเช่นกัน  คุณชายกว่างเฉิง! 

หลายวันมานี้ ชื่อเสียงของเยี่ยนจ้าวเกอขจรไปไกลในแผ่นดินถังตะวันออก

ส่วนข่าวการต่อสู้กับเซียวเซิงและเฉาหยวนหลงในเทือกเขามฤคลับตาก่อนหน้านี้ยังไม่มีใครรู้

แต่ลำพังเพียงชนะเฉาหยวนหลงแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก่อนหน้านี้ และการประลองกระบวนท่ากับเซียวเซิงที่เมืองใกล้ปราการก็ทำให้ชื่อเสียงของเยี่ยนจ้าวเกอยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความยิ่งใหญ่ของเขากว่างเฉิง ที่อาณาจักรถังตะวันออกไม่อาจเปรียบหรือเลียนแบบได้เลย

จ้าวหยวนและจ้าวเฉิงเป็นองค์ชาย ได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างดีเช่นเชื้อพระวงศ์ อีกทั้งยังได้รับทรัพยากรสำคัญจำนวนมาก จนถือได้ว่าเป็นบุคคลที่โดดเด่นท่ามกลางบรรดาคนรุ่นเยาว์ของถังตะวันออก

ทั้งสองล้วนมีวรยุทธ์ระดับปรมาจารย์ ทว่าในตอนที่พวกเขาบรรลุระดับปรมาจารย์ กลับมีอายุมากกว่ายี่สิบห้าปีแล้ว

ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่เบื้องหน้าทุกคน เขาบรรลุระดับปรมาจารย์ในขณะที่อายุน้อยกว่าจ้าวฮ่าวในขณะนี้เสียอีก…

เยี่ยนจ้าวยิ้มเล็กน้อย  ท่านทั้งสอง ไม่ได้พบกันนานเลย 

 ก่อนหน้านี้ข้าได้ผ่านไปที่เมืองหลวงของอาณาจักรถังตะวันออก และพักอยู่ที่นั่นเพียงชั่วคราว ได้พบกับเสด็จลุงครั้งหนึ่ง แต่กลับไม่ทันได้ไปทักทายทั้งสองพระองค์ 

 คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบกันที่เทือกเขามฤคลับตาแห่งนี้ 

จ้าวหยวนกล่าวว่า  ความผิดปกติของหุบเหวปราการมังกรนั้นไม่ธรรมดา เสด็จพ่อจึงเสด็จคุมการณ์ด้วยตนเอง 

 ต้องชื่นชมที่เจ้าสืบทราบมาว่าเกี่ยวข้องกับเฒ่ามารหัวขวาน พวกข้าจึงตรวจสอบเพิ่มเติมอย่างละเอียด พบว่าเฒ่ามารหัวขวานไม่ได้กระทำการเรื่องนี้เพียงลำพัง 

 เบื้องหลังมีความไปได้มากว่ามีขุมอำนาจซ่อนอยู่ เฒ่ามารหัวขวานเป็นจอมยุทธ์ระดับสูงคนหนึ่งในนั้น อีกทั้งขุมอำนาจนี้ยังมีสมาชิกชั้นกลาง ชั้นล่าง และรอบนอกอีกด้วย 

 พวกข้ามาที่เทือกเขามฤคลับตาครั้งนี้ ก็เพื่อตามจับสมาชิกบางคนของขุมอำนาจนี้ ถือเป็นทั้งภารกิจและการฝึกฝนสำหรับพวกข้า 

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า สำหรับจ้าวหยวนและจ้าวเฉิงแล้ว นี่ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะสร้างผลงานให้องค์ราชาและขุนนางของถังตะวันออกได้เห็น

ทว่าผลลัพธ์ดูเหมือนว่าจะถูกผู้อื่นเด็ดลูกท้อ ขโมยผลงานไป มิน่าล่ะ สองพี่น้องถึงได้ดูไม่สบอารมณ์นัก

จ้าวเฉิงหันกลับไปกวาดตามองเด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง แล้วพูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า  น้องสิบหก ยังไม่ทำความเคารพอีก? 

เด็กหนุ่มคนนั้นมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แล้วกล่าวอย่างเฉยเมยว่า  ขอคารวะ 

เยี่ยนจ้าวเกอมองเขา มุมปากพลันกระตุกเล็กน้อย

‘หากข้ามองไม่ผิดล่ะก็ ข้าเห็นความโอหังและการเหยียดหยามในแววตาของเขากระมัง?’ เยี่ยนจ้าวเกอตะลึงงันไปเล็กน้อย พลางพินิจมองเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า

อีกฝ่ายน่าจะอายุประมาณสิบเจ็ดปี วรยุทธ์ระดับหลอมกายขั้นชักจูงลมปราณระยะกลาง ช่วงเบิกตันเถียนชี่ไห่

มีวรยุทธ์เช่นนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งยังไม่ใช่คนที่ถือกำเนิดจากสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ถือว่าเป็นคนเก่งที่พบเจอได้ยากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดูจากเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่แล้ว แม้จะเป็นองค์ชาย ทว่าก็เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สำคัญสักเท่าไร ทรัพยากรที่ได้รับก็คงมีจำกัด

ทว่าไม่ว่าจะมองอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นความสามารถส่วนตัวหรือภูมิฐานเบื้องหลัง ก็ไม่สามารถเทียบได้กับเยี่ยนจ้าวเกอ

ถึงกระนั้นเยี่ยนจ้าวเกอกลับมองเห็นความเหยียดหยามแล่นผ่านไปจากดวงตาของเด็กหนุ่มอย่างชัดเจน

อีกทั้งท่าทีที่เขามีต่อเยี่ยนจ้าวเกอ ไม่ใช่แค่ไม่เกรงกลัวไม่เคารพแล้ว ยังแสดงความหยิ่งยโสไร้มารยาทอีกด้วย

เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าอีกฝ่ายกำลังเหยียดหยามจริงๆ ไม่ใช่เพราะความไม่เกรงกลัวที่เกิดจากความไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว แต่เป็นความเหยียดหยามที่ส่งออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ อันมีต้นตอมาจากความทระนงและความมั่นใจในตนเอง

แต่เด็กหนุ่มผู้นี้กลับมองว่าไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร

…ก็เหมือนกับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่ง หรือมหาปรมาจารย์คนหนึ่ง กำลังมองจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์หรือจอมยุทธ์ระดับหลอมกาย

ในใจเยี่ยนจ้าวเกอเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้น

จ้าวหยวนที่อยู่ด้านข้างเริ่มหน้าถอดสี จึงควบคุมปราณจิตราเป็นเสียง ส่งกระแสจิตไปหาเยี่ยนจ้าวเกอ ‘จ้าวเกอ อย่าสนใจเขาเลย’

‘เขาคือจ้าวฮ่าว น้องสิบหกของข้า’

‘เมื่อก่อนเขาเป็นคนนิ่งเงียบ ไม่น่าสนใจ และไม่ได้มีนิสัยเช่นนี้ แต่ครึ่งปีก่อนราวกับประจักษ์แจ้งฉับพลัน วิชาวรยุทธ์ก้าวหน้าราวกับหนึ่งวันพันลี้’

‘ทว่าเขากลับกลายเป็นคนหยิ่งยโสไร้มารยาทด้วยเช่นกัน’ จ้าวหยวนพูดกึ่งสงสัยกึ่งโมโหว่า ‘ครั้งนี้พวกข้าตามจับขโมยที่ถูกเล่นงานจนบาดเจ็บสาหัสและล้อมไว้ในภูเขา แต่ผลสุดท้ายก็ถูกเขาขโมยผลงาน’

‘ขโมยก็ขโมยเถอะ แต่เขาสอบสวนได้ข้อมูลที่มีประโยชน์จากหัวขโมยแล้ว เขากลับฆ่าอีกฝ่ายทิ้งเสีย ครั้นข้าถามเขาถามว่ารู้อะไรบ้าง เขากลับไม่ยอมพูด…’

เยี่ยนจ้าวเกอพึมพำด้วยความประหลาดใจ  …น่าแปลก 

แม้จะสนิทกับจ้าวหยวน แต่เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้คิดที่จะเข้าไปยุ่ง เพราะไม่ว่าอย่างไรจ้าวฮ่าวก็เป็นโอรสขององค์ราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออกเช่นกัน

ส่วนข้อมูลที่จ้าวฮ่าวปกปิดไว้ เมื่ออยู่เบื้องหน้าของบิดาเขาแล้ว อย่างไรก็ปิดเป็นความลับไม่ได้ สุดท้ายเยี่ยนจ้าวเกอสามารถรับรู้เรื่องราวได้ผ่านราชาอาณาจักรถังตะวันออกอยู่ดี

ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอกลับประหลาดใจกับท่าทีหยิ่งยโสไร้มารยาทของจ้าวฮ่าวมากกว่า

หรืออีกฝ่ายจะเป็นคนบ้าคนหนึ่ง

หากไม่ใช่แล้วล่ะก็ ความมั่นใจของอีกฝ่ายมาจากที่ใด?

ยกตนข่มท่านกับรู้เรื่องราวทุกอย่างอย่างถ่องแท้ เป็นสองเรื่องที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

เยี่ยนจ้าวเกอไตร่ตรองในใจ สีหน้านิ่งเฉย จนคนอื่นๆ ต่างคิดว่าเขาไม่ได้ถือโทษจ้าวฮ่าว

จ้าวฮ่าวเลิกคิ้ว นอกจากความเหยียดหยามในแววตาของเขาแล้ว เขาส่งสายตาเย้ยหยันให้กับท่าทีที่เยี่ยนจ้าวเกอมองข้ามตนไปอีกต่างหาก

การที่เยี่ยนจ้าวเกอไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง กลับทำให้จ้าวฮ่าวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

แต่ไม่นานเยี่ยนจ้าวเกอก็หันไปสนใจจ้าวฮ่าวอีกครั้ง แล้วยิ้มอย่างเย็นชาพลางกล่าวว่า  น้องสิบหก หากเจ้าไม่ชอบดื่มเหล้าอวยพร เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าดื่มเหล้าลงทัณฑ์แทนแล้วกัน[1] 

…………………

[1] ไม่ดื่มเหล้าอวยพร กลับดื่มเหล้าลงทัณฑ์ (敬酒不吃吃罚酒) ความหมายโดยนัยก็คือ ในเมื่อพูดดีๆ แล้วยังไม่ยอมทำตาม ก็คงต้องใช้กำลังบังคับกันแล้ว

 

เยี่ยนจ้าวเกอมองเฟิงอวิ๋นเซิงแล้วยิ้มเล็กน้อย  เจ้าเคยคิดหรือไม่ ว่าหากไม่มีนางอยู่ แม้ว่าเจ้าในตอนนั้นจะสูญเสียจันทรากายไปแล้ว แต่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็อาจจะไม่ละทิ้งเจ้าง่ายๆ และยิ่งต้องพยายามมากยิ่งขึ้น เพื่อรักษาฟื้นฟูเจ้าให้กลับมาเป็นเช่นเดิม 

เฟิงอวิ๋นเซิงยิ้ม  ไม่มีความจำเป็นต้องคิดหรอก นั่นเป็นเรื่องที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเสี่ยวหว่าน 

ชายหนุ่มถามอย่างสนอกสนใจ  อายุอานามเจ้ามากกว่าเมิ่งหว่าน น่าจะเข้าสำนักก่อนนาง และมีวรยุทธ์สูงกว่าใช่หรือไม่? 

 เจ้าเป็นตัวเลือกแรกของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ในการเข้าร่วมทดสอบจันทรากายในตอนนั้นใช่หรือไม่? 

เฟิงอวิ๋นเซิงพยักหน้าอย่างเปิดเผย  ไม่ผิดหรอก ก่อนที่ข้าจะออกจากสำนักก็อยู่ในระดับปรมาจารย์แล้ว เสี่ยวหว่านตอนนั้นยังอยู่แค่ขั้นประจักษ์กายา 

 นางน่าจะเพิ่งบรรลุระดับปรมาจารย์อย่างฉิวเฉียดในคืนก่อนการทดสอบจันทรากายครั้งแรก 

นางมองเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างไม่ใยดีนักว่า  ข้ารู้ว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ข้าหลงเข้าไปในพื้นที่อันตรายอย่างอเวจี ทำให้จันทรากายสูญสลายไป นั่นก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเสี่ยวหว่าน 

เยี่ยนจ้าวเกอพลันหัวเราะร่วน  นางกับเจ้าอาจจะมีความผูกพันลึกซึ้ง แต่ครั้งนี้ที่นางหลอกล่อข้าให้มาช่วยเจ้า ก็อาจจะเป็นไปได้ว่ามาจากความรู้สึกผิดและต้องการชดเชยกระมัง? 

 หรืออาจจะเป็นเพราะในฐานะที่เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ จึงแสดงความเมตตาผ่านการช่วยเหลือเจ้า เพื่อทำให้ตนเองรู้สึกพึงพอใจก็เป็นได้ 

เฟิงอวิ๋นเซิงยิ้มอีกครั้ง  ข้าไม่ถนัดคิดร้ายกับผู้อื่น แต่ข้าก็ไม่ปฏิเสธ มันอาจจะมีความเป็นไปได้อย่างที่ท่านกล่าวมา 

 เพียงแต่ข้าเชื่อในตัวเสี่ยวหว่าน  ประโยคสุดท้ายนี้ เฟิงอวิ๋นเซิงมีสีหน้าสงบนิ่ง ทว่าน้ำเสียงเด็ดขาด

เยี่ยนจ้าวเกอผุดยิ้ม ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องสนทนา  แต่นางก็มั่นใจว่าเจ้าไม่มีทางที่จะฟื้นคืนจันทรากายด้วยหรือ? 

 นางแน่ใจหรือว่าตนเองไม่ได้มอบสตรีจันทราคนหนึ่งให้กับเขากว่างเฉิง แล้วภายภาคหน้าจะมาแย่งชิงมงกุฎจันทรากับนาง? 

 นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการสร้างศัตรู แต่นางกลับทำลงไปได้ 

เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าวอย่างสงบนิ่งว่า  เพราะนางมีความมั่นใจ 

 ไม่ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นจะมีสตรีจันทราเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนก็ตาม 

 เสี่ยวหว่านก็มีความมั่นใจที่จะชนะเอามงกุฎจันทรากลับคืนให้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้ 

 ฉะนั้นแม้ข้าจะฟื้นพลังคืนมาได้ นางก็มีแต่จะดีใจกับข้าเท่านั้น เพราะว่าข้าจะได้รับความสำคัญจากเขากว่างเฉิงมากยิ่งขึ้น 

 แต่มงกุฎจันทราถือว่าเป็นของนาง เป็นของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ 

 นี่ก็คือความมั่นใจของนาง 

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้น ในสมองพลันมีภาพของหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง นางมีรูปร่างบอบบาง พร้อมด้วยดวงตาสะกิดใจคนให้เกิดความเมตตาเอ็นดูคู่หนึ่ง

ท้ายที่สุดผู้ที่ได้รับชัยชนะในการทดสอบจันทรากายในครั้งแรก และเป็นเจ้าของมงกุฎจันทราคนแรกอย่างเป็นทางการหลังจากที่ปรากฏขึ้นครั้งแรกบนโลก ก็คือเมิ่งหว่านแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์!

จากการคาดเดาของเฟิงอวิ๋นเซิง นางในตอนนั้นเพิ่งจะย่างเข้าสู่ระดับปรมาจารย์หมาดๆ

ดวงตาทั้งสองของเฟิงอวิ๋นเซิงกำลังเหม่อลอย คล้ายกับหวนนึกถึงความทรงจำ  อย่ามองว่าเด็กคนนั้นรูปลักษณ์ภายนอกดูบอบบางอ่อนแอ แท้จริงนางทั้งฉลาดและเข้มแข็งมาก 

 ไม่ว่าจะเป็นพลังจันทราในร่างกาย หรือจะเป็นพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ของนาง ล้วนแล้วแต่เป็นยอดเยี่ยมทั้งสิ้น 

 ตอนนั้นเป็นเพราะข้าเข้าสำนักก่อน ฝึกฝนวรยุทธ์มานานกว่านาง จึงได้เป็นตัวเลือกแรก 

 แต่หากเริ่มต้นจากจุดเดียว ออกเดินทางพร้อมกัน ข้าก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะเหนือกว่านางได้ 

ครู่หนึ่งเยี่ยนจ้าวเกอก็หัวเราะออกมา  คำกล่าวนี้ก็คือ เมิ่งหว่านก็ไม่มีความความมั่นใจที่จะเอาชนะเจ้าได้ไม่ใช่หรือ? 

เฟิงอวิ๋นเซิงเลิกคิ้ว  ข้าไม่หลงระเริงอวดเบ่งตัวเอง แต่ก็ไม่ดูถูกตัวเองหรอกนะ 

เยี่ยนจ้าวเกอพูดเรียบๆ ว่า  น่าเสียดายที่ครั้งที่สองเมิ่งหว่านพลาดท่าไป 

การทดสอบจันทรากายครั้งที่สอง เมิ่งหว่านวางหมากพลาดไปตัวหนึ่ง ทำให้มงกุฎจันทราจึงตกไปอยู่ในมือของศิษย์เมืองทะเลมรกตแห่งวารีพิภพ

สีหน้าเฟิงอวิ๋นเซิงสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง  เรื่องนั้นข้าได้ยินมาแล้วเช่นกัน นั่นเป็นเพราะว่าก่อนการทดสอบไม่นาน เสี่ยวหว่านเพิ่งจะฝืนขับเคลื่อนมงกุฎจันทรา เข้าปะทะกับราชาราชาปีศาจอัคคีตนหนึ่งที่ทะเลตะวันออก 

 การทดสอบครั้งที่สองนี้ นางจึงออกสู้ทั้งที่ยังบาดเจ็บ 

 รอจนถึงตอนที่มีการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สาม นางจะทำให้คนทั่วหล้าได้รู้ ว่าขอเพียงร่างกายนางไม่มีปัญหา มงกุฎจันทราก็ไม่มีทางอยู่ในมือผู้อื่นเป็นแน่ 

 หงส์เพลิงที่แตกดับไปแล้วจะโชติช่วงอีกครั้ง และจะยิ่งเจิดจ้ามากกว่าเดิม 

น้ำเสียงของเฟิงอวิ๋นเซิงราบเรียบ เหมือนกับกำลังเล่าเรื่องที่แสนจะธรรมดาเรื่องหนึ่ง

เยี่ยนจ้าวเกอมองนาง มุมปากค่อยๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มจาง  คำพูดนี้เหมาะจะใช้กับเมิ่งหว่าน แล้วจะไม่เหมาะที่ใช้กับเจ้าด้วยได้อย่างไรกัน? 

เฟิงอวิ๋นเซิงตอบอย่างตรงไปตรงมา  แม้ว่าศิษย์พี่เยี่ยนจะมีวิธีที่จะทำให้จันทรากายของข้าฟื้นคืนมาจริงๆ แต่ตอนนี้ข้าล่าช้ากว่าเสี่ยวหวานไม่น้อย 

 ข้าไม่กล้าพูดหรอกว่าจะตามเสี่ยวหว่านได้ทัน แต่โอกาสที่ล้ำค่าเช่นนี้ ข้าจะคว้าเอาไว้อย่างสุดกำลังอย่างแน่นอน 

 เขากว่างเฉิงรับข้าไว้ในตอนที่ข้ากำลังตกระกำลำบากที่สุด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร บุญคุณเล็กน้อยดุจน้ำหนึ่งหยด ต้องตอบแทนดั่งสายน้ำ 

 ไม่ขอพูดไร้สาระ จะขอสู้จนตัวตายเท่านั้น 

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ในตอนที่นางเผชิญกับการคุกคามจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เยี่ยนจ้าวเกอก็เล่นงานเซียวเซิงและเฉาหยวนหลงจนสิ้นสภาพ ซึ่งแสดงเจตนาออกมาอย่างชัดเจนโดยไม่ต้องสงสัย

ส่วนเจตนาส่วนตัวของเยี่ยนจ้าวเกอจะเป็นตัวแทนเขากว่างเฉิงด้วยได้หรือไม่ เฟิงอวิ๋นเซิงไม่จำเป็นต้องคิดมากในตอนนี้ แค่เชื่อฟังตามที่เขาสั่งก็พอ

เยี่ยนจ้าวเกอนิสัยดีไม่น้อย สำหรับจันทรากายของเฟิงอวิ๋นเซิงนั้น เขาพอจะวางแผนไว้บ้างแล้ว

แม้ว่าจะสร้างความไม่พอใจให้กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอีกขั้น ทว่าสำหรับเขากว่างเฉิงแล้ว สตรีจันทราหนึ่งคนเป็นผลพลอยได้ที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย

ขอเพียงงานชิ้นนี้สำเร็จ ก็จะเป็นประโยชน์กับทั้งเยี่ยนจ้าวเกอ กระทั่งเยี่ยนตี๋ บิดาของเขา นับเป็นความดีความชอบชิ้นโตอีกด้วย

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูสีของท้องฟ้า  พวกเราไปกันเถิด 

ทุกคนออกเดินทางไปพร้อมกัน เยี่ยนจ้าวเกอออกคำสั่งอย่างต่อเนื่อง ปรมาจารย์ชุดดำหลายคนผงกศีรษะรับคำสั่ง แล้วจึงแยกย้ายกันไปส่งข่าว

แม้ว่าตนเองจะปิดเรื่องทั้งหมดไว้แล้ว ทว่ามีบางคนที่เยี่ยนจ้าวเกอยังคงต้องรายงานตั้งแต่ช่วงแรกที่เกิดเรื่อง อย่างเช่นบิดาของตนเอง หรืออย่างเช่นผู้อาวุโสเกาะตะวันออก ผู้ดูแลโดยตรงของตนเองในเกาะนภาตะวันออกตอนนี้ อีกทั้งยังเป็นผู้ที่มีอำนาจสั่งการสูงสุดของเขากว่างเฉิงที่อยู่ ณ เกาะนภาตะวันออก

เรื่องครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อีกทั้งไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างตอนที่เล่นงานพวกเฉาหยวนหลงที่หุบเหวปราการมังกรครั้งก่อน ปฏิกิริยาของสำนักศักดิ์สิทธิ์ต้องดุเดือดมากขึ้นอีกแน่

เซียวเซิงและคนอื่นๆ เผ่นหนี ต่อไปพวกเขาต้องมีความเคลื่อนไหวบางอย่างแน่ ฉะนั้นยิ่งเขากว่างเฉิงของตนได้รับข่าวเร็วมากเท่าใด ก็ยิ่งมีประโยชน์ต่อการวางแผนรับมือมากขึ้นเท่านั้น

นอกจากนี้แล้ว เยี่ยนจ้าวเกอยังจงใจปล่อยข่าวต้นตอสาเหตุที่จันทรากายของเฟิงอวิ๋นเซิงได้รับความเสียหายออกไปโดยเฉพาะ เพื่อให้มีคนวางแผนแจ้งข่าวให้กับเมืองทะเลมรกต ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งหนึ่งได้รับทราบ

เพราะในบรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์แต่ละแห่ง เมืองทะเลมรกตกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ที่สุด

ใช้หลักการที่ว่าศัตรูของศัตรูก็คือมิตร ความสัมพันธ์ของเขากว่างเฉิงกับเมืองทะเลมรกตก็ยังถือว่าไม่เลว ใกล้เคียงกับการเป็นพันธมิตร

สตรีจันทราของเมืองทะเลมรกต เป็นผู้ชนะในการทดสอบจันทรากายในครั้งที่สอง ซึ่งการทดสอบครั้งที่สามในครั้งนี้ ก็จะเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามที่สุดของเมิ่งหว่าน

หลายปีมานี้ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แต่ละแห่งคิดหากลอุบายมาทำร้ายสตรีจันทราต่างสำนักอย่างไม่หยุดหย่อน

เยี่ยนจ้าวเกอไม่เคยไว้ใจการกระทำของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ จึงต้องเตือนเมืองทะเลมรกตเสียหน่อย เพื่อไม่ให้พวกเขาถูกทำร้าย

ในขณะที่เดินทางลอดผ่านป่าเขา จู่ๆ เยี่ยนจ้าวเกอก็เกิดเอะใจ เหม่อมองไกลออกไป

เสียงน้ำไหลที่ดังมากจากน้ำตกในป่า กลับไม่สามารถกลบเสียงพูดคุยของคนจำนวนหนึ่งไว้ได้

ชายหนุ่มมองเห็นคนกลุ่มหนึ่งอยู่ที่ริมขอบน้ำตกลิบๆ พวกเขายืนกระจัดกระจายกันเป็นกลุ่ม ราวกับกำลังคุมเชิงกัน

 พวกจ้าวหยวนเองหรอกหรือ? 

จ้าวหยวน เป็นโอรสองค์โตของราชาอาณาจักรถังตะวันออก เขาสนิทกับเยี่ยนจ้าวเกอมากเช่นกัน

ผู้ที่อยู่ด้วยกันกับเขา ยังมีจ้าวเฉิง องค์ชายสามอยู่ด้วย ทว่าผู้นี้กลับใกล้ชิดกับเหยียนซวี่ ผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออกมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นจ้าวหยวนหรือจ้าวเฉิง บัดนี้ล้วนจดจ้องไปยังเด็กหนุ่มคนหนึ่งด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นมิตร

ชายหนุ่มคนนั้นดูอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี หน้าตามีส่วนคล้ายคลึงกับจ้าวหยวนและจ้าวเฉิงอยู่ประมาณห้าส่วน อีกทั้งยังสวมอาภรณ์ของเชื้อพระวงศ์ด้วยเช่นกัน ทว่าเมื่อเทียบกับพวกจ้าวหยวนแล้ว กลับดูเรียบง่ายกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด

…………….

 

กงจักรเพลิงสุริยะและกระบี่วิญญาณมังกรมรกต ต่างก็เป็นอาวุธที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาอาวุธวิญญาณระดับล่าง

หากไม่ได้มีฐานะทางตระกูลเช่นเดียวกับเซียวเซิงหรือเยี่ยนจ้าวเกอ จอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์น้อยคนนักที่จะสามารถมีอาวุธวิญญาณระดับล่างเอาไว้ครอบครอง

ส่วนอาวุธวิญญาณระดับกลาง แน่นอนว่าบิดาของเยี่ยนจ้าวเกอและท่านตาของเซียวเซิงล้วนมีเหลือเฟือ

ทว่าด้วยวรยุทธ์ของเยี่ยนจ้าวเกอและเซียวเซิงในขณะนี้ ลำพังแค่ขับเคลื่อนอาวุธวิญญาณระดับล่างก็ถึงขีดจำกัดแล้ว อีกทั้งตอนนี้ก็สามารถใช้พลังของมันได้อย่างจำกัด

ส่วนอาวุธเช่นมงกุฎจันทรา อันเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่จอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์สามารถขับเคลื่อนได้นั้น ปัจจุบันในโลกแปดพิภพมีอยู่เพียงแค่ชิ้นเดียว

อย่าว่าแต่อาวุธศักดิ์สิทธิ์อื่นเลย แค่อาวุธวิญญาณระดับสูงหรืออาวุธวิญญาณระดับกลาง หากจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์เป็นผู้ขับเคลื่อน ก็ไม่มีแม้แต่ปฏิกิริยาตอบรับ

เพราะจิตวิญญาณของอาวุธวิญญาณแข็งแกร่งกว่าอาวุธวิเศษมากนัก

ฉะนั้นเฟิงอวิ๋นเซิงจึงมองดูเยี่ยนจ้าวเกอเก็บกงจักรเพลิงสุริยะด้วยความสนอกสนใจเป็นอย่างมาก

อาวุธมีวิญญาณความคิดที่เป็นอิสระ หากผู้ใช้ไม่ใช่มหาปรมาจารย์ก็จะไม่มีทางเปลี่ยนเจ้าของผู้ใช้งานได้ง่ายๆ

กงจักรเพลิงสุริยะเพียงแค่ถูกกระบี่วิญญาณมังกรมรกตตรึงเอาไว้ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ใช่เพราะยอมก้มหัวให้กับเยี่ยนจ้าวเกอ

หากไม่ใช่เพราะกระบี่วิญญาณมังกรมรกตมังกรตรึงเอาไว้ กงจักรเพลิงสุริยะก็คงบินตามเซียวเซิงผู้เป็นเจ้าของไปนานแล้ว

แน่นอนว่าตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอมีโอกาสที่จะสะกดกงจักรเพลิงสุริยะเอาไว้ชั่วคราว แต่นั่นเท่ากับว่ากระบี่วิญญาณมังกรมรกตก็ต้องกลายเป็นแม่กุญแจที่ใช้ตรึงกงจักรเพลิงสุริยะด้วย

อาวุธวิญญาณทั้งสองชิ้นสกัดรั้งซึ่งกันและกัน ก่อนที่จะแก้ปัญหานี้ได้ อย่าว่าแต่กงจักรเพลิงสุริยะเลย กระทั่งกระบี่วิญญาณมังกรมรกต เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่สามารถใช้ได้

เพราะนั่นอาจทำให้พลังทั่วร่างกายของเขาลดทอนลงมากทีเดียว

สำหรับจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ อาวุธวิญญาณระดับล่างมีความหมายเหมือนกับอาวุธวิเศษสำหรับจอมยุทธ์ระดับหลอมกาย

ยึดได้ก็ต้องยึดเป็นธรรมดา แต่หากครั้งหน้าต้องเผชิญหน้ากับศัตรูอีก ก็คงต้องรู้สึกอึดอัดอยู่บ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 เอ๊ะ?  เฟิงอวิ๋นเซิงมึนงงไปเล็กน้อย ทันทีที่เห็นเยี่ยนจ้าวเกอมาอยู่เบื้องหน้ากงจักรเพลิงสุริยะและกระบี่วิญญาณมังกรมรกต จากนั้นก็ยื่นมือทั้งสองออกไปจับอาวุธวิญญาณทั้งสองชิ้นไว้

กงจักรเพลิงสุริยะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จนระเบิดลมปราณอันบ้าคลั่งออกมา วินาทีนั้นเหมือนกับมหาปรมาจารย์ที่หลับใหลอยู่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น

กระบี่วิญญาณมังกรมรกตก็เป็นเช่นเดียวกัน อาวุธวิญญาณทั้งสองชิ้นมองดูแล้วเหมือนกับจะต่อสู้กัน ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่บรรดาผู้ที่ชมอยู่ไม่สามารถเข้าแทรกแซงได้

เยี่ยนจ้าวเกอใช้มือทั้งสองข้างแตะมันเบาๆ ก่อนจะใช้นิ้วทั้งสิบประคองเอาไว้ แล้วเคาะบนอาวุธวิญญาณทั้งสองชิ้นอย่างต่อเนื่องเป็นจังหวะที่แปลกประหลาด

กระบี่วิญญาณมังกรมรกตและกงจักรเพลิงสุริยะพลันสั่นไหวขึ้นเบาๆ อีกครั้ง

ความประหลาดฉายชัดขึ้นในดวงตาทั้งสองของเยี่ยนจ้าวเกอ ภาพที่อยู่ตรงหน้าเปลี่ยนแปลงไป ราวกับเข้าไปในโลกอีกมิติที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง

โลกมิตินั้นมีพระอาทิตย์ดวงโตลอยอยู่กลางฟ้า และมีมังกรสีเขียวมรกตตัวหนึ่งกำลังบินวนไม่หยุด

อาวุธวิญญาณทั้งสองชิ้นค่อยๆ สงบลงพร้อมกันอย่างคาดไม่ถึง จากการเคาะนิ้วทั้งสิบไม่หยุดของเยี่ยนจ้าวเกอ

ไม่ใช่เพราะการสกัดรั้งระหว่างอาวุธวิญญาณหายไป ทว่าเป็นการสงบและยุติลงชั่วคราวพร้อมกันอย่างแท้จริง

เฟิงอวิ๋นเซิงอ้าปากค้างเล็กน้อย ‘ทำให้กงจักรเพลิงสุริยะสงบลงได้รวดเร็วเช่นนี้ เขาทำได้อย่างไรกัน?’

‘ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!’

เมื่อหลุดออกจากภวังค์ เฟิงอวิ๋นเซิงก็เอ่ยปากชมไม่หยุด  เมื่อก่อนแม้จะเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านมาอยู่บ้าง แต่วันนี้ได้เห็นเอง ถึงได้รู้ว่าคำร่ำลือไม่ได้เยินยอเกินจริงเลย แต่กลับปกปิดความจริงมากเกินไปต่างหาก 

 สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น คำพูดนี้ ข้าได้ยินมาตั้งแต่เด็ก แต่เพิ่งได้รู้ซึ้งก็วันนี้ 

เยี่ยนจ้าวเกอเก็บอาวุธวิญญาณทั้งสองชิ้นลง แล้วดีดนิ้วครั้งหนึ่ง  ข้าผู้นี้มีข้อดีมากมาย แต่ข้อดีที่สุดก็คือไม่โอ้อวดนี่แหละ 

 ฉะนั้นต่อไปเจ้าจะค่อยๆ พบว่า ความคิดของเจ้าในวันนี้ก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด 

เฟิงอวิ๋นเซิงผงกศีรษะพลางหัวเราะ  ดี ข้าจะรอดู 

นางกล่าวถามว่า  จริงสิ ตอนที่เห็นท่านบรรลุระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลาง เหตุใดพวกเขาถึงได้ดูตกใจกันนัก? การบรรลุภายใต้ความกดดันจากการต่อสู้ แม้จะพบได้น้อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีนี่นา 

 เท่าที่ข้ารู้ ก็มีบางคนอาศัยความกดดันของวินาทีแห่งความเป็นความตายเพื่อทลายด่านขวางกั้นเหมือนกัน 

จอมยุทธ์ชุดดำคนหนึ่งที่อยู่ข้างเยี่ยนจ้าวเกอเปิดปากพูดขึ้นว่า  คุณชายเพิ่งจะบรรลุจากระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นใน สู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะแรกก่อนหน้านี้ยังไม่ถึงเดือนเลย 

พวกเขาคอยตามติดเยี่ยนจ้าวเกออยู่ตลอดเวลา เมื่อครู่นี้เห็นชายหนุ่มบรรลุระดับขั้นอีกก็ยังตะลึงตาค้างเช่นกัน เพราะเขาแข็งแกร่งกว่าคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มากจนไม่อยากเชื่อ

ครั้งนี้ทำเอาเฟิงอวิ๋นเซิงฝืนเฉยเมยต่อไปไม่ได้แล้ว นางมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยใบหน้าที่เหมือนกับเห็นผี

หลังจากนั้นครู่ใหญ่ นางจึงหลุดปากออกมาว่า

 ท่านยังเป็นคนใช่หรือไม่?! 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มแต่ไม่ได้กล่าวอะไรออกไป

เฟิงอวิ๋นเซิงขนลุกไปทั่วทั้งตัว ครู่ใหญ่ถึงได้สติกลับมา  ผู้คนต่างบอกว่าแม้ท่านจะเป็นอัจฉริยะ แต่ก็ยังด้อยกว่าบิดาของท่านในสมัยนั้นมาก ทว่าเมื่อดูจากตอนนี้แล้ว อย่างน้อยความเร็วในการเพิ่มขึ้นของระดับวรยุทธ์ ท่านแกร่งกว่าบิดาของท่านอีกนะ! 

ก่อนวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ ข้อมูลถูกทำลายจนสิ้น ไม่มีหลักฐานใดให้ตรวจสอบ

ทว่าหลังวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ มีข้อมูลมากมายสามารถตรวจสอบได้ เยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ ศิษย์ปิดสำนัก[1]ของเจ้าสำนักเขากว่างเฉิงรุ่นปัจจุบัน เป็นปรมาจารย์ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ รวมทั้งเป็นมหาปรมาจารย์ที่อายุน้อยที่สุดด้วย

ขณะเดียวกันก็ยังมีความเป็นไปได้สูงที่จะกลายเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ที่อายุน้อยที่สุดอีกต่างหาก!

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม เมื่อเทียบกันกับการบรรลุจากขั้นจิตราชั้นในระยะท้าย สู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้น เขารู้สึกว่าการบรรลุจากขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้น สู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางนั้นง่ายกว่ามาก

เพราะในกระบวนการนี้มีบางส่วนที่เป็นเรื่องของความบังเอิญและโอกาสที่เหมาะเจาะ ในขณะที่บรรลุขั้นจิตราชั้นนอก เขาชำระล้างไขกระดูกครั้งที่สองสำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว อีกทั้งยังได้ลูกกลอนวิญญาณทมิฬช่วยหลอมรวมปราณจิตรา และยังได้จิตมังกรน้ำแข็งช่วยส่งเสริมพลังให้มากพอที่จะใช้ฝ่าด่านกั้น รวมถึงการผสานกันของวิชาพิเศษต่างๆ ที่ตนได้ฝึกฝน

 ว่ากันว่าพวกข้าสองพ่อลูกเป็นเหมือนพ่อพยัคฆ์ไม่มีลูกสุนัข อย่างไรข้าก็ต้องพยายามมากเข้าหน่อย ไม่ขอบอกว่าจะเหนือกว่าพ่อข้าได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ควรตามหลังเขาจนมากเกินไป ถูกหรือไม่ 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มพลางกล่าวว่า  ยิ่งไปกว่านั้น การฝึกวรยุทธ์ของเหล่าจอมยุทธ์ ในด่านขวางกั้นเดียวกัน บางคนก้าวข้ามไปอย่างง่ายดายราวกับอยู่บนพื้นราบ แต่บางคนใช้เวลานานนับแรมปีก็ไม่สามารถข้ามผ่านไปได้เสียที อีกทั้งยังไม่มีความคืบหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว 

 ถึงกระนั้นเมื่อทุกคนข้ามผ่านด้านขวางกั้นนี้ไป ด่านยากบางด่านในภายหลัง ก็อาจจะกลับตาลปัตร ด้วยเหตุนี้คนที่เดิมทีเคยตามหลัง ก็อาจแซงหน้าคนที่เคยนำอยู่ก่อนหน้านี้ก็เป็นได้ 

 นี่ก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยครั้ง 

เฟิงอวิ๋นเซิงชายตามองเยี่ยนจ้าวเกออย่างไม่สบอารมณ์นัก  แต่ก็ไม่เคยพบเห็นใครที่เก่งเกินจริงเช่นท่าน บรรลุจากขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้น สู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางภายในหนึ่งเดือน ยังไม่มีใครในประวัติศาสตร์ทำได้ ท่านเข้าใจใช่หรือไม่? 

เยี่ยนจ้าวเกอยักคิ้วครั้งหนึ่ง แล้วยิ้มพลางกล่าวว่า  เพราะเช่นนั้นข้าถึงได้กล่าวมาตลอดอย่างไรเล่า ว่าข้าคนนี้มีข้อดีมากมาย แต่ข้อดีที่สุดก็คือการไม่ทำตัวโอ้อวดผู้อื่น 

พูดๆ อยู่เยี่ยนจ้าวเกอก็เปลี่ยนเรื่อง  จะว่าไป ที่ข้ากับเจ้าได้พบกัน เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะ 

เฟิงอวิ๋นเซิงสะดุ้ง

ชายหนุ่มมองนาง แล้วพูดอย่างช้าๆ ว่า  เดิมที่ข้ากำลังตามหาเมิ่งหว่านอยู่ 

 อย่ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น นางเป็นสตรีจันทราของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ข้าเป็นศิษย์เขากว่างเฉิง การคิดหาวิธีทำให้นางไม่สามารถชนะการทดสอบจันทรากายก็เป็นเรื่องปกติ 

เขาลูบคางของตนเอง  ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้ว คนของข้าสะกดรอยตามนาง นางเองก็รู้ตัว คอยหลอกล่อตลอดทางให้ข้ามาถึงที่นี่ 

 ข้าก็ว่า เมิ่งหว่านที่ไม่ยอมก้าวออกจากประตูสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ง่ายๆ เหตุใดครั้งนี้ถึงได้มีท่าทีผิดแผกไป ไม่มีเหตุผลจริงๆ ด้วยสินะ 

แววตาของเฟิงอวิ๋นเซิงโอนอ่อนลงมาก  เสี่ยวหว่านทำเพื่อช่วยข้า ท่านอาจารย์จากไปแล้ว นางรู้ว่าเซียวเซิงออกจากสำนักมาด้วยตนเองเพื่อมาตามแก้แค้นข้า ดังนั้นจึงออกมาหวังว่าจะพอเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง 

 ที่นางหลอกล่อให้ท่านมา คิดว่าคงหวังให้เขากว่างเฉิงรับข้าไว้ และช่วยคุ้มครองข้าได้ วิธีนี้นางเองก็ไม่ต้องออกหน้า และไม่ต้องตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก 

เยี่ยนจ้าวเกอจึงถามว่า  พวกเจ้ามีอาจารย์คนเดียวกันหรือ? 

เฟิงอวิ๋นเซิงส่ายหน้า  ไม่ใช่ แต่ตอนนั้นเราเป็นสตรีจันทราเหมือนกัน จำเป็นต้องรับการสั่งสอนและการฝึกฝนมากมายเช่นเดียวกัน จึงได้อยู่ด้วยกันบ่อยๆ 

………………..

[1] ศิษย์ปิดสำนัก คือ ศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์คนหนึ่ง

 

ระหว่างที่ปราณจิตรากำลังเพิ่มสูงขึ้น สีม่วงแดงพลันเกิดขึ้นกลางฝ่ามือซ้ายของเยี่ยนจ้าวเกอ ราวกับรวมเป็นเปลวเพลิงสีม่วงของจริง

เมื่อเปลวเพลิงไปถึง ปราณจิตราทั่วร่างกายเซียวเซิงเริ่มมีสัญญาณของการพังทลายเกิดขึ้นทันที!

เขารู้สึกเหมือนตกลงไปในเตาเผา และกำลังจะถูกไฟสีม่วงจากสวรรค์ชั้นดุสิตแผดเผาเป็นเถ้าถ่าน จากฝ่ามือข้างเดียวของเยี่ยนจ้าวเกอเท่านั้น

‘ฝ่ามือดุสิต’ วรยุทธ์วิชาที่สืบทอดกันมาในเขากว่างเฉิง และเป็นหนึ่งในยอดวิชาแปดพิภพเช่นเดียวกันกับเพลงกระบี่เจ็ดดารา

เยี่ยนจ้าวเกอและเซียวเซิงเปล่งเสียงออกมาเบาๆ พร้อมกัน นอกจากกระบี่วิญญาณมังกรมรกตและกงจักรเพลิงสุริยะของพวกเขาทั้งสองคนแล้ว ของล้ำค่าชิ้นอื่นในตัวพวกเขาก็ส่องสว่างขึ้นมาด้วย

ในชั่วพริบตาที่ประมือกันกลางอากาศ ของล้ำค่าแต่ละชิ้นต่างก็แสดงอานุภาพของมันเองออกมา อีกทั้งชนกระแทกซึ่งกันและกัน

ผู้ที่อยู่ในหุบเขาเงยหน้ามอง ก่อนจะพบว่าบนท้องฟ้าเกิดแสงสว่างโชติช่วงมาก

สมบัติเต็มตัวเยี่ยนจ้าวเกอและเซียวเซิงต่างระเบิดพลังออกมา สลับโจมตีและตั้งรับกันชุลมุน

พลังของสิ่งของล้ำค่าทั้งหลายต่อต้านซึ่งกันและกัน

ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอก็ยังคงฟาดฝ่ามือดุสิตลงบนตัวของเซียวเซิงอย่างหนักโดยไม่ยอมลดละ!

เซียวเซิงส่งเสียงฮึดฮัด โลหิตไหลออกจากทางปากและจมูก ร่างกายลอยหวือไปด้านหลัง

บรรดาศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ล้วนส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ อีกทั้งหน้าซีดเป็นไก่ต้ม

เซียวเซิง ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย ต่อสู้กับเยี่ยนจ้าวเกอซึ่งอยู่ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลาง ทว่าผลลัพธ์กลับเป็นฝ่ายเซียวเซิงที่พ่ายแพ้ไป!

ผลลัพธ์ครั้งนี้น่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งกว่าตอนที่เยี่ยนจ้าวเกอเอาชนะเฉาหยวนหลง ที่อยู่ในระดับเดียวกันได้ถึงสองครั้ง

อย่างไรเสียเซียวเซิงก็ไม่ใช่เพียงปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายที่หาได้ทั่วๆ ไป ทว่าเขาเป็นถึงอัจฉริยะที่ข้ามขั้นเอาชนะคู่ต่อสู้ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย ในตอนที่เขายังอยู่ในขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นเท่านั้น!

การประมือกับเฉาหยวนหลงที่หุบเหวปราการมังกรก่อนหน้านี้ พลังความสามารถของทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างไรขอยังไม่เอ่ยถึง ทว่าแค่คำพูดเดียวของเยี่ยนจ้าวเกอก็ถึงกับทำให้เฉาหยวนหลงไม่กล้าที่จะใช้อาวุธอีก

หากให้อัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งสองประลองกันด้วยมือเปล่า พวกเขาย่อมต้องพึ่งพาวรยุทธ์ของตนเอง ทว่าหากให้ใช้อาวุธ ถึงแม้เฉาหยวนหลงจะเป็นอัจฉริยะสืบทอดสายตรงของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ แต่จะเทียบกับเยี่ยนจ้าวเกอที่มีบิดาที่มีตำแหน่งสูงในเขากว่างเฉิงได้อย่างไร?

ทว่าเซียวเซิงกลับต่างออกไป เพราะเขาเหมือนเช่นเยี่ยนจ้าวเกอ มีของล้ำค่าทั้งตัว

ของล้ำค่าของทั้งสองฝ่ายต่างสกัดยั้งซึ่งกันและกัน แต่เขากลับถูกเยี่ยนจ้าวเกอเอาชนะข้ามขั้น ทั้งๆ ที่ความต่างชั้นของระดับวรยุทธ์ก็เห็นๆ กันอยู่ โดยที่ไม่อาจปฏิเสธได้

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเยี่ยนจ้าวเกอที่ไม่สนใจระยะห่างของระดับวรยุทธ์ คิดอยากจะบรรลุจากขั้นจิตราชั้นนอกระยะแรก สู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางก็ทำได้ตามใจชอบ

ตั้งแต่ที่เขาอยู่ในขั้นจิตราชั้นในระยะท้ายครั้งปรากฏตัวที่หุบเหวปราการมังกรก่อนหน้านี้ จนบรรลุขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางในตอนนี้ ช่างเป็นช่วงเวลาที่สั้นจนเหลือเชื่อ

เยี่ยนจ้าวเกอที่เป็นเช่นนี้ ประหนึ่งกับภูเขาสูงตระหง่าน ทำให้คนที่เห็นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสิ้นหวัง

ร่างของเยี่ยนจ้าวเกอตกลงมาจากกลางอากาศ ทว่าเขาสะบัดมือขวาครั้งหนึ่งอย่างไม่ลัง ปล่อยให้กระยี่วิญญาณมังกรมรกตพุ่งเข้าหาเซียวเซิงโดยตรง!

เซียวเซิงกัดฟันแน่น พลางขับเคลื่อนกงจักรเพลิงสุริยะ ต้านกระบี่วิญญาณมังกรมรกตเอาไว้

อาวุธวิญญาณทั้งสองชิ้นก็พลันปะทะเข้าหากันทันที

เยี่ยนจ้าวเกอมองเซียวเซิง ยิ้มพลางกล่าวว่า  ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย เจ้าอย่าเอาแต่หนีสิ 

สิ้นคำพูด ชายหนุ่มก็กระทืบเท้าอีกครั้ง พุ่งทะยานขึ้นไปหาเซียวเซิงอีกครั้ง ระยะห่างกว่าร้อยลี้หดสั้นลงในพริบตาเดียว!

เซียวเซิงถลึงตามองอีกฝ่าย ดวงตาเบิกกว้างจนแทบหลุดออกจากเบ้า ท้ายที่สุดเขาก็ตะโกนด้วยความหงุดหงิด ตะโกนบอกกับศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ว่า  หนีไป! 

ทุกคนสะดุ้งเฮือก ก่อนจะมองเยี่ยนจ้าวเกอและเซียวเซิงด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนและรู้สึกเจ็บใจ แล้วรีบประคองเฉาหยวนหลงที่สิ้นสติไปก่อนหน้านี้ถอยออกจากหุบเขา

เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ขัดขวางพวกเขา เพียงแต่จ้องมองเซียวเซิง พลางโจมตีต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

เซียวเซิงใช้วิชาสุริยันทะยานบูรพาด้วยความคับข้องใจ ครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้มันเพื่อโจมตี แต่เพื่อหลบเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วลอบหนีไปเท่านั้น

ถึงแม้ว่าในใจจะเหมือนกับมีโลหิตซึมออกมา ด้วยไม่เต็มใจที่จะยอมรับ แต่เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว เซียวเซิงเองก็ตระหนักดีว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่แท้จริงของเยี่ยนจ้าวเกอ!

เขาที่เป็นปรมาจารย์ขั้นจิตราขั้นนอกระยะท้าย กลับสู้เยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางไม่ได้!

เซียวเซิงอาศัยพลังการลอยตัวของปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย และความรวดเร็วของวิชาสุริยันทะยานบูรพา หลบการโจมตีของเยี่ยนจ้าวเกอไปได้อย่างหวุดหวิด

ทว่าปราณจิตราที่ส่งไปถึง ทำเอาหนวดเคราทั้งแผงบนใบหน้าของเซียวเซิงแตกกระจายออกทันที

เซียวเซิงนิ่งอึ้ง ใบหน้าพลันแดงก่ำดุจโลหิตอย่างรวดเร็ว อารมณ์ขาดสะบั้น และไม่อาจคงเสียงสุขุมเอาไว้ได้อีกต่อไป เขาแผดเสียงแหลมด้วยความโกรธแค้นออกมา

เยี่ยนจ้าวเกอที่เห็นเช่นนั้นก็ตะลึงไปเล็กน้อยเช่นกัน

หนวดเคราของเซียวเซิงไม่ได้ถูกตัดจนขาด ทว่ากลับหลุดออกมาทั้งแผง ผิวหน้าใต้คางเนียนเรียบ แม้แต่โคนหนวดก็มองไม่เห็น

เมื่อไม่มีหนวดเคราแล้ว รูปลักษณ์ของเซียวเซิงก็ผสานเข้ากับภาพในความทรงจำของเยี่ยนจ้าวเกออีกครั้ง นับเป็นชายหนุ่มรูปงามอีกคนหนึ่ง!

ทว่าเมื่อรวมเข้ากับเสียงอันแหลมสูงในตอนนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรเซียวเซิงก็ดูนุ่มนวล ต่างจากผู้ชายปกติลิบลับ!

เซียวเซิงถลึงตามองเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่ง ทั้งอับอายทั้งโกรธ แล้วจึงมองเฟิงอวิ๋นเซิงด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความอาฆาตแค้น สุดท้ายเขาก็หมุนตัวก้าวออกไป

มุมปากของเยี่ยนจ้าวเกอกระตุกขึ้นเบาๆ แล้วหันกลับไปมองเฟิงอวิ๋นเซิง

 เจ้าบอกว่าตอนนั้นทำเขาบาดเจ็บสาหัส ตกลงไปทำเขาบาดเจ็บที่ไหนหรือ? 

เฟิงอวิ๋นเซิงกลับไม่ได้รู้สึกอะไรกับความโกรธแค้นของเซียวเซิง เอาแต่จดจ้องเยี่ยนจ้าวเกอตลอดเวลา

แม้ว่าขณะนี้นางจะบาดเจ็บสาหัส พลังความสามารถมีเพียงแค่ระดับหลอมกายเท่านั้น ทว่าประสบการณ์ความรู้ยังคงอยู่

แต่เพราะมีความรู้ จึงยังทึ่งกับทุกสิ่งที่เยี่ยนจ้าวเกอแสดงออกมา

จนกระทั่งเยี่ยนจ้าวเกอหันกลับมาเอ่ยถามนาง ปากของนางก็ยังคงอ้าค้างอยู่เล็กน้อย เปี่ยมไปด้วยความตกตะลึง

เมื่อได้ยินคำถามของเยี่ยนจ้าวเกอ เฟิงอวิ๋นเซิงจึงหลุดออกจากภวังค์ กล่าวด้วยใบหน้าผ่อนคลาย  ตอนนั้นน้องชายของเขาไม่ทำกฎระเบียบ คิดจะทำมิดีมิร้ายข้า ข้าก็เลยต้องช่วยสั่งสอน ‘น้องชาย’ ของเขาสักหน่อย 

 …เจ้าใช้ได้เลย  เยี่ยนจ้าวเกอเบะปาก จู่ๆ ก็พลันรู้สึกเย็นวูบวาบระหว่างขา

ได้ยินมาว่าท่านตาของเซียวเซิงมีมารดาของเขาเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว เมื่อถึงรุ่นของเขาก็มีแค่เขาเป็นหลานชายเพียงคนเดียวเช่นกัน

ฝั่งตระกูลเซียวของบิดาเขา เขาเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียว…

มิน่าเล่าเขาถึงอยากจะรีบฆ่านางให้ตาย เมื่ออาจารย์ปู่ของเขาจากไป สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีใครปกป้องนางแล้ว

เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า  รุ่งอรุณทั้งสี่ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ทั้งเซียวเซิงและเฉาหยวนหลงต่างก็มีปัญหาของตัวเอง 

 เฉาหยวนหลงมีนิสัยมุ่งมั่นแน่วแน่ ไม่หวั่นเกรงต่อภัยอันตรายและความยากลำบาก แต่กลับชอบทำตัวแปลกแยก มักอยากทำเรื่องที่คนอื่นทำไม่ได้ ราวกับว่ามีเพียงการทำเช่นนั้นถึงจะแสดงความความสามารถของเขาได้ 

 อันที่จริงหากเขายอมทำตามขั้นตอนแต่โดยดี ฝึกฝนวรยุทธ์ดั้งเดิมของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกันกับบรรดาศิษย์คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่วิชานอกอย่างเช่นวิชาเข็มทองปราณสุริยันหรือฝ่ามือพันอสรพิษแล้วล่ะก็ ด้วยความมุ่งมั่นแน่วแน่และพรสวรรค์ของเขา แม้พลังความสามารถในการรบจริงอาจจะด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ความสำเร็จในอนาคตนั้นมีแต่จะยิ่งสูงขึ้น 

เฟิงอวิ๋นเซิงส่ายหัว  ส่วนเซียวเซิงมีความแน่วแน่ไม่เท่าเฉาหยวนหลง แต่มีความประจักษ์เข้าใจสิ่งต่างๆ เหนือกว่า ทว่าน่าเสียดายที่เขาทะเยอทะยานมากเกินไป โดยเฉพาะเรื่องกิเลสตัณหา เขาไม่สามารถควบคุมเซียวเซิงน้อยได้ มิเช่นนั้นความสำเร็จก็คงจะมากกว่าตอนนี้ 

เมื่อกล่าวจนถึงตรงนี้ เฟิงอวิ๋นเซิงก็ยิ้ม  ข้าก็เลยช่วยเขาจัดการปัญหานี้ให้แทน สองปีมานี้พลังความสามารถเขาเลยก้าวหน้าอย่างรวดเร็วกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด 

เยี่ยนจ้าวเกอที่ได้ยินดังนั้นก็กลอกตา  ดูท่าเขายังขาดคัมภีร์ทานตะวันสักเล่มหนึ่ง 

เฟิงอวิ๋นเซิงสะดุ้ง  นั่นคือวรยุทธ์วิชาอะไร ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลย 

ชายหนุ่มโบกมือ และไม่ได้พูดสิ่งใดอีก ทว่าเริ่มตรวจสอบอาวุธที่ยึดมาได้แทน

การต่อสู้กับเซียวเซิงในครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างสู้กันด้วยของล้ำค่ามากมาย

สุดท้ายเซียวเซิงที่ต้องการจะหนี ถูกเยี่ยนจ้าวเกอตัดสายสัมพันธ์ระหว่างเขากับสมบัติมากมายขาดสะบั้นทั้งหมด

เซียวเซิงเผ่นหนีหางจุกก้นไป แน่นอนว่าไม่ทันได้เก็บของล้ำค่าเหล่านี้คืนไป บัดนี้เยี่ยนจ้าวเกอจึงเก็บพวกมันเข้ากระเป๋าจนหมดสิ้น

ในนั้นมีอาวุธวิเศษระดับกลางสองชิ้น ซึ่งเหมาะให้เยี่ยนจ้าวเกอใช้ในตอนนี้พอดี ทว่าเขาเองก็ไม่ได้ขาดแคลนอาวุธวิเศษระดับกลางอยู่แล้ว

แต่การมีอาวุธวิเศษระดับสูงสักชิ้น นับว่ามีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง

ทว่าอาวุธที่ดึงดูดความสนใจของเขาจริงๆ ก็คือ กงจักรเพลิงสุริยะ อาวุธวิญญาณชิ้นนั้น!

มูลค่าของอาวุธชิ้นนี้อยู่คนละระดับกับอาวุธวิเศษโดยสิ้นเชิง

ด้วยฐานะของเยี่ยนจ้าวเกอ เบื้องต้นจึงยังมีอาวุธวิญญาณเพียงชิ้นเดียว นั่นก็คือกระบี่วิญญาณมังกรมรกต

………….

 

เมื่อเห็นเยี่ยนจ้าวเกอที่เคลื่อนปราณร้อยก้าว หลอมปราณเป็นอาวุธ เบื้องหน้าเฉาหยวนหลงก็พลันดับมืดลง

เดิมทีเขาก็บาดเจ็บสาหัสมากอยู่แล้ว ครั้นฝืนตั้งสติต่อไปไม่ไหว เขาก็หมดสติไป

พ่ายแพ้ย่อยยับให้กับเยี่ยนจ้าวเกอเป็นครั้งที่สอง ทำให้เขารู้สึกกลัดกลุ้มจนแทบบ้าไปแล้ว

ตอนนี้ยังเห็นเยี่ยนจ้าวเกอก้าวหน้าขึ้นอีกขั้นต่อหน้าต่อตา บรรลุระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางง่ายเหมือนแค่ดื่มน้ำกินข้าว ก็ทำเอาเฉาหยวนหลงแทบพังทลายอย่างสิ้นเชิง

ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขาที่ทนทรมานกับผลข้างเคียงที่มหาศาลของวิชาชักจูงเข็มสุริยันเข้าสู่ร่างกาย ฝืนกำลังบรรลุปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอก จะยังมีความหมายอันใดอีก?

ทั้งๆ ที่ตอนอยู่ในหุบเหวปราการมังกร ทุกคนยังคงอยู่แค่ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตระชั้นในระยะท้ายเหมือนกันอยู่เห็นๆ ภายในเวลาอันสั้นเพียงเท่านี้ เยี่ยนจ้าวเกอจะสามารถทลายด่านกั้นอันยากเย็นและบรรลุปรามจารย์ขั้นจิตรานอกระยะกลางรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร?

หรือการปะทะกันที่หุบเหวปราการมังกรก่อนหน้านี้ ล้วนเป็นภาพลวงตาทั้งหมดหรือ?

นอกจากเฉาหยวนหลงแล้ว ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่เคยพบเห็นเยี่ยนจ้าวเกอลงมือที่หุบเหวปราการมังกร ต่างก็นิ่งอึ้งจนตัวแข็งเป็นรูปปั้นไปตามๆ กัน

แม้แต่เซียวเซิงเองก็เซจนเกือบร่วงลงมาจากอากาศ

มารดาเจ้าสิ!

ตอนนั้นข้าใช้เวลาในการบรรลุขั้นจิตราในระยะท้ายจนถึงขั้นจิตรานอกระยะกลางไปนานเท่าใดกัน?

เซียวเซิงเบิกตาโพลง ในใจไม่กล้ากระทั่งจะคิดต่อไป

ปราณจิตราของเยี่ยนจ้าวเกอที่หลอมรวมเป็นแส้ยาวอยู่ในมือ ตวัดฟาดไปในอากาศ ก็เกิดเสียงดังขึ้นอีกครั้ง

 เปิดเผยเร็วเกินไปหรือ? ให้อดทนอีกหน่อยหรือ? เหตุใดข้าต้องทนเล่า?  เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างไม่สนใจว่า  เจ้ารู้แล้วจะทำอย่างไรได้? พูดเหมือนเจ้าจะทำอะไรข้าได้ 

 บนโลกใบนี้ยังมีผู้ที่เอาชนะข้าได้อีกตั้งมากมาย แต่ในนั้นไม่ได้มีเจ้ารวมอยู่ด้วย เซียวเซิง 

เยี่ยนจ้าวเกอตวัดมืออีกข้างหนึ่ง ปราณจิตราพลันรวมตัวกันเป็นกระบี่ยาวสีครามน้ำแข็งขนาดใหญ่ยักษ์เล่มหนึ่งกลางอากาศ

บริเวณคมดาบเกิดแสงสะท้อนที่ทำให้รู้สึกเย็นเยียบ และมีเงารูปมังกรอยู่เลือนราง

เกล็ดน้ำแข็งสีขาวมากมายปรากฏขึ้น ห่อหุ้มกระบี่ยาวนั้นไว้ ราวกับมังกรน้ำแข็งหายลับเข้าไปในชั้นเมฆ

เซียวเซิงสูดหายใจเข้าลึก  เยี่ยนจ้าวเกอ เหมือนว่าเจ้าจะลืมไปเรื่องหนึ่งนะ 

 ตอนนี้เจ้าก็ยังอยู่แค่ระดับขั้นจิตระชั้นนอกระยะกลางเท่านั้น 

 นอกจากเจ้าจะบรรลุขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายทันที มิเช่นนั้น วันนี้เจ้าต้องตายแน่! 

ท่ามกลางเสียงคำรามยาว เสียงตะโกนด้วยความโมโหของเซียวเซิงก็ดังแทรกลงมาจากฟ้า

แสงสีทองมากมายเสมือนกับฝนกระบี่พลันตกลงใส่เยี่ยนจ้าวเกอ

เยี่ยนจ้าวเกอโบกมือครั้งหนึ่ง กระบี่ยาวสีครามน้ำแข็งก็ฟาดฟันไปในอากาศอย่างต่อเนื่อง ราวกับมังกรเซียนที่บินฉวัดเฉวียนอยู่ในสวรรค์ โจมตีไปยังลำแสงสีทอง

แม้แสงทองจะหนาหนัก แต่ไม่ว่าอย่างไรเซียวเซิงก็มีวรยุทธ์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย แสงทองทุกสายล้วนอัดแน่นอย่างหาใดเปรียบ และไม่ด้อยไปกว่ากระบี่จิตราของเยี่ยนจ้าวเกอด้วย

ถึงกระนั้น กระบี่จิตราของเยี่ยนจ้าวเกอก็สามารถจี้ไปยังตำแหน่งที่เปราะบางที่สุดบนแสงสีทองของเซียวเซิงได้ทุกครั้ง

ส่วนกระบี่จิตราแม้จะสู้กับศัตรูอีกจำนวนมากลำพัง ทว่ากลับดึงรั้งแสงสีทองที่เสมือนกับมรสุมพายุเอาไว้ได้

เพียงแต่ลำแสงสีทองเหล่านั้น เป็นเพียงกระบวนท่าหลอกตาที่เซียวเซิงใช้โจมตีเท่านั้น

แสงสีทองที่ถูกกระบี่จิตราโจมตีไป แม้จะแตกกระจายออกไปเต็มอากาศราวกับหมอกแสง ทว่าก็ไม่หายไปเสียทีเดียว

แสงสีทองจำนวนมากที่เหลือรอดมาได้ปกคลุมไปทั่วทั้งสี่ทิศ กลับกลายเป็นดินแดนสนธยาอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีทัศนียภาพแสงอาทิตย์ที่สาดส่องยามพลบค่ำ

ที่มุมปากของเซียวเซิงเผยให้เห็นรอยยิ้มอันเย็นเยียบ วิถีหัตถ์ประสานเงาถูกผลักไปหาเยี่ยนจ้าวเกอ

โลกที่เกิดจากปราณจิตราทอแสงทองกระจัดกระจายอยู่ทั่วท้องฟ้า กำลังพังทลายลงไปสู่เยี่ยนจ้าวเกอที่เป็นจุดศูนย์กลาง!

ความอัศจรรย์ของวิชาหัตถ์เงาสนธยา วินาทีนี้ถูกเซียวเซิงขับเคลื่อนออกมาอย่างสมบูรณ์ โดยที่การแสดงหุ่นกระบอกท่านสุริยันในวันนั้นไม่สามารถเทียบได้เลย

โลกเบื้องหน้าเยี่ยนจ้าวเกอจึงเหมือนกับวินาทีที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า กลายเป็นช่วงพลบค่ำที่มืดมิดที่สุด ตรงหน้าเหลือเพียงความสิ้นหวังเท่านั้น

 ฮ่า! 

เยี่ยนจ้าวเกอร้องเบาๆ เสียงหนึ่ง ก่อนจะเก็บหมัดทั้งสองคืน แล้วนำมือมาวางไว้ที่ท้องน้อยของตนเอง

มือซ้ายกดเอาไว้ที่ท้องน้อยอย่างแนบแน่นไม่ขยับ

มือขวากลับสั่นไหวเบาๆ โดยตีไปที่ร่างกายเบาๆ ไม่หยุด

มือทั้งสอง ข้างหนึ่งขยับข้างหนึ่งนิ่ง ข้างหนึ่งเป็นหยินข้างหนึ่งเป็นหยาง ข้างหนึ่งแน่นิ่งข้างหนึ่งขยับคล่องแคล่ว เพื่อเข้าสู่สภาพสมดุลอย่างสมบูรณ์แบบ

มือซ้ายเปลี่ยนเป็นรูปของเต่าวิญญาณ หมัดเต่าสยบคลื่น หนึ่งในหมัดอสูรหกวิญญาณ

มือขวาเป็นรูปของงูวิญญาณ หมัดราชันงูสวรรค์ หนึ่งในหมัดอสูรหกวิญญาณ

เต่าและงูสอดประสานกัน หยินและหยางรวมเข้าด้วยกัน

บริเวณท้องน้อยของคนมีจุดลมปราณชื่อว่า ‘ซางฉวี่’ หรือเรียกอีกชื่อว่า ‘ประตูโลหิต’ ซ่อนอยู่ใต้กล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นจุดกึ่งกลางการหมุนเวียนเลือดลมที่สำคัญที่สุดของจอมยุทธ์

เมื่อกระตุ้นประตูโลหิตผสานเข้ากับหัวใจ โลหิตทั่วร่างกายจะพุ่งพล่านในทันที ทำให้เปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา ก่อนจะก่อให้เกิดความสามารถที่ไม่เคยมีมาก่อน

ก่อนวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ ‘คัมภีร์หมัดจอมยุทธ์’ ในวังเทพได้มีบันทึกไว้

‘ประตูโลหิตซางฉวี่ เทพยุทธ์ดาวไถ!’

เลือดลมหนึ่งช้า เลือดลมหนึ่งเร็ว ทั้งสองรวมเข้าด้วยกันที่จุดลมปราณซางฉวี่ของเยี่ยนจ้าวเกอเป็นหนึ่งเดียว ราวกับสภาวะแรกเริ่มก่อนกำเนิดโลก

ทันใดนั้น เลือดลมของชายหนุ่มสั่นไหวโครมคราม พลังที่แข็งแกร่งกว่าปกติพลันระเบิดออกจากร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอ!

เขามือทั้งสองผลักออกไปข้างหน้าพร้อมกัน

ปราณจิตราที่มือซ้ายแปรเปลี่ยนเป็นโล่กำบังขนาดใหญ่ เสมือนกับเต่าสยบคลื่น

ปราณจิตราที่มือขวาแปรเปลี่ยนเป็นแส้ยาวที่หนาและใหญ่ เสมือนกับราชันงูสวรรค์

ทั้งเต่าและงูผลัดกัน พุ่งไปข้างหน้าพร้อมกัน

ก่อนจะมีร่างมนุษย์ใหญ่ยักษ์ปรากฏขึ้นเลือนราง

มหาจอมยุทธ์ดาวไถ!

เต่าและงูรวมร่าง แปรเปลี่ยนเป็นวรยุทธ์แท้อันศักดิ์สิทธิ์!

พลังราวกับจะเคลื่อนภูเขาสยบทะเลได้พุ่งที่เซียวเซิง ฝืนทำลายวิชาหัตถ์เงาสนธยาของเขา!

เซียวเซิงตกใจอย่างมาก พลันเปลี่ยนกระบวนฝ่ามือ แสงสนธยากลับกลายเป็นเสี้ยวแสง รีบเปลี่ยนจากโจมตีเป็นตั้งรับ

ภาพลวงของเสี้ยวแสงเลือนรางไม่ชัดเจน ทำให้ยากที่จะแยกแยะจริงเท็จ อีกทั้งทิศทางก็ยังบิดเบือนชวนสับสน

เซียวเซิงรีบพาร่างลอยขึ้นไปกลางอากาศด้วยความเร็วสูง อาศัยความสามารถในการลอยตัวของปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย จึงสามารถหลบการโจมตีครั้งนี้ของเยี่ยนจ้าวเกอไปได้

ร่างกายเขาชุ่มได้ด้วยเหงื่อทันที  นี่เป็นพลังที่ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางมีหรือ?! 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มพลางกล่าวว่า  เล่นงานเจ้า แค่จิตราชั้นนอกระยะกลางก็พอแล้ว 

 รับการโจมตีของข้าไปอีกครั้งเสียเถอะ! 

ชายหนุ่มกระทืบเท้าลงอย่างแรง ทำเอาพื้นดินครึ่งหุบเขาเกิดรอยแตกขึ้นทันที!

จากนั้นชายหนุ่มก็อาศัยแรงสะท้อนกลับ พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ราวกับกระสุนปืนใหญ่ที่ยิงตรงไปยังเซียวเซิง!

ฝ่ายเซียวเซิงแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง ก่อนจะดีดตัวหลบกลางอากาศได้ทันควัน

เขาเคลื่อนตัวออกไปไกลในพริบตา รวดเร็วประหนึ่งสายฟ้า ทิ้งระยะห่างจากเยี่ยนจ้าวเกอออกไป

‘สุริยันทะยานบูรพา’ หนึ่งในเจ็ดวิชาสุริยัน วรยุทธ์วิชาสายหลักของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

เคล็ดวิชากายอันบริสุทธิ์หนึ่งเดียวในเจ็ดวิชาสุริยัน เมื่อแสดงออกมาแล้ว จะรุนแรงและรวดเร็ว ไม่อาจหยุดยั้งได้

หลังจากที่เซียวเซิงหลบการโจมตีของเยี่ยนจ้าวเกอได้แล้ว เขาก็กระโจนตัวพุ่งกลับไปหาเยี่ยนจ้าวเกอ

ถือโอกาสใช้ข้อด้อยจากแรงระเบิดสะท้อนของเยี่ยนจ้าวเกอ ที่ทำได้เพียงพุ่งตัวขึ้นลงเป็นแนวตั้ง ไม่สามารถเคลื่อนย้ายเป็นแนวนอนได้นี่แหละ

เซียวเซิงที่พุ่งตัวออกไปในตอนนี้ ก็เพื่อที่จะหยุดเยี่ยนจ้าวเกอในตอนที่แรงเดิมหมดลง และแรงใหม่ยังไม่ทันได้เกิดขึ้น!

กงล้อสีทองหนึ่งลอยขึ้น ส่องสว่างทั่วทั้งสี่ทิศ เขวี้ยงตรงไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ!

‘กงจักรเพลิงสุริยะ’ อาวุธวิญญาณชนิดหนึ่ง

สีหน้าของเซียวเซิงเย็นชา บัดนี้เขาทุ่มเทจนสุดแรงแล้ว

ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอก็ได้เตรียมพร้อมเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วเช่นกัน จุดลมปราณซางฉวี่ ประตูโลหิตที่รวบรวมพลังไว้เกิดระเบิดขึ้นอีกครั้ง

ร่างกายที่เดิมทีกำลังจะตกสู่พื้น ถูกฝืนให้หยุดนิ่งกลางอากาศอยู่ครู่หนึ่ง

เยี่ยนจ้าวเกอกางแขนเสื้อด้านขวาออกทันใด ก่อนจะมีแสงสีเขียวและเสียงมังกรลอยออกมา!

ครั้งนี้อาวุธที่อยู่ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอไม่ใช่ท่อนไม้ไผ่อีกแล้ว ทว่าเป็นกระบี่สั้นสีเขียวมรกตเล่มหนึ่ง!

คมกระบี่มีรัศมีแสงเปล่งประกาย และยังมีเสียงคำรามของมังกรที่ชัดเจนและสมจริงดังสนั่นออกมาด้วย!

‘กระบี่วิญญาณมังกรมรกต’ อาวุธวิญญาณ!

เยี่ยนจ้าวเกอผสานร่างเข้ากับกระบี่ พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทะลายชั้นบรรยากาศอีกครั้ง ก่อนจะปรากฏกายตรงหน้าของเซียวเซิงในพริบตาเดียว!

ทิศที่ปลายกระบี่ชี้ไป เจ็ดดาวรวมตัว ดาวเหนือร่วมส่องประกาย กว้างใหญ่ไพศาลดั่งท้องนภา!

‘เพลงกระบี่เจ็ดดารา’ หนึ่งในยอดวิชาแปดพิภพ วรยุทธ์วิชาของเขากว่างเฉิงที่สืบทอดกันมา!

เซียวเซิงไม่มีทางเลี่ยง นอกจากใช้กงจักรเพลิงสุริยะต้านกระบี่วิญญาณมังกรมรกตของเยี่ยนจ้าวเกอเอาไว้เท่านั้น

ฝ่ายเยี่ยนจ้าวเกอไม่รอให้เซียวเซิงได้พักหายใจ เขาถือกระบี่วิญญาณด้วยมือขวา แล้วยื่นมือซ้ายออกจากแขนเสื้อกระหน่ำโจมตีไป!

…………….

 

ประกายกระบี่ประหนึ่งมังกรที่ต้องการโบยบิน

ทว่ากลับมีงูทองจำนวนนับไม่ถ้วนเลื้อยพันมังกรเขียวเอาไว้ อีกทั้งยังกัดไม่ปล่อย

มังกรเขียวสะบัดร่างกาย จนงูทองขาดสะบั้นตายไปทีละตัว ทว่าเหมือนกับงูทองจะไม่มีวันหมดสิ้นไป

มังกรเขียวค่อยๆ อ่อนกำลังลง ไม่สามารถบินขึ้นต่อได้อีก ทำได้แค่เพียงปล่อยตัวร่วงสู่พื้นดินให้งูนับหมื่นตัวกัดกิน

ตัวงูนิ่มเหนียวยิ่งกว่ามังกร ขณะที่บีบรัดก็ค่อยๆ ลดทอนพลังลงไปอย่างต่อเนื่อง

ปราณจิตราที่เฉาหยวนหลงปลดปล่อยออกมาทั่วสารทิศ เปลี่ยนจากโลหะแข็งเป็นเส้นด้ายที่รัดพัน สกัดกั้นมังกรเขียวในชายเสื้อของเยี่ยนจ้าวเกอได้อย่างเหลือเชื่อ

ประกายกระบี่สีเขียวค่อยๆ เลือนหายไป ท่อนไม้ไผ่ที่อยู่ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอกลับเข้าสู่สภาพเดิมอีกครั้ง

ดวงตาทั้งสองข้างของเฉาหยวนหลงเผยให้เห็นความสะใจ  เยี่ยนจ้าวเกอ วันนี้ต่อให้เจ้าเปลี่ยนไปใช้กระบี่ของจริง ก็ยากที่จะหลีกหนีความพ่ายแพ้ได้! 

 ไผ่ท่อนนี้ของเจ้า ข้าไม่ทำลายมันหรอก แต่จะเก็บไว้ให้เจ้า ถ้าไม่ฟาดเจ้าให้เลือดอาบหน้า ก็คงดับความโกรธของข้าไม่ได้! 

เยี่ยนจ้าวเกอไม่พูดไม่จา เพียงแต่มองเฉาหยวนหลงด้วยสีหน้าที่แปลกประหลาดไปบ้าง

เฟิงอวิ๋นเซิงก็จ้องเฉาหยวนหลงเช่นกัน  ฝ่ามือพันอสรพิษ? วิชานี้หายากไม่เป็นที่นิยมเสียยิ่งกว่าวิชาเข็มทองสุริยันเสียอีก แต่เขาก็ฝึกมันสำเร็จจนได้ 

‘ฝ่ามือพันอสรพิษ’ แค่ได้ยินชื่อก็รู้ความหมาย เปลี่ยนรูปได้ง่าย ม้วนพันเกี่ยวลอด เป็นวิชาวรยุทธ์จับคู่ต่อสู้ระดับสูง

ทั้งยังเป็นวิชาที่จอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้มาโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วเก็บไว้ในคลังวรยุทธ์ของสำนัก

เนื่องจากวิชานี้มีปราณจิตราที่ไม่สอดคล้องกับวรยุทธ์วิชาฝึกสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ จึงจำเป็นต้องจัดอยู่ในขั้นจิตราชั้นนอก หลังจากที่ปลดปล่อยปราณจิตราสู่ภายนอกได้แล้ว จึงจะสามารถฝึกฝนได้

วรยุทธ์วิชาที่แตกต่างกัน บางครั้งอาจส่งผลให้เกิดการส่งเสริมหรือยับยั้งซึ่งกันและกันเกิดขึ้น

เฉาหยวนหลงฝึกวิชาวรยุทธ์เช่นนี้ได้ถือเป็นผลสำเร็จ สกัดกั้นมังกรเขียวในแขนเสื้อของเยี่ยนจ้าวเกอได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์ และมีประสิทธิผลยิ่งกว่าวิชาเจ็ดสุริยะของสำนักเสียอีก

เยี่ยนจ้าวเกอผินหน้ากลับไปมองเฟิงอวิ๋นเซิง  เรียกว่าฝ่ามือพันอสรพิษหรอกหรือ? 

หญิงสาวมองเยี่ยนจ้าวเกอพร้อมสีหน้ากล้ำกลืน ก่อนจะผงกศีรษะด้วยความกลัดกลุ้ม

 ฮ่าๆ…  เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้พูดอะไรอีก เขายืนหัวเราะเฉาหยวนหลงอยู่ที่เดิม

ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายหัวเราะ เฉาหยวนหลงก็ยิ่งโมโหมากขึ้น รู้สึกเพียงว่ารอยแผลบนใบหน้าที่หายสนิทไปนานแล้ว เริ่มรู้สึกเจ็บแสบขึ้นมาอีกครั้ง

เขาคำรามเสียงดัง ขณะที่มือทั้งสองกำลังกวัดแกว่งอยู่นั้น งูทองจำนวนนับไม่ถ้วนก็เลื้อยเข้าโจมตีอีกครั้ง

เซียวเซิงที่ยืนอยู่กลางอากาศโค้งตัวก้มลงมองเยี่ยนจ้าวเกอจากข้างบน  เจ้าเปลี่ยนอาวุธอื่นที่ดีกว่าก็ได้นะ 

 เจ้าน่าจะมีอาวุธวิญญาณสักชิ้นกระมัง? เอาออกมาให้เข้ายลโฉมหน่อยเป็นอย่างไร 

 แต่ในเมื่อวันนี้ข้าก็อยู่ที่นี่ด้วย ข้าสามารถให้ศิษย์น้องเฉายืมอาวุธได้ทุกเมื่อ 

 เจ้ายังคิดว่าเจ้าได้เปรียบทางนี้อีก… 

เซียวเซงยังไม่ทันพูดจบ เขาก็เห็นเยี่ยนจ้าวเกอที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม พลันโผล่เข้าไปถึงตรงหน้าเฉาหยวนหลง แล้วออกหมัดอย่างรุนแรง

ไม่ใช่กระบี่!

แต่เป็นมือ!

ในขณะที่ใจลอย ตรงหน้าทุกคนก็มืดดับไป

ราวกับเกิดสุริยุปราคา ปราณจิตราทั่วร่างกายของเฉาหยวนหลงถูกกระตุ้น แสงสว่างที่เหมือนกับดวงอาทิตย์มืดดับลงในพริบตา เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอออกหมัด ลำแขนของเขาเสมือนกลายเป็นงูเหลือมยักษ์ที่มีปีกสิบสองตัวหนึ่ง กำลังเลื้อยยึดครองจักรวาล โดยที่ไม่อาจวัดความยาวร่างกายได้

ราชางูสวรรค์!

กระบวนท่าในตำนาน ที่ทำให้พลังทั่วร่างกายเหนือกว่าเผ่ามังกรจำนวนมากเสียอีก!

หนึ่งหมัดของเยี่ยนจ้าวเกอ ทำเอาปราณจิตราสั่นสะเทือน ประหนึ่งงูสวรรค์กลืนตะวัน กลืนเฉาหยวนหลงลงไปในพริบตา!

พลังอันอ่อนโยนหาใดเปรียบ แม้แต่เสียงลมพัดน้อยนิดก็ไม่มี ทว่าเมื่อระเบิดขึ้นมากลับเหมือนฟ้าดินจะถล่มทลาย

ชั่วพริบตาเดียว เฉาหยวนหลงที่พุ่งเข้าหาเยี่ยนจ้าวเกอ ก็ถูกอีกฝ่ายกระเด็นหวือไปเร็วยิ่งกว่าขามาด้วยหมัดเดียว!

ทั้งเซียวเซิงและเฟิงอวิ๋นล้วนนิ่งอึ้งไป

จากนั้นพวกเขาก็มองดูร่างกายของเฉาหยวนหลงที่ลอยออกไปเป็นเส้นโค้ง แล้วตกลงบนพื้นอย่างจัง ทำเอาเขานอนชักอยู่กับพื้นและไม่อาจส่งเสียงได้ เหมือนกับปลาตายหงายท้องอย่างไรอย่างนั้น

ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่ร่วมเดินทางมากับเซียวเซิงและเฉาหยวนหลงยิ่งอ้าปากตาค้างกันอีกครั้ง

นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?

ศิษย์พี่เฉาหยวนหลงใช้วิชาสกัดกั้นวรยุทธ์ของเยี่ยนจ้าวเกอโดยเฉพาะจนสำเร็จแล้วมิใช่หรือ?

ไหนบอกว่าแม้เยี่ยนจ้าวเกอจะเป็นปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกเช่นกัน ก็ยังมั่นใจว่าจะเอาชนะได้อย่างไรเล่า?

เมื่อครู่ก็ยังได้เปรียบอยู่เลยไม่ใช่หรือ?

เหตุใดแค่แวบเดียวถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?

เยี่ยนจ้าวเกอมองเฉาหยวนหลงที่อยู่บนพื้น ทั้งโมโหทั้งขำขัน ‘ฝ่ามือพันอสรพิษ ฟังดูชื่อนี้สิ ข้าก็ว่าเหตุใดจึงดูคุ้นตาเช่นนี้’

‘ที่แท้ก็เป็นวิชาที่ดัดแปลงมาจากสายวิชาหนึ่งของหมัดราชันงูสวรรค์ หมัดอสูรหกวิญญาณนี่เอง’

‘หลังจากบรรลุระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้น เจ้าถึงเพิ่งเริ่มฝึกวิชาฝ่ามือพันอสรพิษ แต่ข้าฝึกมันมาตั้งแต่ตอนที่ข้ามาถึงโลกนี้แล้ว’

‘หมัดราชันงูสวรรค์ของข้าสู้กับฝ่ามือพันอสรพิษของเจ้า มันก็เหมือนกับบิดาสั่งสอนบุตรนั่นแหละ’

‘เจ้าว่าเจ้ารนหาที่ตายหรือไม่เล่า?’

เยี่ยนจ้าวเกอเก็บหมัดคืน แล้วมองไปยังเซียวเซิง แบมือทั้งสองข้างออก  ดูเหมือนเขาจะเล่นสนุกกับข้าไม่ได้แล้ว 

สีหน้าประหลาดใจบนใบหน้าของเซียวเซิงอันตรธานหายไป ก่อนที่เขาจะจ้องมองเยี่ยนจ้าวเกอเขม็งอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

ทว่าก็เยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเช่นกัน

 ว่ากันว่ากระบี่ของคุณชายแห่งเขากว่างเฉิงดุจดั่งมังกร ที่แท้ก็เป็นภาพลวงตาทั้งเพ คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะซุกซ่อนวิชาลับได้ลึกถึงเพียงนี้ 

เซียวเซิงกล่าวอย่างช้าๆ ว่า  น่าเสียดายที่เจ้ายังฉลาดไม่พอ เปิดเผยมันออกมารวดเร็วเกินไป หากเจ้าทนไว้อีกสักหน่อย ต่อไปอาจจะส่งผลรุนแรงจริงๆ  

 ตอนนี้ ต่อให้ต้องแบกรับภาระที่ทำให้เกิดการต่อสู้ของทั้งสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็อยากจะฆ่าเจ้าให้ตายเสียวันนี้เลยจริงๆ 

แววตาของเซียวเซิงดูเยือกเย็นมากขึ้น พร้อมทั้งปลดปล่อยปราณจิตราอันโชติช่วงดุจดวงตะวันทั่วทั้งร่างกาย

แสงสีทองหมุนเวียนไปรอบทิศทั่วทั้งพื้นฟ้าหน้าดินเหนือศีรษะเยี่ยนจ้าวเกอ ราวกับคมดาบจำนวนนับไม่ถ้วน

เซียวเซิงแสดงพลังของปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายออกมาจนหมดสิ้น

ไม่ต้องพูดถึงเยี่ยนจ้าวเกอที่เผชิญหน้ากับคมดาบของมันโดยตรง ขนาดเฟิงอวิ๋นเซิงและคนอื่นๆ ที่อยู่โดยรอบ ตลอดจนศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ล้วนรู้สึกเหมือนแทบหยุดหายใจ

เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะเหมือนกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น  ไม่เลว ก็เป็นผู้ที่อยู่ในลำดับต้นๆ ของจอมยุทธ์ในระดับเดียวกันนี่นะ 

เซียวเซิงกล่าวอย่างเฉยเมย  ตอนนี้ข้ายอมรับว่าที่เจ้าติดสี่อันดับคุณชายได้ ไม่ใช่เพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาด แต่ถ้าหากอยู่ระดับเดียวกัน ข้าก็ไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะเจ้าได้ 

 แต่ว่าระดับวรยุทธ์ของข้ากับเจ้าบัดนี้ยังห่างชั้นกันมากเกินไป ถ้าเจ้าอยู่ในขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลาง ก็อาจจะยังพอเอาชีวิตรอดจากน้ำมือข้าได้บ้าง 

บรรดาจอมยุทธ์ชุดดำที่ติดตามเยี่ยนจ้าวเกอล้วนนิ่งเงียบ

คุณชายของตนเองเพิ่งจะบรรลุขั้นจิตราชั้นนอกเมื่อไม่นานมานี้ แม้จะชำระล้างไขกระดูกครั้งที่สองสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว ทว่าหากคิดอยากจะบรรลุอีกครั้งในทันทีคงเป็นไปไม่ได้

บรรดาศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ล้วนถอนหายใจด้วยความโล่งอก

แม้ว่าศิษย์พี่เฉาจะพ่ายแพ้ไปแล้ว ทว่าก็ยังดีที่มีศิษย์พี่เซียวอยู่

ส่วนเรื่องกดดันด้วยระดับวรยุทธ์อะไรนั่น บัดนี้ไม่สำคัญแล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอกลับมองไปที่เฉาหยวนหลง ที่มีศิษย์ร่วมสำนักพยุงกลับไป

 ข้าให้โอกาสเจ้า จึงประมือกับเจ้าที่มีวรยุทธ์ระดับเดียวกัน คิดไม่ถึงเลยว่าจะกลับกลายเป็นเรื่องที่ทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ 

เฉาหยวนหลงที่ได้ยินดังนั้นก็เบิกตากว้าง

เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้า  ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางนั้นบรรลุยากมากเลยหรือ? 

ขณะที่กำลังกล่าวอยู่นั้น เยี่ยนจ้าวเกอก็กระตุ้นจุดลมปราณทั่วทั้งร่างกาย ส่งผลให้มีไอสีขาวหลายสายพุ่งออกมาเลือนราง ราวกับมังกรน้ำแข็งทะยานขึ้นสู่ท้องนภา

เลือดลมดุจปรอททั่วทั้งร่างกายถูกกระตุ้น ปราณจิตราสีทองที่กะพริบอยู่ทั่วร่างกายพลันเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ!

ชายหนุ่มปล่อยหมัดราชันงูสวรรค์ออกไปบนฟ้าครั้งหนึ่ง ปราณจิตราที่กำลังเดือดพล่านเริ่มบิดหมุนเป็นเกลียว รวมกันเป็นก้อน ท้ายที่สุดก็เปลี่ยนรูปเป็นแซ่สีดำหนาใหญ่เส้นหนึ่ง!

แซ่ยาวสีดำตวัดในอากาศครั้งหนึ่ง ก่อให้เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นราวกับเสียงฟ้าผ่า!

หลอมรวมปราณจิตราเป็นอาวุธ ราวกับเป็นของจริง!

เซียวเซิงเบิกตาโพลง  ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลาง?! 

 เป็นไปไม่ได้!  

…………….

 

เซียวเซิงก้าวเข้ามาในหุบเขา สายตาจับจ้องไปที่เยี่ยนจ้าวเกอและเฟิงอวิ๋นเซิง ดวงตาพลันหรี่เป็นเส้นตรงทันที

ความเยือกเย็นแผ่ออกมาจากดวงตาที่หรี่เล็กทั้งสองข้าง อำมหิตประหนึ่งอสรพิษ

ต่อให้เป็นเสียงทุ้มใหญ่ก็ไม่อาจกลบเกลื่อนความเยือกเย็นนั้นไปได้  ดีจริง ดีมาก วันนี้โชคหล่นทับข้าจริงๆ ได้พบกับพวกเจ้าทั้งสองในวันเดียวกันและสถานที่เดียวกัน 

บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราปกคลุมของเซียวเซิงเผยรอยยิ้มเย็นยะเยือกออกมา

เยี่ยนจ้าวเกอเอียงศีรษะเล็กน้อย เพ่งพินิจเซียวเซิง  ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของเจ้า ข้ามองแล้วรู้สึกพิลึกชอบกล แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร 

เซียวเซิงได้ยินดังนั้น เส้นเลือดที่ขมับก็กระตุกอยู่หลายครั้ง  เยี่ยนจ้าวเกอ เจ้ายังจำได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าพูดไว้ ว่าข้ากับเจ้ายังมีเวลาอีกยาวไกล 

 แต่ก็ไม่เคยคิดว่าวันนั้นจะมาถึงรวดเร็วเช่นนี้ 

สายตาของเซียวเซิงเคลื่อนไปทางเฟิงอวิ๋นเซิง น้ำเสียงทุ้มต่ำลงไปอย่างมาก  ศิษย์น้องเฟิง กับเจ้า ข้าก็เคยพูดเหมือนกันว่าเจ้าหนีไม่รอดหรอก 

เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า  ดูจากสภาพเจ้าแล้ว ตอนนั้นบาดเจ็บสาหัสจริงๆ สินะ 

เซียวเซิงจ้องเฟิงอวิ๋นเซิงตาไม่กะพริบ  ศิษย์น้องเฟิง ข้ารู้มานานแล้วว่าเจ้าไม่เกรงกลัวความตาย ตอนนี้ดูแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ 

 แต่ไม่ต้องรีบ ข้าจะทำให้เจ้ารู้เอง ว่าบนโลกใบนี้มีเรื่องอีกมากมายที่น่ากลัวยิ่งกว่าความตายเสียอีก 

 แต่ตอนนี้เวลานี้ ต่อหน้าข้า ความเป็นความตายของเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว 

น้ำเสียงของเซียวเซิงพลันอ่อนลงมาก ทว่ากลับเผยความความเย็นเยือกเข้ากระดูกออกมา  เชื่อข้าสิ แม้เจ้าคิดอยากจะปลิดชีพตัวเอง เจ้าก็ทำไม่ได้ 

เฟิงอวิ๋นเซิงยิ้มจางๆ วรยุทธ์ของนางในขณะนี้อยู่แค่ระดับยุทธ์หลอมกายเท่านั้น แต่เซียวเซิงกลับอยู่ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตรานอกระยะท้ายแล้ว

ความห่างชั้นของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมาก ถึงขั้นที่อีกฝ่ายไม่สามารถกำหนดความเป็นความตายของตนได้แล้วจริงๆ

หญิงสาวกำดาบแน่นขึ้นอีก สีหน้าไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย  เซียวเซิง เจ้าควรจะขอบคุณข้าที่ช่วยเจ้ากำจัดจุดด้อยที่สุดของเจ้าไปนะ 

 ไม่รู้สึกบ้างหรือ ว่าสองปีที่ผ่านมานี้เจ้าก้าวหน้ารวดเร็วยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก? 

แววตาของเซียวเซิงหม่นลงอีก  ฝีปากเจ้ายังดีเช่นเดิมเลยนะ เยี่ยม ข้าชอบตรงนี้ที่สุด 

 อีกเดี๋ยวพวกเราก็จะมีเวลาค่อยๆ คุยกันจนพอใจแน่ 

 เจ้าคงไม่คิดว่าคนที่อยู่ข้างๆ เจ้าจะปกป้องเจ้าได้หรอกกระมัง ถึงได้มีทีท่าไม่เกรงกลัวเช่นนี้?

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเยาะครั้งหนึ่ง  ตุ๊กตาหุ่นกระบอกท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกเจ้าพังไป กำลังมองเจ้าอยู่บนฟ้านะ 

เซียวเซิงได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้ฉุนเฉียวแต่อย่างใด ทว่ากลับผงกศีรษะแทน  ไม่ผิดหรอก เยี่ยนจ้าวเกอ เจ้าเก่งพอตัวจริงๆ 

 ต้องยอมรับว่าเมื่อก่อนข้าดูถูกเจ้า 

 แต่หากเจ้าคิดว่าก่อนหน้านี้ชนะข้าได้เพราะเจ้าได้เปรียบ เช่นนั้นเจ้าก็คงหลอกตัวเองแล้วล่ะ 

ในขณะที่เซียวเซิงพูด ร่างกายของเขาไม่ไหวติง ทว่ากลับมีปราณจิตราอันทรงพลังถูกปล่อยออกมา

ระหว่างที่ปราณจิตราไหลเวียน แสงสีทองอ่อนที่กะพริบอยู่ก็เจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ

พริบตาเดียว ก็มีวงแหวนสีทองล้อมรอบกายเซียวเซิงไว้

ทันใดนั้น ลำแสงสีทองก็พุ่งกระจายออกไปทั่วสารทิศ และกลายเป็นดาบสีทองที่แปรเปลี่ยนจากแสงตะวันนับไม่ถ้วน

ลำแสงสีทองทะลุทะลวงไปไกลในชั่วพริบตาเดียว ผ่านด้านหลังของเยี่ยนจ้าวเกอ เฟิงอวิ๋นเซิง และคนอื่นๆ

ท่ามกลางเสียงที่แสบแก้วหู ลำแสงสีทองจำนวนมากบ้างก็แทงเข้าที่หน้าผา บ้างก็ทิ่มลงบนพื้นดิน จนหน้าผาที่อยู่ด้านหลังเยี่ยนจ้าวเกอเกิดรูเป็นร้อยเป็นพัน

แสงสีทองเหล่านั้นปักนิ่งอยู่นานบนหน้าผา

มันเสมือนกับอาวุธของจริง ที่ปักล้อมเยี่ยนจ้าวเกอและคนอื่นๆ เอาไว้ตรงกลาง

บรรดาจอมยุทธ์ชุดดำที่อยู่ข้างหลังเยี่ยนจ้าวเกอล้วนพากันขมวดคิ้วมุ่น

เมื่อเคลื่อนปราณจิตราได้อย่างคล่องแคล่ว ก็สามารถหลอมสร้างมันให้เป็นอาวุธที่มีรูปร่างได้

ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีหรือการป้องกัน ล้วนเหนือชั้นกว่าการปลดปล่อยปราณจิตราสู่ภายนอกของปรมาจารย์ชั้นจิตรานอกระยะต้นอยู่พอควร

นับเป็นสัญลักษณ์ของปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลาง

การหลอมรวมปราณจิตราให้เป็นรูปร่าง สามารถใช้โจมตีในระยะที่ไกลยิ่งขึ้น ทำให้ศัตรูหนีไปได้ยากยิ่ง

และนี่ยังไม่ใช่ทั้งหมด เซียวเซิงไพล่มือทั้งสองไว้ด้านหลัง ก่อนที่ร่างกายของเขาจะเริ่มลอยจากพื้นดินอย่างรวดเร็ว แล้วหยุดอยู่กลางอากาศ

นี่ก็คือสัญลักษณ์ของปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย

ปราณจิตราที่ทรงพลังและมีอิสระ ต้องเป็นปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางจึงจะสามารถลอยตัวในอากาศได้ในเวลาสั้นๆ ทั้งยังสามารถเคลื่อนย้ายตัวในระยะสั้นๆ ได้อีกด้วย

เมื่อเซียวเซิงเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ไม่สามารถทำเรื่องแบบเดียวกันได้ อย่างน้อยเขาก็อยู่ในจุดที่ไม่ต้องพ่ายแพ้แล้ว

ช่างง่ายดายนัก เมื่อสู้ไม่ได้ก็ลอยตัวขึ้นไปในอากาศ ดึงระยะห่างออกไป ส่วนคู่ต่อสู้ทำได้เพียงมองตาปริบๆ เท่านั้น

ต่อให้อีกฝ่ายหลอมอาวุธปราณโจมตีในระยะไกลได้ ทว่าการเคลื่อนปราณร้อยก้าวก็ยังคงมีพลังกว่าเมื่ออยู่ในระยะใกล้

เซียวเซิงออกห่างจากคู่ต่อสู้ เมื่ออาวุธปราณของทั้งสองฝ้ายปะทะกันในระยะที่ใกล้เขามากกว่า เขาย่อมได้เปรียบ

การประลองกับเยี่ยนจ้าวเกอก่อนหน้านี้ มีหุ่นกระบอกเป็นตัวกลาง เซียวเซิงจึงเหมือนถูกตรึงด้วยโซ่ตรวน ไม่ได้แสดงพลังที่แท้จริงทั้งหมดออกมาได้

ทว่าในตอนนี้เขาเพิ่งแสดงความต่างชั้นของพลังที่แท้จริง ของปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย ที่แทบจะบดขยี้ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นให้แหลกละเอียดได้ออกมา

กดดันผู้คนด้วยระดับวรยุทธ์ไม่ง่ายดังปากว่าอย่างแน่นอน

เซียวเซิงลอยอยู่กลางอากาศ ก้มมองเยี่ยนจ้าวเกอจากด้านบน

 ข้าที่อยู่ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย สู้กับเจ้าซึ่งอยู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้น คิดว่าเจ้าคงจะไม่พอใจนัก แต่ถ้าหากเจ้ายื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องของเฟิงมู่เกอ เช่นนั้นก็โทษข้าไม่ได้แล้ว 

 ต่อให้เจ้ามีผู้อาวุโสของเขากว่างเฉิงอยู่ที่นี่ด้วยก็ตาม 

 เจ้าจะปกป้องลูกศิษย์ทรยศของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของข้า เช่นนั้นการต่อสู้ระหว่างเจ้ากับข้าก็จะไม่ใช่การประลองยุทธ์เพื่อฝึกฝนอีกต่อไป 

เซียวเซิงมองลงไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ จู่ๆ ก็ยิ้มออกมา  ข้าฆ่าเจ้าให้ตายที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด 

 แต่ว่า ต่อให้เจ้าไม่ยุ่งเรื่องของเฟิงมู่เกอ วันนี้ก็ได้สนุกกันแน่ 

 เพียงแต่ว่า จะเป็นศิษย์น้องเฉามาเล่นกับเจ้าแทน 

แล้วชายหนุ่มชุดขาวกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในหุบเขา คนที่อยู่ด้านหน้าสุดก็คือเฉาหยวนหลง ที่พ่ายแพ้ให้กับเยี่ยนจ้าวเกอในหุบเหวปราการมังกรครานั้น

เฉาหยวนหลงถอนหายใจออกอย่างช้าๆ ครั้งหนึ่ง  เยี่ยนจ้าวเกอ ข้าจะสู้กับเจ้าอีกครั้ง 

รอบกายเขามีลำแสงสีทองเจิดจ้าพุ่งทะลุออกมาอีกครั้ง ประหนึ่งเข็มเป็นเล่มๆ

ก่อนหน้านี้ที่หุบเหวปราการมังกร ตอนที่เฉาหยวนหลงกระตุ้นปราณจิตราของตนเองนั้น บนพื้นดินเกิดรอยแตกมากมาย

ทว่าตอนนี้บนพื้นดินบริเวณรอบๆ ที่สัมผัสโดน กลับเหลือไว้แต่รูเข็มนับไม่ถ้วน ราวกับรังผึ้งก็ไม่ปาน

พลังทะลุและการหลอมรวมของปราณจิตราของเขาไม่เหมือนกับในอดีตอีกแล้ว

ในปราณจิตราคล้ายเข็มทองเป็นเล่มๆ ที่เฉาหยวนหลงปลดปล่อยออกมา บัดนี้มีแสงสีทองอ่อนๆ กะพริบอยู่ด้วย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาก้าวเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกแล้ว!

เฟิงอวิ๋นเซิงมองเฉาหยวนหลง แล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย  นี่เจ้าชักจูงเข็มทองสุริยันเข้าสู่ร่างกาย แล้วฝืนฝึกฝนปราณจิตราจนถึงขั้นที่สามารถปลดปล่อยสู่ภายนอกได้แล้วหรือ? 

ใบหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอเผยสีหน้าสนอกสนใจ  ข้าเคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน แต่ที่ข้าจำได้ วิธีนี้มีผลข้างเคียงที่หนักเอาเรื่องเช่นกัน มันจะทำให้เจ้าเจ็บปวดร่างกายไม่เว้นวันเว้นคืน ตายเสียดีกว่าอยู่ และยิ่งไปกว่านั้นยังส่งผลให้การพัฒนาระดับวรยุทธ์ของเจ้าช้าลงด้วย 

ใบหน้าเฉาหยวนหลงยังคงเฉยเมย  เทียบกับความอับอายที่เจ้าทำกับข้าแล้ว ความเจ็บปวดแค่นี้เล็กน้อยนัก 

 แค้นนี้ไม่ชำระ ข้าสาบานว่าจะไม่ขออยู่เป็นคน! 

สิ้นคำพูด เฉาหยวนหลงก็ก้าวเท้าออก ตรงมาถึงเบื้องหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ!

เยี่ยนจ้าวเกอยักคิ้ว แล้วสะบัดแขนเสื้อข้างขวาครั้งหนึ่ง พลันมีแสงสีเขียวที่เหมือนสายฟ้าวิ่งออกมา

 มังกรเขียวในชายเสื้อ เยี่ยม!  เฉาหยวนหลงประสานสองมือ ขณะที่ตะโกนเสียงดัง

ทว่ากลับไม่ใช่หัตถ์เทพกลางเวหา

ปราณจิตราสีทองที่หมือนกับเข็มทองเป็นเล่มๆ นั้นอ่อนนุ่มขึ้น ราวกับเส้นด้ายบางๆ นับไม่ถ้วน

เส้นด้ายบางๆ นั้นเลื้อยพันไปมาบนแสงกระบี่เขียวราวกับงู

ประกายกระบี่ของเยี่ยนจ้าวเกอพลันสั่นสะท้าน ก่อนจะระเบิดตัดเส้นด้ายสีทองจนขาดสะบั้น

ทว่าเส้นด้ายบางๆ นั้น เสมือนกับไม่มีจุดสิ้นสุด เข้าเลื้อยพันอย่างไม่หยุดยั้ง จนในที่สุดก็ค่อยๆ สกัดกระบวนกระบี่ของเยี่ยนจ้าวเกอจนสิ้น

เยี่ยนจ้าวเกอยืนพิจารณาวรยุทธ์ของเฉาหยวนหลงอย่างละเอียดแล้ว สุดท้ายชายหนุ่มก็กระตุกยิ้มที่มุมปาก สีหน้าแปลกไปบ้างเช่นกัน

เฉาหยวนหลงกล่าวอย่างเย็นชาว่า  ข้ารู้ว่าเจ้าสำเร็จขั้นจิตราชั้นนอกก่อนข้า ข้าจึงพยายามชักจูงเข็มทองสุริยันเข้าสู่ร่างกายโดยไม่สนใจสิ่งใด เพื่อบรรลุเป็นปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกให้เร็วที่สุด 

 และเพื่อที่จะฝึกวิชาที่เอาไว้สกัดกั้นวิชามังกรในชายเสื้อของเจ้าให้สำเร็จโดยเฉพาะ! 

 วันนี้เจ้ามันก็แค่มังกรที่ตายแล้วตัวหนึ่ง!  

……………

 

สตรีแซ่เฟิงอายุอานามเท่านี้ เยี่ยนจ้าวเกอหวนนึกอยู่นาน ในที่สุดก็มีข้อมูลเลือนรางผุดขึ้นมาในหัว

สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแรกที่ค้นพบวิธีการขับเคลื่อนมงกุฎจันทรา ขณะเดียวกันก็เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแรกที่เริ่มค้นหาสตรีจันทราเช่นกัน

แรกเริ่ม สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ทำการปกปิดข่าวคราวอย่างมิดชิด และเก็บเป็นความลับอย่างยิ่ง

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำนักอื่นๆ ต่างก็ไม่มีใครรู้เรื่องที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กำลังอบรมบ่มเพาะสตรีจันทรา

เขากว่างเฉิงและดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ก็ค้นหาอยู่นาน ทว่ารวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาได้เพียงน้อยนิด ถึงกระนั้นก็มีข้อมูลที่ยังไม่ชัดเจนอยู่เรื่องหนึ่ง

สตรีจันทราของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เป็นศิษย์หญิงนามว่าเฟิงมู่เกอ

น่าเสียดายที่นอกจากชื่อแล้วก็ไม่มีข้อมูลใดที่เป็นประโยชน์อีกเลย ทั้งรูปลักษณ์และลักษณะเฉพาะก็ไม่มีบอกกล่าวไว้

ทว่าเกือบสองปีก่อน ในการทดสอบจันทรากายครั้งแรก เมิ่งหว่านกลับโผล่ออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

หลังจากนั้น เรื่องเล่าเกี่ยวกับเฟิงมู่เกอก็ถูกมองว่าเป็นเรื่องโกหกที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กุขึ้นมา

แต่บัดนี้เยี่ยนจ้าวเกอเห็นเฟิงอวิ๋นเซิงอยู่ตรงหน้าแล้ว ยากนักที่จะไม่คิดโยงไปถึงเรื่องอื่น

ถ้าหากเป็นสตรีจันทราที่สามารถช่วยเหลือเขากว่างเฉิงแย่งชิงมงกุฎจันทราได้ ก็ต้องมีฐานะแตกต่างกับศิษย์ทรยศสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ อย่างแน่นอน

สิ่งของยิ่งมีน้อยยิ่งมีค่า สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีเมิ่งหว่าน แต่จนถึงตอนนี้เขากว่างเฉิงก็ยังไม่มีสตรีจันทราเลย

‘ก่อนที่จะหนีออกจากสำนักมา เฟิงมู่เกอก็เป็นเฟิงอวิ๋นเซิงแล้ว’

ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเฟิงอวิ๋นเซิง รวมถึงเห็นสายตาของนางอีก ใจของเยี่ยนจ้าวเกอก็พลันหนักอึ้งเล็กน้อย

ความหมายในคำพูดของอีกฝ่ายเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่การตัดขาดจากอดีต และลาจากกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

 จันทรากายของเจ้าเกิดปัญหาหรือ?  เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้วพลางถามว่า  ก่อนที่จะหนีออกจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เจ้าได้สูญเสียจันทรากายไปแล้วอย่างนั้นหรือ? 

เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนดูแล้ว เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงมาก มิเช่นนั้นสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คงไม่ปล่อยให้สตรีจันทราพเนจรอยู่ภายนอก

แม้ว่าพวกเขาจะมีเมิ่งหว่านอยู่แล้วก็ตาม ทว่าก็คงยอมไม่ได้ที่จะให้เฟิงอวิ๋นเซิงไปพึ่งพิงสำนักอื่น

ขณะเดียวกัน แม้ว่าจะมีเมิ่งหว่านอยู่แล้ว สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องลงทุนบ่มเพาะเฟิงอวิ๋นเซิงอยู่ดี

พรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ของเฟิงอวิ๋นเซิงเหนือกว่าผู้อื่นคงไม่ต้องพูด เพราะอย่างน้อยนางน่าจะบรรลุระดับปรมาจารย์แล้ว สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์สำนักเดียวมีสตรีจันทราถึงสองคน แม้จะต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรมากขึ้นมหาศาล ทว่าก็มีแต่ทำให้พวกเขาดีใจยิ่งขึ้น

ด้วยความกดดันจากโลกปีศาจอัคคีที่อยู่ภายนอก ทั้งสตรีจันทราก็มีจำนวนจำกัด การทดสอบจันทรากายจึงไม่กำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมทดสอบจากแต่ละสำนัก โดยสามารถส่งผู้เข้าทดสอบได้มากกว่าหนึ่งคน

สำหรับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แล้ว การมีเฟิงอวิ๋นเซิงผนวกกับเมิ่งหว่าน ถือเป็นการรับประกันคูณสอง

เฟิงอวิ๋นเซิงกลับมามีท่าทีสบายๆ ยิ้มพลางเอ่ยว่า  หากเฟิงอวิ๋นเซิงยังเป็นเฟิงมู่เกออยู่ ต่อให้ท่านอาจารย์จะจากไปแล้ว เซียวเซิงก็ไม่กล้าทำอะไรวู่วาม และไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น 

เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ  พวกเซียวเซิงและเฉาหยวนหลงกำลังตามหาตัวเจ้านี่เอง ก่อนหน้านี้เจ้าเคยเข้าไปในหุบเหวปราการมังกรหรือ? 

 ไม่ผิด เพื่อเป็นการปกปิดร่องรอยและสลัดทหารที่ตามล่า ข้าจึงเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในหุบเหวปราการมังกรอยู่ช่วงหนึ่ง บาดแผลบนร่างกายตอนนี้ส่วนหนึ่งก็ได้มาจากหุบเหวปราการมังกร  เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

 เจ้าเสียจันทรากายของเจ้าไปได้อย่างไร? 

 ครั้งหนึ่งตอนออกไปฝึกฝนที่ใกล้ๆ รอบนอกของอเวจี ข้าพลาดเข้าไปในบริเวณที่มีพลังหยินสูง พลังหยินระดับสูงจึงสะท้อนกลับ จนทำให้สภาพร่างกายของข้าได้รับความเสียหาย 

ถึงแม้ว่าคำถามของเยี่ยนจ้าวเกอจะสะกิดโดนรอยแผลที่เจ็บปวดที่สุดของตนเอง ทว่าสีหน้าท่าทีของเฟิงอวิ๋นเซิงก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย

 ตอนนั้นก็รู้สึกได้ว่าผิดปกติ หลังจากกลับไปที่สำนักจึงพบว่าพลังจันทรากายของข้าถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดก็ค่อยๆ หายไป 

เฟิงอวิ๋นเซิงแสยะยิ้ม ในแววตามีความเกลียดชังอยู่บ้าง  ตอนนั้นก็เป็นช่วงที่ท่านอาจารย์ปู่เพิ่งจากไปได้ไม่นานพอดี แล้วข้าก็บังเอิญสูญเสียจันทรากายไปอีก 

 เซียวเซิงจึงคิดอกุศลกับข้า คิดจะครอบครองข้า แต่สุดท้ายข้าใช้อาวุธป้องกันตัวที่ท่านอาจารย์ปู่ทิ้งเอาไว้ให้ เล่นงานเขาจนบาดเจ็บสาหัส 

 ปู่ของเขาโมโหมาก จึงกล่าวให้ร้ายข้า พลิกขาวเป็นดำ หาว่าข้าล่อลวงเซียวเซิงไม่สำเร็จ จึงบันดาลโทสะลอบทำร้ายจนเขาได้รับบาดเจ็บ คิดอยากจะฆ่าเขาเพื่อระบายความโกรธ 

 โชคดีที่ท่านอาจารย์ของข้ารู้ข่าวได้ทันกาล จึงลอบให้ความช่วยเหลือข้าลับๆ ข้าถึงหนีออกมาจากสำนักได้สำเร็จ 

เยี่ยนจ้าวเกอมองเฟิงอวิ๋นเซิงด้วยท่าทีสนอกในใจ จู่ๆ ก็ยิ้มแล้วพูดว่า  หืม? ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เซียวเซิงกล่าวเป็นความจริง แต่เจ้ากำลังกุเรื่องพูดแก้ตัวเพื่อหลอกข้าหรอกนะ? 

เฟิงอวิ๋นเซิงยิ้มเยาะครั้งหนึ่ง  ต่อให้ข้าต้องเป็นฝ่ายไล่ตามผู้ชายจริงๆ ข้าจะไม่เลือกเซียวเซิง ส่วนหวงเจี๋ย พวกเราไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันนัก จึงไม่นับว่าไม่รู้จักกันดี ทว่าศิษย์พี่ถังจะไม่แกร่งกว่าเซียวเซิงหรือ? 

ชายหนุ่มยักไหล่ ยิ้มแต่กลับไม่พูด

หากเป็นเรื่องจริงอย่างที่เฟิงอวิ๋นเซิงว่า ทางสำนักคงส่งยอดฝีมือดีออกมาจับตัวนางกลับไปนานแล้ว ไม่มีทางที่จะมีเพียงศิษย์รุ่นเยาว์ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับเซียวเซิงกลุ่มหนึ่งออกมาไล่โจมตีเท่านั้นแน่

แม้ว่าปู่ของเซียวเซิงจะเป็นผู้อาวุโสเก่าแก่ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่สามารถปกปิดเรื่องให้เงียบสนิทได้

อาจารย์ปู่ของเฟิงอวิ๋นเซิงจากไปแล้ว ทว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ยังมีผู้ที่เป็นคู่ปรับกับปู่ของเซียวเซิงคอยถ่วงสมดุลอยู่

แต่ถ้าจะบอกว่าช่วยเรียกความยุติธรรมคืนให้กับเฟิงอวิ๋นเซิง นั่นไม่น่าจะเป็นไปได้

เซียวเซิงและเฟิงอวิ๋นเซิงวิวาทกันส่วนตัว ขาดพยานยืนยัน ต่างคนก็ต่างคำพูด

ถึงเฟิงอวิ๋นเซิงจะไม่ได้ถูกเซียวเซิงทำมิดีมิร้าย แต่เซียวเซิงถูกเฟิงอวิ๋นเซิงทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสก็เป็นเรื่องจริง

 ข้าหนีออกมาจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังฆ่าพวกเขาทั้งสามคนไป สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต้องไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แน่  เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าวอย่างสงบนิ่งว่า  สำนักข้าอย่างไรก็ต้องโอนเอนไปทางหลานชายของท่านผู้อาวุโสเก่าแก่ มากกว่าข้าที่สูญเสียจันทรากายอยู่แล้ว 

 สำนักละทิ้งข้าก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ บัดนี้หวังเพียงว่าศิษย์พี่เยี่ยนจะไม่กักตัวข้าไว้ ปล่อยให้ข้าไปเถิด 

 ถึงการตามจับของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะน่ากลัว แต่อย่างมากที่สุดก็แค่ตาย กระนั้นก็ใช่ว่าข้าจะไม่มีทางรอดเสมอไป 

 ถึงจะไม่มีจันทรากายแล้ว แต่ข้าก็ยังมีดาบอยู่ในมือ ในเมื่อมีความหวังก็ต้องลองเสี่ยงดู และยิ่งไม่มีหวังก็ยิ่งต้องลองดู 

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้กล่าวสิ่งใด เพียงแต่พินิจพิจารณานางอย่างถี่ถ้วน

เฟิงอวิ๋นเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย นางไม่เห็นเจตนาร้ายในแววตาของเยี่ยนจ้าวเกอเลย

แต่การอยู่ที่นี่นานๆ ศิษย์คนอื่นจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะต้องตามมาเจอเข้าแน่

เพียงแต่หากเยี่ยนจ้าวเกอไม่พูดไม่จา นางก็ไม่สามารถปลีกตัวออกไปเองได้

นางส่ายหน้า แล้วก้มกายลงเก็บสิ่งของจากสัมภาระของทั้งสามคนที่ตายไป

จากนั้นนางก็ตวัดดาบสีดำสนิทที่อยู่ในมือ แล้วขับเคลื่อนลมปราณที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด กระตุ้นพลังภายในดาบออกมา

ปราณของอาวุธวิเศษกลายเป็นไฟลุกโชนตกลงไปบนศพทั้งสามร่าง ในพริบตาไฟก็ลุกท่วมกลืนกินศพจนหมดสิ้น

จู่ๆ เยี่ยนจ้าวเกอก็ยื่นมือออกมาจับข้อมือนางเอาไว้

เฟิงอวิ๋นเซิงก็ไม่ได้รู้สึกขวยเขิน แต่กลับเลิกคิ้วขึ้น สบตาเยี่ยนจ้าวเกอตรงๆ โดยที่ไม่พูดไม่จาอะไร

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้สนใจนาง ทว่าหลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง มุมปากของเขาก็ค่อยๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มบาง  เฟิงอวิ๋นเซิง ใช่ว่าเจ้าจะกลับไปเป็นเฟิงมู่เกอไม่ได้ 

อีกฝ่ายนิ่งอึ้งไป ก่อนจะเอ่ย  ตอนนั้นเจ้าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ตัดสินด้วยตนเอง รวมทั้งยอดฝีมือระดับสูงของสำนักที่ไม่ได้เข้าฌานต่างก็… 

 สิ่งที่พวกเขาพูดมาไม่นับ  เยี่ยนจ้าวเกอพูดด้วยท่าทีที่สบาย

ส่วนเฟิงอวิ๋นเกอได้แต่อ้าปากค้าง มองเยี่ยนจ้าวเกออยู่นานแต่ก็พูดไม่ออก

ผ่านไปนานทีเดียว หญิงสาวก็เผยสีหน้าฝืนยิ้มเป็นครั้งแรก  ดูท่านจะมั่นใจกว่าข้าเสียอีก ถึงจะไม่รู้ว่าท่านไปเอาความความมั่นใจมาจากที่ใด แต่ถ้าสามารถฟื้นฟูจันทรากายกลับมาได้ ข้าในฐานะผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ก็ต้องดีใจอยู่แล้ว 

 ความหมายของศิษย์พี่เยี่ยนก็คือ เขากว่างเฉิงรับข้าเอาไว้ได้หรือ? แต่ไม่ทราบว่าเรื่องนี้ศิษย์พี่เยี่ยนจะมีสิทธิ์ตัดสินใจได้มากเท่าใด? 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม และกำลังจะพูด แต่ใบหูของเขาพลันกระตุกเบาๆ

ด้านนอกหุบเขามีการเคลื่อนไหวของจอมยุทธ์ชุดดำ กำลังจะเข้าใกล้เยี่ยนจ้าวเกอ

มีคนกำลังเข้าใกล้หุบเหว เป็นผู้มาเยือนที่เจตนาไม่ดี อีกทั้งระดับวรยุทธ์ก็ไม่ธรรมดา!

เร็วมาก ชายหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งกำลังย่างกรายเข้ามาภายในหุบเขา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหนวดเครา ซึ่งนั่นก็คือเซียวเซิง!

…………

 

มือขาวดุจหยกขาว ดาบยาวดุจน้ำหมึก

คลื่นแสงสีทองก่อตัวขึ้น เสมือนพระอาทิตย์อันร้อนแรงแผดเผา

พระอาทิตย์ไม่ได้แขวนอยู่สูงบนฟากฟ้าเหมือนเช่นเคย ทว่าตกลงมาจากฟ้าโดยวาดเป็นเส้นโค้งขนาดใหญ่อันน่าอัศจรรย์ แผดเผาไปทุกทิศ!

ลมดาบอันเย็นเยียบ ทำให้ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แทบหยุดหายใจไปชั่วขณะ ด้วยต่างหวาดกลัวจนหมดสภาพ

‘ตอนนี้วรยุทธ์ของนางถดถอยลง อีกทั้งร่างกายยังบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถใช้พลังทั้งหมดของอาวุธวิเศษชิ้นนี้ได้ แต่เหตุใดกระบวนดาบถึงได้ดุร้ายเช่นนี้?’

เยี่ยนจ้าวเกอที่ยืนดูภาพนี้อยู่บนหน้าผาก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าสว่างวาบเช่นกัน ‘ฝีมือใช้ได้’

ไม่ลงมือก็แล้วไป ทว่าดูแค่กระบวนท่าเดียว เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้ผลการต่อสู้แล้ว

จริงอยู่ที่เด็กสาวสาวผู้นี้ร่างกายบาดเจ็บสาหัส ไม่ใช้วรยุทธ์เดิมได้เลย

ไม่ต้องพูดถึงการกระตุ้นปราณจิตราของจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ เพราะแม้กระทั่งลมปราณภายในก็อ่อนแอถึงขีดสุด

ในระดับยุทธ์หลอมกาย อันประกอบไปด้วยขั้นร่างกาย ขั้นเบิกทางชีพจร และขั้นชักจูงลมปราณ นางใช้พลังได้มากสุดก็แค่ขั้นชักจูงลมปราณระยะต้นเท่านั้น

ทว่าคู่ต่อสู้ทั้งสามคนที่นางเผชิญหน้าอยู่ด้วย ล้วนอยู่ขั้นชักจูงลมปราณระยะต้นทั้งหมด

แม้จะเป็นเช่นนั้น ด้วยการต่อสู้หนึ่งต่อสามเช่นนี้ ชัยชนะก็ยังคงเป็นของนางคนนี้อยู่ดี

นางเคยเป็นปรมาจารย์มาก่อน มีความสามารถและประสบการณ์มากกว่าศัตรูตรงหน้าทั้งสาม แต่การที่จะเอาชนะพวกเขาได้อย่างง่ายดายนั้น ก็เพราะนางมีการควบคุมและเข้าใจวรยุทธ์มากกว่าศัตรู

เพียงแค่มองดูดาบเล่มนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็สามารถฟันธงได้ว่าถ้าอยู่ในระดับวรยุทธ์เดียวกัน ไม่แน่ว่าเซียวเซิงก็อาจจะยังไม่ใช้คู่ต่อสู้ของเด็กสาวนางนี้

‘สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีศิษย์ที่เก่งกาจเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?’ เยี่ยนจ้าวเกอลูบคาง ‘ดูรูปร่างลักษณะแล้วก็น่าจะอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี’

ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามต่างก็มีอาวุธวิเศษคนละชิ้นเช่นกัน

ตอนนี้พลังของทุกคนอยู่ในระดับยุทธ์หลอมกาย แต่ยังไม่สามารถขับเคลื่อนพลังทั้งหมดของอาวุธวิเศษได้

ทว่าดาบสีดำของหญิงสาว กลับสามารถกดอาวุธวิเศษของอีกฝ่ายเอาไว้ได้อย่างไม่ต้องเอ่ยเหตุผล

ทิศที่ปลายดาบชี้ไป ทำให้เกิดคลื่นลมเมฆซัดสาด สายฟ้าฟาด พระอาทิตย์คล้อยลงทางทิศตะวันตก!

ด้วยฝีมือการต่อสู้เพียงแค่พริบตาเดียว ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามคนก็พ่ายแพ้หมดท่า

เด็กสาวถือดาบสีดำยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา ยิ้มพลางกล่าวอย่างสบายอกสบายใจว่า  เคยพูดไปแล้วว่าพวกเจ้าแค่ยืนรออยู่ที่เดิมก็พอแล้ว 

ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์สกุลไช่คนนั้นพูดด้วยความตกใจว่า  เจ้ากล้าลงมือกับพวกข้าอย่างนั้นหรือ? ศิษย์พี่เซียวและสำนักไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่! 

 อาจารย์ปู่ของเจ้าตายไปแล้ว อาจารย์ของเจ้าตอนนี้ก็ตายแล้ว ไม่มีใครปกป้องเจ้าได้อีกแล้ว! 

ร่างกายของเด็กสาวสั่นเทิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไป จ้องอีกฝ่ายเขม็งแล้วถามว่า  เจ้าบอกว่าเกิดเรื่องกับอาจารย์ข้าหรือ? ผู้ใดเป็นคนทำ! 

ศิษย์น้องแค่นหัวเราะ  ก่อนหน้านี้ทะเลตะวันออกมีการบุกรุกเล็กๆ จากปีศาจอัคคี แล้วก็เป็นเวรคุ้มกันของอาจารย์เจ้าพอดี จึงถูกราชาปีศาจอัคคีฆ่าระหว่างปะทะกัน 

 คราวนี้รู้แล้วใช่หรือไม่? ที่พึ่งของเจ้าไม่เหลือแล้ว เข้าใจแล้วก็ทำตัวว่าง่าย ยอมจำนนเสียดีๆ เถอะ มิเช่นนั้นเจ้าลำบากแน่! 

เด็กสาวสูดลมหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่ง สีหน้ากลับมาเป็นปกติ พลางมองศิษย์น้องไช่และอีกสองคน  พวกเจ้าไม่เข้าใจ ท่านอาจารย์ไม่ได้ปกป้องข้า แต่นางปกป้องพวกเจ้าไว้ต่างหากล่ะ 

ทั้งสามคนล้วนตะลึงงัน นางไม่รอให้พวกเขาได้ตั้งตัว แสงดาบก็สว่างวาบขึ้น!

ศีรษะของศิษย์น้องไช่ลอยออกไปลับขอบฟ้า ส่วนสองคนที่เหลืออ้าปากตาค้าง

นางกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า  สองปีที่ผ่านมานี้ พวกเจ้าและศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นๆ ไล่ฆ่าข้ามานับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับพลาดท่าพ่ายแพ้ให้กับข้า ส่วนข้าก็ปล่อยให้พวกเจ้ามีชีวิตรอดไปนับไม่ถ้วน และบ่อยครั้งที่เปิดเผยร่องรอยจนสร้างอันตรายให้ตนเองมากมายโดยไม่รู้สาเหตุ 

 ตอนที่ประมือกับพวกเจ้า เป็นเพราะข้าละเว้นชีวิตพวกเจ้าเอาไว้ หลายครั้งกลับกลายเป็นเพิ่มอาการบาดเจ็บให้ตัวข้าโดยที่ไม่จำเป็น 

 พวกเจ้าคิดว่าข้าใจดี ใจไม่แข็งพอที่จะลงมือหรือ? ตั้งแต่หนีออกจากสำนัก ข้าก็ใช้ชีวิตตัวคนเดียว คนที่ข้าเคยฆ่าตลอดทางที่ผ่านมา ยังมากกว่าที่พวกเจ้าทั้งสามคนเคยฆ่ารวมกันทั้งชีวิตเสียอีก 

 แต่มีเพียงคนของสำนักเท่านั้นที่ข้ายังไม่เคยฆ่า พวกเจ้าคิดว่าข้ากลัวเสียหน้าหรือ? 

 ตลกสิ้นดี นับตั้งแต่วันนั้น หนังหน้าข้าก็ถูกฉีกขาดไปแล้ว! 

ขณะที่หญิงสาวพูด นางก็ใช้ดาบฆ่าอีกคนหนึ่ง  ที่ข้าไม่ฆ่าพวกเจ้า เพียงเพราะไม่อยากให้ท่านอาจารย์ที่ยังอยู่ในสำนักต้องลำบากเท่านั้น 

 บัดนี้ท่านอาจารย์ก็ไม่อยู่แล้ว ข้าไม่มีอะไรให้ต้องพะวงอีก 

 สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ข้าไม่หวนกลับไปแล้ว! 

ดาบที่สามฟันลง อีกหนึ่งศีรษะร่วงลงพื้น!

 อย่างมากเมื่อข้าตาย ที่นรกก็ยังมีพวกเจ้ายกโลงให้ข้า! 

หลังจากฆ่าตัดคอทั้งสามตายคาที่ไปแล้ว สีหน้าของเด็กสาวไม่เปลี่ยนไปเลย นางเก็บดาบสีดำแล้วมองศิษย์ร่วมสำนักที่สิ้นชีพแล้วตรงหน้าอย่างเย็นชา

ภายในดวงตาของนางค่อยๆ เผยความโศกเศร้าออกมา ทว่าไม่ใช่เพราะทั้งสามคนตรงหน้า แต่กลับเป็นเพราะอาจารย์ของตน

 จะต่อต้านสำนักศักดิ์สุริยันนั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ ผลลัพธ์อาจจะเป็นตายสถานเดียวก็ได้ 

จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ข้างหู เด็กสาวสะดุ้งโหยง เมื่อหันกลับไปมองก็พบชายหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดสีขาว คลุมด้วยชุดคลุมสีน้ำเงินรีดขอบสีดำปรากฏกายอยู่ตรงหน้า

 คนของเขากว่างเฉิง…เยี่ยนจ้าวเกอ คุณชายแห่งเขากว่างเฉิงหรือ? 

หญิงสาวตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว หน้าตาของเยี่ยนจ้าวเกอเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกแปดพิภพ นางเองก็จำได้เช่นกัน

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย  ไม่รู้ว่าเจ้าทำผิดกฎอะไรของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ถึงได้ถูกตามจับ แต่ว่าถ้าก่อนหน้านี้เป็นแค่การทะเลาะเบาะแว้งเล็กๆ ของศิษย์ เช่นนั้นต่อจากนี้ไปที่เจ้าต้องเผชิญก็คือการถูกไล่ฆ่าจากยอดฝีมือของจริงแล้ว 

 จริงสิ เจ้ารู้ว่าข้าเป็นใครแล้ว แต่ข้ายังไม่รู้ว่าจะเอ่ยเรียกเจ้าว่าอย่างไรเลย 

หญิงสาวผงกศีรษะ ท่าทีโอ่อ่าผ่าเผย  ข้าแซ่เฟิง เฟิงอวิ๋นเซิง 

เยี่ยนจ้าวเกอเอียงศีรษะเล็กน้อย มองนางแวบหนึ่ง  เหอะๆ ชื่อดีนี่ แสงดาบโชติช่วง เมฆลมก่อตัว สมกับชื่อเจ้า[1] 

เฟิงอวิ๋นเซิงมองเยี่ยนจ้าวเกอพลางกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า  ไม่ทราบว่าศิษย์พี่เยี่ยนต้องการสิ่งใดหรือ? 

 หากต้องการจะจับข้าส่งให้กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แล้วล่ะก็ วรยุทธ์ของท่านสูงเกินไป ข้าคงหนีไม่พ้น ทว่าแม้ผลสุดท้ายจะทำให้ข้าอับอาย แต่ข้าก็จะไม่ยอมอยู่เฉยๆ ให้จับหรอก 

 แต่ถ้าหากไม่ได้จะจับข้าแล้วล่ะก็ ข้าก็อยากจะพึ่งพิงเขากว่างเฉิงขอการคุ้มครอง ไม่ทราบว่าพอจะมีหวังบ้างหรือไม่? 

การจะรับศิษย์ทรยศจากสำนักอื่นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

ต่อให้สำนักเขากว่างเฉิงและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะไม่ลงรอยกันตลอดมา แต่ก็จะไม่ทำเรื่องเช่นนี้ เพราะอาจทำให้ทั้งสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์เปิดฉากทำสงครามขึ้นได้

เหตุผลนี้เฟิงอวิ๋นเซิงก็เข้าใจดี  ถือเสียว่าข้าหน้าด้านหลงตัวเองก็ได้ แต่ถ้าข้าหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว ด้านวิชาวรยุทธ์ข้าก็ถือได้ว่าเป็นต้นกล้าที่คุ้มค่าต่อการอบรมบ่มเพาะ อย่างน้อยก็ไม่ด้อยไปกว่าเซียวเซิง หรือเฉาหยวนหลงแน่ 

 ข้อมูลของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ข้าให้ได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่มากนัก โดยเฉพาะวิชาวรยุทธ์สืบทอดของสำนัก ต้องขออภัยที่ข้าไม่สามารถให้ได้ แม้ว่าท่านอาจารย์ของข้าจะจากไปแล้ว แต่ว่าเรื่องแบบนั้นคิดว่าท่านก็คงไม่อยากให้ข้าทำ 

 แต่ข้อมูลที่ข้าสามารถให้ได้ก็มีคุณค่าอยู่บ้าง 

เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าวอย่างรวดเร็ว แต่เนื้อหาละเอียด เงื่อนไขชัดเจน  ข้ารู้ดีว่าข้อต่อรองของข้ามีจำกัด และก็ไม่กล้าจะตั้งความหวังไว้มากนัก หากศิษย์พี่เยี่ยนไม่จับข้า เขากว่างเฉิงก็ไม่ได้มีความหมายกับข้า ฉะนั้นช่วยทำเป็นเหมือนไม่เคยพบข้า ปล่อยข้าไปได้หรือไม่? 

เยี่ยนจ้าวเกอฟังนางพูดจนจบด้วยความสนใจอย่างมาก ก่อนจะหัวเราะเหอะๆ  น่าสนใจ ในเมื่อเจ้าตรงไปตรงมา เช่นนั้นข้าก็ไม่อ้อมค้อมล่ะ 

 เจ้าก็พูดเองแล้วว่าข้อต่อรองของเจ้ามีจำกัด ดังนั้นหากอยากจะให้สำนักข้าแบกรับแรงกดดันจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แทนเจ้า ความเป็นไปได้นั้นมีน้อยมาก 

 อย่างน้อย ถ้าจะให้สำนักข้ารับตัวเจ้ามาโดยที่ไม่สนอะไรทั้งนั้นแล้วล่ะก็ ลำพังแค่เฟิงอวิ๋นเซิงไม่มีค่าพอหรอก  เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มพลางมองนางแวบหนึ่ง  แต่ถ้าหากเป็นเฟิงมู่เกอล่ะก็ สถานการณ์อาจจะต่างออกไป 

หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่า  ก่อนที่จะหนีออกจากสำนัก เฟิงมู่เกอก็เป็นเฟิงอวิ๋นเซิงแล้ว 

………………..

[1] เฟิง พ้องเสียงกับคำที่มีความหมายว่า ลม อวิ๋น หมายถึงเมฆ เซิงพ้องเสียงกับคำที่มีความหมายว่า ก่อเกิดหรือกำเนิด

 

หลังจากตามรอยเมิ่งหว่านไประยะเวลาหนึ่ง ร่องรอยของนางกลับหายไป

ถึงแม้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ทว่าก็ไม่ได้ถือสาอะไรมากนัก

แต่หลังจากนั้นไม่นาน ผู้ติดตามก็ส่งข่าวมาว่าพบร่องรอยของนางอีกครั้ง

พวกเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้คิดอะไรมาก มุ่งหน้าตามไปอีกครั้ง ทว่าหลังจากที่พลิกดินข้ามภูเขาตามไปนานพอสมควร ร่องรอยของเมิ่งหว่านก็หายไปอีก

 มีปัญหาแล้ว  สถานการณ์เปลี่ยนกลับไปมา เยี่ยนจ้าวเกอจำต้องหยุดฝีเท้าลง แววตาสีดำหยั่งลึกขึ้น

ปรมาจารย์ชุดดำคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ผงกศีรษะ  เหมือนนางกำลังหลอกล่อให้พวกเราไปที่ไหนสักที่ 

เยี่ยนจ้าวเกอมองไปยังแนวเขาที่ต่อกันไปเป็นทอดๆ ตรงหน้า  ซุ่มโจมตีหรือ? ก็ไม่น่าใช่ ตลอดเส้นทางก็ผ่านหลายจุดที่เหมาะกับการซุ่มโจมตีมาแล้ว 

หลังจากใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะหนึ่ง มุมปากของเยี่ยนจ้าวเกอก็เผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ  เช่นนั้นก็มาดูกันว่าเจ้าจะทำสิ่งใดกันแน่? 

ชายหนุ่มโบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนถอยออกไป กลุ่มจอมยุทธ์ชุดดำรอบกายหายเข้าไปในป่าทึบอย่างไร้สุ้มเสียงทันที

ส่วนเยี่ยนจ้าวเกอเดินลอดเข้าไปในป่าเขาต่อ หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็มีจอมยุทธ์ชุดดำคนหนึ่งกลับมารายงาน

 คุณชายขอรับ ห่างออกไปทางตะวันออกสักสองลี้ มีการเคลื่อนไหวของศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ใกล้ๆ หุบเขาแห่งนี้ขอรับ 

เยี่ยนจ้าวเกอมองฝ่ายตรงข้าม จอมยุทธ์ชุดดำคนนั้นผงกศีรษะ  เป็นศิษย์รุ่นใหม่ที่อยู่ในระดับยุทธ์หลอมกายทั้งหมด เป็นกลุ่มที่เข้าไปที่หุบเหวปราการมังกรกับเฉาหยวนหลงก่อนหน้านี้ขอรับ 

 ไปดูสักหน่อยแล้วกัน  เยี่ยนจ้าวเกอมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก

ทุกคนอำพรางร่องรอยเอาไว้ พลางเข้าไปใกล้กับหุบเหวอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะยืนอยู่บนหน้าผาแห่งหนึ่งที่อยู่ข้างๆ และมองไปในหุบเหว

บัดนี้มีกลุ่มคนสองกลุ่มกำลังคุมเชิงอยู่ในหุบเขาอยู่

ฝั่งหนึ่งมีสามคน ทุกๆ คนสวมชุดสีขาว รีดขอบเสื้อด้วยสีแดง ปักลายดวงอาทิตย์ เป็นศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

ทั้งสามคนยืนแยกออกกันเป็นสามมุม ห้อมล้อมและจับจ้องไปคนผู้หนึ่ง

คนที่พวกเขากำลังคุมเชิงด้วย กลับเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง

นางสวมชุดสีขาว ในมือถือดาบสีดำ ผมสีดำสลวยปล่อยยาวดุจน้ำตก

ข้างกายนางมีสุนัขสีดำตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งหมอบอยู่ กำลังจ้องมองไปที่ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามคนที่ล้อมตัวเจ้าของตนเองอยู่เบื้องหน้าอย่างระแวดระวัง

สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอตกอยู่ที่ดาบยาวในมือของเด็กสาว

คมดาบดำสนิทดุจน้ำหมึก แม้อยู่ภายใต้แสงแดดที่ตกกระทบ แต่กลับไม่มีแสงสะท้อนแม้แต่น้อย ราวกับไม่ได้ถูกตีขึ้นด้วยโลหะ คล้ายกับถ่านหินสีดำเสียมากกว่า

ทว่าแม้ว่าจะอยู่ห่างออกไปไกลมาก เยี่ยนจ้าวเกอก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของดาบยาวสีดำสนิทเล่มนั้นที่ปลดปล่อยออกมา ทำให้รู้สึกหนาวเหน็บไปทั่วทั้งร่างกาย

มือของเด็กสาวกำดาบยาวเอาไว้แน่น ไม่มีการสั่นคลอนเลยแม้แต่นิดเดียว

แม้ว่าจะสวมอาภรณ์สีขาว แต่ก็แตกต่างออกไปจากเครื่องแต่งกายของศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่พบได้ทั่วไป

ถึงกระนั้นเพียงแค่มองท่าทางการจับดาบของนาง เปลือกตาของเยี่ยนจ้าวเกอก็กระตุก  เหอะ ดาบผลาญฟ้าคล้อยประจิม… 

ดาบผลาญฟ้าคล้อยประจิมเป็นวรยุทธ์วิชาสายหลักของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในวิชาเจ็ดสุริยะเช่นเดียวกับหัตถ์เทพกลางเวหาและหัตถ์เงาสนธยา เพลงดาบนี้เลื่องชื่อที่เป็นที่ยอมรับกันไปทั่วหล้า

เด็กสาวชุดขาวผู้นี้เป็นคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แน่นอน

‘นางทำผิดลักลอบฝึกวิชาวรยุทธ์ของสำนัก หรือเป็นความขัดแย้งภายในสำนัก?’

เยี่ยนจ้าวเกอเกิดความสนใจขึ้นระดับหนึ่ง จึงให้จอมยุทธ์ชุดดำแยกย้ายกันไปไป ส่วนหนึ่งให้ตามหาเมิ่งหว่านต่อ อีกส่วนหนึ่งให้คอยเฝ้าระวังอยู่รอบนอกของหุบเหว

ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามคนนั้น บัดนี้สายตากำลังจดจ้องอยู่ที่เด็กสาวชุดขาว

ชายหนุ่มหนึ่งในนั้นที่มีอายุมากกว่าหน่อยกล่าวพูดว่า  ศิษย์น้องเฟิง พวกข้าแค่ช่วยเหลือศิษย์พี่เซียวเท่านั้น อย่าเข้าใจผิดไปเลย 

เด็กสาวชุดขาวยิ้มพลางกล่าวว่า  พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายก็ต้องสู้กันให้รู้แล้วรู้รอดกันอยู่ดี ดูท่าพวกเจ้าคงไม่คิดที่จะหลีกทางให้ข้าอยู่แล้ว 

นางพูดต่ออย่างรวดเร็ว ทว่าก็เด็ดขาดชัดถ้อยชัดคำ ทุกๆ คำพูดทำให้ผู้คนได้ยินอย่างกระจ่างชัด

แม้ว่าจะมีศัตรูที่แข็งแกร่งห้อมล้อมอยู่เบื้องหน้า ทว่าสีหน้านางกลับไม่เปลี่ยนแปลง พูดและยิ้มได้ตามใจ

ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อีกคนหนึ่งที่มีอายุน้อยกว่ายิ้มขึ้น พลางกล่าวว่า  แน่นอนว่าพวกข้าไม่หลีกทางให้อยู่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าก็ไม่จำเป็นต้องลงไม้ลงมือกระมัง? 

 ศิษย์พี่เฟิง ก็จริงอยู่ที่ท่านอยู่ในระดับปรมาจารย์ แต่นั่นก็เป็นอดีตไปแล้ว 

 ตอนนี้ท่านยังไม่หายดีจากอาการบาดเจ็บครั้งเก่า ไหนจะอาการบาดเจ็บใหม่อีก ไม่สามารถใช้ปราณจิตราได้ ลมปราณก็อ่อนแรง พลังเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ อย่าดิ้นรนให้เสียแรงเปล่าเลย 

 กลับไปพบศิษย์พี่เซียวกับพวกข้าดีๆ ก็หมดเรื่องแล้ว มิเช่นนั้นหากต้องลงมือขึ้นมา ก็ต้องบาดเจ็บมากขึ้นอีก พวกข้าจะทำใจฝืนทนได้อย่างไร? 

เยี่ยนจ้าวเกอที่สังเกตการณ์อยู่ด้านข้างพลันยิ้ม แม้ว่าอาจจะดูได้เปรียบกว่า ทว่าดาบผลาญฟ้าคล้อยประจิมก็ดุร้ายรุนแรง หากเด็กสาวทุ่มสุดกำลัง ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เองก็กังวลว่าตนเองจะได้รับบาดเจ็บเช่นกัน

หากสามารถใช้คำพูดโน้มน้าวความคิดของอีกฝ่ายได้ย่อมดีที่สุด

อย่างน้อยที่สุดก็ส่งสัญญาณออกไปแล้ว ถ้ายืดเวลาออกไปได้อีกหน่อย คนอื่นๆ จากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็จะมาถึง ถึงตอนนั้นค่อยจับเด็กสาวตรงหน้า ก็เป็นเรื่องง่ายอย่างกับพลิกฝ่ามือ

จากมุมมองของเยี่ยนจ้าวเกอ เด็กสาวคนนั้นเป็นสาวงามที่หาพบได้ยากยิ่ง แม้จะไม่งดงามเหมือนเช่นเมิ่งหว่าน หรือสะสวยสะอาดสะอ้านอย่างเช่นซือคงจิง ทว่าอย่างน้อยก็อยู่ในระดับเดียวกับหลินอวี้เสา

นางมีใบหน้ารูปไข่ เครื่องหน้าอ่อนหวาน เรียวคิ้วเด่นชัด ทว่าใบหูที่ดูจะใหญ่ไปหน่อยทำความสวยลดน้อยลงไปบ้าง

แต่ในดวงตาคู่นั้น กลับเผยให้เห็นถึงความกล้าหาญที่หาได้ยากในสตรีเพศ

ไม่เหมือนอย่างเช่นเมิ่งหว่าน ซือคงจิง หรือหลินอวี้เสาที่ทำให้ผู้คนตะลึงงันตั้งแวบแรกที่เห็น แต่กลับเป็นหญิงงามที่ยิ่งมองนานเท่าไร ก็ยิ่งน่ามองเท่านั้น

ทว่าเมื่อสังเกตอย่างละเอียด ก็ไม่ด้อยไปกว่าเมิ่งหว่านหรือซือคงจิงเลย

เพียงแต่เยี่ยนจ้าวเกอกลับสามารถมองออกว่า ภายในดวงตาเด็กสาวผู้นี้นอกจากความกล้าหาญแล้ว ยังมีไอสังหารที่มากกว่าปกติอีกด้วย

ดาบยาวสีดำสนิทของนางเล่มนั้น เคยได้สัมผัสโลหิตจริงๆ มาแล้ว

เด็กสาวหัวเราะร่า  เช่นนั้นพวกเจ้าจะรออะไรอยู่เล่า เข้ามาจับข้าเสียสิ เหตุใดยังต้องข่มขวัญกันอยู่อีก สามรุมหนึ่งเช่นนี้ยังต้องระแวดระวังขนาดนี้เชียวหรือ? 

นางแสยะยิ้มมองศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงข้าม  อย่ามัวแต่ทำตัวให้ดูดี แต่ไม่ได้เรื่องนักสิ 

สีหน้าของศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียงแค่นหัวเราะ พลางจ้องเด็กสาวเขม็ง รอยยิ้มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นดุร้ายขึ้น  รู้สึกเหมือนว่าช่วงนี้ศิษย์พี่เฟิงจะขาดผู้ชายนะ? 

 แต่ไม่รู้ว่าท่านแก้ปัญหาอย่างไร? หรือว่าจะใช้งานเจ้าหมาดำอยู่ข้างขาของท่านหรือ? มิน่าท่านถึงได้พาติดกายตลอด 

 ทว่าอยู่ด้วยกันกับหมา คงลำบากศิษย์พี่แย่แลย ให้ศิษย์น้องคนนี้ช่วยเหลือท่านหน่อยดีหรือไม่? 

เด็กสาวคนนั้นได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้โมโหแต่อย่างใด ทว่ากล่าวอย่างช้าๆ ว่า  น่าเสียดายนะ เจ้าทายผิดแล้ว โร่วโร่วของข้าเป็นตัวเมียต่างหาก 

สุนัขสีดำที่อยู่ข้างขาของนางก็เห่าขึ้นสองครั้ง จ้องศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนนั้นด้วยแววตาดุร้าย

เมื่อสังเกตให้ดีๆ ก็จะเห็นว่าระหว่างขาของมันไม่มีของอย่างว่าจริงๆ

นางกล่าวอย่างไม่เร่งรีบว่า  ข้าไม่สนใจไม้จิ้มฟันอย่างศิษย์น้องหรอก หักครึ่งเป็นสองท่อนแล้วพับติดกัน ก็คงมีความหนาเท่ากับไม้จิ้มฟันสองอันเท่านั้น จะเป็นสตรีคนไหนก็ใช้การเจ้าไม่ได้หรอก 

ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนนั้นได้ยินเช่นนี้ ก็โกรธจนสีหน้าซีดเผือด

อีกคนที่อยู่ข้างๆ พลันส่งเสียงฮึดฮัด จ้องเด็กสาวด้วยเจตนาร้ายพลางกล่าวว่า  ศิษย์พี่รู้ขนาดของศิษย์น้องไช่ดีเหลือเกิน ดูท่าคงจะเคยลองมาแล้ว 

 ข้าเดาเอา  หญิงสาวยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ  ส่วนข้าจะเดาผิดหรือเดาถูกนั้น ศิษย์น้องไช่ผู้นี้ถอดกางเกงออกตอนนี้ พวกเราดูพร้อมกันก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ? 

ไม่ต้องบอกว่าศิษย์น้องไช่คนนั้นจะโมโหและอับอายแค่ไหน เยี่ยนจ้าวเกอที่สังเกตการณ์อยู่ข้างๆ ในตอนนี้ก็มีสีหน้าระอาเช่นกัน

แม่นางเอ๋ย ถึงแม้จะบอกว่าสตรีในยุทธภพไม่ถือสาในเรื่องเล็กเรื่องน้อย ทว่าท่าทีและวาจาเช่นนี้ของเจ้า แปดส่วนอาจจะยังเป็นลูกเจี๊ยบ ส่วนอีกสองส่วนคงจะเป็นเพราะประสบการณ์ในเรื่องเช่นนั้นยังมีไม่มากพอ

คำพูดคำจาโอ่อ่าผ่าเผยเช่นนี้ แข่งกับผู้ชายว่าใครแปดเปื้อนมากกว่ากันนั้น เหมาะสมแล้วหรือ?

ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์สกุลไช่ผู้นั้นอับอายจนโกรธจัด จนแสยะยิ้มอย่างดุร้ายพลางก้าวเข้าไปหาเด็กสาว  ข้าใช่ไม้จิ้มฟันหรือไม่ ประเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง! 

หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้น แล้วกล่าวอย่างสงบว่า  ศิษย์น้อง ที่จริงเจ้าแค่ยืนอยู่ที่เดิมก็ดีอยู่แล้วเชียว 

 เพราะว่าศิษย์พี่จะเดินไปหาอยู่แล้ว! 

ยังไม่สิ้นเสียงพูด แสงดาบก็สว่างวาบขึ้น!

ราวกับดวงอาทิตย์ที่เคลื่อนคล้อย ดิ่งลงไปทางทิศตะวันตก!

ทางที่ปลายดาบชี้ไป ราวกับจะเผาฟ้าทลายดิน!

………..

 

สำนักเขากว่างเฉิง ณ เกาะนภากลาง มีจวนถ้ำหินแห่งหนึ่งอยู่ลึกเข้าไปในทิวเขา เป็นสถานที่ที่คนในสำนักเขากว่างเฉิงมักใช้เข้าฌานบำเพ็ญเพียรโดยเฉพาะ

ประตูหินหน้าถ้ำที่ถูกปิดสนิทมาตลอดก่อนหน้านี้ จู่ๆ ก็เปิดออกอย่างเชื่องช้า

เด็กสาวอายุราวสิบห้าสิบหกปีคนหนึ่งเดินออกมาจากข้างใน นางสวมชุดสีขาวทั้งตัว นับว่าเป็นแสงสว่างหนึ่งเดียวในขุนเขารกชัฏ ประดุจบัวสายที่เบ่งบานอย่างเงียบๆ ในยามค่ำคืน

ด้านนอกถ้ำมีเด็กหนุ่มสองคนกำลังยืนรออยู่ เมื่อพวกเขาเห็นเด็กสาวเดินออกมา บนใบหน้าของทั้งสองคนก็เผยรอยยิ้มขึ้น  ศิษย์น้องหลินออกฌานแล้วหรือ? 

หลินอวี้เสายิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วคำนับทั้งสองคนก่อน  ศิษย์พี่ 

เด็กหนุ่มทั้งสองคนก็คำนับให้เช่นกัน หนึ่งในนั้นยิ้มแล้วพูดว่า  ขอแสดงความยินดีกับศิษย์น้องด้วย ที่เข้าฌานครั้งนี้มีการพัฒนามาก หากปฏิบัติภารกิจสำเร็จอีกสักหน่อย ก็จะได้คลุมชุดสีน้ำเงินแล้ว 

กฎของเขากว่างเฉิง ลูกศิษย์เยาว์วัยธรรมดาจะสวมชุดขาวทั้งหมด เหมือนกับกลุ่มของเยี่ยจิ่งและหลานเหวินเหยียน รวมทั้งหลินอวี้เสาที่อยู่ ณ ที่นี้ด้วยเป็นเช่นเดียวกันทั้งหมด

ผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่น และมีวรยุทธ์ในระดับหนึ่ง มีประสบการณ์และการฝึกฝนที่มากพอก็จะได้คลุมชุดน้ำเงินด้านนอกชุดขาว และก็จะถูกเรียกว่าศิษย์อัจฉริยะ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของสำนัก เช่น ซือคงจิง

เหนือขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง เช่น เยี่ยนจ้าวเกอ ที่คลุมชุดน้ำเงินแต่งขอบสีดำด้านนอกชุดขาว จะเรียกว่าศิษย์สืบทอดสายตรง นอกจากตำแหน่งที่ต่างกัน มีอำนาจและบำเหน็จสูงสุดแล้ว ก็ยังมีจำนวนก็น้อยที่สุดด้วย

หลินอวี้เสายิ้มบางๆ แล้วตอบว่า  ระยะเวลาการฝึกฝนของข้ายังน้อย พื้นฐานยังไม่มั่นคง ยังขาดประสบการณ์การออกไปฝึกฝนด้านนอก ยังห่างจากลูกศิษย์ชุดคลุมน้ำเงินอีกไกลนัก 

 วันข้างหน้าหากมีโอกาสได้ออกไปฝึกฝนข้างนอกกับศิษย์พี่ทั้งสอง ข้าคงต้องขอให้พวกท่านชี้แนะด้วย 

เด็กหนุ่มทั้งสองมองตากันครั้งหนึ่ง แล้วยิ้ม พูดในใจว่า ‘มีศิษย์พี่เยี่ยนเป็นเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่คอยบังลมต้านฝนให้ เจ้ายังมีภารกิจการฝึกฝนใดที่เจ้าจะผ่านไปไม่ได้อีกหรือ? ’

แต่ทว่าฝ่ายตรงข้ามอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่มีทีท่าว่าจะใช้อำนาจของเยี่ยนจ้าวเกอข่มขู่ ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกสบายใจไม่น้อย พวกเขาจึงยิ้มแล้วพูดพร้อมกันว่า  มีศิษย์พี่เยี่ยนคอยดูแลเจ้า พวกข้ายังจะมีประโยชน์ที่ไหนกัน? 

 กลับกันถ้ามีโอกาสที่ได้ออกไปฝึกฝนกับศิษย์พี่เยี่ยน นับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากสำหรับพวกข้า เมื่อถึงตอนนั้นยังต้องขอให้ศิษย์น้องหลินเสนอชื่อของพวกข้าให้กับศิษย์พี่เยี่ยนด้วย 

 ศิษย์พี่เยี่ยนมีประสบการณ์มากกว่าพวกเรานัก เขาต้องตัดสินใจด้วยตัวเองไว้ก่อนแล้ว  หลินอวี้เสากล่าวพร้อมรอยยิ้มจาง

 แต่ศิษย์น้องอย่างข้า ก็หวังว่าจะมีโอกาสได้ร่วมเดินทางกับศิษย์พี่ทั้งสอง 

ทั้งสองคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามต่างก็ยิ้ม ทุกคนต่างรู้ดีว่าคนที่ตัดสินใจแท้จริงอย่างไรก็เป็นเยี่ยนจ้าวเกอ แต่ว่าท่าทางเช่นนี้ของหลินอวี้เสาก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกเขา

 ไม่ทราบว่าศิษย์พี่ทั้งสองทราบหรือไม่ ว่าตอนนี้ศิษย์พี่เยี่ยนอยู่ที่สำนักหรือไม่?  หลินอวี้เสาเอ่ยถาม

ศิษย์เขากว่างเฉิงคนหนึ่งส่ายหน้า  ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่เยี่ยนรับหน้าที่เป็นปรมาจารย์นำลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งของสำนัก ไปยังหุบเหวปราการมังกรที่อยู่ในอาณาจักรถังตะวันออก เกาะนภาตะวันออก หลังจากนั้นก็พักอยู่ที่นั่นมาตลอด ยังไม่กลับมาที่สำนัก 

 เกาะนภาตะวันออก…อาณาจักรถังตะวันออก…  หลินอวี้เสานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สายตาเหม่อลอยไปชั่วขณะ แต่ไม่นานสายตาของนางก็กลับมาเป็นปกติ

ลูกศิษย์เขากว่างเฉิงคนนั้นมองนางครั้งหนึ่ง เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า  ศิษย์น้องเยี่ยก็ไปด้วย แต่ได้ยินมาว่าเขาหายตัวไป 

แววตาของหลินอวี้เสาวูบไหวเบาๆ ร่างกายชะงักไปเล็กน้อย และฟังฝ่ายตรงข้ามพูดต่อไปว่า  แต่ว่าก็แค่หายตัวไปเท่านั้น ตกลงว่าเป็นหรือตายยังไม่แน่ชัด 

อีกคนหนึ่งมองหลินอวี้เสาแล้วพูดขึ้นเบาๆ ว่า  ศิษย์พี่ซือคงก็เดินทางไปด้วย แต่มีข่าวลือว่าหลังจากออกมาจากหุบเหวปราการมังกรครั้งนี้ ท่าทีที่นางมีต่อศิษย์พี่เยี่ยนเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไป… 

หลิวอวี้เสาเงียบไปเล็กน้อย จากนั้นสีหน้าก็ค่อยๆ กลับเป็นปกติ แล้วพูดขึ้นเสียงเบา  หวังว่าเยี่ย…ศิษย์น้องจะโชคดีฟ้าคุ้มครอง 

ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีปัญหาอะไรกัน แต่อย่างไรทุกคนก็เป็นลูกศิษย์ร่วมสำนัก นางพูดเช่นนี้นับเป็นเรื่องปกติ

เพียงแต่ว่าลูกศิษย์ของเขากว่างเฉิงทั้งสองคนสบตากันครั้งหนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าแปลกไปบ้าง แต่ก็พยักหน้ารับ  จริงด้วย หวังว่าเขาจะโชคดีฟ้าคุ้มครอง 

ทั้งสามคนกล่าวลาและแยกย้ายกันไป หลินอวี้เสายืนนิ่งอยู่หน้าประตูจวนหินราวกับรูปปั้น ไม่ขยับเลยสักนิด

ผ่านไปนานพอสมควร นางถึงถอนหายใจออกมาเบาๆ ในที่สุดก็รู้สึกโกรธขึ้นมาบ้าง

หลังจากที่รายงานผลของการเข้าฌานฝึกฝนของตนเองเรียบร้อยแล้ว หลินอวี้เสาก็ยื่นคำขอออกนอกสำนัก เพื่อไปยังอาณาจักรถังตะวันออกที่อยู่เกาะนภาตะวันออก

ที่นั่นก็เป็นบ้านเกิดของนางเช่นกัน

เมื่อผู้อาวุโสปฏิบัติกิจที่ได้ฟังคำขอของนาง เขามองอีกฝ่ายด้วยสายตามีเลศนัยแฝงอย่างหาได้ยาก ด้วยทุกคนต่างก็รู้ว่าตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกออยู่ที่ถังตะวันออก

แต่ว่าผู้อาวุโสปฏิบัติกิจก็ไม่ได้ห้ามปราม กลับตอบตกลงโดยง่าย

หลินอวี้เสาก็ยังคงอ่อนโยนและมารยาทดีเช่นเคย นางกล่าวลาเรียบร้อย จากนั้นก็กลับไปที่พักของตนเอง ก่อนจพเก็บข้าวของและออกจากสำนัก

เพียงแต่ว่าภายใต้เปลือกนอกที่ดูสงบของนางนั้น ในใจของนางกลับรู้สึกสับสนยิ่งนัก แม้แต่ตัวนางเองก็ยังบอกได้ไม่ชัดเจน ว่าเหตุใดต้องการเดินทางไปยังอาณาจักรถังตะวันออกมากถึงเพียงนี้…

ขณะนี้เยี่ยนจ้าวเกออยู่ที่เทือกเขามฤคลับตา กำลังรอรายงานการค้นหาตัวเยี่ยจิ่งและเมิ่งหว่านจากผู้ติดตาม

 คุณชาย แม่นางหลินออกฌานแล้ว กำลังมาที่อาณาจักรถังตะวันออกขอรับ 

เมื่อได้รับรายงานจากคนรับใช้ เยี่ยนจ้าวเกอก็กะพริบตาปริบๆ รู้สึกประหลาดใจนัก ‘รีบมาขนาดนั้นเชียว?’

สำหรับคนคนหนึ่งที่ไม่เคยพบหน้า ไม่เคยพูดคุย และไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กันมาก่อน มีเพียงแค่ภาพจากความทรงจำของเจ้าของร่างคนเดิมเท่านั้น เยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้จึงยังบอกไม่ได้ว่าตนคิดเช่นไรกับหลินอวี้เสา ไม่มีทั้งความรู้สึกที่ดีและไม่ดี

ความคิดและความเข้าใจเกี่ยวกับคนที่เคยมีความสัมพันธ์กับเจ้าของร่างคนเดิม เยี่ยนจ้าวเกอเชื่อแค่เพียงคนที่ไปมาหาสู่และที่สัมผัสกับตัวเขาเองเท่านั้น ส่วนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมก็เป็นเพียงแค่ข้อมูล

แม้ว่าแม่นางหลินคนนี้จะถือเป็นต้นกำเนิดความขัดแย้งระหว่างตนเองและเยี่ยจิ่งก็ตาม

และไม่ว่าอย่างไรแม่นางคนนี้และเจ้าของร่างคนเดิมที่ตนเองอาศัยอยู่ในตอนนี้ก็มีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกันจริง และในสายตาของคนรอบข้าง นางกับตนก็ยังคงเป็นคนรักกัน

‘โอ๊ะ ไหนๆ ในที่สุดก็ออกฌานแล้ว รอพบหน้าสักครั้งหนึ่งก่อน ดูสิว่าตกลงเป็นคนอย่างไรแล้วค่อยว่ากัน’ เยี่ยนจ้าวเกอคิดไปคิดมา แล้วกลับมาสนใจการค้นหาเยี่ยจิ่งและเมิ่งหว่านที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง

 หาพบก็หา หาไม่พบก็ไม่เป็นไร  เยี่ยนจ้าวเกอพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า  แต่ว่าถ้าหาร่องรอยของเยี่ยจิ่งพบล่ะก็ พวกเจ้าไม่ต้องลงมือ แค่ยืนยันความเคลื่อนไหวของเขาก็พอ ข้าจะไปจัดการเขาเอง 

คนอื่นต่างคิดเพียงแค่ว่าเยี่ยนจ้าวเกอลงมือเองเพื่อระบายความโกรธเท่านั้น จึงตอบตกลงอย่างเต็มปากเต็มคำ

‘แต่ว่าเมิ่งหว่านนั้น…’ เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดในใจ ‘เฉาหยวนหลง…เซียวเซิง…เมิ่งหว่าน…คนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มากันเยอะแยะมากมายที่บริเวณใกล้ๆ หุบเหวปราการมังกรและเทือกเขามฤคลับตา มาทำอะไรกัน?’

เรื่องราวน่าสงสัยเช่นนี้ต้องมีความลับแน่ ความสนใจของเยี่ยนจ้าวเกอเพิ่มขึ้นอีก

ข่าวคราวของทางสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ จะเก็บรวบรวมมาได้ก็ยากเป็นธรรมดา ข้อมูลที่เยี่ยนจ้าวเกอมีอยู่ในมือ ก็เป็นแค่เศษเล็กเศษน้อยและทั่วไป

สิ่งเดียวที่มั่นใจได้ก็คือ พวกเขาไม่ได้มาเพราะความผิดปกติของหุบเหวปราการมังกร แต่ดูเหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่างอยู่มากกว่า

แต่ดูเหมือนพวกเขาจะเคลื่อนไหวกันอย่างลับๆ มากกว่า ไม่ใช่การส่งมาของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

 คุณชาย  ชายชุดดำคนหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ

เยี่ยนจ้าวเกอถาม  พบร่องรอยของใคร? 

 สตรีจันทราคนนั้นของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ขอรับ 

ชายหนุ่มดีดนิ้วครั้งหนึ่ง  นำทางไปดูกันหน่อย ฝั่งของอาหู่ก็ให้เขาตามหาเยี่ยจิ่งต่อไป 

น้อยนักที่เมิ่งหว่านจะออกจากสำนักและอยู่เพียงลำพังคนเดียว ดูจากสถานการณ์แล้วก็ไม่เหมือนกับว่าทางสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีผู้มีฝีมือดักซุ่มอยู่

ถ้าไม่มีโอกาสก็ช่าง แต่หากมีโอกาสแล้วไม่ทำอะไรสักหน่อย เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่าตนเองคงไม่มีหน้ากลับเขากว่างเฉิงแล้ว

การต่อสู้แย่งชิงระหว่างดินแดนศักดิ์สิทธิ์สองแห่ง ถ้าไม่มีการแทรกแซงของมือที่สาม ไม่ว่าฝั่งใดฝั่งหนึ่งมีจอมยุทธศักดิ์สิทธิ์เพิ่มหนึ่งคน หรือได้อาวุธศักดิ์สิทธิ์เพิ่มอีกชิ้นหนึ่ง ก็ส่งผลกระทบกับความสมดุลของสถานการณ์รบ และอาจจะถึงขั้นตัดสินแพ้ชนะได้เลยทีเดียว

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมงกุฎจันทรา ที่ไม่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ใดเทียบเทียมได้ ถ้าหากสตรีจันทราที่ขับเคลื่อนมันเข้าสู่ระดับมหาปรมาจารย์ พลังนั้นก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นอีก

ปัญหาหนึ่งเดียวที่มีคือ ถ้าจะต้องทำอะไรสักอย่าง เช่นนั้นจะต้องทำถึงขั้นไหน?

…ฆ่านาง?

เหมือนจะโหดร้ายเกินไปหน่อย

และถ้ามีข่าวหลุดออกไป ทั้งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต้องเดือดเป็นฟืนเป็นไฟแน่ และผลลัพธ์ที่จะตามมาก็คือเกิดสงครามขึ้นระหว่างสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในทันที

ก่อนหน้านี้ในบึงเย็น เมิ่งหว่านก็ได้รับบาดเจ็บอยู่บ้างแล้ว บาดแผลพวกนี้พอจะมั่นใจได้ว่านางอาจพ่ายแพ้ในการทดสอบจันทรากายครั้งต่อไปหรือไม่?

เยี่ยนจ้าวเกอคิดไปพลาง และเดินทางไปในหุบเขาด้วยความเร็ว

 คุณชาย  ขณะนั้นเองก็มีผู้ติดตามอีกคนมารายงานว่า  แถวนี้มีลูกศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนไหวอยู่ น่าจะเป็นคนที่ร่วมเดินทางกับเฉาหยวนหลงตั้งแต่ต้น 

 น่าสนุกนัก  เยี่ยนจ้าวเกอลูบคาง

……….

 

บุญคุณยื่นมือเข้าช่วยเหลือ บวกกับการร่วมทุกข์กันครั้งหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ก็สามารถสร้างสัมพันธไมตรีอันดีกับนางต่อได้แล้วหรือ?

ทั้งสองอาจกลายเป็นสามีภรรยากัน โดยหวนกลับบ้านพร้อมทั้งเงินทอง ก้าวสู่หนทางแห่งความสำเร็จด้วยกัน จากนั้นก็กลับมาหาเรื่องข้าภายหลังอย่างนั้นหรือ?

‘คิดได้ดีทีเดียว แต่ว่าจงลงไปดื่มน้ำในบึงดีๆ เสียเถอะ’

เยี่ยนจ้าวเกอแสยะยิ้ม แล้วหยุดการเก็บจิตมังกรน้ำแข็งลงกลางคัน แล้วเหวี่ยงฝ่ามือตบลงบนแผ่นป้ายโลหะครั้งหนึ่ง

แผ่นป้ายโลหะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงโดยพลัน จากนั้นโครงกระดูกขนาดมหึมาของมังกรน้ำแข็งก็สั่นสะท้านอย่างหนักไปด้วย

จิตมังกรน้ำแข็งส่งเสียงคำรามสะเทือนฟ้า และดังสนั่นจนหูแทบหนวก

ในตอนที่ฝ่ามือของเยี่ยนจ้าวเกอเลื่อนออกจากกระดูกมังกร การเชื่อมต่อกับระหว่างตัวเขาและจิตมังกรน้ำแข็งก็ถูกตัดขาด

เยี่ยจิ่งและเมิ่งหว่านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ยากที่จะรับรู้ถึงสถานการณ์ของเยี่ยนจ้าวเกอได้อีก

ขณะที่พวกเขายังตกตะลึง จิตมังกรน้ำแข็งก็ระเบิดขึ้นอย่างแรง ร่างขนาดมหึมาของมังกรบิดเคลื่อนตัวอย่างบ้าคลั่ง

ในบึงเย็นเกิดน้ำวนขนาดใหญ่ขึ้นอีกครั้ง กระแสน้ำไหลเชี่ยวและกำแพงหินที่พังทลายลงล้วนกระจายไปทั่วทุกทิศ

มังกรน้ำแข็งยกหัวขึ้นอย่างฉับพลัน และกระแทกเข้ากับร่างของเมิ่งหว่านอย่างแรง นางพยายามฝืนต้านเอาไว้ ทว่าร่างกายของนางสั่นสะเทือนอย่างหนัก จึงยากที่จะจับผ้าแพรไว้ได้

เยี่ยจิ่งแค่นหัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะสูญเสียการนำพาจากเมิ่งหว่านไป เขาจึงถูกพัดกลืนเข้าไปในคลองมืดใต้ดินสายหนึ่ง พริบตาเดียวเขาก็หายไป ไม่รู้ว่าถูกพัดไปถึงที่ไหน

ในน้ำมองไม่เห็นท้องฟ้าและดวงตะวัน มีแต่ความมืดมิดปกคลุมรอบด้าน

ร่างกายของเยี่ยจิ่งที่ลอยไปตามกระแสน้ำวน กระแทกเข้ากับกำแพงหินในคลองไม่หยุดหย่อน เขาเพียงรู้สึกถึงความเวียนหัว โลกหมุนกลับตาลปัตร

 เยี่ยน…จ้าว… 

เยี่ยจิ่งร้องตะโกนด้วยความโมโหอีกครั้ง แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ ลอดออกมา มีเพียงแค่น้ำเย็นเสียดกระดูกไหลท่วมเข้าในปากของเขา และกลืนเอาคำพูดท่อนหลังของเขาไปเสียดื้อๆ

ร่างกายของเขาเกิดบาดแผลไปทั่วอีกครั้ง แต่ที่กระจัดกระจายพาดทั้งตัวเขากลับไม่ใช้เลือดเนื้อจากบาดแผล แต่กลับเป็นเปลวไฟหลายแฉก

น่าเสียดายที่เมื่อเปลวไฟเพิ่งเริ่มปรากฎขึ้น มันก็ถูกพัดจมเข้าไปในกระแสน้ำไหลเชี่ยวของคลอง

เมื่อเมิ่งหว่านที่เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง นางก็ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว

การจะเอาตัวรอดในบึงเย็นบ้าคลั่งเป็นเรื่องยาก นางทำได้เพียงแค่ประคับประคองร่างกายเอาไว้ หลังจากกระแสน้ำสงบลงถึงจะกล้าเคลื่อนไหวอีกครั้ง

ในธารน้ำแข็งอีกด้านหนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอวางมือลงบนกระดูกหางของมังกรอีกครั้งอย่างไม่ทุกข์ร้อน แล้วทำการเก็บจิตมังกรน้ำแข็งที่ยังหลงเหลืออยู่อีกครั้ง

‘เดิมทีน่าจะเป็นการพบกันครั้งแรกโดยบังเอิญที่ซึ้งกินใจ แต่สุดท้ายกลับเป็นเช่นนี้เสียได้ ยิ่งไม่รู้เลยว่าด้านมืดในใจของใครบางคนในตอนนี้จะมีมากขนาดไหน?’

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม ‘เจ้าคิดว่าจะจบลงแค่นี้หรือ? เจ้าเด็กน้อย พวกเราเพิ่งเริ่มต่างหาก’

 ไปหาดู แรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวน่าจะไปทางทิศเหนือ เจ้าน่าจะเจอถ้ำแห่งหนึ่ง มีบึงเย็นอยู่ด้านล่างของถ้ำนั้น 

เขากล่าวเสริมหลังออกคำสั่งอีกว่า  เมิ่งหว่าน สตรีจันทราจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็น่าจะอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้น 

 แม้เยี่ยจิ่งจะถูกพัดไปในคลองมืดใต้ดิน แต่ก็คงอยู่ละแวกนั้น ใช้ที่นั่นเป็นศูนย์กลางแล้วขยายพื้นที่การค้นหาออกไปรอบๆ 

อาหู่พยักหน้า  ขอรับ คุณชาย 

เยี่ยนจ้าวเกอยังคงอยู่ต่อที่ใต้ทะเลสาบน้ำแข็ง เนื่องจากจิตมังกรน้ำแข็งถูกเขาดูดไป โครงกระดูกมังกรน้ำแข็งที่เคลื่อนไหวเมื่อครู่จึงค่อยๆ สงบลงแล้ว

และเมื่อชายหนุ่มเก็บจิตมังกรน้ำแข็งจนหมดแล้ว ในที่สุดเขาก็ยกมือออกจากกระดูกหางของมัน และดึงเอาแผ่นป้ายเหล็กออกจากข้อต่อของกระดูกด้วย

‘เหอะ ถ้าจะให้พูด เจ้าสิ่งนี้ก็เป็นของเยี่ยจิ่ง’ เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มอย่างไม่ได้สนใจ ‘เก็บดอกเบี้ยก่อนสักนิดแล้วกัน’

หยกครามน้ำแข็งที่อยู่ในมืออีกข้างของเขา บัดนี้เปลี่ยนไปเป็นสีขาวบริสุทธิ์ และมีเงาของมังกรเคลื่อนไหวเลือนรางอยู่ข้างใน

ทั้งยังมีเสียงคำรามดังลอดออกมาเป็นช่วงๆ หยกชิ้นนี้ขยับไปมาอย่างอิสระ ราวกับสิ่งมีชีวิตก็ไม่ปาน

กำลังมือของเยี่ยนจ้าวเกอยังไม่สามารถจับมันอย่างมั่นคง น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก

ชายหนุ่มออกจากทะเลสาบน้ำแข็ง ส่วนอาหู่ แม้จะได้รับคำสั่งให้ไปบึงเย็น แต่ก็มีชายชุดดำในระดับปรมาจารย์สองสามคนคอยคุ้มกันเขาอยู่ที่นี่

 สองคนเฝ้าธารน้ำแข็งนี้ไว้ จากนั้นก็ส่งคนไปแจ้งไปที่สำนัก ให้พวกเขามาเก็บโครงกระดูกของมังกรน้ำแข็งเหมันต์ไป 

เมื่อฟังคำสั่งจากเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว ชายชุดดำคนหนึ่งจึงตอบว่า  ขอรับ คุณชาย 

แม้ว่าจะไม่มีสิ่งที่มีค่าที่สุดอย่างจิตมังกรน้ำแข็งแล้ว แต่โครงกระดูกของมังกรน้ำแข็งเหมันต์ก็ยังคงมีคุณค่าสูงมาก

เยี่ยนจ้าวเกอออกจากธารน้ำแข็ง มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปบึงเย็นแห่งนั้น

ขณะที่กำลังเดินทางไป เยี่ยนจ้าวเกอกำหยกก้อนนั้นไว้ในมือ พลางถ่ายเทปราณจิตราเข้าไป เพื่อกระตุ้นจิตมังกรน้ำแข็ง

จิตมังกรน้ำแข็งเสมือนกับแสงสีขาว กำลังเคลื่อนไปมาอยู่ในหยกไม่หยุด และเมื่อได้รับการกระตุ้นจากปราณจิตราของเยี่ยนจ้าวเกอ แสงสีขาวนั้นก็เริ่มไหลเข้าไปในตัวเขาทันที

พลังจากแสงสีขาวแข็งแกร่งมาก ทำให้ร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกชาไปชั่วขณะ

แต่เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่สนใจ เขาลอบถอนหายใจเสียงหนึ่ง จุดตันเถียนชี่ไห่ในร่างกายมีปราณบริสุทธิ์เกิดขึ้น จากวิชาเอกพิสุทธิ์อันเป็นวิชาสายหลักเขากว่างเฉิง

แต่ที่ต่างออกไปจากจอมยุทธ์อื่นๆ ของเขากว่างเฉิงคือ ปราณบริสุทธิ์ที่อยู่ในจุดตันเถียนของเยี่ยนจ้าวเกอมีภาพเลือนรางปรากฏขึ้น

นี่ก็คือพื้นฐานของวรยุทธ์ที่เยี่ยนจ้าวเกอได้รับจากการฝึกฝนวิชาภายในคัมภีร์นภาไร้ขอบเขต ที่ถูกเก็บในวังเทพก่อนวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่

ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนเป็นภาพเลือนราง

และในภาพเลือนรางต่างๆ ก็บังเกิดเป็นทุกสรรพสิ่ง

เมื่อได้รับการกระตุ้นจากปราณเย็นของกระดูกมังกรน้ำแข็ง ภาพเลือนรางเหล่านี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นปราณที่ร้อนจัดทันที หลังจากความร้อนและความเย็นหลอมรวมกันแล้ว ก็เกิดเป็นภาพเลือนรางใหม่อีกครั้ง

และในระหว่างนี้ ปราณจิตราก็ไหลเวียนไปทั่วร่างกายเยี่ยนจ้าวเกอ และบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ!

ทุกรูทวารบนตัวของเขามีหมอกสีครามรุกล้ำอยู่เนืองๆ และเปลี่ยนเป็นรูปร่างของมังกรน้ำแข็งอย่างเห็นได้ชัด

หนึ่งรูทวารมีมังกรน้ำแข็งรุกล้ำอยู่หนึ่งตัว

มังกรทั้งฝูงร้องคำรามออกมา เกราะเกล็ดทั่วร่างกายสะบัดเปิดปิด แสดงพลังดุจคลื่นที่กำลังซัดสาด

หลังจากที่ฝึกวิชาไปแล้วสามสิบหกรอบ เยี่ยนจ้าวเกอก็หยุดพักชั่วคราว แล้วเก็บหยกมังกรน้ำแข็ง ก่อนจะหยิบแผ่นป้ายโลหะนั้นออกมาอีกครั้ง

ชายหนุ่มเห็นว่าลวดลายที่อยู่บนแผ่นป้ายไม่ขาดหายไปอีกต่อไป แยกแยะเนื้อหาและความหมายของตัวอักษรโบราณได้แล้ว

 ดวงดารารวมกลุ่ม ฝูงมังกรลอดวารี หุบเหวเหมันต์บรรพกาล เกล็ดย้อนตะลึงจันทร์… 

‘มังกรน้ำแข็งเหมันต์ที่ถูกฝังกระดูกอยู่ที่นี่ เกี่ยวข้องกับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็งท่านนั้นอย่างที่คิด และเขาก็ดูจะเกี่ยวพันกับปริศนาฝูงมังกรว่ายเข้าทะเลอีกด้วย ตัวอักษรพวกนี้เป็นคำชี้แนะ เป็นคำพูดทิ้งท้าย หรือเป็นข้อความเตือนกันแน่?’

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมา  น่าสนใจ น่าสนใจ… 

สำหรับวรยุทธ์วิชาที่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็งอาจเหลือทิ้งไว้ เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้สนใจสักเท่าไร แต่ว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของที่หายไปโดยไม่รู้สาเหตุของท่านจอมยุทธ์ในตอนนั้น กลับเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้ได้มากกว่า

แต่ ณ ตอนนี้ยังข้อมูลมีน้อยเกินไป จึงถือเป็นเรื่องในอนาคต

สิ่งที่เยี่ยนจ้าวเกอสนใจในตอนนี้ หนึ่งคือข่าวคราวของเยี่ยจิ่ง สองคือเมิ่งหว่านที่อยู่ในบึงเย็นก่อนหน้านี้

‘สตรีจันทรา…’ เยี่ยนจ้าวเกอฝืนยิ้ม ‘นภาพิภพกว้างใหญ่เช่นนี้ แต่กลับหาสตรีแห่งหยินไม่พบเลยสักคน เขากว่างเฉิงนี่โชคไม่ดีเอาเสียเลย’

สตรีจันทรามีจำนวนน้อยมาก และไม่ได้มีอยู่ในทุกดินแดนศักดิ์สิทธิ์

ดังนั้นการทดสอบแห่งจันทราสองครั้งที่ผ่านมา เขากว่างเฉิงจึงทำได้เพียงนั่งมองตาปริบๆ เท่านั้น คอยมองดูสตรีจันทราของสำนักอื่นประลองกัน ส่วนผู้ชนะเก็บมงกุฎจันทราไว้ในกระเป๋า

นี่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอเสียใจมาก

มงกุฎจันทราที่ปรากฏขึ้นหลังจากวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ แม้เยี่ยนจ้าวเกอจะไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับมันมากนัก แต่ในบรรดาสิ่งของที่วังเทพเก็บไว้ก่อนเกิดวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ กลับมีคัมภีร์วรยุทธ์สูงสุดที่เหมาะกับการฝึกฝนของจอมยุทธ์หญิงที่มีจันทรากายอย่างน่าประหลาด เป็นคัมภีร์ชั้นยอดเหนือกว่าทุกคัมภีร์ที่มีอยู่ในโลกแปดพิภพในปัจจุบัน

ถ้าหากเขากว่างเฉิงมีลูกศิษย์แบบนี้สักคนหนึ่ง ต่อให้ไม่มีจันทรากาย หรือมีความสามารถและวรยุทธ์ทั่วไป เยี่ยนจ้าวเกอก็มั่นใจอย่างยิ่งว่าจะบ่มเพาะนางเพื่อเข้าชิงมงกุฎจันทราได้

แต่แม่บ้านฝีมือดีก็ลำบากเมื่อขาดข้าวสาร[1] พูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์

เยี่ยนจ้าวพลันเกอกลอกตาครั้งหนึ่งด้วยความเจ็บใจ!

………………..

[1] แม่บ้านฝีมือดีก็ลำบากเมื่อขาดข้าวสาร อุปมาว่า ถ้าขาดวัตถุดิบหรือสิ่งของจำเป็นโดยเฉพาะ ก็ไม่อาจทำงานนั้นๆ ให้ดีได้

 

จากมุมมองของเยี่ยนจ้าวเกอ ตั้งแต่วินาทีแรกที่เมิ่งหว่านเข้ามาในน้ำ สถานการณ์ก็มีบางอย่างไม่ปกติอย่างเห็นได้ชัด

เสมือนว่ามีแนวโน้มที่มารจะเข้าแทรก

นางนั่งขัดสมาธิ ทั่วทั้งร่างกายถูกน้ำเย็นของบึงห้อมล้อมไว้ ใบหน้าที่สวยสะอาดมีสีหน้าเขียวทีแดงทีสลับกันไปไม่หยุด

ดวงตาทั้งสองข้างของนางปิดสนิท คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น บนใบหน้าเผยให้เห็นถึงความเจ็บปวดทรมานอยู่จางๆ

เยี่ยนจ้าวเกอพูดในใจว่า ‘นางไม่ได้เข้ามาในบึงเย็นเพื่อฝึกฝนจริงๆ ด้วย แต่เป็นเพราะเดิมทีร่างกายมีปัญหาอยู่แล้ว จึงใช้บึงเย็นแห่งนี้มาช่วยยับยั้ง’

และในตอนนี้เอง เยี่ยจิ่งก็ได้เข้ามาในบึงเย็นเช่นกัน ก่อนจะมองเมิ่งหว่านด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง

เมื่อถูกบึงเย็นกระตุ้น ลายเปลวเพลิงบนร่างกายของเขาก็ทอประกายขึ้น เกิดเป็นความร้อนที่มีอุณหภูมิสูงอย่างยิ่ง

เมิ่งหวานลืมตาขึ้น และมองไปที่เยี่ยจิ่งเช่นกัน ในดวงตากลมโตคู่นั้นเผยให้เห็นถึงความตกใจและความหวาดระแวง

สถานการณ์ในตอนนี้ นางทำได้เพียงแค่ฝืนประคับประคองไว้ให้ได้เท่านั้น ด้วยเพราะสมดุลของนางอ่อนแอนัก จึงไม่สามารถปกป้องตัวเองได้

เยี่ยจิ่งไม่จำเป็นต้องโจมตีนาง เพียงแค่รบกวนนิดเดียว นางก็ไม่มีทางฟื้นตัวได้อีก

เขาเหมือนจะรู้สภาพของเมิ่งหว่านในตอนนี้ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเข้าโจมตีนาง หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว เขาถึงจะเข้าไปใกล้นางอย่างช้าๆ

สุดท้าย เขาก็ยกมือบอกเมิ่งหว่านว่าตนเองไม่มีเจตนาร้าย แต่ต้องการจะช่วยนาง

เยี่ยจิ่งยื่นมือทั้งสองออกไปตรงๆ ฝ่ามือของเขาร้อนดุจไฟ แม้จะอยู่ในส่วนลึกของบึงเย็น แต่ก็คล้ายกับว่าสามารถสัมผัสได้ถึงพลังความร้อนนั้นเลยทีเดียว

เมิ่งหว่านกะพริบตาและกัดฟัน ก่อนจะยื่นมือทั้งสองออกไปเช่นกัน ฝ่ามือของนางหันเข้าหาฝ่ามือของเยี่ยจิ่งในน้ำ

นางมีจันทรากาย ส่วนร่างกายที่สร้างขึ้นใหม่ของเยี่ยจิ่ง เห็นได้ชัดว่ามีสภาพที่ร้อนรุ่มดั่งไฟด้วยเหตุผลพิเศษ ทั้งสองคนจึงเป็นสภาพที่หยินหยางช่วยส่งเสริมและยับยั้งกันได้พอดี

วรยุทธ์ของเยี่ยจิ่งในตอนนี้แม้จะยังห่างชั้นจากเมิ่งหว่านมาก แต่ตอนนี้กลับคลายความคับขันของนางได้พอดี ราวกับฝนที่ตกลงมาในเวลาที่เหมาะสม

ปราณจิตราในร่างกายของเมิ่งหว่านที่กำลังจะอยู่ในวิกฤติมารเข้าแทรกนั้น ค่อยๆ สงบลงเนื่องจากความช่วยเหลือของเยี่ยจิ่งทันที

เยี่ยนจ้าวเกอมองเหตุการณ์นี้แล้ว กลับกลอกตาขาว

 บทแบบนี้ คุ้นเคยเหลือเกิน… 

 เป็นการพบกันครั้งแรกโดยบังเอิญที่ซึ้งกินใจจริงๆ 

 แม้จะไม่ต้องถอดเสื้อรักษาบาดแผล แต่หลังจากนี้หากได้ติดต่อกันหลายครั้ง ก็จะอยู่ด้วยกันแล้วเกิดเรื่องอย่างว่าขึ้นมากมายใช่หรือไม่? 

 วาสนาเรื่องผู้หญิงของเจ้า…ข้าหมดคำบรรยายจริงๆ 

แต่ว่าเมื่อถูกปราณจิตราของทั้งสองคนกระตุ้น โครงกระดูกของมังกรน้ำแข็งเหมันต์ขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้ชั้นน้ำแข็งของก้นบึง ก็เริ่มมีแสงสีขาวอ่อนๆ วิ่งผ่านไปตรงบริเวณกระดูกส่วนหัวของมังกร

จิตมังกรน้ำแข็งเริ่มตื่นขึ้นจากการหลับใหลแล้ว!

บึงเย็นเริ่มสั่นไหว น้ำที่เย็นเฉียบของบึงก็กระเพื่อมไม่หยุด ในเบ้าตาของกระดูกส่วนหัวมังกรขนาดใหญ่บริเวณน้ำแข็งก้นบึงเย็น พลันมีแสงสีครามสว่างขึ้น!

ชั่วครู่หนึ่ง ชั้นน้ำแข็งที่ก้นบึงเย็นก็แตกร้าวออกมาในที่สุด เสียงคำรามดังสนั่นดังขึ้น บนโครงกระดูกของมังกรน้ำแข็งเกิดแสงสีขาวเป็นแฉกๆ ขึ้น

ในบึงเย็นราวกับเกิดคลื่นกระหน่ำเข้ามาในทันที

น้ำในบึงกลายเป็นน้ำวนขนาดใหญ่ ที่จะบดทุกอย่างที่ตกลงไปให้แหลกละเอียด

ในส่วนลึกของบึงเย็น ฝ่ามือทั้งสี่ของเมิ่งหว่านและเยี่ยจิ่งทาบเข้าหากัน ร่างกายหมุนไปตามแรงของน้ำวน และพยายามต้านทานแรงกดดันที่มาจากน้ำวนไปพร้อมๆ กัน

ด้านล่างของน้ำวน มังกรน้ำแข็งยื่นโครงกระดูกส่วนหัวขนาดใหญ่ออกมา ก่อนจะอ้าปากกว้างพลางคำรามไม่หยุด

การเคลื่อนไหวของกระดูกมังกรทำให้บึงเย็นสั่นสะเทือนไปทั่ว และยังขยายออกไปตามแนวพื้นดิน

ธารน้ำแข็งที่เป็นที่ตั้งของกระดูกส่วนหาง ก็ได้รับผลกระทบในทันที

ผ่านไปไม่นาน ในที่สุดเมิ่งหว่านและเยี่ยจิ่งก็ค่อยๆ คุ้นเคยกับแรงหมุนของน้ำวน จึงเริ่มหาวิธีที่จะเอาตัวรอด

ร่างกายของเมิ่งหว่านได้รับการดึงดูดจากโครงกระดูกของมังกรน้ำแข็งทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งถูกพัดไปยังส่วนหัวของมังกร และถูกมันดูดไว้

บัดนี้วรยุทธ์ในร่างกายของนางกำลังขับเคลื่อนถึงขีดสูงสุด แสงสีขาวที่ปรากฏขึ้นตรงหัวของมังกรพลันไหลเข้าร่างกายของนางในทันที

เยี่ยนจ้าวเกอเห็นภาพตรงหน้าก็เข้าใจทันที  จันทรากายเป็นเงื่อนไขที่พิเศษจริงๆ…นางรั้งจิตมังกรน้ำแข็งได้อย่างที่คิด 

เมื่อได้จิตกระดูกมังกรเข้าไปในร่างกาย สีหน้าของเมิ่งหว่านที่ขาวซีด ก็เริ่มกลับมามีสีแดงระเรื่อขึ้นอีกครั้ง

เยี่ยจิ่งที่ยังคงทาบฝ่ามือทั้งสี่ไว้กับนาง ก็ถูกดูดไปที่กระดูกหัวของมังกรน้ำแข็งเช่นกัน

แม้ว่าน้ำในน้ำวนจะยังคงพัดร่างของเยี่ยจิ่งอยู่ แต่เขาก็ยังฝืนร่างกายให้นิ่งได้

ลายเปลวเพลิงไหลเวียนทั่วทั้งร่างกายของเขา เห็นได้ชัดว่าเป็นการขับเคลื่อนวรยุทธ์จนถึงขีดสูงสุดเช่นกัน

แสงสีขาวเริ่มไหลผ่านจากมือทั้งสองของเมิ่งหว่าน ไปยังร่างกายของเขาทีละเล็ก ทีละน้อย

เมิ่งหว่านไม่ถือสาอะไร แม้นางจะโชคดีที่มีจันทรากายตั้งแต่เกิด แต่คิดจะเก็บจิตมังกรน้ำแข็งเพียงลำพังคนเดียวก็ยังเป็นเรื่องที่ยากอยู่ดี

แต่ในวินาทีนั้นเอง จู่ๆ ร่างกายขนาดมหึมาของมังกรน้ำแข็งก็เกิดนิ่งชะงัก

แสงสีขาวสายหนึ่งปรากฏขึ้นบนกระดูกมังกร ทะลุออกจากข้อต่อของกระดูกสันหลัง และขยายไปเรื่อยๆ จนถึงหัวมังกร

จากนั้นแสงสีขาวที่กำลังสั่นไหว ก็เริ่มเบาบางอย่างรวดเร็ว

เยี่ยนจ้าวเกอรู้ดีแก่ใจ ว่าเป็นเพราะตนเองกับอาหู่มาถึงแล้ว และเริ่มเก็บจิตมังกรน้ำแข็งจากส่วนหางของมังกร เมื่อได้รับผลกระทบเช่นนี้ ส่วนหัวมังกรเองก็จะถูกกระตุ้นด้วยเช่นกัน

หลังจากน้ำวนในบึงเย็นสงบลงเล็กน้อย จู่ๆ ก็ระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงทันที

สองมือของเมิ่งหว่านและเยี่ยจิ่งที่ทาบเข้าหากันอยู่ พลันสั่นไหวจนหลุดออกจากกัน ทั้งสองคนจึงถูกน้ำวนพัดไปคนละทิศทาง

ความทรงจำของจิตมังกรน้ำแข็งปรากฏภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตอีกครั้งอย่างสมบูรณ์

แต่ละภาพแล่นผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความทรงจำที่บันทึกไว้จบลงเพียงเท่านี้ ภาพที่เยี่ยนจ้าวเกอมองเห็นในตอนนี้ตรงกับสถานการณ์จริงในปัจจุบันแล้ว

ถึงจะเป็นการเชื่อมจิตเข้ากับจิตมังกรน้ำแข็ง แต่เยี่ยนจ้าวเกอก็ยังคงมองเห็นสถานกาณ์ของฝั่งตรงข้ามได้ชัดเจน

สิ่งที่ต่างกันก็คือ ดวงตาดุจน้ำใสในทะเลสาบคู่หนึ่ง บัดนี้ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้า และมองสบตากับตนเองอยู่

เมิ่งหว่านเชื่อมจิตกับจิตมังกรน้ำแข็ง

เยี่ยนจ้าวเกอมองเมิ่งหว่านด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบ

หลังจากมาถึงโลกนี้ เมื่อได้รู้เรื่องของมงกุฎจันทรา เยี่ยนจ้าวเกอก็ยังได้รู้ถึงเรื่องที่น่าอึดอัดใจมากเรื่องหนึ่งเช่นกัน

คือสำนักเขากว่างเฉิงของตนเองไม่มีสตรีจันทรา

สำนักเขากว่างเฉิงไม่มีลูกศิษย์หญิงที่มีจันทรากาย แน่นอนว่าไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันชิงมงกุฎจันทราได้

แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่ามงกุฎจันทราตกหล่นไปยังสำนักอื่นแล้ว จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขากว่างเฉิงเลย

แต่ละดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีความสัมพันธ์อันดีและไม่ดีระหว่างกัน

และที่บังเอิญก็คือ สำนักเขากว่างเฉิงและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยจะลงรอยกัน

ตนเองไม่สามารถได้มาซึ่งมงกุฎจันทรา นั่นหมายความว่าฝ่ายตรงข้ามก็ต้องไม่ได้ด้วยเช่นกัน

ดังนั้นถึงแม้จะไม่ได้มีความแค้นส่วนตัวกับเมิ่งหว่านก็ตาม แต่เรื่องนี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแย่งชิงในระดับสูงกว่านั้น เยี่ยนจ้าวเกอจึงไม่อาจมองข้ามได้

เยี่ยนจ้าวเกอมองไป ก่อนจะเห็นทางฝั่งบึงเย็นมีแนวโน้มว่าจะถล่ม เนื่องจากการสั่นไหวก่อนหน้านี้

กำแพงหินที่อยู่รอบๆ บึงเย็นพากันร้าวและถล่มลง กลายเป็นคลองมืดใต้ดินหลายสาย น้ำในบึงเย็นก็เริ่มไหลไปตามคลองต่างๆ

เยี่ยจิ่งก็ถูกน้ำพัดเอาตัวไป และกำลังจะถูกพัดไปในคลองมืดสายหนึ่ง

เมื่อเห็นว่าเขาตกอยู่ในอันตราย เมิ่งหว่านก็เลิกคิ้วสูง คิดอยากจะยื่นมือออกไปให้ความช่วยเหลือ แต่จิตมังกรน้ำแข็งดูดร่างกายของนางไว้ จึงไม่สามารถขยับได้

เมิ่งหว่านกระตุกข้อมือครั้งหนึ่ง ภายใต้ปราณจิตราที่ถูกขับเคลื่อน ผ้าแพรยาวผืนหนึ่งยื่นทะลุน้ำที่ไหลเชี่ยวในบึงไปถึงตรงหน้าของเยี่ยจิ่งราวกับเป็นเหล็กกล้าท่อนหนึ่ง

เยี่ยจิ่งจึงรีบยื่นมือออกไปจับผ้าแพรยาวสีขาวนั้น แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงปราณจิตราของเมิ่งหว่าน เขาก็สติหลุดลอยไปเล็กน้อย

จิตของเขาเชื่อมเข้ากับจิตมังกรน้ำแข็งอย่างแผ่วเบา

หลังจากนั้น ใบหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา

ดวงตาทั้งสองของเยี่ยจิ่งก็แดงก่ำทันที

 เยี่ยนจ้าวเกอ!!! 

ลายเปลวเพลิงบนตัวของเขาเคลื่อนไหวรุนแรงขึ้นในพริบตา และเริ่มลุกลามอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะแผ่กระจายออกไปทั่วทั้งตัว

เมิ่งหว่านที่เห็นบึงเย็นกำลังจะพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง และอีกฝั่งก็มีการแย่งชิงจากเยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยจิ่งที่เป็นผู้ช่วยของฝั่งตนเองก็สภาวะไม่มั่นคง นางจึงถอนหายใจเงียบๆ ครั้งหนึ่ง

นางตัดสินใจใช้วิชาสวนทาง ฝืนทนการกระอักเลือดไว้ และตัดความสัมพันธ์ระหว่างตนเองและจิตมังกรน้ำแข็งออกไปอย่างดื้อๆ เตรียมถอนตัวออกจากบึงเย็นก่อนแล้วค่อยว่ากัน

เยี่ยจิ่งเบิกตาโพลงด้วยความโกรธจัด ความโมโหและความไม่พอใจเปลี่ยนเป็นความแค้น ‘ข้าไปที่ไหน เจ้าก็ตามไปถึงที่นั่น จะฆ่าข้าให้ตายหรืออย่างไร’

‘ข้าขอบอกเจ้าเลย ว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!’

‘สุนัขบ้าที่คอยทำร้ายข้าไม่เลิกรา แค้นนี้ข้าต้องชำระแน่!’

เยี่ยนจ้าวเกอมองเยี่ยจิ่ง แล้วยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา ‘เจ้าเด็กน้อย เจ้าน่าจะดีใจนะ ที่ตอนนี้ข้าไม่ได้อยู่ที่บึงเย็นฝั่งนั้น’

‘เมิ่งหว่านคล่องแคล่วมาก จัดการตัดความสัมพันธ์ออกดื้อๆ แล้วรีบหนี มิเช่นนั้นข้าคงส่งคนไปดักพวกเจ้าไว้ที่บึงเย็นแน่’

‘แต่ว่าเจ้าคิดว่าเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าจะหมดหนทางจัดการกับเจ้าหรือ?’

‘จ่ายดอกเบี้ยมาก่อนสักนิดแล้วกัน’

เยี่ยนจ้าวเกอชักฝ่ามือที่วางอยู่บนกระดูกหางของมังกรกลับอย่างฉับพลัน จากนั้นก็ตบมือไปลงบนแผ่นป้ายโลหะที่ติดอยู่ระหว่างข้อต่อของกระดูกครั้งหนึ่ง!

………………..

 

อาหู่มองบนผิวของทะเลสาบน้ำแข็งด้วยความรู้สึกเจ็บใจเล็กน้อย  ถ้าเป็นจิตมังกรน้ำแข็งจริง ก็ไม่อาจเก็บมาได้ น่าเสียดายมากจริงๆ 

 คุณชาย ข้ากลับไปพาคนมาอีกดีหรือไม่ ถึงแม้ว่าอาจจะต้องแบ่งบางส่วนให้ไป แต่ก็ดีกว่าเจอขุมทรัพย์แต่กลับบ้านมือเปล่านะขอรับ 

เยี่ยนจ้าวเกอมองผิวทะเลสาบเช่นเดียวกัน ก่อนจะเห็นที่ข้างใต้ทะเลสาบน้ำแข็ง มีเงามืดเลือนรางขนาดใหญ่กำลังบิดตัวขยับไปมา จนเกิดแรงสั่นสะเทือนขนาดใหญ่ ทำให้ธารน้ำแข็งทั้งสายราวกับเกิดแผ่นดินไหว

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มุมปากของเยี่ยนจ้าวเกอก็ยิ้มขึ้นบางๆ  อาจจะยังมีอีกหนึ่งวิธีที่ลองดูได้ 

จากนั้นเขาก็หยิบแผ่นป้ายโลหะชิ้นหนึ่งออกมาจากช่องอก ครั้นมองดูลวดลายของตัวหนังสือโบราณที่ขาดหายไปบนนั้นแล้ว ชายหนุ่มถึงถ่ายเทปราณจิตราของตนเองเข้าไป

ลวดลายบนแผ่นป้ายโลหะเล็กๆ นั้น พลันมีแสงสีขาวส่องสว่างขึ้นทันที

ในสภาพแวดล้อมที่หนาวเหน็บจนถึงขีดสุดอย่างร่องธารน้ำแข็งตอนนี้ แสงสีขาวส่องสว่างและเจิดจ้ายิ่งกว่าปกติ และค่อยๆ ปรากฏสีครามเย็นออกมาเล็กน้อย

เยี่ยนจ้าวเกอก็ยังคงถ่ายเทพลังต่อไปอย่างเงียบๆ และปราณจิตราของตนเองก็เริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อมาถึงขอบของทะเลสาบน้ำแข็ง ชายหนุ่มค่อยนั่งยองๆ ลง ให้แผ่นป้ายโลหะสัมผัสกับผิวน้ำแข็งของทะเลสาบ

วินาทีถัดมา การสั่นสะเทือนที่อยู่ด้านล่างของทะเลสาบก็ราวกับสงบลงไปในพริบตา

แต่ต่อมาด้านล่างทะเลสาบก็สั่นสะเทือนขึ้นอย่างดุเดือดและรวดเร็ว ทำให้ผิวน้ำแข็งเหนือทะเลสาบชั้นบนสุดเริ่มแตกร้าว

บนแผ่นป้ายโลหะระเบิดพลังมหาศาลออกมาในทันที มันสั่นสะเทือนจนเกือบจะหลุดจากมือของเยี่ยนจ้าวเกอไป

ชายหนุ่มเพิ่มแรงไปที่นิ้วมือ และจับแผ่นป้ายโลหะนั้นจนแน่น

จากนั้นเขาสัมผัสได้ถึงแรงดูดที่มาจากน้ำในทะเลสาบอย่างชัดเจน ที่กำลังจะดูดเอาแผ่นป้ายโลหะเข้าไปในน้ำ

เสียงคำรามที่อยู่ใต้ในทะเลสาบก็ยิ่งดั่งสนั่นแก้วหูมากยิ่งขึ้น

เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอลุกขึ้นยืน รอบกายปรากฏกระแสอากาศไร้รูปร่างไหลสะพัด เปล่งแสงสีทองเรืองรอง ทั้งยังแผ่กระจายปราณจิตราปกคลุมร่างกายของชายหนุ่มไว้ ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในทะเลสาบน้ำแข็ง

อาหู่ที่อยู่ด้านหลังออกคำสั่งให้คนอื่นๆ คอยอารักขา ส่วนเขาตามเยี่ยนจ้าวเกอเข้าไปติดๆ

ชายหนุ่มและคนสนิทลงไปใต้น้ำเรื่อยๆ โดยที่กระแสน้ำเย็นเยือกรอบข้างเริ่มมารวมตัวกันที่แผ่นป้ายโลหะในมือของเขา

ภายใต้แสงสีครามที่ปกคลุมไปทั่ว แผ่นป้ายโลหะนั้นค่อยๆ ฟื้นกลับคืนสู่สภาพที่สมบูรณ์

ใบหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอเผยให้เห็นรอยยิ้ม วินาทีถัดมา เขาก็เห็นเงาดำขนาดใหญ่ขยับเข้ามาใกล้ แต่กลับเป็นกระดูกส่วนหางขนาดใหญ่ของมังกร

ครั้นเขากับอาหู่ตกลงบนกระดูกส่วนหางของมังกร ชายหนุ่มยืนอยู่บนนั้นอย่างมั่นคง ทว่าร่างกายขยับไหวไปมาตามแรงของกระดูกมังกรที่ก้นทะเลสาบน้ำแข็ง

เยี่ยนจ้าวเกอนำแผ่นป้ายโลหะที่อยู่ในมือ เสียบเข้าไประหว่างช่องว่างระหว่างข้อต่อของกระดูกสองชิ้นอย่างแม่นยำ

กระดูกมังกรสั่นสะท้านทั้งหมด ก่อนจะปรากฏแสงสีขาวนวลจากตรงกลางของกระดูกสันหลังสายหนึ่ง และส่องแสงทะลุออกจากทุกข้อกระดูก

เขายื่นมืออีกข้างหนึ่งออก วางไปบนแสงสีขาวที่สาดส่องออกมา แม้ว่าบัดนี้จะมีปราณจิตราปกป้องร่างกายของเขาอยู่ แต่เมื่อได้สัมผัสความเย็นเยือกจากแสงนั้น เขาก็ยังรู้สึกหนาวเหน็บไปจนถึงกระดูก

‘หมุน!’ เยี่ยนจ้าวเกอพูดและขับเคลื่อนวิชาลับในใจ แสงสีขาวที่อยู่บนกระดูกมังกรก็เริ่มขยับบิดตัวทันที

แสงสีขาวเริ่มหลุดจากกระดูกมังกร ราวกับถูกพลังมหาศาลดูดออกไป

อาหู่ที่อยู่ด้านข้างก็ได้เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว เขานำหยกครามน้ำแข็งขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งออกมา แล้วส่งให้กับเยี่ยนจ้าวเกอ

ชายหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งวางไปบนกระดูกมังกร ส่วนมืออีกข้างหนึ่งจับก้อนหยกไว้ ไม่นานนัก ในหยกครามน้ำแข็งก็ค่อยๆ ส่องแสงสีขาวออกมา และมีเสียงคำรามเกิดขึ้นภายในนั้นด้วย

จิตมังกรน้ำแข็งถูกดูดออกมาจากกระดูกมังกรไม่หยุดหย่อน โดยมีเยี่ยนจ้าวเกอเป็นตัวเชื่อมโยง และมีหยกครามน้ำแข็งผนึกไว้

เยี่ยนจ้าวเกอมีสีหน้าราบเรียบ เพียงแต่ว่าบนใบหน้าของเขาค่อยๆ ถูกแสงสีน้ำเงินปกคลุมไว้ เส้นเลือดบนใบหน้าเต้นเร่าไม่หยุด

อาหู่ที่เห็นดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกครั้งหนึ่ง เพราะรู้ว่าทุกอย่างราบรื่น ต่อไปคุณชายของเขาต้องใช้เวลาอีกหน่อย ก็จะได้จิตมังกรน้ำแข็งมาไว้ในมือแล้ว

แต่สีหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่ได้ผ่อนคลายลงเลย ‘มีอีกคนอยู่ฝั่งหัวมังกร กำลังดูดจิตกระดูกมังกรอยู่เช่นกันหรือนี่?’

‘คนที่ปลุกจิตกระดูกมังกรให้ตื่นขึ้นจนเกิดแผ่นดินไหว ดูท่าก็คงจะเป็นพวกเขากระมัง’

เยี่ยนจ้าวเกอเพ่งมองไปตรงๆ เห็นพวกของตนเองสองคนยืนอยู่บนกระดูกส่วนหางของมังกร แต่ลำตัวของมังกรยาวมากจนถึงใต้ชั้นหินของก้นทะเลสาบ จึงไม่รู้ว่ากระดูกส่วนหัวของมังกรยืดยาวออกไปถึงที่ไหน

ชายหนุ่มหลับตาลง สงบจิตใจลงและรวมจิตเข้ากับจิตมังกรน้ำแข็ง ในสมองก็ค่อยๆปรากฏอีกภาพหนึ่งขึ้นมา

ภาพมากมายผ่านสายตาของเขาไปอย่างรวดเร็ว

ในหุบเหวขนาดใหญ่มีถ้ำลึกแห่งหนึ่ง ลมหนาวลอยเป็นเกลียวอยู่รอบๆ เป็นโลกน้ำแข็งเหมันต์อีกแห่งหนึ่ง

ที่ชั้นล่างสุดของถ้ำ เป็นบึงน้ำหนาวเหน็บที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นแห่งหนึ่ง

พื้นของบึงน้ำคือกระดูกสีขาว อันเป็นกระดูกส่วนหัวของมังกรน้ำแข็งขนาดใหญ่ ซึ่งนิ่งไม่ขยับราวกับกำลังนอนหลับอยู่

จู่ๆ น้ำในบึงก็กระเพื่อม โดยมีเด็กสาวสวมชุดกระโปรงสีขาวสะอาดคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่ในบึงนั้น

สตรีนางนี้งดงามไม่แพ้ซือคงจิงเลยแม้แต่น้อย เครื่องหน้าของนางไร้ที่ติ ดวงตาสดใสและอ่อนโยนราวกับลูกกวาง ซึ่งทำให้คนเกิดความเอ็นดูอย่างอดไม่ได้

‘นี่เป็นความทรงจำที่หลงเหลืออยู่ของจิตมังกรน้ำแข็ง ที่กำลังถ่ายทอดเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีตอีกครั้ง’ แต่ที่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอสะดุดใจก็คือ ตนเองรู้จักเด็กสาวผู้นี้อย่างเห็นได้ชัด

ถึงแม้ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ด้วยตัวเองมาก่อน แต่เยี่ยนจ้าวเกอก็มั่นใจว่าไม่ผิดคนแน่นอน

นางมีนามว่าเมิ่งหว่าน ลูกศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

‘น่าสนใจนัก…’ เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลงเล็กน้อย

ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน จู่ๆ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งมากชิ้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในโลกแปดพิภพ

สมบัติชิ้นนี้มีชื่อว่ามงกุฎจันทรา มีที่มาไม่แน่ชัด แต่มีพลังอานุภาพที่สุดยอด เรียกได้ว่าเป็นอาวุธระดับสูงของเกณฑ์ระดับอาวุธของโลกแปดพิภพหลังจากวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่

แต่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ก็ประหลาดมาก เพราะไม่ว่าจะคนปกติหรือจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่สามารถขับเคลื่อนพลังของมันได้เลยแม้แต่นิดเดียว

มีเพียงแค่หญิงสาวที่มีสภาพร่างกายเป็นจันทรากายและอยู่ในระดับปรมาจารย์แล้วเท่านั้นถึงจะขับเคลื่อนพลังในระดับที่จำกัดได้

แต่ว่ามงกุฎจันทราก็แข็งแกร่งมาก แม้จะเป็นสตรีจันทราระดับปรมาจารย์เป็นคนขับเคลื่อน ก็ใช้ได้แค่พลังที่ใกล้เคียงกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปเท่านั้น

หลังจากที่พบเคล็ดลับแล้ว โลกแปดพิภพก็ครึกครื้นขึ้นในทันที ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แต่ละแห่งเริ่มค้นหาหญิงสาวที่มีจันทรากายจากทั่วทุกสารทิศมาเข้าสำนักเพื่อบ่มพาะ

เพียงแต่ว่าสตรีจันทราเดิมทีก็มีจำนวนที่น้อยมากอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องคัดเลือกบุคคลที่มีอายุที่เหมาะสมเพื่อฝึกฝนอบรมวรยุทธ์วิชาด้วย

ทว่าโลกแปดพิภพมีพื้นที่กว้าง คนก็มาก สุดท้ายค้นพบสตรีจันทราจำนวนหนึ่งจนได้ และถูกแบ่งเป็นคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ต่างกันไป

มงกุฎจันทราแข็งแกร่งมากเกินไป เพียงแค่จอมยุทธ์หญิงระดับปรมาจารย์ก็ใช้พลังที่มีอานุภาพที่แข็งแกร่งได้ และถ้าให้สตรีจันทราที่บรรลุระดับมหาปรมาจารย์แล้วใช้ ก็ยิ่งไม่ต้องคิดภาพเลย

เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นสำนักใดที่ได้มงกุฎจันทรามาครอบครองแต่เพียงผู้เดียว ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ก็ไม่มีทางยอมรับง่ายๆ

แต่พลังของมงกุฎจันทรา สำหรับศัตรูของโลกแปดพิภพอย่างโลกปีศาจอัคคี มันสามารถใช้สกัดกั้นอีกฝ่ายได้ดีเลยทีเดียว ซึ่งเป็นพลังที่โลกแปดพิภพต้องการอย่างเร่งด่วน

ดังนั้น หลังจากที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แต่ละแห่งได้ทำสัญญาพันธมิตรกันแล้ว เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่งก็จะมีการจัดการทดสอบแห่งจันทราขึ้นครั้งหนึ่ง สตรีจันทราของแต่ละสำนักจะทำการประลองกัน และผู้ชนะก็จะได้มงกุฎจันทรามาครอบครองระยะหนึ่ง

ซึ่งเบื้องต้นยังไม่มีสตรีจันทราทีอยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ถือกำเนิดขึ้น ดังนั้นทุกสำนักจึงยังยอมรับการทดสอบแห่งจันทรา และสามารถจัดขึ้นอย่างสงบได้

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แต่ละแห่งต่างก็ลงทุนลงแรงในการบ่มเพาะสตรีจันทราของตนเองเต็มที่

เมิ่งหว่านก็คือสตรีจันทราของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

สภาพแวดล้อมของบึงเย็นแห่งนี้สำหรับจันทรากายของนาง ถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่ล้ำค่าทีเดียว

แต่ดูจากภาพความทรงจำของจิตกระดูกมังกร เมิ่งหว่านดูเหมือนไม่ได้มาในบึงเย็นแห่งนี้เพื่อทำการฝึกฝน และนางยังไม่ทันสังเกตเห็นจิตกระดูกมังกรที่กำลังหลับใหลอย่างสงบด้วย

สภาพของนางดูแล้วมีบางอย่างแปลกประหลาด

หลังจากนั้นไม่นาน หัวมังกรที่อยู่ในบึงเย็นก็พลันมีอีกคนหนึ่งปรากฏออกมา เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอมองตรงไป เขาก็ต้องรู้สึกบังเอิญอีกครั้ง เพราะคนที่มานั้นก็เป็นคนที่รู้จักเช่นกัน

ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า ผมปล่อยตกลงมา บนร่างกายมีลวดลายของเปลวเพลิง เยี่ยจิ่งนั่นเอง!

………………..

[1] สตรีจันทรา คือ ผู้หญิงที่มีสภาพร่างกายเป็นหยินสูงสุด

 

 เจ้าเด็กแซ่เยี่ยนี่ไม่ตายในเคราะห์ร้าย แถมความสามารถและวรยุทธ์ดูจะก้าวหน้ามากขึ้นด้วย ขนาดลูกศิษย์คนนั้นถืออาวุธกายวิเศษระดับล่างที่คุณชายให้ไว้ในมือ ก็ยังสู้กับเขาที่ใช้มือเปล่าไม่ได้เลย 

เมื่อได้ฟังเรื่องที่อาหู่เล่า เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด

ก็มีรัศมีตัวเอก เป็นบุตรแห่งสวรรค์นี่ ต่อให้ต้องเจออุปสรรคมากมาย ขอเพียงแค่ไม่ตายก็ต้องแข็งแกร่งขึ้นอยู่แล้ว

แต่การแสดงออกของเยี่ยจิ่ง แตกต่างกับในความทรงจำของเยี่ยนจ้าวเกออยู่บ้าง

‘รุนแรงกว่า ดื้อรั้นกว่า โมโหง่ายกว่า ทั้งยังใจร้อนและหงุดหงิดง่ายกว่าด้วย’ เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางพลางครุ่นคิด ‘ดูแล้วแหวนวงนั้นแม้จะช่วยเขาสร้างร่างกายขึ้นใหม่ แต่ก็มีผลกระทบด้านลบอยู่ด้วยเช่นกัน’

‘ถ้าหากเป็นวิชาลับที่ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของผู้ที่ฝึกฝนล่ะก็ ด้วยวรยุทธ์และจิตใจของเขาในตอนนี้ ทั้งยังต้องฝึกฝนอยู่ด้วย จะยิ่งได้รับผลกระทบง่ายขึ้น’

‘ถ้ามองจากมุมนี้ การที่ร่างกายแหลกสลายหมดและถูกสร้างขึ้นใหม่ อาจจะไม่เหมาะสมสำหรับเยี่ยจิ่งในตอนนี้ น่าจะรอถึงตอนที่วรยุทธ์ของเขาสูงกว่านี้ก่อน แล้วค่อยเจอกับเคราะห์ครั้งนี้ ก็อาจจะไม่มีปัญหาเหล่านี้ก็เป็นได้’

‘เหตุใดถึงรู้สึกว่าเส้นทางตัวเอกของเขาเหมือนจะผิดเพี้ยนไป กรรมตามสนองเสียจริง แต่ว่า…’ แววตาของเยี่ยนจ้าวเกอค่อยๆ เยือกเย็นขึ้น ‘เจ้ามีเหตุผลที่ทำร้ายคนอื่นได้แล้วสินะ’

เมื่อเรียกสติคืนมาได้ เยี่ยนจ้าวเกอมองไปที่อาหู่  หลังจากทางสำนักได้รับข่าวนี้แล้ว พวกเขาว่าอย่างไรบ้าง 

อาหู่เปิดปากพูดว่า  ก่อนอื่นเจ้าเด็กนี่ทำร้ายลูกศิษย์ร่วมสำนักด้วยเจตนาร้าย ต้องได้รับการลงโทษอยู่แล้ว และแน่นอนว่าต้องดำเนินการสอบสวน เพื่อให้รู้ที่มาที่ไปของเรื่องราวอย่างชัดเจน จะไม่ฟังความข้างเดียวแน่นอนขอรับ 

 จากนั้น ก็จะยืนยันได้ถึงสิ่งที่ท่านตัดสินในวันนั้น ว่าเขาไม่ตายในเคราะห์ร้ายจริง และยิ่งไปกว่านั้นรอดกลับมาจากหุบเหวปราการมังกรได้สำเร็จ 

 แต่เพราะเยี่ยจิ่งแสดงความโกรธแค้นต่อคุณชายออกมารุนแรงมาก จึงยังมีคนสงสัยคำให้การของคุณชายในตอนนั้น โดยคิดว่าอาจจะยังมีสายสนกลในอื่นแฝงอยู่ 

 เพราะฉะนั้นเมื่อจับตัวเยี่ยจิ่งได้แล้ว คุณชายอาจจะต้องไปทำพิธีโลหิตจิตหวนเวลาด้วยขอรับ 

เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่  ข้าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ตอนนี้ดูจากการกระทำของเขา ข้าคิดว่าคนของท่านอาจารย์ลุงรองก็คงไม่คิดจะฆ่าเขาให้ตายเพื่อป้ายความผิดให้กับข้า แต่คงคิดว่าทำอย่างไรถึงจะล้วงเอาเส้นสนกลในที่ว่าจากปากเขาได้มากกว่า จากนั้นค่อยสร้างความลำบากให้ข้า 

อาหู่เกาหัวเบา  เมื่อก่อนดูไม่ออกเลยว่าเจ้าเด็กแซ่เยี่ยจะเป็นตัวสร้างปัญหาขนาดนี้ 

 เหอะๆ…  เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะแต่ไม่พูด

นี่เพิ่งจะเริ่มเท่านั้น

อาหู่ยิ้มอย่างจริงใจ  เจ้าเด็กนี้ ครั้งนี้ท่าจะตัดหนทางของตนเองในสำนักเสียแล้ว 

 คุณชาย ในเมื่อทางสำนักตัดสินใจแล้ว พวกเราก็ไม่ต้องสนใจเขาแล้วใช่หรือไม่ขอรับ เพื่อไม่ให้เผยจุดอ่อนให้คนอื่นจับได้ และทำให้คนอื่นคิดว่าท่านคิดจะฆ่าปิดปากเพราะทำเรื่องไม่ดีไว้ 

 ในสถานการณ์เช่นนี้ หากคุณชายถูกใส่ร้ายป้ายสี เช่นนั้นคงจะไม่ดีนะขอรับ มีข้อมูลอะไรก็ส่งต่อให้คนที่รับหน้าที่ดูแลเรื่องนี้ของทางสำนักดีกว่า 

เยี่ยนจ้าวเกอพูดนิ่งๆ ว่า  ไม่ให้ถึงตายก็ไม่มีปัญหา 

 อย่าออมมือ พบตัวมันเมื่อไร ให้มารายงานข้าทันที ข้าจะจัดหนักกับเขาก่อนสักตั้ง แก้แค้นให้ศิษย์น้องหลานก่อนแล้วค่อยส่งต่อให้สำนัก 

 ศิษย์น้องหลานถูกเยี่ยจิ่งเล่นงานจนบาดเจ็บเพราะพูดเพื่อข้า กลับไปแล้วก็อย่าลืมดูแลเขาหน่อย 

 นอกจากยารักษาแผลและยาบำรุงแล้ว บอกเขาด้วยว่าข้ามีอาวุธวิเศษระดับกลางชิ้นหนึ่งเก็บไว้ให้เขา เมื่อไรที่เขาเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ ของก็ส่งจะให้ถึงมือเขา 

อาหู่ยิ้มอย่างจริงใจ  ขอรับ คุณชาย 

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า สายตาทอดมองไปยังแนวเขาสูงชันที่ยาวต่อกันเป็นทอดๆ อีกครั้ง

เวลานี้มีชายชุดดำคนหนึ่งปรากฏตัวตรงหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอ และนำสมุนไพรวิญญาณต้นหนึ่งมอบให้อย่างระมัดระวัง  คุณชาย หาพบแล้วขอรับ! 

ตาของเยี่ยนจ้าวเกอพลันทอประกาย  กล้วยไม้ทองสิบกลีบ! 

เมื่อรับสมุนไพรวิญญาณมาแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็สังเกตอยู่ครู่หนึ่ง รอยยิ้มที่มุมปากของเขาชัดขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นมาหัวเราะ

เดิมทีคิดว่าเป็นแค่กล้วยไม้ทองสิบกลีบที่มีอายุฃหลายร้อยปีต้นหนึ่งเท่านั้น แต่ที่ได้มากลับมีอายุที่มากกว่าพันปี จะไม่ให้เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกดีใจได้อย่างไร

อย่างไรเสียกล้วยไม้ทองสิบกลีบนี้ก็มีจำนวนน้อยมาก บวกกับเมื่ออายุยาไม่มากก็จะถูกคนเก็บไป กล้วยไม้ทองสิบกลีบพันปีจึงเป็นของดีไม่แพ้เชื้อไฟสัจจะอัคคีเลย

บัดนี้ได้มาต้นหนึ่งอย่างราบรื่นเช่นนี้ เยี่ยนจ้าวเกอย่อมต้องรู้สึกดีใจเป็นธรรมดา

ชายชุดดำคนนั้นพูดต่อว่า  คุณชาย ตอนที่พวกเรากำลังตามหากล้วยไม้ทองสิบกลีบนี้ บังเอิญได้พบร่องน้ำประหลาดแห่งหนึ่ง 

เยี่ยนจ้าวเกอจึงถามว่า  ประหลาดอย่างไร 

 นั่นเป็นร่องธารน้ำแข็งแห่งหนึ่งขอรับ! 

ชายหนุ่มที่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกสนอกสนใจ  หือ ร่องธารน้ำแข็งอยู่ที่นี่หรือ? 

เทือกเขามฤคลับตาตอนนี้มีสภาพอากาศที่ร้อนจัด แต่กลับมีธารน้ำแข็งปรากฏขึ้น จึงไม่แปลกที่จะดึงดูดความสนใจของเยี่ยนจ้าวเกอได้

ชายชุดดำคนนั้นตอบว่า  ไม่ผิดขอรับ เป็นร่องน้ำแข็งแน่นอน และมีขนาดที่ใหญ่มาก ซึ่งดูไม่เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ 

 เพียงแต่ว่า ตอนที่พวกเราพบ ที่นั่นเหมือนกำลังมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คล้ายกับกำลังเกิดแผ่นดินไหว 

กล้วยไม้ทองสิบกลีบก็ได้มาแล้ว ไหนๆ ก็ว่างไม่มีอะไรทำ เยี่ยนจ้าวเกอจึงพูดว่า  นำทาง พวกเราไปดูกัน 

คนทั้งหมดเคลื่อนตัวไปในภูเขาที่เชื่อมต่อกัน ยิ่งเดินทางไปข้างหน้าเท่าไร อากาศก็ค่อยๆ เย็นสบายขึ้นเรื่อยๆ

นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงของอากาศแน่นอนอยู่แล้ว เพราะเทือกเขามฤคลับตาในช่วงเวลานี้ มักจะร้อนราวกับเตาอบเสมอ

เยี่ยนเจ้าเกอเข้าใจ กลุ่มของตนเองกำลังเข้าใกล้กับร่องธารน้ำแข็งแห่งนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

และเมื่อเดินทางมาอีกระยะหนึ่ง ถึงแม้จะมีพระอาทิตย์ร้อนระอุกำลังสาดส่องอยู่เหนือหัว แต่ก็สัมผัสถึงอากาศเย็นในตอนนี้ได้อย่างชัดเจน

อาหู่เดินไปที่หน้าผาแห่งหนึ่ง แล้วมองออกไปยังที่ที่ไกลออกไป พักใหญ่จึงค่อยเปิดปากพูดว่า  คุณชาย พวกเราถึงแล้วขอรับ! 

เยี่ยนจ้าวเกอก็เดินเข้าไปใกล้หน้าผาเช่นกัน สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาคือหุบเหวขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง เพียงแต่ไม่ใช่หุบเหวปกติ เพราะตลอดแนวของหุบเหวถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง!

ร่องน้ำหลายสิบลี้ที่คดโค้งไปมาเหมือนดั่งโลกของน้ำแข็งแห่งนี้ ราวกับมังกรสีขาวขนาดมหึมากำลังนอนพาดอยู่ในป่าสีเขียวชอุ่มที่อุดมสมบูรณ์

บนหน้าผาเหนือร่องธารน้ำแข็งล้วนเป็นน้ำแข็งโปร่งใสพร่างพราวทั้งหมด พระอาทิตย์สาดส่องลงมาแล้ว จึงเกิดเป็นแสงทิ่มแทงตา ที่เมื่อคนปกติจ้องมองนานๆ แล้วจะรู้สึกปวดตาเหมือนกับตาจะบอด

ด้านนอกของร่องธารน้ำแข็งยังคงเป็นป่าเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์ดังเดิม มีต้นไม้โบราณสูงปกปิดท้องฟ้าบดบังแสงอาทิตย์ แต่เมื่อถึงร่องธารน้ำแข็ง กลับเหมือนเปลี่ยนจากกลางฤดูร้อนเข้าสู่กลางฤดูหนาวในพริบตา ความแตกต่างกันอย่างสุดขั้วจึงมีกลิ่นอายความประหลาดทั่วทุกที่

เยี่ยนจ้าวเกอสังเกตอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วตัดสินใจลงจากหน้าผา  พวกเราไปกัน 

เมื่อถึงปากเหว เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าภายในร่องธารน้ำแข็งเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง โดยมีต้นกำเนิดมาจากใต้ดิน

ทุกคนเดินเข้าไปข้างใน ภาพตรงหน้าเป็นโลกของน้ำแข็ง ธารน้ำแข็งโปร่งใสขนาดมหึมานี้เหมือนกับกระจกที่แวววาวบานหนึ่ง ซึ่งกำลังสะท้อนเงาของทุกคน

เยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่เดินอยู่ข้างหน้าสุด เมื่อพวกเขามาถึงพื้นที่ศูนย์กลางของร่องธารน้ำแข็ง ทะเลสาบน้ำแข็งขนาดมหึมาแห่งหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเขา

ข้างใต้ของทะเลสาบน้ำแข็ง มีกระแสน้ำไหลที่รุนแรงกำลังกระเพื่อมซัดสาดไปมา และยังมีเสียงคำรามดังขึ้นเลือนราง

ชายหนุ่มจ้องเขม็งไปยังหน้าพื้นของทะเลสาบน้ำแข็งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองร่องธารน้ำแข็งที่อยู่รอบๆ พลางพูดพึมพำขึ้นคนเดียว  ที่นี่เหมือนจะเป็นสถานที่ฝังกระดูกของมังกรน้ำแข็งตัวหนึ่ง ถึงได้เกิดเป็นธารน้ำแข็งที่อัศจรรย์ในสภาพแวดล้อมที่ร้อนจัดเช่นนี้ได้ 

 กระดูกมังกรเกิดเป็นจิตวิญญาณ มีคนปลุกจิตของมังกรน้ำแข็งเข้า จึงทำให้พื้นที่ตรงนี้ผันผวนและเกิดความผิดปกติ 

อาหู่ที่ได้ยินดังนั้น แววตาก็เปล่งประกายทันที  จิตมังกรน้ำแข็ง? คุณชาย นี่เป็นของดีเลยนะขอรับ 

ทันทีหลังจากนั้น เขาก็ถูมือใหญ่ไปมาอย่างรู้สึกผิด  แต่ว่าคุณชาย ถ้าเป็นจิตมังกรน้ำแข็งจริง คงต้องเป็นมหาปรมาจารย์ถึงจะเก็บออกมาได้ พวกเราจะทำอย่างไรดีขอรับ 

……………

 

ร่างเปลือยท่อนบนของคนผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้

บนร่างกายของเขามีลายของเปลวเพลิง ดูเสมือนไฟลุกโชนที่สามารถขยับได้จริง

ผมสีดำยาวและเงาปล่อยลงมาถึงกลางหลัง แม้จะเป็นสีดำสนิท แต่มองจากที่ไกลๆ กลับให้ความรู้สึกเหมือนกับเปลวเพลิง

บนใบหน้าของคนผู้ก็มีลายของเปลวเพลิงอยู่ด้วยเช่นกัน ในดวงตาทั้งสองข้างยิ่งเหมือนมีไฟลุกโชนกำลังสั่นไหวไปมา

แต่ว่าหลานเหวินเหยียนที่อยู่ใกล้ๆ ตรงนี้ก็ยังคงจำได้ ว่าเด็กหนุ่มที่รูปร่างภายนอกประหลาดไปบ้างตรงหน้านี้ ก็คือเยี่ยจิ่งที่หายตัวไปในหุบเหวปราการมังกรเมื่อตอนนั้น

แม้บนใบหน้าจะมีลายเปลวเพลิงปกปิดอยู่ แต่เขาก็ยังจำเครื่องหน้าของอีกฝ่ายได้

หลานเหวินเหยียนรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ จึงลองถามไปว่า  ใช่ศิษย์น้องเยี่ย เยี่ยจิ่งหรือไม่ 

ฝ่ายตรงข้ามหันกลับมา แววตาดุจไฟที่ทำให้จิตใจของคนหวาดหวั่น แต่ก็พยักหน้าตอบรับ  ไม่ผิดหรอก ข้าเอง 

 ก่อนหน้านี้ในหุบเหวปราการมังกร เจ้า…  หลานเหวินเหยียนถามด้วยความประหลาดใจ

เมื่อได้ยินชื่อของหุบเหวปราการมังกร นัยน์ตาของเยี่ยจิ่งปรากฏความโกรธขึ้งอย่างชัดเจน สีหน้าก็เย็นชาขึ้น  ข้าชะตาแข็ง จึงไม่ตาย 

 เอาเถิด ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว  หลานเหวินเหยียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก  ทุกคนเป็นห่วงเจ้ามาก แต่ศิษย์พี่เยี่ยนบอกว่าเจ้าเป็นคนดีฟ้าย่อมคุ้มครอง ต้องผ่านพ้นอันตรายได้แน่ ตอนนี้ดูแล้วศิษย์พี่เยี่ยนพูดถูกจริงด้วย… 

เขายังไม่ทันพูดจบก็มีเสียงตะคอกขึ้นขัดจังหวะ

 เยี่ยนจ้าวเกอ!  ดวงตาทั้งสองของเยี่ยจิ่งแทบจะพ่นไฟออกมาได้แล้ว  ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ข้าจะเคราะห์ร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร! 

 เขาเจตนาไม่ดี ตั้งใจจะทำให้ข้าตายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว! 

 แต่ข้าชะตาแข็ง จึงไม่ตาย แถมวรยุทธ์ก็แก่กล้าขึ้น คงจะทำให้เขาผิดหวังแล้วล่ะ  เยี่ยจิ่งกัดฟันพูด  มีแค้นไม่ชำระไม่ใช่ลูกผู้ชาย บัญชีนี้ช้าเร็วข้าต้องจัดการกับเขาแน่! 

หลานเหวินเหยียนได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วแน่นทันที  ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าใจเย็นก่อน ภายหลังข้าได้ฟังเรื่องในวันนั้นมาเช่นกัน เตาผลึกหินชั้นในของศิษย์พี่เยี่ยนตกไปในหุบเหว จึงเกิดระเบิดและเป็นเหตุให้ทำร้ายเจ้า นั่นเป็นอุบัติเหตุ 

เยี่ยจิ่งสบถอย่างเย็นชาว่า  เจ้าเป็นพยาธิในท้องของเขาหรือ ถึงรู้ว่าเขาคิดอย่างไร เขาพูดมาอย่างไร เจ้าก็เชื่ออย่างนั้นหรือ? 

 ที่จริงมหาปรมาจารย์หัวหน้าค่ายชื่อหลิงคนนั้นมาเพื่อหาเรื่องเขา แต่เขากลับซ้อนแผน ใช้เชื้อไฟหลอกล่อให้ข้ารับเคราะห์แทน เขาวางแผนทุกอย่างไว้หมดแล้ว! 

 แค่อาวุธวิเศษระดับล่างชิ้นเดียวก็ซื้อใจเจ้าได้หรือ ทำให้เจ้าเข้าข้างเขา และช่วยเขาถึงขนาดนี้เลยหรือ? 

หลานเหวินเหยียนได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็รู้สึกโมโหเช่นกัน  ตอนนั้นเจ้าเล่นสกปรกเข้าไปแย่งเชื้อไฟของศิษย์พี่เยี่ยนก่อน ไม่เช่นนั้นมหาปรมาจารย์ผู้นั้นจะเล่นงานเจ้าได้หรือ? เจ้าคิดว่าตนเองเป็นคนสำคัญนักหรืออย่างไร? 

 เจ้าไม่ตายในเคราะห์ร้าย อารมณ์คงแปรปรวนบ้างเป็นธรรมดา ข้าไม่โทษเจ้าหรอก แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเจ้าจะสามารถพูดจาเหลวไหลได้ 

เขามองเยี่ยจิ่งพลางส่ายหน้า  ข้าเชื่อคำพูดของศิษย์พี่เยี่ยน! เพราะเหตุใดถึงเชื่อน่ะหรือ? ตอนนั้นตัวเจ้าก็ตกลงไปในหุบเหวแล้ว โอกาสรอดน้อยมากเป็นทุนเดิม แล้วเหตุใดศิษย์พี่เยี่ยนจะต้องโยนเตาผลึกหินชั้นในของตนเองลงไปอีก? 

 ยิ่งไปกว่านั้น เตาผลึกหินชั้นในก็ยังเป็นสิ่งที่ล้ำค่าถึงเพียงนั้น เพื่อจะฆ่าเจ้าแล้ว ศิษย์พี่เยี่ยนถึงกับต้องเสียสละเตาผลึกหินชั้นในของตนเองเลยหรือ? เตาผลึกหินชั้นในในตำนาน กับเจ้าที่เป็นแค่จอมยุทธ์ที่ไม่ใช่แม้แต่ปรมาจารย์ ฝ่ายไหนจะมีค่ามากกว่ากัน? 

 ไม่ว่าจะเป็นข้าหรือเจ้า หรือใครคนอื่นที่เข้าไปในหุบเหวปราการมังกรด้วยกันกับศิษย์พี่เยี่ยน หากเขาคิดจะฆ่าใครจริงๆ อย่าว่าแต่ตายด้วยฝ่ามือหนึ่งเลย แค่ลมหายใจเดียว ก็ใช่ว่าพวกเราจะต้านทานเอาไว้ได้ เขาจำเป็นต้องทำลายเตาผลึกหินชั้นในของตัวเองหรือ? 

คำพูดของฝ่ายตรงข้าม ทำให้เยี่ยจิ่งคิดถึงท่าทีของเยี่ยนจ้าวเกอที่ไม่เห็นหัวเขาตั้งแต่ในอดีตขึ้นมาทันที

ความสิ้นหวัง ความโกรธ และความแค้นที่มีในหุบเหวปราการมังกรในตอนนั้นพลันเพิ่มมากขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่ จนแทบจะเผาทำลายสติของเยี่ยจิ่งจนสิ้น

ดวงตาทั้งสองของเยี่ยจิ่งแดงก่ำดั่งเปลวเพลิง  อาวุธวิเศษระดับล่างชิ้นเดียวก็ทำให้พวกเจ้าเป็นสุนัขรับใช้ของเยี่ยนจ้าวเกอได้เลยหรือ? 

 เช่นนั้นข้าจะตีหมาก่อน แล้วค่อยไปตีเจ้าของแล้วกัน! 

เขาตะคอกเสียงดัง แล้วกระโจนขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะพุ่งเข้าหาหลานเหวินเหยียน!

หลานเหวินเหยียนสะดุ้งตกใจ รู้สึกได้เพียงว่ามีคลื่นความร้อนกำลังมุ่งตรงเข้ามา จนแทบจะทำให้ตนเองหยุดหายใจ

เยี่ยจิ่งไม่ตายในเคราะห์ร้าย และมีวรยุทธ์แก่กล้าขึ้นมากจริงหรือนี่?

หลานเหวินเหยียนไม่กล้าที่จะลังเล เขารีบยกเกราะกำบังชิ้นหนึ่งขึ้น ซึ่งก็คืออาวุธวิเศษระดับล่างที่เยี่ยนจ้าวเกอให้มาก่อนหน้านี้

เพียงแต่ว่าเมื่อเยี่ยจิ่งเห็นเกราะกำบังชิ้นนี้ ก็เหมือนกับได้เห็นหน้าของศัตรู เขาพลันดวงตาแดงก่ำ และปล่อยหมัดเข้าใส่อีกฝ่ายเหมือนดั่งพายุฟ้าคะนอง

เยี่ยจิ่งปล่อยหมัดเหล็กออกมาไม่ยั้งโดยที่ไม่เหน็ดเหนื่อย ราวกับเป็นคลื่นยักษ์โหมกระหน่ำ

หลานเหวินเหยียนยังใช้พลังทั้งหมดของอาวุธวิเศษระดับล่างไม่ได้ จึงต้านหมัดมือเปล่าของเยี่ยจิ่งไม่อยู่ไปโดยปริยาย

ในที่สุดอาวุธวิเศษก็ถูกปัดจนหลุดออกจากมือ เยี่ยจิ่งกระหน่ำหมัดไม่ยั้ง จนหลานเหวินเหยียนลอยหวือออกไป

แม้จะเห็นศัตรูตกลงบนพื้น และมีเลือดสดๆ ไหลออกจากปากไม่ขาดสาย สายตาของเยี่ยจิ่งยังคงเย็นชา ทั้งยังแผ่จิตสังหารออกมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงละสายตาไป

สายตาของเยี่ยจิ่งมองไปยังเกราะกำบังที่กระเด็นไปตกอยู่อีกด้านหนึ่ง ความแค้นทอประกายในดวงตาพลันรุนแรงขึ้นอีกครั้ง เขาพุ่งตัวเข้าไปหามัน แล้วยกขาข้างหนึ่งขึ้นเตะมันลอยออกไปไกล

เกราะกำบังกลายเป็นจุดสีดำเล็กๆ หายลับไปในมวลภูเขาที่อยู่ไกลออกไป

เยี่ยจิ่งมองหลานเหวินเหยียนที่เจียนตายด้วยความแค้นใจครั้งหนึ่ง แล้วหันหลังเดินจากไปในส่วนลึกของเทือกเขา

‘แหวนวงนี้ทำให้ข้าสร้างร่างกายขึ้นใหม่ได้ แต่เพราะวรยุทธ์ที่ฝึกฝน ทำให้ข้าอารมณ์ร้อนและโกรธง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก’ เยี่ยจิ่งเดินไปเรื่อยๆ ถึงจะสงบใจลงได้บ้าง ในใจรู้สึกเสียใจอยู่ลึกๆ ‘ถึงหลานเหวินเหยียนจะเข้าข้างเยี่ยนจ้าวเกอ แต่ก็ไม่เคยร่วมมือช่วยเยี่ยนจ้าวเกอทำร้ายข้า แต่ข้าเกือบจะฆ่าเขา ดูท่าจะใจร้อนเกินไป’

แต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ตนเองต้องเป็นเช่นนี้ ความโกรธในใจของเขาก็เดือดพล่านขึ้นอีกครั้ง  เยี่ยนจ้าวเกอ! 

‘เหอะ วันนี้ได้เห็นความคิดของหลานเหวินเหยียนแล้ว แค่คิดก็รู้แล้วว่าคนอื่นๆ ในสำนักส่วนมากก็คงจะใส่กางเกงตัวเดียว[1]กันกับเยี่ยนจ้าวเกอ’

‘บิดาของเขาเป็นถึงผู้อาวุโสในสำนัก คงจะคอยปกป้องเขาอยู่เป็นแน่ ข้าจะขอความยุติธรรมคงเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่ายาก’

‘แล้วอย่างไรเล่า ถ้าเปิดเผยโฉมหน้าที่น่ารังเกียจของเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ และเรียกความยุติธรรมคืนมาไม่ได้ ความทุกข์ทรมานที่ข้าแบกรับมาทั้งหมดมันก็สูญเปล่าสิ?’

‘ความสามารถเท่านั้น อยากได้ความยุติธรรมคืนก็ต้องมีความสามารถให้มากพอ หากข้าแข็งแกร่งกว่าเยี่ยนจ้าวเกอ แข็งแกร่งกว่าบิดาของเขา ไหนเลยพวกเขาจะกล้ารังแกข้า หรือกลับดำขาวอีก?’

เยี่ยจิ่งเงยหน้าขึ้นมองดูยอดเขาสูงต่ำสลับกัน แววตาแข็งกระด้างดั่งเหล็กและร้อนดั่งไฟ ‘ข้าจะต้องครอบครองพลังที่แข็งแกร่ง ถึงจะทวงเอาความยุติธรรมของข้าคืนมาได้ ข้าต้องแข็งแกร่งสองพ่อลูกคู่นั้นให้ได้’

‘เยี่ยนจ้าวเกอ รอก่อนเถิด สิ่งที่เจ้าติดค้างข้า เจ้าจะต้องชดใช้คืนมาทุกอย่าง!’

….

 เยี่ยจิ่งเล่นงานศิษย์ร่วมสำนักคนหนึ่งจนบาดเจ็บสาหัส?  เยี่ยนจ้าวเกอมองอาหู่ที่อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง

เยี่ยจิ่งยังมีชีวิตอยู่ เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเลยสักนิด

มีคนพบตัวเขาและข่าวถูกส่งกลับไปที่สำนัก ก็จะเป็นเรื่องดีสำหรับเยี่ยนจ้าวเกอ นี่จะเป็นสิ่งที่ยืนยันคำตอบสำหรับการซักถามในวันนั้นได้โดยสิ้นเชิง

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลเลยแม้แต่น้อย ที่จะต้องพิสูจน์ความจริงกันต่อหน้ากับเยี่ยจิ่ง หรือทำพิธีโลหิตจิตหวนเวลาเพื่อแสดงเหตุการณ์ในตอนนั้นอีกครั้ง

แต่หลังจากที่เยี่ยจิ่งปรากฏตัว กลับเล่นงานจนหลานเหวินจนเกือบตาย นี่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง

‘เจ้าเด็กนี่ ตกลงไปในหุบเหวจนสมองกระแทกอย่างรุนแรงพังไปแล้วหรือ?’ เยี่ยนจ้าวเกอเพียงแต่รู้สึกประหลาดใจ ‘เขาเล่นงานคนอื่นเพราะเหตุใดกัน’

อาหู่หัวเราะหึๆ  เจ้าเด็กแซ่เยี่ยคนนั้นดูเหมือนจะมีข้อกังขากับคุณชายหนักเอาเรื่องเลยนะขอรับ ศิษย์คนนั้นพูดโต้แทนคุณชาย เถียงกับเขาอยู่ไม่กี่คำ ก็ดูจะทำให้เขาโมโหแล้ว 

………………..

[1] ใส่กางเกงตัวเดียวกัน หมายถึง มีความคิดเดียวกัน

 

เซียวเซิงถูกเยี่ยนจ้าวเกอเล่นงานจนถอยกลับไป ส่วนลูกศิษย์ของเขากว่างเฉิงที่อยู่ด้านข้างกำลังมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยสีหน้าตกใจ

ชายหนุ่มเอาชนะเฉาหยวนหลง แล้วยังทำให้เซียวเซิงถอยกลับไปในระยะเวลาสั้นๆ ในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ เยี่ยนจ้าวเกอถูกลิขิตไว้แล้วว่าไม่อาจมีใครเทียบเทียมได้

ถ้าจะบอกว่าการประลองชนะเฉาหยวนหลงก่อนหน้านี้ เป็นแค่การประลองของจอมยุทธ์ในระดับเดียวกันล่ะก็ คู่ต่อสู้ที่เผชิญหน้าในครั้งนี้เป็นถึงเซียวเซิง ผู้มีระดับวรยุทธ์สูงกว่าเยี่ยนจ้าวเกอมากกว่าหนึ่งระดับ

ถึงแม้ว่าจะเป็นเพราะเซียวเซิงใช้วิธีการประลอง ที่ควบคุมปราณจิตราของตนเองให้ลดลงมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับเยี่ยนจ้าวเกอก็ตาม

แต่ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระดับสูงสุดก็ยังคงเป็นปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระดับสูงสุด ด้วยถูกกำหนดไว้ว่ามีโลกทัศน์ ประสบการณ์ และความเข้าใจเกี่ยวกับวรยุทธ์มากกว่าปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระดับต้น

ขณะที่ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระดับต้นบางคนเพิ่งเริ่มสัมผัส หรือยังไม่เคยได้สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงที่อัศจรรย์ แต่ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระดับสูงสุดกลับรู้แน่ชัดทุกอย่างในใจแล้ว

ระยะห่างเหล่านี้ ยิ่งเห็นได้ชัดเมื่ออยู่ในการต่อสู้จริง

ถึงจะมีพลังเหมือนกัน ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นใช้พลังเพียงหนึ่งส่วน แต่ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายอาจใช้พลังถึงห้าหรือหกส่วน หรือกระทั่งแปดถึงสิบส่วนก็เป็นได้

แต่การประลองเมื่อครู่นี้ ผลลัพธ์คือเยี่ยนจ้าวเกอเหนือกว่าหนึ่งขั้น บีบเค้นจนเซียวเซิงต้องกลืนคำพูดตนเอง แลกกับฉากจบที่ไม่น่าภาคภูมิใจนัก

หากเยี่ยนจ้าวเกอปรากฎตัวที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างสำนักเขากว่างเฉิง และประมือกับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระดับสูงสุดที่มีวรยุทธ์ค่อนข้างธรรมดา เกิดผลลัพธ์เช่นนี้ คนทั่วไปอาจยอมรับได้ง่ายกว่า

ทว่าคู่ต่อสู้คือเซียวเซิงแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ นั่นจึงมีความหมายที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

เพราะอย่างไรตัวเซียวเซิงก็เคยเป็นอัจฉริยะขั้นปรมาจารย์จิตราชั้นนอกระยะต้น ที่เคยเอาชนะปรมาจารย์จิตราชั้นนอกระดับกลางด้วยระดับวรยุทธ์ในขณะนั้น

ตุ๊กตาหุ่นกระบอกตัวเดียวที่แกะสลักมาจากไม้ มันเปราะบางมากเมื่อเปรียบเทียบกับปราณจิตราของจอมยุทธ์ แต่ภายใต้การควบคุมของเขา กลับดูราวกับคนที่มีชีวิตอยู่จริง และยังเป็นยอดฝีมือที่มีวรยุทธ์แก่กล้าอีกด้วย

ต่อให้เป็นตุ๊กตาหุ่นกระบอกท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ทำการโจมตีครั้งหนึ่งภายใต้การควบคุมการของเซียวเซิง นอกจากซือคงจิงแล้ว ลูกศิษย์ของเขากว่างเฉิงระดับยุทธ์หลอมกายคงไม่มีใครสามารถรับไว้ได้

แต่อัจฉริยะที่เป็นคนในรุ่นเดียวกันเช่นนี้ กลับเป็นเหมือนกับเฉาหยวนหลงที่แหลกเหลวเป็นเม็ดทรายอยู่ตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ

แล้วแบบนี้จะไม่ให้ทุกคนตกตะลึงได้อย่างไร?

ซือคงจิงมองดูเศษเสี้ยวของตุ๊กตาหุ่นกระบอกที่ตกอยู่บนพื้น แววตาสั่นไหวเล็กน้อย คล้ายกับว่าเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นในใจ

 หญิงสาวผู้นี้ดูมีใจที่ฝักใฝ่ในการฝึกฝนวรยุทธ์วิชา  เยี่ยนจ้าวเกอมองนางครั้งหนึ่ง ยิ้มและส่ายหัวอย่างห้ามไม่ได้  เจ้าก็บรรลุขั้นประจักษ์กายามาพักหนึ่งแล้ว จะบรรลุระดับปรมาจารย์ก็เหลืออีกเพียงแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น 

 เปลี่ยนลมปราณให้เป็นปราณจิตรา มีวิธีการฝึกฝนคือการทวนทิศทางของลมปราณ แล้วกลั่นลมปราณให้เป็นปราณจิตรา ผู้ใหญ่ในสำนักก็คงเคยชี้แนะเจ้าไปแล้ว 

 แต่ว่าตอนที่เจ้าทำการทวนทิศทางของลมปราณ ลองใช้จังหวะเท็จจริงเท็จจริงเท็จเท็จเท็จจริงแบบนี้ดู 

ซือคงจิงได้ยินเช่นนั้น ดวงตาทั้งสองก็เป็นประกายขึ้นเล็กน้อย ลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่เข้ามาทีหลังก็เงี่ยหูตั้งใจฟังเช่นกัน

ขณะนี้พวกเขารู้สึกเคารพเยี่ยนจ้าวเกอมากยิ่งกว่าผู้อาวุโสบางคนในสำนักเสียอีก

การที่ได้รับการชี้แนะในการฝึกฝนจากเยี่ยนจ้าวเกอ และยังเป็นเคล็ดลับสำคัญที่ใช้บรรลุจากระดับยุทธ์หลอมกายถึงระดับปรมาจารย์ด้วยแล้ว ทุกคนจึงรักษาโอกาสไว้อย่างดี

จากจอมยุทธ์ระดับยุทธ์หลอมกายบรรลุถึงระดับปรมาจารย์ สำหรับคนที่ทำการฝึกฝนวรยุทธ์ทั่วทั้งโลกแปดพิภพแล้ว ต่างก็เป็นหุบเหวขวางกั้นที่ใหญ่มาก

ระดับความยากนั้นมากกว่าการบรรลุจากขั้นชักจูงลมปราณระยะกลางถึงขั้นชักจูงลมปราณระยะท้าย หรือจากขั้นชักจูงลมปราณระยะท้ายถึงขั้นประจักษ์นภาเสียอีก

กระทั่งอาจจะยากยิ่งกว่าการบรรลุจากระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะกลาง ถึงระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะท้าย หรือระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะท้ายถึงระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นด้วยซ้ำ

แต่ในอีกด้านหนึ่ง การประสบความสำเร็จในระดับปรมาจารย์นั้น ก็เท่ากับได้พัฒนาความสามารถจากหน้ามือเป็นหลังมือด้วย

ซึ่งมีรากฐานที่ต้องการที่ประสบความสำเร็จในระดับปรมาจารย์สำเร็จอย่างแรงกล้า และจำเป็นต้องฝึกปราณให้เป็นจิตรา เปลี่ยนลมปราณเป็นปราณจิตรา

ปราณจิตรามีความหนาแน่นมากกว่าลมปราณอยู่มาก หากบอกว่าลมปราณมีสถานะเป็นอากาศแล้วล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นปราณจิตราก็เป็นของเหลว การชนกันระหว่างสองปราณ เพียงปราณจิตราที่น้อยนิดก็สามารถทำลายปราณแท้ในปริมาณที่มากได้

เมื่อจอมยุทธ์ระดับหลอมกายกายปะทะกับปรมาจารย์ จึงยากที่จะโต้ตอบคืนได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังที่สมบูรณ์ ต่อให้มีเคล็ดลับที่ดีกว่าก็ยากที่จะนำมาใช้ได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วปรมาจารย์จะสามารถสู้แบบหนึ่งต่อสิบได้สบาย

และในสถานการณ์ส่วนมาก จำนวนก็ยากที่จะทดแทนระยะห่างกันได้

เยี่ยนจ้าวเกอพูดชี้แนะไม่กี่คำ ซือคงจิงกลับรู้สึกตาสว่างขึ้นมาในทันที

ในแววตาที่นางมองเยี่ยนจ้าวเกอก็มีความเคารพนับถือเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแม้แต่ก่อนหน้านี้ที่เยี่ยนจ้าวเกอทำให้หม่าชิวได้รับการลงโทษก็ยังไม่มีเลย

เยี่ยนจ้าวเกอพูดกับคนอื่นๆ ว่า  สถานการณ์จะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละคน วิธีที่เหมาะกับศิษย์น้องซือคง อาจจะไม่เหมาะกับพวกเจ้าก็ได้ ตอนนี้พวกเจ้ายังห่างจากระดับปรมาจารย์อีกไกล ไม่ต้องรีบร้อน ก้าวทีละก้าวให้ทุกย่างก้าวมั่นคงก่อนค่อยว่ากัน 

ทุกคนต่างปลื้มใจและยอมเชื่อฟัง พากันโค้งตัวคำนับเยี่ยนจ้าวเกอ  ขอบคุณศิษย์พี่เยี่ยนที่ชี้แนะ พวกข้าจะตั้งใจฝึกฝนแน่นอน 

ซือคงจิงมองเยี่ยนจ้าวเกอ และโค้งคำนับเช่นกัน ซึ่งไม่ใช่การแสดงความเคารพที่เป็นเพียงพิธีเหมือนอย่างเมื่อก่อน แต่เป็นความตั้งใจจริง  ขอบคุณศิษย์พี่เยี่ยนที่ชี้แนะ 

นางหยุดพูดไปครู่หนึ่ง มองไปยังคนอื่นๆ แล้วพูดว่า  คำชี้แนะของศิษย์พี่เยี่ยน ทำให้ข้ารู้มากขึ้นและจะเตรียมเข้าฌานทันที คงไปเทือกเขามฤคลับตากับพวกเจ้าไม่ได้แล้ว 

ทุกคนต่างก็เข้าใจ เพียงแต่ชั่วขณะหนึ่งรู้สึกเบื่อขึ้นมา จึงหันไปมองเยี่ยนจ้าวเกอ

เยี่ยนจ้าวเกอจึงพูดนิ่งๆ ว่า  ครั้งนี้ข้าพาพวกเจ้าไปด้วยก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าทุกคนหวังจะให้ข้าคอยพาพวกเจ้าไปทั้งชีวิตเลยหรือ? 

 ยิ่งไปกว่านั้น ที่ที่ข้าจะไป สำหรับพวกเจ้าแล้วก็ยังถือว่าอันตรายมาก 

ลูกศิษย์ของเขากว่างเฉิงทั้งหมดก็รู้สึกละอายใจ พวกเขาก็เป็นคนที่มีสติปัญญาที่ผ่านการฝึกอบรมอย่างดีจากสำนักในเวลาปกติ ซึ่งไม่ขาดคุณสมบัติในการยืนหยัดและตัดสินใจด้วยตัวเองอยู่แล้ว

เพียงแต่ช่วงที่ผ่านมา รัศมีของเยี่ยนจ้าวเกอเจิดจ้าเกินไป ส่องสว่างจนทุกคนสับสนมึนงง ภายใต้จิตสำนึกจึงคิดว่าต่อไปนี้จะขอติดตามศิษย์พี่ผู้นี้ไปทุกที่

คนทั้งหมดจึงพูดว่า  พวกข้าเกิดใจที่หวังแต่จะพึ่งพา น่าละอายยิ่งนัก ขอบคุณศิษย์พี่เยี่ยนที่เตือนสติ 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม แล้วโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ  ไม่เป็นไร ถ้าเช่นนี้พวกเราก็ลากันที่นี่แล้วกัน 

พูดจบ ก็หันหลังกลับและเดินไปยังทางไปนอกเมือง

ลูกศิษย์ของเขากว่างเฉิงทั้งหมดก็กล่าวลากับซือคงจิงด้วยเช่นกัน แล้วก็ออกจากเมืองมุ่งไปเทือกเขามฤคลับตา

ตลอดทาง พวกเขามองไม่เห็นร่างเงาของเยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่แล้ว

เทือกเขามฤคลับตามีพื้นที่กว้างขวาง อยู่ด้านข้างของหุบเหวปราการมังกร แม้ว่าจะมีทรัพยากรที่มีค่ามาก แต่สภาพแวดล้อมก็ค่อนข้างอันตรายเช่นกัน ด้วยวรยุทธ์ของทุกคนในตอนนี้ การเคลื่อนไหวไปมาจึงยังเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก

 พวกข้าต้องสำนึกตัวเองจริงๆ บ้างแล้ว ศิษย์พี่เยี่ยนที่พาพวกข้าไปด้วยก็เหมือนกับพาตัวถ่วงไว้ พวกเรายังได้อกได้ใจกันอีก  หญิงสาวที่อุ้มภูตแมวแสงตัวเล็กมีสีหน้าที่หมองหม่นลงเล็กน้อย

หลานเหวินเหยียนที่อยู่ข้างนางพูดขึ้นว่า  ตอนนี้พวกเรายังห่างกับศิษย์พี่เยี่ยนอีกไกลก็จริง แต่พวกเราไม่ควรเศร้าโศกเพราะเรื่องนี้ การตั้งใจฝึกฝนให้มากขึ้นถึงจะเป็นเรื่องที่ควรทำต่างหาก 

อีกคนหนึ่งพูดพึมพำขึ้นว่า  เจ้าคงไม่คิดจะเป็นเหมือนอย่างเยี่ยจิ่งหรอกนะ ที่รำพึงรำพันว่าสักวันจะสามารถสู้กับศิษย์พี่เยี่ยนได้? 

หลานเหวินเหยียนพูดอย่างเปิดเผยว่า  อย่างน้อยก็ต้องพยายามไม่ให้เป็นตัวถ่วงตอนที่ร่วมเดินทางกับศิษย์พี่เยี่ยน ถูกต้องหรือไม่? 

ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย  อย่างที่ศิษย์พี่เยี่ยนพูด ยืนขึ้นตอนนี้ และมองไปข้างหน้า 

ท่ามกลางเทือกเขา เมื่อถึงที่หมายแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันเคลื่อนไหว

หลานเหวินเหยียนเดินอยู่คนเดียวพักหนึ่ง จู่ๆ ดวงตาก็มองตรงไป และแววตาก็ตกตะลึง  ก่อนหน้าเพิ่งพูดถึงศิษย์น้องเยี่ย เยี่ยจิ่ง แล้วนี่… 

ตรงหน้าเขาไม่ไกลออกไปมีเงาของคนผู้หนึ่งยืนอยู่ที่นั่น

…………..

 

ภายใต้การควบคุมของเซียวเซิง ฝ่ามือทั้งสองของตุ๊กตาหุ่นกระบอกท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์พลันลอยขึ้น และลอยผ่านไปราวกับภาพลวงตา

ดุจพระอาทิตย์กำลังคล้อยตกดิน แสงสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่แปรเปลี่ยนเป็นภาพต่างๆ ทั้งสวยงาม ขมขื่น และลึกลับ

หัตถ์เงาสนธยา

วรยุทธ์วิชาสายหลักของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นวิชาเจ็ดสุริยะเช่นเดียวกันกับหัตถ์เทพกลางเวหา

นับเป็นชื่อวรยุทธ์วิชาที่มีชื่อเรียกตามการเปลี่ยนแปลงกระบวนท่า ในบรรดาวรยุทธ์วิชาที่มีจำนวนไม่มากของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

เซียวเซิงได้ฝึกฝนและค้นคว้าวรยุทธ์วิชานี้มานานหลายปี จนรู้ลึกถึงแก่นแท้ของวิชาแล้ว

แม้แต่ผู้หลักผู้ใหญ่ร่วมสำนักที่มีวรยุทธ์แก่กล้ามากกว่าเขา ก็ยังมีความรู้ความเข้าใจในวรยุทธ์วิชานี้ไม่เท่าเขาด้วยซ้ำ

ภายใต้การกระตุ้นปราณจิตราของเซียวเซิง ตุ๊กตาหุ่นกระบอกนั้นราวกับจอมยุทธ์ที่มีชีวิต มันแสดงวรยุทธ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนมากมายนี้ออกมาได้ทุกรายละเอียด

 ขนาดควบคุมตุ๊กตาหุ่นกระบอกยังทำได้ถึงเพียงนี้ แล้วถ้าเจ้าตัวเซียวเซิงใช้เอง จะมีอานุภาพเพียงใดกัน 

ลูกศิษย์ของเขากว่างเฉิงที่ดูการปะทะอยู่ข้างๆ ต่างก็รู้สึกขมในคอ ฝ่ามือค่อยๆ มีเหงื่อซึมออกมา

สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้มองตุ๊กตาหุ่นกระบอกท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับมองมือที่กำลังควบคุมตุ๊กตาหุ่นกระบอกของเซียวเซิง

เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่โจมตีมาด้วยพลังอันร้ายกาจ ตุ๊กตาหุ่นกระบอกท่านตงก็ฟาดฟันดาบออกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง!

ในสายตาของทุกคน ตุ๊กตาหุ่นกระบอกที่แต่เดิมห้อยระโยงรยางค์ บัดนี้ราวกับเปลี่ยนเป็นเซียนมังกรผู้ทรงพลัง มันเหินทะยานขึ้นฟ้า ทำลายบรรดาภาพลวงตาที่เกิดจากแสงสนธยายามพลบค่ำออกทั้งหมด

แสงสีเขียวกระจายตัวออก ราวกับมังกรสะบัดเกล็ด บินเหินลัดฟ้า

ภาพลวงตาถูกทำลายทีละชั้น ประดุจฟองอากาศในความฝัน

แม้ว่าอาวุธที่อยู่ในมือของท่านตงจะเป็นดาบที่ทำจากไม้ แต่เยี่ยนจ้าวเกอก็ใช้ดาบแทนกระบี่โดยไม่สนใจรูปลักษณ์ของมัน กระบวนท่าเพลงกระบี่มังกรเขียวในชายเสื้อยังคงวิเศษสุดยอด และสลายวิชาอรหันต์เงาสนธยาของเซียวเซิง

ลูกศิษย์ของเขากว่างเฉิงส่งเสียงร้องยินดีพร้อมกันทันที

มุมปากของเซียวเซิงกลับเผยให้เห็นรอยยิ้มเยือกเย็น

 คิดว่าข้าเหมือนเฉาหยวนหลง ที่เป็นควายป่าเก่งแต่ใช้กำลังหรืออย่างไร 

พูดแล้ว เซียวเซิงก็บังคับตุ๊กตาหุ่นกระบอกให้เปลี่ยนกระบวนท่าดูซับซ้อนมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่มหัศจรรย์มากมายของวิชาหัตถ์เงาสนธยาพลันปรากฏขึ้น

ภายใต้การกระตุ้นของปราณจิตรา ตุ๊กตาหุ่นกระบอกของท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์เริ่มมีแสงอ่อนๆ ไหลเวียน ราวกับแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์เข้าปกคลุมท่านตงอีกครั้ง

ครั้งนี้ ภาพลวงตานอกจากสวยงาม ขมขื่น ลึกลับ และมีการแปรเปลี่ยนสารพัดแล้ว ยังมีความรู้สึกสิ้นหวังเพิ่มเข้ามาด้วย

พระอาทิตย์ตกลับภูเขา ผืนแผ่นดินกำลังเข้าสู่ความมืดมิดยามค่ำคืน ขอบฟ้าเหลือเพียงแสงสนธยาสุดท้าย

ไม่ว่าจะพยายามยื้อดึงอย่างไร ไม่ยอมเพียงไร ก็เป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์

สิ่งที่จะเกิด ไม่ว่าอยางไรก็ต้องเกิด!

วินาทีนี้เซียวเซิงแสดงความหมายเบื้องลึกที่แท้จริงของวิชาหัตถ์เงาสนธยาออกมาจนหมดสิ้น

แสงสลัวยามสนธยาราวกับกรงขังแห่งความสิ้นหวัง ปกคลุมตุ๊กตาหุ่นกระบอกท่านตงไว้

กระนั้นกระบวนท่าเพลงกระบี่มังกรเขียวในชายเสื้อของเยี่ยนจ้าวเกอ ก็ยังคงราวกับมังกรฟ้าพุ่งทะยานขึ้นในอากาศ ล้ำเลิศเหนือชั้น

แต่วินาทีนี้ก็ทำได้แค่เพียงเบิกตากว้าง มองพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับไป โดยที่ไม่สามารถรั้งดึงการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาตินี้ได้

แสงกระบี่สีเขียวมืดลงในพริบตา ด้วยเพราะแสงอาทิตย์มัวหม่น ความมืดมิดมาเยือนตรงหน้าทุกคนที่กำลังดูการประลองอย่างฉับพลัน และกลืนกินตุ๊กตาหุ่นกระบอกทั้งสองเข้าไป

เซียวเซิงยิ้มพลางกล่าว  สิ่งที่ต้องล่วงลับ สุดท้ายก็ต้องล่วงลับไป 

 การระลึกคิดถึงก็เป็นแค่การกระทำที่เปล่าประโยชน์เท่านั้น! 

ปราณจิตราของเขาพลันสั่นสะเทือน ฝ่ามือทั้งสองของตุ๊กตาหุ่นกระบอกท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์ฟาดลงบนจุดสำคัญบริเวณหน้าอกของท่านตงแล้ว!

 เหอะๆ…  เยี่ยนจ้าวเกอมองภาพตรงหน้า ในดวงตาฉายแววเยือกเย็น

ในขณะเดียวกัน ร่างกายของตุ๊กตาหุ่นกระบอกท่านตงก็บิดตัวด้วยความเร็ว และสะบัดข้อมือครั้งหนึ่ง!

ปลายดาบไม้เก็บเข้าหาตัว และรวมเป็นหนึ่งกับร่างกายของตุ๊กตาหุ่นกระบอก

พลังความสามารถที่เดิมทีถูกปลดปล่อยออกมาอย่างโดดเด่น จู่ๆ ก็กลับเป็นธรรมดา

ราวกับเก็บกระบี่เข้าฝัก ดุจมังกรแท้บินเหินอยู่กลางฟ้า หลบลอดซ่อนตัวไปในกลีบเมฆ

มังกรเขียวในชายเสื้อ เพลงกระบี่มังกรเมฆาซ่อนกระบี่!

รอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวเซิงหุบลง ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้น

เขารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่รู้สึกยินดี ราวกับมีหนามแหลมทิ่มบนแผ่นหลัง!

เยี่ยนจ้าวเกอบังคับท่านตงให้ใช้กระบวนเพลงกระบี่กระบวนหนึ่ง เสี้ยววินาทีนี้เซียวเซิงรู้สึกเพียงว่าฝ่ายตรงข้ามหายไปจากตรงหน้าของตนเองอย่างไร้ร่องรอยเท่านั้น

ทั้งๆ ที่เยี่ยนจ้าวเกอยังอยู่ที่ที่เดิม เซียวเซิงฟาดฝ่ามือลงไปคิดว่าต้องโดนอีกฝ่ายเข้าอย่างจังแน่ แต่สุดท้ายกลับเจอแต่อากาศ!

 กลลวงหลอกเด็ก กลปาหี่!  เซียวเซิงตะคอกด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง เสียงทุ้มใหญ่เล็กแหลมขึ้นมาเล็กน้อย

เขาบังคับตุ๊กตาหุ่นกระบอกท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ฝืนเก็บพลังบนฝ่ามือของตนเองไม่ให้ปล่อยออก และพยายามพินิจสัมผัสถึงฝ่ายตรงข้าม

เมื่อเริ่มจับร่องรอยของเยี่ยนจ้าวเกอได้บ้างแล้ว ร่างกายของท่านตงก็ขยายใหญ่ขึ้น!

ราวกับเมฆที่ถูกฟ้าผ่าออก คมกระบี่เยือกเย็นระเบิดออก โดยมีเป้าหมายที่ท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์

คล้ายกับมังกรลอดเข้าไปในหมู่เมฆ แล้วจู่ๆ ก็โผล่เอาหัวออกมา!

สถานการณ์ในตอนนี้เหมือนกลยุทธ์โจมตีกลับอย่างฉับพลันของสงครามมนุษย์ ที่เล่นงานโดยที่ไม่ให้ศัตรูได้ตั้งตัว

เซียวเซิงแสยะยิ้ม ฝ่ามือที่เก็บซ่อนพลังไว้ระเบิดออกมาเช่นเดียวกัน และปะทะกับการโจมตีของเยี่ยนจ้าวเกอเข้าอย่างจัง

 ครั้งนี้จับเจ้าได้แล้ว! 

ขณะที่กำลังคิดอยู่ เซียวเซิงก็ต้องตกตะลึง เมื่อเห็นเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เดิมทีพลังกระบี่แผ่ซ่านถูกเก็บซ่อนไปในพริบตาอีกครั้ง และหายไปอย่างไร้ร่องรอย!

วิชาซ่อนกระบี่อีกแล้ว!

วิชามังกรเมฆาซ่อนกระบี่ ก่อให้เกิดภาพสมจริง สอดประสานกับการเคลื่อนไหว ราวกับมังกรซ่อนตัวในกลีบเมฆ ไร้ซึ่งร่องรอย และไม่อาจาดการณ์ได้!

วิชาหัตถ์เงาสนธยาของเซียวเซิงล้มเหลวโดยสิ้นเชิง!

และในวินาทีถัดมา แสงกระบี่สีเขียวก็สว่างเจิดจ้าขึ้น ค่อยๆ ฉีกฉากความมืดมิดออก และให้แสงสว่างกลับคืนสู่ผืนแผ่นดินอีกครั้ง!

 พระอาทิตย์ตกดินไป ก็มีรุ่งอรุณเสมอ อาจมีเมฆบดบังไว้บ้าง แต่สุดท้ายก็ต้องมีเวลาที่เมฆคลายหมอกสลายไป และทำให้แสงสว่างกลับคืนสู่ผืนปฐพีอีกครั้ง 

เยี่ยนจ้าวเกอพูดช้าๆ พร้อมรอยยิ้ม เขาใช้ดาบแทนกระบี่ ชี้ปลายดาบของท่านตงตรงไปยังหน้าอกของท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์!

นัยน์ตาของเซียวเซิงพลันหดตัว แต่ก็ไม่อาจบังคับตุ๊กตาหุ่นกระบอกท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์ให้หลบพ้นได้ทัน

แสงสีทองไร้รูปร่างหลายสายไหลเวียนไปมาในร่างของตุ๊กตาหุ่นกระบอกของท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์

การป้องกันด้วยปราณจิตราเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุด ฝืนกัดฟันทนต้านการโจมตีครั้งนี้ของท่านตง

แต่แสงสีเขียวที่ปลายดาบอันแหลมคมของท่านตงก็มีแสงสีทองกะพริบอยู่เช่นกัน

ดาบไม้ในขณะนี้ราวกับเป็นกระบี่เหล็กยาวของจริง พยายามทำลายเกราะป้องกันปราณจิตราของฝ่ายตรงข้าม และแทงเข้าไปที่หน้าอกของตุ๊กตาหุ่นกระบอกท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์!

 เหอะ! 

เซียวเซิงแค่นหัวเราะ ก่อนจะฟาดฝ่ามือลงครั้งหนึ่ง ทำให้ปราณจิตราที่อยู่บนตัวของตุ๊กตาหุ่นกระบอกท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ระเบิดออก!

ตุ๊กตาหุ่นกระบอกท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์แตกละเอียดเป็นอันดับแรก ดาบไม้ที่เสียบเข้าไปในร่างกายก็แตกออกเช่นกัน

พลังนี้ก็ยังแผ่กระจายไปตามไม้ดาบจนถึงตัวของตุ๊กตาหุ่นกระบอกท่านตง ร่างกายของตุ๊กตาหุ่นกระบอกท่านตงก็แตกเป็นเศษเสี้ยวทันทีเช่นเดียวกัน!

เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่โมโห เขาเก็บมือกลับไปไพล่หลัง และมองเซียวเซิงอย่างสบายอกสบายใจ

เซียวเซิงจ้องเขม็งไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ ดวงตาหรี่เล็กเป็นเส้นตรง แววตาแห่งความดุร้ายทอประกายอยู่ในนั้น

หนวดเคราบนใบหน้าของเขาขยับไม่หยุด ตามลมหายใจหอบหนักของเขา

แม้ว่าจะไม่ได้แพ้จนหมดหน้าหมดตา หมดเปลือกหมดรูปเหมือนอย่างเฉาหยวนหลง แต่เซียวเซิงในตอนนี้ก็รู้สึกอับอายและโมโหมากเช่นกัน รู้สึกได้ถึงความแสบร้อนบนใบหน้าเลยทีเดียว

เขาเป็นคนเลือกวิธีการประลองเอง สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายทำผิดกฎกติกาก่อน เหมือนกับการตบหน้าตัวเอง

ฉากจบเสมอกันที่ดูเหมือนตายพร้อมกัน แต่ความจริงแล้วเขาแพ้ไปแล้วตั้งแต่ก่อนหน้านั้น

เยี่ยนจ้าวเกอเหล่ตามองเซียวเซิง แล้วยักไหล่  ที่จริงแล้วข้าเห็นด้วยกับคำพูดของเจ้า คนไม่ควรมีชีวิตที่ยึดติดอยู่กับอดีต 

 อยู่กับปัจจุบัน มองไปยังอนาคตถึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง 

ความหมายที่อยู่ภายในคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอ มีหรือเซียวเซิงจะฟังไม่ออก?

เซียวเซิงจ้องเยี่ยนจ้าวเกอเขม็ง แล้วพยักหน้าช้าๆ  เยี่ยนจ้าวเกอ เจ้าเก่งมาก 

 ข้ายอมรับว่าแต่ก่อนข้าดูถูกเจ้า แต่ไม่เป็นไร พวกเรา ยัง มี เวลา อีก เยอะ! 

พูดจบ เซียวเซิงก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หันหลังกลับแล้วเดินจากไป

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะเบาๆ ครั้งหนึ่ง  เวลาเดินไปข้างหน้าเสมอ เจ้าคิดเช่นนั้นไม่ได้หรอก 

………….

 

เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามสวมเสื้อของลูกศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ และได้ยินคำที่ฝ่ายตรงข้ามพูด สีหน้าของลูกศิษย์ของเขากว่างเฉิงทั้งหมดก็เผยให้เห็นถึงความไม่พอใจทันที

ชายเสื้อขาวที่มีหนวดเคราปกคุมทั้งหน้าเดินเข้ามาใกล้ๆ แต่สายตากลับมองไปอีกทางหนึ่ง  คนน่ะ ควรจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน 

สิ่งที่อยู่ฝั่งนั้นคือเวทีการแสดงอีกครั้งหนึ่ง

 ท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์ กลายร่างเป็นรุ้งวาดข้ามขอบฟ้าท่ามกลางแดดที่จ้าและฟ้าที่โปร่ง…  ด้านหลังของเวที มีเสียงพากย์ดังขึ้นลงเป็นทำนอง

ในเมืองใกล้ปราการไม่ได้มีเพียงแค่กองกำลังของเขากว่างเฉิงเท่านั้น สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เองก็มีฐานทัพในพื้นที่นี้ด้วยเช่นกัน และยังมีอิทธิพลในระดับหนึ่งด้วย

ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะมีบัณฑิตหรือนักแสดงละครคอยเล่าเรื่องราวตำนานของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วยเช่นกัน

คนเหล่านี้ส่วนมากก็เป็นเพียงคนที่หาข้าวปลาเลี้ยงปากท้อง ซึ่งไม่ได้มีความคิดที่จะเข้าข้างโอนเอนไปยังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ประชาชนชอบนิทานเรื่องเล่าอะไร พวกเขาก็แสดงอย่างนั้น

สำหรับเรื่องเล่าขานที่เป็นที่รู้จักกันไปทั่วของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์นั้น ก็คือผู้นำสำนักรุ่นบรรพบุรุษ ซึ่งก็เป็นบุคคลที่เป็นตำนานอีกคนหนึ่ง

ตามตำนานของชาวบ้านเล่าว่าชายคนนี้เหินฟ้ายามกลางวันที่สว่างเจิดจ้า ส่วนในโลกของจอมยุทธ์ มีเรื่องราวการเล่าขานแตกต่างมากมาย

มีทั้งที่กล่าวว่าเขาได้เข้าสู้ในระดับที่สูงขึ้น ได้ขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์แล้ว

ก็มีที่กล่าวว่าเขายังคงเก็บซ่อนตัวและฝึกฝนลับอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

และยังมีกล่าวอีกว่าเขาเข้าฌานบำเพ็ญเพียรจนหมดสิ้นอายุขัยไปแล้วต่างๆ นานา

ถึงอย่างไรก็ไม่ได้พบเห็นเขามานานแล้ว ข่าวลือคำพูดจึงมีต่างๆ นับไม่ถ้วน

หลังจากจ่านตงเก๋อล่วงลับไป สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้คนคนนี้เป็นผู้นำและค่อยๆ ตั้งตัวขึ้น จนสุดท้ายได้กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งแห่งใหม่

สายตาของชายชุดขาวมองไปยังบนเวทีฝั่งนั้น ความหมายของคำพูด ไม่ต้องอธิบายก็เข้าใจได้

ลูกศิษย์เขากว่างเฉิงต่างรู้สึกหงุดหงิด

 เซียวเซิง เหตุใดเจ้าถึงได้กลายเป็นเจ้าหนวดเช่นนี้ล่ะ?  เยี่ยนจ้าวเกอกลับมองฝ่ายตรงข้ามด้วยแววตาที่รู้สึกประหลาดและขบขัน

เซียวเซิงไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับกระดิกหูเล็กน้อย ราวกับกำลังฟังอะไรบางอย่าง ขณะเดียวกันก็พินิจพิจารณาเยี่ยนจ้าวเกออย่างละเอียดถี่ถ้วน

 เสียงเต้นของชีพจรและเลือดที่ไหลเวียนเบาแทบไม่ได้ยิน หนาแน่นแต่ไหลลื่น…เลือดดุจปรอท เจ้าบรรลุระดับปรมาจารย์จิตรานอกแล้ว? และยังทำการชำระล้างไขกระดูกครั้งที่สองสำเร็จในเวลารวดเร็วเช่นนี้? 

 แต่ก็ไม่สำคัญหรอก  เซียวเซิงบอกปฏิเสธ พลางกวาดตามองเยี่ยนจ้าวเกออย่างพินิจพิจารณา  เยี่ยนจ้าวเกอ เจ้าเล่นงานคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของข้าในหุบเหวปราการมังกร คงไม่ได้คิดว่าจะเล่นงานเปล่าๆ ใช่หรือไม่? 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม  เจ้าจะออกหน้าให้กับพวกเฉาหยวนหลงหรือ?  

เซียวเซิงขยับเท้าเดินเข้ามาข้างหน้าจนถึงตรงหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอ  ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดอย่างไร? 

ในตอนแรกคนของเขากว่างเฉิงดูไม่ออกว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร แต่เมื่อได้ยินชื่อของเซียวเซิงก็รู้ในทันทีว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นใคร

หลานชายของท่านผู้อาวุโสเก่าแก่แห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ และถูกขนานนามว่ารุ่งอรุณทั้งสี่เช่นเดียวกับเฉาหยวนหลง แต่เวลาการฝึกฝนนานกว่า และระดับของวรยุทธ์สูงกว่า

 ปรมาจารย์ขั้นจิตรานอก…  ซือคงจิงขมวดคิ้วเล็กน้อย มองเยี่ยนจ้าวเกอและเซียวเซิง

เช่นเดียวกับเฉาหยวนหลงก่อนหน้านี้ที่เป็นคู่ปรับที่รับมือได้ยากในระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราในระยะท้าย ตลอดทางที่เซียวเซิงเดินผ่านมา วรยุทธ์ก็อยู่เป็นอันดับต้นๆ ของคนในระดับเดียวกับ ผลงานการรบก็โดดเด่นยิ่งกว่าเฉาหยวนหลง

เมื่อเทียบกับเฉาหยวนหลงที่ฝึกฝนวิชากระบี่ที่ไม่เป็นที่นิยมแล้ว เซียวเซิงกลับเลือกที่จะฝึกวิชาดั้งเดิมของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ตามตำราลำดับขั้นตอน

แต่ถึงเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังคงโดดเด่นเหนือบรรดาอัจฉริยะรุ่นใหม่ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

ในอดีตเขาเคยชนะคู่ต่อสู้ที่เป็นปรมาจารย์ขั้นจิตรานอกระยะกลางด้วยระดับปรมาจารย์ขั้นจิตรานอกระยะต้น จึงทำให้ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือไปทั่ว

ลูกศิษย์ของเขากว่างเฉิงแม้จะมีความมั่นใจในตัวของเยี่ยนจ้าวเกอ แต่ด้วยระดับวรยุทธ์ของเซียวเซิง ประสบการณ์การต่อสู้ของเขามีมากกว่ามาก จึงยากที่จะไม่ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดหวั่นใจ

เสียงของเซียวเซิงทุ้มใหญ่ แต่น้ำเสียงค่อยเป็นค่อยไป  ก่อนหน้านี้เจ้าเล่นงานพวกเฉาหยวนหลงอย่างไร วันนี้ข้าก็จะมาคืนให้แบบนั้น 

 นอกจากเฉาหยวนหลงแล้ว เจ้ายังเล่นงานศิษย์น้องคนอื่นๆ ของข้า วันนี้นอกจากเจ้าแล้ว คนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังเจ้า ข้าก็จะเลือกคนมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าด้วย 

การกดขี่ด้วยระดับวรยุทธ์เช่นที่เซียวเซิงทำอยู่ในตอนนี้ ทำให้ทุกคนเกิดไม่พอใจเป็นธรรมดา  เจ้าคิดว่าเขากว่างเฉิงของเราไม่มีปรมาจารย์ขั้นจิตรานอกระยะท้ายหรืออย่างไร? 

เยี่ยนจ้าวเกอกลับมีสีหน้าเป็นปกติ  จอมยุทธ์ที่อายุน้อยกว่าสี่สิบปี โดยปกติแล้วถ้าอายุห่างกันสามถึงห้าปีจะถูกแบ่งเป็นช่วงอายุที่ต่างกัน 

 เจ้ากับข้าถึงอายุจะห่างกันไปหน่อย แต่ว่าข้าก็ไม่ถือสาหรอก ก็ถือเสียว่าพวกเราอายุเท่ากันก็แล้วกัน 

 อาหู่ เจ้าไม่ต้องเข้ามายุ่ง 

อาหู่จ้องเซียวเซิงอย่างไม่สบอารมณ์ แต่เมื่อได้ยินคำสั่งของเยี่ยนจ้าวเกอ จึงพยักหน้าแล้วถอยหลังไป

เซียวเซิงจ้องเยี่ยนจ้าวเกอ  ความสามารถเป็นเช่นไรค่อยว่ากัน แต่ความกล้าหาญไม่น้อยเลย 

 ข้าจะไม่รังแกเจ้าด้วยระดับวรยุทธ์ วิชาดาบของเจ้าทำลายวิชาเข็มทองสุริยันและหัตถ์เทพกลางเวหาของเฉาหยวนหลงได้ กระบวนท่าการเคลื่อนไหวของเจ้าคงมีเอกลักษณ์เฉพาะ เช่นนั้นข้าจะประลองกระบวนท่ากับเจ้าแล้วกัน 

พูดแล้ว เซียวเซิงก็กางแขนทั้งสองข้างออก

ที่ห่างออกไปกำลังมีการแสดงของ ‘ท่านตงปลิดชีพราชาราชาปีศาจอัคคี’ และ ‘ท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์เหินนภาวันสว่าง’ อยู่ นักแสดงหุ่นกระบอกทั้งสองกลุ่มรู้สึกเพียงว่าจู่ๆ มือก็เบาไป

จากนั้นพวกเขาก็พบว่า ตุ๊กตาหุ่นกระบอกที่เป็นตัวแทนของท่านตงและท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในมือหายไป

ผู้ชมต่างก็ตกใจฮือฮากัน และมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าตุ๊กตาหุ่นกระบอกหายไปไหน และหายไปได้อย่างไร

ตุ๊กตาหุ่นกระบอกทั้งสองต่างก็อยู่ในมือของเซียวเซิง ในมือของเซียวเซิงจับไม้ควบคุมตุ๊กตาหุ่นกระบอก และเชือกใต้ไม้ควบคุมก็ตรึงตัวของตุ๊กตาหุ่นกระบอกไว้

 ได้ยินมาว่าเจ้าใช้ท่อนไม้ไผ่แทนกระบี่ และควบคุมได้อย่างอิสระ คิดว่าคงควบคุมปราณจิตราได้ดีไม่น้อย มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเล่นสนุกกับข้า 

เซียวเซิงยิ้มแล้วพูดว่า  เจ้านี่แม้มันจะมีความหนาแน่นมากกว่าไม้ไผ่ แต่มันเปราะบางมาก ถ้าถ่ายเทปราณจิตราเข้าไปมากเกิน มันก็จะระเบิดตัวเอง ดังนั้นเจ้าไม่ต้องห่วงว่าข้าจะรังแกเจ้าด้วยระดับของวรยุทธ์ ของเล่นชิ้นนี้ก็เป็นเหมือนกันสิ่งที่จำกัดการขับเคลื่อนปราณจิตราที่เป็นขีดจำกัดสูงสุดของพวกเรา 

 การขับเคลื่อนปราณจิตราก็เหมือนกันหมดทุกคน ถ้าอยากชนะ เราก็มาประลองกันดูว่าวรยุทธ์ของใครมีการเปลี่ยนแปลงที่ประณีตมากกว่ากัน ใครจะสามารถขับเคลื่อนปราณจิตราได้ละเมียดละไมกว่ากัน 

พูดแล้ว เซียวเซิงก็โยนตุ๊กตาหุ่นกระบอกของท่านตงให้เยี่ยนจ้าวเกอ

เยี่ยนจ้าวเกอรับตุ๊กตาหุ่นกระบอกไว้ แล้วจู่ๆ ก็ยิ้มขึ้นมา  ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ท่านอาจารย์ปู่คนนี้ของสำนักเจ้า ตอนนั้นถูกท่านอาจารย์ปู่สะเทือนสวรรค์ขับไล่เข้าไปที่ปากปล่องภูเขาไฟ ก็ไม่กล้าออกจากที่นั่นตั้งชั่วครึ่งอายุคน 

 จนกระทั่งราชาปีศาจอัคคีบุกรุก ได้รับอนุญาตพิเศษจากท่านอาจารย์ปู่สะเทือนสวรรค์ ถึงคลานออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟสินะ? 

เซียวเซิงมองเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วพูดขึ้นอย่างเยือกเย็นว่า  คนของเขากว่างเฉิง พูดเป็นแต่เรื่องในอดีตหรือ? ถ้าชอบที่จะมีชีวิตอยู่ในอดีต งั้นก็จงเป็นผุยผงไปพร้อมกับประวัติศาสตร์เลยแล้วกัน 

ครั้นกล่าวจบ เขาก็กระตุกฝ่ามือครั้งหนึ่ง ปราณจิตราพลันแผ่ปกคลุมไปทั่วร่างกาย

เชือกที่ตรึงตัวของหุ่นกระบอกขาดทุกเส้น แต่ตุ๊กตาหุ่นกระบอกยังลอยอยู่กลางอากาศไม่ตกพื้น ยิ่งไปกว่านั้น รอบตัวหุ่นก็ปรากฏแสงสีทองอ่อนๆ ไหลเวียนไปมาด้วย

ภายใต้ปราณจิตราที่ถูกกระตุ้นให้ปลดปล่อยออกมา ตุ๊กตาหุ่นกระบอกที่หยาบกระด้างก็มีดูมีชีวิตชีวาขึ้นทันที ราวกับมีชีวิตเป็นของตนเอง

แขนขาทั้งสี่ของหุ่นกระบอกขยับไปมา และตบฝ่ามือหนึ่งตรงไปยังตุ๊กตาหุ่นกระบอกของท่านตงที่อยู่ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอ!

ฝ่ามือเล็กๆ ของตุ๊กตาหุ่นกระบอกที่ตบไปเกิดเป็นลมที่เย็นเฉียบ!

ทั้งในอากาศก็เกิดเสียงดังกระหึ่ม ราวกับระเบิด!

ทุกคนของเขากว่างเฉิงที่เห็นดังนั้นก็รู้สึกหวาดหวั่นใจ  มิน่าล่ะ เขารู้ทั้งรู้ว่าศิษย์พี่เยี่ยนชนะเฉาหยวนหลงได้อย่างไร แต่ยังกล้าใช้วิธีแบบนี้ท้าประลอง! 

เยี่ยนจ้าวเกอกลับยิ้มขึ้น พลิกฝ่ามือลง เชือกที่ตรึงกับตุ๊กตาหุ่นกระบอกของตนเองก็ขาดออกเช่นกัน

ภายใต้การขับเคลื่อนของปราณจิตรา ดวงตาทั้งคู่ของตุ๊กตาหุ่นกระบอกท่านตงราวกับมีแสงกะพริบอยู่

บัดนี้ ท่านตงได้เปลี่ยนเป็นผู้สะเทือนสวรรค์ที่ทรงพลัง

ดาบที่อยู่ในมือของตุ๊กตาหุ่นกระบอกสั่นครั้งหนึ่ง ก่อนจะฟาดฟันผ่านอากาศไป กลบเหลือไว้เพียงร่องรอยที่มองเห็นได้ชัดเจนด้วยตาเปล่า

 แสดงได้ดีๆ เยี่ยนจ้าวเกอ อย่างน้อยก็ทำให้ข้ารู้สึกสนุกหน่อยสิ  บัดนี้ดวงตาทั้งคู่ของเซียวเซิงมีแววที่เย็นยะเยือกราวกับงู

ภายใต้การควบคุมของเขา ฝ่ามือทั้งสองของตุ๊กตาหุ่นกระบอกท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์ยกลอยขึ้น และโจมตีไปที่ตุ๊กตาหุ่นกระบอกที่อยู่ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอ!

……………

 

หม่าชิวยิ้มกว้างมองหลานเหวินเหยียนและคนอื่นๆ  ไม่ไปน้ำตกก็ช่าง ข้ามีอย่างอื่นแกล้งเขาได้อีก แม้ช่วงนี้ไม่ได้แกล้งเขาเล่น วันหลังค่อยว่าก็ได้ 

เขามองไปที่ศิษย์น้องเฟ่ยครั้งหนึ่ง อีกฝ่ายได้แต่ก้มหน้าลง จากนั้นเขาก็ยิ้ม พลางมองไปที่ซือคงจิงและหลานเหวินเหยียน  พวกเจ้ากลับไปฟ้องทางสำนักก็ได้ แต่พวกเจ้าจะฟ้องเรื่องอะไรเล่า ฟ้องว่าข้าฝึกศิษย์น้องร่วมสำนักหนักเกินไปหรืออย่างไร 

หลานเหวินเหยียนจ้องเขาเขม็ง แทบจะมีไฟพ่นออกจากดวงตาทั้งสองข้างอยู่แล้ว

หม่าชิวไม่มองหลานเหวินเหยียนแม้แต่น้อย สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของซือคงจิง แล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ว่า  เป็นอย่างไร เจ้าคิดจะตีข้าหรือ 

 พวกเขาสู้ข้าไม่ได้ แต่วรยุทธ์เจ้าสูงกว่าข้า ข้าไม่เป็นฝ่ายหาเรื่องเจ้าก่อน แต่หากเจ้าเล่นงานข้า ก็เท่ากับเจ้าทำผิดกฎของสำนัก 

หม่าชิวกำลังยิ้มอย่างสนุกสนาน และเดินถอยหลังไป  ดูสิ ศิษย์น้องซือคง ข้าไม่กล้าหาเรื่องเจ้าหรอก เจ้าว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น ข้าไม่ให้ศิษย์น้องเฟ่ยไปที่น้ำตกแล้ว และข้าก็ไม่บังคับเขาเช่นกัน ข้าเชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง 

 ไม่เพียงแค่วันนี้เท่านั้น ตลอดช่วงเวลาที่เจ้าอยู่ ข้าจะเชื่อฟังเจ้าทั้งหมด 

 แต่ว่าหลังจากเจ้ากลับไปแล้ว หึหึ… 

หม่าชิวกำลังถอยหลัง จู่ๆ ก็ชนเข้ากับร่างของคนผู้หนึ่ง

เขาสะดุ้งครั้งหนึ่ง เมื่อหันกลับไปมองแล้ว เขาก็มีอันต้องตกใจจนสติกระเจิง!

ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขา ก็คือใบหน้าของสวีชวน!

สวีชวนมองหม่าชิวด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง บนใบหน้าไม่ได้เผยให้เห็นถึงความโกรธเลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้หม่าชิวกลัวจนหัวหด

 หลังจากที่ศิษย์หลานซือคงจากไป แล้วอย่างไรหรือ? 

หม่าชิวรวบรวมสติ  ท่านผู้อาวุโสสะ…สวี ท่านมาตั้งแต่เมื่อไรหรือ… 

สวีชวนพูดนิ่งๆ ว่า  เอาเป็นว่าข้ารู้ทุกอย่างหมดแล้วก็แล้วกัน 

ฝ่ายหม่าชิวหน้ามืดไปทันที เข่าทั้งสองอ่อนจนแทบจะคุกเข่าลงไปกับพื้น

หลังจากนั้นสวีชวนพลันส่ายหน้า แล้วโบกมือครั้งหนึ่ง ผู้ติดตามก็ออกมาจากด้านหลัง และจับตัวหม่าชิวไป

 ท่านผู้อาวุโสสวี ท่านปู่ของข้า…  หม่าชิวอยากจะพูด แต่แล้วก็พบว่าตนเองถูกคนสะกดจุดไว้ ทำให้ส่งเสียงใดออกจากปากไม่ได้เลย

ในใจของเขามีแค่ความคิดเดียว ‘…หมดกัน!’

 จากนี้ไป เขาจะไม่มาปรากฏตัวที่เมืองใกล้ปราการ และจะไม่อ้างชื่อข้าเพื่อใช้อำนาจได้อีก  สวีชวนก้มหน้าลงกล่าวเสียงเบากับซือคงจิงและคนอื่นๆ แล้วหันหลังเดินจากไป

ไม่มีใครรู้ ว่าผู้อาวุโสสวีรับหน้าที่เป็นทั้งผู้อาวุโสปฏิบัติกิจของเมืองใกล้ปราการ และหุบเขาวายุวิญญาณทั้งสองแห่งนี้ เหงื่อบนแผ่นหลังของเขาจนถึงตอนนี้ยังไม่แห้งเลย  โชคดีที่ได้นายน้อยเยี่ยนเตือน มิเช่นนั้นอนาคตต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่! 

หลานเหวินเหยียนและคนอื่นๆ ต่างมองหน้ากัน ไม่อาจเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในทันที

 …อาจจะเป็นศิษย์พี่เยี่ยน  ซือคงจิงมองแผ่นหลังที่จากไปของสวีชวน แล้วพูดขึ้นเบาๆ

ทุกคนเข้าใจโดยพลัน ก่อนจะมองไปรอบๆ เห็นเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ไกลออกไป

ทันใดนั้น ทุกคนรีบวิ่งเข้าไปทำความเคารพเยี่ยนจ้าวเกอ

ครั้นเห็นท่าทางของทุกคนเหมือนจะพูดแต่ก็หยุดไป เยี่ยนจ้าวเกอจึงยิ้มพลางส่ายหน้า และมองเด็กหนุ่มแซ่เฟ่ยคนนั้น  ต่อไปนี้เขาจะไม่รังแกเจ้าอีกแล้ว 

 แต่ว่า การฝึกฝนอย่างสุดกำลังกายและกำลังใจ ไม่ว่าเมื่อไรก็เป็นสิ่งที่ต้องรักษาไว้ ยิ่งตนเองพยายามมาก สุดท้ายคนที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดก็คือตัวเจ้า 

 อย่างเช่น หากเจ้ามีตำแหน่งและวรยุทธ์เหมือนอย่างศิษย์น้องซือคงแล้วล่ะก็ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีใครออกหน้าแทนเจ้า เพราะเขาไม่กล้ารังแกเจ้า 

ริมฝีปากของศิษย์น้องเฟ่ยสั่นสะท้าน แล้วคำนับเยี่ยนจ้าวเกอครั้งหนึ่งอย่างกล้าๆ กลัวๆ  ขอรับ ข้าจะจดจำสิ่งที่ศิษย์พี่เยี่ยนสั่งสอนไว้เป็นอย่างดี 

เขารู้สึกตื้นตัน อยากจะกล่าวขอบคุณแต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี หลานเหวินเหยียนจึงดึงแขนเสื้อของเขา แล้วพูดอย่างนอบน้อบว่า  จดจำไว้ในใจก็ดีแล้ว เจ้าต้องจำใจยอมรับคำสั่งสอนศิษย์พี่เยี่ยนเช่นที่ทำกับหม่าชิวได้อย่างไร 

 จริงด้วย  ศิษย์น้องเฟ่ยพยักหน้าหงึกหงัก พลางมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความซาบซึ้งและเคารพนับถืออย่างยิ่ง

หลานเหวินเหยียนและคนอื่นๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน

เยี่ยนจ้าวเกอพูดขึ้นอีกประโยคหนึ่ง อีกฝ่ายจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก แค่ยิ้มและพูดขึ้นนิ่งๆว่า  ดูจากการแต่งกายของพวกเจ้า คิดจะออกไปข้างนอกสินะ จะไปไหนกันหรือ 

ซือคงจิงตอบอย่างสงบว่า  ข้ากำลังจะพาศิษย์น้องไปเทือกเขามฤคลับตาเจ้าค่ะ 

 อืม เจ้ามีประสบการณ์เคยไปที่นั่น ดูแลพวกเขาให้ดี  เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว

 เจ้าค่ะ  ซือคงจิงตอบ

ในเมื่อเป็นฝีมือของเยี่ยนจ้าวเกอจริง ทุกคนก็ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลว่าสวีชวนจะพูดอย่างทำอีกอย่าง ความรู้สึกไม่พอใจอันเกิดจากหม่าชิวเมื่อครู่นี้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที บรรยากาศพลันผ่อนคลายลง

มีศิษย์บางคนถามเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความแปลกใจว่า  ศิษย์พี่เยี่ยน ‘ท่านตง’ ที่กลุ่มบัณฑิตเหล่านั้น และกลุ่มคนที่แสดงหุ่นกระบอกพูดถึง ใช่ท่านอาจารย์ปู่สะเทือนสวรรค์ของสำนักเราหรือไม่ 

เนื่องจากเมืองใกล้ปราการอยู่ติดกับหุบเหวปราการมังกร ผู้คนที่อยู่ที่นี่ส่วนมากล้วนเป็นจอมยุทธ์ ประชาชนคนทั่วไปค่อนข้างน้อย แต่ก็มีคนที่ยอมเสี่ยงอันตรายเข้ามาปักหลักอยู่ที่นี่เช่นกัน 

และเนื่องจากเป็นเมืองค้าขาย ในเมืองจึงครึกครื้นมาก

บนถนนในขณะนี้มีเด็กๆ จำนวนมากรวมตัวกันดูการแสดงละครหุ่นกระบอกอย่างใจจดใจจ่อ

คนแสดงละครหุ่นกระบอกกำลังบังคับหุ่นกระบอกสองตัวให้ต่อสู้กันไปมาอยู่บนเวที ส่วนตนเองซ่อนตัวอยู่หลังเวที อารัมภบทว่า  เห็นเพียงท่านตงฟันดาบลง แผ่นดินก็ร้าวแตกออกทันที ผืนทะเลแบ่งออกเป็นสองส่วน และตัดหัวของราชาปีศาจอัคคีหลุดจากบ่าไป! 

 ราชาปีศาจอัคคีกล้าเข้ามาในโลกแปดพิภพของข้า ช่างบังอาจนัก แต่เมื่อเจอกับท่านตงก็ต้องสอนให้รู้ไปเลยว่ามาได้ แต่กลับไปไม่ได้! 

ตุ๊กตาหุ่นกระบอกสองตัวในละครหุ่นกระบอกริมทางนี้ แม้จะดูเก่ามากแล้ว แต่งานฝีมือกลับดูประณีตมาก

ตุ๊กตาหุ่นกระบอกตัวหนึ่งเป็นชายวัยกลาง ในมือถือดาบยาวเล่มหนึ่ง ดูทรงพลังและมีอำนาจ

ส่วนตุ๊กตาหุ่นกระบอกอีกตัวหนึ่งกลับมีร่างกายสีแดงดุจเปลวเพลิงทั้งตัว แม้ดูแล้วจะมีรูปร่างคล้ายกับคน แต่กลับหน้าเขียวมีเขี้ยว แววตาดุร้าย ราวกับปีศาจร้าย ผมบนหัวก็ถูกสลักให้มีรูปร่างเหมือนกับเปลวไฟด้วยเช่นกัน

ด้วยการบังคับของคนแสดงหุ่นกระบอก ตุ๊กตาหุ่นกระบอกรูปชายวัยกลางฟันดาบลงไปที่ต้นคอของราชาปีศาจอัคคี จนตุ๊กตาราชาปีศาจอัคคีต้องถอยร่นไปทันที

ไม่เพียงแต่เด็กๆ เท่านั้นที่รู้สึกสนุกและตื่นเต้น คนดูโดยรอบต่างก็ส่งเสียงอย่างคึกคัก

เยี่ยนจ้าวเกอเห็นภาพตรงหน้า แล้วพูดขึ้นว่า  ถูกต้อง ‘ท่านตง’ ที่ว่าก็คือท่านอาจารย์ปู่ตงเก๋อของสำนักเรา 

อาจารย์ปู่สะเทือนสวรรค์ จ่านตงเก๋อ ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเขากว่างเฉิง ในตอนที่เขาเป็นผู้นำสำนักนั้น เป็นช่วงที่เขากว่างเฉิงรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด

จ่านตงเก๋อที่ไร้เทียมทานในตอนนั้น เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในโลกแปดพิภพ เป็นคนที่ผู้คนต่างก็ชายตามอง เขาทำให้เขากว่างเฉิงรุ่งเรืองจนถึงที่สุด และเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งที่มีอิทธิพลทั่วฟ้าดินในโลกแปดพิภพอย่างสมเกียรติ

น่าเสียดาย ขณะที่จ่านตงเก๋อและเขากว่างเฉิงกำลังรุ่งเรืองที่สุดนั้น ใต้หล้าก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่

จู่ๆ ท้องนภาเหนือฝั่งตะวันออกของโลกแปดพิภพก็แหวกออก

ปรากฏรอยต่อระหว่างโลกปีศาจอัคคี และโลกแปดพิภพ

ผู้ที่ครอบครองโลกปีศาจอัคคีไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นปีศาจอัคคี ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งและมีนิสัยดุร้าย

เมื่อปีศาจอัคคีรุกล้ำเข้ามา จ่านตงเก๋อและเขากว่างเฉิงจึงนำกำลังยกทัพวีรบุรุษทั่วฟ้าออกไปรับศึก

แต่ยอดฝีมือฝั่งปีศาจอัคคีมีมากกว่า โลกแปดพิภพเป็นฝ่ายเสียเปรียบในสงครามของครั้งนี้ สุดท้ายจ่านตงเก๋อจึงสู้หนึ่งต่อห้ากับศัตรู และใช้กำลังของตนสังการราชาราชาปีศาจอัคคี ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของโลกปีศาจอัคคี ขณะเดียวกันก็ได้ฆ่าราชาราชาปีศาจอัคคีอีกสองตน ก่อนจะเกิดราชาราชาปีศาจอัคคีขึ้นใหม่อีกสองตน สถานการณ์สงครามจึงแปรเปลี่ยนไป

สุดท้ายฝ่ายปีศาจอัคคีก็ถูกไล่ต้อนจนต้องยกทัพถอยหนีกลับไปยังโลกของตน บรรดายอดฝีมือของเผ่ามนุษย์ในโลกแปดพิภพเองก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักเช่นกัน

อาจารย์ปู่สะเทือนสวรรค์ จ่านตงเก๋อนำทัพอย่างเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ และมีผลการรบน่าชื่นชมยกย่อง แต่สุดท้ายก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว จึงสิ้นใจลงดั่งตะเกียงไฟที่เชื้อเพลิงหมด เหล่ายอดฝีมือของเขากว่างเฉิงเองก็เจ็บและตายไปกว่าครึ่ง

และก็นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นจะเสียหายไม่น้อยเช่นกัน แต่ก็ได้โอกาสที่จะไล่ตามเขากว่างเฉิงที่เสียหายหนักที่สุด สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด จนกลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งแห่งใหม่

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขากว่างเฉิงและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไม่ลงรอยกันนัก ราชาองค์ใหม่และองค์เก่าต่างไม่ชอบพอกันก็เป็นเหตุผลหนึ่งด้วย

ช่องว่างรอยต่อระหว่างสองโลกยังคงอยู่ แม้ตอนนั้นราชาปีศาจอัคคีจะพ่ายแพ้กลับไป แต่ก็ยังมีการข่มขู่อยู่ ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายยังคงมีการรบกับไม่หยุดหย่อน

และเพราะการมีอยู่ของราชาปีศาจอัคคี และสัญญาสันติระหว่างแต่ละดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สถานการณ์โดยรวมของโลกแปดพิภพในปัจจุบันจึงยังถือได้ว่าสงบสุข

การแสดงเหล่านั้นไม่กล้าที่จะขนานนามของจ่านตงเก๋อโดยตรง จึงใช้ชื่อ ‘ท่านตง’ เป็นชื่อเรียกแทน เป็นธรรมดาที่พวกเขาเองรู้เรื่องในตอนนั้นอย่างจำกัด การแสดงต่างๆ ในตอนนี้เองจึงเกินจริงมาก ทุกอย่างในตอนนั้นไม่ต่างกับเรื่องของเทพและสัตว์ประหลาด

แน่นอน สำหรับประชาชนทั่วไปแล้ว จ่านตงเก๋อท่านนี้เองก็เป็นบุคคลที่เหมือนอยู่ในตำนาน เรื่องราวต่างๆ ในตอนนั้นก็เป็นดั่งนิทาน

เนื่องจากมีประโยชน์ต่อการสร้างชื่อเสียงให้กับสำนัก และรวมจิตใจของผู้คนเข้าด้วยกัน ดังนั้นเขากว่างเฉิงจึงไม่ได้ห้ามปรามในเรื่องนี้ และทำเป็นลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งเท่านั้น

ลูกศิษย์เขากว่างเฉิงทั้งหมดได้คิดทบทวนถึงเอกสารที่บันทึกไว้และคำพูดของผู้ใหญ่ในสำนัก และนึกภาพเรื่องราวตอนนั้น ชั่วขณะหนึ่งต่างก็ถอนหายใจ  ตอนนั้นสำนักเรา…เฮ้อ!  

อาหู่ยืนอยู่ข้างๆ เยี่ยนจ้าวเกอ พลันมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะมองไปอีกที่หนึ่ง

เยี่ยนจ้าวเกอก็มองตามสายตาของเขาไป ก่อนจะเห็นบุรุษชุดขาว หนวดเคราเต็มหน้าคนหนึ่งปรากฏขึ้น

ฝ่ายตรงข้ามมองดูการแสดงละครหุ่นกระบอกที่อยู่ไกลออกไป และมองดูทุกคนของเขากว่างเฉิง พลางส่ายหัว  เหล่าแมลงที่น่าเวทนา ใช้ชีวิตอยู่แต่ในความทรงจำที่หลอกลวงตนเอง 

………..

 

อาหู่เข้าไปในห้องแล้วพูดว่า  ข้อมูลที่ได้มาเบื้องต้นบอกว่ามีคนเคยพบเห็นกล้วยไม้ทองสิบกลีบที่เทือกเขามฤคลับตาขอรับ 

เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ‘เทือกเขามฤคลับตาหรือ…อยู่ด้านนอกของหุบเหวปราการมังกรใกล้ๆ นี้ และอยู่ในแผ่นดินของอาณาจักรถังตะวันออกด้วย’

 อืม ตอนนี้ข้ากำลังว่าง เช่นนั้นไปเดินเล่นแถวเขตเทือกเขามฤคลับตาสักหน่อยแล้วกัน ดูสิว่าจะหลอกล่อให้หัวหน้าค่ายชื่อหลิงออกมาได้อีกหรือไม่ 

ความผิดปกติของหุบเหวปราการมังกร การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเฒ่ามารหัวขวาน แล้วยังมีการเคลื่อนไหวลับๆ ของหัวหน้าค่ายชื่อหลิงอีก อีกทั้งทางสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็มีการเคลื่อนไหวก่อนเกิดเรื่องทั้งหมดอีกด้วย

แม้ว่าราชาอาณาจักรถังตะวันออกจะโน้มเอียงมาทางเขากว่างเฉิง ทว่าฝ่ายเขากว่างเฉิงมีเพียงเหยียนซวี่คุมการณ์อยู่ในอาณาจักรถังตะวันออก เห็นได้ชัดว่ายังไม่เพียงพอ

ผู้อาวุโสฝ่ายอาญาแห่งเกาะตะวันออกก็มีภารกิจติดตัว จึงไม่สะดวกนักที่จะอยู่ในอาณาจักรนานๆ ถึงกระนั้นเขากว่างเฉิงก็ได้ส่งจอมยุทธ์คนอื่นๆ มาสมทบแล้ว แม้ว่าในตอนนี้เหตุการณ์ของอาณาจักรถังตะวันออกจะยังไม่สงบ แต่คนของทางเขากว่างเฉิงก็ยังคงไม่ขาดแคลน

เพียงแต่ไม่รู้ว่าหัวหน้าค่ายชื่อหลิงหนีจนมุมแล้วจะเสี่ยงอันตรายเพราะเข้าตาจนอีกครั้งหรือไม่

ส่วนการออกคำสั่งให้คนเบื้องล่างออกตามหากล้วยไม้ทองสิบกลีบนั้น มีความสำคัญสำหรับเยี่ยนจ้าวเกอมากกว่า

ขณะเดียวกันการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักเขากว่างเฉิงรุ่นต่อไป ระหว่างบิดาของเยี่ยนจ้าวเกอและอาจารย์ลุงรองของเขาก็กำลังเข้าสู่ช่วงที่สำคัญที่สุดอย่างช้าๆ

เนื่องจากอาจารย์ปู่ของเยี่ยนจ้าวเกอ ประมุขสำนักในปัจจุบันมีความคิดที่จะเข้าฌานเพื่อฝึกปราณมานานแล้ว ทว่าการเข้าฌานในครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อน เพราะไม่มีกำหนดออกจากฌานที่แน่นอน อาจใช้เวลายาวนานมาก แม้กระทั่งมีอันตรายถึงชีวิตก็เป็นได้

ฉะนั้นเจ้าสำนักจึงวางแผนแต่งตั้งผู้รับช่วงต่ออย่างเป็นทางการก่อนที่จะเข้าฌานไป

สำหรับบิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ การกำจัดเหล่าผู้อาวุโสปฏิบัติกิจอย่างชุยซินและเหวินหนิงจือนั้น ไม่ได้ส่งผลกับสถานการณ์โดยรวมเลย

ณ ขณะนี้ เตาผลึกหินชั้นในที่ยังหลอมอาวุธวิญญาณไม่ได้ ก็พูดได้เพียงว่าช่วยเพิ่มคะแนนความประทับใจเล็กน้อยเท่านั้น ไม่สามารถกำหนดผลลัพธ์ชี้ขาดได้

หากมองจากบางมุมแล้ว การเลื่อนขั้นในสำนักของเยี่ยนจ้าวเกอดูจะมีส่วนช่วยได้มากกว่า

เยี่ยนจ้าวเกอรู้เรื่องนี้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง และได้มีการตระเตรียมเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว ฉะนั้นในขณะที่ศึกษาเตาผลึกหินชั้นใน เขาก็ทำการวางแผนอีกเรื่องหนึ่งอยู่เช่นกัน

นั่นก็คือ ‘กลั่นโอสถชนิดหนึ่ง’ ซึ่งเป็นโอสถวิเศษที่ยังไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในโลกแปดพิภพ นับจากหลังวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่

หากทำเรื่องกลั่นโอสถนี้สำเร็จได้ ก็จะถือเป็นผลงานชิ้นใหญ่สำหรับการแข่งขันช่วงชิงตำแหน่งเจ้าสำนักของบิดา แทบจะสามารถชี้ขาดผลลัพธ์ในท้ายที่สุดได้เลยทีเดียว

หลังออกจากที่พัก เยี่ยนจ้าวเกอก็ครุ่นคิดในใจ ขณะเดินอยู่บนถนนของเมืองใกล้ปราการ

 จริงสิ คุณชายขอรับ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง วัตถุดิบปรุงโอสถสองชนิดที่ท่านให้ข้าตามหาก่อนหน้านี้ ขาดตลาดโดยสิ้นเชิงในอาณาจักรถังตะวันออก ข้าลอบเข้าไปในคลังลับของวังแล้ว ถึงได้มาจำนวนเล็กน้อย 

 เมื่อลองตรวจสอบก็พบว่าเป็นเพราะหอศิลาโอสถ มหาอำนาจที่กลั่นโอสถผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรถังตะวันออก กว้านซื้อไปทั้งหมดขอรับ 

 ขณะเดียวกัน จู่ๆ หอศิลาโอสถก็เริ่มวางขายโอสถศักดิ์สิทธิ์รักษาบาดแผลที่สาบสูญไปตั้งนานแล้ว นามว่า ‘หมอกควันสลาย’ ขอรับ 

เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิด ก่อนกล่าวว่า  ข้าจำได้ว่า ‘หมอกควันสลาย’ เป็นความลับเฉพาะของท่านตันหั่ว เซียนกระบี่และนักปราชญ์ระดับสูง ทว่าไม่มีการสืบทอดตั้งแต่ล่วงลับไป 

ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ หลังจากที่เริ่มมีการแบ่งเป็นโลกแปดพิภพอย่างเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว ตันหั่วเป็นจอมยุทธ์ระดับสูงสุดในจำนวนน้อยนิด ที่สร้างสิ่งต่างๆ ด้วยกำลังของตนเอง ซึ่งเขาเคยบรรลุถึงระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย

คนผู้นี้มีนิสัยหยิ่งยโสเป็นอย่างยิ่ง ถึงกระนั้นก็เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง

ในขณะที่มีวิชากระบี่ยอดเยี่ยมเป็นที่หนึ่ง เขาก็ยังเป็นนักกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงอีกด้วย เป็นเลิศทั้งวิชากระบี่และวิชากลั่นโอสถอย่างแท้จริง

เพียงแต่เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีกับเขากว่างเฉิงมากนัก

และคนผู้นี้ได้ล่วงลับไปหลายปีแล้ว

 อาจจะเป็นเพราะหอศิลาโอสถบังเอิญมีโชค ได้วิชาปรุงโอสถลับที่ท่านนักปราชญ์ผู้นั้นทิ้งเอาไว้ก็ได้ขอรับ  อาหู่คาดเดา

เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะด้วยท่าทีที่ไม่ได้สนใจนัก เพราะเขาไม่ได้ใส่เรื่องนี้สักเท่าไร

แท้จริงแล้วหมอกควันสลายเป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้รักษาบาดแผลที่หาได้ยากนักในปัจจุบัน ทว่าสำหรับตัวเขาเองแล้วไม่ใช่สิ่งขาดไม่ได้

เมื่อเดินไปได้สักพัก ภายในใจของเยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง จึงเงยหน้าขึ้นมองไป ก่อนจะเห็นเงาของคนกลุ่มหนึ่งปรากฏอยู่อีกฟากถนน

แม้ว่าคนกลุ่มนั้นจะอยู่ห่างกับเยี่ยนจ้าวเกอค่อนข้างมาก แต่ด้วยระดับความสามารถในการฟังของเขาแล้ว จึงได้ยินสิ่งที่พวกเขาถกเถียงกันอย่างชัดเจน

 ศิษย์น้องเฟ่ย เห็นอยู่ว่าอีกฝ่ายจงใจสร้างความลำบากให้เจ้า เหตุใดเจ้าจะต้องไปฟังที่เขาพูดด้วยเล่า! 

เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์

เยี่ยนจ้าวเกอจำได้ว่าเขาคือ ‘หลานเหวินเหยียน’ เขาเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ที่ร่วมเดินทางมาจากสำนักพร้อมชายหนุ่ม เพื่อฝึกฝนในครั้งนี้

สองสามคนข้างๆ หลานเหวินเหยียนล้วนเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ที่ร่วมเดินทางมาฝึกฝนเช่นกัน

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจฝึกฝนที่หุบเหวปราการมังกรก่อนหน้านี้ นอกจากเยี่ยจิ่งที่หายตัวไปแล้ว ในบรรดาศิษย์น้องอีกสิบห้าคนที่เหลือ บางคนเลือกที่จะเดินทางกลับสำนัก ในขณะที่บางคนเลือกอยู่ที่เมืองใกล้ปราการเพื่อฝึกฝนต่อไป

ด้านหน้าของพวกหลานเหวินเหยียน มีเด็กหนุ่มที่มีอายุใกล้เคียงกันนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น พลางยิ้มเจื่อนๆ

 ศิษย์พี่หม่าเป็นผู้ที่ดูแลการฝึกทั้งหมดของข้าในยามปกติ เรื่องที่เขาสั่ง ข้าก็ต้องทำตามแน่อยู่แล้ว 

หลานเหวินเหยียนโกรธสุดขีด  แต่ระดับวรยุทธ์ของเจ้าในตอนนี้ หากไปใต้มหาน้ำตกนั้น แค่ครึ่งชั่วยามก็อาจเกิดเรื่องขึ้นได้ 

 นี่ตั้งหนึ่งชั่วยาม เขาคิดจะฆ่าเจ้าหรืออย่างไร 

เด็กหนุ่มแซ่เฟ่ยหน้าดำคร่ำเครียด  คงไม่ถึงขั้นตายหรอกขอรับ พอข้าหมดสติ เขาก็จะมาพาข้าออกไปเหมือนกับครั้งก่อน 

คนข้างๆ คนหนึ่งถามขึ้น  เจ้าทำสิ่งใดให้เขาไม่พอใจใช่หรือไม่ เขาถึงจ้องจะแก้แค้นเจ้าเช่นนี้ 

ศิษย์น้องเฟ่ยถอนหายใจครั้งหนึ่ง  เมื่อก่อนข้าไม่รู้ประสา จึงทำลายแผนการของเขาเข้าตอนที่เขาทำการทุจริต ตอนนี้เขาหันมาจัดการกับข้าก็เป็นเรื่องธรรมดา 

 ช่างปะไร เจ้าไม่ได้เป็นฝ่ายผิด จะกลัวเขาไปไย หากเขาจะโจมตีเจ้าเพื่อแก้แค้น เจ้าไปแจ้งท่านอาวุโสปฏิบัติกิจก็ได้ 

 ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดเช่นนั้น ภายหลังถึงได้รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเขาก็คือท่านผู้อาวุโสปฏิบัติกิจ มิเช่นนั้นเขาจะยังทำตัวสบายอกสบายใจมาแก้แค้นข้าได้อย่างไร  ศิษย์น้องเฟ่ยตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

 ต่อให้แจ้งท่านผู้อาวุโสปฏิบัติกิจไป ศิษย์พี่หม่าเพียงแค่บอกว่าเขาเคี่ยวเข็ญให้ข้าฝึกฝน อย่างมากที่สุดก็แค่อธิบายว่าเขาใช้วิธีรุนแรงกับข้ามากไปหน่อย เขาไม่มีทางได้รับการลงโทษใดแม้แต่น้อย หนำซ้ำหลังจากนั้นเขาอาจจะมาแก้แค้นข้ามากขึ้นเป็นทวีคูณ 

ศิษย์น้องเฟ่ยมองหลานเหวินเหยียนและคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะกล่าวพร้อมรอยยิ้มขมขื่น  ในตอนแรกข้าจึงขอออกจากสำนักมายังที่แห่งนี้เพื่อเป็นกำลังสนับสนุน หากข้ารู้เช่นนี้ตั้งแต่แต่แรก ข้าคงจะไม่มาเป็นแน่ ก่อนหน้านี้ข้าคงคิดอะไรตื้นเขินเกินไปจริงๆ 

 ตอนนี้อยากจะกลับไปยังสำนักอีกครั้ง ก็ต้องรายงานท่านผู้อาวุโสปฏิบัติกิจให้ทราบก่อน ศิษย์พี่หม่าคอยเป่าหูอยู่ข้างๆ เช่นนี้ ข้าสู้เขาไม่ไหวหรอก กระทั่งหลบหลีกยังทำไม่ได้เลย 

หลานเหวินเหยียนขมวดคิ้วมุ่น ศิษย์น้องเฟ่ยที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นศิษย์ที่เข้าสำนักมาพร้อมกับเขา ทั้งสองมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ครั้งนี้มาถึงเมืองใกล้ปราการ ตอนแรกคิดว่าจะเป็นการพบปะกันกับสหายเก่าอีกครั้ง แต่ใครจะไปคิดว่าสหายเก่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเช่นนี้

หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง หลานเหวินเหยียนก็กล่าวด้วยความลังเลว่า  ครั้งนี้พวกข้าเดินทางมากับศิษย์พี่เยี่ยน ฐานะของศิษย์พี่เยี่ยนค่อนข้างพิเศษ หากไปขอร้องให้เขาช่วยพูด ศิษย์พี่หม่าอาจจะไม่กล้ารังแกเจ้าอีกเลยก็ได้ ถ้าเจ้าอยากย้ายออกไปจากเมืองใกล้ปราการก็น่าจะพอมีหวัง 

 ศิษย์พี่เยี่ยน เยี่ยนจ้าวเกอน่ะหรือ?  ดวงตาทั้งสองข้างของศิษย์น้องเฟ่ยพลันเปล่งประกาย ทว่าไม่นานก็มืดมนลง  เรื่องเล็กเช่นนี้ ศิษย์พี่เยี่ยนอาจจะไม่สนใจก็เป็นได้ แถมข้ายังได้ยินว่าศิษย์พี่เยี่ยนและท่านผู้อาวุโสสวีแห่งเมืองใกล้ปราการสนิทกันมากด้วย 

 เช่นนั้นพวกข้าจะรายงานกับทางสำนักให้เจ้าเอง  หลานเหวินเหยียนกล่าว

 ศิษย์พี่หม่าทำให้ข้าลำบากแค่ในเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่สามารถเอาผิดเขาได้จริงๆ หรอก หากมีคนจากสำนักมาถาม เขาก็สามารถปกปิดกลบเกลื่อนได้  ศิษย์น้องเฟ่ยยิ้มเจื่อน พลางกล่าวว่า  ช่างเถิดๆ ข้าจะอดทนไว้ก็แล้วกัน ศิษย์พี่หม่าได้ระบายอารมณ์แล้วคงไม่เป็นอะไร เขาเล่นงานจนข้าตายจริงๆ ไม่ได้หรอก คิดเสียว่าเป็นการฝึกฝนไป 

เยี่ยนจ้าวเกอมองเหตุการณ์นี้เงียบๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพียงแค่เอียงศีรษะเล็กน้อยเท่านั้น  ข้าจำได้ว่าในบรรดาลูกศิษย์รับสืบทอดหลักของสวีชวนไม่มีคนสกุลหม่า กลุ่มเครือญาติก็ไม่มีไม่ใช่หรือ 

 ใช่ขอรับ  อาหู่พยักหน้า จากนั้นก็ถอยออกไป เพียงชั่วครู่ก็กลับมารายงานว่า  คนผู้นั้นชื่อหม่าชิว เป็นหลานชายของท่านผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักที่ล่วงลับไปแล้ว สมัยที่สวีชวนยังหนุ่ม เขาเคยได้รับบุญคุณจากท่านผู้อาวุโสหม่าผู้นั้น จึงคอยดูแลหม่าชิวผู้เป็นหลานชาย 

หางคิ้วเยี่ยนจ้าวเกอเลิกคิ้วเล็กน้อย  สวีชวนมักจะทำอะไรเรียบร้อย แต่กลับปล่อยให้ลูกหลานของผู้มีบุญคุณทำการทุจริตอย่างนั้นหรือ 

อาหู่ส่ายศีรษะ  เวลากระชั้นชิด ข้ายังสืบข้อมูลที่แน่ชัดไม่ได้ขอรับ ทว่าสวีชวนเหมือนจะไม่ได้รู้เห็นด้วย 

 ตอนที่เจ้าหม่าชิวนี้อยู่ต่อหน้าสวีชวน เขามักจะแสดงท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน ฉะนั้นสวีชวนจึงมองข้ามความผิดเล็กน้อยไป เพราะเห็นแก่ท่านผู้อาวุโสหม่าที่ล่วงลับไปแล้ว 

 แต่ผลก็คือหม่าชิวเป็นจิ้งจอกอ้างบารมีเสือ[1] ทำให้ผู้อื่นไม่กล้านำเรื่องของเขาไปรายงานให้กับสวีชวนง่ายๆ 

อาหู่หัวเราะเหอะๆ พลางกล่าวว่า  เป็นการรังแกเบื้องล่างปกปิดเบื้องบนที่แท้จริง 

เยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่ได้หัวเราะตาม แต่หรี่ตาลง  ไม่หรอก ด้วยความฉลาดของสวีชวน ทั้งคนที่อยู่เบื้องล่างของเขาและหม่าชิว ไม่สามารถโกหกเขาได้ 

 ยังมีคนที่คอยช่วยเหลือหม่าชิวอยู่ เพียงแต่ว่าเป้าหมายของฝ่ายตรงข้าม แท้จริงแล้วกลับชี้ไปทางสวีชวน 

 หม่าชิวผู้นี้จะค่อยๆ กลายเป็นช่องโหว่ของสวีชวน อาจจะกลายเป็นรูรั่วขนาดใหญ่ ดึงเอาสวีชวนลงไปด้วยเขาสักวัน 

 โดยเฉพาะตอนนี้ สวีชวนกำลังรับหน้าที่เป็นผู้อาวุโสปฏิบัติกิจแห่งเมืองใกล้ปราการและหุบเขาวายุวิญญาณทั้งสองแห่งอยู่ ข้าเกรงว่าอีกฝ่ายใกล้จะลงมือแล้ว… 

ศิษย์น้องเฟ่ยกำลังฝืนยิ้ม หลานเหวินเหยียนและคนอื่นกำลังจะพูดต่อ ทว่าจู่ๆ พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง  ศิษย์น้องเฟ่ย เหตุใดเจ้ายังไม่ไปอีก หรือยังต้องให้ศิษย์พี่เช่นข้ารอเจ้าที่มหาน้ำตก 

ชายหนุ่มรูปร่างกลางๆ คนหนึ่งเดินเข้ามา เขามองดูทุกคนพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ก่อนจะแสยะยิ้มพูดขึ้นมาในทันใด

 ใช่แล้ว ข้าจ้องจะรังแกเขา แล้วพวกเจ้าจะทำอะไรได้? 

คนที่เดินเข้ามาก็คือหม่าชิว ฝ่ายเด็กหนุ่มสกุลเฟ่ยขยับริมฝีปากขยับเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ส่งเสียงใดออกมา เขาหันไปยิ้มเจื่อนๆ ให้กับพวกหลานเหวินเหยียน แล้วเดินเข้าไปหาหม่าชิว

 เจ้าไม่ต้องไปกับเขา  เสียงสงบเยือกเย็นเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น ร่างของซือคงจิงปรากฏต่อหน้าทุกคน

บนใบหน้าของหลานเหวินเหยียนเผยความดีใจออกมา แล้วรีบคำนับซือคงจิง  ศิษย์พี่ซือคง 

สายตาซือคงจิงมองไปยังเด็กหนุ่มแซ่เฟ่ย ก่อนจะมองไปยังหม่าชิว

 การพยายามฝึกฝนและอดทนอดกลั้นแท้จริงก็เป็นเรื่องที่ดี ท่านอาจารย์ในสำนักบางท่านก็มีการบังคับให้ศิษย์เข้ารับการฝึกฝนเช่นนี้ 

 แต่นั่นก็มาจากความประสงค์ดี ไม่ใช่เอาความแค้นส่วนตัวมาปนด้วย 

หม่าชิวมองดูชุดขาวที่ตนเองสวมใส่อยู่ แล้วก็มองไปที่เสื้อคลุมสีน้ำเงินที่ซือคงจิงสวมใส่อยู่ ความแค้นพลันแล่นผ่านสายตาของเขาไป

เขาหัวเราะลั่น  ศิษย์น้องซือคงพูดล้อเล่นแล้ว ข้าก็แค่เล่นสนุกกับพวกเขาเท่านั้นเอง 

ซือคงจิงเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า  ไม่สนุกเลยสักนิด 

 ศิษย์น้องซือคงสวมชุดสีน้ำเงินอยู่ ข้าเอาชนะเจ้าไม่ได้อยู่แล้ว  หม่าซือยังกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะ

 แต่เจ้าจะอยู่ที่เมืองใกล้ปราการนี้อีกนานเท่าไรกัน เขาจะพึ่งพาเจ้าไปได้อีกนานเท่าไร เจ้าไม่มีอำนาจที่จะโยกย้ายเขาไปจากที่นี่เสียด้วย และไม่มีอำนาจย้ายข้าออกไปจากที่นี่เช่นกัน 

 และเมื่อเจ้าไปแล้ว เขาจะเป็นอย่างไรเล่า 

………………..

[1] จิ้งจอกอ้างบารมีเสือ หมายถึง แอบใช้อำนาจของผู้ใหญ่ข่มเหงผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นหวาดกลัว

 

‘หากยึดตามความเร็วของความก้าวหน้าในการฝึกฝนวรยุทธ์ของเจ้าของร่างเดิมแล้ว การจะบรรลุจากขั้นจิตราชั้นในสู่ขั้นจิตราชั้นนอกคงต้องรอถึงปีหน้า หรือไม่ก็สิ้นปีนี้กระมัง’

เยี่ยนจ้าวเกอมีสีหน้าผ่อนคลาย ปราณจิตราทั่วร่างกายเริ่มมีท่าทีว่าจะพุ่งทะลุออกจากร่างกาย

จากปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในสู่ปรมาจารย์ขั้นจิตรานอกเป็นด่านยากอย่างยิ่งยวด ราวกับมีคลองหงโกว[1]ขวางกั้น มีจอมยุทธ์ขั้นจิตราชั้นในระดับสูงสุดจำนวนมากติดอยู่กับด่านนี้ กว่าจะผ่านไปได้ก็ใช้เวลานานทีเดียว

บางคนใช้เวลาในการบรรลุจากขั้นจิตราชั้นในระยะท้าย สู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นมากกว่าระยะเวลารวมทั้งหมด ที่ใช้บรรลุจากขั้นจิตราชั้นในระยะต้น สู่ขั้นจิตราชั้นในระยะกลาง จนถึงขั้นจิตราชั้นในระยะท้ายเสียอีก

ทว่าผลที่ได้มากับความยากลำบากในการบรรลุขั้นปราณ ก็คือสามารถพัฒนาตนเองขึ้นไปได้มากขึ้น

สำหรับจอมยุทธ์เช่นเยี่ยนจ้าวเกอ การบรรลุจากขั้นจิตราชั้นในระยะท้ายสู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นนั้น ไม่เพียงเป็นการเพิ่มพลังให้กับตัวจอมยุทธ์เอง แต่ยังหมายความว่าสามารถขับเคลื่อนอาวุธวิเศษระดับกลางได้ดั่งใจปรารถนาอีกด้วย

ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในสามารถขับเคลื่อนอาวุธวิเศษระดับล่างได้อย่างอิสระ แต่การขับเคลื่อนอาวุธวิเศษระดับกลางนั้นก็เหมือนกับการที่จอมยุทธ์ระดับหลอมกายขับเคลื่อนอาวุธวิเศษระดับล่าง ซึ่งเป็นการยากที่จะดึงพลังทั้งหมดของอาวุธวิเศษออกมาใช้ได้

แน่นอนว่าเยี่ยนจ้าวเกอมีอาวุธวิเศษระดับกลางอยู่แล้ว

ฉะนั้นสำหรับเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว การบรรลุสู่ขั้นปรมาจารย์จิตราชั้นนอก จึงเป็นการเพิ่มพลังการต่อสู้หลังจากใช้อาวุธวิเศษ ไม่ใช่เพียงแค่ความสามารถของตนเองเท่านั้น

หลังจากที่ข้ามมิติครั้งที่สองมาก็ผ่านมานานพอสมควรแล้ว ถึงกระนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็ยังคงระดับของปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในเอาไว้

ไม่ใช่เพราะไม่สามารถบรรลุได้ เยี่ยนจ้าวเกอมีวิธีมากมายสำหรับแก้ไขอุปสรรคและด่านยากของเจ้าของร่างเดิมอยู่แล้ว เพียงแค่ต้องการก็ทำได้ทุกที่ทุกเวลา

ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอยังคงอดทนรอ เพราะตั้งใจจัดการสรุปตำราคัมภีร์ต่างๆ ในสมองของตนอย่างจริงจังก่อน จากนั้นนำมันมาปรับใช้กับความเป็นจริง ณ ตอนนั้น ขณะเดียวกันก็ปูทางสำหรับการพัฒนาตัวเองในภายภาคหน้า เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด

บัดนี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอนาน

อยากจะบรรลุเมื่อใด ก็สามารถบรรลุได้เมื่อนั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเยี่ยนจ้าวเกอ

เยี่ยนจ้าวเกอนั่งนิ่งๆ อยู่บนพื้น บรรยากาศในห้องช่างเงียบเชียบ ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่ง ฝุ่นผงบนพื้นก็เหมือนถูกบางสิ่งบางอย่างกดทับไว้ให้ลอยขึ้นไม่ได้

บัดนี้จุดลมปราณมากมายทั่วร่างกายราวกับมีชีวิตเป็นของตนเองอย่างไรอย่างนั้น พวกมันเปิดปิดไม่หยุดเหมือนกับคนที่กำลังหายใจอยู่

ช่วงหายใจเข้าครั้งหนึ่ง หายใจออกครั้งหนึ่ง เป็นจังหวะที่คล้องจองสม่ำเสมอ

อีกทั้งในระหว่างที่เปิดปิดเพื่อหายใจ ภายในจุดลมปราณแต่ละจุดๆ ก็มีปราณดุจเมฆหมอกลอยขึ้นมา

ความถี่ในการหายใจค่อยๆ ยาวนานมากขึ้น เยี่ยนจ้าวเกอมักจะหายใจหนึ่งครั้ง แม้ผ่านไปหลายนาทีแล้ว และทุกครั้งที่หายใจ จุดลมปราณก็จะสั่นไหวครั้งหนึ่ง

ทั่วทั้งร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอเหมือนกับมีควันสีขาวบางๆ ปกคลุมไว้ชั้นหนึ่ง ร่างกายของเขาไม่ต่างอะไรกับรูปปั้นคนสีขาวรูปหนึ่ง สงัดเงียบไร้สุ้มเสียง เขานั่งนิ่งเงียบอยู่เช่นนั้น ราวกับว่ากำลังตระเตรียมบางสิ่งบางอย่างอยู่

ทันใดนั้น ร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอพลันสั่นสะท้าน หมอกควันที่แนบแน่นอยู่กับผิวกายค่อยๆ แตกร้าวประหนึ่งเครื่องกระเบื้องเคลือบ เกิดเป็นรอยร้าวถี่ยิบราวกับใยแมงมุม

มีปราณจิตราสีทองอ่อนที่ไร้รูปร่างและไร้สีสันหลายสาย กำลังไหลเวียนไปมาและแทรกออกจากรอยร้าวเหล่านั้น ทิ้งเป็นร่องรอยมากมายในบรรยากาศ

มีเสียงคำรามยาวๆ ประหนึ่งเสียงมังกรคำราม ดังออกมาจากปากของเยี่ยนจ้าวเกอ เสียงนั้นดังทรงพลังมากขึ้นเรื่อยๆ

รอยร้าวบนร่างกายของเขาหนาแน่นขึ้น จนท้ายที่สุดเสียงมังกรคำรามก็ดังสนั่นโสตประสาท หมอกสีขาวที่ปกคลุมอยู่ทั่วร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอก็แตกออกทั้งหมดในที่สุด!

ปราณจิตราที่ทั้งทรงพลัง แหลมคม แข็งแกร่ง และดุดันหมุนเวียนล้อมรอบร่างกายเยี่ยนจ้าวเกอไม่หยุด พร้อมทั้งแผ่รัศมีอันเฉียบคมออกมาด้วย

เยี่ยนจ้าวเกอลืมตาทั้งสองข้างขึ้น ก่อนจะยิ้มจางๆ เขาปล่อยและเก็บปราณจิตราทั่วร่างกายได้ดั่งใจต้องการแล้ว

แค่ความคิดในใจเปลี่ยนแปลงไป ปราณจิตราที่ปล่อยมาภายนอกก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยภายในพริบตาเดียว

เมื่อปล่อยปราณจิตราสู่ภายนอกได้ ก็นับว่าสำเร็จปรมาจารย์ยุทธ์ ขั้นจิตราชั้นนอกแล้ว

ชายหนุ่มหลับตาทั้งสองข้างลงอีกครั้ง แล้วเริ่มนำปราณจิตราแทรกซึมเข้าไปในโครงกระดูก เพื่อฝึกฝนความแข็งแกร่งของไขกระดูก

ด้วยความพยายามที่ไม่ท้อถอย เยี่ยนจ้าวเกอจึงสามารถรับรู้ได้แล้ว ว่าเลือดลมในร่างกายของตนกำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มหาศาล

ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือด เมื่อไขกระดูกผ่านการชำระล้าง เลือดลมของจอมยุทธ์ก็จะได้รับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งตามไปด้วย

‘การฝึกฝนวรยุทธ์’ ก็คือกระบวนการที่คอยพัฒนาตนเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

จอมยุทธ์ระดับหลอมกายนั้น มีขั้นร่างกาย ขั้นเบิกทางชีพจร ขั้นชักจูงลมปราณสามลำดับขั้น ในขั้นร่างกายระยะท้าย การที่กระดูกและเลือดส่งเสียงคำรามพร้อมกัน เกิดขึ้นจากการที่นำวรยุทธ์เข้าสู่กระดูกของตนเองได้เป็นครั้งแรก ทำให้ความแข็งและความหนาแน่นของกระดูกเพิ่มมากขึ้น รวมถึงทำให้ความคล่องแคล่วและพละกำลังเพิ่มมากขึ้นอีกขั้นหนึ่งด้วย

เมื่อถึงขั้นชักจูงลมปราณระยะท้าย ขั้นนี้จะทำการชำระล้างไขกระดูก โดยการนำการฝึกฝนวรยุทธ์ให้แทรกซึมไปยังไขกระดูกที่อยู่ภายในกระดูกเป็นครั้งแรก ผ่านทางการปรับเปลี่ยนเลือดลม ภายในและภายนอกรวมเป็นหนึ่งเดียว ให้ลมปราณซึมซับเข้าสู่ไขกระดูก จนเป็นผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง

ทว่าลมปราณของจอมยุทธ์ระดับหลอมกายก็ไม่อาจเทียบได้กับปราณจิตราของจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ ดังนั้นเมื่อบรรลุถึงระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอก จอมยุทธ์จะใช้ปราณจิตราชำระล้างไขกระดูกครั้งที่สอง และจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่รุดหน้าไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง

การพัฒนารุดหน้าจากขั้นจิตราชั้นในถึงจิตราชั้นนอก นับเป็นการยกตัวอย่างที่ครอบคลุมทุกด้าน

เยี่ยนจ้าวเกอในขณะนี้กำลังมองเข้าไปในร่างกายของตนเอง เขาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนถึงสิ่งเจือปนขนาดเล็กบางอย่างที่ลมปราณไม่สามารถชำระล้างได้ก่อนหน้านี้ กำลังถูกขับออกจากไขกระดูกทีละเล็ก ทีละน้อย ถึงแม้ว่าจะเป็นจำนวนเล็กน้อย ทว่ากลับมีสีดำสนิทดุจน้ำหมึก สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นของเสียที่อยู่ลึกสุดของในไขกระดูก

สิ่งเจือปนถูกกำจัดจนสะอาด ไม่เพียงแค่ไขกระดูกเท่านั้นที่มีการเปลี่ยนแปลง แม้กระทั่งกระดูกของเยี่ยนจ้าวเกอเองก็เปล่งประกายมากขึ้น

กระดูกทุกระเบียดนิ้วทั้งบริสุทธิ์ สมดุล หนาแน่น แข็งแกร่ง และมีพละกำลังอย่างยิ่ง

เลือดทุกหยดที่สร้างขึ้นใหม่ในร่างกายรวมตัวกันเป็นวงกลมที่หนาแน่น ส่องแสงสีเงินจางๆ ราวกับสีของปรอท

บัดนี้เลือดไหลเวียนทั่วร่างกายอย่างไหลลื่น ไม่ส่งเสียงเหมือนแม่น้ำลำคลองที่ไหลเชี่ยวอีกแล้ว ท่ามกลางความเงียบสงบนั้นดูหนักแน่น ไม่ติดขัดแม้สักนิด ไหลเวียนอย่างเป็นธรรมชาติ

กระดูกประหนึ่งผลึกแก้ว เลือดประหนึ่งปรอท เป็นเอกลักษณ์ของปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระดับต้น!

เพียงแต่ว่าเมื่อจอมยุทธ์ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระดับต้นคนอื่นๆ เพิ่งปลดปล่อยปราณจิตราสู่ภายนอกได้สำเร็จ และเพิ่งจะกลายเป็นปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอก ก็จำเป็นต้องใช้เวลายาวนานถึงจะชำระล้างไขกระดูกครั้งที่สองได้สำเร็จ จนมีสภาวะร่างกายอย่างเช่นตอนนี้ได้

เมื่ออยู่ในสภาวะเช่นนี้ได้แล้ว เท่ากับว่าได้วางพื้นฐานอีกขั้น เพื่อเบิกทางสู่การเป็นปรมาจารย์ขั้นชั้นจิตรานอกระดับกลางแล้ว

แต่เยี่ยนจ้าวเกอกลับใช้เวลาไปเพียงชั่วขณะเดียวก็ทำทุกอย่างสำเร็จ

เมื่อฝึกฝนเสร็จแล้ว ชายหนุ่มก็เผยรอยยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะหยิบขวดกระเบื้องเคลือบเล็กๆ ขวดหนึ่งออกมา

เขาเทโอสถเม็ดสีดำจำนวนหนึ่งออกมาจากในขวด เหนือเม็ดโอสถมีไอสีขาวค่อยๆ ลอยขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ราวกับถูกห้อมล้อมไว้ในเมฆหมอก ผิวของโอสถเม็ดสีดำยังมีแสงเงาไหลเวียนอยู่จางๆ ราวกับหยกสีน้ำหมึก

นี่ก็คือลูกกลอนวิญญาณทมิฬอันเป็นบำเหน็จรางวัลที่ทางสำนักมอบให้ ขณะนี้พวกมันอยู่ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว

แม้ว่าจะบรรลุถึงขั้นปรมาจารย์จิตราชั้นนอกสำเร็จแล้ว ถึงกระนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ได้รีบร้อนจะใช้ยาลูกกลอนเหล่านี้แต่อย่างใด เพียงแต่ทำการสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วนพักหนึ่ง ทั้งยังใช้จมูกสูดกลิ่นเบาๆ

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอถึงหยิบเข็มทองขึ้นมาแทงเข้าไปในตัวลูกกลอน

โอสถเม็ดนั้นสั่นสะเทือนขึ้นมาราวกับมีชีวิต ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่ยั้งมือ ยังคงแทงเข็มทองต่อกันอีกเก้าหน จนกระทั่งลูกกลอนวิญญาณทมิฬก็สงบนิ่งลง ไอโอสถสีขาวจางๆ ทั้งหมดถึงกลับเข้าไปตามรูเล็กๆ ทั้งเก้ารู ที่เยี่ยนจ้าวเกอแทงเข้าไปเมื่อครู่

คราวนี้เยี่ยนจ้าวเกอจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แล้วกลืนยาลูกกลอนเม็ดนั้นลงไป จากนั้นจึงนั่งลงฝึกลมปราณ เพื่อกลั่นเอาฤทธิ์ของโอสถ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอส่งเสียงตะโกนเรียก  อาหู่! 

อาหู่ก็เคาะประตูอยู่หน้าห้อง  คุณชายขอรับ 

 ของที่ข้าให้เจ้าตามหาก่อนหน้านี้ ไปถึงไหนบ้างแล้ว  เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยถาม

 มีข่าวคราวแล้ว แต่ยังต้องรอยืนยันข้อเท็จจริงก่อนขอรับ  อีกฝ่ายกล่าวตอบ

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า  ตั้งใจหน่อย ของในครั้งนี้ สำคัญยิ่งกว่าเตาผลึกหินชั้นในเสียอีก 

………………..

[1] คลองหงโกว ชื่อคลองที่ใช้ลำเลียงสิ่งต่างๆ ในสมัยโบราณ ปัจจุบันอยู่ในมณฑลเหอหนาน

 

ณ หุบเขาลูกหนึ่งด้านนอกหุบเหวปราการมังกร มีกลุ่มคนรุ่นเยาว์รวมตัวกันอยู่ภายในซอกเขาเล็กๆ

ทุกคนล้วนสวมอาภรณ์สีขาว แต่งขอบด้วยสีแดง และปักลายพระอาทิตย์

ส่วนคนที่เป็นหัวหน้าสวมอาภรณ์สีขาวเช่นเดียวกัน ต่างออกไปตรงที่เขามีขอบเสื้อสีทอง

ทว่าจุดที่ดึงดูดสายตาของเขามากที่สุด ก็คือรอยแผลเป็นจางๆ รอยหนึ่งบนใบหน้าของเขา รอยแผลนั้นจางมากจนแทบจะมองไม่เห็น ทว่าชายหนุ่มคนนี้กลับยังคงรู้สึกได้ถึงความปวดแสบปวดร้อนบนในหน้า เหมือนกับในตอนแรกไม่มีผิดเพี้ยน

โดยเฉพาะตอนที่มีคนอยู่ตรงหน้า และกำลังมองที่รอยแผลบนใบหน้าของเขา เฉาหยวนหลงรู้สึกเพียงว่ารอยแผลที่หายไปตั้งนานแล้วเจ็บยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

ด้านหลังของเฉาหยวนหลง คือกลุ่มศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กลุ่มหนึ่ง ขณะนี้พวกเขาต่างกำลังก้มหน้ามองไปที่ตาตุ่ม นิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น

เด็กหนุ่มที่ก่อนหน้านี้ถูกเยี่ยนจ้าวเกอใช้ท่อนไผ่กรีดเนื้อกรีดหนังเช่นเดียวกัน ยิ่งไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ

ตรงหน้าทุกคน มีชายสวมอาภรณ์สีขาวคนหนึ่งยืนอยู่ กำลังมองพวกเขาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

จริงๆ แล้วชายชุดขาวไม่ได้อายุมากแต่อย่างใด ราวๆ ยี่สิบห้าหรือยี่สิบหกปีเท่านั้น แต่กลับไว้หนวดเคราทั้งใบหน้า ทำให้ดูดุดันและเกรี้ยวกราด

เสียงของเขาทุ้มใหญ่มากเช่นกัน  พบร่องรอยของนางแล้วหรือ 

เฉาหยวนหลงบอกว่า  มีคนพบเห็นนางที่เขตเทือกเขามฤคลับตาด้านนอกหุบเหวปราการมังกร 

ชายชุดขาวผงกศีรษะ เฉาหยวนหลงจึงกล่าวต่อ  ข้าเพิ่งได้รับข่าวมาว่า ศิษย์น้องเมิ่งก็ออกจากสำนักมาที่นี่เช่นกัน 

 ไม่ต้องสนใจศิษย์น้องเมิ่ง  ชายชุดขาวยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่งดังเดิม ทว่าเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว  เยี่ยนจ้าวเกอแค่คนเดียว เล่นงานพวกเจ้าจนอยู่ในสภาพเช่นนี้เลยหรือ? 

เฉาหยวนหลงนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างช้าๆ ว่า  ครั้งนี้เป็นข้าเองที่พ่ายแพ้ ข้าไม่มีอะไรจะพูด ความอับอายครั้งนี้ ข้าจะล้างแค้นกับมือตัวเองให้ได้! 

มีศิษย์รุ่นเยาว์มองไปที่เฉาหยวนหลงแวบหนึ่ง แล้วกล่าวเบาๆ ว่า  ศิษย์พี่เซียว ท่านจะต้อง… 

ชายชุดขาวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราสบถออกมา ก่อนจะกล่าวว่า  ข้าต้องไปพบเยี่ยนจ้าวเกอสักหน่อยแล้ว 

เขาฉีกปากแสยะยิ้ม  ในบรรดาสี่คุณชายแห่งยุค คุณชายแห่งกว่างเฉิงนี่แหละที่อ่อนหัดที่สุด 

 ทว่าตอนนี้เขายังไม่บรรลุขั้นจิตราชั้นนอก กลับเล่นงานศิษย์น้องเฉาจนมีสภาพเป็นเช่นนี้ไปได้ เก่งเกินคาดอยู่เหมือนกัน 

เฉาหยวนหลงก้มหน้าลงไม่พูดจา ทว่าบนใบหน้าของศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ กลับฉายความคาดหวังออกมาอย่างชัดเจน  ศิษย์พี่เซียวจะลงมือเองหรือขอรับ 

บุคคลที่อยู่เบื้องหน้า มีนามว่า ‘เซียวเซิง’ เขาอายุมากกว่าเฉาหยวนหลงอยู่เล็กน้อย อีกทั้งฝึกฝนวรยุทธ์มายาวนานกว่า เบื้องต้นด้านวรยุทธ์ของเขาอยู่ในระดับที่สูงกว่าเฉาหยวนหลงมาก โดยบรรลุขั้นจิตราชั้นนอกระดับสูงสุดของปรมาจารย์ยุทธ์สิบขั้นแล้ว

เซียวเซิงเป็นบุคคลอัจฉริยะที่อยู่อันดับต้นๆ ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกับเฉาหยวนหลง และยังเป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งท่ามกลางกลุ่มคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันและระดับวรยุทธ์เดียวกันด้วย

ทว่าส่วนที่ต่างออกไปก็คือ แม้ว่าเฉาหยวนหลงจะเป็นอัจฉริยะ แต่กลับไม่มีภูมิหลังใดๆ เพียงแต่ผู้อาวุโสเห็นว่าเขามีความสามารถโดดเด่น ถึงได้ลงทุนลงแรงบ่มเพาะเลี้ยงดู

แต่เซียวเซิงคล้ายกับเยี่ยนจ้าวเกอ ท่านตาของเขาเป็นถึงผู้อาวุโสเก่าแก่คนหนึ่งของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นจอมยุทธ์ระดับมหาปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับต้นๆ

ตำแหน่งสี่คุณชายแห่งยุค นอกจากจะต้องมีความสามารถส่วนตัวพิเศษเป็นเลิศแล้ว ก็ยังต้องมีภูมิฐานครอบครัวที่ดีกว่าคนอื่นด้วย

บุตรชายของเจ้าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ นามว่า ‘คุณชายแห่งจรัสแสง’ ถูกขนานนามว่าเป็นสี่คุณชายแห่งยุคเช่นเดียวกันกับเยี่ยนจ้าวเกอ คุณชายแห่งเขากว่างเฉิง

เนื่องด้วยเหตุที่เป็นศิษย์ร่วมสำนักกับคุณชายแจรัสแสง เซียวเซิงจึงไม่ได้เป็นหนึ่งในสี่คุณชายแห่งยุค ซึ่งเป็นความเจ็บใจของเซียวเซิงมาโดยตลอด

ปกติแล้วเขาจึงไม่ชอบใจเยี่ยนจ้าวเกอ เพราะเด็กหนุ่มได้รับเลือกเป็นสี่คุณชายแห่งยุค ทั้งที่มีอายุน้อยที่สุด

ทว่าเนื่องจากฝึกวรยุทธ์มาเป็นเวลานานมาก และมีอายุมากกว่า อย่างไรเสียลดตัวลงไปหาเรื่องกับผู้ที่มีวรยุทธ์ต่ำกว่าคงไม่ใช่เรื่องดี คนที่ประมือกับเยี่ยนจ้าวเกอมาโดยตลอดจึงเป็นเฉาหยวนหลง

 เมื่อก่อนข้าคิดว่าคุณชายเขากว่างเฉิงเป็นแค่ตัวตลกเสียอีก  เซียวเซิงยิ้มด้วยความเย็นชา  แต่ดูจากในตอนนี้ ข้าประเมินเขาต่ำเกินไปหน่อยกระมัง  

 พวกเจ้าตามหานางต่อไป หากได้ข้อมูลที่ถูกต้องแล้ว พวกเจ้าจะได้สิ่งของที่ข้ารับปากไว้มากกว่าหนึ่งชิ้น 

 ข้าจะไปประเมินที่เมืองใกล้ปราการดูสักหน่อย ดูสิว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะแน่สักแค่ไหนกัน 

ตั้งแต่เข้ารับการสอบสวนเสร็จสิ้นไป เยี่ยนจ้าวเกอก็อยู่ที่เมืองใกล้ปราการตลอด พร้อมกับเข้าออกหุบเหวปราการมังกรเป็นพักๆ เพื่อใช้ปราณพิษในนั้นฝึกวรยุทธ์ และขัดเกลาปราณจิตราของตน

นอกเสียจากการฝึกฝนในหุบเหวปราการมังกรแล้ว ช่วงเวลาปกติที่อยู่ในเมืองใกล้ปราการ เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ได้ทำตัวตามสบาย

ในห้องอันเงียบสงบ เยี่ยนจ้าวเกอยืนอยู่บนพื้น ทันทีที่ตั้งหมัดขึ้น บรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไป!

แม้ท่วงท่านั้นจะดูน่าขันอยู่บ้าง เพราะคล้ายกับวานรขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง ทว่าทั่วทั้งกายของเยี่ยนจ้าวเกอกลับตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายคาวเลือดอันน่าหวาดหวั่น กล้ามเนื้อบนร่างกายขึ้นเป็นมัดๆ เส้นเลือดที่อยู่ภายในกล้ามเนื้อเต้นเร่าไม่หยุด ราวกับมังกรที่กำลังโกรธเกรี้ยวเพราะถูกกดทับเอาไว้ และกำลังพยายามพลิกตัวอย่างสุดกำลัง

เพียงชั่วพริบตาเดียว เยี่ยนจ้าวเกอราวกลับกลายร่างเป็นวานรอสูรดึกดำบรรพ์ที่ดุร้ายหาใดเปรียบ

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ‘หมัดอสูรหกวิญญาณเป็นวรยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ด้วย’

‘หมัดอสูรหกวิญญาณ’ เป็นวรยุทธ์วิชาระดับสูงที่เก็บไว้ในวังเทพก่อนวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ อันมีต้นกำเนิดมาจากบรรพชนที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับอสูรขนาดใหญ่หกชนิด ก่อนจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นวิชาอสูรที่ถ่ายทอดกันอย่างลับๆ

กระบวนหมัดทั้งหกสาย ไม่ว่าจะเป็นสายไหน ต่างก็เป็นวิชาลับสุดยอดที่ร้ายกาจมาก

ร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอในขณะนี้ แม้ว่าจะสำเร็จขั้นปรมาจารย์ และสามารถเปลี่ยนลมปราณเป็นปราณจิตราได้ ยังถึงขั้นจิตราชั้นในระดับสูงสุดแล้วด้วยซ้ำไป

แต่จากที่เยี่ยนจ้าวเกอเห็น ขณะที่อยู่ในระดับยุทธ์หลอมกายนั้น ยังคงมีช่องว่างระหว่างพื้นฐานที่สร้างขึ้น ซึ่งสามารถพัฒนาให้กล้าแกร่งขึ้นได้อีก

ดังนั้นเขาจึงเลือกวิชาหมัดอสูรหกวิญญาณ เพื่อฝึกฝนกล้ามเนื้อและกระดูกของตนเองใหม่อีกครั้ง

ระยะทางหมื่นลี้เริ่มที่ก้าวแรก ตั้งแต่ข้ามมิติครั้งที่สองมาถึงโลกนี้ และกลายเป็นเจ้าของร่างคนใหม่ของร่างนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็ฝึกฝนวรยุทธ์ด้วยวิธีนี้มาโดยตลอด

เฉาหยวนหลงที่มีความสามารถไล่เลี่ยกับกับเจ้าของร่างคนเดิมเสมอมา กลับถูกเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้เล่นงานเสียจนไม่เหลือชิ้นดี นั่นไม่ใช่เพราะเขาอ่อนแอเกินไป แต่เป็นเพราะตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอพัฒนาตัวเองรอบด้านมากกว่า

ไม่ใช่เพียงแค่กระบวนท่าเพลงดาบที่ประณีตยิ่งขึ้นแล้ว โลกทัศน์ของเขายังกว้างไกลมากขึ้น ขณะเดียวกันพื้นฐานทางด้านร่างกายก็แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

เมื่อฝึกหมัดอสูรวานรจอมพลังเรียบร้อยแล้ว ท่วงท่าของเยี่ยนจ้าวเกอก็เปลี่ยนไปทันที เพื่อตั้งหมัดขึ้นอีกท่าหนึ่ง

หลังจากเขาคำรามเสียงต่ำไปแล้วครั้งหนึ่ง กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอพลันผสานกันเป็นมัดๆ เส้นเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนภายใต้กล้ามเนื้อพาดทับกันไปมา ทำให้ผิวหนังที่เดิมทีดูแข็งแกร่งอยู่แล้วยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีก

นี่เป็นหมัดอีกสายหนึ่งของวิชาหมัดอสูรหกวิญญาณ ‘หมัดนอแรด’ มีต้นกำเนิดมาจากแรดยักษ์ดึกดำบรรพ์ซึ่งเป็นอสูรจากบรรพกาล มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งที่หาได้ยากมาก

ต่อจากหมัดแรดพิฆาต แปรเปลี่ยนเป็น ‘หมัดเต่าสยบคลื่น’ เยี่ยนจ้าวเกอนั่งขัดสมาธิลงบนพื้น ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิด ราวกับรูปปั้นแกะสลักก็ไม่ปาน

ถึงกระนั้นบนพื้นด้านล่างของตัวเขานั้น กลับสั่นไหวอย่างประหลาด คล้ายกับผันแปรเป็นผืนน้ำในทันใด

ผิวน้ำเดี๋ยวขยับเดี๋ยวนิ่ง ทำให้ยากจะคาดเดาได้

ขณะนั้นเหมือนมีเต่ายักษ์ตัวหนึ่ง เท้าขนาดใหญ่ทั้งสี่เท้าเหยียบย่ำลงไปในน้ำราวกับต้นเสา ดุงดั่งเข็มเซียนสยบคลื่นสี่เล่มปักลงอย่างมั่นคงลงในคลื่นทะเลหมื่นลี้

แม้มองเพียงปราดเดียวก็รับรู้ได้ถึงพลังมหาศาลของเต่ายักษ์ตัวนี้แล้ว ทว่าอุปนิสัยของมันกลับอ่อนโยนนัก เหมือนกับนักบวชชั้นสูงที่กำลังนั่งสงบนิ่ง มีความอดทนสูง และไม่โอ้อวดแม้แต่น้อย

เมื่อฝึกหมัดเต่าสยบคลื่นเรียบร้อยแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็ลุกขึ้น เปลี่ยนกระบวนท่าหมัดอีกครั้ง

หมัดอสูรวานรจอมพลังที่ฝึกไปก่อนหน้านี้ทั้งดุร้ายและรุนแรง เปรียบเสมือนมรสุมแห่งเปลวเพลิง คลื่นยักษ์โหมกระหน่ำ ถือเป็นวิชาหมัดแห่งหยางที่แข็งแกร่งที่สุด

ทว่ากระบวนหมัดในขณะนี้กลับว่องไวอย่างยิ่ง ขณะที่นิ้วขยับไปมาราวกับชักไหมทอใย พลิ้วไหวล้อไปกับสายลม ถือเป็นวิชาหมัดแห่งหยินที่อ่อนโยนที่สุด

‘หมัดราชันงูสวรรค์’ ก็เป็นหนึ่งในวิชาหมัดอสูรหกวิญญาณเช่นกัน ในตอนที่เยี่ยนจ้าวเกอออกหมัด แขนของเขาพาดสลับกันไปมา ผสานเข้ากับลมหายใจเป็นจังหวะเดียวกัน ทำให้เปล่งเสียง  ซู่ ซู่  ออกมา ราวกับงูที่กำลังขู่ขวัญ

ไม่ใช่เพราะเยี่ยนจ้าวเกอจงใจเลียนแบบ เสียงนั้นเกิดขึ้นตามธรรมชาติ บรรยากาศในตอนนี้เหมือนกับเยี่ยนจ้าวเกอฝึกหมัดอยู่ภายในห้องที่เลี้ยงงูตัวใหญ่เอาไว้ และมันกำลังส่งเสียงซู่ๆ ไม่หยุด

อีกทั้งเสียงซู่ๆ นี้ไม่ได้เกิดจากการกระตุ้นปราณจิตรา แต่เป็นเสียงที่ส่งออกมาจากเลือดเนื้อของร่างกายโดยเฉพาะ

ในเวลานี้เยี่ยนจ้าวเกอฝึกวิชาหมัดโดยไม่ได้ใช้ปราณจิตราแม้แต่เพียงนิดเดียว ถือเป็นการฝึกร่างกายล้วนๆ

เมื่อฝึกวิชาหมัดแต่ละสายจนครบรอบหนึ่งแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็หยุดลง แต่กลับไม่พักผ่อน ยังคงนั่งขัดสมาธิอีกครั้ง

‘ฝึกปราณจิตราภายในหุบเหวปราการมังกรเพียงพอแล้ว ทุกสิ่งถึงจุดที่เหมาะสมดีแล้ว เช่นนั้นวันนี้ก็ขอเดินหน้าต่อเลยแล้วกัน’

…………

 

ในตอนที่เหวินหนิงจือได้รับคำสั่งเรียกพบจากผู้อาวุโสฝ่ายอาญา เขายังคิดเลยว่าเป็นเพราะเรื่องของเยี่ยนจ้าวเกอ

แต่ครั้นมาถึงเมืองใกล้ปราการ และรู้ว่าตนเองต้องเข้ารับการสอบสวนก็อึ้งไป

เพราะต่อให้เขาคิดจนสมองแตกก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรตนเองถึงต้องเข้ารับการสอบสวน

และเมื่อเขารู้เรื่องราวทั้งหมดว่าเป็นเช่นไรแล้ว เขาก็ต้องอ้าปากค้างไปอึ้งงันไปอีกครั้ง

แม้จะบอกว่าปลดออกจากตำแหน่งชั่วคราว แต่เมื่อผ่านครั้งนี้ไป ต่อให้เหวินหนิงจือผ่านการสอบสวนไปได้ ก็ยากที่จะกลับไปหุบเขาวายุวิญญาณได้อีกครั้ง อีกทั้งการที่ได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งปฏิบัติกิจในพื้นที่อื่นก็เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว

กลุ่มกองกำลังฝ่ายอาจารย์ลุงรองของเยี่ยนจ้าวเกอคิดจะแย่งชิงตำแหน่งผู้อาวุโสปฏิบัติกิจแห่งหุบเขาวายุวิญญาณ และเนื่องจากเหวินหนิงจือทำให้ตำแหน่งหลุดมือไปแล้ว จึงยากที่จะแข่งขันกับคนทางฝ่ายของเยี่ยนจ้าวเกอได้อีก

แม้ว่าท้ายที่สุดจะยังมีคนเชื่อมั่นในตัวเขาต่อไป ทว่าก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะถูกตราหน้าว่า ’ไร้ความสามารถ’ ได้

เหวินหนิงจือที่เดิมทีชีวิตราบรื่นไปเสียทุกอย่าง และมีแววได้เลื่อนขั้นสูงต่อไปอย่างชัดเจน ทว่าจู่ๆ อนาคตก็พลันกลับตาลปัตรมืดมนขึ้นมา

 เยี่ยน! จ้าว! เกอ! 

เหวินหนิงจืออยากจะตะโกนออกมาด้วยความโมโห แต่เมื่ออ้าปากแล้วกลับไม่มีเสียงออกมา อีกทั้งเมื่อกลืนน้ำลายก็รู้สึกราวกับจะกระอักเลือด

 คุณชายขอรับ ในเวลาเพียงสั้นๆ ผู้อาวุโสปฏิบัติกิจพลาดท่าไปถึงสองคนเพราะท่านแล้วนะขอรับ 

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินคำพูดของอาหู่แล้วก็ได้แค่ยักไหล่ ก่อนจะพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า  คิดๆ ดูแล้วทางฝั่งท่านอาจารย์ลุงรองคงจะค่อยๆ เริ่มให้ความสำคัญกับข้า ไม่มองข้าเป็นเด็กอีกต่อไป 

 ซึ่งมันเป็นทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี ท่านอาจารย์ลุงรองจับตามองย่อมไม่ใช่เรื่องดี แต่ว่าวันหลังหากมีพวกไม่เอาไหนคิดจะจัดการข้า ก็คงต้องคิดให้ละเอียดรอบคอบแล้ว 

ส่วนทางด้านเหวินหนิงจือ ด้วยเพราะมีผลตัดสินชี้ขาดได้ออกมาแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอจึงไม่ได้ให้ความสนใจอีกต่อไป แต่ค่อนข้างสนอกสนใจกับสิ่งที่จะได้รับมากกว่า

สำหรับบทลงโทษของเยี่ยนจ้าวเกอ คือเก็บตัวทบทวนความผิดของตนเองระยะหนึ่ง จากนั้นค่อยเป็นผู้นำคณะในการไปตรวจสอบความผิดปกติของหุบเหวปราการมังกรครั้งต่อไป

เยี่ยนจ้าวเกอไม่เห็นว่าบทลงโทษนั้นเป็นปัญหาอะไร อย่างน้อยก็ได้ซุ่มฝึกฝนวงรยุทธ์ในช่วงทบทวนความผิด

เดิมทีเขาต้องเข้าไปยังหุบเหวปราการมังกรอีกครั้งอยู่แล้ว เพื่ออาศัยปราณพิษบริเวณหุบเหวปราการมังกรในการฝึกฝนเคล็ดวิชาเหวเวหาทวนกระแส

เทียบกับการลงโทษที่ไม่แสบไม่คันแล้ว บำเหน็จรางวัลมีค่ากว่ามาก

บำเหน็จที่สำนับมอบให้เนื่องจากการค้นพบวิธีพัฒนาเตาผลึกหินชั้นในขึ้นไปอีกขั้นนั้น ก็คือยาวิเศษล้ำค่าหนึ่งเม็ดอันมีนามว่า ‘ลูกกลอนวิญญาณทมิฬ’

 คุณชายขอรับ ในบรรดาโอสถต่างๆ ที่เขากว่างเฉิงครอบครองในขณะนี้ โอสถที่ยอดเยี่ยมที่สุดยังคงเป็นลูกกลอนเซียนกว่างเฉิง ทว่าลูกกลอนวิญญาณทมิฬก็เป็นหนึ่งในบรรดาโอสถคุณภาพดีที่สุด  อาหู่หัวเราะพลางกล่าว  ล้ำค่าหายากยิ่ง อีกทั้งการหลอมก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั่วทั้งเขากว่างเฉิงปริมาณลูกกลอนวิญญาณทมิฬจำกัดยิ่งนัก 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มจางๆ  ที่สำคัญคือเหมาะที่จะใช้พอดี 

ความจริงแล้วในมือของของเขายังมีวิธีปรุงยาที่ได้ประสิทธิภาพกว่าลูกกลอนวิญญาณทมิฬอยู่ ถึงกระนั้นการหลอมโอสถชนิดนี้ยังคงมีความยากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีส่วนผสมมากมายที่ยังต้องเก็บรวบรวม

สำหรับเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้แล้ว ลูกกลอนวิญญาณทมิฬนับว่าเป็นบำเหน็จรางวัลที่ไม่เลวเลยทีเดียว เพราะมันช่วยให้จอมยุทธ์ในการฝึกปราณได้อีกขั้น

ตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกออยู่ในจุดสูงสุดของขั้นจิตราชั้นในระยะท้าย ซึ่งขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นกำลังกวักมือเรียกเขาแล้ว

ขั้นจิตรานอกระยะต้น ปราณจิตราจะปลดปล่อยจากภายในออกสู่ภายนอก ทว่าขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลาง กลับเป็นการฝึกปราณจิตราอย่างแท้จริง โดยควบคุมลมปราณให้เป็นรูปร่าง

คิดอยากจะบรรลุจากขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นไปสู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลาง การฝึกลมปราณจิตราของจอมยุทธ์เองเป็นก้าวหนึ่งที่สำคัญยิ่ง

จึงกล่าวได้ว่า นี่นับเป็นโอสถที่เหมาะสมให้เยี่ยนจ้าวเกอกินในตอนนี้เป็นที่สุด

เห็นได้ชัดว่าสำนักพิจารณาถึงปัจจัยด้านนี้ ก่อนจะบำเหน็จรางวัลให้เยี่ยนจ้าวเกอ ซึ่งไม่ใช่การตัดสินใจที่ไร้เหตุผล

แน่นอนว่าการฝึกปราณจิตราไม่เพียงแค่ช่วยในการบรรลุจากขั้นจิตราชั้นนอกระดับต้น สู่ขั้นจิตราชั้นนอกระดับกลางเท่านั้น ทว่ายังมีประโยชน์ต่อกระบวนการฝึกฝนในภายหลังอีกด้วย

อาหู่ยิ้มอย่างจริงใจ  ถึงกระนั้นด้วยพรสวรรค์ของคุณชาย ต่อให้ไม่มีลูกกลอนวิญญาณทมิฬนี้ การจะบรรลุขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นหรือขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลาง ก็เป็นเรื่องง่ายเหมือนยกมือขึ้นเท่านั้น 

 หากให้ข้าพูดตามตรง บำเหน็จรางวัลลำดับที่สองดีกว่าอีกขอรับ! 

บำเหน็จรางวัลของการเอาชนะเฉาหยวนหลง คือเยี่ยนจ้าวเกอสามารถเข้าถึงชั้นที่สามของหอคัมภีร์ยุทธศาสตร์ในสำนักได้หนึ่งครั้ง หลังจากเขากลับไปถึงสำนักแล้ว

ภายในหอคัมภีร์ยุทธศาสตร์มีคัมภีร์ลับในการฝึกวรยุทธ์ชั้นสูงต่างๆ ของสำนักเขากว่างเฉิง

โดยทั่วไปแล้ว ศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักแรกๆ จะไม่สามารถเข้าหอคัมภีร์ยุทธศาสตร์ได้ หากบังเอิญได้รับบำเหน็จรางวัลใหญ่ จึงจะเข้าไปภายในชั้นแรกได้

ส่วนลูกศิษย์ที่ทำผลงานได้โดดเด่นจะสามารถเข้าออกชั้นแรกได้อย่างอิสระ หากได้รับบำเหน็จรางวัลใหญ่ จึงจะสามารถเข้าชั้นที่สองได้หนึ่งครั้ง

กระนั้นศิษย์สืบทอดหลัก เช่น เยี่ยนจ้าวเกอ จะสามารถเข้าออกชั้นแรกและชั้นที่สองได้อย่างอิสระ และเมื่อได้รับบำเหน็จรางวัลใหญ่ จึงจะสามารถเข้าชั้นที่สามได้

แม้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะทราบถึงเนื้อหายอดวิชาวรยุทธ์มากมายที่ถูกเก็บรวบรวมไว้ในวังเทพก่อนเกิดวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่แล้ว ทว่าในฐานะที่เป็นศิษย์แห่งเขากว่างเฉิงในปัจจุบัน ทั้งยังเพื่อเป็นหน้าเป็นตาของกลุ่มศิษย์รุ่นเยาว์ การฝึกฝนยอดวิชาแห่งเขากว่างเฉิงจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นเช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากเกิดวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ แม้ว่าแต่ละดินแดนศักดิ์ศักดิ์สิทธิ์จะเริ่มต้นขึ้นจากการสืบทอดร่องรอยที่ทิ้งไว้ของคนในอดีต แต่ก็มีโครงสร้างที่ต่างออกไป และมีความคิดริเริ่มสอดแทรกอยู่มากมาย

เยี่ยนจ้าวเกอผสานการสืบทอดร่องรอยและความคิดริเริ่มเข้าด้วยกัน หลังจากตรวจสอบเทียบเคียงทั้งสองสิ่งแล้ว ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาคัมภีร์จากพระราชวังเทพด้วย

ขอเพียงทำทุกอย่างอย่างพอดี แบ่งแรงและเวลาให้ดี ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะยิ่งมากขึ้น

ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะได้รับบำเหน็จรางวัลนี้ หลังจากกลับไปถึงสำนักแล้ว ซึ่งแตกต่างจากลูกกลอนวิญญาณทมิฬ ที่มีคนนำมาส่งให้ถึงมือ ณ เมืองใกล้ปราการ

เยี่ยนจ้าวเกอดีดนิ้วครั้งหนึ่ง  อันที่จริง ของรางวัลลำดับที่สามดีที่สุด 

การค้นพบความลับของศิลาลายเมฆ ทำให้สำนักพบวิธีที่จะได้มาซึ่งแก่นสารหยกในปริมาณมาก โดยบำเหน็จรางวัลที่เยี่ยนจ้าวเกอได้รับกลับไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้ แต่เป็นอำนาจพิเศษอย่างหนึ่ง

ตลอดช่วงเวลาที่เยี่ยนจ้าวเกอดำเนินกิจกรรมต่างๆ อยู่ในพื้นที่เกาะนภาตะวันออก หากมีเรื่องยุ่งยากอันใด ก็ให้เป็นความรับผิดชอบของผู้อาวุโสเกาะตะวันออกโดยตรง

รางวัลนี้ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์ แต่เยี่ยนจ้าวเกอกลับชอบมันมากกว่าลูกกลอนวิญญาณทมิฬ และโอกาสที่จะได้เข้าไปในชั้นที่สามของหอคัมภีร์ยุทธศาสตร์เสียอีก

อาหู่หัวเราะแหะๆ  ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าคุณชายจะต้องการทำสิ่งใดในอาณาจักรถังตะวันออกก็ตาม ตาเฒ่าเหยียนซวี่นั่นก็ไม่สามารถขัดขวางได้แล้ว อีกทั้งท่านก็ไม่ต้องคอยรายงานเขาด้วย ไม่ว่าต่อไปท่านจะทำอะไร 

 ก็ไม่ทั้งหมดหรอก อย่างไรเสียเขาก็คุมการณ์อยู่ที่อาณาจักรถังตะวันออก หากคิดจะขัดขาข้าให้ล้มก็ยังเป็นเรื่องที่ง่ายดายอยู่ดี จะแตะต้องเขาคงไม่ง่ายเหมือนเช่นตอนจัดการตาแก่ชุยกับเหวินหนิงจือ  เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

 ท่านผู้อาวุโสสวีผู้นั้นดูเป็นคนเข้าใจสถานการณ์ดี หลังจากออกมาจากในตำหนัก เขาบอกกับข้าอย่างไม่ปิดบัง ว่าหากคุณชายต้องการสิ่งใด ขอเพียงสั่งมา เขาจะจัดหาจากคลังทรัพยากรของเมืองใกล้ปราการและหุบเขาวายุวิญญาณมาให้กับท่านก่อน  อาหู่ตอบ พลางยิ้มให้เยี่ยนจ้าวเกอ

เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ เขายังต้องอยู่ที่หุบเหวปราการมังกรอีกนานพอสมควร หากรอบกายเป็นคนของตน ก็คงสะดวกกว่ามากอย่างไม่ต้องสงสัย

 ถึงกระนั้น แม้เหยียนซวี่ไม่ลงมือกับข้าก่อนเป็นการชั่วคราว ก็ต้องเบนไปจับตามองสวีชวน 

เหวินหนิงจือสร้างความผิดพลาด เยี่ยนจ้าวเกอและราชาอาณาจักรถังตะวันออกบั่นทอนอำนาจของเหยียนซวี่ลงชั่วคราว พวกเขาไม่มีทางยอมแน่ หากจะต้องเลือกคนจากอีกฝ่ายเป็นครั้งที่สอง

แต่หากจะเลือกคนหนึ่งมาจากฝ่ายของบิดา เมื่อได้นั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ ก็มีความเป็นไปได้มากที่จะเปลี่ยนจากทดแทนชั่วคราว เป็นการครองตำแหน่งเป็นเวลานาน

ส่วนสถานการณ์ของสวีชวนกลับต่างออกไป แม้เขาเป็นคนจากฝ่ายบิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ ทว่ากลับไม่ได้ถูกปลดจากตำแหน่งผู้อาวุโสปฏิบัติกิจแห่งเมืองใกล้ปราการ

ทั้งนี้ เหยียนซวี่ไม่ได้เลือกคนจากที่อื่นมา แต่ให้สวีชวนแบกรับทั้งสองหน้าที่ของเมืองใกล้ปราการและหุบเขาวายุวิญญาณไว้เพียงผู้เดียว รอให้ถึงตอนที่สำนักเลือกผู้ที่จะมาควบคุมดูแลหุบเขาวายุวิญญาณอย่างเป็นทางการก่อน จึงจะเป็นการเปิดโอกาสให้กับทางฝั่งตนเองมากยิ่งขึ้น

ในขณะเดียวกัน ความผิดปกติของหุบเหวปราการมังกร และการเปลี่ยนแปลงของหุบเขาวายุวิญญาณในขณะนี้ก็เป็นเรื่องยุ่งยากวุ่นวาย สวีชวนที่แบกรับสองหน้าที่เพียงคนเดียว ภาระหน้าที่หนักขึ้นอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะแสดงพิรุธออกมาได้

เยี่ยนจ้าวเกอนั่งบนเก้าอี้ ยกขาขึ้นไขว่ห้าง  สงสัยเขากำลังรอเวลานั้นอยู่ คงอยากจะเอาคืนชนิดทบต้นทบดอกเลยสินะ 

……..

 

เหยียนซวี่จ้องมองเยี่ยนจ้าวเกอ ฝ่ายหลังยิ้มจางๆ รอด้วยความสงบ ไม่ได้เอ่ยกล่าวอะไรอีก

ผู้อาวุโสฝ่ายอาญามองพวกเขาทั้งสองคนแล้วถอนหายใจครั้งหนึ่ง  เคล็ดลับนี้ ข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ในคัมภีร์ต่างๆ ของสำนักก็ไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้ 

 ศิษย์หลานเยี่ยนเจ้าอาจเป็นผู้ค้นพบคนแรก ก่อนอื่นไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็ต้องบันทึกลงเป็นความดีความชอบของเจ้า 

 ส่วนผู้อาวุโสปฏิบัติกิจแห่งหุบเขาวายุวิญญาณจะมีส่วนรู้เห็นหรือไม่นั้น ต้องรอเรียกเขามาพบและซักถามผู้มีส่วนเกี่ยวข้องก่อน จึงจะตัดสินใจได้ 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มแล้วพูดว่า  ความลับของแก่นสารหยก เบื้องต้นควรจะควบคุมให้รู้ในขอบเขตที่แน่นอน เพราะไม่ว่าอย่างไรวิธีการที่จะได้สารมาก็ง่ายมาก 

 นอกจากหุบเขาวายุวิญญาณแล้ว โลกก็ยังใหญ่นัก ยังมีสถานที่อื่นๆ ที่ผลิตศิลาลายเมฆอยู่ ของสิ่งนี้ยังเทียบไม่ได้กับแก่นสารหยก 

 ทางสำนักเองก็ต้องการแก่นสารหยกเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่มีน้อยย่อมมีค่ามากกว่า หากต้องการจะผูกขาดก็ควรจะปกปิดข้อมูลไว้ให้ดี 

 เพื่อไม่ให้เป็นเป้าสังเกต การขุดหาก็ควรจะต้องค่อยเป็นค่อยไป ข้าเชื่อว่าผู้อาวุโสทางสำนักจะต้องมีการพิจารณารอบด้าน เรื่องนี้ก็คุยกันเท่านี้ก่อนเถอะขอรับ 

ผู้อาวุโสฝ่ายอาญากล่าวว่า  เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว 

เขามองเหยียนซวี่แวบหนึ่ง แล้วพูดอย่างช้าๆ ว่า  เรื่องนี้มีความเกี่ยวพันกับหลายฝ่ายทีเดียว ไม่ได้เป็นเพียงแค่ปัญหาของอาณาจักรถังตะวันออกเท่านั้นแล้ว อีกทั้งไม่ใช่เรื่องที่อยู่ในขอบเขตอำนาจของเกาะนภาตะวันออกแล้วด้วย จำเป็นต้องให้ทางสำนักเป็นฝ่ายตัดสิน 

เหยียนซวี่มีสีหน้านิ่งชา พลางผงกศีรษะ  ข้าเห็นด้วย 

เยี่ยนจ้าวเกอพูดต่อว่า  เพียงแต่ว่า ความสำคัญของหุบเขาวายุวิญญาณ ณ ตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่อดีตจะเทียบเคียงได้อีกต่อไป ก่อนที่จะได้รับคำสั่งอย่างเป็นทางการจากทางสำนัก ก็ยังคงต้องรักษาความมั่นคงเอาไว้ ผู้อาวุโสปฏิบัติกิจที่กำลังรอการสอบสวนคนหนึ่งยังประจำการณ์อยู่ที่นั่นเช่นเดิม เช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือขอรับ 

ผู้อาวุโสฝ่ายอาญานิ่งเงียบไปเล็กน้อย ดวงตาเหยียนซวี่หรี่ลงเป็นเส้นตรง ในแววตาแผ่รังสีเย็นยะเยือกออกมา

 เยี่ยนจ้าวเกอ นี่ใช่เรื่องที่เจ้าสามารถสอดมือได้หรือ? 

 เจ้าสร้างผลงานเรื่องศิลาลายเมฆไว้ก็จริง ทว่าการแต่งตั้งหรือปลดตำแหน่งผู้อาวุโสปฏิบัติกิจ และการกำหนดคนที่จะมาประจำการใช่สิ่งที่เจ้าจะมีส่วนร่วมได้หรือ? 

 อย่าได้ใจจนลำพองตัว! 

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า  เหวินหนิงจือเป็นคนสนิทของท่านผู้อาวุโสเหยียน ท่านก็ต้องรู้จักเขาดีมากกว่าข้าแน่อยู่แล้ว 

ความเยือกเย็นภายในดวงตาของเหยียนซวี่ยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก เขาจะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอได้อย่างไร

คนสนิทของท่านอาจคบค้ากับศัตรู เช่นนั้นแล้วท่านเล่า?

ผู้อาวุโสฝ่ายอาญามองเยี่ยนจ้าวเกอพลางถอนหายใจเบาๆ

แสดงนิสัยไม่ยอมเสียเปรียบ และใช้อำนาจบาตรใหญ่ต่อหน้าผู้อาวุโสปฎิบัติกิจก็ช่างเถอะ ทว่าเขายังกล้าดื้อด้านต่อหน้าผู้อาวุโสคุมการณ์อีกด้วย กระนั้นครั้งนี้เขาก็ไม่มีหลักฐานอยู่จริงๆ เพียงแค่เดินทางมาซักถามเยี่ยนจ้าวเกอตามความสงสัยเท่านั้น แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่ยืนยันได้ว่าเหวินหนิงจือรู้ความลับเรื่องศิลาลายเมฆ ถึงกระนั้นจะไม่ตรวจสอบได้อย่างไร

เขาเองรู้อยู่แล้วว่าเยี่ยนจ้าวเกอกำลังโจมตีกลับ แต่ใครจะรับประกันได้ว่าเหวินหนิงจือจะไม่มีส่วนรู้เห็นจริงๆ

ถึงแม้จะบอกว่าผู้ที่ไม่รู้ย่อมไม่ผิด แต่เพียงแค่นึกถึงทุกๆ ปีที่ผ่านมา มีการส่งออกศิลาลายเมฆจำนวนมากมายมหาศาล ผู้อาวุโสฝ่ายอาญาก็รู้สึกปวดใจไม่น้อย

ส่วนเรื่องที่เหวินหนิงจือกล่าวฟ้องเยี่ยนจ้าวเกอนั้น กลายเป็นสาเหตุการต่อสู้กันของแต่ละฝ่าย และมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นความแค้นส่วนตัวที่เกิดขึ้นจากเรื่องของผู้อาวุโสชุยมากกว่า

ราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออกก็พูดขึ้นอย่างช้าๆ ว่า  แม้ว่าหุบเขาวายุวิญญาณจะตั้งอยู่ในเขตของถังตะวันออก แต่ก็เป็นพื้นที่ส่วนตัวของเขากว่างเฉิง คงไม่เหมาะที่ข้าจะพูดอะไรมากนัก เพียงแต่ว่าการขุดหาแก่นสารหยกในภายภาคหน้า ก็ขอให้เหลือเผื่อถังตะวันออกของข้าด้วย ส่วนราคา แน่นอนว่าจะไม่ทำให้เขากว่างเฉิงขาดทุนเป็นแน่ ทุกอย่างยึดตามกฎกติกา 

 ช่วงสองปีมานี้การผลิตแก่นสารหยกของภูผาพิภพและวายุพิภพค่อนข้างขาดแคลนและแร้นแค้นเป็นอย่างยิ่ง ถังตะวันออกของข้าเองก็มีความต้องการอย่างเร่งด่วน ต้องรบกวนเขากว่างเฉิงให้การสนับสนุนด้วย 

แม้ว่าจะไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ แต่ถึงอย่างไรหุบเขาวายุวิญญาณก็ตั้งอยู่บนแผ่นดินของอาณาจักรถังตะวันออก ราชาแห่งอาณาจักรไม่ต้องพูดชัดเจน ก็ทำให้คนอื่นๆ รู้สึกได้ถึงความไม่พอใจที่มีต่อเหวินหนิงจือแล้ว

เหยียนซวี่หลับตาลง หายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนที่สีหน้าจะกลับมาราบเรียบดังเดิม

เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง แววตาสงบนิ่งขึ้นแล้ว จึงหันไปมองสวีชวนที่อยู่อีกด้านหนึ่ง  แม้ข้าจะเชื่อว่าหนิงจือไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ แต่ในเมื่อตอนนี้เขาต้องได้รับการสอบสวน ขณะเดียวกันหุบเขาวายุวิญญาณก็ต้องการการฟื้นฟูโดยเร็ว เช่นนั้นเขาก็ไม่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสปฏิบัติกิจในพื้นที่นั้นอีกต่อไป 

 การจะย้ายคนจากพื้นที่อื่นมาจะต้องใช้เวลาในการสร้างความคุ้นเคย เรื่องของหินลายเมฆก็หย่อนนอกตึงในรอช้าไม่ได้ สวีชวน เจ้าเป็นผู้อาวุโสปฏิบัติกิจแห่งเมืองใกล้ปราการ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับหุบเขาวายุวิญญาณมากที่สุด อีกทั้งยามปกติก็มีการไปมาหาสู่กันมากที่สุด ข้าขอให้เจ้าดูแลหุบเขาวายุวิญญาณไปก่อนชั่วคราวแล้วกัน รอให้มีการตัดสินอย่างเป็นทางการจากทางสำนักก่อน หลังจากนั้นค่อยว่ากันอีกครั้ง 

 คนคนเดียวแบกรับสองหน้าที่ ถึงภาระหน้าที่จะหนักมาก แต่เจ้าต้องตื่นตัวอยู่เสมอด้วย 

สวีชวนสงบจิตใจของตนเองลงครู่หนึ่ง ความทะเล้นในตอนที่อยู่กับเยี่ยนจ้าวเกอตามลำพังเลือนหายไปหมดสิ้น เขาตอบกลับไปด้วยท่าทีที่เอาจริงเอาจังและหนักแน่นว่า  น้อมรับคำบัญชาสำนัก ข้าจะทำสุดความสามารถและพยายามอย่างเต็มกำลัง 

เหยียนซวี่มองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไร แล้วหันไปผงกศีรษะให้กับผู้อาวุโสฝ่ายอาญาและราชาอาณาจักรถังตะวันออก  ตาเฒ่าหานมีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของหุบเหวปราการมังกร ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ข้าจะลองออกไปตามหาตัวเขาดูอีกครั้ง 

หลังจากกล่าวลาแล้ว เหยียนซวี่ก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากตำหนักใหญ่ไป โดยไม่ได้พูดอะไรอีก

ราชาอาณาจักรถังตะวันออกก็ลุกขึ้นยืน แล้วหันไปพูดกับผู้อาวุโสฝ่ายอาญาว่า  ความผิดปกติของหุบเหวปราการมังกรไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เรื่องของแก่นสารหยกค่อยคุยกันวันหลังก็ได้ ข้าเองก็จะไปดูลาดเลาที่หุบเหวปราการมังกรสักหน่อย เชิญผู้อาวุโสตามสะดวก หากมีเรื่องอันใด ถังตะวันออกยินดีให้ความร่วมมือ 

ผู้อาวุโสฝ่ายอาญาพยักหน้า  ขอบพระทัยฝ่าบาท สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะไม่ทำให้ฝ่าบาทต้องลำบาก ทางสำนักจะเจรจาหารือกับพวกเขาเอง 

เยี่ยนจ้าวเกอก็ยิ้มบางๆ แล้วกล่าวว่า  ท่านลุงโปรดระมัดระวังด้วย อีกเดี๋ยวจ้าวเกอค่อยไปพบนะขอรับ 

ใบหน้าที่เคร่งขรึมของราชาอาณาจักรถังตะวันออกเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อจะตบไหล่เยี่ยนจ้าวเกอเบาๆ แล้วเดินออกไป

ผู้อาวุโสฝ่ายอาญากระแอมครั้งหนึ่ง เขามองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ พลางพูดช้าๆ ว่า  พักเรื่องของเหวินหนิงจือเอาไว้ก่อน 

 ศิษย์หลานเยี่ยน ครั้งนี้เจ้านำศิษย์รุ่นเยาว์เข้ารับการฝึกฝนที่หุบเหวปราการมังกร ศิษย์คนหนึ่งในนั้นเป็นตายไม่แน่ชัด แม้เจ้าจะไม่ใช่ผู้กระทำ แต่เจ้าในฐานะที่เป็นปรมาจารย์ผู้นำ ก็ต้องรับผิดชอบในระดับหนึ่งเช่นกัน 

 ส่วนที่เจ้าพบวิธีการพัฒนาเตาผลึกหินชั้นใน นั่นถือป็นความดีความชอบ 

 เจ้าเอาชนะเฉาหยวนหลง อัจฉริยะลูกศิษย์สืบทอดหลักของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ สร้างชื่อเสียงให้แก่สำนัก ก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยกย่องเช่นกัน 

 อีกทั้งค้นพบความลับของศิลาลายเมฆ นับว่าเป็นความดีความชอบครั้งใหญ่ยิ่งนัก 

 หากแต่ความดีความชอบไม่อาจหักล้างกับความผิด ทางสำนักแบ่งแยกการให้บำเหน็จรางวัลและการลงทัณฑ์อย่างชัดเจน การให้รางวัลและการลงโทษเล็กน้อยที่เจ้าจะได้รับนั้น จะประกาศอย่างเป็นทางการในไม่ช้านี้ และจะไม่มอบรางวัลจากที่เป็นความลับให้เจ้าอย่างเปิดเผย ข้าเชื่อว่าเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ดี 

การลงโทษเพียงเล็กน้อยแค่นี้ถือได้ว่าพอเป็นพิธีเท่านั้น ทว่าก็เป็นเรื่องของกฎระเบียบของสำนักที่แม้แต่เจ้าสำนักยังต้องปฏิบัติตาม เยี่ยนจ้าวเกอจึงไม่รู้สึกติดขัดอะไร

และเห็นได้ชัดว่าบำเหน็จรางวัลยิ่งใหญ่มาก มากเสียจนการลงโทษที่เขาจะได้รับดูไม่สลักสำคัญฮะไร

เยี่ยนจ้าวเกอเข้าใจกฎเกณฑ์นี้อยู่แล้ว จึงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มจาง  ข้าเข้าใจขอรับ 

เมื่อกล่าวลาและออกจากตำหนักใหญ่แล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็เห็นบรรดาศิษย์ที่ได้ติดตามตนเข้าไปในหุบเหวปราการมังกรก่อนหน้านี้ แห่ล้อมกันเข้ามา  ศิษย์พี่เยี่ยน เป็นอย่างไรบ้าง ไม่มีอะไรใช่หรือไม่ 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม  เดิมทีก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว แค่พูดอธิบายกับบรรดาท่านผู้อาวุโสให้ชัดเจนก็เท่านั้น จะมีเรื่องอะไรได้เล่า 

 แต่คงจะมีบางคนเกิดเรื่องเข้าแล้ว 

ในวันเดียวกันนั้น เหวินหนิงจือ ผู้อาวุโสปฏิบัติกิจแห่งหุบเขาวายุวิญญาณถูกปลดออกจากตำแหน่งเดิมชั่วคราว ทั้งยังได้รับการเรียกเข้าพบเพื่อซักถามจากผู้อาวุโสฝ่ายอาญาแห่งเกาะตะวันออก

และหลังจากนั้นไม่นาน บำเหน็จรางวัลอย่างเป็นทางการของเยี่ยนจ้าวเกอก็มาถึง

……….

 

ทางสำนักมีปฏิกิริยารวดเร็วและมากเช่นนี้ แสดงว่าต้องมีคนเอาเรื่องไปฟ้องและใส่สีตีไข่เพิ่มไปด้วยแน่

หลังจากออกจากหุบเหวปราการมังกร ในบรรดาจอมยุทธ์ที่เคยคบค้าสมาคมด้วย นอกจากจอมยุทธ์ของอาณาจักรถังตะวันออกแล้ว ก็เป็นคนของเขากว่างเฉิงอยู่ในเมืองใกล้ปราการ หรือไม่ก็อยู่ที่หุบเขาวายุวิญญาณ

ระหว่างสวีชวนกับเหวินหนิงจือ ฝ่ายหลังดูน่าสงสัยเป็นที่สุด

สองวันมานี้เยี่ยนจ้าวเกอให้อาหู่ออกไปสืบเรื่องความสัมพันธ์ของเหวินหนิงจือกับท่านผู้อาวุโสชุยแห่งวิหารปฏิบัติกิจของสำนักมาแล้ว แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความลับอีกต่อไป

เหยียนซวี่กวาดสายตามองเยี่ยนจ้าวเกออย่างเย็นชา  เหวินหนิงจือมารายงานให้ข้า จากนั้นข้าจึงส่งต่อให้กับทางสำนัก ข้าคุมการณ์อยู่ที่อาณาจักรถังตะวันออก ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ดูแลโดยตรงของฝ่ายปฏิบัติกิจในหุบเขาวายุวิญญาณ ข้าต้องรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินของอาณาจักรถังตะวันออกอยู่แล้ว เจ้ามีปัญหาอันใดหรือ 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม  ข้าไม่มีปัญหาหรอกขอรับ เพียงแต่สงสัยว่าเหวินหนิงจืออาจเป็นผู้ต้องสงสัยทรยศสำนัก คบค้าสมาคมกับศัตรู 

 ดังนั้นเรื่องในครั้งนี้ ข้าอดไม่ได้ที่จะคิดโยงไปถึงตัวเขา หรือที่เขากล่าวฟ้องข้า อาจจะไม่ได้เป็นเพียงแค่ปัญหาภายในสำนักก็เป็นได้ 

 อย่างไรเสียท่านผู้อาวุโสเหยียนก็รู้ ว่าข้าเพิ่งเล่นงานลูกศิษย์บางสำนักจนปางตาย ในหุบเหวปราการมังกรก่อนหน้านี้ 

สายตาของเหยียนซวี่ดุดันขึ้นทันที เขาจ้องเยี่ยนจ้าวเกอตาเขม็ง  เยี่ยนจ้าวเกอ ระวังวาจาของเจ้าด้วย! 

ฝ่ายเยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างใจเย็นว่า  ข้าระวังแล้ว เพราะเช่นนั้นข้าถึงได้บอกว่าสงสัย น่าสงสัยขอรับ 

ผู้อาวุโสฝ่ายอาญามองเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วหันกลับไปมองที่เหยียนซวี่ ก่อนจะถอนหายใจครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวกับซือคงจิงว่า  ศิษย์หลานซือคง เจ้าออกไปก่อน 

ซือคงจิงลอบมองเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่งอย่างเงียบๆ ก่อนจะออกไปตามคำสั่ง

ผู้อาวุโสฝ่ายอาญารอจนนางออกไปแล้ว จึงค่อยถามว่า  ศิษย์หลานเยี่ยน ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่ 

เยี่ยนจ้าวเกอหยิบของสิ่งหนึ่งออกมา ครั้นเขาแบมือ สายตาของทุกคนภายในตำหนักเห็นเพียงศิลาแก้วสีเหลืองอ่อนก้อนหนึ่ง บนผิวของมันมีลวดลายที่รูปร่างคล้ายเมฆสีขาวอยู่ด้วย

เมื่อสวีชวน ผู้อาวุโสปฏิบัติกิจแห่งเมืองใกล้ปราการเห็นศิลาแก้วก้อนนั้น หนังตาของก็กระตุกไปครั้งหนึ่ง  ศิลาลายเมฆ! 

เหยียนซวี่มองแวบหนึ่งแล้วจึงพูดว่า  ศิลาลายเมฆ เจ้านำของสิ่งนี้มาทำอะไร 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มแต่ไม่พูดไม่จา ก่อนจะหยิบสมุนไพรวิเศษออกมาต้นหนึ่ง แล้วพูดกับสวีชวนที่อยู่ข้างๆ ว่า  รบกวนท่านผู้อาวุโสสวีช่วยนำหญ้าวิญญาณนี้ไปต้มให้ด้วยขอรับ 

แววตาของสวีชวนวูบไหวหนึ่ง สมุนไพรวิเศษที่อยู่ตรงหน้ามีชื่อว่า ‘หญ้าวิญญาณ’ หากเผาให้เป็นขี้เถ้าจะสามารถใช้เป็นตัวนำพาของยาวิเศษอีกชนิดหนึ่ง แต่ถ้านำไปต้ม จะไม่มีทั้งพิษภัยและเป็นประโยชน์ นับว่าไร้ประโยชน์ และไม่สามารถนำไปใช้ทำอะไรได้

แต่ว่าเขาเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ และสั่งให้องครักษ์ทำตามคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอทันที

เหยียนซวี่จ้องเยี่ยนจ้าวเกอด้วยสายตาเย็นชา ผู้อาวุโสฝ่ายอาญาและราชาอาณาจักรถังตะวันออกล้วนไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแต่มองอยู่ข้างๆ อย่างเงียบเชียบ

ยาต้มเสร็จอย่างรวดเร็ว เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มจางๆ พลางถือศิลาลายเมฆขึ้น แล้วเริ่มถ่ายเทปราณจิตราเข้าไปข้างใน

ผู้อาวุโสฝ่ายอาญาขมวดคิ้ว  ศิษย์หลานเยี่ยน เจ้าไม่สามารถถ่ายเทปราณจิตราเข้าไปในศิลาลายเมฆโดยตรงได้ มิเช่นนั้นมันจะระเบิดเอา! 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มพลางกล่าวว่า  ท่านผู้อาวุโสโปรดวางใจ เรื่องนี้ข้าทราบดี ดังนั้นศิลาลายเมฆนี้นอกจากจะมีสรรพคุณในการทำให้สมองปลอดโปร่งจิตใจสงบแล้ว บางครั้งยังถูกนำมาใช้เป็นอาวุธ ถึงแม้จะระเบิดได้ แต่ก็มีอานุภาพจำกัด 

 แต่ศิลาลายเมฆในมือข้า ณ เวลานี้ไม่สามารถระเบิดได้หรอกขอรับ 

ขณะกำลังกล่าว เยี่ยนจ้าวเกอก็นำศิลาลายเมฆที่อยู่ในมือจุ่มลงในยาน้ำที่ต้มจากหญ้าวิญญาณลงไปครึ่งก้อน ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็ใช้มือจับเอาไว้

กระนั้นเขาก็ยังถ่ายเทปราณจิตราเข้าไปในตัวของศิลาลายเมฆอยู่เรื่อยๆ

ท้ายที่สุดแล้วเป็นดังที่เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว ศิลาลายเมฆไม่ได้ระเบิดแต่อย่างใด ยังคงสงบนิ่งเช่นตอนแรก

สวีชวนจ้องไปที่มือของเยี่ยนจ้าวเกออย่างไม่ละสายตา เขาไม่เชื่อว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะลงทุนทำการใหญ่ เพียงเพื่อยืนยันเรื่องเล็กน้อย

ทันใดนั้น สวีชวนก็ต้องเบิกตาโพลง

ราชาอาณาจักรถังตะวันออกที่ตอนแรกเอนหลังพิงเก้าอี้อยู่นั้น พลันนั่งตัวตรงขึ้นมาอีกครั้ง

สายตาของท่านผู้อาวุโสฝ่ายอาญากับเหยียนซวี่จับจ้องไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ ทั้งคู่ต่างก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง

ตรงหน้าพวกเขา จู่ๆ ลายเมฆรอบศิลาลายเมฆในมือของเยี่ยนจ้าวเกอก็ค่อยๆ ละลาย และมีของเหลวสีขาวคล้ายน้ำนมไหลซึมออกมา ของเหลวนั้นหลอมรวมเข้ากับยาน้ำที่ต้มจากหญ้าวิญญาณ ราวกับนมวัวลอยตัวอยู่เหนือยาน้ำ

กลิ่นยาหอมฟุ้งแผ่ซ่านออกมา กลบกลิ่นยาที่แสบจมูกจนมิด กระจายทั่วทั้งตำหนักใหญ่ในพริบตา

ทุกคนในตำหนักล้วนเป็นผู้ที่มีความรู้ โลกทัศน์กว้างไกล ฉะนั้นเพียงแค่ดมกลิ่นก็พอจะรู้ได้ว่าของเหลวสีขาวคล้ายน้ำนมนั้นคืออะไร

นั่นไม่ใช่ทั้งเครื่องดื่มหรือยา แต่เป็นของล้ำค่าอย่างหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘แก่นสารหยก’

ของล้ำค่าชนิดนี้มีคุณประโยชน์มากมายและมีราคาสูง ไม่ว่าจะนำไปใส่ขณะหลอมอาวุธหรือกลั่นยา ล้วนช่วยให้ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยังเพิ่มประสิทธิภาพให้กับอาวุธและยาวิเศษ ทั้งยังช่วยประหยัดวัตถุดิบอีกด้วย

ในโลกแปดพิภพนี้ผลิตแก่นสารหยกได้ในปริมาณจำกัดมาก มีการผลิตอยู่ในพื้นที่ส่วนน้อยของภูผาพิภพและวายุพิภพเท่านั้น ทว่ากลับมีความต้องการมากเสียจนน่าตกใจ จนถึงขั้นไม่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละปี บางครั้งก็ยังขาดตลาดอีกด้วย

ไม่ว่าจะเป็นเขากว่างเฉิงหรืออาณาจักรถังตะวันออก ทุกๆ ปีล้วนมีการใช้ทรัพยากรและเงินทองจำนวนมาก เพื่อซื้อหรือแลกเปลี่ยนแก่นสารหยก

แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังยากจะเติมเต็มความต้องการที่แท้จริง จึงทำได้แค่เพียงวางแผนการใช้สอยอย่างประหยัด ไม่กล้าใช้สอยฟุ่มเฟือย

ทว่าตอนนี้เมื่อเห็นเยี่ยนจ้าวเกอสาธิตแล้ว ภายในศิลาลายเมฆก้อนเล็กๆ นี้กลับมีส่วนประกอบของแก่นสารหยกอย่างคาดไม่ถึง อีกทั้งวิธีที่จะนำมันออกมาก็แสนง่ายดาย

ไม่ว่าจะเป็นศิลาลายเมฆหรือหญ้าวิญญาณ หากเทียบกันแล้วพวกมันมีราคาต่ำกว่าแก่นสารหยกมาก ปริมาณการผลิตก็มากมายมหาศาลกว่าอีกด้วย

นั่นหมายความว่าจะมีแก่นสารหยกมากมายขนาดไหนกัน

จะเก็บเอาไว้ใช้เองก็เหลือล้น ทั้งยังสามารถส่งออกขายในราคาต่ำได้ด้วยซ้ำไป!

มหาปรมาจารย์ทั้งสามก็นั่งไม่ติดอีกต่อไป พวกเขาลุกขึ้นจากที่นั่ง และรีบรุดมาอยู่ตรงหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอในพริบตา ต่างคนต่างใช้นิ้วแตะที่ของเหลวสีขาวนั่น

ไม่นานนักพวกเขาก็มั่นใจว่านี่เป็นแก่นสารหยกของจริงแน่นอน!

นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาโดยการแสดงละครตบตาต่อหน้าพวกเขา แต่เป็นผลจากการผสานเข้าด้วยกันระหว่างหญ้าวิญญาณและศิลาลายเมฆ เกิดเป็นแก่นสารหยก

ผู้อาวุโสฝ่ายอาญาหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง เพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ตื่นเต้นเอาไว้ แล้วพูดว่า  ศิษย์หลานเยี่ยน เจ้าสร้างผลงานชิ้นใหญ่แล้ว! 

 ไม่ด้อยไปกว่าเตาผลึกหินชั้นในในตอนนี้เลย แม้กระทั่งมีค่ามากกว่าด้วยซ้ำ! 

ใบหน้าที่เย็นชาของเหยียนซวี่อ่อนโยนขึ้นมาก ทว่าเพียงแค่ครู่เดียว สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

วินาทีถัดมา เสียงของเยี่ยนจ้าวเกอก็ลอยเข้าหูของเขาไปอย่างช้าๆ  ท่านผู้อาวุโสกล่าวชมเกินไปแล้ว ข้าก็แค่พบเข้าโดยบังเอิญเท่านั้น ถึงได้รู้เคล็ดลับเช่นนี้ 

 แต่จากที่ข้าทราบมา หลายปีมานี้หุบเขาวายุวิญญาณได้ผลิตศิลาลายเมฆออกมาไม่น้อย ดูเหมือนจะขายให้กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ที่อัคคีพิภพเป็นส่วนใหญ่ขอรับ 

สีหน้าของเหยียนซวี่หม่นลง  ข้าเองก็เพิ่งจะรู้วิธีการนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน อีกทั้งยังไม่เคยมีคำบอกเล่าใดๆ ในโลกแปดพิภพมาก่อนเช่นกัน 

 ในเมื่อรู้แล้ว หลังจากนี้ต้องระงับการส่งออกศิลาลายเมฆไว้ก่อน แม้จะเสียดายศิลาลายเมฆที่หนิงจือส่งออกไปก่อนหน้านี้ แต่ผู้ไม่รู้ก็ย่อมไม่ผิด ไม่ควรลงโทษเขาด้วยเหตุผลเช่นนี้ 

 อ๋อ…  เยี่ยนจ้าวเกอลากเสียงยาว  ท่านผู้อาวุโสเหยียนมั่นใจได้อย่างไรขอรับ ว่าเขาไม่รู้จริงๆ 

เหยียนซวี่อ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไร ก่อนจะเห็นเจตนายั่วเย้าในส่วนลึกของแววตาเยี่ยนจ้าวเกอ รวมถึงรังสีเย็นเยือกที่ฉายผ่านไปอย่างชัดเจน

 ความจริงแล้วเขาละเลยไม่รู้ไม่เห็น หรือจงใจปกปิดไม่ยอมรายงาน แอบคบค้าสมาคมกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อย่างลับๆ กันแน่ขอรับ  เยี่ยนจ้าวเกอโยกหัวยืดเส้นยืดสาย ก่อนเผยรอยยิ้มจนเห็นฟันขาวๆ  เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่ทราบแน่ชัดนัก แต่ในเมื่อท่านผู้อาวุโสฝ่ายอาญามาถึงอาณาจักรถังตะวันออกแล้ว ท่านลุงและท่านผู้อาวุโสเหยียนก็ล้วนอยู่ด้วย ถือโอกาสตรวจสอบในคราวเดียวก็ดีนะขอรับ 

……………..

 

เมื่อได้ยินคำถามของเหยียนซวี่ เยี่ยนจ้าวเกอก็เลิกคิ้วขึ้นเบาๆ  ท่านผู้อาวุโสเหยียนคิดว่าศิษย์น้องเยี่ยสิ้นชีพเพราะใครหรือขอรับ 

เหยียนซวี่มองเยี่ยนจ้าวเกออย่างเย็นชา  ในสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าย้อนถามข้าได้อย่างนั้นหรือ? 

 เรื่องที่เจ้าต้องทำคือตอบคำถามตามความเป็นจริงเท่านั้น ห้ามพูดเท็จหรือเล่นลิ้นแม้แต่คำเดียว 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม  หากข้าจำไม่ผิด วันนี้เป็นเพียงการซักถาม แต่ไม่ใช่การไต่สวน และถึงจะเป็นการไต่สวน ก็ดูเหมือนว่าท่านผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออกไม่ควรเป็นคนที่มาไต่สวนข้า 

 หากปักใจเชื่อไปก่อนแล้วว่าข้ามีความผิด เช่นนั้นแล้วหลักฐานอยู่ที่ใดหรือขอรับ 

เหยียนซวี่เองก็ไม่ได้โกรธ เพียงแต่พูดอย่างเฉยชาว่า  เช่นนั้นตอนนี้เชื้อไฟสัจจะอัคคีอยู่กับใคร 

 อยู่กับข้า  เยี่ยนจ้าวเกอตอบตรงๆ

 เยี่ยจิ่งได้พูดอะไรก่อนสิ้นชีพบ้างหรือไม่  เหยียนซวี่กล่าวกับซือคงจิง

ซือคงจิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบตามความจริงว่า  เรียกชื่อของศิษย์พี่เยี่ยนเจ้าค่ะ 

 เรียกอย่างไรหรือ 

 …โมโห ไม่พอใจ และ…โกรธแค้น 

ผู้อาวุโสฝ่ายอาญาโบกไม้โบกมือ สายตามองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความสงบทว่าจดจ่อ  ศิษย์หลานเยี่ยน เจ้ามีสิ่งใดจะพูดเกี่ยวกับเรื่องการตายในหุบเหวปราการมังกรของเยี่ยจิ่ง ในฐานะที่เป็นปรมาจารย์ผู้นำคณะหรือไม่ 

เขาเพียงถามซ้ำประโยคที่ก่อนหน้าได้พูดไปเท่านั้น แต่น้ำเสียงดูเคร่งขรึมขึ้นบ้างเล็กน้อย

 ก่อนอื่นข้าต้องขอแก้ไขเรื่องหนึ่ง บัดนี้ศิษย์น้องเยี่ยเป็นหรือตายยังไม่ทราบแน่ชัด  เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว

 เหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนี้ แท้จริงแล้วเรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่  ผู้อาวุโสฝ่ายอาญากล่าวเสียงราบเรียบ

เยี่ยนจ้าวเกอหยิบกระดาษจดหมายแผ่นหนึ่งออกมา ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า  ในฐานะที่เป็นปรมาจารย์รับผิดชอบนำคณะไปฝึกฝน ข้าต้องรายงานสำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้แน่นอน เพียงแต่ว่ายังไม่ทันที่จะส่งจดหมายนี้ให้กับทางสำนัก ก็ได้รับข่าวว่าพวกท่านจะเดินทางมาที่นี่ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงตัดสินใจรอมอบมันให้กับพวกท่านโดยตรงที่นี่ขอรับ 

ผู้อาวุโสฝ่ายอาญานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วผงกศีรษะ  ที่ข้ามาในครั้งนี้ เดิมทีก็เพื่อรับเอกสารลายมือของเจ้ากลับไปเช่นกัน 

เขารับจดหมายนั้นไป หลังจากเปิดอ่านแล้ว แววตาของเขาพลันวูบไหว ก่อนจะส่งต่อไปให้เหยียนซวี่

เหยียนซวี่อ่านแล้ว เขาก็ขมวดคิ้วมุ่นในทันที  เตาผลึกหินชั้นในของเจ้าตกลงไปในหุบเหวปราการมังกร ทำให้เกิดการระเบิดขึ้น และทำลายร่างกายของเยี่ยจิ่ง ทว่าเยี่ยจิ่งกลับมีของล้ำค่าติดกายช่วยปกป้องจิตวิญญาณของเขาไว้ได้ แต่เขาเป็นอยู่หรือตายก็ยังไม่ทราบแน่ชัดอย่างนั้นหรือ 

 สมบัติชิ้นนั้นมีความพิเศษมาก ข้ามีลางสังหรณ์ว่าอีกไม่นานศิษย์น้องเยี่ยจะกลับมาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเราอีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นก็จะยืนยันคำพูดของข้าได้เอง  เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว

 แน่นอนว่าเขาอาจจะยังโกรธแค้นข้าเพราะเรื่องที่เตาผลึกหินชั้นในระเบิด 

ราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออกคิ้วขมวด  หากเป็นจริงดังเจ้าว่า ตอนนี้เยี่ยจิ่งมีวรยุทธ์เพียงแค่ขั้นชักจูงลมปราณระยะกลางเองมิใช่หรือ ปกติเข้าไปในหุบเหวปราการมังกรเพียงลำพังก็เสี่ยงชีวิตมากอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้เขาเหลือเพียงวิญญาณ มิหนำซ้ำยังตกลงไปในหุบเหวด้วย 

เยี่ยนจ้าวเกอพูดช้าๆ ว่า  สิ่งล้ำค่าติดตัวของศิษย์น้องเยี่ยชิ้นนั้น สามารถระเบิดพลังมหาศาลออกมาได้ในพริบตา ไม่ควรดูถูกเลยขอรับ 

เหยี่ยนซวี่จ้องเยี่ยนจ้าวเกอพร้อมใบหน้าเย็นชาอีกครั้ง  หากเยี่ยจิ่งกลับมาไม่ได้อีกแล้ว เจ้าจะว่าอย่างไร 

ผู้อาวุโสฝ่ายอาญากลับถาม  คลื่นในหุบเหวปราการมังกรพัดเชื้อไฟสัจจะอัคคีมาตกอยู่ตรงหน้าเจ้าเองหรือ 

 เป็นเช่นนั้นขอรับ  เยี่ยนจ้าวเกอตอบ

ท่านผู้อาวุโสทั้งสามล้วนจ้องไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ ทว่านิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจาใดๆ

เยี่ยนจ้าวเกอพูดต่อนิ่งๆ ว่า  ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ มีเพียงศิษย์น้องเยี่ยที่อคติกับข้าอยู่ฝ่ายเดียว ถ้าเขาไม่เป็นฝ่ายหาเรื่องข้าก่อน สำหรับข้าแล้ว เขาก็ไม่ได้ต่างอะไรกับศิษย์น้องคนอื่นๆ 

 ส่วนเชื้อไฟสัจจะอัคคี ข้าเชื่อว่าสำนักต้องรับรองการศึกษาและสร้างเตาผลึกหินชั้นในก่อนอยู่แล้ว หากข้าต้องการได้มันมา ก็เป็นเรื่องง่ายยิ่งนัก 

 และต่อให้เป็นเพราะศิษย์น้องเยี่ยไม่รู้ความ แย่งชิงเชื้อไฟกับข้า ข้าก็คงสั่งสอนเขาเท่านั้น ไม่ถึงกับฆ่าแกงกัน 

 ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเอง ก็สามารถทำให้เขาทุกข์ทรมานได้ 

สุดท้ายเยี่ยนจ้าวเกอพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า  ในรายงานของข้าได้เขียนเอาไว้แล้ว และเชื่อว่าข้อมูลที่ทุกท่านได้รับก่อนหน้านี้ ก็ได้กล่าวถึงเช่นกัน 

 ศิษย์น้องเยี่ยรู้จักกันกับเฒ่ามารหัวขวาน หานเซิ่งด้วยขอรับ 

ผู้อาวุโสฝ่ายอาญาขมวดคิ้ว  เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือ 

เหยียนซวี่พูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า  ตาเฒ่าหานมีความแค้นกับข้าจริง แต่นั่นก็เป็นความแค้นส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับทางสำนัก เยี่ยจิ่งคบค้ากันกับเขาไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร และต่อให้เป็นข้าเอง ก็จะไม่ขุ่นเคืองด้วยเรื่องเช่นนี้ หากตาเฒ่าหานยอมละทิ้งความแค้นเก่า และยุติความแค้นทั้งหมดนี้แล้วอย่างไร สุดท้ายแล้วข้าเองก็ต้องเลยตามเลย 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มครั้งหนึ่ง  เช่นนั้นการประมือทั้งสองครั้งล้วนเป็นท่านที่ได้เปรียบ หานเซิ่งเป็นฝ่ายเสียเปรียบ 

ทว่าต่อจากนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ค่อยๆ หายไป  แต่เรื่องกลับไม่ได้เป็นเพียงความแค้นส่วนตัวง่ายๆ เช่นนั้น หานเซิ่ง เฒ่ามารหัวขวานมีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของหุบเหวปราการมังกรในครั้งนี้ด้วยขอรับ! 

เมื่อสิ้นประโยคนี้ ทั่งห้องโถงล้วนตะลึงงัน

ผู้อาวุโสฝ่ายอาญา ราชาอาณาจักรถังตะวันออก และเหยียนซวี่ต่างพากันยืดตัวตรง จดจ้องไปที่เยี่ยนจ้าวเกอพร้อมแววตาเป็นประกาย

 เจ้าตัดสินเช่นนี้ มีหลักฐานหรืออย่างไร 

ความกดดันจากมหาปรมาจารย์ทั้งสามทำให้ทั้งตำหนักใหญ่ดุจดั่งเตาหลอมก็ไม่ปาน

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม  ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นล้วนยืนยันได้ขอรับ ตอนที่เฒ่ามารหัวขวานปรากฏกายครั้งแรกและยังไม่ได้สังเกตเห็นศิษย์น้องเยี่ย ประโยคแรกที่เขากล่าวคือ ‘ใครกันที่พังเรื่องดีๆ ของข้า’ เช่นนั้นพวกเราก็ต้องไตร่ตรองดูแล้วขอรับ ว่าเรื่องดีๆ ของเฒ่ามารหัวขวานคืออะไร 

เขาว่าพลางส่งศิลาแก้วสองก้อนไป หนึ่งในนั้นก็คือศิลาก้อนที่ปิดผนึกแสงสีแดงภายในหมอกดำของหุบเหวปราการมังกร

ส่วนอีกก้อนหนึ่งผนึกร่างเลือนรางเอาไว้ ซึ่งก็คือเงาร้ายที่เยี่ยนจ้าวเกอไล่ตามไปหลังจากละทิ้งเชื้อไฟสัจจะอัคคีแล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอมองเหยียนซวี่ตรงๆ  ท่านผู้อาวุโสเหยียน ท่านคุ้นเคยกับเฒ่ามารหัวขวานดีที่สุด เห็นสิ่งนี้แล้วพบสิ่งใดหรือไม่ขอรับ 

เหยียนซวี่รับศิลาแก้วมาพินิจอย่างละเอียด สายตาของผู้อาวุโสฝ่ายอาญาและราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออกก็มองไปที่เขาเช่นกัน

สักครู่หนึ่ง เหยียนซวี่ก็ถอนหายใจออกยาวๆ แล้วพูดเสียงขุ่นเคืองว่า  ไม่รู้ว่าเป็นศาสตร์มืดชนิดใด…แต่เป็นฝีมือของตาเฒ่าหานไม่ผิดแน่ 

เยี่ยนจ้าวเกอเล่าเหตุการณ์พบเจอเงาประหลาด และการไล่จับเงาประหลาดนั่นด้วยท่าทีที่นิ่งสงบ ส่วนมหาปรมาจารย์ทั้งสามล้วนครุ่นคิดตาม

การเปลี่ยนแปลงของหุบเหวปราการมังกรไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะพัวพันถึงปฐพีพิภพในอดีต ที่เป็น ‘อเวจี’ ในปัจจุบัน!

หลังจากผ่านไปนานพอสมควร ผู้อาวุโสฝ่ายอาญาก็เงยหน้าขึ้นถามว่า  เจ้าหมายความว่าเยี่ยจิ่งสมคบคิดกับหานเซิ่งหรือ? 

เด็กหนุ่มส่ายหน้า  ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นขอรับ 

 ศิษย์น้องเยี่ยรู้จักกันกับเฒ่ามารหัวขวาน และยิ่งไปกว่านั้นยังเรียกพี่เรียกน้องกัน นี่เป็นความจริงขอรับ 

 อีกทั้งเฒ่ามารหัวขวานมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของหุบเหวปราการมังกร นี่ก็เป็นความจริงเช่นกัน 

 ส่วนศิษย์น้อยเยี่ยรู้จักกับเฒ่ามารหัวขวานได้อย่างไร และรู้เรื่องหุบเหวปราการมังกรมากเท่าใด รู้เรื่องเฒ่ามารหัวขวานมากขนาดไหน และเขาเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักมีเป้าหมายอื่นๆ หรือไม่ เรื่องเหล่านี้ล้วนยังไม่แน่ชัด ต้องทำการตรวจสอบขอรับ 

เยี่ยนจ้าวเกอพูดต่อว่า  ที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้ เพียงต้องการอธิบายว่าหากข้าต้องการรังแกศิษย์น้องเยี่ย ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องจัดการเขาด้วยตัวข้าเองเลย 

เหยียนซวี่และคนอื่นๆ ต่างก็เงียบไปพร้อมกัน

อย่างที่เยี่ยนจ้าวเกอพูดมา เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว ทางสำนักต้องไม่ใช้วิธีทั่วไปในการปฏิบัติกับเยี่ยจิ่งอยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการสอบสวนจำนวนมากได้ เพียงเท่านี้ก็พอให้เยี่ยจิ่งได้ทุกข์ทรมานแล้ว

กระทั่งอาจารย์ลุงใหญ่ของเยี่ยนจ้าวเกอจะยังรับเยี่ยจิ่งเป็นศิษย์อีกหรือไม่นั้น ก็คงต้องคิดทบทวนอย่างหนักใหม่อีกครั้ง อย่างน้อยก็ต้องรอผลสรุปของการไต่สวนที่แน่ชัดก่อน

 ข้าได้พูดไปแล้วว่าศิษย์น้องเยี่ยยังไม่สิ้นชีพ ของล้ำค่าของเขาชิ้นนั้นดูแล้วมีความพิเศษอย่างมาก อาจจะสามารถสร้างร่างใหม่ให้เขาก็เป็นได้ 

 รอให้ถึงตอนที่เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แล้วค่อยถามเรื่องต่างๆ กับเขาโดยตรงก็จะกระจ่างเอง ข้าไม่ถือสาที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงกับเขาซึ่งๆ หน้าขอรับ 

สุดท้ายเยี่ยนจ้าวเกอยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า  ถึงเวลานั้นพวกเราสามารถทำพิธีโลหิตจิตหวนเวลา เพื่อแสดงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้อีกครั้งก็ได้ จะได้ไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายไม่ยอมรับผิด 

เหยียนซวี่ถามเสียงต่ำว่า  ยังคงเป็นคำถามเดิม หากเยี่ยจิ่งกลับมาไม่ได้อีกเลยเล่า 

 สามปี สองปี…หนึ่งปี? หรืออาจจะสั้นกว่านั้น  เยี่ยนจ้าวเกอพูดนิ่งๆ  ขอเพียงแค่ไม่มีคนจงใจทำให้เขาปรากฏตัวอีกครั้งไม่ได้ก็พอ 

ใบหน้าของเหยียนซวี่เรียบนิ่งเฉกเช่นผืนน้ำ

ราชาอาณาจักรถังตะวันออกเอนหลังพิงไปบนเก้าอี้ มองเยี่ยนจ้าวเกอแล้วผงกศีรษะเบาๆ

ผู้อาวุโสฝ่ายอาญาพูดเสียงต่ำว่าว่า  การซักถามที่เกิดขึ้นทั้งหมดวันนี้ ข้าจะรายงานให้กับทางสำนัก 

 ส่วนตัวข้าเชื่อในคำพูดของศิษย์หลานเยี่ยน แต่หากเป็นจริงดังเจ้าว่า ก็หวังว่าเวลาจะยืนยันความบริสุทธิ์ของเจ้าได้ในที่สุด และหากเยี่ยจิ่งยังมีชีวิตรอดกลับมาได้ก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดีเรื่องหนึ่ง ทางสำนักเองจะตามหาตัวเขาต่อไปเช่นกัน 

พูดกันตามตรงแล้ว ก็คือไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนจนสามารถยืนยันได้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอจงใจทำให้เยี่ยจิ่งถึงแก่ความตาย กระทั่งความผิดพลาดจากความไม่ตั้งใจก็ไม่สามารถเหมารวมได้ด้วยซ้ำ

 ในเมื่อคุยเรื่องของข้าจบแล้ว เช่นนั้นมาคุยกันเรื่องอื่นกันบ้างดีกว่า  จู่ๆ เยี่ยนจ้าวเกอก็พลันเอ่ยปากขึ้น  คนที่กล่าวหาข้าและนำข่าวไปรายงานล่วงหน้าให้กับคนในสำนักก่อน คงจะเป็นเหวินหนิงจือ ท่านผู้อาวุโสปฏิบัติกิจแห่งหุบเขาวายุวิญญาณสินะขอรับ 

…………..

 

อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ไม่นานนักผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออก และผู้อาวุโสฝ่ายอาญาแห่งเกาะนภาตะวันออกที่เดินทางมาไกล ก็มาถึงเมืองใกล้ปราการพร้อมกัน

และยังมีราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออก มาพร้อมกันกับผู้อาวุโสฝ่ายอาญาแห่งเกาะนภาตะวันออกด้วย

คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ที่ได้รับความเคารพศรัทธาสูงสุดทั่วทั้งอาณาจักรถังตะวันออกท่านนี้ จะรีบรุดมายังเมืองใกล้ปราการเช่นกัน

เรื่องเกิดขึ้นที่ภายในอาณาจักรถังตะวันออก ทางอาณาจักรก็ต้องให้ความสนใจเป็นธรรมดา แต่พระราชาองค์เดียวแห่งอาณาจักรเสด็จออกจากเมืองหลวง เพื่อมายังพื้นที่ชายแดนเช่นนี้ ก็ยังคงเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของทุกคนอยู่ดี

แต่เพราะอธิบายกับภายนอกว่าหุบเหวปราการมังกรเกิดความผิดปกติ อันเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสจนอาจถึงขั้นสร้างอันตรายไปเกินกว่าครึ่งของพื้นที่อาณาจักร องค์ราชาจึงเสด็จมาด้วยตนเอง

ทว่าในสายตาของสวีชวน เหวินหนิงจือ และคนอื่นๆ กลับรู้สึกว่าราชาผู้นี้มาเพื่อพบเยี่ยนจ้าวเกอเสียมากกว่า

การมาถึงของผู้อาวุโสฝ่ายอาญาไม่เป็นผลดีกับเยี่ยนจ้าวเกออย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งเหยียนซวี่ ผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออกก็เป็นคนฝ่ายเดียวกับอาจารย์ลุงรองของเยี่ยนจ้าวเกออีกด้วย

ด้วยฐานะตำแหน่งที่เยี่ยนจ้าวเกอมี เขาไม่มีทางถูกคาดคั้นจนต้องยอมรับผิดเป็นแน่ แต่กระนั้นก็ต้องเผชิญความกดดันอยู่ไม่น้อยเลย

ราชาอาณาจักรถังตะวันออกกับบิดาของเยี่ยนจ้าวเกอเป็นสหายกันมาตั้งแต่เยาว์วัย จึงเห็นได้ชัดว่าครั้งนี้องค์ราชามาเพื่อหนุนหลังให้กับหลานชายของตนเอง

ไม่กี่ปีที่ผ่านมา สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์รุกรานอาณาจักรถังตะวันออกอย่างหนัก แต่สำนักเขากว่างเฉิงก็ยังมีอำนาจในอาณาจักรถังตะวันออกมากกว่า เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือใจของราชาอาณาจักรถังตะวันออกอยู่ฝั่งสำนักเขากว่างเฉิงมากกว่านั่นเอง

สวีชวนเป็นกังวลกับข่าวที่ได้รับอย่างมาก ส่วนเหวินหนิงจือกลับดีใจ

การมาถึงของราชาอาณาจักรถังตะวันออก ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอมีที่พึ่งพิงไปโดยปริยาย ทว่าการมาถึงของผู้อาวุโสท่านนี้คงทำให้เยี่ยนจ้าวเกอรอดไปได้ยากขึ้น ทางวิหารอาญาของสำนักเอาจริงแล้ว จนถึงขั้นที่ราชาอาณาจักรถังตะวันออกก็ทนนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้

ซือคงจิงและศิษย์รุ่นเยาว์คนอื่นๆ อาจจะยังไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ภายใน ทว่าทุกคนต่างก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศน่าอึดอัด เหมือนกับพายุลมฝนกำลังจะมาเยือนก็ไม่ปาน

เยี่ยนจ้าวเกอหันหลังกลับไปมองพวกเขาแล้วยิ้ม ขณะยืนอยู่ด้านนอกตำหนัก  เป็นข้าที่ถูกซักถาม ไม่ใช่พวกเจ้า ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้น 

ทุกคนล้วนฝืนยิ้มออกมาโดยที่ไม่พูดอะไร ก่อนจะมีศิษย์หญิงรุ่นเยาว์คนหนึ่งที่อุ้มภูตแมวแสงอยู่ รวบรวมความกล้าแล้วกล่าวออกมาว่า  ศิษย์พี่เยี่ยน ข้าเชื่อว่าท่านจะต้องไม่เป็นอะไรแน่ 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม แล้วหันหลังเดินกลับเข้าไปในตำหนักใหญ่

เมื่อเข้าไปในตำหนักใหญ่ เขาพลันเห็นคนสองคนนั่งอยู่คู่กันอยู่บนที่นั่ง

คนหนึ่งเป็นชายชราที่มีสีหน้าสุขุมเยือกเย็น ทว่ามีรัศมีดูน่าเกรงขาม ซึ่งก็คือผู้อาวุโสฝ่ายอาญาแห่งเกาะนภาตะวันออกของเขากว่างเฉิง

ส่วนชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่ง แม้ว่าจะสวมใส่เพียงชุดลำลองสีเหลืองสด ทว่ารัศมีบารมีแห่งราชาก็ยังคงแผ่กระจายออกมา ซึ่งนั่นก็คือราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออก

ถัดลงมาจากราชาถังตะวันออก มีชายชราสีหน้าเคร่งขรึม ร่างกายซูบผอมคนหนึ่งนั่งอยู่ นั่นก็คือเหยียนซวี่ ผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออกของเขากว่างเฉิง

ถัดลงมาจากเหยียนซวี่ ที่นั่งอยู่แถวล่างสุดก็คือสวีชวน เจ้าของเดิมของดินแดนแห่งนี้ และเป็นผู้อาวุโสปฏิบัติกิจของเขากว่างเฉิงแห่งเมืองใกล้ปราการ ณ อาณาจักรถังตะวันออก

สวีชวนในขณะนี้สายตามองตรงไม่หันเหไปทิศทางอื่น ทว่าลึกๆ ในแววตามีความกังวลซ่อนอยู่

เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอเข้ามาในตำหนักใหญ่แล้ว เขาก็ทำความเคารพทุกคนด้วยความสงบ

หลังจากคำนับแล้ว ทั้งราชาอาณาจักรถังตะวันออกและเหยียนซวี่ต่างก็ไม่ได้กล่าวอะไร เอาแต่นั่งอย่างเงียบๆ ยกเรื่องการซักถามให้เป็นหน้าที่ของผู้อาวุโสฝ่ายอาญา

ผู้อาวุโสฝ่ายอาญามองเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วพูดอย่างใจเย็นว่า  ก่อนอื่นเลย ครั้งนี้ศิษย์หลานเยี่ยนเอาชนะเฉาหยวนหลงได้ ไม่ทำให้กว่างเฉิงของเราเสียชื่อก็นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีและชื่นชม 

 แต่ว่าหลังจากนั้น เจ้าขับไล่เฉาหยวนหลงที่ไม่ได้สติและศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ออกจากเขตใจกลางหุบเหวของปราการมังกร 

 ระหว่างที่ประมือกันก็ไม่ได้เอาชนะแบบธรรมดา แต่ยังจงใจเหยียดหยามเฉาหยวนหลง ทำให้เขาเสียหน้า หลังจากนั้นก็ยังโบยศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ อีกด้วย 

 ทั้งหมดนี้เป็นคำฟ้องร้องของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ มีตรงไหนเป็นเท็จหรือไม่ 

เยี่ยนจ้าวเกอตอบอย่างเรียบเฉยว่า  โดยรวมแล้วเป็นความจริงขอรับ 

ผู้อาวุโสฝ่ายอาญาเอ่ยถามว่า  เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่ 

เหยียนซวี่กล่าวเสริมว่า  บัดนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาการประลองต่อสู้ระหว่างเจ้ากับเฉาหยวนหลงแล้ว 

 ที่ขับไล่พวกเขาออกจากเขตใจกลางหุบเหว เป็นเพราะพื้นที่บริเวณนั้นมีประโยชน์กับทางสำนักเราเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็ต้องเก็บรักษาเป็นความลับด้วย จึงไม่สามารถให้คนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นั่นต่อไปได้  เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

สายตาของผู้อาวุโสฝ่ายอาญามองผ่านมา  หือ? 

เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ  ณ ตรงนั้นเป็นพื้นที่เก้าปราณพิษ ข้าจำเป็นต้องใช้พื้นที่ตรงนั้นทำการทดลอง เพื่อพัฒนาเตาผลึกหินชั้นในขอรับ 

เรื่องของเตาผลึกหินชั้นในนี้ นอกเหนือจากคนภายในของเขากว่างเฉิงแล้ว ราชาอาณาจักรถังตะวันออกเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้เห็น

ผู้อาวุโสฝ่ายอาญาเอ่ยถาม  ตอนนี้คงไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้วกระมัง เช่นนั้นเจ้ามีหลักฐานให้กับคำอธิบายของตนเองหรือไม่ 

 เตาผลึกหินชั้นในที่ข้านำเข้าไปในปราการมังกรได้หายไปแล้ว หลักฐานที่แท้จริงคงไม่มี แต่ข้าได้ใช้เตานั่นหลอมสร้างอาวุธวิเศษระดับกลางออกมาชิ้นหนึ่งในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ศิษย์รุ่นเยาว์ที่ร่วมเดินทางไปกับข้าล้วนก็มองอยู่ข้างๆ สามารถเป็นพยานได้ขอรับ 

ซือคงจิงผู้ที่มีวรยุทธ์สูงที่สุดในบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ จึงถูกซักถามต่อจากเยี่ยนจ้าวเกอเป็นอันดับแรก

 คำพูดของศิษย์พี่เยี่ยนเป็นความจริงเจ้าค่ะ ตอนนั้นข้าและคนอื่นก็อยู่ข้างๆ เขา 

เหยียนซวี่มองซือคงจิง  พวกเจ้ามีความเข้าใจเกี่ยวกับเตาผลึกหินชั้นในมากเพียงใด แล้วรู้หลักการทำงานทั่วไปของมันหรือไม่ จะตัดสินได้อย่างไรว่าสถานการณ์ในตอนนั้นเป็นจริงหรือเป็นเท็จ 

ซือคงจิงกล่าวตอบอย่างไม่ช้าแต่ก็ไม่เร็วว่า  ความรู้เกี่ยวกับเตาผลึกหินชั้นในของข้ามีจำกัด ไม่สามารถตัดสินสถานการณ์ในตอนนั้นได้จริง ข้าเพียงแต่พูดทุกอย่างตามความเป็นจริงจากสิ่งที่ศิษย์มองเห็นได้ด้วยตา 

 ศิษย์พี่เยี่ยนเตรียมอาวุธวิเศษระดับกลางมาก่อนล่วงหน้า จากนั้นหลอกสายตาทุกคนด้วยการใช้วิชาปกปิดเปลี่ยนให้กลายเป็นเพียงอาวุธธรรมดาหรือไม่ ด้วยระดับวรยุทธ์ของข้ายังไม่สามารถยืนยันได้ แต่ดาบยาวสีดำเล่มนั้นเป็นอาวุธวิเศษระดับกลางอย่างไม่ต้องสงสัยเจ้าค่ะ 

 ส่วนพื้นที่เก้าปราณพิษมีความสามารถช่วยพัฒนาเตาผลึกหินชั้นในได้หรือไม่ ข้าไม่ทราบ แต่ข้ารู้จักเพียงพื้นที่เท่านั้น 

ทุกคนที่ได้ยินเช่นนั้นต่างมองไปที่นางแวบหนึ่ง ‘พื้นที่เก้าปราณพิษ’ นี้ คนทั่วไปแทบจะไม่เคยได้ยินชื่อ อย่าว่าแต่รู้จักเลย

เหยียนซวี่มองซือคงจิง แล้วผงกศีรษะช้าๆ ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก

ราชาอาณาจักรถังตะวันออกเอ่ยพูดขึ้นเป็นครั้งแรก  ตามที่แม่นางซือคงกล่าวมา พื้นที่ตรงนั้นก็มีเอกลักษณ์ของเก้าปราณพิษอยู่ด้วย 

ผู้อาวุโสฝ่ายอาญาผงกศีรษะ  ไม่ผิด 

 พื้นที่เก้าปราณพิษไม่ได้คงอยู่ตลอด มันสามารถเคลื่อนย้ายได้ตลอดเวลา อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะหายไป  เขามองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ  เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเตาผลึกหินชั้นใน หากล่าช้าอาจทำให้พลาดโอกาสได้ เป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนจึงขับไล่ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ไม่ถือว่าเป็นความผิด 

 หากสามารถยืนยันได้ว่าสามารถพัฒนาคุณภาพของเตาผลึกหินชั้นในไปอีกขั้นได้จริง ไม่เพียงแต่ไม่มีโทษ แต่กลับเป็นความดีความชอบอีกด้วย 

 ส่วนทางด้านสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ทางสำนักจะจัดการเอง ไม่ต้องให้เจ้าออกหน้า แต่ถ้าศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มาท้าสู้กับเจ้า ขอประลองฝีมือด้วย นั่นก็เป็นเรื่องที่เจ้าต้องรับมือเอง 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม  แน่นอนขอรับ 

ถึงแม้ว่าศักยภาพของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะเหนือกว่าอยู่ขั้นหนึ่ง แต่ในฐานะที่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเดียวกันกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ สำนักเขากว่างเฉิงจะยังคงตัดสินให้เยี่ยนจ้าวเกอมีความผิด แต่เป็นการลงโทษส่วนตัวภายในสำนัก เพราะต้องทำให้ภายนอกเห็นว่าแข็งกร้าว ไม่เช่นนั้นจะดูด้อยกว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เอาได้

และด้วยเป็นการลงโทษภายใน จึงไม่ลงโทษสถานหนักในสถานการณ์เช่นนี้ เพียงแค่อบรมสั่งสอนศิษย์ในสำนักไม่ให้ประมาทเลินเล่อและหุนหันพลันแล่น เพื่อไม่ให้สร้างปัญหาที่ไม่จำเป็นให้กับสำนักเท่านั้น

เยี่ยนจ้าวเกอรู้ดี ว่าต่อจากนี้ถึงจะเป็นส่วนที่สำคัญ

เป็นไปตามคาด ผู้อาวุโสฝ่ายอาญาเปลี่ยนเรื่องพูดในทันใด  พักเรื่องของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เอาไว้เท่านี้ก่อน ศิษย์หลานเยี่ยนเป็นปรมาจารย์นำคณะในครั้งนี้ มีอะไรอยากจะพูดเกี่ยวกับเรื่องที่เยี่ยจิ่งสิ้นชีพที่หุบเหวปราการมังกรหรือไม่ 

เหยียนซวี่กล่าวต่อ  ภายใต้หมอกดำที่ปกคลุมนั้น เจ้ากระทำอะไรลงไปกันแน่ จนถึงขั้นที่เยี่ยจิ่งต้องโกรธแค้นและไม่พอใจก่อนสิ้นใจไป 

 และเยี่ยจิ่งสิ้นชีพเพราะหัวหน้าค่ายชื่อหลิงจริงหรือ 

………………..

 

เหวินหนิงจือยิ้มพลางส่ายศีรษะ  แม้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะมีศักยภาพอันน่าทึ่ง แต่ในตอนนี้เขายังไม่ได้มีความสำคัญอะไร 

 ที่สำคัญคือท่านผู้อาวุโสเยี่ยน บิดาของเขา  เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเหวินหนิงจือทุ้มต่ำลง สีหน้าก็จริงจังและดุดันขึ้น  การแย่งชิงระหว่างท่านผู้อาวุโสเยี่ยนและท่านผู้อาวุโสฟางมาถึงจุดวิกฤติแล้ว การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยล้วนมีผลต่อการตัดสินใจในท้ายที่สุดของเจ้าสำนักคนเก่า 

 เยี่ยนจ้าวเกอคือจุดอ่อนของท่านผู้อาวุโสเยี่ยน  เหวินหนิงจือยิ้มอย่างเยียบเย็น  ใครๆ ล้วนบอกว่าพ่อลูกตระกูลเยี่ยนคือพ่อพยัคฆ์ที่ไม่มีทางมีลูกสุนัข แต่ข้ากลับเห็นต่าง พวกเขาเป็นพ่อพยัคฆ์กับลูกสุนัขต่างหาก หากท่านผู้อาวุโสเยี่ยนต้องพ่ายแพ้ ก็เป็นเพราะลูกชายที่มักหาเรื่องให้กับเขา ดังคำกล่าวที่ว่าทำนบพันลี้พังทลายลงเพราะรังมด 

เหวินหนิงจือผุดลุกขึ้น  ภายหลังเจ้าก็จะเข้าใจเอง ว่าแท้จริงแล้วบางเรื่องไม่จำเป็นต้องใช้หลักฐาน แค่ ‘ความสงสัย’ ก็เพียงพอที่จะส่งผลต่อความรู้สึกของคนหนึ่งที่มีต่ออีกคนหนึ่งแล้ว 

 ส่วนเตาผลึกหินชั้นใน เฮอะ จะเป็นสิ่งที่เด็กอมมือปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมสร้างขึ้นมาได้อย่างไรกัน 

คนที่อยู่เบื้องหน้าเขาตะลึงงันไปชั่วครู่  ท่านผู้อาวุโสเหวิน ท่านหมายความว่า… 

เหวินหนิงจือกล่าวอย่างเรียบนิ่งว่า  แน่นอนว่าต้องเป็นแผนการของท่านผู้อาวุโสเยี่ยน 

 หากไม่ใช่เพราะเยี่ยนจ้าวเกอทำเพื่อเอาหน้า สร้างความดีความชอบให้บิดา ก็ต้องเป็นผู้อาวุโสเยี่ยนที่จงใจแบ่งผลความดีความชอบให้กับเยี่ยนจ้าวเกอ เพื่อปูทางให้บุตรของตน 

 ข้าถึงได้บอกอย่างไรเล่า ว่าจะช้าหรือเร็ว ท่านผู้อาวุโสเยี่ยนก็ต้องพังพินาศด้วยน้ำมือของเด็กคนนี้ 

ขณะที่พูด สีหน้าของเหวินหนิงจือก็พลันเจ้าเล่ห์ขึ้น  แต่ผลสุดท้ายกลับทำลายอาจารย์ของข้า 

จอมยุทธ์ที่อยู่ด้านข้างก้มศีรษะลง ไม่กล้าเอ่ยอะไร

เขาผู้เป็นคนสนิทของเหวินหนิงจือรู้อยู่ก่อนแล้ว ว่าก่อนหน้านี้เยี่ยนจ้าวเกอทำให้ผู้อาวุโสชุยแห่งวิหารปฏิบัติกิจถูกปลดออกจากตำแหน่ง และยิ่งไปกว่านั้นยังต้องถูกไต่สวนอย่างละเอียด ซึ่งผู้อาวุโสชุยคืออาจารย์ของเหวินหนิงจือ

ถึงแม้ว่าวรยุทธ์ของเหวินหนิงจือจะแก่กล้ากว่าอาจารย์มาก ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงให้ความเคารพกับผู้อาวุโสชุยเป็นอย่างมาก

เขาทำอยู่หลายวิถีทาง ทั้งยังขอให้เหยียนซวี่ ผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออกช่วยพูดให้ก็แล้ว ทว่าก็ทำได้เพียงช่วยให้ท่านผู้อาวุโสชุยมีชีวิตที่ดีขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เรื่องมาถึงขั้นเสียตำแหน่งผู้อาวุโสปฏิบัติกิจไปแล้ว ผู้อาวุโสชุยรอดไปได้อย่างปลอดภัย แต่จะมีชีวิตในช่วงบั้นปลายโดยที่ไม่ต้องโทษได้หรือไม่นั้น ล้วนเป็นเรื่องที่ยังไม่อาจรู้ได้

ฝั่งหนึ่งคือลูกชายแท้ๆ ของผู้อาวุโสเยี่ยน อีกฝั่งคือชนชั้นกลางที่มีความสามารถลึกล้ำ เห็นได้ชัดว่าระดับพลังของทั้งสองฝ่ายอยู่คนละชั้นกัน

หากแตะต้องเยี่ยนจ้าวเกอ ผลลัพธ์คงไม่ดีแน่ ก่อนผู้อาวุโสชุยลงมือก็เตรียมใจเอาไว้แล้ว ทว่าคิดไม่ถึงว่านอกจากตนเองจะไม่ได้รับสิ่งใดแม้สักนิด มิหนำซ้ำยังไม่ได้สร้างผลงานอีกด้วย

และที่สำคัญ ไม่เพียงแต่ทำไม่สำเร็จ เยี่ยนจ้าวเกอยังมองเจตนาของเขาออก และเปิดโปงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงมากยิ่งขึ้น ซึ่งเท่ากับว่าไม่มีความดีความชอบ แถมยังต้องโทษอีกด้วย

แล้วจะทำให้คนที่อยู่เบื้องบนออกแรงปกป้องเขาได้อย่างไรเล่า

‘ท่านอาจารย์แก่ชราแค่เพียงกาย ทว่าจิตใจไม่ยอมชราภาพไปตามนั้น เขาไม่ยอมฟังคำเตือนของข้า รั้นจะลองดูเสียให้ได้ เพื่อช่วงชิงให้ได้ก้าวหน้าไปอีกขั้น แต่ใครจะคาดคิดเล่า ว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะขุดหลุมฝังเขาแทน’ เหวินหนิงจือรู้สึกหงุดหงิดมาก จึงคิดในใจด้วยความรู้สึกแค้นเคืองอยู่บ้าง ‘แต่ว่า ท่านอาจารย์ ช่องโหว่ที่ท่านหามาได้ช่างเยี่ยมยอดเสียจริง นิสัยสุนัขแก้ไม่ได้ เจ้าเยี่ยนจ้าวเกอบ้าระห่ำจนเคยชิน ในที่สุดก็เหยียบกับดักเข้าให้แล้ว’

จอมยุทธ์ที่อยู่ข้างกายกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า  อย่างไรเยี่ยนจ้าวเกอก็เป็นบุตรของท่านผู้อาวุโสเยี่ยน ถึงครานี้ท่านจะทำสำเร็จ แต่หลังจากนั้นท่านก็ต้องแบกรับไฟโทสะจากท่านผู้อาวุโสเยี่ยนเช่นกันนะขอรับ 

เหวินหนิงจือยิ้ม  หากสำเร็จ ก็มีคนเบื้องบนช่วยข้าทัดทานท่านผู้อาวุโสเยี่ยนอยู่แล้ว 

 ตัวข้าไม่ได้มีช่องโหว่หรือจุดอ่อนใดให้อีกฝ่ายจับได้ อีกทั้งการที่คนเบื้องบนจะปกป้องข้าก็เป็นเรื่องง่ายนัก 

 เอาล่ะ นำเรื่องนี้ไปรายงานให้ท่านผู้อาวุโสเหยียนทราบ แล้วก็ส่งข่าวกลับไปทางสำนักด้วย 

 ดูสิว่าครั้งนี้เจ้าเด็กน้อยตระกูลเยี่ยนจะเอาตัวรอดได้อย่างไร สุดท้ายแล้วข้าจะถลกหนังมันออกมาให้จงได้!  

หลังจากที่เยี่ยนจ้าวเกอคุยกับสวีชวนได้ครู่ใหญ่แล้ว จึงหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาวางตรงหน้าสวีชวนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ศิลาลายเมฆนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในหุบเขาวายุวิญญาณอย่างนั้นหรือ 

ศิลาลายเมฆเป็นศิลาแก้วสีเหลืองอ่อน ลวดลายที่อยู่บนผิวของมันมีลักษณะเหมือนกับเมฆสีขาว

นี่คือหนึ่งในสิ่งของที่สวีชวนมอบให้เยี่ยนจ้าวเกอเมื่อไปถึงเมืองใกล้ปราการ และมันยังเป็นสิ่งที่มีเฉพาะละแวกใกล้เคียงเท่านั้น เมื่อนำมาวางไว้ข้างๆ ขณะที่จอมยุทธ์ฝึกฝน จะช่วยทำให้จิตใจสงบ อีกทั้งยังช่วยให้อัตราการฝึกฝนเพิ่มขึ้นบ้างเล็กน้อยอีกด้วย

สวีชวนผงกศีรษะ  ถูกต้อง เกิดขึ้นจากหุบเขาวายุวิญญาณ 

เยี่ยนจ้าวเกอใช้นิ้วมือสัมผัสลูบศิลาลายเมฆนั่น แล้วพยักหน้า  ผลลัพธ์ไม่เลวเลยทีเดียว 

สีหน้าของสวีชวนไม่เปลี่ยนแปลง ทว่ากลับรู้สึกหวั่นใจอยู่เล็กน้อย

ด้านนอกของหุบเขาวายุวิญญาณมีหุบเหวปราการมังกรกั้นเอาไว้ ภายในจึงไม่ต้องแก่งแย่งกับผู้มีอำนาจอื่น ทั้งทรัพยากรที่ผลิตได้ก็อุดมสมบูรณ์ แม้ว่าผู้ที่ประจำการอยู่จะอยู่ในระดับเดียวกับผู้อาวุโสปฏิบัติกิจ ทว่ากลับปฏิบัติงานมากเท่ากับภายในของอาณาจักรถังตะวันออก

ไม่เหมือนดังเช่นเมืองใกล้ปราการ ที่แม้ว่าตำแหน่งจะสูงส่ง แต่การทำงานกลับหนักหน่วง หากเกิดปัญหาขึ้นก็ต้องกลายเป็นผู้รับผิดชอบไปโดยปริยาย

เหวินหนิงจือ ผู้อาวุโสปฏิบัติกิจแห่งหุบเขาวายุวิญญาณเป็นคนสนิทของเหยียนซวี่ ผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออก และเป็นคนฝ่ายเดียวกับอาจารย์ลุงรองของเยี่ยนจ้าวเกอด้วยเช่นกัน

สวีชวนกำลังคิดในใจ สายตาพลางมองไปยังศิลาลายเมฆที่อยู่ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอ เขาเคยเห็นของสิ่งนี้มามากแล้ว ทว่าดูอย่างไรก็ยังมองไม่ออกว่ามีอะไรเป็นพิเศษ

‘ของชิ้นนี้มีความลับมหัศจรรย์หรือ’ สวีชวนไม่เข้าใจ ‘หรือข้าคิดมากไปเอง เขาอาจจะแค่ชื่นชอบเท่านั้นกระมัง’

เมื่อส่งสวีชวนไปแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็ใช้นิ้วมือดีดบนศิลาลายเมฆเบาๆ สีหน้าเหมือนของเขาจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม

หนึ่งวันหลังจากนั้น อาหู่มารายงานข่าวร้ายว่า  คุณชายขอรับ เมื่อครู่ข้าได้ข่าวจากสำนักที่อยู่ในเกาะนภากลางมาว่า วิหารอาญาออกคำสั่งให้ท่านผู้อาวุโสฝ่ายอาญาแห่งเกาะนภาตะวันออกเดินทางมายังอาณาจักรถังตะวันออกขอรับ 

ผู้ที่รับผิดชอบเกาะนภาตะวันออกของเขากว่างเฉิง นอกจากผู้อาวุโสคุมการณ์และผู้อาวุโสปฏิบัติกิจของแต่ละที่แล้ว ยังมีผู้อาวุโสฝ่ายอาญาที่ช่วยเหลืองานของผู้อาวุโสเกาะนภาตะวันออก ซึ่งทำการติดต่อโดยตรงกับวิหารอาญาของสำนัก และรับผิดชอบดูแลกฎระเบียบและการลงโทษของทั้งเกาะ

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยถาม  รู้สาเหตุหรือไม่ 

 สาเหตุแรกคือคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มาฟ้องร้อง ส่วนสาเหตุที่สองคือเรื่องของเจ้าเยี่ยจิ่งขอรับ  อาหู่กล่าวตอบ

ก่อนที่เขาจะเบะปากพูดต่อ  คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเจ้าเยี่ยจิ่งจะอาภัพเช่นนี้ ดันมาสิ้นชีพในหุบเหวปราการมังกรเสียได้ ต้องมีผู้ที่ถือโอกาสนี้สร้างเรื่องให้คุณชายลำบากเป็นแน่ขอรับ 

เยี่ยนจ้าวเกอถามต่ออย่างไม่ใส่ใจว่า  แล้วท่านผู้อาวุโสฝ่ายอาญาต้องไปที่เมืองหลวงของอาณาจักรถังตะวันออกหรือไม่ 

 ไม่ขอรับ เขาจะมายังเมืองใกล้ปราการแห่งนี้ ท่านเหยียนซวี่ ผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออกไล่ตามเฒ่ามารหัวขวานไปไม่สำเร็จ ส่วนหัวหน้าค่ายชื่อหลิงเองก็ไม่ทราบที่อยู่ที่แน่ชัด อีกทั้งคลื่นในหุบเหวปราการมังกรรุนแรงเรื่อยๆ ดังนั้นเขาจึงกลับมาประจำการอยู่ที่เมืองใกล้ปราการก่อนชั่วคราว ท่านผู้อาวุโสฝ่ายอาญาก็จะรีบเดินทางมาเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีตัวแทนของอาณาจักรถังตะวันออกติดตามมาด้วยขอรับ 

 เช่นนั้นก็รออยู่ที่นี่ก็แล้วกัน  เยี่ยนจ้าวเกอลูบคาง

อาหู่ก็ลูบคางเลียนแบบเช่นกัน  คุณชายขอรับ ด้วยตำแหน่งฐานะของท่าน ไม่น่าจะมีปัญหากับวิหารอาญาได้ง่ายๆ แต่การที่ท่านผู้อาวุโสฝ่ายอาญาเดินทางมาเองเช่นนี้ ท่าจะไม่ดีนะขอรับ 

 ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ไม่ชอบนิสัยบ้าระห่ำของข้ามาตลอด เรื่องเตาผลึกหินชั้นในก่อนหน้านี้พอจะทำให้เขาเปลี่ยนความคิดไปบ้าง แต่เมื่อเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นตอนนี้อีก เกรงว่าเขาคงจะผิดหวังยิ่งกว่าเดิมแน่ ยิ่งมีความคาดหวังมาก ความผิดหวังก็จะยิ่งมากตามไปด้วย  เยี่ยนจ้าวเกอพูดพลางแบมือทั้งสองออก

 ท่านอาจารย์ลุงใหญ่อาจจะไม่มีทางเอนเอียงไปทางฝ่ายของท่านอาจารย์ลุงรอง แต่เกรงว่าครั้งนี้เขาคงอยากจะตักเตือนสอนกฎระเบียบให้กับข้าอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้ข้า ‘ก้าวพลาด’ กระมัง 

อาหู่อ้าปากค้างไปชั่วครู่  งานยากเลยขอรับ 

เยี่ยนจ้าวเกอยกขาขึ้นไขว้ห้าง  ก็คงจะมีคนเจองานยากเข้าแล้วจริงๆ 

ไม่นานนัก คนอื่นๆ ก็ได้รับข่าวเช่นกัน รวมถึงพวกซือคงจิงด้วย

ในฐานะที่พวกเขาเป็นผู้ร่วมเดินทางไปกับเยี่ยนจ้าวเกอ จึงต้องได้รับการซักถามเช่นเดียวกัน เพื่อเป็นพยานยืนยันด้วย

ทุกคนที่ได้รับข่าวต่างก็มองหน้ากัน มีความรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาชั่วขณะ

เป็นอย่างที่อาหู่พูด เยี่ยนจ้าวเกอค่อนข้างมีสิทธิพิเศษ และไม่อาจติดต่อวิหารอาญาได้โดยง่ายๆ ทว่าหากถึงขั้นนั้น นั่นก็หมายความว่าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย อีกทั้งยังพลิกสถานการณ์ได้ยาก

ในกลุ่มศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนัก ครั้งนี้เยี่ยนจ้าวเกอ คุณชายในกลุ่มศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักเขากว่างเฉิง ผู้เรียกลมเรียกฝนได้คนนี้ ต้องพลาดท่าเข้าแล้วจริงๆ หรือ?

…………..

 

‘นี่มันอะไรกัน ไม่เห็นเข้าใจเลย ความหมายก็ไม่ชัดเจน หรือเป็นเพราะแผ่นป้ายเหล็กไม่สมบูรณ์ ตัวอักษรบางส่วนหายไป มิน่าเล่าถึงดูขาดๆ หายๆ’

เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะค่อยๆ ถ่ายทอดปราณของตนเองเข้าไปในป้ายโลหะทีละเล็ก ทีละน้อย

เป็นไปตามที่เขาคาดไว้ ป้ายโลหะที่ดูหยาบกระด้างนี้ แท้จริงแล้วซุกซ่อนคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดาเอาไว้ แม้สภาพของมันจะไม่สมบูรณ์ แต่ในเมื่อมันสามารถรับเอาปราณจิตของเยี่ยนจ้าวเกอได้ นั่นหมายความว่ามันแข็งแกร่งกว่าโลหะทั่วไป

‘มีความแข็งแกร่งเท่าปราณจิตราของปรมาจารย์ขั้นจิตราระยะกลางแล้วด้วย ตอนนี้เจ้าเยี่ยจิ่งมีวรยุทธ์ไม่เพียงพอ คิดว่าเขายังไม่สามารถคลายกลไกของมันได้ จึงเก็บไว้ในอนาคต’

เยี่ยนจ้าวเกอส่งพลังเข้าไปอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็เห็นป้ายโลหะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง

แสงสีขาวจางๆ สว่างขึ้น ก่อนจะกะพริบขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้ป้ายทั้งชิ้นส่องสว่าง

พร้อมกันนั้น เยี่ยนจ้าวเกอยังสัมผัสได้ว่าผิวสัมผัสของป้ายโลหะเย็นขึ้นเรื่อยๆ

ยามนี้ชายหนุ่มกระตุ้นปราณจิตทั้งร่าง แต่กลับยังรู้สึกถึงความเย็นของป้ายโลหะได้อย่างชัดเจน อุณหภูมิจริงของป้ายโลหะลดต่ำลงมาก จนถึงขั้นที่คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจแตะต้องได้ ไม่เช่นนั้นมือคงถูกแช่แข็งทันที

‘ความรู้สึกเช่นนี้ คล้ายกับเอกลักษณ์ของการฝึกวิชากระบี่ในยุคก่อนเกิดวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่อยู่บ้าง อันเรียกขานกันว่า วิชากระบี่น้ำแข็ง แต่ก็ยังยากจะตัดสินว่าใช่หรือไม่ใช่’ แววตาของเยี่ยนจ้าวเกอสั่นไหว ‘กระนั้นมีการผสมสิ่งอื่นเข้าไปด้วย ข้าคิดว่าหลังวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ โลกแปดพิภพคล้ายจะเคยมีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ยอดฝีมือคนหนึ่ง ผู้มีสมญานามว่ามังกรน้ำแข็งทะเลเหรือ หรือจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็ง 

‘ในบรรดาจอมยุทธ์ที่พเนจรไปทั่วทั้งโลกแปดพิภพหลังเกิดวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ คนผู้นี้น่าจะแข็งแกร่งเป็นที่สุด อีกทั้งยังมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ติดตัวด้วย ทว่าเขาเป็นตายยังคงเป็นปริศนา อาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็หายไปพร้อมกันกับเขาด้วยเช่นกัน’

เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตนเองพลางคิดต่อไปว่า ‘ใช้ได้เลยเยี่ยจิ่ง เจ้านี่มันสุดยอดจริงๆ เรื่องอื่นข้าขอไม่พูดถึง แต่เจ้าดวงดีทีเดียว’

‘ยังไม่นับรวมแหวนสีแดงคล้ำวงนั้น ที่ไม่รู้ว่าเขาไปเก็บของชิ้นนี้มาตั้งแต่เมื่อใด’

 จะว่าไปแล้ว หลังวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่นั้น ก็พบเผ่ามังกรในโลกแปดพิภพน้อยลงมาก การค้นพบของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็งในตอนนั้นอาจไม่ได้มีเพียงวิชากระบี่ทะเลน้ำแข็งก็เป็นได้ และอาจเกี่ยวข้องกับเผ่ามังกร… 

ในตอนนั้นเอง อาหู่เคาะประตูอยู่นอกห้อง  คุณชาย ท่านผู้อาวุโสสวีแห่งเมืองใกล้ปราการมาถึงแล้วขอรับ 

สวีชวนเป็นผู้อาวุโสปฏิบัติกิจที่ประจำการอยู่ที่เมืองใกล้ปราการของอาณาจักรถังตะวันออก

เยี่ยนจ้าวเกอยุติการถ่ายเทปราณจิตราเข้าไปในป้ายโลหะแล้วพูดว่า  เชิญท่านผู้อาวุโสสวีขอรับ 

หลังจากที่อาหู่ถอยกลับออกไป ภายในห้องรับแขกจึงเหลือเพียงเยี่ยนจ้าวเกอและสวีชวนสองคน สวีชวนไม่ได้เรียกเขาว่า ‘ศิษย์หลานเยี่ยน’ แต่เปลี่ยนเป็น  นายน้อยเยี่ยน ครั้งนี้คงจะตกใจไม่ใช่น้อย แต่ก็ถือว่าโชคดีที่ไม่ได้รับอันตราย 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มบางๆ  ท่านผู้อาวุโสสวีพูดสาปแช่งข้าแล้ว 

สวีชวนผู้นี้เป็นคนในฝ่ายเดียวกันกับบิดาของเขา ลำพังแค่การเรียกชื่อ ก็มองออกว่าคนผู้นี้เป็นคนอารมณ์ดี ขี้เล่น ตบตาเก่ง ถึงขั้นบางทีก็ขาดความเข้มงวดและไม่มีขอบเขต

ทว่าหัวหน้าผู้บังคับบัญชาของคนผู้นี้ คือผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออก เหยียนซวี่ เป็นคนในฝ่ายของอาจารย์ลุงรองของเยี่ยนจ้าวเกอ สวีชวนที่อยู่ภายใต้ความกดดันเช่นนี้กลับยังสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่ เห็นได้ชัดว่าภายใต้ท่าทางกลิ้งกลอกที่แสดงออกนี้ เขาย่อมมีความสามารถไม่ธรรมดา ไม่ใช่คนที่เก่งแต่เพียงประจบสอพลอผู้มีอำนาจเท่านั้น

หากเป็นผู้ที่ไร้ความสามารถ ก็คงไม่สามารถประจำการอยู่ในเมืองใกล้ปราการ ที่มีสภาพแวดล้อมซับซ้อนเช่นนี้ได้

 ไม่ทราบว่าเรื่องของหัวหน้าค่ายชื่อหลิงและเฒ่ามารหัวขวานเป็นอย่างไรบ้างขอรับ  เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยถาม

สวีชวนส่ายหน้าด้วยความเสียดาย  เฒ่ามารหัวขวานไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านผู้อาวุโสเหยียน ตาเฒ่านั่นโดนเล่นงานจนบาดเจ็บอีกครั้ง ทว่าท่านผู้อาวุโสเหยียนก็ไม่อาจรั้งเขาไว้ได้ จึงปล่อยให้เขาหนีไป 

 หัวหน้าค่ายชื่อหลิงเองก็หลบหนีไปได้เช่นกัน ทิ้งไว้แต่ความยุ่งยาก 

เยี่ยนจ้าวเกอเบะปาก  แม้อาณาจักรถังตะวันออกจะตั้งอยู่สุดเขตของนภาพิภพ แต่ทางสำนักก็ดูแลมานานหลายปี การที่ปล่อยให้คนหนีไปได้ง่ายๆ เช่นนี้ คงมีการแทรกแซงจากภายนอกเป็นแน่ 

อาณาจักรถังตะวันออกตั้งอยู่สุดทิศตะวันออกของนภาพิภพ ไม่ว่าจะเป็นภูมิประเทศหรือวัฒนธรรม สภาพแวดล้อมล้วนแต่ซับซ้อน นอกจากหุบเหวปราการมังกรแล้ว ยังเป็นชายแดนที่เชื่อมต่อกับภูผาพิภพและอัคคีพิภพด้วย

เขาไร้พรมแดนที่ปกครองภูผาพิภพ และสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่ปกครองพิภพอัคคี ต่างก็รุกล้ำเข้ามาในเขตของอาณาจักรถังตะวันออกอย่างหนัก

ทั้งสำนักเขากว่างเฉิงและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ก็มีการต่อสู้กันอย่างลับๆ ในเขตอาณาจักรถังตะวันออกแทบทุกวัน

สวีชวนกล่าวว่า  ไม่ผิดแน่ มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะเป็นสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้พวกเขามีแต่จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ  

เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ  จริงสิ ได้ยินมาว่านายน้อยเยี่ยนเล่นงานเฉาหยวนหลงของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ในปราการมังกรน้ำลึกหรือ 

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า  เป็นความจริงขอรับ 

 นายน้อยเยี่ยนเอาชนะเฉาหยวนหลงขาดลอย สร้างชื่อเสียงให้กับเขากว่างเฉิงของเรา เรื่องนี้ช่างน่ายินดีและน่านับถือยิ่ง สมกับเป็นบุคคลที่ฟ้าโปรดปรานของสำนัก ในอนาคตเจ้าต้องประสบความสำเร็จเป็นแน่!  สวีชวนพูดชมจนชวนขนหัวลุก

หากว่าเป็นลูกศิษย์สำนักอื่นที่อ่อนแอกว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เล่นงานลูกศิษย์ของสำนักนี้แล้วล่ะก็ ทางสำนักคงไม่ยอมแต่โดยดี

แต่เยี่ยนจ้าวเกอมาจากสำนักเขากว่างเฉิง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในระดับเดียวกัน การประมือกันระหว่างเขากับเฉาหยวนหลง จึงถือว่าเป็นเพียงการปะทะกันระหว่างศิษย์รุ่นเยาว์เท่านั้น

แพ้การประลองย่อมต้องเสียหน้าเป็นธรรมดา การจะกู้เอาหน้าที่เสียไปกลับมาก็ต้องใช้วิธีแบบเดียวกันเท่านั้น

ดังนั้นสวีชวนจึงยินดียิ่งที่เยี่ยนจ้าวเกอเล่นงานเฉาหยวนหลงจนหน้าบวมตาเขียว แต่สิ่งที่เขากังวลคืออีกเรื่องหนึ่ง

สวีชวนกล่าวด้วยความลังเลเล็กน้อยว่า  ข้าได้ยินมาว่า หลังจากนั้นนายน้อยเยี่ยนขับไล่ศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ออกจากเขตใจกลางน้ำวนด้วยหรือ 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มบางๆ ครั้งหนึ่ง  ถูกต้อง ข่าวนี้ก็เป็นความจริง 

ครั้นเห็นสวีชวนมีท่าทางกังวลใจ เยี่ยนจ้าวก็โบกมือ  ท่านผู้อาวุโสสวีสบายใจได้ เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเตาผลึกหินชั้นใน 

อีกฝ่ายได้ยินเช่นนั้นก็โล่งใจขึ้น  เช่นนั้นก็ดี แต่ทางสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คงมีการตอบโต้กลับมาแน่ ทางสำนักเราเองก็ต้องส่งคนมาซักถามนายน้อยเยี่ยนเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน 

 นอกจากนี้ หลังจากทางสำนักทราบข่าวความโชคร้ายของศิษย์นามว่าเยี่ยจิ่งแล้ว ก็น่าจะมีการซักถามเพิ่มเติมเช่นกัน แต่คงไม่มีปัญหาอะไร อย่างไรเสียก็เป็นเพียงเหตุสุดวิสัย เจอมหาปรมาจารย์อย่างหัวหน้าค่ายชื่อหลิง ก็ไม่ต่างอะไรกับประสบภัยธรรมชาติ  เมื่อพูดถึงปัญหานี้ สวีชวนดูผ่อนคลายขึ้นมาก

เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้าขึ้นมองบนเพดาน  คนบางคนอาจไม่คิดเช่นนี้ ตรงกันข้ามยังกำลังรอคอยโอกาสเช่นนี้ด้วยซ้ำ 

หุบเขาวายุวิญญาณ เป็นสถานที่ที่อยู่ในอาณาจักรถังตะวันออกเช่นเดียวกัน โดยตั้งอยู่ห่างจากเมืองใกล้ปราการออกไปไม่มาก ถือเป็นหุบเขาแห่งหนึ่งที่เขากว่างเฉิงครอบครองอยู่อย่างสิ้นเชิง และเป็นแหล่งผลิตของทรัพยากรอันมีค่าจำนวนมา

ผู้อาวุโสปฏิบัติกิจของเขากว่างเฉิงที่รับผิดชอบพื้นที่แห่งนี้มีนามว่าเหวินหนิงจือ ลักษณะภายนอกเป็นชายวัยกลางคนผู้มีกิริยาท่วงท่าสง่างาม อายุยังถือว่าไม่มาก มีอนาคตที่สดใส หากไม่มีเรื่องผิดพลาด ก็ยังมีโอกาสก้าวหน้าได้อีกมาก

 ทั้งคู่มีเรื่องขัดแย้งกันเพราะเชื้อไฟสัจจะอัคคีรึ? ก่อนเยี่ยจิ่งตาย เขาตะโกนเรียกชื่อเยี่ยนจ้าวเกออย่างโกรธแค้นด้วยใช่หรือไม่  มุมปากของเหวินหนิงจือปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ

จอมยุทธ์ที่รอคอยคำสั่งตรงหน้าเขาตอบว่า  ข้าน้อยรู้ความมาจากปากของศิษย์รุ่นเยาว์ที่ร่วมเดินทางไปด้วย เป็นจริงดังนั้นขอรับ แต่พวกเขามองไม่เห็นภาพเหตุการณ์ที่เยี่ยจิ่งตกลงไปหุบเหวปราการมังกร 

เหวินหนิงจือยิ้ม  เท่านั้นเพียงพอแล้ว 

ในฐานะที่เป็นผู้นำคณะเดินทาง เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับศิษย์รุ่นเยาว์ และศิษย์คนนั้นยังเป็นเยี่ยจิ่งที่มีความแค้นกับเยี่ยนจ้าวเกอมาโดยตลอด เช่นนี้เยี่ยนจ้าวเกอคงถูกหางเลขไปด้วยได้ง่ายๆ

ผู้ที่อยู่ข้างกายเหวินหนิงจือเอ่ยเสียงต่ำ  ไม่ว่าอย่างไรเยี่ยนจ้าวเกอก็เป็นบุตรชายของผู้อาวุโสเยี่ยน ทั้งยังเป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นในหมู่ศิษย์รุ่นเยาว์ หากว่าไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน เกรงว่าคงไม่สามารถทำอะไรได้ง่ายๆ 

 เรื่องพรรค์นี้ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานอะไร แค่ความสงสัยก็เพียงพอแล้ว  เหวินหนิงจือยิ้มอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน

คนผู้นั้นกล่าวด้วยความลังเล  เยี่ยนจ้าวเกอนำเตาผลึกหินชั้นในกลับสู่โลกอีกครั้ง ทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่จะยกระดับสำนักของเราให้สูงขึ้น เขาสร้างผลงานชิ้นโตเอาไว้เช่นนี้ ต่อให้ทำผิดไปบ้างก็คงเป็นเรื่องที่ให้อภัยกันได้… 

เหวินหนิงจือหัวเราะ  เตาผลึกหินชั้นในอย่างนั้นหรือ แถมยังสร้างด้วยน้ำมือของเด็กหนุ่มไม่รู้ความผู้นั้น? 

………..

 

สัมภาระทั้งหมดของเยี่ยจิ่งสลายไปพร้อมกันกับร่างกายของเขา

แม้แต่อาวุธวิเศษระดับล่างที่เขาพกติดตัวก็ล้วนแต่ถูกหุบเหวกลืนกินไปจนหมดสิ้น ที่ยังคงหลงเหลือรอดมาได้มีเพียงแหวนสีแดงคล้ำมหัศจรรย์วงนั้น และแผ่นป้ายโลหะที่ตกมาอยู่ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอ

เยี่ยนจ้าวเกอใช้นิ้วลูบคลำแผ่นป้ายโลหะ พลางกล่าวในใจว่า ‘ของชิ้นนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่’

ส่วนเชื้อไฟสัจจะอัคคีที่ได้มาในที่สุดนั้น ทำให้การเดินทางมาหุบเหวปราการมังกรครั้งนี้ นับได้ว่าไม่เสียเที่ยวเลยทีเดียว

หลังจากคุ้มกันลูกศิษย์ร่วมสำนักทุกคนผ่านมรสุมในปราการมังกรออกมาได้ เยี่ยนจ้าวเกอรีบรวมกลุ่มกับองครักษ์ชุดดำของตนเอง ก่อนจะเสาะหาหน้าผาแห่งหนึ่ง แล้วกางข่ายอาคมแน่นหนาเพื่อหลบภัย

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ลมพายุจึงค่อยๆ สงบลง

ทุกคนออกมาจากที่หลบภัยแล้วก็ต้องอึ้งงันไป เพราะปราณพิษทำให้ช่องว่างบิดเบือนไป แม้ว่าพวกเขาจะยังอยู่ภายในปราการมังกร แต่สภาพแวดล้อมรอบด้านไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลย

 เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติเช่นนี้ ไม่เหมาะที่จะให้พวกเจ้าจะอยู่ในปราการมังกรอีกต่อไป ภารกิจการฝึกฝนในส่วนของพวกเจ้าครั้งนี้จบลงแล้ว ตามข้าออกไปด้านนอก 

ศิษย์ของเขากว่างเฉิงล้วนแต่รีบพยักหน้าตอบรับ

เรื่องทั้งหมดก่อนหน้านี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้พวกเขาตั้งสติไม่ทัน จนถึงตอนนี้หัวสมองของหลายๆ คนยังคงว่างเปล่า

แม้ว่าสำนักเขากว่างเฉิงจะมียอดฝีมือในระดับปรมาจารย์อยู่ไม่น้อย แต่ลูกศิษย์เยาว์วัยทั้งหมดต่างก็ยังไม่เคยเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างมหาปรมาจารย์อย่างใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อน

ขณะเดียวกับที่ทุกคนได้เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้นนั้น ในใจก็ยังมีความหวาดผวาหลงเหลืออยู่

สิ่งที่เยี่ยจิ่งประสบ ก็ส่งผลให้ทุกคนรู้สึกโศกเศร้าเช่นกัน

เยี่ยนจ้าวเกอมองพวกเขาครั้งหนึ่ง  การประสบเคราะห์ร้ายครั้งนี้ของศิษย์น้องเยี่ย เป็นหรือตายยังไม่แน่ชัด แต่จากชะตาชีวิตของเขาไม่ใช่คนอายุสั้น อาจเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นความโชคดีก็ได้ 

คนอื่นๆ ต่างพากันตกตะลึงไปเล็กน้อย พวกเขาเห็นเพียงเยี่ยจิ่งตกลงไปในหุบเหวปราการมังกรเพราะการจู่โจมของหัวหน้าค่ายชื่อหลิง และหลังจากมีหมอกดำบดบังเอาไว้ ทำให้พวกเขามองไม่เห็นเรื่องราวหลังจากนั้น ได้ยินเสียงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า  หากจะพูดถึงเรื่องความเป็นตายของศิษย์น้องเยี่ยในตอนนี้ ยังถือว่าเร็วเกินไป 

ทุกคนถอนหายใจครั้งหนึ่ง ด้วยปกติแล้วพวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับเยี่ยจิ่งในระดับธรรมดา และมีคนมากมายที่มีความสัมพันธ์ย่ำแย่กับเขาด้วย

แต่ความรู้สึกทำอะไรไม่ได้และได้แต่ยืนอยู่เฉยๆ ในยามที่เผชิญหน้ากับการจู่โจมของปรมาจารย์ ทำให้พวกเขาศิษย์รุ่นเยาว์เกิดความรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา

พวกเขาในตอนนี้เชื่อถือและศรัทธาในตัวเยี่ยนจ้าวเกอมาก เมื่อได้ศิษย์พี่เยี่ยนบอกว่าเยี่ยจิ่งอาจจะยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็รู้สึกวางใจลงได้ในทันที

เยี่ยนจ้าวเกอพูดต่อว่า  แต่ข้าคิดไม่ถึงเลย ว่ามหาปรมาจารย์ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวออกมาก่อนหน้านี้จะเรียกศิษย์น้องเยี่ยฉันท์พี่น้อง เหนือความคาดหมายของข้ามากทีเดียว 

ตอนนี้ศิษย์ร่วมสำนักมีสภาพจิตใจสงบลงแล้ว ครั้นคิดทบทวนอีกครั้ง พวกเขาพลันรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน

แววตาของซือคงจิงวูบไหวเล็กน้อย เยี่ยนจ้าวเกอจึงทอดสายตามองไปที่นาง  ศิษย์น้องซือคงเหมือนจะรู้เรื่องอะไรบางอย่างสินะ 

 คนแซ่หานผู้นั้น มีความแค้นในอดีตกับท่านผู้อาวุโสเหยียน ผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออกของสำนักเรา เขาเป็นมหาปรมาจารย์ที่มีนิสัยฉุนเฉียว อารมณ์ร้อน และฝึกยุทธ์มืดและกร้าวแข็ง หากข้าจำไม่ผิดเขาก็คือเฒ่ามารหัวขวาน หานเซิ่ง 

เยี่ยนจ้าวเกอจึงพูดว่า  ตาเฒ่าผู้นี้หายสาบสูญไปหลายปีแล้ว ผู้อาวุโสเหยียนเป็นศัตรูคู่แค้นของเขา ครั้งนี้จู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวใกล้กับถังตะวันออก จำเป็นต้องจับตามองให้ดีเสียแล้ว 

ซือคงจิงเงียบงันไปครู่หนึ่ง แล้วตอบกลับอย่างชัดเจนว่า  ก่อนหน้านี้ข้าเคยท่องเที่ยวมายังอาณาจักรถังตะวันออก และเคยเดินทางไปยังเทือกเขามฤคลับตาที่อยู่ติดกับปราการมังกร และได้พบกับอันตรายเข้าจนหมดสติไป 

 ต่อมาได้ศิษย์น้องเยี่ยที่ตอนนั้นยังไม่ได้เข้าร่วมสำนักช่วยเหลือเอาไว้ ทว่าเรื่องที่เกี่ยวกับเฒ่ามารหัวขวานนั่น ข้าไม่รู้เลยจริงๆ 

 แต่สถานการณ์คับขันในตอนนั้น ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับปรมาจารย์ก็ยังยากที่จะเอาตัวรอดได้ ศิษย์น้องเยี่ยช่วยข้าเอาไว้อย่างไร ข้าเองก็สงสัยมาโดยตลอด แต่ไม่กล้าถามไถ่ลงลึก เพียงแต่คิดเอาเองว่าคนดีฟ้าจึงคุ้มครอง 

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า ไม่ได้ไล่บี้ซักถามต่อ  ข้าเชื่อคำพูดของศิษย์น้องซือคงจิง ในเมื่อแม้แต่เจ้าก็ยังไม่รู้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงหาตัวศิษย์น้องเยี่ยพบแล้วค่อยว่ากัน เพียงแต่หลังจากนี้ต้องรายงานเรื่องพวกนี้ให้สำนักรับทราบตามความจริง ตอนนี้ไม่อาจเป็นเพียงเรื่องส่วนตัวของเจ้าอีกต่อไปแล้ว 

 ข้าเข้าใจ  ซือคงจิงกล่าวตอบ

คนทั้งหมดเดินทางออกจากปราการมังกรด้วยความยากลำบาก ความรู้สึกที่ได้เจอฟ้าเห็นตะวันอีกครั้งทำให้พวกศิษย์รุ่นเยาว์ปลื้มปีติไม่น้อย

เยี่ยนจ้าวเกอดีดนิ้วครั้งหนึ่ง ชายชุดดำวัยกลางคนที่ติดตามมาด้วยเข้าใจความหมายของเขาในทันที ก่อนจะรีบส่งสัญญาณติดต่อออกไป ส่วนทุกคนต่างก็ยืนรออยู่ที่เดิม

ไม่นานนัก อาหู่มาถึงก่อนเป็นคนแรก หลังจากนั้นจอมยุทธ์คนอื่นๆ ถึงตามมา ซึ่งเป็นจอมยุทธ์ของเขากว่างเฉิงที่ประจำการอยู่ในอาณาจักรถังตะวันออก และจอมยุทธ์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของอาณาจักรถังตะวันออก

หากไม่ติดว่ามีคนอยู่เยอะ อาหู่ได้เห็นหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ เขาคงได้พุ่งเข้าไปกอดขาคุณชายของตนร้องห่มร้องไห้ ทันทีที่เห็นหน้าคุณชายของตนแล้ว  คุณชายขอรับ ดีเหลือเกินที่ท่านไม่เป็นอะไร! 

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยยิ้มๆ  หากข้าเป็นอะไร เจ้าก็คงกินอิ่มนอนหลับ ถึงตอนนั้นกินจนตัวอ้วนกลายเป็นหมั่นโถวก็คงไม่มีใครว่าเจ้า 

อาหู่เกาศีรษะ ยิ้มแห้งพลางกล่าว  มิกล้าขอรับ มิกล้า 

 พวกผู้อาวุโสเหยียน หานเซิ่ง และหัวหน้าค่ายชื่อหลิงเล่า  เยี่ยนจ้าวเกอถาม

 ผู้อาวุโสเหยียนกับเฒ่ามารหัวขวานเดี๋ยวสู้เดี๋ยวหยุด พร้อมกับมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ส่วนหัวหน้าค่ายชื่อหลิงหนีไปได้ขอรับ มีคนสะกดรอยตามไปแล้ว แต่ยังไม่มีข่าวล่าสุดรายงานมา  อาหู่กล่าวสีหน้าจริงจัง

เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ เมื่อทุกคนเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย และตรวจสอบจนแน่ใจทิศทางแล้ว ก็รีบเดินทางออกห่างจากปราการมังกรทันที

สถานที่แรกที่มุ่งหน้าไปก็คือเมืองใกล้ปราการ เมื่อไปถึงเมืองแล้วก็ให้ทุกคนพักผ่อน จากนั้นค่อยวางแผนต่อไปในภายหลัง

เมืองใกล้ปราการมีความหมายเฉกเช่นชื่อ มันตั้งอยู่ติดกับหุบเหวปราการมังกร อาณาจักรถังตะวันออกเป็นเขตสิ้นสุดของเกาะนภาตะวันออก ส่วนปราการมังกรตั้งอยู่ด้านตะวันออกสุดของอาณาจักรถังตะวันออก

สถานที่แห่งนี้คือพื้นที่แรกของอาณาจักรถังตะวันออก ที่ต้องเผชิญหน้ากับหุบเหวปราการมังกร จึงมีสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างจะเลวร้าย

แต่ด้วยจอมยุทธ์ที่เข้าไปผจญภัยข้างในหุบเหวปราการมังกร นำสมบัติล้ำค่าที่เกิดขึ้นจากข้างในออกมา จึงมีกลุ่มเครือข่ายที่ค่อนข้างใหญ่มาทำการค้าขายแลกเปลี่ยนกันที่เมืองใกล้ปราการแห่งนี้ ทำให้เมืองนี้กลายเป็นเมืองค้าขายที่มีขนาดใหญ่ไม่น้อย

แน่นอนว่าผู้ที่กล้าเข้าไปในปราการมังกรต้องเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์ไม่ธรรมดา หรือเป็นผู้ที่มีจิตใจโหดเหี้ยมใช้ชีวิตข้ามผ่านความโหดร้ายของหยดเลือดและคมดาบมา ดังนั้นภายในตัวเมืองใกล้ปราการจึงค่อนข้างพลุกพล่านวุ่นวาย

ไม่ได้มีเพียงอาณาจักรถังตะวันออกที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของสถานที่แห่งนี้ เขากว่างเฉิงเองก็ยังส่งผู้คุมการณ์มาประจำอยู่ที่นี่เช่นกัน ทางหนึ่งเพื่อจับตาดูผู้ที่เข้ามารุกรานในหุบเหวปราการมังกร อีกทางหนึ่งก็เพื่อรักษาความปลอดภัยและผลกำไรของเมืองค้าขาย

ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ส่วนเยี่ยนจ้าวเกอกำลังตรวจสอบแผ่นป้ายโลหะชิ้นนั้น

รอยสลักบนป้ายโลหะ มองดูแล้วคล้ายคลึงกับตัวอักษรชนิดหนึ่ง

 สำหรับผู้คนในยุคสมัยนี้แล้ว มันทั้งเก่าแก่และยากจะทำความเข้าใจ แต่กลับเป็นสิ่งที่พัฒนาขึ้นหลังจากเกิดวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่  คิ้วของเยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้วมุ่น  น่าจะเป็นตัวอักษรที่เกิดขึ้นหลังยุควิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ไม่นาน จากพื้นฐานความรู้ที่ตัวข้ามีอยู่ มันน่าจะเกิดขึ้นช่วงที่อยู่กลางๆ พอดี 

เยี่ยนจ้าวเกอกลอกตาขาวด้วยความเครียดเคร่ง จากนั้นจึงค่อยสงบจิตใจลง แล้วตรวจสอบโดยละเอียดอีกครั้ง

 แต่ว่าดูเหมือนจะยังพอมีวิธีสืบสาวอยู่… 

ป้ายโลหะนั้นมีขนาดเพียงครึ่งฝ่ามือ เยี่ยนจ้าวเกอลูบลายเส้นที่อยู่บนนั้น พลางไตร่ตรองในใจ ‘มีส่วนที่คล้ายคลึงกับอักษรโบราณในยุคก่อนวิกฤติการณ์ เมื่อพิจารณาร่วมกันแล้วพอจะมีวิธีอ่านอยู่’

เขาเคาะนิ้วเบาๆ ลงบนแผ่นป้ายโลหะ ก่อนจะอ่านออกเสียงอย่างตะกุกตะกักว่า  เกล็ด…ย้อน…มังกร…เหมันต์…บรรพกาล 

………….

 

เยี่ยนจ้าวเกอตะโกนออกไปว่า  โยนเชื้อไฟทิ้งไปเสีย เขาอาศัยเชื้อไฟในการกำหนดตำแหน่ง! 

เยี่ยจิ่งที่เพิ่งรู้ตัวรีบโยนเชื้อไฟสัจจะอัคคีไปโดยเร็ว

แต่พลังหมัดของมหาปรมาจารย์มีความเร็วมากเกินไป แม้ว่าจะมีทำเลของปราการมังกรขวางกั้น แต่มวลพลังนั้นก็มาถึงในพริบตา รวดเร็วจนเยี่ยจิ่งอาจจะหลบไม่ทันโดยสิ้นเชิง

โชคดีที่การประมือของปีศาจหานและหัวหน้าค่ายชื่อหลิงก่อนหน้านี้ ทำให้หน้าผาหินที่อยู่รอบตัวเยี่ยจิ่งพังลงจนไม่เป็นรูปไม่เป็นร่างไปแล้ว

พลังหมัดที่สองของหัวหน้าค่ายชื่อหลิงยังมาไม่ทันถึง เพียงแค่ลมมรสุมที่ก่อตัวขึ้นก็ทำให้หน้าผาหินพังทลายลง

ร่างของเยี่ยจิ่งตกลงไปด้านล่างอย่างควบคุมไม่อยู่ โชคดีที่พ้นจุดสำคัญไปได้อย่างฉิวเฉียด แม้ว่าจะถูกมรสุมไฟเล่นงานจนบาดเจ็บสาหัสไปทั่วร่างกาย แต่จนสุดท้ายก็ยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้

เพียงแต่คนอื่นในเหตุการณ์ต่างพากันร้องด้วยความตกใจ พลางมองเยี่ยจิ่งที่จมลึกลงไปในใจกลางปราการมังกรที่มองไม่เห็นก้น!

ด้วยวรยุทธ์ที่เยี่ยจิ่งมีอยู่ การตกลงไปในปราการมังกรเช่นนี้ ทำให้เขาแทบจะไม่มีโอกาสรอดกลับมา

แม้ว่าจะไม่ได้ตายด้วยหมัดของหัวหน้าค่ายชื่อหลิง แต่ผลลัพธ์เช่นนี้ก็ยากจะหลีกหนีความตายพ้นเช่นกัน

สถานการณ์กำลังจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแล้วแท้ๆ แต่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลสุดท้ายได้ แม้ว่าก่อนหน้านี้ศิษย์ร่วมสำนักทุกคนจะมีความสัมพันธ์กับเยี่ยจิ่งเช่นไร พวกเขาต่างก็รู้สึกโศกเศร้าไปพร้อมกันไปชั่วขณะหนึ่ง

ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น

เขากลับมีความรู้สึกง่วงหงาวหาวนอนด้วยซ้ำ

การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของปีศาจแซ่หานคนนั้น ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอเชื่ออย่างหมดใจ ว่าเยี่ยจิ่งผู้นี้จะมีต้องมีรัศมีแบบคนเป็นพระเอกปกคลุมตัวอยู่เป็นแน่

เพราะฉะนั้นการกระโดดหน้าผาเช่นนี้ ออกจะเป็นเรื่องง่ายดาย

ไม่เพียงเยี่ยจิ่งจะไม่ตาย แต่ยังอาจได้พบพานกับปาฏิหาริย์ ได้คัมภีร์เพื่อเพิ่มระดับวรยุทธ์สักสองสามเล่ม เยี่ยนจ้าวเกอคิดว่าเขาคงไม่กล้าท้าทายใครแน่

เยี่ยนจ้าวเกอที่มองดูเยี่ยจิ่งตกลงไปเบื้องล่างด้วยทีท่าที่ดูสงบผิดปกติ ราวกับมีความรู้สึกว่า ‘ข้ามองเจ้าออกหมดแล้ว’

และในตอนนั้นเอง ในหุบเหวเบื้องล่างซึ่งมีหมอกดำปกคลุมอยู่นั้น พลันมีแสงเจิดจ้าไหลทะลักออกมา

แสงหลายเส้นพันเกี่ยวอยู่กับกลุ่มหมอกดำ ก่อนจะพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้า เกิดเป็นคลื่นบ้าคลั่งเสมือนกับพลังทำลายล้าง

 นั่นคือ…เตาผลึกหินชั้นในของข้า มันระเบิดหลังจากที่ตกลงไปในหุบเหวก่อนหน้านี้…อย่างนั้นหรือ?  เยี่ยนจ้าวเกอตะลึงงัน

จากนั้นเขาก็เห็นคลื่นพลังทำลายล้างอันบ้าคลั่งที่กำลังพวยพุ่งขึ้น ปะทะเข้ากับเยี่ยจิ่งผู้กำลังตกไปเบื้องล่างพอดี!

ครั้นเห็นภาพตรงหน้า เยี่ยนจ้าวเกอก็เหม่อลอยขึ้นมาในทันที  …สรุปแล้วชะตาชีวิตของเจ้านั้น ดีหรือไม่ดีกันแน่ 

สายตาของเยี่ยจิ่งเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แต่เขากลับทำได้เพียงเบิกตากว้างมองดูร่างของตนเองแตกกระจุยกระจาย เขาสูญเสียความรู้สึกทั้งหมดไปแล้ว กระทั่งไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอันรุนแรง

 เยี่ยน-จ้าว-เกอ!! 

เยี่ยจิ่งมองดูเตาผลึกหินชั้นในแตกกระจาย พร้อมกับมองดูตนเองถูกดูดกลืนอย่างบ้าคลั่ง เสียงร้องคำรามอันเต็มไปด้วยความคั่งแค้นและไม่พอใจของเขา ดังสะท้อนอยู่ในปราการมังกร

ทันใดนั้น แหวนสีแดงคล้ำที่สวมอยู่บนนิ้วที่มือข้างขวาของเขาปรากฏแสงที่น่าทึ่งออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ชั่วขณะที่แสงสีแดงเข้มสว่างขึ้นมา มรสุมเพลิงจากหมัดของหัวหน้าค่ายชื่อหลิงก่อนหน้านี้พลันอับแสงไป จนดูราวกับดวงไฟเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตา

นัยน์ตาของเยี่ยนจ้าวเกอหดเกร็งตามไปด้วย เขามองเห็นได้รางๆ ว่ารอบกายของเยี่ยจิ่งกำลังสะท้อนเงาของบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งมีแหล่งกำเนิดมาจากแหวนสีแดงคล้ำวงนั้น

ในเงานั้นปรากฏภาพโลกที่กำลังลุกไหม้

ภายใต้ท้องฟ้าสีแดงคล้ำนั้น มีหินหลอมละลายกำลังปะทุ หินหนืดไหลไปทั่วทั้งผืนดิน เป็นดังเช่นวันสิ้นโลก

กลิ่นอายของภัยพิบัติ การล่มสลาย และความทุกข์ทรมานมหาศาลทะลักออกมาในภาพนั้น เพียงแค่มองหินหนืดปะทุกระเด็น ก็คล้ายกับเห็นภาพของนรกที่ลุกโชนไปด้วยกองเพลิงอันน่าพรั่นพรึง

หินหนืดปริมาณมหาศาลเข้ารวมตัวกันอยู่กลางท้องฟ้า เกิดเป็นอสูรไฟยักษ์เปล่งเสียงคำรามก้องลั่น!

ผู้คนเกิดความหวาดกลัวและจำนนต่อความอหังการของอสูรไฟยักษ์ จนขนาดที่ก้มหัวกราบไหว้เองโดยที่ไม่อาจฝืนได้

พลังนั้นน่าครั่นคร้ามยิ่งกว่าพลังของผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออก ปีศาจหาน และหัวหน้าค่ายชื่อหลิงมาก

แม้เป็นเพียงภาพลวงตาที่แผ่กระจายความประหวั่นพรั่นพรึงออกมาแค่เสี้ยววินาที แต่ก็ยังทำให้ขนลุกตั้งและใจเต้นรัวด้วยความเกรงกลัว

เหล่าลูกศิษย์ในสำนักถูกแสงและม่านหมอกสีดำบดบังสายตาเอาไว้ จึงมองไม่เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นกันแน่ ทว่าภายในใจของพวกเขาก็มีแต่ความหวาดผวาจนควบคุมตัวเองได้ยาก

เยี่ยนจ้าวเกอมองภาพในเงานั้น และตกอยู่ในภวังค์ของความคิด แต่สิ่งที่สะกิดใจของเขาที่มากกว่านั้น ก็คือช่วงสุดท้ายในชีวิตของเยี่ยจิ่ง

ร่างกายของเยี่ยจิ่งแหลกละเอียดโดยสิ้นเชิง กลายเป็นหมอกเลือดจากการโหมกระหน่ำใส่ของคลื่นบ้าคลั่ง อันเกิดจากการระเบิดของปราการมังกร ชีวิตของเขาดูเหมือนจะถึงจุดจบแล้ว

แต่ตรงหน้าพลันเกิดเรื่องประหลาดขึ้น หรือว่ารัศมีความเป็นตัวเอกของเยี่ยจิ่งจะสำแดงอิทธิฤทธิ์อีกครั้ง

เลือดเนื้อที่กระจุยกระจายของเยี่ยจิ่งราวกับปรากฏภาพเลือนรางขึ้น ภายใต้บริเวณแสงสีแดงคล้ำที่แผ่ออกจากแหวน ภาพนั้นมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันกับเยี่ยจิ่งทุกประการ

 วิญญาณ… 

เยี่ยนจ้าวเกอเข้าใจในทันที ก่อนจะเห็นดวงวิญญาณของเยี่ยจิ่งลอยละล่องเข้าไปอยู่ในแหวนวงนั้นอย่างเชื่องช้า

ต่อให้ร่างกายแหลกสลายไปจนอนุมานได้ว่าตายไปแล้ว แต่แหวนกลับช่วยชีวิต และรักษาโอกาสที่จะพลิกชะตาครั้งสุดท้ายของเขาไว้ได้

 ฮึ ช่างน่าสนใจนัก  เยี่ยมจ้าวเกอลูบคางมองแหวนจมหายไปในหุบเหว พลางเอ่ย

แม้จะไม่รู้ว่าชะตากรรมของเยี่ยจิ่งจะเป็นเช่นไร แต่คิดดูแล้วก็น่าจะมีวิธีแสดงฉากการกลับมาของนักแสดงระดับราชากระมัง

ยกตัวอย่างเช่น การสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ ตบะปราณแก่กล้าขึ้นอย่างมหาศาล พบเจอกับปาฏิหาริย์จนเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดีได้ หรือแม้ไม่มีร่างกาย แต่ก็ยังฝึกฝนยอดวิชาลับบางอย่างที่ถูกเก็บบันทึกเอาไว้ในแหวนวงนั้นได้…

อย่างไรเสียก็ต้องมีหนทางสินะ?

ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ก็เป็นเรื่องที่แม้กระทั่งเยี่ยนจ้าวเกอก็คิดไม่ถึงเช่นกัน

เยี่ยจิ่งก็คงถูกทรมานจนย่ำแย่เลยทีเดียว หากลองถามใจเขาดู คงจะเป็นความไม่เต็มใจนับล้านเลยกระมัง

เพราะเขาเกือบจะจบเห่ไปแล้ว

 ถ้าหากว่าตัวเอกมีค่าความทนทานอยู่ล่ะก็ วันนี้เยี่ยจิ่งก็คงได้ใช้ไปไม่น้อยเลยทีเดียว  ยามนี้ในสมองของเยี่ยนจ้าวเกอมีความคิดต่างๆ นานาแล่นผ่านไปโดยที่ไม่สามารถบังคับได้

เสียงร้องตะโกนอย่างโกรธแค้นและไม่ยินยอมของเยี่ยจิ่ง ราวกับยังดังก้องอยู่ในอากาศ

 จะร้องตะโกนเสียงดังขนาดนั้นเพื่ออะไร ไม่ใช่ว่าข้าตั้งใจโยนเตาผลึกหินชั้นในใส่เจ้าเสียหน่อย ข้ายังรู้สึกเสียดายมันอยู่เลย ยิ่งไปกว่านั้น… 

เยี่ยนจ้าวเกอแคะหู รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ เย็นชาขึ้น  …ข้าไม่สนใจเจ้า เจ้าก็ยังเป็นฝ่ายมายุ่งวุ่นวายกับข้า หากภายหลังเจ้าไม่มาโผล่หน้าให้ข้าเห็นก็แล้วกันไปเถอะ มิเช่นนั้นพวกเราคงต้องมาคิดบัญชีเรื่องเชื้อไฟสัจจะอัคคีกันสักหน่อย 

 เจ้ามีรัศมีความเป็นพระเอกแล้วอย่างไร ข้าจะทำให้เจ้าพระเอกผู้เจิดจรัส กลายเป็นพระเอกผู้น่าเวทนาให้ดู! 

ในปราการมังกรยังคงมีคลื่นบ้าคลั่งไหลทะลัก พร้อมกับหมอกดำที่พุ่งขึ้นสู่ท้องนภา และมีแสงสีน้ำเงินกับแสงสีขาวลอยออกจากในหุบเหวพร้อมกัน ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอ

เชื้อไฟสัจจะอัคคีค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้น ส่วนแสงสีขาวนั้นก็กลับคืนสู่สภาพปกติ กลับกลายเป็นแผ่นป้ายเหล็กเล็กๆตกลงสู่พื้นดิน

เยี่ยนจ้าวเกอเก็บเชื้อไฟสัจจะอัคคีและป้ายโลหะขึ้นพร้อมกัน  ถึงจะต้องพบกับอุปสรรคมากมาย แต่ก็นับว่าในได้มาอยู่ในมือในที่สุด 

เขาเดินอยู่ท่ามกลางลมมรสุม พร้อมกับนำพาลูกศิษย์ของเขากว่างเฉิงที่ปกป้องตัวเองแทบไม่ได้ฝ่าออกไปทีละคน

เมื่อหันหลังกลับไปมองดูปราการมังกรเบื้องล่าง จู่ๆ เยี่ยนจ้าวเกอก็คิดได้ว่า ‘จริงสิ แผ่นป้ายเหล็กนี้เหมือนจะเป็นของของเจ้าเยี่ยจิ่ง…’

…………….

 

ซือคงจิงอ้าปากตาค้าง

องครักษ์ชุดดำของเยี่ยนจ้าวเกอเองก็อ้าปากตาค้าง

บรรดาศิษย์แห่งเขากว่างเฉิงก็อ้าปากตาค้างเช่นกัน

เยี่ยจิ่งผู้อยู่ในเหตุการณ์ยิ่งสับสนทำตัวไม่ถูก!

ที่อีกฝ่ายเรียกเมื่อครู่ดูเหมือนจะเป็น…เจ้าเด็กแซ่เยี่ยน

นั่นคงจะหมายถึงเยี่ยนจ้าวเกอกระมัง

เช่นนั้นสถานการณ์ตอนนี้คืออะไรกัน

เยี่ยนจ้าวเกอมองออกไป เห็นในมือของเยี่ยจิ่งยังคงถือเชื้อไฟสัจจะอัคคีที่จู่ๆ ก็โหมรุนแรงมากยิ่งขึ้น และดิ้นไม่หยุดเหมือนกับจะหลุดออกจากมือเยี่ยจิ่งได้ทุกเมื่อ

คลื่นอากาศดุจมรสุมเพลิงผลาญที่อยู่รอบๆ กำลังตอบรับกับเชื้อไฟสัจจะอัคนีอย่างชัดเจน

‘เขาใช้เชื้อไฟสัจจะอัคคีเป็นตัวกำหนดเป้าหมาย ต่อให้อยู่ห่างจากปราการมังกรก็ยังกำหนดตำแหน่งได้’ เยี่ยนจ้าวเกอเข้าใจในทันที ‘เชื้อไฟสัจจะอัคนีนี้ เขาคงจะหามันเจอก่อนแล้ว และจัดการวางกับดักไว้เป็นเหยื่อล่อข้า’

‘มิน่าล่ะ มิน่าล่ะ เขาที่ซุ่มดักรออยู่ เมื่อสัมผัสได้ถึงการดูดกลืนพลังจากเชื้อไฟสัจจะอัคคีก็คิดว่าเป็นข้า จึงจัดการลงมือ และเข้ามาถึงอย่างกะทันหันเช่นนี้ ท่านผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออกก็คงไม่ทันสังเกตและหยุดยั้งไม่ทันแน่’

เยี่ยนจ้าวเกอได้สติกลับมา สีหน้าแปลกประหลาดไปบ้างเล็กน้อย

คาดว่าหัวหน้าค่ายชื่อหลิงเองก็คงรู้ตัวถึงการมาของผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออกของเขากว่างเฉิงแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกรั้งไว้ จึงทำได้เพียงตัดสินใจลงมือให้เด็ดขาดโดยเร็ว

ปล่อยหมัดให้ตกลงมาจากข้างนอกหุบเขาตรงๆ โดยที่ไม่เข้ามาในปราการมังกร!

เขาคงคิดไม่ถึงว่าสิ่งของที่เยี่ยนจ้าวเกอต้องการนั้น จะโดนคนอื่นชิงตัดหน้าไปเสียแล้ว…

ตัวเยี่ยจิ่งเองยิ่งคาดไม่ถึงเลย ว่าโชคลาภที่สวรรค์ประทานให้ จู่ๆ จะกลับตาลปัตรกลายเป็นเคราะห์ร้ายไปในพริบตา

เขาได้เชื้อไฟมา แต่กลับต้องรับหมัดแทนเยี่ยนจ้าวเกอ!

 อ๊าก!  เยี่ยจิ่งที่อยู่ใจกลางเตาหลอม รู้สึกเพียงเหมือนถูกไฟแผดเผาทั้งร่างกาย

เมื่อเทียบเขากับเฉาหยวนหลงในตอนนี้ ทั้งคู่เป็นเหมือนความแตกต่างระหว่างแสงอันน้อยนิดของหิ่งห้อย กับแสงที่โชติช่วงของดวงตะวัน

คลื่นพลังอันบ้าคลั่งค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ซือคงจิงและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้างเยี่ยจิ่งเองก็ทรมานไม่ใช่น้อย เพราะต่างโดนผลักกระเด็นไปข้างหลัง ซือคงจิงเจตนาดีจะเข้าไปช่วย ทว่าไม่สามารถต้านพลังมหาปรมาจารย์ของหัวหน้าค่ายห้าวิญญาณได้ ลำพังแค่คลื่นพลังรอบนอกก็กดดันจนทำให้นางขยับตัวไม่ได้แล้ว

ความห่างชั้นของทั้งสองฝ่ายมากเกินไป อีกทั้งยังเกินขีดจำกัดมาก

เดิมทีนี่ก็ไม่ใช่ระดับชั้นที่พวกเขาสามารถแตะต้องได้ในตอนนี้ นอกจากจะเป็นฝ่ายหาเรื่องมหาปรมาจารย์ก่อน มิเช่นนั้นจะมีมหาปรมาจารย์สักกี่คนที่จะให้จอมยุทธ์ระดับยุทธ์หลอมกายมาเป็นคู่ต่อสู้

ทั้งสองฝ่ายจะพบหน้ากันสักครั้งหนึ่งยังเป็นเรื่องที่ยากเลย

สำหรับจอมยุทธ์ระดับยุทธ์หลอมกายนั้น มหาปรมาจารย์เป็นดั่งบุคคลในตำนาน

ส่วนปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในอย่างเยี่ยนจ้าวเกอเอง ได้กลายเป็นเป้าหมายที่ใช้ระบายความแค้นของหัวหน้าค่ายชื่อหลิง เพราะบิดาของตนเอง

เยี่ยจิ่งที่กำลังร้องครวญครางยกมือขวาของตนขึ้น แหวนสีแดงคล้ำที่อยู่บนนิ้วมือพลันเกิดแสงสีเพลิงต้านการโจมตีของหัวหน้าค่ายชื่อหลิง

การลงมือโดยที่มีปราการมังกรคั่นกลาง ทำให้การโจมตีของหัวหน้าค่ายชื่อหลิงลดทอนลงมาก แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น อานุภาพของมันก็มากพอที่จะฆ่าเยี่ยจิ่งได้ในเสี้ยววินาที!

ชายหนุ่มมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าแล้ว เขารู้สึกเสียดายแทนอยู่บ้าง ‘เพราะอย่างนั้นถึงบอกว่าอย่าเที่ยวแย่งของไปมั่วซั่วอย่างไรเล่า’

‘แม้จะบอกว่าบุตรแห่งสวรรค์ที่มีรัศมีตัวเอกปกคลุมอยู่สามารถต่อสู้ข้ามขั้นได้ แต่การข้ามขั้นนี้ก็มีขีดจำกัด คงเป็นไปไม่ได้ที่มือใหม่จะเอาชนะหัวหน้าตัวฉกาจระดับสูงมากๆ ได้’

‘ระดับต่างกันจนเกินไป ความห่างชั้นของขั้นประจักษ์นภาและขั้นชักจูงลมปราณระยะท้ายของการฝึกยุทธ์หลอมกายสิบขั้น ก็ห่างกับระยะห่างของขั้นชักจูงลมปราณระยะกลางถึงขั้นชักจูงลมปราณระยะท้ายมากแล้ว และความห่างชั้นระหว่างระดับปรมาจารย์กับขั้นประจักษ์นภา ก็ยิ่งมากกว่าขั้นชักจูงลมปราณระยะท้ายถึงขั้นประจักษ์นภา’

‘อีกทั้งหัวหน้าค่ายชื่อหลิงก็เป็นถึงมหาปรมาจารย์ ซึ่งหากนับกันตามความเป็นจริงแล้ว ระดับขั้นของเขาสูงกว่าเยี่ยจิ่งหลายสิบขั้น…’

ซึ่งความห่างชั้นไม่สามารถใช้คำว่าการบดขยี้ทางระดับวรยุทธ์มาบรรยายได้แล้ว

เห็นได้ชัดว่า ในขณะที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายเช่นนี้ เยี่ยจิ่งไม่สนใจการเก็บซ่อนความลับอีกต่อไปแล้ว จึงเผยพลังทั้งหมดที่ตนมีอยู่ออกมา

พลังอานุภาพในตอนนี้มากยิ่งกว่าตอนที่เผชิญหน้ากับเฉาหยวนหลงมากนัก

ทว่าน่าเสียดาย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความห่างชั้นที่มากกว่าหนึ่งกิโลเมตร การขยับจากหนึ่งเซนติเมตรเป็นสองเซนติเมตร สามเซนติเมตร จึงไม่เกิดผลใดๆ ทั้งนั้น

‘แต่เดี๋ยว ข้าขอคิดดูก่อน…เมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ตัวเอกบางคนก็ยังคงตายยากอยู่ดีนั่นแหละ’ เยี่ยนจ้าวเกอคุ้มกันผู้คนที่อยู่รอบตัวไปพลาง ขยับเข้าไปใกล้ใจกลางมรสุมที่เยี่ยจิ่งอยู่ไปพลาง ‘ในเวลาเช่นนี้มักมีตัวเก่งโผล่ออกมาอย่างกะทันหันเสมอ และอาจช่วยให้ตัวเอกผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ด้วยเหตุผลนั่นนี่’

‘อาจเพราะมีพันธไมตรีมาก่อน อาจเป็นเพราะถูกตัวเอกหลอกใช้อำนาจให้เป็นที่กำบัง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องออกมาช่วยตัวเอกแน่นอน’

‘หลังจากนั้นก็อาจจะยังเป็นโอกาสที่ช่วยให้ตัวเอกประสบความสำเร็จด้วย’

ในขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอกำลังครุ่นคิด จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงการสั่นไหวรุนแรงจากส่วนลึกของปราการมังกร

มวลพลังหนึ่งอันน่าครั่นคร้ามจนถึงขีดสุดลอยออกมาจากในหมอกดำ ดูเหมือนจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าหัวหน้าค่ายชื่อหลิงอีกด้วย!

เยี่ยนจ้าวเกอเบิกตาโพลง ‘…โอ้โห เจ้านั่นยังมีจริงๆ หรือนี่?’

 ใครกันที่ทำลายเรื่องดีๆ ของข้า  เสียงฉุนเฉียวดังสะท้อนอยู่ในปราการมังกร สั่นสะเทือนจนวิญญาณของทุกคนราวกับจะหลุดออกจากร่างไป

เยี่ยจิ่งที่ชีวิตกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย กลับมีท่าทีดีใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินเสียงที่ดุร้ายนี่เข้า จึงดิ้นรนตะโกนออกมาว่า  ท่านพี่ใหญ่หาน! 

 เอ๊ะ เป็นน้องเยี่ยหรือ?  เสียงนั้นดังขึ้น  ใครบังอาจแตะต้องน้องเล็กของข้า 

มือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากหมอกดำท่ามกลางเสียงตะโกน พร้อมทั้งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในไม่ช้ามันก็กลายเป็นมือขนาดมหึมาช่วยกีดกันมรสุมไฟให้กับเยี่ยจิ่ง!

ปราการมังกรพลันเกิดแผ่นดินไหวในทันที

บรรดาศิษย์เขากว่างเฉิงคนอื่นๆ เห็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในชั่วพริบตา จึงอึ้งงันไปชั่วขณะ

เยี่ยนจ้าวเกอกลอกตาขาวครั้งหนึ่ง ‘เยี่ยม พี่น้องร่วมสาบานอะไรอีก หรือจะเป็นพี่น้องร่วมสาบานระดับมหาปรมาจารย์กับระดับยุทธ์หลอมกาย? เจ้าเองก็มองเห็นรัศมีตัวเอกของเขาเช่นเดียวกับข้าใช่หรือไม่’

 …ช้าก่อน เตาผลึกหินชั้นในของข้า! 

ในสถานการณ์ที่อันตรายจนถึงขีดสุด ผู้ที่มาเยือนช่วยรับการโจมตีของหัวหน้าค่ายชื่อหลิงแทนเยี่ยจิ่ง การประมือของมหาปรมาจารย์ทั้งสองจึงทำให้พื้นที่รอบข้างราบเป็นหน้ากลองในทันที

หมอกดำในปราการมังกรสั่นกระเพื่อมดั่งคลื่นยักษ์ที่กำลังถาโถม ส่งผลให้พื้นที่ในสภาพแวดล้อมพิเศษของที่นี่เริ่มผิดเพี้ยนและบิดเบือน เมื่อได้รับการกระตุ้นดังกล่าว

หน้าผาล้มลงระเนระนาดแตกเป็นเสี่ยงๆ เตาผลึกหินชั้นในของเยี่ยนจ้าวเกอเองก็ได้รับผลกระทบ และตกลงสู่หุบเหวด้านล่างของปราการมังกร!

หลังจากโดนสกัดกั้นการโจมตีแล้ว หัวหน้าค่ายชื่อหลิงก็พลันโกรธเกรี้ยว ส่วนเจ้าของมือขนาดมหึมาผู้นั้นเป็นคนอารมณ์ร้อน จึงกลายร่างเป็นสายฟ้าผ่าอยู่ด้านบนของปราการมังกร ก่อนจะมุ่งตรงไปจัดการกับหัวหน้าค่ายชื่อหลิง

ในวินาทีนั้นเอง มีพลังยิ่งใหญ่ดุจท้องนภาและมหาสมุทรอันน่าหวั่นเกรงสายหนึ่ง มาจากด้านนอกของปราการมังกร

ในที่สุดผู้คุมการณ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออกของสำนักเขากว่างเฉิงก็มาถึง

แต่ขณะที่ศิษย์ทั้งหลายของเขากว่างเฉิงที่กำลังเตรียมจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนดังสนั่นฟ้าดินมาจากด้านนอกหุบเขาอีก

 เจ้าเหยียน! 

 ปีศาจหาน? เจ้ายังไม่ตายหรือนี่? 

 เจ้าเหยียน ขอบใจเจ้ามาก ข้ารอดตายมีชีวิตใหม่ขึ้นมาได้แล้ว วันนี้ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้า! 

ด้านนอกปราการมังกร เกิดการต่อสู้ซึ่งๆ หน้าระหว่างมหาปรามาจารย์ที่ทรงพลังกว่าเมื่อครู่ขึ้น และส่งผลกระทบออกไปไกลในทันที!

ทุกคนที่อยู่ในหุบเหวต่างพากันตกใจ เพราะไม่มีใครคิดเลยกว่าปีศาจหานที่เพิ่งช่วยชีวิตเยี่ยจิ่งไปเมื่อครู่นี้ จะหันไปสู้กับอาวุโสคุมการณ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออกของสำนักตนอย่างดุเดือดภายในพริบตาเดียว!

มหาปรมาจารย์ทั้งสองที่มาถึงในตอนท้ายสู้กันไม่ยั้ง ส่วนหัวหน้าค่ายชื่อหลิงที่เข้ามาคุกคามในตอนแรกนั้นถูกมองข้ามไปแล้ว

เมื่อเขาเห็นว่าผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออกของสำนักเขากว่างเฉิงและผู้อาวุโสเหยียนมาถึงแล้ว และถึงแม้ทั้งสองคนนั้นจะไม่สนใจเขาในตอนนี้ แต่เขาก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป

ยอดฝีมือที่ประจำการณ์อยู่ที่อาณาจักรถังตะวันออกและเกาะนภาตะวันออกคนอื่นๆ ของสำนักเขากว่างเฉิงก็กำลังเดินทางมาที่นี่ด้วยความรวดเร็ว

ฝ่ายหัวหน้าค่ายชื่อหลิงไม่ได้เข้าสู่ปราการมังกร เพียงแต่ทิ้งระยะห่างอยู่บนหน้าผา หลังจากปล่อยหมัดสุดท้ายออกไปแล้ว เขาก็รีบหนีไปไกลในทันที โดยไม่อยู่รอดูผลลัพธ์

จุดหมายที่หมัดนั้นมุ่งไป…ยังคงเป็นเยี่ยจิ่งที่กำเชื้อไฟสัจจะอัคคีเอาไว้ในมือ

เยี่ยนจ้าวเกอเองก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ส่วนเยี่ยจิ่งนั้นแทบจะร้องไห้แล้ว

……………

 

แสงไฟปรากฏขึ้นในสถานที่ที่อยู่ไกลออกไป อยู่นอกเขตพื้นที่ใจกลางหุบเหว

เมื่อเห็นว่าเยี่ยนจ้าวเกอง่วนอยู่กับการประคับประคองเตาผลึกหินชั้นใน ศิษย์สำนักเขากว่างเฉิงที่อยู่ข้างๆ ก็รีบพูดขึ้นทันทีว่า  ศิษย์พี่เยี่ยน นั่นก็คือเชื้อไฟสัจจะอัคคีที่ท่านตามหาอยู่ใช่หรือไม่ 

 ท่านยังต้องคอยประคองเตาผลึกหินภายใน พวกข้าจะช่วยนำมันมาให้ 

เยี่ยนจ้าวเกอส่ายศีรษะ  สภาพแวดล้อมแถวนี้ค่อนข้างอันตรายสำหรับพวกเจ้า อย่าได้ลงมือทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า เดี๋ยวก็มี ‘คนอื่น’ ไปเก็บมาให้เอง 

เยี่ยจิ่งและศิษย์รุ่นเยาว์หันมองไปรอบตัวด้วยสีหน้าฉงน ด้วยไม่เข้าใจว่า ‘คนอื่น’ ที่เยี่ยนจ้าวเกอพูดนั้นหมายถึงอะไร

วินาทีต่อมา มีเสียงลมดังที่บริเวณด้านหลังของทุกคน ก่อนจะมีเงาดำหลายสายปรากฏตัวขึ้นพุ่งผ่านกลุ่มคนไป และตรงไปยังแสงเพลิงสีน้ำเงินที่อยู่ใจกลางหมอกดำ

เหล่าศิษย์ชายหญิงต่างก็เข้าใจในทันที และเพิ่งจะรู้ตัวว่าที่ด้านหลังของพวกเขามีคนกลุ่มหนึ่งติดตามมาด้วย

ดูจากการเคลื่อนไหวของพวกเขา ก็รู้ได้ว่าไม่ใช่จอมยุทธ์ทั่วๆ ไป ทุกคนล้วนแต่เป็นคนที่อยู่ในระดับปรมาจารย์ทั้งสิ้น

และยอดฝีมือระดับปรมาจารย์เหล่านี้ กลับเต็มใจทำตัวไร้ตัวตนคอยอารักขาเยี่ยนจ้าวเกอ

คนเหล่านี้ซ่อนกายอยู่ในเงามืดเพื่ออารักขาเยี่ยนจ้าวเกอ และปกติจะไม่ปรากฏตัวให้ผู้ใดพบเห็นโดยง่าย เว้นเสียแต่ว่าจะได้รับคำสั่งจากเยี่ยนจ้าวเกอจึงจะปรากฏกายออกมา แตกต่างกับอาหู่ที่อยู่เบื้องหน้า

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ศิษย์รุ่นเยาว์ทุกคนพลันรู้สึกราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน

พวกเขาเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้ ว่าถ้าหากไม่มีการข่มขู่ของหัวหน้าค่ายชื่อหลิงอยู่ด้วยแล้ว ตนเองติดตามเยี่ยนจ้าวเกอเข้ามาในปราการมังกรภายใต้สถานการณ์ปกติ ก็คงปลอดภัยกว่าให้ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในคนอื่นๆ นำทางแน่นอน

เงาดำจำนวนหนึ่งพุ่งไปยังแสงไฟสีน้ำเงินพร้อมกัน หมอกสีดำเบาบางลงไปเล็กน้อย เผยให้เห็นแสงไฟสีน้ำเงินเข้มลอยวูบไหวขึ้นลงอยู่กลางอากาศ รอบด้านมีเปลวไฟลุกโชนปกคลุมอยู่

นั่นก็คือเชื้อไฟสัจจะอัคคีที่เยี่ยนจ้าวเกอกำลังตามหาอยู่

ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีแสงไฟสีแดงให้ความรู้สึกดุร้ายปรากฏขึ้นในส่วนลึกของหมอกสีดำ ก่อนจะหลั่งไหลเข้ามาราวกับว่าเป็นกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก และพุ่งกระแทกเชื้อไฟสัจจะอัคคีจนลอยไปในทิศทางที่ไกลออกไป

เมื่อได้รับการกระตุ้นจากแสงสีแดง หมอกดำก็ดูคลุ้มคลั่งยิ่งขึ้น ทั้งยังกระเพื่อมไม่หยุด

กลุ่มคนชุดดำที่ไปเก็บเชื้อไฟถูกบีบให้ต้องคลาดจากเชื้อไฟแล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้ว และตบเตาผลึกหินชั้นในครั้งหนึ่ง เป็นการสั่งหยุดการทำงานของเตาหลอมลงชั่วคราว จากนั้นตัวเขาก็พุ่งทะยานออกจากเขตใจกลางหุบเหว ไปยังเชื้อไฟสีน้ำเงินที่อยู่ท่ามกลางแสงสีแดงนั้น

ครั้นชายหนุ่มสะบัดแขนเสื้อ แสงสีเขียวพลันกะพริบพุ่งออกจากชายเสื้อของเขาอย่างรวดเร็ว ตัดแสงสีแดงที่ดูเหมือนสายน้ำขนาดใหญ่จนขาดออก

เชื้อไฟสัจจะอัคคีลอยขึ้นมา เยี่ยนจ้าวเกอพลันยื่นมือซ้ายที่สวมถุงมือทำขึ้นพิเศษไว้ออกไปจับ

ในตอนนั้นเอง ก็มีเงาดุร้ายปรากฏออกมาจากแสงสีแดงที่ถูกตัดขาดเมื่อครู่ แล้วดูดกลืนหมอกสีดำที่มีอยู่ทั่วปราการมังกรเข้าไป จนรวมกันเป็นร่างของปีศาจขนาดยักษ์ ก่อนที่มันจะหันเข้ามาจู่โจมเยี่ยนจ้าวเกอในทันที ราวกับว่ามันมีความรู้สึกนึกคิดก็ไม่ปาน!

เยี่ยนจ้าวเกอแสยะยิ้ม พลางสะบัดชายเสื้อข้างขวาครั้งหนึ่ง แสงสีเขียวปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง และฟันปีศาจที่เกิดจากการรวมตัวของหมอกดำจนแยกเป็นสองส่วน!

เมื่อร่างมหึมาของปีศาจตนนั้นแตกสลาย การขยับไหวของหมอกดำที่อยู่เบื้องหน้าทุกคนก็ยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิม ราวกับว่าทั้งพื้นดินและบรรยากาศกำลังสั่นไหว วินาทีนั้นทุกคนรู้สึกว่าภูเขาสั่นแผ่นดินไหว ฟ้าดินหมุนเป็นวงกลม

เงาดุร้ายก่อนหน้าปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่ดูคล้ายจะอ่อนกำลังลงมาก และกำลังหนีไปไกลอย่างรวดเร็ว

แสงสีน้ำเงินนั้นกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง พร้อมกับลอยไปลอยมาในความมืด

ปราณพิษในปราการมังกรเริ่มคลุ้มคลั่งรุนแรงขึ้น คล้ายกับว่าเขตใจกลางหุบเหวซึ่งเดิมเงียบสงบกำลังจะสูญหายไป

เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้ว แล้วตัดสินใจออกคำสั่งฉุกเฉินว่า ปีศาจตนนี้มีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติที่เกิดในปราการมังกร ข้าจะไปจัดการมัน พวกเจ้าอยู่ดูแลเตาผลึกหินชั้นในและเก็บเชื้อไฟสัจจะอัคคีให้ข้าด้วย 

 ส่วนเหล่าศิษย์ทั้งหลาย ที่นี่เกิดเรื่องผิดปกติเพิ่มขึ้น จึงไม่ปลอดภัยอีกต่อไป พวกเจ้าอย่าได้เข้าใกล้เส้นเขตใจกลางหุบเหว ถอยกลับเข้าไปด้านในเสีย 

กล่าวจบเขาก็ไล่ตามเงาดำนั้นไปทันที

ซือคงจิง เยี่ยจิ่ง และคนอื่นๆ ถอยหลังกลับไปตามคำสั่ง ส่วนชายชุดดำกลุ่มนั้นเริ่มพุ่งเข้าหาแสงไฟสีน้ำเงินอีกครั้ง

แสงสีแดงที่เยี่ยนจ้าวเกอฟันขาดแตกกระจายออกไปโดยรอบก่อนหน้านี้ มันขยับไหวเฉกเช่นเดียวกับหมอกดำที่บ้าคลั่งดุร้าย ซัดเอาแสงสีน้ำเงินปลิวไป

เยี่ยจิ่งเดินถอยหลังตามทุกคนไป สายตาพลางจับจ้องแสงไฟสีน้ำเงินนั้นไม่วางตา พร้อมกับนิ้วมือลูบแหวนสีแดงคล้ำบนนิ้วของตนเอง ‘เป็นเชื้อไฟสัจจะอัคคีจริงๆ อย่างที่คิดเอาไว้ การเลือกอยู่ต่อในปราการมังกร ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง’

‘เชื้อไฟสัจจะอัคคี เป็นพลังเพลิงชั้นยอด ซึ่งสามารถบ่มเพาะเพลิงแท้ได้เรื่อยๆ หากข้าได้มันมา ข้าอาจจะใช้มันเปิดผนึกต้องห้ามของแหวนวงนี้ได้เร็วขึ้นก็เป็นได้’

แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะคิดเรื่องของเชื้อไฟสัจจะอัคคีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่คิดมาก่อนว่าจะพบเจอมันได้ง่ายดายเช่นนี้

‘หากตกไปอยู่ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วข้าไปขอยืมใช้ ทั้งเขาและคนอื่นๆ ในสำนักจะต้องเกิดความสงสัย เรื่องแหวนก็จะต้องถูกเปิดเผย’

‘ถ้าข้าได้มันมาก่อน ก็สามารถใช้มันเปิดผนึกต้องห้ามของแหวนได้ เมื่อถึงเวลาค่อยให้เชื้อไฟกับเยี่ยนจ้าวเกอ นั่นก็เท่ากับเขาว่าติดหนี้บุญคุณข้าแล้ว’

‘หรืออาจส่งมอบให้กับทางสำนักได้โดยตรง เชื้อไฟมีความเกี่ยวข้องกับเตาผลึกหินชั้นใน และตอนนี้เตาผลึกหินชั้นในก็เป็นเรื่องระดับสำนัก ใครสามารถนำเชื้อไฟสัจจะอัคคีไปมอบให้ได้ ย่อมถือว่าเป็นผลงานชิ้นใหญ่แน่นอน’

‘แล้วใครบอกว่าเชื้อไฟนี้จะต้องเป็นของเยี่ยนจ้าวเกอกันเล่า’

‘ของยังไม่ได้อยู่ในมือ สมบัติที่ฟ้าดินสร้าง ผู้มีความสามารถถึงได้ครอบครอง เชื้อไฟในตอนนี้ก็เป็นสิ่งที่ยังไม่มีเจ้าของ เมื่อมาอยู่ในมือข้า นั่นก็ย่อมเป็นวาสนาของข้า!’

‘แต่ว่า…ต้องทำเช่นไรถึงจะได้เชื้อไฟมา’

ขณะที่ในใจมีความคิดมากมายแล่นผ่าน ทันใดนั้นเยี่ยจิ่งก็ตาเป็นประกาย เพราะแสงสีน้ำเงินลอยมาอยู่ใกล้ๆ เขาโดยไม่คาดคิด!

เยี่ยจิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว เขากัดฟันแน่นพลางพุ่งตัวออกไป ยื่นมือไปจับเชื้อไฟไว้!

ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็เงียบกริบไปในทันที!

กลุ่มชายชุดดำพวกนั้นรู้สึกงุนงง ก่อนจะกลับมามีสีหน้าไร้อารมณ์ดังเดิม พวกเขาหยุดยืนบนโขดหิน แล้วย่างเท้าเดินเข้าหาเยี่ยจิ่งอย่างเงียบเชียบ

ปรมาจารย์ทั้งหมดจับจ้องไปยังผู้ฝึกยุทธ์ระดับยุทธ์หลอมกายขั้นชักจูงลมปราณระยะกลางคนหนึ่งพร้อมกัน ลำพังแค่สายตาก็แทบจะทำให้รู้สึกได้ถึงพลังทำลายล้าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความกดดันที่มาจากการย่างเท้าก้าวเข้ามาพร้อมๆ กัน

เยี่ยจิ่งกัดฟันแน่น พลางสบสายตากับพวกเขาตรงๆ โดยไม่มีทีท่าที่คิดจะยอมถอยเลยแม้แต่น้อย

ซือคงจิงมีท่าทางไม่ค่อยเข้าใจ จึงขมวดคิ้วมุ่น

ศิษย์รุ่นเยาว์คนอื่นๆ ยิ่งทำตัวไม่ถูก บรรยากาศรอบตัวหนักอึ้งถึงขีดสุด จนทุกคนแทบจะหยุดลมหายใจ

และในตอนนั้นเอง พลันมีแสงสีเขียวสว่างวาบจากที่ไกลออกไป หมอกหนาสีดำถูกผ่าออกอีกครั้ง พร้อมกับเยี่ยนจ้าวเกอที่หวนกลับมา

 เกิดอะไรขึ้น  เยี่ยนจ้าวเกอที่เท้าเพิ่งแตะพื้นเริ่มกวาดสายตามองไปรอบๆ สิ่งแรกที่เห็นก็คือแสงไฟสีน้ำเงินในกำมือของเยี่ยจิ่ง จึงไม่อาจเชื่อสายตาได้ในทันที

ตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่รู้จะใช้คำพูดใดมาบรรยายความรู้สึกของตนเองเช่นกัน

พระเอกในนิยายออกผจญภัยล่าสมบัติ มักจะมีพลังอำนาจสามอย่าง นั่นก็คือกินหมด ยึดหมด แย่งหมด บางคนรัศมีแห่งความร้ายกาจอยู่ด้วย ก็อาจถึงขั้นต้องเพิ่งพลังฆ่าหมดไปด้วย…

มารดามันเถอะ ช่างโชคดีล้นฟ้าเสียจริง

รัศมีความเป็นพระเอกของหมอนี่ทำให้คนตาบอดได้จริงๆ ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหน ของดีก็ล้วนต้องตกเป็นของเขาทั้งหมดเลยหรือ

‘ความหมายคือข้าผิดหรืออย่างไร ที่มาหาสมบัติตรงหน้าเจ้า’

แล้วไม่รู้ว่าเพราะได้เตรียมใจไว้แต่เนิ่นๆ แล้วหรือไม่ ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอในขณะนี้ยังพอจะมีเวลาคิดไปเรื่อยเปื่อยได้อีก ‘ใช้มือเปล่าจับเชื้อไฟได้โดยไม่ถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน หรือจะเป็นเพราะแหวนวงนั้น? ’

เยี่ยจิ่งกำเชื้อไฟสัจจะอัคคีไว้แน่น จ้องเยี่ยนจ้าวเกออย่างไม่ยอมแพ้

เยี่ยนจ้าวเกอกลอกตาขาวโดยที่คนอื่นไม่ทันสังเกต ‘อีกแล้ว สถานการณ์เป็นเช่นนี้อีกแล้ว’

อีกฝ่ายสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง พลางขับเคลื่อนแหวนของตนเองให้ดูดเอาพลังของเชื้อไฟสัจจะอัคคีอย่างเงียบๆ

ความจริงแล้วเยี่ยนจ้าวเกอมองเห็นการกระทำทุกอย่างของเขา ชายหนุ่มจึงได้แต่ส่ายหน้า ในขณะที่กำลังจะเปิดปากพูด ทันใดนั้นสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป และรีบเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบน

อยู่ดีๆ หมอกดำด้านบนที่แต่เดิมขยับไปมาไม่หยุด กลับรุนแรงบ้าคลั่งขึ้นราวกับพายุที่โหมกระหน่ำ จนฟ้าดินในปราการมังกรแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ!

เขตใจกลางหุบเหวอันสงบเงียบ หายไปในพริบตา!

หมอกดำที่ไม่เห็นฟ้าไม่เห็นตะวันตลอดทั้งปีเบาบางลงเล็กน้อยภายใต้การดูดกลืนของพลังที่บ้าคลั่งอย่างไม่น่าเชื่อ!

มีแสงตกลงมาจากท้องฟ้าเหนือศีรษะของทุกคน พร้อมทั้งคลื่นพลังที่บ้าคลั่งแทบกดดันจนเนื้อตัวแทบจะแหลกละเอียดเป็นผุยผง

ในวินาทีนั้น เสียงหนึ่งดังกังวานสะท้านฟ้าดิน!

 เจ้าหนูแซ่เยี่ยนตัวดี บาปกรรมที่พ่อของเจ้าทำไว้ เจ้าก็ชดใช้สักส่วนเถอะ! 

เมื่อมองเห็นแสงเพลิงนั้น เยี่ยนจ้าวเกอมีปฏิกริยาอย่างรวดเร็ว  หัวหน้าค่ายชื่อหลิง! 

มารดามันเถอะ เชื้อไฟสัจจะอัคคีเพิ่งหลุดมือไปก็หงุดหงิดแทบจะแย่อยู่แล้ว ยังจะมีมหาปรมาจารย์บุกมาฆ่าถึงที่อีก

ทันใดนั้นฟ้าดินราวกับแปรเปลี่ยนเป็นเตาไฟ พลังทำลายล้างที่พังฟ้าทลายดินตกลงมากจากฟ้า!

 ชิ!  เยี่ยนจ้าวเกอเตรียมขับเคลื่อนพลังทั้งหมดของตนเอง เตรียมรับมือกับศึกตรงหน้า

องครักษ์ชุดดำทั้งหมด ต่างก็ทุ่มสุดกำลังวิ่งเข้าหาเยี่ยนจ้าวเกอเพื่อที่จะปกป้องเขา

 ตายเสีย! 

ตอนนั้นเอง ท่ามกลางเสียงตะโกนของหัวหน้าค่ายชื่อหลิง พลังหมัดอันบ้าคลั่งตกลงมาแล้ว โดยที่เป้าหมายพุ่งตรงไปที่เยี่ยจิ่ง!

พุ่งตรงไปหาเยี่ยจิ่ง…

พุ่งไปที่…หืม?!

เดี๋ยวก่อน เหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง!

เยี่ยนจ้าวเกอที่เดิมทีตั้งท่ารอเรียบร้อยแล้ว ได้แต่อ้าปากค้างมองดูพลังของหัวหน้าค่ายชื่อหลิงตกลงมา โดยมีเยี่ยจิ่งเป็นศูนย์กลาง ส่วนตัวเขาอยู่ด้านนอกของพลังนั้น

นี่มันจังหวะบ้าอะไรเนี่ย?!

……….

 

เมื่อออกมาจากเขตใจกลางหุบเหว แล้วได้รับการกระตุ้นจากปราณพิษอันเข้มข้น เฉาหยวนหลงที่หมดสติอยู่ก็ฟื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ชั่วพริบตาที่ตื่นขึ้นมานั้น ความรู้สึกนึกคิดของเฉาหยวนหลงยังคงหยุดอยู่ที่ช่วงเวลาของการปะทะกับเยี่ยนจ้าวเกอก่อนหน้านี้

สิ่งที่ฉายชัดอยู่ในหัวสมองคือภาพที่โล่ใบหนึ่งขยายขนาดใหญ่ขึ้นปิดฟ้าบังตะวัน จนสุดท้ายก็กระแทกเข้าที่หัวของเขาอย่างจัง

เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่ประมือกับเยี่ยนจ้าวเกอก่อนหน้านี้ ในใจของเฉาหยวนหลงก็พลันเดือดพล่าน

แต่เมื่อเทียบกับความโกรธแค้นในใจแล้ว เวลานี้รู้สึกข้องใจสงสัยมากยิ่งกว่า

เยี่ยนจ้าวเกอเก่งขึ้นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน

นี่คือเยี่ยนจ้าวเกอคนเดียวกับในความทรงจำของเขาหรือ?

การพบกันอีกใรครั้งนี้ จริงอยู่ที่วรยุทธ์ของเยี่ยนจ้าวเกอก้าวหน้าไปมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในความคาดหมายของเฉาหยวนหลง แต่เขาก้าวหน้าไปมากขนาดนี้ กลับทำให้มุมมองของเฉาหยวนหลงผิดเพี้ยนไปโดยสิ้นเชิง

เมื่อหลุดออกจากห้วงความคิด พลันมีความรู้สึกแสบร้อนเจ็บปวดขึ้นมา ความรู้สึกโกรธแค้นยากที่จะระงับก็ลุกโชนในใจเฉาหยวนหลงอีกครั้ง

เมื่อเขาทำความเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของตนเองได้แล้ว เขาก็ยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะคิดไม่ถึงว่าตนเองกับศิษย์ร่วมสำนักจะถูกเยี่ยนจ้าวเกอขับไล่ออกมาจากเขตใจกลางหุบเหว

เฉาหยวนหลงมองศิษย์สำนักสุริยันที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่ตรงหน้า อ้าปากคิดอยากจะเอ่ยวาจา แต่คำพูดทั้งหมดกลับอัดอั้นอยู่ในใจ ไม่อาจส่งเสียงใดๆ ออกมา

ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ล้วนแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่มีผู้ใดกล้าสบตาเฉาหยวนหลงตรงๆ ในตอนนี้

แม้ว่าจะโดนเยี่ยนจ้าวเกอเล่นงานจนบาดเจ็บ ฝ่ามือโดนแทงทะลุ ทว่าเฉาหยวนหลงก็ไม่ใช่บุคคลที่พวกเขาจะเข้าไปหาเรื่องได้

เฉาหยวนหลงมีนิสัยที่เข้มงวด และในยามนี้ก็กำลังอยู่ในอารมณ์ขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด ถ้าไปทำให้เขาโมโหขึ้นมาอีก ตนเองได้ซวยแน่

เพียงแต่ว่า ก่อนหน้านี้ทุกคนทั้งเคารพทั้งเกรงกลัวเฉาหยวนหลง ทว่าตอนนี้หลงเหลือเพียงความเกรงกลัว ไม่มีความเคารพหลงเหลืออยู่แล้ว

บางคนไม่กล้าแสดงออกทางสีหน้า แต่กลับดูถูกอีกฝ่ายอยู่ในใจ ‘โดนเยี่ยนจ้าวเกอแห่งสำนักเขากว่างเฉิงเล่นงานเสียยับเยินถึงเพียงนั้น ก็เก่งแค่อวดเบ่งต่อหน้าพวกเรานี่แหละ’

‘แน่จริงก็ไปทำอวดต่อหน้าเยี่ยนจ้าวเกอสิ ไอ้คนกลัวแข็งรังแกอ่อน!’

‘ที่ต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะแกสู้เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ไม่ใช่หรืออย่างไร ไม่อย่างนั้นตอนนี้พวกเราคงเป็นฝ่ายไล่พวกนั้นออกไปจากเขตใจกลางหุบเหวแล้ว’

เฉาหยวนหลงสูดลมหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่ง พยายามบังคับให้ตนเองใจเย็นลง

มีเพียงชั่วครู่หนึ่งที่เขาอยากจะวิ่งกลับไปสู้กับเยี่ยนจ้าวเกอให้รู้แล้วรู้รอดกันไป ถ้าจะแพ้จนน่าอับอายมากขนาดนี้ สู้ไปตายเสียตรงนั้นยังดีกว่า แต่พอคิดทบทวนถึงการปะทะกันเมื่อครู่อีกครั้ง ก็ยิ่งทำให้เฉาหยวนหลงเก็บกดมากขึ้นอีก

เพราะเขาพบว่า ต่อให้เขาคิดจะสู้ตายกันไปข้างหนึ่ง ก็คงจะไม่มีทางเป็นอย่างที่เขาหวัง และมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะต้องอับอายมากกว่าเก่าอีก

ความห่างชั้นของทั้งสองค่อนข้างมาก หากไม่ใช่ว่าเขามีนิสัยอดทนอดกลั้น ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แล้วล่ะก็ ตอนนี้เขาคงจะรู้สึกสิ้นหวังมากแน่ๆ

 เรื่องที่ศิษย์พี่เซียววานมา พวกเราทุ่มเทเวลาไปตั้งมากมาย ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เบาะแสมา ไม่สู้พวกเราไปทำเรื่องนั้นกันก่อนดีหรือไม่  ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างระมัดระวัง

อีกครึ่งประโยคหลังที่เหลือ เขากลับไม่ได้เอ่ยออกมา ที่แท้แล้วเขาคิดจะเอ่ยว่า ‘อีกไม่นานศิษย์พี่เซียวก็จะมาที่ปราการมังกรแล้ว ถึงเวลานั้นค่อยไปหาเยี่ยนจ้าวเกอเพื่อแก้แค้นก็ได้’

เขาไม่พูดคำพูดนี้ออกมา เพื่อป้องกันไม่ให้คำพูดของตนเองไปกระทบจิตใจเฉาหยวนหลง

แต่เฉาหยวนหลงเองก็ไม่ใช่คนโง่ จะไม่เข้าใจคำพูดที่อีกฝ่ายจงใจละไว้และความนัยได้อย่างไร

เขากวาดสายตามองศิษย์ร่วมสำนักทุกคนที่อยู่ตรงหน้า แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดเปิดเผยออกมา แต่เฉาหยวนหลงก็สามารถคาดเดาความคิดที่อยู่ภายในใจของทุกคนได้บ้าง

อย่างไรเสีย เขาเองก็แพ้ยับเยินในการต่อสู้กับเยี่ยนจ้าวเกอเมื่อสักครู่ แทบจะแพ้เสียจนไม่มีชิ้นดี

หลังจากมองทุกคนด้วยสายตาเย็นชาครั้งหนึ่งแล้ว เฉาหยวนหลงก็ไม่คิดจะพูดอะไรให้มากความ จึงเอ่ยไปว่า  ดี จัดการเรื่องนั้นกันก่อน 

เขากล่าวจบก็ออกเดินนำไป คนที่เหลือต่างก็พากันถอนหายใจโล่งอกอย่างเงียบๆ จากนั้นถึงเดินตามเขาไป

ใบหน้าของเฉาหยวนหลงไร้ซึ่งอารมณ์ ทว่าภายในใจกลับคล้ายมีคลื่นยักษ์โหมซัด ‘ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอก! จะต้องรีบหาทางบรรลุระดับปรมาจารย์จิตราชั้นนอกโดยเร็วที่สุด จากนั้นก็จะสามารถฝึกวิชานั้นต่อได้ วิชาที่มีไว้เพื่อยับยั้งมังกรเขียวในชายเสื้อของเยี่ยนจ้าวเกอโดยเฉพาะ ถึงตอนนั้นแม้เจ้านั่นจะบรรลุถึงขั้นปรมาจารย์จิตราชั้นนอกแล้วเช่นกันก็ไม่เป็นไร’

‘แค้นในวันนี้ ข้าจะต้องชำระแน่นอน หากไม่ซัดเจ้าเยี่ยนเจ้าเกอให้กลายเป็นผุยผงแล้วเหยียบซ้ำอีกสักหน่อย ข้าสาบานว่าจะไม่ขอเป็นคน!’

ณ เขตใจกลางหุบเหวปราการมังกร เหลือเพียงคนของเขากว่างเฉิงที่กำลังทำการสำรวจและพักผ่อน บ้างก็กำลังเก็บรวบรวมสิ่งของที่มีเฉพาะในปราการมังกร บ้างก็กำลังเล่นอยู่กับเจ้าภูตแมวแสงตัวน้อย

เตาผลึกหินชั้นในยังคงสั่นสะเทือน และยังไม่หยุดดูดกลืนของเหลวสีทองเข้าไปเพื่อชำระล้างตนเอง

เยี่ยนจ้าวเกอนั่งอยู่ด้านข้างเตาผลึกหินชั้นใน พลางหลับตานั่งทำสมาธิ

จู่ๆ อาหู่ก็ปรากฏตัวขึ้น แล้วรายงานว่า  คุณชาย กลุ่มของเฉาหยวนหลงเหมือนจะเข้ามาที่นี่เพื่อตามหาบางสิ่งโดยเฉพาะ แต่ยังไม่แน่ว่าเป็นคนหรือว่าสิ่งของ 

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าโดยไม่ได้พูดอะไร

อาหู่กล่าวต่อว่า  จริงสิ คุณชายขอรับ ทางสำนักเองก็เก็บอวนกันแล้ว ทางท่านเจ้าสำนักและนายท่านก็ดูเหมือนจะได้ปลาตัวใหญ่มาจำนวนไม่น้อย 

 ยังมีอีกเรื่องขอรับ ชื่อหลิง กากเดนหัวหน้าค่ายห้าวิญญาณและก็มาที่หุบเหวปราการมังกรแล้ว เรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่ดีต่อคุณชายนะขอรับ 

 เรื่องของเตาผลึกหินชั้นใน คนของค่ายห้าวิญญาณรู้เรื่องแล้วหรือยัง  เยี่ยนจ้าวเกอถามกลับ

อาหู่กล่าวตอบ  จากคำให้การของคนที่จับมาได้ เขาบอกเพียงแค่แจ้งให้ค่ายห้าวิญญาณรู้แล้ว ว่าที่คุณชายมายังปราการมังกรนี้ ก็เพื่อหาเชื้อไฟสัจจะอัคคีเท่านั้นขอรับ 

เยี่ยนจ้าวเกอขยับปากกล่าว  หัวหน้าค่ายชื่อหลิง เขาอยู่ในระดับมหาปรมาจารย์เชียวนะ ทหารรับมือทหาร แม่ทัพรับมือกับแม่ทัพ พวกเราคงไม่ต้องไปร่วมวงด้วยหรอก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของท่านผู้อาวุโสบังคับการณ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออกจัดการเถอะ 

ชายร่างกำยำยิ้มอย่างสัตย์ซื่อ  ท่านผู้อาวุโสบังคับการณ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออกได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้วขอรับ เขาเดินทางมาประจำการที่ด้านนอกปราการมังกรด้วยตนเอง ดักรอหัวหน้าค่ายชื่อหลิงโดยเฉพาะ กระตือรือร้นมากทีเดียวขอรับ 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มกล่าว  ไร้สาระ ถึงแม้เขาจะเป็นคนของท่านลุงรอง และเขาก็ไม่ชอบใจข้านัก แต่การจำกัดกากเดนระดับมหาปรามาจารย์ของค่ายห้าวิญญาณก็เป็นการสร้างผลงานให้กับตัวเอง มีหรือที่เขาจะไม่กระตือรือร้น 

 ส่วนเรื่องที่จะถือโอกาสจัดการข้า แล้วโยนความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้หัวหน้าค่ายชื่อหลิง เขาคงไม่กล้าลงมือถึงขั้นนั้น ในเมื่อท่านพ่อของข้าคอยจับตามองเรื่องนี้อยู่ ท่านผู้อาวุโสบังคับการณ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออกจะคุ้มกันข้าก็ยังช้าไปเลย 

 ก็เหมือนข้ากับเยี่ยจิ่งนั่นแหละ ท่านผู้อาวุโสบังคับการณ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออกก็ไม่ต่างกัน ถึงคนลงมือจะไม่ใช่เขา แต่เขาก็ต้องเป็นแพะรับบาปเรื่องนี้แน่  ชายหนุ่มกลอกตาขาว

 หัวหน้าค่ายชื่อหลิงมีเป้าหมายที่ตัวข้า หากว่าข้าเป็นอะไรไป เขาก็ไม่มีทางได้อยู่ดีแน่ ถึงแม้จะเสี่ยงอยู่สักหน่อย แต่ข้าที่ต้องรับหน้าที่เป็นเหยื่อล่อ ก็ยังต้องเป็นเหยื่อล่อต่อไป 

อาหู่พลันกล่าวด้วยท่าทางนับถือ  คุณชาย ท่านช่างกล้าหาญและฉลาดหลักแหลมยิ่งขอรับ! 

 พอเถอะ ดูท่าทีจอมปลอมของเจ้าสิ  ชายหนุ่มกล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก

อีกฝ่ายรีบยิ้มกล่าวว่า  คุณชาย ถ้าหากว่าสามารถโค่นล้มหัวหน้าค่ายชื่อหลิงได้ ผลงานส่วนหนึ่งก็ต้องตกเป็นของท่านอย่างแน่นอน 

เยี่ยนจ้าวเกอโบกมือ  นั่นเป็นเพียงเรื่องรอง จะอย่างไรหัวหน้าค่ายห้าวิญญาณผู้นี้ก็เป็นบุคคลอันตราย ก่อนหน้านี้เขาเก็บตัวหลบซ่อนมาตลอด ครั้งนี้กลับยอมปรากฏตัวออกมา ทางที่ดีที่สุดก็ต้องจัดการให้สิ้นซากไป 

 แต่ว่า หากข้าจะเสี่ยงมันก็เป็นเรื่องของข้า ไม่ต้องให้พวกเขาร่วมเสี่ยงตายไปกับข้าหรอก เจ้าไปส่งพวกเขาออกจากปราการมังกรด้วยก็แล้วกัน 

เมื่อแจ้งให้พวกเยี่ยจิ่ง ซือคงจิง และคนอื่นๆ ทราบเรื่อง ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นว่ามีคนมากกว่าครึ่งยินดีที่จะอยู่ต่อ

บางคนอยากถือโอกาสร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเยี่ยนจ้าวเกอเพื่อกระชับความสัมพันธ์ บางคนก็เลือกอยู่เพื่อที่จะได้เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น

เยี่ยจิ่งกับซือคงจิงก็เลือกที่จะอยู่ต่อเช่นกัน

ตามความเข้าใจของเยี่ยนจ้าวเกอ ซือคงจิงอยู่ต่อเพราะมีใจฝักใฝ่ในการฝึกฝนวรยุทธ์ อยากฝึกจิตใจให้ไร้ซึ่งความหวาดกลัว ส่วนเยี่ยจิ่งคิดเช่นไร เขาเองก็ไม่รู้ได้

ทว่าในเมื่อตัดสินใจเองแล้วก็ต้องรับผิดชอบเอง เมื่อทุกคนเลือกเช่นนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ได้ไปบังคับพวกเขา คนที่ยินดีจะอยู่ต่อก็ให้อยู่ต่อ คนที่ตัดสินใจจะไปก็ให้อาหู่นำทางออกไป

อาหู่และคนอื่นๆ จากไปแล้ว ส่วนเยี่ยนจ้าวเกอและคนที่เหลือยังคงอยู่ที่เดิม

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ทันใดนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็พลันเอะใจขึ้นมา จึงเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะเห็นว่าภายในหมอกดำที่อยู่ไกลออกไปนั้น คล้ายกับว่ามีแสงสีน้ำเงินกะพริบอยู่

 เชื้อไฟสัจจะอัคคี?  เยี่ยนจ้าวเกอตาเป็นประกายในทันที  การมาครั้งนี้ช่างราบรื่นดีจริงๆ 

………..

 

แม้เพิ่งจะก้าวเท้าเข้ามาในเขตใจกลางหุบเหวได้ไม่นาน แต่เยี่ยนจ้าวเกอก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ

เยี่ยจิ่ง ซือคงจิง และคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ด้านข้าง ต่างก็มองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ

เยี่ยนจ้าวเกอโบกมือเบาๆ อาหู่ก็เข้าใจได้ในทันที พร้อมกับหยิบเตาหอมออกมาจากห่อสัมภาระอีกครั้ง

อาหู่เปิดฝาเตาหอมออก จากนั้นก็นำเครื่องหอมที่มีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันจำพวกหนึ่งใส่เข้าไป

บางชนิดแค่มองจากรูปลักษณ์ภายนอกก็รู้ได้ว่าไม่ใช่ของธรรมดา แต่บางชนิดกลับมีสีเทาหม่นๆ บ้าง สีดำสนิทบ้าง ดูไม่สะดุดตาแต่อย่างใด

อาหู่ใส่เครื่องหอมลงไปจุดไฟ แล้วปิดฝากลับลงไปใหม่ จากนั้นค่อยวางเตาหอมลงบนพื้นดินตรงหน้าอย่างระมัดระวัง ไม่นานนักก็มีควันลอยออกมา

บรรดาศิษย์จากเขากว่างเฉิงมองดูกลุ่มควันที่ลอยขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ ควันเหล่านั้นกระจายตัวออกจากเตาหอม ก่อนจะหลอมรวมกับหมอกสีดำที่อยู่ภายในหุบเหวปราการมังกร

เมื่อถูกกระตุ้นด้วยควันจากเตาหอม ปราณพิษที่แต่เดิมดุร้ายอยู่แล้ว ก็ยิ่งดุร้ายมากขึ้นอีกในทันใด

หากเทียบกับพื้นที่อื่นๆ ของปราการมังกร หมอกดำที่แปรเปลี่ยนมาจากปราณพิษในเขตใจกลางหุบเหวแห่งนี้ดูสงบและเบาบางกว่ามาก

แต่วินาทีนี้ หมอกดำกลับโหมกระหน่ำซัดสาดใส่ มองดูแล้วเข้มข้นและหนาแน่นกว่าพื้นที่ใดที่เคยผ่านมาก่อนหน้านี้

ทุกคนพากันสะดุ้งตกใจ แต่ก็ยังรักษาความสงบนิ่งไว้ เพราะพวกเขาเองก็รู้ว่า เยี่ยนจ้าวเกอทำเช่นนี้ต้องมีเหตุผลแน่นอน

ดังนั้นแล้ว แม้ว่าหมอกดำเหล่านั้นจะยังคงปั่นป่วนบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่ได้เข้ามาทำร้ายผู้คน กลับหมุนวนเข้าหากันแทน

บนใบหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอปรากฎรอยยิ้มจางๆ จากนั้นจึงเห็นหมอกดำตรงหน้าไหลวนเข้าหากันจนมีลักษณะคล้ายน้ำวนขนาดใหญ่เก้าวง ก่อนที่ตรงกลางของน้ำวนจะค่อยๆ ปรากฏของเหลวสีทองที่กำลังกลิ้งไปมา

น้ำวนขนาดยักษ์ทั้งเก้าแปรเปลี่ยนเป็นลูกแก้ว ซึ่งมีพลังพลุ่งพล่านเชื่อมต่อกัน

เยี่ยนจ้าวเกอตบลงไปที่ผิวของเตาผลึกหินชั้นในครั้งหนึ่ง ฝาของเตาหลอมพลันเปิดออก ภายในเตาพลันสั่นสะเทือนและส่งแรงดึงดูดมหาศาลออกมาทันที

ของเหลวสีทองที่อยู่ตรงกลางน้ำวนทั้งเก้านั้น ถูกเตาผลึกหินชั้นในดูดออกมา และไหลลงไปในตัวเตาอย่างไม่น่าเชื่อ ก่อนที่ของเหลวเหล่านั้นจะไหลวนไปมาไม่หยุดหย่อน เพื่อชะล้างเตาผลึกหินชั้นในภายใต้การชักจูงของน้ำวน

ศิษย์น้องร่วมสำนักทุกคนมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างอัศจรรย์ใจ พวกเขารู้สึกเพียงว่า ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทว่าดูๆ ไปแล้วก็ร้ายกาจมากทีเดียว

บัดนี้สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอหนักแน่นขึ้นหลายส่วน ดูมีความตั้งใจมากยิ่งกว่าตอนสู้กับเฉาหยวนหลงเสียอีก

เตาผลึกหินชั้นในคือความทุ่มเทตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หากเกิดความผิดพลาดคงน่าเสียดายยิ่งนัก

ลำพังแค่สภาพแวดล้อมของปราการมังกร หากไม่ระวังทำให้เตาผลึกหินชั้นในระเบิด จนปราณพิษเกิดระเบิดไปด้วย คงไม่มีใครตรงนี้รอดออกไปได้แน่

แต่ว่านี่ก็เป็นเพียงการป้องกันเหตุไม่คาดฝันเท่านั้น สำหรับเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้ามีภาพโครงร่างที่ผ่านการจำลองเหตุการณ์ในหัวของเขามานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

เมื่อได้รับการชำระล้างอย่างต่อเนื่องจากของเหลวสีทอง ผนังด้านในเตาก็ค่อยๆ มีแสงทอประกายสว่างขึ้นเรื่อยๆ

ประกายแสงที่หมุนวน ดูราวกับเมฆหมอกยามสะท้อนแสงตะวันเรืองรอง ทำให้ปราการมังกรที่มืดมนในวินาทีนี้ดูเหมือนกับว่าสว่างขึ้นมาอีกหลายส่วน

อาหู่ที่อยู่ด้านข้างพลันหยิบดาบยาวเล่มหนึ่งออกมา ก่อนจะส่งให้เยี่ยนจ้าวเกอ

ดาบเล่มนั้นเป็นเพียงอาวุธทั่วไป ไม่ใช่อาวุธวิเศษ และไม่ใช่อาวุธสงคราม

เยี่ยนจ้าวเกอถือดาบไว้ในมือขวา แล้วงอนิ้วที่มือซ้ายดีดลงบนคมดาบเบาๆ จนเกิดเสียงดังกังวาน

หลังจากเสียงเงียบลง เยี่ยนจ้าวเกอก็โยนดาบยาวเล่มนั้นเข้าไปในเตาผลึกหินชั้นในด้วย

เตาผลึกหินชั้นในสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ดาบยาวที่อยู่ด้านในลอยอยู่ตรงกลาง ราวกับถูกพลังงานที่ไร้รูปร่างตรึงไว้ ขณะเดียวกันแสงสว่างที่โอบล้อมอยู่รอบดาบก็สว่างขึ้นเรื่อยๆ

ยังมีหินที่แปลกประหลาดอีกมากมายอยู่ร่วมกับดาบธรรมดาเล่มนั้น เยี่ยจิ่งและคนอื่นๆ เพียงแค่พอแยกแยะออกว่าเป็นวัสดุที่ใช้หลอมอาวุธเท่านั้น

ดาบธรรมดาเล่มนั้นลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ส่วนวัสดุต่างๆ หมุนวนอยู่รอบตัวดาบ พลางเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

วัสดุบางชนิดเปลี่ยนสภาพเป็นของเหลว บางชนิดถูกบิดจนเปลี่ยนรูปร่าง บางชนิดแตกจนกลายเป็นตะกอนชิ้นเล็กๆ ยิ่งกว่านั้นมีบางชนิดระเหยหายไปในอากาศ ก่อเกิดเป็นกลุ่มควันในพริบตา

ความสว่างภายในเตาเจิดจ้ามากขึ้น จนสุดท้ายก็ไม่สามารถมองตรงๆ ได้ เห็นเพียงแต่แสงไฟที่เป็นประกายดุจอัญมณีลอยขึ้นจากด้านใน ก่อนที่มันจะกลืนกินดาบธรรมดาเล่มนั้นไป

ส่วนด้านนอกเตาหลอม ของเหลวสีทองที่อยู่ในใจกลางของน้ำวนทั้งเก้าระเหยกลายเป็นไอไปหมดแล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอจับจ้องภาพเบื้องหน้าอย่างเงียบสงบ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าขยับกว้างขึ้นเรื่อยๆ

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ซือคงจิงและคนอื่นๆ ที่ยืนดูอยู่ด้านข้างก็ไม่ได้รู้สึกเบื่อแต่อย่างใด เพราะทุกคนล้วนมองไปยังเตาหลอมด้วยความสนอกสนใจ พวกเขาหลายคนเพิ่งเคยเห็นการหลอมอาวุธครั้งแรก จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิ่งของในตำนานเช่นเตาผลึกหินชั้นในเลย

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เตาผลึกหินภายในถึงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นแสงสว่างทั้งหมดก็หายวับไปในพริบตา

มีการเคลื่อนไหวของปราณวิญญาณที่แข็งแกร่งส่งมาจากภายในเตาหลอม ก่อนจะมีดาบยาวสีดำเงาเป็นประกายลอยขึ้นมาอย่างช้าๆ

ระดับปราณและอานุภาพของของสิ่งนั้นมากยิ่งกว่าอาวุธวิเศษระดับล่างที่เยี่ยจิ่งและคนอื่นๆ มีเสียอีก

ซือคงจิงมองดาบยาวเล่มนั้น  เป็นอาวุธวิเศษระดับกลางของจริง… 

ศิษย์สำนักเขากว่างเฉิงคนอื่นๆ ก็เป็นผู้ที่มีความรู้เรื่องอาวุธดีเช่นกัน จึงพากันส่งเสียงชื่นชมออกมา

 ใช้เวลาหลอมสร้างทั้งหมดเท่าไร  มีคนถามขึ้นเบาๆ ทุกคนต่างมองหน้ากัน แล้วคิดในใจ จากนั้นก็สูดหายใจเข้าไปเฮือกหนึ่ง

ตอนนี้พวกเขาเชื่อสนิทใจแล้วว่าเยี่ยนจ้าวเกอมีความสามารถพอที่จะหลอมอาวุธวิเศษสิบหกชิ้นภายในเวลาหนึ่งเดือนได้จริงๆ ทั้งยังเป็นการทำให้สำเร็จได้โดยการเจียดเวลาสั้นๆ ที่ว่างจากการฝึกวิชาอีกด้วย

ทุกคนมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอและเตาผลึกหินชั้นใน ก่อนจะมีไฟลุกโชนขึ้นในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 เป็นเตาผลึกหินชั้นในในตำนานจริงๆ ช่างทรงพลานุภาพเหลือเกิน! 

 ศิษย์พี่เยี่ยนไม่ได้หลอกลวง เมื่อผ่านการปรับแก้ให้สมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ เตาผลึกหินชั้นในจะยิ่งแข็งแกร่งและเข้าใกล้คำว่าเตาหลอมในตำนานมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้เป็นอาวุธวิเศษระดับล่าง ตอนนี้เป็นอาวุธวิเศษระดับกลาง อนาคตย่อมเป็นอาวุธวิเศษระดับสูง กระทั่งอาวุธวิญญาณก็คงจะไม่ได้เป็นแค่ความฝันแล้ว! 

 ขอแค่ให้เวลาศิษย์พี่เยี่ยนและเขากว่างเฉิงของพวกเรามากพอ อนาคตจะเป็นอย่างไร เป็นถึงสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แล้วจะอย่างไร อนาคตสำนักของเราต่างหากที่จะเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งของโลกแปดพิภพ! 

 ต่อให้นับแต่นี้ไปวรยุทธ์ของศิษย์พี่เยี่ยนไม่ก้าวหน้าขึ้นเลยแม้แต่น้อย ทว่าแค่เพียงเรื่องที่ทำให้เตาผลึกหินชั้นในในตำนานกลับสู่โลกอีกครั้ง ก็เพียงพอที่จะทำให้ชื่อของเขาถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของสำนักเขากว่างเฉิงแล้ว 

 ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์พี่เยี่ยนจะไม่ก้าวหน้าขึ้นเลยได้อย่างไร หากพูดถึงวรยุทธ์ที่มี ก็เล่นงานเฉาหยวนหลงแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เสียจนย่ำแย่ได้แล้ว! 

 เหยียบอัจฉริยะคนอื่นๆ จนจมมิดได้ ศิษย์พี่เยี่ยนเป็นยอดอัจฉริยะ ยอดปีศาจตัวจริง! 

เยี่ยนจ้าวเกอโบกมือครั้งหนึ่ง ดาบยาวเล่มนั้นพลันลอยเข้ามาอยู่ในมือของเขา หลังจากที่ตรวจดูแล้ว เขาถึงพยักหน้าเบาๆ ‘อืม ไม่ผิดไปจากที่คิดไว้ก่อนหน้านี้จริงๆ การมาปราการมังกรครั้งนี้ไม่สูญเปล่า ยิ่งข้ามีข้อมูลพื้นฐานมากเท่าใด การเริ่มต้นทางฝั่งของท่านพ่อก็จะยิ่งง่ายขึ้นเท่านั้น’

ชายหนุ่มลองกวัดแกว่งดาบไปมา ทำให้ปราณดาบเย็นยะเยือกไหลเวียนอยู่ในอากาศ จนทุกคนรู้สึกหนาวเหน็บจับใจไปด้วย

เขาโยนอาวุธวิเศษระดับกลางชั้นนั้นให้อาหู่เก็บรักษาไว้

น้ำวนที่เกิดจากหมอกดำยังคงลอยอยู่กลางอากาศและหมุนวนไม่หยุด ส่วนเตาหลอมก็ยังดูดของเหลวสีทองข้างในน้ำวนออกมา เพื่อทำการชำระล้างไปอีกขั้น

 การชำระล้างต้องใช้เวลาอีกสักพัก พวกเจ้าทุกคนอยากทำอะไรก็ไปทำเถิด  เยี่ยนจ้าวเกอพูดขึ้น

ทุกคนพยักหน้ารับคำ ทว่าคนส่วนใหญ่ยังคงมองเตาผลึกหินภายในด้วยแววตาชื่นชมโดยไม่ยอมละสายตา

เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ได้ห้ามปรามพวกเขา เพียงประคับประคองพลังขับเคลื่อนเตาหลอมพลางพูดกับอาหู่ว่า  เมื่อครู่นี้เฉาหยวนหลงท่าทางคล้ายเพิ่งกลับมาจากด้านนอก มีความเป็นได้สูงว่าเพิ่งไปทำเรื่องบางอย่างมา 

 ครั้งนี้คนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มายังปราการมังกรก่อนจะเกิดความผิดปกติ เจ้าไปสืบดูว่าพวกเขามาทำอะไร 

 ขอรับ คุณชาย  อาหู่พยักหน้า

…………

 

เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอกวาดสายตามองไป บรรดาศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต่างก็สะดุ้งเฮือก พลันได้สติกลับมา

เยี่ยนจ้าวเกอยืนอยู่ที่เดิม ในมือขวามีท่อนไผ่สั้นๆ เพิ่มขึ้นอีกท่อนหนึ่ง ก่อนจะใช้ปลายอีกด้านหนึ่งเคาะลงบนฝ่ามือข้างซ้ายเบาๆ

ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์รวมตัวเข้าหากัน พลางมองเยี่ยนจ้าวเกอ  เจ้า… 

 เรื่องรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าข้าไม่สนใจทำหรอก แต่มีใครบางคนวอนหาเรื่องใส่ตัวเอง  เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวเสียงเรียบ  ข้าเป็นคนใจกว้าง โดยส่วนมากแล้วไม่ค่อยจดจำความแค้น ดังนั้นแล้วหากมีปัญหาอะไร ข้าก็ชอบที่จะแก้ไขจัดการให้เรียบร้อยตรงนั้นเลย 

ใบหน้าของศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ขาวซีดขึ้นเล็กน้อย ปากขยับอ้าอยู่หลายครั้ง ทว่ากลับไม่มีเสียงลอดออกมา

เยี่ยนจ้าวเกอโบกมือ อาวุธวิเศษทั้งหลายลอยไปมา ก่อนจะแยกย้ายกลับไปอยู่ตรงหน้าของซือคงจิง เยี่ยจิ่งและคนอื่นๆ อีกครั้ง

ครั้นเห็นภาพนี้เข้า ศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปดคนต่างก็กระชับอาวุธวิเศษในมือของตนไว้แน่น

ชายหนุ่มกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ  ข้าไม่เหมือนเฉาหยวนหลง อาวุธวิเศษระดับล่างแปดชิ้นไม่ได้อยู่ในสายตาของข้า แต่ว่าของอย่างอื่นนั้น… 

เขาว่าพลางมองลูกศิษย์ของสำนักศิษย์สุริยันศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่ง แววตาของคนคนนั้นก็ส่องประกายขึ้นทันที

สีหน้าของเขาดูมีความดิ้นรนอยู่บ้าง เหมือนกับมีความคิดอยากบีบเจ้าแมวในมือให้ตายไปเสีย เขาอยากจะทำตัวเป็นอันธพาลให้ถึงที่สุด แต่ก็ถูกพลังของเยี่ยนจ้าวเกอกดดันไว้ จนสุดท้ายก็ไม่กล้าลงมือ

เยี่ยนจ้าวเกอมองเขาครั้งหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเสียงเบา แล้วยื่นมือซ้ายออกไปในอากาศ

ภูตแมวแสงพลันหลุดออกจากมือของเด็กหนุ่มคนนั้นทันที ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกเพียงว่านิ้วมืออ่อนแรง ใช้แรงไม่ได้แม้แต่น้อย อย่าว่าแต่จะบีบเจ้าแมวนั้นให้ตายคามือเลย แค่คิดจะขยับนิ้วมือยังยาก

ส่วนเจ้าภูตแมวแสงตัวเล็กนั้นกลับไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติแต่อย่างใด หลังจากลอยผ่านอากาศมา เยี่ยนจ้าวเกอก็จับมันเอาไว้ในมือ

ชายหนุ่มกระตุ้นปราณจิตราเพียงครั้งเดียว เลือดบนบาดแผลตรงคอของมันก็พลันหยุดไหล เมื่อเขาโยนมันออกไป เจ้าแมวน้อยตกลงไปในมือของศิษย์น้องหญิงร่วมสำนักทันที

เด็กสาวอุ้มภูตแมวแสง ทั้งดีใจทั้งเจ็บปวดใจ

 พลั่ก! 

เกิดเสียงดังกังวานขึ้นครั้งหนึ่ง ท่อนไผ่ที่อยู่ในมือขวาของเยี่ยนจ้าวเกอฟาดชายหนุ่มที่จับภูตแมวแสงคนนั้นลอยไปแล้ว

 ภูตแมวแสงตัวนั้น ศิษย์น้องของข้าจะเป็นคนเลี้ยงไว้ และถือว่ามันเป็นของสำนักเขากว่างเฉิงด้วยเช่นกัน  เยี่ยนจ้าวเกอใช้มือจับปลายทั้งสองด้านของท่อนไผ่ ท่อนไผ่สีเขียวสดโค้งงอลงเล็กน้อย  คำพูดนี้ ข้าเป็นคนพูดเอง มีปัญหาหรือไม่ 

ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต่างก้มหน้าลงเล็กน้อย เงียบงันไร้วาจา

เยี่ยนจ้าวเกอยังพูดอย่างเฉยเมยอีกว่า  ข้ารู้ว่าพวกเจ้าไม่พอใจ เฉาหยวนหลงเอาชนะข้าไม่ได้ พวกเจ้าก็เอาชนะข้าไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดล้วนเอาชนะข้าไม่ได้ 

 แต่อย่างน้อย ณ ที่นี่ เวลานี้ พวกเจ้าไม่พอใจก็ต้องยอม 

ไม้ใหญ่หักโค่นลงง่าย คนที่ผ่านลมฝนมาน้อยมักหลงทางได้ง่าย เยี่ยนจ้าวเกอกดความห้าวหาญของศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ลงจนแทบไม่เหลือ ทำให้แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหมองหม่นและจำใจ

ท่อนไผ่ในมือเยี่ยนจ้าวเกอชี้ไปยังที่ที่อยู่ไกลออกไป  เขตใจกลางหุบเหวแห่งนี้ไม่มีที่สำหรับพวกเจ้า พาเฉาหยวนหลงไสหัวออกไปเสีย 

เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว แม้ว่าศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เสียความฮึกเหิมและความหยิ่งยโสไป ทว่าก็ยังมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยสายตาโกรธแค้น

 เหตุใดพวกข้าอยู่ในเขตใจกลางหุบเหวใหญ่ขนาดนี้ไม่ได้? 

 ศิษย์พี่ฉาวก็สลบอยู่ ถ้าไปอยู่ในที่ที่มีหมอกดำหนาแน่น ร่างกายก็อาจจะรับไม่ไหว! 

 ศิษย์พี่เยี่ยนท่านนี้ พวกเจ้าศิษย์เขากว่างเฉิงทำเกินไปหน่อยกระมัง คิดว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของข้ารังแกกันได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ? 

แม้แต่ศิษย์ของสำนักเขากว่างเฉิงได้ยินคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว ต่างก็รู้สึกว่าเหมือนจะเกินไปอยู่บ้างเช่นกัน

สถานที่อันตรายอย่างหุบเหวปราการมังกรนี้ มีพื้นที่ที่ปลอดภัยอย่างเขตใจกลางหุบเหวน้อยมาก พื้นที่ตรงหน้านี้กว้างใหญ่ แม้ว่าคนของทั้งสองสำนักจะมีความบาดหมางต่อกัน แต่ก็ยังสามารถอยู่กันคนละฝั่ง ทำเหมือนต่างคนต่างไม่เห็นกันได้

เยี่ยนจ้าวเกอซัดเฉาหยวนหลงจนสลบไปแล้ว ทั้งยังรังแกศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จนใบหน้าอาบไปด้วยเลือด นี่พอจะกล่าวได้ว่าเป็นผลจากการประมือกันระหว่างศิษย์รุ่นเยาว์แล้ว

แต่การจะให้เฉาหยวนหลงและคนอื่นๆ ออกไปจากเขตใจกลางหุบเหว ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่โอหังเกินไปอยู่บ้าง

พูดกันตามตรง แม้ว่าในใจลึกๆ ของศิษย์สำนักเขากว่างเฉิงจะไม่ยอมรับ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แล้ว สำนักของพวกเขายังด้อยกว่าอยู่หลายส่วนจริงๆ

เยี่ยนจ้าวเกอกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพียงแต่เคาะท่อนไผ่ลงบนฝ่ามือข้างซ้ายเป็นจังหวะเบาๆ และใช้สายตาที่เต็มไปด้วยการกลั่นแกล้งมองไปยังใบหน้าของทุกคนในสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่คิดปกปิด

เฉาหยวนหลงสลบอยู่ หัวหน้ากลุ่มศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ในบรรดาคนที่ยังเหลืออยู่พลันสูดลมหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่ง แล้วหันไปกดเสียงต่ำพูดกับศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลัง  คนฉลาดย่อมต้องรู้สถานการณ์ พวกเราไป! 

เมื่อเผชิญหน้ากับเยี่ยนจ้าวเกอ ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดก็พากันก้มหน้าเงียบๆ แตกต่างกับยามที่เผชิญหน้ากับซือคงจิงและเยี่ยจิ่ง พวกเขาแบ่งคนจำนวนหนึ่งมาแบกเฉาหยวนหลง แล้วเดินถอยออกไปไกลด้วยสภาพที่โซซัดโซเซ

แต่ใครต่างก็รู้ พวกเขาไม่ยอมให้เรื่องจบลงแบบนี้แน่ เพียงแค่ถอยไปตั้งหลัก รวมถึงกลับไปขนกำลังสนับสนุน และกลับมาอีกครั้งแน่

บางคนมองเงาของศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จากไป พลางกดเสียงลงเอ่ย  ถ้าอย่างนั้น ให้พวกเขาอยู่ที่นี่เสียเถิด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือปราการมังกร… 

คนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดนี้

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้พูดอะไร ร่างใหญ่โตของอาหู่พลันปรากฏขึ้นที่ข้างกาย แคะขี้หูแล้วใช้นิ้วดีดทิ้งไป  โหดใช่เล่นเลยเจ้าเด็กน้อย ข้าชอบเจ้ามาก 

 แต่ว่า คุณชายของข้าจะกลัวเจ้าพวกนั้นเรียกกำลังเสริมหรือ? 

ศิษย์คนนั้นก็พูดอะไรไม่ออก คนอื่นที่ได้ยินก็ทำได้เพียงอ้าปากพะงาบๆ

มีบิดาที่เก่งกาจก็ดีเช่นนี้ ไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลจริงๆ…

อาหู่ตื่นเต้นยิ่ง ปากยิ่งพูดก็ยิ่งเลยเถิด หัวเราะคิกคักพลางกล่าว  สาเหตุที่แท้จริงก็คือ วันนี้คุณชายของข้าอารมณ์ดีมากต่างหาก 

 ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ถ้าเจอตอนที่เขาอารมณ์ไม่ดี เขาคงได้ใช้คนเป็นที่ระบายอารมณ์ เฉาหยวนหลงและเจ้าพวกนั้นคงถูกเอาฝังไว้ที่นี่ทั้งหมดแน่

คนหลายคนนึกอยากหัวเราะแต่ก็ไม่กล้า ในตอนนั้นเอง อาหู่ได้ยินวาจาของเยี่ยนจ้าวเกอดังขึ้นที่ข้างหูของเขา  อาหู่ คุณชายอย่างข้าขอหักค่าแรงเดือนนี้ของเจ้าสักหน่อยแล้วกัน 

อาหู่ตาถลน  คุณชาย อย่านะขอรับ!  

 ก็เหมือนที่เจ้าพูดเอาไว้ เมื่อคุณชายของเจ้าอารมณ์ไม่ดี ก็จะระบายอารมณ์กับผู้อื่น 

 สวรรค์โปรด คุณชายเป็นผู้ฉลาดล้ำดีงามระดับเทพ สูงส่งกว่าผู้ใด โอบอ้อมอารี เปี่ยมด้วยความเมตตา… 

ไม่มีใครสนใจคำพูดของอาหู่ ถึงแม้ว่าจะมีศิษย์สำนักเขากว่างเฉิงกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อาจตามมาภายหลัง ทว่าคนส่วนใหญ่กลับรู้สึกสะใจและยินดีมากกว่า จึงพากันมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมและเคารพนับถือ

แค่ชั่วพริบตาที่เหมือนกับการโบกมือหรือดีดนิ้ว ก็ทำให้เฉาหยวนหลงที่วรยุทธ์อยู่ในระดับเดียวกันบาดเจ็บไปอย่างง่ายดาย

เฉาหยวนหลงไม่ใช่ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในทั่วๆ ไป แต่เป็นลูกศิษย์รับสืบทอดหลักของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงเป็นบุคคลมากกว่าความสามารถในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน และเก่งกาจอยู่ในระดับต้นๆ ในบรรดาคนที่มีวรยุทธ์ระดับเดียวกัน ทำให้เป็นชนรุ่นหลังที่โดดเด่นและมีชื่อเสียงในโลกแปดพิภพ

ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับขั้นเดียวกัน จะมีสักกี่คนที่กล้าพูดว่าตนเองสามารถจัดการเฉาหยวนหลงให้อยู่ในสภาพนี้ได้สบายๆ

มีศิษย์บางคนที่เข้าสำนักมานานหน่อย มองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความรู้สึกสงสัย ก่อนจะอุทานด้วยความชื่นชมว่า  ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยรู้เลยว่าศิษย์พี่เยี่ยนแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ หรือว่าก่อนหน้านี้เขาปกปิดเอาไว้มาตลอดเลย 

‘แค่กๆ น่านับถือ น่านับถือ ต้องรักษาความน่านับถือของยอดฝีมือไว้ ต้องมีความน่านับถือ!’ เยี่ยนจ้าวเกอพร่ำบอกตนเองอยู่ในใจ ขณะเดียวกันก็รับเอาสายตาที่ชื่นชมและนับถือของทุกคนไว้อย่างไม่เกรงใจ

แม้มังกรเขียวในชายเสื้อนั้นเป็นวิชาที่เจ้าของร่างเดิมคิดค้นขึ้น แต่หากไม่ใช่เพราะเยี่ยนจ้าวเกอปรับแก้จุดอ่อนและทำให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ก็คงไม่มีทางมีผลลัพธ์เยี่ยมยอดเช่นเมื่อครู่อย่างแน่นอน

หลังจากนำเจตจำนงกระบี่ของสุดยอดวิชากระบี่มังกรเมฆาที่สำนักพระราชวังเทพเก็บสะสมไว้ในโลกก่อน มารวมกับกระบวนกระบี่ของวิชามังกรเขียวในชายเสื้อ ก็เกิดผลลัพธ์ชนิดพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือในทันที

ส่วนเรื่องที่นำเอาท่อนไผ่มาใช้แทนกระบี่ ก็เพียงแต่ทำเล่นๆ ให้ตกเป็นจุดสนใจเท่านั้น เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ดึงเอาความสนใจมานั่นเอง

แต่ทั้งที่ตกลงกันไว้ว่าจะคิดด้วยกันทำด้วยกัน แต่ตอนนี้เหมือนว่าเขาเป็นฝ่ายทำคนเดียวทั้งหมด…

‘ผลลัพธ์ไม่เลว ยังต้องพยายามต่อไป’ เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

มีศิษย์น้องร่วมสำนักคนหนึ่งถามขึ้นด้วยความลังเลว่า  ศิษย์พี่เยี่ยน ในเมื่อไม่สามารถจัดการคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดได้ เหตุใดจึงต้องฉีกหน้าแล้วไล่พวกเขาออกไปเช่นนั้นด้วยขอรับ 

เยี่ยนจ้าวเกอตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า  เพราะข้าอารมณ์ดีอย่างไรเล่า 

ฝ่ายตรงข้ามเบิกตาปากอ้าค้าง ไม่รู้จะกล่าวอะไรต่อไปในชั่วขณะหนึ่ง

ชายหนุ่มหัวเราะ ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เพียงดีดนิ้วครั้งหนึ่ง อาหู่ก็รีบนำเอาเตาผลึกหินชั้นในที่แบกเข้ามาอย่างยากลำบากมาวางไว้ที่เขตใจกลางหุบเหว

เป็นเช่นคำพูดของอาหู่ วันนี้เยี่ยนจ้าวเกออารมณ์ดีมาก เขาใช้ฝ่ามือตบลงเบาๆ บนเตาผลึกหินชั้นใน พลางมองไปยังเหวลึกที่อยู่ด้านหน้า ‘พื้นที่เก้าปราณพิษที่ตามหามานาน ไม่เสียแรงเปล่าเลยจริงๆ’

…………….

 

เฉาหยวนหลงคิดจะใช้มือเปล่าทั้งสองข้างบีบแสงนั้นเพื่อต้านกระบี่

แต่กลับผิดคาด เพราะข้างบนลำแสงนั้นพลันมีคมกระบี่สีเขียวระเบิดออกมามากมาย!

วินาทีนี้ราวกับมังกรตัวจริงพัดกระเพื่อมเกล็ดทั่วร่าง เข้ามาจู่โจมเกราะเกล็ดของเขา!

มังกรเขียวในแขนเสื้อ กระบวนท่ามังกรสะบัดลาย!

แสงของกระบี่ในขณะนี้ราวกับมังกรของจริงตัวหนึ่ง!

คมกระบี่สีเขียวแตกตัวออกตัดเรียวเข็มสีทองเหล่านั้นขาดเป็นท่อนๆ!

เฉาหยวนหลงถอยหลังไปหนึ่งก้าว สีหน้าพลันเคร่งขรึมจริงจังขึ้น

เขากัดฟันแล้วพูดย้ำทีละคำว่า  เยี่ยน! จ้าว! เกอ!  

เงาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าฝูงชน ทั้งร่างสวมอาภรณ์สีขาว คลุมทับด้วยเสื้อคลุมตัวนอกสีน้ำเงิน ตรงขอบเสื้อคลุมเป็นแถบสีดำ เขาผู้นั้นคือเยี่ยนจ้าวเกอ

เมื่อเห็นสีหน้าสบายอกสบายใจราวกับกำลังเที่ยวเล่นของเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว ศิษย์สำนักเขากว่างเฉิงก็รู้สึกเบาใจขึ้นทันที ความกดดันที่เฉาหยวนหลงสร้างมาก่อนหน้านี้ อันตรธานไปจนสิ้น

ส่วนลูกศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เริ่มใจเต้นระทึก ถึงแม้ว่าในยามปกติพวกเขาล้วนหยิ่งทะนงจนเคยตัว แต่กำลังใจของพวกเขาในยามนี้กลับลดฮวบ

เยี่ยนจ้าวเกอเดินเข้าไปตรงหน้าของฉาวหยวนลงอย่างใจเย็น  ข้ามาแล้ว เจ้าอยากจะจบอย่างไร บอกมาเถิด 

เฉาหยวนหลงถลึงตาใส่เยี่ยนจ้าวเกอ ก่อนจะคำรามเสียงทุ้มต่ำว่า  มาก็ดีแล้ว! 

ทั่วร่างของเขาคล้ายกับเรืองแสงแสงสีทอง แสงนั้นเหมือนเข็มสีทองพันหมื่นเล่ม ทั้งยังราวกับแสงอาทิตย์ที่กำลังสาดส่องไปทั่วทุกทิศ

วินาทีต่อมา เฉาหยวนหลงก็ปล่อยหมัดออกไปโจมตีเยี่ยนจ้าวเกอ

วิชาวรยุทธ์ที่ตกทอดในสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ หัตถ์เทพกลางเวหา!

แสงแดดร้อนแผดเผา ราวกับพระอาทิตย์กลางฟ้ายามเที่ยงวัน!

ท่าทางที่แตกต่างกับก่อนหน้านี้ส่งผลให้ซือคงจิง เยี่ยจิ่ง และคนอื่นๆ ตื่นตระหนก นอกจากวิชาเข็มทองสุริยันแล้ว เฉาหยวนหลงในขณะนี้ยังขับเคลื่อนหัตถ์เทพกลางเวหา อันเป็นอีกหนึ่งสุดยอดวิชาอีกด้วย

สองวิชารวมเข้าด้วยกัน ยิ่งเพิ่มอานุภาพให้เขามากขึ้น

ลำพังเพียงแค่ลมฝ่ามือที่เกิดขึ้นก็คมกริบดุจมีดแหลมคม บรรยากาศรอบพื้นที่ที่ถูกฝ่ามือของเฉาหยวนหลงครอบคลุมหยุดนิ่งไปในพริบตา แม้กระทั่งฝุ่นผงดินทรายก็ถูกหยุดไว้กลางอากาศ

พลังหนึ่งฝ่ามือปิดผนึกทุกการไหลเวียนอากาศทั้งหมดไว้ ลมหายใจเข้าออกของเฉาหยวนหลงแกร่งดุจหินผา ในเวลานี้ร่างกายของเขาสามารถแปรเปลี่ยนเหล็กกล้าให้แหลกเหลวเป็นโคลนได้ เพียงจับไว้แค่ครั้งเดียว!

เยี่ยนจ้าวเกอยังมีสีหน้าคงเดิม เขาสะบัดมือขวาเบาๆ ครั้งหนึ่ง แสงสีเขียวพลันปรากฏขึ้นที่ชายเสื้อ และวิ่งตรงไปยังเฉาหยวนหลง

เสียงมังกรคำรามดังขึ้นอีกครั้ง แสงสีเขียวของกระบี่สั่นสะเทือนด้วยเช่นกัน คมกระบี่นับพันหมื่นทอประกายระยิบระยับราวกับเทพมังกรกำลังสะบัดเกราะ

ชายหนุ่มรวมร่างกับกระบี่ ดุจมังกรที่ลอยคว้างอยู่เหนือเมฆา ตัวเขาราวกับกลายร่างเป็นมังกรเขียวพุ่งทะยานสู่ฟ้า แหวกทำลายแสงสีทองเสมือนแสงอาทิตย์นั้น!

มังกรเขียวในชายเสื้อ เพลงกระบี่มังกรลอดเมฆ!

เพลงกระบี่มังกรลอดเมฆนี้ ราวกับมีมังกรพุ่งทะยานสู่ม่านเมฆ และยังเทียบได้กับวีรบุรุษผู้หาญกล้า ที่ผงาดขึ้นมาให้เวลาที่เหมาะสม!

 ครืน! 

เสียงหนึ่งดังกังวาน ประกายแสงสีทองและสีเขียวมลายหายไปพร้อมกัน

ร่างของเฉาหยวนหลงลอยหวือไปด้านหลัง เมื่อยืนอย่างมั่นคงได้อีกครั้ง สายตาของเขาก็ปรากฏความสับสน

ครั้นเขาได้สติกลับคืนมา สีหน้าของเขาดุร้ายขึ้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ทันที พลางจ้องเขม็งมายังเยี่ยนจ้าวเกอ บนใบหน้ามีรอยเลือดสีแดงเล็กๆ ที่เห็นได้ชัด รู้ได้ทันทีว่าเป็นรอยกรีดจากบางสิ่งบางอย่างที่อีกฝ่ายใช้

เยี่ยนจ้าวเกอไพล่มือทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง พร้อมมองเฉาหยวนหลงอย่างสงบนิ่ง ไม่กล่าววาจา คล้ายกับกำลังถามเขาว่ายังจะเข้ามาอีกหรือไม่

เฉาหยวนหลงโกรธจัด หลังจากตะโกนส่งเสียงด้วยความโมโหแล้ว เขาก็พุ่งตัวไปอีกครั้ง

แสงสีเขียวปรากฏขึ้นในหุบเหวปราการมังกรที่มืดมิดอีกครั้ง และเสียงคำรามก็ดังขึ้นในเวลาเดียวกันนั้นด้วย

 พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก! 

ตอนนี้เหล่าลูกศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์พากันอ้าปากตาค้าง เห็นเพียงศิษย์พี่ฉาวของตนที่ก่อนหน้านี้ยังเรี่ยวแรงเต็มกำลัง กลับมีรอยเลือดตัดสลับไปมาบนใบหน้าด้านซ้ายและขวาเต็มไปหมด สภาพน่าเวทนาถึงขั้นที่ผู้ได้เห็นสะเทือนใจ ผู้ได้ฟังน้ำตาไหล

เฉาหยวนหลงถูกเล่นงานจนสภาพโซซัดโซเซ ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ

เขารวบรวมปราณจิตราทั้งหมดมาไว้บนสองฝ่ามือ แล้วจู่โจมไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ

การโจมตีครั้งนี้ เขาละทิ้งการป้องกันตนเองและการตั้งรับโดยสิ้นเชิง มุ่งแต่เพียงโจมตีเท่านั้น พร้อมทั้งเพิ่มพลังการโจมตีจนถึงขีดสูงสุด คิดแค่ว่าต่อให้ต้องตายพร้อมกัน ก็ต้องฆ่าเยี่ยนจ้าวเกอที่นี่ให้ได้!

เยี่ยนจ้าวเกอเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง ครั้นเขาขยับมือขวาอีกครั้ง กระบี่เล่มหนึ่งพลันพุ่งตรงไปยังฝ่ามือที่เฉาหยวนหลงฟาดออกมา

ท่ามกลางเสียงมังกรคำรามที่ดังกระหึ่ม มีเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นด้วยเช่นกัน

วินาทีต่อมา ทุกคนก็ได้เห็นรูโหว่อาบเลือดปรากฏอยู่กลางฝ่ามือของเฉาหยวนหลง ซึ่งเป็นแผลทิ่มทะลุที่เกิดจากกระบี่ของเยี่ยนจ้าวเกอ!

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวเสียงเรียบ  พอใจแล้วกระมัง? 

ชายหนุ่มยังคงมีสีหน้าที่เฉยชา แม้เมื่อเผชิญกับสายตาตื่นตระหนกและสงสัยของผู้คน เขาสะบัดแขนเสื้ออีกครั้งหนึ่ง เผยให้เห็นสิ่งของสีเขียวอ่อนท่อนหนึ่งอยู่ภายใน

ทุกคนพากันมองไปตรงนั้น ถึงได้เห็นอาวุธที่เยี่ยนจ้าวเกอใช้ชัดๆ

สิ่งที่เห็นกลับทำให้ทุกคนยิ่งตะลึงมากไปอีก

เฉาหยวนหลงเห็นดังนั้น ก็หน้ามืดจนเกือบหงายท้องเป็นลมล้มพับไป

สิ่งนั้นหาใช่กระบี่ไม่ แต่เป็นเพียงท่อนไผ่บางๆ สีเขียวอ่อนธรรมดาเท่านั้น

เยี่ยนจ้าวเกอใช้มือขวาถือท่อนไผ่ ส่วนมือซ้ายกำปลายอีกข้างหนึ่งเอาไว้

ไผ่สีเขียวอ่อนท่อนบางๆ ทำมุมโค้งเล็กน้อยระหว่างทั้งสองมือ โดยด้านบนยังมีใบไผ่สดใหม่แกว่งไปมาเบาๆ

ครั้นเห็นภาพนี้ ใบหน้าของผู้คนพลันปรากฏสีหน้าไม่อยากเชื่อขึ้นมา

ความคิดนับไม่ถ้วนผุดขึ้นในใจของผู้คนเหล่านั้น

‘เป็น…เป็นของวิเศษบางอย่าง เพียงแค่เก็บซ่อนพลังวิเศษไว้ จึงดูเหมือนเป็นท่อนไผ่ธรรมดาหรือ?’

บางคนเพิ่งมีความคิดเช่นนี้เกิดขึ้น เยี่ยนจ้าวเกอก็สะบัดมือครั้งหนึ่ง

ท่อนไผ่ตกลงบนพื้น ก่อนจะปักเข้าไปในพื้นราวกับกระบี่อันแหลมคม แล้วสั่นไหวเบาๆ

เมื่อสูญเสียการปกป้องและปราณจิตราของเยี่ยนจ้าวเกอไปแล้ว ท่อนไผ่ก็แห้งเฉาจากปราณพิษในปราการมังกรน้ำลึกไปทันที

ไผ่สีเขียวสดที่แต่เดิมชุ่มฉ่ำร่วงโรยไปอย่างรวดเร็ว กิ่งก้านที่อวบอิ่มเมื่อขาดน้ำก็แปรเปลี่ยนเป็นเหี่ยวเฉาและเปื่อยเน่า จนสุดท้ายกลายเป็นเพียงฝุ่นละออง

ฝูงชนเบิกตาโตปากอ้าค้าง  คิดไม่ถึงว่า…เป็นแค่ท่อนไผ่ที่ธรรมดายิ่งกว่าธรรมดาจริงๆ! 

เยี่ยจิ่งขมวดคิ้วแน่น แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ  แต่ท่อนไผ่ที่บอบบางถึงเพียงนั้น จะรองรับปราณจิตราที่แข็งแกร่งของจอมยุทธ์ได้อย่างไร อย่าว่าแต่ใช้สู้กับศัตรูเลย เพียงถ่ายเทปราณจิตราเข้าไป ท่อนไผ่ก็สมควรจะแหลกสลายเป็นผุยผงทันทีแล้ว 

 ขนาดทองคำและโลหะทั่วไปยังทนรับไว้ไม่ได้เลย ต้นไม้ใบหญ้ายิ่งไม่ต้องพูดถึงกระมัง 

 ทักษะการควบคุมที่ละเมียดละไมและล้ำเลิศขั้นสูงสุด ทำเรื่องที่ยากให้ดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย กระบี่มีพลังอย่างเหลือล้น  แววตาของซือคงจิงปรากฏความรู้สึกตกตะลึงขึ้นมา  ตอนที่ออกกระบี่ มีปราณจิตราของผู้ฝึกยุทธ์เพียงน้อยนิด แม้ไม่เห็นพลังปราณวิญญาณของอาวุธวิเศษ แต่ดูเหมือนอาวุธแหลมคม ข้ายังคิดว่าอาจเป็นเพียงดาบธรรมดา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นต้นไผ่… 

ซือคงจิงเพ่งมองเยี่ยนจ้าวเกอ  เขาผ่านด่านขวางกั้น และบรรลุระดับปรมาจารย์จิตราชั้นนอกแล้วหรือ? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่ามีปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกคนใดสามารถควบคุมปราณจิตราได้ละเอียดถึงเพียงนี้ 

 แต่ต่อให้เป็นปรมาจารย์จิตราชั้นนอกระยะต้นก็คงทำไม่ได้กระมัง เช่นนั้นเขา… 

ชั่วขณะนั้นเอง ทุกคนล้วนตกอยู่ในห้วงภวังค์

วรยุทธ์ของพวกเขาอาจจะยังน้อย แต่ก็เป็นลูกศิษย์ของสำนักที่มีชื่อเสียง มีประสบการณ์มาก โลกทัศน์กว้างไกล จึงพอจะมองออกถึงความไม่ธรรมดาของการโจมตีครั้งนั้น

ใช้กิ่งไผ่แทนกระบี่ยังมีอานุภาพมากถึงเพียงนี้ หากเป็นกระบี่ของจริงเล่า?

แล้วหากว่าเป็นอาวุธสงคราม หรืออาวุธวิเศษเล่า?

แม้แต่ศิษย์สำนักเขากว่างเฉิงเองก็ยังเงียบงันไม่เอ่ยวาจา

เฉาหยวนหลงจ้องเยี่ยนจ้าวเกอตาไม่กะพริบ พลางหอบหายใจ บนร่างมีปราณของอาวุธวิเศษค่อยๆ ไหลเอ่อออกมา

เป็นการเคลื่อนไหวของปราณวิญญาณที่เหนือกว่าอาวุธวิเศษระดับล่างอยู่หลายขั้น

เยี่ยนจ้าวเกอมองเขาอย่างไร้ความรู้สึก  เจ้าอยากจะแข่งกับข้า ว่าอาวุธของใครดีกว่ากันอย่างนั้นหรือ 

อีกฝ่ายชะงักงัน ใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ แต่ก็ไม่กล้าขับเคลื่อนอาวุธวิเศษของตัวเองอีก

หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยจบ เขาโบกแขนเสื้อครั้งหนึ่ง อาวุธวิเศษระดับล่างที่หล่นอยู่บนพื้นสิบกว่าชิ้นก็ลอยขึ้นมาพร้อมกัน!

ภายใต้การขับเคลื่อนของปราณจิตรา ปราณวิญญาณของอาวุธวิเศษถูกกระตุ้นให้ตื่นจากการหลับใหลทันที จากนั้นก็พร้อมใจกันโจมตีเฉาหยวนหลงอย่างมืดฟ้ามัวดิน!

ศิษย์สำนักเขากว่างเฉิงล้วนส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ พลานุภาพของอาวุธวิเศษที่ปรากฏอยู่ในตอนนี้ แตกต่างจากตอนที่พวกเขาเป็นผู้ขับเคลื่อนราวฟ้ากับเหว!

ครั้งนี้เฉาหยวนหลงเองก็ไม่กล้าปะทะโดยตรง จึงถูกอาวุธวิเศษที่เหมือนกับมรสุมพายุถาโถมเข้าไปจนได้แต่ถอยหลังหนีไป

เหล่าศิษย์สำนักเขากว่างเฉิงหัวเราะเสียงดัง ส่วนศิษย์สุริยันสำนักศักดิ์สิทธิ์ต่างก็กำลังใจแห้งเหือด

อาวุธวิเศษเหล่านี้ ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นโล่ เกราะแขน และเกราะป้องกันที่เป็นอาวุธป้องกันตัว แต่บัดนี้เยี่ยนจ้าวเกอกลับขับเคลื่อนพวกมันเข้าโจมตี ราวกับอาวุธลับขนาดใหญ่ที่มีพลังหนักหน่วง

สุดท้ายเยี่ยนจ้าวเกอก็กระแทกฝ่ามือเข้ากับโล่ใบหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ

โล่ใบนั้นพุ่งทำลายการป้องกันของเฉาหยวนหลง กระแทกเข้ากับศีรษะของเขา ส่งผลให้ศิษย์ระดับสูงของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จนสลบเหมือดไป

หลังตีเฉาหยวนหลงจนสลบ เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ สายตากวาดมองไปทางศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ฝ่ายตรงข้ามต่างก็รู้สึกหนาวสันหลังวาบขึ้นมาในทันที

…………….

 

ชื่อของเฉาหยวนหลงเป็นที่โด่งดังในกลุ่มจอมยุทธ์รุ่นเยาว์

ไม่ใช่เพียงเพราะว่าเขาได้เป็นถึงปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในตั้งแต่อายุยังน้อย ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเขามีอนาคตกว้างไกล และความสามารถน่าทึ่งในเวลาเดียวกัน

เมื่อครึ่งปีก่อน ตอนที่เขาท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ เขาได้ประมือและเอาชนะคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันพร้อมกันได้ถึงสามคน

ในขณะที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ก็ทำให้ผู้อื่นได้รู้ว่าเหตุใดชายหนุ่มผู้นี้ถึงได้เป็นตัวแทนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ในกลุ่มคนรุ่นเดียวกัน

บัดนี้จู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวขึ้นมา และใช้วรยุทธ์สกัดกั้นสถานการณ์ทั้งหมดไว้ ทั้งสองฝ่ายห่างชั้นกันมากโข ทำให้บรรดาศิษย์เขากว่างเฉิงที่ปกติเคยพบเจอปรมาจารย์ยอดฝีมือมาบ้าง ต่างรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาล

มีคนตอบไปว่า  พวกเราตามศิษย์พี่เยี่ยนมา… 

พูดยังไม่ทันขาดคำ ในดวงตาทั้งสองข้างของเฉาหยวนหลงก็ฉายแววน่าประหวั่นพรั่นพรึง ราวกับแสงของพระอาทิตย์ทิ่มแทงดวงตาจนไม่อาจมองตรงๆ ได้

เฉาหยวนหลงเอ่ยถาม  เยี่ยนจ้าวเกอรึ? 

ผู้คนต่างพากันสะดุ้ง จนมีศิษย์เขากว่างเฉิงตอบกลับไปว่า  ใช่แล้ว ศิษย์พี่เยี่ยนที่ชื่อเยี่ยนจ้าวเกอคนนั้นแหละ 

แววตาของเฉาหยวนหลงยิ่งเป็นประกายมากขึ้น พร้อมทั้งก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง

อาวุธวิเศษระดับล่างมากมายที่ตกกระจายอยู่บนพื้นสั่นสะเทือนพร้อมกันครั้งหนึ่ง

แม้ว่าอาวุธวิเศษจะมีจิตวิญญาณ ทว่าอย่างไรเสียก็ยังเป็นสิ่งของ ไม่มีความรู้สึกนึกคิด เมื่อสูญเสียการควบคุมจากเจ้าของไป หลังจากเฉาหยวนหลงโจมตีใส่อีกครั้ง พวกมันจึงสั่นสะเทือนขึ้นมา

ครั้นเฉาหยวนหลงเหยียบลงไปบนพื้น เยี่ยจิ่งและคนอื่นๆ รู้สึกได้ในทันที ว่าการเชื่อมต่อของตนกันอาวุธวิเศษที่คอยฝึกฝนและดูแลกันมาด้วยความยากลำบาก ได้ถูกตัดขาดไปดื้อๆ เสียแล้ว!

สมองของทุกคนรู้สึกเจ็บแปลบคล้ายกับโดนเข็มทิ่มแทง ซึ่งเป็นการบ่งบอกอย่างชัดเจน ว่าการเชื่อมต่อของตนกับอาวุธวิเศษถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง โดยฝีมือของเฉาหยวนหลง!

 อาวุธวิเศษระดับล่างถือเป็นของล้ำค่าสำหรับจอมยุทธ์ระดับยุทธ์หลอมกาย แต่สำหรับข้าแล้ว ต่อให้พวกเจ้าสามารถควบคุมพลังทั้งหมดของอาวุธวิเศษได้ ก็ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก 

เฉาหยวนหลงกล่าวอย่างเฉยชาว่า  เขากว่างเฉิงของพวกเจ้ามีอาวุธวิเศษเยอะมากนักใช่หรือไม่ ในเมื่อโอ้อวดต่อหน้าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของข้าแล้ว เช่นนั้นก็ทิ้งไว้ที่นี่เถิด 

 แม้ข้าจะไม่ได้สนใจสิ่งของพวกนี้ แต่มอบให้ศิษย์น้องทั้งหลายไว้เล่นสักสองสามปีก็ดูจะเข้าท่าดี พวกเจ้าใช้พลังของอาวุธวิเศษโจมตีศิษย์ร่วมสำนักข้า อาวุธวิเศษพวกนี้ถือว่าเป็นค่าเสียหายแล้วกัน 

เขากวักมือให้ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านหลัง  พวกเจ้ามาเลือกกันเอง 

บรรดาศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต่างพากันยิ้มขึ้นมา  ขอบคุณศิษย์พี่ฉาว!  

เยี่ยจิ่งและคนอื่นโมโหจัด เฉาหยวนหลงกวาดสายตามองพวกเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ก่อนที่จะหยุดมองที่ซือคงจิง  ข้ารู้ว่าในมือเจ้ายังมีอาวุธวิเศษระดับกลางอีกหนึ่งชิ้น หากเจ้าอยากจะให้ข้าด้วย ก็เอาออกมาได้นะ 

ซือคงจิงขมวดคิ้ว พลางสบตากับเฉาหยวนหลงอย่างไม่มีทีท่าจะโอนอ่อนให้

ส่วนเยี่ยจิ่งมีสีหน้าเย็นชา นิ้วมือลูบที่แหวนวงสีแดงเข้มของตนเบาๆ

เฉาหยวนหลงเอามือทั้งสองข้างไพล่หลังไว้เหมือนเดิม ทั่วทั้งกายเริ่มมีแสงสีทองกะพริบเลือนราง ราวกับเรียวเข็มสีสองนับหมื่นเล่ม

 ข้าไม่อยากรังแกศิษย์รุ่นหลังเช่นพวกเจ้าหรอก กลับไปเรียกเยี่ยนจ้าวเกอมาพบข้า ข้าจะรอเขาอยู่ที่นี่ 

บนใบหน้าที่ดุดันและเย็นชาของเฉาหยวนหลงปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ ขึ้น  ขอแค่เขากล้ามา 

แสงสีทองดุจเรียวเข็มลอดผ่านทุกขุมขนทั่วทั้งร่างกายของเฉาหยวนหลง ทำให้ดูเหมือนว่าร่างกายเขาชุบด้วยทองไปทั้งตัว

บรรดาศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต่างมองเฉาหยวนหลงด้วยความเคารพนับถือระคนหวาดกลัว

ศิษย์พี่ร่วมสำนักผู้นี้อดทนต่อความเจ็บปวดของเข็มที่ทิ่มแทงและไฟที่ลุกโชนทั้งร่างเป็นเวลาหลายปีเสมือนเป็นเพียงหนึ่งวัน ทำการฝึกฝนด้วยวิธีการที่แทบจะเป็นการทารุณตนเอง จนกระทั่งระดับวิชาเข็มทองสุริยันถึงระดับที่สูงมาก

กับตนเองยังทำได้ถึงขนาดนี้ แล้วกับผู้อื่นเล่า จะโหดร้ายเลือดเย็นสักเพียงใด แค่คิดก็พอจะรู้ได้

แม้กระทั่งศิษย์ร่วมสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ยังรู้สึกเกรงกลัวเฉาหยวนหลงเช่นกัน  ศิษย์พี่ฉาวฝึกวิชาเข็มทองสุริยันถึงขั้นที่เก้าแล้วจริงๆ ด้วย! 

‘ปล่อยปราณจิตราสู่ภายนอกได้ ทั้งที่เดิมทีแล้วเป็นสิ่งที่ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกเท่านั้นถึงจะทำได้ แต่ศิษย์พี่ฉาวที่อยู่ในขั้นจิตราชั้นในระยะท้ายกลับทำได้แล้ว แม้จะยังเทียบไม่ได้กับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกที่แท้จริง ถึงกระนั้นก็ยังน่ากลัวมากอยู่ดี มิน่าเล่าถึงสามารถล้มศัตรูระดับเดียวกันได้ง่ายๆ’

ขณะที่กำลังคิดเช่นนี้ ทุกคนก็เห็นพลังของเฉาหยวนหลงยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งตัวราวกับแปรเปลี่ยนเป็นพระอาทิตย์ดวงเล็ก ทำให้ไม่กล้ามองตรงๆ

หมอกดำที่อยู่ในอากาศรอบๆ ดูบางเบาลงมากในพริบตา

ไม่จำเป็นต้องลงมือ เพียงแค่การสั่นกระเพื่อมของปราณจิตรา หินในหุบเขาที่อยู่ใกล้ๆ กับฉาวหยวนก็เริ่มปริแตกเป็นรอยร้าวเล็กๆ นับไม่ถ้วน

 ไม่ใช่ขั้นที่เก้า ขั้นที่สิบต่างหาก!  คราวนี้แม้กระทั่งศิษย์ร่วมสำนักของเฉาหยวนหลงก็ตกใจเช่นเดียวกัน  ศิษย์พี่ฉาวฝึกวิชาเข็มทองสุริยันจนสมบูรณ์แล้ว!  

ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต่างมองหน้ากันและกัน

ถึงแม้ผู้ฝึกฝนวิชาเข็มทองสุริยันจะมีน้อย ถึงกระนั้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็มีจำนวนไม่น้อย

ทว่าคนที่มีอายุเท่ากับเฉาหยวนหลง และฝึกวิชานี้จนถึงขั้นที่เก้าได้มีน้อยมาก จนถึงเวลานี้รวมแล้วยังมีไม่ถึงห้าคน

แต่หากจะกล่าวถึงผู้ที่ฝึกจนเสร็จสมบูรณ์ครบทั้งสิบขั้น เหมือนกับว่าเขา…จะเป็นคนแรก?

บรรดาศิษย์เขากว่างเฉิงอาจจะรู้จักวิชาเข็มทองสุริยัน ทว่ากลับไม่รู้ถึงรายละเอียดที่แน่ชัด จึงไม่รู้ว่าการกระทำของเฉาหยวนหลงมีความหมายอย่างไร

ถึงกระนั้นพลังอันน่าตกใจที่ปรากฏอยู่รอบกายของเฉาหยวนหลงในขณะนี้ ก็ทำให้พวกเขารู้ชัดว่า บุคคลตรงหน้านี้เป็นศัตรูที่ร้ายกาจเพียงใด

ก่อนหน้านี้ศิษย์เขากว่างเฉิงเห็นเยี่ยนจ้าวเกอลงมือไปแล้ว ทว่าไม่ได้รู้สึกถึงพลังมหาศาลเช่นนี้ จึงเกิดความหวาดกลัวขึ้นในใจทันที

ศิษย์พี่เยี่ยนจะเอาชนะคนตรงหน้านี้ได้หรือ?

‘จากกันครั้งก่อน เยี่ยนจ้าวเกอเองก็น่าจะก้าวหน้าบ้างแล้วกระมัง คิดว่าอย่างน้อยก็คงต้านวิชาเข็มทองสุริยันขั้นที่เก้าของข้าได้ แต่แค่ไม่รู้ว่าจะต้านพลังวิชาเข็มทองสุริยันขั้นที่สิบ ขั้นสมบูรณ์ของข้าได้หรือไม่?’

ท่ามกลางแสงสีทองดุจพระอาทิตย์ดวงเล็กๆ นั้น มีเสียงที่เฉยเมยของฉาวหยวนเกอส่งผ่านมา  ข้าเชื่อว่าเยี่ยนจ้าวเกอก็คงมีความก้าวหน้าเช่นกัน แต่ถ้าไม่มากพอ ข้าคงผิดหวังนัก 

 แต่ก่อนหน้านี้ที่ประลองกันไปสามรอบก็ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ วันนี้ถือว่ามาจบเรื่องก็แล้วกัน 

เมื่อได้ยินดังนี้ ใบหน้าของบรรดาศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาทันที

 หากไม่มาก็ต้องเสียหน้าแน่ แต่ถ้าเขาฝืนมาสู้ เช่นนั้นก็ไม่ใช่เพียงเรื่องของการเสียหน้าแล้ว 

ศิษย์แห่งเขากว่างเฉิงที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็มีสีหน้าไม่สู้ดีอย่างอดไม่อยู่

เฉาหยวนหลงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า  เรื่องเก็บซ่อนความสามารถ แล้วค่อยปล่อยออกมาในพริบตาเดียวนี้ ข้าไม่สนใจหรอก 

 พวกเจ้ากลับไปบอกเยี่ยนจ้าวเกอตามตรง ว่าวิชาเข็มทองสุริยันของข้าสมบูรณ์ทั้งสิบขั้นแล้ว และถามเขาว่ากล้ามาหรือไม่? 

ยังไม่ทันที่เฉาหยวนหลงจะกล่าวจบ ในปราการมังกรพลันมีเสียงที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวดังขึ้น

 ข้าก็มาแล้วนี่ไง 

ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งวิ่งผ่านความมืดเข้ามา ราวกับสายฟ้าที่ฝ่าผ่านรัตติกาล!

มีเสียงมังกรคำรามดังขึ้น ทีแรกเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่มันกลับกลายเป็นเสียงดังกระหึ่มจนหูแทบระเบิดเพียงแค่ชั่วพริบตา!

 เยี่ยนจ้าวเกอ ยังเป็นมังกรเขียวในชายเสื้อเหมือนเดิมอยู่อีกหรือ  เฉาหยวนหลงพูดขึ้นเสียงดัง จากนั้นถึงเริ่มใช้วิชาเข็มทองสุริยัน เขายื่นมือทั้งสองออกมาแล้วประกบเข้าหากัน คิดจะใช้ฝ่ามือนั้นบีบแสงกระบี่สีเขียวนั้นไว้

………..

 

อาหู่มีสีหน้างุนงง เขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริงในคำสั่งของคุณชาย แต่เขาก็เชื่อฟังทำตามคำสั่งของทุกอย่าง

ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้มีจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์อยู่ด้วย คุณชายของเขาก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่ง อีกทั้งเหตุการณ์ก็แสดงให้เห็นแล้ว ว่าสถานการณ์ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเยี่ยนจ้าวเกอแต่อย่างใด

ศิษย์รุ่นเยาว์แห่งเขากว่างเฉิงเสียเปรียบในตอนแรกเล็กน้อย ทว่าเมื่อเยี่ยจิ่งและซือคงจิงเข้ามา สถานการณ์ถึงได้เปลี่ยนไป

ทั้งสองฝ่ายปะทะกันในปราการมังกร จนสุดท้ายก็เริ่มจริงจังขึ้นมา อาวุธต่างๆ จึงถูกนำออกมาใช้ด้วย

สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และเขากว่างเฉิงอยู่ในระดับเดียวกัน และอาจเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือกว่าด้วย จอมยุทธ์อายุน้อยระดับยุทธ์หลอมกายกล้าเข้ามาฝึกฝนในสถานที่อันตรายอย่างหุบเหวปราการมังกรเช่นนี้ ทั้งพรสวรรค์และความสามารถต้องเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันแน่นอน

สำนักที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาก็ยอมลงทุนในตัวพวกเขาด้วยเช่นกัน เพราะอย่างน้อยแต่ละคนมีอาวุธติดตัวเป็นอาวุธสงครามคนละหนึ่งชิ้น

ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ฝีมือโดดเด่นที่สุดในนั้นก็ยังมีอาวุธวิเศษติดตัวมาด้วย

ศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีไม่ถึงยี่สิบคน กลับมีอาวุธวิเศษระดับล่างถึงแปดชิ้น เมื่อนำออกมาใช้พร้อมกัน ปราณวิญญาณพลันเกิดเป็นแสงส่องสว่างไปทั่วทุกทิศ

จากนั้น…

ศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ตะลึงไปในทันที

นั่นเป็นเพราะศิษย์ทั้งสิบหกคนของเขากว่างเฉิงที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาต่างก็ถืออาวุธวิเศษกันคนละหนึ่งชิ้น อีกทั้งบางคนก็ไม่ได้มีเพียงแค่ชิ้นเดียว!

หลังจากการโจมตีอย่างดุเดือดและต่อเนื่องนี้ ก็ทำให้อาวุธวิเศษทั้งแปดชิ้นของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับเป็นเรือเล็กที่โคลงเคลงอยู่กลางมรสุมพายุ อาจถูกซัดจมลงไปได้ทุกเมื่อ

เหล่าศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต่างพากันกระอักเลือด  ถึงแม้ว่าปราการมังกรจะเป็นสถานที่ที่อันตรายมาก แต่เขากว่างเฉิงทุ่มทุนเกินไปหรือไม่ ถึงกับให้อาวุธวิเศษกับศิษย์คนละหนึ่งชิ้น! 

 หรือว่าครั้งนี้ที่พวกเขามาเพราะมีภารกิจพิเศษ แต่หากเป็นภารกิจพิเศษจริง เหตุใดถึงส่งพวกศิษย์ระดับยุทธ์หลอมกายมา 

 คงไม่ได้มาหาเรื่องพวกเราโดยเฉพาะหรอกกระมัง 

 พวกเขามีอาวุธวิเศษมากเกินไป พวกเรามีแต่จะเสียเปรียบ ไปกันเถิด ไว้ชำระแค้นครั้งหน้าก็แล้วกัน! 

ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กึ่งสู้กึ่งถอย ส่วนเยี่ยจิ่ง ซือคงจิง และคนอื่นๆ ต่างก็ไล่ตามอย่างไม่ลดละ

เทียบกับวรยุทธ์ของพวกเขาก่อนหน้านี้แล้ว อาวุธวิเศษช่วยเพิ่มพลังต่อสู้อย่างเห็นได้ชัด ขนาดที่ว่าศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะหนีก็ยังทำได้ยาก

แม้จะถอยกลับจนถึงบริเวณเขตใจกลางหุบเหวที่พวกเขาตั้งค่ายพักแรมไว้อย่างยากลำบากได้แล้ว ทว่าสุดท้ายก็ถูกศิษย์เขากว่างเฉิงล้อมไว้อีกครั้งจนได้

ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่จับภูตแมวแสงไปคนนั้นแสยะยิ้ม พลางกล่าวว่า  เอาสิ พวกเจ้าเขากว่างเฉิงจะสู้กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์หรือ 

 ภูตแมวแสงตัวนี้เป็นอสูรที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของเจ้า ข้าจับได้มันก็ต้องเป็นของข้า พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมายุ่ง 

ศิษย์หญิงแห่งสำนักเขากว่างเฉิงที่ไล่ตามภูตแมวแสงตะโกนว่า  เจ้าแมวตัวนั้นมันสนิทกับข้า ข้าจะเอามันไปเลี้ยง! 

อีกฝ่ายมีน้ำเสียงฮึดฮัด  บนตัวมันเขียนชื่อเจ้าเอาไว้หรือ 

เด็กสาวโมโห  เจ้า… 

ผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างเย็นชาว่า  เพื่ออสูรตัวเดียว ถึงกับกล้ามาหาเรื่องกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของเรา เดี๋ยวนี้เขากว่างเฉิงเก่งกล้าขึ้นแล้วสินะ 

 อย่าลืมสิ ว่าใครกันแน่ที่เป็นที่หนึ่งในโลกแปดพิภพนี้!  

ศิษย์เขากว่างเฉิงพากันขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ พอจะเทียบเคียงกัน แต่ก็ยังมีบางดินแดนที่แข็งแกร่งและอ่อนแอกว่ากันอยู่ หลายปีมานี้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งมาก แถมยังมีท่าทีแข็งกระด้างและเอาแต่ใจอีกด้วย

ศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนนั้นกล่าวว่า  พวกเจ้าเองก็เป็นศิษย์ของเขากว่างเฉิงที่เพิ่งเข้ามาใหม่ได้ไม่นานใช่หรือไม่ ทำให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองเกิดความบาดหมางกัน พวกเจ้าจะรับผิดชอบไหวหรือ 

ซือคงจิงใช้กระบี่น้ำแข็งในมือโบกให้เกิดพายุหิมะถาโถมไปทั่วผืนฟ้า เพื่อสกัดพวกเขาไม่ให้แกว่งไกวอาวุธวิเศษได้  ถ้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองเกิดความบาดหมางกันอย่างเต็มรูปแบบจริง ศิษย์รุ่นหลังที่มีวรยุทธ์เพียงระดับยุทธ์หลอมกายเช่นข้าคงรับไม่ไหวแน่อยู่แล้ว แต่ที่ข้ารับผิดชอบไหวก็มีแค่กระบี่ในมือเล่มนี้แหละ 

นางดูเหมือนจะยอมแพ้ ทว่าเพียงแค่คำว่าจอมยุทธ์ระดับยุทธ์หลอมกายคำเดียว กลับทำให้อีกฝ่ายรู้สึกใบหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมา

‘ข้าเป็นศิษย์รุ่นหลังระดับยุทธ์หลอมกายรับผิดชอบภาระนี้ไม่ไหว ทว่าเจ้าก็เช่นกัน เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดอวดดีได้?’

ปกติแล้วการปะทะกันระหว่างศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และศิษย์เขากว่างเฉิงก็มีไม่น้อย ทั้งสองฝ่ายแพ้ชนะสลับกันไป นอกจากว่าเป็นเรื่องใหญ่ มิเช่นนั้นก็ไม่สามารถส่งผลกระทบถึงเบื้องบนได้ง่าย เพราะในสายตาของผู้อาวุโสจะถือว่าเป็นการฝึกฝนประสบการณ์ของศิษย์รุ่นหลังเท่านั้น

เมื่อประลองแพ้แล้วเสียหน้า อยากจะกู้หน้าคืนก็ต้องใช้วิธีเดียวกัน จึงไม่เกิดสงครามได้ง่ายๆ

เพราะหากสองอำนาจแห่งยุคจะเกิดสงครามเต็มรูปแบบขึ้น อาจจะดึงหลายฝ่ายมาพัวพันได้ ขณะนี้ยังมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นอยู่ด้วย จึงไม่เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นได้ง่ายๆ

ถึงกระนั้นหากเกิดสงครามขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะดุเดือดรุนแรงมากเช่นกัน

เยี่ยจิ่งยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า  ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เช่นเจ้าสู้ไม่ได้ เก่งแต่ลับหลังใช่หรือไม่ 

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เป็นที่หนึ่งตลอด ศิษย์ภายในสำนักก็มีวรยุทธ์และความสามารถโดดเด่นจริง ทว่าเมื่อออกไปภายนอกกลับอวดเบ่งวางอำนาจและเอาแต่ใจ โดยเฉพาะศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักมาใหม่ๆ พวกเขายิ่งไม่มีสัมมาคารวะ จนถึงขนาดไม่เห็นหัวผู้สืบทอดเขากว่างเฉิงและดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ อยู่ในสายตา

การปะทะระหว่างศิษย์รุ่นหลังทั้งสองสำนักที่เกิดขึ้นในช่วงไม่นานมานี้ โดยรวมแล้วสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เป็นฝ่ายชนะมากกว่าแพ้ ทว่าตอนนี้กลับตกอยู่ในสภาวะที่เสียเปรียบอย่างมาก ยากที่จะเชื่อจริงๆ

ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนนั้นพูดจาไม่ระวัง ทำให้เยี่ยจิ่งและซือคงจิงจับจุดอ่อนไว้ได้ ทว่าเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ และพูดอย่างเย็นชาว่า  หึ วันนี้พวกเจ้าก็แค่มีอาวุธวิเศษมากกว่า มีปัญญาก็ฝังพวกข้าไว้ในปราการมังกรแห่งนี้ให้หมดเลยสิ มิเช่นนั้นแค้นนี้ต้องได้ชำระกันคราวหลังแน่ คิดหรือว่าแค่อาวุธวิเศษระดับล่างสิบกว่าชิ้น สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะไม่มีบ้าง 

ศิษย์เขากว่างเฉิงแสยะยิ้ม  ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังไม่ได้ใช้อาวุธวิเศษ พวกเจ้าเคยชนะพวกข้าแล้วหรือ 

บรรดาศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายยิ่งเดือดดาล เพราะตอนที่ยังไม่ได้ใช้อาวุธวิเศษ พวกเขาก็เสียเปรียบเล็กน้อยอยู่แล้ว แต่ใครจะไปคิดว่าเมื่อใช้อาวุธวิเศษแล้ว สถานการณ์จะเลวร้ายกว่าเดิม พวกเขาถูกโจมตีจนหมดสภาพ แม้จะหนีก็ยังยากเย็น

ทว่าฝ่ายศิษย์เขากว่างเฉิงกลับสนุกเป็นอย่างมาก  ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณศิษย์พี่เยี่ยน ความรู้สึกที่ได้รุกโจมตีนี่ช่างสะใจยิ่งนัก! 

ขณะที่กำลังกล่าวอยู่นั้น จู่ๆ อาวุธวิเศษในมือเยี่ยจิ่งก็สั่นสะเทือนขึ้น

ไม่เพียงแต่อาวุธวิเศษของเขา อาวุธวิเศษในมือของศิษย์เขากว่างเฉิงทุกคนก็เกิดสั่นสะเทือนขึ้นมาพร้อมกัน ราวกับกำลังแจ้งเตือนอยู่

วินาทีถัดมา เงาของใครบางคนพลันปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขาโดยที่ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า

ทั่วทั้งร่างของคนผู้นั้นมีแสงสีทองส่องสว่างเจิดจ้าราวกับเข็มนับพันหมื่นเล่มแผ่พุ่ง

เมื่อได้รับการกระตุ้นจากแสงสว่างนั้น อาวุธวิเศษของเยี่ยจิ่ง ซือคงจิง และคนอื่นๆ พลันมีปราณวิญญาณเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสะท้อนกลับเข้าหาผู้ที่ถืออาวุธอยู่

ชั่วพริบตาที่แสงสีทองสว่างวาบ อาวุธวิเศษทั้งสิบหกชิ้นพร้อมกับเจ้าของถูกผลักกระเด็นถอยกลับไป!

แสงสีทองที่เหมือนกับเข็มเรียวแหลมเป็นเล่มๆ นั้นส่งเสียงกระทบแสบแก้วหู ราวกับทองเนื้อแท้เมื่อสัมผัสกับอาวุธวิเศษ

บรรดาศิษย์ของเขากว่างเฉิงรู้สึกเพียงว่า เมื่อแสงที่เหมือนกับเข็มสีทองนั้นทิ่มเบาๆ เลือดลมในกายที่กำลังพลุ่งพล่านพลันหยุดลงในทันทีทันใด วรยุทธ์ที่มีอยู่ทั้งหมดเสมือนกองหิมะที่ถูกแสงแดดสาดส่องจนละลายไปในทันที และยากที่จะคงสภาพเอาไว้ได้

เมื่อแสงนั้นหายไป ชายหนุ่มในชุดสีขาวขอบเสื้อสีทองคนหนึ่งถึงปรากฏต่อหน้าทุกคน

เขายืนอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ทำอะไร แต่กลับมีพลังที่มองไม่เห็นแผ่กระจายไปทั่วสารทิศ สะกดทุกคนเอาไว้

ชายผู้นี้ทำให้ศิษย์เขากว่างเฉิงอยากจะหนีไปให้ไกล แต่ทำไม่ได้ กลับถูกดูดให้เข้าใกล้เขาขึ้นเรื่อยๆ เสมือนกับเขาเป็นหลุมดำที่มีพลังดึงดูดมหาศาล

อาวุธวิเศษระดับล่างของทุกคนกระเด็นออกจากมือ เวลานี้พวกมันตกอยู่บนพื้น ส่องแสงสว่างวาบอ่อนๆ

บรรดาศิษย์เขากว่างเฉิงอยากเรียกอาวุธวิเศษกลับมา ทว่ามันเอาแต่สั่นอยู่บนพื้น ยากที่จะขยับได้ และถูกฝ่ายตรงข้ามสะกดไว้ได้ทันที

ชายหนุ่มผู้นั้นเอามือทั้งสองไพล่หลังไว้ ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างเฉยชาว่า  ข้าคือเฉาหยวนหลงแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ใครคือปรมาจารย์ที่นำพวกเจ้ามาจากเขากว่างในเฉิงครั้งนี้ 

…………….

 

เยี่ยนจ้าวเกอและคนอื่นๆ เดินทางอยู่ในปราการมังกรโดยการชี้นำจากแรงสั่นสะเทือนของคาถา

อาหู่จับแสงสีแดงที่วิ่งผ่านไปมาเป็นครั้งคราวราวกับฟ้าผ่านั้นเอาไว้ แล้วใช้ปราณจิตราของตนกักขังมัน จากนั้นก็ปิดผนึกด้วยผลึกแก้วแบบพิเศษอีกชั้นหนึ่ง

หลังจากที่ทุกคนเดินทางมาอย่างยาวนาน จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนว่าปราณพิษที่อยู่ในรูปหมอกดำนั้นสงบและเบาบางลงเล็กน้อย

อาหู่ที่ติดตามอยู่ข้างๆ เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว  คุณชาย นี่คือใจกลางหุบเหวแล้วขอรับ 

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า บางครั้งในปราการมังกรเองก็มีบางพื้นที่ที่ค่อนข้างจะสงบอยู่เช่นกัน เหมือนเช่นใจกลางน้ำวนหรือศูนย์กลางพายุ ที่บริเวณรอบๆ รุนแรงเป็นคลื่นซัดสาด ทว่าเมื่อเทียบกันแล้วที่ตรงนี้กลับสงบกว่า

พื้นที่เช่ยนี้ไม่ได้มีเพียงแห่งเดียว มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ อีกทั้งตำแหน่งก็ไม่แน่นอน เมื่อเวลาผ่านไปก็อาจมีการเคลื่อนย้ายตำแหน่งอีกด้วย

 เขตใจกลางหุบเหวค่อนข้างปลอดภัย ทุกคนพักผ่อนได้  เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยขึ้น  โดยทั่วไปแล้ว ในพื้นที่เช่นนี้มักจะมีของล้ำค่ามากมายเสมอ และเนื่องจากสภาพแวดล้อมค่อนข้างปลอดภัย จึงเหมาะแก่การค้นหาของล้ำค่าด้วย 

 ทุกคนเคลื่อนไหวตามสบาย ลองเสี่ยงโชคดูแล้วกัน แต่ก็ต้องระวังตัวด้วย อย่างไรเสียที่นี่ก็ยังเป็นปราการมังกร 

เยี่ยจิ่ง ซือคงจิง และบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งหลายต่างตอบรับพร้อมกัน จากนั้นก็เริ่มค้นหาไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น

เยี่ยนจ้าวเกอนำคาถาตรวจสอบออกมา แล้วพินิจอย่างถี่ถ้วน  พื้นที่เขตใจกลางหุบเหวนี้ เหมือนจะมีความลับอะไรบางอย่าง… 

 หืม?  จู่ๆ เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกตงิดใจขึ้นมา เขาจึงเงยหน้าขึ้นกวาดตามองรอบๆ แวบหนึ่ง แล้วพูดเสียงเรียบว่า  ถอยไปให้หมด 

ทันใดนั้นมีแสงสีทองจุดหนึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางหมอกดำที่ไกลออกไป ทุกคนชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงถอยหลังไปตามคำสั่ง

ชายหนุ่มกางแขนเสื้อออก ลำแสงสีเขียวหนึ่งสายวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าผ่ายามค่ำคืน เปล่งแสงวาบไปทั่วทั้งหุบเขา

ขณะนั้นแสงสีทองท่ามกลางหมอกดำก็สว่างไสวขึ้นมา ตามมาด้วยร่างขนาดมหึมา นั่นก็คือปีศาจงูเหลือมตาเดียวตัวหนึ่ง ส่วนแสงสีทองนั้นก็คือแสงที่เปล่งออกมาจากดวงตาของมัน

แต่ปีศาจงูเหลือมเพิ่งจะพุ่งตัวออกมา แสงสีเขียวพลันฟาดฟันลงทันที ทำให้มันส่งเสียงร้องคำรามออกมาด้วย!

แสงสีทองดับมืดลงในพริบตา เสียงร้องของปีศาจงูเหลือมหยุดลงอย่างรวดเร็วในวินาทีถัดมา ก่อนจะหมดลมหายใจไป

จากนั้นก็เกิดเสียงดังสนั่น ร่างขนาดมหึมาของปีศาจงูเหลือมตกลงบนพื้นแล้ว

 งูเหลือมตาทอง เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเฉพาะในหุบเหวปราการมังกร น้ำลึก สำหรับพวกเจ้าในตอนนี้แล้ว เรียกได้ว่าทั้งร่างของมันคือของวิเศษ พวกเจ้าแยกชิ้นส่วนของมันแล้วแบ่งให้ได้เท่ากันเอาเองแล้วกัน  แสงสีเขียวสว่างวาบครั้งหนึ่งแล้วหายไป จากนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็ก้มหน้าลงแล้วใช้คาถาตรวจสอบอีกครั้ง

ทุกคนในตอนนี้หลุดจากภวังค์แล้ว พลางมองไปยังซากงูเหลือมยักษ์ที่มีความยาวเป็นสิบๆ เมตร ก่อนจะอึ้งงันไปตามๆ กัน

การโจมตีงูเหลือมตาทองเมื่อครู่รวดเร็วและรุนแรง ไม่ด้อยไปกว่าผู้ที่เป็นจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์เลย อีกทั้งยังไม่มีเสียงใดๆ อีกด้วย ทำให้พวกเขาคิดแล้วยังรู้สึกหวาดหวั่นกันอยู่

ตอนที่ทำการแยกชิ้นส่วนของงูเหลือมตาอยู่นั้น ทองทุกคนพบว่าเกล็ดของงูเหลือมทั้งแข็งและเหนียว เทียบได้กับเกราะเกล็ดระดับอาวุธวิเศษ

แม้ว่างูเหลือมตาทองจะสิ้นชีพและเลือดลมหยุดลงไปแล้วก็ตาม ทว่าด้วยวรยุทธ์ของพวกเขาแล้ว ลำพังคิดจะควบคุมอาวุธวิเศษให้ผ่าเกล็ดงูเหลือมออกก็เป็นเรื่องที่ยากมาก

แต่งูเหลือมตาทองตัวนี้กลับถูกเยี่ยนจ้าวเกอฆ่าตายในดาบเดียว ขอบแผลที่เปิดออกก็เนียนลื่นราวกับกระจก ไม่มีแม้รอยขรุขระ ราวกับใช้มีดหั่นเต้าหู้อย่างไรอย่างนั้น

 วิชากระบี่ที่คิดค้นขึ้นเองโดยศิษย์พี่เยี่ยนเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่ว มีชื่อเรียกว่า ‘มังกรเขียวในชายเสื้อ’ แม้จะไม่ใช่หนแรกที่ได้เห็น แต่ทุกครั้งที่ได้เห็น ก็ยังคงรู้สึกว่าสุดยอดจริงๆ   มีศิษย์รุ่นเยาว์บางคนพากันกลืนน้ำลาย

ปราการมังกรเต็มไปด้วยอสูรมากมาย สามารถพบได้ทุกหนทุกแห่ง ตลอดทางที่เดินมาก่อนหน้านี้มีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งมากกว่างูเหลือมตาทองตัวนี้อีก เยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่ฆ่าพวกมันไปไม่น้อย

มีศิษย์รุ่นเยาว์คนหนึ่งพลันถามขึ้นมาว่า  ศิษย์พี่เยี่ยน นั่นมันคืออะไรหรือ 

เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้าขึ้นมอง เขาพบแสงขาววาบผ่านไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางหมอกดำปกคลุมบนหน้าผาสูงไกลออกไป ทั้งยังเร็วยิ่งกว่างูเหลือมตาทองตัวนั้นด้วย

 นั่นคือภูตแมวแสง  เยี่ยนจ้าวเกอหันไปมองแวบเดียว แล้วหันกลับมาในทันที  มีแต่ประโยชน์ ไม่มีพิษภัยอะไร 

ทุกคนต่างชะงักงัน อาหู่ที่อยู่ข้างกายเยี่ยนจ้าวเกอยิ้มกว้างพลางกล่าวว่า  ด้วยสภาพแวดล้อมของปราการมังกรอันเลวร้ายนี้ มีอสูรหลากหลายชนิด ส่วนมากจะมีนิสัยดุร้าย แต่ภูตแมวแสงเป็นกลุ่มที่ต่างออกไป 

 แม้มันจะตัวเล็กแต่ กลับมีพละกำลังมาก โดยเฉพาะความว่องไวดุจฟ้าผ่าฟาดที่ต่างจากทั่วๆ ไป มันมีนิสัยอ่อนโยน ไม่ชอบการต่อสู้ ทั้งยังเป็นสัตว์อสูรกินพืชอีกด้วย โดยอาหารที่กินคือสมุนไพรวิญญาณเพียงไม่กี่ชนิด ซึ่งมีเฉพาะในเขตปราการมังกร 

อาหู่ชี้ไปยังแสงสีขาวที่กำลังวูบวาบไปมา  อีกทั้งอสูรตัวนี้ยังใจดีมีเมตตาและยังช่วยเหลือผู้คนที่พบเจออันตรายในปราการมังกรอีกด้วย ต่อไปหากพวกเจ้าได้เข้ามาในนี้เพียงลำพังแล้วโชคไม่ดีพบกับอันตรายเข้า ไม่แน่ว่าอาจได้รับความช่วยเหลือจากอสูรตัวนี้จนรอดชีวิตกลับไปก็เป็นได้ 

เยี่ยจิ่ง ซือคงจิง และคนอื่นๆ ฟังแล้วรู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างอดไม่อยู่ พวกเขาชอบในตัวมัน จึงพากันเข้าใกล้บริเวณที่มีภูตแมวแสงอยู่

บัดนี้แสงสีขาวที่วิ่งไปมาก็หยุดลงแล้ว เผยให้เห็นรูปร่างหน้าตาของมัน มองจากภายนอกแล้วเป็นเพียงลูกแมวตัวเล็กๆ ที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ ทั่วร่างกายส่องประกายลวดลายแสงสีขาวนวล ที่ให้ความรู้สึกทั้งอ่อนโยนและว่องไว

ภูตแมวแสงตัวนั้นเพ่งพินิจเหล่าคนจากเขากว่างเฉิงด้วยความสงสัย

มีศิษย์หญิงบางคนอยากจะเข้าใกล้เพราะเห็นมันน่าสนใจ ทว่าภูตแมวแสงเห็นเช่นนั้นกลับถอย ครั้นเด็กสาวหยุดเดิน เจ้าแมวตัวนั้นก็หยุดเดินเช่นกัน

 ศิษย์พี่เยี่ยน แมวตัวนี้เลี้ยงได้หรือไม่  เด็กสาวเดินกลับไปหาเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วถามด้วยท่าทีน่าสงสาร

หลังจากที่เยี่ยนจ้าวเกอคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบกลับไปว่า  ข้าจำได้ว่าขณะที่เดินอยู่ในปราการมังกรก่อนหน้านี้ พวกเจ้าเก็บหญ้าอักษรพิษมาด้วยใช่หรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่ภูตแมวแสงชอบกินมาก เจ้าลองดูก็ได้ 

 แมวชนิดนี้สามารถอ่านใจได้ หากเจ้าไม่ได้คิดร้าย มันต้องยอมใกล้ชิดเจ้าแน่ แต่ถ้าอยากพามันออกจากปราการมังกร เจ้าคงต้องพยายามหน่อย 

เด็กสาวร้องขึ้นด้วยความดีใจ  ขอบคุณศิษย์พี่ ข้าจะลองดูเจ้าค่ะ 

พูดจบนางก็หยิบสมุนไพรวิญญาณสองสามต้นออกจากกระเป๋า แล้วเดินไปหาภูตแมวแสง

หลังจากที่หวาดระแวงและพยายามทำความรู้จักกันในตอนแรกเรียบร้อยแล้ว ทั้งแมวทั้งคนก็ค่อยๆ สนิทกัน

ศิษย์จำนวนหนึ่งของเขากว่างเฉิงเห็นเช่นนั้นก็หยิบหญ้าอักษรพิษออกมา แล้วนำไปป้อนและเล่นกับมันบ้าง เพียงครู่เดียวแมวตัวน้อยก็ได้รับความเอ็นดูจากทุกๆ คน

แม้แต่คนที่ไม่ได้เข้าไปเล่นกับมัน ก็ยังหัวเราะสนุกสนานไปกับภาพตรงหน้าด้วย

ภูตแมวแสงกลายร่างเป็นแสงสีขาววาบไปวาบมาในหุบเหว บรรดาเด็กสาวต่างก็วิ่งไล่ตามมัน ปราการมังกรที่ดูร้ายกาจ วินาทีนี้ก็ดูจะไม่วังเวงและน่ากลัวขนาดนั้นแล้ว

เมื่อแสงวิ่งผ่านหน้าผาของหุบเขาไปสองสามแห่ง หลายคนมองเห็นใครบางคนนอนคว่ำกายอยู่บนโขดหินขนาดใหญ่ หมอกดำปกคลุมไปทั่วร่างกาย ท่าทางราวกับใกล้จะหมดลมหายใจ และถูกความมืดมิดกลืนกินได้ทุกเมื่อ

ศิษย์หญิงแห่งเขากว่างเฉิงตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็พลันเห็นแสงสีขาวที่วาบผ่านไป ภูตแมวแสงตัวนั้นปรากฏขึ้น หลังจากสำรวจอย่างระมัดระวังแล้ว ถึงจะเข้าใกล้ผู้ที่นอนคว่ำอยู่บนโขดหิน

ครั้นคิดถึงคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่ เด็กสาวถึงวางใจลง

ภูตแมวแสงตัวเล็กเดินเข้าไปใช้ปากคาบคอเสื้อของคนผู้นั้นไว้ แล้วใช้ต้นคอออกแรงเหวี่ยงครั้งหนึ่งเพื่อขยับฝ่ายตรงข้าม ร่างเล็กทว่าพละกำลังสูงดังว่าจริงๆ

ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ชายหนุ่มที่เดิมดูเหมือนลมหายใจรวยรินก็ยื่นมือออกมาจับไปที่ลำคอของภูตแมวแสง แล้วพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง

ภูตแมวแสงส่งเสียงร้อง พลางพยายามดิ้นตะเกียกตะกาย ทว่าเด็กหนุ่มคนนั้นกลับหัวเราะชอบใจ  วิธีที่ศิษย์พี่แนะนำมาใช้ได้ผลจริงๆ ไม่เช่นนั้นคงจับเจ้าตัวน้อยที่ว่องไวเทียบได้กับจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ไม่ได้แน่ 

ศิษย์หญิงแห่งเขากว่างเฉิงตกใจเป็นอย่างมาก  เจ้าทำอะไร? 

เด็กหนุ่มคนนั้นหันกลับมาตอบด้วยท่าทีเฉยเมย  เกี่ยวอะไรกับเจ้า?  

เด็กสาวขมวดคิ้วแล้วพูดว่า  ภูตแมวแสงตัวนั้นคิดว่าเจ้ากำลังตกอยู่ในอันตราย มันหวังดีจะช่วยเจ้า แต่เจ้ากลับจงใจแสร้งทำเพื่อจับมัน 

 เจ้าตัวน้อยนี่มันโง่เง่าเองที่มาติดกับ แล้วจะไปโทษผู้ใดได้?  เด็กหนุ่มคนนั้นกล่าวอย่างไม่ใยดีว่า  สิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนโลกล้วนมีจุดแข็งเป็นของตัวเอง ฟ้าประทานให้เจ้าอสูรตัวนี้มีความเร็วเหนือปกติ และประทานให้พวกเราที่เป็นมนุษย์มีสติปัญญา ข้าก็ต้องใช้มัน ใช้สติปัญญาที่มีหาวิธีจัดการกับจุดแข็งของอสูรสิ 

 เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าเล่นสกปรก หลอกใช้ความจิตใจดีของผู้อื่น  ศิษย์หญิงกล่าวด้วยความโมโห

เด็กหนุ่มเอ่ยทันควันว่า  คนของเขากว่างเฉิงเข้ามายุ่งกับเรื่องของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน 

เมื่อศิษย์หญิงแห่งเขากว่างเฉิงผู้นี้ลองสังเกตดีๆ นางพบว่าเด็กหนุ่มคนนี้สวมเสื้อขาว ขอบเสื้อสีแดง มีลายปักเป็นรูปพระอาทิตย์ ซึ่งเป็นการแต่งกายของศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จริงดังที่กล่าวมา

อีกฝ่ายจับภูตแมวแสงขึ้นมา ก่อนจะใช้เล็บปาดไปที่คอของเจ้าแมวน้อย เลือดของมันไหลออกมาทันที

 จับได้แล้วอย่างไร? ผลึกแสงวิญญาณที่อยู่ในหัวของอสูรตัวนี้ต่างหาก ที่เป็นเป้าหมายของข้า  ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นหัวเราะพลางกล่าวว่า  ในยุคนี้ ใครแกร่งกล้ากว่า ผู้นั้นย่อมมีสิทธิ์ขาด ถ้าเจ้าชนะข้าได้ ก็ชิงเอาเจ้าตัวน้อยนี้กลับไปได้ 

 แต่ถ้าเอาชนะข้าไม่ได้ พล่ามไปก็ไม่ช่วยอะไร หรือแท้จริงแล้วศิษย์เขากว่างเฉิงเช่นเจ้าจะเก่งแต่ปาก? 

เด็กสาวมองดูแมวน้อยตัวเท่าฝ่ามือเริ่มมีอาการชัก แต่กลับไม่แม้แต่จะส่งเสียงร้องออกมาได้ ความโมโหของนางยิ่งพุ่งพล่านจนเก็บไว้ไม่ได้อีกต่อไป จึงพุ่งเข้าหาอีกฝ่าย

เขากว่างเฉิงและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีอาณาเขตปกครองติดต่อกัน ซึ่งโดยปกติก็มีการปะทะกันของศิษย์รุ่นเยาว์ขึ้นอยู่บ่อยครั้ง

ในตอนนี้ศิษย์คนอื่นๆ ของเขากว่างเฉิงก็หันตัวกลับมาเช่นกัน เมื่อเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปช่วย

อีกฝ่ายไม่ได้ตัวคนเดียวเช่นกัน ยังมีศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เข้ามาร่วมด้วย สถานการณ์ตรงหน้าเกิดจลาจลขึ้นทันที และยังมีท่าทีว่าจะกลายเป็นการโจมตีแบบตะลุมบอนอีกด้วย

 คุณชาย เป็นคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ขอรับ  อาหู่รายงานที่มาที่ไปของเหตุการณ์อยู่ข้างๆ เยี่ยนจ้าวเกอ

เยี่ยนจ้าวเกอถามกลับว่า  อีกฝ่ายมีปรมาจารย์หรือไม่ 

อาหู่ตอบว่า  เบื้องต้นอย่างไม่พบขอรับ 

 ถ้าเช่นนั้นก็ง่าย  เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่

 วาจานี้ถือเป็นที่สิ้นสุด ส่งเยี่ยจิ่งไป 

………………

 

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เยี่ยนจ้าวเกอก็ลงมือทำทันที หลังจากตรวจสอบปราการมังกรได้ระยะหนึ่งแล้ว ทุกคนต่างหยุดพักผ่อน ส่วนเขานั่งลงขัดสมาธิ

ในบรรดาคนทั้งหมด มีเพียงสายตาของเยี่ยจิ่งที่จับจ้องไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ

 สักวันข้าต้องเอาชนะเจ้าให้ได้ แล้วจะรอดูว่าเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว เจ้าจะยังทำตัวสูงส่ง หยิ่งยโสเช่นนั้นได้อีกหรือไม่… 

นอกจากความแค้นครั้งเก่าแล้ว เมื่อเยี่ยจิ่งต้องเผชิญหน้ากับเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้ เขาก็มีความรู้สึกแปลกประหลาดที่ยากจะอธิบายเกิดขึ้น

เหมือนกับมีบางอย่างดึงดูดให้เข้าหากัน แต่ที่มากกว่านั้นคือความขุ่นเคืองใจและความเกลียดชัง

ราวกับคู่ปรับฟ้าลิขิตที่ทำให้ลึกๆ ภายในใจของเขารู้สึกเหมือนตนเองถูกกดอัดไว้ เมื่อเข้าใกล้แล้วจะรู้สึกอึกอัด

‘ก่อนหน้านี้ที่วิหารปฏิบัติกิจของสำนัก เชื้อไฟสัจจะอัคคีที่เขาพูดถึง ก็มีประโยชน์กับข้ามากเช่นกัน’ เยี่ยจิ่งคิดในใจ ‘ถ้าไปขอหยิบยืมใช้ประโยชน์ หลังจากตกไปอยู่ในมือเขาแล้ว เช่นนั้นก็น่าสมเพชสิ้นดี…’

ขณะที่เยี่ยจิ่งกำลังขบคิดนั้น ดวงตาของเขาก็ค่อยๆ เบิกกว้างขึ้น

บัดนี้ซือคงจิงและคนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นความผิดปกติเช่นกัน เพราะเยี่ยนจ้าวเกอกำลังกลืนเอาหมอกดำที่ทุกคนต่างกลัวจนต้องหลบ!

ในสายตาของพวกเขา การกระทำเช่นนี้ก็เหมือนกับการดื่มยาพิษปลิดชีพตนเอง!

เยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่ได้ใส่ใจความคิดของคนอื่นเลย เมื่อมองเข้าไปภายในร่างกายตนเอง เขาพบว่าปราณพิษกำลังรวมตัวกันภายใต้การควบคุมด้วยวิชาลับ จากนั้นแรงกระเพื่อมของปราณจิตราก็หมุนวนอย่างต่อเนื่อง ราวกับกลายเป็นหินลับมีดไปแล้ว

ในขณะที่กำลังหมุนวนอยู่นั้น ปราณจิตราภายในร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอก็คมกริบขึ้นเรื่อยๆ เพราะหินลับมีดนี้ และรู้สึกเหมือนกับปราณกำลังไหลซึมออกจากร่างกาย!

‘เยี่ยมมาก เทียบกับตอนฝึกตามปกติแล้ว ผลลัพธ์สูงขึ้นสามถึงห้าเท่า หรือแม้กระทั่งมากกว่านั้น แม้ว่าจะเป็นวิธีที่เหมาะใช้กับการเปลี่ยนจากขั้นจิตราชั้นในสู่ขั้นจิตราชั้นนอกในตอนนี้ก็ตาม แต่ก็ประหยัดเวลาข้าไปได้เยอะเลย ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมแล้ว’

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าด้วยความพอใจ แล้วหยุดการฝึกลงก่อนชั่วคราว เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าทุกคนกำลังมองตนด้วยความตกตะลึงและงุนงง

‘เดินในทางที่ต่างจากปกติ ก็จะดึงดูดสายตาจากคนอื่นได้ง่ายเช่นนี้…’ เยี่ยนจ้าวเกอเบะปากพลางพูดในใจว่า ‘ชีวิตที่เป็นจุดสนใจของข้าคนนี้ไม่ต้องการคำอธิบายจริงๆ’

นัยน์ตาของศิษย์รุ่นเยาว์คนหนึ่งเหมือนกับเกิดความเข้าใจอันถ่องแท้  ปราการมังกรเกิดความผิดปกติ หมอกดำทะลักออกสู่ภายนอกมากกว่าปีที่ผ่านๆ มา อีกทั้งยังเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น เป็นเรื่องที่น่าสงสัยและยากที่จะคาดเดา 

 ศิษย์พี่เยี่ยนใช้วิธีรับหมอกเข้าร่างกายไปเพื่อที่จะศึกษาสาเหตุอย่างละเอียดใช่หรือไม่ เพียงแต่ทำเช่นนี้มันเสี่ยงอันตรายมากเกินไปนะขอรับ 

เยี่ยนจ้าวเกออึ้งไปชั่วขณะ ไม่อาจหาคำมาบรรยายจินตนาการของคนกลุ่มนี้ได้ในทันที

ทุกคนก็พลันพยักหน้าพร้อมกันด้วยความนับถือเป็นอย่างยิ่ง  ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง 

เยี่ยจิ่งยังคงรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง เขาใช้นิ้วมือลูบบนแหวนสีแดงคล้ำวงนั้นของตนเองเบาๆ ตามสัญชาตญาณ

เมื่อเห็นท่าทางของเขา เยี่ยนจ้าวเกอก็กลอกตาขาวอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่งโดยไม่ให้ใครสังเกตเห็น ‘เขามีแหวนวงหนึ่งจริงๆ ด้วย…’

เยี่ยจิ่งสามารถตั้งตัวและมีวรยุทธ์แก่กล้าได้อย่างรวดเร็วก็เพราะมีวิชาลับ แม้ว่าเขาจะยังไม่แน่ใจว่าเยี่ยนจ้าวเกอมีวรยุทธ์อะไร ทว่าเขาคิดถึงจุดที่ผู้อื่นยืนเสมอ จึงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องที่เกี่ยวโยงกัน

แต่ว่าเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจเลย

คนอื่นๆ ล้วนชื่นชมและนับถือทั้งนั้น  ต่อให้เป็นปรมาจารย์ยอดฝีมือที่มีวรยุทธ์แก่กล้ามากกว่าศิษย์พี่เยี่ยน ก็ใช่ว่าจะกล้ากลืนหมอกดำเข้าไปตรงๆ เช่นนี้จริงหรือไม่ 

สำหรับพวกเขาแล้ว หมอกดำเหล่านั้นอาจคร่าชีวิตของพวกเขาได้ตลอดเวลา ทว่าสำหรับเยี่ยนจ้าวเกอแล้วกลับดูเหมือนว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

 เอาเถอะ ยังไงพวกเจ้าก็อย่าทำเลียนแบบสุ่มสี่สุ่มห้า มิเช่นนั้นจะเป็นการเปิดประตูให้โจร ล่อหมาป่าเข้าบ้านจะมีอันตรายเอา  เยี่ยนจ้าวเกอลุกขึ้นยืน สะบัดเสื้อเบาๆ แล้วเดินนำออกไป คนอื่นๆ จึงรีบเดินตามไป

ในตอนนี้ด้านหลังมีเงาของชายร่างสูงคนหนึ่งตามมาถึงอย่างรวดเร็ว เดินตามเยี่ยนจ้าวเกอและทุกคนมาติดๆ คนคนนั้นก็คืออาหู่

ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้หยุดฝีเท้าลง ยังคงเดินต่อไปอย่างไม่รีบร้อน เมื่ออาหู่เดินตามมาถึงข้างกาย จึงส่งกระแสจิตไปว่า ‘คุณชาย ได้ข่าวแล้วขอรับ’

‘ถึงจะยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่มีข่าวลือว่าหลังจากการประลองย่อยของลูกศิษย์เข้าใหม่ เยี่ยจิ่งเป็นที่เข้าตาของท่านผู้อาวุโสสือขอรับ’

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้นก็หันไปมองอาหู่แวบหนึ่ง

อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกๆ ‘ลือกันว่าท่านผู้อาวุโสสือถูกใจชีวิตที่ไม่ยอมแพ้และนิสัยที่เข้มแข็งอดทนของเขามาก คิดจะพิจารณาอีกสักระยะหนึ่ง แล้วอาจจะรับเขาเป็นลูกศิษย์รับสืบทอดหลักขอรับ’

ชายหนุ่มแค่นหัวเราะครั้งหนึ่ง ‘มิน่าล่ะ…’

ผู้อาวุโสสือท่านนี้ไม่เหมือนกับผู้อาวุโสท่านอื่นๆ เขาอยู่คนละระดับกับผู้อาวุโสชุยก่อนหน้านี้ และผู้อาวุโสคุมการณ์ที่ประจำอยู่ที่อาณาจักรถังตะวันออกลิบลับเลย

ผู้อาวุโสชุยเป็นเพียงผู้อาวุโสปฏิบัติกิจ ทั้งยังเป็นพวกอาศัยความเป็นอาวุโสจนได้ตำแหน่งมา

เหนือผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออก ก็ยังมีผู้อาวุโสเกาะตะวันออกที่เป็นที่ยำเกรงทั่วทั้งเกาะนภาตะวันออก

ผู้อาวุโสสือเป็นผู้อาวุโสสุงสุดของวิหารอาญาภายในสำนัก ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมดูแลกฎระเบียบ ข้อห้าม และโทษทัณฑ์ทั้งหมดของสำนักเขากว่างเฉิง ระดับตำแหน่งเทียบเท่าผู้อาวุโสเกาะนภาตะวันออก ทว่ามีอำนาจและแข็งแกร่งกว่า

เขาเป็นอาจารย์ลุงใหญ่ของเยี่ยนจ้าวเกอ และเป็นลูกศิษย์รับสืบทอดหลักของผู้นำสำนักรุ่นปัจจุบัน

ชายผู้นี้เป็นคนตรงไปตรงมา เขายอมรับว่าความสามารถของตนเทียบไม่ได้กับท่านพ่อและอาจารย์ลุงรองของเยี่ยนจ้าวเกอ ด้วยเหตุนี้จึงประกาศถอนตัวออกจากการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักรุ่นถัดไปเสียตั้งแต่เนิ่นๆ และเต็มใจที่จะสนับสนุนเจ้าสำนักรุ่นถัดไป ถือพัฒนาการของสำนักเป็นสำคัญ

ที่จริงแล้วถึงแม้ผู้อาวุโสสือท่านนี้จะเทียบไม่ได้กับศิษย์น้องสองคนของตน แต่ก็ไม่ต่างกันมากนัก อีกทั้งยังเป็นมหาปรมาจารย์ที่มีวรยุทธ์แก่กล้า เป็นจอมยุทธ์ที่เก่งกาจเป็นอันดับต้นๆ ของเขากว่างเฉิง และมีชื่อเสียงกว้างไกลในโลกแปดพิภพ

ถึงเขาจะไม่ได้เข้าร่วมการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักรุ่นถัดไป แต่มีอำนาจทางวาจามาก แม้แต่เจ้าสำนักรุ่นปัจจุบันก็ยังให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของลูกศิษย์ใหญ่คนนี้มาก

ไม่ว่าผู้ใดจะได้เป็นเจ้าสำนักคนใหม่ก็ตาม เขาก็แทบจะนั่งในตำแหน่งของผู้อาวุโสสูงสุดของวิหารอาญาต่อไปได้อย่างมั่นคง สมกับที่เป็นผู้นำที่มีอิทธิพลสูงสุดของสำนักอย่างแท้จริง

ดูจากเบื้องต้นแล้ว ระหว่างท่านพ่อและอาจารย์ลุงรองของเยี่ยนจ้าวเกอ อาจารย์ลุงใหญ่ท่านนี้ยังนับว่ายืนอยู่ในจุดกึ่งกลาง

ในเมื่อเยี่ยจิ่งเข้าตาเขาแล้ว ถ้าเยี่ยนจ้าวเกอเล่นงานเขาจนสิ้นชีพเพียงเพราะอิจฉาริษยา แค่คิดก็รู้แล้วว่าผู้อาวุโสสือจะมีปฏิกิริยาเช่นไร

ต่อให้ไม่มีหลักฐาน เพียงแค่สงสัย ก็อาจส่งผลกระทบกับความรู้สึกของอีกฝ่ายที่มีต่อตนได้

อาหู่พูดต่ออีกว่า ‘เจ้าเยี่ยจิ่งน่าจะยังไม่รู้เรื่องนี้ ท่านผู้อาวุโสสือเองก็ยังคิดที่จะพิจารณาเขาอีกสักระยะหนึ่งก่อนขอรับ’

เขามองเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่ง แล้วพูดด้วยความเจ็บปวดว่า ‘คุณชาย ดูท่าครั้งนี้ท่านคงต้องดูแลเจ้าเยี่ยจิ่งนั่นจริงๆ สักหน่อยแล้ว มิเช่นนั้นหากเขาตายในปราการมังกรขึ้นมา แม้ท่านจะไม่ใช่ผู้ลงมือ ท่านก็ต้องแบกรับความผิดครั้งนี้แน่ขอรับ’

เยี่ยนจ้าวเกอเบะปาก แล้วพูดในใจว่า ‘พอแล้วกระมัง คนที่มีรัศมีตัวเอกเช่นนี้ จะตายได้ง่ายๆ ขนาดนั้นที่ไหน’

‘หลังจากข้าเข้าไปในปราการมังกรแล้ว การติดต่อระหว่างภายในและภายนอกคงต้องเป็นหน้าที่เจ้า ลำบากเจ้าหน่อยที่ต้องวิ่งไปๆ มาๆ’ เยี่ยนจ้าวเกอโบกไม้โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ อาหู่จึงรีบพยักหน้าตอบรับ

เหล่าลูกศิษย์เดินอยู่ในปราการมังกร เส้นทางที่ใช้ตะเกียงควันไฟทำขึ้นก็มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

ชายหนุ่มชะลอฝีเท้า ก่อนจะใช้คาถาตรวจสอบ แล้วหยิบเทียนสีเขียวเล่มหนึ่งขึ้นมาจุด จากนั้นจึงเดินเข้าไปในหมอกดำหนาทึบตรงหน้า คนอื่นๆ เองก็ทำเช่นเดียวกัน พร้อมกับเดินตามหลังเยี่ยนจ้าวเกออย่างระมัดระวัง

เมื่อเดินพ้นจากบริเวณที่ปิดผนึกเอาไว้ หมอกดำที่อยู่รอบกายก็โหมกระหน่ำเข้ามาทันที ราวกับโดนคลื่นสูงซัดสาดใส่

หากไม่ใช่เพราะเยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่คอยต้านอยู่ข้างหน้า ต่อให้คนอื่นๆ มีเทียนไฟก็ยากที่จะยื้ออยู่ได้นาน

 อย่างที่คิดไว้ ปราณพิษเข้มข้นขึ้นมาก ทั้งยังเคลื่อนตัวเร็วกว่าเมื่อก่อนด้วย เห็นได้ชัดว่าถูกก่อกวนจากบางสิ่งบางอย่าง  เยี่ยนจ้าวเกอมองไปรอบด้าน สายตามองผ่านหมอกดำที่ปกคลุมหนาแน่นเหล่านั้นไป

ตรงหน้ามืดสนิท ด้วยสายตาของเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว มองเห็นเพียงสิ่งของที่อยู่ใกล้ๆ ตัวเท่านั้น

ชายหนุ่มเห็นแสงสีแดงวิ่งผ่านไปด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าผ่าลงมาในยามค่ำคืน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในน้ำลึกปราการมังกร

ไม่ต้องรอให้เยี่ยนจ้าวเกอออกคำสั่ง อาหู่ก็ยื่นมือออกไปคว้าในอากาศ

เมื่อเก็บมือกลับมาก็พบว่ากลางฝ่ามือมีรอยสีแดงหนึ่งเส้นกำลังส่องแสงอ่อนๆ ในความมืด คล้ายกับเป็นสิ่งมีชีวิต มันขยับไปมาไม่หยุด เหมือนกับกำลังจะเจาะแทรกเข้าไปในผิวหนัง

 เป็นสิ่งที่มาจากต่างแดน…  เยี่ยนจ้าวเกอมองครั้งหนึ่ง แล้วหรี่ตาลงทันที  ดูแล้วไม่ใช่ภัยธรรมชาติ แต่เป็นหายนะจากฝีมือมนุษย์จริงๆ ด้วย 

…………..

 

ไม่ว่าจะเป็นความคิดของเยี่ยจิ่ง ซือคงจิง หรือคนอื่นๆ เยี่ยนจ้าวเกอล้วนไม่ได้ใส่ใจมากนัก

ถึงแม้ว่าเรื่องที่หุบเหวปราการมังกรจะเร่งด่วน แต่ในเมื่อเดินทางมาถึงอาณาจักรถังตะวันออกแล้ว ก็ช่างคนอื่นเถิด เพราะเยี่ยนจ้าวเกอจะต้องเข้าเฝ้าราชาองค์ปัจจุบันของอาณาจักรถังตะวันออกให้ได้

อีกฝ่ายไม่ได้เป็นเพียงราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออก และยอดจอมยุทธ์แห่งเกาะนภาตะวันออกคนหนึ่งเท่านั้น ทว่ายังเป็นเพื่อนสนิทของเยี่ยนตี๋ ผู้เป็นบิดาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ รวมถึงเขายังคอยดูแลและสนับสนุนเยี่ยนจ้าวเกอเสมอ

หุบเหวปราการมังกรมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ แน่นอนว่าจอมยุทธ์ยอดฝีมือของอาณาจักรถังตะวันออก และจอมยุทธ์ผู้รักษาการณ์ของเขากว่างเฉิงที่อยู่ใกล้ที่นี่มากที่สุด ต้องรีบเดินทางมาปิดผนึกและตรวจสอบตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ก่อนที่เยี่ยนจ้าวเกอและทุกคนจะเข้าไปในสถานที่ที่อันตรายอย่างหุบเหวปราการมังกร จึงต้องทำความเข้าใจกับสถานการณ์ล่าสุดเสียก่อน

หลังจากเข้าเฝ้าราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออกเสร็จเรียบร้อยแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็จะไปเข้าพบผู้อาวุโสคุมการณ์ของสำนักเขากว่างเฉิงที่ประจำการอยู่ ณ อาณาจักรถังตะวันออก

การเข้าพบครั้งนี้ไม่ได้ผ่อนคลายและสันติอย่างในครั้งแรก เพราะว่าผู้มีอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรถังตะวันออกของเขากว่างเฉิงผู้นี้ เป็นคนของอาจารย์ลุงรองของเยี่ยนจ้าวเกอ

ผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออกผู้นี้ ภายนอกดูเป็นชายชราที่เข้มงวดคนหนึ่ง เขามองเยี่ยนจ้าวเกอ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรยืดเยื้อเสียเวลานัก เพียงใช้คำพูดง่ายๆ ไม่กี่ประโยคอธิบายสถานการณ์ที่เขาทราบดี ส่วนเยี่ยนจ้าวเกอก็ฟังไปพลาง ไตร่ตรองไปพลาง

 เฉาหยวนหลงแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏตัวที่หุบเหวปราการมังกรเช่นกัน เจ้าก็พยายามเข้าเถิด  หลังจากอธิบายสถานการณ์ที่ปราการมังกรเสร็จสิ้นแล้ว ชายชราก็กล่าวทิ้งท้ายอย่างไม่ใส่ใจ

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มและพูดว่า  ครั้งนี้ทางสำนักให้ข้าเป็นคนนำคณะมาก็เพราะเขาไม่ใช่หรือขอรับ 

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่กี่แห่งที่ในยุคสมัยนั้น สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เป็นสำนักยิ่งใหญ่ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขากว่างเฉิงเช่นกัน แม้กระทั่งมีกำลังอำนาจอาจเหนือกว่าเขากว่างเฉิง อีกทั้งยังมีเค้าลางเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งแห่งยุคปัจจุบันเลยก็ว่าได้

เฉาหยวนหลงเป็นบุตรแห่งสวรรค์ และปรมาจารย์วัยเยาว์ผู้เก่งกาจของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เขาอายุใกล้เคียงกับเยี่ยนจ้าวเกอ วรยุทธ์ก็อยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะท้ายเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นคนรุ่นใหม่มากความสามารถผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของโลกแปดพิภพเช่นกันด้วย

เจ้าของร่างเดิมของเยี่ยนจ้าวเกอเคยประมือกับเขาสามครั้ง แต่ผลสุดท้ายเสมอกันทั้งหมด ทั้งสองเลยถือได้ว่าเป็นคู่ปรับเก่าในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ของโลกแปดพิภพ

ท่านผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออกกล่าวว่า  เจ้าหนุ่มคนนี้ถือว่าหาได้ยาก เขาฝึกวิชาเข็มทองสุริยันของสำนักจนสำเร็จถึงขั้นที่แปดแล้ว ในขณะที่มีพรสวรรค์เหนือผู้อื่น เขาก็ยังมีความพยายามอุตสาหะ หากครั้งนี้เขายังก้าวหน้าเพิ่มขึ้นอีก ผลจะเป็นเช่นไรคิดว่าข้าคงไม่ต้องบอกเจ้านะ 

วิชาเข็มทองสุริยันของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เป็นวิชาที่ไม่นิยมฝึกฝนกันนัก ทว่าหากฝึกฝนจนแก่กล้าแล้วจะมีอานุภาพร้ายแรงมาก ถือเป็นหนึ่งในวิชาที่อยู่ระดับสูงสุดเมื่อเทียบกับวรยุทธ์ในระดับเดียวกัน

การฝึกฝนในระยะเริ่มและระยะกลางค่อนข้างมีขีดจำกัด อย่างน้อยก็ต้องฝึกถึงขั้นที่หกหรือเจ็ดจึงจะเห็นความพิเศษอย่างชัดเจน

ทว่าวิชานี้กลับเป็นวิชาที่ฝึกฝนได้ยากมาก ผู้ฝึกต้องอดทนกับความเจ็บปวดจากการถูกไฟแผดเผา ราวกับถูกเข็มเป็นพันเป็นหมื่นเล่มทิ่มแทงทั่วร่างกาย ซึ่งเป็นการฝึกฝนที่ไม่ต่างอะไรกับการทารุณตนเอง

เมื่อระดับวรยุทธ์สูงขึ้น สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะมีวิชาที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นให้เหล่าศิษย์ได้เลือกฝึกฝนอยู่แล้ว จึงมีผู้เลือกฝึกวิชานี้น้อยมาก

เยี่ยนจ้าวเกอพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า  ถ้าหากเฉาหยวนหลงสามารถฝึกวิชาเข็มทองสุริยันสำเร็จถึงขั้นที่เก้าได้ด้วยอายุเท่านี้ ในประวัติศาสตร์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ยังมีไม่เกินห้าคน ช่างหาได้ยากจริงๆ 

 หากได้อยู่ในอันดับต้นๆ ของคนรุ่นเดียวกันในสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ย่อมเหนือกว่าผู้อื่นเป็นธรรมดา 

ชายหนุ่มยิ้ม  ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่เตือน ข้าเองก็เตรียมใจไว้แล้ว 

ผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออกมองเขาครั้งหนึ่ง แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า  ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไปเถิด หากพบสิ่งใดที่ปราการมังกรก็ให้รีบกลับมารายงานทันที ดูแลศิษย์ทุกคนที่มาฝึกฝนให้ดี อย่าให้เกิดผิดพลาดอะไรก็แล้วกัน 

 เช่นนั้นข้าขอลา ท่านผู้อาวุโสส่งเพียงเท่านี้พอ  เยี่ยนจ้าวเกอลุกขึ้นยืน

ชายชรามองดูแผ่นหลังที่จากไปของเยี่ยนจ้าวเกอ ครั้นสายตาเรียบสงบลงแล้ว เขาจึงหลับตาทั้งสองข้างลงช้าๆ  เจ้าเด็กไร้กาลเทศะ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง 

ปราการมังกรเป็นหุบเหวขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ที่พาดตัวยาวเป็นแนวขวางอยู่บนพื้นดิน สองด้านมีหน้าผาขนาดใหญ่ เหวด้านล่างลึกมองไม่เห็นก้น และมีหมอกดำปกคลุมตลอดทั้งปี

หมอกดำเป็นอันตรายกับผู้คน ยิ่งลึกลงไปในหุบเหว ก็ยิ่งมีหมอกดำหนาแน่น ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ยอดฝีมือยังไม่กล้าเสี่ยงอันตรายลงไปสุ่มสี่สุ่มห้า และมักมีสัตว์อสูรที่ฉลาดเป็นกรดและดุร้ายอยู่ท่ามกลางหมอกดำมากมาย

เมื่อเข้าไปในปราการมังกร หมอกดำที่ปกคลุมอยู่ยิ่งทำให้เกิดการบิดเบี้ยวของเวลา ทำให้ยากที่จะแยกแยะทิศทาง คนจากด้านนอกหุบเหวอยากจะช่วยเหลือก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน

ทว่าในปราการมังกรก็มีสมบัติล้ำค่าที่พบเจอได้ยากบนพื้นแผ่นดินทั่วไป หรืออาจเป็นสมบัติที่มีเพียงเฉพาะที่นี่เท่านั้น จึงมีจอมยุทธ์เข้ามาค้นหาสมบัติที่นี่เสมอ

แน่นอนว่า ผู้ที่เข้ามาส่วนมากก็ไม่ได้รอดกลับออกมาอีก

ดังนั้นตั้งแต่อดีตกาลมา ปราการมังกรจึงเป็นสถานที่ที่ขึ้นว่าอันตรายยิ่งนัก

เยี่ยนจ้าวเกอและคนอื่นๆ ออกจากเมืองหลวงของอาณาจักรถังตะวันออก และรุดหน้าเดินทางมาถึงรอบนอกของสถานที่อันตรายแห่งนี้

 พวกเจ้าคงจะทราบถึงความเป็นมาของปราการมังกรกันแล้วใช่หรือไม่  เยี่ยนจ้าวเกอที่ยืนอยู่ข้างหน้าผาเปรยขึ้น  ในโลกแปดพิภพ ทั่วไปแล้วผู้คนจะแบ่งพื้นที่ขนาดใหญ่ออกเป็นแปดส่วน ซึ่งจะใช้นภา ปฐพี วายุ อัสนี วารี อัคคี ภูผา และบึงเป็นชื่อเรียกแทน 

 เนื่องจากความผิดปกติของปฐพีพิภพเมื่อหลายปีก่อน พื้นที่นั้นจึงกลายเป็นเป็นเขตปิดตายและกลายเป็นสถานที่อันตรายขนาดใหญ่ที่สุดของโลก หลังจากนั้นทุกคนก็เห็นพ้องที่จะเรียกที่แห่งนั้นว่า ‘อเวจี’ มาตลอด

 นับแต่อเวจีก็แตกแขนงเป็นหุบเหวขนาดใหญ่อีกมากมายทั่วใต้หล้า ปราการมังกรแห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในหุบเหวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ซึ่งพาดตัวยาวเข้าไปในเขตของนภาพิภพที่เขากว่างเฉิงของเราตั้งอยู่ด้วย 

เยี่ยนจ้าวเกอพูดต่อว่า  จู่ๆ ปราการมังกรก็เกิดความผิดปกติขึ้น สาเหตุยังไม่ชัดเจนนัก พวกเจ้าจะต้องระวังตัวให้ดี 

ลูกศิษย์เขากว่างเฉิงล้วนพยักหน้าตอบรับ

ทุกคนก็ค่อยๆ เดินลงไปในหุบเขา โดยมีเยี่ยนจ้าวเกอเป็นผู้นำ

แม้จะเป็นสถานที่ที่อันตราย แต่ก็มีคนจัดการรอบนอกสุดให้เป็นทางเดินอย่างง่ายแล้ว

บนเส้นทางเดินนี้มีแสงจากตะเกียงส่องสว่างอยู่ในทุกช่วง และมีควันจางๆ ไหลเข้ามากันหมอกดำออกเป็นช่องทางเล็กๆ ที่ให้คนเดินได้

นี่ก็คือทางที่จอมยุทธ์ยอดฝีมือของอาณาจักรถังตะวันออกและเขากว่างเฉิงเข้ามาทำการผนึกชั่วคราว เมื่อรู้ถึงความผิดปกติในตอนแรก จากนั้นก็ทำการเฝ้าระวังพร้อมกับแจ้งเรื่องไปยังสำนักเขากว่างเฉิง ให้ส่งคนนำคาถาพิเศษมาใช้ในการตรวจสอบที่นี่

หากไม่ใช่เป็นเพราะผนึกได้ทันเวลาในตอนนั้น หมอกดำเหล่านี้คงทะลักออกมานอกหุบเขาไปแล้ว

เมื่อพบกับจอมยุทธ์ที่ดูแลการผนึกในพื้นที่แล้ว เยี่ยนจ้าวเกอและทุกคนก็เริ่มเข้าไปส่วนลึกของปราการมังกร

เยี่ยนจ้าวเกอเดินอยู่ด้านหน้าสุด คอยระวังสถานการณ์รอบตัวไปพลาง และไตร่ตรองในใจไปพลาง ‘หมอกดำนี้เป็นปราณพิษจริงๆ ด้วยสินะ ถึงแม้จะสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของเตาผลึกหินภายชั้นใน ทว่าตัวมันกลับมีผลร้ายไร้ประโยชน์ใดๆ ’

‘แต่เดี๋ยว…ขอข้าคิดก่อนนะ เหมือนจะมีประโยชน์อยู่’

‘จากขั้นจิตราชั้นในระยะท้าย จนถึงขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้น ระยะห่างของพลังที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น มากยิ่งกว่าจากขั้นจิตราชั้นในระยะกลางไปสู่ขั้นจิตราชั้นในระยะท้ายอีก ไม่ใช่ความแตกต่างราวฟ้ากับดิน แต่เป็นความแตกต่างที่เหมือนกับการได้ถอดร่างเปลี่ยนกระดูกเลยก็ว่าได้’ เยี่ยนจ้าวเกอคิดในใจต่อว่า ‘ยิ่งปลดปล่อยปราณจิตราสู่ภายนอก ก็จะยิ่งมีความสามารถในการป้องกันตัวเองแข็งแกร่งมากขึ้น 

‘เมื่อปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในทุ่มกำลังโจมตีไปยังจุดสำคัญที่ปรมาจารย์ขั้นจิตรานอกไม่ได้ทำการปกป้องเป็นพิเศษจึงจะเห็นผล มิเช่นนั้นก็เป็นการเสียกำลังเปล่าๆ เสียส่วนใหญ่’

‘ในทางกลับกัน หากปรจารย์ขั้นจิตรานอกปลดปล่อยปราณจิตราชั้นนอกออกสู่ภายนอก ก็จะมีพลังทำลายล้างอันน่าทึ่งเช่นกัน และจะทลายการป้องกันของปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในได้ง่ายยิ่งกว่า’

‘น่าเสียดาย จากขั้นจิตราชั้นในถึงขั้นจิตราชั้นนอก แม้ห่างกันเพียงหนึ่งก้าวก็ถือเป็นคลองขวางกั้นที่กว้างใหญ่ อยากบรรลุจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ประเด็นสำคัญคือต้องใช้เวลาเป็นจำนวนมากในการขัดเกลาปราณจิตราและฝึกฝนร่างกายอย่างหนัก’

ทว่าขณะที่เดินอยู่ในปราการมังกรซึ่งเต็มไปด้วยความอันตราย บนใบหน้าเยี่ยนจ้าวเกอกลับปรากฏรอยยิ้มขึ้น

‘แต่ถ้าปรับเปลี่ยนวิชาทวนคลื่นน้ำวนของเคล็ดวิชาเหวเวหาทวนกระแส แล้วชักจูงปราณพิษเข้าสู่ร่างกาย ก็จะสามารถเปลี่ยนของไร้ค่าให้เป็นของล้ำค่าได้ ทำให้มันกลายเป็นหินลับมีดชั้นดีมาขัดเกลาปราณจิตราของตนเอง ก็จะช่วยข้าให้บุกทะลวงจากภายในสู่ภายนอก ทำลายด่านกีดกั้นจากขั้นจิตราชั้นในสู่ขั้นจิตราชั้นนอกได้’

………………..

 

ผู้พูดไร้ซึ่งเจตนา ทว่าผู้ฟังกลับใส่ใจ

เยี่ยนจ้าวเกอพูดไปโดยไม่ได้คิดอะไร แต่กลับทำให้เยี่ยจิ่งที่สุขใจเมื่อได้กลับบ้านรู้สึกไม่สบอารมณ์นัก

แม้ทุกคนจะถูกรัศมีของเยี่ยนจ้าวเกอบดบัง ทว่าก็ยังดูสนุกสนาน การที่พวกเขาได้ออกจากเขากว่างเฉิงมายังเกาะนภาตะวันออก และอาณาจักรถังตะวันออกนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกว่า แท้จริงพวกเขาก็เป็นบุตรแห่งสวรรค์เช่นเดียวกัน

ในฐานะที่เป็นศิษย์แห่งเขากว่างเฉิง หนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของยุคนี้ เดิมทีพวกเขาก็เป็นบุคคลชั้นยอดที่ผ่านการทดสอบคัดเลือกจากสถานที่ทรงอำนาจต่างๆ เฉกเช่นอาณาจักรถังตะวันออก แล้วจะมีใครฝีมือย่ำแย่บ้างเล่า

เพียงแต่ทุกคนจะไม่คิดลำพองใจ เพราะทุกครั้งที่ในใจเกิดความรู้สึกเช่นนั้น แผ่นหลังของบุรุษสวมชุดสีขาว คลุมทับด้วยเสื้อนอกสีน้ำเงิน ท่าทางสบายๆ ที่อยู่ด้านหน้าสุดผู้นั้น จะทำให้ความลิงโลดในใจของพวกเขาสงบลงได้ทันที

เมื่อลูบอาวุธวิเศษของตนแล้ว ในใจก็ฮึกเหิมเกิดความคิดที่จะมุ่งพัฒนาตนเองให้เก่งกาจยิ่งขึ้น

ทหารองครักษ์ในราชวังแห่งอาณาจักรถังตะวันออก มีเพียงคนที่เก่งกาจที่สุดในบรรดาผู้ที่มีวรยุทธ์เทียบเท่ากับพวกเขาเท่านั้น ถึงจะมีอาวุธสงครามได้คนละชิ้น…

แน่นอนว่าหากเทียบกับเยี่ยนจ้าวเกอ พวกเขาไม่มีทางเทียบได้

บุคคลที่เยี่ยนจ้าวเกอจะเข้าพบในตอนนี้ คือราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออก ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรถังตะวันออก หนึ่งในสามมหาอำนาจแห่งเกาะนภาตะวันออกที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขากว่างเฉิง ถือเป็นราชาผู้โที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุด

ส่วนผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออก ถือเป็นตัวแทนของเขากว่างเฉิง ที่เป็นที่เคารพสูงสุดของอาณาจักร มีตำแหน่งสูงยิ่งกว่าผู้อาวุโสชุย ที่เยี่ยนจ้าวเกอเพิ่งลากลงจากตำแหน่งไปก่อนหน้านี้

ถึงแม้ในนอกต่างกัน วรยุทธ์มีสูงต่ำ อำนาจมีมากมีน้อย ทว่าในบทบัญญัติของสำนัก ผู้อาวุโสปฏิบัติกิจเช่นผู้อาวุโสชุย เมื่อออกจากสำนักมาอยู่ที่เกาะนภาตะวันออก ก็มีหน้าที่คอยคุมการณ์ในเมืองหรือพื้นที่สำคัญ รวมถึงดูแลการขุดค้นและใช้งานทรัพยากรต่างๆ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของสำนักไว้

โดยผู้อาวุโสคุมการณ์จะคอยคุมการณ์อยู่ที่พระราชวัง สำนัก หรือขุมกำลังใหญ่ๆ เป็นที่เคารพร่วมกันของที่แห่งนั้น เพื่อคอยรับประกันผลกระทบจากอิทธิพลของเขากว่างเฉิง และการเก็บเกี่ยวในแต่ละวัน รวมถึงรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน

หลังจากที่เข้าเมืองและนัดแนะจุดรวมพลกันแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็เข้าวังไปผู้เดียว ส่วนเยี่ยจิ่งและคนอื่นต่างก็แยกตัวกันออกไปทำกิจกรรมต่างๆ ในเมืองหลวงของอาณาจักรถังตะวันออก

เยี่ยจิ่งหมดอารมณ์ที่จะเยี่ยมชมบ้านเกิดต่อ จึงเดินเลียบตามริมแม่น้ำที่ตัดผ่านเมืองไปเรื่อยๆ แล้วหยุดยืนอยู่บนสะพานแห่งหนึ่ง พลางก้มหน้ามองกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวผ่านใต้สะพานไปเพียงลำพังอย่างสงบเงียบ

ซือคงจิงปรากฏกายด้านหลังเขาโดยไม่ส่งเสียงใดๆ ทว่าเยี่ยจิ่งรู้ตัว จึงกล่าวอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก  ศิษย์พี่ 

 กำลังคิดเรื่องเมื่อครู่อยู่หรือ?  ซือคงจิงเอียงศีรษะเล็กน้อย

เยี่ยจิ่งส่ายหน้า  ตอนนั้นข้าคิดว่าเขาต้องการจะโอ้อวด แต่คิดดูออีกครั้งกลับรู้สึกว่าไม่ใช่ 

 เช่นนั้นเจ้ากำลังคิดเรื่องอาวุธวิเศษที่ศิษย์พี่เยี่ยนให้ทุกคน?  ซือคงจิงถาม

ตอนที่อยู่ในสำนัก มีเพียงเยี่ยจิ่งที่ไม่ได้หยิบอาวุธวิเศษที่เยี่ยนจ้าวเกอให้ ส่วนสิบห้าคนรวมทั้งซือคงจิงต่างก็เลือกมาคนละหนึ่งชิ้น

 ศิษย์พี่เยี่ยนอาจจะกำลังโอ้อวดอยู่ก็ได้ แต่เขามีสิทธิ์จะทำเช่นนั้น  ซือคงจิงเดินมายืนข้างๆ เยี่ยจิ่ง  อาวุธวิเศษระดับล่างเป็นสิ่งที่ไม่มีความคิดและจุดยืนหรอกนะ และความสำเร็จในอนาคตของข้ากับเจ้า ก็ไม่ใช่สิ่งที่อาวุธวิเศษเพียงแค่ชิ้นเดียวจะมากำหนดได้ ศิษย์พี่เยี่ยนยุติธรรมกับทุกคน มอบอาวุธให้ทุกคนคนละหนึ่งชิ้น ข้าจะกล้าไม่รับไว้ได้อย่างไร ไว้อนาคตค่อยคืนสิ่งที่ดีกว่านี้ให้เขาก็ได้ 

เยี่ยจิ่งพยักหน้า แม้ว่าซือคงจิงจะหยิบอาวุธวิเศษมาชิ้นหนึ่งเหมือนกับทุกคน แต่ในความเป็นจริงแล้ว นางไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมากนัก

 เจ้าไม่รับไว้อาจจะดูแปลกแยก แต่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้  ซือคงจิงกล่าวต่อว่า  คงมีบางคนที่คิดว่านั่นถือเป็นความหวังดีของศิษย์พี่เยี่ยน เจ้าปฏิเสธก็เท่ากับว่าไม่เจียมตัว แต่ข้ากลับรู้สึกว่าศิษย์พี่เยี่ยนไม่ได้กำลังเอาใจทุกคนอยู่ สายตาที่เขามองเจ้ากับมองข้าไม่แตกต่างอะไรกันเลย 

การที่นางกล่าวเช่นนี้ กลับทำให้เยี่ยจิ่งยิ่งกำหมัดแน่นขึ้น ภาพในอดีตที่เยี่ยนจ้าวเกอพรากคนรักของเขาไป โดยที่ไม่เห็นหัวของเขานั้น ราวกับฉายซ้ำตรงหน้าอีกครั้ง

 เขาคิดอย่างไรข้าไม่รู้ แต่ข้าไม่ต้องการของของเขา  เยี่ยจิ่งกล่าว น้ำเสียงค่อยๆ สงบลง ก่อนจะเผยความมั่นใจและเชื่อมั่นในแววตา  สำหรับข้าในตอนนี้ อาวุธวิเศษเป็นสิ่งที่ดีแน่อยู่แล้ว แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือการฝึกฝนของตัวข้าเอง 

 ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ผิด เมื่อปลงความคิดได้ จิตใจย่อมสบาย หากอัดอั้นตันใจ จะได้รับผลกระทบในยามฝึกฝนได้ง่าย สู้ปลดปล่อยตนเอง แล้วทำตามความต้องการของตัวเองดีกว่า  ซือคงจิงกล่าว

เยี่ยจิ่งกำหมัดแน่นพลางพูดว่า  เยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้แกร่งกล้ากว่าข้าอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ระดับพลังจะสูงกว่า ทั้งยังมีวิชาหลอมเตาผลึกหินชั้นในที่กลับสู่โลกอีกครั้ง แต่ข้าจะไม่แพ้ให้เขาตลอดไปหรอก ข้าต้องเหนือกว่าเขาให้ได้ 

 ปรมาจารย์รุ่นเยาว์ไม่ได้เก่งกาจมากถึงเพียงนั้น ข้าจะแข่งกับเขาดูสักตั้ง ว่าใครกันจะเป็นมหาปรมาจารย์ แล้วละโลกาสู่ความศักดิ์สิทธิ์ บรรลุระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ก่อนกัน! 

การฝึกฝนของจอมยุทธ์ในยุคนี้ จะเริ่มฝึกจากร่างกาย โดยแบ่งออกเป็นขั้นร่างกาย ขั้นเบิกทางชีพจร และขั้นชักจูงลมปราณ ในทุกขั้นแบ่งออกเป็นระยะต้น ระยะกลาง และระยะท้าย

รวมทั้งสิ้นเก้าขั้น หากรวมกับขั้นประจักษ์นภาอันเป็นการฝึกยุทธ์ขั้นสุดท้าย จะเรียกรวมกันว่าระดับยุทธ์หลอมกายสิบขั้น

ถัดจากขั้นประจักษ์นภาขึ้นไปจะมีด่านขวางกั้นใหญ่หนึ่งจุด หากก้าวข้ามผ่านไปได้ จอมยุทธ์ก็จะเข้าสู่ระดับปรมาจารย์

ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักวิทยายุทธ์เช่นเขากว่างเฉิงอาจยังมองไม่ออก ทว่าในความเป็นจริงแล้วเมื่อจอมยุทธ์กลายเป็นปรมาจารย์ ก็จะมีคุณสมบัติที่จะเปิดสำนักวิทยายุทธ์บนแผ่นดินใหญ่ได้

ผู้นำด้อยอำนาจจำนวนไม่น้อยก็ฝึกวรยุทธ์เพื่อเข้าสู้ระดับปรมาจารย์

ระดับปรมาจารย์นี้แบ่งเป็นสามขั้น อันได้แก่ ขั้นจิตราชั้นใน ขั้นจิตราชั้นนอก และขั้นเคียงนภา ทุกขั้นแบ่งเป็นระยะต้น ระยะกลาง และระยะท้ายเช่นกัน รวมกับขั้นฝ่านภาในขั้นสุดท้าย นั่นก็คือระดับปรมาจารย์ยุทธ์สิบขั้น

อีกทั้งถัดจากขั้นฝ่านภาขึ้นไป ก็จะมีอีกหนึ่งด่านขวางที่กว้างใหญ่ ผู้ที่ข้ามผ่านไปได้ ก็จะถูกเรียกว่ามหาปรมาจารย์

เมื่อถึงจุดนี้ถือได้ จะถือว่าเป็นจอมยุทธ์ที่เก่งกาจคนหนึ่ง และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งแผ่นดิน

มหาปรมาจารย์ยุทธ์สิบขั้นจะเรียกได้ว่าบรรลุธรรม ซึ่งก็คือการละทิ้งทางโลกเข้าสู่ความศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่อยู่สูงกว่าขั้นบรรลุธรรมจะมีโอกาสได้เข้าสู่ดินแดนวรยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ และกลายเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์

และในยุคปัจจุบันนี้ ทั่วหล้ามีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์เพียงหยิบมือเท่านั้น

 วิชาหลอมเตาผลึกหินชั้นในของเขาหลอมสร้างอาวุธวิเศษและอาวุธวิญญาณได้ ต้องดูต่อไปว่าจะหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่ สำหรับสำนักแล้ว อาวุธวิญญาณมากมายจะสำคัญกว่าการมีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งได้อย่างไร 

ดวงตาของเยี่ยจิ่งเปล่งประกาย แม้ว่าตอนนี้เขาเบิกทางตันเถียนชี่ไห่ อยู่ในระดับยุทธ์หลอมกายขั้นแปด ขั้นชักจูงลมปราณระยะกลางเท่านั้น ในขณะเยี่ยนจ้าวเกอกำลังจะเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะท้ายนานแล้วก็ตาม

แต่เยี่ยจิ่งมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เขาเชื่อว่าตนเองสามารถเอาชนะชายหนุ่มผู้เป็นเสมือนศัตรูที่ชะตาลิขิตไว้ได้

เขามีจิตใจแน่วแน่และมีความเชื่อมั่นที่มากพอ อีกทั้งเขาก็ยังมีที่พึ่งเป็นของตนเอง…

เยี่ยจิ่งถอนหายใจเบาๆ ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว พลางใช้นิ้วมือถูไปยังแหวนสีแดงคล้ำวงหนึ่งที่สวมอยู่บนมือขวา

จุดเริ่มต้นต่ำกว่าไม่สำคัญ แค่มีพัฒนาการที่รุดหน้ารวดเร็ว ต้องมีสักวันที่สามารถไล่ทันและก้าวนำไปได้แน่!

ซือคงจิงมองไปยังเยี่ยจิ่ง  ศิษย์น้องเยี่ย เจ้ามีความสามารถไม่ธรรมดา ขอเพียงมีความมุ่งมั่น ซื่อสัตย์อดทนการจะไปถึงขั้นบรรลุธรรมและเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ต้องไม่ใช่ปัญหาแน่ 

 ข้าก็แค่คุยโวกับตัวเองเท่านั้น ศิษย์พี่อย่าล้อข้าเล่นเลย ท่านอยู่ขั้นประจักษ์นภาแล้ว ห่างจากขั้นปรมาจารย์อีกเพียงก้าวเดียว บัดนี้ดูแล้วท่านต่างหากที่มีความเป็นได้มากที่สุดที่จะเอาชนะเยี่ยนจ้าวเกอ อีกทั้งยังมีโอกาสเป็นศิษย์ระดับปรมาจารย์รุ่นเยาว์อีกคนของเขากว่างเฉิงมากกว่าข้า  เยี่ยจิ่งกล่าวยิ้มๆ

ซือคงจิงจึงพูดว่า  แต่ข้าว่าครั้งนี้ศิษย์พี่เยี่ยนดูไม่เหมือนมีใจคิดร้าย แต่กลับเป็นตอนที่อยู่ที่วิหารปฏิบัติกิจ คำพูดเหล่านั้นของท่านผู้อาวุโสชุยเหมือนจงใจยุแหย่อย่างน่าสงสัย ต่อไปศิษย์น้องเยี่ยเจ้าต้องคอยระมัดระวังตัวให้ดี 

 ภายในสำนักมีความสัมพันธ์มากมายที่มองออกได้ยาก ง่ายนักที่จะตกไปในหลุมพลางโดยไม่รู้ตัว 

เยี่ยจิ่งพยักหน้า  ข้าเข้าใจ 

…………

 

ผู้อาวุโสชุยกลับมามีสีหน้าสงบนิ่งอีกครั้ง ส่ายหน้าพลางยิ้ม  ข้าก็แค่พูดชมศิษย์รุ่นหลังไม่กี่ประโยคเอง มันมีอะไรหรือ? 

เขามองเยี่ยนจ้าวเกอ  แต่เจ้าสิ แม้ชาติกำเนิดจะไม่ธรรมดา แต่เจ้าก็ควรจะรู้ไว้ ว่าถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นลูกศิษย์รุ่นหลัง 

 ลำพังแค่สิ่งที่เจ้าพูดเมื่อครู่ ข้าก็สามารถสั่งลงโทษเจ้าในความผิดไม่เคารพผู้อาวุโสและไร้ซึ่งคุณธรรมได้แล้ว ต่อให้เป็นท่านอาวุโสเยี่ยนก็พูดอะไรไม่ได้ 

 เจ้าหนุ่ม เอาเรื่องที่เตาผลึกหินชั้นในนี้เป็นของจริงหรือของปลอม ใช่เจ้าเป็นคนสร้างขึ้นมาหรือไม่ไว้ก่อน ถึงเจ้าพอจะมีผลงานอยู่บ้าง แต่เจ้าก็ควรรู้จักระวังคำพูดและการกระทำ อ่อนน้อมถ่อมตนหน่อยถึงจะถูก! 

ถึงแม้ผู้อาวุโสชุยจะยังมีรอยยิ้มใจดี ทว่ากลิ่นอายรอบกายกลับดุดัน ทำให้ศิษย์รุ่นเยาว์ที่อยู่ในบริเวณนั้นไม่กล้าแม้แต่หายใจออกมา ได้แต่มองดูผู้อาวุโสชุยด้วยความหวาดกลัว

เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้เกินความคาดหมายของพวกเขาไปแล้ว

ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอกลับดูเป็นมิตรกว่าผู้อาวุโสชุยเสียอีก  ท่านเป็นผู้อาวุโส? จริงอยู่ที่สำนักของเราให้ความสำคัญกับลำดับความอาวุโสของเด็กและผู้ใหญ่ และข้าเองก็ให้ความเคารพกับผู้อาวุโสมาโดยตลอด 

 เพียงแต่ว่า ไม่ต้องให้ถึงพ่อข้าหรอก ถ้าข้าจะหาสักสองสามคนที่ไม่เห็นว่าท่านเป็นผู้อาวุโสมาล่ะก็ นั่นย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายมาก 

 สำหรับเรื่องในวันนี้ แม้ท่านไม่ได้มีความผิดอะไร ทว่าที่ผ่านมาท่านคิดหรือว่าท่านสะอาดบริสุทธิ์ เรื่องนี้ท่านย่อมรู้ดีแก่ใจที่สุด 

 ข้าให้ความเคารพแก่ผู้อาวุโส ทว่าก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า อีกฝ่ายต้องเป็นผู้อาวุโสที่รู้จักเคารพตนเอง 

ผู้อาวุโสชุยจ้องเยี่ยนจ้าวเกอตาเขม็ง  เจ้า… 

เยี่ยนจ้าวเกอมองเขาด้วยหางตา  อะไรหรือขอรับ?  

ผู้อาวุโสชุยถึงกับพูดไม่ออก จนบัดนี้เขาเพิ่งรับรู้ว่า เด็กหนุ่มเบื้องหน้านี้เอาแต่ใจและจิตใจคับแคบกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก!

ขณะนี้เขาเองคิดจะล้มโต๊ะ[1] ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอได้เห็นดีบ้าง ทว่ากลับพบว่าในมือของตนเองไม่มีหมากตัวไหนที่จะใช้ข่มขู่เยี่ยนจ้าวเกอได้เลย

แต่ถึงอยากจะลงมือเพียงใด อาหู่ที่อยู่ด้านข้างกลับแสยะยิ้มกว้างอย่างชั่วร้ายมองเขาอยู่ ทำให้เขาได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ตรงนั้น

เยี่ยนจ้าวเกอพูดนิ่งๆ ว่า  ท่านคงคิดว่าท่านกำลังใช้เด็กโง่คนหนึ่งเป็นเครื่องมือ แต่ความจริงแล้วตัวท่านเองก็เป็นเครื่องมือของคนอื่นเช่นกัน 

 ครั้งนี้หากท่านเล่นงานข้าได้สำเร็จ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังท่านคงจะทุ่มเททำทุกวิธีทางเพื่อปกป้องท่าน แต่ถ้าตอนนี้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังข้าลงมือกับท่าน ท่านยังคิดหรือว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังท่านจะยังปกป้องท่านอยู่อีก เขาจะลงทุนลงแรงปกป้องท่านขนาดไหนกันเชียว 

เมื่อพูดจบ เยี่ยนจ้าวเกอก็หมุนตัวกลับ ไม่สนใจใยดีคนแก่แซ่ชุยอีก จากนั้นจึงกวาดสายตามองไปยังเยี่ยจิ่ง ซือคงจิง และคนอื่นๆ แวบหนึ่ง แล้วจึงเดินนำออกจากตำหนักข้างไป  ถืออาวุธวิเศษให้ดี พวกเราจะไปกันแล้ว จุดหมายก็คือปราการมังกร 

อาหู่แบกเตาผลึกหินชั้นในเดินตามไปไม่ห่าง พลางส่งเสียงหัวเราะร่วน  คุณชาย นี่เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูหรือขอรับ? 

 เจ้าไม่เข้าใจหรอก  เยี่ยนจ้าวเกอส่ายศีรษะ ก่อนจะหันกลับหลังไปมองเยี่ยจิ่งที่เดินตามอยู่ด้านหลัง ที่ตอนนี้แม้จะดูไม่โกรธแค้นมากขนาดนั้นแล้ว แต่ยังคงมีสีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

เยี่ยนจ้าวเกอกลับมีสีหน้าเรียบนิ่ง แม้จะต้องมาแบกรับสิ่งต่างๆ แทนเจ้าของร่างเดิม แต่ตัวเขาในตอนนี้ไม่มีความแค้นเคืองอะไรกับเยี่ยจิง ดังนั้นจึงไม่คิดจะกลั่นแกล้งรังแกอะไรเขา

ใต้ฟ้าหลากหนทาง ต่างคนต่างเดิน อยู่กันอย่างสันติคือทางออกที่ดีที่สุด

‘แต่หากเจ้าจะเลือกยืนอยู่ในด้านที่ตรงกันข้ามกับข้า ข้าก็จะไม่หลีกทางให้เจ้าเช่นกัน เราก็มาลองกันสักตั้ง ดูสิว่าแขกต่างมิติเช่นข้า กับบุตรแห่งสวรรค์อย่างเจ้า ใครจะแกร่งกว่ากัน?’

‘เป็นตายไม่สน แต่ถ้าไม่สบอารมณ์ก็ขอสักที ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้าจะเป็นใครหน้าไหน’

เยี่ยจิ่งมองไปยังแผ่นหลังของเยี่ยนจ้าวเกอด้วยสายตาที่สับสน

ส่วนสายตาที่ซือคงจิงมองเยี่ยนจ้าวเกอก็ยังคงเย็นชาเช่นเคย แต่มีแววของความสนใจเพิ่มขึ้นมา

ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็มองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความเคารพนับถือ

หากว่าเรื่องของเตาผลึกหินชั้นในคือสิ่งที่ทำให้พวกเขารับรู้ถึงความสามารถของเยี่ยนจ้าวเกอ เช่นนั้นการโต้เถียงกับผู้อาวุโสชุยซึ่งๆ หน้าหลังจากนั้น ก็คือสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้ซึ้งว่าอะไรคือความเอาแต่ใจและยโสโอหัง

เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่รู้ว่าสู้ตนเองไม่ได้อย่างเยี่ยจิ่งและพวกเขาเหล่านี้ ถึงเยี่ยนจ้าวเกอจะดูบ้าระห่ำและอารมณ์ร้อน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังอ่อนโยนกว่ามาก

ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับคนระดับสูงเช่นผู้อาวุโสชุย ที่ปกติแล้วทำให้ศิษย์รุ่นหลังเช่นพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง เยี่ยนจ้าวเกอกลับเผชิญหน้าอย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน บีบคั้นทุกย่างก้าว บ้าระห่ำที่สุด

เมื่อเทียบกับอาวุธวิเศษมากมายแล้ว เรื่องราวหลังจากนี้ต่างหากที่ทำให้พวกเขารู้สึกอย่างแท้จริง ว่าเยี่ยนจ้าวเกอกับพวกเขาอยู่คนละระดับกันจริงๆ

เยี่ยนจ้าวเกอละสายตาจากพวกเขา ก่อนจะเดินต่อไปข้างหน้าโดยไม่บอกกล่าว ส่วนอาหู่ก็คอยติดตามอยู่ข้างๆ สุดท้ายเขาก็ชำเลืองมองอีกฝ่ายครั้งหนึ่ง

อาหู่ยื่นใบหน้าออกมาหัวเราะแหะๆ แล้วใช้ปราณภายในรวมเป็นเสียงส่งกระแสจิตไปหาเยี่ยนจ้าวเกออย่างเงียบๆ ว่า ‘คุณชายขอรับ ครั้งนี้เป็นความบกพร่องของข้า คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเจ้าเยี่ยจิ่งนั่นจะสามารถบรรลุได้อีกระดับ เบิกทางตันเถียนชี่ไห่สำเร็จได้ในเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้’

ชายหนุ่มกลอกตาขาวครั้งหนึ่ง แต่ตัวเขาเองกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้แต่อย่างใด

บุตรแห่งสวรรค์ ผู้มีรัศมีตัวเอกผู้นี้ ช่างชอบการสร้างความตะลึงเสียเหลือเกิน เล่นเอาคนทั้งหลายตาสว่างและหน้าชากันไปเลยทีเดียว

เรื่องพรรค์นี้เยี่ยนจ้าวเกอเองก็ชอบมาก แต่มีเงื่อนไขคือตนเองต้องเป็นฝ่ายกระทำ ไม่ใช่ฝ่ายถูกกระทำ

‘สั่งคนไปตรวจสอบ แล้วกลับมารายงานให้เร็วที่สุด’ เยี่ยนจ้าวเกอส่งกระแสจิตกลับไป ‘ตาแก่แซ่ชุยยุยงให้ข้าเคียดแค้นเยี่ยจิ่ง ต้องไม่จบลงง่ายๆ เช่นนี้แน่’

‘แต่ถ้ามาลองคิดๆ ดู ถ้าข้าเล่นงานจนเยี่ยจิ่งตายและโดนจับได้พร้อมหลักฐาน ข้าก็จะถูกลงโทษที่ฆ่าฟันพวกพ้อง แต่ขอเพียงบิดาข้ายังอยู่ ข้าก็ยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้’

‘ยิ่งไปกว่านั้น หากข้าคิดจะลงมือจริงๆ จะทิ้งหลักฐานไว้ให้โดนจับได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?’

‘และสำหรับการแข่งขันระหว่างอาจารย์ลุงรองและพ่อข้า เรื่องนี้ก็ไม่มีผลกระทบอะไรมาก’ เยี่ยนจ้าวเกอพูดขึ้น ‘น่าจะยังมีเหตุผลอื่นอีก ไปตรวจสอบความสัมพันธ์กับคนรอบข้างของเยี่ยจิ่งมาโดยละเอียดด้วย โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับคนในสำนัก’

อาหู่ในขณะนี้มีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ไม่ใช่ใบหน้าที่เล่นสนุกอีกแล้ว ‘ขอรับ คุณชาย’

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า แล้วมุ่งหน้าเดินทางต่อไป เดินไปสักพักก็พลันหยุดชะงัก ‘เอ๊ะ เกือบลืมเรื่องสำคัญไปเลย อาหู่ เจ้ากลับไปข้างวิหารอีกรอบ’

ชายร่างกำยำลูบกำปั้นไปมา ‘คุณชายรู้สึกไม่สบอารมรณ์หรือขอรับ ให้เป็นหน้าที่ของข้า ข้าจะกลับไปอัดตาแก่นั่นให้น่วมเดี๋ยวนี้เลย’

เมื่อได้ยินวาจาของอีกฝ่าย เยี่ยนจ้าวเกอก็รีบโบกมือปฏิเสธ ‘ไม่ใช่ เป็นภารกิจของสำนักครั้งนี้ ข้าลืมรับเอาคาถาที่ใช้สำหรับตรวจสอบปราการมังกรมาด้วย เจ้ากลับไปเอาให้ที’

อาหู่ ‘…’

ถึงเวลาแล้วที่ผู้อาวุโสปฏิบัติกิจแห่งวิหารปฏิบัติกิจชุยซิน จะถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกสอบสวนโดยตำหนักอาญา ในข้อหาเรียกสินบนและกดขี่ขู่เข็ญลูกศิษย์รุ่นหลัง

ณ ห้องมืดมิดและเงียบสงัดแห่งหนึ่งในสำนักเขากว่างเฉิง

 ตำนานเป็นความจริง คิดไม่ถึงเลยว่าเตาผลึกหินชั้นในจะมหัศจรรย์เช่นนี้ 

 รีบรายงานข้อมูลมา 

 อย่างไรเสียเตาผลึกหินชั้นในในตอนนี้ก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ จึงหลอมได้เพียงอาวุธวิเศษระดับล่างเท่านั้น แม้คุณค่าจะมหาศาล แต่ก็ยังมีขีดจำกัด เพื่อที่จะไม่เป็นการเปิดเผยตัวก่อนเวลาอันควร ทำให้เขากว่างเฉิงไหวตัวทัน พวกเราจะรอให้มีผลลัพธ์ที่ดีกว่านี้ออกมาก่อน แล้วค่อยลงมือใช่หรือไม่ 

 พวกเรายังคงปกปิดไว้เช่นเดิม แต่ข่าวนี้สำคัญมากนัก จำเป็นต้องรายงานกลับไปเดี๋ยวนี้ ส่วนต่อไปจะทำอย่างไรต่อ รอฟังคำสั่งจากทางนั้นก็แล้วกัน 

 ขอรับ 

อีกด้านหนึ่ง

 ตอนนี้มีคนระดับสูงของสำนัก รับช่วงต่อการศึกษาเตาผลึกหินชั้นในแล้ว แต่โครงสร้างพื้นฐานเป็นฝีมือเยี่ยนจ้าวเกอทั้งหมด 

 มีโครงสร้างพื้นฐานแล้วก็จะสามารถทดลองในขั้นถัดไปได้ 

 ถึงเขาจะมีองครักษ์ติดตามไปปราการมังกรในครั้งนี้ด้วย แต่อย่างไรก็ยังโดดเดี่ยวแรงน้อย นี่เป็นโอกาสดีที่จะส่งคนไปฆ่ามัน 

 ติดต่อพวกกากเดนของค่ายห้าวิญญาณไป ครานั้นค่ายห้าวิญญาณพังพินาศด้วยน้ำมือบิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ หนี้ของบุพการีบุตรต้องชำระ ให้พวกเขาลงมือจะได้ไม่ทำให้คนสงสัย แต่ต้องกำชับว่าอย่าจัดการเยี่ยนจ้าวเกอจนถึงตาย อย่างน้อยก็รอให้พวกเราถามข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเตาผลึกหินชั้นในให้ได้ก่อน ค่อยส่งให้พวกเขาจัดการต่อในภายหลัง 

 ส่วนเรื่องเตาผลึกหินชั้นใน ก็อย่าเพิ่งให้คนของค่ายห้าวิญญาณรู้ก่อน ให้พวกเขาจับตัวเยี่ยนจ้าวเกอมาเท่านั้นพอ 

บนชายแดนของอาณาจักรถังตะวันออก ที่อยู่ด้านตะวันออกของเกาะนภาตะวันออก หนึ่งในห้าเกาะแห่งนภาพิภพ เมื่อข้ามผ่านหุบเขาขนาดใหญ่นี้ไป ก็จะเป็นจุดหมายปลายทางของเยี่ยนจ้าวเกอและเหล่าศิษย์น้องในครั้งนี้ นั่นก็คือ ‘ปราการมังกร’

 ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าเป็นคนของอาณาจักรถังตะวันออกไม่ใช่หรือ  ลูกศิษย์เยาว์วัยคนหนึ่งถามเยี่ยจิ่ง ขณะที่ทุกคนเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงอาณาจักรถังตะวันออกแล้ว

เยี่ยจิ่งพยักหน้าหงึกๆ ด้วยความปลง  ใช่แล้ว 

ในยุคที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทรงอำนาจที่สุดไม่กี่แห่งอยู่ร่วมกัน ทุกดินแดนล้วนมีสำนักจอมยุทธ์และอาณาเขตกว้างใหญ่ที่ปกครองด้วยตนเองโดยตรง จากนั้นก็ใช้พื้นที่เหล่านั้นเป็นศูนย์กลางกระจายอิทธิพลไปสู่พื้นที่รอบๆ

อย่างเช่นเขากว่างเฉิง มีเกาะนภากลางเป็นศูนย์กลางการปกครองของนภาพิภพทั้งห้าเกาะ ซึ่งมีอิทธิพลต่อพื้นที่ทั้งหมดของนภาพิภพ

สี่เกาะที่เหลือนอกจากเกาะนภากลาง ก็จะมีสำนัก ราชวงศ์ หรือขุมกำลังต่างๆ ที่ได้รับอิทธิพลจากเขากว่างเฉิงจำนวนไม่น้อย แล้วพัฒนาตนเองขึ้นโดยยึดเขากว่างเฉิงเป็นแบบอย่าง

อาณาจักรถังตะวันออกเป็นหนึ่งในสามอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของเกาะนภาตะวันออก และเป็นชายแดนด้านตะวันออกที่ได้รับอิทธิพลจากเขากว่างเฉิง

ในพื้นที่อื่นๆ ที่เป็นเช่นเดียวกับอาณาจักรถังตะวันออก ก็มีสำนักและขุมกำลังที่อยู่ในระดับรองลงมาอยู่

เยี่ยจิ่งเหม่อลอยขณะมองดูเมืองหลวงของอาณาจักรถังตะวันออก เขาเกิดในตระกูลเยี่ยที่เป็นเพียงตระกูลเล็กๆ ในเมืองขนาดย่อมของอาณาจักรถังตะวันออก ด้วยความเพียรพยายามของเขา ตระกูลเยี่ยจึงได้กลายเป็นผู้ทรงอำนาจที่สุดในเมืองนั้น แต่ก็ยังไม่เป็นที่จับตามองของอาณาจักรถังตะวันออกนัก

เมื่อเขาออกจากเมืองมายังเมืองหลวงของอาณาจักรถังตะวันออก เขาถึงรู้สึกเหมือนได้เปิดโลกทัศน์อย่างแท้จริง

ส่วนการออกจากอาณาจักรถังตะวันออก และเข้าเป็นศิษย์ของเขากว่างเฉิง ก็เสมือนกับที่ได้พบเห็นฟ้าดินที่แท้จริงหลังจากกระโดดออกจากก้นบ่อ

ในอาณาจักรถังตะวันออกมีจอมยุทธ์มากมาย ที่แต่ก่อนเขาเองก็ยังต้องแหงนหน้ามอง ทว่าการกลับมาในครั้งนี้ ถือได้ว่ากลับมาอย่างมีหน้ามีตา…

 หลังจากเข้าเมืองแล้ว ข้าจะเข้าวังหลวงไปเข้าเฝ้าราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออก รวมถึงท่านผู้อาวุโสคุมการณ์ของสำนักเราที่ประจำอยู่ที่นี่ เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ของปราการมังกรเสียก่อน 

เยี่ยนจ้าวเกอที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดหยุดฝีเท้าลง สายตามองตรงไปยังเมืองหลวงแห่งอาณาจักรถังตะวันออก แล้วพูดกับทุกคนว่า  พวกเจ้าก็พักผ่อนสักหน่อย จะทำกิจกรรมอะไรก็ตามแต่พวกเจ้า แต่หลังจากนี้อีกสองชั่วยามให้มารวมตัวกันใหม่ พวกเราจะได้เคลื่อนตัวไปยังปราการมังกรกันเสียที 

บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ต่างขานรับพร้อมกันว่า  ขอรับ ศิษย์พี่เยี่ยน 

ส่วนเยี่ยจิ่งใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์

………………..

[1] ล้มโต๊ะ หมายถึง โกรธ แตกคอกัน แตกหักกันไปข้างหนึ่ง

 

เยี่ยนจ้าวเกอพูดต่อราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เสมือนมองไม่เห็นสายตาตกตะลึงของทุกคน

 หลักๆ ก็เพื่อให้พวกเจ้าใช้ปกป้องตัวเอง ดังนั้นส่วนใหญ่จึงเป็นอาวุธป้องกันตัวไม่ใช่อาวุธสำหรับต่อสู้ ดังนั้นพวกเจ้าอย่าวางใจประมาท เพราะการฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์นี้ เป้าหมายหลักในการฝึกฝนก็คือตัวพวกเจ้าเอง 

 มะ…ไม่ใช่…ช้าก่อน ศิษย์หลานเยี่ยน  ผู้อาวุโสชุยพูดตะกุกตะกัก พักหนึ่งถึงกลับมาเป็นปกติ  เมื่อครู่เจ้าบอกว่าหลอมอาวุธวิเศษชุดถัดไปอย่างนั้นหรือ 

เขามองอาวุธวิเศษกองหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา  ความหมายของเจ้าคือ อาวุธเหล่านี้ไม่ใช่ของที่เจ้าเก็บสะสม หากแต่เจ้าหลอมสร้างขึ้นมาเองกับมือ? 

เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่  แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ข้าหลอมเองกับมือ ข้าไม่มีความสนใจและความอดทนมากพอที่จะเก็บสะสมอาวุธวิเศษระดับล่างหรอก 

คำพูดนี้ทำเอาทุกคนกลืนน้ำลายไปตามๆ กัน ทว่ากลับไม่อาจหาคำพูดใดมาโต้แย้งได้

สำหรับพวกเขาแล้ว อาวุธวิเศษระดับล่างเป็นดังสิ่งล้ำค่า แต่ด้วยฐานะครอบครัวอย่างเยี่ยนจ้าวเกอ กลับไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร

แต่ว่า…

ทุกคนมีสีหน้าอัศจรรย์ใจขึ้นเล็กน้อย ชั่วขณะหนึ่งรู้สึกเหมือนว่าโลกที่ตนเองอาศัยอยู่กลับไม่ใช่ความจริง

ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ตรงกันข้ามกับความรู้และสามัญสำนึกที่พวกเขามีอยู่

ระดับความสามารถของเยี่ยนจ้าวเกอ สามารถหลอมอาวุธวิเศษได้ เรื่องนี้ไม่มีใครคัดค้าน

แม้จะไม่เคยได้ยินมาก่อน ทว่าการที่เยี่ยนจ้าวเกอรู้วิชาหลอมอาวุธก็ไม่ใช่เรื่องที่จะนึกภาพไม่ออก

ทว่าการหลอมอาวุธวิเศษสักชิ้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ทั้งกำลังและเวลามหาศาล

ผู้อาวุโสชุยสูดหายใจลึกๆ หนึ่งครั้ง  เจ้า…ใช้เวลาหลอมอาวุธวิเศษพวกนี้ไปนานเท่าไร 

เยี่ยนจ้าวเกอตอบสั้นๆ ว่า  เพียงเจียดเวลาจากช่วงที่ว่างจากการฝึกซ้อมในเวลาปกติสักเล็กน้อย ก็สามารถหลอมได้สำเร็จแล้วขอรับ ถ้าเป็นสิบหกชิ้นนี้ล่ะก็ ไม่น่าจะถึงหนึ่งเดือน 

 เป็นไปไม่ได้  ผู้อาวุโสชุยพูดตัดบทอย่างมั่นใจว่า  ถ้าเป็นท่านผู้อาวุโสเยี่ยนล่ะก็ ข้าเชื่อ แต่เป็นศิษย์หลานเยี่ยนเจ้า… 

เขาส่ายหัวไปมา เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอ

ยิ่งไปกว่านั้น จริงอยู่ที่การหลอมอาวุธวิเศษสำหรับท่านพ่อหรือยอดฝีมือที่มีวรยุทธ์ค่อนข้างสูงในสำนัก จะไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด แต่ใครจะมีเวลาว่างมาทำอะไรเช่นนี้กัน

ถ้ามีกำลังและเวลาขนาดนี้ พวกเขาควรหันไปสนใจอาวุธวิญญาณที่อยู่ในระดับสูงกว่า

สายตาที่ทุกคนมองเยี่ยนจ้าวเกอค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความสงสัย ทุกคนต่างรู้สึกว่าศิษย์พี่เยี่ยนคงไม่ได้ทำอะไรที่เกินกำลังของตน เพราะร้อนรนอยากได้หน้าหรอกกระมัง

เยี่ยนจ้าวเกอเผลอหัวเราะออกมา  คงจะเป็นไปไม่ได้หากใช้เตาผลึกหินชั้นนอก แต่ใครบอกว่าใช้เตาผลึกหินชั้นในไม่ได้เล่าขอรับ 

คนส่วนใหญ่ที่ได้ยินต่างงุนงงไม่เข้าใจ มีเพียงบางคนเท่านั้นที่ตกตะลึงอีกครั้ง

เสียงของผู้อาวุโสชุยตะกุกตะกักอีกครั้ง  เจ้า…เตาผลึกหินชั้นในที่เจ้าว่า หรือจะ หรือจะหมายถึง…เตาก่อนเกิดวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ในตำนาน… 

 แต่เตาผลึกหินชั้นในสูญสิ้นไปตั้งนานแล้ว! อย่าว่าแต่ของจริงหรือวิธีการสร้างเลย แค่คำอธิบายโครงสร้างที่ง่ายที่สุดก็ยังไม่มีเหลือแม้แต่เศษเสี้ยว! ทุกวันนี้ทั้งมหาอำนาจแปดแผ่นดินเหลือเพียงตำนานเล่าขานของมันเท่านั้น! 

ในตำนานเล่าว่า ก่อนเกิดวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่นั้น อารยธรรมวิทยายุทธ์รุ่งเรืองถึงขีดสุด นอกจากวรยุทธ์การต่อสู้แล้ว วิชาหลอมอาวุธก็เจริญก้าวหน้ามากเช่นกัน

ในยุคนั้น อาวุธธรรมดาทั่วไปไม่มีคุณค่าใดในโลกของจอมยุทธ์เลยสักนิด ส่วนอาวุธสงคราม อาวุธวิเศษ อาวุธวิญญาณ รวมทั้งอาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็หาได้ง่ายยิ่งนัก

เพียงแต่เมื่อเกิดวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ขึ้น ทั่วทั้งแผ่นดินเหมือนกับรังที่ถูกรุกล้ำทำลาย ทุกสิ่งทุกอย่างสูญสลายไปไม่เหลือร่องรอย เหลือเพียงตำนานเล่าขานที่ให้คนรุ่นหลังได้ศรัทธาและฝันใฝ่เท่านั้น

แต่สำหรับเยี่ยนจ้าวเกอแล้วกลับไม่ใช่ความลับอะไร ก่อนที่จะเกิดวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ สำนักพระราชวังเทพได้เก็บรวบรวมตำราคัมภีร์ไว้มากมาย ซึ่งไม่ได้มีเพียงคัมภีร์วรยุทธ์การต่อสู้เท่านั้น

 บังเอิญตอนที่ข้าออกไปฝึกฝน ข้าได้พบกับโบราณสถานแห่งหนึ่ง ในนั้นมีบันทึกวิธีการสร้างเตาผลึกหินชั้นในที่ไม่สมบูรณ์ไว้ด้วย  เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม  ดังนั้นข้าจึงค้นคว้าและปรับแก้จนมันครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อให้เตาผลึกหินชั้นในได้กลับมาสู่โลกอีกครั้ง อาวุธวิเศษระดับล่างพวกนี้ เป็นผลงานของข้าที่สร้างขึ้นระหว่างการทดลอง 

 เบื้องต้นยังหลอมได้เพียงอาวุธวิเศษระดับล่างเท่านั้น อาวุธคุณภาพชั้นโทเหล่านี้เป็นอาวุธที่ดีที่สุดในบรรดาอาวุธทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีอาวุธคุณภาพชั้นเอกอยู่หลายชิ้นที่ใกล้เคียงอาวุธวิเศษระดับกลางแล้ว ทว่ายังห่างชั้นอยู่เล็กน้อย ขณะเดียวกันมันก็ยังไม่เสถียรพอ ฉะนั้นข้าจึงเก็บไว้ดูแลเอง เพื่อรวบรวมข้อมูลไว้สำหรับการเตรียมเปิดเตาครั้งต่อไป 

เยี่ยนจ้าวเกอดีดนิ้วครั้งหนึ่ง  เมื่อได้ปรับแก้ให้สมบูรณ์ต่อไปเรื่อยๆ หลังจากนี้การหลอมอาวุธวิเศษระดับกลาง และระดับสูงก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ถ้ายังสามารถค้นคว้าวิชาปลุกเสกเตาผลึกหินชั้นในโบราณได้ด้วยล่ะก็ เช่นนั้นข้าก็มีหวังที่จะหลอมอาวุธวิญญาณได้เช่นกัน 

อาหู่ผู้รู้ใจคุณชายของตนดี ก่อนหน้านี้เขาออกจากประตูไปแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับมายังข้างวิหารอย่างรวดเร็ว พร้อมกับนำเตาหลอมหนาหนัก สูงเท่ากับคนหนึ่งคน พร้อมทั้งอิ่มเอิบไปด้วยปราณวิญญาณใบหนึ่งกลับมาด้วย

แม้ว่าผู้อาวุโสชุยจะไม่เคยเห็นเตาผนึกหินชั้นในมาก่อนว่ามีลักษณะเป็นเช่นไร ทว่าอย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเตาหลอมตรงหน้าไม่ใช่เตาผลึกหินชั้นนอกที่ทุกคนใช้กันอยู่ทั่วไปอย่างแน่นอน

ขณะนี้คนอื่นๆ ก็ค่อยๆ ได้สติคืนมาบ้างแล้ว ทว่าในแววตายังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกทึ่ง

แม้แต่ผู้ที่สงบเยือกเย็นอยู่เสมอเช่นซือคงจิง ในตอนนี้ก็รู้สึกตกใจเช่นกัน

เป็นเพราะยิ่งรับรู้เรื่องราวมากยิ่งขึ้น นางก็ยิ่งเข้าใจถึงความสำคัญของเตาหลอมตรงหน้า

ถึงตอนนี้มันอาจจะยังเป็นเหมือนต้นกล้าเล็กๆ แต่เมื่อมันเติบโตขึ้น มันจะกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สูงตระหง่านขนาดไหน

 นอกจากภารกิจของสำนักแล้ว ข้าไปปราการมังกรครั้งนี้ เพราะยังมีเรื่องส่วนตัวที่ข้าต้องจัดการเช่นกัน นั่นก็คือปรับแก้เตาผลึกหินชั้นในให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งจะต้องอาศัยสภาพแวดล้อมพิเศษของปราการมังกรและเชื้อไฟสัจจะอัคคีที่จะปรากฏอยู่ในนั้น 

น้ำเสียงเยี่ยนจ้าวเกอราบเรียบ ทว่ากลับทำให้เยี่ยจิ่งและซือคงจิงต้องมองหน้ากันไปมา

มีคนพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้นขึ้นว่า  ศิษย์พี่เยี่ยน หากสร้างได้ทั้งอาวุธวิเศษระดับกลาง อาวุธวิเศษระดับสูง เช่นนั้นอาวุธวิญญาณ หรือแม้กระทั่ง… 

ในยุคปัจจุบัน อาวุธศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่พบได้ยาก เขาไม่กล้าจะคิดจริงๆ แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นมากเช่นกัน  หากสำนักเราสามารถสร้างอาวุธวิญญาณจำนวนมากได้ เช่นนั้น… เช่นนั้น…  

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า พร้อมทั้งฉีกยิ้มกว้างเผยให้เห็นฟันขาวๆ  ถูกต้อง ถ้าหากสำเร็จ ต่อไปเมื่อพวกเจ้าออกไปข้างนอก ต่อให้ต้องเจอกับลูกศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นที่อยู่ในระดับเดียวกับสำนักของเรา พวกเขาถืออาวุธสงคราม พวกเจ้าถืออาวุธวิเศษ พวกเขาถืออาวุธวิเศษ พวกเจ้าถืออาวุธวิญญาณ เพียงแค่ใช้อาวุธผลักพวกเขา พวกเขาก็คงตายแล้วล่ะ 

ทันใดนั้นศิษย์ทุกคนต่างก็ร้องเฮยินดีอย่างพร้อมเพรียงกัน

ครั้นเยี่ยนจ้าวเกอโบกมือ ทุกคนพลันเงียบเสียงในทันที  จงตั้งใจฝึกฝนให้ดี พวกเจ้าล้วนเป็นอนาคตของเขากว่างเฉิง! 

ทุกคนต่างขานรับอย่างพร้อมเพรียงกันว่า  พวกเราจะเชื่อฟังคำสั่งสอน ตั้งใจฝึกฝน สร้างชื่อให้แก่สำนักเขากว่างเฉิง! 

ถึงเยี่ยนจ้าวเกอจะมีชื่อเสียงลือเลื่องตั้งแต่อายุยังน้อย ทว่าจริงๆ แล้ว อายุของเขามากกว่าเยี่ยจิ่งและซือคงจิงเพียงไม่กี่ปี การเรียกอีกฝ่ายว่า ‘อนาคตของเขากว่างเฉิง’ ก็ดูจะวางมาดราวกับไม่ใช่คนรุ่นราวคราวเดียวกันไปสักหน่อย

แต่คนที่อยู่ที่นี่ ไม่มีใครที่รู้สึกแปลกเลย มีเพียงคนส่วนน้อยที่รู้สึกเช่นนั้น

และพวกเขาก็ลืมเรื่องการประลองระหว่างเยี่ยนจ้าวเกอและเยี่ยจิ่งไปเสียสนิท

มุมมอง แนวคิด และวิสัยทัศน์ในการมองปัญหาของทั้งสองฝ่ายอยู่กันคนละชั้นจริงๆ

เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง เยี่ยนจ้าวเกอทำให้เตาผลึกหินชั้นในกลับสู่โลกอีกครั้ง นั่นอาจทำให้อำนาจและตำแหน่งของทั้งเขากว่างเฉิงได้ก้าวหน้าไปอีกขั้น การอุทิศตนเช่นนี้ จะมีศิษย์เยาว์วัยคนใดเทียบเทียมได้

ต่อให้ความสามารถของเยี่ยจิ่งจะน่าทึ่งแค่ไหน แต่มีเพียงอัจฉริยะที่เติบโตขึ้นจริงๆ เท่านั้น จึงจะถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง ซึ่งก่อนจะถึงจุดนี้นั้น ก็มีความเป็นไปได้มากมาย

ยิ่งไปกว่านั้น เยี่ยนจ้าวเกอเองก็ยังเป็นอัจฉริยะอีกด้วย

ในขณะที่พวกเขากำลังคิดว่าจะทำอย่างไรให้ตนเองเป็นจุดเด่นในสำนัก เยี่ยนจ้าวเกอกลับกำลังคิดวางแผนว่าจะทำอย่างไรให้ทั้งสำนักก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก

ผู้อาวุโสชุยกลับมายิ้มตาหยีอีกครั้ง  สมกับที่ศิษย์หลานเยี่ยนเป็นความหวังหลัก และยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของเขากว่างเฉิงของเราจริงๆ! 

 แต่ว่า เรื่องนี้ควรจะรีบรายงานให้กับเหล่าหัวหน้าสำนัก… 

เยี่ยนจ้าวเกอพูดแทรกเขาขึ้นมา  เรื่องนี้ไม่รบกวนให้ท่านผู้อาวุโสชุยเป็นกังวลดีกว่าขอรับ เมื่อวานข้าได้รายงานไปเรียบร้อยแล้ว ท่านอาจารย์ปู่และท่านพ่อต่างก็ทราบแล้ว และที่จริงท่านพ่อก็รับช่วงต่อการค้นคว้าเตาผลึกหินชั้นในต่อแล้วด้วย 

 เตาผลึกหินชั้นในที่อยู่ตรงนี้ แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่ของทำเลียนแบบ ยังมีอันที่ดีกว่านี้ซึ่งตอนนี้อยู่ในมือท่านพ่อของข้า ที่ข้าเก็บเตานี้ไว้กับตัวก็แค่เอาไว้ให้ตัวเองลองผิดลองถูกก็เท่านั้น 

หนวดสีขาวของผู้อาวุโสชุยขยับไปมา ฝืนยิ้มพูดว่า  แม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากก็ตาม ทว่าต้องปิดเป็นความลับถึงจะถูก มิเช่นนั้นหากข่าวแพร่กระจายออกไป ทำให้สำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นรู้เข้า ก็ยากจะรับประกันได้ว่าจะไม่เป็นภัยต่อเขากว่างเฉิงของเรา ศิษย์หลายเยี่ยน เจ้ายังขาดความรอบคอบนัก… 

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะเหอะๆ  คงจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการขึ้นในไม่ช้า ด้วยตำแหน่งของท่านผู้อาวุโสคิดว่าพรุ่งนี้ก็คงจะได้รับประกาศแล้วกระมัง 

 ส่วนเหตุผลที่ว่าเหตุใดท่านอาจารย์ปู่ถึงตัดสินใจทำเช่นนี้ ข้าเองก็ไม่อาจพูดเดาสุ่มสี่สุ่มห้าได้เช่นกัน และทางที่ดีท่านผู้อาวุโสชุยเองก็อย่าเอาไปพูดเลยจะดีกว่าขอรับ 

สีหน้าท่านอาวุโสชุยเจื่อนลงเล็กน้อย แต่กลับพบว่าเยี่ยนจ้าวเกอเดินมาตรงหน้าของเขาโดยไม่บอกกล่าว

ขณะนี้รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเป็นความเย็นชา  ท่านผู้อาวุโสปฏิบัติกิจหรือ ตำแหน่งสูงไม่ใช่เล่นเลย แต่สำหรับศิษย์รุ่นหลังแล้ว เพียงไม่นานก็จะลืมสิ่งต่างๆ ที่ท่านเคยทำไปทั้งหมด เพื่อที่หลังจากนี้ท่านจะยังเป็นท่านผู้เฒ่าที่ใจดีมีเมตตาต่อไปได้ 

 ท่านคิดว่า ท่านทำให้ข้าเสียหน้าต่อหน้าคนมากมาย ข้าจะแค้นใจเจ้าศิษย์น้องเยี่ยคนนั้น โดยที่ไม่คิดจะทำอะไรท่านเลยหรือ? 

……………

 

ผู้อาวุโสชุยผู้มีผมยาวสีขาวยังคงมีท่าทีมีเมตตาเช่นเดิม เขายิ้มตาหยีมองดูเยี่ยจิ่งราวกับไม่ได้รับรู้เลยว่าคำพูดของตนเมื่อครู่ทำให้ผู้คนในที่นั้นเกิดการวิพากษ์วิจารณ์เช่นไรบ้าง

เยี่ยนจ้าวเกอมองผู้อาวุโสชุย แล้วมองเยี่ยจิ่งอีกครั้ง พลันรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างน่าขบขันอยู่บ้าง

บุตรแห่งสวรรค์ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไม่สามารถรับมือได้ ทั้งยังต้องการเวลาและพื้นที่ในการเติบโต ในเวลาเช่นนี้มักจะมีใครบางคนที่อาจจะเป็นที่พึ่งพิงให้เขา คอยปกป้องบุตรแห่งสวรรค์ระหว่างที่เขาพัฒนาตนเอง และก้าวออกจากกลุ่มของมือใหม่

ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร คนเหล่านี้ส่วนมากก็อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับฝ่ายอธรรม

รอจนบุตรแห่งสวรรค์เติบโตขึ้น คนเหล่านี้เพียงตั้งหน้าตั้งตารอให้บุตรแห่งสวรรค์ทำการฆ่าล้างทำลายสี่ทิศอย่างเงียบๆ ก็พอ ภายหลังย่อมได้รับผลตอบแทนในฐานะผู้ร่วมอุดมการณ์เป็นร้อยเท่าแน่นอน

โดยปกติแล้ว ดูเหมือนพวกเขาน่าจะถูกขนานนามว่า…กลุ่มฝ่ายธรรมะ

‘เป็นบทการฝึกฝนที่น่าประทับใจจริงๆ จัดวางโครงเรื่องได้สมบูรณ์แบบ’ เยี่ยนจ้าวเกอพิจารณาสายตาของของผู้อาวุโสชุยและเยี่ยจิง โดยไม่ได้ปิดบังความรู้สึกหรือเกรงอกเกรงใจแต่อย่างใด

ผู้อาวุโสชุยเห็นทุกอย่าง ไม่เพียงแต่ไม่โกรธ ทว่ากลับดีใจอยู่ลึกๆ เสียด้วยซ้ำ

‘เป็นอย่างที่ร่ำลือกันไม่มีผิด เยี่ยนจ้าวเกอเป็นพวกชอบอวด เอาแต่ใจ และมีแค้นต้องชำระ’ ชายชราหนวดขาวยิ้มตาหยี ไม่เปิดเผยความรู้สึกใดๆ ออกมา ‘ยิ่งเสียหน้าท่ามกลางผู้อื่นเช่นนี้ ถึงแม้ตรงนี้จะมีเพียงสิบหกคน แต่ข่าวก็จะแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน…’

‘หนามนี้ที่ฝังลงไป จะต้องทำให้เจ้าเด็กคนนี้ไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แน่ ไม่ว่าจะลงมือ ณ เวลานี้ หรือลอบลงมือตอนที่อยู่ในน้ำลึกปราการมังกร หลังออกจากสำนักไปแล้ว ก็เป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลวทั้งสิ้น’

เยี่ยนจ้าวเกอมองผู้อาวุโสชุย แล้วหันไปมองเยี่ยจิ่งอีกครั้ง พลางยิ้มเยาะในใจ

‘เริ่มจากข้าเป็นฝ่ายแสดงความดูถูกเหยียดหยามก่อน จากนั้นเยี่ยจิ่งก็แสดงความไม่พอใจของเขาออกมา หลังจากข้ารู้สึกเสียหน้าเพราะเขาแล้ว จึงส่งลูกสมุนหรือศิษย์น้องที่เป็นสุนัขรับใช้ไปสั่งสอนเยี่ยจิ่ง แต่แล้วก็โดนเยี่ยจิ่งเล่นงานจนพังยับเยินอย่างนั้นหรือ’

สถานการณ์เช่นนี้ จะลงมืออย่างเปิดเผยได้ก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายกระทำความผิดชัดเจน มิเช่นนั้นก็ต้องลงมือในการประลองทดสอบฝีมือเท่านั้น

ขอเพียงไม่ใช่ผู้ที่มีวรยุทธ์ต่ำกว่าเป็นฝ่ายท้าสู้ โดยทั่วไปแล้วก็จะจบลงที่ผู้เก่งกล้าเอาชนะผู้ที่ด้อยวรยุทธ์กว่าไปได้

ทว่าบุตรแห่งสวรรค์พวกที่มีรัศมีตัวเอก ก็มักมีความสามารถในการสังหารข้ามขั้นติดตัว และไร้ซึ่งคู่ต่อสู้ในบรรดาคนระดับเดียวกัน

พวกทหารลูกจ๊อกท้าสู้เดี่ยวก็ไม่ได้ โจมตีเป็นกลุ่มส่วนมากก็ใช้ไม่ได้ผล ตรงกันข้ามอาจกลายเป็นประสบการณ์อันดีมากมาย ที่ช่วยให้เยี่ยจิ่งพัฒนาตนเองเร็วยิ่งขึ้น

‘ไม่แน่ว่าสู้ไปสู้มา เขาอาจจะบรรลุขึ้นอีกระดับในตอนนั้นก็เป็นได้’

นี่อาจไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

‘ถึงเวลานั้นสุนัขรับใช้ทั้งหลายจะโดนเล่นงานจนไม่เหลือชิ้นดี ข้าคงอับอายจนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และไปสั่งสอนเยี่ยจิ่งด้วยตนเอง โดยไม่สนใจว่าจะเป็นการรังแกผู้ที่ด้อยกว่าหรือไม่ แม้เยี่ยจิ่งในตอนนี้จะยังห่างชั้นกับข้ามากก็จริง แต่เขาจะต้องยืนหยัดสู้กับข้าอย่างไม่ไม่ยอมแพ้ และแสดงความเก่งกาจของเขาออกมา’

‘ก็ไม่แน่ว่าเขาอาจใช้จุดแข็งของเขา ทำให้ข้าเสียเปรียบไปบ้างก็ได้’

‘ก่อนที่ข้าจะเล่นงานเขาอย่างจนตรอกเหมือนสุนัขเจียนตายตัวหนึ่ง ชายแก่ที่แซ่ชุยหรือใครสักคนหนึ่งก็จะยื่นมือออกมาช่วย จากนั้นข้าก็ทำได้เพียงทิ้งท้ายด้วยคำพูดไม่สบอารมณ์ว่า ‘นับว่าเจ้าโชคดีนัก’ และเรื่องในวันนี้ก็ยุติลง’

‘และต่อให้ข้าเป็นฝ่ายชนะก็ไม่มีอะไรน่าดีใจเลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้นหลายคนก็จะมองว่าข้ารังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า แล้วหันไปเห็นใจเจ้าเยี่ยจิ่งนั่นแทน’

เยี่ยนจ้าวเกอเบะปาก ‘จะให้ข้าเล่นไปตามบทนี้ เห็นข้าเป็นคนโง่หรืออย่างไร’

ผู้อาวุโสชุยมองเยี่ยนจ้าวเกอพลางยิ้มตาหยี ทว่าเยี่ยจิ่งและซือคงจิงกลับมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความระมัดระวัง ส่วนคนอื่นๆ มองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความกังวลและความคาดหวัง

 น้อยคนนักในหมู่พวกเจ้าที่เคยไปยังหุบเหวปราการมังกรมาก่อน ส่วนคนที่ไม่เคยไปเกินกว่าครึ่งก็คงจะเคยได้ยินชื่อของสถานที่อันตรายแห่งนี้แล้ว  ในที่สุดเยี่ยนจ้าวเกอก็เปิดปากพูดขึ้น ท่ามกลางการรอคอยของทุกคน  จากวรยุทธ์ของพวกเจ้าในตอนนี้ ไม่ต้องเข้าไปถึงข้างใน ลำพังเพียงแค่เข้าใกล้พื้นที่รอบนอกก็อันตรายมากแล้ว 

 แม้ว่าข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย แต่ครั้งนี้พวกเจ้าไปเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ไม่ได้ไปเที่ยวชมเล่น ข้าจะคอยดูแลอยู่ข้างๆ พวกเจ้าเองก็ต้องพยายามด้วย 

เมื่อได้ยินเยี่ยนจ้าวเกอพูดเช่นนี้ ผู้อาวุโสชุยจึงยิ้มบางๆ และพูดในใจว่า ‘ดูจากท่าทีแล้ว คงจะรอถึงปราการมังกรก่อนถึงจะลงมือสินะ’

ส่วนในใจของเยี่ยจิ่งและซือคงจิงต่างก็รู้สึกหวาดหวั่น

ทว่าจู่ๆ ก็ได้ยินเยี่ยนจ้าวเกอเปลี่ยนประเด็นพูดขึ้นว่า  พวกเจ้าเดินทางไปกับข้า ข้าก็ต้องดูแลพวกเจ้าเป็นธรรมดาดังคำกล่าวที่ว่า ‘จะทำงานให้ได้ผลดี การตระเตรียมเป็นสิ่งสำคัญ’… 

พูดแล้วเยี่ยนจ้าวเกอก็ดีดนิ้วครั้งหนึ่ง  อาหู่ 

ชายร่างกำยำคนหนึ่งปรากฏกายที่หน้าประตู  ขอรับคุณชาย 

เยี่ยนจ้าวเกอพูดขึ้น  คุณภาพชั้นโท เอามาสิบหกชิ้น อืม…เลือกเอาเฉพาะที่ไว้ป้องกันตัวเป็นหลักก็แล้วกัน 

 ขอรับคุณชาย  อาหู่ที่ก่อนหน้านี้คอยอารักขาอยู่ข้างกายเขากล่าวตอบ

ไม่นานนัก อาหู่ก็กลับมาพร้อมทั้งหอบสิ่งของกองหนึ่งเดินเข้ามาในวิหาร วางลงตรงหน้าทุกคน

เบื้องหน้าพลันมีแสงส่องระยิบระยับไปทั่ว ทำให้เหล่าศิษย์วัยเยาว์ลืมตาไม่ขึ้น การเคลื่อนไหวของปราณที่รุนแรง ยิ่งสั่นสะเทือนทำให้เลือดลมภายในของพวกเขาไม่สงบนิ่ง

 อาวุธวิเศษ! อาวุธวิเศษทั้งหมดเลย!   ทุกคนต่างก็ตกใจ  ศิษย์พี่เยี่ยน อาวุธวิเศษพวกนี้… 

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างไม่ยี่หระ  นี่คือของส่วนตัวของข้า ไม่ใช่ของที่สำนักเก็บสะสมไว้ ตอนนี้ข้าต้องการจะให้พวกเจ้า 

 มีทั้งหมดสิบหกชิ้น ให้พวกเจ้าคนละหนึ่งชิ้น มาเลือกเองตามลำดับการเข้าเป็นลูกศิษย์ของสำนักแล้วกัน 

ในวิหารเงียบสงัดไปชั่วขณะ มีเพียงเสียงบางอย่างดังขึ้นเลือนราง ฟังดูราวกับมีคนกำลังกลืนน้ำลายอยู่

สำหรับระดับวรยุทธ์ของพวกเขาในตอนนี้แล้ว นี่ถือเป็นสมบัติล้ำค่าข้ามขั้น ก่อนหน้านี้เยี่ยจิ่งและอีกสองคนผ่านการทดสอบมากมายจนได้เป็นผู้ชนะในการประลองย่อยของสำนัก ถึงได้รับสักหนึ่งชิ้น

ในเวลานั้น แม้จะมีเกียรติยศมากมายอยู่บนเวที แต่เบื้องหลังมีหยาดเหงื่อของความพยายามมากเท่าใดกัน

แต่จู่ๆ ตอนนี้ทุกคนกลับมีมันติดมือได้คนละชิ้นอย่างนั้นหรือ

ถึงแม้ว่าเดิมทีเยี่ยจิงและคนอื่นๆ จะมีอาวุธวิเศษอยู่แล้ว ทว่าสำหรับพวกเขาในตอนนี้ ได้รับสิ่งล้ำค่าเช่นนี้เพิ่มอีกสักชิ้น จะปฏิเสธว่ามากไปได้อย่างไร

เพียงแต่สิ่งล้ำค่าเช่นนี้ เยี่ยนจ้าวเกอกลับนำออกมารวดเดียวสิบหกชิ้นอย่างสบายมือ โดยไม่แม้แต่จะกะพริบตาสักนิด ราวกับสิ่งที่เขานำมาไม่ใช่อาวุธวิเศษที่ศิษย์รุ่นหลังทั้งหลายเฝ้าใฝ่ฝันถึง แต่เป็นเพียงเศษเหล็กกองหนึ่งเท่านั้น

ในขณะเดียวกัน อาวุธวิเศษเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เยี่ยนจ้าวเกอใช้ตำแหน่งของตนเบิกของจากคลังสะสมของสำนัก แต่เป็นของส่วนตัวของเขาเอง

ผู้คนทั้งหลายพลันมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอด้วยสายตาร้อนรุ่มในทันที

เยี่ยจิ่งกลับกำหมัดแน่น ไม่อาจปกปิดเปลวเพลิงแห่งความโกรธขึ้งในดวงตาคู่นั้นได้เลย

เขารู้สึกว่าตนได้รับการเหยียดหยามจากเยี่ยนจ้าวเกอ ราวกับอีกฝ่ายกำลังโอ้อวดให้เขาดูอยู่

ซือคงจิงมองเยี่ยนจ้าวเกอ ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ

หลังจากที่ผู้อาวุโสชุยตะลึงงันไปในตอนแรก ก็ยิ้มเยาะในใจว่า ‘นี่มันเรื่องอะไรกัน ใช้เงินเบิกทางซื้อใจคนอื่น ทำให้เยี่ยจิ่งไม่เหลือใคร และโอ้อวดฐานะตนเองไปพร้อมๆ กันหรือนี่’

‘แม้ว่านี่จะเป็นการทุ่มทุนอยู่มากโข แต่ผลลัพธ์ก็ไม่เลว ทั้งยังกู้หน้าที่เสียไปเมื่อครู่กลับมาได้ ทว่า…นี่ก็…ก็… เหอะๆ ก็ยังสมกับเป็นเรื่องที่เหล่าลูกหลานตระกูลผู้ดีมีฐานะทำกันจริงๆ’

‘เด็กคนนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวสักนิด เชื่อว่าอนาคตต้องสร้างปัญหาใหญ่ให้กับบิดาของเขาแน่’ ผู้อาวุโสชุยยิ้มพลางส่ายหน้า จากนั้นก็หยิบชุดเกราะตัวหนึ่งขึ้นมาดู แล้วพูดกับเยี่ยจิ่งและทุกคนว่า  ปราการมังกรเป็นที่ที่อันตรายจริงๆ ศิษย์พี่เยี่ยนของพวกเจ้าเองก็หวังดีกับพวกเจ้า 

แม้เยี่ยนจ้าวเกอจะเผชิญหน้ากับสายตาของทุกคนอยู่ แต่เขาก็ยังพูดต่ออย่างไม่รีบร้อน ราวกับไม่มีความรู้สึกใดๆ  สิ่งของที่ให้ไปแล้ว ข้าจะไม่เอาคืน อาวุธวิเศษพวกนี้ถือว่าให้พวกเจ้าแล้ว 

 แต่พวกเจ้าจะต้องจดบันทึกการเลี้ยงดู ฝึกฝน และการนำไปใช้จริงของพวกเจ้าอย่างละเอียด แล้วค่อยนำมารายงานข้า ข้าจะได้สรุปและปรับแก้ให้มันบริสุทธิ์ได้สะดวก รวมถึงใช้เป็นข้อมูลหลอมอาวุธวิเศษชุดต่อไป 

ทุกคนตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง พวกเขาถึงรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง จึงเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยนจ้าวเกอพร้อมด้วยสีหน้าราวกับถูกผีหลอก

ผู้อาวุโสชุยขนลุกไปทั้งตัว เกือบปล่อยอาวุธวิเศษที่ถืออยู่ตกพื้น  เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ? 

……………

 

สายตาที่ซือคงจิงมองเยี่ยนจ้าวเกอนั้น มีความสงสัยปะปนอยู่หลายส่วน

จากที่คนส่วนมากเข้าใจ การไปยังสถานที่อันตรายอย่างหุบเหวปราการมังกร โดยมีเยี่ยนจ้าวเกอไปด้วยในฐานะผู้นำคณะ ถ้าหากจะจงใจกลั่นแกล้งเยี่ยจิ่ง ก็ยากที่เขาจะมีชีวิตรอดกลับมาได้

คนอื่นๆ มองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความคิดที่เรียบง่าย บางคนรู้สึกดีอกดีใจที่ตนเองได้ศิษย์พี่ที่เก่งกาจเช่นนี้เป็นผู้นำในการฝึกฝนครั้งนี้ ส่วนบางคนใช้สายตาที่ร้อนรุ่มมองเยี่ยนจ้าวเกอ หวังจะประจบประแจงให้สนิทชิดเชื้อกัน

ส่วนคนที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง กลับมองไปยังเยี่ยจิ่งด้วยแววตาที่สื่อว่าอาจได้ดูเรื่องสนุกๆ ก็เป็นได้

เยี่ยจิ่งขมวดคิ้วมุ่น เขาได้รู้เรื่องราวมากมายหลังจากที่ได้เข้าสำนักมา

ชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้อายุมากกว่าเขาเพียงไม่กี่ปี แต่กลับที่มีวรยุทธ์แก่กล้าและความสามารถเต็มเปี่ยม รวมถึงมีคนในสำนักหนุนหลังอยู่มากมายอีกด้วย

บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสที่มีตำแหน่งสูงและอำนาจมากที่สุดในเขากว่างเฉิง ติดอยู่ในห้าอันดับแรกของสำนักเสมอมา ความแกร่งกล้าด้านวรยุทธ์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เป็นลูกศิษย์รับสืบทอดวรยุทธ์สายหลักจากผู้นำสำนักอาวุโสรุ่นปัจจุบัน และยังเป็นผู้แข่งขันที่เก่งที่สุดของการแย่งชิงตำแหน่งของหัวหน้าสำนักในรุ่นถัดไปด้วย

เขาค่อยๆ กำหมัดแน่น พลางจ้องไปที่เยี่ยนจ้าวเกอด้วยแววตาไม่หวั่นเกรงสิ่งใด

‘นี่คือสายตาที่เปี่ยมไปด้วยเปลวเพลิงที่เต็มไปด้วยอดสูในตำนานอย่างนั้นหรือ?’

เยี่ยนจ้าวเกอกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง สายตามองไปยังประตูวิหาร  คารวะท่านผู้อาวุโสชุย 

ชายชราผมขาวผู้หนึ่งปรากฏตัวอยู่บริเวณหน้าประตู เยี่ยจิ่งพร้อมทั้งคนอื่นๆ ต่างพากันรีบโค้งคำนับ  ท่านผู้อาวุโส 

เช่นเดียวกับชายวัยกลางคนที่มอบภารกิจให้เยี่ยนจ้าวเกอเมื่อวานนี้ เขาก็เป็นผู้อาวุโสปฏิบัติกิจของวิหารปฏิบัติกิจเช่นกัน

สำหรับเยี่ยจิงและคนอื่นๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นวรยุทธ์หรือตำแหน่ง คนผู้นี้ต้องเป็นบุคคลสำคัญอย่างไม่ต้องสงสัย

ชายชรายิ้มตาหยีมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ  ศิษย์หลานเยี่ยนก็มาถึงแล้วหรือ ดี… ดี… 

 รบกวนท่านผู้อาวุโสซุยอธิบายรายละเอียดของปราการมังกรด้วยขอรับ  เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว

ผู้อาวุโสชุยมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยจิ่ง ซือคงจิง และคนอื่น แล้วพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า  ปราการมังกรเกิดคลื่นประหลาดขึ้น แต่ทำการควบคุมที่เกิดเหตุระยะแรกแล้ว ภารกิจครั้งนี้ของพวกเจ้าก็คือการนำคาถาที่ใช้สำหรับตรวจสอบปราการมังกร เดินทางไปช่วยตรวจสอบปราการมังกรเพิ่มเติมอีกขั้นหนึ่ง 

เขาหยุดไปเล็กน้อย ก่อนจะมองไปทางเยี่ยนจ้าวเกอ  ตามหลักแล้ว ภารกิจนี้ต้องการเพียงแค่ตรวจสอบสถานการณ์ให้แน่ชัดเท่านั้น แล้วนำข้อมูลกลับมารายงานก็พอ 

 ทว่าหากพบเหตุด่วนจำต้องตัดสินใจเฉพาะหน้า ศิษย์หลานเยี่ยนสามารถตัดสินใจได้โดยไม่ต้องขออนุญาตก่อน ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องจัดการได้ดีเป็นแน่ 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม  ท่านผู้อาวุโสชุยล้อข้าเล่นแล้วขอรับ 

ผู้อาวุโสชุยยิ้มเช่นกัน แล้วหันไปทางเยี่ยจิ่งและอีกสองคน  ดูแลและศึกษาอาวุธวิเศษที่ให้พวกเจ้าเป็นรางวัลในการประลองย่อยไปถึงไหนแล้ว 

เยี่ยจิ่งและอีกสองคนตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า  ตั้งแต่ที่เหล่าศิษย์ได้อาวุธวิเศษวิเศษมา ก็ตั้งใจฝึกฝนดูแลอยู่ตลอด ยามนี้สามารถควบคุมได้เบื้องต้นแล้วขอรับ 

ในโลกใบนี้ อาวุธยุทโธปกรณ์ทั่วไปที่ใช้ปกป้องตนเองจะเรียกว่าอาวุธธรรมดา ส่วนอาวุธที่มีระดับสูงมากกว่านี้ จะเรียงลำดับได้เป็น อาวุธสงคราม อาวุธวิเศษ อาวุธวิญญาณ และอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถใช้เพิ่มพลังความสามารถให้กับเหล่าจอมยุทธ์ได้

อาวุธที่อยู่ในระดับสูงนั้น จะมีพลังความสามารถมหาศาลในตัวมันเอง

ช่างฝีมือทั่วไปสามารถสร้างได้แค่เพียงอาวุธธรรมดาเท่านั้น หากต้องการหลอมสร้างอาวุธที่มีระดับสูงกว่าอาวุธสงคราม จอมยุทธ์ต้องเป็นผู้ลงมือสร้างขึ้นเองเท่านั้น โดยอาวุธในแต่ละระดับก็จำเป็นที่จะต้องมีกำลังวรยุทธ์ในระดับที่เท่าเทียมกัน จึงจะสามารถหลอมได้

เนื่องด้วยทรัพยากรที่มีจำกัด รวมถึงวิชาหลอมอาวุธยังเป็นวิชาที่เข้าใจได้ยาก และไม่ใช่ทุกคนจะศึกษาได้จนชำนาญ ดังนั้นโดยภาพรวมแล้ว อาวุธดีๆ ที่มีระดับสูงกว่าอาวุธสงครามในยุคนี้ จึงมีจำนวนน้อยกว่าจอมยุทธ์ที่มีวรยุทธ์ในระดับเดียวกันเสียอีก

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นเขากว่างเฉิงมีกำลังพื้นฐานที่ไม่ธรรมดา จึงสามารถนำอาวุธดีๆ มาให้ศิษย์ในสำนักเป็นรางวัลได้

เยี่ยจิ่งและคนอื่นๆ ที่ได้ตำแหน่งสามอันดับแรกในการประลองย่อยของศิษย์รุ่นใหม่ครั้งนี้ จึงได้รับอาวุธวิเศษไปเป็นรางวัลคนละชิ้น ทำให้ผู้อื่นอิจฉาตาร้อนไปตามๆ กัน

ผู้อาวุโสชุยพยักหน้า  อาวุธวิเศษมีจิตวิญญาณ ในเวลาปกติไม่ควรเกียจคร้านดูแล ยามเผชิญหน้ากับศัตรูจึงจะสามารถสำแดงอานุภาพออกมาได้ดี 

เจ้าของตำแหน่งสามอันดับแรกในการประลองย่อยทั้งสามคนรีบพยักหน้ารับ ถึงแม้จะได้รับเพียงอาวุธวิเศษระดับล่างมาเป็นรางวัล ทว่าสำหรับพวกเขาในตอนนี้นับว่าเป็นของล้ำค่าแล้ว

ด้วยวรยุทธ์ของพวกเขา แท้จริงแล้วสามารถควบคุมได้เพียงอาวุธสงครามเท่านั้น

อาวุธดีๆ มีอยู่จำกัด หากไม่ใช่เพราะเป็นศิษย์สำนักเขากว่างเฉิง ได้อาวุธสงครามมาใช้สักชิ้นก็จำต้องขอบคุณฟ้าขอบคุณดินแล้วล่ะ

ไม่รู้ว่ายังมีผู้คนอีกมากมายเท่าไรที่มีวรยุทธ์พอๆ กับพวกเขา แต่กลับได้ใช้เพียงอาวุธธรรมดาเท่านั้น

ผู้อาวุโสชุยหันมองไปยังซือคงจิงและคนอื่นๆ อีกเจ็ดคน  พวกเขาแปดคนล้วนเป็นศิษย์รุ่นใหม่ แม้ว่าต่างก็เคยรับภารกิจและผ่านการฝึกฝนมาแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังมีประสบการณ์น้อยอยู่ พวกเจ้าทั้งแปดต้องคอยดูแลซึ่งกันและกันให้มากล่ะ 

ซือคงจิงตอบกลับเรียบๆ ว่า  ศิษย์รับทราบเจ้าค่ะ  อีกเจ็ดคนก็รีบตอบรับเช่นกัน

ผู้อาวุโสชุยมองดูศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งสิบหกคนตรงหน้า พลางเอามือลูบเครา ทันใดนั้นสายตาก็พลันไปสะดุดอยู่ที่ร่างของเยี่ยจิ่ง ราวกับมีบางอย่างแปลกไป  เอ๋ วรยุทธ์ของเจ้า…เจ้าเบิกทางตันเถียน[1]และชี่ไห่[2]สำเร็จแล้วหรือ 

 การประลองย่อยคราก่อนยังไม่มี เพียงไม่นานเจ้าก็บรรลุไปอีกขั้นแล้วหรือ?  

เยี่ยจิ่งยิ้มเล็กน้อยและตอบกลับไปด้วยท่าทีอ่อนน้อมว่า  หลังจากได้เข้ามาเป็นศิษย์ในสำนัก ทั้งตำราวิชาและทรัพยากรต่างก็มีมากกว่าที่บ้านของข้านัก 

ผู้อาวุโสชุยกล่าวอย่างชื่นชมว่า  เจ้าเข้ามาเป็นศิษย์นานเท่าไรแล้ว แต่ที่สำคัญล้วนเป็นเพราะพรสวรรค์เหนือใครของเจ้าต่างหากเช่า 

สายตาของบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์รุ่นใหม่คนอื่นๆ ที่เข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักช่วงเดียวกันกับเยี่ยจิ่งต่างก็เปลี่ยนไป ‘การประลองย่อยก่อนหน้าเขาก็ได้อันดับหนึ่ง เพียงระยะเวลาสั้นๆ ก็บรรลุไปอีกขั้น ทีแรกคิดว่าสามารถลดความห่างชั้นลงได้บ้าง แต่ใครจะไปนึกว่าความห่างชั้นยิ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก’

‘แม้ว่าพื้นฐานครอบครัวจะเทียบศิษย์พี่เยี่ยนไม่ได้ แต่เขา…ก็เป็นอัจฉริยะเช่นเดียวกัน!’

ผู้อาวุโสชุยเหมือนกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงกล่าวต่อ  ข้าเพิ่งคิดขึ้นมาได้…ตั้งแต่เจ้าเริ่มฝึกวรยุทธ์ น่าจะเพิ่งครบสามปีพอดีใช่หรือไม่  

 ขอรับ ท่านผู้อาวุโส  เยี่ยจิ่งกล่าวตอบ

 สมัยข้ายังเด็ก ข้าเพียงแต่ฝึกฝนร่างกายด้วยตนเอง เพิ่งได้สัมผัสกับการฝึกวรยุทธ์อย่างจริงจัง ก็ตอนที่ศิษย์อายุได้สิบสามปีขอรับ 

ผู้อาวุโสชุยยิ้มหัวเราะด้วยความอ่อนโยนที่แปลกประหลาด  ดี ดี! 

เยี่ยนจ้าวเกอที่ยืนอยู่อีกฝั่ง มองดูภาพตรงหน้า แต่มุมปากกลับกระตุกขึ้นมาแปลกๆ

‘ข้านึกอยู่แล้วเชียวว่าเขาไม่ธรรมดา ที่แท้เขารอข้าอยู่ที่นี่นี่เอง’ เยี่ยนจ้าวเกอมองไปทางผู้อาวุโสชุยด้วยใบหน้าฝืนยิ้ม

ศิษย์รุ่นเยาว์คนอื่นๆ พลันมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ต่างลอบมองไปทางเยี่ยนจ้าวเกอ

ผู้อาวุโสชุยมองเยี่ยนจ้าวเกอและเยี่ยจิง แล้วพูดอย่างปลื้มอกปลื้มใจว่า  หากข้าจำไม่ผิด ศิษย์หลานเยี่ยนในคราแรก ก็เบิกทางตันเถียนและชี่ไห่สำเร็จในตอนที่ฝึกวรยุทธ์ครบสามปีพอดี ฟ้าช่างเมตตาเขากว่างเฉิงของเรา ประทานอัจฉริยะเหนืออัจฉริยะให้สำนักอีกคน! 

ทุกคนค่อยๆ มีสีหน้าอัศจรรย์ใจขึ้นเล็กน้อย พลางมองเยี่ยนจ้าวเกอและเยี่ยจิงสลับไปมา

 ก่อนหน้าไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับเยี่ยจิ่งนัก ที่แท้เขาเริ่มฝึกฝนวรยุทธ์อย่างจริงจังได้เพียงสามปีเท่านั้นเอง! 

 ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าเยี่ยจิ่งนี่จะสามารถเทียบชั้นกับศิษย์พี่เยี่ยนได้ พรสวรรค์ของเขาช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้ 

 ไม่สิ ศิษย์พี่เยี่ยนเติบโตอยู่เขากว่างเฉิงมาตั้งแต่เด็ก มีท่านผู้อาวุโสเยี่ยนเป็นผู้สอนสั่งด้วยตัวเอง ทั้งสภาพแวดล้อมในการฝึกฝน เงื่อนไข ตำรา ทรัพยากร และการบ่มเพาะฝึกฝน ไม่ว่าสิ่งไหนก็ดีพร้อมกว่าเยี่ยจิ่งทั้งนั้น!  

 ถ้าเช่นนั้น เจ้าเยี่ยจิ่งนี่ก็ยิ่ง…ยิ่ง…ยิ่งกว่าศิษย์พี่เยี่ยน…สุดยอด เป็นไปได้อย่างไร! 

เยี่ยจิ่งสูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะเปรยตามองไปทางเยี่ยนจ้าวเกออย่างสงบ แล้วยืดตัวตรงมากขึ้น ราวกับหอกที่จะแหวกท้องฟ้าออกให้ได้

หากแต่เยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่ได้มองเขาแต่อย่างใด เขามองไปยังผู้อาวุโสชุยที่ยังคงยิ้มตาหยีอย่างสนอกสนใจ

เบื้องลึกเบื้องหลังของอีกฝ่าย ศิษย์รุ่นหลังคนอื่นๆ อาจจะไม่รู้ แต่เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร

ชายชราตรงหน้าคนนี้ มีอาจารย์ลุงรองของเยี่ยนจ้าวเกอเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง และเป็นบุคคลที่มีสิทธิ์เข้าแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าสำนักรุ่นถัดไปมากที่สุด เช่นเดียวกับบิดาของเขา

เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลงเป็นเส้นตรง แล้วฉีกยิ้มเงียบๆ

………………..

[1] ตันเถียน เป็นจุดชีพจรสำคัญจุดหนึ่งอยู่ใต้สะดือประมาณ 3 นิ้ว

[2] ชี่ไห่ เป็นหนึ่งในจุดฝังเข้มในการรักษาของแพทย์แผนจีน อยู่ใต้สะดือประมาณ 1 นิ้ว

 

ระหว่างทางที่เยี่ยนจ้าวเกอเดินผ่าน ก็มีเสียงต่างๆ ส่งผ่านมาให้ได้ยินไม่หยุดหย่อน

 คารวะศิษย์พี่เยี่ยน 

 ศิษย์พี่เยี่ยน 

นี่เป็นคำทักทายกันตามมารยาทเมื่อศิษย์พี่และศิษย์น้องในสำนักพบหน้ากัน

 วรยุทธ์ของศิษย์หลานเยี่ยนก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว เยี่ยม…เยี่ยม…สมกับที่เป็นผู้นำรุ่นใหม่ของสำนัก อัจฉริยะเหนือชั้นจริงๆ! 

 ท่านผู้อาวุโสเยี่ยนมีลูกที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้พ่อจริงๆ สมกับคำกล่าวที่ว่าพ่อพยัคฆ์ บุตรไม่เป็นสุนัข! 

นี่คือคำชื่นชมของบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในสำนักเดียวกัน

 พลังของศิษย์พี่เยี่ยนนับวันยิ่งแกร่งกล้า ทั้งที่หน้าตาดูอ่อนโยนขนาดนั้น… 

 อ๊ะ! ที่แท้ก็ไม่ใช่ข้าผู้เดียวที่รู้สึกเช่นนี้หรือ? 

 แต่…แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ข้าก็ยิ่ง… 

 จริงด้วย จริงด้วย !  

 คิกๆ จริงด้วยอะไรกัน แม่คนไม่รู้จักยางอาย!  

 ศิษย์พี่! ท่าน…ท่านก็เหมือนข้าไม่ใช่หรืออย่างไร!  

เอาเถอะ นี่ก็เป็นบรรดาศิษย์น้องหญิงสาวทั้งหลายที่มีรักแรกแย้ม…

‘สำรวมไว้ สำรวมไว้’ เยี่ยนจ้าวเกอพูดกับตนเองในใจ พลางพยักหน้าให้พวกนางด้วยรอยยิ้มที่สดใส

ชายร่างกำยำที่อยู่ข้างๆ ยิ้มด้วยความซื่อตรงสุดๆ  คุณชายขอรับ… 

เยี่ยนจ้าวเกอผู้ที่คุ้นชินกับเขาแล้ว เหลือบไปมองเขาแวบหนึ่ง  ยังมีเรื่องใดอีก?  

ชายร่างกำยำคนนี้เป็นองค์รักษ์คนสนิท ที่มีความจงรักภักดีและคอยติดตามเขาอย่างใกล้ชิด

ตามหลักแล้วควรเลี่ยงที่จะคบค้าสมาคมกับคนใกล้ชิดของเจ้าของร่างเดิมให้ได้มากที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องที่ตนข้ามมิติมาถูกเปิดเผย

ทว่านี่ก็เป็นดั่งดาบสองคม ในทางกลับกัน การที่ได้คบหากับคนเหล่านี้ยิ่งช่วยให้เยี่ยนจ้าวเกอกลมกลืนกับโลกใบใหม่นี้มากขึ้น

เคราะห์ดีที่นอกจากร่างกายแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอยังได้รับความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมด้วย

มิฉะนั้นเพียงแค่เรื่องการพูดการจา เขาก็คงเอาตัวไม่รอดแล้ว

 คุณชายขอรับ ข้าได้ตรวจสอบเยี่ยจิ่งผู้นั้นแล้ว ถึงจะบอกว่าจู่ๆ ก็เก่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่ก็ยังไม่เป็นที่พูดถึง อีกทั้งดูเหมือนว่าเขาจะแค้นท่านอยู่ด้วย ท่านว่าจะต้อง… 

เยี่ยนจ้าวเกอกลอกตาอย่างรวดเร็ว โดยไม่ให้ผู้อื่นสังเกตเห็น ‘อืม เยี่ยม จังหวะแบบนี้แหละ’

ก่อนอื่นส่งลูกสมุนไปยุแหย่พระเอกเยี่ยให้ลงมือ จากนั้นก็โดนเขาเล่นงานจนสะบักสะบอม ฝ่ายคุณชายตัวร้ายรู้สึกเสียหน้า จึงออกโรงไปจัดการด้วยตัวเอง แต่ก็โดนเล่นงานจนหน้าตาดูไม่ได้เช่นกัน สุดท้ายตัวร้ายก็ให้บิดาและคนทั้งตระกูลมาจัดการ ทว่าก็โดนเล่นงานจนไม่เหลือชิ้นดี…

ช่างเป็นบทละครสมบูรณ์แบบอะไรเช่นนี้ ไม่ใช่หรือ?

‘สมบูรณ์บ้าอะไรล่ะ!’ ถ้าได้ร่วมแสดงด้วยในฐานะตัวร้ายที่ไร้ความสามารถ มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าดีใจเลยสักนิด

เหมือนกับว่า จู่ๆ ตนเองก็ถูกเปลี่ยนจากทายาทรุ่นที่สองของตระกูล ที่ไม่ต้องทำอะไรก็มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายได้ ไปเป็นตัวประกอบเบื้องหลังเส้นทางการถือกำเนิดของบุตรแห่งสวรรค์

เยี่ยนจ้าวเกอล้วนแต่จับต้นชนปลายความคิดที่ปรากฏขึ้นในหัวของเขาในขณะนี้ไม่ถูกทั้งสิ้น

ต่อให้โชคดีจริงๆ อย่างมากก็เป็นได้แค่คู่ปรับที่ถูกเตรียมไว้สำหรับบุตรแห่งสวรรค์ ประเภทตัวละครอึดถึกที่ตีอย่างไรก็ไม่ตาย พอโผล่มาครั้งอีกครั้งก็ยิ่งแข็งแกร่งกว่าเดิม ซึ่งที่จริงก็เหมือนสิ่งของที่ใช้ซ้ำเรื่อยๆ เพื่อช่วยเติมเต็มและเพิ่มพูนประสบการณ์ให้กับพระเอก?

และหากโชคไม่ดี เรื่องราวผ่านไปไม่กี่ตอนก็จะถูกฆ่าทิ้งไป

ตามปกติแล้ว หากตัวละครที่มีภูมิหลังเหมือนเขา สามารถหลอกล่อบิดาที่เก่งกาจเช่นนั้นให้ออกโรงได้ล่ะก็ ความเป็นได้ที่อยู่ได้เพียงไม่กี่ตอนก็ยิ่งมากขึ้นโข…

พักเรื่องลงมือก่อนได้เปรียบไว้ก่อน ถือโอกาสจัดการบุตรแห่งสวรรค์ตอนที่พวกเขายังไม่ถือกำเนิด ลำพังเพียงแค่กลอุบายง่ายๆ ของพวกสมุนลูกจ๊อก ก็รังแต่จะเป็นวิกฤติที่กลับกลายเป็นโอกาสที่ทำให้พวกเขาถือกำเนิดเร็วขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น

สุดท้ายนอกจากฝ่ายพระเอกจะไม่เป็นอะไรแล้ว กลับยังแกร่งกล้าขึ้นอย่างรวดเร็ว และย้อนมาแว้งกัดตนเอาได้ในภายหลัง

รัศมีตัวเอกก็มักจะเห็นแก่ตัวและไร้เหตุผลแบบนี้ ถ้าเขาบอกว่าจะบดขยี้ให้แหลกละเอียดแล้ว ก็จะบดขยี้ให้แหลกละเอียดตามนั้น ทั้งยังมีวิธีบดขยี้มากกว่าร้อยแปดสิบวิธีอีกด้วย

‘แล้วจุดแข็งที่เหนือกว่าคนอื่นของพระเอกเยี่ยคนนี้คืออะไร สุดยอดวิชาลับที่มีอยู่ในโลกก่อนเกิดวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ อาวุธเทพสูงสุดบางอย่าง วิญญาณผู้เฒ่าติดตัวมา หรือจะเป็นการเกิดใหม่’

รอยยิ้มของเยี่ยนเจ้าเกอดูแปลกไปบ้าง แต่แล้วเขาก็โบกไม้โบกมือ  ช่างเขาเถอะ 

ชายร่างกำยำเกาศีรษะ  ขอรับ คุณชาย 

‘แม้ว่าตอนนี้บทละครดูจะมีปัญหา แต่ข้าก็มีจุดแข็งเป็นของตัวเองนะ…’

เนื่องจากยุคสมัยขาดช่วงอันเกิดจากวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ ถึงแม้ว่าจะยังมีส่วนที่เกี่ยวโยงกันอยู่ แต่ยุคก่อนและหลังก็มีระบบการฝึกฝนวิทยายุทธ์ที่แตกต่างกันบ้าง อีกทั้งปัจจัยด้านสภาพร่างกายของยุคก่อนและหลังก็ไม่เหมือนกัน ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอต้องทำการปรับตัวและสร้างความคุ้นเคย ศึกษาและปรับเปลี่ยนคัมภีร์ลับต่างๆ ที่อยู่ในสมอง มิเช่นนั้นหากฝึกวรยุทธ์ทั้งแบบนี้ ก็คงเหมือนการเดินทางหนึ่งวันพันลี้[1]

หลังจากมาถึงโลกนี้แล้ว นอกจากการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมและฐานะใหม่ไปด้วยความระมัดระวัง เยี่ยนจ้าวเกอก็สนอกสนใจวิเคราะห์และสรุปรวมสถานการณ์ปัจจุบัน กับความรู้มากมายในความทรงจำของตน

ในตอนนี้มีผลลัพธ์ที่ดีออกมาพอสมควรแล้ว การจะเก่งกล้าขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่เพียงแค่เอื้อม

ไม่ว่าจะเป็นโลกก่อนหน้าหรือโลกในปัจจุบัน ระดับวรยุทธ์ของตัวเยี่ยนจ้าวเกอก็ยังคงมีขีดจำกัด การปรับเปลี่ยนส่วนใหญ่จึงเป็นไปตามระดับวรยุทธ์ของตนเอง ณ ตอนนี้และระดับวรยุทธ์ที่ใกล้เคียงกัน อย่างไรเสียกินข้าวก็ต้องกินทีละคำ เดินก็ต้องเดินทีละก้าว

แต่ด้วยวรยุทธ์ที่แก่กล้าเรื่อยๆ การนำทฤษฎีมาปรับใช้ในชีวิตจริงให้ดี ก็ทำให้มองเห็นโลกเบื้องหน้ากว้างไกลออกไปได้ยิ่งขึ้น

ในขณะเดียวกัน ยังมีสิ่งอื่นนอกจากวิทยายุทธ์ที่กำลังเป็นคลื่นลูกใหญ่ในยุคนี้เช่นกัน อย่างเช่น วิชาหลอมอาวุธ วิชากลั่นโอสถ

เชื้อไฟสัจจะอัคคีที่สั่งให้บริวารไปสืบเสาะมาก่อนหน้านี้ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เช่นกัน

หากการทดลองสำเร็จ เยี่ยนเจ้าเกอจะได้รับผลตอบแทนมากมายมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย

เยี่ยนจ้าวเกอเบะปาก ‘มังกรปะทะมังกร ราชาประจันหน้าราชา มาดูกันว่าใครกันแน่ที่จะเป็นมังกรที่แท้จริง?’

‘ไม่แน่ว่าเจ้าเยี่ยจิ่งอาจไม่ได้มีชะตาตัวเอกก็ได้ เพียงแต่ข้าคิดไร้สาระไปเองเท่านั้น ลองสังเกตการณ์ไปก่อนสักระยะแล้วค่อยว่ากัน’

แต่จะเผชิญหน้ากับแม่นางที่ถูกเจ้าของร่างคนเดิมเขมือบกินไปอย่างไรดี เรื่องนี้ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกปวดหัวอยู่ไม่น้อย

ไม่ว่าจะเป็นในด้านของตำแหน่งหรือความสามารถ สำหรับตัวเขาแล้ว การพัฒนาตนเองก็ต้องมาเป็นอันดับแรก

ส่วนเรื่องสาวงาม ขณะนี้เขาไม่มีเวลาว่างพอที่จะไปเสาะแสวงหา แต่ถ้าเสนอตัวมาเอง เขาก็ไม่ปฏิเสธเป็นแน่

แม้ปัญหาที่เจ้าของร่างเดิมสร้างไว้ให้จะทำให้ปวดหัวเสียเหลือเกิน จนเยี่ยนจ้าวเกอต้องบ่นไปเรื่อยเปื่อยเช่นนี้ แต่แท้จริงแล้วในใจเขาไม่ได้สนใจอะไรนัก เขายิ้มพลางส่ายหัวเบาๆ หลังจากจัดการกับงานที่อยู่ในมือเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็กลับไปพักผ่อนในห้องตนเองสักพัก แล้วจึงนั่งสมาธิฝึกลมปราณต่อ พอถึงวันรุ่งขึ้นจึงมุ่งไปที่วิหารปฏิบัติกิจของสำนัก

เหล่าลูกศิษย์ที่จะเดินทางไปยังหุบเหวปราการมังกรน้ำลึกรวมตัวกันอยู่ในห้องข้างวิหารแล้ว

เมื่อเห็นเยี่ยนจ้าวเกอเดินเข้ามา สายตาของทุกคนก็เปล่งเป็นประกาย และจับจ้องไปที่เขาเป็นตาเดียว

ส่วนเยี่ยนจ้าวเกอมีสีหน้าเรียบนิ่ง เขากวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนสะดุดเข้ากับสาวน้อยหน้าตาสวยสง่า พร้อมรูปร่างผอมเพรียวที่กำลังเดินมาจากด้านหน้า

เด็กสาวคนนี้ดูอายุราวๆ สิบห้าสิบหกปี ใบหน้าของนางงดงามไร้ที่ติ ดูสง่ายิ่งกว่าแม่นางแซ่หลินนั้นเสียอีก ราวกับเป็นจิตวิญาณที่หลอมรวมความงดงามของฟ้าดินไว้ และลงมาจุติบนพื้นพิภพโดยไม่ติดบ่วงตัณหาใดๆ แล้ว ทว่าดวงตาสีฟ้าครามที่พบเจอได้ยากนั้น ทำให้นางให้ดูเย็นชาไม่น้อยเลย

ซือคงจิง ศิษย์รุ่นเยาว์มากความสามารถของเขากว่างเฉิงอีกคนหนึ่ง แม้ว่านางจะอายุยังน้อย แต่ก็มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว ด้วยพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมของนาง ทำให้นางไล่ตามหลังเยี่ยนจ้าวเกอมาติดๆ จนถูกขนานนามว่าเป็นอีกหนึ่งอัจฉริยะวัยเยาว์ของเขากว่างเฉิง จึงมีผู้หลักผู้ใหญ่หลายๆ ท่านของสำนักเห็นความสำคัญของนานมานานแล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอเห็นนาง ก็เกิดอาการอยากกลอกตาขาวอีกครั้ง

เท่าที่รู้มา หลังจากที่แม่นางแซ่หลินทิ้งไป เยี่ยจิ่งก็ได้พบกับซือคงจิงผู้นี้ ทั้งสองคนเคยพบและร่วมทุกข์กันก่อนจะเข้ามาที่เขากว่างเฉิง ทำให้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไม่น้อย

ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนในเวลานี้ยังคงเป็นเพียงเพื่อนกัน แต่ตามบทของเรื่องบางเรื่อง สตรีที่มาจากตระกูลร่ำรวย มีพรสวรรค์สูงส่ง และงดงามเสียเหลือเกินมักจะปฏิบัติกับผู้อื่นด้วยความเย็นชา แต่กลับมองดูคนที่แสนจะธรรมดาด้วยสายตาที่ต่างออกไป…

หญิงงามผู้นี้ดีพร้อมกว่าแม่นางหลินในทุกๆ ด้าน ในอนาคตมีความเป็นไปได้ที่จะลงเอยกับเยี่ยจิ่ง ที่มีรัศมีตัวเอกปกคลุมอยู่สูงทีเดียว

ข้างกายซือคงจิงมีเด็กหนุ่มร่างผอมอยู่ผู้หนึ่ง เขาจับจ้องเยี่ยนจ้าวเกอโดยที่ไม่กะพริบตา

เด็กหนุ่มร่างผอมบางผู้นี้ ก็ต้องเป็นเยี่ยจิ่งคนนั้นแน่นอนอยู่แล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอมองเห็นเปลวไฟที่เหมือนจะระเบิดออกมาได้ตลอดเวลาถูกสะกดไว้ จากในดวงตาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

………………..

[1] หนึ่งวันพันลี้ หมายถึง พัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

 

ด้านนอกของประตูเขากว่างเฉิง ณ เกาะนภากลางแห่งนภาพิภพ หนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักวิทยายุทธ์มากมายในยุคปัจจุบันของโลกแปดพิภพ

เยี่ยนจ้าวเกอในอาภรณ์สีขาว ด้านนอกสวมทับด้วยชุดคลุมสีน้ำเงินแต่งขอบสีดำ บ่งบอกถึงตำแหน่งลูกศิษย์สืบทอดหลักของเขากว่างเฉิง

ส่วนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เป็นชายหนุ่มในชุดสีเหลืองคนหนึ่ง ซึ่งกำลังยืนหน้าบูดบึ้ง  เยี่ยนจ้าวเกอ เจ้ามีดีแค่บิดาเก่งไม่ใช่หรืออย่างไร? 

 เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ? หากกล้าเจ้าก็ลองพูดดูอีกครั้งสิ  เยี่ยนจ้าวเกอตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย

 พูดก็พูดสิ คิดว่าข้ากลัวเจ้าหรือ? เจ้ามันก็แค่มีดีแต่บิดาเก่งไม่ใช่หรือ? 

เยี่ยนจ้าวเกอจ้องเขา พลันฉีกยิ้มออกมา  เยี่ยม ประโยคนี้แหละ ข้าชอบที่คนอื่นว่าข้าด้วยประโยคนี้ที่สุด 

ชายหนุ่มชุดสีเหลืองอึ้งจนพูดไม่ออก

หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาถึงได้สติกลับมา ความอับอายแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ เขาพุ่งตัวเข้าหาเยี่ยนจ้าวเกอโดยที่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

 เบามือหน่อย อย่าให้ถึงตายล่ะ  เยี่ยนจ้าวเกอพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก

ชายหนุ่มชุดสีเหลืองชะงักงัน ก่อนจะรู้สึกชาไปทั้งตัว ภาพตรงหน้ามัวไปหมด เขาได้สติเมื่อผ่านไปครู่ใหญ่ และพบว่าตัวเขาถูกจับเอวยกขึ้นไปในอากาศจากข้างหลัง!

ชายร่างกำยำผู้หนึ่งปรากฏกายตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ เขายกชายหนุ่มชุดเหลืองไว้กลางอากาศด้วยมือข้างเดียว ท่วงท่าสบายๆ นั้นราวกับหิ้วเด็กน้อยคนหนึ่ง

ชายร่างกำยำยิ้มตาหยี พลางกล่าวว่า  คุณชาย เชิญก่อนเลยขอรับ 

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า เอามือทั้งสองข้างไขว้หลัง หันกายแล้วเดินออกไปอย่างสบายอกสบายใจ

ชายร่างกำยำผู้นั้นแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย พลางยกชายหนุ่มชุดเหลืองเดินไปไกลไว้เพียงมือเดียว ส่วนอีกฝ่ายก็ทำได้เพียงส่งเสียงในลำคอเป็นระยะๆ เท่านั้น

เยี่ยนจ้าวเกอกลับเข้าไปในประตูสำนักของตนเอง ขณะเดินไปตามทาง สีหน้าหยอกล้อเล่นสนุกบนใบหน้าของเขาได้เลือนหายไปแล้ว เหลือเพียงสายตาที่มองตรงไปข้างหน้า กับสีหน้าที่เรียบนิ่ง

มองดูแล้วเป็นบุคคลที่น่าเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง

แต่ความหมายที่แท้จริงที่ซ่อนไว้ของสีหน้านี้ก็คือ…

ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร!

 ต้องไม่ใช่บทแบบนี้สิ  เยี่ยนจ้าวเกอบ่นพึมพำกับตัวเอง ในฐานะที่เป็นหนึ่งในแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งที่เดินทางข้ามมิติมา วิธีการเปิดมิติของตนเองจะต้องมีข้อผิดพลาดแน่

ครั้งแรกที่เดินทางข้ามมิติ เขาข้ามไปอยู่ในมิติกาลเวลาอื่นที่มีอารยธรรมวิทยายุทธ์รุ่งเรืองมากที่สุด แถมยังไปโผล่ในหอคัมภีร์ลับของสำนักพระราชวังเทพที่เก็บสะสมสุดยอดตำราคัมภีร์ต่างๆ ของโลกไว้มากมาย แต่ภายหลังกลับเกิดวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ จนแม้แต่สำนักพระราชวังเทพก็ดับสลายไป

จากนั้นนึกไม่ถึงว่าการข้ามมิติมาครั้งที่สองนี้ วิญญาณของเขาได้กลับมายังโลกเดิม เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นยุคหลังจากนั้นอีกนานเท่าไร

ผู้คนได้สืบทอดและสรรค์สร้างโลกใหม่ขึ้นจากร่องรอยที่หลงเหลือของวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งอารยธรรมวิทยายุทธ์ของที่นี่เพิ่งจะเริ่มนับหนึ่งใหม่ ทุกอย่างยังอยู่ในช่วงของการพัฒนา

เมื่อข้ามมิติครั้งที่สองมายังโลกที่อยู่ ณ ตอนนี้ เขาท่องจำคัมภีร์ลับในสำนักพระราชวังมาจนเต็มล้นสมองของตนเองแล้ว จึงรู้สึกราวกับเคยชินกับรูปแบบการใช้ชีวิตสุดทรหด แล้วจู่ๆ เขาก็ได้มาใช้ชีวิตที่พบเจอแต่เรื่องง่าย ทำเอาเขาไม่ค่อยสบอารมณ์เอาเสียเลย!

ปัญหาเดียวก็คือ หลังจากที่ข้ามมิติครั้งที่สองแล้ว เจ้าของเดิมของร่างนี้ได้ทิ้งสิ่งที่ชั่วร้ายที่สุดไว้อย่างหนึ่ง

 คุณชายขอรับ จัดเตรียมของที่ท่านสั่งให้เก็บรวบรวมเรียบร้อยแล้วขอรับ  บัดนี้ชายร่างกำยำผู้นั้นเดินตามมาอีกครั้ง  และมีเบาะแสที่อยู่ของเชื้อไฟสัจจะอัคคีแล้วเช่นกันขอรับ 

เยี่ยนจ้าวเกอชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อย  เบาะแสนี้ยากจะได้มานัก เจ้าแน่ใจแล้วหรือ 

 เหล่าลูกน้องจำกัดขอบเขตให้แคบลงแล้ว พบว่ามันอยู่บริเวณฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของหุบเหวปราการมังกร คิดว่าอีกไม่นานคงได้ข้อมูลที่ชัดเจนมากกว่านี้กลับมาขอรับ  ชายร่างกำยำฉีกยิ้มอย่างซื่อตรง

 ไม่เลวๆ  เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้ารับด้วยความพอใจ

คนที่เรียกตนว่า ‘คุณชาย’ และไม่ใช่ศิษย์พี่หรือศิษย์น้องนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคนของตระกูลเยี่ยน อีกทั้งบิดาของตนไม่เพียงเป็นผู้อาวุโสที่มีตำแหน่งสูงและมากด้วยอำนาจในสำนักเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ยังเป็นผู้นำตระกูลเยี่ยนรุ่นปัจจุบันด้วย ถือเป็นตระกูลผู้ดีที่มีชื่อเสียงกว้างไกลไปทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่

ไม่ว่าเยี่ยนจ้าวเกอต้องการสิ่งใด ขอเพียงจดรายการออกมา เหล่าข้าทาสบริวารก็จะกุลีกุจอเสาะหามาให้

กล่าวอย่างง่ายๆ คือ บัดนี้เยี่ยนจ้าวเกอมีฐานะดี อยู่ในตระกูลที่มีชื่อเสียง บิดาเก่งกาจ ตนเองเป็นอัจฉริยะ ทุกสิ่งล้วนราบรื่น

ทว่า…เหมือนยังมีตรงไหนที่ยังไม่ถูกที่ไม่ถูกทางอยู่

 คุณชายขอรับ ยังมีอีกเรื่อง…  ชายร่างกำยำที่อยู่ด้านข้าง กำลังจะปริปากพูดบางอย่างต่อ แต่ก็ต้องกลืนคำพูดนั้นลงท้องไปทันที

ข้างหน้าปรากฏชายวัยกลางคนที่มีปราณหนักแน่นเดินเข้ามา ทุกย่างก้าวของเขาราวกับทำให้สิ่งต่างๆ รอบตัวสั่นสะเทือนไปด้วยได้เลยทีเดียว

เมื่อชายผู้นั้นเข้ามาใกล้ เยี่ยนจ้าวเกอคารวะอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม ชายวัยกลางคนผู้นั้นฉีกยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า  ไม่พบเพียงไม่กี่วัน วรยุทธ์ของศิษย์หลานเยี่ยนเก่งกล้าขึ้นอีกแล้ว 

เยี่ยนจ้าวเกอตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม  จะร่ำเรียนวิชาต้องขยันหมั่นเพียร พึงหาแต่เพียงความสนุกมิได้ หลานไม่กล้าเกียจคร้านหรอกขอรับ 

ชายวัยกลางคนกล่าวว่า  เมื่อไม่กี่วันก่อนที่บริเวณหุบเหวปราการมังกรมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง ข้ากำลังเตรียมรวบรวมคนไปตรวจสอบ โดยจะให้ลูกศิษย์เยาว์วัยเดินทางไป การประลองรอบเล็กของสำนักก็เสร็จสิ้นพอดี ข้าเลยคิดว่าจะให้ลูกศิษย์รุ่นใหม่ที่ชนะการประลองแปดคนแรกร่วมไปด้วย ถือเป็นการฝึกฝนไปในตัว 

 เพียงแต่มีข่าวลือเล่ากันมาว่ามีคู่ปรับเก่าคนหนึ่งของเจ้าปรากฏตัวอยู่ใกล้ๆ กับปราการมังกรเช่นกัน หากศิษย์หลานเยี่ยนไม่ได้มีกิจใดในช่วงนี้ ก็เป็นหัวหน้านำคณะสักครั้งได้หรือไม่ 

เขามองเยี่ยนจ้าวเกอ แววตาเต็มไปด้วยความคาดหวังและชื่นชม

ชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้มีพรสวรรค์ด้านวิทยายุทธ์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เป็นบุคคลที่สวรรค์โปรดปรานอย่างแท้จริง เขามีความสามารถอยู่ในลำดับต้นๆ ของคนรุ่นราวคราวเดียวกัน แถมยังเป็นบุคคลที่จะนำกองทัพ และเป็นหน้าตาของศิษย์รุ่นเยาว์วัยของเขากว่างเฉิง

ผู้ที่จะเทียบเคียงกับเขา ก็ล้วนแต่เป็นอัจฉริยะในบรรดาคนที่มีอายุเท่ากัน ซึ่งมีความสามารถยอดเยี่ยมที่สุดในสำนักวิทยายุทธ์อันดับต้นๆ แห่งอื่นของโลกแปดพิภพ

ในฐานะที่เยี่ยนจ้าวเกอเป็นคุณชายแห่งเขากว่างเฉิง หนึ่งในสี่คุณชายแห่งยุค แม้ว่าอายุจะยังน้อย แต่ก็เป็นผู้ที่มากความสามารถและมีความเป็นเลิศในทุกๆ ด้าน มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งโลกแปดพิภพ เป็นที่ยอมรับจากทุกคนว่าขอเพียงไม่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเยาว์วัย อนาคตก็ต้องเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จระดับตำนานแน่นอน

 ปราการมังกรหรือ…  เยี่ยนจ้าวเกอขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพยักหน้าตอบตกลงในทันที  ข้าไม่ได้มีกิจอันใดขอรับ ข้าจะไปสักครั้ง ส่วนบรรดาศิษย์น้องชายหญิง ข้าจะดูแลเองขอรับ 

เยี่ยนจ้าวเกอเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายดี บริเวณหุบเหวปราการมังกรมีลูกศิษย์รุ่นเยาว์วัยที่เก่งกาจของสำนักอื่นเคลื่อนไหวอยู่ด้วย ถ้าหากเกิดปะทะกันขึ้นมา ลูกศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักของตนเองจะถูกรังแกเอาได้ อาจทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของสำนัก

หากมีผู้อาวุโสเช่นอาจารย์ลุงหรืออาจารย์อาเป็นหัวหน้านำคณะไป ก็คงไม่ถูกรังแก แต่ถึงอย่างไรลูกศิษย์รุ่นเยาว์วัยก็ยังอ่อนแอกว่าอยู่ดี

แค่ให้เยี่ยนจ้าวเกอเป็นหัวหน้านำคณะ ปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป

แต่โดยส่วนตัวแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอยินดีมากเช่นกันที่จะได้ออกเดินทาง เพื่อออกไปสำรวจพื้นที่จริงซึ่งเป็นโลกใบใหม่สำหรับตนเอง และถือโอกาสยืนยันข้อมูลที่อยู่ในความทรงจำของเขาไปในตัว

สิ่งของที่ตนกำลังตามหาก็อยู่ที่หุบเหวปราการมังกรเช่นกัน แผนการบางอย่างที่ตนกำลังคิดอยู่นั้น ก็จำเป็นต้องใช้สภาพแวดล้อมของปราการมังกร จะช้าหรือเร็วอย่างไรก็ต้องที่แห่งนั้นไปสักครั้งอยู่แล้ว ครั้งนี้ถือว่าเป็นทางสะดวกก็แล้วกัน

เมื่อเห็นเยี่ยนจ้าวเกอตอบตกลงแล้ว ชายวัยกลางคนก็วางใจมากขึ้น  การเดินทางครั้งนี้ ศิษย์หลานเยี่ยนก็ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกศิษย์ที่เพิ่งเข้าใหม่ด้วย ข้าเชื่อว่าจะทำให้พวกเขาได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ไม่น้อย 

หลังจากกล่าวลาชายวัยกลางคนแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็สาวเท้าเดินไปข้างหน้า ส่วนชายร่างกำยำผู้นั้นเดินตามมาข้างๆ พร้อมทั้งเอ่ยความต่อ  คุณชายขอรับ เมื่อครู่ข้ากำลังจะบอกท่านว่า ดูเหมือนทางฝั่งแม่นางหลินต้องการยืดเวลาเข้าฌานบำเพ็ญเพียรออกไปอีก คงไม่สามารถออกฌานตามกำหนดเดิมได้แล้วขอรับ 

ในความคิดของเขา เมื่อคุณชายของตนได้ยินดังนี้ จะต้องเสียดายและไม่พอใจอยู่บ้าง

ทว่าแท้จริงแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอในเวลานี้กลับกลอกตา เพราะนี่คือสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เจ้าของร่างคนเดิมทิ้งไว้ให้ตน

ในอดีต เจ้าของคนเดิมของร่างกายนี้ได้พบกับแม่นางคนหนึ่งขณะที่ออกเดินทางท่องเที่ยว

เดิมทีแม่นางคนนั้นมีคนรักที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว แต่เมื่อได้พบกับเจ้าของร่างเดิมที่เป็นชายหนุ่มรูปงามและมีฐานะดีผู้นี้ ท้ายที่สุดนางก็เปลี่ยนใจ ทอดทิ้งชายหนุ่มคนรักของตนไป เพื่อให้ตนเองมีชีวิตที่ดีขึ้น

แม้ไม่ได้อยากจะคุ้ยแขวะข้อด้อยของเขา แต่ชื่อเสียงในเรื่องผู้หญิงของเจ้าของร่างเดิมนั้น เป็นที่รู้กันดีว่าไม่ปฏิเสธผู้ที่เข้าหา ทำให้หนุ่มชาวบ้านที่เป็นคนรักเดิมของนางแค้นใจอย่างมาก

ชายหนุ่มทั้งสองคนแตกต่างกันมาก ทว่าเจ้าของร่างเดิมเองก็ไม่ได้กดขี่และสร้างความลำบากอะไรให้กับฝ่ายตรงข้าม และไม่สนใจใยดีการถูกมองเป็นศัตรูจากอีกฝ่ายแต่อย่างใด

แท้จริงแล้วพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ของหญิงสาวเองไม่ธรรมดา แต่ก่อนนางเปรียบเหมือนเพชรในตมอยู่ในเมืองเล็กๆ ภายหลังจึงได้ตามเจ้าของร่างเดิมกลับมายังเขากว่างเฉิง เมื่อเข้าเป็นลูกศิษย์ในสำนักแล้ว วรยุทธ์ของนางก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว

หลังจากเข้าสำนักได้ระยะหนึ่ง นางก็เข้าฌานบำเพ็ญเพียร ส่วนเยี่ยนจ้าวเกอข้ามมิติครั้งที่สองมายังดินแดนแห่งนี้ในเวลาเดียวกัน

หากว่ากันตามตรง นางเป็นหญิงสาวผู้เลอโฉมไร้ที่ติ

หญิงสาวรูปโฉมงดงามดีพร้อม จึงเป็นที่หมายปองของบรรดาบุรุษทั้งหลาย ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้ชื่นชมนางเพียงสายตาเท่านั้น ไม่ได้มีความรู้สึกอื่นที่พิเศษแต่อย่างใด

เขาได้เผชิญกับวินาศเคราะห์ฟ้าดินในการข้ามมิติครั้งแรก ภาพพระราชวังเทพดับสิ้นไปต่อหน้าต่อตา ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเยี่ยนจ้าวเกอ

สำนักพระราชวังเทพที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นยังไม่สามารถคงอยู่ไว้ได้ แล้วผู้ใดจะอยู่ในโลกได้อย่างสงบสุขตลอดไปเล่า

การที่ได้เห็นภาพนั้นด้วยตาของตัวเอง บางคนอาจเกิดความสิ้นหวังขึ้นในใจ และคิดอยากใช้ชีวิตสำมะเลเทเมา แต่ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอกลับเลือกที่จะพัฒนาตนเอง

แม้ว่าบิดาของตนจะแข็งแกร่งมาก แถมตนเองก็มีจุดเริ่มต้นที่ดี ภูมิฐานครอบครัวก็ไม่เลว มีลูกน้องเบื้องล่างมากมาย แต่เยี่ยนจ้าวเกอก็ยังรักษาทรัพยากรทุกหยดทุกเม็ดอย่างคนหิวกระหาย ใช้ทุกอย่างพัฒนาตนเองโดยไม่ให้สิ้นเปลืองไปแม้เพียงเล็กน้อย และใช้เวลาทุกเสี้ยววินาทีอย่างคุ้มค่าที่สุดเช่นกัน

ทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นสัญชาตญาณไปแล้ว

ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ที่ข้ามมิติครั้งที่สองมา เยี่ยนจ้าวเกอก็ค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมและฐานะใหม่ รวมถึงปรับตัวเข้ากับผู้คนและเรื่องราวต่างๆ รอบกายได้แล้ว แต่ก็ยังมีเรื่องบางเรื่องที่ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไป

สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการตั้งใจฝึกฝน ไม่ใช่การให้ความสนใจกับสิ่งแวดล้อมหรือเงื่อนไขที่ดีเลิศในตอนนี้

ในยุคที่ผู้มีวิทยายุทธ์ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นวีรบุรุษ และพลังอำนาจส่วนบุคคลสามารถใช้กำหนดทิศทางความเป็นไปของยุคสมัยได้นี้ ความสามารถจึงเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ที่ได้รับชัยชนะก็จะได้เป็นใหญ่เป็นโต

แต่เยี่ยนจ้าวเกอพบว่า เรื่องราวต่างๆ เหมือนจะไม่ได้ง่ายอย่างนั้น

ชายร่างกำยำข้างกายพูดขึ้นพอดี  คุณชายขอรับ นอกจากนี้ ข้าตรวจสอบเยี่ยจิ่งผู้นั้นแล้วขอรับ 

 ปีนี้อายุสิบหกปี เป็นคนอาณาจักรถังตะวันออกที่อยู่ในนภาพิภพ บิดามารดาเสียชีวิตตั้งแต่อายุสามขวบ เขาได้รับการเลี้ยงดูจากคนอื่นๆ ในตระกูล มีชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของคนอื่น ถูกรังแกและดูหมิ่นดูแคลนมาตลอด 

 เขามีท่าทีแสนธรรมดา พรสวรรค์ด้านวิทยายุทธ์ก็กลางๆ นอกจากตรงที่เติบโตมาพร้อมกับแม่นางหลินแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่น่าสนใจเป็นพิเศษ 

 หลังจากที่ท่านพาแม่นางหลินจากมา จู่ๆ เขาก็มีการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ วรยุทธ์เก่งกล้าขึ้นอย่างรวดเร็ว แถมแสดงความสามารถออกมาจนเป็นที่ประจักษ์ โดยเริ่มจากการมีจุดยืนที่มั่นคงในวงศ์ตระกูลของตนเอง จากนั้นก็ช่วยวงศ์ตระกูลขยายอำนาจให้ยิ่งใหญ่ในพื้นที่ระแวกนั้น และตัดทอนอำนาจของฝ่ายศัตรูไว้ได้ 

 จากนั้นเขาก็เดินทางไปที่เมืองหลวงของอาณาจักรถังตะวันออก เมื่อเริ่มมีชื่อเสียงแล้ว เขาก็กลายเป็นยอดเยาวชนในอันดับต้นๆ คนหนึ่งของอาณาจักร ทั้งยังได้รับสิทธิ์ให้เข้าร่วมการทดสอบเพื่อเป็นลูกศิษย์ของสำนักเขากว่างเฉิงด้วย 

 หลังจากผ่านการทดสอบ และเข้าเป็นลูกศิษย์ของสำนักเขากว่างเฉิงแล้ว เขามีพัฒนาการรวดเร็วยิ่งกว่าแม่นางหลินเสียอีก ฝีมือโดดเด่นมากทีเดียว 

 ในบรรดาลูกศิษย์ที่เข้าใหม่นั้น เขายึดครองอันดับหนึ่งไว้แต่เพียงผู้เดียว และได้เป็นที่หนึ่งในการประลองรอบเล็กของสำนักครั้งนี้ด้วย 

ชายร่างกำยำกล่าวถึงตรงนี้แล้วยิ้มอย่างซื่อตรง  แต่เทียบกับคุณชายแล้ว ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านอยู่ดีขอรับ 

เยี่ยนจ้าวเกอเบะปาก บ่นในใจว่า ‘ใช่ที่ไหนเล่า!’

ช่วยไม่ได้ ไม่ว่าจะมองอย่างไร เจ้าหมอนั่นก็ดูเหมือนพระเอกคนหนึ่ง

คราวนี้เกิดปัญหาแล้ว บนหนทางการถือกำเนิดและผงาดขึ้นของพระเอกเยี่ยคนนี้ ตัวเขาเองล่ะอยู่ในบทไหน

‘ข้าขอลองคิดดู ข้าเป็นอัจฉริยะของคนรุ่นใหม่ในสำนักเดียวกัน เป็นคุณชายผู้ดีที่มีความสามารถ เบื้องหลังมีบิดาที่คอยปกป้องคุ้มครองคนหนึ่ง ทั้งยังมีพื้นฐานครอบครัวที่ดี และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เหมือน ‘ข้า’ จะครอบครองผู้หญิงของเขาไป’

‘…อืม รูปร่างหน้าตาของข้าถือว่าไม่เลวเลย แต่มองแล้วน่าหมั่นไส้สุดๆ ถ้าได้ตบหรือถีบดูสักครั้ง คิดว่าคงสะใจไม่น้อย…’

‘จากนั้นท่านพ่อก็จะออกตัวช่วยข้า กลายเป็นหินรองเท้าอีกก้อนให้เขาเหยียบ ช่วยให้หนทางการผงาดของเขาสำเร็จไปด้วยดี เหมือนกับปลาเน่าตัวหนึ่งเหม็นทั้งข้อง…’

เยี่ยนจ้าวเกอกลอกตาครั้งหนึ่ง

เนื้อเรื่องแบบนี้ ผิดกันเห็นๆ!

………..

 

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม หยวนเจิ้งเฟิง ปราชญ์เทียมนภา ผู้เป็นอาจารย์ปู่ของเยี่ยนจ้าวเกอก็ยังคงเป็นเพียงมหาปรมาจารย์เท่านั้น

ในบรรดาเหล่าผู้สืบทอดของสำนัก ผู้ที่โดดเด่นที่สุดสามคนถูกยกย่องว่าเป็นสามวีรบุรุษแห่งกว่างเฉิง ซึ่งก็คือ สือเถี่ย ‘ราชสีห์เหล็ก’ ผู้อาวุโสคุมตำหนักอาญา อาจารย์ลุงใหญ่ของเยี่ยนจ้าวเกอ

ฟางจุ่น ‘มังกรซ่อนเงื่อน’ ผู้อาวุโสของตำหนักปฏิบัติกิจ อาจารย์ลุงรองของเยี่ยนจ้าวเกอ

และเยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ ลูกศิษย์คนสุดท้ายของหยวนเจิ้งเฟิง ผู้อาวุโสของตำหนักสืบวิชากว่างเฉิงในปัจจุบัน

ทว่าหยวนเจิ้งเฟิงและบรรดาศิษย์ทั้งสี่คน รวมทั้งยอดฝีมือคนอื่นๆ ของเขากว่างเฉิงผู้อยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ แท้จริงแล้วกลับมีพลังความสามารถเหนือยิ่งกว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เสียอีก

ต่อให้ตัดหยวนเจิ้งเฟิงออกไป เมื่อเทียบจอมยุทธ์ระดับมหาปรมาจารย์ของเขากว่างเฉิงกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็ไม่น้อยหน้าไปกว่ากันแต่อย่างใด

แต่ก็ช่วยไม่ได้ เมื่อมีหวงกวงเลี่ย จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ปกครองอยู่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อยู่ และที่ยิ่งทำให้เขากว่างเฉิงเป็นกังวลในใจก็คือ หยวนเจิ้งเฟิงชราภาพมากแล้ว

ในสถานการณ์ปกติ จริงๆ แล้วหยวนเจิ้งเฟิงถือได้ว่าเป็นช่วงอายุที่รุ่งเรืองมากที่สุด ไม่ได้แก่ชราแต่อย่างใด

ถึงกระนั้นการที่เขาได้รับบาดเจ็บที่รากฐานในตอนนั้น ผลกระทบไม่ได้อยู่ที่จะสามารถสำเร็จขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่เท่านั้น เพราะอาการเจ็บปวดที่ยังคงอยู่ก็ส่งผลกระทบต่ออายุขัยของเขาด้วยเช่นกัน

ยิ่งเวลายืดเยื้อออกไปมากเท่าใด ความหวังที่หยวนเจิ้งเฟิงจะบรรลุขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น

ในบรรดายอดฝีมือคนอื่นๆ ของเขากว่างเฉิง ตัวของหยวนเจิ้งเฟิงเป็นความหวังสูงที่สุดในบรรดารุ่นอาวุโสแล้ว

และในรุ่นกลางที่มีเยี่ยนตี๋เป็นอันดับหนึ่งนั้น ก็มีคนคาดหวังว่าเขาจะสำเร็จเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน

ทว่าเมื่อพวกเขาเทียบกับหยวนเจิ้งเฟิงแล้ว ก็ยังจำเป็นต้องใช้เวลาและประสบการณ์อีกมาก และสิ่งที่เขากว่างเฉิงขาดแคลนมากที่สุดในตอนนี้ก็คือเวลา

ด้านหนึ่งเป็นเพราะแรงกดดันจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะร่างกายของตน ทำให้ผู้นำสำนักเขากว่างเฉิง หยวนเจิ้งเฟิงไม่อาจกระทำการตัดสินใจเด็ดขาดได้

ในการเข้าฌานอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรลุระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ในระยะเวลาอันใกล้นี้ หากไม่ประสบความสำเร็จก็จะเป็นการพลีชีพ

สำหรับสถานการณ์ของสำนักนั้น ในฐานะบุตรชายของเยี่ยนตี๋ เยี่ยนจ้าวเกอเข้าใจอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง และรู้นั่ดว่าบัดนี้สิ่งที่เขากว่างเฉิงต้องการมากที่สุดคืออะไร

การที่ความรู้ของเยี่ยนจ้าวเกอมีเพียบพร้อม นั่นก็เนื่องมาจากเขาคอยพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ค้นหา ศึกษา ทดลอง เรียนรู้ แล้วจึงนำไปใช้ อีกทั้งนำหลักการมาปรับใช้กับสถานการณ์จริง

ซึ่งจะสร้างจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งขึ้นมาได้อย่างไรนั้น ขณะนี้เยี่ยนจ้าวเกอก็ยังอยู่ในช่วงศึกษาและทดลอง

จากขั้นบรรลุธรรมสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ จะลำบากแสนเข็ญถึงเพียงใดกัน และต่อให้มีวิธี ทว่าสภาพการณ์ของโลกแปดพิภพในตอนนี้ อีกทั้งเงื่อนไขทางด้านสภาพแวดล้อมและทรัพยากรก็ยังยากนักที่จะเติมเต็มความต้องการได้

ถึงกระนั้นก็ต้องแก้ปัญหาให้ตรงจุด

ตั้งแต่ที่เยี่ยนจ้าวเกอมาถึงโลกใบนี้ เขาทำความเข้าใจกับสภาพแวดล้อมที่ตนอาศัยอยู่จนชัดแจ้งแล้ว การศึกษาทดลองที่ต้องให้ความสำคัญมากที่สุดก็คืออาการบาดเจ็บเดิมของเจ้าสำนักหยวนเจิ้งเฟิง แม้กระทั่งต้องให้ความสำคัญมากกว่าเรื่องของเตาผนึกหินชั้นในและสิ่งอื่นๆ มากนัก เพียงแต่ระดับความยากของเรื่องนี้ก็มากกว่าเช่นกัน

หากทำได้สำเร็จ ไม่เพียงหยวนเจิ้งเฟิงจะรักษาแผลภายในที่ติดตัวมาเนิ่นนานสำเร็จ ทว่าการบรรลุระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ก็จะมีหวังมากยิ่งขึ้นเช่นกัน

การที่หวงกวงเลี่ยเข้าฌานอีกครั้ง สร้างความกดดันให้หยวนเจิ้งเฟิงอย่างยิ่งยวด และเขากว่างเฉิงจำเป็นต้องตัดสินใจเดินหน้าโดยเร็ว ไม่สามารถเล่นบทไหลตามน้ำต่อไปได้อีก

อาหู่เปิดปากพูดอยู่ข้างๆ ว่า  จะว่าไปแล้ว คุณชายจรัสแสงหวงเจี๋ยมักจะไม่ปรากฏตัว จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าสำนักอาวุโสผู้นั้นจะเป็นคนอบรมบ่มเพาะเขาด้วยตนเอง 

สวีชวนได้ยินดังนั้นก็เผยรอยยิ้ม  ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่คิดว่าก็คงเป็นการชี้แนะง่ายๆ เท่านั้น หวงกวงเลี่ยไม่มีเวลาสอนใครตัวต่อตัวมากถึงเพียงนั้น 

เยี่ยนจ้าวเกอกลับหรี่ตาลง  คุณชายจรัสแสงหวงเจี๋ย…น่าสนใจนัก 

ทันใดนั้นเอง สวีชวนได้รับข่าวจากลูกน้อง สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นในทันที

 นายน้อยเยี่ยน ที่ชายแดนมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ ยอดฝีมือของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากกำลังเข้าไปในพื้นที่ของถังตะวันออก ระดับวรยุทธ์และจำนวนไม่แน่ชัด 

ผู้ถูกเรียกผงกศีรษะ  ปล่อยข่าวลวงเรื่องตำแหน่งของพวกเราออกไปสักหน่อย ดึงดูดความสนใจของฝ่ายตรงข้าม และรักษาการติดต่อกับทางสำนักเอาไว้ พวกเราจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นในการปกปิดร่องรอย 

สวีชวนกล่าวตอบว่า  ข้าเข้าใจแล้ว 

สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอมองไปทางเมืองชมตะวัน เมืองหลวงของถังตะวันออกด้วยแววตาที่หม่นลง

ผู้คนเคลื่อนย้ายกันอย่างต่อเนื่อง ระหว่างนั้นก็ประสบเข้ากับคนลาดตระเวนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่นานนักก็หลุดออกมาจากวงล้อมสังหารได้

หลังจากที่เปลี่ยนสถานที่หลบซ่อนตัวอีกครั้ง เยี่ยนจ้าวเกอและคนอื่นๆ ก็ได้รับข่าวในทันที

จ้าวหยวน องค์ชายใหญ่แห่งถังตะวันออกถูกจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ปิดล้อมเอาไว้แล้ว ไอลีนโนเวล

บนใบหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอเผยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย  แม้ว่าท่านพี่จ้าวหยวนจะยังไม่ได้มีตำแหน่งเป็นองค์รัชทายาท แต่ในตอนนี้ก็ควรคว้าโอกาสแสดงความสามารถของตนเองออกมาท่านลุงจ้าวนำทัพออกรบข้างนอก เขาไม่ได้อยู่ที่เมืองชมตะวัน เหตุใดจึงหนีออกมาด้วยเล่า จะมอบโอกาสให้กับองค์ชายสามจ้าวเฉิงเปล่าๆ หรือไม่ 

สวีชวนตอบกลับด้วยความกลัดกลุ้มอยู่บ้าง  ตอนที่จิ่นอ๋องและจ้าวซื่อเลี่ยถอนกำลังออกไป ได้ทำลายอักขระวิญญาณของค่ายกลชมตะวันตามทางอยู่หลายจุด มหาปรมาจารย์ของถังตะวันออกอีกคนหนึ่งจึงต้องคอยคุมการณ์ที่เมืองชมตะวัน ส่วนจ้าวหยวนและจ้าวเฉิงต่างก็รับพระราชโองการออกซ่อมแซมอักขระวิญญาณ 

เขามองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ พลางกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า  ท่านผู้อาวุโสเหยียนสำนักเรา ก็พาจอมยุทธ์ของสำนักออกจากเมืองไปช่วยกำจัดกบฏที่เหลืออยู่ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และจ้าวซื่อเลี่ย เดิมทีคิดว่าปลอดภัยมาก แต่เพราะการสิ้นชีพของเซียวเซิง สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จึงเพิ่งกำลังพล 

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยถามว่า  ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเหยียนซวี่เล่า เขาไม่สนใจหรือ 

สวีชวนพูดแห้งๆ ว่า  องค์ชายสามจ้าวเฉิงได้รับอันตรายไปเสียก่อน ผู้อาวุโสเหยียนจึงไปช่วยเหลือทางนั้นแล้ว เกรงว่าคงไม่สามารถไปช่วยองค์ชายใหญ่ได้ทันกาลในชั่วขณะหนึ่ง 

ชายหนุ่มหัวเราะแต่ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะก้มศีรษะมองดูแผนที่  ห่างจากพวกเราไม่ไกลนี่ 

อีกฝ่ายขมวดคิ้ว พลางมองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ  นายน้อยเยี่ยน พวกเรา… 

 หากมีกำลังพอ ก็ต้องช่วยเป็นธรรมดา  เยี่ยนจ้าวเกอดีดนิ้วครั้งหนึ่ง แล้วก้าวเท้านำหน้าไป

สวีชวนยิ้มอย่างบอกบุญไม่รับครั้งหนึ่ง  นายน้อยเยี่ยนท่านว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน ถึงอย่างไรข้าแซ่สวีผู้นี้วันนี้ก็จะสละชีวิตเป็นเพื่อนคุณชาย 

กลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอเดินทางผ่านป่าผ่านเขา ไม่นานนักก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของพื้นดินที่อยู่เบื้องหน้า

อากาศที่อยู่ตรงหน้ามีความร้อนแผดเผาขึ้นมาเล็กน้อย คลื่นความร้อนดูท่าทางยิ่งจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

 ลักษณะเด่นของวรยุทธ์วิชาสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์  เยี่ยนจ้าวเกอและคนอื่นๆ ต่างก็เตรียมใจไว้บ้างแล้ว จึงเคลื่อนตัวออกไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็ว ก่อนจะพบว่าที่เชิงเขาไกลออกไปนั้น มีจอมยุทธ์ของทั้งสองฝ่ายกำลังปะทะกันอย่างดุเดือดดังคาด

หนึ่งในนั้นก็คือจอมยุทธ์ถังตะวันออก อันมีจ้าวหยวน องค์ชายใหญ่แห่งอาณาจักรถังตะวันออกเป็นผู้นำ

ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็แน่นอนว่าต้องเป็นจอมยุทธ์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

จอมยุทธ์จากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีจำนวนคนมากกว่า ความสามารถส่วนตัวของแต่ละคนก็แข็งแกร่งกว่า ทำให้กลุ่มของจ้าวหยวนในขณะนี้อยู่ในจุดที่อันตรายจนน่าหวาดหวั่นใจมาก

เยี่ยนจ้าวเกอไม่รอช้า นำกลุ่มคนของสวีชวนบุกเข้าไปสังหารในสนามรบจากด้านข้าง

ช่วยคนประหนึ่งกับดับเพลิง เยี่ยนจ้าวเกอไม่ยั้งมือแม้สักนิด เขาโบกสะบัดกระบี่วิญญาณมังกรมรกตไปมา ชั่วพริบตาเดียวก็สังหารอีกฝ่ายจนแพ้ราบดั่งภูเขาถล่ม

กลุ่มคนของเขากว่างเฉิงมุ่งสังหารจนไปถึงเบื้องหน้าของจ้าวหยวน องค์ชายใหญ่แห่งถังตะวันออกผู้นี้จึงยิ้มเจื่อนกล่าวว่า  ได้ยินมาว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เพิ่มกำลังพล ข้าพยายามถอนกำลังกลับแล้ว แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกดักไว้ได้เช่นนี้ 

หลังจากได้ยินดังนั้น เยี่ยนจ้าวเกอก็คิดในใจ ‘หนทางที่ท่านพี่จะกลับเมืองชมตะวันเป็นเป้าหมายสำคัญที่อีกฝ่ายจะดักซุ่ม พวกท่านเลยปะทะกันซึ่งๆ หน้าเช่นนี้อย่างไรเล่า’

 ท่านพี่ ครั้งนี้ท่านติดร่างแหไปด้วยก็เพราะข้า จะกลับไปที่เมืองชมตะวันเป็นเรื่องยากนัก อย่างไรก็ไปที่อื่นกันก่อนเถอะ 

ขณะที่พูด คนของเขากว่างเฉิงและถังตะวันออกก็รวมตัวกัน ฝ่าวงล้อมที่สำนักศักดิ์สิทธิ์สร้างขึ้นออกไปด้านนอก

หลังจากที่สลัดทหารที่ตามล่ามาได้แล้ว ทั้งสองฝ่ายถึงมีเวลาว่างพูดคุยกัน จ้าวหยวนเดินพลางส่ายหน้า  จ้าวเกอ เจ้าสังหารเซียวเซิง ชื่อเสียงต้องลือเลื่องไปทั่วหล้า เพียงแต่เจ้าต้องระวังการแก้แค้นของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ให้ดีเช่นกัน 

‘ถูกข้าพาติดร่างแหไปด้วย ไม่ได้หมายถึงแค่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น…’ เยี่ยนจ้าวเกอคิดในใจ

ขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอกำลังนึกคิดอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกหวั่นใจขึ้นมา

อาหู่ สวีชวน และปรมาจารย์เคียงนภาคนอื่นๆ ก็ทอดสายตามองออกไปยังที่ไกลออกไป

บริเวณนั้น มีดวงอาทิตย์สีทองดวงหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นระหว่างแนวเทือกเขาอย่างเชื่องช้า กลางพระอาทิตย์สีทองนั้นมีเงาร่างของคนผู้หนึ่งค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา เป็นชายชราที่มีดวงตาข้างเดียวคนหนึ่ง เขาสวมชุดสีทอง ใบหน้าเหลี่ยม หูกาง

ยอดฝีมือระดับมหาปรมาจารย์!

………………..

 

ทุกคนเปลี่ยนสถานที่หลบซ่อนอีกครั้ง อาหู่หันศีรษะกลับไปมองยังที่ที่ไกลออกไป

ซึ่งนั่นเป็นทิศของหุบเขาวายุวิญญาณ ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นแล้วก็ตาม

อาหู่พูดด้วยความรู้สึกเสียดายอยู่บ้างว่า  สิ่งของบนพื้นดินของหุบเขาวายุวิญญาณถูกทำลายหมดสิ้นแล้ว แต่โชคดีที่ทรัพยากรแร่ธาตุหลากหลายชนิดรวมถึงศิลาลายเมฆที่อยู่ใต้ดินไม่ได้รับความเสียหาย 

สวีชวนอยู่ด้านข้างกลับไม่ได้ใส่ใจมากนัก  แม้ว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะยึดครองที่แห่งนั้น ก็คงไม่ทำลายจนพังพินาศหรอก หรือหากจะระบายอารมณ์ก็คงไม่ถึงกับต้องเอาหุบเขาเล็กๆ มาระบายอารมณ์หรอก ทำลายสิ่งปลูกสร้างที่สำนักของเราสร้างเอาไว้ให้เหลือแต่ซากสักหน่อยก็คงพอแล้ว 

 ขอเพียงแค่ความลับของแก่นสารหยกไม่รั่วไหลก็พอแล้ว ต่อให้พวกเขาจะยึดครองหุบเขาวายุวิญญาณไป ก็คงเพื่อขุดหาทรัพยากรทั่วไปเท่านั้น 

เขามองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ พลางกล่าวชื่นชมว่า  คนทั้งโลก เมื่อก่อนต่างก็ประเมินนายน้อยเยี่ยนต่ำไปนะขอรับ 

 ต่อให้ไม่พูดถึงการอุทิศที่สำคัญอย่างเตาผนึกหินชั้นในและศิลาลายเมฆ แต่ความสามารถส่วนตัวของนายน้อยเยี่ยน ก็เกรงว่าจะสามารถเป็นผู้นำของคนรุ่นเยาว์ได้แล้ว 

อาหู่ยิ้มด้วยความจริงใจ  น่าขันนักที่ก่อนหน้านี้ผู้คนทั่วหล้ายังกังขา ในตำแหน่งสี่คุณชายแห่งยุคของคุณชายข้า 

 หวงเจี๋ย คุณชายจรัสแสง ก็ถูกขนานนามว่าเป็นรุ่งอรุณทั้งสี่ ไม่ต่างจากเซียวเซิงและเฉาหยวนหลง แต่คุณชายของข้าชนะเซียวเซิงและเฉาหยวนหลงที่มีระดับเดียวกันได้ง่ายๆ ราวกับล้วงของออกจากกระเป๋าอย่างไรอย่างนั้น! 

สวีชวนกล่าวพึมพำว่า  หวงเจี๋ย คุณชายจรัสแสงนั้น นอกจากตอนที่บรรลุระดับปรมาจารย์ได้สำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์แล้ว หลายปีมานี้มีข่าวคราวออกมาน้อยนัก 

 ไม่ว่าจะเป็นรุ่งอรุณทั้งสี่ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ หรือจะเป็นคุณชายแห่งยุคก็ตาม คุณชายจรัสแสงเป็นเพียงคนเดียวที่ลึกลับที่สุด จึงยากนักที่จะตัดสินพลังความสามารถที่แท้จริงของเขาได้ 

 หากไม่นับคุณชายจรัสแสง รุ่งอรุณทั้งสี่แห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ก็คงมีเพียงแค่กระบี่แสงสว่างถังหย่งฮ่าว ที่อาจจะยังสามารถประมือกับนายน้อยเยี่ยนได้บ้าง 

 แต่ถึงแม้จะเป็นถังหย่งฮ่าว หากอยู่ในระดับเดียวกันแล้ว เกรงว่าก็จะไม่สามารถเอาชนะเซียวเซิงและเฉาหยวนหลงได้สบายๆ เฉกเช่นนายน้อยเยี่ยนได้ 

กระบี่แสงสว่างถังหย่งฮ่าว เป็นที่รู้กันว่าเป็นผู้นำรุ่งอรุณทั้งสี่แห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ และเป็นผู้ที่อาวุโสที่สุดในบรรดาทั้งสี่คน

ขณะเดียวกันก็เป็นอัจฉริยบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุด ในบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์แห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

หวงเจี๋ย คุณชายจรัสแสงทำตัวเป็นจุดสนใจจนเกินไป หากไม่ใช่บุตรของเจ้าสำนักล่ะก็ ถังหย่งฮ่าวก็คงกลบรัศมีของเขาไปจนหมดสิ้น

บนโลกที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ปกครองนั้น มีคนจำนวนไม่น้อยที่ยกย่องถังหย่งฮ่าวว่าเป็นอันดับหนึ่งของคนรุ่นเยาว์ ภายในทั้งโลกแปดพิภพในยุคปัจจุบัน

นอกจากสถานการณ์พิเศษของสตรีจันทราแล้ว ไม่นับรวมสิ่งอื่นๆ ดูเพียงแค่พลังความสามารถส่วนบุคคลของจอมยุทธ์เท่านั้น ถังหย่งฮ่าวอยู่เหนือคนรุ่นเยาว์ในโลกแปดพิภพ

หากนำเขาไปปล่อยไว้ในพื้นที่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นปกครองอยู่ ก็ต้องไม่ยอมรับในเรื่องนี้เป็นธรรมดา

แต่ไม่ว่าใครก็ยอมรับ ว่าอย่างน้อยยอดคนรุ่นใหม่ ถังหย่งฮ่าวก็เป็นหนึ่งในผู้แข่งขันที่ยอดเยี่ยมที่สุด

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มบางๆ  ถังหย่งฮ่าวเป็นคนที่มีความสามารถจริง แต่จากที่ข้าดู สิ่งที่จัดการยากกว่านั้น ก็คือคนผู้นี้กระทำการสิ่งใดค่อนข้างเปิดเผย ตรงไปตรงมา 

 แต่เขาต้องการแย่งชิงอันดับหนึ่งของคนรุ่นเยาว์ ก็ต้องชนะศิษย์พี่สวีของสำนักเราให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน 

สวีชวนยิ้มพลางผงกศีรษะ

‘วิหคเวหา’ สวีเฟย ศิษย์สำนักเขากว่างเฉิง หนึ่งในแม่ทัพของคนรุ่นเยาว์แห่งเขากว่างเฉิง อายุเท่ากันกับถังหย่งฮ่าว อีกทั้งยังเป็นยอดอัจฉริยะที่ประมือกันมาโดยตลอดนับตั้งแต่วัยเยาว์จนถึงบัดนี้

เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้าและหุบรอยยิ้มลง จะว่าไปแล้วการประมือของคนรุ่นเยาว์แห่งเขากว่างเฉิงและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์นั้น สามารถใช้คำว่าคมปลายเข็มสู้คมปลายรวงข้าวบรรยายได้

สวีเฟยกับถังหย่งฮ่าว ลู่เวิ่นกับเซียวเซิง เยี่ยนจ้าวเกอในอดีตกับเฉาหยวนหลง เป็นต้น

เมื่อมองลงไปในรุ่นอายุที่น้อยลงไปอีก ในบรรดาคนที่เป็นตัวแทน ซือคงจิงเองก็แบกรับภาระประมือกับเมิ่งหว่านไว้ด้วยเช่นกัน และถ้าหากมองขึ้นไปในกลุ่มที่อายุมากขึ้นอีกหน่อย ก็เป็นประลองกันด้วยความแค้นไม่หยุดไม่หย่อนด้วยเช่นกัน

ทั้งสองฝ่ายไม่ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ก็สู้สีกันตัดสินไม่ลง

ประหนึ่งเจ้าเป็นลมข้าเป็นทราย ข้องเกี่ยวตัดไม่ขาดตลอดกาล…

หลายปีมานี้ นอกจากเยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่เหนือกว่ารุ่นเดียวกันแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นเจ้าจู่โจมมาข้าตอบกลับมาโดยตลอด

พูดตามตรงแล้ว หากไม่นับรวมกลุ่มของเยี่ยนตี๋ สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ยังคงได้เปรียบกว่าอยู่ดี

นี่คือผลกระทบที่เกิดจากข้อได้เปรียบในด้านพลังความสามารถโดยรวมของสำนัก

สวีชวนถอนหายใจเฮือก  ได้ยินมาว่าท่านเจ้าสำนักมีความคิดที่จะเข้าฌานตลอดชีพ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะสามารถบรรลุตำแหน่งจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่ 

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ไม่นับท่านสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่รู้ร่องรอยที่แน่ชัด เป็นหรือตายยังเป็นปริศนาอยู่ มีชีวิตอยู่เพียงแค่ในตำนานคำล่ำลือแล้วล่ะก็ เทียบเขากว่างเฉิงกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ด้อยกว่าก็ตรงที่ขาดจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งเท่านั้น

การต่อสู้กับโลกปีศาจอัคคีในอดีต เขากว่างเฉิงได้รับความเสียหายอย่างหนัก

เคราะห์ดีที่ได้มรดกตกทอดจากรุ่นอาวุโส จึงมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ปกปักรักษาสำนัก เขากว่างเฉิงปกป้องรักษาเขตอาคมมาเนิ่นนานนับหลายรุ่น และก็แข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

ขอบคุณบุรุษเทียมฟ้าจ่านซีโหลว แม้ว่าเขาจะล่วงลับไปแล้ว ทว่าในตอนที่เขาอยู่ในตำแหน่ง ก็สามารถรักษาลมหายใจสุดท้ายของเขากว่างเฉิงเอาไว้ได้

การเก็บสะสมรวบรวมตลอดเวลาที่ผ่านมา บุคลากรผู้มีความสามารถของสำนักจึงไม่ขาดแคลน ทุคนค่อยๆ เติบโตขึ้น จนในที่สุดก็ไม่เสียชื่อของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไอรีนโนเวล

ถึงกระนั้นความเจ็บปวดที่สุดของเขากว่างเฉิงในปัจจุบัน ก็คือหลังจากที่บุรุษเทียมฟ้าจ่านซีโหลวล่วงลับไปนั้น ก็ไม่มีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์กำเนิดขึ้นอีกเลย

ข้ามพ้นโลกีย์สู่ทางเทวะ ลำบากแสนเข็ญถึงเพียงใดหนอ

เมื่อมองไปทั้งโลกแปดพิภพ จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ผู้เป็นที่ยำเกรงในปัจจุบันก็มีเพียงแค่หยิบมือ

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างช้าๆ ว่า  อาการบาดเจ็บในตอนนั้น สุดท้ายก็ยังคงส่งผลกระทบให้กับท่านอาจารย์ปู่ ทำให้เขายากที่ผ่านขั้นสุดท้ายไปได้ 

ใบหน้าหน้าของสวีชวนก็เปี่ยมไปด้วยความเสียดายเช่นกัน

ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเขากว่างเฉิงในปัจจุบัน ก็คือปราชญ์เทียมนภา หยวนเจิ้งเฟิง อาจารย์ปู่ของเยี่ยนจ้าวเกอ เจ้าสำนักคนปัจจุบัน

เป็นที่รู้กันทั่วทั้งโลกแปดพิภพ ว่าอันดับหนึ่งถัดลงมาจากจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ ก็คือจอมยุทธ์ในระดับมหาปรมาจารย์ขั้นสิบ ขั้นบรรลุธรรม

หยวนเจิ้งเฟิงผู้นี้มีพรสวรรค์อันโดดเด่น พลังความสามารถแก่กล้า แต่ไหนแต่ไรจะเข้าสู่ระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด

น่าเสียดายที่ตอนวัยรุ่นเขาได้รับบาดเจ็บจนถึงขั้นรากฐาน ซึ่งยังไม่สามารถชดเชยส่วยที่ขาดไปได้ ส่งผลให้ทุกวันนี้หลังจากที่ก้าวเข้าสู้ขั้นบรรลุธรรมมานานเป็นแรมปีแล้ว ท้ายที่สุดก็ยังไม่สามารถผ่านขั้นสุดท้ายที่จะบรรลุสู่ระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ได้

แม้แต่จอมยุทธ์นอกเหนือจากเขากว่างเฉิงเองก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่เสมอ เจ้าสำนักเขากว่างเฉิงมีระยะห่างเทียบเท่ากระดาษแผ่นหนึ่งขวางกัน ไม่ให้เขาบรรลุสู่ระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์นั้น ระยะห่างเล็กน้อยนั้น คิดจะก้าวผ่านไปให้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ทว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กลับมีเจ้าสำนักรุ่นก่อน ซึ่งก็คือ ‘สุริยันทิศบูรพา’ หวงกวงเลี่ย จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักอีกด้วย

บิดาของหวงเจี๋ย คุณชายจรัสแสง บุตรชายของหวงกวงเลี่ยเจ้าสำนักรุ่นก่อน หวงซวี่ก็เป็นเจ้าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนปัจจุบัน และเป็นมหาปรมาจารย์ยอดฝีมือเก่าแก่เช่นกัน

สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ปกปักรักษาสำนักด้วยเช่นกัน ด้วยการผสานกันของจอมยุทธศักดิ์สิทธิ์หวงกวงเลี่ยและอาวุธศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งภายในสำนักมียอดฝีมือเฉกเช่นหวงซวี่ถือกำเนิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้ประสบความสำเร็จในการเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งของยุคปัจจุบัน

หากไม่จำเป็นจริงๆ เขากว่างเฉิงเองก็ไม่ยินดีนักที่จะเปิดฉากสงครามเต็มรูปแบบกันสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

สำหรับการเติบโตของเขากว่างเฉิง สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เองก็คอยจับตามองอยู่เช่นกัน หลายปีมานี้พวกเขาพยายามที่จะสกัดกั้นเอาไว้อยู่ตลอด

การประมือกันของทั้งสองที่อาณาจักรถังตะวันออกครั้งนี้ เป็นเพียงการต่อสู้ครั้งหนึ่งที่ค่อนข้างจะดุเดือดก็เท่านั้น

หวงกวงเลี่ยเข้าฌานอีกครั้งเมื่อหลายปีก่อน หากออกฌานมา ไม่มีใครรู้ได้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ยากที่จะประเมินได้ว่าพลังความสามารถของเขาจะไปถึงขั้นไหน

หยวนเจิ้งเฟิง เจ้าสำนักเขากว่างเฉิงมีใจจะเข้าฌานตลอดชีพเพื่อบรรลุระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ นั่นก็เพราะแรงกดดันที่มาจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าเซียวเซิงจะเป็นฝ่ายลงมือสังหารก่อน ทว่าเมื่อคราวที่เยี่ยนจ้าวเกอลงมือสังหารเซียวเซิงจริงๆ สวีชวนและคนอื่นก็รู้สึกสับสนทำตัวไม่ถูกอยู่ในใจ

สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอมองออกไปยังท้องฟ้าไกล ซึ่งนั่นคือทิศของเขากว่างเฉิง

 ของก็เตรียมพร้อมเกือบทั้งหมดแล้ว รอให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ก็สามารถทดลองเปิดเตากลั่นยาได้แล้วล่ะ 

………………..

 

เมื่อมองอาหู่ที่ราวกับกำลังกัดโดนลิ้น เยี่ยนจ้าวเกอก็หัวเราะพลางส่ายหน้า  เหตุใดเจ้าถึงต้องตื่นตระหนกถึงขนาดนั้น 

 นำข้อมูลที่ตอนนี้รู้แล้ว กับการคาดเดาของข้ารายงานให้กับเบื้องบนก็เป็นอันใช้ได้ ท้ายที่สุดถ้าหากวางแผน จะตัดสินอย่างไร พวกเรารอการแจ้งมาอีกครั้งก็พอ 

 ถ้าจะมาเปิดการแสดงละครชุดใหญ่ เช่นนั้นพวกเราก็แสดงกันต่อไปเถอะ 

 หากต้องการจะปกปิด เช่นนั้นที่ใดปลอดภัยพวกเราก็จะไปหลบซ่อนที่นั่นทันที อย่างไรเสียที่แห่งนี้ก็ไม่ใช่อัคคีพิภพ ต่อให้คนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีใจคิดจะขุดดินลึกสามฉื่อลากข้าออกมา ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น 

เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอ อาหู่ก็ขยับปากพูดราวกับปวดฟัน  คุณชายขอรับ ครั้งนี้เหมือนจะเล่นใหญ่เกินไปหน่อยนะขอรับ ในสถานการณ์ปกติแล้วไม่ใช่คนในระดับพวกเราจะเข้ามามีส่วนร่วมได้ 

 หากไม่รอบคอบแค่ครั้งเดียว ต่อให้โดยรวมแล้วเขากว่างเฉิงจะได้รับชัยชนะ แต่ตัวท่านก็อาจจะต้องชดใช้นะขอรับ 

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมา  การทุ่มเทจะคุ้มค่าหรือไม่ ก็ต้องดูว่าผลตอบแทนนั้นใหญ่พอหรือไม่ 

ชายหนุ่มหุบรอยยิ้มลง แล้วกล่าวอย่างช้าๆ  ไม่ว่าจะมาอีกกี่ครั้งข้าก็จะฆ่าเซียวเซิงเสีย ไม่ยั้งมือโดยเด็ดขาด 

 แต่ด้วยความสามารถโดยรวมของสำนักแล้ว สำนักของเรายังด้อยกว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อยู่ขั้นหนึ่ง ถ้าหากไม่หาวิธีทิ้งระยะห่าง หรือทำได้เพียงแค่ทำตามบทเล่นตามน้ำแล้วล่ะก็ เช่นนั้นก็คงจะด้อยกว่าไปเรื่อยๆ 

 อย่างไรเสียสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็กำลังก้าวหน้า ไม่มีทางยืนรอพวกเราอยู่ที่เดิม กลับกันพวกเขาอาจจะอาศัยข้อได้เปรียบที่นำหน้าอยู่ตัดทอนกำลังของพวกเราให้มากที่สุด 

เขามองไปทางอาหู่  ว่าแต่เจ้า อย่าเสี่ยงอันตรายเป็นเพื่อนข้าอีกเลย ปลาเน่าตัวเดียวจะได้ไม่เหม็นทั้งบ่อ 

อาหู่ยิ้มอย่างจริงใจ  ข้าย่อมต้องการติดตามท่านไปอยู่แล้ว 

 อีกอย่าง หากข้างกายท่านไม่มีใครสักคนอยู่ด้วย นั่นก็อาจจะผิดปกติเกินไป 

 รีบเคลื่อนตัวออกจากหุบเขาวายุวิญญาณทันที พูดอีกอย่างก็คือ หากยังจดจ่ออยู่กับสถานการณ์ของถังตะวันออก ฝ่ายตรงข้ามอาจจะสงสัยได้ ทว่าท่านกลับเคลื่อนไหวเพียงผู้เดียว ฝ่ายตรงข้ามก็ต้องรู้ตัวทันทีแน่ ว่ามีคนล่วงรู้แผนการของพวกเขา 

เยี่ยนจ้าวเกอตบบ่าของเขา  ไปส่งข่าวก่อนเถอะ จากนั้นค่อยวางแผนกันอีกที 

อาหู่ผงกศีรษะ  ขอรับ คุณชาย 

กลุ่มคนของเขากว่างเฉิงเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ตลอดทาง เพื่อหลบหลีกสายตาของจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

ฝ่ายของตนมีกิจการอันใดอยู่ที่ถังตะวันออกบ้าง สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็รู้อยู่แก่ใจอยู่พอควร จึงสังเกตการณ์ทุกอย่างอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นทางกลับเข้าสู่เมืองชมตะวัน

ทว่าอย่างไรเสียเขากว่างเฉิงก็ดำเนินกิจการอยู่ ณ ที่แห่งนี้มาหลายปี อีกทั้งยังมีจ้าวซื่อเฉิง ราชาอาณาจักรถังตะวันออกสนับสนุนอีก สถานที่และกิจการที่เป็นความลับบางอย่างก็เป็นสิ่งที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจทราบได้

เป็นอย่างเช่นที่เยี่ยนจ้าวเกอคิดทั้งหมด ตนเองคิดซ่อนตัวที่นภาพิภพ สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ยากที่ค้นหาให้พบได้ในเวลาอันสั้น

นอกเสียจากว่าถังตะวันออกจะอยู่ในกำมือของพวกเขาโดยสิ้นเชิงแล้ว เช่นนั้นพวกเขาถึงจะค่อยๆ ค้นหาอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม

หลังจากนั้นไม่กี่วัน สวีชวนก็มาพบเยี่ยนจ้าวเกอ  นายน้อยเยี่ยน พวกราชาอาณาจักรจ้าวไปที่ตำหนักของจ้าวซื่อเลี่ย จิ่นอ๋องแล้ว! 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มพลางกล่าวว่า  ไปก็ดีแล้ว 

 พวกเราซ่อนตัวไม่กลับเมืองชมตะวันก็ยังพอจะเข้าใจได้ แต่การที่ราชาอาณาจักรเช่นเสด็จลุงจ้าวกลับไม่กลับไปยังเมืองหลวงนั้นก็ยากที่จะไม่ทำให้ผู้คนสงสัยได้ 

 แต่นี่ไปตำหนักเจ้ากบฏต่ำช้าจ้าวซื่อเลี่ยรอบหนึ่ง ไปกลับหนึ่งรอบ ยื้อเวลายื้อได้สะอาดไม่เหลือร่องรอย 

 จ้าวซื่อเลี่ยถูกเสด็จลุงเล่นงานจนบาดเจ็บ ตัดขาดจากการเชื่อมต่อกับเขตอาคมโดยสิ้นเชิง 

 เมื่อไม่มีเขตอาคมแล้ว เขาอยู่ที่เมืองชมตะวันก็ราวกับเป็นสุนัขที่ถูกปิดประตูล้อมตีทำได้แค่เพียงถอยกลับไปที่ตำหนักของตนเองเท่านั้น เพื่อรอโอกาสอีกครั้ง 

 รอให้การประมือระหว่างทะยานบูรพาและท่านผู้อาวุโสฉิน ถึงจุดที่จะตัดสินแพ้ชนะ 

เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตนเอง  สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์สนับสนุนจ้าวซื่อเลี่ย คงจะมีทรัพยากรไม่น้อย 

 เสด็จลุงบุกยึดฐานที่มั่นของเขาและได้ในสิ่งที่ต้องการ แล้วก็ใช้เป็นที่พักฟื้นสถานที่ที่ถูกทำลายจากสงครามได้พอดี 

สวีชวนได้ยินดังนั้นก็ผงกศีรษะ  จ้าวซื่อเลี่ยแย่งชิงเขตอาคมชมตะวันไปไม่ได้ ความสามารถที่สามารถใช้ได้กับสงครามครั้งนี้ ก็เป็นสิ่งที่มีจำกัดมากแล้ว 

 ในสถานการณ์ที่แม้แต่ยอดฝีมือระดับยอดฝีมือของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ยังยากที่จะเอาตัวรอดได้ เกิดกว่าครึ่งคงไม่มีกะจิตกะใจจะมาสนใจเขา จ้าวซื่อเลี่ยจึงทำได้เพียงซ่อนตัวก่อน รออยู่นิ่งๆ จนตอนที่สถานการณ์มั่นคงแล้วค่อยออกมาอีกครั้ง 

 หากประจันทะยานบูรพาและยอดฝีมือสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ได้รับชัยชนะแล้ว ถึงตอนนั้นก็ยากที่จะรักษาเมื่อชมตะวันเอาไว้ได้ จ้าวซื่อเลี่ยสามารถตามหลังทะยานบูรพาหวนกลับมามีอำนาจอีกครั้งได้ 

 หากพวกทะยานบูรพาพ่ายแพ้ เช่นนั้นจ้าวซื่อเลี่ยก็คงจะต้องตัดสินใจเด็ดขาดถอยไปอยู่ที่อัคคีพิภพ ขอการคุ้มครองจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ 

สวีชวนมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความรู้สึกลังเลอยู่บ้าง  แต่ว่า อย่างที่นายน้อยเยี่ยนคิด สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่มากกว่าที่พวกเราคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้อีก ดูเหมือนจะมีแผนการอย่างอื่น ที่ตำหนักของจ้างซื่อเลี่ยทางนั้น…  Aileen-novel

เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้า  พวกเขาไม่สนใจจ้าวซื่อเลี่ยแล้วล่ะ 

 ยิ่งไปกว่านั้น…  เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลง  ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็สังหารเซียวเซิงไปแล้ว เป้าหมายหลักของฝ่ายตรงข้ามในตอนนี้คือข้า 

กล่าวจบเจาก็หันศีรษะไปมองสวีชวน  ลำบากท่านผู้อาวุโสสวีและผู้ร่วมสำนักคนอื่นๆ แล้วขอรับ ที่ร่วมเสี่ยงอันตรายไปกับข้า 

สวีชวนยิ้มเล็กน้อย  นายน้อยกล่าวเกินไปแล้ว ข้าเชื่อว่านายน้อยเยี่ยนสามารถเปลี่ยนความทุกข์ยากที่พบให้กลายเป็นความโชคดีได้ 

เยี่ยนจ้าวเกอมองเขาแวบหนึ่ง  ท่านมองสิ่งใดออกหรือ?  

สวีชวนส่งกระแสจิตไปว่า ‘แม้ว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะมียอดฝีมือออกมาเคลื่อนไหว แต่นายน้อยเยี่ยนน่าจะมีที่พึ่งหนุนหลังอยู่ใช่หรือไม่’

‘นายน้อยเยี่ยนสังหารเซียวเซิง น่าจะเป็นแค่สิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย แต่เดิมเป้าหมายที่เจาะจงไว้ อาจจะไม่ใช่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ข้าเดาว่าเป็น…’

นิ้วมือของสวีชวนเขียนอักษร ‘เหยียน’ กลางอากาศ

เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้าอย่างช้าๆ  เรื่องเกี่ยวข้องกับความลับสำคัญ แม้แต่ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าแท้จริงแล้วเป็นสถานการณ์เช่นไร 

 แต่ว่า ท่านอย่าเพิ่งรีบมองในแง่ร้ายจะดีที่สุด หากร่วมเดินทางไปกับข้า สถานการณ์ที่จะต้องเผชิญหน้า มีความเป็นไปได้สูงที่อาจจะแย่ยิ่งกว่าผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดที่ท่านคาดการณ์ไว้ก็ได้ 

สวีชวนได้ยินดังนั้นก็ตระหนกอยู่บ้าง

ทว่าเขาก็ไม่ได้ปากมากถามต่อไปอีก แต่ตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจังว่า  ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสกิจปฏิบัติแห่งถังตะวันออกคนหนึ่ง เมื่อมีศัตรูภายนอกย่างกรายเข้ามาในถังตะวันออก ข้าก็คงจะนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต่อให้อาจจะต้องสิ้นชีพด้วยเหตุนี้ ก็เป็นภัยพิบัติที่ชีวิตนี้ควรมี 

เยี่ยนจ้าวเกอโบกไม้โบกมือ  แม้จะพูดเช่นนี้ แต่บางครั้ง การยอมปล่อยมือก็เป็นการกระทำที่ฉลาด การรบราไม่ใช่ความผิดแต่ก็ไม่ควรมี 

 ส่วนข้านั้น ข้าเกิดที่เขากว่างเฉิง ท่านพ่อเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนัก ข้าได้รับความรุ่งเรืองของสำนัก เสพสุขกับทรัพยากรที่สำนักสนับสนุนให้ ได้รับอ้อมแขนของสำนักช่วยข้าต้านลมต้านฝน 

 เช่นนั้น เมื่อถึงคราวที่ข้าจะต้องยืนขึ้นเพื่อทุ่มเทให้กับสำนักแล้ว ข้าก็จะไม่ถอยเป็นแน่ 

 เรื่องที่จะส่งตัวเองไปตายเปล่าๆ ตายอย่างไร้ค่าข้าไม่ทำอย่างแน่นอน แต่ถ้าต้องแบกรับความเสี่ยงอันเตราย ข้าก็ไม่ถือ 

เยี่ยนจ้าวเกอมองไปที่สวีชวน  แต่พวกท่านไม่จำเป็นต้องไปกับข้า 

สวีชวนกล่าวตอบอย่างหนักแน่ว่า  นายน้อยเยี่ยนวางใจ ข้ารู้กฎระเบียบดี สิ่งที่ไม่ควรถามข้าก็จะไม่ปากมาก 

 ส่วนคนอื่นๆ ตรงนั้น ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ ข้าก็จะไม่บังคับ ขณะเดียวกันก็จะเตรียมการเอาไว้ให้ดี รับประกันว่าจะไม่ทำให้ผู้อื่นสงสัย 

 ขอเพียงแค่ไม่กลายเป็นตัวถ่วง ข้ายินดีที่จะเสี่ยงอันตรายไปกับนายน้อยเยียนครั้งนี้ด้วย 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มพลางกล่าวว่า  แน่นอนว่าไม่เป็นตัวถ่วงอยู่แล้ว ผู้อาวุโสสวี ท่านเป็นปรมาจารย์เคียงนภา อีกทั้งระดับวรยุทธ์ยังสูงกว่าข้าด้วย 

 แต่เรื่องครั้งนี้ประเด็นหลักไม่ได้อยู่ที่ความสูงต่ำของระดับวรยุทธ์ของพวกเรา  สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอทอดมองออกไปไกล แล้วพูดกับตนเองเสียงเบาว่า  ประเด็นสำคัญครั้งนี้อยู่ที่การเข้าใจข่าวสารเป็นอย่างดี อยู่ที่การปกปิดเป้าหมายที่แท้จริงของตน 

 ชีวิตคนดั่งละคร ทั้งหมดคือการแสดงทั้งนั้น!  

สองประโยคหลังทั้งเบาทั้งไม่ชัดเจน สวีชวนได้ยินไม่ชัดจึงอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอด้วยสีหน้างุนงง

…………………

 

คำวิพากษ์วิจารณ์ของบรรดาผู้คนนั้น เยี่ยนจ้าวเกอฟังหูไว้หู ตอนนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจจะมาดีใจในความสำเร็จ

ในขณะเดียวกันกับที่ช่วยอาหู่ปรับลมหายใจนั้น จิตของเยี่ยนจ้าวเกอส่วนหนึ่ง ก็ยังคงแบ่งไปที่ค่ายกลย้อนกลับ

บัดนี้สีหน้าของจ้าวซื่อเฉิงฟื้นคืนมาเป็นปกติแล้ว เขาได้รับการหนุนจากพลังของค่ายกลขนาดใหญ่ คิดจะรักษาอาการบาดเจ็บก็ง่ายขึ้นมาก

เยี่ยนจ้าวเห็นสถานการณ์ดังนั้นก็เบาใจลง

เมื่ออาหู่เรียกลมปราณ เข็มทองสุริยันรอบกายพลันร่วงกระจายลงพื้น

เขาลืมตาทั้งสองขึ้น กล่าวพลางแยกเขี้ยวยิงฟันว่า  เคราะห์ดีที่ครั้งนี้สวมอาวุธวิญญาณที่นายท่านมอบให้ มิเช่นนั้นก็คงต้องจบเห่แล้วจริงๆ ขอรับ 

ชายหนุ่มเห็นเขาไม่เป็นอะไรแล้ว จึงยิ้มพลางกล่าวว่า  รสชาติของฝนสุริยันเป็นเช่นไรบ้าง 

อาหู่ยกมุมปากขึ้น  โหดดีขอรับ 

เยี่ยนจ้าวเกอหยิบกล่องทรงกระบอกออกมา ซึ่งนั่นก็คือฝนสุริยะ  เจ้านี่มันโหดร้าย แม้ว่าหลังจากที่ใช้ไปแล้วครั้งหนึ่ง และต้องการจะเติมเต็มค่อนข้างยุ่งยาก แต่อานุภาพของมันไม่เลวจริงๆ 

 ต่อแต่นี้ไปเจ้าก็เอาไปเล่นเถอะ จะลอบทำร้ายผู้ใดก็ยังสามารถให้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เป็นแพะรับบาปแทนเจ้าได้ด้วย 

คนที่อยู่รอบข้างได้ยินดังนั้นก็ล้วนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี

อาหู่รับไปด้วยท่าทีนึกสนุก  คุณชาย ความคิดนี้ดีนักขอรับ 

 ในภายภาคหน้าหากคุณชายไม่ชอบขี้หน้าผู้ใด ข้าก็จะลองใช้กับมันสักที 

แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นการหยอกล้ออยู่แล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอมาถึงเบื้องหน้าจ้าวซื่อเฉิง

ดูจากภายนอกแล้ว จ้าวซื่อเฉิงดูไม่ได้มีความผิดปกติใดๆ ราวกับอาการบาดเจ็บทั้งหลายหายเป็นปลิดทิ้ง

ก่อนหน้านี้ที่เยี่ยนจ้าวเกอช่วยเขารักษาอาการบาดเจ็บ ก็ได้บอกเคล็ดวิชาเหวเวหาสวนกระแสส่วนหนึ่งกับเขาแล้ว

ซึ่งขณะนี้จ้าวซื่อเฉิงสามารถขับเคลื่อนพลังของค่ายกลขนาดใหญ่ได้แล้ว อีกทั้งการรักษาอาการบาดเจ็บก็รวดเร็วยิ่งขึ้น แม้ว่าจะยังไม่หายสนิท ทว่าไม่ได้เป็นอะไรมากนักเช่นกัน

สายตาของจ้าวซื่อเฉิงมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้น  จ้าวเกอ โชคดีที่ครั้งนี้มีเจ้า ถึงสามารถชิงอำนาจการควบคุมค่ายกลชมตะวันกลับมาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ 

คนอื่นๆ ต่างก็หลุดออกจากภวังค์ สายตาที่มองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอยิ่งเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมและอัศจรรย์ใจ

นั่นเป็นเพราะอุบายของเยี่ยนจ้าวเกอ ถึงทำให้สถานการณ์นั้นพลิกผันเปลี่ยนไป จนแทบจะเรียกได้ว่าฟื้นชีพคนตายกลับมา

ความสามารถพรสวรรค์ส่วนตัวโดดเด่นเหนือนำคนอื่นไม่พูดถึง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความสามารถในการช่วยเหลือผู้คนในยามคับขัน ไม่สามารถมองเขาเป็นแค่ยอดฝีมือรุ่นหลังแล้ว สายตาของอัจฉริยะรุ่นหลังก็มองมายังเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้

วิธีการเช่นนี้ ความสามารถเช่นนี้ ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกคนหนึ่งสามารถเปรียบเทียบได้ที่ไหน

เยี่ยนจ้าวเกอคำนับจ้าวซื่อเฉิงครั้งหนึ่ง  ท่านลุงกล่าวชมเกินไปแล้วพะยะค่ะ ข้ายังต้องพึ่งพลังจากท่านลุงเป็นเสาหลักในยามคับขันอยู่เลย 

 วิชาค่ายกลย้อนกลับนี้ ข้าเองก็ได้มาโดยบังเอิญ เป็นประโยชน์ก็แค่ชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น ใช่ว่าจะใช้ได้ตลอดไป 

จ้าวซื่อเฉิงกล่าว  หากจะกล่าวถึงเสาหลักในยามคับขันแล้วล่ะก็ ยังต้องเป็นท่านผู้อาวุโสฉินกับท่านผู้อาวุโสข่งของสำนักเจ้าสิ 

 พวกเขาประมือกับทะยานบูรพา ถ้าหากแบ่งแพ้ชนะได้ในเวลาสั้นๆ สถานการณ์คงเปลี่ยนไปมาก 

เยี่ยนจ้าวเกอพูดพึมพำ แล้วผูกปราณจิตราเป็นเสียง ส่งกระแสจิตไปหาจ้าวซื่อเฉิง ‘ท่านลุงพะยะค่ะ ข้ารู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง พวกเราจำเป็นต้องรีบออกจากหุบเขาวายุวิญญาณโดยเร็วพะยะค่ะ’

แววตาของจ้าวซื่อเฉิงวูบไหวเล็กน้อย

ชายหนุ่มกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า ‘ก่อนเซียวเซิงตาย เขาไม่เหมือนกับจะอวดดีเบ่งอำนาจ หรือถอดใจแล้วสาปแช่งข้า แต่เป็นการยืนยันมั่นใจว่าข้าจะต้องตามเขาไปในไม่ช้า’

‘นี่ทำให้ข้าสนใจยิ่งนัก ข้ารู้ดีว่าท่านชิงอำนาจควบคุมค่ายกลกลับมาได้ ก็ยังต้องใช้เวลาในการทำให้มั่นคง แต่เกรงว่าพวกเราจะต้องออกไปจากที่นี่ก่อนเป็นอันดับแรก’

อาหู่ก็เพิ่งจะรู้สึกดีขึ้น เวลาสั้นๆ เท่านั้นอาการบาดเจ็บยังคงไม่หายดี ทว่าก็ไม่มีเวลาเหลือให้เขาแล้ว จึงทำได้เพียงแค่ปลีกออกไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกครั้ง

จ้าวซื่อเฉิงมองเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่ง ไม่ได้ถามให้มากความ แล้วก็พูดออกไปว่า  ได้ ออกจากที่นี่ก่อน! 

จอมยุทธ์ของถังตะวันออกแม้จะกังวลในสภาพของจ้าวซื่อเฉิงอยู่ ทว่าก็หวังว่าราชาของพวกเขาจะสามารถกลับไปคุมการณ์ที่เมืองชมตะวันได้โดยเร็วเช่นกัน เพี่อจะได้สะดวกในการกำจัดกลุ่มกบฏของจ้าวซื่อเลี่ย จิ่นอ๋อง

อีกด้านหนึ่ง ในเมืองชมตะวัน จ้าวซื่อเฉิงจะขับเคลื่อนพลังของค่ายกล มันถึงจะมีพลังสูงสุด

และยิ่งไปกว่านั้น ทิศทางการเคลื่อนไหวของเขาไร้พรมแดนก็ยังไม่แน่นอนเช่นกัน

ถึงกระนั้นเกินกว่าครึ่งก็คงมียอดฝีมือระดับมหาปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสเฮ่อผู้นั้น กำลังซ่อนตัวอยู่ตามชายแดนของอาณาจักรถังตะวันออกเป็นแน่

ทุกคนไม่มีเวลาที่จะพักผ่อน ได้แต่รีบเคลื่อนตัวจากไปทันที

เยี่ยนจ้าวเกอเดินไป พลางมองไปที่สวีชวน ส่งกระแสจิตไปว่า ‘ท่านผู้อาวุโสสวี คนที่รู้ความลับของศิลาลายเมฆในหุบเขานี้…’

สวีชวนยิ้มเล็กน้อย ‘นายน้อยเยี่ยนวางใจ ก่อนที่พวกเจ้าจะมาถึงที่นี่ ข้าได้รวบรวมคนส่งไปแล้วจัดการเสร็จสรรพแล้ว’

ขอเพียงแค่ความลับไม่รั่วไหล ต่อให้อีกฝ่ายจะใช้หุบเขาวายุวิญญาณเป็นที่ระบายความโกรธ ทำลายทุกอย่างที่นี่จนสิ้นซาก ถึงกระนั้นแร่ธาตุที่ฝังลึกอยู่ใต้ดินลึกก็ยังสามารถขุดขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้ในภายหลัง

เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ สวีชวนระมัดระวังตัวมาก อีกทั้งยังตัดสินใจเด็ดขาด การช่วยเขาในตอนนั้นเป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง ไอลีนโนเวล

หากวรยุทธ์ของสวีชวนสามารถไปถึงระดับที่สูงยิ่งกว่า เช่นนั้นบิดาของตนก็คงจะสามารถบ่มเพาะให้ได้บ้าง เพื่อช่วยให้เขาก้าวไปสู่ตำแหน่งที่สูงยิ่งกว่าและสำคัญยิ่งกว่า

ชายหนุ่มกำชับว่า  แม้ว่าพวกเราจะถอยไป แต่ยังต้องคอยจับตามองการเคลื่อนไหวของหุบเขาวายุวิญญาณอย่างใกล้ชิด 

ถึงแม้ว่าสวีชวนจะประหลาดใจอยู่บ้าง กระนั้นก็ยังคงลงไปสั่งการ

จ้าวซื่อเฉิงได้ยินคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอ ก็ส่งกระแสจิตไปถามว่า ‘เจ้ากังวลว่าแถวนี้จะมียอดฝีมือสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่แกร่งยิ่งกว่าอย่างนั้นหรือ? แต่หากมีคนเช่นนั้นอยู่จริง เหตุใดเมื่อครู่จึงไม่ลงมือเสียเล่า’

เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลง กล่าวเสียงเบาว่า  ถ้ามียอดฝีมือบุกโจมตีในช่วงเวลาสั้นๆ จริงล่ะก็ เช่นนั้นก็ยืนยันได้ถึงความผิดปกติของเซียวเซิงก่อนที่จะตายแล้ว 

 และหากเป็นเช่นนั้นแล้วล่ะก็ ข้าคิดว่าข้าพอจะเดาออกแล้ว ว่าพวกเขาต้องการจะกระทำอันใด 

เขาสูดหายใจลึกครั้งหนึ่ง  ที่ก่อนหน้านี้ไม่ลงมือก็เพราะไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น แต่ซุ่มอยู่ใกล้ๆ ก็เผื่อว่าพวกเซียวเซิงสังหารพวกเราไม่สำเร็จ ข้าเล่นงานเซียวเซิงจนสิ้นชีพ สำหรับพวกเขาแล้วก็เป็นเพียงเรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย 

 แต่เดิมเป็นกองหนุนที่เอาไว้สำหรับป้องกัน แต่เพราะค่ายกลย้อนกลับ พวกเราจึงพลิกสถานการณ์ในพริบตา แม้กระทั่งสถานการณ์ที่ยืดเยื้อก็ไล่ต้อนคนกลุ่มแรกจนถอยไป แล้วตอนนี้ยังถอยออกมาอีกทันที 

 อีกฝ่ายอยากให้การตายของข้าดูแล้วเป็นธรรมชาติหน่อย เหมือนว่าเกิดจากความแค้นส่วนตัวระหว่างข้ากับเซียวเซิงเท่านั้น 

 เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการกลบเกลื่อนเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาได้ 

จ้าวซื่อเฉิงมองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ  …เป้าหมายที่แท้จริง? 

แววตาของเยี่ยนจ้าวเกอหยั่งลึก  ดูท่าพวกเรา อาจจะประเมินความต้องการของพวกเขาต่ำไป 

 การสังหารข้าเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น กระทั่งถังตะวันออกก็เป็นเพียงแค่ทางผ่านเช่นกัน สิ่งที่พวกเขาต้องการนั้นมากกว่าที่ข้าคาดการณ์เอาไว้มาก 

คนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ แค่ถูกไล่ถอยออกไปเพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อพวกเขาเห็นกลุ่มของเยี่ยนจ้าวเกอออกจากหุบเขาวายุวิญญาณ ต้องเร่งไล่ตามมาโจมตีแน่

ไม่ต้องทำให้กลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอบาดเจ็บหรือตาย ขอเพียงแค่คว้าหางเอาไว้ได้โดยไม่เสียร่องรอยการติดตามก็เพียงพอแล้ว

เมื่อเห็นดังนี้ภายในใจของเยี่ยนจ้าวเกอก็ยิ่งรู้สึกว่า สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าครึ่งต้องมียอดฝีมือระดับสูงอยู่ใกล้ๆ แถวนี้ และกำลังรีบตามพวกเขาอยู่

ถ้าหากไม่สามารถสะบัดหางให้หลุดออกไปได้ล่ะก็ หรือแม้กระทั่งความเร็วของฝ่ายตรงข้ามเร็วกว่า เช่นนั้นคงใช้เวลาไม่นานนักก็จะไล่ตามมาทัน

ถึงกระนั้นอย่างไรเสียที่นี่ก็คือนภาพิภพ ดินแดนของถังตะวันออก แม้พลังความสามารถของเยี่ยนจ้าวเกอ จ้าวซื่อเฉิง และคนอื่นๆ นั้นแข็งแกร่งกว่า พวกเขาก็ยังมุ่งที่จะหลีกหนีการต่อสู้ ไม่นานนักก็อาศัยข้อได้เปรียบเรื่องสถานที่สลัดผู้ที่สะกดรอยตามไปได้

หลังจากนั้นก็มีสาส์นลับถูกส่งมาผ่านช่องทางลับ

แทบจะทันทีที่กลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอจากไป ด้านหลังก็มียอดฝีมือระดับสูงของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ย่างกรายเข้าไปในหุบเขาวายุวิญญาณ!

เมื่อนับรวมเวลาที่ใช้ในการสลัดคนสะกดรอยพวกนั้นด้วยแล้ว แทบจะเป็นวิกฤตอันตรายที่น่าผวาใจ

เยี่ยนจ้าวเกอถอนลมหายใจหนักๆ ออกมาเสียงหนึ่ง แววตาเปลี่ยนเป็นประกายแน่วแน่ เขามองไปยังจ้าวซื่อเฉิง ยิ้มพลางกล่าวว่า  ท่านลุง จากนี้ไปพวกเราแยกกันเคลื่อนไหวนะพะยะค่ะ 

 เป้าหมายหลักๆ ของอีกฝ่ายก็คือข้า แต่ท่านก็ต้องระวังตัวด้วยเช่นกัน 

 กลับเมืองชมตะวัน ก็เท่ากับว่าเผยเป้าหมายที่ชัดเจนให้กับฝ่ายตรงข้าม 

สายตาของจ้าวซื่อเฉิงนิ่งงัน  ข้าก็อาจจะกลายเป็นเป้าหมายได้ แต่กลับไม่ใช่เพราะถังตะวันออกอย่างนั้นหรือ? ถ้าพูดเช่นนี้แล้ว… 

ชายหนุ่มพยักหน้า  ท่านเตรียมใจเอาไว้เป็นการดีที่สุด อย่าเปิดเผยเป็นพอ 

 สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต้องการจะเล่นหนัก เช่นนั้นก็มาเล่นกัน  เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า  โบราณว่าเอาไว้ การเปลี่ยนแปลงเป็นสัจธรรม แม้แต่สิ่งที่วางแผนไว้แล้วก็เปลี่ยนแปลงได้ตลอด 

เมื่อได้ยินดังนั้น แววตาของจ้าวซื่อเฉิงก็วูบไหวเล็กน้อย จ้องมองเยี่ยนจ้าวเกอนิ่งงัน

เยี่ยนจ้าวเกอสบตากับเขาด้วยความสงบ จ้าวซื่อเฉิงผงกศีรษะช้าๆ  ได้ เจ้าก็จงระวังตัวด้วย ระมัดระวังความปลอดภัยของเจ้าให้ดี 

 พะยะค่ะ ท่านลุง  เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวตอบ  ข้าจะระวังความสมดุลระหว่างการปกปิดร่องรอยกับการดึงความสนใจของอีกฝ่ายขอรับ 

เมื่อส่งจ้าวซื่อเฉิงไปแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็ส่งกระแสจิตไปหาอาหู่ และออกคำสั่งไป

อาหู่ที่คุณชายสั่งไปซ้ายก็ไม่ไปขวาแน่นอน คุณชายสั่งตีสุนัขก็จะไม่จับนกแน่นอน น้อยนักที่จะตกอยู่ในสภาวะตกตะลึง

เสียงของเขาตะกุกตะกักราวกับกัดลิ้นของตนเองอย่างไรอย่างนั้น  คะ…คุณ…คุณชาย นี่มันจะไม่… 

………………..

 

สภาพของเยี่ยนจ้าวเกอประหนึ่งเสือดุร้าย ระหว่างที่ส่งเสียงคำรามก็พุ่งไล่สังหารมาจนถึงเบื้องหน้าของเซียวเซิง!

เซียวเซิงรีบถอยหลัง ลอยตัวขึ้นไปในอากาศ เพื่อดึงระยะห่างออกจากเยี่ยนจ้าวเกอ

ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอสาวเท้าอย่างต่อเนื่อง และลอยตัวตามขึ้นไปเช่นกัน เพียงก้าวเท้าออกมาเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็ขึ้นไปเหยียบย่ำบนอากาศแล้ว!

มังกรน้ำแข็งและมังกรเพลิงที่ยึดครองอยู่ภายในจุดลมปราณทั่วทั้งร่างกาย สั่นสะท้านและคำรามลากเสียงยาวพร้อมกัน

ไอน้ำแข็งและสะเก็ดไฟมากมายลอยออกมาจากร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วรวมเข้ากับปราณจิตรา น้ำแข็งและเพลิงไฟผสานกันประหนึ่งเทพเซียน!

ออกหมัดพยัคฆ์คำราม ปราณดุจมังกรร้อง!

เทพยุทธ์ดาวไถ พลังของประตูเลือดซางฉวี่ก็ระเบิดออกมาดังสนั่น!

เยี่ยนจ้าวเกอพังทลายหัตถ์เงาสนธยาที่เซียวเซิงใช้ป้องกันตัวออกไป ภายในหมัดเดียว!

เซียวเซิงตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง จึงรีบใช้วิชาสุริยันทะยานบูรพาหลบเลี่ยงออกไป

 ฮ่า! 

เสียงตะโกนหนึ่งดังขึ้น กระดูกสันหลังของเยี่ยนจ้าวเกอพลันตั้งตรง ประหนึ่งกับมังกรที่กำลังยืดตัว!

การปล่อยพลังครั้งนี้หลอมรวมเข้ากับวิชากระบี่มังกรเขียวในชายเสื้อ กลายเป็นเพลงกระบี่มังกรลอดเมฆ!

เมฆมังกรหมื่นลี้ เหินบินโดยพลัน!

ขณะที่ร่างกายของเซียวเซิงกำลังจะขยับขึ้น เยี่ยนจ้าวเกอที่ว่องไวยิ่งกว่าเขา ก็ลงมืออย่างเหี้ยมโหด!

เยี่ยนจ้าวเกอกางนิ้วที่เดิมกำหมัดเอาไว้แน่นทั้งสองข้าง แล้วงอลงเหมือนตะขอ จับไปที่ต้นแขนทั้งสองของเซียวเซิง!

ร่างของชายหนุ่มทั้งสองนิ่งค้างอยู่กลางอากาศด้วยกันในทันที

ฝ่ายเยี่ยนจ้าวเกอยกเท้าข้างหนึ่งขึ้น ถีบไปที่หน้าอกของเซียวเซิงตรงๆ!

ในขณะเดียวกันมือทั้งสองก็ออกแรงพร้อมๆ กัน พลังปราณมังกรน้ำแข็งกับพลังปราณมังกรเพลิงบิดเบือนยืดหด รุกล้ำปล่อยพลัง

พลังที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่กลายร่างเป็นภูเขาและแม่น้ำอันคดเคี้ยว สำแดงอิทธิฤทธิ์บนแขนทั้งสองข้างของเซียวเซิง

เท้าหนึ่งถีบจนร่างของเซียวเซิงกระเด็นไปข้างหลัง ทว่ามือทั้งสองกลับยังคงจับแขนทั้งสองข้างของเซียวเซิงเอาไว้แน่นไม่ปล่อย!

ทั้งถีบทั้งดึง พลังของทั้งสองตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง ทำให้ร่างกายของเซียวเซิงพลันบิดเบี้ยวราวกับผ้าขี้ริ้วที่ขาดวิ่นผืนหนึ่ง!

 พลั่ก! 

ทันทีที่เกิดเสียงดังสนั่น เลือดเนื้อก็พุ่งกระจาย!

ฝนโลหิตสาดไปทั่วท้องฟ้า อากาศปะทุกระจายออกไปรอบทิศ!

ขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอตะโกนคำรามเสียงทุ้มต่ำ แขนทั้งสองข้างของเซียวเซิงก็ถูกดึงขาดออกจากบ่า!

เซียวเซิงส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดด้วยเสียงแหลมเสียดแก้วหู  เยี่ยนจ้าวเกอ เจ้ากล้า… 

เยี่ยนจ้าวเกอโยนแขนทั้งสองข้างที่ขาดออกของเซียวเซิงทิ้งไป ก่อนจะก้าวเท้าไปในอากาศ ไล่ตามเซียวเซิงที่ถูกตนเองถีบจนลอยออกไป แล้วยื่นมือทั้งสองออกไปอีกครั้ง!

 คนใกล้จะตายอยู่แล้ว อย่าพูดมากเลย 

จอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่รอบๆ ก็ถูกจ้าวซื่อเฉิงและพลังของค่ายกลขนาดใหญ่ไล่ถอยออกไป จึงไปช่วยเซียวเซิงไม่ทัน ตอนนี้ต่างก็ส่งเสียงร้องตะโกนด้วยความโกรธ

เซียวเซิงโกรธจนลูกตาแทบหลุดออกมา  เยี่ยนจ้าวเกอ! เจ้าอย่าเพิ่งได้ใจไป! 

 ต่อให้เจ้าสังหารข้า ก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องตายพร้อมข้า! 

 ข้าจะรอเจ้าอยู่ข้างล่าง! 

เยี่ยนจ้าวเกอทำเป็นไม่ได้ยิน ก่อนจะยกกรงเล็บหนึ่งออกมาคว้าหน้าอกของเซียวเซิงจนทะลุ!

มืออีกข้างหนึ่งก็กางห้านิ้วออก บดบังสายตาของเซียวเซิงเอาไว้ แล้วจึงครอบลงไปบนศีรษะของเขา!

ฝ่ามือของเยี่ยนจ้าวเกอคว้าศีรษะของเซียวเซิงเอาไว้ เขายิ้มอย่างเยือกเย็นพลางกล่าวว่า  ข้ากลัวเสียเหลือเกิน 

ขณะที่กล่าว ทั้งห้านิ้วก็บีบเข้าหากันอย่างรุนแรงแล้วยกขึ้น!

กำลังกล้ามเนื้อที่บ้าคลั่งและปราณจิตราที่ดุดันทรงพลังระเบิดออกพร้อมกัน!

เยี่ยนจ้าวเกอบีบคอเซียวเซิงหัก แล้วดึงศีรษะของเขาจนหลุดออกมา ฝนโลหิตระเบิดกระจายอีกครั้ง!

ดวงตาทั้งสองของเซียวเซิงเบิกโพลง ตายตาไม่หลับ!

ทั่วทั้งหุบเขาวายุวิญญาณตกอยู่ในความเงียบสงัดทันที

ทุกคนล้วนมองเยี่ยนจ้าวเกออย่างตกตะลึงตาค้าง ในมือถือศีรษะของเซียวเซิงเอาไว้ ยืนตระหง่านอยู่กลางอากาศ

 เยี่ยนจ้าวเกอ! 

ครู่ถัดมา จอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็พร้อมใจกันส่งเสียงตะโกนด้วยความโกรธ

กลุ่มคนพุ่งเข้าหาเยี่ยนจ้าวเกอพร้อมๆ กัน โดยมีมหาปรมาจารย์คนนั้นเป็นผู้นำ

จ้าวซื่อเฉิงที่อยู่ภายในหุบเขามีสีหน้าเรียบนิ่ง มือซ้ายกำหมัดเอาไว้ มือขวาแบมือตั้งขึ้น แล้วฟาดออกไปข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน

มังกรแสงสีทองสาดส่องไปทั่วฟ้าทั่วแผ่นดิน แผ่นเกล็ดกระพือเปิดออก เสียงมังกรคำรามสนั่นท้องฟ้าราวกับมีมังกรจริงปรากฏขึ้นบนโลก

ราชันแห่งอาณาจักรถังตะวันออก จ้าวซื่อเฉิงขับเคลื่อนค่ายกลโจมตีจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ จนพวกเขาพ่ายแพ้ถอยหลังออกไป ยากที่จะเข้าใกล้หุบเขาวายุวิญญาณได้แม้แต่ก้าวเดียว

สวีชวน ปรมาจารย์แห่งเขากว่างเฉิงและอาณาจักรถังตะวันออกคนอื่นๆ ก็เริ่มเปลี่ยนจากตั้งรับเป็นรุกโจมตี

 ถอย!  มหาปรมาจารย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นส่งเสียงตะโกนด้วยความอัดอั้น จำต้องนำบรรดาคนของสำนักตนถอยออกไป

มุมปากของจ้าวซื่อเฉิงมีเลือดซึมออกมา ปราณสีเขียวและแดงบนใบหน้าสั่นกะพริบสลับไปมา

เขาเก็บหมัดกลับคืน คนอื่นๆ ก็หยุดการโจมตีลงเช่นกัน

เยี่ยนจ้าวเกอที่ถือศีรษะของเซียวเซิงลอยตัวลงมา แล้วหันหลังเดินกลับไปข้างกายอาหู่

อาหู่นั่งขัดสมาธิลงบนพื้น ชุดเกราะทมิฬบนตัวพลันดับแสง ทำให้เห็นว่าบนเกราะเต็มไปด้วยเข็มทองจำนวนนับไม่ถ้วน

เข็มทองทุกเล่มล้วนปักลึกลงไปในเกราะ

สีหน้าของอาหู่ซีดเซียวอยู่บ้าง เคราะห์ดีที่ชุดเกราะทมิฬ อาวุธวิญญาณที่เขาติดกายเอาไว้ตลอดเป็นอาวุธป้องกัน ขณะที่ร่างกายกำลังจู่โจมและตั้งรับ มันก็แสดงพลังการป้องกันอันน่าทึ่ง

มิเช่นนั้นเมื่อครู่ตอนที่ต่อสู้กับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาทั้งสองคน ทั้งยังถูกฝนสุริยะของเซียวเซิงลอบทำร้าย เขาคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

แม้ว่าชุดเกราะทมิฬป้องกันเข็มสุริยันราวกับสายฝนไว้ได้ แต่ร่างกายภายในของอาหู่ก็ถูกพลังปราณของเข็มเหล่านั้นทะลุเข้าไปทำร้ายเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เข็มสุริยันไม่ได้ทิ่มเข้าไปร่างกายโดยตรง ทว่าอาหู่ก็เหมือนแบกรับการโจมตีอันแสนสาหัสนับพันนับหมื่นเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว

หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอมาถึงด้านหลังของอาหู่ เขาก็วางฝ่ามือข้างหนึ่งลงไปกลางหลังของเขา เพื่อช่วยเขาปรับลมหายใจ

และในตอนนี้เอง คนอื่นๆ ก็ล้วนมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยสีหน้าซับซ้อน

เซียวเซิงลงมือโหดเหี้ยมราวกับนักฆ่า เยี่ยนจ้าวเกอฆ่าเขาตายไปก็สมควรแล้ว

แต่เมื่อได้เห็นเยี่ยนจ้าวเกอฆ่าเซียวเซิงจริงๆ กับตาแล้ว สติของทุกคนก็ยังคงหลุดลอยไปเล็กน้อย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เยี่ยนจ้าวเกอใช้วิธีสังหารที่เลือดเย็นนัก

การประมือระหว่างเยี่ยนจ้าวเกอกับเซียวเซิงก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มเล่นงานอีกฝ่ายจนไม่เหลือชิ้นดี ยังสามารถพูดได้ว่าการประลองฝีมือวรยุทธ์นั้น ทักษะของเซียวเซิงยังสู้เขาไม่ได้

แต่ว่า ทั้งสองต่างก็เป็นลูกศิษย์รุ่นหลังที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของสำนักที่มีชื่อเสียงเช่นกัน เป็นต้นกล้าที่มีความสามารถด้วยกันทั้งคู่ การประลองฝีมือจนได้ผลแพ้ชนะ กับการฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย เป็นคุณสมบัติสองอย่างที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ยิ่งไปกว่านั้น ท่านตาของเซียวเซิงก็เป็นยอดฝีมือ ในบรรดายอดฝีมือไม่กี่คนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย!

อย่างเช่นที่เซียวเซิงได้กล่าวไว้ สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต้องไม่ให้เรื่องจบเพียงเท่านี้แน่นอน

แค้นนี้เมื่อเทียบกับการรับศิษย์ทรยศสำนักของอีกฝ่ายไว้แล้วนั้น ใหญ่หลวงกว่านัก!

แต่ในขณะเดียวกันกับที่จิตใจสับสน จอมยุทธ์ของเขากว่างเฉิงและอาณาจักรถังตะวันออกก็รู้สึกสะใจเช่นกัน ช่วงหลายปีมานี้ สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์บีบบังคับไม่หยุด กำเริบเสิบสานมานานมากแล้ว

พวกเจ้าลงมือสังหารได้ตามใจชอบ แต่ไม่อนุญาตให้เขากว่างเฉิงโต้คืนอย่างนั้นหรือ?

ย่อมไม่มีกฏเกณฑ์นี้!

บัดนี้สีหน้าเยี่ยนจ้าวเกอกลับมาสงบนิ่งเช่นเดิมแล้ว

กระบี่วิญญาณมังกรมรกตยังคงใช้เป็นศูนย์กลางของค่ายกลย้อนกลับ ซึ่งผสมโรงกับค่ายกลที่จ้าวซื่อเฉิงขับเคลื่อน

เยี่ยนจ้าวเกอยกมือขึ้น กงจักรเพลิงสุริยะพลันกลับเข้ามาอยู่ในมืออีกครั้ง

เมื่อมองเห็นกงจักรเพลิงสุริยะ จู่ๆ ทุกคนก็สะดุ้งเฮือก

 คุณชายแห่งเขากว่างเฉิงสังหารเซียวเซิงเมื่อครู่นี้ เป็นเวลาเพียงชั่วพริบตาสั้นๆ เท่านั้น! 

แม้จะเป็นปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายเช่นเดียวกัน ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอกลับบีบจนเซียวเซิงไม่เหลือแม้เศษซาก!

มีจอมยุทธ์ของถังตะวันออกกลืนน้ำลายลงไปอย่างช้าๆ  เซียวเซิงไม่ใช่คนที่ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายทั่วไปจะเทียบได้… 

จอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่บุกโจมตีในครั้งนี้ มีแต่คนที่มีระดับวรยุทธ์สูงกว่าเขาอยู่

ทว่าในระดับวรยุทธ์เดียวกัน ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวว่าสามารถเอาชนะเขาได้!

 คุณชายจรัสแสงแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ กับคุณชายเยี่ยนจัดอยู่ในสี่คุณชายแห่งยุคเช่นเดียวกัน แต่เซียวเซิงและคุณชายจรัสแสงถูกขนานนามว่าเป็นรุ่งอรุณทั้งสี่ของสำนักเหมือนกัน ซึ่งเป็นหน้าเป็นตาของรุ่นใหม่แห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ 

ทว่าคนหนึ่งที่ฟ้าโปรดปรานเช่นนี้ กลับถูกเยี่ยนจ้าวเกอสังหารอย่างง่ายดาย!

 ขนาดเซียวเซิงยังถูกคุณชายเยี่ยนโจมตีจนพ่ายแพ้ได้ง่ายเช่นนี้ เช่นนั้นคนอื่นๆ ก็คง… 

มีคนพูดด้วยเสียงตกตะลึงเบาๆ ว่า  เยี่ยนจ้าวเกอแกร่งกว่าในคำร่ำลือเสียอีก! 

ก่อนหน้านี้ลือกันว่าเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางนั้น เอาชนะเซียวเซิงข้ามขั้น ซึ่งไม่มีผู้ใดได้เห็นกับตา จึงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่บ้าง

ทว่าบัดนี้ก็ไม่มีข้อสงสัยใดๆ อีก!

คุณชายผู้ใสซื่อไร้เดียงสากับจอมยุทธ์โหดเหี้ยมเลือดเย็น บุคลิกทั้งสองแบบ บัดนี้ทับซ้อนกันอย่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว

………….

 

เยี่ยนจ้าวเกอมองไปที่มหาปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอีกฝ่ายกำลังรุกเข้าใกล้มาทีละก้าว

ทันใดนั้น พลันมีเสียงคำรามสนั่นสายหนึ่งดังมาแต่ไกล และค่อยๆ เข้ามาใกล้ด้วยความเร็วสูง

ปราณจิตรารอบกายอาหู่โหมซัดสาดประหนึ่งพายุหมุนทมิฬ ขวางกั้นอยู่เบื้องหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ

 คุณชาย ข้ากลับมาแล้วขอรับ!  ขณะที่อาหู่กล่าว เขาก็ปลดกระเป๋าขนาดใหญ่โยนลงไปตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ

จากนั้นเขาก็ก้าวออกไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ถึงตรงหน้าจอมยุทธ์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนนั้น

อาหู่ไม่พูดพร่ำ เขาวาดกรงเล็บสลับกันไปมา พายุหมุนสีดำอันบ้าคลั่งก็โหมพัดกระหน่ำไปทั่วทั้งผืนฟ้าหน้าดิน

จอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนนั้นตะโกนออกไปด้วยความโกรธครั้งหนึ่ง ก่อนจะแปรปราณจิตรากลายเป็นโลกมายา พระอาทิตย์ดวงใหญ่ส่องสว่างเจิดจ้า

แสงอาทิตย์สีทองกับมรสุมพายุสีดำปะทะเข้าหาในชั่วพริบตา

อาหู่แสยะยิ้มอย่างดุร้าย ก่อนจะเคลื่อนร่างสูงใหญ่ราวกับเงามายาไปมาไม่ยอมหยุด ทั้งยังส่งเสียงแหลมสูงอีกด้วย

เสือดำดุร้ายตัวหนึ่งกระโดดออกจากพายุหมุน พุ่งเข้าหาเหยื่อแล้วกัดกิน!

ร่างกายของอาหู่หมอบต่ำลง จากนั้นก็กระโดดพรวดขึ้น ฉีกดวงอาทิตย์สีทองนั้นขาดกระจุย แล้วกรงเล็บทั้งสองก็ข่วนไปตรงลำคอและหน้าอกของคู่ต่อสู้!

บริเวณที่กรงเล็บภูตพยัคฆ์พาดผ่าน ห้วงอากาศก็ขาดกระจุยราวกับเศษผ้าอย่างไรอย่างนั้น!

พายุหมุนสีดำกลายร่างเป็นเสือร้ายตัวหนึ่ง อ้าปากที่อาบไปด้วยคราบโลหิต เตรียมจะกลืนกันศัตรูที่อยู่ตรงหน้า!

สีหน้าปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาที่ขับเคลื่อนกระบี่เพลิงหลั่งไหลผู้นั้นดูเคร่งขรึมจริงจัง เขาละจากกงจักรเพลิงสุริยะลงก่อนชั่วคราว แล้วบังคับกระบี่เพลิงหลั่งไหลให้ฟันไปทางอาหู่

บนร่างกายของอาหู่เกิดแสงสว่างไสวขึ้น ชุดเกราะส่องแสงสีดำชุดหนึ่งปรากฏขึ้น ต้านรับการโจมตีของกระบี่เพลิงหลั่งไหลเอาไว้

เขาแผดเสียงคำรามทีหนึ่ง ก่อนจะยกกรงเล็บข้างหนึ่งขึ้น ต้านเพลงกระบี่อรุณเบิกฟ้าของคู่ต่อสู้ทันที

ศัตรูคนแรกที่ประมือกับเขา ตกใจจนเหงื่อท่วมตัว รีบเร่งใช้วิชาสุริยันทะยานบูรพาถอยหลังออกไป!

กระบี่เพลิงหลั่งไหลไม่ยอมถอยให้กับชุดเกราะทมิฬของอาหู่ ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองเปล่งเสียงดังสนั่นออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นก็เกิดปราณจิตราสะท้านเวหา โลกมายาปกคลุมไปทั่วสี่ทิศ

มีคำพูดกล่าวเอาไว้ว่าบนท้องฟ้าไม่สามารถมีดวงตะวันสองดวงได้ ทว่าบัดนี้ตรงหน้าของอาหู่กลับมีพระอาทิตย์สองดวงปรากฏขึ้น!

พระอาทิตย์ดวงหนึ่งเสมือนกับตะวันยามเที่ยงตรง ลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือศีรษะ ส่วนพระอาทิตย์อีกดวงหนึ่งเสมือนกับตะวันยามรุ่งอรุณ แย้มแสงจางๆ!

อาหู่มีท่าทางดีอกดีใจ ไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด ปราณจิตราทั่วทั้งร่างกายของเขาปะทุออก ก่อนจะพุ่งตัวพรวดประหนึ่งกับเสือกระโจน

มังกรคู่เมฆ พยัคฆ์คู่ลม!

ขณะที่เขาเปล่งเสียงคำราม พายุหมุนสีดำก็พัดหมุนขึ้นทั่วฟ้า กวาดหินดินทราย น่ากลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้!

เยี่ยนจ้าวเกอรับเอาสัมภาระที่อาหู่โยนมาให้ หยิบเอาของล้ำค่าหลากหลายที่อยู่ภายในออกมาอย่างรวดเร็ว

ชายหนุ่มพลัยยกมือข้างหนึ่งขึ้น สิ่งของมากมายก็ลอยไปตกในค่ายกลย้อนกลับ

เขางอนิ้วแล้วดีดต่อเนื่องกัน อักขระจิตแต่ละแถวในค่ายกลก็ยิ่งส่องแสงเจิดจ้ามากยิ่งขึ้น ทุกๆ จุดเชื่อมบรรจบกันจนเสร็จสมบูรณ์อย่างรวดเร็ว

คนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็รู้ดีถึงความอัศจรรย์ของค่ายกลย้อนกลับเช่นกัน ทว่าคิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะสามารถสร้างค่ายกลย้อนกลับได้รวดเร็วเช่นนี้

มหาปรมาจารย์คนนั้นคิดอยากจะโจมตีเขตป้องกันของจ้าวซื่อเฉิงให้แตกกระจายมาโดยตลอด จึงทำลายค่ายกลย้อนกลับก่อน ทว่าก็ถูกอีกฝ่ายสกัดกั้นเอาไว้ไม่ปล่อย ทำให้ยากที่จะทำสำเร็จได้

บัดนี้ค่ายกลย้อนกลับวางรากฐานได้อย่างมั่นคงสมบูรณ์ ภายในใจของเขาก็พลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นทันที

 เฮอะ! 

เยี่ยนจ้าวเกอกู่ร้องเสียงทุ้มต่ำ ก่อนจะสะบัดมือ กระบี่วิญญาณมังกรมรกตก็ลอยขึ้นกลางอากาศ

ค่ายกลย้อนกลับในหุบเขาวายุวิญญาณเสร็จสมบูรณ์แล้ว มันเริ่มทำงานเสียงที่ดังสนั่น ก่อนจะเคลื่อนตัวลงไปรวมเข้าเป็นวงเดียวกันกับค่ายกลที่จ้าวซื่อเฉิงชักนำมา!

บนอักขระวิญญาณของค่ายกลก็พลันปรากฏแสงสีแดงที่ทั้งประหลาดและรุนแรงขึ้น!

เมื่อแสงสีแดงผ่านพ้นไป จ้าวซื่อเลี่ยที่ชักจูงพลังของค่ายกลอยู่ภายในพระราชวังภายของเมืองชมตะวัน ก็พลันรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งร่างกาย ก่อนจะมีโลหิตสดๆ พุ่งทะลักออกจากปาก!

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน  ท่านลุง ตอนนี้แหละ! 

จ้าวซื่อเฉิงไม่พูดพร่ำทำเพลง ยืนอยู่กลางค่ายกล แล้วตั้งท่าวางหมัดขึ้น

ในขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอมองไป เขาเห็นแสงจางๆ เคลื่อนไหวอยู่เหนือศีรษะของจ้าวซื่อเฉิง พอจะมองเห็นเป็นต้นไม้วิเศษต้นหนึ่งสูงตระหง่านระฟ้าแผ่ขยายกิ่งก้านรับลม

พลังของเกราะมังกรเกล็ดมังกรทองได้ถูกปลุกขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว เมื่อจ้าวซื่อเฉิงปล่อยหมัดหนึ่งโจมตีออกไป พลังของค่ายกลก็พลันเพิ่มพูนขึ้นทันที

มหาปรมาจารย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่เดิมทีเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่นั้น รู้สึกตกใจจนไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะตนพ่ายแพ้และต้องถอยกลับในพริบตาเช่นนี้!

 เยี่ยนจ้าวเกอ!  เซียวเซิงและคนอื่นๆ ต่างก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน ไม่คาดคิดเลยว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะพลิกกระดานกลับมาได้ ทั้งๆ ที่ฝ่ายของตนเองได้เปรียบอยู่มากแท้ๆ

 ต่อให้ค่ายกลย้อนกลับผสานกับค่ายกลเดิม ก็ไม่น่าจะมีผลลัพธ์ที่แข็งแกร่งเช่นนี้! 

จ้าวซื่อเฉิงบาดเจ็บสาหัส จ้าวซื่อเลี่ยที่ยึดครองเมืองชมตะวันยิ่งได้เปรียบด้านสถานที่

ถึงกระนั้นผลสุดท้ายการแย่งชิงอำนาจควบคุมค่ายกลเมืองชมตะวัน กลับเป็นจ้าวซื่อเฉิงที่พลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะได้อย่างคาดไม่ถึง!

แสงดาบสีทองหนึ่งส่องสว่างมาจากที่ไกลๆ

เป็นปรมาจารย์เคียงนภาอีกคนหนึ่งของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ที่ชนะการต่อสู้กับคู่ต่อสู้ของตนเอง จากนั้นก็ใช้ดาบผลาญฟ้าประจิมฟันลงมาที่เยี่ยนจ้าวเกอตรงๆ!

ทว่าไม่รอให้เขาเข้าใกล้ อาหู่ตะโกนคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวครั้งหนึ่ง มือซ้ายยังคงเป็นกรงเล็บภูตพยัคฆ์ไม่เปลี่ยนแปลง แต่มือขวากลับถอดกรงเล็บเปลี่ยนเป็นหมัด!

ซึ่งนี่เป็นวิชาวรยุทธ์ที่เยี่ยนจ้าวเกอถ่ายทอดให้กับอาหู่เป็นการส่วนตัว!

หนึ่งในหมัดอสูรหกวิญญาณ หมัดพยัคฆ์คำราม!

บัดนี้อาหู่บ้าคลั่งโดยสิ้นเชิง เขาต่อยหมัดฟาดกรงเล็บ เพื่อพิทักษ์รักษาบุคคลเพียงผู้เดียว ชั่วอึดใจเดียวก็สกัดกั้นปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้ถึงสามคน!

เสียงของอาหู่ดังก้องไปทั่วทั้งหุบเขาวายุวิญญาณ สวีชวนและคนอื่นๆ ที่มองอยู่ต่างก็รู้สึกประหลาดใจอยู่ลึกๆ

เซียวเซิงที่เห็นดังนั้น แววตาของเขาก็เริ่มฉายแววเยือกและเย็นดุร้าย ไม่มีเวลาที่จะสนใจเก็บกงจักรเพลิงสุริยะอีกต่อไป

 น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือขวาง!  เซียวเซิงมองเยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่ด้วยสายตาโหดเหี้ยม  ในเมื่อเจ้าจงรักภักดีปกป้องนาย เช่นนั้นข้าก็จะฆ่าเจ้าสุนัขรับใช้ตัวนี้ไปพร้อมกันกับนายของมันเลยแล้วกัน! 

เมื่อได้ยินคำพูดที่เย็นชาและไร้ความปราณีของเซียวเซิง เยี่ยนจ้าวเกอก็จ้องอีกฝ่ายกลับอย่างไม่ละสายตา

เซียวเซิงพลันหยิบเอาสิ่งของหนึ่งที่มีรูปร่างเป็นทรงกระบอกออกมาจากหน้าอก

เขาถือปลายด้านหนึ่งเอาไว้ในมือ ส่วนอีกด้านหนึ่งเล็งไปทางอาหู่!

เยี่ยนจ้าวเกอเบิกตาโพลง แล้วตะโกนเสียงดังในไป  อาหู่ หลบไป! นั่นคือฝนสุริยะ! 

อาหู่ได้ยินดังนั้นก็เหมือนกับจะลังเลไปชั่วครู่หนึ่ง

ถึงกระนั้น สุดท้ายแล้วร่างสูงใหญ่ก็ยังคงไม่หลบหลีก

เพราะหากเขาหลบไป ฝนสุริยะของเซียวเซิงก็จะพุ่งตรงไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ ดังนั้นเขาจึงไม่หลบ!

ครู่ถัดมาท่อนกระบอกในมือของเซียวเซิงก็พลันระเบิดแสงสีทองนับหมื่นเล่ม ส่องสว่างทิ่มแทงสายตาที่สุดออกมาทันที

เข็มสีทองเล็กแหลมจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นประหนึ่งแสงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วฟ้าดิน อีกทั้งยังเหมือนกับฝนห่าใหญ่กระหน่ำตกลงมา ไม่มีแม้แต่ช่องว่าง!

ฝนสุริยะ อาวุธลับสืบทอดของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ใช้ทำลายปราณจิตราของปรมาจารย์โดยเฉพาะ!

ผู้ที่มีระดับวรยุทธ์น้อยกว่าระดับมหาปรมาจารย์ลงไปหากถูกโจมตีจังๆ ก็ยังยากที่จะมีชีวิตรอด!

แม้แต่ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาทั้งสามคนแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ก็ล้วนแล้วแต่กุลีกุจอหลบไปข้างๆ ด้วยเช่นกัน

ดวงตาทั้งสองของอาหู่ราวกับมีเพลิงกำลังลุกไหม้อยู่ ในขณะที่ส่งเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่ง เขาก็แปรปราณจิตราให้กลายเป็นโลกมายา

พายุหมุนสีดำพัดไปทั่วทั้งสี่ทิศด้วยกำลังรุนแรง ชุดเกราะทมิฬก็ส่องสว่างขึ้นมาเช่นกัน อาหู่ป้องกันตัวอย่างสุดกำลัง

เสียงกระทบแหลมเล็กดังเข้าโสตประสาทไม่หยุด บนร่างกายของอาหู่เต็มไปด้วยเข็มสุริยันสีทองเป็นพันเป็นหมื่นเล่ม!

อีกฝั่งหนึ่ง จ้าวซื่อเฉิงแหงนศีรษะขึ้นฟ้าเปล่งเสียงคำรามยาวๆ ครั้งหนึ่ง แล้วผลักฝ่ามือทั้งสองออกไปข้างหน้าตรงๆ

จ้าวซื่อเฉิงชิงอำนาจควบคุมค่ายกลขนาดใหญ่กลับมาได้โดยสมบูรณ์แล้ว

แม้จ้าวซื่อเฉิงเองจะมีอาการบาดเจ็บสาหัสบนร่างกายอยู่ ทว่าเมื่อมีพลังของคยกลขนาดใหญ่หนุนเสริม เขาก็มีพลังแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างยิ่งยวด

เขาขับเคลื่อนค่ายกลเป็นอันดับแรก จากนั้นส่งแรงสั่นสะเทือนกลับไปเมืองชมตะวัน สั่นสะเทือนจนจ้าวซื่อเลี่ยที่ยังไม่ทันได้สติกลับมากระอักเลือดสดๆ ออกมาอย่างบ้าคลั่ง

จากนั้นจ้าวซื่อเฉิงก็ปล่อยฝ่ามือหนึ่งออกไปในอากาศ โจมตีไปยังยอดฝีมือระดับมหาปรมาจารย์แห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องหน้า ทำเอาอีกฝ่ายกระอักเลือดและถอยร่นออกไป

ด้วยพลังของค่ายกลขนาดใหญ่ที่เพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว จอมยุทธ์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในคยกลต่างก็ถูกซัดกระเด็นออกไป

เยี่ยนจ้าวเกอพุ่งออกไปประคองร่างของอาหู่เอาไว้ แล้วส่งตัวเขาให้กับสวีชวนและคนอื่นๆ ที่ตามหลังมา

เมื่อหันกลับไปมอง ชายหนุ่มเห็นเซียวเซิงกำลังรีบร้อนถอยกลับไปเช่นกัน

เขาเห็นดังนั้นแล้ว ก็ปริปากเปล่งเสียงประหนึ่งสายฟ้าฟาดด้วยความโกรธเกรี้ยว  เซียวเซิง เจ้าจะไปไหน! 

ชายหนุ่มกระโจนออกไป ชั่วพริบตาเดียวเขาก็พุ่งไปถึงตรงหน้าเซียวเซิงดุจเสือกระโจนออกจากกำแพงกั้น!

หมัดอสูรหกวิญญาณ หมัดพยัคฆ์คำราม!

……………..

 

เยี่ยนจ้าวเกอมองเซียวเซิงครั้งหนึ่ง จากนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจอีกฝ่ายอีก

 มาเร็วกว่าที่คิดไว้ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ปัญหาของอาณาจักรตะวันออก… 

ชายหนุ่มหรี่ตาลงครั้งหนึ่ง  เหยียนซวี่… 

เหล่ายอดฝีมือของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีจำนวนมาก ซึ่งเยี่ยนจ้าวเกอเองก็ต้องคอยช่วยเหลือจ้าวซื่อเฉิงประคองค่ายกลเอาไว้ จึงตะโกนเรียกออกมาเสียงดังว่า  ท่านผู้อาวุโสสวีขอรับ! 

 ข้าเข้าใจ  กับเรื่องสำคัญตรงหน้า สวีซวนไม่มีความสนุกขี้เล่นที่เป็นนิสัยส่วนตัวอยู่เลย

เขานิ่งสงบและนำบรรดาบริวารจอมยุทธ์เขากว่างเฉิง เข้าประจันหน้ากับจอมยุทธ์สุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่เข้ามารุกรานทันที

จอมยุทธ์ถังตะวันออกที่เดินทางมากับเยี่ยนจ้าวเกอและจ้าวซื่อเฉิง ก็เดินขึ้นหน้าด้วยกัน ออกไปรับศึกศัตรูที่บุกรุกมา

ยอดฝีมือของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่บุกมา เต็มไปด้วยยอดฝีมือจำนวนไม่น้อย

เนื่องด้วยศิลาลายเมฆสามารถสร้างแก่นสารหยกได้ แม้ว่าเขากว่างเฉิงจะไม่ได้ป่าวประกาศออกไป เพื่อปกปิดเอาไว้ไม่ให้เป็นที่สนใจ หุบเขาวายุวิญญาณถึงภายนอกจะดูหละหลวม แต่ภายในค่อนข้างเข้มงวด คอยเพิ่มพลังการป้องกันขึ้นอย่างลับๆ

หากไม่เป็นเช่นนี้ เกรงว่าบัดนี้คงจะถูกสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ตีแตกไปในพริบตาแล้ว

แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อยอดฝีมือระดับปรมาจารย์แห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากลงมือพร้อมๆ กัน ก็ทำให้แรงกดดันของเขาหุบเขาวายุวิญญาณเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

สวีชวนและยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาแห่งถังตะวันออก ออกไปต้านศัตรูร่วมกัน ก็ดักรั้งคู่ต่อสู้ทั้งหมดไว้ด้านนอก

สถานการณ์ในการสู้รบของทั้งสองฝ่าย เข้าสู่สภาวะแน่นิ่งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

มหาปรมาจารย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นที่ถูกสกัดกั้นเอาไว้บริเวณด้านนอกหุบเขา โหมโจมตีประหนึ่งคลื่นน้ำซัด มุ่งโจมตีไปยังหุบเขาวายุวิญญาณและจ้าวซื่อเฉิงไม่หยุด

สีหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอและจ้าวซื่อเฉิงล้วนเคร่งเครียดขึ้นมา

เนื่องด้วยต้องรับมือกับการโจมตีเบื้องหน้านี้ ทำให้การช่วงชิงของฝ่ายตนกับทางฝั่งเมืองชมตะวันเสียเปรียบอีกครั้ง

สนามรบสองสนามเปิดศึกขึ้นในเวลาเดียวกัน ทำให้ความกดดันของจ้าวซื่อเฉิงเพิ่มขึ้นไม่น้อย

ค่ายกลย้อนกลับยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ จ้าวซื่อเลี่ย จิ่นอ๋องที่อยู่ที่เมืองชมตะวันก็ปล่อยพลังออกมาอย่างต่อเนื่องไม่หยุด ทำให้อำนาจค่ายกลชมตะวันเริ่มค่อยๆ หลุดไปอยู่ในมือของเขา

ภายใต้สถานการณ์ที่ถาโถมเข้ามา ทางหุบเขาวายุวิญญาณตรงนี้ พลังของค่ายกลที่ถูกจ้าวซื่อเฉิงดึงมารวบรวมไว้ ก็เริ่มแสดงเค้าลางว่าจะมีพลังที่เหลือไม่เพียงพอขึ้นมา

มหาปรมาจารย์ฝ่ายศัตรูที่กำลังประมือกันอยู่ สัมผัสถึงจุดนี้ได้ดีที่สุด

เขาตะโกนเสียงดังว่า  จ้าวซื่อเฉิง เจ้าตัดสินทางเดินของเจ้าเอง เลือกที่จะเป็นศัตรูกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นนี่ก็คือจุดจบของเจ้า! 

 เจ้าช่างเขลานัก แยกไม่ออกว่าใครคือมหาอำนาจของใต้หล้า เขากว่างเฉิงเป็นแค่แสงริบหรี่ยามพลบค่ำไปตั้งนานแล้ว สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต่างหากที่เป็นพระอาทิตย์ที่ฉายแสงอยู่เหนือน่านฟ้าในตอนนี้! 

 จ้าวซื่อเฉิง น้องชายของเจ้าช่างปราดเปรื่องกว่าเจ้านัก คิดเผื่อถังตะวันออก ตำแหน่งราชาให้เขาไปเสียยังจะดีกว่า! 

ขณะที่พูด มือทั้งสองของเขาก็ประสานเข้าด้วยกัน แล้วผลักออกไปข้างหน้าพร้อมกัน

หนึ่งในเจ็ดวิชาสุริยัน หัตถ์เทพกลางเวหา!

ตะวันลอยสูง ดั่งดวงอาทิตย์ยามเที่ยงตรง!

เขาฝืนบุกฝืนสู้ อาศัยพลังที่มีมากกว่า แสดงพลังที่แท้จริงทั้งหมดของวรยุทธ์อันโหดร้ายและดุเดือดแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ออกมา!

ใช้อำนาจกดขี่คน และใช้กำลังรังแกคน

จอมยุทธ์ที่มีวรยุทธ์ความสามารถยิ่งสูง ก็จะยิ่งสามารถสำแดงพลังของวรยุทธ์สายนี้ออกมาได้

วิชาหัตถ์เทพกลางเวหาที่มหาปรมาจารย์ผู้นี้ใช้อยู่ เมื่อเทียบกับเฉาหยวนหลงที่อยู่เพียงระดับปรมาจารย์แล้ว มันมีความรุนแรงและรวดเร็วกว่ามาก

บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ล้วนรู้สึกได้เพียงว่าเบื้องหน้าเต็มไปด้วยแสงสีทองเจิดจ้า ร้อนจนแทบคลั่ง

จอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์กลุ่มหนึ่ง รู้สึกเพียงว่าปราณจิตราภายในร่างกายของตน ราวกับถูกฝ่ามือนี้จุดให้เพลิงลุกโชนเผาไหม้ขึ้นมา!

ท่าทางของจ้าวซื่อเฉิงหนักแน่น ทว่าสีหน้าหม่นหมองอยู่บ้าง

ปราณเขียวและปราณแดงได้ปรากฏสลับกันไปมาบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง

ปราณพิษที่อยู่ภายในร่างกายของจ้าวซื่อเฉิงยังไม่ได้ถูกขจัดออกไปจนหมดสิ้น คอยก่อกวนอยู่เรื่อยมา

บัดนี้ต้องประมือกับผู้อื่น ภายใต้ความกดดัน แนวโน้มการก่อความวุ่นวายก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

เขาสูดหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่ง แล้วโจมตีด้วยหมัดหนึ่งออกไปอีกครั้ง ชุดเกราะเกล็ดมังกรทองบนร่างกายพลันส่องสว่างขึ้น และมีเสียงมังกรคำรามออกมา

มหาปรมาจารย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนนั้นถอนหายใจครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะมีแสงสีม่วงมองส่องสว่างบนแขนซ้าย

นั่นเป็นเกราะข้อมือที่ทำจากทองบริสุทธิ์ทั้งชิ้น ผลึกศิลาแก้วเก้าเม็ดกำลังเปล่งแสง ปล่อยพลังพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า

ชัดเจนว่าเป็นอาวุธวิญญาณชิ้นหนึ่ง!

ทั้งสองฝ่ายปะทะเข้าหากัน ร่างกายของทั้งจ้าวซื่อเฉิงและศัตรูต่างก็สั่นสะเทือนไปพร้อมๆ กัน

ค่ายกลสั่นไหวอีกครั้ง จ้าวซื่อเลี่ยที่อยู่ทางฝั่งเมืองชมตะวันได้เปรียบมากกว่า

ผลที่สะท้อนกลับมาก็คือ พลังของค่ายกลที่จ้าวซื่อเฉิงสามารถชักนำมาได้ก็เสียเปรียบอีกครั้ง

เมื่อมหาปรมาจารย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้ทีก็ไม่ออมมือ เขาโจมตีออกไปด้วยหัตถ์เทพกลางเวหาอย่างต่อเนื่อง จนช่องว่างในอากาศสั่นสะเทือนไม่หยุด คล้ายกับจะแตกละเอียด

มีดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้าส่องแสงสว่างเช่นนี้ อักขระจิตของค่ายกลก็ดูมืดมนลงไปเลยทีเดียว

จ้าวซื่อเฉิงหมดหนทาง จึงจำใจต้องลดการป้องกันของตนเองลง

เมื่อเป็นเช่นนั้น การโจมตีของศัตรูก็เริ่มกระทบกระเทือนถึงการป้องกันของหุบเขาวายุวิญญาณ

ด้วยความช่วยเหลือของมหาปรมาจารย์ผู้นั้น เหล่าจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อยๆ ใกล้เข้ามา

สายตาของเซียวเซิงมองลอดผ่านกลุ่มคน จับจ้องอยู่กับเยี่ยนจ้าวเกอตาไม่กะพริบ แววตาเยือกเย็นดุร้ายประหนึ่งอสรพิษ

ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาข้างกายเขาคนหนึ่ง มือซ้ายกำกระบี่เอาไว้ มือขวาตบไปที่ฝักกระบี่ที่อยู่ด้านหลังครั้งหนึ่งอย่างรุนแรง

ประกายกระบี่หนึ่งส่องสว่างขึ้นมา ผ่าฟาดไปบนท้องฟ้าราวกับอาทิตย์อุทัยเบิกฟ้าทางทิศตะวันออก

หนึ่งในเจ็ดวิชาสุริยัน เพลงกระบี่อรุณเบิกฟ้า!

มันนับเป็นอาวุธวิญญาณระดับล่าง กระบี่เพลิงหลั่งไหล!

ประกายกระบี่สะท้านฟ้า ดุจแสงแดดแรกแย้ม จนตะวันทะยานบูรพาทิศ แผดแสงเจิดจ้าอยู่กลางเวหา จวบจนอาทิตย์คล้อยตกลง ณ ทิศประจิม กระบี่เดียวแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนที่ค่อยเป็นค่อยไปของอาทิตย์ขึ้นยันอาทิตย์ตก ตั้งแต่แรกเริ่มจนจบสิ้น

เยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้น จึงใช้ฝ่ามือผ่าลงไปกลางอากาศ กงจักรเพลิงสุริยะก็ลอยออกมา!

เมื่อเห็นกงจักรเพลิงสุริยะ ท่าทีของจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ชะงักไปทันที ทว่าการโจมตีหลังจากนั้นก็ยิ่งดุเดือดมากขึ้นอีก

เซียวเซิงจับตามองไปยังกงจักรเพลิงสุริยะโดยไม่ละสายตา โกรธจัดจนลูกตาแทบจะหลุดออกจากเบ้า

เขาส่งเสียงร้องตะโกนแหลมออกมา แล้วยกฝ่ามือขึ้นโดยพลัน

กลางฝ่ามือก็มีแสงอักขระภาพกะพริบสั่นไหว รูปร่างดุจพลังงานที่ปลดปล่อยออกมาจากดวงอาทิตย์

การเคลื่อนไหวของกงจักรเพลิงสุริยะที่อยู่ในอากาศพลันชะงักลงเล็กน้อย

 ชิ! เป็นอย่างที่คิดจริงด้วย…  เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้ว  น่าเสียดายที่จำเป็นต้องใช้กระบี่วิญญาณมังกรมรกตสร้างค่ายกลย้อนกลับ มิเช่นนั้นเปลี่ยนสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว 

เนื่องด้วยกงจักรเพลิงสุริยะค้างอยู่กลางอากาศ จอมยุทธ์ระดับมหาปรามาจารย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้น จึงขับเคลื่อนกระบี่เพลิงหลั่งไหลฟาดฟันใส่หุบเหววายุวิญญาณ

ค่ายกลพลังที่ป้องกันหุบเขาวายุวิญญาณถูกมหาปรมาจารย์ของอีกฝ่ายกดเอาไว้ ในตอนนี้เองจึงถูกกระบี่เพลิงหลั่งไหลโจมตีอีกครั้ง จนในที่สุดก็ถูกทำให้เกิดรอยร้าวและฉีกออก!

บรรดาจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์พากันบุกเข้ามาข้างในพร้อมกันทันที!

เซียวเซิงหันกลับไปมองปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาผู้นั้น  ท่านผู้อาวุโสเหลียง ข้าช่วยท่านเอง! 

ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาคนนั้นพยักหน้า แล้วก็ใช้เพลงกระบี่อรุณเบิกฟ้าอีกครั้ง

กระบี่เพลิงหลั่งไหลกลายเป็นลำแสงสีแดง พันกงจักรเพลิงสุริยะที่อยู่ในอากาศเอาไว้

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูภาพฉากนี้ด้วยสายตาเย็นเยียบ ร่างกายก็เฉียดผ่านไปอยู่เบื้องหน้าของจ้าวซื่อเฉิง

จากนั้นชายหนุ่มก็จับกระบี่วิญญาณมังกรมรกตเอาไว้ในมือ เขาชักนำเคล็ดกระบี่ครั้งหนึ่ง แสงสว่างจากอักขระวิญญาณของค่ายกลย้อนกลับก็สั่นกะพริบ

สถานการณ์ทางด้านของจ้าวซื่อเฉิงก็มั่นคงขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

เซียวเซิงลอยตัวไปด้านหน้า แล้วยื่นมือออกไปคว้ากงจักรเพลิงสุริยะอีกครั้ง

กงจักรเพลิงสุริยะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงในทันที อักขระภาพวงแหวนดวงอาทิตย์ที่อยู่กลางฝ่ามือของเซียวเซิงก็ส่องสว่างเจิดจ้า

การสั่นสะเทือนของกงจักรเพลิงสุริยะเริ่มสงบลงเรื่อยๆ

เซียวเซิงหลับตาลง ในความมืดมิดราวกับมีแสงอาทิตย์ค่อยๆ ส่องสว่างขึ้น

จากนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าตนเองสร้างการเชื่อมต่อกับกงจักรเพลิงสุริยะขึ้นมาใหม่อีกครั้ง การที่สูญเสียอาวุธวิญญาณไปและได้กลับคืนมา ทำให้เซียวเซิงรู้สึกเบาสบายไปทั้งกายอย่างอดไม่ได้ ต่อมเหงื่อทั่วร่างกายราวกับเปิดออกพร้อมกัน

เขาเริ่มตัดความเชื่อมต่อระหว่างเยี่ยนจ้าวเกอกับกงจักรเพลิงสุริยะให้ขาดออกทีละนิด

เซียวเซิงลืมตาขึ้น ดวงตาฉายประกายความเย็นชา จ้องมองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ  เยี่ยนจ้าวเกอ เจ้ามีบทบาทมากเกินไป 

 แต่ยิ่งเจ้าโดดเด่นมากเท่าใด ก็จะยิ่งเป็นภัยคุกคามต่อสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของข้าในภายหลังมากขึ้นเท่านั้น! 

 ข้าคงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ความอับอายที่เจ้ามอบให้ข้า ตอนนี้ข้าไม่สามารถขัดล้างให้สะอาดด้วยมือของข้าเองได้ 

 ทว่าถ้าอยากจะบีบเจ้าให้ตาย นั่นเป็นสิ่งที่ข้าสามารถทำได้! 

กลุ่มจอมยุทธ์สำนักศักดิ์สุริยันตะลุมบอนกับสวีชวนและคนอื่นๆ จนเป็นกลุ่มก้อน

ทว่ายอดฝีมือของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีจำนวนมากกว่า และเมื่อไม่มีความช่วยเหลือจากค่ายกลของหุบเขาวายุวิญญาณ สวีชวนและคนอื่นๆ จึงอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ

สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แบ่งกำลังคน ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาคนหนึ่งเดินเข้าหาเยี่ยนจ้าวเกอ!

เยี่ยนจ้าวเกอมองตรงไปที่ผู้มาเยือน

ทุกย่างก้าวที่อีกฝ่ายย่ำออกมา อากาศและสรรพสิ่งรอบกายราวกับกำลังสั่นสะเทือน!

 

จ้าวซื่อเฉิงมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ  ผังค่ายกลของเจ้า ขอข้าดูหน่อยได้หรือไม่ 

ขณะที่เขาพูด เยี่ยนจ้าวเกอก็หยิบผืนผ้าผืนหนึ่งออกมาแล้ว

ผ้าผืนนั้นแม้สัมผัสกับปราณจินตราของเยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ได้ฉีกขาด มีเพียงร่องรอยหลงเหลือไว้ ระหว่างที่เกิดเสียง ‘พึ่บพั่บ’ ผังค่ายกลหนึ่งที่ซ่อนอยู่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าจ้าวซื่อเฉิง

ราชาอาณาจักรถังตะวันออกสำรวจดูอย่างละเอียด เปรียบเทียบกับค่ายกลที่ตนเองรู้ในใจ ก่อนจะเกิดความรู้สึกกระจ่างแจ้งทันใด

 วิธีนี้ใช้ได้!  จ้าวซื่อเฉิงกล่าว  แต่การจะสร้างค่ายกลก็ยังต้องดูทรัพยากรก่อนว่าเพียงพอหรือไม่ 

เยี่ยนจ้าวเกอพลันกล่าว  ที่หุบเหววายุวิญญาณมีทรัพยากรสะสมอยู่มาก หากมีที่ไม่พอก็ลองย้ายไปสั่งการจากเมืองใกล้ปราการที่อยู่ใกล้ๆ ได้พะยะค่ะ 

ในหุบเขาวายุวิญญาณอาจจะขาดสิ่งของที่จะใช้ในการสร้างค่ายกลบ้างเป็นธรรมดา

…ต่อให้ไม่ขาดแคลน เมื่ออยู่ต่อหน้ากลุ่มคนของถังตะวันออก มันก็จำเป็นจะต้องขาดแคลนเช่นกัน

หากไม่ใช่การเตรียมการเฉพาะกาล นั่นก็บ่งบอกได้ว่ามีการเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ซึ่งการเตรียมการนี้จะเป็นเพียงการรับมือเฉพาะกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นหรือ

อย่างไรเสียค่ายกลย้อนกลับนี้ก็สามารถสั่นคลอนค่ายกลชมตะวันขนาดใหญ่ได้

แม้ว่าจ้าวซื่อเฉิงจะไม่ได้คิดอะไร ก็ใช่ว่ายอดฝีมือของอาณาจักรถังตะวันออกคนอื่นๆ จะไม่รู้สึกกังขาในใจ

เมื่อตัดสินใจแล้ว ทุกๆ คนก็มุ่งหน้าเดินทางไปยังหุบเขาวายุวิญญาณอย่างเร่งด่วนใรทันที ตลอดทางก็มีข่าวส่งมารายงานไม่หยุดเช่นกัน

ณ ถังตะวันออก นอกจากเมืองชมตะวันแล้ว ที่อื่นก็ไม่ได้เกิดความโกลาหลขึ้นอย่างชัดเจนแต่อย่างใด ทว่ากิจการของเขากว่างเฉิงที่อยู่ที่ถังตะวันออกต่างก็ประสบกับการคุกคามจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

อีกทั้งด้านนอกของหุบเขาวายุวิญญาณก็มีคนล้อมโจมตีเอาไว้แล้ว

กลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอกวาดล้างสิ่งกีดขวางออกไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อสวีชวน ผู้อาวุโสปฏิบัติกิจได้รับข่าวก็รีบออกมาต้อนรับชายหนุ่มและจ้าวซื่อเฉิงเข้าไปในทันที

ตอนนี้เขารับหน้าที่ปฏิบัติกิจที่หุบเขาวายุวิญญาณโดยเฉพาะ ซึ่งที่นี่เองก็มีความสำคัญกว่าเมื่อก่อนมากนัก กำลังการป้องกันของที่นี่จึงแข็งแกร่งยิ่งกว่าแต่ก่อนด้วย

 ท่านผู้อาวุโสสวี ตามรายการที่ข้าให้ท่านไป ช่วยเตรียมของเหล่านี้ให้พร้อมอย่างเร่งด่วนด้วย หากขาดอะไร ก็เขียนบอกมานะขอรับ  หลังจากพบหน้ากัน เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่มีกะจิตกะใจสนใจเรื่องมารยาทพิธีรีตองต่างๆ

สวีชวนก็เข้าใจได้ถึงลำดับความสำคัญ จึงรีบเร่งรับรายการที่เยี่ยนจ้าวเกอเขียนมา แล้วจัดการตระเตรียมสิ่งของให้อย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงรายงานสิ่งที่ยังขาดกลับไป

 ของเหล่านี้ล้วนมีที่เมืองใกล้ปราการทั้งหมด  สวีชวนพูดอย่างรวดเร็ว  ไม่รู้ว่าคลังของสำนักเราถูกยึดไปแล้วหรือไม่ แต่ต่อให้ที่สำนักเราไม่มีแล้ว ที่อื่นๆ ของเมืองใกล้ปราการนั้นต้องมีอย่างแน่นอน 

 ไม่ว่าจะเป็นหอเก็บของของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ หรือจะเขาไร้พรมแดนก็ไม่ขาดแคลนเป็นแน่! 

เยี่ยนจ้าวเกอรับใบรายการมาจากมือของสวีชวน แล้วหันกลับไปพูดกับอาหู่ว่า  อาหู่ สถานการณ์เร่งด่วน เจ้าไปสักเที่ยวแล้วกัน ระวังตัวด้วย 

จ้าวซื่อเฉิงกับเยี่ยนจ้าวเกอต้องอยู่สร้างคยกลที่นี่ ส่วนคนอื่นๆ ก็มีอาหู่เพียงผู้เดียวที่พลังความสามารถแข็งแกร่งที่สุด

อาหู่ยิ้มอย่างจริงใจครั้งหนึ่ง  คุณชายโปรดวางใจ ข้าไปเพียงครู่เดียวก็กลับแล้วขอรับ 

สิ้นคำพูดเขาก็หันหลังกลับออกไป เมื่อออกจากหุบเขาวายุวิญญาณแล้ว เขาก็มุ่งหน้าตรงไปยังเมืองใกล้ปราการอย่างรวดเร็ว

จ้าวซื่อเฉิงมองแผ่นหลังของอาหู่ที่ปลีกออกไป  แม้ว่าเยียนตี๋จะไม่ได้ถ่ายทอดวิชาลับของเขากว่างเฉิงให้เขา แต่ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาเทพวายุนิมิตทมิฬ หรือวิชากรงเล็บภูตพยัคฆ์ ล้วนแล้วแต่เป็นวิชาวรยุทธ์ขั้นสูงสุดทั้งสิ้น 

แววตาของเยี่ยนจ้าวเผยให้เห็นถึงความอ่อนโยน  แท้จริงแล้วในปีนั้นท่านพ่อก็อยากจะรับอาหู่เป็นศิษย์ แต่อาหู่กลับยืนกรานไม่ยอมเสียเอง 

 ดังนั้นท่านพ่อจึงถ่ายทอดยอดวิชาสืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในวายุพิภพที่ล่มสลายไปในอดีต อันเป็นวิชาที่ตนเองเก็บสะสมมาให้กับอาหู่ 

แท้จริงแล้วหลายปีมานี้ เยียนตี๋ปฏิบัติกับอาหู่เสมือนศิษย์เสียมากกว่า ส่วนกับเจ้าของร่างเดิมของเยี่ยนจ้าวเกอนั้น อาหู่เป็นทั้งข้ารับใช้และสหายคนสนิท

เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอมาถึงโลกใบนี้ และได้อยู่กับชายร่างกำยำผู้นี้ ส่วนมากก็ไม่ได้ปฏิบัติกับเขาเหมือนอย่างข้ารับใช้ผู้ติดตามเช่นกัน

ระหว่างทั้งสองมักจะหยอกล้อซึ่งกันและกัน ผ่อนคลายสบายใจ

เมื่อเทียบกับบางคนที่แม้แต่หน้าก็ไม่เคยพบ ไม่เคยพูดด้วยแม้สักคำ มีอยู่เพียงในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมแล้ว ความสัมพันธ์ของตนเองและอาหู่ค่อยๆ หนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเหมาะเจาะพอดีกันกับเจ้าของร่างเดิม

หากไม่ใช่เพราะอาหู่ที่ดูเหมือนจะไม่มีสัมมาคารวะ ทว่าแท้จริงแล้วกลับยืนกรานจะรักษากฎระเบียบบางอย่างไว้ล่ะก็ เขาก็แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสหายคนแรกของเยี่ยนจ้าวเกอหลังจากมาถึงโลกใบนี้เลยก็ว่าได้

ขณะที่พูดคุยกับจ้าวซื่อเฉิง เยี่ยนจ้าวเกอก็เริ่มช่วยเหลืออีกฝ่ายสร้างค่ายกลขึ้นใหม่ในหุบเขาวายุวิญญาณ

ค่ายกลนี้ เมื่อมองเผินๆ ดูคล้ายคลึงกับค่ายกลชมตะวันของอาณาจักรถังตะวันออก

ถึงกระนั้นเมื่อสังเกตอักขระวญญณแต่ละแถวของค่ายกลอย่างละเอียด ก็จะพบว่ามีจำนวนมากที่คล้ายกันแต่ไม่ใช่ อีกทั้งยังตรงกันข้ามกับค่ายกลชมตะวันทั้งหมด

เหมือนเช่นภาพสะท้อนในกระจกอย่างไรอย่างนั้น

ค่ายกลค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้น มีแสงส่องสว่างขึ้นมาเช่นกัน อักขระแต่ละแถวยื่นออกไปทั่วสารทิศ ค่อยๆ ปกคลุมหุบเขาวายุวิญญาณ

จ้าวซื่อเฉิงนั่งอยู่ใจกลางของค่ายกล มือหนึ่งกำหมัด อีกมือหนึ่งตบเบาๆ ลงไปบนพื้น

ค่ายกลฉากตัวนที่ถูกเขาชักนำ ก็เริ่มมีแสงสว่างบนอักขระเขตอาคมเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ

เพียงแต่แสงนั้นวูบวาบไม่หยุด เห็นได้ชัดว่ายังไม่เสถียรนัก

เยี่ยนจ้าวเกอรู้ดีว่านี่เป็นเพราะจ้าวซื่อเลี่ย จิ่นอ๋องก่อกวนเมืองชมตะวันอยู่

สีหน้าจ้าวซื่อเฉิงยังคงไม่เปลี่ยน เขานั่งตัวตรงสงบนิ่ง ชักนำพลังของค่ายกล ขณะเดียวกันก็กำลังปรับตัวกับการควบคุมพลังของค่ายกลย้อนกลับที่อยู่ในหุบเขาวายุวิญญาณ และผสานตนเองกับค่ายกลเข้าด้วยกัน

ขณะที่เขากะพริบตา ชุดคลุมลายมังกรที่อยู่บนร่างกายก็ค่อยๆ ปรากฏแสงสีทองขึ้น

แสงสีทองประหนึ่งเกล็ดมังกร ราวกับกำลังพาดชุดเกราะเกล็ดมังกรชุดหนึ่งให้กับจ้าวซื่อเฉิง

นั่นก็คือเกราะเกล็ดมังกรทอง อาวุธวิญญาณระดับกลาง ของล้ำค่าชิ้นแรกของอาณาจักรถังตะวันออก

ในยามปกติมันจะซ่อนอยู่ในตัวของจ้าวซื่อเฉิงไม่ปรากฏให้เห็น เมื่อถึงยามจำเป็นก็จะเปลี่ยนรูปเป็นชุดเกราะแสงสวมทับไว้บนร่างกาย

เคราะห์ดีที่มีอาวุธวิญญาณระดับกลางที่แข็งแกร่งชิ้นนี้คุ้มกันตอนอยู่ภายในหุบเหวปราการมังกร มิเช่นนั้นตอนที่ค่ายกลย้อนกลับในทันทีทันใด อีกทั้งพลังจากความผิดปกติของหุบเหวสะท้อนกลับ จ้าวซื่อเฉิงจะสามารถรักษาชีวิตเอาได้หรือไม่นั้นก็ยากจะบอก

มือซ้ายของเยี่ยนจ้าวเกอกำกระบี่เล่มหนึ่งเอาไว้ ส่วนมือขวาก็ชักนำลำแสงมรกตสายหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า จากนั้นก็จึงตกลงไปในใจกลางค่ายกลตรงหน้าของจ้าวซื่อเฉิง

ซึ่งนั่นก็คือกระบี่วิญญาณมังกรมรกต อาวุธวิญญาณที่เยี่ยนจ้าวเกอพกติดตัวเอาไว้

จ้าวซื่อเฉิงงอนิ้วดีดลงไปบนคมกระบี่เบาๆ ก็มีเสียงมังกรคำรามดังขึ้นในทันที

กระบี่วิญญาณมังกรมากตลอยตัวอยู่กลางอากาศ มีจิตวิญญาณเกิดขึ้นเอง ทว่าก็ไม่ได้ร่วงหล่น

ผิวหน้าของคมกระบี่ดูเรียบลื่นไร้ลาย แต่มีเงามังกรปรากฏขึ้นรางๆ วิ่งไปมาไม่หยุด

ในชุดเกราะเกล็ดมังกรทองที่อยู่บนตัวของจ้าวซื่อเฉิงก็มีเงาของมังกรทองปรากฏอยู่เช่นกัน และยังส่งเสียงคำรามออกมาดังสนั่นอีกด้วย

ชุดเกราะเกล็ดมังกรทองควบคุมค่ายกลที่จ้าวซื่อเฉิงเป็นคนชักนำ ส่วนกระบี่วิญญาณมังกรมรกตควบคุมค่ายกลย้อนกลับในหุบเขาวายุวิญญาณ

สองมังกรเรียกหากัน เขตอาคมทั้งสองตั้งคู่กัน พลังก็ค่อยๆ แข็งแกร่งมากขึ้น

ทว่าในตอนนี้เอง จอมยุทธ์เขากว่างเฉิงและจอมยุทธ์ถังตะวันออกที่อยู่ในหุบเขา ต่างก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

มีพลังที่แข็งแกร่งไหลเข้ามาจากด้านนอกของหุบเขาวายุวิญญาณ และรุกเข้ามาในหุบเขามากขึ้นเรื่อยๆ

แสงจากดวงอาทิตย์สีทองดวงหนึ่ง ลอยขึ้นระหว่างปากหุบเขาที่พาดกันเป็นทอดๆ กลิ่นอายอันน่าหวาดผวาค่อยๆ บีบเข้าใกล้กับค่ายกลที่อยู่ในหุบเขา

 สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์! มหาปรมาจารย์! 

เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้วเข้าหากัน แม้ว่าผู้ที่มาเยือนจะมีระดับวรยุทธ์น้อยกว่าจ้าวซื่อเฉิง เหยียนซวี่ และคนอื่นๆ ทว่าก็เป็นมหาปรมาจารย์จริงแท้แน่นอน!

ใบหน้าของจ้าวซื่อเฉิงสงบนิ่ง เขากำหมัดต่อยไปในอากาศ

ครั้นค่ายกลถูกกระตุ้น มันก็ส่งพลังโจมตีไปยังดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงสีทองดวงนั้น

พลังของทั้งสองฝ่ายปะทะเข้าหากัน จากนั้นก็ระเบิดแสงเจิดจ้าทันที ส่องสว่างจนไม่สามารถมองตรงๆ ได้

จ้าวซื่อเฉิงในขณะนี้ยังไม่หายสนิทจากอาการบาดเจ็บ พลังของค่ายกลส่วนหนึ่งก็อยู่ที่เมืองชมตะวัน

มหาปรมาจารย์คนนั้นถูกสกัดกั้นเอาไว้ ไม่สามารถเข้ามาได้ ทว่าจ้าวซื่อเฉิงและพลังของค่ายกลก็ถูกยับยั้งไว้ในทันทีเช่นกัน

เมื่อต้องรับมือกับมหาปรมาจารย์ของสักนักศักดิ์สุริยันผู้นี้ การป้องกันค่ายกลก็เกิดรอยรั่วขึ้นทันทีทันใด

รอบๆ หุบเขามีเงาคนมากมาย ทันใดนั้นจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กลุ่มหนึ่งก็รุกเขามาภายใน

หลายคนในนั้นมีกลิ่นอายที่น่าหวาดกลัว ขณะที่เคลื่อนที่ก็ราวกับจะสั่นสะเทือนอากาศที่อยู่โดยรอบกายไปด้วย

กลุ่มคนที่อยู่ในหุบเขาวายุวิญญาณต่างก็ใจหาย  ปรมาจารย์เคียงนภามากมายอะไรถึงเพียงนี้! 

เยี่ยนจ้าวเกอมองตรงไป หนึ่งในนั้นมีคนหนึ่งสวมชุดสีขาว หนวดเคราปกคลุมทั่วใบหน้า แววตาดุร้ายดุจอสรพิษ นั่นก็คือเซียวเซิงอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อเซียวเซิงเข้ามาภายในหุบเขาแล้ว เขาก็กวาดสายตามองไปรอบด้าน ความสนใจก็ถูกดึงดูดไปอยู่บนตัวของเยี่ยนจ้าวเกอในพริบตาเดียว

 เยี่ยน! จ้าว! เกอ!  เซียวเซิงเน้นย้ำทีละคำ ภายในแววตาราวกับมีเปลวเพลิงลุกโหม

…………….

 

ลมปราณของยอดฝีมือระดับมหาปรมาจารย์ปกคลุมกดดันไปทั่วทั้งสี่ทิศ ปลุกปั่นดินฟ้าอากาศ

หัวใจของจอมยุทธ์ฝั่งถังตะวันออกตกไปอยู่ที่ตาตุ่มโดยพลัน คู่ต่อสู้เช่นนี้ แม้พวกเขาทั้งหมดรวมกันก็ไม่อาจต้านทานได้

ครั้นผู้อาวุโสเฮ่อแห่งเขาไร้พรมแดนปรากฏกาย เขาก็จ้องมองไปยังร่างของเยี่ยนจ้าวเกอและจ้าวซื่อเฉิง

ยังไม่ทันที่เขาจะเปิดปากพูด สีหน้าก็พลันเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

ราชาอาณาจักรถังตะวันออกจ้าวซื่อเฉิงที่แต่เดิมหมดสติไม่รู้สึกตัวนั้น บัดนี้จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

สายตาของคนทั้งสองสบกัน

จ้าวซื่อเฉิงกล่าวอย่างนิ่งเฉยว่า  ท่านผู้อาวุโสเฮ่อ รบกวนท่านแล้วที่มาเยือนด้วยตัวเอง 

ขณะที่พูด เขานั่งอยู่บนพื้น มือหนึ่งกำหมัดเอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งตบลงไปที่พื้น

ราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออก จ้าวซื่อเฉิงใช้พื้นดินใต้ร่างเป็นศูนย์กลาง แถบอักขระวิญญาณที่เดิมทีเลือนรางพลันส่องสว่างเจิดจ้าขึ้นมา จากนั้นสาดส่องกระจายออกไปทั่วสารทิศ

พลังของค่ายกลในตอนนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่อ่อนแรง ก็กลับมาแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง

พลังที่แข็งแกร่งรุนแรงสั่นสะเทือน จนกลุ่มคนของเขาไร้พรมแดนที่มีผู้อาวุโสเฮ่อเป็นผู้นำต่างพากันถอยหลังออกไป ถูกบังคับให้ออกไปอยู่นอกค่ายกล

 ฟื้นฟูรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?  ผู้อาวุโสเฮ่อหันศีรษะกลับไปมองจอมยุทธ์จากเขาไร้พรมแดนคนอื่นๆ

ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาที่เป็นผู้หัวหน้าทั้งสองคน ต่างก็พากันหน้าเจื่อนแล้วส่ายศีรษะ สีหน้าเต็มไปด้วยความยากที่จะเชื่อ

พวกเขากล่าวเสียงเบาว่า  ตอนที่พวกเราไล่ตามมาถึง อาการบาดเจ็บของเขาหนักหนาสาหัสนัก ลมหายใจมากกว่าคนตายเพียงแค่หนึ่งลมหายใจก็เท่านั้น 

 ไม่น่าจะสามารถฟื้นฟูได้ในระยะเวลาอันสั้นเพียงเท่านี้ได้ 

 นี่มันเหมือนผีหลอกกลางวันชัดๆ! 

จ้าวฮ่าวเช็ดคราบเลือดที่มุมปากออก สายตาจ้องเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ข้างกายจ้าวซื่อเฉิง โดยที่มือทั้งสองของชายหนุ่มยังคงวางอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลังหน้าอกของเสด็จพ่ออย่างไม่ลดละ

 รวดเร็วเช่นนี้ ทำได้อย่างไรกัน! 

องค์ชายสิบหก จ้าวฮ่าวกัดฟันกรอด มุมปากพลันมีรอยเลือดไหลซึมออกมา

เขามั่นใจว่าเรื่องโอสถและการรักษา นอกจากคนจำนวนน้อยที่แทบจะหาไม่เจอแล้ว ที่เหลือก็ไม่มีใครจะสามารถเปรียบกับเขาได้อีก

ทว่าหากจะใช้เวลาสั้นเพียงเท่านี้ ทำให้จ้าวซื่อเฉิงฟื้นตัวกลับมา เขาก็ทำไม่ได้เช่นกัน!

สภาพในตอนแรกของจ้าวซื่อเฉิง จ้าวฮ่าวก็จับตามองอยู่เช่นกัน และรู้ดีว่าอาการบาดเจ็บนั้นหนักหนามากเพียงใด

ทว่าบัดนี้กลับสามารถฟื้นตัวกลับมามีสติ ซ้ำยังสามารถขับเคลื่อนค่ายกลขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เรื่องนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของจ้าวฮ่าวโดยสิ้นเชิง

จ้าวฮ่าวสูดหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่ง  ไม่เพียงแค่เคล็ดวิชาเข็มทองผ่านโอสถเท่านั้น ทว่าในทุกๆ ด้านของศาสตร์โอสถและการรักษา ล้วนมีความรู้ที่มากมายยิ่ง 

สายตาของผู้อาวุโสเฮ่อมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอเช่นกัน  คุณชายแห่งเขากว่างไม่ใช่ยอดฝีมือท่ามกลางหมู่คน แต่เป็นยอดฝีมือท่ามกลางยอดฝีมือต่างหาก ไม่นึกเลยว่าข่าวลือนี้จะเป็นจริง! 

อย่าว่าแต่จะอยู่เหนือความคาดหมายของบรรดาคนจากเขาไร้พรมแดนเลย แม้แต่จอมยุทธ์อาณาจักรถังตะวันออกเองก็ตกใจไม่น้อย

บางคนเกิดอาการใจเต้นรัวขึ้น  หรือจะเป็นวิชาที่กระตุ้นเรียกสติ ฝืนให้ฝ่าบาทตื่นขึ้นมาชั่วคราว หลังจากนั้นจะทำให้อาการบาดเจ็บก็จะยิ่งหนักขึ้น จนถึงขั้นทำให้ฝ่าบาทสวรรคตได้ใช่หรือไม่ 

 หรืออาจเป็นการฟื้นตัวของวิญญาณก่อนจะหมดลมหายใจ ดั่งแสงยามพลบค่ำ 

เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกได้ถึงสายตาวิตกกังวลของคนรอบข้าง จึงอดกลอกตาขาวไม่ได้

 ข้าว่าพวกเจ้าน่ะ เลิกดูถูกได้แล้ว 

จ้าวซื่อเฉิงผงกศีรษะให้กับเยี่ยนจ้าวเกอ จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน  ข้าเพียงแต่รู้สึกไม่สบายขึ้นมาชั่ววูบหนึ่งเท่านั้น แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว 

 รบกวนท่านผู้อาวุโสเฮ่อที่อุตส่าห์เร่งรีบมาเยือนด้วยตนเองแล้ว พวกเรายังอยู่ในหุบเหวปราการมังกร ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะแก่การพูดคุยนัก 

 หลังจากที่ทุกท่านออกจากที่นี่แล้ว ข้าจะจัดงานเลี้ยงขึ้นในพระราชวังที่เมืองชมตะวัน เพื่อเลี้ยงขอบคุณท่านผู้อาวุโสเฮ่อและเขาไร้พรมแดนทุกท่านแล้วกัน 

ผู้อาวุโสเฮ่อมองดูจ้าวซื่อเฉิงพลางขมวดคิ้วแน่น

เขาไม่ปักใจเชื่อว่าจ้าวซื่อเฉิงที่มีอาการบาดเจ็ดสาหัสถึงเพียงนั้น จะหายเป็นปกติแล้ว

ทว่าขณะนี้จ้าวซื่อเฉิงจะยังเหลือพลังความสามารถเท่าใดนั้น เขาเองก็ยังไม่แน่ใจนัก

จ้าวซื่อเฉิงจะยังสามารถควบคุมพลังของค่ายกลเมืองชมตะวันได้อีกสักเท่าใด ก็ยังไม่อาจรู้ได้เช่นกัน

หากจ้าวซื่อเฉิงอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดแล้วยังมีพลังของค่ายกลเมืองชมตะวันสนับสนุน ผู้อาวุโสเฮ่อก็ยอมรับว่าตนเองคงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

สายตาของจ้าวฮ่าวมองสลับไปมาระหว่างเยี่ยนจ้าวเกอและจ้าวซื่อเฉิง

ทว่าจ้าวซื่อเฉิงกลับไม่แม้แต่จะมองจ้าวฮ่าวเลยสักนิด

ในตอนที่เขาช่วยเขากว่างเฉิงขับไล่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ออกจากเมืองชมตะวัน จ้าวฮ่าวก็ได้ตัดความคาดหวังที่เขามีไปจนหมดสิ้น

และบัดนี้จ้าวฮ่าวปรากฏตัวพร้อมกับกลุ่มคนของเขาไร้พรมแดน ณ ที่นี้ เวลานี้ ทำให้จ้าวซื่อเฉิงตัดความคาดหวังที่มีต่อบุตรชายคนนี้ไปจนหมดสิ้นเช่นกัน

จ้าวซื่อเฉิงมองผู้อาวุโสเฮ่อพลางกล่าวอย่างสงบนิ่งว่า  ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะพูดคุยกัน ข้าขอตัวก่อน เชิญท่านผู้อาวุโสเฮ่อตามสบาย 

สิ้นคำพูด เขาก็ยื่นฝ่ามือทั้งสองออกไปตรงๆ จากนั้นจึงกดลงไปด้านล่างครั้งหนึ่ง

ในขณะที่อักขระวิญญาณของค่ายกลกำลังสั่นไหว อากาศไหลเวียนโดยรอบซึ่งมีจ้าวซื่อเฉิงเป็นศูนย์กลาง ก็ยกเอาเยี่ยนจ้าวเกอ อาหู่ และกลุ่มคนของถังตะวันออก มุ่งหน้าไปยังด้านนอกของหุบเหวปราการมังกร

สีหน้าของท่านผู้อาวุโสเฮ่อเคร่งขรึมขึ้น จะให้เขาล้มเลิกเช่นนี้ ไม่ยินยอมเป็นแน่

ถึงแม้ว่าในใจจะไม่มั่นใจเต็มร้อยอีกแล้ว ทว่าเขาก็ไม่ได้ลังเลที่จะสิ้นเปลืองเวลา แต่กลับลงมือยับยั้งเยี่ยนจ้าวเกอ จ้าวซื่อเฉิง และคนอื่นๆ ในทันที

แต่ ณ ตอนนี้เอง ที่ไกลออกไปจู่ๆ ก็มีการสั่นสะเทือนที่รุนแรงส่งมาถึง

มีปราณดาบอันเย็นเยียบส่งมา ฟาดฟันไปในอากาศ จนหุบเหวปราการมังกรแทบจะพังทลาย

 เป็นท่านผู้อาวุโสเกาะตะวันออกแห่งเขากว่างเฉิง และทะยานบูรพาแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาไล่ตามมาแล้ว! 

ปราณดาบขนาดใหญ่ฟาดฟันลงมา ตัดขาดหนทางไปของกลุ่มคนจากเขาไร้พรมแดน

ประกายดาบสีทองทอแสงขึ้น ก่อนจะปะทะกับปราณดาบที่ยิ่งใหญ่นั้นอีกครั้ง

กลุ่มคนของเขาไร้พรมแดนพลาดโอกาสที่จะไล่ตามกลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอไปแล้ว ไล่ตามไม่ทันอีกต่อไป

ผู้อาวุโสเฮ่อพลันมีสีหน้าเคร่งเครียด  พลาดโอกาสไปแล้ว พวกเราควบคุมสถานการณ์ต่อจากนี้ไม่อยู่แล้ว 

 ไป ติดต่อกับท่านผู้อาวุโสระดับหนึ่งของสำนัก แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะเดินหน้าต่อหรือถอย 

เขามองไปที่จ้าวฮ่าว  เจ้าอยู่ที่ถังตะวันออกต่อ ก็ยากที่จะกระทำการต่อไปในภายภาคหน้า 

จ้าวฮ่าวนิ่งเงียบไม่พูดอะไร

เยี่ยนจ้าวเกอและกลุ่มคนของจ้าวซื่อเฉิง รู้สึกได้ถึงการเข้ามาใกล้ของผู้อาวุโสฉินและทะยานบูรพาเมื่อครู่เช่นกัน

ไม่เพียงเท่านี้ ผู้อาวุโสข่งและมหาปรมาจารย์ยอดฝีมือหญิงของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนนั้น ก็สู้กันจากในหุบเหวปราการมังกรจนถึงด้านนอกมานานแล้ว สนามรบกวาดล้างออกไปไกลนับหมื่นลี้ สู้กันพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินกันตลอดทาง

 ท่านลุง ปราณพิษในร่างกายของท่านยังกำจัดออกไปไม่หมดสิ้น 

เยี่ยนจ้าวเกอมองไปยังจ้าวซื่อเฉิง  ท่านมีความมั่นใจต่อสถานการณ์ที่เมืองชมตะวันมากเท่าใดหรือ 

สีหน้าของจ้าวซื่อเฉิงซีดเซียวลงเล็กน้อย เขารวบรวมสมาธิจับสัมผัสดูอย่างละเอียด หลังจากนั้นครู่ใหญ่ถึงกล่าวขึ้นอย่างช้าๆ ว่า  ซื่อเลี่ยโจมตีเข้าไปถึงในพระราชวังแล้ว 

 มีคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือ ข้าต้านเขาไม่อยู่ อำนาจควบคุมค่ายกลถูกเขายึดครองไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว 

 ตอนนี้ข้าไม่ได้อยู่ในวัง การจะยึดอำนาจการควบคุมคืนมา ท่าจะลำบากหน่อย 

จ้าวซื่อเฉิงผายมือออกไปด้านหน้าตรงๆ อาศัยการเคลื่อนตัวของอากาศ พาเยี่ยนจ้าวเกอและคนอื่นๆ ลงไปบนพื้น สภาพร่างกายของเขาในตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว แต่ก็จำเป็นต้องเก็บพลังเอาไว้รับมือกับศึกใหญ่ที่กำลังมาเยือน

โชคดีที่แต่ละที่ในอาณาเขตของอาณาจักรถังตะวันออกมีการเตรียมรถม้าโดยสารไว้ ทุกคนจึงไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องการเร่งเดินทาง

 รีบกลับไปที่เมืองชมตะวันตอนนี้ อาจจะไม่ทันการเสียแล้ว อย่างไรจ้าวซื่อเลี่ยก็จะยิ่งได้เปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ  เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว  ท่านลุง ข้ามีความคิดหนึ่ง อาจจะลองดูได้พะยะค่ะ 

จ้าวซื่อเฉิงหันไปมองเขา  โอ้ จ้าวเกอมีความคิดเช่นไรหรือ 

เยี่ยนจ้าวเกอจึงกล่าวว่า  หุบเขาวายุวิญญาณของสำนักข้าห่างจากเมืองใกล้ปราการไม่มากนัก อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับหุบเหวปราการมังกรยิ่ง 

 ที่นั่นมีทรัพยากรเพียบพร้อมอยู่ประมาณหนึ่ง พวกเราสามารถลองสร้างค่ายกลย้อนกลับได้ 

แววตาของจ้าวซื่อเฉิงทอประกายขึ้น  การจะสร้างค่ายกลย้อนกลับนั้นไม่ง่าย จ้าวเกอกล่าวเช่นนี้ มีวิธีลัดหรือ 

ชายหนุ่มกล่าวต่อว่า  ในมือข้ามีผังค่ายกลหนึ่งอยู่ น่าจะลองดูได้พะยะค่ะ 

 แม้จะกล่าวว่าเป็นการทดลองดู แต่ก็มีหวังยิ่งกว่าการกลับเมืองชมตะวัน 

จ้าวซื่อเฉิงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกสนใจ ทว่าก็ส่งกระแสจิตกลับไปถามว่า ‘หากเป็นหุบเขาวายุวิญญาณแล้วล่ะก็ ศิลาลายเมฆ…’

เยี่ยนจ้าวเกอก็ส่งกระแสจิตตอบกลับไปเช่นกัน ‘บัดนี้ได้เปิดศึกขึ้นแล้ว ท่านผู้อาวุโสสวีชวนเป็นผู้มีความรู้และประสบการณ์ จึงน่าจะมีการเตรียมการไว้แล้ว ไม่ต้องกังวลว่าความลับจะรั่วไหลขอรับ’

‘คนของเขาไร้พรมแดนก็ถูกท่านผู้อาวุโสฉินสกัดกั้นเอาไว้แล้ว แต่ที่ด้านนอกถังตะวันออก ในเขตของภูผาพิภพพวกเขาต้องมีกองทัพทหารคอยรอรับช่าวสาร รอที่จะแสดงพลังอยู่แน่นอน’

‘สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็กำลังเคลื่อนไหวอยู่’

‘จ้าวซื่อเลี่ยที่อยู่ที่เมืองชมตะวันคงจะบุกรุกประหนึ่งเพลิงเสียยิ่งกว่า’

‘ตอนนี้ต้องช่วงชิงแม้เพียงเสี้ยววินาที!’

…………..

 

แม้จะเผชิญหน้ากับจ้าวฮ่าว ทว่าผู้นำจอมยุทธ์ถังตะวันออกก็ไม่ได้หวาดกลัวแต่อย่างใด

 องค์ชายสิบหก หากกระหม่อมจำไม่ผิด ฝ่าบาทมีรับสั่งว่าให้ท่านอยู่คุ้มกันเมืองชมตะวัน หากไม่มีพระราชโองการ ห้ามท่านออกไปข้างนอก 

 แล้วเหตุใดจึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้พะยะค่ะ 

จ้าวฮ่าวได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้โกรธแต่อย่างใด ทว่ากล่าวอย่างเฉยชาว่า  แน่นอนว่าเพราะเป็นกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บของเสด็จพ่อข้าสิ 

 ข้าแตกฉานในด้านโอสถรักษา เจ้าก็น่าจะรู้ดี 

ปรมาจารย์ถังตะวันออกผู้นั้นจึงโต้กลับไปว่า  ดังนั้นท่านจึงกล้าทำเรื่องเนรคุณเช่นนี้ วางยาบนตัวของฝ่าบาทเพื่อใช้สะกดรอยตามอย่างนั้นหรือ? 

องค์ชายสิบหก จ้าวฮ่าวยื่นมือไปไพล่หลัง สีหน้าเรียบนิ่งยิ่งนัก  อย่าได้กล่าวหาซี้ซั้ว ข้าแค่รู้จักกลิ่นของผงเกสรหญ้าร้อยภูตเท่านั้นเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดบนตัวของเสด็จพ่อจึงมีผงเกสรหญ้าร้อยภูตอยู่ 

 แต่ว่า ตอนนี้คงไม่ใช่เวลาที่จะมาถกเถียงเรื่องไร้ประโยชน์เหล่านี้ 

จ้าวฮ่าวมองเยียนจ้าวเกอกับจ้าวซื่อเฉิงครั้งหนึ่ง  ช่วยชีวิตเสด็จพ่อสิถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด รอช้าไม่ได้แล้ว 

จอมยุทธ์เขาไร้พรมแดนที่อยู่ข้างกายเขากล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า  ล่วงเกินท่านแล้ว 

ครั้นกล่าวจบ บรรดาจอมยุทธ์เขาไร้พรมแดนก็เข้าล้อมกลุ่มคนของถังตะวันออกไว้

ฝ่ายจอมยุทธ์เขาไร้พรมแดนมีกำลังคนเยอะมาก แม้จะมีระดับวรยุทธ์อยู่ในระดับเดียวกัน ทว่าพลังของพวกเขากลับสูงกว่าชั้นหนึ่ง

ฝั่งถังตะวันออกแม้จะมีค่ายกลคุ้มกันอยู่ ทว่าก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาล

จ้าวซื่อเฉิงหมดสติ เมืองชมตะวันก็มีกบฏ อีกทั้งภายนอกก็ยังมีการรุกรานของหมอกดำจากหุบเหวปราการมังกร ตอนนี้ค่ายกลที่คุ้มกันทุกคนเอาไว้อ่อนแรงลงมากแล้ว

ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาสองคนของเขาไร้พรมแดนจึงเริ่มลงมือในทันที พวกเขาทำการหยุดค่ายกลเอาไว้ จอมยุทธ์ปรมาจารย์เขาไร้พรมแดนคนอื่นๆ ก็เริ่มแทรกตัวเข้ามาในค่ายกล

ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาของถังตะวันออกที่เดิมทีช่วยเยี่ยนจ้าวเกอรักษาจ้าวซื่อเฉิงนั้น เมื่อเห็นสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว จึงทำได้เพียงหยุดก่อนชั่วคราว แล้วเตรียมลุกขึ้นมาประจันหน้ากับศัตรู

ทว่าไม่ทันที่เขาจะได้ทำเช่นนั้น ข้างหูก็เกิดเสียง ‘พลั่ก’ ‘พลั่ก’ ดังขึ้นสองครั้ง!

ชายร่างกำยำคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าทุกคน มือหนึ่งจับจอมยุทธ์ของเขาไร้พรมแดนที่คิดจะเข้ามาโยนออกไปข้างนอกโดยพลัน!

อาหู่ยืนอยู่ตรงนั้นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เขามองอีกฝ่ายพลางยิ้มแสยะ  มีคุณชายของข้าอยู่ ที่นี่ไม่ต้องการพวกท่าน เชิญกลับไปเถิด 

เมื่อปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาจากเขาไร้พรมแดนคนหนึ่งเห็นการออกมือของอาหู่แล้ว ก็เข้าใจทันที

เขาก้าวเท้าออกไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง แล้วผลักฝ่ามือหนึ่งออกไป บริเวณที่ปราณจิตราส่งไปถึงก็หลอมรวมเป็นดั่งแนวเทือกเขาเรียงราย

ชั่วขณะหนึ่ง ภาพทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้าของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ราวกับจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

คล้ายกับไม่ได้อยู่ในหุบเหวปราการมังกรอีกต่อไป แต่อยู่ในป่าลึกภูเขาสูงแทน

ภูเขารอบกายเหมือนกับถูกคนผลักให้บีบเข้าหาทุกคนที่อยู่ตรงกลางพร้อมกัน

ปราณจิตรามีจิตวิญญาณ ไม่ใช่หลอมได้เพียงอาวุธยุทโธปกรณ์ที่แหลมคม ทว่าสามารถเปลี่ยนเป็นโลกมายากักขังศัตรูได้อีกด้วย!

อย่างน้อยต้องเป็นปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะกลางถึงจะสามารถทำได้!

อาหู่แสยะยิ้ม ซึ่งรอยยิ้มที่หนักแน่นและจริงใจตลอดมานั้น ตอนนี้ดูแล้วดุร้ายน่าหวาดกลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้!

เสียงคำรามหนึ่งดังขึ้น สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสี่ทิศ ราวกับสัตว์อสูรดึกดำบรรพ์ที่หลับใหลอยู่ตัวหนึ่งได้ตื่นขึ้น ดุร้ายน่ากลัวยิ่งนัก!

ภาพตรงหน้าของกลุ่มคนจากเขาไร้พรมแดนเลือนรางไปหมด ก่อนจะเห็นเสือดำขนาดมหึมาตัวหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า

ครั้นเสือดำตัวนั้นคำราม พายุหมุนที่บ้าคลั่งก็เคลื่อนตัวเข้ามาจากสี่ทิศอย่างช้าๆ

โลกมายาที่สร้างมาจากปราณจิตราของปรมาจารย์เขาไร้พรมแดนคนนั้นป่าทึบภูเขาสูง มีพายุที่น่ากลัวกำลังจู่โจม แผ่นดินสั่นภูเขาไหว หน้าผาหินแตกร้าว!

ป่าทึบภูเขาสูงนั้นพังทลายลงอย่างรุนแรง เพราะมีพายุหมุนบ้าคลั่งพัดกวาดไปทั้งสี่ทิศ!

สีหน้าของจอมยุทธ์เขาไร้พรมแดนหมองหม่นลงในพริบตา ก่อนจะกล่าวเสียงดังว่า  ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาหรือนี่! 

 เจ้าเป็นถึงปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาคนหนึ่ง แต่กลับลดตัวไปเป็นข้ารับใช้ผู้อื่น เจ้าก็ไม่รู้สึกอายบ้างหรืออย่างไร? 

แม้แต่จอมยุทธ์ฝั่งถังตะวันออกก็มองอาหู่อย่างตกตะลึง รู้สึกคาดไม่ถึงยิ่งนัก

ระดับขั้นของปรมาจารย์ประกอบไปด้วย ขั้นจิตราชั้นนอก ขั้นชั้นจิตราใน ขั้นเคียงนภา ไปจนถึงขั้นฝ่านภาซึ่งเป็นขั้นสุดท้าย

ในถังตะวันออก กระทั่งทั้งเกาะนภาตะวันออก ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาต่างก็มีพลังที่ไม่สามารถดูถูกและมองข้ามได้

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นเขากว่างเฉิง หรือสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ในระดับของผู้อาวุโสปฏิบัติกิจ วรยุทธ์สูงสุดคือปรมาจารยขั้นเคียงนภา แต่ส่วนใหญ่เป็นเพียงระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอก

ในเขตพื้นที่ของถังตะวันออก เจ้าสำนักของสำนักขนาดกลางและเล็ก หรือตระกูลที่ทรงอิทธิพลจำนวนมาก ก็เป็นเพียงแค่ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภา ยังไม่ถึงขั้นที่สูงกว่านั้น

พระราชวังแห่งอาณาจักรถังตะวันออก ปรมาจารย์เคียงขั้นนภาก็สามารถมีตำแหน่งเป็นขุนนางได้เช่นกัน

ถึงกระนั้นตอนนี้กลับมีปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาเพียงแค่คนเดียว และอย่างน้อยที่สุดอยู่ในระยะกลาง คอยปกป้องคุ้มกันอยู่ข้างกายเยี่ยนจ้าวเกอตลอดมา และเป็นผู้ติดตามของเขา!

ไม่ใช่องครักษ์ฝีมือดี ทว่าเป็นผู้ติดตามที่คอยให้ความช่วยเหลือ!

เพียงแต่ว่า ตอนนี้ทุกคนยังยากที่จะมองชายร่างกำยำที่โหดเหี้ยมดุร้ายตรงหน้าคนนี้ เป็นคนคนเดียวกันกับภาพพจน์ของคนตัวใหญ่ที่ก่อนหน้าคอยติดตามอยู่ข้างหลังเยี่ยนจ้าวเกอ ผู้ที่ดูมีความจงรักภักดี และมีความขี้เล่นคนนั้น

จอมยุทธ์เขาไร้พรมแดนจ้องอาหู่ตาเขม็งหน้าเขียว  หากเจ้าเป็นข้ารับใช้ให้กับเยี่ยนผู้ไร้เทียมทานนั่นก็แล้วไป แต่เขาเป็นบุตรชายของเยี่ยนผู้ไร้เทียมทาน เจ้ายอมก้มหัวรับใช้มันได้อย่างไรกัน 

 ศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจของเจ้าล่ะ?! 

อาหู่แคะหูแล้วยื่นมือดีดออกไป แสยะยิ้มพลางกล่าวว่า  ข้าเต็มใจ เจ้ายุ่งอะไรด้วย? 

ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภา ผู้นำคณะจากเขาไร้พรมแดนอีกคนหนึ่งสีหน้าหม่นลงเช่นเดียวกัน  ข้าจำได้แล้ว 

 ในอดีตมีคำลือว่าเยียนตี๋ไม่ลังเลที่จะเดินทางเป็นหมื่นลี้เพื่อช่วยข้ารับใช้วัยชราคนหนึ่งของตนเอง เพื่อการนี้ยังทำให้เกิดความบาดหมางกับตำหนักอัสนีสวรรค์ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของอัสนีพิภพ 

 แต่ข้ารับใช้วัยชราผู้นั้นเหมือนกับว่าก็สิ้นใจในภายหลังอยู่ดี ซึ่งเยี่ยนตี๋พากลับมาเพียงเด็กคนหนึ่ง… 

อาหู่ไม่ยิ้มอีกแล้ว บัดนี้เขามีสีหน้าเคร่งขรึม  นั่นคือท่านปู่ของข้า ข้าชื่อหวงหู่ถิง ซึ่งก็คือเด็กคนนั้น 

จ้าวฮ่าวพูดอย่างเย็นชาว่า  ปู่ของเจ้ายอมเป็นทาสให้กับคนอื่นเพื่อตอบแทนบุญคุณ เจ้าจะเป็นทาสให้กับตระกูลเยี่ยนทั้งชาติเหมือนกันอย่างนั้นหรือ? 

 ไร้เกียรติตั้งแต่กำเนิด เจ้าไม่คู่ควรที่จะเป็นจอมยุทธ์ 

ครั้นได้ยินดังนั้น อาหู่แสยะยิ้มอีกครั้ง  เจ้ามันก็แค่เศษสวะ ยังมีหน้ามากล่าวว่าอะไรควรอะไรไม่ควรอีก มือข้าเพียงแค่ข้างเดียวก็ฟาดเจ้าจนตายได้ 

 หากจะให้ข้าพูด เจ้าไม่คู่ควรแม้จะพูดกับคุณชายของข้า แม้แต่พูดกับข้าเอง เจ้าก็ไม่คู่ควร 

องค์ชายสิบหก จ้าวฮ่าวเบิกตาโพลง ในดวงตาทั้งสองข้างมีความเยือกเย็นแผ่ซ่าน

ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่งของอาหู่

ภายใต้การสั่นสะเทือนของปราณจิตราอันบ้าคลั่ง จ้าวฮ่าวก็พลันเกิดอาการตาลาย เลือดไหลออกจากทั้งปากและจมูกทันที

ไม่ว่าในอดีตเขาจะมีวรยุทธ์ที่สูงยิ่งกว่า หรือมีประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า แม้กระทั่งมีพลังภายในที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า อีกทั้งมีกำลังความสามารถในการต่อสู้ที่เก่งกาจยิ่งกว่าสำหรับวรยุทธ์ระดับเดียว แต่ไม่สามารถต้านระยะห่างวรยุทธ์ที่ต่างกันมากในตอนนี้ จึงถูกบดละเอียดโดยความต่างระหว่างวรยุทธ์ในทันทีทันใด

ไม่เพียงแต่จ้าวฮ่าวเท่านั้น ทว่าจอมยุทธ์จากเขาไร้พรมแดนคนอื่นๆ ก็เวียนศีรษะตาลาย โซซัดโซเซไปมาในชั่วพริบตาเช่นกัน!

ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาแห่งเขาไร้พรมแดนทั้งสองตะโกนเสียงดังออกมาครั้งหนึ่ง ถึงทำให้เสียงคำรามของอาหู่ไม่แสบแก้วหูเฉกเช่นเดิมอีก

สีหน้าของพวกเขากลายเป็นสีเขียว และก็ไม่มีกะจิตกะใจจะพูดไร้สาระกับอาหู่ต่อไป ได้แต่พุ่งทะยานขึ้นฟ้าทันที แล้วบุกโจมตีไปที่อาหู่อย่างพร้อมเพรียงกัน

อาหู่ยิ้มเย็นเสมือนกับอสูรกายขนาดมหึมาที่กำลังจะกลืนกินคน ฝ่ามือทั้งสองแยกออกจากกัน ไม่มีทีท่าถดถอย เข้าต่อสู้กับศัตรูสองต่อหนึ่ง!

จอมยุทธ์ถังตะวันออกที่คิดจะรุดเข้าไปช่วยเหลือ กลับพบว่าในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ อาหู่กลับจัดการทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย!

 คู่ต่อสู้ของเขาไม่ใช่จอมยุทธ์ที่มาจากสำนักทั่วๆ ไป แต่นั่นเป็นถึงคนของสำนักเขาไร้พรมแดนแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภูผาพิภพเชียวนะ! 

จอมยุทธ์ถังตะวันออกอ้าปากตาค้าง กลืนน้ำลายเอื๊อก ด้วยความรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง

คนของเขาไร้พรมแดนก็ยิ่งเดือดดาลจนกระอักเลือด  นี่เป็นแค่ข้ารับใช้ของตระกูลเยี่ยนคนหนึ่งหรือนี่! 

ในตอนนี้เอง จู่ๆ ก็มีพลังอันน่ากลัวสายหนึ่งโจมตีเข้ามา

สีหน้าของอาหู่เคร่งขรึม ส่วนจอมยุทธ์จากเขาไร้พรมแดนกลับเผยสีหน้าดีใจ  ท่านอาวุโสเฮ่อมาแล้ว!  

พลังน่าหวาดกลัวของมหาปรมาจารย์นั้น ปกคลุมกดดันไปทั่วบริเวณโดยพลัน!

…………..

 

แสงสีทองอันน่าหวาดผวาราวกับตะวันคล้อยตกทิศตะวันตกนั้น เกิดจากประกายดาบ และกำลังผ่าลงไปบนศีรษะของเยี่ยนจ้าวเกอ!

ทว่ามีปราณดาบอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงอีกเล่มหนึ่งฟาดฟันใส่อากาศ ม้วนลมเมฆไปทั่วทั้งแปดทิศ สกัดกั้นประกายดาบสีทองนั้นไว้

เยี่ยนจ้าวเกอไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน เขาตรงเข้าไปในค่ายกลป้องกัน พุ่งไปหาจ้าวซื่อเฉิง ราชาอาณาจักรถังตะวันออกทันที

หลังจากวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ เคล็ดวิชาเหวเวหาทวนกระแสที่โลกแปดพิภพประกาศว่าขาดการสืบทอด บัดนี้เยี่ยนจ้าวเกอกำลังใช้มัน

เขาขับเคลื่อนเคล็ดวิชานี้ด้วยความชำนาญอย่างถึงที่สุด ทั้งร่างกายประดุจมีปราณมังกรจิตรากำลังคลุ้มคลั่ง

ทว่าการชักจูงปราณพิษที่อยู่ในรูปหมอกดำเข้าสู่ร่างกายในตอนนี้ กลับไม่เหมือนดังเช่นตอนที่ตนเองฝึกฝนก่อนหน้านี้

เพราะประโยชน์ของมันนอกเหนือจากนั้นโดยสิ้นเชิง เยี่ยนจ้าวเกอฟาดฝ่ามือออกไปเสมือนกับกำลังกวัดแกว่งดาบใหญ่ ผ่าลงตรงที่เสาปราณสีดำกำลังตรึงร่างของจ้าวซื่อเฉิงเอาไว้!

เมื่อดาบหนึ่งฟันลงไป เสาปราณสีดำก็พลันบิดเบี้ยวอย่างรุนแรงในทันที!

เหมือนกับงูขนาดใหญ่ที่มีชีวิตจริง ถูกฟันจนได้รับบาดเจ็บ กำลังขดม้วนร่างกายหนาใหญ่ไปมาด้วยความเจ็บปวด

จุดที่ถูกดาบฟัน ทำให้เสาปราณสีดำหดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด ราวกับถูกฟันจะเป็นรอยแหว่งขนาดใหญ่!

 ทำได้อย่างไรกัน?  บรรดาคนของอาณาจักรถังตะวันออกทำหน้าเหมือนโดนผีหลอก

เยี่ยนจ้าวเกอไม่มีเวลามาอธิบายให้พวกเขาฟัง ชายหนุ่มใช้ฝ่ามือเหมือนใช้ดาบ ฟาดฟันลงไปที่ตำแหน่งเดิมซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง!

เสาปราณสีดำสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เสียงขาดออกจากกันพลันดังสนั่น!

เสาท่อนหนึ่งกลับเข้าไปในหุบเหวอย่างรวดเร็ว ส่วนอีกท่อนหนึ่งกลับเข้าไปในร่างกายของจ้าวซื่อเฉิง

ร่างกายของจ้าวซื่อเฉิงสั่นไหวอีกครั้ง มุมปากมีเลือดไหลออกมาอีก ทว่าไม่มีปราณสีดำยึดตรึงไว้แล้ว ท้ายที่สุดทุกคนก็สามารถพาเขาออกจากหุบเหวปราการมังกรได้

จอมยุทธ์อาณาจักรถังตะวันออกแม้จะยังตื่นตกใจกับการกระทำของเยี่ยนจ้าวเกอ ทว่าก็รู้ว่าขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่ควรกล่าวถามอะไรไร้สาระทั้งนั้น จึงรีบช่วยกันพยุงจ้าวซื่อเฉิงถอยออกจากหุบเหวปราการมังกรไป

พายุที่อยู่เหนือศีรษะทวีความรุนแรงขึ้นอีก จอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จึงลองพุ่งลงไปยังเบื้องล่าง ส่วนจอมยุทธ์เขากว่างเฉิงกลับคอยสกัดกั้นการโจมตีอย่างต่อเนื่อง

ทะยานบูรพาเริ่มลงมืออย่างไม่ยั้งมือมากขึ้นเรื่อยๆ

ดาบผลาญฟ้าคล้อยประจิมฟันลงมาติดต่อกันหลายครั้ง เหมือนกับต้องการจะทลายหุบเหวปราการมังกรลงให้ได้ ฝังทุกๆ คนเอาไว้ในที่แห่งนี้

ผู้อาวุโสฉินที่มีนิสัยร้อนประหนึ่งเพลิง บัดนี้เขากลับสงบเยือกเย็น ไม่ขอมีความดีความชอบ ขอเพียงไม่มีความผิดพลาด

เขารับมือกับทุกการโจมตีของทะยานบูรพาอย่างระมัดระวัง เพื่อปกป้องเยี่ยนจ้าวเกอ จ้าวซื่อเฉิง และคนอื่นๆ ให้ถอยออกไปได้อย่างปลอดภัย

เยี่ยนจ้าวเกอตามอารักขาจ้าวซื่อเฉิงออกไป พร้อมกับจอมยุทธ์อาณาจักรถังตะวันออกตลอดทาง

สถานการณ์ของตนเองและเขากว่างเฉิงยังคงไม่สู้ดีนัก จ้าวซื่อเฉิงบาดเจ็บสาหัส ต่อให้สามารถช่วยเหลือออกจากหุบเหวปราการมังกรได้ แต่จะยังสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ของสถานการณ์ตรงหน้าได้หรือไม่

 เอ๊ะ แปลกนัก นี่มันกลิ่นอะไรกัน 

ขณะที่มุ่งหน้าเดินไป เยี่ยนจ้าวเกอก็พลันขมวดคิ้ว ก่อนจะเดินมาถึงข้างกายของจ้าวซื่อเฉิง แล้วดมอย่างละเอียด

 บัดซบ! ผงเกสรหญ้าร้อยภูต  เยี่ยนจ้าวเกอกลอกตาคขาวรั้งหนึ่ง  โดยปกติแล้วมันไม่มีสีไม่มีกลิ่น ต้องสัมผัสกับปราณพิษของน้ำลึกปราการมังกรถึงจะส่งกลิ่นออกมา 

จอมยุทธ์ถังตะวันออกที่อยู่ด้านข้างต่างก็มองเยี่ยนจ้าวเกอ ด้วยความรู้สึกที่ทั้งประหลาดใจและทึ่งอยู่ในที

เยี่ยนจ้าวเกอกุมขมับของตนเอง  เขาไร้พรมแดนยื่นมือเข้ามาเอี่ยวด้วยอย่างที่คิด 

อาณาจักรถังตะวันออกสืบทอดศาสตร์แห่งการกลั่นโอสถอายุวัฒนะต่อกันมา จ้าวซื่อเฉิง ราชาอาณาจักรถังตะวันออกเองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญศาสตร์เกี่ยวกับโอสถอยู่ในสามดับแรกในพื้นที่ของถังตะวันออก

แม้แต่เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าบนร่างกายของตนมีสิ่งผิดปกติอยู่ ย่อมไม่ต้องกล่าวโทษที่จอมยุทธ์อาณาจักรถังตะวันออกจะไม่รู้เรื่อง

ในบรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เขาไร้พรมแดนค่อนข้างอ่อนในด้านศาสตร์การกลั่นโอสถอายุวัฒนะ จึงไม่เคยผลิตผงเกสรหญ้าร้อยภูตออกจากภูผาพิภพเลย

 จ้าวฮ่าว…  เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลง ความรู้ทฤษฎีด้านโอสถที่เยือกเย็นเช่นนี้ ในพื้นที่ถังตะวันออกตอกนี้นอกจากตนแล้ว ก็คงจะมีเพียงคนคนนี้เท่านั้นที่รู้

ด้วยยังห่างชั้นกันมากนัก ด้วยระดับวรยุทธ์ของจ้าวฮ่าวในตอนนี้ย่อมไม่ได้กลิ่นเป็นธรรมดา

ทว่าเขาสามารถชี้แนะให้มหาปรมาจารย์ยอดฝีมือของเขาไร้พรมแดนตามร่องรอยกลิ่นได้

หากอีกฝ่ายมีมหาปรมาจารย์อยู่ด้วยจริงล่ะก็ ความเร็วก็จะเร็วยิ่งกว่ากลุ่มคนของตนเอง

ในสถานการณ์ที่ร่องรอยถูกเปิดเผย ลำพังแค่วิ่งหนีก็คงไม่สามารถจะหนีพ้นได้

 อาหู่ ไปจับอสูรความเร็วสูงมาตัวหนึ่ง เอาแบบที่มีชีวิต!  เยี่ยนจ้าวเกอออกคำสั่งแค่ครั้งเดียว ฝ่ายอาหู่ไม่ถามถึงเหตุผลใดๆ รีบทำตามคำสั่งในทันที

เวลานี้เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่สามารถสนเรื่องมารยาทได้อีก เขาถือวิสาสะถอดชุดคลุมของจ้าวซื่อเฉิงออก แล้วมัดติดไว้บนตัวของอสูรที่อาหู่จับมา จากนั้นก็ปล่อยอสูรตัวนั้นกลับไป

 หยุดไม่ได้แล้ว เคลื่อนย้ายต่อไป  เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว  ถึงจะถอดชุดคลุมแล้ว แต่บนร่างกายของท่านลุงจ้าวยังคงมีกลิ่นของผงเกสรหญ้าร้อยภูตอยู่ 

 ถ้าหยุดก็จะเป็นการเปิดเผยให้อีกฝ่ายรู้ 

พวกเขาเดินหน้าต่อไป ทว่าบัดนี้การสั่นสะเทือนในหุบเหวปราการมังกรก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับพื้นฟ้าผืนแผ่นดินจะแตกร้าว

 สถานการณ์ของฝ่าบาทย่ำแย่ลงเรื่อยๆ แล้ว!  ขณะที่กำลังเดินอยู่ ก็มีจอมยุทธ์ถังตะวันออกพูดขึ้น

เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะรุดหน้าเข้าไปตรวจสอบ เขาพบว่าสีหน้าของจ้าวซื่อเฉิงดำคล้ำขึ้น ปราณสีเขียวและปราณสีแดงปรากฏสลับสับเปลี่ยนไม่หยุด

แม้ว่าขณะนี้เขาจะหมดสติอยู่ ทว่าพลังภายในร่างกายยังหมุนเวียน ต่อต้านปราณพิษที่รุกล้ำเข้ามาภายในร่างกาย

ทั้งสองฝ่ายต้านทานซึ่งกันและกัน เมื่อได้รับผลกระทบจากภายนอก จึงมีความเสี่ยงที่จะตกอยู่ในสภาวะมารเข้าแทรก

ถ้ายังคงเคลื่อนย้ายเขาต่อไปอีกในตอนนี้ นั่นจะยิ่งทำให้เขาตายเร็วขึ้น

มีจอมยุทธ์มหาปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาแห่งอาณาจักรถังตะวันออกท่านหนึ่ง ใช้ปราณจิตราของตนเองประคับประคองพลังของเขาเอาไว้ แต่สภาพแวดล้อมในหุบเหวปราการมังกรในตอนนี้ราวกับจะพังทลาย ยากที่จะคุ้มครองไว้ได้ทั้งหมด

เยี่ยนจ้าวเกอสูดหายใจเข้าลึก  ในเมื่อไม่สามารถเคลื่อนย้ายต่อไปได้ เช่นนั้นก็คงต้องแข่งความเร็วแย่งชิงเวลากับอีกฝ่ายแล้วกระมัง 

 วางท่านลุงจ้าวลง ข้าจะช่วยรักษาท่านเอง 

เนื่องจากก่อนหน้านี้เยี่ยนจ้าวเกอได้กระทำการน่าอัศจรรย์อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งด้วยความสัมพันธ์ที่ตระกูลเยี่ยนมีกับจ้าวซื่อเฉิงแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้จอมยุทธ์อาณาจักรถังตะวันออกจึงเลือกที่จะเชื่อมั่นในตัวชายหนุ่ม

จากนั้นก็มียอดฝีมือระดับมหาปรมาจารย์ขั้นเคียงนภา รุดหน้าเข้ามาช่วยสนับสนุนในทันที

ฝ่ามือทั้งสองข้างของเยี่ยนจ้าวเกอ บัดนี้ข้างหนึ่งวางเอาไว้บนหน้าอกของจ้าวซื่อเฉิง ส่วนอีกข้างวางเอาไว้ที่กลางหลังของเขา จากนั้นก็เริ่มใช้เคล็ดวิชาเหวเวหาทวนกระเส ช่วยขับเอาปราณพิษที่อยู่ภายในร่างกายของอีกฝ่ายออก

อาหู่และคนอื่นๆ เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ข้างกายเยี่ยนจ้าวเกอและจ้าวซื่อเฉิงอย่างใกล้ชิด

บัดนี้สีหน้าอาหู่เต็มไปด้วยความตั้งใจจริงจัง ทว่าในแววตาที่มองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอกับจ้าวซื่อเฉิงนั้น กลับมีความกังวลแฝงอยู่

เคราะห์ดีที่เมื่อเวลาผ่านไป สภานการณ์ของจ้าวซื่อเฉิงก็ค่อยๆ ทุเลาลง เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นต่างก็ยินดียิ่ง

แต่ค่ายกลที่คงอยู่โดยอาศัยจ้าวซื่อเฉิงเป็นศูนย์กลาง บัดนี้ยิ่งไม่มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ

เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ฝั่งเมืองชมตะวันไม่ค่อยจะสู้ดีนัก

ในตอนนี้เอง อาหู่และคนอื่นๆ ต่างก็พร้อมใจกันขมวดคิ้ว หมอกดำที่อยู่ไกลออกไปแหวกออก มีจอมยุทธ์กลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้น

ผู้ที่มาเยือนสวมชุดดำทั้งหมด ซึ่งนั่นเป็นการแต่งกายของจอมยุทธ์เขาไร้พรมแดน

ผู้ที่เป็นผู้นำคือมหาปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาคนหนึ่ง ข้างกายของเขามีชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ นั่นก็คือจ้าวฮ่าวอย่างไม่ต้องสงสัย

จ้าวฮ่าวมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอและจ้าวซื่อเฉิงแวบหนึ่ง แววตาสีดำพลันหยั่งลึก  เจ้าได้กลิ่นผงเกสรหญ้าร้อยภูตด้วยอย่างนั้นหรือ 

 โชคดีที่หลังจากเข้าใกล้ได้แล้ว มหาปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาก็พอจะดมกลิ่นได้ ไม่เช่นนั้นก็คงจะหลงกับกลยุทธ์จักจั่นลอกคราบ[1]ของเจ้าเป็นแน่ 

มหาปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาผู้นั้นกล่าวเสียงเรียบนิ่งว่า  ราชาอาณาจักรจ้าวบัดนี้ไม่ได้รับบาดเจ็บธรรมดาเท่านั้น แต่เป็นปราณพิษในหุบเหวปราการมังกรเข้าสู่ร่างกาย 

 หากรักษาไม่ถูกวิธี จะทำให้ราชาอาณาจักรจ้าวสิ้นชีพได้ 

 ในสถานการณ์เช่นนี้จอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์อย่าลงมือเสียจะดีกว่า อีกเดี๋ยวท่านผู้อาวุโสมหาปรมาจารย์ของสำนักข้าก็จะมาถึง ให้เขายื่นมือช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของราชาอาณาจักรจ้าวถึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง 

เขาก้าวเท้าออกมาก้าวหนึ่ง  ช่วยเหลือคนก็เหมือนกับดับเพลิง รวดเร็วดีกว่าช้า ส่งเขามาให้พวกข้าเถิด 

จ้าวฮ่าวไม่ได้มองเยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่แต่อย่างใด ทว่ากลับจ้องมองจอมยุทธ์อาณาจักรถังตะวันออกคนอื่นๆ  หากยังมัวเสียเวลาอยู่ อาจจะทำให้เสด็จพ่อสิ้นพระชนม์ได้ 

 ความรับผิดชอบนี้ พวกเจ้าจะแบกรับไหวหรือ? 

………………..

[1] จักจั่นลอกคราบ เป็นหนึ่งใน 36 กลยุทธ์พิชัยสงครามซุนวู ที่มีความหมายถึงการรักษาไว้ซึ่งตามแบบแผนการจัดแนวรบในรูปแบบเดิม ให้แลดูสง่าและน่าเกรงขาม เป็นการหลอกล่อไม่ให้ศัตรูเกิดความสงสัย ไม่กล้าผลีผลามนำกำลังทหารบุกเข้าโจมตี เมื่อรักษาแนวรบไว้เป็นตั้งมั่นแล้วจึงแสร้งถอยทัพอย่างปกปิด เคลื่อนกำลังทหารให้หลบหลีกไป

 

ภายในหุบเหวปราการมังกร ชายชุดดำกลุ่มหนึ่งยืนอยู่เงียบๆ มองดูหุบเหวที่ราวกับจะถล่มลงได้ทุกเมื่อ

ชายชุดดำเหล่านี้ยืนอยู่เหมือนกับภูเขาสูงเรียงราย

สงบเงียบ หนักแน่น เคร่งขรึม

พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นจอมยุทธ์ของเขาไร้พรมแดน

เขาไร้พรมแดนครอบครองอาณาบริเวณอันกว้างขวางของภูผาพิภพ และยังเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์จำนวนน้อยในโลกเช่นเดียวกันกับเขากว่างเฉิงและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

ข้างกายของจอมยุทธ์เขาไร้พรมแดนกลุ่มนี้ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ รัศมีแผ่ซ่าน ดูดื้อรั้นหัวแข็ง

เขาคนนั้นคือจ้าวฮ่าว องค์ชายสิบหกแห่งอาณาจักรถังตะวันออกนั่นเอง

 ควบคุมความผิดปกติของหุบเหวปราการมังกรได้แล้ว หมอกดำก็สงบลงมากแล้ว จอมยุทธ์ระดับหลอมกายสามารถเข้าไปได้แล้ว ไม่เช่นนั้นก็คงต้องเปลืองแรงข้าอีก 

จ้าวฮ่าวมองไปยังจอมยุทธ์จากเขาไร้พรมแดนที่อยู่ข้างกาย  ท่านผู้อาวุโสเฮ่อ ระบุตำแหน่งของเสด็จพ่อข้าได้หรือไม่ 

จอมยุทธ์ผู้นำกลุ่มจากเขาไร้พรมแดนนั้น เป็นชายชราคนหนึ่งที่มองดูแล้วอ่อนแอและเคลื่อนไหวไม่คล่องนัก

ถึงกระนั้นเมื่อเขายืนอยู่ตรงนั้น ก็เหมือนกับภูเขาสูงลูกหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ที่หุบเหวปราการมังกร

ชายชรากล่าวอย่างเฉยเมย  ขอเพียงแค่โอสถผงที่เจ้าให้มาไม่เกิดข้อผิดพลาดอะไร ก็ต้องหาพบได้แน่ 

จ้าวฮ่าวพยักหน้า  เช่นนั้นก็อย่ารอช้า พวกเรารีบไปกันเถอะ 

 ตอนนี้ข้าเป็นแค่จอมยุทธ์ระดับหลอมกายเท่านั้น ต่อสู้กับจ้าวซื่อเลี่ยที่เมืองชมตะวันไม่ไหวหรอก 

 แต่ถ้าจะลงมือกับเสด็จพ่อข้าก็พอจะมีโอกาสอยู่ 

ผู้อาวุโสเฮ่อกล่าวว่า  ดูจากวิธีการของเจ้าแล้ว เพื่อที่จะทำให้เขากว่างเฉิงกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เปิดศึกกัน ท่านผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักเราจึงไม่ได้เข้ามาที่ถังตะวันออก แต่ก็เตรียมพร้อมเอาไว้เช่นกัน 

 ขอเพียงแค่เจ้าทำสำเร็จ กองหนุนของสำนักเราก็มาสบทบได้ทันที และเข้าไปยังถังตะวันออกช่วยให้เจ้าได้ครองบัลลังก์ 

 ถ้าหากว่าไม่สำเร็จ ก็ไม่เป็นไร เจ้ากลับไปที่ภูผาพิภพกับพวกข้าก็ย่อมได้ 

 พรสวรรค์และฝีมือของเจ้ามากพอที่จะเข้าเป็นศิษย์สำนักเขาไร้พรมแดนของเราได้ 

จ้าวฮ่าวก้าวเดินนำไป  ข้าจะไม่ทำพลาดแน่ 

 ยามตื่นมือครองดาบคร่าชีวิตคน ยามเมามายมีสามงามรายล้อม นี่ถึงจะเป็นชีวิตคน 

 ท่านผู้อาวุโสเหยียน ดูแล้วจุดมุ่งหมายของอีกฝ่ายจะไม่ใช่เยี่ยนจ้าวเกอ แต่เป็นทั้งอาณาจักรถังตะวันออกเลยขอรับ  จอมยุทธ์ที่เกิดความกังวลคนหนึ่งพูดขึ้น

เหยียนซวี่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย  พวกเราไปที่พระราชวังถังตะวันออกกัน ก่อนอื่นต้องจัดการค่ายกลชมตะวันให้มั่นคงได้เสียก่อน 

ไม่ว่าส่วนตัวจะคิดวางแผนอะไรไว้ แต่เหยียนซวี่เองก็ไม่อยากเห็นถังตะวันออกถูกสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ยึดครอง แล้วเขากว่างเฉิงของตนเองเป็นฝ่ายถูกขับไล่ออกมาเช่นกัน

เขาจัดการแบ่งหน้าที่ให้จอมยุทธ์ที่อยู่ใต้บัญชา พลางถามว่า  เยี่ยนจ้าวเกอเข้าไปในหุบเหวปราการมังกรแล้วหรือ 

ผู้ที่อยู่ใต้บัญชากล่าวตอบว่า  ขอรับ เข้าไปพร้อมกับท่านผู้อาวุโสข่ง 

 ตอนนี้ในหุบเหวปราการมังกรโกลาหลอย่างยิ่ง คนทั่วไปไม่กล้าเข้าใกล้แม้แต่รอบนอก 

 เกรงว่าท่านผู้อาวุโสฉินและท่านผู้อาวุโสข่ง จะกำลังเปิดศึกอย่างดุเดือดกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อยู่ขอรับ! 

เหยียนซวี่พยักหน้า ไม่พูดอะไร คิดในใจว่า ‘สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คิดจะจัดการทั้งถังตะวันออกและเยี่ยนจ้าวเกอไปพร้อมๆ กัน’

‘ท่านผู้อาวุโสฉินและท่านผู้อาวุโสข่งถูกทะยานบูรพาและบรรดายอดฝีมือรั้งเอาไว้ ซึ่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ยังมีคนอื่นอีก’

สายตาของเหยียนซวี่เคร่งขรึม ‘ข้าไม่มีทางมอบถังตะวันออกให้พวกสุริยันศักดิ์สิทธิ์แน่ ส่วนเยี่ยนจ้าวเกอน่ะหรือ…’

เขาเรียกคนสนิทของตัวเองมาแล้วออกคำสั่งว่า  คอยจับตาดูสถานการณ์ที่หุบเหวปราการมังกรให้ดี 

ณ จวนจิ่นอ๋อง เมืองชมตะวัน เมืองหลวงอาณาจักรถังตะวันออก

จ้าวซื่อเลี่ย จิ่นอ๋องยืนอยู่ที่สวนหน้าจวน ด้านหลังมีจอมยุทธ์กลุ่มหนึ่งยืนนิ่งเงียบ ทุกคนดูเตรียมพร้อมและฮึกเหิม

ข้างกายจ้าวซื่อเลี่ยกลับเป็นจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่ง เขามองไปยังจ้าวซื่อเลี่ยพลางกล่าวอย่างช้าๆ ว่า  ท่านจิ่นอ๋อง ถึงเวลาต้องตัดสินใจแล้วขอรับ 

จ้าวซื่อเลี่ยสูดหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง

การกระทำในระยะนี้ของจ้าวซื่อเฉิง ราชาอาณาจักรถังตะวันออก เอนเอียงไปทางเขากว่างเฉิงอย่างสิ้นเชิง สถานการณ์ต่างๆ ก็เริ่มเห็นได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อเป็นเช่นนี้ ตำแหน่งของจ้าวซื่อเลี่ยก็กลายเป็นความน่าอึดอัดใจอย่างยิ่ง

เขาเป็นมหาปรมาจารย์ และเป็นหนึ่งในสามมหาปรมาจารย์ยอดฝีมือแห่งราชวงศ์อาณาจักรถังตะวันออก

การคิดคำนึงถึงความสามารถโดยรวมของถังตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นจ้าวซื่อเฉิงหรือผู้ดำรงตำแหน่งต่อจากจ้าวซื่อเฉิง ก็ไม่อาจแตะต้องเขาได้โดยง่าย

แต่ถ้าหากว่าปัญหาระหว่างเขากว่างเฉิงและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคำนึงถึงความสงบปลอดภัยของถังตะวันออกแล้ว สถานการณ์ของเขาจ้าวซื่อเลี่ยก็ดูท่าจะไม่ปลอดภัยแล้ว

จ้าวซื่อเลี่ยรู้จักเสด็จพี่จ้าวซื่อเฉิงของตนเองดี เมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญ เขานับเป็นคนที่ตัดสินใจเฉพาะหน้าได้เด็ดขาดคนหนึ่ง

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ตนเองก็จำเป็นต้องตัดสินใจให้เด็ดขาดเช่นกัน!

 ออกเดินทาง! ศูนย์กลางค่ายกลอยู่ในอาณาเขตภายในพระราชวัง  จ้าวซื่อเลี่ยก้าวเท้านำหน้าออกไป

สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางที่จะเล่นงานเขากว่างเฉิงให้ราบคาบได้ในเวลาอันสั้น ต่อให้ตอนนี้ยึดถังตะวันออกได้แล้ว ก็ต้องเผชิญหน้ากับการโต้กลับของเขากว่างเฉิงเช่นกัน

เมื่อนั้น อาณาจักรถังตะวันออกจะกลายเป็นศูนย์กลางการแย่งชิงของทั้งสองฝ่าย

ทว่าเมื่อดูสถานการณ์ที่นับวันยิ่งแย่ลง แทนที่จะนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ ลองออกไปสู้กันสักตั้งน่าจะดีกว่า

พูดก็คือจ้าวซื่อเลี่ยไม่พอใจที่จะต้องอยู่ภายใต้คนอื่นเช่นนี้ไปตลอด!

มหาปรมาจารย์ยอดฝีมือของราชวงศ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออก นอกจากจ้าวซื่อเฉิง ราชาอาณาจักร และจ้าวซื่อเลี่ย จิ่นอ๋องผู้นี้แล้ว ก็ยังมีอ๋องเฒ่าที่เป็นผู้อาวุโสของพวกเขาอีกท่านหนึ่ง

ผู้อาวุโสผู้นี้ก็มีใจเช่นเดียวกับจ้าวซื่อเฉิง บัดนี้รับหน้าที่ควบคุมศูนย์กลางของค่ายกล

เรื่องที่ค่ายกลเกิดความผิดปกติ และจ้าวซื่อเฉิงได้รับบาดเจ็บอีกทั้งยังถูกกักขังไว้ เขารับทราบและกำลังปิดข่าวอย่างเงียบๆ

ทว่าเมื่ออ๋องเฒ่าเห็นจ้าวซี่อเลี่ยปรากฏตัวขึ้น ลางสังหรณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็กระจ่าง  ซื่อเลี่ย… 

 ล่วงเกินเสด็จลุงแล้ว  เมื่อจ้าวซื่อเลี่ยเจอเขาแล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ลงมือโดยพลัน

ท่านอ๋องอาวุโสถอนหายใจยาวๆ ครั้งหนึ่ง แล้วรั้งจ้าวซื่อเลี่ยเอาไว้

จอมยุทธ์ที่อยู่ใต้บัญชาของทั้งสองฝ่ายพลันปะทะเข้าหากัน!

ค่ายกลเมืองชมตะวันสั่นสะเทือน เมื่อมองจากภายนอกก็รู้สึกได้ถึงความสั่นคลอนเช่นกัน!

ภายในหุบเหวปราการมังกร หมอกดำตลบอบอวลไปทั่วสารทิศ ส่วนลึกของหุบเขามีแสงวงหนึ่งกำลังสาดส่องออกไปในบริเวณกว้าง

อาณาบริเวณที่แสงสาดส่องไปถึงนั้น บนพื้นพลอยปรากฏอักขระจิตกะพริบแสงอยู่รางๆ ด้วย

อักขระวิญญาณตัดสลับกันทั้งแนวตั้งและแนวนอน ประกอบกันเป็นภาพค่ายกลขนาดมหึมา มองไปแล้วคล้ายกับค่ายกลของอาณาจักรถังตะวันออกที่อยู่ที่เมืองชมตะวัน เพียงแต่ว่าขนาดพื้นที่เล็กกว่ามากนัก

ในหุบเหวปราการมังกรนอกพื้นที่ที่ค่ายกลปกคลุม มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมาก

พลังจากการปะทะระหว่างจอมยุทธ์ของเขากว่างเฉิงและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ทำให้พลังของค่ายกลนี้สั่นไหวเหมือนจะพังทลายลง

จุดศูนย์กลางที่อักขระวิญญาณตัดกัน มีจ้าวซื่อเฉิง ราชาอาณาจักรถังตะวันออกหมดสติอยู่

บนร่างกายของเขามีปราณสีดำลักษณะเหมือนเสายื่นออกมา ภายในเสาปราณมีแสงสีแดงกะพริบสั่นไหว

ปราณสีดำยื่นออกไปไกล เสียดสีต้านทานกับพลังของค่ายกล ส่วนปลายของอีกด้านหนึ่งยื่นลงไปในหุบเหว

เหมือนกับงูเหลือมสีดำดุร้ายตัวหนึ่ง กำลังกัดร่างของจ้าวซื่อเฉิงอยู่

บรรดาจอมยุทธ์ถังตะวันออกที่อยู่ข้างกายของจ้าวซื่อเฉิง ล้อมรอบกายเขาไว้ แบ่งกำลังประคับประคองค่ายกลเอาไว้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็ทดลองตัดปราณดำออก เพื่อช่วยให้จ้าวซื่อเฉิงหลุดพ้นจากอันตราย

ในตอนนี้เอง จู่ๆ ค่ายกลก็หมือนกับถูกบางสิ่งกระตุ้น อักขระค่ายกลแต่ละแถวบิดเบี้ยวไปอย่างรุนแรง

เมื่อได้รับผลกระทบจากคายกล จ้าวซื่อเฉิงที่ยังหมดสติอยู่ก็สั่นสะเทือนไปทั้งร่าง

เขาที่ไร้ความรู้สึกแม้แต่น้อย บัดนี้มีเลือดสีดำไหลออกมาจากมุมปากเป็นทาง

 ฝ่าบาท!  ทุกคนตื่นตกใจ

เยี่ยนจ้าวเกอคอยหลบหลีกหินขนาดใหญ่ที่ตกลงมาจากด้านบนเป็นพักๆ พร้อมทั้งแหวกปราณดำออก ในที่สุดก็มาถึงที่ใกล้ๆ กับค่ายกล

ภาพแรกที่ได้เห็นก็คือค่ายกลกำลังสั่นสะเทือน ส่วนจ้าวซื่อเฉิงกำลังกระอักเลือด

ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น  เกิดกบฏขึ้นที่เมืองชมตะวันดังคาดแล้วจริงๆ 

บรรดาคนของอาณาจักรถังตะวันออกเห็นเขากว่างเฉิงส่งคนมาช่วย ในใจก็รู้สึกดีใจ

ทว่าเมื่อเห็นว่ามีเพียงเยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่เท่านั้น ใบหน้าก็พลันเต็มไปด้วยความผิดหวังทันที

หากจะตัดเสาปราณดำให้ขาด จำเป็นต้องให้มหาปรมาจารย์ลงมือถึงจะสำเร็จ!

ด้านนอกค่ายกล จอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ระหว่างประมือ ก็พบว่ามีคนกำลังเข้าใกล้จ้าวซื่อเฉิงอยู่

ชั่วพริบตานั้น จู่ๆ หมอกดำก็สลายหายไป มีแสงสีทองกะพริบขึ้นมาแทนที แสงนั้นราวกับดวงอาทิตย์เจิดจ้าดวงหนึ่งคล้อยตกลงไปในน้ำที่ลึกไม่มีที่สิ้นสุด ส่องสว่างไปในความมืดมิดทั้งแปดทิศ!

และแสงสีทองอันน่าหวาดกลัวนั้น กำลังตกลงไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ!

………………..

 

 ท่านลุงจ้าวได้รับอันตรายในหุบเหวปราการมังกรอย่างนั้นหรือ? เป็นฝีมือสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่? เพื่อเฝ้าระวังพวกทะยานบูรพา ท่านผู้อาวุโสฉินจึงเคลื่อนไหวพร้อมกับท่านลุงจ้าวโดยเฉพาะ 

เยี่ยนจ้าวเกอสูดหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่ง แล้วมองไปยังชายวัยกลางคนหนวดสีดำที่อยู่เบื้องหน้า

ชายวัยกลางคนหนวดดำผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสข่ง ที่ออกจากสำนักมายังเกาะนภาตะวันออก เพื่อช่วยเหลือผู้อาวุโสฉิน

ผู้อาวุโสข่งดูสง่ารอบรู้ สวมชุดคลุมยาว มองดูแล้วราวกับบัณฑิตวัยกลางคนคนหนึ่ง

ตอนที่อยู่ในสำนัก เยี่ยนจ้าวเกอรู้จักเขาเป็นอย่างดี และรู้ว่าผู้อาวุโสท่านนี้มักจะพูดรักษาน้ำใจผู้อื่นเสมอ

เขาบอกว่าจ้าวซื่อเฉิงประสบอันตรายที่หุบเหวปราการมังกร เช่นนั้นสถานการณ์จริงคงจะร้ายแรงยิ่งกว่า

ผู้อาวุโสข่งมองเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วพูดสั้นๆ ว่า  พวกท่านผู้อาวุโสฉินยังคงควบคุมความผิดปกติของหุบเหวอยู่ แต่จำเป็นต้องให้ข้าเข้าไปช่วยเหลือราชาอาณาจักร และนำเขาออกมา 

 เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่สามารถคอยดูแลเจ้าอยู่ด้านนอกนี้ได้อีกแล้ว เจ้าเต็มใจจะตามข้าเข้าไปยังหุบเหวปราการมังกรหรือไม่ 

เยี่ยนจ้าวเกอตัดสินใจในทันที  ข้าจะไปกับท่าน 

ผู้อาวุโสข่งพยักหน้า ไม่พูดอะไรมาก แล้วออกเดินทางทันที

ขณะที่เดินทาง เยี่ยนจ้าวเกอก็ค่อยๆ รับรู้ถึงความเป็นมาของเรื่องราว

การเปลี่ยนแปลงของหุบเหวปราการมังกรยังไม่สงบลง ทว่าก็ไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงอะไรอีก

จากคำบอกเล่าของผู้อาวุโสข่ง การเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ในครั้งนี้ แท้จริงแล้วต้นตอมาจากอเวจี

เยียนตี๋และบรรดายอดฝีมือ เมื่อจัดการกับปัญหาที่นั่นแล้ว การเปลี่ยนแปลงของหุบเหวปราการมังกรก็หายไปเป็นธรรมดา

ก่อนหน้านี้พวกเฒ่าเหนือมนุษย์หานเซิ่ง ได้ฝังชนวนเอาไว้ในหุบเหวปราการมังกร ครั้นอเวจีเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น ก็จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่มาถึงหุบเหวเอง กระนั้น เยี่ยนจ้าวเกอเปิดโปงแผนการของหานเซิ่งได้เสียก่อน

ฉะนั้นวันนี้จึงเป็นการถอนรากถอนโคนโดยสิ้นเชิง

ทว่าระหว่างนั้นกลับเกิดปัญหาขึ้นเสียแล้ว

จ้าวซื่อเฉิงสร้างค่ายกลช่วยเหลือ ร่วมควบคุมความผิดปกติของหุบเหวปราการมังกรกับผู้อาวุโสฉิน คนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ และคนของเขาไร้พรมแดน

เมื่อดำเนินการมาถึงครึ่งทาง ค่ายกลกลับสูญเสียความมั่นคงจากการจู่โจมของหุบเหวปราการมังกร พลังของค่ายกลย้อนกลับ ทำให้ปราณพิษจำนวนมากไหลทะลักเข้าไปในร่างกายของจ้าวซื่อเฉิง

พลังก่อกวนภายในหุบเหวปราการมังกรถูกมองเป็นช่องโหว่ ดังนั้นจึงทุ่มสุดกำลังโจมตีกลับ ความกดดันกดทับอยู่ที่ตัวของจ้าวซื่อเฉิงแทบจะทั้งหมด

ผู้อาวุโสฉินและคนอื่นๆ แม้จะยับยั้งพลังก่อกวนได้ทันเวลา ทว่าด้วยเหตุนี้จ้าวซื่อเฉิงก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน

และเรื่องที่จัดการได้ยากยิ่งกว่านั้นก็คือ ปราณพิษที่อยู่ในรูปของหมอกดำนั้น เข้าสู่ร่างกายของจ้าวซื่อเฉิงในปริมาณมาก ทำให้เขาหมดสติไป เมื่อไม่รู้สึกตัวเช่นนี้ ใครจะเคลื่อนย้ายเขาก็ทำได้ยากนัก

อีกทั้งปราณพิษเสมือนกับโซ่ตรวนที่พยายามดึงจ้าวซื่อเฉิงลงไปในหุบเหว

กลุ่มจอมยุทธ์ของถังตะวันออกที่เดินทางมาด้วยกัน ก็ทำได้แค่เพียงพยายามทำให้จ้าวซื่อเฉิงไม่ถูกหุบเหวดูดกลืนไป ทว่าไม่สามารถคุ้มกันส่งเขาออกไปรับการรักษาภายนอกได้

เมื่อผู้อาวุโสข่งเข้ามาในหุบเหวปราการมังกรแล้ว อันดับแรกเขาต้องตัดขาดปราณพิษที่จู่โจมทำร้ายจ้าวซื่อเฉิงก่อน แล้วจึงจะพาเขาออกจากสถานที่อันตรายเช่นนี้ไปรับการรักษาได้

ทว่าเมื่อมาถึงครึ่งทาง เยี่ยนจ้าวเกอกับผู้อาวุโสข่งก็ไปต่อไม่ได้อีก

เพราะเบื้องหน้าปรากฏหญิงวัยกลางคนสวมอาภรณ์สีขาว คาดเอวด้วยผ้าสีทองคนหนึ่ง ลมปราณรอบกายนางคอยปัดเป่าหมอกดำโดยรอบให้กระจายออกไปรอบทิศ จนพวกเขาไม่กล้าจะเข้าใกล้

หญิงวัยกลางคนผู้นี้ยิ้มอย่างเย็นชา พลางมองผู้อาวุโสข่งและเยี่ยนจ้าวเกอ  ความผิดปกติของหุบเหวปราการมังกรสงบลงแล้ว เช่นนั้นต้องคิดบัญชีระหว่างพวกเราหน่อยแล้วล่ะ 

 เขากว่างเฉิงของเจ้าคิดว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของข้ารังแกได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ? 

ผู้อาวุโสข่งขมวดคิ้ว  เป็นอุบายของพวกเจ้า ทำให้ค่ายกลของถังตะวันออกเกิดอุบัติเหตุอย่างนั้นหรือ? 

สตรีผู้นั้นดีดนิ้ว ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น  อย่าได้กล่าววาจาซี้ซั้ว ความผิดปกติของหุบเหวปราการมังกรเกิดจากอเวจี ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ของทั้งโลกแปดพิภพ 

 ทุกคนล้วนออกแรงช่วยกันทั้งนั้น สำนักของข้าเองก็ไม่ต่างกัน แล้วจะมาเอาเท้าราน้ำได้อย่างไร 

 ส่วนราชาอาณาจักรถังตะวันออก บอกได้เพียงแค่ว่าเขาโชคไม่ดีก็เท่านั้น 

ภายในดวงตาของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ค่อยๆ ปรากฏความเย็นเยียบ  แน่นอน ที่อาจจะเป็นไปได้มากกว่านั้นก็คือ เขาไม่รู้จักขุมกำลังขนาดใหญ่ ถึงมาสร้างศัตรูกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของข้า ไม่แน่เขาอาจจะถูกฟ้าลงโทษก็เป็นได้ 

ใบหน้าของผู้อาวุโสข่งนิ่งสงบประหนึ่งผืนน้ำ เขารู้จักผู้สตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ นางเป็นผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

แม้ว่านางจะไม่ได้เป็นหนึ่งในเจ็ดสุริยัน ทว่าความสามารถวรยุทธ์ที่มี เกรงว่าคงจะไม่ด้อยไปกว่าท่านทะยานบูรพาเลย

ถึงผู้อาวุโสข่งจะไม่เกรงกลัวอีกฝ่าย ทว่าเมื่ออีกฝ่ายมาจู่โจมเช่นนี้ ตนคิดอยากจะเดินทางต่อก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย

ยิ่งเสียเวลามากขึ้นเท่าใด จ้าวซื่อเฉิงก็จะยิ่งตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นเท่านั้น

อีกทั้งเมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว เกรงว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คงวางแผนมาตั้งนานแล้ว ไม่ต้องถามก็รู้ ว่าผู้อาวุโสฉินเองก็คงถูกทะยานบูรพาถ่วงเวลาไว้เช่นกัน

และที่น่าเป็นห่วงมากกว่านั้น ก็คือจ้าวซื่อเฉิงประสบอันตรายจนหมดสติไป จะสามารถเอาชีวิตรอดออกจากหุบเหวปราการมังกรได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่นัก

ส่วนจ้าวซื่อเลี่ย จิ่นอ๋องที่อยู่ด้านนอก…

ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสฉินหรือผู้อาวุโสข่ง หากยังอยู่ด้านนอก จ้าวซื่อเลี่ยก็ไม่กล้าจะกระทำการบุ่มบ่ามแม้แต่น้อย

ทว่าหากมีเพียงแค่เหยียนซวี่ เช่นนั้นเมื่อจ้าวซื่อเลี่ยคุมสถานการณ์แทนจ้าวซื่อเฉิงได้ เหยียนซวี่เองก็จะจัดการได้ยากยิ่ง

 ท่านผู้อาวุโสข่งขอรับ ข้าจะไปตามหาท่านลุง  เยี่ยนจ้าวเกอพูดเสียงเบา ผู้อาวุโสข่งก็หันกลับไปมองเขาแวบหนึ่ง

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า  ข้าจะไปขอรับ 

ผู้อาวุโสข่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าเวลาไม่คอยใคร หลังจากเขาไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ ก็ทำได้เพียงพยักหน้า

เขารีบบอกตำแหน่งของกลุ่มคนจากถังตะวันออกให้เยี่ยนจ้าวเกอรู้อย่างรวดเร็ว  เจ้าจำตำแหน่งไว้ให้ดี แล้วก็ระวังตัวด้วย 

การสร้างสิ่งมหัศจรรย์อย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้อาวุโสข่งเกิดความเชื่อมั่นในตัวของเยี่ยนจ้าวเกอมากทีเดียว

ชายหนุ่มไม่กล่าวอะไรให้มากความ นำอาหู่เดินต่อไปข้างหน้าทันที

หญิงวัยกลางคนผู้นั้นคิดจะขัดขวางเยี่ยนจ้าวเกอ ทว่ากลับผู้อาวุโสข่งดักรั้งนางเอาไว้

คิ้วเรียวยาวของอีกฝ่ายขมวดมุ่น ก่อนจะยิ้มพลางกล่าวด้วยเสียงเย็นชาว่า  นั่นคือบุตรชายของเยี่ยนตี๋สินะ อยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลาง ก็สามารถเอาชนะเซียวเซิงที่อยู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายได้ หาได้ยากยิ่งนัก แต่ก็อย่าลืมเสีย… 

 อัจฉริยะที่ตายเร็ว ล้วนไร้ค่า! 

ผู้อาวุโสข่งกล่าวเสียงเบาว่า  ไม่ว่าใครก็ตามที่ตายไป ก็เป็นเพียงการกลับสู่ผงธุลีดินเท่านั้น ปรมาจารย์ มหาปรมาจารย์ก็เหมือนกัน 

สิ้นคำพูด ฝ่ามือทั้งสองก็ตัดเข้าหากัน ปรากฏเป็นวรยุทธที่สืบทอดโดยตรงของเขากว่างเฉิง ฝ่ามือม่านทอง หนึ่งในยอดวิชาแปดพิภพ ก่อนจะพุ่งโจมตีเข้าหาอีกฝ่าย

หญิงวัยกลางคนผู้นั้นก็สำแดงวิชาวรยุทธ์ขั้นสูงของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เข้าปะทะกับผู้อาวุโสขงด้วยเช่นกัน

การต่อสู้กันระหว่างมหาปรมาจารย์อาวุโสที่แก่กล้าทั้งสองคน ทำให้ทั้งหุบเหวปราการมังกรสั่นไหวราวกับจะพังทลาย

เยี่ยนจ้าวเกอกับอาหู่เดินอยู่ในหุบเหว พวกเรารู้สึกได้ว่าไม่เพียงแต่ด้านหลังของตนเองที่เกิดการสั่นสะเทือนอย่างชัดเจน ทว่าบริเวณอื่นๆ ก็สั่นสะเทือนอย่างชัดเจนเช่นกัน

แสดงให้เห็นว่า บรรดายอดฝีมือของทั้งเขากว่างเฉิงและสำนักศักดิ์สุริยัน ที่เดินทางเข้าสู่หุบเหวปราการมังกรโดยมีผู้อาวุโสฉินและทะยานบูรพาเป็นผู้นำนั้น ก็เปิดฉากการต่อสู้ขึ้นมาแล้วเช่นกัน

จัดการต้นตอที่มาจากอเวจีอย่างถอนรากถอนโคนไปแล้ว อีกทั้งความผิดปกติของหุบเหวปราการมังกรก็สงบลงแล้ว ทั้งสองฝ่ายไม่มีสิ่งใดต้องคำนึงถึงอีก จึงปล่อยตัวเองให้สู้กันอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินกันเต็มที่

ขณะเดินทางอยู่ในหุบเหวปราการมังกร เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกเพียงว่าทั่วฟ้าทั่วแผ่นดินกำลังหมุนวนไปมา ราวกับพื้นที่นี้จะถล่มลงไปได้ทุกเมื่อ

อาหู่ที่เดินอยู่ในขณะนี้ก็ก้าวเท้าหนักทีเบาที ตามติดอยู่ข้างกายเยี่ยนจ้าวเกอ  คุณชายขอรับ อีกฝ่ายกำลังคิดจะเล่นดึงฟืนออกจากใต้หม้อ[1]หรืออย่างไร! 

 ครั้งก่อนที่เมืองชมตะวันก็เสียเปรียบแล้ว ล้มที่ไหนก็ต้องลุกขึ้นมาที่นั่น  เยี่ยนจ้าวเกอเบิกตาโพลงพลางแสยะยิ้ม  กระเพาะพวกเขาใหญ่จะตาย เป้าหมายไม่ได้มีเพียงการสังหารข้าเท่านั้น อาจจะเพราะแก้แค้นศิษย์น้องเฟิงที่หักหน้าสำนักด้วย 

 พวกเขาอยากได้ถังตะวันออก เพื่อยึดเป็นป้อมปราการด่านหน้าในเกาะนภาตะวันออก คิดจะบุกเข้ามาในนภาพิภพอย่าเด็ดขาก! 

เยี่ยนจ้าวเกอถอนหายใจครั้งหนึ่ง  ท่านลุงจ้าวในฐานที่เป็นราชาของอาณาจักร ครั้งนี้เสี่ยงอันตรายเข้ามายังหุบเหวปราการมังกร ก็ต้องระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองมากแน่นอน 

 ท่านผู้อาวุโสฉินเคลื่อนไหวกับเขาโดยเฉพาะ ก็เพื่อที่จะป้องกันและหยุดยั้งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ในการโจมตีแก้แค้นท่านลุงจ้าว 

 แต่เมื่อดูจากตอนนี้แล้ว ปัญหาไม่ได้มาจากพวกทะยานบูรพาลงมือ ทว่าเกิดปัญหาที่ค่ายกลชมตะวันต่างหาก! 

 ท่านลุงจ้าวให้ความสำคัญกับมิตรภาพ ด้วยนิสัยเปิดเผยใจกว้าง การแทรกซึมเข้ามาในถังตะวันออกของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ จึงหยั่งลึกเสียยิ่งกว่าที่สำนักเรารับรู้อีก 

 ทุกการวางแผนเตรียมการ ยิ่งใช้เวลามากก็ยิ่งละเอียดรอบคอบ กลับกันก็จะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้ง่าย อีกทั้งยังทำให้ศัตรูรู้สึกตัวได้ 

 หากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ยังคงเตรียมการต่อไปเช่นนี้ แท้จริงแล้วจะยิ่งง่ายต่อการค้นพบและป้องกันของสำนักเรา 

 แต่ความผิดปกติของหุบเหวปราการมังกรครั้งนี้ ช่วยพวกเขาเสริมส่วนที่ขาดได้โดยบังเอิญ จึงสามารถเคลื่อนไหวได้เร็วกว่ากำหนด ส่งผลให้เรื่องนี้ประสบความสำเร็จ 

แววตาของเยี่ยนจ้าวเกอหม่นลง  อีกทั้งไม่เพียงแค่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ครั้งนี้คนของเขาไร้พรมแดนก็อาจจะอยากยื่นมือเข้ามาผสมโรงด้วยเช่นกัน 

………………..

[1] ดึงฟืนออกจากใต้หม้อ หมายถึง จัดการปัญหาที่ต้นตอ

 

เยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้ภายนอกดูปกติไม่มีอะไรพิเศษ ทว่าภายในร่างกายของเขากลับแฝงไปด้วยพลังที่พร้อมจะระเบิดออกมา

ภายในจุดลมปราณทั่วร่างกายเหมือนกับมีมังกรน้ำแข็งตัวหนึ่ง และมังกรเพลิงตัวหนึ่งยึดครองอยู่

น้ำแข็งและเพลิงสับเปลี่ยน หยินหยางเบียดเสียด ในระหว่างการหมุนเวียนสับเปลี่ยนไปมา ต่างก็ช่วยกันเบิกทางซึ่งกันและกันอย่างไม่สิ้นสุด

ครั้นยกมือครั้งหนึ่ง ยกเท้าครั้งหนึ่ง ก็เหมือนกับมีมังกรน้ำแข็งและมังกรเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวไปพร้อมกัน

เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอมาถึงตรงหน้าทุกคน เขาก็ปล่อยตัวลงสู่พื้น แล้วจึงคำนับให้กับทุกคน

ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนี้พลันฟื้นคืนจากความตกตะลึง เพียงแต่สายตาที่มองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอก็ยากที่เลี่ยงความประหลาดใจได้

ใช้เวลาหนึ่งเดือนบรรลุจากขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้น สู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลาง และใช้เวลาครึ่งปีบรรลุจากขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลาง สู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย

หากพิจารณาดูเร็วๆ การบรรลุครั้งหลังเหมือนจะมีความเร็วลดลงกว่าครั้งแรก

ทว่าทุกคนในเหตุการณ์ต่างก็รู้ดี ว่าการเบิกทะลุของครั้งแรกนั้น จำเป็นต้องเข้าใจความหมายในระดับหนึ่งอย่างฉับพลัน ข้ามผ่านจุดยาก และหลอมปราณเป็นอาวุธ

ส่วนครั้งหลัง นั่นเป็นการฝึกฝนวรยุทธ์เพียงอย่างเดียว เมื่อสั่งสมปราณจิตราจนถึงระดับที่มากพอแล้ว จึงสามารถบรรลุได้

กล่าวอีกความหมายหนึ่งก็คือจำเป็นต้องใช้เวลา

ถึงกระนั้นกระบวนการที่จำเป็นต้องใช้เวลาเช่นนี้ เยี่ยนจ้าวเกอกลับใช้เวลาสั้นกว่าผู้อื่นมากจนไม่น่าเชื่อ

 เขาทำได้อย่างไรกัน?  ผู้คนรู้สึกเพียงว่าตาลายเวียนหัวเป็นพักๆ  หรือว่านี่ก็มีวิธีลัดอีก? 

ก็เหมือนกับวิชาเข็มวิเศษสุริยันของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ทุกอย่างที่เป็นวิธีสำเร็จรวบรัดนั้น ก็มักจะมีผลข้างเคียงที่รุนแรงตามมาด้วย

โดยส่วนมากแล้วสิ่งที่ต้องจ่ายนั้นมากเสียยิ่งกว่าผลกำไร หากไม่คับขันจริงๆ ก็ไม่มีผู้ใดคิดที่จะใช้มัน

อีกทั้งวิธีการที่คล้ายๆ กันนี้ก็ใช้ได้ครั้งเดียว ไม่สามารถใช้ได้อีก เพราะหลังจากการใช้หนึ่งครั้ง ผลสืบเนื่องก็จะปิดกั้นความเป็นไปได้ที่จะใช้อีกครั้ง

ดังนั้นทุกคนที่มองเยี่ยนจ้าวเกออยู่ตอนนี้ ล้วนมีสีหน้าเหมือนกับมองปีศาจทั้งหมด

เยี่ยนจ้าวเกอทำเป็นมองไม่เห็นสายตาพวกนั้น เขาบังคับปราณแล้วลอยตัวไปในอากาศ ก็แค่ต้องการเป็นจุดสนใจ และตอนนี้ก็ทำสำเร็จแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรกันอีก

คำพูดนั้นกล่าวว่าอย่างไรนะ

ส่งสายตาให้เจ้าครั้งหนึ่ง ไปทำความเข้าใจด้วยตัวเจ้าเอง

‘อืม เช่นนี้แหละ’ เยี่ยนจ้าวเกอพอใจกับผลตอบรับเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่เอ่ยถึงประเด็นที่ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์เมื่อครู่นี้ เพียงแต่ถามเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นว่า  ทุกท่านรวมตัวกันอยู่ที่นี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ 

หลายคนค่อยๆ หลุดออกจากภวังค์ มีคนหนึ่งพูดขึ้นมาก่อนว่า  หมอกดำภายในหุบเหวปราการมังกรเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งอีกครั้งแล้ว อีกทั้งยังรุนแรงขึ้นมาก แม้แต่จอมยุทธ์ปรมาจารย์ทั่วไปก็ยากที่เข้าใกล้ได้ 

 ความผิดปกติที่รุนแรงขึ้น ทำให้ท่านผู้อาวุโสฉินและท่านผู้อาวุโสเหยียนต้องเตรียมเข้าไปในหุบเหวปราการมังกร เพื่อควบคุมหมอกดำและตรวจสอบสาเหตุ 

ความผิดปกติขนาดใหญ่ครั้งนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ทว่าสำหรับเขากว่างเฉิง สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ และอาณาจักรถังตะวันออกแล้ว นี่ก็เป็นโอกาสดีที่จะจัดการกับปัญหาให้สิ้นซาก

มิเช่นนั้นหากแก้ไขเพียงแค่ปัญหา แต่ไม่จัดการกับต้นเหตุแล้วล่ะก็ ต่อไปก็จะกลายเป็นปัญหาระยะยาวที่ยิ่งต้องใช้เวลาและพละกำลังที่มากขึ้น

ก่อนหน้านี้ขุมกำลังอื่นคอยจับตามองอยู่ตลอด ก็เพื่อรอให้ปัญหาของหุบเหวปราการมังกรเปิดเผยออกมาจนหมดสิ้น แล้วค่อยหาสาเหตุต้นตอที่มาเพื่อจัดการกับมัน

ในขณะเดียวกันฝั่งอเวจีนั้น ก็เป็นต้นตอที่ว่า

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า ตนเองออกฌานในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะเสียจริง

จากนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก เขาไปพบผู้อาวุโสฉินและยอดฝีมือระดับสูงของเขากว่างเฉิงพร้อมกับอื่นๆ

นอกจากผู้อาวุโสฉินกับเหยียนซวี่แล้ว เขากว่างเฉิงยังมีคนผู้หนึ่งที่เร่งรีบเดินทางจากสำนักมายังเกาะนภาตะวันออก เพื่อช่วยจับตามองผู้อาวุโสสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เขาเป็นมหาปรมาจารย์ที่มีฝีมือแก่กล้า และมีพลังที่แข็งแกร่งเช่นกัน

เมื่อผู้อาวุโสฉินเห็นเยี่ยนจ้าวเกอ เขาพลันพูดว่า  ครั้งนี้เจ้าไม่ต้องตามพวกข้าไปเข้าไปที่หุบเหวปราการมังกรแล้ว 

 เรื่องเร่งด่วนในตอนนี้ คือสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะมีการเคลื่อนไหวอย่างไร แต่ก็พูดยากนัก สำนักเราต้องระมัดระวังไว้เป็นอันดับแรก จิตใจคอยระวังคนมิควรขาด 

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวตอบว่า  ข้าเข้าใจขอรับ 

ผู้อาวุโสที่มาจากสำนักผู้นั้น จะคอยคุมการณ์อยู่ด้านนอก และปกป้องเยี่ยนจ้าวเกอ ขณะเดียวกันก็จะคอยจับตามองทิศทางการเคลื่อนไหวของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นกัน

เหยียนซวี่ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสคุมการณ์ที่คุ้นเคยกับสิ่งต่างๆ ของถังตะวันออกเป็นอย่างดี ก็จะคอยช่วยเหลืออยู่ด้านนอกด้วยเช่นกัน

ส่วนผู้อาวุโสฉินและคนอื่นๆ จะเข้าไปที่หุบเหวปราการมังกร

ทางด้านของอาณาจักรถังตะวันออก จ้าวซื่อเฉิง ราชาอาณาจักรก็เดินทางไปด้วยตนเอง

แม้ว่าเขาจะมีศักดิ์เป็นราชา ไม่ควรที่จะไปเสี่ยงอันตรายด้วยการนำทัพออกไปเช่นนี้ ทว่าในฐานะที่เป็นบุคคลเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถควบคุมค่ายกลของเมืองชมตะวันจากระยะไกลได้ ฉะนั้นจึงอยู่ในความรับผิดชอบของเขา

พื้นแผ่นดินของถังตะวันออกเชื่อมติดกับหุบเหวปราการมังกร หากใช้เมืองชมตะวันเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมกำลังในพื้นที่ของอาณาจักรถังตะวันออก จะมีผลดีอย่างยิ่งในการควบคุมความผิดปกติของหุบเหวปราการมังกร

เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด บรรดายอดฝีมือทั้งหลายของเขากว่างเฉิงอันมีผู้อาวุโสฉินเป็นผู้นำ จะเดินทางไปพร้อมกันกับจ้าวซื่อเฉิงและบรรดาจอมยุทธ์ของถังตะวันออก

ทางสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งก็ส่งข่าวมาว่า อเวจีและหุบเหวปราการมังกรนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ให้ยึดเรื่องนี้เป็นหลักก่อน ดังนั้นยอดฝีมือของสำนักที่มีทะยานบูรพาเป็นผู้นำ ก็จะเดินทางเข้าสู่น้ำลึกปราการมังกรด้วยเช่นกัน

เขาไร้พรมแดนเองก็ส่งข่าวมาเช่นกัน ว่าจะไม่ปลีกตัวออกจากเรื่องนี้

เมื่อประชาชนชาของอาณาจักรถังตะวัน ผู้อยู่ในบริเวณชายแดนที่อันตรายทราบข่าวบ้าง ต่างก็ดีใจจนกระโดดโลดเต้นเป็นธรรมดา

ขณะนี้เมื่อมองอย่างผิวเผิน ทั้งสามดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับจะมีเป้าหมายเดียวกัน และละทิ้งความขัดแย้งต่างๆ ไปแล้ว

ทว่าภายในจะเป็นอย่างไรนั้น ก็มีเพียงคนที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้นที่รู้

เยี่ยนจ้าวเกอยืนอยู่บนกำแพงเมืองใกล้ปราการ ทอดสายตามองไกลออกไป เขามองเห็นแนวเทือกเขามฤคลับตา ขณะเดียวกันก็มองเห็นหมอกดำมามายกำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า จากอีกด้านหนึ่งที่ใกล้กับหุบเขา

ครึ่งหนึ่งของท้องฟ้าราวกับถูกปกคลุมไปด้วยหมอกดำ

อาหู่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เยี่ยนจ้าวเกอก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาบ้าง  ไม่สามารถปลดปล่อยปราณจิตรา ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สามารถเข้าใกล้แม้แต่บริเวณรอบนอกด้วย 

ชายหนุ่มลูบคาง  ประเด็นหลักจริงๆ แล้วอยู่ที่อเวจี ดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลายแห่งต่างก็ส่งยอดฝีมือระดับต้นๆ ไปตรวจสอบมาก่อนแล้ว กำลังคนน่ากลัวเสียยิ่งกว่าที่นี่อีก ส่วนสำนักเรา บิดาข้าเป็นคนไปด้วยตัวเองแล้ว 

 นายท่านออกโรงด้วยตนเอง ไม่น่ามีปัญหาหรอกกระมัง คิดว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งอื่นๆ ก็คงมีผู้อาวุโสระดับสูงมาเช่นกัน  อาหู่กล่าวพลางลูบคางตาม

เยี่ยนจ้าวเกอมองไปรอบๆ  ที่จะมีปัญหาเอาง่ายๆ ก็ข้านี่ไงเล่า 

 ตอนนี้ข้ากลายเป็นผู้ชำนาญในการเป็นเหยื่อล่อไปแล้ว ใช้สำหรับหลอกล่อคนโดยเฉพาะอีกต่างหาก 

 ก่อนหน้านี้ข้าล่อหัวหน้าค่ายชื่อหลิงมา ตอนนี้ก็กำลังจะล่อคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มาอีก 

อาหู่ขมวดคิ้ว  คุณชายขอรับ หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวของหัวหน้าค่ายชื่อหลิงเลย ครั้งนี้จะรอน้ำขุ่นแล้วค่อยจับปลาอีกหรือไม่ขอรับ 

เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้า  สำหรับเขาน้ำขุ่นมากเกินไปแล้ว ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามแห่งพร้อมใจกันจับตามองพื้นที่ถังตะวันออกแห่งนี้ เขาคงลอบเข้ามาไม่ได้หรอก 

 แค่จะโผล่หัวออกมาก็คงถูกตีจนตายแล้วล่ะ 

 แม้ท่านผู้อาวุโสฉินจะเข้าไปในหุบเหวปราการมังกรแล้ว แต่ท่านผู้อาวุโสข่งกลับคอยท่าอยู่ภายนอกเพื่อรอคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะ 

อาหู่ยิ้มอย่างสัตย์ซื่อ  คุณชายขอรับ เวลาที่ท่านจะสร้างความดีความชอบมาถึงอีกแล้ว 

 ไปซะ!  เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มและต่อว่า  ในสายตาของเจ้า ข้าพึ่งวิธีเหล่านี้สร้างความดีความชอบหมดเลยหรือ? 

หลังจากที่คุยเล่นกันไปแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอจึงถามว่า  พูดเรื่องจริงจังหน่อย ส่งข่าวออกไปแล้วใช่หรือไม่ 

อาหู่เองก็ไม่ได้ยิ้มแล้ว กล่าวตอบด้วยท่าทีจริงจังว่า  ตอนที่พวกท่านผู้อาวุโสฉินเข้าไปยังหุบเหวปราการมังกร ข้าก็ส่งข่าวออกไปแล้วขอรับ 

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า พลางทอดสายตามองไปไกล แล้วจึงพูดพึมพำกับตนเองว่า  หากจะลงมือก็ต้องเป็นตอนนี้แล้วล่ะ ที่ข้าสนใจก็คือเหยียนซวี่เตรียมจะจัดการข้าอย่างไร 

หลังจากเวลาผ่านไป กลุ่มหมอกดำที่อยู่ไกลๆ ก็เหมือนจะแผ่ขยายออกไปอีก

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด จู่ๆ หมอกดำก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากนั้นก็มีลำแสงสะดุดตาลอยขึ้นมาจากหมอกดำ แล้วพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า!

ทุกคนที่คอยจับตาสถานการณ์อยู่ที่เมืองใกล้ปราการมาตลอดต่างก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง

ถึงแม้ว่าสถานการณ์จะยังไม่ชัดเจน แต่พลังของหมอกดำค่อยๆ ถูกคุมไว้ได้อย่างเห็นได้ชัด

แต่ไม่นานนัก เยี่ยนจ้าวเกอก็ได้รับอีกข่าวหนึ่ง

ทีแรกเขากำลังอารมณ์ดี เพราะควบคุมสถานการณ์ของหุบเหวปราการมังกรไว้ได้แล้ว ทว่าหลังจากที่ได้รับข่าวนี้ อารมณ์ดีก็มลายหายไปจนสิ้น

 จ้าวซื่อเฉิง ราชาอาณาจักรถังตะวันออก ได้รับอันตรายในหุบเหวปราการมังกร! 

………………..

 

เพราะเรื่องการรับเฟิงอวิ๋นเซิงเข้าสำนัก ทำให้ความบาดหมางระหว่างเขากว่างเฉิงและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์หนักข้อขึ้น

บนแผ่นดินถังตะวันออก ความขัดแย้งของทั้งสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์แทบจะเปิดเผยออกอย่างสิ้นเชิง มีการปะทะประมือกันในทุกด้านตลอดเวลา

ทำให้คนภายนอกทั่วไปรู้สึกว่า หากไม่ใช่เพราะความผิดปกติของหุบเหวปราการมังกรล่ะก็ เกรงว่าเขากว่างเฉิงกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คงจะเปิดศึกสงครามกันไปนานแล้ว

เมื่อออกจากภูมิประเทศอันได้เปรียบของเมืองชมตะวันแล้ว ผู้อาวุโสฉินและทะยานบูรพาแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงประมือกันที่บริเวณใกล้ๆ กับหุบเหวปราการมังกรอีกครั้งหนึ่ง

ผลสุดท้ายก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรใครได้ เพราะการต่อสู้ส่งผลกระทบไปถึงหุบเหวปราการมังกร ซึ่งทำให้การเปลี่ยนแปลงของที่นั่นเลวร้ายลง ทั้งสองฝ่ายจึงวางมือถอยห่างจากกัน

ในฐานะที่เยี่ยนจ้าวเกอเป็นชนวนสำคัญในการโต้แย้งกันทั้งสองฝ่าย ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ถือว่าเขาสำรวมขึ้นไม่น้อย ทั้งยังออกจากที่พักเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

ทว่าแท้จริงแล้วเยี่ยนจ้าวเกอยังคงใช้ชีวิตผ่านไปอย่างเต็มที่ ไม่สูญเปล่าดังเดิม

ฝึกฝนพัฒนาตัวเอง ศึกษาวิชากลั่นโอสถ วิจัยเตาผลึกหินชั้นใน

นอกจากนี้ เยี่ยนจ้าวเกอยังคอยจับตามองเรื่องที่บอกให้อาหู่คอยสอดส่องดูก่อนหน้านี้อีกด้วย

 คุณชายขอรับ เป็นอย่างที่ท่านคิดเอาไว้จริงๆ  อาหู่ยืนอยู่ตรงหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอ  ตอนนี้เริ่มมีข่าวลือแล้ว ว่าเยี่ยจิ่งกับแม่นางหลินยังตัดเยื่อใยความสัมพันธ์ไม่ขาด เนื่องจากท่านโมโหจึงพลั้งมือสังหารแม่นางหลินเสีย 

 ก่อนหน้านี้ที่เยี่ยจิ่งประสบกับเคราะห์ร้ายในหุบเหวปราการมังกร ก็เป็นเพราะความอิจฉาตาร้อนของท่าน จึงจงใจลอบทำร้ายเขา 

อาหู่มองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ  คุณชายเคยบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ หมายความว่าเยี่ยจิ่งตกอยู่ในมือของเหยียนซวี่แล้วหรือ 

เยี่ยนจ้าวเกอนั่งอยู่บนเก้าอี้ นิ้วมือเคาะไปบนโต๊ะเบาๆ ดวงตาหรี่เป็นเส้นตรง  มีความเป็นไปได้สูงมาก 

 เขาไม่ปล่อยข้าให้มีโอกาสได้ยืนยันความจริงกับเยี่ยจิ่งซึ่งๆ หน้าหรอก  เยี่ยนจ้าวเกอพาดขาขึ้นมาไขว่ห้าง  เกรงว่าครั้งนี้เขาคงอยากฆ่าข้าให้ได้จริงๆ 

ตั้งแต่ที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มาเยือนจนถึงปัจจุบัน นับเป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร ฝ่ายเหยียนซวี่ดูสงบเสงี่ยมมากอย่างเห็นได้ชัด

เหยียนซวี่ไม่ได้ตั้งใจอดทนกับเยี่ยนจ้าวเกอ และไม่ได้จ้องจับผิดเขา ช่างปกติเสียเหลือเกิน

มีบางคนคิดว่าเป็นเพราะผู้อาวุโสฉินคอยคุมการณ์อยู่ที่ถังตะวันออกมาโดยตลอด และก็มีบางคนคิดว่าเป็นเพราะการสั่งสอนของผู้อาวุโสฉินก่อนหน้านี้เตือนสติเหยียนซวี่ให้รู้สึกตัว

ทว่าในความคิดของเยี่ยนจ้าวเกอนั้น นี่เป็นความสงบก่อนที่พายุมรสุมจะก่อตัว

หลังจากนั้นจะเป็นพายุฝนฟ้าคะนองที่รุนแรงเสียยิ่งกว่า ก็เหมือนกับคนที่เก็บหมัดคืน แล้วปล่อยออกมาอีกครั้งรุนแรงยิ่งกว่าเดิม

 เขากำลังรอโอกาสจับปลาในน้ำขุ่น แต่โอกาสเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะมีเสมอไป  อาหู่กล่าว

เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้า  ทั้งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และเขาไร้พรมแดนต่างก็คอยจับตามอง สอดส่องหาโอกาสอยู่ตลอด จะอยู่อย่างสันติคงไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ 

 ทุกๆ คนล้วนแล้วแต่รอโอกาสอยู่ 

หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอก็หันกลับไปมองอาหู่  ช่วงนี้ท่านผู้อาวุโสฉินจะอยู่ที่เมืองใกล้ปราการนี้ใช่หรือไม่ 

อาหู่ตอบว่า  มีแนวโน้มว่าความผิดปกติของหุบเหวปราการมังกรจะทวีความรุนแรงขึ้น ถ้าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเป็นพิเศษ ท่านผู้อาวุโสฉินก็ยังอยู่ที่นี่ขอรับ 

 ทะยานบูรพาแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เองก็อยู่บริเวณใกล้ๆ นี้ แต่กลับไม่ได้มาสร้างความวุ่นวายอีก คงจะระแวดระวังการเปลี่ยนแปลงของหุบเหวปราการมังกรเช่นกัน 

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า  ข้าจะเข้าฌานสักระยะหนึ่ง นอกเสียจากท่านผู้อาวุโสฉินมีแนวโน้มว่าจะโยกย้าย มิเช่นนั้นอย่ารบกวนข้า 

อาหู่เกาหัว  คุณชายขอรับ ท่านจะเข้าฌานในเวลาเช่นนี้ เป็นเพราะเหตุใดหรือ 

ชายหนุ่มยิ้มแต่ไม่พูดอะไร

คนอื่นๆ ก็รู้สึกสงสัยกับการตัดสินใจเช่นนี้ของเยี่ยนจ้าวเกออยู่บ้างเช่นกัน

ตอนแรกคิดว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะใช้เตาผลึกหินชั้นในหลอมอาวุธ ภายหลังก็คาดเดากันไปต่างๆ นานาว่าเพื่อฝึกฝนวิชาบางอย่าง

ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนกลับพบว่าเยี่ยนจ้าวเกอเข้าฌานครั้งนี้ ระยะเวลาไม่ได้สั้นแค่เพียงสิบวัน หรือครึ่งเดือนเท่านั้น

 เขาคงจะไม่ได้เข้าฌานเพื่อบรรลุระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายกระมัง 

มีบางคนอดที่จะคาดเดาไม่ได้ และเมื่อพูดคำนี้พูดออกไป คนอื่นๆ ก็พลันตกใจขึ้นมา ก่อนจะพากันส่ายหน้า  จะเป็นไปได้อย่างไร! เขาเพิ่งจะบรรลุระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางมาได้แค่ครึ่งปีเอง จะบรรลุสู่ขั้นถัดไปรวดเร็วเช่นนี้ได้ที่ไหนกัน แล้วก็… 

ขณะที่พูดอยู่นั้น กลุ่มคนทั้งกลุ่มก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆ แล้ว

เพราะพวกเขาเพิ่งจะคิดขึ้นมาได้ ว่าก่อนหน้านี้หลังจากที่เยี่ยนจ้าวเกอบรรลุจากระดับปรมาจารย์ขั้นจิตรานอกชั้นระยะต้นได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน ก็บรรลุระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางแล้ว

ความเร็วในการพัฒนาขึ้นเช่นนี้ ไม่สามารถใช้คำว่า ‘น่ากลัว’ สองพยางค์มาบรรยายได้แล้ว

เมื่อพูดเช่นนี้แล้ว ภายในครึ่งปีจากขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลาง สู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งที่ทำให้คนยอมรับได้ยากขนาดนั้นกระมัง

…ยอมรับได้บ้าอะไรเล่า ใครจะไปยอมรับได้กัน!

ทุกคนอยากเปิดปากต่อว่าสักยกใหญ่อย่างอดไม่ได้

 ใครจะไปรู้ว่าตอนที่เขาบรรลุจากระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้น สู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลาง เขาได้ใช้กระบวนการพิเศษอะไรที่เร่งรัดหรือไม่  มีคนพูดเสียงเบา ก่อนจะแค่นหัวเราะอีกเสียงหนึ่ง

หลังจากคนอื่นๆ เห็นใบหน้าของผู้พูดชัดเจนแล้ว สีหน้าท่าทางของพวกเขาก็สับสนขึ้นเล็กน้อย

ผู้อาวุโสปฏิบัติกิจแห่งหุบเขาวายุวิญญาณคนก่อน เหวินหนิงจือ

การไต่สวนก่อนหน้านี้สิ้นสุดลงแล้ว ท้ายที่สุดเหวินหนิงจือก็ยังผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด และได้รับการว่ากล่าวตักเตือนว่าบกพร่องต่อหน้าที่ ส่วนข้อครหาเรื่องคบค้าสมาคมกับศัตรูถือว่าล้างสะอาดแล้ว

ถึงกระนั้นแม้ว่าตอนนี้เขาจะยังเป็นผู้อาวุโสปฏิบัติกิจอยู่ แต่ก็ยังไม่ได้ประจำตำแหน่งจริง เป็นเพียงแค่คนว่างงานคนหนึ่งที่คอยติดสอยห้อยตามคอยรับคำสั่งเหยียนซวี่ ผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออกเท่านั้น

แต่ละที่มีผู้อาวุโสปฏิบัติกิจที่มีอำนาจจริง ซึ่งทุกตำแหน่งล้วนมีคนครบไม่มีที่ว่าง

อีกทั้งผู้อาวุโสฉินก็กำลังจับตาดูอยู่ เหยียนซวี่จึงยังไม่สามารถจัดการจัดแจงให้เหวินหนิงจือได้ในตอนนี้ เขาจึงทำได้เพียงแค่เอ้อระเหยลอยชายไปเรื่อยเปื่อย

ส่วนหลังจากนี้เขาจะอยู่ที่ถังตะวันออกต่อไปได้หรือไม่นั้น ก็พูดยากนัก

ผู้ที่อยู่ฝ่ายเดียวกับฟางจุ่น อาจารย์ลุงรองของเยี่ยนจ้าวเกอ รวมถึงเหยียนซวี่เองก็อาจจะยังเชื่อมั่นในตัวเขา ทว่าบนร่างกายของเหวินหนิงจือได้ถูกติดป้าย ‘ไร้ความสามารถ’ เอาไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้แล้ว

นั่นทำให้อนาคตของเขามืดมนไปหมด

เหวินหนิงจือกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า  สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีวิชาชักเข็มสุริยันเข้าร่าง ในโลกแปดพิภพมีวิชาที่คล้ายคลึงกันอยู่น้อยมาก แต่ก็ยังพอมีอยู่บ้าง 

 เยี่ยนจ้าวเกอที่เผชิญกับความกดดันของปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายอย่างเซียวเซิง จึงใช้วิชาเร่งรัดและวิธีแก้ขัดเฉพาะหน้า นั่นก็เป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก 

 เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ จะต้องส่งผลกระทบต่อการฝึกวรยุทธ์ของเขาในอนาคตเป็นแน่! 

 สวรรค์ยังมีความยุติธรรม จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะประทานเรื่องดีๆ ให้กับคนคนหนึ่งทั้งหมด 

สายตาของบางคนที่มองเหวินหนิงจือมีความเยาะเย้ยปะปนอยู่ คิดว่าเพราะเขาถูกเยี่ยนจ้าวเกอเล่นงานจนเสียเปรียบ ดังนั้นเขาจึงไม่ชอบเยี่ยนจ้าวเกอสักเท่าไร

แต่คนส่วนมาก กลับมีความเห็นเดียวกันเกิดขึ้นในใจ

ถ้าหากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เยี่ยนจ้าวเกอประสบความสำเร็จจากระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้น สู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางได้ภายในหนึ่งเดือน ความเร็วในการฝึกฝนเช่นนี้น่าประหวั่นพรั่นพรึงก็จริง ทว่าก็ขัดกับหลักการทั่วไปอย่างสิ้นเชิง

อีกทั้งไม่ใช่หลักการทั่วไปของสามัญชนคนธรรมดา ในโลกของอัจฉริยะก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถเกิดขึ้นได้

ผู้ที่อยู่ข้างๆ คนหนึ่งถอนหายใจเบาๆ  แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ไม่ใช่หรือ ต่อให้จะเกิดผลข้างเคียงในภายหลัง ก็ยังดีกว่าถูกเซียวเซิงเล่นงานจนเจ็บตายคาที่ 

ขณะที่กำลังพูดคุยกัน ในใจของทุกคนก็เกิดรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นพร้อมๆ กัน

เมื่อหันหลังกลับ ก็เห็นคนคนหนึ่งเดินออกมาจากประตู เยี่ยนจ้าวเกอกำลังเดินมาอย่างสง่าผ่าเผย

 ทุกท่านคุยอะไรกันอยู่หรือ ถึงมีท่าทางสนุกสนานเช่นนี้  เยี่ยนจ้าวเกอถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

มีคนคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้า  จ้าวเกอออกฌานแล้วหรือ ครั้งนี้ใช้เวลานานพอสมควรเลยนะ… 

เมื่อกล่าวออกไปได้ครึ่งหนึ่งก็พลันชะงักลง ราวกับเสียงนั่นถูกคนใช้กรรไกรตัดขาดไป

คนอื่นๆ ที่มองตามไปก็พลันตัวแข็งทื่อไปในทันที อ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง

เหวินหนิงจือขมวดคิ้ว มองจากทางด้านหลัง รู้สึกเพียงแค่ว่าส่วนสูงของเยี่ยนจ้าวเกอเหมือนจะสูงกว่าเมื่อก่อนอยู่ระดับหนึ่ง

ครั้นชายหนุ่มเบียดตัวออกจากฝูงชนที่ตกตะลึงไปจนถึงแถวหน้า หลังจากมองจนชัดเจนแล้ว ทุกคนก็แทบจะเป็นลมล้มพับไป

ส่วนสูงของเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าตอนนี้กำลังลอยตัวอยู่ในอากาศ ระยะห่างระหว่างเท้ากับพื้นประมาณหนึ่งฉื่อได้

 เมื่อบรรลุขั้นได้แล้ว ก็ต้องออกฌานเป็นธรรมดา  เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ ขณะเดียวกันก็เดินเข้าไปหาทุกคน

ระยะห่างหนึ่งฉื่อ ต้องไม่ใช่ขีดจำกัดการลอยตัวของเยี่ยนจ้าวเกออย่างแน่นอน แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

ร่างกายที่ลอยตัวอยู่ในอากาศระยะสั้นๆ ก็ยิ่งทำให้สามารถบังคับลมปราณให้เดินเหินในอากาศได้ดียิ่งขึ้น

ซึ่งก็เป็นสัญลักษณ์ของระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย!

……………

 

หลายวันหลังจากนั้น เยี่ยนจ้าวเกอใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองชมตะวัน

ด้านหนึ่งก็เพื่อฝึกฝนวิชา เพิ่มระดับวรยุทธ์ อีกด้านหนึ่งก็เพื่อรวบรวมทรัพยากรสร้างเตาผลึกหินชนในอีกเตาหนึ่ง

เมื่อสร้างเตาผลึกหันภายในสำเร็จลุล่วง เยี่ยนจ้าวเกอก็นำเชื้อไฟสัจจะอัคคีใส่เข้าไปข้างใน และทดสอบการใช้งานของมันไม่หยุดหย่อน

เมื่อได้เชื้อไฟสัจจะอัคคี ประสิทธิผลของเตาผลึกหินภายในก็ดีขึ้นอีกขั้นอย่างเห็นได้ชัด

และเมื่อได้รับการหล่อเลี้ยงจากเตาผลึกหินภายใน เชื้อไฟสัจจะอัคคีก็ค่อยๆ แผ่กระจายออกไปเป็นวงกว้างมากขึ้น

จากนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็เริ่มขับเคลื่อนวิชาที่เหมือนกัน โดยใช้ปราณจิตราของตนชักนำปราณเพลิงที่แฝงอยู่ในเชื้อไฟสัจจะอัคคีเข้าสู่ร่างกาย พร้อมทั้งปราณน้ำแข็งของจิตมังกรน้ำแข็ง เพื่อช่วยในการฝึกฝน

ยิ่งเวลาผ่านไป การผสานกันของน้ำแข็งและเพลิง ทำให้ปราณจิตราทั่วร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและทรงพลังมากขึ้น จนกระทั่งก้าวเข้าสู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายอย่างมั่นคง

นอกจากนี้แล้ว เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอมีเวลา เขาก็เดินทางไปยังหอศิลาโอสถบ้างเป็นครั้งคราว

ที่แห่งนั้น นักกลั่นโอสถกลุ่มหนึ่งของจ้าวหยวน องค์ชายใหญ่แห่งถังตะวันออก ได้รับการชี้แนะจากเยี่ยนจ้าวเกอ จึงได้ปรับปรุงและผลิตโอสถให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

คุณภาพโอสถของหอศิลาโอสถพัฒนาขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ทว่าราคากับต้นทุนกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปนัก

ขอบเขตของหอศิลาโอสถไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่อาณาจักรถังตะวันออกเพียงเท่านั้น ทว่าค่อยๆ ขยายออกไปยังอาณาบริเวณเกาะนภาตะวันออก รวมทั้งอัคคีพิภพและภูผาพิภพที่มีอาณาเขตติดต่อกัน อีกทั้งยังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

หอศิลาโอสถแห่งถังตะวันออก มังกรทรงพลังข้ามแม่น้ำตัวนี้ เริ่มยึดตลาดภายนอกเมืองจำนวนมาก อีกทั้งช่องทางค้าขายก็มั่นคงมากขึ้นเรื่อยๆ

คุณภาพดีที่สุด ราคาก็ไม่แพง คุณสมบัติทั้งสองข้อนี้ดีเยี่ยมจนทำให้ต้องยกนิ้ว นอกจากถังตะวันออกแล้ว องค์กรโอสถขนาดใหญ่ของแต่ละพื้นที่ คิดอยากจะร่วมมือกันขวางมังกรข้ามแม่น้ำตัวนี้ ก็เป็นเรื่องที่ยากอย่างเห็นได้ชัด

 สายตาต้องแม่นยำ ปราณจิตราต้องควบคุมให้คงที่  ภายในหอศิลาโอสถ เยี่ยนจ้าวเกอที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตำแหน่งสูงสุดกล่าวว่า  เบื้องต้นวิชานี้มีเพียงจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์เท่านั้นที่สามารถใช้ได้ โชคดีที่พื้นฐานของหอศิลาโอสถแน่นพอ จึงไม่น่าจะมีปัญหามากนัก 

ท่านผู้เฒ่าหวังและจ้าวหยวนต่างก็พยักหน้า

เยี่ยนจ้าวเกอสะบัดเสื้อพลางลุกขึ้นยืน  วันนี้ก็พอแค่นี้ก่อนเถอะ ตัวข้าเองยังอยู่ที่ถังตะวันออกอีกนาน มีปัญหาอะไรถามได้ 

ผู้คนที่อยู่ในหอศิลาโอสถรีบกุลีกุจอลุกขึ้นพร้อมกัน ส่งเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความเคารพ

เมื่อออกจากหอศิลาโอสถแล้ว ระหว่างทาง อาหู่ที่เดินตามหลังเยี่ยนจ้าวเกอก็พูดขึ้นเบาๆว่า  คุณชายขอรับ เมืองทะเลมรกตส่งข่าวมาว่า ขอบคุณเขากว่างเฉิงและท่านที่เตือนขอรับ 

ชายหนุ่มหันกลับไปมองเขาแวบหนึ่ง  โอ้ สตรีจันทราของพวกเขาไปที่อเวจีแล้วจริงๆ หรือ 

ระหว่างนภาพิภพที่อยู่ทางตะวันตก และวารีพิภพที่อยู่ทางตะวันออก คั่นกลางด้วยปฐพีพิภพ

วารีพิภพมีดินแดนติดต่อกับปฐพีพิภพเช่นกัน โดยเมืองทะเลมรกตควบคุมดูแลวารีพิภพอยู่ ฉะนั้นจอมยุทธ์ในสำนักจึงมีการเคลื่อนไหวอยู่รอบนอกของปฐพีพิภพอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน

อาหู่ตอบว่า  การสำรวจครั้งนี้ เกือบหลงเข้าไปในบริเวณที่แม่นางเฟิงถูกทำลายจันทรากายในตอนนั้น 

 หลังการตรวจสอบพบว่า เหมือนมีคนจงใจชักนำนางให้เข้าไปที่นั่นขอรับ 

 โชคดีที่เมื่อไปถึงรอบนอก ทางสำนักของพวกเราก็ส่งคำแจ้งเตือนของคุณชายมา นับเป็นช่วงเวลาที่กำลังคอขาดบาดตายพอดี จึงไหวตัวทันขอรับ 

 สตรีจันทราของพวกเขาแม้จะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากนัก ไม่เท่าแม่นางเฟิง 

อาหู่เปิดปากยิ้มกว้างพลางกล่าวว่า  คุณชาย ครั้งนี้เมืองทะเลมรกตติดหนี้บุญคุณท่านก้อนโตเลยล่ะขอรับ 

 ข้าคิดว่าคนที่จงใจหลอกล่อหญิงศักดิ์สิทธิ์ของเมืองทะเลมรกตไปที่นั่น เกินกว่าครึ่งต้องเป็นสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แน่ 

เยี่ยนจ้าวเกอจุ๊ปากชื่นชม  ให้เวลาสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อีกสักหน่อย พวกเขาคงจะทำได้มิดชิดและไม่หลงเหลือร่องรอยยิ่งกว่านี้ จนกำจัดเมืองมรกตได้โดยสมบูรณ์ 

 เกรงว่าจะเป็นเพราะเห็นศิษย์น้องเฟิงถูกข้าพาตัวมา จึงรู้ว่าข่าวจะหลุดออกไป ก็เลยถูกบีบบังคับให้ลงมือก่อนเวลาอันควร คิดจะแย่งชิงต้องใช้เวลาอันมีค่าให้สั้นที่สุด 

 จริงด้วย คุณชายขอรับ เมื่อครู่ข้าเห็นจ้าวฮ่าวด้วย  อาหู่กล่าวต่อ

หอศิลาโอสถมีส่วนแบ่งที่เป็นของเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว อีกทั้งก่อนหน้านี้จ้าวฮ่าวก็ถูกเยี่ยนจ้าวเกอและจ้าวหยวนหักหน้า หลังจากกลับจากเมืองชมตะวันมา เขาจึงมาที่หอศิลาโอสถน้อยครั้งนัก

จ้าวฮ่าวก็ไม่โง่จนถึงที่สุด จึงไม่ได้หยุดการร่วมมือกันกับหอศิลาโอสถ ในเรื่องของโอสถหมอกควันสลายกลางคัน

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังเสนอวิธีปรุงโอสถวิญญาณชนิดหนึ่งให้กับหอศิลาโอสถ เพื่อพัฒนาร่วมกัน

หลายวันมานี้ การแสดงฝีมือของจ้าวฮ่าวก็ยิ่งโดดเด่นขึ้น จนได้รับการให้ความสำคัญจากทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างของอาณาจักรถังตะวันออกแล้ว

ในการแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท นอกจากองค์ชายใหญ่จ้าวหยวน และองค์ชายสามจ้าวเฉิงแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีม้ามืดโผล่ออกมาเช่นนี้

อีกทั้งความโดดเด่นของจ้าวฮ่าว แน่นอนว่าต้องดึงดูดความสนใจของคนจำนวนไม่น้อยอย่างไม่ต้องสงสัย

เท่าที่เยี่ยนจ้าวเกอรู้มา เหยียนซวี่ก็เคยพบเจอกับจ้าวฮ่าวเป็นการส่วนตัว ทว่าดูเหมือนจะไม่ได้มีความคืบหน้าอะไร

ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยนจ้าวเกอหรือเหยียนซวี่ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนของเขากว่างเฉิง จึงเห็นได้ชัดว่า ยอดนักปราชญ์เซียนกระบี่ตันหั่วในอดีต ก็คือจ้าวฮ่าว องค์ชายสิบหกแห่งถังตะวันออกในปัจจุบัน และยังคงเห็นเขากว่างเฉิงเป็นศัตรูเสมอมา

 ระยะนี้ จ้าวฮ่าวพบปะกับเขาไร้พรมแดน และดูเหมือนว่าจะใกล้ชิดกันยิ่งนัก  อาหู่รายงานให้กับเยี่ยนจ้าวเกอ

เยี่ยนจ้าวเกอดีดนิ้วครั้งหนึ่ง  ตามคาด 

อาณาจักรถังตะวันออกเป็นชายแดนของนภาพิภพ แน่นอนว่าเขากว่างเฉิงย่อมควบคุมที่แห่งนี้มากที่สุด

ทว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็เก่งกาจไม่เบา แทรกซึมเข้าสู่ถังตะวันออกได้ลึกมาก

เมื่อเทียบกันแล้ว เขาไร้พรมแดน สำนักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ควบคุมดูแลภูผาพิภพอยู่ ก็ดูจะสำรวมพอควรในถังตะวันออก แต่ถ้าคิดว่าเขาไร้พรมแดนจะยอมอ่อนข้อ คงจะไม่ได้ง่ายเช่นนั้นแน่

เช่นเดียวกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เขาไร้พรมแดนเองก็กำลังแทรกซึมเข้าสู่อาณาจักรถังตะวันออกเช่นกัน เพียงแต่พวกเขายังขาดโอกาสอันเหมาะสม

และสำหรับจ้าวฮ่าวนั้น เขาไม่มีทางเลือกเขากว่างเฉิงอยู่แล้ว ส่วนสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็มีจ้าวซื่อเลี่ยอยู่แล้ว

อย่างไรเสียจ้าวซื่อเลี่ยก็เป็นมหาปรมาจารย์ แม้ว่าจ้าวฮ่าวจะเริ่มแสดงความสามารถอันน่าทึ่งออกมา แต่เมื่อใดจะตามจ้าวซื่อเลี่ยทันนั้นก็ไม่อาจรู้ได้

อีกทั้งในสถานการณ์เช่นนี้ สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีทางสละจ้าวซื่อเลี่ย แล้วหันไปสนับสนุนจ้าวฮ่าวแน่นอน

หากเขายอมที่จะเป็นลูกมือให้กับจ้าวซื่อเลี่ย สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ยอมรับได้ ทว่าเห็นได้ชัดว่าจ้าวฮ่าวไม่เต็มใจที่จะอยู่เบื้องล่างของผู้อื่น

สิ่งที่เขาต้องการก็คือตำแหน่งราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออก ตำแหน่งที่มีวาจาสิทธิ์และน่าเชื่อถือ เพื่อทำการคัดสรรนำเข้าทรัพยากรจำนวนมากจากทั่วทั้งอาณาจักร ใช้สำหรับฝึกฝันกับตัวเขา จะได้กลับสู่ความรุ่งเรืองสูงสุดเช่นในอดีตโดยเร็ว แม้กระทั่งสูงส่งยิ่งกว่านั้น

จ้าวซื่อเฉิงลงแรงบ่มเพาะเขา ทว่าสิ่งที่เขาต้องการกลับมากกว่านั้นอย่างเช่นเจน

ในสถานการณ์เช่นนี้ จ้าวฮ่าวและเขาไร้พรม จึงเข้าขากันได้อย่างง่ายดาย

 ความคิดของเขาขัดแย้งกับท่านลุงจ้าวไปแล้ว พวกเราจำเป็นต้องพูดอะไร ท่านลุงก็จะจัดการด้วยตัวเองอยู่แล้ว  เยี่ยนจ้าวเกอพูดนิ่งๆ ว่า  เขาไร้พรมแดนจะเป็นชาวประมงตกปลา[1] ระหว่างที่สำนักของเราและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ขัดแย้งกัน นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้นหรอก 

 จับตาดูต่อไป หากมีเรื่องอะไร ให้มารายงานทันที 

อาหู่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า  ขอรับ คุณชาย 

ณ จวนของจิ่นอ๋อง สีหน้าท่าทางของจ้าวซื่อเลี่ยจริงจังหนักแน่น มองไปยังชายชราสวมชุดสีทองเบื้องหน้า  ให้เคลื่อนไหวเร็วๆ นี้อย่างนั้นหรือ 

ชายชราชุดสีทองกล่าวว่า  ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเร็วๆ นี้ แต่ก็เตรียมตัวให้พร้อม รอโอกาสดีๆ ก็พอ 

จ้าวซื่อเลี่ยถามว่า  ความผิดปกติของหุบเหวปราการมังกรไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย ตอนนี้ก็มั่นใจแล้วว่าเกิดจากการกระทำของมนุษย์ แล้วถ้าหากมีความเกี่ยวข้องกับอเวจีจริงๆ ล่ะก็… 

อีกฝ่ายพลันกล่าวว่า  ไม่ต้องเป็นห่วง สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของข้ามียอดฝีมือไปดูลาดเลาที่รอบนอกของอเวจีโดยเฉพาะแล้ว 

 ทะยานบูรพาและข้าก็อยู่ที่นี่ จะคอยจับตาดูหุบเหวปราการมังกรตลอดเวลา หากเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ก็จะจัดการรับมือเองอย่างแน่นอน 

 แต่โอกาสดีที่ได้จากการเปลี่ยนแปลงของหุบเหวปราการมังกร ก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ดีเช่นกัน 

ชายชราชุดสีทองมือไขว้หลังแล้วยืนขึ้น  วิกฤต วิกฤต สิ่งใดคือวิกฤตหรือ โอกาสและอันตรายเป็นสิ่งที่มีอยู่คู่กัน หากเห็นแต่โอกาสแล้วโลภมากมุ่งหน้าเข้าหา นี่ถึงจะเป็นวิกฤต กับเพียงแค่เห็นอันตรายแล้วกลัวหัวหดไม่เดินหน้า ล้วนแล้วแต่เป็นการกระทำของคนโง่ทั้งนั้น 

จ้าวซื่อเลี่ยก็ไม่ใช่คนที่ขี้ขลาดตาขาว เมื่อเห็นว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เตรียมการเกี่ยวกับความผิดปกติของหุบเหวปราการมังกร รวมถึงอเวจีแล้วก็วางใจขึ้นมาก

เขานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถามว่า  แต่ถ้าหากจะสังหารเยี่ยนจ้าวเกอจริงๆ… 

ชายชราชุดสีทองกล่าวอย่างเฉยเมยว่า  ก็ยังมีจ้าวฮ่าวกับเขาไร้พรมอยู่ไม่ใช่หรือ 

………………..

[1] ชาวประมงตกปลา หมายถึง ได้กำไรหรือผลประโยชน์โดยไม่คาดคิด

 

เฟิงอวิ๋นเซิงมียอดฝีมือแห่งเขากว่างเฉิงพากลับไปที่สำนักพร้อมกัน

คำนวณถึงปัญหาที่รุนแรงขึ้นกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แล้ว เพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉิน ยอดฝีมือของเขากว่างเฉิงที่มาในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งอยู่ช่วยผู้อาวุโสฉินดูแลความสงบของของเกาะนภาตะวันออก และอาณาจักรถังตะวันออก รับมือกับการแก้แค้นของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนี้

เมื่อส่งเฟิงอวิ๋นเซิงแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็กลับไปยังที่พักของตน ขณะที่เดินกลับก็คิดไตร่ตรองไปด้วย

ครั้งนี้สร้างความไม่พอใจให้กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์หนักเอาการ พลังความสามารถและศักยภาพของตนที่แสดงออกมาในระยะนี้ก็ค่อนข้างจะยอดเยี่ยม สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าครึ่งจะต้องจับจ้องตนเองเป็นแน่

ยิ่งไปกว่านั้น ข้างกายก็ยังมีเหยียนซวี่ที่คอยเฝ้าระแวดระวังไม่วาง

เยี่ยนจ้าวเกอบรรลุเพียงระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลาง ยังเอาชนะเซียวเซิงที่อยู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายได้ ฉะนั้นในตอนนี้กลุ่มจอมยุทธ์ชุดดำจึงไม่ได้ติดตามอยู่ข้างกายของเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว

ในฐานะที่เป็นผู้คุ้มกัน พวกเขาไม่สามารถทำหน้าที่ได้มากพอ กลับกันอาจจะพาเจ้านายลงเหวพร้อมกันด้วยซ้ำ ถึงเวลานั้นใครจะปกป้องใครกันแน่

แต่ว่าจอมยุทธ์ชุดดำกลุ่มนั้นก็ไม่ได้ออกจากอาณาจักรถังตะวันออกในทันที พวกเขายังคงอยู่ที่นี่ต่อไป รอฟังคำสั่งจากเยี่ยนจ้าวเกออยู่ตลอดเวลา

หลังจากนั้นไม่นาน กลุ่มของผู้อาวุโสฉินและเยี่ยนจ้าวเกอก็มุ่งหน้าไปยังเมืองใกล้ปราการ

ที่นั่น เยี่ยนจ้าวเกอและคนอื่นๆ ได้เห็นร่างไร้วิญญาณของหลินอวี้เสา

ถึงตอนนี้แล้ว เยี่ยนจ้าวเกอเพิ่งจะได้เห็นใบหน้าของหลินอวี้เสาจริงๆ เป็นครั้งแรก ซึ่งไม่ใช่การมองภาพนิ่งที่อยู่ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม

เหมือนอย่างเช่นที่เหยียนซวี่พูดไว้ บาดแผลบนร่างกายของนาง เกิดจากการใช้วิชาฝ่ามือดุสิตของปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะแรก

พลังเพลิงไฟสีม่วงของฝ่ามือดุสิตกระจายไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย

…และอำพรางร่องรอยอื่นๆ ไว้ด้วยเช่นกัน

 หญิงงามชะตาสั้น…  เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวนิ่งๆ

เมื่อผละออกมาจากร่างของหลินอวี้เสา เยี่ยนจ้าวเกอก็เงยหน้ามองท้องฟ้า ‘เยี่ยจิ่ง มาถึงขั้นนี้แล้วจริงๆ หรือ’

‘โอ๊ะ ตอนนั้นที่บึงน้ำแข็ง เหมือนเขาจะได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง หากยังใช้วิชาลับนั่นรักษาอาการบาดเจ็บต่อไปอีกล่ะก็ จิตใจของเขาต้องได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงขึ้นอีกแน่’

‘หากเป็นเช่นนี้ก็มีโอกาสที่จะยิ่งฉุนเฉียว ยิ่งดุร้ายมากขึ้นแน่นอน’

สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอพลันเยือกเย็น ‘ในเมื่อเจ้าจะตัดทางโลกจริงๆ แล้วล่ะก็ ข้าก็ส่งเจ้าในวาระสุดท้ายด้วยมือข้าเองก็แล้วกัน’

เมื่อกลับถึงที่พัก อาหู่ที่อยู่ข้างๆ ก็พูดเสียงเบาว่า  คุณชายขอรับ 

ทันทีที่เห็นใบหน้าที่ดูเหมือนจะจริงใจ แต่ความจริงกลับมีลับลมคมนัยของอาหู่ เยี่ยนจ้าวเกอก็กลอกตาขาวครั้งหนึ่ง

ชายหนุ่มมองตามสายตาของอาหู่ พบหญิงสาวรูปร่างสะโอดสะองคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ข้างทาง

 ศิษย์น้องซือคง เจ้าออกฌานแล้วหรือ  เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยถาม  ดูจากท่าทางของเจ้าแล้ว ข้ามผ่านจุดขวางกั้นได้สำเร็จ บรรลุถึงระดับปรมาจารย์แล้วสินะ 

หญิงสาวคนนั้นก็คือซือคงจิง ที่เย็นชาและเด็ดเดี่ยวเป็นที่สุด

นางโค้งคำนับให้กับเยี่ยนจ้าวเกออย่างหนักแน่นครั้งหนึ่ง  ก่อนหน้านี้ได้รับคำชี้แนะจากศิษย์พี่เยี่ยน หลังจากออกฌานแล้ว จึงมาเพื่อกล่าวขอบคุณโดยเฉพาะ 

 เรื่องของศิษย์น้องหลิน ข้าก็ได้ยินมาแล้ว ขอแสดงความเสียใจกับศิษย์พี่เยี่ยนด้วย 

เยี่ยนจ้าวเกอโบกมือ  ข้าไม่เป็นไร ขอบใจเจ้าที่เป็นห่วง 

เมื่อกล่าวจบ เยี่ยนจ้าวเกอก็มองหน้านางอย่างพินิจพิจารณา  ไม่เลวเลย ปรมาจารย์รุ่นเยาว์อายุสิบหกปี ที่สำนักเราก็ถือว่าพบได้ยาก ศิษย์น้องซือคงจิตใจแน่วแน่เสียจริงๆ 

 แต่ก็อย่าได้วางใจนักล่ะ เจ้าน่าจะรู้ดีว่าเมิ่งหว่านแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่อายุสิบห้าก็เป็นปรมาจารย์แล้ว 

สีหน้าท่าทางซือคงจิงสงบนิ่ง แววตามุ่งมั่นแน่วแน่  เจ้าค่ะ ข้าทราบดี 

 ไม่โอหัง ไม่ฉุนเฉียว ดีมาก  เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า  เจ้ามีใจฝักใฝ่ในการฝึกฝน จิตใจมั่นคงแน่วแน่ ดังนั้นข้าก็ไม่กลัวที่จะพูดกับเจ้าตรงๆ นอกจากเมิ่งหว่านแล้ว สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ยังมีอีกคนหนึ่ง ที่เข้าสู่ระดับปรมาจารย์ตอนที่อายุยังไม่ถึงสิบหกปีบริบูรณ์เช่นกัน 

 แต่บัดนี้นางได้เข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักของเราแล้ว 

ซือคงจิงพูดนิ่งๆ ว่า  หวังว่าจะได้แลกเปลี่ยนวิชากับนางบ่อยๆ คิดว่าข้าคงได้ประโยชน์ไม่น้อย 

เยี่ยนจ้าวเกอมองนาง จู่ๆ ก็เผยรอยยิ้มออกมา  แต่นางกับเมิ่งหว่านเป็นสตรีจันทราเหมือนกัน สถานการณ์ค่อนข้างจะพิเศษ เพื่อให้มีผลในการทดสอบจันทรากาย สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ใช้วิธีบางอย่างจึงประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว 

 เมื่อเป็นเช่นนี้ ภายหลังจึงมีรากฐานไม่มั่นคง ทำให้ตอนที่ฝึกฝนเริ่มแรกเร็วภายหลังช้า 

 แต่ด้วยพื้นฐานของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และสำนักของเรา ต่อให้ในอนาคตความเร็วในการฝึกฝนของพวกนางลดลง แต่นั่นก็เป็นแค่การเปรียบเทียบระหว่างพวกนางเท่านั้น อย่างไรก็ยังคงเร็วกว่าคนส่วนมาก อีกทั้ง… 

ซือคงจิงฟังคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว จึงพูดต่ออย่างเฉยเมยว่า  อีกทั้งมงกุฎจันทรายังมีส่วนช่วยยกระดับการฝึกฝนของสตรีจันทราอีกด้วย 

 หลังจากที่เมิ่งหว่านชนะการการประลองแห่งจันทราครั้งแรก ในช่วงเวลาหนึ่งปีที่ครอบครองมงกุฎจันทรานั้น ระดับวรยุทธ์ของนางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เร็วกว่าปกติมาก 

 ศิษย์พี่ท่านนั้นที่อยู่เมืองทะเลมรกต ชนะเมิ่งหว่านในการจันทรากายครั้งที่สอง หลังจากที่เริ่มครอบครองมงกฏหยิน ระดับวรยุทธ์ของนางก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน 

แววตาของซือคงจิงแน่วแน่ ไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย  ขอบพระคุณศิษย์พี่เยี่ยนที่ชี้แนะ ข้าจะไม่เกียจคร้านเป็นแน่ 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย  ดีมาก ตอนนี้เจ้าก็อยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะต้นแล้ว ต่อจากนี้ก็ต้องอาศัยปราณจิตราที่ฝึกฝนได้ในขั้นแรก เบิกทางให้กับจุดลมปราณทั่วทั้งร่างกาย 

 หลังจากที่สำเร็จแล้ว ก็จะบรรลุสู่ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะกลาง จากนั้นก็ใช้ปราณจิตราชำระล้างอวัยวะภายในทั้งหมด เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายอีกขั้นหนึ่ง 

 เมื่อใดที่เจ้าสามารถใช้ปราณจิตราสร้างเป็นกำแพงปราณขึ้นภายในร่างกายของตนเองได้ นั่นก็นับว่าเจ้าไปถึงระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะท้ายแล้ว ด้านระดับความแข็งแรงของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีหรือการป้องกันก็จะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และเตรียมตัวสำหรับการบุกเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอก 

 ค่อยๆ ก้าวไปทีละก้าวอย่างมั่นคง ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้ 

ซือคงจิงพยักหน้า  ข้าจะพยายาม รบกวนศิษย์พี่เยี่ยนแล้ว 

หลังจากทั้งสองบอกลากัน เยี่ยนจ้าวเกอมองแผ่นหลังที่จากไปของซือคงจิง โดยไม่ปริปากพูดอยู่นาน

อาหู่จึงก้าวมาด้านหน้า ยิ้มอย่างซื่อๆ ครั้งหนึ่ง  คุณชายขอรับ แม่นางหลินเพิ่งจากไป ท่านก็จะกินแม่นางซือคงแล้วหรือ นี่ค่อนข้างจะไม่เหมาะสมนะ… 

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า  เจ้าอย่าคิดแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องจะได้หรือไม่ 

 เช่นนั้นเหตุใดคุณชายถึงใช้สายตาเช่นนั้นมองแม่นางเล่า  อาหู่ถามพลางเกาหัว

ชายหนุ่มหรี่ดวงตาลงเล็กน้อย  อาจจะเป็นความรู้สึกผิดของข้าเอง หลังจากที่ซือคงจิงเป็นปรมาจารย์ได้สำเร็จ ก็ราวกับถอดร่างเปลี่ยนกระดูกอย่างไรอย่างนั้น บนร่างกายของนางเกิดการเปลี่ยนแปลงที่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน 

 แม้ว่าจอมยุทธ์ระดับหลอมกายถึงระดับปรมาจารย์จะเป็นคูธรรมชาติ หลังจากที่ข้ามผ่านไปก็เป็นพื้นฟ้าผืนใหม่ 

 แต่การเปลี่ยนแปลงของศิษย์น้องซือคงนั้นกลับใหญ่มากกว่านั้นอีก เพียงแต่ความรู้สึกนี้มันเลือนรางมาก 

อาหู่มองแผ่นหลังที่หายไปนานแล้วของซือคงจิง แล้วพูดอย่างแปลกใจว่า  คุณชายขอรับ นอกจากบรรลุถึงขั้นปรมาจารย์แล้ว ข้าก็ยังมองไม่เห็นว่านางมีการเปลี่ยนแปลงอะไรอย่างอื่นเลย 

เยี่ยนจ้าวเกอเบะปาก  อาจจะเป็นเช่นนั้น 

 จริงสิ ก่อนหน้านี้ที่สั่งให้เจ้าส่งคนสะกดรอยตามจ้าวฮ่าวนั่น ตอนนี้มีรายงานอะไรบ้างหรือไม่ 

 ตอนนี้ยังไม่มีการเคลื่อนไหวขอรับ ดูๆ แล้วเหมือนจะประพฤติตัวเรียบร้อยมากกว่าที่พวกท่านพูดมากเลยทีเดียว  อาหู่เอ่ยตอบ

ชายหนุ่มพยักหน้า  จับตามองต่อไป แต่อย่าไปยุ่งกับคนของถังตะวันออกล่ะ 

พักเรื่องของพวกเขาไว้ก่อน หลังจากที่เยี่ยนจ้าวเกอกลับไปยังที่พักแล้ว เขาก็หยิบน้ำเต้าหิมะเก้าสมบัติที่ได้มาจากผู้อาวุโสฉินออกมา

เดิมทีสรรพคุณของของสิ่งนี้คือเอาไว้เก็บรักษาสิ่งของอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมุนไพรวิเศษและโอสถวิเศษบางอย่าง

มีโอสถวิเศษบางอย่างเมื่อถูกเก็บมา ปราณวิญญาณก็จะสลายไปอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นของไร้ค่า ทว่าเมื่อตอนนี้มีน้ำเต้าหิมะเก้าสมบัติเช่นนี้ ก็จะไม่ถึงกับต้องสูญสิ้นไปหมดทุกอย่าง

เยี่ยนจ้าวเกอดึงจุกปิดน้ำเต้าออก จากนั้นก็นำหินหยกที่ผนึกจิตมังกรน้ำแข็งออกมา

พลังของจิตมังกรน้ำแข็งถูกเยี่ยนจ้าวเกอดูดเก็บเอาไว้แล้วส่วนหนึ่ง และขณะนี้เยี่ยนจ้าวเกอก็ดูดมันเข้าสู่ร่างกายอีกครั้ง

ในขณะที่จิตมังกรน้ำแข็งลำเลียงเข้าสู่ร่างกายอยู่นั้น ปราณจิตราภายในร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอก็เคลื่อนไหวไปมาไม่หยุด

ด้วยความช่วยเหลือจากคัมภีร์นภาไร้ขอบเขต เขาทำภารกิจที่จอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ยากจะทำให้สำเร็จได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้ความเร็วในการฝึกฝนวรยุทธ์ของตนเองเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ทว่าครั้งนี้ในขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอกำลังฝึกฝนอยู่ มือข้างหนึ่งของเขาวางทับไว้บนน้ำเต้าหิมะเก้าสมบัติ

จิตมังกรน้ำแข็งเคลื่อนไหวสลับไปมาระหว่างหินหยก ภายในร่างกายเยี่ยนจ้าวเกอ และน้ำเต้า

ไอเย็นจากน้ำเต้าหิมะเก้าสมบัติค่อยๆ แผ่กระจายออกไปอย่างเข้มข้น ด้านในน้ำเต้าเริ่มมีเสียงมังกรคำรามดังขึ้นเลือนราง

ขณะที่ทุกอย่างอยู่ในความคลุมเครือ ก็มีเงาของมังกรสีขาวปรากฏขึ้นด้านหน้าของน้ำเต้า

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย  กระสุนมังกรน้ำแข็งคำราม สำเร็จแล้ว 

……………..

 

บนหน้าผาแห่งหนึ่งไกลออกไปจากเมืองชมตะวัน มีคนจำนวนหนึ่งยืนมองเมืองชมตะวันอยู่เงียบๆ

แสงแดดตกกระทบไปยังร่างกายของทุกคน ทำให้ชุดคลุมสีทองของพวกเขาเจิดจ้าดึงดูดสายตา

ผู้นำคณะเป็นชายวัยกลางคน ซึ่งก็คือทะยานบูรพา หนึ่งในเจ็ดสุริยัน ผู้อาวุโสแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

ข้างกายของเขามีชายชราที่สวมชุดคลุมสีทองคนหนึ่งยืนอยู่ นั่นก็คือผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออกของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้แล้วยังมีจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ อีกด้วย

ในกลุ่มคนมีชายหนุ่มสวมชุดขาวคนหนึ่งยืนอยู่ หนวดเคราปกคลุมไปทั่วทั้งใบหน้า มองดูอาจหาญไร้เทียมทาน แต่ดวงตาคู่หนึ่งกลับเต็มไปด้วยแววของความเยือกเย็นดุจอสรพิษ

สีหน้าของชายหนุ่มยังคงซีดเซียวอยู่บ้าง สายตาที่มองไปยังเมืองชมตะวันเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น

ซึ่งเขาก็คือเซียวเซิงนั่นเอง

บัดนี้ความคับแค้นในใจของเขาที่มีต่อเยี่ยนจ้าวเกอนั้น ไม่ได้น้อยไปกว่าที่มีต่อเฟิงอวิ๋นเซิงเลยแม้แต่นิดเดียว

เยี่ยนจ้าวเกอไม่เพียงแต่ทำให้เขาพ่ายแพ้ ทว่ายังทำให้เขาขายหน้าอย่างยิ่ง อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังนำเรื่องที่เขาถูกเฟิงอวิ๋นเซิงเล่นงานช่วงล่าง ไปป่าวประกาศต่อหน้าธารกำนัลอีกด้วย

เซียวเซิงถูกฉีกหน้าอย่างไม่เหลือชิ้นดี

เรื่องที่เขาถูกเฟิงอวิ๋นเซิงทำร้าย ทางสำนักปิดเงียบมาโดยตลอด แม้แต่คนในเองก็รู้รายละเอียดเรื่องนี้น้อยนิดนัก

ทว่าบัดนี้กลับรู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง

ถึงแม้ว่าคนอื่นๆ จะไม่ได้มองเขาอยู่ ทว่าเซียวเซิงที่ในอยู่ในกลุ่มคนขณะนี้ ก็ยังรู้สึกได้ว่ารอบข้างมีแต่สายตาที่เต็มไปด้วยการดูถูกเยาะหยัน ทำให้เขารู้สึกคันยุบยิบเหมือนกับนั่งบนพรมเข็ม

ความรู้สึกร้อนรนและอับอายนี้ก็เปลี่ยนเป็นความแค้นใจทั้งหมด และไปรวมกันอยู่ที่ตัวของเยี่ยนจ้าวเกอนับไม่ถ้วน

ชายชราในชุดคลุมสีทองหันไปมองทะยานบูรพา  แจ้งไปทางสำนักให้ส่งยอดฝีมือมาอีก ปล่อยให้จบเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด 

 ปีที่แล้วเมิ่งหว่านทำมงกุฎจันทราหลุดมือไป ท่านเจ้าสำนักก็เข้าฌานมาไม่ยอมออกเสียที เห็นทีคงจะมีคนลืมไปแล้ว ว่าปัจจุบันนี้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของเราต่างหาก ที่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่ง! 

 อาณาจักรถังตะวันออกอยู่ที่นภาพิภพแล้วอย่างไรหรือ เพียงแค่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของข้าพอใจ ก็ถล่มพวกมันให้ราบได้เช่นกัน 

คำพูดนี้มีเพียงเขาเท่านั้นที่พูดได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น คงจะเป็นการหมิ่นประมาทความสามารถของทะยานบูรพา ทำให้ประเขาไม่พอใจแน่

ทะยานบูรพายืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน ฉายแสงเจิดจ้าราวกับดวงตะวัน

เขามองเมืองชมตะวันที่อยู่ไกลออกไปอย่างเงียบๆ  การวางแผนที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว 

ชายชราในชุดคลุมสีทองส่ายหน้าอย่างช้าๆ  ยังไม่รอบคอบพอ 

 พวกเรายังเตรียมการยังไม่เรียบร้อย ฝั่งเขากว่างเฉิงเองก็เช่นกัน  ทะยานบูรพากล่าว

 แต่ความผิดปกติของหุบเหวปราการมังกรในครั้งนี้ กลับส่งเสริมพวกเรา อีกทั้งยังทำให้เรามีโอกาสที่จะทำสำเร็จ 

เส้นประสาทของชายชราชุดคลุมในสีทองพลันขมวดเกร็ง  หลักการนี้ไม่ผิด 

ฝ่ายทะยานบูรพาหันกลับไปมองเซียวเซิง  ข้าไม่สนปัจจัยอื่น เยี่ยนจ้าวเกอคิดจะอยู่เหนือเจ้า ดูแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากอะไร 

 ข้าด้อยกว่าเขาขอรับ  เซียวเซิงสูดหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวตอบอย่างยากลำบาก

หนึ่งในเจ็ดสุริยัน ทะยานบูรพามองไปทางเมืองชมตะวันอีกครั้ง  เจ้าอยู่สูงกว่าเขาระดับหนึ่ง แต่ก็ยังสู้เขาไม่ได้ ถ้าหากอยู่ในระดับเดียวกันล่ะก็ ผลสุดท้ายก็เกรงว่าคงไม่ดีกว่าหยวนหลงเท่าไร 

เซียวเซิงกำหมัดแน่น พลางก้มศีรษะลง

 หากกล่าวเช่นนี้แล้ว เหมือนข้าได้เห็นจ่านตงเก๋ออีกคน และเยียนตี๋อีกคน กระทั่งศักยภาพก็อาจจะน่าทึ่งยิ่งกว่า  ทะยานบูรพากล่าวเสียงเรียบ

 น่าเสียดายจริงๆ ที่ต้นกล้างามเช่นนี้ กลับงอกอยู่ที่เขากว่างเฉิง 

 ถ้าสามารถตัดตอนมันก่อนที่จะเติบโตขึ้นมาได้ นั่นนับเป็นทางที่ดีที่สุด 

เซียวเซิงได้ยินดังนั้น ลมหายใจก็รัวเร็วขึ้นมาในทันที ทะยานบูรพาไม่แม้แต่จะหันกลับมา  อดทนรอไปก่อน เจ้าอาจจะมีโอกาสได้เชือดเยี่ยนจ้าวเกอด้วยมือของเจ้าเอง เพื่อลบล้างความอับอายให้กับตัวเอง 

 ได้ฆ่าเยี่ยนจ้าวเกอด้วยมือของข้าเอง เป็นสิ่งที่ข้าต้องการยิ่งนัก  ลมหายใจของเซียวเซิงเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งลง กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวลากับจ้าวซื่อเฉิงแล้วเดินจากไป เขาพบเข้ากับอาหู่ที่ยืนรออยู่ที่นั่น ฝ่ายอาหู่เดินมาด้านหน้า ยิ้มอย่างจริงใจแล้วพูดว่า  คุณชาย เป็นอย่างไรบ้างขอรับ 

ชายหนุ่มยักไหล่  ศิษย์น้องเฟิงจะถูกส่งตัวกลับไปที่สำนัก ส่วนพวกเราจะอยู่ที่นี่ต่อ ข้ายังมีธุระต้องจัดการอีกหน่อย 

 เรื่องของศิษย์น้องหลิน ข้ากับเหยียนซวี่จะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง เหยียนซวี่จะมอบสิ่งของที่อยู่ในมือของเขาให้คนที่เกี่ยวข้อง แต่ข้าคิดว่าเขาคงไม่ตายใจง่ายๆ หรอก 

เมื่อเขากล่าวถึงตรงนี้ ก็ออกคำสั่งเพิ่มอีกว่า  อาหู่ เรื่องที่ศิษย์น้องหลินถูกทำร้าย ให้คนคอยจับตาดูคำวิพากษ์วิจารณ์หน่อย หากมีการเปลี่ยนแปลงอะไร ให้มารายงานข้าทันที 

อาหู่เกาหัว  คุณชายขอรับ การเปลี่ยนแปลงแบบไหนหรือขอรับ 

 ทิศทางในตอนนี้ก็คือ ศิษย์น้องหลินเกิดอาการหึงหวงจึงมาเกาะแกะข้า แล้วข้ารู้สึกรำคาญจนทนไม่ไหว จึงพลั้งมือสังหารนาง  เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลง  หากทิศทางเปลี่ยนเป็นศิษย์น้องหลินยังมีความอาลัยอาวรณ์กับเยี่ยจิ่ง กลับสู่อ้อมกอดของเยี่ยจิ่งอีกครั้ง ข้าจึงโกรธแค้นจนสังหารนาง เช่นนั้นก็แสดงว่า… 

 เหยียนซวี่อาจจะหาตัวเยี่ยจิ่งพบแล้ว 

 หากข่าวลือออกไปเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องทำลายชื่อเสียงของข้าอยู่แล้ว แต่ก็ไม่สามารถทำลายความจริงของข้าได้ การแพร่กระจายข่าวลือออกไปเป็นเพียงการปูทางอีกขั้นหนึ่งเท่านั้น 

เยี่ยนจ้าวเกอพูดอย่างสบายใจว่า  ข้ามีลางสังหรณ์ว่าครั้งนี้เหยียนซวี่…คงคิดจะทำให้ข้ากลับไปที่สำนักอีกไม่ได้ตลอดกาล 

อาหู่ไม่ได้ยิ้มอีกแล้ว สีหน้าท่าทางเคร่งขรึมขึ้นมา  เขาคิดจะสังหารคุณชายหรือขอรับ 

 แต่เป็นเพราะเหตุใดกัน ไม่มีเหตุผลนี่ขอรับ คุณชายทำให้เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่หลายครั้ง แม้ว่าเขาจะโกรธเกรี้ยว แต่ก็คงไม่ถึงกับจะเกิดความคิดจะฆ่าจะแกงกันนี่ขอรับ 

 อย่างไรเสียคุณชายกับศิษย์รุ่นหลังทั่วไปก็แตกต่างกัน อย่าบอกนะว่าเป็นท่านผู้อาวุโสฟาง… 

ชายหนุ่มเกิดความลังเลพลางกล่าวว่า  ไม่ใช่ความต้องการของท่านลุงรองหรอก น่าจะเป็นความคิดของเหยียนซวี่เอง หรืออาจจะเป็นข้าที่รู้สึกไปเอง แต่การตายของศิษย์น้องหลินครั้งนี้ เหยียนซวี่มีพฤติกรรมแปลกๆ ไป 

อาหู่กล่าวด้วยเสียงต่ำว่า  เขาเสียสติไปแล้วหรือ นี่มันจะเกินไปแล้วนะขอรับ 

 ศักยภาพที่คุณชายแสดงออกมาในขณะนี้ก็เหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันแล้วนะขอรับ ท่านผู้อาวุโสฟางคงจะหาศิษย์รุ่นหลังที่จะต่อกรกับท่านได้ยากนัก 

 หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับท่าน อย่าว่าแต่นายท่านเลย ท่านเจ้าสำนักก็คงจะไม่ปล่อยเขาไว้แน่! 

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า  แน่นอนว่าเขาคงไม่ยอมแบกรับไว้เองอยู่แล้ว เจ้าเยี่ยจิ่งนั่นเหมาะจะเป็นแพะรับบาปที่สุดอย่างไรเล่า 

อาหู่แสยะยิ้ม แล้วเปิดปากว่า  ลำพังแค่เจ้าเยี่ยจิ่งนั่นหรือจะสังหารคุณชายได้ 

ชายหนุ่มแบมือทั้งสองข้างออก  นี่ก็เพิ่งจะเกิดปัญหากับคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไปหมาดๆ ไม่ใช่หรือ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหัวหน้าค่ายชื่อหลิง และเฒ่ามารหัวขวานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าเยี่ยจิ่งนั่นอีกด้วย 

 หากข้าสิ้นชีพในมือของมหาปรมาจารย์เหล่านั้น นั่นคงเป็นจุดจบที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว 

 หากจำเป็นต้องให้เหยียนซวี่ลงมือเอง มหาปรามาจารย์ที่พูดถึงไปนั้น ไม่ว่าใครก็มีความสามารถและความตั้งใจที่จะเล่นงานข้าให้บาดเจ็บสาหัสได้ เขานำมาบังหน้าได้ทั้งนั้น จากนั้นก็ให้เยี่ยจิ่งแทงข้าดาบสุดท้ายอีกหนหนึ่ง 

 หากเหยียนซวี่คิดจะสังหารข้า ก็ง่ายกว่ามหาปรมาจารย์ภายนอกพวกนี้เยอะ 

 เมื่อท่านผู้อาวุโสฉินมาแล้ว และหยุดยั้งคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว แต่กลับกันคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้เบี่ยงเบนความสนใจของท่านผู้อาวุโสฉินไปแล้วเช่นกัน 

 ด้วยเหตุนี้เหยียนซวี่จึงมีโอกาสที่จะเคลื่อนไหวได้ 

อาหู่พูดอย่างจริงจังว่า  คุณชาย ข้าขอเสนอท่านอย่างจริงจังว่า ให้ท่านกลับไปที่สำนักพร้อมกับแม่นางเฟิงเลยเถิดขอรับ 

เยี่ยนจ้าวเกอถอนหายใจออกยาวๆ แล้วเอามือไขว้หลัง เดินไปยิ้มไป พลางกล่าวว่า  อาหู่ ไม่ปิดบังเจ้านะ ข้ากำลังพิจารณาข้อเสนอที่เจ้ากล่าวมาอย่างจริงจัง ตั้งแต่เมื่อครู่จนถึงขณะนี้ 

 แต่ว่าไม่ใช่เพื่อความปลอดภัยของตัวข้าเอง แต่เป็นพวกเจ้าที่ติดตามอยู่ข้างกายข้า ไม่ให้ถูกลากลงเหวไปด้วยกัน 

 หากพูดจากตัวข้าเองล่ะก็…  ใบหน้ายิ้มแย้มของเยี่ยนจ้าวเกอเริ่มเยือกเย็นลง  แม้ว่าเหยียนซวี่จะไม่จัดการข้า แต่ข้าก็ยังอยากจะจัดการเขาเสียเหลือเกิน! 

 คราวนี้แตกต่างจากเหวินหนิงจือหรือชุยซินก่อนหน้านี้ คิดอยากจะกำจัดผู้อาวุโสคุมการณ์คนหนึ่ง โอกาสไม่ได้มีบ่อยๆ 

ชายหนุ่มหัวเราะเหอะๆ  แต่ในทางกลับกัน การกำจัดผู้อาวุโสคุมการณ์คนหนึ่ง ความเสียหายทางฝั่งอาจารย์ลุงรอง ก็จะไม่ใช่สิ่งที่ผู้อาวุโสปฏิบัติกิจสองคนจะสามารถเทียบได้แน่นอน 

อาหู่กะพริบตาปริบๆ  คุณชาย นี่ท่านกำลังเล่นกับไฟอยู่นะขอรับ ไม่แน่ว่าอาจจะแผดเผาตนเองไปด้วยก็ได้ 

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ  บนโลกใบนี้มีเรื่องที่ไม่ต้องเสี่ยงเลยสักนิดที่ไหนกัน 

ไม่นานนัก ยอดฝีมือระดับสูงที่มาจากสำนักเขากว่างเฉิงก็เดินทางมาถึงเมืองชมตะวัน

หลังจากที่ได้พูดคุยกันอีกครั้งหนึ่งแล้ว ท้ายที่สุดเยี่ยนจ้าวเกอก็ยังคงอยู่ที่ถังตะวันออกต่อ ส่วนเฟิงอวิ๋นเซิงนั้นก็ตามผู้ที่เดินทางมากลับไปยังเขากว่างเฉิง

 กลับไปพักฟื้นรักษาบาดแผลและเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเถอะ รอให้ข้ากลับไปที่สำนัก ฝันร้ายของเจ้าก็จะเริ่มขึ้น  เยี่ยนจ้าวเกอมองเฟิงอวิ๋นเซิงด้วยรอยยิ้มตาหยี  สิ่งที่กำลังรอเจ้าอยู่เป็นความทุกข์ทรมานเกินกว่าที่เจ้าคาดถึง 

เฟิงอวิ๋นเซิงเลิกคิ้ว ยิ้มพลางเอ่ยถามว่า  ทุกข์ทรมานแค่ไหนกัน 

เยี่ยนจ้าวเกอดีดนิ้วครั้งหนึ่ง  ก็ประมาณ…เจ้าจะรู้สึกว่าการถูกไล่ฆ่าจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก่อนหน้านี้ แท้จริงแล้วเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสบายเลยทีเดียว 

……………

 

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

Status: Ongoing

ชายหนุ่มข้ามมิติกาลเวลาครั้งแรกมาสู่ยุคสมัยที่อารยธรรมวรยุทธ์รุ่งเรืองจนถึงที่สุด มุมานะศึกษาและฝึกฝนคัมภีร์สุดยอดวิชาที่เก็บรวบรวมไว้ในวังเทพมากมาย แต่แล้วยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ก็ต้องพบพานกับวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายจนหมดสิ้น ทว่าชายหนุ่มผู้นั้นก็พาตนเองและสมองที่เปี่ยมไปด้วยความรู้ของสุดยอดวิชา ข้ามมิติกาลเวลาอีกครั้งไปสู่ยุคสมัยใหม่ ยุคสมัยนี้มีสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกขัดใจยิ่งนัก นั่นก็คือทุกอย่างช่างง่ายดายไปเสียหมด จนทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสี่คุณชายแห่งยุค เหนือกว่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ผู้ใดในบรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในเวลาชั่วพริบตา กระนั้น แม้เขาจะยอดเยี่ยมอย่างไร เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสต่อศิษย์น้องในสำนักเพียงใด มีชื่อเสียงขจรไกลไปถึงหนแห่งไหน สุดท้ายแล้วก็ยังมีคนปากกล้าและอวดดี กังขาในความสามารถของเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จักเจียมตัวก็แล้วไปเถอะ แต่จะหาเรื่องคนที่มีพลังแก่กล้ากว่าตนอยู่อักโขเช่นนี้ ก็คงต้องประมือกันสักตั้งแล้ว “หากชอบรนหาที่ตายนัก ข้าจะสนองให้พวกเจ้าเอง!”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท