เมื่อเหย่ จี้และชั่งกวน อี้ยวิน ออกมาจากกระทรวงยุติธรรม มันก็สี่ชั่วยามต่อมาแล้ว
คนสองขึ้นไปบนรถม้าที่กำลังจอดรอพวกเขาอยู่ด้านนอก
ชั่งกวน อี้ยวิน ก้าวเข้ามาข้างในก่อน แต่เมื่อนางเห็นคนสองคนที่อยู่ในรถม้าแล้วนางก็ตัวแข็งทันที
“ ท่านโจวพี่ แม่นาง…โหลว?”
เหย่ จี้ก็ขึ้นรถม้าแล้วบอกให้คนขับรถม้าออกเดินทางไปบนเส้นทางของพวกเขาได้
ดวงตาที่สวยงามของนางมองไปที่ชั่งกวน อี้ยวิน อย่างเย้ยหยัน“ แม่นางชั่งกวน ถ้าไม่ใช่เพราะคุณหนูโหลวในวันนี้ ข้าเกรงว่าท่านจะไม่ได้มานั่งอยู่ที่นี่กับคุณชายโจวและพูดคุยกันอย่างสบายใจเช่นนี้”
แน่นอนว่าใบหน้าเล็ก ๆ ของชั่งกวน อี้ยวิน นั้นซีด นางรู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับผลที่จะตามมา
ตอนนี้ นางรู้สึกเหมือนถูกปกคลุมด้วยเหงื่อเย็น
เมื่อเหย่ จี้ เตะประตูให้เปิดออก นางก็กลัวอย่างสมบูรณ์แล้ว
โจวถังเป็นเพียงครูสอนดีดพิณ ดังนั้นเขาจึงทำกลัวและตกใจเช่นกัน
แต่ในเวลานั้น จู่ๆ หน้าต่างจากด้านนอกก็เปิดออกและมีร่างสองร่างปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา
หนึ่งในนั้นคือแม่นางเหย่ จี้ และอีกคนเป็นผู้ชายที่นางจำไม่ได้ แต่ระดับการต่อสู้ของเขานั้นสูงมาก เพราะเขาคว้าตัวโจวตัวแล้วพาเขากระโดดออกไปนอกหน้าต่าง
นี่คือวิธีที่พวกเขาสามารถหลบหนีจากภัยพิบัตินั้นได้
ชั่งกวน อี้ยวิน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะคำนับโหลว ชิงอู๋อย่างจริงใจ“ความช่วยเหลือในวันนี้จะเป็นสิ่งที่ข้าจะจดจำไว้แม้กระทั่งเมื่อข้าแก่ชรา”
แล้วโหลว ชิงอู๋ ก็มองไปที่นาง ดวงตาของนางตกลงไปที่ชั่งกวน อี้ยวิน และโจวถัง“พวกเจ้าคิดว่าเหตุการณ์ในวันนี้เป็นอุบัติเหตุจริงๆ หรือ?”
“อืมมม?”
ชั่งกวน อี้ยวิน แข็งค้างไปทันที“ถ้ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ…แล้วเช่นนั้น หรือมีคนวางแผน?”
โหลว ชิงอู๋ ยกคิ้วขึ้นแล้วพยักหน้า
“และชาในห้องของพวกเจ้าก็มีบางอย่างเพิ่มเข้าไป คุณชายโจวเดินไปมาตามท้องถนนเป็นประจำ ท่านควรจะรู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร ไม่ใช่หรือ?”
ใบหน้าของโจวถังเปลี่ยนเป็นสีขาวในทันใด“ยาปลุดกำหนัดหรือ?”
รอยยิ้มของโหลว ชิงอู๋ ลึกมากขึ้น “แต่ก็ดีที่พวกเจ้าไม่ได้ดื่มมัน ไม่เช่นนั้นมันจะเป็นการจัดการที่น่ารำคาญมากนี้ แม้ว่าฟั่น อี้ จะสร้างยุ่งเหยิงเล็กน้อย แต่ถ้าไม่ใช่เพราะใครบางคนยั่วยุเขา เขาจะก้าวเข้ามาในหอน้ำชาโดยบังเอิญได้อย่างไร และบังเอิญวิ่งเข้าไปในห้องของพวกเจ้าหรือ? ชั่งกวน อี้ยวิน เจ้ามีสาวใช้คนหนึ่งชื่อเฟยเหย่อยู่ข้างกายเจ้าหรือไม่?”
ใบหน้าของชั่งกวน อี้ยวิน ซีดลงด้วยความตกใจ“ ใช่ นางเป็นสาวใช้ส่วนตัวของข้าเอง”
“แต่เมื่อฟั่น อี้ ปรากฏตัว นางก็หายตัวไป ทำไมเจ้าไม่ลองคิดอีกครั้งเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้เจ้ามาที่นี่”
ชั่งกวน อี้ยวิน และโจวถังมองหน้ากันและจำได้ทันทีว่าพวกเขาพูดอะไรกันก่อนที่ฟั่น อี้ จะขัดจังหวะพวกเขา …
“ มันคือ…เฟยเหย่?”
โหลว ชิงอู๋ ส่ายหน้า “ไม่ใช่ มีคนที่อยู่ข้างหลังนางอีก”
“ใครกัน?”
โหลว ชิงอู๋ หัวเราะ“ มันจะดีที่สุด ถ้าพวกเจ้าไม่รู้”
ใบหน้าของทั้งสองของคนนั้นซีดมากกว่าเดิม
โจวถังหันกลับมาเผชิญหน้ากับโหลว ชิงอู๋“คุณหนูโหลว ได้โปรดช่วยยวินเอ้อร์ ข้าสามารถไม่พบ…นางอีกครั้งได้ แต่จะเกิดอะไรขึ้นกับนางไม่ได้!”
“ข้าจะไม่ปล่อยให้สิ่งใดเกิดขึ้นกับนาง แต่ท่านจะสามารถปล่อยนางไปได้จริงๆและปล่อยให้นางแต่งงานกับคนอื่นได้หรือ?”
โจวถังทำไม่ได้ เขาเป็นครูสอนดีดพิณของนางมาเป็นเวลาสามปี
อารมณ์ความรู้สึกในสามปีไม่สามารถถูกวางลงได้ เพียงเพราะเจ้าต้องการที่จะวางมันลง
แต่เขาก็เป็นเพียงครูสอนดีดพิณ แล้วเขาจะไปคู่ควรกับคุณหนูอย่างนางได้อย่างไร?
หากทำได้ เขายินดีที่จะลองพยายามดู
แต่โอกาสที่อ่อนแอที่เกิดขึ้น ก็เกือบจะทำร้ายนาง
เขาหลับตาลงด้วยความโกรธ ก่อนที่จะผงกหัวของเขาอย่างรุนแรง“ได้ข้าทำได้!”
“ แต่ข้าทำไม่ได้! ท่านพี่โจว ท่านกำลังบังคับให้ข้าตายหรือ?”
น้ำตาของชั่งกวน อี้ยวิน เริ่มร่วงหล่นลงมา ใขณะที่นางมองไปที่โจวถัง
หัวใจของนางเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง“ข้าไม่ต้องการแต่งงานกับองค์ชายรองแม้แต่น้อย ถ้าท่านยังทำเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าท่านจะบังคับให้ข้าตาย!”
“ยวินเอ้อร์ ….”
โจวถังคลุมศีรษะด้วยมือของเขา แต่เขาจะทำอะไรได้?
เขาไม่สามารถแม้แต่จะออกจากเมืองหลวงไปได้ แล้วเขาจะพานางไปได้อย่างไร?
แม้ว่าชั่งกวน อี้ยวิน ในตอนนี้จะอยู่ตามลำพังกับชายที่ไม่รู้จักในห้องด้วยกัน แต่นางก็ยังคงเป็นว่าที่พระชายาขององค์ชายรองในอนาคต
ดังนั้นวิธีที่ฟั่น อี้ แสดงนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่เคารพต่อองค์ชายรองรวมถึงราชวงศ์
แต่เมื่อคิดถึงว่าชั่งกวน อี้ยวิน พร้อมที่จะสวมหมวกให้กับองค์ชายรองอย่างไร พวกเขาต่างก็เป็นเหมือนกัน
พวกเขาทั้งสองจะไม่จบลงด้วยดี
แต่แล้วมือของฟั่น อี้ ที่กำลงจะยื่นไปถึงชั่งกวน อี้ยวิน ก็ถูกข้อมือที่เรียวบางหยุดเอาไว้ก่อน
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นจับเพียงเล็กน้อย แต่ฟั่น อี้ ก็ไม่สามารถขยับนิ้วได้
“เจ้า!”
ฟั่น อี้โกรธพร้อมด้วยความอายเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังกลับไปและดูว่าใครกำลังจับขอมือเขาอยู่ ก่อนจะแข็งค้างไป
คนอื่นต่างก็ตกตะลึงและไม่สามารถขยับได้
เดิมทีพวกเขาคิดว่า คนที่หันหลังให้กับพวกเขาน่าจะเป็นคนที่จับข้อมือของฟั่น อี้ เอาไว้
แต่เมื่อพวกเขามองไปที่ใบหน้าของเขา มันก็เป็นสีขาวและเหมือนหยกที่มีเสน่ห์งดงามในขณะที่มันถูกเปิดเผย
มันเกือบจะดูดวิญญาณพวกเขาเนื่องจากความมีเสน่ห์ของมัน ผมสีดำยาว “ของเขา” ตกลงมาเหมือนน้ำ ในขณะที่แสงอาทิตย์สีทองส่องหน้าของเขา
ในช่วงเวลานั้น มันเหมือนราวกับว่าพวกเขาได้สูญเสียจิตวิญญาณของพวกเขาไปเมื่อพวกเขามองดู “เขา”
ผู้ชายคนนี้ก็คือคุณหนูเหย่ จี้ แห่งเฉิน เก้อหลาน
“อา! มันคือคุณหนูเหย่ จี้! คุณหนูเหย่ จี้!” ไม่มีใครรู้ว่าใครตะโกนก่อน แต่มันก็ทำให้ทุกคนตื่นขึ้นมา
ในเวลาไม่นาน หอน้ำชาก็ราวกับระเบิดลง
เฉิน เก้อหลาน มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว โฉมงานทั้งสี่ที่มีชื่อเสียงและยังมีฝีมือในการเล่นพิณเป็นเลิศ
และในบรรดาที่โด่งดังที่สุดในเรื่องความงามและทักษะในการเล่นพิณและทักษะในการเต้นรำก็คือคุณหนูเหย่ จี้
ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการผู้สูงศักดิ์ สุภาพบุรุษหรือคุณหนู พวกเขาต่างก็ไปที่เฉิน เก้อหลาน โดยหวังว่าจะได้พบคุณหนูเหย่ จี้
ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะได้พบนางด้วยตาของตนเองในวันนี้
ดวงตาของฟั่น อี้ ที่แต่เดิมติดกาวอยู่ที่ชั่งกวน อี้ยวิน ตอนนี้หันมาจ้องมองไปที่เหย่ จี้ทันที
เหย่ จี้โค้งมุมปากของนางขึ้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอย่างเย็นชา
ขนตายาวๆ ของนางซ่อนความเย็นชาเอาไว้ ในขณะที่นางยกมือขึ้นแล้วหันไปมองรอบๆ
ผู้คนรอบตัวนางรู้สึกเหมือนหัวใจของพวกเขากำลังจะกระโดดออกมา ในขณะที่พวกเขากลั้นลมหายใจเอาไว้
จากนั้นเหย่ จี้ก็รู้สึกพึงพอใจก่อนจะมีรอยยิ้มขึ้น และเปล่งเสียงที่ราวกับว่ามันมาจากสวรรค์ของนางขึ้น“ ทุกคนดูเหมือนจะ…เข้าใจผิดอะไรบางอย่างอยู่หรือไม่”
ทุกคน:“ ….. ”
เข้าใจผิดหรือ?
มันเป็นความเข้าใจผิดหรือ!
ไม่ว่าเหย่ จี้จะพูดอะไรมันก็ถูกเสมอ!
“แม่นางชั่งกวน มาหาข้า แต่เดิมเพราะนางได้ยินว่าองค์ชายรอบชอบเสียงพิณของข้า ดังนั้นนางจึงมาเรียนรู้มันจากข้าเล็กน้อย แต่ใครจะรู้ว่าจะมีใครบางคนที่คิดว่าพวกเขาเป็นคนชั้นสูงและสูงส่งอย่างไม่น่าเชื่อคิดที่จะมาต่อแยกับว่าที่พระชายาขององค์ชายรอง อาญานี้…จะเรียกว่าเล็กหรือใหญ่ดี?”
ข้อมือที่เหมือนหยกของนางเผยให้เห็นผิวขาวของนาง ราวกับผีเสื้อสีทองที่มันกำลังจะบินออกไป ทำให้ดวงตาของฟั่น อี้เต็มไปด้วยความมึนงง
เขาอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงไป ในขณะที่ดวงตาของเขาเปิดกว้างและมองไปที่มือหยกที่อยู่ตรงหน้าอกของเขา
จิตใจของเขาว่างเปล่าอย่างสมบูรณ์ เพราะหัวใจของเขารู้สึกเหมือนกำลังมีลูกแมวกำลังเกาอยู่ เขารู้สึกเหมือนกำลังจะละลาย
“ สมควรที่จะถูกลงโทษ, ถูกลงโทษ…”
เขาพึมพำราวกับคนมึนเมา ก่อนได้ยินเสียงหัวเราะของใครบางคน
เหย่ จี้ปิดปากของนางขณะที่นางหัวเราะ“ ในเมื่อคุณชายฟั่นเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของเหย่ จี้ เช่นนั้น…ทุกคนโปรดเป็นพยาน ก่อนที่คุณชายฟั่นจะเดินทางไปยังกระทรวงยุติธรรม”
จากนั้นฟั่น อี้ ก็ตะลึงงัน
แต่เขาก็พูดไปแล้วก่อนที่จะมีสติ
เขาได้ต่อแยกับว่าที่พระราชาขององค์ชายรองจริงๆ
เมื่อเขาไปถึงกระทรวงยุติธรรมและอาญาที่เขาต่อแยว่าที่พระราชาขององค์ชายรองก็ตกอยู่กับเขาและยังมีพยานอีกด้วย
เจ้าหน้าที่โจวของกระทรวงยุติธรรมวางทบลงโทษฟั่น อี้ ทันทีและสั่งให้เขารอรับการลงโทษ
เมื่อเหย่ จี้และชั่งกวน อี้ยวิน ออกมาจากกระทรวงยุติธรรม มันก็สี่ชั่วยามต่อมาแล้ว
“ เปิดประตู เปิดประตู!”
ชั่งกวน อี้ยวินยังพูดไม่ทันจบประโยคของนาง ก่อนที่ประตูจะถูกเคาะจากใครบางคนข้างนอก
น้ำเสียงที่เมาเล็กน้อยของผู้ชายดังขึ้นจากข้างนอก “เปิดประตู เปิดประตู ข้ามาที่นี่เพื่อสาวน้อยคนงานของข้า เร็วเข้า รีบพาสาวน้อยคนงามมาให้ข้า ! ข้าเห็นกับตาว่านางอยู่ที่นี่ อย่าโกหกข้า เร็วเข้า เปิดประตู ข้าเห็นสาวงามเดินเข้ามาในนี่ สาวน้อยของข้า ออกมาพบข้า . . . . . . . “
” ท่านพี่ ท่านพี่โจว ? ” ใบหน้าของชั่งกวน อี้ยวินขาวซีดลง คนประเภทไหนกันที่อยู่ข้างนอก
ถ้าคนอื่นรู้ว่านางและครูสอนพิณของจวนตระกูลชั่งกวน แอบมาพบกันข้างนอก นางไม่สามารถแม้แต่ที่จะคิดถึงที่นางจะต้องเจอ
ถังโจวกอดชั่งกวน อี้ยวินเอาไว้แน่น พร้อมกับมองไปที่ประตูอย่างใจจดใจจ่อ ในขณะที่มีเสียงเคาะหนักขึ้นเรื่อยๆ
ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาก็ซีดลงเช่นกัน
ด้านนอก คนเมาใส่ชุดหรูหราและกำลังเต็มไปด้วยความโกรธที่ประตูไม่เปิดไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหน
เขาใช้ก้าวถอยหลังกลับไปสองก้าว ก่อนยกกำปั้นขึ้น “เปิด เปิดประตู พังมันลงให้ข้า “
“ขอรับ!”
ลูกน้องของเขาได้ยินและพวกเขาก็ม้วนแขนเสื้อของพวกเขาขึ้นและพังประตูลงทันที
เจ้าของร้านน้ำชาวิ่งมาและพยายามที่จะหยุดพวกเขา ” คุณชาย อย่าเพิ่งโมโหไปเลยนะขอรับ แขกที่นี่ต่างก็เป็นคนสำคัญทั้งนั้น ไม่มีหญิงสาวเช่นนั้นอยู่ที่นี่ อย่าทำให้มันยากสำหรับข้าน้อยเลยนะขอรับ ข้าน้อยข้อร้องๆ . . . . . . “
“ฮึม! เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน กล้าที่จะขัดขวางข้าหรือ ตีมัน! เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร? เสนาบดีคือลุงของข้า พังประตู ! ใครกล้าขัดขวางข้าก็จะจบลงเหมือนเขา ! “
ภายใต้คำสั่งผู้ชายคนนั้น เจ้าของการก็ถูกพวกเขาไล่ไปด้านข้าง
ลูกน้องคนอื่นๆ ยังคงพยายามที่จะพังประตูต่อไป
ร้านน้ำชาจึงตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย
แขนคนอื่นๆ ของร้านน้ำชามาชุมนุมกันอยู่ที่ชั้นสอง ทั้งชี้ และแสดงความคิดเห็นในความโกลาหลที่เกิดขึ้น
คนที่ตั้งใจจะหยุดเขาก่อนหน้านี้ต่างก็หยุดความคิดนี้ลง เมื่อได้ยินว่าเขาเป็นหลานชายของเสนาบดี
แล้วพวกเขาทั้งหมดต่างก็ได้แต่เฝ้าดู
หลานชายของเสนาบดีหรือ เมื่อเห็นว่าเขามีความหยิ่งและยโสแค่ไหน เขาจะเป็นใครได้ นอกจากหลานชายของเสนาบดีฝ่ายขวา บุตรชายของฟั่น หลี่ ฟั่น อี้
แล้วประตูก็ถูกพังลง เผยให้เห็นคนสองคนที่อยู่ภายในห้องขึ้นต่อหน้าทุกคน
ผู้ชายกับผู้หญิงอยู่กันตามลำพังในห้อง แล้วยังกอดกันแน่นอีก
ไม่ว่าเจ้าจะมองมันอย่างไร มันก็ยิ่งคลุมเครือและง่ายสำหรับคนอื่น ๆที่จะเข้าใจผิด
ฟั่น อี้ ที่เมาชี้ไปที่ชั่งกวน อี้ยวิน ก่อนจะพูดขึ้นอย่างมีความสุข “ไอหยา มันกลายเป็นว่ามีสาวน้อยอยู่ที่นี่จริงๆ แอบมาพบกับผู้ชายเสียด้วย ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ทำไมเจ้าไม่ตามข้าไปแทน . . . . . . . “
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็เซไปข้างหน้าแล้วดึงแขนของชั่งกวน อี้ยวินอย่างแรง ” ให้ข้าดูหน่อยว่าสาวน้อยคนนี้งดงามแค่ไหน ? ”
ใบหน้าของชั่งกวน อี้ยวินกลายเป็นขาวซีด ในขณะที่นางปฏิเสธฟั่น อี้และพยายามที่จะผลักเขาออกไป
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรคนผู้นั้นก็เป็นผู้ชาย และแข็งแกร่งกว่านาง
เขาดึงนางแรงมากขึ้น จนผ้าคลุมหน้าของนางลอยขึ้นไปในอากาศ
ผ้าคลุมหน้าของชั่งกวน อี้ยวินตกลงไปบนพื้นดินในทันทีและเผยให้เห็นใบหน้าที่มีเสน่ห์และงดงามของนาง
การแสดงออกของนางไม่มั่นคง ทั้งหวาดกลัวและมีน้ำตา
ในเวลานี้ ใครบางคนจากฝูงชนก็ตะโกนขึ้น “นี่มันคุณหนูชั่งกวน? ”
ทุกคนชะงักไป “แล้วคุณหนูชั่งกวนเป็นใครกัน? ”
” บุตรสาวของท่านเจ้ากรมกลาโหม พระชายาในอนาคตขององค์ชายรอง ! “
หลังจากที่พวกเขาพูดขึ้น ฝูงชนต่างก็ส่งเสียงดังมากขึ้น
คนรอบข้างของพวกเขาดูตกใจ แต่ก็ดูตื่นเต้น เหมือนได้ดูละครฉากใหญ่ ในขณะที่พวกเขาสำรวจไปรอบ ๆพวกเขา
เมื่อสายตาของพวกเขาตกไปที่ชั่งกวน อี้ยวินและฟั่น อี้ รวมทั้งผู้ชายที่หันหลังให้กับพวกเขา จิตใจของพวกเขาก็สร้างสถานการณ์ที่ทำให้พวกเขาหัวเราะเสียงสูงขึ้นทันที
เดิมทีความสงสารในสายตาของพวกเขาที่พวกเขามองไปที่ชั่งกวน อี้ยวิน ก็ได้เปลี่ยนไปเป็นแปลกๆ
นางยังไม่ได้แต่งงานกับองค์ชายรอง แต่นางก็คิดจะนอกใจเขาแล้ว ?
หัวขององค์ชายรองมีมวกเขียวเรียบร้อยแล้ว
ฟั่น อี้ ดูเหมือนจะไม่ได้ยินผู้คนที่อยู่เบื้องหลังเขาพูด ในขณะที่เขาหัวเราะและมองไปที่นาง ” นี่ มันคือความงามอย่างแท้จริง มา มาให้ข้าหอมเจ้าซะดีๆ และติดตามข้าจากนี้ต่อไป ข้าจะให้เข้าเป็นอนุคนที่สิบสามของข้า . . . . . . . . “
ทุกคนในฝูงชนต่างก็สูดเอาลมหายใจที่เยือกเย็นเข้าไปแทน
ชั่งกวน อี้ยวิน สวมชุดสีม่วงประกายอ่อนปักด้วยเส้นลายเมฆ ใบหน้าของนางปิดบังด้วยผ้าคลุมสีคล้ายกัน
ในขณะที่นางเดิน ชุดก็กระเพื่อมไปกับนางในทุกย่างก้าว
นางเดินตรงเข้าไปในหอน้ำชาที่ชั้นสอง ในขณะที่เฟย เหย่เดินตามหลังนางไป
ในสถานที่ที่ชั่งกวน อี้ยวิน มองไม่เห็น นางใช้มือเป็นสัญลักษณ์บอกคนที่ยืนอยู่ในมุม ก่อนจะเดินต่อไป
ชั่งกวน อี้ยวิน ดูราวกับว่านางร้องไห้มา ดวงตาของนางยังเป็นสีแดงและบวมเล็กน้อย
เมื่อนางไปถึงห้อง นางก็เคาะประตูขึ้น
จากข้างในห้อง เสียงผู้ชายก็เปล่งออกมา “ เข้ามา”
นางหันกลับมาและพูดกับเฟย เหย่เบา ๆ “ ดูข้างนอกไว้ อย่าให้ใครเข้าไป”
“เจ้าค่ะ!” เฟย เหย่พยักหน้า สายตาของนางลดลง ในขณะที่นางยืนด้วยความเคารพ
ชั่งกวน อี้ยวิน จึงผลักประตูให้เปิดออก และปิดลงตามหลังนาง
เมื่อผู้ชายในห้องได้ยินเสียงเปิดประตู เขาก็ยืนขึ้น
เขาสวมชุดธรรมดา ใบหน้าของเขาดูหล่อเหลา ในขณะที่เขามองไปที่ชั่งกวน อี้ยวิน ด้วยความเจ็บปวดในสายตาของเขา“ยวินเอ้อร์”
น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของชั่งกวน อี้ยวิน แล้วนางก็พูดขึ้น “ท่านพี่โจว… .. ”
หลังจากพูดจบแล้ว นางก็วิ่งไปข้างหน้าและเข้าไปในอ้อมแขนของเขา
โจวถังแข็งค้างอยู่กับที่ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับมือของเขาดี
ในท้ายที่สุด เขาก็ไม่สามารถทนความคิดถึงที่มีต่อนางเอาไว้ได้และกอดไปที่ไหล่ของนาง “ ยวินเอ้อร์ ขอโทษ ข้ามันไร้ประโยชน์”
“ ไม่ มันไม่ใช่ความผิดของท่าน มันเป็นฮูหยินใหญ่ที่ต้องการให้ข้าแต่งงานออกไป” แต่นางก็ไม่ต้องการที่จะเป็นพระชายารองอะไรนั่น
นางแค่อยากจะมีชีวิตอยู่กับท่านพี่โจวของนาง
“แต่บิดามารดาของเจ้าก็ได้มีคำพูดสุดท้ายในชีวิตแต่งงานของเจ้าแล้ว ดังนั้นเจ้าต้อง … ” โจวถัง หลับตาสีแดงของเขาลง
ในท้ายที่สุด เขาก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
แต่เขาก็ทนไม่ได้ที่จะพาคุณหนูผู้สูงสงไปกับครูสอนพิณธรรมดาอย่างเขา จะต้องเดินทางไปทั่วและจะทนทุกข์อยู่กับเขา
ดังนั้นเขาควรปล่อยนางไป!
“ข้าได้ยินว่าองค์ชายรองเป็นคนดี มีคุณธรรมและมีน้ำใจ เขาจะไม่ปฏิบัติกับเจ้าอย่างเลวร้าย … “
“ ท่านพี่โจว?” ชั่งกวน อี้ยวิน เงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา“ แม้แต่ท่านก็ไม่ต้องการข้าหรือ?”
โจวถังเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาจากดวงตาของนางอย่างเจ็บปวด “มันไม่ใช่ว่าข้าไม่ต้องการเจ้า แต่ข้าไม่สามารถที่จะต้องการเจ้าได้ ท่านเจ้ากรมกลาโหม บิดาของเจ้า ได้ใส่ชื่อของข้าลงไปในรายชื่อต้องห้ามแล้ว และยังบอกว่าข้าได้ทำผิดต่อจวนตระกูลชั่งกวน ข้าไม่สามารถพาเจ้าออกไปจากเมืองหลวงได้แบบนี้เจ้ายังจะต้องการอยู่กับข้าอีกหรือ?”
“ ท่านพี่โจว ข้ายอมที่จะตายดีกว่าต้องแต่งงานกับองค์ชายรอง!”
“ ยวินเอ้อร์ … เจ้า ทำไมเจ้าต้องทนทุกข์เช่นนี้!”
“ ท่านพี่โจว พาข้าหนีไป ข้าขอร้องท่าน พาข้าหนีไป…ถ้าข้าไม่สามารถอยู่กับท่านได้ ข้าก็ยอมตาย!”
“ ยวินเอ้อร์ ทำไมข้าถึงจะไม่อยากพาเจ้าหนีไป แต่มันไม่ใช่งานแต่งงานธรรมดา ถ้าข้าพาเจ้าหลบหนีไปในตอนนี้ เมืองหลวงทั้งเมืองจะเกิดความวุ่นวาย”เขาได้ยินมาว่าองค์ชายรองเป็นผู้เหมาะสมที่สุดที่จะได้สำหรับองค์รัชทายาท
หากอนาคตพระชายารองตัดสินใจที่จะหนีตามเขาไป สิ่งนี้อาจทำลายโอกาสของเขาได้
แต่ในอีกแง่หนึ่ง จะมีผู้ชายคนไหนที่จะทนเห็นคนรักของเขาแต่งงานกับผู้ชายคนอื่นได้?
ในขณะที่เขาลังเล เขาก็ได้รับจดหมายของยวินเอ้อร์ บอกว่าอยากจะพบเขาอีกครั้ง ก่อนที่นางจะสิ้นสุดความสัมพันธ์กับเขา
“ท่านพี่โจว? ข้าไม่เข้าใจเรื่องของคนในวัง ข้าเพียงแค่รู้ว่าถ้าไม่มีท่าน ข้าคงจะต้องได้ล้างหน้าด้วยน้ำตาทุกวัน ท่านสามารถทนได้ที่จะเห็นข้าหัวใจแตกลสายและมีชีวิตอยู่อย่างน่าสงสารอย่างนั้นหรือ?” ความลังเลใจของโจวถังทำให้หัวใจของชั่งกวน อี้ยวิน เจ็บปวด
“ยวินเอ้อร์ ขอคิดสักเล็กน้อย”
โจวถังเช็ดน้ำตาของนางออก ความคิดของเขายุ่งเหยิงมาก
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขารู้สึกเหมือนว่ากำลังจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในวันนี้
“ท่านพี่โจว วันนี้ท่านขอให้ข้าออกมาพบท่าน ไม่ใช่ว่าท่านได้วางแผนที่จะพาข้าหนีไปหรอกหรือ”
“ อืม?” โจวถังแข็งค้างไปชั่วครู่ “ข้าขอให้เจ้ามาหรือ ไม่ใช่ว่าเป็นเจ้าหรือที่ให้เฟย เหย่มาส่งจดหมายให้ข้าออกมาพบเจ้าที่นี่?”
ชั่งกวน อี้ยวิน ก็แข็งค้างไปเช่นกัน “ไม่ ข้าไม่ได้ทำ เป็นเฟย เหย่ที่ส่งจดหมายให้ข้าและบอกข้าว่า…”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
“ เปิดประตู เปิดประตู!”
“ โอ้ แล้วมันคืออะไร?” นางลดสายตาของนางลง ดวงตาของนางจับจ้องไปที่ข้อมือบางของฮูหยินเก้า
ในที่สุดหัวใจของนางก็อ่อนลง
“ แม่ของเจ้าไม่สบาย ข้าต้องขอยืมเลือดของเจ้าสักเล็กน้อย เจ้าจะเห็นด้วยไหมไม่?” ฮูหยินเก้ารู้สึกไม่สบายใจ
มือของนางจับไปที่แขนของโหลว ชิงอู๋ อย่างแน่นหนา ดวงตาที่งดงามของนางดูเป็นกังวลและเต็มไปด้วยน้ำ
โหลว ชิงอู๋ เงยหน้าขึ้นมองตรงเข้าไปในดวงตาของนาง
นางกลัวว่านางจะไม่เห็นด้วยหรือ?
นางจะไม่เห็นด้วยได้อย่างไร?
นางหัวเราะขึ้นเบาๆ “ข้าจะไม่เห็นด้วยได้อย่างไร? ”
“ดีจริงๆ…” ฮูหยินเก้าปล่อยลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก การแสดงออกของนางยังละเอียดอ่อนและสง่างาม
“ แต่” โหลว ชิงอู๋ เฝ้าดูนางอย่างลึกซึ้ง “ท่านแม่ ท่านรู้หรือไม่ว่าผลที่ตามมาจากการนำเลือดของข้าไปจะเป็นอย่างไร?”
“ข้ารู้” ปากของฮูหยินเก้าโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม วิธีที่นางยิ้มนั้นเหมือนกับโหลว ชิงอู๋มาก
นางมีรอยบุ๋มขนาดใหญ่ข้างมุมปากของนาง ทำให้นางดูอ่อนหวานเป็นพิเศษ
นางไม่ได้ดูตรงกับอายุของนาง นางดูเหมือนเด็กผู้หญิงอายุยี่สิบกว่าๆ
วิธีที่นางพูดนั้นจริงใจ ไม่ได้มีความสงสัยเลยแม้แต่น้อย “ข้าแค่ขอยืมเลือดเล็กน้อย ผู้นำตระกูลหยวนบอกว่าไม่มีอันตราย”
“ …. เช่นนั้นหรือ?” รอยยิ้มของโหลว ชิงอู๋ ลึกขึ้น แล้วนางก็ค่อย ๆ จับมือของฮูหยินเก้า ก่อนจะพูดขึ้น “ท่านแม่ ข้าจะช่วยท่าน”
จนกระทั่งโหลว ชิงอู๋ จากไปแล้วเท่านั้น ฮูหยินเก้าถึงได้กลับมาเป็นตัวของตัวเอง หูของนางดูเหมือนจะสะท้อนวลีสุดท้ายของโหลว ชิงอู๋อยู่
“ช่วยหรือ?”
ฮูหนินเก้าจ้องมองไปข้างหน้าอย่างว่างเปล่า จนกระทั่งนางเห็นหยวน ซิวเหริน
นางก็วิ่งเข้าไปในอ้อมแขนของเขา
“ซิวเหริน ท่านซ่อนอะไรบางอย่างจากข้าหรือไม่ ทำไมนางถึงบอกว่านางจะช่วยข้า ท่านไม่ได้บอกว่ามันเป็นเพียงแค่การยืมเลือดเท่านั้นหรอกหรือ?”
“หนิงเออร์ผู้โง่เขลา เจ้าคิดมากเกินไป เราไม่ได้บอกนางว่าทำไมเราต้องขอยืมเลือดของนาง ดังนั้นนางจะรู้ได้อย่างไรว่าเราจะใช้มันเพื่ออะไร ดังนั้นมันจึงเป็นเพียงเจ้าที่กังวลมากเกินไป” หยวน ซิวเหริน โอบกอดฮูหยินเก้าไว้ในอ้อมแขนของเขาอย่างแน่น
คิ้วของเขาขมวดเข้าด้วยกัน เขาไม่รู้ว่าเขาคิดมากเกินไปหรือเปล่า แต่ดูเหมือนว่าวลีที่โหลว ชิงอู๋ พูดดูเหมือนจะแปลกไปไหม?
ฮูหยินเก้ายังคงอยู่ในอ้อมกอดของเขา แต่คิ้วที่สง่างามของนางก็มีรอยย่นขึ้นเล็กน้อยด้วยเช่นกัน “ซิวเหริน นางเป็นลูกสาวของจ้าจริงๆหรือ แต่ทำไมข้าถึงไม่มีความรู้สึกใดๆ ให้กับนางเลย?”
“ ไม่ใช่ว่าข้าเคยบอกข้าไปแล้วหรือ? เจ้าเคยเจ็บป่วยอย่างหนักมาก่อน ดังนั้นเจ้าจึงลืมทุกอย่างเกี่ยวกับอดีตไปจนหมด “
“ แต่…การทำเช่นนี้จะไม่เป็นอันตรายต่อนางจริงๆใช่ไหม”
“ หนิงเออร์ผู้โง่เขลา” หยวน ซิวเหริน คลายอ้อมแขนของเขาออกเล็กน้อย
นิ้วของเขาลูบไล้ไปบนใบหน้าของนางเบา ๆ “ นางเป็นลูกสาวของเจ้า ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไร กับสายเลือดของเจ้า? ข้าจะทำร้ายนางได้อย่างไร หนิงเออร์ ไม่ต้องกังวล มันเป็นเลือดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันจะไม่เป็นไร? หรือว่าเจ้าไม่เชื่อข้าแล้ว?”
“ เชื่อ ข้าจะไม่เชื่อท่านได้อย่างไร ซิวเหริน ไม่มีความทรงจำช่างเป็นเรื่องที่น่าสงสารจริงๆ แม้ว่าข้าจะคิดถึงมัน แต่ร่างกายของข้าก็เต็มไปด้วยความเย็นชา มันเป็นสิ่งที่ดีที่ข้าได้พบท่าน … ”
“ ตอนนี้เจ้ามีข้าแล้ว ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป” หยวน ซิวเหริน โอบกอดนางอีกครั้ง ดวงตาเหยี่ยวของเขาคมชัดขึ้น ก่อนที่จะมองไปที่ฮูหยินเก้าและเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นอีกครั้ง
ตราบใดที่เขาสามารถช่วยชีวิตนางได้ เขาก็ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว!
โหลว ชิงอู๋ ออกจากร้านอาหารไป ในขณะที่รถม้าที่หลานป๋าย ส่งมามาถึงพอดี
นางขึ้นรถม้าแล้วยกม่านขึ้น ในขณะที่นางมองไปที่ชั้นสอง ก่อนที่จะปล่อยมันลงอย่างช้าๆ และซ่อนแสงแห่งความไม่แยแสเอาไว้ในสายตาของนาง
“ ไปได้” โหลว ชิงอู๋ ถอนหายใจออกมาอย่างเงียบ ๆ ไม่สามารถอธิบายได้ว่านางรู้สึกอย่างไร
นางหลับตาลงและปล่อยให้หัวใจได้แยกแยะความยุ่งเหยิงของตัวมันเอง
รถม้าเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆและเมื่อผ่านโรงน้ำชาก็มีรถม้าอีกคันหนึ่งผ่านมา
เมื่อรถม้าผ่านไป มันก็หยุดอยู่หน้าหอน้ำชา ก่อนที่สาวใช้จะยกม่านขึ้นและร่างที่บอบบางของใครบางคนก็เดินออกมา
จากข้างในมีหญิงสาวที่เรียวบางและสง่างามพร้อมด้วยท่าทางที่อ่อนโยนของนางกำลังเดินออกมา
มันเป็นว่าที่พระราชารอง ชั่งกวน อี้ยวิน
“ถ้ามีอะไรที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือให้บอกลุงของเจ้าให้เร็วที่สุดเท่าที่เจ้าจะทำได้ ลุงหยวน จะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยเจ้า”
“ชิงอู๋ขอขอบคุณท่านผู้นำหยวนสำหรับความห่วงใยของท่านเจ้าค่ะ” นางกลัวว่ามันจะไม่เป็นอย่างนั้น “ข้าไม่ทราบว่าความช่วยเหลือประเภทไหนที่ท่านผู้นำหยวนกำลังมองหาอยู่เจ้าค่ะ?”
“เรื่องนั้น …”
หยวน ซิวเหรินไม่คิดว่าโหลว ชิงอู๋ จะเป็นคนแรกที่จะพูดมันขึ้นมาก่อน
ในตอนแรก เขาอยากจะพูดถึงแม่ของนาง เพื่อนำไปสู่การระลึกถึงแม่ของนางก่อนกล่าวถึงฮูหยินเก้า
แต่การที่โหลว ชิงอู๋ พูดขึ้นก่อน ทำให้แผนการเดิมของเขายุ่งเหยิงขึ้น
ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว ก่อนที่จะพูดต่อขึ้นอย่างราบรื่น“ ชิงอู๋ เจ้ามีอะไรที่จะต้องทำในวันนี้หรือไม่”
“ไม่มีอะไรในตอนนี้เจ้าค่ะ” โหลว ชิงอู๋ดูสงบและนิ่ง พร้อมทั้งยังดูเชื่อฟังเป็นพิเศษ
“ดี ดีมาก ถ้าเช่นนั้นลุงหยวน จะพาเจ้าไปพบกับใครคนหนึ่ง?” ในที่สุด หยวน ซิวเหรินก็ผ่อนคลายยามความระมัดระวังของเขาลง
เมื่อเร็ว ๆ นี้เขาได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับตัวนาง แต่นี่ก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงที่ยังไม่โตเต็มที่เท่านั้น
ตราบใดที่หนิงเอ้อร์ สามารถใช้อารมณ์ของนางเล่นกับนางเพียงเล็กน้อย โดยใช้ความรักและความห่วงใยจากคนในครอบครัวของนาง ในการทำให้นางซาบซึ้ง มันคงไม่ยากสำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ตัวนี้ที่จะชักชูงได้ง่ายขึ้น
ตราบใดที่พันวันมึนเมาของหนิงเอ้อร์ ได้รับการรักษา เขาจะไม่ต้องทนกับภัยคุกคามของหยวนเฉิน อีกต่อไป
หลังจากนั้น ดวงตาที่เย็นชาของเขาก็สว่างขึ้น ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นพร้อมกับความสงบก่อนหน้านี้ ในขณะที่รอการตอบสนองของโหลว ชิงอู๋ อย่างเงียบ ๆ
ดวงตาที่งดงามของโหลว ชิงอู๋ ลดลงและเต็มไปด้วยความเยือกเย็นในขณะที่นางพยักหน้าอย่างช้า ๆ “ได้เจ้าค่ะ”
หลังจากนั้นโหลว ชิงอู๋ ก็ได้ตามหยวน ซิวเหริน ไปที่ร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง
หยวน ซิวเหริน พานางขึ้นไปบนชั้นสองและหยุดที่ห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง
หยวน ซิวเหรินไม่ได้เข้าไปข้างใน เขายืนอยู่ที่ทางเข้า ในขณะที่ใบหน้าที่เย็นชาและแข็งทื่อของเขาฝืนยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมา“ ชิงอู๋ เจ้าสามารถเข้าไปได้ด้วยตัวเอง คนที่อยากพบเจ้ารออยู่ข้างในแล้ว”
โหลว ชิงอู๋ พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ดวงตาของนางมองไปรอบๆในขณะที่ข้อมือเรียวขาวของนางยกขึ้นและผลักประตูเบา ๆ
หยวน ซิวเหริน หันหลังกลับไปและเข้าไปในห้องข้างเคียง
ดวงตาเหยี่ยวของเขาดูลึกและไม่สามารถอ่านได้
เมื่อโหลว ชิงอู๋ ก้าวเข้ามาในห้อง นางก็ปิดประตูลง
นางก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว ก่อนจะยกม่านมุกขึ้น
ที่นั่น นางได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งหันหลังให้กับนาง
เอวของนางเรียวพร้อมกับมีปิ่นหยกอันเดียวที่ยกผมของนางขึ้น
เมื่อนางได้ยินเสียง นางก็หันกลับมาพร้อมด้วยดวงตาที่เป็นประกายและใบหน้าที่งดงาม
ดวงตาที่เปียกน้ำตาของนางตกลงมาในขณะที่เห็นโหลว ชิงอู๋ และโดยไม่มีคำพูดอะไรสักคำ น้ำตาหยดแรกก็ตกลงไปบนมือที่เหมือนหยกของนาง“ ชิงอู๋….”
เสียงของนางยังคงพึมพำ ในขณะที่โหลว ชิงอู๋ แข็งค้างไปทันที
นางมองไปที่ผู้หญิงมีอายุที่ยังคงดงามอย่างงงงวยที่อยู่ต่อหน้านาง
มันเหมือนกับว่ามีกลองเล็ก ๆ เต้นอย่างแรงอยู่ในหัวใจของนาง
แต่เมื่อมันทุบตีและพังทลายทุกอย่างลง นางก็ยังสามารถบังคับตัวเองให้กำจัดความมืดดำในหัวใจของนางออกไปและดึงการแสดงออกที่เป็นปกติออกมา ก่อนจะถามอย่างว่างเปล่าว่า “ท่านแม่หรือ?”
น้ำตาของฮูหยินเก้าก็ยิ่งมากขึ้น ในขณะที่นางบิดผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือ
นางลุกขึ้นยืน กำลังจะจะเอื้อมมือไปข้างหน้าเพื่อกอดโหลว ชิงอู๋แต่กลัวว่านางจะทำให้นางตกใจกลัว จึงได้แค่ยืนอยู่นิ่งๆ เท่านั้น
บางครั้งนางก็จะก้มลงและใช้ผ้าเช็ดหน้าเพื่อซ่อนน้ำตาของนาง“ ชิงอู๋ แม่ไม่สมควรเป็นแม่ของเจ้า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามันเป็นแม่คนนี้ที่ไม่สมควรเป็นแม่ของเจ้า ข้าได้เปลี่ยนไปแล้วและตอนนี้ข้าก็เป็นฮูหยินเก้าของตระกูลหยวน”
โหลว ชิงอู๋กำกำปั้นเอาไว้แน่น
หลังจากนั้นไม่นาน พวกมันก็ถูกปล่อยออกอย่างช้าๆ
เมื่อนางเดินไปที่ด้านหน้าของฮูหยินเก้า นางก็ลูบไหล่ของนางเบา ๆ แล้วดึงนางลงไปนั่งที่ของนาง “ท่านสบายดีหรือไม่ในหลายปีที่ผ่านมาที่จวนตระกูลหยวน?”
“ดีมาก ผู้นำตระกูลหยวนปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดี เมื่อก่อนบิดาของเจ้าปฏิบัติต่อข้าด้วยการบังคับ เขาบังคับให้ข้าทำสิ่งนี้ ข้าถูกบังคับ”
“ข้ารู้” แล้วความเจ็บปวดของนางก็พุ่งขึ้นมาอีกครั้ง
แม้ว่านางจะวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะช่วยชีวิตนาง แต่การมาถึงของนางก็ยังคงสร้างบาดแผลอีกแห่งหนึ่งในหัวใจที่เต็มไปด้วยเลือดของนาง
มันเจ็บหรือเปล่านะหรือ? มันด้านชาไปแล้ว
“ชิงอู๋ แม่มาคราวนี้เพื่อขออะไรบางอย่างจากเจ้า”
หนอนวูดูพันวันมึนเมาเป็นพิษและเป็นประเภทที่ทำให้ใครบางคนตกอยู่ในอาการหมดสติ และในที่สุดก็จะเสียชีวิตไปในการหลับของพวกเขา
แต่ตราบเท่าที่หนอนแม่ยังดีอยู่ มันจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของพวกเขา
หรืออย่างน้อย พวกเขาก็สามารถที่จะสับเปลี่ยนหมอนแม่ได้อย่างราบรื่นและถึงแม้ว่าหยวนเฉิน จะต้องการจะใช้มันเพื่อทำอะไรบางอย่างกับฮูหยินเก้า แต่ก็จะไม่ทำร้ายนาง
ดวงตาของพันหน้าสว่างขึ้น “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ข้าจะรีบไปตรวจสอบทันที”
“แต่เราจะทำอย่างไรกับหนอนที่เหลือเจ้าค่ะ?”
หลายป๋ายยังคงกังวลใจและกลัวหนอนวูดูอยู่บ้าง
แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลจากนาง แต่นางก็ช่วยไม่ได้ที่จะถามขึ้น
“ทำอะไรนะหรือ”โหลว ชิงอู๋ หัวเราะอย่างมีความหมายขึ้น
นิ้วมือเรียวของนางจับไปที่โถของหนอนวูดู ก่อนจะพูดขึ้น “เราจะให้นางได้ลองรสชาติของยาของนางเอง เราจะหาโอกาสในการใส่หนอนหนึ่งตัวเข้าไปในร่างของหยวนเฉิน ถ้านางไม่มีเจตนาที่ไม่ดี นางก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัยและมีความสุข แต่ช่วงเวลาที่นางตัดสินใจว่านางต้องการทำอะไรบางอย่าง นางก็จะจบชีวิตของนางเอง “
ถ้าสวรรค์มีคำว่าบาปกรรม มันก็เป็นไปได้ที่จะมีชีวิตอยู่
แต่ถ้ามันเป็นบาปกรรมของเจ้า … เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้!
นางให้โอกาสนางแล้ว แต่ถ้านางจะไม่รักษาพวกมันเอาไว้ แล้วเช่นนั้นก็ไม่มีใครจะสามารถช่วยนางได้
และมันก็เกือบจะถึงเวลาแล้วที่คนผู้นั้นจะมาที่จวนตระกูลโหลวด้วยเช่นกัน
วันรุ่งขึ้นหลังจากอาหารเช้า หลานป๋ายก็มาพร้อมกับข้อความ
“นายท่าน ผู้นำตระกูลหยวนมาขอพบท่าน เขารออยู่ในห้องโถงใหญ่แล้วในตอนนี้พร้อมกับนายท่านใหญ่เจ้าค่ะ”
“ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปจัดการกับเขา” กำหนดเส้นตายสำหรับการแลกเปลี่ยนอยู่ใกล้แล้ว ดังนั้นหยวน ซิวเหรินน่าจะเริ่มเป็นกังวลมากขึ้นแล้ว
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขามาพบนาง
“เจ้านาย ข้ากลัวผู้นำตระกูลหยวนจะ… “
“อย่ากังวล ข้าจะไม่เสี่ยงชีวิตของข้าเนื่องจากความประมาท” ดวงตาของโหลว ชิงอู๋หรี่ลงเล็กน้อย
นางได้มาเกิดใหม่ และไม่มีใครที่ไหนที่จะรักชีวิตของนางมากกว่านางเอง
นางค่อยๆเดินช้าๆผ่านลานดอกไม้ไปจนถึงทางเข้าของประตูทางเข้าของห้องโถงใหญ่
ภายในหยวน ซิวเหริน และโหลว ชุยเฟิ่ง กำลังคุยกันอย่างมีความสุขราวกับว่าผู้เขาเกลียดอยู่อย่างเดียวที่พวกเขาไม่สามารถดื่มได้เป็นสามวันเพื่อแสดงความสนิทสนมของพวกเขา
แต่น่าเสียดายที่ทั้งหมดเป็นเพียงแค่การแสดง
“ท่านพ่อ ท่านผู้นำหยวน”
โหลว ชิงอู๋ เดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ก่อนจะทำความเคารพพวกเขา
การแสดงออกของนางอบอุ่นและอ่อนโยน มีน้ำใจและเป็นมิตร
“ชิงอู๋เจ้ามาแล้ว มาๆ มานั่งนี่ ลุงหยวนเพิ่งกล่าวถึงเจ้าและบอกว่าเจ้ากำลังจะถึงวัยที่สมควรแก่การออกเรือนแล้ว และพูดถึงของขวัญที่จะมอบให้เจ้า “โหลว ชุยเฟิ่ง ลูบคางในขณะที่เขายิ้มเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นของบิดา
มันสมบูรณ์แบบมากจนไม่มีใครสามารถที่จะหาข้อบกพร่องได้
“ท่านกล่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” โหลว ชิงอู๋ นั่งลงไปที่ที่โหลว ชุนเฟิ่ง ชี้และลดศีรษะของนางลงและรอฟังพวกเขา
บางครั้งนางก็พูดเพื่อตอบคำถามเหล่านั้น
หยวน ซิวเหรินเห็นว่ามันเกือบจะได้เวลาแล้ว ก่อนที่จะเปลี่ยนหัวข้อ “ตัวข้ามาที่นี่ในครั้งนี้ก็เพราะมีบางอย่างที่ข้าต้องการให้หลานชิงอู๋ ช่วยเหลือ ข้าหวังว่าน้องชายโหลว จะอนุญาต”
“ข้าจะไม่ได้อย่างไร?” โหลว ชุ่ยเฟิ่ง ยิ้มขึ้นราวกับสุนัขจิ้งจอก
เขาลุกขึ้นยืน “บังเอิญว่าข้ามีบางอย่างที่จะต้องไปทำ เช่นกันพี่ชายหยวยและชิงอู๋ ก็สามารถสนทนากันไปก่อนได้ แต่ท่านต้องอยู่รับมื้อกลางวันก่อนนะท่านพี่หยวน “
“แน่นอนๆ”
หยวน ซิวเหริน ก็ลุกขึ้นยืนเพื่อให้เกียรติเขา
เขาสูงกว่าโหลว ชุยเฟิ่งและกลิ่นอายของเขาก็กดขี่โหลว ชุยเฟิ่งไปจนหมด
โหลว ชิงอู๋ ฟังพวกเขาอย่างเงียบๆและดวงตาของนางก็เผยให้เห็นการแสดงออกของความเยือกเย็นอยู่ข้างใน
“อ่า ชิงอู๋” เมื่อพวกเขาอยู่กันเพียงสองคนภายในห้องโถงใหญ่ หยวน ซิวเหรินก็ไอขึ้นเบา ๆ และพูดขึ้น “ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชีวิตเจ้าในเขตชนบทอยู่ดีหรือไม่? ตอนนี้เจ้าคุ้นเคยกับการอยู่ในเมืองหลวงแล้วหรือยัง? ”
“ข้าสบายดีเจ้าค่ะ คนที่รับข้าไปเป็นคนที่จิตใจดีมีน้ำใจ ข้าจึงไม่ได้รับความทุกข์ทรมานใดๆ เมื่อข้ากลับมาที่เมืองหลวงทุกอย่างก็ราบรื่นดีเจ้าค่ะ “โหลว ชิงอู๋ตอบขึ้นอย่างสุภาพและระมัดระวัง
หยวน ซิวเหรินมองหน้านางและเห็นว่านางมีความเหมือนกันกับฮูหยินเก้าของเขามากแค่ไหน
เขาถอนหายใจในหัวใจของเขา
เพียงแค่ชั่วพริบตา หลายปีก็ได้ผ่านไปแล้ว
จนกระทั่งเสียงฝีเท้าหายไปแล้ว เฟิ่ง เหย่เก้อ จึงลดศีรษะลงและเปิดหน้าหนังสืออย่างเฉื่อยชา
“ออกมา”
แล้วจู่ๆ ก็มีรูปร่างปรากฏในทันที ในชุดสีดำปักทอง
ดวงตาดอกท้อของเขาเปิดกว้างเป็นประกายสดใสขึ้น “เจ้า การรับรู้ของเจ้าสูงมาก เจ้าถึงขนาดรู้ถึงการมีตัวตนของข้า แต่เจ้าบาดเจ็บได้อย่างไร? ”
น้ำเสียงล้อเลียนของเขาได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็วโดยการเหลือบมองจากเฟิ่ง เหย่เก้อ
หลี่ หยวน รีบหุบปากและแกล้งทำเป็นไอขึ้น “อย่าเย็นชานัก ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นข้าจึงหยุดธุระของข้าและมาดูเจ้าในทันที เมื่อข้าเห็นว่าเจ้าสบายดี ข้าก็รู้สึกซาบซึ้งมาก “
“เจ้ามาที่นี่เพื่อดูว่าข้าตายหรือยังใช่ไหม?”
“….. เจ้าต้องพูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้เลยหรือ?” หลี่ หยวนถึงกับสำลัก
เขาถูจมูกของเขาด้วยความรู้สึกอาย ๆ ก่อนจะนั่งลงไปบนม้านั่งยาวที่อยู่ใกล้ ๆ
ดวงตาดอกของเขาเหลือบมองไปและตกลงไปบนผ้าพันแผลที่มีปมผีเสื้อบนแขนของเฟิ่ง เหย่เก้อ
จู่ๆ เขาก็ตัวสั่นขึ้น
“เจ้าช่างมีรสนิยมที่ผิดเพี้ยน มันทำให้แผ่นหลังของข้าเต็มไปด้วยความเย็นจากหวาดกลัว”
“ทำไมถึงเย็นและทำไมต้องหวาดกลัว? “เฟิ่ง เหย่เก้อค่อยๆปิดหนังสือของเขาลง ดวงตาที่เยือกเย็นของเขาหันไปหาหลี่หยวนซึ่งทำให้เขาสั่นขึ้นอีกครั้ง
“เอาล่ะๆ! ข้าผิดไปแล้ว? ตกลงไหม แต่ใครเป็นคนที่พยายามจะฆ่าเจ้า ช่างกล้าหาญจริงๆ”
“เขาไม่ต้องการที่จะฆ่าข้า เขาแค่อยากจะเข้าไปถึงชิงอู๋ เขาก็แค่อยากจะเตือนข้า” ดวงตาของเฟิ่ง เหย่เก้อ ดูเยือกเย็นและไร้ความปราณี
“มัน …. เป็นเขาหรือ?” หลี่หยวนพูดออกมาทันที “แต่เขา รู้ได้อย่างไรว่าเจ้า … “
“ในแคว้นตงอวี้ทั้งแคว้นนี้มีอะไรบ้างที่เขาไม่รู้?”
“แล้วเช่นนั้น เจ้ากำลังเตรียมพร้อมอยู่หรือไม่?” การแสดงออกของเฟิ่ง เหย่เก้อเยือกเย็นเกินไป จู่ๆ หลี่ หยวนก็รู้สึกไม่ดีขึ้น
“ตัดหัวขององครักษ์เงาที่มาที่นี่และส่งพวกมันกลับไปให้เขา”
“นี่จะไม่ทำให้เขาโกรธมากขึ้นไปอีกหรือ?”
“โกรธหรือ?” ดวงตาของเฟิ่ง เหย่เก้อ หรี่ลงเล็กน้อยและมีแสงที่เยือกเย็นกระพริบอยู่ข้างใน “ถ้าเขาจะมีเวลามาโกรธนะ”
เขากล้าที่จะพยายามเข้าหาคนของเขาและต้องการจะหลบหลีออกไปอย่างสบายตัวอย่างนั้นหรือ?
เช่นนั้นเขาก็คงกำลังฝันไปแน่นอน
เมื่อโหลว ชิงอู๋ กลับมาที่เรือนลมเอนเอียงแล้ว หลานป๋ายและพันหน้าก็เข้ามาทักทายนางทันที
“นายท่าน ข้าได้ยินคนจากที่จวนบอกว่าท่านรวมถึงท่านอ๋องรัตติกาลได้พบกับการมือลอบสังหาร ในขณะที่พวกท่านกำลังล่าสัตว์ แล้วท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ? “หลานป๋ายถามขึ้นอย่างกังวล นางเกือบจะวิ่งไปที่จวนของท่านอ๋องรัตติกาล ทันทีที่นางได้รับข่าว
โชคดีที่พันหน้าหยุดนางเอาไว้
มิฉะนั้นถ้านางผลีผลามวิ่งออกไป นางอาจจะทำให้เจ้านายของนางประสบปัญหามากขึ้นเท่านั้น
“ข้าสบายดี แต่ท่านอ๋องรัตติกาลได้รับบาดเจ็บ “
“อ่า? พวกเขารู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนทำเจ้าค่ะ? “หลานป๋ายถึงกับตกตะลึง ใครมีความกล้าถึงขนาดส่งมือสังหารมาลอบสังหารท่านอ๋องรัตติกาล?
“ข้ายังไม่รู้ แต่” ดวงตาของโหลว ชิงอู๋ค่อยๆหรี่ลงอย่างอันตราย “ไม่ใช่คนของเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง พันหน้าไปตรวจสอบและดูว่าเจ้าสามารถหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังมันได้หรือไม่”
“ผู้ใต้บัญชาจะรีบไปทันทีขอรับ”
“อืม แล้วหนอนวูดูอยู่ที่ไหน?” ด้วยฝีมือระดับสูงที่นักฆ่าแสดงออก พวกเขาไม่สามารถเป็นคนของเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ได้
แม้ว่าคนที่เขาฝึกจะไม่ได้อ่อนแอ แต่อย่างใดก็ตาม พวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับที่จะทำร้ายเฟิ่ง เหย่เก้อได้
คนที่มาตอนกลางวันไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
นางกังวลว่าแม้ว่าพันหน้าจะสืบสวนเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถหาอะไรได้
พันหน้าหยิบโถเครื่องปั้นดินเผาสีดำเข้มที่ดูน่ากลัวออกมา
มันหนักมากที่จะถือเอาไว้และบางครั้งมีเสียงบางอย่างชนไปที่โถ
มันทำให้เสียงขึ้นเล็กน้อยและเสียงก็ทำให้คนรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง
โหลว ชิงอู๋ เอาโถมาและสังเกตเห็นตราประทับที่อยู่ด้านบน
ด้านบนมีหมึกสีแดงเลือดที่เขียนด้วยภาษาสันสกฤตเอาไว้ : หนอนวูดูไม่สามารถรักษาได้
คำสามสุดท้ายทำให้โหลว ชิงอู๋ ขมวดคิ้วขึ้น ก่อนที่จะวางมันลงบนโต๊ะและมองออกไปทางอื่น
“นายท่าน พวกเราจะทำอย่างไรกับหนอนวูดูพวกนี้?”
“แยกหนอนลูกและหนอนแม่ออกจากกัน จนกว่าเราจะรู้ว่าหยวนเฉิน ใสหนอนตัวไหนไว้ในร่างของนางฮูหยินเก้า จากนั้นเราจะสับเปลี่ยนมัน “
จนกระทั่งนกพิราบหายตัวไปในขอบฟ้าแล้ว นางจึงได้จัดการตกแต่งหน้าของนางและวางจดหมายอีกฉบับที่นางเตรียมไว้ก่อนหน้านี้เอาไว้ในมือ
ก่อนจะเคาะประตูห้อง
“เข้ามา” จากภายในห้องมีเสียงอ่อนโยนของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น
“คุณหนู นายท่านโจวส่งข้อความาเจ้าค่ะ” หญิงสาวคนนั้นผลักให้ประตูเปิดออก ใบหน้านางเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
จนกระทั่งนางมาถึงหญิงสาวอีกคนหนึ่ง นางก็ส่งข้อความให้นาง
ชั่งกวน อี้ยวิน แข็งค้างไปครู่หนึ่งก่อนที่ใบที่งดงามหน้าของนางจะแดงขึ้นและตอบกลับด้วยเสียงต่ำ ๆ
“เฟย เหย่ เจ้าออกไปได้”
“เจ้าค่ะ!” สาวน้อยสดสายตาลงและเมื่อนางยืนยันว่าชั่งกวน อี้ยวิน ได้อ่านจดหมายแล้ว นางก็หันหลังและจากไปอย่างสุภาพ
แต่เมื่อนางปิดประตู นางก็ส่งเสียงเยาะเย้นออกมา ก่อนที่จะรีบจากไป
จวนอ๋องรัตติกาล
โหลว ชิงอู๋ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าใบหน้าของนางไร้ความรู้สึก
ข้างหลังนางมีเสียงดังขึ้นอย่างฉับพลันทำให้โหลว ชิงอู๋ หันต้องกลับไปมองทันที
ดวงตาของนางตกลงไปบนม้วนหนังสือที่เปิดอยู่บนพื้น
จากนั้น ดวงตาของนางก็หันไปหาคนที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ แต่ไม่ได้พูดอะไรสักคำกลับพยายามที่จะก้มลงไปเก็บม้วนหนังสือขึ้น
แต่เขาใช้มือที่ได้รับบาดเจ็บของเขา
โหลว ชิงอู๋ช่วยไม่ได้ที่จะถูหน้าผากของนางได้ เขาจะแสร้งทำเป็นว่าได้รับความทุกข์ยากมากกว่านี้ได้อีกไหม?
นางรีบเดินไปหาเขาและหยิบหนังสือม้วนนั้นขึ้นมาจากพื้นแทนเฟิ่ง เหย่เก้อ และส่งมันให้เขา
แต่เขาไม่ได้รับมันไปจากนาง กลับนอนลงบนโซฟาและยกมือที่ได้รับบาดเจ็บขึ้นและยื่นมันมาทางนาง
จากนั้นเขาก็มองนางด้วยดวงตาหงส์ของเขา
“แผลมันเปิดแล้ว”
“ท่านอ๋องรัตติกาลเองก็เป็นหมอ ท่านพันผ้าพันแผลด้วยตัวเองไม่ได้หรือ” หัวคิ้วของโหลว ชิงอู๋ขมวด ในขณะมองดูแผลที่มีเลือดออกอีกครั้งของเขา
ในใจของนาง มีความโกรธที่ผ่านมาชั่วครู่และผ่านไปอย่าง
เขาต้องทรมานตัวเองอย่างนี้จริงๆ หรือ?
“…. มือ เจ็บ ไม่สามารถพันแผลได้”
“…….”
โหลว ชิงอู๋ เหลือบมองเขา
เขามองกลับมาที่นางอย่างสงบ ราวกับว่าถ้าเจ้าไม่พันผ้าพันแผลให้กับข้า ข้าก็จะปล่อยให้มันอยู่เช่นนี้ตลอดไปและก็ปล่อยให้มันมีเลือดไหลต่อไป
ในที่สุด หัวใจของโหลว ชิงอู๋ ก็อ่อนลง ในขณะที่นางเดินไปหากล่องยาอย่างเงียบๆ
นางเปิดแผลที่ได้รับบาดเจ็บที่มีเลือดไหลออกมาอีกครั้งและเริ่มเปลี่ยนยาและพันผ้าพันแผลให้เขาอีกครั้ง
เมื่อนางมองไปที่พวกมัน นางดูสุภาพและอ่อนโยน
เฟิ่ง เหย่เก้อ เฝ้าดูนางอย่างมึนงง
เขารู้สึกราวกับว่ามีความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกจากหัวใจไปจนถึงแขนขาที่เหลืออยู่ของเขา แต่ด้วยเหตุผลบางประการเขาก็รู้สึกเหงาอยู่ลึก ๆ
โหลว ชิงอู๋ ผูกผ้าพันแผลก่อนที่จะปล่อยมันไปและมองขึ้นไปที่เฟิ่ง เหย่เก้อ
เฟิ่ง เหย่เก้อยังไม่ได้ดึงมือของเขากลับไป
ริมฝีปากที่บางของเขากดลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดวลีที่เกือบจะทำให้โหลว ชิงอู๋โกรธแทบตาย
“มันดูน่าเกลียด ผูกมันอีกครั้ง.”
โหลว ชิงอู๋ มองไปที่เขาอย่างเย็นชา
แต่สายตาของนางก็ยังแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอที่หาได้ยาก
โหลว ชิงอู๋ ถอยหายใจออกมาอย่างเงียบๆ อีกครั้ง ก่อนที่จะพันผ้าพันแผลให้เขาใหม่
แต่เฟิ่ง เหย่เก้อ ก็ยังไม่ได้ดึงมือของเขากลับ
หัวของโหลว ชิงอู๋ เริ่มที่จะปวดขึ้น
นางถูหน้าผากของนาง ก่อนที่จะเปลี่ยนวิธีการผูกปมผ้าพันแผลของเขาอีกครั้ง
ในที่สุดเฟิ่ง เหย่เก้อก็พอใจ ในขณะที่เขาดึงมือกลับไป
แล้วเขาก็ยื่มมือออกมา
“หนังสือ”
“ข้าจะส่งมันให้กับท่าน!” นางหยิบหนังสือม้วนนั้นขึ้นมาและขว้างมันไปที่มือของเฟิ่ง เหย่เก้อ
นางยืนขึ้นและเมื่อนางมองไปที่ปมผีเสื้อที่ขัดแย้งกับร่างของเขา นางก็ช่วยไม่ได้ที่จะพูดขึ้น”ราวกับเด็ก”
เฟิ่ง เหย่เก้อ ได้ยินเรื่องนี้ เขาก็ลืมตาขึ้นและดวงตาหงส์ของเขาก็ยิ่งน่าหลงใหลมากขึ้น
ริมฝีปากบางๆ ของเขาขยับเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นเบา ๆ”ข้าชอบมัน”
“ถ้าท่านชอบมัน ท่านก็สามารถเปลี่ยนยาของท่านด้วยตัวเองในวันพรุ่งนี้”
“พรุ่งนี้มาอีกครั้ง”
“ไม่!” นางหยิบกล่องยาขึ้นมาและเมื่อเห็นว่ามันกำลังเย็นแล้ว นางจึงกล่าวคำอำลาและกำลังจะจากไป
เฟิ่ง เหย่เก้อ ไม่ได้บอกให้นางอยู่ต่อ แต่เมื่อมือของนางคว้าไปที่ประตูเขาก็พูดขึ้น
“อากาศเริ่มร้อนขึ้นแล้ว ถ้าในสิบหรือสิบสี่วันแขนไม่ได้รับการเปลี่ยนยาก็มันก็อาจจะติดเชื้อได้ “
“…. ” มือที่เอื้อมไปหาลูกบิดประตูก็ค่อยๆกำเป็นกำปั้นแน่นขึ้น
โหลว ชิงอู๋ ถูหน้าผากของนางอย่างหนัก ในขณะที่นางไหล่ตกลงอย่างช่วยไม่ได้
“ข้าจะมาในวันพรุ่งนี้”
ประตูเปิดและปิดลง และมุมปากของเฟิ่ง เหย่เก้อก็โค้งขึ้น
“ท่านค้นพบอะไรบ้าง” หัวคิ้วของเหย่ จี้ขมวดขึ้นและสงสัยว่าใครอยากจะฆ่าพี่ชายเหย่ของนาง?
ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่แค่พี่ชายเหย่เท่านั้น
คนเหล่านั้นดูเหมือนจะมุ่งเป้าไปที่โหลว ชิงอู๋ด้วย
แต่ถ้าไม่ใช่เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ที่ส่งมือสังหารเหล่านั้นไป ใครในเมืองหลวงที่ต้องการจะฆ่าพวกเขาและมีความสามารถในการส่งมือสังหารระดับสูงเช่นนั้นไปได้?
“ข้ายังไม่สามารถหาอะไรได้ คนที่ข้าส่งไปไม่สามารถหาอะไรได้ก่อนที่พวกเขาจะฆ่าตัวตาย พวกเขาทั้งหมดดูเหมือนจะมีการวางแผนที่ดี ก่อนลงมือลอบสังหาร หลบหนีและแม้แต่ฆ่าตัวตายหากถูกจับได้ ทุกอย่างดูเหมือนจะถูกวางแผนมาทุกขั้นตอนและดำเดินการอย่างระมัดระวัง แม้ฆ่าตัวตายก็ไม่มีที่ติ”
นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เขาเป็นห่วงมากที่สุด
ยังมีกลุ่มอำนาจอีกกลุ่ม ที่เขาไม่รู้จักอยู่หรือ?
แต่ถ้าเขาไม่สามารถตรวจสอบและไม่ทำลายพวกเขา มันอาจจะเป็นอันตรายต่อที่ซ่อนอยู่ในอนาคตได้
“แล้วพวกเราจะทำอย่างไร” เหย่ จี้ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้
การเดินทางไปล่าสัตว์ที่ดีเช่นนั้น มันกลับถูกทำลายลงทั้งหมด!
“ก่อนอื่นให้คนไปตรวจสอบ เจ้าคิดว่าข้าไม่เป็นกังวลเช่นเจ้าหรือ? วันนี้ในช่วงเช้าในท้องพระโรง ซู่ เก้อเหล่า กล่าวว่าเขาต้องการสนับสนุนให้พี่รองเป็นองครัชทายาทต่อหน้าเสด็จพ่ออีกครั้ง เสด็จพ่อดูเหมือนว่าพระองค์กำลังเริ่มไขว้เขว เจ้ารู้ว่าควรจะทำอย่างไรใช่ไหม? ”
“ข้ารู้ ตราบใดที่เขาได้รับเรื่องอื้อฉาวที่น่ารังเกียจ เซี่ยโฮ่ว รุ่ย จะกลายเป็นตัวตลกในเมืองหลวงให้ผู้คนหัวเราะและฮ่องเต้ก็จะลืมเกี่ยวกับการทำให้เขาเป็นองค์รัชทายาท” แม้ว่าเขาอาจจะไม่ลืมเรื่องนี้ อย่างน้อยเขาก็จะชะลอการตัดสินใจออกไป
ตราบใดที่เขายังไม่ได้เลือกองค์รัชทายาทชั่วคราว นางก็มีวิธีที่จะทำให้เขาเลือก
“เหย่ จี้ พวกเราอยู่บนเรือลำเดียวกันแล้วตอนนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง “เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง เดินไปข้างหน้าของเหย่ จี้ นิ้วมือของเขากำลังจะจับไปที่แก้มของนาง
เหย่ จี้ หันไปทางด้านข้างเพื่อหลีกเลี่ยงมัน
“แน่นอนข้ารู้ แต่ท่านก็รู้ว่าข้าต้องการอะไรใช่ไหม?”
“รอให้ข้ากลายเป็นองค์รัชทายาทก่อน แล้วข้าจะทำให้โหลว ชิงอู๋กลายเป็นสนมของข้า แล้วในเวลานั้นจะเป็นธรรมชาติที่จะไม่มีใครแข่งขันกับเจ้าในเรื่องของท่านอ๋องรัตติกาล”
“ฮึ่ม! ดี! มันควรจะเป็นเช่นนั้น ข้าจะไปเตรียมทุกอย่าง ท่านสามารถพักผ่อนและรอข่าวดีจากข้าได้เลย”
“เช่นนั้นข้าจะรอเจ้า”
เมื่อเหย่ จี้ ออกจากตำหนักขององค์ชายสาม นางก็รีบเข้าไปยังทางเดินแคบ ๆ
นางเดินตามตรอกซอกซอยจนกระทั่งนางหายตัวเข้าไปหลังร้านของครอบครัวของนาง
ไม่นานหลังจากนั้น พ่อบ้านของร้านโลงศพก็ได้รับข่าวและรีบวิ่งออกมา
เมื่อเขาเห็นเหย่ จี้ เขาก็รีบทรุดลงไปที่หัวเข่าทันที “องค์หญิง”
“อืม” เหย่ จี้ตอบขึ้นอย่างเฉื่อยชา จากนั้นนางก็เอาจดหมายฉบับหนึ่งออกจากแขนเสื้อของนาง ก่อนที่จะส่งให้พ่อบ้านของร้าน
“บอกเฟย เหย่ สร้างโอกาสให้กับชั่งกวน อี้ยวิน และอาจารย์สอนพิณของนางเพื่อให้มาพบปะพูดคุยอีกครั้งและเพิ่ม ‘ยา‘ ลงไปด้วย เจ้าเข้าใจไหม?”
“ขอรับ! บ่าวจะรีบไปทันที “
“อย่าทิ้งร่องรอยใดๆ มิฉะนั้น … ” เหย่ จี้ หรี่ตาลงอย่างเป็นอันตราย ดวงตาที่งดงามของนางกลายเป็นโหดร้ายและน่ากลัว
ความไร้เดียงสาและความใสสะอาดจากก่อนหน้านี้หายไปอย่างสมบูรณ์
“บ่าวเข้าใจแล้วขอรับ! บ่าวจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง! “
พ่อบ้านเช็ดใบหน้าของเขา เกลียดอยู่อย่างเดียวที่เขาไม่สามารถสาบานด้วยพิษเพื่อพิสูจน์ความตั้งใจของเขาในการทำภารกิจให้สำเร็จได้
เหย่ จี้ พอใจก่อนจะจากไป
เมื่อนางเดินกลับไปยังถนนสายหลัก ในที่สุดนางก็เดินผ่านหอน้ำชาแล้วมุมปากของนางโค้งเป็นรอยยิ้มที่หนาวเย็นขึ้น
นางกลับไปที่ตำหนักขององค์ชายสามอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกัน ในจวนของท่านเจ้ากรมก็มีนกพิราบกำลังบินเข้าไปในเรือนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวคนหนึ่งที่สวมชุดสาวใช่จู่ๆ ก็มองไปรอบ ๆ และหลังจากพบว่าไม่มีใคร นางก็รีบกระโดนขึ้นและจับนกพิราบมา
นกพิราบเข้ามาอยู่ในฝ่ามือของนางอย่างรวดเร็ว ก่อนที่หญิงสาวจะหยิบจดหมายออกมาจากขาของนกพิราบ
นางรีบเหลือบมองไปที่มัน ก่อนที่จะกลืนจดหมายลงไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่นางกลืนเสร็จแล้ว นางก็โยนนกพิราบขึ้นไปอีกครั้ง
เฟิ่ง เหย่เก้อ ส่ายศีรษะ แต่ดวงตาของเขายังอยู่บนแขนและปมง่ายๆที่ผูกเอาไว้
เมื่อดวงตาของเขาตกลงบนปมง่าย ๆ ความผิดหวังก็กระพริบขึ้นในดวงตาหงส์ของเขา
เขายกศีรษะขึ้นมองโหลว ชิงอู๋ ด้วยท่าทางที่ซับซ้อน ก่อนจะกัดริมฝีปากของเขาและไม่สนใจคำถามของเหย่ จี้อีก
หลังจากนั้นสักครู่เขาถึงได้ส่ายหัว
เหย่ จี้ ยังคงอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกขัดจังหวะโดยเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง
“ดูเหมือนว่าเราจะต้องย้อนกลับไปเร็วกว่าที่เราวางแผนเอาไว้ ท่านอ๋องรัตติกาลควรจะรีบกลับไปและทำแผลอย่างถูกต้อง ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาวางยาพิษไว้บนดาบของพวกเขาหรือไม่และข้าจะสืบสวนเรื่องนี้อย่างรวดเร็วว่าใครเป็นคนส่งมือสังหารเหล่านี้มา เพื่อที่จะสามารถให้เหตุผลกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้แก่ท่านอ๋องรัตติกาลได้”
“อืม” เฟิ่ง เหย่เก้อ พยักหน้า ดวงตาของเขาตกลงไปที่โหลว ชิงอู๋ คนที่ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
โหลว ชิงอู๋ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง แต่นางก็รู้สึกถึงสายตาของเฟิ่ง เหย่เก้อที่กำลังมองมาที่นาง
“ข้าจะไปกับท่านอ๋องรัตติกลายและแม่นางเหย่ ด้วยวิธีนี้ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นในระหว่างเดินทาง ข้าก็จะสามารถดูแลได้”
“ได้”
ทั้งสามคนถูกส่งกลับไปด้วยกันในรถม้าคันเดียวกัน ซึ่งได้รับการคุ้มครองในระหว่างเดินทางกลับไปยังเมืองหลวง
ดวงตาของโหลว ชิงอู๋ มองไปที่เฟิ่ง เหย่เก้อ ในขณะที่นางจับชีพจรของเขา
เมื่อนางยืนยันว่าเขาไม่ได้ถูกวางยาพิษ ในที่สุดนางก็ปล่อยลมหายใจที่โล่งออกอย่างแท้จริงออกมา
บรรยากาศในรถม้าดูหนักอึ้งมาก เพราะเหย่ จี้ เป็นกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บของเฟิ่ง เหย่เก้อ มากจนไม่รู้จะพูดอะไรออกมา
จนกระทั่งพวกเขามาไปถึงจวนของท่านอ๋องรัตติกาล และอาการบาดเจ็บของเฟิ่ง เหย่เก้อ ได้รับการรักษาอย่างดีแล้วเท่านั้น เหย่ จี้ถึงได้ร้องไห้และพูดขึ้นอีกครั้ง
“พี่ชายเหย่ เป็นความผิดของข้าทั้งหมด ถ้าไม่ใช่ข้าขอให้ท่านไปที่ลานล่าสัตว์ ท่านก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บ! ฮืมๆ ๆๆ ทุบตีข้าหรือไม่ก็ตะโกนใส่ข้าได้เลย! ด้วยวิธีนี้หัวใจของข้าจะรู้สึกดีขึ้น! “
“เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่?”
เฟิ่ง เหย่เก้อ เห็นว่านางรู้สึกผิดอย่างแท้จริงและร้องไห้จริงๆ ดังนั้นทัศนคติของเขาจึงอ่อนโยนขึ้น “เอาล่ะ ตอนนี้ข้าก็ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าก็ควรจะกลับไปพักผ่อนก่อน”
“แต่ข้า…”
“เจ้าไม่ได้เป็นหมอ ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ที่นี่ต่อ เมื่อข้าดีขึ้น พรุ่งนี้เจ้าค่อยกลับมาใหม่ “
“ได้”
เหย่ จี้ เริ่มมีความสุขขึ้นอีกครั้งและพยักหน้าทันที
แต่ในตอนท้าย นางก็ไม่เต็มใจที่จะออกไปจากจวนของท่านอ๋องรัตติกาลอยู่ดี
แต่ในขณะที่นางออกไป การแสดงออกของนางที่เต็มไปด้วยน้ำตาก็เปลี่ยนไปเป็นคนที่เต็มไปด้วยความกระหายเลือดและความโกรธทันที
นางกระโดดขึ้นไปบนรถม้า และตะโกนใส่คนขับรถ้าอย่างเคร่งขรึมขึ้น”ไปที่ตำหนักองค์ชายสาม!”
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ที่เพิ่งกลับมาก็ได้ยินเสียงประตูที่อยู่ข้างหลังของเขาถูกเตะออก
เขาหันกลับไปก่อนจะเห็น เหย่ จี้ แล้วหัวคิ้วของเขาก็ขมวดขึ้น
“จะต้องให้บอกสักกี่ครั้งว่าเจ้าไม่ควรจะเข้าห้องอักษรของข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากข้า?”
“เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง! ทำไมท่านถึงส่งมือสังหารเพื่อไปทำร้ายพี่ชายเหย่! “ดวงตาที่สวยงามของเหย่ จี้ กำลังจะระเบิดไฟแห่งความโกรธออกมา
นางตรงเข้าไป ในขณะที่มือของนางกระแทกไปที่โต๊ะพร้อมกับจ้องมองอย่างไม่โหดเหี้ยมไปที่เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง
พวกเขาได้ตกลงกันแล้วที่จะหามือสังหาร เพื่อให้ไปพยายามทำร้ายและสร้างสถานการณ์ให้เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง กลายเป็นวีรบุรุษและช่วยโหลว ชิงอู๋เอาไว้
ด้วยวิธีนี้โหลว ชิงอู๋ จะรู้สึกขอบคุณเขาที่ได้ช่วยชีวิตนางและหาก เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย โหลว ชิงอู๋ ก็จะรู้สึกผิดและจะมาดูแลเขา
และหลังจากนั้นไม่นาน ความรู้สึกที่นางมีต่อเขาก็จะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ทำไมคนที่ได้รับบาดเจ็บ ในท้ายที่สุดแล้วกลับกลายเป็นเฟิ่ง เหย่เก้อ?
และอีกอย่าง ….
“มือสังหารแบบไหนกันที่ท่านหามา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการชีวิตของเขาทุกการเคลื่อนไหว?”
การแสดงออกของเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง แย่ยิ่งกว่าของเหย่ จี้ด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นเป็นเวลานาน เขาก็พูดขึ้น “คนเหล่านั้น ไม่ใช่คนที่ข้าจ้างวาน”
“อะไรนะ?” การแสดงออกของเหย่ จี้ ดูเคร่งขรึมขึ้นทันที
“พวกเขาจะไม่ใช่คนที่ท่านจ้างวานได้อย่างไร? แล้วพวกเขาเป็นใคร? ”
“… ข้าเองก็กำลังสืบสวนอยู่” แต่คนที่เขาจับได้ก็ใช้พิษเพื่อฆ่าตัวตายในระหว่างทาง
“ไปกันเถอะ”เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง มองออกไปจากคนทั้งสองไปที่โหลว ชิงอู๋ ด้วยท่าทางอันอ่อนโยน
การแสดงออกของเขาดูดีมาก มันอธิบายถึงอันตรายที่อาจจะพบได้ในบริเวณลานล่าสัตว์ รวมถึงสิ่งที่ต้องทำถ้ามีอะไรเกิดขึ้น
โหลว ชิงอู๋ อดทนฟังเขาบางครั้งก็ตอบเขากลับ
แต่หัวใจของนางอยู่ตรงไหนก็ไม่มีใครรู้
ทั้งสองคนได้พบกวางตัวแรกของพวกเขาอย่างรวดเร็ว
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่งยกคันธนูขึ้นและยิงไปที่เป้าหมาย
เขารีบขี่ม้าไปและคว้าไปที่กวาง ก่อนที่จะโยนมันไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาที่อยู่ไม่ไกลออกไป
เขายกคันธนูไว้ในมือของเขาไปต่อหน้าโหลว ชิงอู๋ ร่างทั้งร่างของเขาอาบด้วยแสงแดด ทำให้เขาดูหล่อเหลามาก
น่าเสียดายที่มันเป็นเพียงแค่ของปลอม
สายตาของโหลว ชิงอู๋ ลึกขึ้นและเมื่อถึงจุดนี้พวกเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของเหย่ จี้ดังขึ้นไม่ไกลเกินไป
“อ่า —-”
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่งและโหลว ชิงอู๋ สบสายตากัน ในขณะที่พวกมันกระพริบขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะดึงบังเหียนของพวกเขาและวิ่งไปยังแหล่งที่มาของเสียง
เมื่อพวกเขามาถึงจุดนั้น พวกเขาก็ได้เห็นกลุ่มคนที่อยู่ชุดสีดำกำลังล้อมเฟิ่ง เหย่เก้อและเหย่ จี้เอาไว้เป็นวงกรม
เฟิ่ง เหย่เก้อ มีดาบอยู่ในมือ ในขณะที่เหย่ จี้ เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเขา
ไม่ไกลออกไป มีลูกศรที่ร่วงลงอยู่รอบๆ เหมือนม้าของคนทั้งสองคนที่ตายไปแล้วเนื่องจากลูกธนูนอนอยู่
ทหารนอนอยู่ที่ด้านข้างพร้อมกับแขนของเขาที่เต็มไปด้วยเลือด ในขณะที่เขาดูเหมือนจะหมดสติไปแล้ว
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่งตกใจ ก่อนที่จะรีบสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปตามคนมาช่วย
เขารีบกระโดดลงจากม้าและใช้วิชาตัวเบา กระโดดไปจนกระทั่งถึงจุดที่คนชุดดำอยู่และเข้าร่วมการต่อสู้
คนชุดดำเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงมือสังหารรับจ้างเท่านั้น แต่การเคลื่อนไหวของพวกเขาแต่ละครั้งเต็มไปด้วยไอสังหารที่ร้ายแรง
หลังจากกลุ่มหนึ่งเสียชีวิตก็จะมีอีกกลุ่มเข้ามา
การแสดงออกของเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง แย่ลงเรื่อย ๆ ในขณะที่ดวงตาของเฟิ่ง เหย่เก้อก็เยือกเย็นมากขึ้น
การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วมากขึ้น ในขณะที่การแสดงออกที่ไม่ใส่ใจก่อนหน้านี้ก็หายไป
แต่เมื่อดวงตาของเขาตกลงไปที่เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ผู้ที่มาใหม่ หัวคิ้วของเขาขมวดขึ้น ในขณะที่ดาบของเขาก็จบชีวิตหนึ่งไปเรื่อยๆ
แล้วเสียงลึก ๆ ของเขาก็ดังขึ้น “ไปปกป้องชิงอู๋!”
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง มึนงง ก่อนที่จะนึกถึงโหลว ชิงอู๋ ที่ยังอยู่นอกเขตการต่อสู้
เขาหันกลับไปมอง ก่อนที่จะเห็นคนชุดดำสองสามคนกำลังมุ่งหน้าไปหานาง
ดาบในมือของเขาตวัดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เขาเปิดเส้นทางของเขาไปทางนาง
“ชิงอู๋!”
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ตะโกน ในขณะที่โหลว ชิงอู๋ รีบเงยหน้าขึ้น แต่ในวินาทีต่อมาดวงตาของนางก็ดำดิ่งลง
นางเห็นเฟิ่ง เหย่เก้อลอยตัวมาทางนางพร้อมกับดาบที่อยู่ในมือ ก่อนจะแทงดาบทะลุคอของคนชุดดำไม่กี่คนที่อยู่ข้างหน้านาง
แต่ทางด้านหลังของเขา ใครบางคนได้ใช้โอกาสนี้ที่จะฟันมาที่คอของเขา
เฟิ่ง เหย่เก้อ สะบัดมือไปด้านหลังเพื่อสกัดกั้นมัน แต่เลือดก็ไหลออกจากร่างกายของเขา
และเนื่องจากเขาสวมชุดดำทั้งตัว จึงไม่ง่ายที่จะสังเหตุเห็นเลือด แต่เหย่ จี้ ที่อยู่ใกล้กับเขาได้กลิ่นเหม็นของเลือดที่รุนแรงจนทำให้นางกลัวและเกือบจะเป็นลม
นางกรีดร้องขึ้นทันที “พี่ชายเหย่!”
ดวงตาสีดำของเฟิ่ง เหย่เก้อ ดำมืดลง ในขณะที่เขาเตะคนชุดดำออกไปและใช้มือที่ไม่ได้รับบาดเจ็บยกดาบของเขาขึ้น
ดาบสะท้อนกับแสงแดด ในขณะมันทำให้คนแทบจะตาบอดและในกระพริบตา คนชุดดำก็ร่วงลงมาอยู่รอบๆ ตัวพวกเขา
ครึ่งที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนของพวกเขา ต่างก็ถูกล้อมรอบอย่างรวดเร็วโดยทหาร
เมื่อพวกเขาตระหนักว่าพวกเขากำลังจะถูกจับ พวกเขาก็พยายามหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
โหลว ชิงอู๋นั่งบนม้าของนางและขี่มันไปอย่างช้าๆ ตามเส้นทางเลือดที่แขนที่ได้รับบาดเจ็บของเฟิ่ง เหย่เก้อ ทิ้งเอาไว้
หยดแต่ละหยดที่ตกลงไปบนพื้น ทำให้หัวคิ้วของนางขมวดลึกขึ้นเรื่อยๆ
นางเร่งม้าของนางให้เร็วขึ้น ในขณะที่นางกระโดดลงและวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อไปหาเฟิ่ง เหย่เก้อ
นางฉีกเสื้อผ้าของนางและด้วยท่าทางที่คล่องแคล่ว นางรีบเข้าไปช่วยพันแผลให้เฟิ่ง เหย่เก้อทันที
ดวงตาของเฟิ่ง เหย่เก้อ ลดลงเล็กน้อยเพื่อซ่อนบางอย่างเอาไว้ แต่เขาไม่ได้ปฏิเสธนาง
จนกระทั่งบาดแผลได้รับการจัดการอย่างสมบูรณ์แล้วเท่านั้น นางถึงได้ปล่อยลมหายใจที่โล่งอกออกมาเล็กน้อย
เหย่ จี้ในจุดนี้ก็กำลังร้องไห้อย่างหนัก “พี่ชายเหย่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่ข้าได้ถูกส่งไปยังชนบทและนั่นคือที่ที่ข้าได้เรียนรู้วิธีที่จะขี่ม้า”
“เช่นนั้นหรือ”เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง รู้สึกเสียใจที่ได้ถามคำถามนี้
เมื่อเหตุผลที่ทำให้นางถูกส่งไปยังชนบทได้ถูกพูดถึง การสนทนาก็เริ่มอึดอัดขึ้น
ดังนั้นเขาจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาทันที
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูด โหลว ชิงอู๋ ก็ดึงบังเหียนของนางและเตะลงไปที่ด้านข้างของม้าอย่างหนัก ทำให้ม้าวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“องค์ชายสาม ลองแข่งขันกันดูว่าใครจะไปถึงค่ายทหารได้ก่อน!”
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่งมองไปที่ร่างผอมบางที่หายไปอย่างช้าๆต่อหน้าเขาในขณะที่ดวงตาของเขาสว่างขึ้น
เขาเองก็ดึงบังเหียนของเขาและตีแส้ไปที่ม้าของเขาเพื่อแข่งกับนาง
“ดี!”
ร่างของสองคนหายไปอย่างรวดเร็ว ภายในรถม้าเฟิ่ง เหย่เก้อลดสายตาที่ดำมืดของเขาลงพร้อมกับแสงในดวงตาที่มีร่องรอยของความเจ็บปวด
เมื่อพวกเขามาถึงบริเวณค่ายทหาร พวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังบริเวณที่ล่าสัตว์ต่อทันที
พวกเขาได้ทำการแจ้งไว้ล่วงหน้าแล้วสำหรับพื้นที่ในการล่าสัตว์ดังนั้นมันจึงว่างเปล่าและมีแค่พวกเขาเท่านั้น
เฟิ่ง เหย่เก้อ กระโดดลงจากรถม้า ตามมาด้วยเหย่ จี้ ก่อนจะเข้าไปพูดคุยกับเขา
“พี่ชายเหย่ ท่านช่วยสอนวิธีขี่ม้าให้ข้าได้หรือไม่ ข้าไม่รู้วิธีที่จะขี่มัน”
“เช่นนั้นก็เพียงแค่ดูพวกเราล่า”
“พี่ชายเหย่ … ท่านช่างใจร้ายจริงๆ”เหย่ จี้กระพริบตาที่งดงามของนางอย่างน่าสงสารพร้อมกับลดศีรษะลง ในขณะที่นางจับแขนเสื้ิอของเขา
เฟิ่ง เหย่เก้อสะบัดแขนเสื้อของเขาออก
“มันไม่ใช่เพราะข้าใจร้าย ชายและหญิงไม่ควรใกล้ชิด มันไม่เหมาะสม”
โหลว ชิงอู๋ เพิ่งผ่านไปโดยบังเอิญและได้ยินเรื่องนี้เข้าพอดี
จู่ๆ นางก็โงนเงนขึ้นเล็กน้อย ทำให้เซี่ยโฮ่ว ฉิ่งรีบเข้ามาช่วยพยุงนางไว้ทันที
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”
“ข้าสบายดี” โหลว ชิงอู๋ ส่ายหัวและเดินไปข้างหน้าด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกต่อไป
ด้วยการแสดงออกที่เฉื่อยชาของเฟิ่ง เหย่เก้อ เขาเหลือบไปมองนาง และด้วยเหตุผลบางอย่างริมฝีปากของเขาดูเหมือนจะโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
ก่อนจะมีคนกอดแขนของเขาอีกครั้ง
“พี่ชายเหย่ ข้าไม่ถือ!”
“แต่ข้าถือ” การแสดงออกที่เงียบสงบของเขาคือการที่จะปฏิเสธไห้ผู้คนอยู่ห่างออกไปหนึ่งพันลี้ แต่กลับทำให้หัวใจเหย่ จี้ เต้นเร็วขึ้น
นี้คือผู้ชายที่นางเลือก
“เอาล่ะๆ เช่นนั้นข้าจะให้คนจูงม้าของข้าไปเอง”
เหย่ จี้ ถูกบังคับให้ตรงไปหาเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง และขอคำแนะนำจากเขาแทน
เนื่องจากนางกำลังแกล้งทำเป็นไม่รู้วิธีที่จะขี่ม้า ดังนั้นนางจึงต้องทำเป็นไม่รู้ต่อไป
มิฉะนั้นตามบุคลิกของพี่ชายเหย่ เขาคงจะรู้สึกแย่กับนางมากเท่านั้น
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่งสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาหาคนจูงม้าให้นางทันที
เฟิ่ง เหย่เก้อเงยหน้าขึ้น ก่อนจะมองไปที่โหลว ชิงอู๋ และเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ที่อยู่ไม่ไกลออกไป
ก่อนจะรีบขึ้นม้า ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาส่องประกายไปด้วยแสงแดดอันสดใส
ชุดขี่ม้าสีดำของเขาทำให้เขาดูหล่อเหลามากขึ้นและทำให้หน้าตาที่หล่อเหลาของเขาโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
เหย่ จี้เตะทางด้านข้างของม้าเพื่อให้มันเดินไปข้างหน้า ไม่ไกลเกินไปและไม่ใกล้เกินไปจากเฟิ่ง เหย่เก้อ
สายตาของนางมองตามสายตาของเขาไปยังเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง และโหลว ชิงอู๋
ดวงตาที่งดงามของนางโค้งขึ้น ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะอันน่าหลงใหลออกมา พร้อกับพูดขึ้น “พี่ชาย มันจะน่าเบื่อเกินไป ทำไมเราทั้งสี่คนไม่มาแข่งกัน? ข้าและพี่ชายเหย่ จะอยู่ฝ่ายเดียวกัน ท่านและน้องชิงอู๋ ก็อยู่อีกฝ่ายและดูว่าใครจะล่าได้มากที่สุด? ”
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่งหันกลับมาเผชิญหน้ากับนางพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยนขึ้น “ข้าเห็นด้วย แล้วท่านล่ะท่านอ๋องรัตติกาล?”
“อืม”
เหย่ จี้ ยิ่งมีความสุขมาก ก่อนจะสั่งให้คนจูงม้าของนางไปยังที่ซึ่งเฟิ่ง เหย่เก้อ กำลังหยุดอยู่
“เช่นนั้น ข้าและพี่ชายเหย่จะไปทางทิศตะวันออก พวกท่านไปทางทิศตะวันตก ตามนั้นดีหรือไม่! “หลังจากที่นางพูดจบ นางก็สั่งให้คนจูงม้าพานางออกไปอย่างรวดเร็ว
บางครั้งนางจะหันไปมองทางเฟิ่ง เหย่เก้อ แต่สายตาของเขาลดลงไปขณะที่เขาดึงบังเหียนม้าและค่อยๆเดินออกไปข้างหน้า
“พี่ชาย น้องชิงอู๋!” เสียงของเหย่ จี้ ดังขึ้นจากด้านหลัง
โหลว ชิงอู๋ หันไปทางด้านข้างและเห็นรถม้ากำลังหยุดลงช้าๆ
ครึ่งหนึ่งของร่างกายของเหย่ จี้ ยื่นออกจากหน้าต่าง ในขณะที่นางยกผ้าม่านที่มีอัญมณีสีฟ้าห้อยลงมาขึ้น
สีฟ้าจากอัญมณีส่องกระทบสีผิวของนาง ทำให้มันดูงดงามและเปล่งปลั่งมากยิ่งขึ้น
นางโบกมือ ในขณะที่นางถอดผ้าคลุมหน้าออก เผยให้เห็นความงดงามที่ดูแปลกตาและมีชีวิตชีวา
เมื่อนางมาถึงตรงที่โหลว ชิงอู๋และเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง อยู่นางก็กระโดดลงจากรถม้าและในเวลาเดียวกันก็ยกม่านที่อยู่ด้านหลังของนางขึ้นด้วย
“น้องชิงอู๋ พี่ชายเหย่ก็มาด้วยเช่นกัน”
ผ้าม่านเปิดกว้างขึ้นและเผยให้เห็นเฟิ่ง เหย่เก้อที่อยู่ในชุดสีดำปักทองของเขา
หน้าตาหล่อเหลาและเย็นชาของเขาเหมือนน้ำแข็งในขณะที่เขายกหัวคิ้วขึ้น
ด้วยเหตุผลบางอย่างมันยากที่จะมองออกไปจากใบหน้าของเขาได้
เมื่อเขาเห็น โหลว ชิงอู๋ และเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ริมฝีปากบาง ๆ ของเขาก็โค้งขึ้น
“แม่นางโหลว”
จากนั้นดวงตาของเขาก็ขยับช้าๆไปที่เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่งแข็งค้างไปชั่วครู่ ก่อนที่จะยิ้มขึ้น “ท่านอ๋องรัตติกาล”
“…. ท่านอ๋องรัตติกาล” จู่ ๆโหลว ชิงอู๋ ก็รู้สึกเหมือนกับว่าวิธีการที่พวกเขายืนอยู่ด้วยกันกำลังจู่โจมด้วยอะไรบางอย่าง
นางลดสายตาลง แต่ใบหน้าของนางยังคงสงบนิ่ง แต่ระลอกคลื่นในหัวใจของนางกำลังถูกนางพยายามระงับเอาไว้
เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง การแสดงออกของนางก็อบอุ่นและน่าหลงใหล บริสุทธิ์และเป็นธรรมชาติ
ดวงตาของเฟิ่ง เหย่เก้อ หรี่ลงเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร
“น้องชิงอู๋ ขึ้นมาเร็วเข้า ไปล่าสัตว์และขี่ม้าด้วยกัน ข้าได้ยินมาว่าบริเวณล่าสัตว์เพิ่งจะมีกลุ่มกวางตัวใหญ่ผ่านมา “
“ไม่จำเป็น” โหลว ชิงอู๋ ปฏิเสธนางขึ้นทันที
เหย่ จี้ถึงกับมองกระพริบตาขึ้น ก่อนจะมองนางอย่างตกตะลึง
“แล้วเช่นนั้น น้องชิงอู๋ อยากจะนั่งกับพี่ชายบนม้าตัวเดียวกันอย่างนั้นหรือ” ใครจะรู้ว่าสาว ๆ จากเมืองหลวงจะกล้าหาญและกล้าได้กล้าเสียเช่นนี้
ดวงตาหงส์ของเฟิ่ง เหย่เก้อเป็นประกายเยือกเย็นขึ้นทันที
“แม่นางเหย่คงจะกำลังล้อข้าเล่น แน่นอนว่ามันไม่ใช่” หัวคิ้วของโหลว ชิงอู๋ขมวดขึ้น ก่อนจะหันไปหาพ่อบ้านหลิวและพยักหน้าให้เขา
คนใช้ของจวนตระกูลโหลว จึงได้รีบพาม้าออกทันทีพร้อมกับความผิดหวังของเหย่ จี้
นางมุ่งหน้าไปทางรถม้าที่อยู่ข้างหลังของนางและเนื่องจากการเคลื่อนไหวของนางกระดิ่งก็ดังขึ้น
โหลว ชิงอู๋ ไม่สนใจนาง ในขณะที่นางคว้าบังเหียนมาและกระโดดขึ้นไปบนหลังม้าด้วยการเคลื่อนไหวที่งดงาม
ความชื่นชมของเซี่ยโฮ่ว ฉิ่งที่มีต่อนางเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่เขามอง โหลว ชิงอู๋ ด้วยดวงตาที่ลึกซึ้งมากขึ้น
เหย่ จี้ เองก็รู้สึกทึ่ง ก่อนจะหันไปมองเฟิ่ง เหย่เก้อ
เมื่อเห็นว่าเขาไม่เคยเฝ้าดูโหลว ชิงอู๋ มุมปากของนางโค้งขึ้น ไปด้านข้าง ก่อนจะพูดขึ้น “น้องชิงอู๋มีฝีมือไม่น้อย ข้ารู้สึกอิจฉาเจ้าเพราะข้าขี่ม้าไม่เป็น”
โหลว ชิงอู๋ ยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร
อยู่ไม่ไกลจากตระกูลเหย่ไป๋ มีชนเผ่าหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ด้วยการค้าพันธุ์ม้ามานับรุ่นต่อรุ่น
แล้วนางจะไม่รู้ว่าวิธีที่จะขี่ม้าได้อย่างไร?
ขาของนางกดลงไปกับท้องของม้า ในขณะที่นางเอนไปข้างหน้าเพื่อขี่ม้าของนางออกไป
ดวงอาทิตย์ที่สดใสอยู่สูงเหนือศีรษะ แต่ความว่างเปล่าในหัวใจของนางกลับกระจายไปทั่วทั้งแขนและขา
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ก็กระโดดขึ้นไปบนหลังม้าและตามนางไป
เหย่ จี้ ไม่ได้สนใจ ในขณะที่นางขึ้นไปบนรถม้าและเข้าไปด้านในเพื่อยั่วยวนเฟิ่ง เหย่เก้อต่อ
“พี่ชายเหย่ เมื่อพวกเราไปถึงค่ายทหาร ท่านต้องสอนวิธีขี่ม้าให้กับข้ารู้ไหม”
“….. “เฟิ่ง เหย่เก้อเพียงแค่พลิกหน้าหนังสือที่เขาอ่าน ไม่ได้พยักหน้าหรือส่ายหัว
“อา! เช่นนั้นข้าจะถือว่าพี่ชายเหย่ตกลง! ฮาฮ่าๆ พี่ชายเหย่ใจดีที่สุด! “
“…..”
จากทางด้านหลัง พวกเขาสามารถได้ยินเสียงหัวเราะที่น่ารักและมีเสน่ห์ของเหย่ จี้ จากในรถม้า
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง หันมากลับไปมองและช่วยไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้น “เด็กคนนั้นเมื่ออยู่กับท่านอ๋องรัตติกาลก็กลายเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต้ เจ้าอย่าได้เก็บไปใส่ใจ “
“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” ดวงตาของโหลว ชิงอู๋ ก็ยังคงมองไปทางด้านหน้าพวกเขา ทั้งสองคนไม่ได้ขี่ม้าเร็วเกินไปหรือช้าเกินไป
“จริงๆแล้วข้าเองก็อยากรู้ว่าเจ้าไปฝึกขี่ม้ามาตั้งเเต่เมื่อชิงอู๋?”
“อืม? นายท่าน ทำไมท่านถึงได้ถามข้าเช่นนี้? ถ้าให้ข้าต้องพูดว่าท่านเป็นคนประเภทไหนในสายตาของข้า แน่นอนว่าท่านเป็นราวกับพระเจ้า ถ้าไม่มีนายท่านก็จะไม่มีหลานป๋ายในวันนี้ ”
หลานป๋าย พูดขึ้นอย่างจริงจังเพราะนั่นคือสิ่งที่นางคิด
ถ้าไม่มีนายท่าน นางก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางจะถูกขายไปที่ไหน
แต่ไม่ว่านางจะถูกขายไปที่ไหนก็ตาม ก็จะมีเพียงจุดจบรออยู่เท่านั้น
แต่นางได้พบกับเจ้านายของนางและไม่เพียงแต่นางยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างอิสระ นางยังได้พบกับคนดี ๆ อีกมากมายด้วย
ในชีวิตนี้มันถือว่าเป็นโชคดีของนางที่จะได้พบกับเจ้านายของนาง
“เจ้าคิดว่าข้าไร้หัวใจหรือไม่?” การแสดงออกของโหลว ชิงอู๋ ดูเหมือนจะผิดปกติ
หลานป๋าย ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินไปทางโหลว ชิงอู๋ และ นั่งคุกเข่าลงไปต่อหน้านาง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตรงไปที่โหลว ชิงอู๋
“แล้วเช่นนั้นนายท่าน ท่านกำลังคิดอะไรอยู่ภายในหัวใจของท่าน? ไม่ว่าท่านจะทำอะไรก็ตาม ตราบใดที่ท่านทำตามหัวใจของท่าน ทุกอย่างก็จะไม่เป็นไร “
“ตามหัวใจของข้าหรือ? แต่ถ้าหัวใจข้าตายไปเล่า? ”
“…. ” ถ้าหัวใจคนตายไปแล้ว พวกเขาจะไม่มีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?
“นายท่าน ท่านกำลังคิดเกี่ยวกับท่านอ๋องรัตติกาลหรือ?”
“… ใช่” นางช่วยไม่ได้ที่จะลูกหัวของหลานป๋าย และช่วยนางลุกขึ้น
นางลังเลและคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ตลอดคืน
ในท้ายที่สุดนางก็ตระหนักว่านางไม่ได้ไร้ความรู้สึกต่อเฟิง เหย่เก้อร์ แต่หัวใจนางมีหมุดนับพันๆ ดังนั้นมันจึงไม่สามารถจะมีที่ให้ใครอยู่ได้
นางไม่สามารถตัดสินใจได้ว่านางมีความรู้สึกอย่างไรที่ต่อเฟิง เหย่เก้อร์ และแทนที่จะคิดถึงและตั้งคำถามที่ไม่เกิดประโยชน์เช่นนี้ บางทีนางควรจะไปกับไหลไปกับมัน
เช้าตรู่หลานป๋าย กลับมาอีกครั้งและบอกนางว่าองค์ชายสามเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง มา
นางตกลงกับเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ว่าพวกเขาจะไปที่ค่ายทหารเพื่อไปขี่ม้าและโหลว ชิงอู๋ก็ไม่ได้คิดมากอะไร
หลานป๋ายหยิบเสื้อผ้าที่เตรียมเอาไว้และค่อยๆถามว่านางยังต้องการที่จะไปอยู่หรือไม่
“นายท่าน ถ้าท่านและองค์ชายสามไปที่ค่ายทหารอาจจะมีข่าวลือแพร่กระจายออกไปรอบ ๆ อีกครั้ง”
“เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาพูดในสิ่งที่พวกเขาต้องการ”
นางเปลี่ยนเสื้อผ้าของนางและรวบผมของนางในแบบหางม้า
ชุดขี่ร่างกายรัดร่างของนางแน่นและเผยให้เห็นถึงความงามที่มีสัดส่วนที่งดงามของนาง
ดวงตาของนางลึกและนิ่งสงบ ร่างกายของนางเกือบจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่จริดจ้า
ตาของของหลานป๋าย เปิดกว้างและจู่ๆ นางก็รู้สึกเสียดายที่นางไม่สามารถไปได้
“วันนี้ พันหน้าจะส่งหนอนวูดูมา รออยู่ที่นี่และไม่ต้องตามไปที่ค่ายทหาร”
การไปที่ค่ายทหารเพื่อไปขี่ม้านะหรือ?
ข้ออ้างเช่นนี้และโอกาสอันสูงส่งดังกล่าวเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ด้วยบุคลิกของเขา เขาจะพลาดได้อย่างไร?
ด้านหลังบริเวณค่ายทหารมีพื้นที่ล่าสัตว์อยู่และถ้าพวกเขาไปที่นั่น พวกเขาจะไม่ไปล่าสัตว์ได้อย่างไร?
และการล่าสัตว์เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะลงมือ
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง แน่นอนจะต้องมีทหารที่จะคอยเสียสละอยู่ที่นั่นและเนื่องจากเป้าหมายของเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง คือนาง นางจะไม่ได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน
แต่หลายไป๋แตกต่างกัน
นางจะไม่ยอมปล่อยให้มีโอกาสที่นางจะได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน
“… เจ้าค่ะ” เมื่อเห็นใบหน้าที่เศร้าของหลานป๋าย โหลว ชิงอู๋ ก็หัวเราะและบีบหน้าของนางขึ้นทันที
“หนอนวูดูเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ดังนั้นช่วยปกป้องมันแทนข้าด้วย”
ไม่นาน หยวนเฉิน จะได้รู้ว่าความหมายของการได้รับรสชาติของยาของนางเองเป็นอย่างไร!
เมื่อโหลว ชิงอู๋ เดินออกไปนอกจวน เซี่ยโฮ่ว ฉิ่งก็รออยู่ที่นั่นแล้ว
เมื่อเขาเห็นโหลว ชิงอู๋ ดวงตาของเขาสว่างไสวขึ้นไม่ได้ซ่อนความงดงามที่น่าทึ่งที่เขาได้รับจากนางไว้แม้แต่น้อย
เขากระโดดลงมาจากม้าของเขาและเดินไปหานาง
“ชิงอู๋ เจ้าดูงดงามมากในชุดเหล่านี้”
“องค์ชายสามอย่าล่อชิงอู่เล่นมากนัก แล้วพี่สาวเหย่ล่ะเจ้าค่ะ”โหลว ชิงอู๋ ลดสายตาลง และไม่ได้มองหน้าของเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง
มิฉะนั้นนางก็กลัวว่านางจะบังเอิญเปิดเผยความรู้สึกรังเกียจที่มีต่อเขาออกมา
“นางนะหรือ ไปหาพี่ชายเหย่ของนางแล้วฮ่าๆ ข้าไม่รู้ว่าท่านอ๋องรัตติกาลจะมาในวันนี้ด้วยหรือไม่? ”
“จริงหรือเจ้าค่ะ?” โหลว ชิงอู๋กำหมัดของนางเอาไว้แน่น
“หนึ่ง ….”
ในขณะที่คำว่า ‘หนึ่ง‘ สิ้นสุดลง น้ำหนักบนร่างของนางก็หายไป
เฟิง เหย่เก้อร์ พลิกตัวกลับไปนอนข้างๆ โหลว ชิงอู๋ ก่อนจะถอนหายใจ ขึ้นเบาๆ “ศิษย์น้อง เจ้าช่วยทำเป็นไม่ฉลาดสักครั้งไม่ได้หรือ?”
สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกหมดหนทางที่ถูกมองออกได้อย่างง่ายดาย
“แต่ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ฉลาดหรือไม่ก็ตาม ศิษย์ก็ควรรู้ว่าเมื่อข้าตัดสินใจอะไรลงไปแล้วข้าจะไม่เปลี่ยนใจ” นางพลิกตัวลุกขึ้นนั่งและลุกขึ้นจากเตียง
โหลว ชิงอู๋ จุดเทียนทำให้ห้องสว่างขึ้นทันที
ข้างนอกเสียงของหลานป๋ายก็ดังขึ้น
“นายท่าน ทำไมท่านยังไม่เข้านอกอีกเจ้าค่ะ?”
“อีกสักพักข้าถึงจะเข้านอน เจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว”
“เจ้าค่ะ”
การเคลื่อนไหวด้านนอกหยุดลง ในขณะที่โหลว ชิงอู๋ หันมา ดวงตาที่งดงามของนางมองไปทางเฟิง เหย่เก้อร์
ที่ได้ลุกขึ้นนั่งสักพักแล้ว หน้าตาที่หล่อเหลาของเขาที่มองไม่อาจเปรียบเทียบได้และดวงตาหงส์ของเขาก็ทำให้โหลว ชิงอู๋ต้องมองลงล่าง
“ศิษย์พี่ … ” มันคุ้มค่าแล้วหรือที่ต้องทำเช่นนี้?
“มันต้องเป็นเขาหรือ? เจ้าก็ได้ตรวจสอบการกระทำของเขาก่อนหน้านี้แล้ว เขาไม่จริงใจต่อเจ้า “
ในตอนแรก เขาจะไม่ได้คิดที่จะพูดสิ่งเหล่านี้ออกมาดัง ๆ แต่หลังจากที่ได้พบกับนาง ดูเหมือนว่าหลักการก่อนหน้านี้ทั้งหมดของเขาได้ถูกทำลายลง
โหลว ชิงอู๋ ยังคงเงียบ
แสงเทียนข้างหูของนางทำให้มีเสียงเบา ๆ ขึ้น ก่อนที่เสียงที่ว่างเปล่าของนางดังออกมา
“…. ใช่”
“แต่ถ้าเจ้าชอบเขา ทำไมไม่ทำให้เขาเป็นฮ่องเต้?” นิ้วมือสิบนิ้วของเขาจับกันแน่นขึ้น ดวงตาของเฟิง เหย่เก้อร์ กำลังตั้งคำถาม
“…. วังหลังของฮ่องเต้ต่างก็เต็มไปด้วยหญิงงามถึงสามพันคน เช่นนั้นยอมไม่ดี” หลังจากที่เงียบไป โหลว ชิงอู๋ก็พบเหตุผลที่เหมาะสม
“ศิษย์พี่ของเจ้าจะแต่งงานกับเจ้าเท่านั้น”
ศิษย์น้อง ทำไมถึงเป็นข้าไม่ได้?
“ศิษย์พี่ก็คือศิษย์พี่ คนรักก็คือคนรัก ศิษย์เป็นเช่นนี้มันทำให้รู้สึกยากลำบาก”นางลดดงตาลงเพื่อซ่อนอารมณ์ในหัวใจของนางเอาไว้
นางยังคงไม่เต็มใจที่จะลากเขาลงไปกับนาง
ทำไมเขาถึงต้องดื้อรั้นเช่นนี้?
“แต่ถ้าข้าให้เจ้าแต่งงานกับคนอื่น เจ้าจะยิ่งทำให้ทุกอย่างเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับศิษย์คนนี้”
“….”
“มันต้องเป็นเขาเท่านั้นหรือ?”
“…. ใช่”
เฟิง เหย่เก้อร์เงียบเป็นเวลานานและไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา
ในอากาศที่ว่างเปล่า กลิ่นของไฟดูเหมือนจะห้อมล้อมไปทั่วหัวใจโหลว ชิงอู๋ เหมือนปีศาจที่พันไปรอบๆ หัวใจของนาง
มันเป็นราวกับความกระหายเลือดและคว้าไปที่หัวใจนาง
หลังจากผ่านไปสิบนาที เฟิง เหย่เก้อร์ก็ยกศีรษะขึ้น
พวกเราเพียงแค่อยู่คนละด้านของห้อง เขาเฝ้ามองนางอยู่ห่าง ๆ
เห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรอยู่ระหว่างพวกเขา แต่มีบางอย่างที่ปิดกั้นความรู้สึกของความรักและความเกลียดชังเหล่านั้นเป็นพัน ๆชั้น
นางไม่สามารถออกไปและเขาก็ไม่สามารถก้าวเข้ามาได้
…. ขอโทษ
“เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว “เฟิง เหย่เก้อร์ยิ้ม แต่กลับเต็มไปด้วยความขมขื่น
เขาลุกขึ้นยืนจากที่นอน ดวงตาของเขาลดลง ในขณะที่เขาก้าวออกไปข้างนอก
เมื่อเขาเดินผ่านโหลว ชิงอู๋ ไปเขาก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้น
“สิบวันต่อจากนี้ ข้าจะออกจากเมืองหลวง ถ้าก่อนหน้านั้น เจ้าเปลี่ยนความคิดของเจ้า ข้าก็จะอยู่ในเมืองหลวง … ข้าจะรอคำตอบของเจ้า “
มือโหลว ชิงอู๋ จับเข้ากันอย่างแน่นหนา ในขณะที่นางได้ยินประตูเปิดและปิดลง
ทั้งโลกกลับคืนสู้ความเงียบเหมือนก่อนหน้านี้ได้อย่างรวดเร็ด
แต่นางดูเหมือนจะเป็นคนเดียวในโลกที่โดดเดี่ยว
เมื่อหลายป๋าย เปิดประตูเข้ามาในวันต่อมา นางก็พบโหลว ชิงอู๋ นั่งอยู่บนม้านั่งยาวราวกับคนที่อยู่ในความสับสน
นางแข็งค้างไปครู่หนึ่ง “นานท่าน ท่านตื่นเช้าหรือท่านไม่นอนเลยทั้งคืน?”
มิเช่นนั้นแล้วทำไมผ้าห่มที่อยู่บนเตียงยังคงเรียบร้อยอยู่เช่นเดิม?
“หลายป๋าย” โหลว ชิงอู๋ ไม่ได้ตอบนาง
ตรงกันข้าม นางค่อยๆเงยหน้าขึ้น และสายตาของนางก็ให้คำตอบแก่หลานป๋ายแทน
“ในสายตาของเจ้า ข้าเป็นคนแบบไหน?”
ในช่วงชีวิตก่อนหน้านี้เซี่ยโฮ่ว รุ่ย ได้ถูกส่งไปสถานที่ที่กันดานอย่างรวดเร็วหลังจากเกิดเรื่องของฮองเฮาขึ้น
นอกเหนือจากเรื่องของฮองเฮาแล้ว ยังมีบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น
นั่นคือในตอนนั้น เมื่อพระชายารองชั่งกวน อี้ยวิน แอบมีชู้และหนีไปด้วยกัน
ในเวลานั้นเซี่ยโฮ่ว รุ่ย กลายเป็นตัวตลกให้คนหัวเราะไปทั่วเมืองหลวง
สิ่งนี้ทำให้เขากระตือรือร้นที่จะออกจากเมืองหลวงและต่อจากนั้น เขาก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย
เหตุผลที่ว่าทำไมพระสนมอิง ถึงได้ปล่อยให้ฮองเฮาเลือกพระชายาให้กับเซี่ยโฮ่ว รุ่ย เพราะพวกเขารู้อยู่แล้วอย่างไม่ต้องสงสัยว่าพระราชารองจะเป็น …ชั่งกวน อี้ยวิน
นางกลัวว่าพวกเขาจะรู้เรื่องราวของชั่งกวน อี้ยวิน แล้ว นั่นคือสาเหตุที่ทำให้พวกเขามั่นใจในตนเอง
“เมืองหลวง … กำลังจะเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง”
นางยกศีรษะขึ้นและมองไปที่ดวงอาทิตย์เหนือนาง
ดวงอาทิตย์ทำให้ดวงตาของนางแทบมืดบอด แต่นางก็เงยหน้าขึ้นมองจนกระทั่งดวงตาของนางเริ่มเจ็บ
จากนั้นนางก็ค่อยๆมองลงล่าง เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง จะปล่อยให้เซี่ยโฮ่ว รุ่ย กลายเป็นองค์รัชทายาทง่ายๆ ได้อย่างไร?
นางกลัวว่าเขากำลังจะเดินหน้าในเร็ว ๆ นี้
เช่นนั้นนางก็ควรเตรียมของขวัญให้กับเขาด้วยเช่นกัน
เมื่อค่ำมือมาถึง โหลว ชิงอู๋ ก็กลับมาที่เรือนลมเอียงของนาง
นางบอกหลานป๋าย ให้ไปพักผ่อนในขณะที่นางผลักประตูห้องของนางให้เปิดออก
แต่ในขณะที่นางก้าวเข้าไปได้เพียงก้าวเดียว ความรู้สึกที่ว่องไว้ของนางก็บอกให้นางรู้ว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องของนาง
กลิ่นที่ชัดเจนของเหล้าและกลิ่นอายที่ดำมืดมันเป็นกลิ่นที่พิเศษมาก
หัวคิ้วของโหลว ชิงอู๋ ขยับเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ หันไปปิดประตูลงเงียบ ๆ
นางเดินทีละก้าวๆ ไปยังที่เตียงของนางและเมื่อเข่าของนางกำลังจะตกลงไปที่ขอบเตียง ร่างในเงามืดก็กดนางลง
โหลว ชิงอู๋หันไปทางด้านข้างอย่างรวดเร็ว แต่มือที่เย็นจัดของใครอีกคนก็คว้าข้อมือนางไว้ ในขณะที่กดนางลงไปบนเตียง
ลมหายใจของพวกเขาผสมเข้าไปด้วยใน ก่อนที่ลมหายใจของอีกฝ่ายจะปะทะลงมาที่ลำคอโหลว ชิงอู๋
กลิ่นที่ดำมืดปะทะเข้ามาที่จมูกของนางพร้อมกลิ่นเหล้าที่รุ่นแรงมากขึ้น
นางพยายามเล็กน้อย ก่อนที่มือที่จับอยู่ที่ข้อมือของนางจะแน่นขึ้นเล็กน้อย
เมื่อดวงตาของนางเริ่มคุ้นเคยกับความมืด นางก็เงยศีรษะขึ้นและเผชิญหน้ากับดวงตาหงส์ของอีกฝ่าย
“ศิษย์พี่ ลุกขึ้น … “
นางยกมือที่นุ่มนวลของนางไปที่คอของเฟิง เหย่เก้อร์ แต่ในตอนท้ายนางก็ไม่สามารถทบที่จะลงมือทำร้ายเขาได้
“อืม … ” อยู่ใกล้ๆ ลำคอของนาง ศีรษะของใครบางคนยังพึมพำตกลง แต่กลับยังคงตั้งใจที่จะกดทับลงมาที่ร่างของนางไม้เว้นแม้แต่นิ้วเดียว
เสียงที่เบาเต็มไปด้วยความมึนงง ไม่ชัดเจนทำให้ฟังดูเหมือนว่าเขาจะเมามาก
“เฟิง เหย่เก้อร์ ลุกขึ้น ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้เมา “โหลว ชิงอู๋ รู้สึกอายและรู้สึกราวกับถูกดูหมิ่นเล็กน้อย ในขณะที่นางจ้องมองเขา
“ไม่ ข้าเมา” เขาพึมพำด้วยเสียงที่ต่ำอยู่ข้างๆ หูของนาง มีน้ำเสียงที่มึนเมาส่วนใหญ่และชัดเจนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
โหลว ชิงอู่ รู้สึกช่วยไม่ได้ ดวงตาที่งดงามของนางปิดลงเล็กน้อยราวกับดาวบนท้องฟ้ายามค่ำ
“ศิษย์ที่ใหญ่ คนที่เมาไม่เคยพูดว่าพวกเขาเมา”
“…. ” คนที่นอนอยู่ด้านบนของนางไม่ได้เคลื่อนไหวไปไหนแม้แต่น้อย
เขาเพียงแค่ใช้ใบหน้าของเขาถูไปที่หัวของนางเหมือนแมวตัวใหญ่ แต่ไม่ได้ขยับส่วนที่เหลือของร่างกายของเขา
โหลว ชิงอู๋ ยังคงจ้องมองเขา
มันจะไม่มีประโยชน์อะไรแม้ว่าเขาจะแกล้งทำเป็นตาย
“ข้าจะนับถึงสามและถ้าท่านยังไม่ลุกขึ้น ข้าจะโกรธมาก ศิษย์พี่ควรรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อข้าโกรธ”
นางหรี่ดวงตาลง ในขณะที่มองไปที่ฝ่ายตรงกันข้าม
ในความมืดนางไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเฟิง เหย่เก้อร์ได้อย่างชัดเจน แต่นางสามารถมองเห็นคู่ของดวงตาหงส์ซึ่งทำให้หัวใจของนางอ่อนลงอีกครั้งและอีกครั้ง
แต่เพราะหัวใจนางอ่อนลง นั่นหมายความว่านางจะต้องปฏิบัติกับเขาอย่างไม่เป็นธรรม
ดวงตาของนางดำมืดลง เมื่อเสียงของนางกลายเป็นแหบแห้งขึ้น “สาม”
เฟิง เหย่เก้อร์ “……”
“สอง”
เฟิง เหย่เก้อร์ “……”
โหลว ชิงอู๋ ออกจากหอน้ำชามา ดวงอาทิตย์เหนือศีรษะของนางก็กำลังทำร้ายดวงตาของนางเล็กน้อย
นางยกมือขึ้นเพื่อป้องกันดวงตาของนางและในขณะที่นางกำลังจะวางมือลง จู่ๆ ก็มีร่างๆหนึ่งกระแทกเข้าใส่นาง
นางค่อยๆหรี่ตาลงและช่วยคนผู้นั้นขึ้น
“ขอบคุณ แม่นาง” เสียงที่เย็นและชัดเจน แต่นุ่มน่าหูดังเข้ามาที่หูของนางมันเป็นเสียงที่รื่นรมย์มาก
เมื่อได้ยินแบบนี้นางรู้สึกว่ามันค่อนข้างคุ้นเคย
โหลง ชิงอู๋ ปล่อยมือและใบหน้าที่งดงามก็เข้ามาสู่ดวงตาของนาง
แต่เมื่อนางเห็นหน้านั้นชัดเจน โหลว ชิงอู๋ก็ ก็ช่วยไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้น “นางสาวชั่งกวน “
ชั่งกวน อี้ยวิน แข็งค้างไปครู่หนึ่งเมื่อนางเห็นหน้าของโหลว ชิงอู๋ชัดเจนขึ้นพร้อมกับตกใจเล็กน้อย แต่เมื่อคิดถึงบางสิ่งบางอย่างนางก็รู้สึกไม่สบายใจมองก่อนจะมองลงไปด้านล่างแทน “แม่นาง แม่นางโหลวช่างบังเอิญเสียจริง … “
“คุณหนูพวกเราควรจะกลับได้แล้วนะเจ้าค่ะ” สาวใช้ที่อยู่ข้างหลังชั่งกวน อี้ยวิน พูดขึ้น
นางไม่รู้จักโหลว ชิงอู๋ นางคิดว่านางเป็นเพียงบุตรสาวของเจ้าหน้าที่สามัญทั่วไป
“อืม” ชั่งกวน อี้ยวิน ตกลงและยิ้มอย่างอ่อนโยนไปที่โหลว ชิงอู๋ ก่อนที่จะจากไป
แต่ในเวลานี้เซี่ยโฮ่ว รุ่ย และเซี่ยโฮ่ว หลิวหยุนก็ไล่ตามมาทันพอดี
“แม่นางโหลว!”
“คุณหนู!”
หลานป๋ายตัวพองขึ้นทันทีในขณะที่นางวิ่งหน้าโหลว ชิงอู๋
นางมองไปที่นางอย่างไม่พอใจ
นางและเซี่ยโฮ่ว หลิวหยุน อยู่ในห้องข้างๆ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ให้ได้ยินว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่เจ้านายของนางก็ออกมาไม่นานหลังจากนั้น
แล้วองค์ชายรองก็เริ่มไล่ตามนางมา ดังนั้นนางและองค์ชายเจ็ดจึงวิ่งตามมาด้วย
อย่างไรก็ตามพวกเขาเห็นเจ้านายของนางกำลังคุยอยู่กับหญิงสาวอีกคนหนึ่ง ดังนั้นนางจึงช่วยไม่ได้ที่จะมองนางอีกรอบ
เมื่อนางเห็นชัดๆ ว่านางคือชั่งกวน อี้ยวิน ดวงตาของนางเปิดกว้างขึ้น
มันไม่น่าจะใช่เรื่องบังเอิญขนาดนั้น ใช่ไหม?
เซี่ยโฮ่ว รุ่ย ยังคงไม่เห็นชั่งกวน อี้ยวิน เพราะเขายังคงคิดถึงสิ่งที่โหลว ชิงอู๋ พูดกับเขาในห้องนั้น เขารู้สึกแปลก ๆ กับสิ่งที่นางพูด
เขาไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างนางกับราชบัลลังก์ เขาสามารถมีทั้งสองได้
ทำไมนางต้องถามเขา …
แต่ก่อนที่เขาจะสามารถไปหานางและถาม เขาก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนและนุ่มนวลดังขึ้น “องค์ชาย องค์ชายรอง?”
หัวคิ้วของเซี่ยโฮ่ว รุ่ยขมวดขึ้น ก่อนจะหันไปด้านข้างเพื่อมองไปที่ชั่งกวน อี้ยวิน
แต่เมื่อเขามองไปที่นางเป็นเวลานาง เขาก็ยังจำไม่ได้ว่านางเป็นใคร “เจ้า … “
เซี่ยโฮ่ว หลิวหยุนรู้สึกกลัวมากจนเกือบจะร้องเสียงแหลมขึ้น
เมื่อเซี่ยโฮ่ว รุ่ย พูดขึ้นเขาจึงรีบดึงแขนเสื้อของเขา ก่อนจะพูดขึ้น “พี่รอง นี่คือพี่สะใภ้รองในอนาคต!”
แต่เขาไม่รู้ว่ามันเป็นความคิดไปเองของเขาหรือไม่ แต่เขารู้สึกเหมือนเมื่อพี่สะใภ้รองมองไปที่พี่รองของเขา นางดูไม่สบายใจเล็กน้อยและตื่นตระหนกเล็กน้อย
ใบหน้าที่หล่อเหลาของเซี่ยโฮ่ว รุ่ยแข็งทื่อขึ้น ในขณะที่กัดริมฝีปากของเขาเข้าหากัน
ทางด้านหลังของชั่งกวน อี้ยวิน สาวใช้ของนางก็เต็มไปด้วยความตกใจและรีบไปทักทายเขาขึ้นทันที “องค์ชายรอง!”
แต่สายตาของนางยิ่งดูหวาดกลัวมากกว่าของชั่งกวน อี้ยวินเสียอีก
โหลว ชิงอู๋ มองดูการแสดงออกของพวกเขาทั้งสอง ก่อนจะหรี่ตาของนางลงเล็กน้อย
นางกวาดสายตาของนางไปที่ชั้นสองของหอน้ำชาและเห็นการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วอยู่บนนั้น
“ดูเหมือนว่าแม่นางชั่งกวน จะตั้งใจมาที่นี่โดยเฉพาะเมื่อมาหาองค์ชายรอง เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน “
หลังจากพูดจบ นางก้มตัวเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังจะจากไป
หลานไป๋ รีบวิ่งตามไป แต่ก็ยังรู้สึกราวกับว่าการแสดงออกของชั่งกวน อี้ยวิน นั้นไม่ปกติ
เมื่อพวกเขามีระยะห่างที่มากพอ โหลว ชิงอู๋ก็ชะลอเท้าของนางลง
ด้านหลังนาง หลานป๋าย รีบไล่ตามมาอีกสองสามก้าวก่อนจะตามทันในที่สุด
“นายท่าน ทำไมข้าถึงรู้สึกเหมือนใบหน้าของแม่นางชั่งกวน ซีดลงเมื่อนางเห็นองค์ชายรอง?”
“เพราะนางไม่ได้มาที่นี่เพื่อพบองค์ชายรอง”
“อ่า? ทำไมละเจ้าค่ะ? แล้วนางมาที่นี่เพื่อพบใคร? “หลานป๋าย ไม่เข้าใจ
ถ้านางไม่ได้มาที่นี่เพื่อพบองค์ชายรอง แล้วทำไมแม่นางชั่งกวน ถึงมาที่หอน้ำชา ที่ที่วุ่นวายเช่นนี้?
แม้ว่าจะมีคุณหนูอีกหลายคนที่จะมาที่นี่ แต่ไม่ใช่ว่านางกำลังจะแต่งงานกับองค์ชายรองหรอกหรือ
ในฐานะอนาคตพระชายาขององค์ชายรอง นางไม่ควรที่จะใช้เวลาในการเตรียมตัวและรอคอยการแต่งงานหรือ?
“…. ” โหลว ชิงอู๋ไม่ได้ตอบคำถามของหลานป๋าย
แน่นอนว่านางรู้ว่าชั่งกวน อี้ยวิน มาพบใคร
มีดที่คมจะตัดผ่านมันได้อย่างง่ายดาย
นางอยากจะแก้แค้น ดังนั้นความรู้สึกของผู้ชายและผู้หญิงเหล่านี้จะต้องถูกตัดออกอย่างหมดจด
ความรู้สึกหนาวเย็นของโหลว ชิงอู๋ ทำให้เซี่ยโฮ่ว รุ่ยกัดริมฝีปากของเขาเข้าด้วยกัน มือที่อยู่ใต้แขนเสื้อของเขาก็ยิ่งกำแน่นมากขึ้น
แต่เขาทำได้เพียงพยายามควบคุมตัวเองเอาไว้
โหลว ชิงอู๋มองลงไปด้านล้าง นางคิดก่อนที่จะมองกลับขึ้นมาด้วยสายตาที่เย็นชาเหมือนเดิม
“จริงๆแล้ว องค์ชายรอง ท่านไม่ได้ชอบข้ามากขนาดนั้นด้วยซ้ำ มันเป็นเพียงแค่ความผิดพลาดเพราะข้าช่วยท่านเอาไว้ “
“มันไม่ใช่แบบนั้น” เซี่ยโฮ่ว รุ่ยปฏิเสธขึ้นทันที แต่เมื่อเขามองเข้าไปในดวงตาของโหลว ชิงอู๋ ดวงตาของเขาก็ขยับออกไป
ดวงตาของนางว่างเปล่าและชัดเจนมากราวกับว่าพวกมันสามารถมองเห็นไปถึงหัวใจของคน ๆ หนึ่งได้ ทำให้เขารู้สึกสับสนเพราะเหตุผลบางอย่าง
“เช่นนั้นหรือ?” โหลว ชิงอู๋พึมพำขึ้น “องค์ชายสาม ท่านต้องการตำแหน่งนั้นหรือไม่?”
เซี่ยโฮ่ว รุ่ยรู้ว่านางกำลังพูดถึงบัลลังก์
ในตอนแรกง เขาไม่ได้ยึดติดกับบัลลังก์นั้นมากนัก
แต่หลังจากงานเลี้ยงของเสด็จพ่อ ความคิดแบบนั้นก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเขาคุกเข่าลง หัวใจและร่างกายของเขาก็ยุ่งเหยิง จิตใจของเขาก็ว่างเปล่า
ทั้งหมดที่เขารู้ก็คือถ้าตอนนั้นเขากลายเป็นคนเสียสติ เสด็จแม่ของเขาน้องเจ็ดของเขาทั้งหมดจะจบทันที
เขาต้องการที่จะปกป้องพวกเขา ดังนั้นเขาจะต้องยืนอยู่ในจุดที่สูงสุดเท่านั้น
มิเช่นนั้นพวกเขาอาจจะกลับไปยังตำแหน่งที่ถูกเหยียบย่ำได้อีกครั้งได้ในตลอดเวลา
มันทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างไม่น่าเชื่อและไม่แน่ใจเกี่ยวกับอนาคต
ตอนจบนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากเห็นดังนั้นเขาจึงต้องการ … บัลลังก์นั้น
“ใช่ ข้าต้องการนั่งอยู่ในตำแหน่งนั้น”
“เช่นนั้น ข้าก็จะช่วยท่าน แต่” โหลว ชิงอู๋ มองเหล้าที่อยู่ข้างหน้าของนาง
นางยกมันขึ้นและดื่มเหล้าไปหนึ่งครั้ง ก่อนที่จะมองกลับไปที่เซี่ยโฮ่ว รุ่ย
“ถ้าให้ท่านเลือกระหว่างข้ากับตำแหน่งนั้น ท่านจะเลือกอะไร?”
“แม่นางโหลว?” เซี่ยโฮ่ว รุ่ย ไม่เข้าใจ
นางและราชบัลลังก์ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับแม้แต่น้อย
แต่ดวงตาของโหลว ชิงอู๋ ก็จริงจังมาก จนทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
“บอกข้ามาว่าท่านจะเลือกแบบไหน?”
“แม่นางโหลว … อย่าบังคับข้า” ทันใดนั้นเขาก็คลุมศีรษะของเขา
ความคิดของเขายุ่งเหยิง
ให้เขายอกแพ้เรื่องนาง เขาก็ไม่ต้องการ
แต่ถ้าเขายอมแพ้เรื่องบัลลังก์ ท่านแม่ของเขา น้องเจ็ดของเขาทุกคนจะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนดังกล่าว ซึ่งมันยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น
โหลว ชิงอู๋ หัวเราะ
“เห็นหรือไม่หัวใจของท่านมีคำตอบอยู่แล้ว ท่านไม่ได้ชอบข้ามากขนาดนั้น เป็นเพราะความรู้สึกที่ดีที่มีเพียงขนาดเล็กเท่านั้น แม้ว่าจะไม่ใช่ข้า แต่ก็อาจเป็นผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่ช่วยท่านในสถานการณ์เช่นนั้นได้ ท่านก็อาจจะตกหลุมรักกับผู้หญิงคนอื่น ๆได้เช่นกัน องค์ชายรองนี่คือความรู้สึกผิดภายใต้ความเย็นชาของท่าน มันเป็นสิ่งที่องค์ชายคนอื่นๆ ไม่มีดังนั้นนั่นมันจึงเป็นเหตุผลที่ข้าต้องการช่วยท่าน แต่ข้าจะไม่กักขังตัวเองให้อยู่ภายในกรงนั้น ข้าเชื่อว่าองค์ชายรองฉลาดและจะสามารถคิดทบทวนเรื่องนี้ได้ “
“…. ” เซี่ยโฮ่ว รุ่ยรู้สึกทึ่ง ในขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาของเขาค่อยๆ ดำมือลง
มันเป็นเช่นนั้นจริงๆหรือ?
“องค์ชายรองจงกลับไปคิดอย่างรอบคอบ ข้าคงต้องขอตัวก่อน โอ้ยังมีอีกเรื่อง แม้ว่าข้าจะแต่งงานกับองค์ชายสาม แต่มันก็จะไม่ส่งผลต่อความสามารถของข้าในการช่วยให้ท่านก้าวไปสู่ตำแหน่งนั้นได้ ดังนั้นองค์ชายรองไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องใด ๆทั้งนั้น “
เมื่อพูดจบ โหลว ชิงอู๋ก็หันหลังและจากไปอย่าไม่สนใจ
นางหวังว่าหลังจากนี้ พวกเขาอาจจะกลายเป็นคู่ค้าที่ดีที่สุด
เซี่ยโฮ่ว รุ่ยนั่งอยู่คนเดียวในห้องนั้นเป็นเวลานานด้วยความรู้สึกมึนงงก่อนที่เขาจะลูบหน้าผากของเขาและหัวเราะอย่างขมขื่นขึ้น
เขาค่อยๆยกไหเหล้าขึ้นอีกครั้งและดื่มน้ำจนหมด
เขาพยายามลุกขึ้น ก่อนจะมุ่งหน้าออกไปข้างนอก
แต่เขายังรู้สึกว่าเขาได้ยอมแพ้ให้กับบางสิ่งบางอย่างไปแล้ว
และในครั้งต่อไปที่พวกเขาได้พบกัน เขาคงจะกลายเป็นคนใหม่
แต่จริงๆแล้ว เขาเพียงแค่รู้สึกผิด … ต่อนางอย่างนั้นหรือ?
“ปล่อย” เสียงที่เย็นชาและเงียบสงบของโหลว ชิงอู๋ นั้นชัดเจนเหมือนดอกบัวน้ำแขงสีขาว
มันปะทะเข้ามาที่หูของคน เด็ดเดี่ยวและห่างเหิน ทำให้เจ้าอยากวิ่งหนีไป
“ไม่…..ไม่ปล่อย” ความนุ่มนวลในอ้อมแขนของเขา ทำให้เซี่ยโฮ่ว รุ่ย ยิ่งมึนเมามากขึ้นเช่นเดียวกับการอยู่ในความฝันที่งดงาม
ที่ด้านนอกของประตูเซี่ยโฮ่ว หลิวหยุน และหลานป๋าย คนที่เพิ่งมาถึงก็ถึงกลับตาค้าง
เมื่อหลานป๋าย ได้เห็นสิ่งนี้นางก็กำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อที่จะเข้าไปดึงองค์ชายรองออกไปจากเจ้านายของนาง ก่อนที่จะถูกเซี่ยโฮ่ว หลิวหยุน ปิดปากเอาไว้และดึงนางออกไป
จากนั้นเขาก็ปิดประตู
“อืมม อืมม อืมม …. ” เซี่ยโฮ่ว หลิวหยุน เจ้าขยะ ความบริสุทธิ์ของนายของข้า!
ไม่ว่าความพยายามของหลายป๋ายจะมีมากแค่ไหน เซี่ยโฮ่ว หลิวหยุน ก็ยังสามารถดึงนางออกไปและเข้าไปในห้องอื่นได้
ภายในห้องของเซี่ยโฮ่ว รุ่ย คนสองคนยังคงยืนตัวตรง และยังดูเหมือนคู่รัก
ยกเว้นดวงตาของคนคนหนึ่งถูกเคลือบไปด้วยความมึนเมาและของคนอีกคนก็ใสและเยือกเย็น
“เช่นนั้นหรือ?” กอดที่แน่นที่อยู่รอบ ๆ ตัวนาง ทำให้ตาของโหลว ชิงอู๋ หรี่ตาลงในขณะที่มือขวาจับไปรอบๆ โต๊ะ
มือของนางคว้าไปรอบถ้วยเหล้า เมื่อนางยกแขนขึ้นและสาดเหล้าลงบนใบหน้าที่หล่อเหลาของเซี่ยโฮ่ว รุ่ย
แขนของเซี่ยโฮ่ว รุ่ยหลุดออกและโหลว ชิงอู๋ก็ผลักเขาออกไปสามก้าวในขณะที่นางใช้สายตาอันเย็นชาของนางมองไปที่เขา
เซี่ยโฮ่ว รุ่ย ถูใบหน้าของเขา รู้สึกมีจิตใจที่ชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม
แต่เมื่อจิตใจของเขาชัดเจนและเห็นว่าหญิงสาวที่อยู่ข้างหน้าเขาไม่ได้อยู่ในความฝัน แต่อยู่ในความเป็นจริงใบหน้าของเขาซีดลงทันที
“โหลว แม่นางโหลว ข้า ….”
“ดูเหมือนว่าองค์ชายรองจะมีสติที่ชัดเจนแล้ว” โหลว ชิงอู๋ ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะ
นางวางถ้วยเหล้าลง ในขณะที่นางมองไปที่ผู้ชายที่ดูไม่ได้ที่อยู่ต่อหน้าของนาง
หัวใจของเซี่ยโฮ่ว รุ่ย กระโดดขึ้นเมื่อเห็นท่าทางการมองของนางรู้สึกราวกับว่าความอึดอัดนับพัน ๆ กำลังวิ่งขึ้นและลงไปทั่วร่างของเขาเข้าไปจนถึงกระดูกของเขา
เขาไอขึ้นเบา ๆ ซ่อนความรู้สึกของเขา ในขณะที่มองไปที่ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขา
นานแค่ไหนแล้วที่เขาได้พบนางครั้งสุดท้ายที่?
ในตอนแรก เขาคิดว่านางคงจะไม่อยากพบเขา หลังจากได้รู้ความรู้สึกของเขา
แต่ตอนนี้ นางอยู่ที่นี่
นั่นหมายความว่านางไม่ได้เกลียดเขาจริงๆ?
แต่ทำไมนางถึงบอกว่านางอยากจะช่วยเขา แต่ก็ยังเข้าไปพัวพันอยู่กับพี่สาม?
ในช่วงสองสามวันนี้ นอกเหนือจากความกดดันจากเสด็จแม่แล้ว ยังมีความคลุมเครือของข่าวลือและเรื่องซุบซิบแพร่กระจายไปทั่วเกี่ยวกับนาง
“แม่นางโหลว เจ้า …”
“อยากจะถามว่าทำไมข้าถึงต้องใกล้ชิดกับองค์ชายสามหรือ?”
“ …. อืม”
“แต่ท่านใช้ฐานะอะไรในการถามข้าเช่นนั้น? ไม่ใช่ว่าท่านแต่งงานแล้วหรือ ส่วนข้ายังไม่ได้ต่างงาน มันจึงเป็นสิทธิของข้าที่จะอยู่ใกล้ชิดกับใครก็ตามที่ข้าชอบ “โหลว ชิงอู๋ เทเหล้าที่อยู่ในไหออกมา เหล้าที่อยู่ในถ้วยสะท้อนภาพเงาของนางขึ้น
“ข้าแค่ … ” เซี่ยโฮ่ว รุ่ยจู่ๆ ก็ยืดตัวขึ้นอยากจะอธิบาย แต่เขาก็คาดหวังด้วยเช่นกัน
“แค่อะไร? คิดว่าเพราะข้าอยากจะช่วยท่าน มันจะหมายความว่าข้าจะมีความรู้สึกต่อท่านหรือ?”
“… ” เซี่ยโฮ่ว รุ่ยไม่อยากยอมรับมัน แต่หัวใจของเขาก็คิดเช่นนั้น
ดังนั้นแม้ว่าเพลงนั้น <ความรู้สึกที่แตกต่าง> ในงานเทศกาลชมดอกไม้จะทำให้เขาเห็นด้วยกับงานแต่งงานของเขา แต่เมื่อเขาตื่นขึ้นมาเขาก็เต็มไปด้วยความเสียใจ ลังเลและไม่สามารถคิดอะไรได้อย่างชัดเจน
“ข้าคิดว่าข้าได้แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว แต่ถ้าองค์ชายรองอยากจะได้ยินอีกครั้งข้าก็จะบอกท่านเอง เหตุผลที่ข้าต้องการจะช่วยท่านเพราะในบรรดาองค์ชาย เพราะท่านเหมาะที่สุดในพวกเขาทั้งหมด อย่างน้อยท่านก็จิตใจดีและมีศักยภาพในการครองแคว้น ดังนั้นการช่วยท่านจึงง่ายที่สุด “
“ถ้าเช่นนั้นก็พูดได้ว่าถ้าไม่ใช่ข้าก็สามารถเป็นคนอื่นได้” เซี่ยโฮ่ว รุ่ย รู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจของเขาโดนอะไรบางทุบอย่างแรง
ด้วยคำพูดที่เขาพูดทุกครั้ง มันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดราวกับถูกเผาไหม้
“ใช่”
แต่เมื่อคิดว่ามันเป็นปัญหาใหญ่ของพระราชวัง นาก็ไม่กล้าขัดขวางเรื่องของเจ้านายของนาง ดังนั้นนางจึงก้าวออกไปอย่างลังเล
หัวคิ้วของเซี่ยโฮ่ว หลิวหยุนยกขึ้นพร้อมกับอารมณ์ที่ดีขึ้นมาก
แต่พอเขาเดินขึ้นบันไดไปได้สองก้าว ประตูห้องจู่ๆ ก็เปิดออก
ดวงตาของโหลว ชิงอู๋ ก็มองมาที่อย่างผ่านๆ “เช่นนั้นก็เชิญด้านใน”
เซี่ยโฮ่ว หลิวหยุนและหลานป๋าย ต่างก็เดินตามโหลว ชิงอู๋เข้าไปเงียบๆ
เซี่ยโฮ่ว หลิวหยุนก้าวเข้ามาข้างในและช่วยไม่ได้ที่จะพูดขึ้น “แม่นางโหลว เจ้ารู้สึกอย่างไรกับพี่รองของข้า?”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
“คงไม่ใช่เพราะ … .” เซี่ยโฮ่ว หลิวหยุนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พยายามอย่างหนักที่จะเก็บมันเอาไว้
เขาพึมพำไปครึ่งนึง ก่อนที่จะหาวลีที่เหมาะสมแล้วก็พูดขึ้นอีก “ถ้าเจ้าต้องการจะช่วยพี่รอง ทำไมเจ้าถึงได้ใกล้ชิดกับพี่สาม? เจ้าไม่รู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่คือการทำให้พี่รองคิดว่าเจ้า … เจ้า … “
“ช่วยคนอื่นอยู่?”
เซี่ยโฮ่ว หลิวหยุนถึงกับสำลัก
เขาต้องการที่จะแสดงความคิดเห็น แต่ไม่คิดว่ามันจะโผงผางเกินไป
แต่ถ้าโหลว ชิงอู๋ ได้พูดออกมาแล้ว เขาก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับมันเท่านั้น
“เช่นนั้น ท่านกำลังตำหนิข้าหรือ?”
“ข้า ….”
ดวงตาที่เย็นชาของโหลว ชิงอู๋ ทำให้เซี่ยโฮ่ว หลิวหยุน รีบอธิบายขึ้น “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เพียงแค่ … คือ … อารมณ์ของพี่รองไม่ค่อยดีเมื่อเร็ว ๆ นี้และด้วยสิ่งที่กระจายไปรอบ ๆ … แม่นางโหลวข้าขอโทษ แต่ข้าก็ไม่ได้หมายความเช่นนั้นจริงๆ “
นางมองไปที่ดวงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดของเซี่ยโฮ่ว หลิวหยุน และถอนหายใจ “เอาล่ะจงจำเอาไว้เสมอ ไม่ว่าข้าจะใกล้ชิดกับใครก็ตามแต่จะมีสิ่งหนึ่งที่จะไม่เปลี่ยนแปลงไป”
“อะไร?”
“ข้าจะช่วยเขาคว้าตำแหน่งองค์รัชทายาทมาให้ได้”
ดวงตาของเซี่ยโฮ่ว หลิวหยุน สว่างขึ้นทันที “แม่นางโหลว เจ้ายังคงเต็มใจที่จะช่วยพี่รองอยู่หรือ?”
“เมื่อไหร่ที่ข้าบอกว่าข้าไม่เต็มใจ?”
“ไม่ – ไม่มีอะไร ฮ่าๆๆ เพียงแค่ข่าวลือเหล่านั้น … ทำให้ข้าและพี่รองเป็นกังวล”
เซี่ยโฮ่ว หลิวหยุนลูบหลังคอของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ
โหลว ชิงอู๋ มองไปที่เขา “บางเรื่องไม่ใช่แค่สิ่งที่มองเห็น ดังนั้นท่านไม่สามารถพึ่งพาสายตาของท่านได้เสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นเพียงคำบอกเล่า “
“ด้วยคำพูดของแม่นางโหลว ข้าก็สามารถเบาใจได้ แต่ ” จู่ ๆ เขาก็คิดถึงอะไรบางอย่างได้ เซี่ยโฮ่ว หลิวหยุนมองไปที่โหลว ชิงอู๋ อย่างช่วยไม่ได้ก่อนที่จะพูดขึ้น “มีสิ่งหนึ่งที่ข้าหวังว่าแม่นางโหลว จะสามารถช่วยได้? ”
“มันคืออะไร?”
“อืม จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ข้า แต่ … เป็นพี่รอง”
“เกิดอะไรขึ้นกับเขา?”
เซี่ยโฮ่ว หลิวหยุนลังเล “แม่นางโหลว บางทีเจ้าควรจะไปดูด้วยตาของตัวเอง … “
ในหอน้ำชาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงเซี่ยโฮ่ว รุ่ย ขังตัวเองอยู่ในห้องส่วนตัวและจมอยู่กับเหล้า
ในความคิดของเขาเพลง <ความรู้สึกที่แตกต่าง> จากเทศกาลชมดอกไม้จะเล่นซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนมีดเล็ก ๆ ที่แหลมคมที่คอยจะทิ่มแทงไปที่หัวใจของเขา
มันบิดและตัดอย่างช้าๆ จนเขารู้สึกด้านชาและไม่มีความรู้สึกใดๆ อีก
ยิ่งเขาดื่มมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาไม่เมา
“ปัง”
จู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออก ในขณะที่เซี่ยโฮ่ว รุ่ย เงยหน้าขึ้นและมองไปที่คนที่อยู่ตรงประตู
เขาแข็งค้างและตะลึงไปอย่างสมบูรณ์
เขาคิดว่าบางทีเวลานี้เขาอาจจะเมาจริงๆ
มิฉะนั้นแล้วเขาจะเห็นแม่นางโหลวปรากฏตัวต่อหน้าเขาได้อย่างไร?
เซี่ยโฮ่ว รุ่ยจับไปที่โต๊ะ ในขณะที่เขาพยายามจะยืนขึ้นอย่างช้าๆ
รูปร่างที่สูงใหญ่ของเขาทำให้เกิดเงาขนาดใหญ่ขึ้นบนโต๊ะ
โหลว ชิงอู๋ หรี่ตาของนางลง ในขณะที่นางเดินไปทางเขา
จนกระทั่งเมื่อนางเดินเข้ามาใกล้เขา ดวงตาที่สงบของนางก็ตกลงไปบนไหเหล้าที่วางกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ
หัวคิ้วของนางก็ขมวดขึ้น “องค์ชายรอง ท่าน … “
“แม่นางโหลว!”
โหลว ชิงอู๋ ยังพูดไม่ทันจบประโยค ก่อนที่จะถูกดึงอย่างรุนแรงเข้าไปในอ้อมแขนของเซี่ยโฮ่ว รุ่ย
หัวคิ้วของโหลว ชิงอู๋ขมวดลึกขึ้น ในขณะที่นางพยายามผลักเขาออกไป แต่เซี่ยโฮ่ว รุ่ยก็จับตัวนางเอาไว้แน่น
เฟิง เหย่เก้อร์ ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น หน้าตาที่หล่อเหลาของเขาดำมืดลงเล็กน้อย”นางฉลาดมาก นางต้องรู้ถึงความรู้สึกของข้าอย่างแน่นอน”
“มันเช่นเจนขนาดนั้น นางจะดูไม่ออกได้อย่างไร? ”
“แต่นางรู้ … และนางยังคงผลักใสข้าไปให้คนอื่น”
นี่คือสิ่งที่ทำให้เขาอารมณ์เสียมากที่สุด
แต่หลังจากที่อารมณ์เสียแล้วส่วนใหญ่เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
เขารู้ว่าเขาสามารถอยู่เคียงข้างนางได้ถ้านางยังคงแกล้งทำเป็นว่านางไม่รู้ แม้ว่ามันจะอยู่ในฐานะศิษย์พี่เท่านั้น
แต่ตอนนี้ด้วยบุคลิกของนาง และนางก็ได้ค้นพบบางสิ่งบางอย่างแล้วนางคงจะปฏิเสธเขาไปตลอดกาล
นี่คือสิ่งที่เขาไม่รู้จะทำอย่างไรและเป็นสิ่งที่เขากลัวมากที่สุด
หลี่ หยวนแข็งค้างไปชั่วครู่“เจ้าแน่ใจหรือ?”
“อืม…. ”
หลี่ หยวนเริ่มเป็นกังวล ดวงตาดอกท้อของเขาก็ยังให้ความรู้สึกช่วยไม่ได้ขึ้น”เช่นนั้นก็ไม่มีทางอื่น ถ้านางตั้งใจจะหลีกเลี่ยงเจ้า … “
ดวงตาของเขามองไปที่เฟิง เหย่เก้อร์ อย่างจริงจังก่อนจะพูดขึ้น “ถ้ามันไม่ได้ผลก็ต้องยอมแพ้ เจ้าไม่เหนื่อยหรืออย่างไรกับการที่ต้องเลี้ยงดูเด็กอยู่เป็นเวลานานเพียงเพื่อให้นางกลายเป็นเนื้อในปากของคนอื่น? นอกจากนี้เจ้าจะบอกอาจารย์ว่าอย่างไร? แน่นอนเขาจะไม่ยอมรับจิ้งจอกน้อย “
การแสดงออกของเฟิง เหย่เก้อร์ ยังคงไม่แยแสและเฉื่อยชา แต่ในดวงตาหงส์ของเขามีเพียงความดื้อรั้น”เจ้าคิดว่ามันจะเป็นไปได้หรือ? และสำหรับคนผู้นั้น เขาไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่ข้าต้องการจะทำได้ “
หลี่ หยวนลูบหน้าผากของเขา “เอาล่ะก็แค่แสร้งทำเป็นว่าข้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอยู่ แต่เพียงแค่มองไปที่สถานะของเจ้า ใบหน้าของเจ้า จิ้งจอกน้อยจะไม่ชอบเจ้าได้อย่างไร หรือว่ามันกลายเป็นนิสัยไปแล้ว ที่นางอาจจะเคยชินกับการปฏิบัติของเจ้าในฐานะพี่ชาย ดังนั้น … “
เขาหยุดพูด เมื่อเห็นดวงตาของเฟิง เหย่เก้อร์หรี่ลง
“ฮ่าฮ่าๆ ข้าล้อเล่น มันจะเป็นแค่เพียงความรู้สึกระหว่างพี่ชายกับน้องสาวได้อย่างไร? ”
ทำไมเขารู้สึกว่ายิ่งเขาพยายามโน้มน้าวเขามากเท่าไหร่ เขายิ่งเห็นทางตันมากขึ้นเท่านั้น?
เฟิง เหย่เอ้อร์ มองไปที่ท้องฟ้าที่มืดมิดอยู่เป็นเวลานาน
ปากของเขาโค้งขึ้นและกลายเป็นรอยยิ้มที่ขมขื่น ความรู้สึกระหว่าง … พี่ชายและน้องสาวหรือ?
เรือนลมเอนเอียง
จู่ๆ ก็มีเงาของคนปรากฏขึ้นอย่างไร้ซุ่มเสียง
ดวงตาของเขากวาดไปทั่วลานที่ว่างเปล่าและเงียบสงบ ก่อนที่จะมองไปรอบๆ อีกสองสามครั้ง ก่อนที่จะรู้สึกได้ถึงเสียงฝีเท้าที่อยู่ข้างหลังของเขา
ขณะที่กำปั้นของอีกฝ่ายกำลังจะโจมตีไปที่เขา เขาก็หันกลับมาและคว้ามันไว้ด้วยมือของเขาทันที
เมื่อพวกเขามองเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย พวกเขาก็ร้องขึ้น “เจ้า”
หลานป๋าย จ้องมองไปที่อีกฝ่าย
นางคิดว่ามันมือสังหาร แต่เมื่อเห็นอีกฝ่าย หัวคิ้วของนางขมวดขึ้น “ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่?”
เมื่อคิดถึงตัวตันของพวกเขา นางก็ไม่เต็มใจที่จะคุกเข่าของนางลง “เคารวะองค์ชายเจ็ด”
“อืม”เซี่ยโฮ่ว หลิวหยุน รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ในขณะที่ไอขึ้นก่อนจะพูดขึ้น”เจ้านายของเจ้าอยู่ที่ไหน?”
“อยู่ในห้องของนาง ทำไม?”
“ข้ามีเรื่องต้องการที่จะคุยกับเจ้านายของเจ้า ให้ข้าเข้าไป!”
“บอกข้ามาก่อนว่ามีอะไร” นางมีความรู้สึกว่าเขามาที่นี่เนื่องจากความคิดที่ไม่ดี
ถ้าเขามีเรื่องที่จะพูดคุยกับเจ้านายของนาง เขาก็สามารถเข้ามาทางประตูหน้าของจวนได้ แต่ทำไมเขาถึงได้แอบเข้ามา?
ดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของหลานป๋าย ทำให้เซี่ยโฮ่ว หลิวหยุน รู้สึกผิดมากขึ้น “อย่าขวางทางข้า เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ของพระราชวัง เจ้าที่เป็นเพียงคนตัวเล็กๆ กล้าที่จะขัดขวางหรือ? ”
“ท่าน!” สายตาที่ดูหมิ่นของเซี่ยโฮ่ว หลิวหยุน ทำให้หลานป๋าย โกรธแทบบ้า
แต่เมื่อคิดว่ามันเป็นปัญหาใหญ่ของพระราชวัง นาก็ไม่กล้าขัดขวางเรื่องของเจ้านายของนาง ดังนั้นนางจึงก้าวออกไปอย่างลังเล
หัวคิ้วของเซี่ยโฮ่ว หลิวหยุนยกขึ้นพร้อมกับอารมณ์ที่ดีขึ้นมาก
เรือนลมเอนเอียง
หลายไป๋มองอย่างลังเลไปที่โหลว ชิงอู๋ ก่อนที่จะไม่สามารถทนได้อีกต่อไปและพูดขึ้น “นายท่าน เมื่อข้าไปพบผู้ช่วยร้านจินก่อนหน้านี้ ข้าชนเข้ากับใครบางคน”
“โอ้? ใคร? “โหลว ชิงอู๋ พลิกหน้าหนังสือเล่มหนึ่งที่นางถืออยู่ขึ้นอย่างสบายๆ
“เฟิง สืออีเจ้าค่ะ”
“เฟิง สืออีหรือ”
“โอ้?” มือของโหลว ชิงอู๋ หยุดไปชั่วคราว
นางเงยหน้าขึ้นและเห็นดวงตาที่กระพริบของหลานป๋าย ก่อนจะถามขึ้น“แล้วเขาพูดอย่างอย่างไร?”
“นายท่าน เขาบอกว่าแม่นางจี้ได้ส่งขนมอบไปให้ท่านอ๋องรัตติกาลเมื่อเช้านี้ และจากนั้นเขาก็กินจนหมด หลังจากนั้นเมื่อเขาพบว่าไม่ใช่เจ้านายที่เป็นคนทำพวกมัน เขาก็โกรธมาก นายท่าน ท่านไม่คิดว่าท่านควรจะให้คำอธิบายกับท่านอ๋องหรือเจ้าค่ะ? เห็นได้ชัดว่าขนมอบพวกนั้นท่านเป็นคนทำ แต่ทำไมท่านจึงปล่อยให้แม่นางจี้เอามันไปให้ท่านอ๋องรัตติการเพื่อเอาใจเขา? แล้วถ้าท่านอ๋องโกรธท่านขึ้นมา … “
โหลว ชิงอู๋ฟัง แต่ไม่ตอบ
นางมองลงไป ในขณะที่ดวงตาของนางตกลงไปที่คำในหนังสือของนาง แต่นางไม่สามารถอ่านหนังสือเหล่านั้นได้
หลังจากนั้นไม่นาง นางก็พูดขึ้นเบาๆ “กลับไป และอย่าบอกสืออี เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้ามีเหตุผลในการกระทำทุกสิ่งทุกอย่างของข้า “
“แต่ว่า ….”
หลายป๋าย ยังคงอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นว่าโหลว ชิงอู๋ ไม่ต้องการที่จะพูดถึงมันอีก นางจึงทำได้เพียงแค่หันหลังและเดินออกไปเท่านั้น
จนกระทั่งประตูปิดลงและห้องเงียบสงบเหมือนก่อนหน้านี้ที่มันสงบและเงียบจนทำให้หัวใจของนางรู้สึกว่างเปล่า ดวงตาของโหลว ชิงอู๋ ตกลงไปบนกล่องอัญมณีสีดำที่อยู่ใต้หน้าต่าง
นางลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินไปหามัน นิ้วมือของนางจับไปที่ด้านบนของกล่อง
นิ้วของนางจับไปรอบ ๆ ก่อนจะเปิดมันออกอย่างช้าๆ
แสงแดดส่องผ่านเข้ามาบนกล่องและสิ่งที่อยู่ภายในกล่อง
มันเป็นชิ้นเล็ก ๆ ของเสื้อสีขาวชิ้นหนึ่งที่ประณีตและถูกพับบนอยู่ด้านบนของอีกชิ้นอย่างเรียบร้อย
มันดูดีและละเอียดมาก
โหลว ชิงอู๋ มองในขณะที่นิ้วของนางแตะลงไปที่เสื้อผ้าชิ้นเล็กๆ ก่อนจะยกมันขึ้นมาพร้อมกับมีร่องรอยของความเหงาในดวงตาของนางลึกของนาง
หลังจากนั้นเป็นเวลานาน นางก็วางเสื้อผ้าชิ้นเล็ก ๆ ไว้ตรงกับหัวใจของนาง ในขณะที่นางมองลงเพื่อซ่อนความเจ็บปวดในดวงตาของนางเอาไว้
แล้วน้ำเสียงเบาๆ ของนางก็พึมพำขึ้น “แม่จะทำให้เจ้ากลับมาสู่โลกใบนี้อีกครั้งอย่างแน่นอน … “
ตั้งแต่ช่วงที่นางกลับมาเกิดใหม่ นางก็รู้ว่าหนทางของนางถูกปิดตายแล้ว
นางจะไม่สามารถออกไปได้และคนอื่น ๆ ก็จะไม่สามารถเข้ามาได้
มือของนางที่เปียกโชกไปเลือดสีแดงสดและยังสกปรก ดังนั้นนางจึงไม่สามารถที่จะลากศิษย์พี่ของนางให้เข้ามาในหลุมนรกนี้ได้?
นางไม่สามารถทนกับมันได้และจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น … นางสามารถทำได้เพียงผลักดันให้เขาออกไปเท่านั้น
เมื่อหลี่ หยวน พบเฟิง เหย่เก้อร์ เขาก็นอนอยู่บนที่นอนยาวและดื่มเหล้าอยู่ในเรือนฉิงเก้อร์น้อยของเขา
หลี่ หยวน เดินเข้าไปและคว้าไหเหล้าออกจากมือของเฟิง เหย่เก้อร์ทันที
เฟิง เหย่เก้อร์ ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเขา ก่อนจะพูดขึ้น “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
“ทุกอย่างไม่ใช่เพราะเจ้าหรอกหรือ “ข้าสูญเสียความรักและโลกทั้งโลกก็มืดมน” การแสดงออกของเจ้าทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดต่างก็หวาดกลัวและไม่กล้าเข้าใกล้ พวกเขาวิ่งไปหาข้า และข้าผู้ที่เวลาของข้ามีค่าหลายร้อยตำลึงและข้าก็มาที่นี่ เจ้าซาบซึ้งหรือไม่? ถ้าเจ้าซาบซึ้ง เจ้าก็ควรจะลุกขึ้น กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ดังกล่าวและก็ไม่ใช่ว่าเจ้านั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจหรอกหรือถึงได้ฉกฉวยนางไปก่อนหน้านี้? แล้วเจ้าตอนนี้มันอะไรกัน? ”
เฟิง เหย่เก้อร์ยื่นมือออกมาและคว้าไหเหล้าไปได้อย่างง่ายดายจากมือของหลี่ หยวน “เจ้าไม่เข้าใจ”
“ข้าไม่เข้าใจอะไร? มันไม่ใช่เพียงแค่จานของขนมอบหรอกหรือ เจ้าจำเป็นต้องไปไกลถึงขนาดนี้? ”
เฟิง เหย่เก้อร์ มองเขาอย่างเย็นชา
หลี่ หยวนรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้น “ดี! ข้าจะไม่พูดมันก็ได้? เช่นนั้นเจ้ากำลังวางแผนที่จะยอมแพ้อย่างนั้นหรือ? ”
เฟิง เหย่เก้อร์ ดื่มเหล้าลงไปอีกครั้ง ดวงตาหงส์ ของเขามองไปข้างหน้าอย่างว่างเปล่า “ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”
“เช่นนั้นทุกอย่างก็จบ? ถ้าเจ้าจะไม่ยอมแพ้ เช่นนั้นก็ไปหาวิธีอื่นเพื่อคว้าหัวใจของสุนัขจิ้งจอกน้อยกลับมา ไม่ใช่แค่องค์ชายสามหรอกหรือ? แต่เจ้าเป็นถึงท่านอ๋องรัตติกาล เจ้าช่วยมั่นใจในตัวเองหน่อยได้หรือไม่? ”
เฟิง เหย่เก้อร์ ถึงกับเงียบไป “…. “
หลี่ หยวนเห็นว่าการแสดงออกของเขาไม่ถูกต้อง เขาจึงนั่งลงข้างๆเขา “จริงๆแล้วมันคืออะไรกันแน่?”
เฟิง เหย่เก้อร์กระชับริมฝีปากของเขา ในขณะที่ดวงตาของเขาค่อยๆเคลื่อนลงไปยังจานที่ว่างเปล่า
ดวงตาหงของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนที่จะมองกลับขึ้นและหัวเราะอย่างเฉื่อยชา “มันอร่อยมาก”
ดวงตาของเหย่ จี้ สว่างขึ้น
นางกระโดดไปข้างหน้าและกอดแขนของเฟิง เหย่เก้อร์ ในขณะที่นางเงยศีรษะขึ้นมองเขาอย่างอ่อนโยน “พี่ชายเหย่ เช่นนั้นจากนี้ไปข้าจะทำขนมอบให้ท่านทุกวันดีไหม?”
“ไม่จำเป็น”
เฟิง เหย่เก้อร์ผลักแขนของนางออกไปเงียบๆ ก่อนจะพูดขึ้น”ข้าจะไม่กินมันอีก”
เหย่ จี้แข็งค้างไปชั่วครู่ ก่อนที่จะหัวเราะขึ้น “เช่นนั้นก็ได้ แต่พี่ชายเหย่ท่านช่วยไปเป็นเพื่อนข้าเพื่อนมัสการพระพุทธรูปในอารามได้หรือไม่? ”
“วันนี้ข้ายุ่งมาก” เขามองไปข้างนอกห้องอักษรและโดยไม่รอให้เหย่ จี้ได้พูดอะไร เขาก็พูดขึ้น “สืออีไปส่งแม่นางจี้กลับไปยังตำหนักขององค์ชายสาม”
“ขอรับนายท่าน!”
แล้วเฟิง สืออี ก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องอักษรอย่างเงียบๆและไม่รู้ว่าเขามีเป็นจุดประสงค์อะไร แต่การปรากฏตัวขึ้นของเขาอยู่ระหว่างเฟิง เหย่เก้อร์และเหย่ จี้อย่างพอดิบพอดี
เหย่ จี้กระทืบเท้าของนางอย่างไม่พอใจ แต่เฟิง เหย่เก้อร์ ไม่ต้องการที่จะคุยกับนางอีกต่อไป
นางรู้ว่าถ้านางผลักมากเกินไป เขาจะไม่ต้องการพบนางอีก แต่นางจะสามารถยอมแพ้อย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร?
นางหันไปรอบ ๆ ก่อนจะพูดขึ้น”ก็ได้ เช่นนั้นเหย่ จี้ขอตัว”
หลังจากที่พูดจบแล้วนางก็เดินออกไป
แต่เมื่อนางเดินมาถึงประตู นางก็ดูเหมือนจะนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะหันไปมองทางเฟิง เหย่เก้อร์และพูดขึ้น “ใช่ไหม พี่ชายเหย่ ท่านจะไปดูเทศกาลแข่งม้าหรือไม่”
เฟิง เหย่เก้อร์ ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “ไม่”
เหย่ จี้ ไม่ได้รู้สึกผิดหวังใดๆ ในขณะที่นางกระพริบตาและยิ้มอย่างมีเสน่ห์ “เช่นนั้นก็คงน่าเสียดาย ข้าได้ยินมาว่าพี่ชายของข้าและน้องสาวชิงอู่ก็จะไปที่นั่น ในตอนแรกข้าก็แค่อยากจะให้มีคนไปมากขึ้น แต่ถ้าพี่ชายเหย่ไม่สะดวก เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร พี่ชายเหย่ ข้าคงจะไม่รบกวนท่านแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
เมื่อได้ยินเสียงปิดประตู มือของเฟิง เหย่เก้อร์ที่ถือหนังสืออยู่ก็หยุดไปชั่วครู่
เฟิง สืออีมองไปที่เฟิง เหย่เก้อร์อย่างเป็นกังวล “นายท่าน … “
เฟิง เหย่เก้อร์ ลูบหน้าผากของเขา “แค่เล่นไปตามน้ำ ส่งนางกลับตำหนักและระมัดระวังอย่าตกลงไปในหลุมพลางของนาง “
เฟิง สืออี“ขอรับนายท่าน”
เมื่อห้องอักษรกลับคืนสู่ความเงียบเหมือนก่อนหน้านี้ เฟิง เหย่เก้อร์ก็หันไปรอบ ๆ
ดวงตาของเขาตกลงไปบนจานที่เหย่ จี้ยังไม่ได้เอามันกลับไป แล้วจู่ๆ ความโกรธที่เก็บเอาไว้ก็พุ่งขึ้นในสายตาของเขา
เขาสะบัดแขนเสื้อขึ้น ในขณะที่ข่าวของต่างๆต่างก็ตกลงไปบทพื้น
มันพังและแตกออกเป็นชิ้น ๆ จนนับไม่ถ้วน
พ่อบ้านที่อยู่ข้างนอก เมื่อได้ยินเสียงดังที่เกิดขึ้น หัวใจของเขาก็เต้นเร็วขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
เขารีบเปิดประตูเข้าไปทันที
เมื่อมองดูสิ่งสกปรกบนพื้น เขาก็คุกเข่าลงทันที “นายท่าน มันความผิดของบ่าวชราผู้นี้ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างถูกต้อง … นายท่านได้โปรดลงโทษบ่าวด้วยเถิด”
เฟิง เหย่เก้อร์ ก้าวไปบนเศษที่แตกเป็นชิ้นๆ ในขณะที่เขาเดินผ่านพ่อบ้านไป
ก่อนจะหยุดลง “ให้คนมาทำความสะอาด”
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็ก้าวออกไปและมองไปที่สวนที่เต็มไปด้วยดอกไอริส
แต่ดอกไม้เหล่านี้ที่มักจะทำให้เขารู้สึกมีความสุข จู่ๆ มันก็ทำให้เขารู้สึก ไม่พอใจแทน
เขาแทบจะอยากไปหานางและถามนางว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
ทำไมนางต้องบอกกับเหย่ จี้ นางไม่รู้หรือว่ามันหมายถึงอะไรสำหรับเขาหรือ?
หรือว่านางรักเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง มากจน …
นางต้องการที่จะ …
“นายท่าน ท่านต้องการหนอนวูดูไปเพื่ออะไรหรือขอรับ?”
แน่นอนว่าเขาสามารถซื้อได้ แต่สิ่งนั้นเป็นพิษมากเกินไปมันไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถมีส่วนเกี่ยวข้องกับมันได้
โหลว ชิงอู๋หันมาเผชิญหน้ากับเขา “แน่นอนว่าข้ามีบางอย่างต้องใช้มันเจ้าสามารถหามันได้หรือไม่”
“ข้าจะสามารถลองดูขอรับ” ตราบใดที่เขามีเงินจะมีคนจำนวนมากที่เห็นค่ามันมากกว่าชีวิตของตัวเอง
ดังนั้นมันจึงจะไม่ยากที่จะรับประกันได้ว่าจะมีอย่างน้อยสักคนที่เต็มใจ
“เช่นนั้นก็ไป โดยเร็วที่สุดเท่าที่เจ้าจะทำได้ “
“ขอรับ! ผู้ใต้บัญชาจะไปเดี๋ยวนี้ “
ในเวลาเดียวกันที่จวนท่านอ๋องรัตติกาล
พ่อบ้านเคาะประตูห้องอักษรของเฟิง เหย่เก้อร์ขึ้นอีกครั้ง
แต่เมื่อเทียบกับครั้งก่อน เขารู้สึกเกิดความไม่สบายใจแปลก ๆขึ้น
เขารู้สึกเหมือนกับว่าถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นเพียงครั้งเดียวในครั้งนี้ เขาอาจจะสูญเสียอาชีพพ่อบ้านของเขา
“นายท่าน บ่าวชราผู้นี้เข้าไปได้หรือไม่ขอรับ?”
“อืม เข้ามา”
เสียงของเฟิง เหย่เก้อร์ ดังออกมาจากประตูจากน้ำเสียงของเขาอารมณ์ของเขาน่าจะสดใสดีอยู่
พ่อบ้านเริ่มรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น
เขาผลักประตูให้เปิดออก ในขณะที่ศีรษะของเขาลดลงพร้อมกับเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ
จากนั้นเขาก็ปิดประตูตามหลังเขาอย่างรวดเร็ว
“นายท่าน มีคนนอกจวนต้องการขอพบนายท่านขอรับ”
ในเวลาเดียวกันเขาก็รีบมองดูจานบนโต๊ะ
ขนมอบที่อยู่ในจานหายไปแล้ว เห็นได้ชัดว่ามันถูกเฟิง เหย่เก้อร์กินจนหมอ
พ่อบ้านรู้สึกได้ถึงเหงื่อที่หน้าผากของเขา
“ใคร?”
“…. คนที่ช่วยทำขนมอบให้นายท่านขอรับ”
“อืม?”เฟิง เหย่เก้อร์ยกศีรษะของเขาขึ้น
ดวงตาหงส์ของเขาสดใส ในขณะที่ริมฝีปากบาง ๆ ของเขาดึงเข้าหากันดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
“เมื่อไหร่ที่นางกลายเป็นคนเช่นนี้กัน ตราที่ข้าให้นางอยู่ที่ไหน ไปพานางเข้ามา “
ดูเหมือนว่านางรู้สึกผิดที่กล้าที่จะไปล่องเรือส่วนตัวกับ Xiahou Qing นางกล้าหาญมากจริงๆ
แต่เมื่อมองไปที่ขนมอบ เขาก็โกรธนางไมลง
ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้น แต่เมื่อเห็นพ่อบ้านยังยืนอยู่ที่นั่น หัวคิ้วของเขาก็ยกขึ้น ก่อนจะถามขึ้น”มีอะไรอีก?”
จังหวะการเต้นของหัวใจพ่อบ้านเต้นเร็วขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาควรหรือไม่ควรที่จะพูดความจริง
แต่ถ้าเขาพูดความจริงตอนนี้ชีวิตเล็ก ๆ ของเขา …
เขากลืนน้ำลายของเขาลงไปอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่เขาตัดสินใจที่จะปล่อยให้เจ้านายของเขาค้นพบตัวเอง
“บ่าวชราผู้นี้จะให้พวกเขาเข้ามาขอรับ”
เมื่อพ่อบ้านจากไป เฟิง เหย่เก้อร์ก็ ไม่ได้ดูงานของเขาอีกต่อไป
เขาผลักพวกมันออกไปข้างๆ ในขณะที่เขาลุกขึ้น
จากนั้นเขาถึงได้รู้ว่าเขายังสวมชุดเดียวกันตั้งแต่เมื่อวาน
หัวคิ้วของเขาขมวดขึ้น ก่อนจะหันไปรอบ ๆ เพื่อเปิดอุโมงค์ลับภายในห้องอักษรของเขา
เขาเปลี่ยนเป็นชุดใหม่และเมื่อเขาออกมาดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนราวกับลมในฤดูใบไม้ผลิเดือนมีนาคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันน่ามองมาก
แต่น่าเสียดายเมื่อประตูเปิดออก คนที่ปรากฏตัวต่อหน้าเฟิง เหย่เก้อร์ กลับไม่ใช่โหลว ชิงอู่ อย่างที่เขาคาดหวัง แต่ …
อารมณ์ตอนแรกของเขาหายไปทันที
“เหย่ จี้ ทำไมถึงเป็นเจ้า?
“พี่ชายเหย่ ทำไมถึงเป็นข้าไม่ได้?”
เหย่ จี้ยังคงสวมชุดสีแดง ใบหน้าของนางสวมหน้ากาก เผยให้เห็นเพียงคู่ของดวงตาที่งดงามเท่านั้น
นางกระพริบตาให้กับเฟิง เหย่เก้อร์ ก่อนที่จะหันไปมองจานเปล่าที่ด้านหน้าของเฟิง เหย่เก้อร์
นางช่วยไม่ได้ที่จะปิดปากและหัวเราะขึ้น”แม่นางโหลวพูดถูก พี่ชายเหย่ชอบกินขนมอบจริงๆ ข้าไม่คิดว่าท่านจะกินอะไรหวาน ๆเช่นนี้ ข้าจะทำมันให้ท่านทุกวันตกลงไหม? ”
เหย่ จี้เดินตรงเข้ามาหาเขา กระดิ่งบนตัวนางส่งเสียงดังขึ้น
ถึงแม้ว่าใบหน้าของนางจะมีความสุขมาก แต่กลิ่นอายของนางกลับยิ่งมีมากกว่า แต่ก็ไม่สามารถทำให้ใบหน้าที่มืดของเฟิง เหย่เก้อร์หายไปได้
อันตรายและเยือกเย็น เฟิง เหย่เก้อร์ถามขึ้น”สิ่งนี้ … เจ้าทำหรือ?”
เหย่ จี้ยิ่งทำเป็นไร้เดียงสามากขึ้น ใบหน้าของนางเงยขึ้น ในขณะที่นางมองไปที่เฟิง เหย่เก้อร์ ราวกับว่านางไม่เห็นความโกรธบนใบหน้าของเขา
“ใช่แล้วพี่ชายเหย่ รสชาติดีหรือไม่? เพื่อที่จะทำให้มันให้ออกมาดีเหมือนของนองชิงอู๋ ข้าต้องฝึกทำมาตลอดทั้งคืน แต่ก็มีเพียงจานนี้จานเดียวที่คล้ายกันมากที่สุด แต่ดูเหมือนว่าพี่ชายเหย่จะชอบมันอย่างแน่นอน ท่านถึงกับกินจนหมด”
หยวนเฉิน เดินเข้ามาจากข้างนอกและเห็นโหลว เหลียนซินและโหลว ชิงอู๋ พูดคุยกันนางก็ดึงโหลว เหลียนซินไปทางด้านข้างทันที
นางมองไปที่โหลว ชิงอู๋ ก่อนจะหัวเราะและเปลี่ยนเป็นยิ้มๆ “พี่สาวของเจ้ากำลังคว้าไปที่กิ่งไม้ที่สูงขึ้นไป แต่เจ้ากลับอยู่ที่นี่เพื่อเป็นเพียงอนุของคนอื่น เจ้ายังจะขอบคุณพี่สาวของเจ้าสำหรับการเป็นแม่สื่อได้อย่างไร? ”
โหลว ชิงอู๋มองไปที่นาง ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าไม่สามารถรับผิดชอบต่อการเป็นแม่สื่อของเจ้าได้ แต่แม่รองก็เป็นคนแรกที่อยากจะเป็นแม่สื่อของข้า ดังนั้นมันเป็นเพียงความสงสารเท่านั้น … “
นางต้องการดำเนินการต่อไป แต่ก็หยุดลง
หยวนเฉิน โกรธมากจนนางแทบจะพ่นไฟออกมาได้
แต่เสียงกลองและเสียงดังจากข้างนอกทำให้อารมณ์ของนางดีขึ้น “แต่ เหลียนเอ้อร์ ก็จบลงด้วยการแต่งงานกับผู้ช่วยหลี่อยู่ดี”
“เช่นนั้นหรือ?” โหลว ชิงอู๋ เงยหน้าขึ้นมองผ่านหยวนเฉิน ไปยังหลี่ เจิ้งเซิง และเสนาบดีฝ่ายขวา หลี เหมียว ที่เพิ่งจะเดินเข้าไปข้างใน
นางเดินสองก้าวไปข้างหน้าจนกระทั่งนางอยู่ข้างๆ หูของหยวนเฉิน ก่อนจะกระซิบขึ้น “แม่รอง บางครั้งยิ่งท่านขึ้นไปสูงเท่าไหรเมื่อตกลงมาท่านก็จะยิ่งเจ็บเท่านั้น”
หลังจากพูดจบแล้ว นางก็ไม่สนใจหยวนเฉินหรือโหลว เหลียนซินอีก และเพิ่งแค่จากไปเท่านั้น
หยวนเฉินหยุดอยู่กับที่ นางกัดฟันของนางและเหลือบมองไปในทิศทางที่โหลว ชิงอู๋ จากไป
โหลว ชิงอู๋ รอข้าก่อน เมื่อเหลียนเอ้อร์ ได้กลายเป็นฮูหยินใหญ่ของตระกูลหลี่ เมื่อนั้นเจ้าจะได้พบกับความทุกข์ยาก!
“ท่านแม่ นางหมายความว่าอย่างไร? ไม่ใช่ว่านางต้องการแยกข้าและเจิ้นเซิงออกจากกันอีกครั้งใช่ไหม่ นางจะทำเช่นนั้นหรือไม่? ”
“ราวกับว่านางจะกล้า! เหลียนเอ้อร์ เพียงแค่สนใจการเป็นเจ้าสาวที่ดีที่สุดที่เจ้าสามารถเป็นได้ ถ้านางคิดว่าข้าจะปล่อยนางไปหลังจากทำให้เจ้ากลายเป็นแบบนี้นางก็คิดผิด ข้าได้พบคนที่เหมาะสมสำหรับนางแล้ว ตราบใดที่เจ้าแต่งงานกับตระกูลหลี่และเมื่อนางถึงวัยอันสมควร ข้าก็มีวิธีที่จะทำให้นางแต่งงานออกไปได้! “
แน่นอนว่านางจะต้องหาคู่ที่เหมาะสมและ “ดี” สำหรับนาง!
โหลว เหลียนซินได้เห็นท่าทีของความเกลียดชังของหยวนเฉิน แล้วนางก็รู้สึกโล่งใจ
“ท่านแม่! แค่รอ ข้าจะได้ตำแหน่งฮูหยินใหญ่ของตระกูลหลี่อย่างแน่นอน! “
“สิ่งที่เจ้าควรจะนึกถึงเป็นสิ่งแรกคือการให้กำเนิดลูกชายคนแรกของตระกูลหลี่ ในเวลานั้นข้าจะหาทางทำให้เจ้าได้เป็นฮูหยินใหญ่อย่างแน่นอน “
“ดี!”
เมื่อโหลว ชิงอู๋ กลับไปที่เรือนลมเอนเอียง หลายป๋ายก็เดินออกมาและถามนางขึ้น”นายท่าน นายท่ายใหญ่ตามท่านไปด้วยเหตุใดหรือเจ้าค่ะ?”
“ในอีกห้าวัน โหลว เหลียนซินก็จะแต่งงานกัน”
“อ่า? แล้วเช่นนั้นทำไมวันนี้ถึงไม่มีอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ถูกพูดถึงในจวนเลยเจ้าค่ะ?”
โหลว ชิงอู๋ หันไปมองทิศทางของที่เรือนใหญ่ “ข้ากลัวว่าตระกูลหลี่ เพิ่งจะได้รับการยืนยัน เห็นได้ชัดว่าหยวนเฉินแทบจะรอไม่ไหวที่จะส่งโหลว เหลียนซินไปที่ตระกูลหลี่ เพื่อให้ทุกอย่างง่ายขึ้น “
นางคิดว่าผู้นำตระกูลหยวนจะจัดเตรียมสินสอดทองหมั้นไว้ให้โหลว เหลียนซิน ดังนั้นนางจึงไม่สนใจเรื่องพิธีที่เรียบง่ายๆแม้แต่น้อย
แต่ในช่วงชีวิตนี้นางจะปล่อยให้โหลว เหลียนซิน แต่งงานอย่างมีชีวิตชีวาและร่ำรวยออกไปได้อย่างไร?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชุดเจ้าสาวสีแดงราวกับสีเลือดสดของนางทำให้นาง … ต้องการที่จะทำลายนางมากเข้าไปอีก
“ตามพันหน้ามาพบข้า”
นางหันกลับไปและเดินเข้าไปในห้อง ในขณะที่การแสดงออกของโหลว ชิงอู๋ ถูกบดบังด้วยความมืดมิดและโหดเหี้ยม
“เจ้าค่ะ”
พันหน้ามาอย่างรวดเร็วก่อนจะผลักประตูเข้ามา
เขาเห็นโหลว ชิงอู๋ ยืนอยู่ในขณะที่ด้านหลังนางหันมาเผชิญหน้ากับเขแล้วสายตาของเขาก็ตกลงไปบนกล่องเครื่องประดับอัญมณีสีดำที่โหลว ชิงอู๋ กำลังถืออยู่
เขามักจะสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในนั้น แต่เจ้านายไม่ได้พูดอะไร ดังนั้นเขาจึงเก็บคำถามฝังไว้ในหัวใจของเขา
“นายท่าน ท่านต้องการให้ข้าทำอะไรหรือขอรับ?”
โหลว ชิงอู๋ ไม่หันกลับมา นิ้วมือของนางเล่นอยู่กับกล่อง
“เจ้าสามารถซื้อหนอนวูดูพันวันมึนเมาจากตลาดมืดได้หรือไม่? คู่แม่ลูก “
“ห๊ะ?” พันหน้าแข็งค้างไปทันที
พ่อบ้านเดินไปข้างหน้าและวางมันไว้บนโต๊ะ
เมื่อเขาเปิดมันออก กลิ่นหอมที่ชัดเจนก็ลอยออกมาทันที
เมื่อเขาหยิบขนมอบชิ้นที่อยู่ใกล้ๆออกมาและวางไว้บนจาน เฟิง เหย่เก้อร์ ก็แข็งค้างไปทันที
การแสดงออกของเขาที่สงบก็เริ่มมีรอยยิ้มขึ้น
แต่เมื่อเขานึกถึงฉากที่เรือสำราญเมื่อวานนี้ เขาก็ช่วยไม่ได้ที่จะส่งเสียงเย็นชึ้น ‘ฮึ!’
แต่เมื่อได้เห็นขนมอบเหล่านั้น เขาก็รู้สึกช่วยไม่ได้ ก่อนจะสะบัดมือและพูดขึ้น”ออกไป”
พ่อบ้านแอบมองไปที่การแสดงออกของเฟิง เหย่เก้อร์และรู้ว่าเจ้านายของเขากำลังมีความสุข
เขารับคำและออกไปทันที
เมื่อวานนี้เจ้านายของเขามีกลิ่นอายที่ดำมืดและน่ากลัวมากจนคนอื่น ๆ ในจวนไม่สามารถแบกรับกับมันได้
เขาใช้เวลาทั้งคืนอยู่ในห้องอักษรทำงานของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่กล้ารบกวนเขา
โชคดีที่คุณหนูโหลวส่งมันมาทำให้เจ้านายของเขามีความสุขขึ้น
พ่อบ้านคิดถูก อารมณ์ของเฟิง เหย่เก้อร์ดีขึ้นจริงๆ
นอกจากนี้ เขายังกินขนมอบที่หวานมาก ๆจนหมดอย่างน่าตกใจ
ช่วงเวลาที่โหลง ชิงอู๋ ตื่นขึ้นมา โหลว ชุ่นเฟิง ก็ให้คนมาบอกว่าเขาต้องการพบนาง
นางลุกขึ้นและพาหลานป๋าย ไปกับนางที่ห้องโถงใหญ่
เมื่อนางไปที่นั่น นางก็เห็นโหลว เหลียนซินและหยวนเฉิน อยู่ที่นั่นด้วย
นางมองลงในขณะที่นางเดินตรงไปยังใจกลางและทำความเคารพโหลว ชุ่นเฟิง “ท่านพ่อ”
“อ่า ชิงอู๋ เจ้ามาแล้วหรือ มาๆ นั่งลงก่อน “
“… เจ้าค่ะ”
โหลว ชิงอู๋มองไปรอบ ๆ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ โหลว เหลียนซิน
ข้างๆนาง โหลว เหลียนซิน กำลังนั่งตัวตรงและดูงดงามอย่างสมบูรณ์แบบ
นอกจากชุดสีชมพูราวกับเทพธิดาของนางแล้ว ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางที่งดงามอยู่แล้วก็ยิ่งดูดีมากขึ้นไปอีก
เมื่อนางสังเกตเห็นว่ามีสายตากำลังมองมาที่นาง โหลว เหลียนอซิน ก็หันมาและอย่างไม่คาดฝัน นางยิ้มให้กับนางอย่างอบอุ่นและให้เกียรติ “พี่ใหญ่”
หัวคิ้วของโหลว ชิงอู๋ขมวดขึ้น ในขณะที่นางพยักหน้า
นางมองไปที่นางและสงสัยว่าวันนี้มันเป็นวันอะไรทำไมทุกคนถึงได้มาอยู่ที่นี่
หลานป๋ายยังคงมีบาดแผลจากเหตุการณ์ครั้งก่อนที่หยวนฉินวางแผนเล่นงานนางและพยายามจะหักขาของนาง ดังนั้นนางจึงเฝ้าดูพวกนางอย่างระมัดระวัง
นางเฝ้าดูการแสดงออกของพวกนาง ดังนั้นนางจึงเห็นริมฝีปากของ โหลว เหลียนซินที่โค้งขึ้นอย่างหยิ่งยโส
นางสงสัยขึ้นทันทีว่าพวกนางกำลังจะมาไม้ไหน
แต่หยวนเฉินยังไม่ได้มีเวลาที่จะจัดการกับโหลง ชิงอู๋และหลานป๋าย
วันนี้นางมีสิ่งที่สำคัญกว่ามากให้ต้องจัดการ
โหลว ชุ่นเฟิง เห็นว่าโหลว เหลียนซินและโหลว ชิงอู๋ ดูกลมกลืนกันแค่ไหนอารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นด้วยเช่นกัน “ชิงอู๋ เหลียนเอ้อร์ ก่อนหน้านี้นางยังเด็กเกินไปดังนั้นถ้านางทำอะไรผิดต่อเจ้า เจ้าจะต้องให้อภัยนาง มีคำพูดเคยพูดเอาไว้ พี่ก่อนน้อง ในเมื่อเจ้ายังไม่ได้แต่งงาน ดังนั้นน้องสาวของเจ้าจึงไม่ควรแต่งงานก่อน แต่เจ้าก็รู้ว่าหลังจากเรื่องนั้น เหลียนเอ้อร์ก็ไม่สามารถรอได้อีก ตระกูลหลี่จึงส่งของหมั้นมาในวันนี้ ห้าวันเป็นวันที่ดี ดังนั้นเจ้าคงจะขัดอะไรใช่ไหม? ”
โหลว ชิงอู๋มองลงเพื่อซ่อนสายตาของนางจากพวกเขา ในขณะที่นางส่ายหัว “ลูกต้องมีความสุขแทนน้องรองอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
นางกลัวว่าน้องสาวที่ดีของนางจะไม่มีความสุขหลังจากได้แต่งงานไปแล้ว
ทันใดนั้นเสียงของฆ้องและกลองก็ได้ยิน เช่นเดียวกับเสียงของประทัด
เมื่อโหลว ชุ่นเฟิง ได้ยินเขาก็ยืนขึ้นในทันที “พวกเขามาแล้ว ดี! ดี!”
โหลว ชุ่นเฟิงพูดซ้ำคำว่า”ดี” ถึงสองครั้งด้วยความตื่นเต้น ในขณะที่บุตรสาวคนรองของเขายังไม่ได้แต่งงานออกไปและพวกเขาก็เป็นแบบนี้แล้ว
ในตอนแรก เขากังวลว่าตระกูลหลี่จะยกเลิกการหมั่นหมาย แต่มันก็เป็นการดีที่ในที่สุดพวกเขาก็เลือกวันที่จะแต่งงานแทน
วันที่ถือว่าเป็นวันอันมงคล แต่เป็นเพราะมันเร็วเกินไป ทุกอย่างจึงเรียบง่าย
ใบหน้าเล็ก ๆ ของโหลว เหลียนซิน แดงขึ้นและดูเหมือนว่าอารมณ์ของนางจะดีขึ้นด้วย
จู่ๆ นางก็หันไปมองโหลว ชิงอู๋ ก่อนจะยิ้มอย่างสดใสในขณะที่นางพูดอย่างไร้เดียงสาขึ้น “พี่ใหญ่ เมื่อพิธีครบวัยของท่านมาถึง น้องสาวคนนี้อาจจะไม่สามารถมาได้ หลังจากที่ข้าแต่งงานกับเจิ้งเซิง มันอาจจะยากสำหรับข้าที่จะออกมาได้ ในตอนแรกข้าอยากจะบอกก่อนหน้านี้ แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อเร็วๆ นี้ท่านได้ใกล้ชิดองค์ชายสามมาก “
โหลว ชิงอู๋ ทำราวกับว่านางไม่เห็นการเยาะเย้ยและความไม่มีมารยาทในสายตาของนาง ในขณะที่นางหัวเราะขึ้นและไม่ตอบอะไร
“เจ้าคิดจริงๆหรือว่าสิ่งที่เขาพูดในวันนี้เป็นแค่การพูดคุยแบบสบาย ๆ ? เขามองเจ้าออกตั้งแต่เริ่มแรกและเพียงแค่ใช้เรื่องราวที่น่าสนใจบางอย่างเพื่อทำให้เจ้ารู้สึกมึนงงเพื่อทำให้เจ้ารู้สึกราวกับว่าเขาเป็นคนที่จริงใจ หลังจากนั้นเขาก็ยังคงถามเจ้าเกี่ยวกับเรื่องของข้าโดยพยายามหาจุดอ่อนของข้า “
นี่คือสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดและเป็นสิ่งที่ยากต่อการต่อต้าน
และนางก็ต้องทนทุกข์ทรมานมากพอแล้วกับช่วงชีวิตที่แล้วมาของนางอย่างน้อยที่สุดคราวนี้นางก็มุ่งไปข้างหน้าอย่างชัดเจน
มิฉะนั้นเมื่อชายที่อบอุ่นและสง่างามที่ไม่ได้มีข้อบกพร่องแม้แต่เพียงอย่างเดียว คนที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและเอาใจใส่ปรากฏขึ้นต่อหน้าเจ้าเด็กสาวที่ไร้เดียงสาจะพบว่ามันยากที่จะต่อต้าน
ดังนั้นเขาจึงสมบูรณ์แบบมากและนี่คือข้อบกพร่องของเขา
นางไม่คิดว่าการที่นางได้พบกับองค์ชายที่เพิ่งพบนางครั้งหรือสองครั้งจะตกหลุมรักนางและมีความจงรักภักดีต่อนาง
เขาเพียงต้องการจะยืมมือของนางเพื่อส่งคนที่เราเรียกว่า “น้องสาวบุญธรรม” ไปหาท่านอ๋องรัตติกาล และใช้ท่านอ๋องรัตติกาล เพื่อดันตัวเองให้ขึ้นไปที่ตำแหน่งขององค์รัชทายาท
หลายป๋าย ฟังโหลว ชิงอู๋ ในขณะที่นางการแสดงออกของนางเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึมและหัวคิ้วของนางก็ขมวดขึ้นอย่างช้าๆคิ้ว
นางพูดขึ้นด้วยความโกรธ”น่าขยะแขยง!”
ในตอนแรก นางคิดว่าเขาเป็นคนที่ดีเยี่ยมและครั้งสุดท้าย เจ้านายของบอกก็บอกว่านางสนใจเขา
ถึงแม้ว่านางจะคิดว่าองค์ชายสามไม่ค่อยดีเท่ากับท่านอ๋องรัตติกาล แต่เมื่อเห็นว่าเขาห่วงใยต่อเจ้านายอย่างไร นางก็เริ่มจะเอนเอียงไปทางเขา
ใครจะรู้ว่าเขาเป็นเพียงสุนัขจิ้งจอกดำที่ทรยศต่อความไว้วางใจของนางเพราะนางกำลังจะพยายามจับคู่เขากับเจ้านายของนางอยู่
ครั้งต่อไป หวังว่าเขาจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้านางอีก มิฉะนั้นนางจะสั่งสอนบนเรียนให้เขาอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นหลานป๋าย ทำตัวแบบนี้ โหลว ชิงอู๋ ก็ช่วยไม่ได้ที่จะลูบหัวของนาง “คืนนี้ข้าพูดทั้งหมดนี้เพื่อให้เจ้าเข้าใจทุกอย่างได้ดีขึ้น เพื่อให้รู้ว่าเขาเป็นคนหน้าซื่อใจคดมากแค่ไหน อย่างไรก็ตามในครั้งต่อไปที่เจ้าพบเขา เจ้าควรทำเป็นว่าเจ้าไม่รู้อะไรเลย “
“อ่า? ทำไมเจ้าค่ะ?”
“เพราะ … ” ดวงตาของโหล ชิงอู๋ ตกลงในที่ๆหนึ่ง ก่อนจะมีเงากระทบลงมาบนใบหน้าของนาง “ข้าต้องการจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการ”
หลานป๋าย แข็งค้างและไม่เข้าใจว่าทำไมโหลว ชิงอู๋ จึงกลายเป็นคนที่เย็นชามากขนาดนี้
ตามความเป็นสิ่ง เจ้านายของนางและองค์ชายสามไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กันมากนัก ดังนั้นทำไมนางถึงรู้จักเขาดีเช่นนี้?
แต่เจ้านายของนางก็มีอำนาจ ดังนั้นนางจึงต้องเชื่อในเจ้านายของนาง!
“เจ้าค่ะ หลานป๋ายจะจำไว้”
วันรุ่งขึ้นพ่อบ้านถือกล่องที่ประณีตมาที่เรือนฉิ่งเก้อร์น้อย และยืนอยู่ข้างหน้าในขณะที่เขาเคาะประตู “นายท่าน”
“เข้ามา” ภายในห้องอักษร เฟิง เหย่เก้อร์ ไม่ได้แม้แต่จะยกศีรษะของเขาขึ้น ในขณะที่เขาจับพู่กันของเขาและเขียนอะไรบางอย่างลงไป
พ่อบ้านผลักประตูให้เปิดออก ก่อนจะทำความเคารพและพูดขึ้น “นายท่าน มีคนส่งกล่องขนมอบมาให้ พวกเขาบอกสำหรับให้นายท่านขอรับ”
“ใคร?” หัวคิ้วของเฟิง เหย่เก้อร์ขมวดขึ้น โดยไม่รู้ตัว
“บ่าวได้ยินจากเจ้าหน้าที่ว่ามาจากจวนตระกูลโหลวขอรับ” ซึ่งเป็นเหตุผลที่เขากล้าที่จะนำมันมา
มิฉะนั้นเขาจะจัดการกับมันด้วยตัวเองไปแล้ว
นอกเหนือจากคุณหนูโหลวแล้วจะมีใครอีกที่จะส่งของมา?
ในขณะที่เขาคิด เมื่อเฟิง เหย่เก้อร์ได้ยินว่ามาจากตระกูลโหลว เขาก็หยุดการเคลื่อนไหวของเขาและเงยหน้าขึ้นมองทันที
ดวงตาของเขาตกลงบนกล่องขนม ในขณะที่แสงกระพริบผ่านเข้าไปในดวงตาของเขา
เขาพยักหน้า “วางมันลง”
“ข้าควรส่งนางกลับได้แล้ว?” ทันใดนั้นร่างสูงใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตู
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง เดินเข้ามาและหยุดอยู่หน้าโหลว ชิงอู๋ “ชิงอู๋ มันเริ่มดึกแล้วข้าควรจะส่งเจ้ากลับได้แล้ว”
โหลว ชิงอู๋เงยหน้าขึ้นและพยักหน้าช้าๆ
เขามองมาที่นางเป็นเวลานานเกินไป ดังนั้นนางจึงลดสายตาลง
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง หัวเราะขึ้นเบา ๆ ก่อนจะมองไปที่เหย่ จี้ ที่อยู่ด้านหลังของโหลว ชิงอู๋
เหย่ จี้เพียงแค่ปิดปากและหัวเราะคิกคักขึ้น ก่อนจะพาคนรับใช้ของนางไปกับนางในขณะที่นางจากไป
กระดิ่งบนข้อมือและข้อเท้าของนางดังขึ้น ในขณะที่ดวงตาของโหลว ชิงอู๋ เริ่มเยือกเย็นขึ้น
ทั้งสองคนออกจากตำหนักขององค์ชายสามกลับไปที่จวนตระกูลโหลว
ไม่ได้มีหลายคนที่อยู่บนถนน ดังนั้นในระหว่างทางกลับไปที่นั่นเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง จึงกล่าวซ้ำสิ่งที่เขาได้ยินจากหลานป๋ายขึ้นกับโหลว ชิงอู๋
โหลว ชิงอู๋ ตอบเป็นครั้งคราวเพียงไม่กี่คำและไม่เป็นที่ชัดเจนว่านางกำลังฟังอยู่หรือเพียงแค่บอกปัดเขาไปเท่านั้น
เมื่อพวกเขากำลังจะไปถึงที่จวนตระกูลโหลว เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ก็มองไปที่หญิงสาวที่เงียบสงบและสง่างามที่อยู่ข้างๆเขาด้วยดวงตาที่คมของเขา แต่เสียงของเขากลับยังคงอ่อนโยนราวกับน้ำ “คราวนี้มันเป็นโชคดีที่เจ้าอยู่ที่นั่น ชิงอู๋ มิฉะนั้นข้าคงจะรำคาญจนตายจากเด็กคนนั้น “
“มันเป็นสิ่งที่ชิงอู๋สามารถทำได้เพคะ”
อยู่หน้าจวนตระกูลโหลว โหลว ชิงอู๋ก็เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความเอียงอายและใจกว้าง “ข้าถึงแล้ว องค์ชายก็ควรจะรีบกลับนะเพคะ”
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ดูเหมือนจะไม่เต็มใจที่จะจากไป ดวงตาของเขามองลึกลงไปที่โหลว ชิงอู๋ “เช่นนั้น ข้าจะมาพบเจ้าที่จวนตระกูลโหลวได้อีกหรือไม่?”
โหลว ชิงอู๋ ยิ้มให้เขา ไม่เห็นด้วยหรือปฏิเสธเขา
สายตาของเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ค่อยๆเร่าร้อนขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในเวลาอันสั้นมันก็กลับมาสู่ความอบอุ่นตามปกติ “นี่ก็ดึกมากแล้ว ชิงอู๋ เจ้าควรจะเข้าไปข้างในก่อน”
“เพคะ”
โหลว ชิงอู๋ ตกลงและหันหลังจากไป
แต่ทันทีที่นางหันกลับมารอยยิ้มของนางหายไป
ความเกลียดชังที่อยู่ในดวงตาของนางแวววับเหมือนดาวฤกษ์ ราวกับว่านางกำลังขึ้นจากนรก เต็มไปด้วยความกระหายเลือดและน่ากลัว
ไม่ว่ามันจะน่าสนใจแค่ไหน นางก็เคยมีประสบการณ์มาก่อนในชีวิตที่ผ่านมาของนางแล้ว ดังนั้นความอดทนของนางจึงหมดไปแล้ว
ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของนาง เพราะนางตกหลุมรักเขา นางเชื่อฟังเขา
แต่หลังจากที่ทุกอย่างเกิดขึ้น ความอดทนของนางก็ถึงขีดจำกัด
เมื่อโหลว ชิงอู๋ มาถึงเรือนลมเอนเอียง หลานป๋ายก็ได้ทักทายนางขึ้นอย่างไม่สบายใจ “นายท่าน!”
“อืม เจ้ายังไม่หลับหรือ?”
หลานป๋ายกำลังจะร้องไห้ “นายท่าน วันนี้ข้าช่างไร้ประโยชน์จริงๆ? เพียงเพราะคำพูดขององค์ชายสาม ข้าก็ถึงกับหลงเสน่ห์เขา … “
โหลว ชิงอู๋ แข็งค้างไป ก่อนที่จะหัวเราะขึ้น
นางลูบหัวของนาง “ช่างมันเถอะ? นี่คือสิ่งที่ไม่อยู่ในการควบคุมของเจ้า อีกอย่างแม้ว่าเจ้าจะไม่ได้หลงเสน่ห์เขา แต่เขาก็จะรู้ได้อย่างง่ายดายว่าเจ้าเป็นตัวปลอม เขาฉลาดและเจ้าเล่ห์กว่าที่เจ้าคิด “
หลานป๋ายแข็งค้างไปทันที
“แต่ข้าเห็นว่าองค์ชายสาม … “
“อะไร? อ่อนโยน? สง่างาม? หรือเต็มไปด้วยภูมิปัญญา? “โหลว ชิงอู๋ถอนหายใจขึ้น
“ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงเปลือกนอก เจ้ารู้ไหมว่าเขามีกำลังทหารมากขนาดไหน? ”
หลานป๋ายส่ายหัว
โหลว ชิงอู๋ หยุดไปชั่วคราว ก่อนที่จะพูดต่อ “ทุกอำนาจทางทหารที่เขาถืออยู่ในมือต่างก็เปียกโชกไปด้วยเลือด คนที่ติดตามเขา เขาจะแกล้งทำเป็นอ่อนข้อให้ แต่ลับหลัง เขาจะหักหลังพวกเขาและยึดอำนาจนั้นไว้ในมือ ผู้ที่ไม่เต็มใจที่จะติดตามเขา เขาก็จะหาทางที่จะทำลายพวกเขาอย่างเงียบ ๆ เจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญที่เขาได้กลับมาในวันเกิดของฮ่องเต้หรือ? ไม่แน่นอน เขาไม่ได้มีจิตใจที่ดีขนาดนั้น เมื่อฮ่องเต้ยังหนุ่มเพราะสถานะต่ำต้อยของมารดาที่ให้กำเนิดเขา เขาจึงไม่เคยปฏิบัติอย่างดีกับเขา ดังนั้นเขาจึงไม่มีความรู้สึกใดๆต่อฮ่องเต้ และเขาก็ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการแทนที่เขา “
หลานป๋าย ตกใจมากกับสิ่งที่ได้ยิน “มันจะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าค่ะ?”
จู่ๆ โหลว ชิงอู๋ ก็ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้
“เขาฝังมันไว้ลึกมาก”
ดังนั้นในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเขา เขาจึงสามารถเอาชนะศัตรูและอุปสรรคทั้งหมดของเขาไปยืนเป็นคนสุดท้ายได้
แต่ในท้ายที่สุด เมื่อนกบินไปถึงจุดสิ้นสุดของมัน ธนูที่ยิ่งใหญ่ก็จะถูกฝังเอาไว้ กระต่ายเจ้าเล่ห์ที่มีไหวพริบและสุนัขล่าสัตว์ก็จะถูกต้มทั้งเป็น
เมื่อในที่สุดเขาที่เขาไม่จำเป็นต้องใช้นาง เขาก็จะทิ้งนางอย่างไร้ความปราณี
ด้วยไหวพริบและความฉลาดของเขา เขาจะมองผ่านแผ่นการของโหลว เหลียนซินไปได้อย่างไร?
แต่เขาก็ปล่อยให้นางและแม้กระทั่งมีความสุขในการบังคับให้นางต้องตาย
ความโหดร้ายของเขาไม่ได้เป็นสิ่งที่หลานป๋ายจะสามารถมองเห็นได้
เป็นเพราะนางรู้จักเขาดีมากจนทำให้นางอยากรู้ถึงตัวตนของเหย่ จี้ มากขึ้น
ตามที่นางรู้ดีว่าถ้าเหย่ จี้ เป็นแค่น้องสาวบุณธรรมขององค์ชายสาม นางจะไปพบฮ่องเต้เพียงครั้งเดียวและจะได้รับการมอบตำแหน่งได้อย่างไร?
มัน … ไม่ถูกต้อง
นอกจากว่าเหย่ มี จะมีฐานะบางอย่างและมันสูงมาก
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่งมองตามสายตาของโหลว ชิงอู๋ ก่อนจะยิ้ม “ดูเหมือนว่าน้องสาวของข้าและท่านอ๋องรัตติกาลจะมีประวัติร่วมกันมาก่อน”
“โอ้?” โหลว ชิงอู๋หันมามองตาของนางดูลึกขึ้น “องค์ชายสามหมายความว่าอย่างไรเพคะ?”
“เหย่ จี้ เป็นองค์หญิงของตระกูลเหย่ไป๋ บิดาของนางและของท่านอ๋องรัตติกาลเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เมื่อท่านอ๋องรัตติกาลยังเยาว์วัยบิดาของท่านอ๋องพาเขาไปเยี่ยมชมตระกูลเหย่ไป๋ และในเวลานั้นเขาเกือบสูญเสียชีวิตของเขา บิดาของเหย่ จี้ เป็นคนที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ แล้วบิดาของท่านอ๋องรัตติกาลก็ได้พูดล้อเล่นขึ้นว่าควรจะมีการแต่งงานระหว่างบุตรของพวกเรา แต่ในเวลานั้นถึงแม้ว่าท่านอ๋องรัตติกาลจะยังเด็กอยู่ แต่เขาก็เป็นตัวของตัวเองมากและปฏิเสธนาง ทำให้เหย่ จี้ รู้สึกอับอายและไม่พอใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นนางจึงยึดติดอยู่กับท่านอ๋องรัตติกาลจนกระทั่งเขาจากไป ดังนั้นเมื่อนางได้ยินว่าข้ากำลังจะกลับมาที่เมืองหลวง นางก็ขอติดตามมากับข้าด้วย ดูเหมือนว่านางยังคงยึดติดอยู่บนท่านอ๋องรัตติกาลไม่เปลี่ยน”
“โอ้ ….”
โหลว ชิงอู๋ ทำเสียงเหมือนรับรู้ขึ้น เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง มองไปที่นางสองครั้ง ก่อนจะพูดขึ้น”ข้าได้ยินท่านอ๋องรัตติกาล… ปฏิบัติเป็นพิเศษกับเจ้า ใช่หรือไม่?”
โหลว ชิงอู๋ หันหน้าไปทางเขา “ข้าไม่รู้ว่าองค์ชายสามตีความคำว่า” พิเศษ “อย่างไร?
“มันหมายถึงชอบ!”
ทันใดนั้นเสียงผู้หญิงที่มีเสน่ห์ก็ดังและขัดจังหวะการสนทนาของพวกเขาขึ้น
เหย่ จี้ที่อยู่ในชุดสีแดงทั้งตัว ได้กระโดดขึ้นจากเรือลำหนึ่งมายังเรืออีกลำหนึ่ง
สีแดงสดใสของชุดของนางราวกับไฟ ทำให้คนนึกถึงความหลงใหลเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเห็นนาง
ข้อมือและข้อเท้าของนางสวมกระดิ่ง ในขณะที่นางเดินเสียงกระดิ่งจะดังขึ้นชักชวนให้ผู้คนสนใจ
นางเห็นโหลว ชิงอู๋แข็งค้างไปกับคำพูดของนาง นางก็ช่วยไม่ได้ที่จะนั่งลงไปที่โต๊ะและเอนตัวเข้าไปมองที่โหลว ชิงอู๋ “น้องสาวชิงอู๋ ท่านพี่เหย่ชอบเจ้าหรือไม่”
นางพูดอย่างชัดเจน แม้แต่โหลว ชิงอู๋ก็ยังตกใจมาก
นางหยุดไปชั่วครู่ ก่อนที่จะยืดตัวขึ้น
ใบหน้าที่งดงามของเหย่ จี้ พุ่งเข้ามาข้างหน้าของนาง ทำให้นางรู้สึกอึดอัด “ไม่มีทาง ท่านอ๋องรัตติกาลเพียงแค่ช่วยเหลือดูแลข้าเล็กน้อยเท่านั้น”
“จริงๆ หรือ?” เหย่ จี้ยิ่งเข้ามาใกล้โหลว ชิงอู๋มากขึ้นอีก
“แน่นอน” นางมองไปที่เหย่ จี้ อย่างสงบ ดวงตาที่ชัดเจนของนางยังคงเหมือนเดิม
เหย่ จี้ รู้สึกโล่งอก
นางจับมือโหลว ชิงอู๋ อย่างมีความสุข “น้องสาวชิงอู๋ อย่าได้ถือโทษข้า ทันทีที่ข้ามาถึงเมืองหลวง ข้าก็ได้ยินจากทุกคนพูดเกี่ยวกับตัวเจ้าและท่านพี่ชายเหย่ ดังนั้นข้าจึงแทบจะเสียสติ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว เราก็สามารถเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันได้ แต่ “ดวงตาของเหย่ จี้ หมุ่นไปรอบๆ
ร่างกายของนางแทบจะพิงมาที่โหลว ชิงอู๋ ทำให้นางรู้สึกอึดอัดมาก
โหลว ชิงอู๋ กดอารมณ์ความรู้สึกของนาลงไป ทำให้ไม่สามารถอ่านอะไรบนใบหน้าของนางได้
นางรู้สึกว่าลมหายใจของเหย่ จี้ อยู่ที่คอของนาง “น้องสาวชิงอู๋ เจ้าคงจะคุ้นเคยกับท่านพี่เหย่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขามีจุดอ่อนตรงไหน”
หัวคิ้วของโหลว ชิงอู่ขมวดขึ้น และพยายามปฏิเสธความใกล้ชินที่เหย่ จี้บังคับให้เกิดขึ้นกับนาง
นางค่อยๆ ดึงมือออกจากการจับกุมของนางอย่างเงียบๆและส่ายหัว “ข้าไม่ค่อยคุ้นเคยกับท่านอ๋องรัตติกาล แล้วข้าจะรู้จุดอ่อนของเขาได้อย่างไร? แม่นางจี้ถามผิดคนแล้ว “
“เช่นนั้นหรือ … ”
เหย่ จี้ เสียใจก่อนจะถอยกลับออกไป
นางนั่งลงข้างๆโหลว ชิงอู๋ และเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง
นางท้าวคางด้วยมือของนาง กระพริบตาขึ้นและจู่ก็ดูเหมือนว่าจะคิดอะไรขึ้นมาได้
นางหันหัวกลับมาและมองไปที่โหลว ชิงอู๋ อย่างน่าสงสาร “น้องสาวชิงอู๋ แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านอ๋องรัตติกาล ชอบอะไรมากที่สุด?”
โหลว ชิงอู๋ “เรื่องนั่น … “
เหย่ จี้ เห็นโหลว ชิงอู๋ ลังเลแล้วดวงตาของนางสว่างขึ้น
นางจับแขนเสื้อของนาง ก่อนจะสะบัดไปมา”น้องสาวชิงอู๋ ข้าขอร้องเจ้าโปรดช่วยบอกข้าที เจ้าสามารถที่จะทนเห็นข้าไม่กิน ไม่นอนเนื่องจากเรื่องของท่านพี่เหย่ได้หรือ เจ้าจะไม่ใจร้ายเกินไปหน่อยหรืออีกอย่างเจ้าก็ไม่ได้ชอบท่านพี่เหย่เสียหน่อย ดังนั้นยกเขาให้ข้า ข้าขอร้องล่ะ! “
เสียงที่อ่อนโยนและเอียงอายของหญิงสาวได้เดินทางไปที่หูของโหลว ชิงอู๋ ในขณะที่จู่ๆ นางก็ตระหนักว่านางต้องการสร้างระยะห่าง
นางหันไปรอบ ๆ เพื่อที่จะมองไปที่เรือสำราญอีกลำ ก่อนที่จะเผชิญหน้ากับคู่สายตาที่ลึกและดำมืด
นางช่วยไม่ได้ที่จะอุทานขึ้น “ท่านอ๋องรัตติกาล”
ในเวลาเดียวกันเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ที่อยู่ข้างๆ โหลว ชิงอู๋ก็เรียกขึ้น”เหย่ จี้”
โหลว ชิงอู๋ มองไปที่ผู้หญิงที่กำลังผิงอยู่บนร่างของเฟิง เหย่เก้อร์
ดวงตาของนางลึกซึ้ง เกือบจะเรียกได้ว่างดงามมาก
การกระทำที่เอียงอายและออดอ้อนของนางที่มีต่อเฟิง เหย่เก้อร์ในตอนแรกหยุดลง เมื่อชื่อของนางถูกเรียกออกมา
นางหันกลับไปและเมื่อนางเห็นว่าเป็นเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง นางก็หัวเราะออกมา “อ่า ที่แท้ก็พี่ใหญ่นี่เอง”
ในเวลาเดียวกันดวงตาของนางก็ตกลงไปที่โหลว ชิงอู๋ ในขณะที่รอยยิ้มของนางขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ “นี่…คงจะเป็นน้องสาวชิงอู๋”
เสียงของเหย่ จี้ ทั้งนุ่มนวลและอ่อนโยน ในขณะที่นางยิ้มให้กับโหลว ชิงอู๋ จากระยะไกลๆ
นางมองไปที่โหลว ชิงอู๋ คนที่กำลังมองมาที่มือที่มีเลือดไหลอยู่ของนาง
นางยิ้มอย่างน่าหลงใหลมากขึ้น ในขณะที่นางยกมือที่มีเลือดไหลขึ้นและเลียมัน
นางมองอย่างไร้เดียงสาไปที่คนที่สงบอยู่ตลอดเวลาอย่างเฟิง เหย่เก้อร์ ก่อนจะพูดขึ้น “ท่านพี่เหย่ช่างใจร้ายจริงๆ ข้าได้รับบาดเจ็บและท่านไม่แม้แต่จะช่วยข้าดูมัน”
การแสดงออกของเฟิง เหย่เก้อร์ นั้นดูไม่ค่อยดี ในขณะที่เขาหันสายตาออกไปจากโหลว ชิงอู่และเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง
เขาค่อยๆลุกขึ้น “ในเมื่อองค์ชายสามอยู่ที่นี่แล้ว เจ้าก็ควรจะตามเขากลับไป”
เขาหันกลับไปและเดินไปยังจุดท้ายสุดของเรือสำราญ
เขากระโดดลงไปเหยียบน้ำครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะกระโดดขึ้นไปบนริมฝั่งแม่น้ำ
เขาค่อยๆสะบัดหยดน้ำไม่กี่หยดออก ก่อนที่จะเดินจากไปด้วยขาที่ยาวๆ ของเขา
เหย่ จี้ คนที่กำลังไล่ตามเขาไปจนถึงท้ายเรือเห็นเช่นนั้น ก็ช่วยไม่ได้ที่จะร้องขึ้น “ท่านพี่เหย่ ท่านพี่เหย่ … “
เฟิง เหย่เก้อร์ ดูเหมือนจะไม่ได้ยินนาง ในขณะที่ภาพเงาของเขาหายไปอย่างรวดเร็ว
ดวงตาของโหลว ชิงอู๋ จับจ้องอยู่กับเขาจนกระทั่งเขาหายตัวไป จากนั้นนางก็ค่อย ๆ มองไปทางอื่น
เมื่อนางหันกลับมา นางเห็นสายตาของเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง อยู่ที่นาง
ดวงตาของเขายังอ่อนโยน ในขณะที่เขาถามขึ้น”ชิงอู๋ เจ้ารู้จักท่านอ๋องรัตติกาลด้วยหรือ?”
“ใช่แล้วเพคะ พวกเราพบกันไม่กี่ครั้ง”
ดวงตาของเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ดูลึกล้ำขึ้น“ข้าได้ยินมาว่าในคืนงานเลี้ยงสังสรรค์ของเสด็จพ่อ ท่านอ๋องรัตติกาลได้ช่วยเจ้ายืนยัน” หญ้าไร้บุตร ” ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้ารู้จักกันมาก่อนหรือไม่? ”
การแสดงออกของโหลว ชิงอู๋ ได้ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ดวงตาของนางยังคงดำมืดและไม่สามารถอ่านได้
ในขณะที่เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง คิดว่านางจะไม่ตอบคำถามของเขา นางก็หันกลับมาและมองไปที่เหย่ จี้ คนที่ไม่มีความสุขอยู่ในตอนนี้ ก่อนจะพูดขึ้น “ข้ารู้จักเขามาก่อนหน้านั้น เมื่อเรายังเด็ก พวกเราได้พบกันครั้งหนึ่งและก็ไม่เคยพบกันอีกแล้ว “
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง หัวเราะขึ้นอย่างมีความหมาย
ไม่แปลกใจว่าทำไมท่านอ๋องรัตติกาลถึงได้ปฏิบัติกับนางแตกต่างไป
ดูเหมือนว่าเขาจะเดิมพันกับนางอยู่
“ข้าไม่รู้ว่าท่านอ๋องรัตติกาลและเหย่ จี้จะรู้จักกันด้วย?”
ตามบุคลิกของศิษย์พี่ใหญ่ของนาง แม้ว่าจะเป็นคนที่เขารู้จักก่อนหน้านี้ แต่พวกเขาก็ยังคงจะไม่สามารถพบเขาได้แบบตัวต่อตัว
เขามักจะอยู่ในเรือนฉิงเก้อร์น้อยของเขา ดูแลต้นไม้และดอกไม้ของเขา
เป็นเพราะนางรู้จักเขาดีมาก จนทำให้นางอยากรู้ถึงตัวตนของเหย่ จี้มากขึ้น
ถ้านางอยู่กับเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง อีกเพียงแค่ครู่เดียว นางกลัวว่านางจะไม่สามารถควบคุมตัวเองและทำร้ายเขาเข้า
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง เห็นว่านางรู้สึกประหม่าและรู้ว่าเขาน่าจะได้บรรลุเป้าหมายของเขาแล้วในวันนี้
เขาไม่ว่าอะไร เพียงแค่มองออกไปนอกหน้าต่างเช่นเดียวกับนาง
เมื่อเขาเห็นเรือสำราญที่จอดอยู่ข้างนอก แสงแปลก ๆ ก็กระพริบขึ้นในดวงตาของเขา “เอาล่ะ ลองไปดูกินเถอะ”
เมื่อโหลว ชิงอู๋และเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ไปถึงแม่น้ำฮ้วย เรือสำราญก็ดูเหมือนจะผ่านไปแล้ว
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง เช่าเรืออีกหนึ่งลำและขึ้นไปพร้อมกับโหลว ชิงอู๋
เรือลอยไปกับสายน้ำในขณะที่ โหลว ชิงอู๋ หันศีรษะไปข้างหน้าเพื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
ยิ่งนางใกล้เข้าไปเท่าไหร่ เสียงพิณก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น
เสียงพิณดูเหมือนจะค่อนข้างคุ้นเคย ดังนั้นนางจึงเดินตามเสียงพิณและพบกับเรือสำราญ “ลองไปทางนั้นกันเถอะองค์ชาย”
ที่โหลว ชิงอู๋ ไม่สามารถมองเห็นได้คือเสียงหัวเราะในปากเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น”ได้ คนขับเรือแล่นเรือไปทางด้านนั้น “เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ชี้ไปที่เรือที่มีเสียงพิณดังออกมา
โหลว ชิงอู๋ ดูเหมือนจะหลงไปกับเสียงพิณ ในขณะที่ดวงตาของนางค่อยๆ อ่อนโยนลง
รูปร่างที่งดงามของนาง ส่งกลิ่นอายที่ให้ความรู้สึกสงบออกมา
แสงแดดตกบงมาบนใบหน้าของนางและทำให้นางดูเหมือนภาพฝัน
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ช่วยไม่ได้ที่จะเฝ้ามองนางและจู่ๆ เขาก็นึกถึงเพลง <ความแตกต่างที่มีสติ > ขึ้นมา
ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่พิณที่อยู่ไม่ไกลออกไปและนำมันมาวางไว้ในโต๊ะข้างหน้าเขา
นิ้วเรียวยาวของเขาดึงสายพิณขึ้นเบา ๆ ก่อนจะเล่น <หงส์เฝ้าตามหาหงส์ >
เมื่อโหลว ชิงอู๋ ได้ยินเพลงนี้ นางก็แข็งค้างไปทันที
นางหันไปเผชิญหน้ากับเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ที่กำลังเล่นมันอยู่อย่างแน่วแน่และจริงจังมาก
ชุดผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มของเขา ทำให้เขาดูหยกงาม
เมื่อเขาไม่ยิ้มใบหน้าของเขาดูเคร่งขรึมและโดดเด่น
แต่เมื่อริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อย มันทำใบหน้าของเขายิ่งหล่อเหลาเข้าอีก
นี่คือเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง และเพลง <หงส์เฝ้าตามหาหงส์> ที่จะกุมหัวใจนางเอาไว้ เพื่อทำให้นางเต็มใจที่จะเดินทางไปยังจุดสิ้นสุดของอีกโลกเพื่อไปยังอีกที่หนึ่งไปตลอดชีวิตของนาง
แต่น่าเสียดายที่ความรักของเขาไม่ได้มีค่าอะไรสำหรับเขาที่จะโยนมันออกไปได้
โหลว ชิงอู๋ เฝ้าดูเขาอยู่อย่างเงียบ ๆ
การแสดงออกของนาง ทำราวกับว่านางกำลังมึนงงเล็กน้อย ทำให้ดูเหมือนว่านางหลงใหลไปในเสียงเพลง
รอยยิ้มของเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง งอกเงยขึ้นเมื่อเขาเห็นท่าทางของนาง ดวงตาของเขายิ้มอย่างอ่อนโยนมาที่นาง
มันเหมือนกับคู่รักที่มองลึกเข้าไปในสายตาของกันและกัน ราวกับว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขาคือคนที่เขาไล่ตามอย่างหลงใหล
แต่น่าเสียดาย …
ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ไม่มีหัวใจไปนานแล้ว
ในสถานที่ที่โหลว ชิงอู๋ ไม่สามารถมองเห็นได้ เรือทั้งสองก็ลอยเข้ามาอยู่ใกล้กัน
ในเรือตรงข้าม ชายคนหนึ่งกำลังถือเหล้าองุ่นอยู่อย่างเฉื่อยชา
เมื่อเขาได้ยินเพลง <หงส์เฝ้าตามหาหงส์> เขาก็มองไปอย่างผ่านๆ แต่เมื่อเขาเห็นคู่รักชายและหญิงกำลังมองตากันอย่างลึกซึ้ง ดวงตาสีม่วงของขาก็จมดิ่งลง
ดวงตาของเขาดำมืดลง ในขณะที่กลิ่นอายของเขาดูเหมือนจะรุนแรงขึ้น
ไม่ไกลจากชายคนนั้น ก็มีสาวงามที่น่าทึ่งอยู่ในชุดสีแดงกำลังนั่งอยู่หน้าพิณ มือของนางเล่นจนจบ ก่อนที่นางจะค่อยๆดึงมือของนางออกไปมัน
เสียงพิณก็ค่อยๆหยุดลง
แต่ไม่รู้ว่านางตั้งใจหรือไม่ เมื่อนิ้วของนางขยับออกมาจากตัวพิณ นิ้วของนางก็ถูกบาดเข้าให้
เลือดไหลออกจากบาดแผล ในขณะที่นางมองดูน่าสาร
ดวงตาขนาดใหญ่และงดงามของนางส่องประกายไปที่ชายที่หล่อเหลาที่อยู่ข้างหน้าของนาง “ท่านพี่เหย่ ข้าได้รับบาดเจ็บ … “
โหลว ชิงอู๋ และเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ไปที่หอฉิงอี้ (ร้านอาหาร / สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ) ไม่ไกลจากตำหนักขององค์ชายสาม
พวกเขาเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวที่ชั้นสองใกล้หน้าต่าง
ด้านนอกเป็นแม่น้ำสายที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงและเนื่องจากยังไม่ถึงเวลากลางคืน จึงมีเรือจอดพักผ่อนอยู่จำนวนไม่มากที่ลอยอยู่ในแม่น้ำ ลอยตัวไปตามสายลมอย่างงดงาม
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแม้ เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง จะออกจากเมืองหลวงไปสองสามปีแต่เขายังคงมีหูมีตารอยู่กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในเมืองหลวง
ตอนนี้เขาได้เลือกหอฉิงอี้ แห่งนี้มันทำให้เจ้าได้เห็นถึงความตั้งใจของเขา
ทางเลือกของเขาถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นที่โปรดปรานสำหรับหญิงสาว
แม้ผู้ที่อยู่ในอารมณ์ไม่พอใจจะรู้สึกมีความสุขเพียงแค่มองเห็นมุมมองที่สวยงามและงดงามด้านนอก
นอกจากนี้ผู้ชายที่อยู่ตรงข้ามก็ยังหล่อเหลามากอีกด้วย เขาสามารถพูดได้ดีและในเพียงไม่กี่คำก็อาจทำให้ผู้หญิงหลงใหลไปถึงจุดที่นางจำชื่อของตัวเองไม่ได้
“ชิงอู๋ ลองขนมอบของร้านนี้และดูว่าเจ้าจะชอบชิ้นไหน?”
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง หยิบตะเกียบไม้ที่สะอาดและวางไว้ในถาดตรงหน้าของโหลว ชิงอู๋
มันเป็นขนมอบสามสี มันมีกลิ่นหอมหวานอ่อนๆ ของดอกพลัม แต่เมื่อดูอย่างใกล้ชิดก็ดูเหมือนจะไม่ใช่
โหลว ชิงอู๋ ลองชิ้นเล็กๆ นางใส่มันลงไปในปากของนางแล้วมันละลายอยู่ในปากของนาง
ภายในปากของนาง ยังคงมีกลิ่นหอมของมันเหลืออยู่ แน่นอนว่ามันต้องเป็นสิ่งที่มีคุณภาพสูง
นางพยักหน้าและวางตะเกียบของนาง ก่อนจะยิ้มให้เขา
“มันสมกับที่เป็นขนมอบสีสามสีที่ขึ้นชื้อของหอฉิงอี้ ได้ความสดชื่อของดอกบัวความละมุนละไมของพุทราและน้ำหอมของดอกพลัมทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่อาจลืมได้ “
“ฮ่าๆ ตราบใดที่ชิงอู๋ ชอบมัน มันก็คุ้มค่ากับความพยายามขอข้าที่ได้ลองทุกรายการอาหารของหอฉิงอี้แห่งนี้”
เมื่อเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง พูด เขาก็มองเข้าไปในดวงตาของโหลว ชิงอู๋ อย่างลึกซึ้ง
ดวงตาสีเข้มของเขา สดใสและสะท้อนภาพของนาง ทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ทุ่มเทให้กับนางอย่างแท้จริงและยิ่งจะทำให้นางหลงใหล
โหลว ชิงอู๋ มองเขาตอบ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยนขณะที่นางมอง เมื่อนางได้ยินเขาพูด
จากมุมมองของเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง มันเป็นท่าทางของหญิงสาวที่กำลังเขินอาย
“องค์ชายสามจะกินอาหารทุกอย่างของที่นี่ได้อย่างไรเพคะ? โปรดอย่าล้อเล่นกับชิงอู๋เช่นนี้เลยเพคะ ”
ดวงตาของเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง เปลี่ยนเป็นลึกและอ่อนโยนมากขึ้น “ชิงอู๋ ข้าจะล้อเล่นกับเจ้าเช่นนี้ได้อย่างไร? ข้าสัญญาอย่างจริงใจว่าทุกอย่างที่ข้าพูดออกมาจากหัวใจของข้าและมีเพียงคนที่งดงามที่สุดอย่างเจ้า ชิงอู๋ ถึงจะสามารถเปรียบเทียบกับความภูมิใจของดอกท้อและทำให้ใครบางคน … “
ชิงอู๋ เจ้าเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดในโลกและมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถช่วยข้าด้วยความจริงใจ
คำพูดของเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง เป็นเหมือนฝันร้ายที่เจาะเข้าไปในหูโหลว ชิงอู๋
ดวงตาที่ลดลงของนางซ่อนความหนาวเย็นราวกับว่านางได้กลายเป็นปีศาจในวินาทีต่อมา เพื่อกัดไปที่ผู้ชายที่นางเกลียดชังที่อยู่ข้างๆ นาง กัดเข้าไปในลำคอและดูดเลือดทั้งหมดของเขา
แต่เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ก็ยังคงพูดต่อไปอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์เท่าที่เขาทำได้
แต่น่าเสียดายที่หญิงสาวที่อยู่ตรงข้ามกับเขาได้ลดศีรษะของนางลง การแสดงออกของนางจึงไม่ชัดเจน
แต่เขาสามารถมองเห็นมือของนางที่อยู่บนโต๊ะราวกับนางกำลังประหม่าเพราะมือของนางสั่นอยู่เล็กน้อย
ดวงตาของเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง กระพริบขึ้นด้วยความหยิ่ง ในขณะที่เขาตั้งใจจะทำให้เสียงของเขาต่ำลง ทำให้เสียงของเขาดูน่าฟังมากขึ้น
หน้าอกของโหลว ชิงอู๋ เริ่มเคลื่อนไหวขึ้นและลงหนักขึ้น นางจึงใช้ความพยายามในการสงบตัวเองลง
ตอนนี้เพียงแค่ได้ยินเสียงของเขาก็ทำให้นางต้องการที่จะทุบตีไปที่ขนมอบสามสีที่นางเพียงแค่กินไปหนึ่งชิ้นและโยนมันไปที่ใบหน้าของเขา
แต่นางรู้ว่านางไม่สามารถทำได้ …
เมื่อโหลว ชิงอู๋ ไม่สามารถทดได้อีกต่อไปและกำลังจะบอกให้เขาหุบปาก จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงของพิณดังขึ้น
เสียงที่หนาวเย็นและชัดเจนเป็นเหมือนน้ำพุที่ใสสะอาดล้างสิ่งสกปรกทั้งหมดออกไปใจของนาง
โหลว ชิงอู๋ ค่อยๆ สงบลง
เมื่อนางเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางก็แดงในขณะที่นางแอบมองไปที่เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ก่อนที่จะรีบหันไปทางอื่น
“ข้าจะงดงามเช่นนั้นได้อย่างไร? องค์ชายสามคงต้องล้อเล่นแล้วเพคะ “
หลังจากที่นางพูดจบ นางก็ดูเหมือนจะได้ยินพิณเสียงอีกครั้ง
นางรีบหันศีรษะไปข้างนอกเพื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง “อา ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนกำลังบรรเลงพิณอยู่ ทำไมพวกเราไม่ไปดูเพคะองค์ชาย? “
โหลว ชิงอู๋ นั่งลงไป ก่อนจะยิ้มให้กับเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง “พวกเราถึงตรงไหนกันแล้วนะเพคะ?”
“โอ้ ข้ากำลังพูดถึงเด็กคนั้นเหย่ จี้ นางได้เพิ่งจะได้รับตำแหน่งใหม่ดังนั้นนางจึงต้องการแบ่งปันข่าวกับเจ้า ชิงอู๋”
เมื่อโหลว ชิงอู๋ ได้ยินเขาเรียกนางว่า “ชิงอู๋” หัวคิ้วของนางก็ขมวดขึ้น
ดูเหมือนว่าเขาทำได้ดีมากในการใช้ประโยชน์จากทุกช่องทาง
นอกจากนี้ นางก็ไม่เชื่อว่าเขาจะมองไม่ออกว่าหลานปิงเป็นตัวปลอม
เขาอาจจะรู้ตั้งแต่แรกเพราะฉะนั้นเขาจึงทำให้หลานปิงหลงเสน่ห์ เพื่อพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับอดีตของนาง
วันนี้นางทำผิดพลาด
นางไม่คิดว่าเขาจะเลือกมาในเวลานี้
ถ้าเป็นแค่โหลว ชุ่นเฟิง หรือคนอื่นๆ หลานปิง จะไม่มีปัญหาในการทำปลอมตัวเป็นนาง
แต่ถ้าเป็นหมาจิ้งจอกตัวนี้ที่อยู่ตรงหน้าของนาง มันย่อมไม่มีทาง
อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาต้องการแกล้งทำเป็นว่าเขาไม่ได้สังเกตเห็น นางก็ยินดีที่จะเล่นไปด้วย
เพียงแต่วิธีการในการเรียกนางของเขา?
มันได้ทำให้เกิดความแตกต่างขนาดใหญ่มากกับนาง
นางมองลง เพื่อซ่อนแสงที่เยือกเย็นในสายตาของนาง
เมื่อนางจัดการกับอารมณ์ของนางได้ นางก็มองหน้าชายหนุ่มที่อ่อนโยนตรงหน้านางอีกครั้ง
“ครั้งสุดท้ายหม่อมฉันได้ยินองค์ชายสามกล่าวว่าคุณหนูเหย่ จี้ต้องการเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์ของหม่อมฉัน วันนี้พวกเราไปกันเลยดีไหมเพคะ? ”
นางอยากจะเห็นน้องสาวบุณธรรมของเขาที่เขาพูดถึง และสิ่งที่เขาต้องการจากมัน
นางไม่เชื่อว่าเขาจะมาที่จวนตระกูลโหลว หลาย ๆ ครั้งเพื่อบอกแค่ว่าน้องสาวบุญธรรมของเขาต้องการให้นางไปเยี่ยมจวนของเขา
ในช่วงชีวิตก่อนหน้านี้นางไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
แสงกระพริบขึ้นในดวงตาของเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง และเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ เสียงหัวเราะของเขาก็ดังขึ้น “เป็นเช่นนั้นยอมเป็นเรื่องที่ดี ข้าเชื่อว่าเหย่ จี้ จะดีใจที่จะได้พบเช่นกันชิงอู๋”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
การแสดงออกของโหลว ชิงอู๋ ยังคงสงบ
นางหันกลับไปและเดินออกก่อนเขา
นางไม่จำเป็นต้องหันไปก็รู้ว่าสายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่นาง เพราะพวกมันติดอยู่กับนางและไม่ได้ขยับออกไปไหนเลย
แล้วหัวคิ้วของนางก็ขมวดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ถึงแม้ว่านางจะพยายามอย่างหนักที่จะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ในขณะที่นางหลับตาลง นางก็สามารถมองเห็นเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง และโหลว เหลียนซิน ดูถูกนางด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความรังเกียจจากด้านบน
มันยังคงทำให้มือของนางกำเป็นกำปั้นแน่น ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางเยือกเย็นลงในขณะที่กระดูกของนางรู้สึกหนาวขึ้นมาทันที
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ไม่ได้อยู่ในพระราชวัง ตรงกันข้ามอยู่อาศัยอยู่อย่างเรียบง่ายในตำหนักของเขาเองที่ถูกแยกออกจากทุกสิ่งทุกอย่าง
นอกจากนี้ตำหนักของท่านอ๋องรัตติกาลก็ยังอยู่ไม่ไกลเกินไปเช่นกัน
เมื่อนางไปถึงตำหนักขององค์ชายสาม โหลว ชิงอู๋ก็รู้สึกประหลาดใจว่าน้องสาวบุญธรรมของเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง เหย่ จี้ ไม่ได้อยู่ที่นั่นเลยด้วยซ้ำ
เมื่อพวกเขาถามคนรับใช้ พวกเขาก็ได้รู้ว่านางออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว
หัวคิ้วของโหลว ชิงอู๋ขมวดขึ้น ยืนอยู่ที่นั่นด้วยความไม่เชื่อ
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง หันหลังให้กับนางในขณะที่เขาพูดกับพ่อบ้าน
นางไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้ แต่นางก็อยู่เคียงข้างเขาเป็นเวลาถึงแปดปี ดังนั้นนางเพียงแค่เห็นด้านหลังของเขา นางก็สามารถบอกได้ว่าเขากำลังมีความสุขหรือโกรธ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อนางเห็นนิ้วชี้ขวาของเขาโดยค่อยๆกดลงไปบนเสื้อผ้าของเขา นั่นคือการเคลื่อนไหวที่เขาทำเมื่อเขากำลังคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง
โหลว ชิงอู๋หรี่ตาของนางลง
ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้วางแผนเรื่องนี้กับเหย่ จี้ มาก่อน
นางไม่รู้ว่าเซี่ยโฮ่ว ฉิ่งพูดอะไรกับพ่อบ้าน แต่เมื่อเขาหันกลับมา อาการของเขาก็กลับมาเป็นปกติ
เขายิ้มขึ้น “ดูเด็กคนนี้ ข้าบอกให้นางอยู่อย่างเชื่อฟังในเรือน แต่นางก็วิ่งออกไปเช่นนั้น นี้ก็เริ่มสายแล้ว ทำไมเราไม่ไปหาสถานที่อื่นด้านนอกเพื่อพูดคุยต่อจากที่เราค้างไว้? เราสามารถรอให้นางกลับมาได้และข้าจะฝากข้อความไว้กับคนรับใช้บอกว่าพวกเรากำลังรอนางอยู่? ”
โหลว ชิงอู๋ มองเขาอย่างลึกซึ้ง
นางหัวเราะขึ้นอย่างไร้เดียงสา ก่อนจะตอบขึ้น “ได้เพคะ”
เขามีตำหนักที่ดีอย่างสมบูรณ์ แต่เขากลับอยากจะออกไปข้างนอก?
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ดูสิว่าเจ้ากำลังวางแผนอะไรอยู่?
สายตาของพันหน้าตกไปอยู่บนหน้าของหลานป๋าย และเห็นว่านางปิดหน้าของนางด้วยมือทั้งสองข้าง โดยใช้ใบหน้าของโหลว ชิงอู๋ จ้องมองด้วยดวงตาของคนตกอยู่ในความรักมองไปที่เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง
เมื่อเห็นพันหน้า นางก็ไม่ได้ตอบสนองเท่าไหร่ แต่นางก็ยังคงตอบเขาต่อไป “เช่นนั้น ข้าต้องไปแน่นอน ไปแน่นอน!”
นางไม่สามารถที่จะเชื่อฟังได้มากกว่าอีกแล้ว
พันหน้าพันเหลือบมองไปทางนาง พยายามมองนาง
ดวงตาของเขากำลังหงุดหงิดจากการพยายามที่จะขยิบตาอย่างหนักให้นาง แต่หลานป๋าย ก็ยังคงมองผ่านเขาไปยัง คงจ้องที่เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง
พันหน้าโกรธมาก เขาแทบอยากจะโยนถ้วยชาไปที่ศีรษะของนางเสีย
เขาใช้ยาเสน่ห์อะไรกับนาง?
“แค็กๆ แค็กๆ!”
เขาวางถ้วยชาลงและเดินกลับไปสองก้าว
เขาไอขึ้นเสียงดังมาก
แต่ดูเหมือนว่าหลานป๋ายจะไม่ได้ยินเขา นางยังคงหัวเราะคิกคักและพูดอะไรอย่างอื่นกับเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ต่อไป
แต่เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง มองไปที่พันหน้า เพื่อบังคับให้เขามองลง แล้วเขาก็พูดขึ้น”คุณหนูใหญ่ นายท่านต้องการพบท่าน นายท่านบอกว่ามีบางอย่างต้องการให้พบไปดูขอรับ”
“อืม?”
หลานป๋าย มองไปที่พันหน้า นางดูสับสน ก่อนจะถามขึ้น “ข้าหรือ?”
พันหน้า”ใช่ขอรับ ” คุณหนูใหญ่” ถ้าท่านไม่ไป นายท่ายอาจจะโกรธได้นะขอรับ!”
หลานป๋าย มองหน้าพันหน้าอีกสักสองสามครั้ง ก่อนที่จะมองไปที่ชายที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ดูอบอุ่นและอ่อนโยนตรงหน้า
นางส่ายหัวสองครั้ง ก่อนที่จะตระหนักได้และลุกขึ้น
นางรีบพูดขึ้นทันที “โอ้ ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”
หลังจากพูดจบ นางก็หันหลังและวิ่งออกไป
เมื่อนางมาถึงมุมแขนของนางถูกดึงเอาไว้ด้วยบางสิ่งบางอย่าง
ขณะที่นางกำลังจะตีกลับไป นางก็เห็นโหลว ชิงอู๋ และรีบหยุดตัวเองเอาไว้ “นายท่าน ท่านกลับมาแล้ว!”
“อืม ข้ารู้แล้ว ข้าจะไปจัดการกับเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง รอพันหน้า จากนั้นก็กลับไปที่เรือนลมเอนเอียง”
“…. เจ้าค่ะ” หลานป๋ายเห็นว่าโหลว ชิงอู๋ กำลังจะจากไปและคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ นางจึงรีบดึงแขนของโหลว ชิงอู๋เอาไว้ทันที”นายท่าน … “
“อืม? มีอะไรหรือ? “โหลว ชิงอู๋ หันกลับมาหานางและเห็นการแสดงออกที่ไม่สบายใจของหลานป๋าย นางจึงช่วยไม่ได้ที่จะถามขึ้น
หลานป๋ายลูบหัวนางอยากร้องไห้ แต่ก็ไม่มีน้ำตา “คือว่า … ข้า… ดูเหมือนจะฟังองค์ชายสามเป็นเวลานานและถูกทำให้หลงใหลไปกับคำพูดของเขาจนลืมเวลา ข้าไม่รู้ว่าข้าได้เปิดเผยอะไรออกไปหรือไม่ แล้วข้าจะทำอย่างไรเจ้าค่ะ? ”
โหลว ชิงอู๋ถึงกับแข็งค้าง ก่อนจะส่ายหัว “ไม่เป็นไร”
นางเคยเห็นฝีมือของเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ในชีวิตก่อนหน้านี้มาแล้ว
เขาเป็นผู้มีความเชียวชาญต่อหัวใจของหญิงสาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาพูดถึงเรื่องที่น่าสนใจที่คุณหนูทั้งหลายไม่เคยได้ยินมาก่อน
บอกกับใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาและสายตาที่อบอุ่น เมื่อเขามองมาที่เจ้าอย่างลึกซึ้ง มันทำให้เจ้ารู้สึกว่าเขามีความรู้สึกลึกซึ้งอย่างเหลือเชื่อต่อเจ้า
แล้วเจ้าไม่รู้จะตกลงไปได้อย่างไร
ตอนนั้น นางก็หลงเสน่ห์เขาเช่นกันและก้มหัวเขาไว้จนกระทั่งนางตาย
มันน่าเสียดายที่นางเพิ่งจะรู้ว่าเขามีสองหน้าแค่ไหนก็ตอนที่นางกำลังจะตาย
ความอบอุ่นและอ่อนโยนทั้งหมดมันเป็นเพียงแค่ฉากหน้า เพื่อปกปิดความจริงที่ว่าเขาเป็นคนโหดร้ายและไร้ความปราณีแค่ไหน ในขณะที่เขาดูเหมือนจะอ่อนโยน
โหลว ชิงอู๋และหลานป๋าย เปลี่ยนเสื้อผ้ากัน ก่อนที่นางจะกลับไปที่ห้องโถงใหญ่
พันหน้ายังคงยืนอยู่ที่นั่นอย่างนอบน้อม
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ถามเขาและบางครั้งเขาก็จะตอบ
เมื่อพันหน้าเห็นว่าโหลว ชิงอู๋ มาและดวงตาของเขาสว่างขึ้น “คุณหนูใหญ่!”
“อืม เจ้าสามารถไปได้”
“ขอรับ”
พันหน้าปล่อยลมหายใจของความโล่งอกออกมาและรีบออกไป
แต่เมื่อเขากำลังจะถึงทางออก เขาก็ช่วยไม่ได้ที่จะมองไปที่องค์ชายสามแล้วหัวคิ้วของเขาก็ขมวดขึ้น
เขาเพียงแค่ถามคำถามสองสามข้อและถึงแม้ว่าพวกมันจะดูเหมือนจะไม่เป็นอันตราย แต่พวกมันทั้งหมดก็เกี่ยวกับเจ้านายของเขา
เมื่อเขาวิเคราะห์อย่างรอบคอบแล้ว เขาก็รู้สึกว่ามันน่ากลัว
เขาใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการทำให้เจ้านายของเขาพอใจ เขาต้องการอะไรกันแน่?
นอกจากนี้ เขายังใช้เพียงคำพูดไม่กี่คำและทำให้หลานป๋ายหลงเสน่ห์ เขาได้อย่างง่ายดาย
เขากลับยิ่งรู้สึกมากยิ่งขึ้นว่าองค์ชายสามผู้นี้ กำลังซ่อนบางอย่างเอาไว้ลึกๆและมันก็น่ากลัวมาก
โหลว ชิงอู๋ นั่งลงไป ก่อนจะยิ้มให้กับเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง “พวกเราถึงตรงไหนกันแล้วนะเพคะ?”
เมื่อโหลว ชิงอู๋ และพันหน้า กลับไปที่เรือนลมเอนเอียง พวกเขาก็ไม่ได้พบหลานป๋าย
โหลว ชิงอู๋หยุด “นางอยู่ที่ไหน?”
พันหน้าค้นหาไปทั่วและเดินไปรอบ ๆ สองสามครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถหานางพบ
“ข้าไม่ทราบขอรับ ข้าได้ปลอมตัวนางเป็นท่าน จากนั้นก็จากไป นางควรจะยังคงปลอมตัวเป็นนายท่านอยู่ ดังนั้นนางจึงไม่น่าจะเดินไปไหนอย่างไม่ระวัง “
ดวงตาของโหลว ชิงอู๋ มองไปที่ทางเข้าของเรือนลมเอนเอียง มองไปยังเสียงฝีเท้าที่ยุ่งเหยิงบนพื้นดิน
หัวคิ้วของนางขมวดขึ้น”ไปตรวจดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่จวน”
พันหน้าจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่แล้วได้และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปกติ”นายท่านแล้วถ้าหลานป๋าย … “
โหลว ชิงอู๋ส่ายหัว “ไม่น่าจะใช่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นที่จวน ถังเอ้อร์ก็คงจะแจ้งให้ข้ารู้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้ข้าแค่กังวลว่าโหลว ชุ่นเฟิงหรือใครบางคนอาจจะเรียกนางไป”
พันหน้าแข็งค้างไป ก่อนที่จะพยักหน้าในทันที “ขอรับ ข้าจะรีบไปสอบถามเดี๋ยวนี้เลย”
แม้ว่าเขาจะมั่นใจในทักษะการปลอมตัวของเขา แต่ใบหน้านั้นก็ยังไม่เหมือนหน้าเดิมโดยสมบูรณ์แบบ
ถ้านางถูกเรียกตัวไปด้วยความแตกต่างของนิสัยหลายป๋าย และบุคลิกของเจ้านายของเขา นางก็จะถูกเปิดเผยว่าเป็นตัวปลอม
พันหน้าวิ่งกลับมาในอีกสิบนาที “นายท่านเรามีปัญหาแล้ว องค์ชายสามมาเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน หลานป๋าย ตอนนี้ … ตอนนี้ … “
“นางอยู่ที่ไหน?”
“อยู่ในห้องโถงใหญ่กับองค์ชายสาม และกำลังพูดคุยกันอยู่ขอรับ”
เขาปิดใบหน้าของเขา ไม่กล้าที่จะนึกภาพว่าหลานป๋าย ได้เปิดเผยตัวเองไปแล้วกี่ครั้ง
โหลว ชิงอู๋แข็งค้างไป “เซี่ยโฮ่ว ฉิ่งหรือ?”
“ใช่ขอรับ องค์ชายสาม เขาเลือกที่จะมาผิดเวลา มาในตอนที่เราอยู่นอกจวน “
โหลว ชิงอู๋เงียบสักครู่
นางคิดถึงครั้งสุดท้ายที่หลายป๋ายตกอยู่ในอันตราย
เซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง ได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างแล้วและอาจจะรู้ความสำคัญของหลายป๋ายที่มีต่อนางแล้ว
ตามบุคลิกที่ดำมืดและน่ากลัวของเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง เขาคงจะคิดว่าเขานางอยู่ในมือเขาแล้ว
และเนื่องจากที่เขาฉลาดมาก เขาก็คงจะสามารถมองออกแล้วว่านางเป็นตัวปลอม
นางขมวดคิ้วพร้อมกับยืนขึ้น “ไปดูที่ห้องโถงใหญ่กันเถอะ”
“… ขอรับ แต่นายท่าน ท่านควรปลอมตัวเล็กน้อย”
“อืม”
โหลว ชิงอู๋และพันหน้า หลบทหารเข้าที่เรือนใหญ่เพื่อไปที่ห้องโถงใหญ่
นางไม่รู้ว่าเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง พูดอะไรกับพ่อบ้าน แต่มันก็ไม่มีคนรับใช้หญิงหรือชายแม้แต่คนเดียวในห้องโถงใหญ่ที่จะคอยรับใช้พวกเขา
มีเพียงหลานป๋ายและเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง เท่านั้นที่นั่งอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ แต่นางไม่ได้ยินเสียงที่พวกเขาพูด เพราะพวกเขาอยู่ไกลเกินไป
โหลว ชิงอู๋ เฝ้ามองอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดกับพันหน้าขึ้น “นำน้ำชาไปให้พวกเขาและบอกหลายป๋าย ให้ออกมาข้าจะเข้าไปแทน”
“ขอรับ!” พันหน้าจัดชุดให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เขาอยู่ในชุดคนรับใช้
เขาหยิบชุดชาที่เตรียมเอาไว้และเดินไปที่ห้องโถงใหญ่
ยิ่งเขาเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งได้ยินเสียงที่อบอุ่นและอ่อนโยนของเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง มากเท่านั้น
“… เจ้ายังไม่สามารถไปที่จวนได้ เด็กสาวคนนั้นเหย่ จี้ พูดทั้งวันพูดมากจนหูของข้าปวดไปหมด ดังนั้นวันนี้เมื่อข้าเสร็จจากราชสำนักนางก็หาเรื่องทะเลาะวิวาทและอยากจะมาพบเจ้า เสด็จพ่อมอบตำแหน่งใหม่ให้นาง นางจึงมีความสุขมากและอยากจะมาแบ่งปันข่าวกับเจ้า “
ด้านหลังของหลานป๋ายหันมาทางหน้าของพันหน้า ดังนั้นเขาจึงมองไม่เห็นการแสดงออกของนาง แต่เขาไม่พอใจกับเสียงเซี่ยโฮ่ว ฉิ่ง เลยแม้แต่น้อย
เขากำลังพูดราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับเจ้านายของเขามาก แต่พวกเขาสนิทกันมากขนาดนั้นแล้วหรือ?
โดยไม่รอให้หลานป๋ายเปิดปากของนาง เขารีบเดินไปข้างหน้าและวางชาลงไป “องค์ชายสาม คุณหนูใหญ่ ชาขอรับ”
หลังจากพูด เขาก็ใช้ร่างกายกั้นอยู่ระหว่างทั้งสอง
เขาหันไปเผชิญหน้ากับหลานป๋าย แต่เมื่อเขาเห็นการแสดงออกทางสีหน้าของนาง ร่างกายของเขาก็แข็งค้างไปทันที
ความคิดของโหลว ชิงอู๋ ยังคงมึนงงอยู่เล็กน้อย ในขณะกลืนยาลงไปอย่างเงียบ ๆ
โดยไม่รู้ว่าลิ้นของนางยังคงสัมผัสอยู่กับนิ้วของเฟิง เหย่เก้อร์
เฟิง เหย่เก้อร์ รู้สึกว่าราวกับเกิดกระแสไฟฟ้าขึ้นเล็กน้อยจากนิ้วมือของเขา ในขณะที่เขาหรี่ตาลง
อารมณ์ลึก ๆ บางอย่างวูบวาบอยู่ในดวงตาหงส์ของเขา ก่อนที่จะหายไปอย่างเงียบ ๆ
ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขายังคงเยือกเย็นและไร้ความรู้สึก แต่หัวใจเต้นเร็วมาก
เขาค่อยๆ ดึงนิ้วของเขากลับมาอย่างเงียบๆ และมองไปที่ใครบางคนที่โง่เขลา คิดว่าเขาจะต้องสอนบทเรียนที่ดีแก่นาง
“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?”
เขานั่งอยู่ข้างเตียงและพร้อมกับท่าทางที่เกียจคร้าน
โหลว ชิงอู๋ แข็งค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะยกศีรษะของนางขึ้น “ศีรษะของข้ายังคงเจ็บอยู่เล็กน้อย แต่ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว”
“เมื่อเจ้าช่วยฮูหยินเก้าให้ได้สติ เจ้าเคยคิดไหมว่าเลือดของเจ้าจะได้รับพิษมาด้วย?”
โหลว ชิงอู๋ พยักหน้า “ข้าคิดถึงความเป็นไปได้ว่าพิษจะไม่รุนแรงเกินไป ดังนั้นข้าจะไม่เป็นอะไรมาก”
จากนั้นนางก็พยายามจะขยับมืออีกครั้ง
นางไม่คิดว่านางจะหมดสติไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นนางจึงคิดว่านางคงจะอดทนได้จนกว่านางจะหายาแก้พิษได้
แต่ใครจะรู้ …
“ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
“พันหน้าส่งเจ้ามา”
“อืม … ” ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมนางถึงได้ตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้
ถึงแม้ว่าพิษจะไม่รุนแรง แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้นางตกอยู่ในสภาวะไร้สติอยู่ไม่กี่วัน
มือของนางงอเล็กน้อยและเมื่อค้นพบว่ากำลังของนางกำลังจะกลับมา โหลว ชิงอู๋ก็พยายามจะลุกขึ้นนั่ง
นางเกือบจะฟื้นตัวโดยสมบุรณ์แล้ว ดวงตาของนางก็ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น “ท่านเพิ่งจะให้ยาอะไรแก่ข้า?”
เฟิง เหย่เก้อร์ วางหมอนไว้ด้านหลังของนางและเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาก็มองไปที่นางอย่างเย็นชา
ริมฝีปากที่บางเฉียบของเขาเข้ากัดเข้าหากัน “บางสิ่งบางอย่างเพื่อคืนความแข็งแรงให้กับเจ้า”
“อ่า เช่นนั้นก็ขอบคุณศิษย์พี่” มิฉะนั้นนางคงจะต้องหมดสติไปสักสองสามวันและเมื่อถึงเวลานั้นใครรู้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงมากแค่ไหน
นี้อยู่นอกเหนือจากความคาดหวังของนาง
เฟิง เหย่เก้อร์ ยังนั่งอยู่ในจุดเดิม ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา
“เจ้ามีเรื่องอื่นที่จะต้องพูดกับข้าหรือไม่”
“อืม? พูดอะไรหรือ?”
อารมณ์ที่ดีแต่เดิมของเฟิง เหย่เก้อร์ดิ่งลงอีกครั้ง
นางวางแผนจะซ่อนทุกสิ่งทุกอย่างจากเขาหรือ?
“พิษของฮูหยินเก้าคือ ‘พันวันมึนเมา‘?”
โหลว ชิงอู๋ แข็งค้างไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า “ใช่”
“แล้วเจ้าวางแผนจะรักษามันอย่างไร?”
“…. ” หัวของโหลว ชิงอู๋ เจ็บเล็กน้อย “ข้ายังไม่ได้คิดถึงวิธีใดๆ เลย”
“แต่เจ้ากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ไม่ใช่หรือ? คิดว่าจะดึงหนอนวูดูมาไว้บนตัวเจ้าเอง? อย่าแม้แต่จะคิด! หนอนวูดูนั้นอยู่ในร่างของฮูหยินเก้ามาเป็นเวลานานเกินไป มันจึงพึ่งพากันและกันแล้ว ช่วงเวลาที่เจ้าดึงมันออกมา มันจะกลายเป็นอันตรายอย่างไม่น่าเชื่อสำหรับเจ้า เจ้าเคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่? ”
ใบหน้าของโหลว ชิงอู๋ซีดลง นางจะไม่คิดเกี่ยวกับความเป็นไปได้นี้ได้อย่างไร?
แต่ … ถึงแม้ว่านางจะมาอ้อนวอนนาง แต่นางจะละทิ้งมารดาของนางได้อย่างไร?
ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็ให้กำเนิดนางมา
นางลดสายตาลง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความมืดมน
มือของเฟิง เหย่เก้อร์ที่กำแน่นก่อนหน้าเริ่มคลายออก
ก่อนจะลูบหน้าผากของเขาอย่างยอมแพ้ “เจ้า เจ้าเคยคิดถึง … “
คนที่ห่วงใยเจ้าหรือไม่?
เฟิง เหย่เก้อร์ ไม่สามารถพูดถึงข้อความสุดท้ายของคำถามของเขาออกมาดัง ๆได้
เขากลัวว่าถ้าเขาจะเปิดเผยความรู้สึกของเขาที่มีต่อนางแม้เพียงเล็กน้อยออกมา เขากลัวว่านางจะทำตัวเหินห่างจากเขา
เพราะเขาห่วงใยนางมากเกินไป ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะพูด
โหลว ชิงอู๋ส่ายหัว “ศิษย์พี่ ข้าก็รักชีวิตของตัวเอง และจนกว่าข้าจะหมดหนทางจริงๆ ข้าถึงจะลงมือ “
“จริงๆหรือ?” การแสดงออกของเฟิง เหย่เก้อร์ดูดีขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้าจะไม่ทำอะไรวู่วาม?”
โหลว ชิงอู๋ เห็นความกังวลในสายตาของเขาและในที่สุดก็พยักหน้า “อืม”
“เอาล่ะ ข้าจะเชื่อเจ้าในครั้งนี้”
ตราบเท่าที่นางไม่ได้ทำอะไรวู่วาม เขาก็จะคิดหาวิธีอื่นในการรักษาพิษของหนอนวูดู
แม้ว่าพิษ ‘พันวันมึนเมา‘ จะไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาและเนื่องจากเดิมทีหนอนวูดูก้ถูกสร้างมาเพื่อควบคุมคน
ดังนั้นมันจะไม่น่าแปลกใจ ถ้านางจะมีทางออกไว้สำหรับตัวเอง