ระบบเจ้าสำนัก – ตอนที่ 2007 : เสี่ยวชีผู้ร้อนรน

ตอนที่ 2007 : เสี่ยวชีผู้ร้อนรน

ตอนที่ 2007 : เสี่ยวชีผู้ร้อนรน

  พูดโดยทั่วไปแล้วหากมีความหวังเล็กน้อย ล็อคก็คงไม่มีทางหนีเข้าไปในมิติภายนอก

  เพราะที่ด้านนอกเขตต้นกำเนิดนั้นต่างจากของด้านนอกของเขตลับทั้งเก้า มันไม่มีใครเคยไปด้านนอกของเขตต้นกำเนิดมาก่อน แม้ว่าจะมีคนเคยเข้าไปมาแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่เคยรอดกลับมาเลย ไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์ที่นั่นเป็นอย่างไร มันเหมือนกับมิติภายนอกของพื้นที่อื่นๆรึไม่ มิติภายนอกของเขตต้นกำเนิดนั้นใหญ่กว่ามิติภายนอกของเขตลับอื่นๆ แม้ว่าตัวจักรพรรดิจะเข้าไปเองแต่ก็คงใช้เวลานานเพื่อตามหาคน ในเวลาที่ยาวนานแบบนั้นแม่ทัพอาจจะใช้พลังจนหมดไปแล้ว

  และที่สำคัญที่สุดคือจักรพรรดิไม่อาจจะก้าวเข้ามาในเขตต้นกำเนิดง่ายๆ นี่ไม่ต้องนับการเข้าไปในมิติภายนอกของเขตต้นกำเนิดเลย

  เดิมพันมันสูงเกินกว่าที่จักรพรรดิจะรับไหว

  ดังนั้นจึงไม่อาจจะพึ่งการเข้าไปในมิติภายนอกของเขตต้นกำเนิดเพื่อหลบจากวงล้อมของทีมคังเฉียงได้

  นอกซะจากว่าสิ้นหวังจริงๆแล้ว มันก็ไม่มีใครยอมเข้าไปในมิติภายนอกของเขตต้นกำเนิดที่ต่างจากมิติภายนอกของเขตอื่นๆอย่างสิ้นเชิง

  ล็อครู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับฝั่งของบลู มันเป็นไปไม่ได้ที่บลูจะหนีเข้าไปยังมิติภายนอกเพราะแม้ว่าบลูและล็อคจะเสียสมบัติไปนับไม่ถ้วน แต่อย่างน้อยพวกเขาก็รอดมาได้ หากพวกเขาเข้าไปในมิติภายนอกของเขตต้นกำเนิดแล้ว มันก็ไม่มีอะไรมารับรองว่าเขาจะรอดไปได้

  ดังนั้นไม่ว่ายังไงก็ตามเขาก็ไม่อาจจะเข้าไปในมิติภายนอกของเขตต้นกำเนิดได้    เตรียมพร้อม   หลังจากที่ได้รับข้อความจาก หย่วนเหยี่ยน ล็อคก็ระวังมากกว่าเดิมและมุ่งหน้าไปยังทางออกสู่เขตหย่วนเหยี่ยน แต่เดิมแล้วพวกเขาก็ไม่อยากไปที่ทางออกสู่เขตข่งจู้อยู่แล้ว เมื่อเขตข่งจู้มีอันตรายขึ้นมา งั้นพวกเขาก็ยิ่งไม่อยากเข้าไปที่นั่นขึ้นไปอีก

  พวกเขาพากันมุ่งหน้าไปยังทางออกเขตหย่วนเหยี่ยนโดยรวดเร็วที่สุดเพราะกลัวว่าทีมคังเฉียงที่ทางออกข่งจู้จะเปลี่ยนใจมาปิดทางที่นี่

  …

  ที่ทางออกสู่เขตข่งจู้…..

  เมื่อซิงฮัวได้ยินที่จางลู่พูดมา นางก็ต้องอึ้งไป ปากของนางถึงกับอ้ากว้างออกมา

  คนที่เหลือเองก็พากันมองไปที่จางลู่ด้วยสีหน้าเหลือเชื่อเช่นกัน ในใจของพวกเขาสับสนขึ้นมาทันที

    พวกเขา..เองก็เป็นแม่ทัพสูงสุดงั้นรึ ? ใช้เวลาสักพักกว่าที่ซิงฮัวจะได้สติกลับมาและถามขึ้น

    ไม่ใช่แค่พวกเขา  จางลู่พูดขึ้นมาช้าๆ   ศิษย์และอาจารย์ทุกคนของสำนักคังเฉียงต่างก็เป็นแม่ทัพสูงสุดทั้งนั้น 

  ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นสายตาของแม่ทัพจากเขตเย่าหยางก็พากันเบิกกว้างขึ้นมาทันที

    อึก…  แม่ทัพคนหนึ่งถึงกลับกลืนน้ำลายลงไป

  คนอื่นๆรู้สึกว่ากำลังฝันอยู่ พวกเขารู้สึกว่านี่ไม่ใช่ความจริง

  เพราะมันซักเกินไปหน่อยแล้ว ?

  ศิษย์และอาจารย์ทุกคนในทีมคังเฉียง…เป็นแม่ทัพสูงสุดงั้นรึ ?

  แม่ทัพสูงสุดมากกว่าสองพันคนรึ ?

  หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าทีมคังเฉียงมีแม่ทัพสูงสุดกว่า 300 คน ซิงฮัวและคนอื่นๆอาจจะคิดว่าจางลู่หลอกพวกเขา แต่เมื่อมีแม่ทัพสูงสุดกว่าสามร้อยคน งั้นมันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ที่จะมีแม่ทัพสูงสุดกว่าสองพันคน

  …

  ที่ทะเลบรรพกาล

    ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงรึ ?  ซื่อเซียว มองไปที่ จางหยู แล้วถามขึ้นมา

  เย่าหยาง, อู่หมิง, หว่านเก่อและเรนไน พากันมองไปที่จางหยู

    ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรไม่ใช่รึ ?  จางหยูยังเยือกเย็นดังเดิม   พูดไปแล้วข้าก็ต้องขอบคุณพวกเจ้าที่ให้ลูกปัดดั้งเดิมกับข้ามามากมายแบบนี้ ไม่งั้นแล้วพวกเขาอาจจะขึ้นมาเป็นแม่ทัพสูงสุดไม่ได้ 

  ต้องรู้ก่อนว่าถึงไม่ได้รับทรัพยากรใดๆ ร่างแยกบ่มเพาะของเขาก็นำหน้าศิษย์และอาจารย์ไปได้ในด้านอื่นๆแต่ถึงจะเป็นแบบนนั้นการบ่มเพาะของร่างเหล่านั้นก็เพิ่งขึ้นมาถึงแม่ทัพสูงสุดเมื่อไม่นานมานี้

  ดังนั้นหากศิษย์และอาจารย์ไม่ได้เปรียบเรื่องทรัพยากรแล้ว เดาว่าความแข็งแกร่งของพวกนี้อย่างมากก็คงแค่พอๆกับ ซิงฮัว รึอาจจะเทียบได้ด้วยซ้ำ

  หากแม่ทัพแบ่งเป็น 4 ขั้น งั้นแม่ทัพสูงสุดก็คือขั้นที่ 1 ขั้นที่ 2 คือจิงหงและเชินหยู ขั้นที่ 3 คือแม่ทัพใหม่ ส่วนเสียเทียนและหยงซิวคือขั้นที่ 4

  ความแข็งแกร่งของศิษย์และอาจารย์นั้นพัฒนาจากขั้น 2 มาถึงขั้น 1 ได้ก็เพราะลูกปัดดั้งเดิม

  เมื่อได้ยินที่จางหยูพูดมา ซื่อเซียวและคนอื่นๆก็พากันปากกระตุก พวกเขาไม่ได้ใช้ลูกปัดดั้งเดิมเพื่อฝึกฝนแม่ทัพ มันกลับเป็นว่าด้วยลูกปัดดั้งเดิมนี้จะช่วยย่นเวลาให้กับแม่ทัพในการบ่มเพาะอย่างมาก ถึงอย่างนั้นจำนวนลูกปัดดั้งเดิมที่ต้องใช้ก็มากจนน่าทึ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงยอมทิ้งความคิดนี้ไป

  แต่ตอนนี้พวกเขาไม่รู้เลยว่าจางหยูบ่มเพาะแม่ทัพสูงสุดกว่าสองพันคนได้ยังไงด้วยลูกปัดที่พวกเขาให้ไป !

  หากมีแม่ทัพสูงสุดมากมายแบบนี้คอยรับใช้ งั้นทีมคังเฉียงจะต้องกลัวอะไรอีก ?

  หากส่งแม่ทัพสูงสุดสัก 10 คนออกไปก็เอาชนะทั้งทะเลโกลาหลได้แล้ว พวกต่ำกว่าจักรพรรดินั้นใครจะมาเทียบกับทีมคังเฉียงได้ ?

    คังเฉียง เราปรึกษาอะไรเจ้าได้รึไม่ ?  เย่าหยางเผยรอยยิ้มออกมาและพูดขึ้นด้วยท่าทีประจบ

  จางหยูไม่ได้ตอบอะไรกลับ เขาแค่รอให้อีกฝ่ายพูดมา

    เจ้าให้คนกับเราได้รึไม่ ?  เย่าหยางพูดขึ้นมาด้วยท่าทีคาดหวัง   ไม่มากเท่าไหร่ แค่ 10 คนก็พอ ! 

  แม่ทัพสูงสุด 10 คนก็เพียงพอที่จะกดดันทั้งทะเลโกลาหลได้แล้ว

  เมื่อได้ยินแบบนั้น ซื่อเซียวก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา   ใช่ คังเฉียง เจ้าให้เรายืมคนสัก 10 คนได้รึไม่ ? เรารับรองว่าจะดูแลพวกเขาอย่างดี เราจะให้สมบัติขั้นสมบูรณ์กับพวกเขาด้วย ! เราจะให้ลูกปัดดั้งเดิมจำนวนมากเป็นรางวัล ! 

  อู่หมิง อ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรแต่เขากลับเงียบไป

  หว่านเก่อและเรนไนเองก็ ไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย พวกเขาไม่อยากรบกวนอะไรจางหยูมากนัก

  เมื่อเห็นท่าทีประจบของซื่อเซียวและเย่าหยาง จางหยูก็พูดขึ้นมา   พวกเจ้าเหมือนจะลืมไปว่านี่คือทะเลบรรพกาล ไม่ใช่ทะเลโกลาหล 

  ซื่อเซียวอึ้งไป

   ในทะเลบรรพกาลนั้น ตราบใดที่ขึ้นไปถึงแม่ทัพสูงสุดได้ก็มีโอกาสขึ้นเป็นจักรพรรดิได้  จางหยูอธิบายช้าๆ   ก่อนที่จำนวนจักรพรรดิจะครบเต็มจำนวนแล้ว ในทางทฤษฎีพวกเขามีโอกาสขึ้นเป็นจักรพรรดิกันทุกคน บอกได้ว่าพวกเขาคือว่าที่จักรพรรดิก็ว่าได้ พวกเจ้าคิดว่าพวกเขาจะไปยอมรับใช้คนอื่นรึ ?      นี่…  ซื่อเซียวและเย่าหยางอึ้งไป พวกเขาไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้

  แต่ซื่อเซียวก็คิดหาทางได้ออก   แต่พวกเขาทุกคนไม่อาจจะเป็นจักรพรรดิได้ ยังไงซะแม้ว่ากฎของทะเลบรรพกาลจะต่างจากทะเลโกลาหล แต่จำนวนจักรพรรดิก็ต้องมีจำกัด พวกเขามีกันกว่าสองพันคน สุดท้ายก็มีแค่ไม่กี่คนที่ขึ้นเป็นจักรพรรดิได้ไม่ใช่รึ ? 

  จางหยูยักไหล่   ใครจะไปรู้ว่าจะมีกี่คนที่ขึ้นเป็นจักรพรรดิได้ ? 

    เจ้า..  ซื่อเซียวคิ้วขมวดและพูดขึ้น   หากเจ้าไม่ต้องการ เช่นนั้นทำไมต้องหาข้อแก้ตัวด้วย ? 

  จางหยูพูดขึ้นมา   ใช่ ข้าไม่ต้องการเช่นนั้น เจ้าไม่พอใจรึไง ? 

  ซื่อเซียวกลัวจนแทบกระอักเลือดออกมา เขาอยากจะด่ากลับแต่ก็ไม่กล้าจะพูดอะไรออกมา

  …   ที่ทางออกสู่เขตหย่วนเหยี่ยน

    พวกเขาจะมากันจริงๆรึ ?  เสี่ยวชีเบื่อขึ้นมา   นี่ก็นานมาแล้ว รึว่าพวกเขาจะหนีไปทางอื่น ? 

  ความว่างเปล่าพูดขึ้นมาอย่างใจเย็น  รอไปก่อน พวกเขามาแน่ 

  เมื่อบลู เดินทางไปยังทางออกสู่เขตข่งจู้ งั้นก็มีโอกาสสูงที่ล็อคจะเดินทางมายังทางออกสู่เขตหย่วนเหยี่ยน

    แต่มันน่าเบื่อที่ต้องรออย่างเดียว  เสี่ยวชีไม่เคยว่างมาก่อน หากต้องอยู่เฉยๆคงไม่ใช่เขา   รึว่าเราควรเดินทางออกไปตรวจสอบดู บางทีเราอาจจะพบกับพวกนั้นระหว่างทางก็เป็นได้ ? 

  เมื่อได้ยินแบบนั้นความว่างเปล่าก็พูดขึ้น   ได้ เจ้าพาคนครึ่งหนึ่งออกไปตรวจสอบดูก็แล้วกัน 

    อึก  เสี่ยวชีแค่พูดเล่นแต่ไม่คิดเลยว่าความว่างเปล่าจะตกลง มันเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ความว่างเปล่าก่อนจะพูดขึ้น   นายท่าน ท่านพูดจริงรึ ?  เขากลัวว่าความว่างเปล่าจะพูดผิดไป

  ความว่างเปล่ามองไปที่เสี่ยวชีและพูดขึ้น   เจ้าเลือกเอาว่าจะหุบปากรึรีบเดินทางออกไปเสีย 

  เสี่ยวชีได้สติเขาราวกับเกิดใหม่และมองไปที่อู่โม่, เติ้งฉิวชานและคนอื่นๆ   พวกเจ้าอยากตามข้าไปรึไม่ ? มีโอกาสเดียวเท่านั้น ! 

  ตอนที่อู่โม่และคนอื่นๆก็เริ่มจะเบื่อนั้น พวกเขาก็ได้พูดขึ้น   ก็ได้ เราจะออกไปตรวจสอบด้วย ตะกี้เรารีบกันจึงไม่ได้สำรวจเขตต้นกำเนิดกัน 

  เสี่ยวชี, อู่โม่, เติ้งฉิวชาน และคนอื่นๆได้เดินทางออกมา ในพริบตาพวกเขาก็มีคนกว่า 100 คนเดินหน้าไปทางส่วนใต้ของเขตต้นกำเนิด

 

ระบบเจ้าสำนัก

ระบบเจ้าสำนัก

จางหยู ชายหนุ่มจากมนุษย์โลก ได้บังเอิญทะลุมิติมายังทวีปป่า  ดินแดนแห่งการบ่มเพาะที่เกรียงไกร
มิหนำซ้ำยังได้เป็นเจ้าสำนักที่ใกล้จะเจ๊งอยู่รอมร่อ
      ทั้งสำนักมีเพียงสุนัขหนึ่งตัว ดังนั้นเขาต้องพึ่งวิธีหลอกลวงเพื่อรับสมัครลูกศิษย์
หลังจากลำบากลำบนกับการรับสมัครลูกศิษย์คนแรก จางหยูก็ได้รับความสามารถมองทะลุจาก “ระบบเจ้าสำนัก”
     เมื่อเปิดใช้ความสามารถมองทะลุ จางหยูก็สามารถมองเห็นคุณสมบัติของคนอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นเพศ อายุ พรสวรรค์ หรือแม้แต่การบ่มเพาะ
ด้วยความสามารถนี้ จางหยูจึงมองเห็นข้อผิดพลาดในทักษะและเคล็ดวิชาต่างๆ ทำให้เขาสามารถแก้ไขทักษะและเคล็ดวิชาเหล่านั้นให้สมบูรณ์แบบได้
    ด้วยความสามารถมองทะลุ จางหยูจึงมองเห็นข้อบกพร่องของทักษะและเคล็ดวิชาที่ศัตรูฝึกฝน รวมไปถึงจุดอ่อนของศัตรู
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โชคชะตาของจางหยูก็มาถึงจุดเปลี่ยน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท