ราชันเทพเก้าสุริยัน Nine Sun God King – ตอนที่ 800 : คําสาปร้าย

ตอนที่ 800 : คําสาปร้าย

ตอนที่ 800 : คําสาปร้าย

ฉินหยุนเพิ่มพูนกําลังมหาศาลอย่างกะทันหัน เป็นการกระทําเหนือความคาด คิดของผู้ปกครองแพะภูตผี ก่อนหน้านี้ ฉินหยุนฝึกฝนอยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ําระดับสูง กําลังมีทัด เทียมราชันยุทธ์ระดับต้น ตอนนี้หลังหยิบยืมพลังจากจิตวิญญาณราชสีห์สวรรค์ กําลังของเขาตอน นี้จึงทัดเทียมราชันยุทธ์ระดับกลาง และรวมกับกําลังของร่างเซียนอสูร มันจึงเผยความเลิศอัน แท้จริงของเขาออกมา ผู้ปกครองแพะภูตผีชะงักงันไปครู่ เป็นเขาไม่มีกําลังต้านรับเอาไว้ได้

 เจ้า… เหตุใดจึงแข็งแกร่งขึ้นอย่างกะทันหัน?  ผู้ปกครองแพะภูตผีท้ายที่สุดจึงพบเห็นโอกาส ยามนี้เร่งรีบล่าถอยไปด้วยความหวาดเกรง

 หัวแพะที่บัดซบ อย่าได้คิดหนี!  ฉินหยุนตะโกนดัง

เมื่อไล่ตามไป ผู้ปกครองแพะภูตผีจึงเร่งร้อนหลบเลี่ยง กระนั้น รากไม้จํานวนมากพลันปรากฏจากพื้นเบื้องล่างพันธนาการร่างเอาไว้ ด้วยไม่อาจขยับเคลื่อนไหว ผู้ปกครองแพะภูตผีพยายามใช้กําลังเลิศล้ําหาทางเป็นอิสระจากรากไม้ ทว่าก็ได้เพียงแต่ดิ้นรน การโจมตีมาถึงกระบี่ศักดิ์ สิทธิ์วิญญาณปรโลกที่ถูกส่งกระเด็นไปเมื่อครู่ ตอนนี้กลับคืนสู่มือของฉินหยุนแล้ว

 นายท่าน โปรดช่วยข้า!  ผู้ปกครองแพะภูตผีตะโกนร้องอย่างหวาดกลัว ในพริบตา ศีรษะนั้นจึงถูกผ่าแยกออกโดยกระบี่ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณปรโลกของฉินหยุน

โกนร้องดัง  นายท่าน ช่วย… 

กระบี่ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณปรโลกที่ยังค้างบนศีรษะของผู้ปกครองแพะภูตผี เวลานี้มันเข้าดูดกลืนจิตวิญญาณในร่างเลือนหาย เป็นความตายโดยสมบูรณ์ หลังจากที่กระบี่ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณ ปรโลกได้ดูดกลืนพลังจิตวิญญาณมากเพียงพอ มันจะเข้าสู่สภาวะฟื้นฟูตัวเอง

ตึง!

ร่างผู้ปกครองแพะภูตผีร่วงหล่นกับพื้นดัง ชนเผ่ายุคโบราณและผู้คนเขตแดนลึกล้ําล้วนตื่นตะลึงยามได้พบเห็น อีกฝ่ายเป็นราชันยุทธ์ เป็นคนของชนเผ่าโบราณ กระนั้นก็ยังถูกฉินหยุนลงมือสังหาร

 ข้าชนะแล้ว พวกเราไปได้แล้วใช่หรือไม่?  ฉินหยุนมองทางมังกรภูตผี

เมื่อครู่ ไม่เพียงแต่มังกรภูตผีได้พบเห็นร่างเซียนอสูรของฉินหยุน เขายังได้ทราบว่ากระบี่ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณปรโลกในมือฉินหยุนไม่ใช่ธรรมดา เขาจึงแค่นเสียงกล่าว  พวกมันล้วนไปได้ ทว่าเจ้าไม่อาจ! เจ้าสังหารข้าทาสที่เก่งกาจของข้าไป ดังนั้นจงอยู่ที่นี่เพื่อแทนที่มัน! 

 แล้วหากข้าไม่คิดอยู่เล่า?  ฉินหยุนกล่าวเสียงเย็น

 หากเจ้าไม่คิดอยู่ เช่นนั้นพวกมันตาย!  มังกรภูตผีหัวเราะโฉดชั่วเสียงดัง ร่างนั้นแปรเปลี่ยนเป็นมวลพลังงานสีดําชั่วร้าย

วูบ!

ออร่าอสูรดุร้ายจํานวนมหาศาลพลันแปรเปลี่ยนเป็นกรงเล็บมังกรสีดํา มันไปปรากฏที่เบื้องบนคณะของเปาเฉิงโจ่ว

 เจ้าอยู่ที่นี่ พวกมันล้วนไปได้!  มังกรภูตผีมองฉินหยุนเป็นสมบัติตั้งแต่หัวจรดเท้า ดังนั้นเขาจะไม่มีทางปล่อยอีกฝ่ายไปอย่างแน่นอน

 ฉินหยุน อย่าได้ฟังมัน พวกเราอยู่ที่นี่ ร่วมมือกันกดดันสังหารมัน!  เจี้ยนหลิงหลงตะโกนกล่าว

 ฉินหยุน หากเจ้ารั้งอยู่ ผลที่ตามมาย่อมคาดเดา อย่าได้ฟังคําของมัน!  เปาเฉิงโจ่วร้องตะโกน

ฉินหยุนทราบกระจ่างถึงกําลังของมังกรภูตผีเป็นอย่างดี หากต่อสู้กัน พวกเขามีแต่ชะตาต้องตาย

 ข้าจะอยู่เอง  ฉินหยุนตอบกลับ

 ดี. ฮ่าฮ่าฮ่า!  มังกรภูตผีหัวเราะดัง ศีรษะนั้นไหววูบก่อนประตูหยกทองคําบานยักษ์เปิดออก ภายนอกประตู มันคือฝูงยักษ์ที่ตอนนี้เบิกออกเป็นทางสายยาว

 พวกเจ้าไปได้แล้ว!  มังกรภูตผีปลดปล่อยมวลพลังงานสีดํา ปกคลุมเจี้ยนสือเทียนและคณะพร้อมผลักดันออกไปนอกประตูหยกทองคํา เปาเฉิงโจ่วและคณะต่างถูกประตูปิดไล่ตามหลัง

 เจ้าคือฉินหยุนใช่หรือไม่?  มังกรภูตผีมองที่ฉินหยุน ตัวเขาเวลานี้สนใจฉินหยุนเป็นอย่างยิ่ง

 ใช่!  ฉินหยุนตอบคําเสียงเย็น  เหตุใดจึงต้องการให้ข้ารั้งอยู่? 

 เข้าไปในโลงนั่น!  มังกรภูตผีโบกมือไหววูบ พลังเหนือล้ําได้ปกคลุมรอบกายฉินหยุน มันทําให้ร่างของเขาต้องลอยเข้าไปในโลงก่อนฝาจะเปิดลง

สื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนชื่อ เวลานี้ต่างร้อนใจไม่รู้จบสิ้น โลงนั่นแท้จริงแล้วเป็นผนึก ทั้งยังยากลําบากหากคิดออกมา

 นายท่าน ท่านมีแผนอย่างไร? ตระเตรียมไปจากที่นี่หรือ?  เซียนเฒ่าเต่าก้าวเดินเข้ามาเอ่ยถาม

 ข้ายังไม่อาจไปจากที่นี้ ด้านบนสมควรยังมีอาคมผนึกอีกมากมายคงอยู่  มังกรภูตผีกล่าวเสียงเย็น

 อย่างนั้นนายท่านคิดทําอย่างไรกับเจ้าปีศาจน้อยตนนั้น?  ชายชราตระกูลหลงเอ่ยถาม

 ขังมันเอาไว้ ผ่านไปสิบสองชั่วยาม จิตวิญญาณมันจะแหลกสลาย ถึงตอนนั้นร่างมันก็ตกเป็นของข้า ข้าจะทําให้มันเป็นหุ่นเชิด!  มังกรภูตผีเผยยิ้มกล่าว

ได้ยินคําดังนี้ สื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อยิ่งกังวล พวกนางเร่งรีบพุ่งเข้าไปยังโลงศพ คิดพยายามผลักเปิดมันออก! พวกนางไม่คิดร้องขอต่อหลันซูเหยา เพราะฉินหยุนมีข้อพิพาทกับนาง พวกนางต่างคิดว่าอีกฝ่ายสมควรไม่ลงมือช่วยเหลือ กระนั้น หลันซูเหยากลับตามพวกนางมา

 เจ้า… ไม่ใช่ข้าทาสของข้าหรือ?  มังกรภูตผีเอ่ยถามด้วยโทสะ

 พวกเราหาได้รับสิ่งของใดจากเจ้าไม่!  หลันซูเหยากล่าว

 โอ้? ฉินหยุนในโลงนั่นเป็นของข้าแล้ว เจ้าคิดอยากฉกชิงสิ่งของจากข้าหรือ?  มังกรภูตผีเผยเสียงเหยียดหยัน

หลันซูเหยามองที่มังกรภูตผี ดวงตาของนางพลันระเบิดออกซึ่งแสงสีน้ําเงิน

เซียนเฒ่าเต่าเร่งร้อนตะโกน  นายท่าน เร่งรีบสังหารนาง นางครอบครองสองเนตรศักดิ์สิทธิ์! 

ได้เห็นแสงสีน้ําเงิน มังกรภูตผีประหลาดใจเล็กน้อย ร่างนั้นหลบเลี่ยง หมัดต่อยเข้าหน้าท้องหลันซูเหยา นางกรีดร้องเจ็บปวดดังออกมา

 สองเนตรศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นของข้าแล้ว! 

มังกรภูตผีหัวเราะดังยินดี มือขณะนี้คว้าเข้าที่ลําคอของหลันซูเหยา ก่อนจะควักเอาดวงตาสีครามทั้งสองของนางออกมา จากนั้นจึงกลืนกินพวกมันทั้งสองโดยตรงจนปรากฏดวงตาสีครามที่ร่างของมันแทน

 อาจารย์!  สื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อ ยามนี้ได้เห็นดวงตาของหลันซูเหยาถูกควักออก พวกนางร้องตะโกนโศกศัลย์

พวกนางทําได้เพียงขยับฝาโลงอย่างน้อยนิด ฉินหยุนได้เห็นฝาโลงเบิดเล็กน้อย เขาจึงพยายามโจมตีฝาโลงสุดแรงเปิดมันออก ฉินหยุนที่ออกมาได้ เขาจึงได้เห็นหลันซูเหยานอนกับพื้น ร่างกายของนางโชกด้วยเลือด ดวงตาสีครามทั้งสองไม่มีแล้ว ใบหน้านางมีแต่คราบโลหิตชวนสะพรั่ง

มังกรภูตผีพบเห็นฉินหยุนออกมาได้ ร่างนั้นเร่งรีบทะยานหาพร้อมต่อยเข้าไปหลายครั้ง ฉินหยุนร่างกระเด็นปะทะกับชั้นน้ําแข็งบนกําแพงก่อนร่วงหล่นกับพื้น

น้ําแข็งย้อยร่วงหล่นเข้าปกคลุมฉินหยุน

 ผู้หญิงสามคนนี้ข้ามอบให้พวกเจ้า ข้าต้องการเพียงมันผู้นั้น ร่างกายมันแข็งแกร่งยิ่ง!  มังกรภูตผีแสยะยิ้มพร้อมกล่าวคําดัง

สื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อเข้าช่วยพยุงหลันซูเหยาก่อนถอยร่น

ผู้คนของเขตแดนลึกล้ําและตระกูลหลง รวมถึงชนเผ่าโบราณล้วนเผยรอยยิ้มโฉดชั่วที่ใบหน้า สาเหตุว่าทําไมพวกเขาเคารพแด่หลันซูเหยา นั่นก็เพราะเนตรศักดิ์สิทธิ์ของนาง ตอนนี้ดวงตาของนางไม่มีอีกต่อไป ทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัส

 นางซูเหยาผู้นี้ ข้าคิดอยากขึ้นคร่อมมันมานานแล้ว รวมถึงศิษย์ทั้งสองของมันด้วย ฮ่าฮ่า ฮ่า… ได้เสพสมกับทั้งอาจารย์และศิษย์ นี่ช่างน่าสนใจนัก!  มนุษย์สัตว์หัวจระเข้กล่าวคําหัวเราะเสียงดังลั่น ผู้อื่นล้วนหัวเราะโฉดชั่วดังตาม

สื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อต่างเร่งรีบขว้างปายันต์ออกไปหลายแผ่น เหล่านี้เป็นฉินหยุนมอบไว้ให้พวกนาง

ครืน

ทันใดนี้เอง อัคคีเพลิงร้อนแรงระเบิดออก กลุ่มคนที่ก้าวเดินเข้ามาต่างร้องตะโกนเจ็บปวดเพราะแรงระเบิด แม้พวกเขาถูกแรงระเบิดโจมตีหนักหน่วง ทว่าไม่มีผู้ใดตายตก กลับกลายเป็นการกระตุ้นโทสะพวกเขาให้มากยิ่งขึ้น

ด้วยโทสะลุกโชน พวกเขาเหล่านั้นพุ่งทะยานร่างเข้าหาพร้อมโจมตีสุ่ยเทียนสื่อและสื่อชิงเฉิง เพียงอึดใจเดียว สุ่ยเทียนสื่อและสื่อชิงเฉิงล้วนได้รับบาดเจ็บหนัก พวกนางยังไม่ก้าวถึงขอบเขตราชันยุทธ์ เวลานี้ถูกล้อมด้วยจักรพรรดิยุทธ์และครึ่งเซียนหลายคน ย่อมเป็นเรื่องปกติที่ไม่อาจต้านทานไว้

 พวกเจ้าล้วนตาย!  ร่างที่นอนกับพื้น หลันซูเหยาพลันนําเอาดวงตาสี่เหลี่ยมออกมา ดวงตานั้นระเบิดออกซึ่งแสงสีแดงเข้าปกคลุมกลุ่มคนที่ปิดล้อม

ตุ้ม!

บรรดาผู้ที่ตอบสนองไม่ทัน ร่างต้องกลายเป็นแอ่งเลือด มีแต่จักรพรรดิยุทธ์และครึ่งเซียนกว่าสิบคนที่ต้านรับไว้ได้ ผู้อื่นอีกกว่าสองถึงสามร้อยล้วนตายตกกลับกลายเป็นแอ่งเลือด เซียนเฒ่าเต่าเองก็นอนกับพื้นพร้อมชีวิตโรยรินที่เหลือรอด ตัวเขาเวลานี้หวาดกลัวต่อความตายเป็นล้นพ้น

 นายท่าน!  เซียนเฒ่าเต่าร้องตะโกน

มังกรภูตผีอยู่ระหว่างการตรวจสอบร่างฉินหยุน เขาพลันพบเห็นเหตุการณ์อีกด้านหนึ่งจึงเร่งรีบทะยานมา ได้เห็นดวงตาสี่เหลี่ยมในมือหลันซูเหยา เขาเผยความหวาดกลัว พร้อมเร่งรีบใช้ฝ่ามือโจมตีหลันซูเหยาฉกชิงดวงตาสี่เหลี่ยมเหล่านั้นไป

 ช่างโง่เขลากันนัก!  มังกรภูตผีได้เห็นข้ารับใช้มากมายถูกสังหารในอึดใจ เวลานี้ยิ่งมีโทสะ

 นายท่าน ฉินหยุนนั้นมีของดีมากมายอยู่กับตัว พวกเราไม่ควรสังหารมันเร็วเกินไป! แม่นางสองคนตรงนี้มีสัมพันธ์อันดีกับฉินหยุน หากจับพวกนางไว้ พวกเราจะบีบบังคับให้มันส่งมอบของที่มีออกมาได้! 

ชายชราตระกูลหลงก้าวเดินเข้ามาพร้อมกล่าว

 นามเจ้าว่าอะไร?  มังกรภูตผีมองที่ชายชราพร้อมเอ่ยถาม

 นามข้าน้อยหลงอุ่นหยวน เป็นคนตระกูลหลง  ชายชรากล่าวตอบ

 ฉินหยุนมันมีอะไรดี?  มังกรภูตผีเอ่ยถาม

 นอกจากสองจารึกวิญญาณ ฉินหยุนยังคงมีหม้อราชสีห์สวรรค์สะกดมังกรอันทรงอํานาจ!  หลงอุ่นหยวนเผยรอยยิ้มโฉดชั่ว  หากข้าลงคําสาปต่อแม่นางสองคนนี้ พวกเราย่อมบีบบังคับฉินหยุนได้! 

 คําสาปอันใด?  มังกรภูตผีเผยความสนใจยิ่งออกมา

 เป็นคําสาปของพวกเราตระกูลหลง ตราบเท่าที่ต้องถูกคําสาป มีแต่ตระกูลหลงของเราจึงถอนมันออกได้!  หลงอุ่นหยวนกล่าว

 ได้ อย่างนั้นเร่งรีบใช้คําสาปนั่นกับพวกนาง!  มังกรภูตผีหัวเราะรับ

หลงอุ่นหยวนก้าวเดินเข้าหาสื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อที่นอนกับพื้นเพราะอาการบาดเจ็บ จากนั้นจึงนําเอาไข่มุกคําสาปสองลูกออกมาปลูกถ่ายคําสาปที่ร่างพวกนาง

ฉินหยุนบาดเจ็บรุนแรง เขาได้แต่นอนกับพื้นรับชม ความโกรธแค้นในใจเวลานี้แทบพุ่งสูงถึงฟากฟ้า

หลงอุ่นหยวนลงมือเรียบร้อยจึงหันกลับมายิ้มกล่าว  เรียบร้อยขอรับนายท่าน! 

หัวใจฉินหยุนแทบหลั่งโลหิตแห่งความโกรธแค้น เขาร้องตะโกน  ตัวบัดซบตระกูลหลง ข้าจะล้างสังหารทั้งตระกูลหลงเจ้าให้จบสิ้น! 

หลงอุ่นหยวนหัวเราะดังตอบ  มีแต่พวกเราตระกูลหลงแห่งแคว้นมังกรทะยานฟ้าจึงสามารถถอนคําสาป หากเจ้ามีความกล้า เช่นนั้นจงไปสังหาร! 

สื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนต่างร่างเริ่มกรีดร้องเจ็บปวดดังออกมา

 ฮ่าฮ่าฮ่า ฉินหยุนเอ๋ย เจ้าจงรับชมและรับฟังพวกนางกรีดร้อง ทุกหนึ่งชั่วยาม พวกนางจะยิ่งเจ็บปวดเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่า!  หลงอุ่นหยวนหัวเราะโฉดชั่วดัง  เร่งรีบนําเอาของดีที่เจ้ามีออกมา แล้วข้าจะให้พวกนางได้ตายอย่างรวดเร็ว! 

ทันใดนี้เอง ฉินหยุนจึงได้ยินเสียงเหยาเฟิง  ฉินหยุน เหตุใดเรียกหาข้าเร่งร้อนเพียงนั้น? เกิดเรื่องขึ้นหรือ? ข้าเก็บตัวฝึกฝนจึงปิดกั้นการรับรู้ ที่ข้าได้ยิน ก็เพียงเสียงร้องตะโกนของเจ้าที่ดัง! 

 

ตอนที่ 799 : มังกรภูตผี

ฉินหยุนรู้สึก ว่าโลงศพยักษ์ภายในภูเขาน้ําแข็งนั้นสมควรมีอันตรายมากล้ําคงอยู่

หลันซูเหยาไม่กล่าวคําใด เพราะผู้คนของเขตแดนลึกล้ํา ต่างร่วมมือกับคนของชนเผ่ามนุษย์สัตว์ พวกเขาราวกับคลุ้มคลั่งโจมตีใส่ภูเขาน้ําแข็งกันยกใหญ่

 พวกเราควรอยู่ให้ห่างจากภูเขาน้ําแข็งนั่น!  เปาเฉิงโจ่วกล่าว

เจี้ยนสือเทียนและคณะคนกว่าสิบต่างเคลื่อนตัวออกห่าง พวกเขากังวลว่าจะได้รับผลกระทบ ยามเมื่อโลงศพขนาดใหญ่นั้นเปิดออกไม่นาน ภูเขาน้ําแข็งจึงแหลกออกเป็นชิ้น

หลิงหยุนเอ๋อกล่าว  เดิมภูเขาน้ําแข็งนั่นสมควรมีผนึกมากมาย ทว่าด้วยเวลาผ่านไปนานนับไม่ถ้วน ผนึกเหล่านั้นจึงเสื่อมสภาพ ตอนนี้จึงเปิดออกได้ง่ายดายเช่นนี้ 

ฉินหยุนเผยสีหน้าหนักอึ้ง เขาส่งเสียงสื่อสารหาเหยาเพิ่งที่อยู่ในไข่มุกเม็ดที่สามของวิญญาณ เทวะเก้าตะวัน ทว่านางไม่ตอบกลับ นี่ยิ่งทําให้เขาเป็นกังวล

ตู้ม!

ท้ายที่สุด กลุ่มคนจึงทําลายภูเขาน้ําแข็งน้อยนั้นได้สําเร็จ โลงศพยักษ์ได้ร่วงหล่นลงกับพื้นพร้อมเสียงดังสนั่น

 เร่งรีบเปิดมัน ภายในสมควรมีแต่ของดี!  เซียนเฒ่าเต่าก้าวเดินไปพร้อมหัวเราะ จากนั้นเขาจึงตะโกน  พวกเราควรร่วมมือกันเปิดฝาโลงนี้! 

ครึ่งเซียนและจักรพรรดิยุทธ์ทั้งหลายต่างเดินเข้าไป ร่วมแรงกันยกเปิดฝาโลงศพ

หลันซูเหยาเกิดกังวลขึ้นมา นางถอยห่างจากโลงศพนั้น

ตุ้ม!

ฝาโลงศพยักษ์เปิดออกด้วยตัวของมันเอง กลุ่มก้อนมวลพลังงานสีดําทะลักล้นออกจากภายในโลงกระจายตัวออก

ตึง ตึง ตึง!

จากโลงศพยักษ์ หลายสิ่งอย่างหลุดลอยออกมาพร้อมมวลพลังงานสีดํา

 เป็นอุปกรณ์เต… กระทั่งมีอุปกรณ์ราชัน!  ครึ่งเซียนจากเขตแดนลึกล้ําตะโกนอย่างนึกถึง

พื้นที่ใกล้เคียงเวลานี้มีแต่อาวุธและสมบัติวางกอง แม้มวลพลังงานสีดํากระจายทั่ว กระนั้นก็ยังนําเอาอุปกรณ์วิเศษออกมาจากภายใน

 ฮ่าฮ่าฮ่า ข้ากล่าวแล้วว่าเป็นสมบัติ! เจ้าปีศาจน้อยฉินหยุนนั่นกลับกล่าวว่าเป็นอันตราย!  เซียนเฒ่าเต่าหัวเราะดังขณะกล่าว จากนั้น กลุ่มคนที่ร่วมแรงจึงเริ่มทะเลาะกันแย่งชิงสมบัติ

 อย่าได้ไป!  เจี้ยนสือเทียนตะโกนบอกต่อบรรดาอาจารย์จารึกเต๋

อาจารย์จารึกเต๋เหล่านี้ที่คิดเข้าไป พลันต้องหยุดชะงัก

เซียนเฒ่าเต่ามองทางเจี้ยนสือเทียนและคณะพร้อมตะโกนดัง  อย่าได้คิดว่าพวกเจ้าจะนํามันไปได้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าพวกเราเสียมารยาท! สิ่งของเหล่านี้เป็นของพวกเรา เจ้าไม่มีคุณสมบัติได้รับพวกมันไป! 

หลันซูเหยาขมวดคิ้วแน่น นางหันมองทางกลุ่มก้อนพลังงานสีดําที่ลอยอยู่! มวลพลังงานสีดําอัดแน่นด้วยออร่าแข็งแกร่ง เพราะเซียนเฒ่าเต่าและผู้ปกครองแพะภูตผีได้ใจจนเกินไป พวกเขาจึงไม่สนใจอีกทางด้านหนึ่ง ทว่ากลุ่มของฉินหยุนต่างให้ความสนใจมาโดยตลอด

อย่างกะทันหัน มวลพลังงานสีดําที่ลอยด้านบนเริ่มควบแน่นขึ้นมา! ไม่ช้า มันเกิดขึ้นเป็นทรงกลม จากนั้นจึงก่อเกิดเป็นรูปลักษณ์มนุษย์อย่างรวดเร็ว!

 มีปัญหาแล้ว!  หลันซูเหยาตะโกน

ตอนนี้เอง บุคคลศีรษะมังกรสีดําสนิทได้ร่วงหล่นจากอากาศเบื้องบน บุคคลหัวมังกรผู้นี้มีเกล็ดมังกรกระจายตามร่างกาย ทั้งยังมีหางมังกรที่ดูทรงพลัง และหัวมังกรสีดําสนิท

ได้เห็นบุคคลหัวมังกรปรากฏตัวอย่างกะทันหันคณะของเจี้ยนสือเทียนและเปาเฉิงโฉ่วต่างระแวดระวัง พวกเขารับรู้ถึงความหนักอึ้งที่บังเกิดในใจ เพราะบุคคลหัวมังกรตรงหน้าสมควรแข็งแกร่งเลิศล้ํา

เซียนเฒ่าเต่าและคณะผู้ซึ่งเก็บอาวุธและสมบัติ ได้เห็นบุคคลหัวมังกร เวลานี้พวกเขาเริ่มตื่นกลัว

 เหอะเหอะเหอะ เหล่านี้เป็นของขวัญข้ามอบให้ ชอบใจหรือไม่?  บุคคลหัวมังกรยิ้มกล่าวถาม

 นี่ ผู้อาวุโส ท่านมอบให้พวกเราจริงหรือ?  เซียนเฒ่าเต่าเอ่ยถาม ความกังวลภายในใจเวลานี้เลือนหายหลังได้ฟังคํากล่าว

 ข้ากล่าวไปแล้ว เหล่านี้เป็นของขวัญให้พวกเจ้า! พวกเจ้าได้เห็นการถือกําเนิดขึ้นใหม่ของข้า ถือเป็นโอกาสอันดีของพวกเจ้า! เร่งรีบหยดเลือดลงที่พวกมัน เช่นนี้พวกเจ้าจะได้รับรู้ถึงพลังอันเลิศล้ําของอุปกรณ์วิเศษเหล่านี้!  บุคคลหัวมังกรหัวเราะดังออกจากใจ

ได้ยินเช่นนี้ เซียนเฒ่าเต่าและผู้อื่นล้วนยินดีเป็นล้นพ้น ต่างเริ่มหยดเลือดลงไป เมื่อเลือดหยดลง บุคคลหัวมังกรจึงยิ่งหัวเราะอย่างสุขใจมากยิ่งขึ้น!

 ขอแสดงความยินดีแล้ว! นับแต่นี้พวกเจ้าเป็นของข้า เป็นข้าทาสของมังกรภูตผีตนนี้!  บุคคลหัวมังกรหัวเราะดัง

เซียนเฒ่าเต่าและคณะคนนับร้อยเผยสีหน้าแปรเปลี่ยนหลังได้รับฟัง พวกเขาเป็นครึ่งเซียนทรงพลังและอํานาจสูงส่ง ตอนนี้จะกลับกลายเป็นข้าทาสของผู้อื่นอย่างนั้นหรือ?

 พวกเจ้าต่างรับอาวุธกันไปแล้ว หากไม่คิดเป็นข้าทาสของข้า เช่นนั้นจงรับความตาย!  มังกรภูตผีหัวเราะดังกล่าวคํา

ฉินหยุนย่อมได้ทราบ ว่ากําลังของมังกรภูตผีนี้ยังไม่ฟื้นคืนถึงจุดสูงสุด กระนั้นก็น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ไม่มีทางที่ครึ่งเซียนจะสามารถต่อกรกับเขาได้

หลังจากมังกรภูตผีมองที่เจี้ยนสือเทียนและคณะ เขาจึงกล่าวแค่นเสียง  พวกเจ้าไม่รับอาวุธข้า เช่นนั้นล้วนตายได้แล้ว! 

เจี้ยนสือเทียนและเปาเฉิงโฉ่วต่างเร่งรีบทะยานออกซึ่งหน้า

 พวกเราหาได้หวั่นเกรงเจ้าไม่!  เจี้ยนสือเทียนกล่าวเสียงเย็น  สู้ 

มังกรภูตผีกล่าว  เจ้าไม่คู่ควรต่อสู้กับข้า เอาอย่างนี้เป็นไร เจ้าต่อสู้กับข้าทาสของข้า หากสามารถเอาชนะพวกมัน เช่นนั้นข้าจะปล่อยไป! 

ผู้ปกครองแพะภูตผีโศกเศร้าเป็นล้นพ้น ทว่าเขาก็ไม่กล้าขัดขืนมังกรภูตผี หากเขาทํา เช่นนั้นก็มีแต่ความตายที่รอคอย ในเมื่อไม่อาจขัดคําสั่ง เขาก็ได้แต่ต้องทําตาม เขาย่อมพบเห็นว่า มังกรภูตผีตนนี้แข็งแกร่งเพียงใด ติดตามอีกฝ่าย ก็ไม่คล้ายใช่เรื่องแย่

ผู้ปกครองแพะภูตผีก้าวเดินไปพร้อมกล่าว  นายท่าน ให้ข้าได้สู้! ท่ามกลางพวกมันมีบุคคลนามฉินหยุน เป็นมันครอบครองสองจารึกวิญญาณ และยังโฉดชั่วอย่างยิ่ง! ข้าคิดต่อสู้กับมัน! 

ผู้ปกครองแพะภูตผีชี้ทางฉินหยุน ก่อนหน้าเขาไม่อาจสังหารฉินหยุนเพราะหลันซูเหยาคุ้มกัน ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเจี้ยนสือเทียนและเปาเฉิงโถ่วที่คอยเป็นปราการ โอกาสที่มีตอนนี้ถือว่าหาได้ยาก

 สองจารึกวิญญาณ? วิเศษนัก เจ้าไปจัดการมัน จดจําเอาไว้ อย่าได้ทําลายร่าง ข้าจะได้แยกจารึกวิญญาณออกจากกายมัน!  มังกรภูตผีมองทางฉินหยุนพร้อมหรี่ตา คล้ายเขากําลังตื่นเต้นยินดีเป็นล้นพ้น

ฉินหยุนสบถภายใน เขาได้แต่ต้องออกไปสู้แล้ว

 ฉินหยุน มันแข็งแกร่งกว่าเจ้ามาก นี่ไหวหรือไม่?  เจี้ยนสือเทียนกล่าวถาม

 ย่อมไหว!  ฉินหยุนก้าวเดินตรงออกไปรับศึก

หลันซูเหยาทําได้เพียงแต่รับชม นางไม่กล้าลงมือปุ่มบ่าม นางย่อมตระหนักได้ว่า ตัวนางไม่อาจทัดเทียมมังกรภูตผี

ฉินหยุนก้าวเดินออกมาพร้อมกล่าว  เมื่อใดข้าชนะ ให้พวกเราออกไป! อย่าได้กลับคืนคําสัญญา! 

มังกรภูตผีหัวเราะดังพร้อมกล่าว  ข้าไม่เคยคดโกง! 

ฉินหยุนย่อมไม่เชื่อมังกรภูตผีแม้เพียงนิด กระนั้นนี่ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะลากถ่วงเวลา มังกรภูตผีอยู่ขอบเขตเซียน มีแต่เหยาเฟิงที่สามารถต่อกรอีกฝ่ายได้ ตราบเท่าที่เขารอคอยจนเหยาเฟิงออกมาได้ เมื่อนั้นเขาก็ไม่ต้องหวาดเกรงมังกรภูตผีแล้ว

ผู้ปกครองแพะภูตผีนําเอาตะขอยาวที่มีมวลพลังงานสีดําออกมา นี่เป็นอุปกรณ์เต่ําที่อีกฝ่ายเพิ่งได้รับมาเมื่อครู่

ผู้คนของตระกูลหลงและเขตแดนลึกล้ํา ต่างก็คิดว่าฉินหยุนไม่มีทางสามารถเอาชนะผู้ปกครองแพะภูตผี พวกเขายังคิดว่าฉินหยุนอย่างไรก็ต้องตายที่วันนี้ ทว่าพวกเขาไม่ยินดีจากก้นบึง เพราะผู้ที่ได้รับผลกําไรจากความตายครั้งนี้ไม่ใช่พวกเขา แต่เป็นมังกรภูตผี ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังตกกลายเป็นข้าทาสของมังกรภูตผี!

ฉินหยุนนําเอากระบี่ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณปรโลกออกมา! หลังเผยกระบี่ออก ผู้คนที่นี้ต่างตื่นนตะลึงนิ่งค้าง พวกเขาต่างทราบว่าฉินหยุนเป็นอาจารย์จารึก เขาครอบครองอาวุธดีเลิศล้ําไม่ใช่น้อย กระนั้นตอนนี้ เขากลับนําเอากระบี่ผุพังที่มีแต่รอยปริแตกออกมาเล่มหนึ่ง!

 เจ้าหนู หากเจ้าไม่คิดสู้ หรือสู้ไม่ดีจนข้าเบื่อหน่าย เช่นนั้นเจ้าได้ตายอย่างชวนสังเวชแน่!  มังกรภูตผีแค่นเสียงกล่าว  เจ้าถึงขั้นกล้านําอาวุธสวะเช่นนี้ออกมาสู้อย่างนั้นหรือ? 

 จัดการกับตัวหัวแพะนี้ ข้ายังต้องการอาวุธอีกหรือ? สังหารมันไม่ใช่เรื่องยาก!  ฉินหยุนส่งเสียงเหยียดหยันดังตอบ

กําลังของผู้ปกครองแพะภูตผีทัดเทียมราชันยุทธ์ ด้วยระดับการฝึกฝนของฉินหยุนตอนนี้ หากสามารถใช้งานอาวุธ เขาย่อมต่อกรกับราชันยุทธ์ได้

 หัวแพะ หากจับเจ้าเด็กนี้ได้ ข้าจะให้ตําแหน่งสําคัญกับเจ้า!  มังกรภูตผีเอ่ยคํา

 นายท่านโปรดวางใจ ข้าจะจับตัวมันมาให้ได้!  ผู้ปกครองแพะภูตผีมั่นใจเป็นล้นพ้น เวลานี้ ภายในใจยินดีแทบตายแล้ว

 ข้าทาสหัวแพะที่น่าสังเวช อย่าได้เร่งรีบยินดีเกินไปนัก!  ฉินหยุนกระชับกระบี่ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณปรโลกเอาไว้แน่น ฉับพลันนี้เขาทะยานออกซึ่งหน้า

ผู้ปกครองแพะภูตผีรอคอยให้ฉินหยุนมาถึง ฉินหยุนที่มาถึงจึงโจมตีออกด้วยกระบี่ เป็นกระบวนท่ากระบี่พื้นฐาน เป็นการโจมตีออกอย่างรวดเร็ว มันระเบิดออกซึ่งพลังเต่ลึกล้ําอัดแน่นด้วยพลังกลืนกินจิตวิญญาณแรงกล้า ผู้ปกครองแพะภูตผีไหววูบตะขอในมือโจมตีฉินหยุนในเวลาเดียวกันนี้

ติ้ง!

เสียงแตกหักดังสะท้านทั่วทั้งห้องน้ําแข็งใต้ดินแห่งนี้ อาวุธของฉินหยุนและผู้ปกครองแพะภูตผีปะทะกันหนักหน่วง ผู้ปกครองแพะภูตผียังยืนกับที่ ขณะที่ฉินหยุนร่างกระเด็นไกล ฉินหยุนตอนนี้ค่อยทราบถึงความแตกต่างทางกําลังของตนเองและผู้ปกครองแพะภูตผี

ผู้คนล้วนได้เห็น ว่ากระบี่ในมือฉินหยุนหาได้เกิดความเสียหายใดไม่ พวกเขาต่างร้องอุทานเสียงเบา กระทั่งมังกรภูตผียังให้ความสนใจอาวุธของฉินหยุนแล้ว

ฉินหยุนไม่นําคอนเทวะเก้าตะวันออกมา เพราะเขาเกรงว่ามังกรภูตผีอาจทราบตัวตนและบีบบังคับน้ํามันไป

ผู้ปกครองแพะภูตผีส่งร่างฉินหยุนกระเด็น เขาย่อมได้เห็นว่าอาวุธฉินหยุนไม่ได้รับความเสียหาย ภายในเวลานี้เกิดหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว ร่างกายของเขาระเบิดออกซึ่งแสงสีแดง ร่างพลันทะยานออกเข้าถึงข้างกายฉินหยุนในพริบตาพร้อมระดมโจมตีด้วยตะขอยาว

ตะขอยาวเผยมวลพลังงานสีดํากระจายตัวออก พร้อมปลดปล่อยพลังสีแดงเฉพาะตัวของผู้ปกครองแพะภูตผี นําพามาซึ่งออร่าชั่วร้ายเย็นเยือกเข้ากัดกิน ระหว่างโจมตีไป เสียงสายลมโหยหวนจะดังไม่หยุดหย่อน

ฉินหยุนคิดหลบเลี่ยง ทว่าเรื่องราวไม่ง่าย เขาไม่อาจใช้งานกระบี่ต้านรับไว้ เพราะตัวเขาจะถูกส่งร่างกระเด็น และแขนยังต้องแบกรับอาการเจ็บปวด

ตุ้ม!

ตะขอยาวของผู้ปกครองแพะภูตผีคํารามร้องสนั่นหวั่นไหวพร้อมแสงสีแดง มันสั่นสะเทือนน้ําแข็งย้อยที่นี้นําพาพวกมันร่วงหล่นลงมา

เฉินหยุนไร้ซึ่งทางเลือก มีแต่ต้องต้านรับตะขอยาวไว้ด้วยกระบี่ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณปรโลก อาวุธทั้งสองปะทะกันอีกครั้งหนึ่ง พลังงานสีดําและแดงทะลักล้นกระจายออก เสียงดังสนั่นบังเกิดสั่นไหวทั้งลานกว้างหลายครั้งครา กระบี่ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณปรโลกถูกส่งกระเด็นไกลจนปักเข้ากับชั้นน้ําแข็งที่กําแพง

 ฉินหยุน เจ้าตายแน่แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า!  ผู้ปกครองแพะภูตผีหัวเราะดัง เขาพยายามใช้ตะขอในมือเข้าจ้วงแทงลําคอของฉินหยุน

ขณะผู้ปกครองแพะภูตผีหัวเราะ ฉินหยุนจึงปลดปล่อยพลังจิตวิญญาณราชสีห์สวรรค์ ครั้งสุด ท้ายที่เขาใช้งานพลังนี้ ตัวเขาไม่ได้ใช้มันอย่างหมดสิ้น ทว่าสะกดเอาไว้ส่วนหนึ่ง ตอนนี้จึงเป็นโอกาสให้เขาได้เผยพลังอีกครั้ง

คณะคนของเจี้ยนสือเทียนและเปาเฉิงโจ่วต่างตระเตรียมลงมือ ทว่าฉับพลันสัมผัสได้ถึงออร่าของฉินหยุนทะลักล้นพุ่งทะยาน

ผู้ปกครองแพะภูตผีย่อมสัมผัสถึงได้ กระนั้นเวลาไม่พอให้ตอบสนองแล้ว แก้มทั้งสองของเขา ถูกฉินหยุนฟาดหวดตบรุนแรงคลุ้มคลัง

 หัวแพะเอ๋ย เป็นเจ้าที่ต้องตาย!  ฉินหยุนคําราม

ภายในพริบตาเดียว ผู้ปกครองแพะภูตผีจึงถูกตบใบหน้าปูดบวมนองด้วยเลือด หัวแพะเวลานี้กลับกลายเป็นหัวหมูแทนแล้ว!

 

ตอนที่ 798 : โลงศพยักษ์ในภูเขาน้ําแข็ง

ใบหน้าเจี้ยนสือเทียนแปรเปลี่ยน เขาบอกกล่าวกับเปาเฉิงโจ่ว  เหล่าเปา เจ้าคุ้มกันผู้เยาว์ข้าไปช่วยจัดการเอง! 

หลันซูเหยาสบถเสียงเบา  ใครใช้ให้พวกมันกินโดยขาดความระวัง! เรื่องราวเช่นนี้ถึงกับเกิดขึ้น! 

ฉินหยุนพลันคิด ว่าเรื่องนี้ชวนยินดีไม่น้อย! ทันทีที่ผู้ฝึกตนอสูรและมนุษย์สัตว์ลงมาถึงพวกเขาคล้ายจอมสวาปามกลับชาติมาเกิด พวกเขาขาดสติเข้ากัดกินเนื้อยักษ์เหล่านั้นประหนึ่งฝูงหมาปาหิวกระหาย ครานี้จึงเกิดเรื่องขึ้น

เป็นที่ทราบกัน ว่าภายในกลุ่มผู้ฝึกตนอสูรและชนเผ่ายุคโบราณ ล้วนมีทั้งจักรพรรดิยุ ทธ์และครึ่งเซียนตอนนี้พวกเขาล้วนแปรเปลี่ยนเป็นอสูรกายยักษ์อันชั่วร้าย ร่างของคนกลุ่มนี้ระเบิดออกกลับกลายเป็นยักษ์ เลือดชโลมตั้งแต่หัวจรดเท้า ผู้ได้รับชมล้วนเกิดนึกหวาดกลัว

เจี้ยนสือเทียนเรียกดาบต้นกําเนิดออกมา จากนั้นจึงปล่อยดาบทะยานออกในระยะไกลเขาควบคุมดาบเพื่อเข้าสังหารยักษ์เหล่านี้

 ให้ข้าจัดการเอง!  ดวงตาหลันซูเหยาเดิมเผยแสงสีขาว เวลานี้ยิงออกซึ่งลําแสงสีน้ําเงิน

ยามเมื่อผู้อื่นพบเห็น พวกเขาเร่งรีบหลบซ่อนที่ด้านหลังนาง ด้วยเพราะเป็นกังวลว่าจะถูกลูกหลงของนางเข้า

เนตรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองของหลันซูเหยาทรงพลังชวนสะพรึง ดวงตาทั้งสองของนางเวลานี้ยิงออกซึ่งลําแสงสีน้ําเงินเข้มข้นพุ่งทะยานทั่วโถงทางเดินเบื้องหน้า บรรดายักษ์ที่พุ่งเข้าหายามต้อง ถูกลําแสงสีน้ําเงินเหล่านั้น ความเร็วพวกมันกลับกลายเป็นเชื่องช้าพวกมันไม่ได้แปรเปลี่ยนเป็นหินโดยทันที

 ราชินีซูเหยา หากรับมือไม่ไหว เช่นนั้นบอกกล่าว พวกเราจะร่วมมือกันจัดการเจ้าพวกนี้!  ฉินหยุนพลันตะโกนขึ้น

 เจ้าคิดว่าขวางพวกมันเอาไว้ไหวหรือ?  หลันซูเหยาเผยเสียงเย็นเยียบ  พวกมันเวลานี้กลับได้ครอบครองร่างอสูรที่แข็งแกร่งอย่างกะทันหัน! 

 ถูกต้องแล้ว ครั้งข้าโจมตีพวกมันด้วยดาบเมื่อครู่ พบว่าร่างกายพวกมันแข็งแกร่งยิ่ง!  เจี้ยนสือเทียนเผยสีหน้าหนักอึ้ง  ความจริงที่ว่าทําให้พวกมันเชื่อช้าลงได้เพียงนี้ก็ถือว่าดียิ่งแล้ว! 

 พวกเจ้าไปก่อน ข้าจะรั้งพวกมันไว้ให้เคลื่อนที่ช้าลง!  หลันซูเหยาเร่งรีบตะโกน  ด้วยระดับการฝึกฝนตอนนี้ ตัวข้าไม่อาจแปรเปลี่ยนพวกมันเป็นหินได้ 

 เมื่อครูได้รับดวงตาสี่เหลี่ยมมาหรือไม่ใช่? เร่งรีบนํามันออกมาใช้แล้ว!  ฉินหยุนตะโกนดัง

หลันซูเหยาเร่งรีบนําออกมา ดวงตาสี่เหลี่ยมเหล่านี้ยังคงดูสดใหม่ หลันซูเหยานําโล่ทรงกลมขนาดใหญ่ออกมา ใส่ดวงตาเหล่านั้นเอาไว้พร้อมถือโล่ในมือ นางร้องตะโกนเสียงเบา ดวงตาสี่เหลี่ยมบนโล่ มันเผยแสงสีแดงยิงออก ลําแสงทั้งสีแดงและสีน้ําเงินผสานรวมเป็นหนึ่งโลหิตจํานวน มากเริ่มหลั่งออกจากร่างยักษ์จนสลายพวกมันกลายเป็นแอ่งเลือด

ครีน!

หลังจากที่ยักษ์เหล่านั้นเริ่มถูกย้อมด้วยเลือด พวกมันกลับกลายเป็นสายธารโลหิตไหลในโถงทางเดินสายยาว ผู้คนต่างสะท้านในหัวใจ รับชมแอ่งเลือดหนาเบื้องล่าง เวลานี้ภายในใจมีเพียงแต่ความหวาดกลัว

หลันซูเหยาเก็บดวงตาสี่เหลี่ยมกลับคืน

 ดวงตานี้ของดีนัก!  ฉินหยุนอุทานชื่นชม

บรรดายักษ์ไว้เศียรและหัวใจที่นั่งสองฟากข้างของโถงทางเดินยาว เวลานี้เริ่มดูดกลืนเลือดพร้อมขยับทีละน้อย

 พวกเราควรเร่งรีบมุ่งหน้าไปได้แล้ว!  ได้เห็นพวกมันคิดเคลื่อนไหว หลันซูเหยาจึงตะโกนดังเร่งร้อน

เวลานี้เหลือผู้คนเพียงไม่กี่ร้อยเท่านั้น ผู้ฝึกตนอสูรและชนเผ่ายุคโบ ราณส่วนใหญ่กลับกลายเป็นยักษ์และจึงถูกหลันซูเหยาสังหาร หลังบรรดายักษ์ไร้เศียรและหัวใจ ได้ดูดกลืนเลือด พวกมันคล้ายเผยท่าที่คิดตื่นขึ้น

 เป็นความผิดข้าเอง ข้าไม่ควรบอกให้ใช้ดวงตาพวกนั้น!  ฉินหยุนมองทางยักษ์ทั้งหลายที่เริ่มขยับพร้อมกล่าวโทษตนเอง

 หากข้าไม่ใช้ พวกเราก็ไม่อาจหลุดพ้นจากพวกมันโดยง่าย ที่ควรทํา คือนําพวกเราออกจากที่นี้อย่างปลอดภัย!  หลันซูเหยากล่าว

กลุ่มคนเร่งรีบบินผ่านอากาศเบื้องบนโถงทางเดินยาว ฝูงยักษ์ไร้เศียรต่างตื่นขึ้นตัวแล้วตัวเล่าและตอนนี้ พวกเขาก็มาถึงสุดปลายของโถงทางเดิน มันเป็นประตูหยกทองคําขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน

 เจ้าปีศาจน้อย เปิดมันได้หรือไม่?  เซียนเฒ่าเต่าเร่งรีบเอ่ยถาม ฝูงยักษ์กําลังเคลื่อนกายเชื่องช้ามาทางด้านหลังแล้ว

ชนเผ่าเต่าของเซียนเฒ่าเต่า มีแต่เขาที่เหลือรอด ผู้อื่นล้วนเข้าไปกัดกิน เนื้อยักษ์จนแปรเปลี่ยนสภาพร่างกายอาจารย์จารึกเต่หลายคนตอนนี้ต่างกําลังสํารวจอักข ระบนประตูหยกทองคํา

 ไม่มีอักขระใด และไม่น่าเป็นไปได้หากคิดใช้ระเบิดเปิดมันออก!  เจี้ยนหลิงหลงร้อนรน  ฉินหยุนเจ้ามีวิธีการใดหรือไม่? 

ฉินหยุนทดลองสารพัดวิธี เขาใช้ทั้งความสามารถเทวะทะลุทะลวง กระทั่งเลือดประหลาดทั้งหมดล้วนไม่ได้ผล ด้วยไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เขาจึงได้ต้องต้องลักลอบปล่อยโมโมออกมาให้นางซ่อนในแขนเสื้อ

 พี่ชาย ประตูนี้มีอักขระอยู่มาก ตราบเท่าที่ข้าทําความเสียหายแก่มันได้แม้เพียงนิด พวกเราย่อมเปิดมันออกได้!  โมโมกล่าว พร้อมกันนี้ นางได้ปลดปล่อยพลังประหลาดออกมา

ฉินหยุนกดมือลงที่ประตูยักษ์ เขาหันไปกล่าวกับทุกผู้คน  ทุกคนถอยห่างออกไป ข้าสามารถเปิดประตูนี้ ยื้อเวลาให้ข้า! 

ทุกคนเร่งรีบเว้นระยะ สาเหตุที่ฉินหยุนบอกกล่าวให้พวกเขาถอยไป ก็เพื่อไม่ ให้ตรวจพบพลังของโมโม

หลันซูเหยาปลดปล่อยลําแสงสีน้ําเงินจากดวงตา โจมตีใส่บรรดายักษ์ไร้เศียรและหัวใจ กระนั้น ที่ทําได้ก็เพียงทําให้เชื่องช้าลง

 ยักษ์เหล่านี้สมควรเป็นผู้ก่อสร้างเมืองภูตผีต้องห้ามแห่งนี้ หลังจบสิ้นการก่อสร้าง พวกมันจึงถูกสังหารสิ้นเพื่อเก็บความลับ!  เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว อดีตชาติของนางย่อมได้ยินเรื่องราวพวกนี้มามาก

ฉินหยุนยิ่งร้อนรน เขาไม่ทราบว่าเบื้องหลังประตูบานยักษ์นี้คืออันใด หากเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า เช่นนั้นพวกเขาก็จบสิ้นกันแน่แล้ว!

 ราชินีซูเหยา รบกวนลากถ่วงเวลาพวกมันอีกสักระยะ!  ฉินหยุนกล่าว

กระทั่งลําแสงสีน้ําเงินของหลันซูเหยา ก็ยังไม่อาจแปรเปลี่ยนยักษ์เหล่านี้สู่ความตาย ทําได้เพียงแต่ชะลอความเร็วพวกมันลงเล็กน้อย ดังนั้นเวลานี้เหตุการณ์จึงยิ่งร้อนรน

เจี้ยนสือเทียน เปาเฉิงโฉ่ว รวมถึงครึ่งเซียนจากเขตแดนลึกล้ํา และจักรพรรดิยุทธ์ทั้งหลายต่างระดมโจมตีออกอย่างรุนแรง เพื่อทําให้ยักษ์ไร้เศียรและหัวใจเหล่านั้นต้องถอยร่น

ร่างกายพวกมันมีรยางค์จํานวนมาก กระทั่งว่าถูกครึ่งเซียนโจมตีดุดัน ตัวพวกมันกลับไม่คล้ายได้รับความเสียหาย

ยักษ์จํานวนนับไม่ถ้วนเวลานี้กําลังผลักดันเข้ามาเชื่องช้าอย่างอาจหาญ ยักษ์เหล่านี้ร่างสูงหลายเมตร ทั่วทั้งโถงทางเดินมีพวกมันนับหมื่นตน

ตอนนี้ ฝ่ายหนึ่งโจมตีจนถอยร่น ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งรุกคืบ แรงกดดันมหาศาลกดทับผู้คนหากไม่ใช่เพราะหลันซูเหยาและบรรดาครึ่งเซียนร่วมมือกัน พวกมันคงมาถึงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 นี่มันบ้าอะไรกันแน่? เหตุใดพวกมันน่าสะพรึงเพียงนี้กัน?  ในจิตใจฉินหยุนเวลานี้ยิ่งหวาดกลัว

กระทั่งผู้ปกครองแพะภูตผี ตอนนี้ยังหวาดกลัวจนถึงขั้นใบหน้าหล่อเหลาหลั่งเหงื่อกาฬท่วมขานั้นต้องสั่นเทิ้ม ต้องทราบว่าผู้คนที่เขานํามาล้วนล้มตายกันจนสิ้นแล้ว!

 เจ้าปีศาจน้อย นี่ยังไม่เสร็จอีกหรือ? เร็วเข้า!  เซียนเฒ่าเต่ากล่าวเร่ง

 ขอเวลาข้าอีกนิด! กลุ่มอาจารย์จารึกเต๋ต่างทราบว่าประตูนี้ไม่ง่ายเปิดออก ระดับ การฝึกฝนข้ายังต่ําดังนั้นต้องใช้เวลา พวกท่านอยู่กันมากมาย รบกวนถ่วงเวลาแล้ว! 

ฉินหยุนเองก็ร้อนใจ เพราะพลังของโมโมถึงขีดจํากัดแล้ว นางจําเป็นต้องทําลายอักข ระจํานวนหนึ่งเพื่อที่จะได้ทําลายการไหลเวียนผนึกของประตู

หลันซูเหยากล่าวคําเบา  อย่าได้เร่งเขาแล้ว ให้เขาลงมือต่อไป พวกเราทําได้เพียงหยุดยักษ์พวกนี้เอาไว้! 

เปาเฉิงโจ่วจึงตะโกนดัง  มิตรสหายเขตแดนลึกล้ํา อย่าได้เก็บซ่อนแล้ว เร่งรีบเผยความสามารถแท้จริง ไม่อย่างนั้นพวกเราได้ตายกันหมดแน่! 

ผู้คนจากเขตแดนลึกล้ําสบถก่นด่าในใจ กระนั้นด้วยสถานการณ์ตรงหน้า พวกเขาได้แต่ต้องยอมกล้ํากลืน ยามนี้นําเอายันต์ออกมาจํานวนหนึ่ง เหล่านี้คือยันต์ราชันอันแข็งแกร่งพวกเขาขว้างปายันต์ราชันเหล่านี้ใส่ฝูงยักษ์เบื้องหน้า

ต้ม ตุ้ม ตุ้ม!

เสียงสนั่นหวั่นไหวรุนแรงบังเกิด พวกมันก่อให้เกิดคลื่นพลังกระจายทั่วทั้งโถงทางเดิน ฉินหยุนและผู้อื่นข้างกายได้รับพลังจากครึ่งเซียนเข้าคุ้มกัน ดังนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบใดหลังจากที่ฝูงยักษ์ถูกยันต์ราชันเล่นงาน พวกมันหลายตัวต่างต้องถอยกลับห่างออกไป

 พวกเราใช้หมดแล้ว ถึงคราวพวกเจ้า!  ผู้คนของเขตแดนลึกล้ําตะโกนดัง

เจี้ยนสือเทียนและเปาเฉิงโฉ่วต่างมองหน้ากันเอง พวกเขานําเอายันต์ราชันออกมาจํานวนหนึ่งขว้างปาพวกมันออก ยอดฝีมือฝ่ายอื่นต่างก็นําเอายันต์ราชันออกมาขว้างปาออกไปเช่นเดียวกวัน

ตู้ม ตู้ม!

แรงระเบิดเกิดขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า ยักษ์ทั้งหลายถูกระเบิดโหมกระหน่ําโจมตีร่า งแหลกสลายทว่ามันคล้ายส่งผลได้เพียงน้อยนิด เพราะยังเหลือยักษอีกมากที่เบื้องหลัง แรงระเบิดเมื่อเลือนหายพวกมันจึงเคลื่อนทัพบุกขึ้นหน้าได้อีกครั้ง ไม่มีผู้ใดคาดคิด ว่าร่างกายยักษ์เหล่านี้แข็งแกร่งมหาศาลชวนสะพรึง กระทั่งครึ่งเซียนก็ยังไม่อาจทําลายพวกมันโดยง่าย

มีแต่เจี้ยนสือเทียนและคณะผู้ฝึกตนดาบครึ่งเซียนจึงสามารถสับฟันขายักษ์เหล่านั้นออกโดยง่าย และที่นี้ ก็มีผู้ฝึกตนดาบครึ่งเซียนจากตําหนักเซียนดาบเพียงน้อยนิด พวกเขาควบคุมดาบต้นกําเนิดของตนจากระยะไกล เข้าบุกโจมตีใส่ต้นขาของยักษ์เหล่านั้น นี่เป็นการช่วงถ่วงเวลาให้พวกมันเคลื่อนไหวได้ช้าลง

ยักษ์ทั้งหลายที่ถูกปกคลุมด้วยแสงสีน้ําเงิน แม้พวกมันเคลื่อนไหวได้เชื่องช้าลง กระนั้นก็ยังสามารถรุกคืบ ตอนนี้พวกมันอยู่ห่างจากประตูหยกทองคําเพียงกว่าร้อยเมตรเท่านั้น

 เย่ว์เหม่ย อีกครู่เจ้าติดตามซูเหยาให้ดี!  ฉินหยุนพลันส่งเสียงสื่อสารบอกต่อเซี่ยวเย่ว์เหม่ย

 พี่ชาย ข้าย่อมตามท่าน!  เชี่ยวเย่ว์เหม่ยตอบกลับ

 ได้!  ฉินหยุนรู้สึก ว่าที่นี้หลันซูเหยาแข็งแกร่งที่สุด ติดตามนางย่อมมีโอกาสสูงที่จะปลอดภัย

ฝูงยักษ์อยู่ห่างอีกเพียงไม่ถึงร้อยเมตรก็ใกล้มาถึงแล้ว!

 เบิดได้แล้ว!  ฉินหยุนพลันตะโกนดัง พร้อมเก็บโมโมเข้าสู่ด้านในไข่มุกเม็ดแรกของวิญญาณเทวะเก้าตะวัน

ตอนนี้เอง จักรพรรดิยุทธ์ทั้งหลายต่างพร้อมใจกันช่วยผลักประตูหยกทองคําให้เปิดออก ประตูเมื่อเปิดกว้าง แสงสีขาวจึงทะลักล้นออกมา

 เร่งรีบเข้าไป!  หลันซูเหยาตะโกนก่อนจะพุ่งเข้าประตู

หลายคนต่างเร่งรีบมุ่งไปประหนึ่งฝูงผึ้ง เมื่อเข้ามาแล้ว พวกเขาจึงค่อยร่วมมือกันปิดประตู

ภายในประตู มันเป็นห้องโถงกว้างใหญ่ซึ่งมีแต่น้ําแข็ง และยังมีดวงตามากมายที่ปลดปล่อยแสงสีขาวออกมา!

ฉินหยุนพลันนึกถึงปิงชิงขึ้นมา ครั้งที่เขาปลดปล่อยปิงชิง มันก็เป็นเช่นนี้ หรือก็คือ บางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวได้ถูกผนึกเอาไว้ในที่แห่งนี้

 มีบางสิ่งอยู่ในภูเขาน้ําแข็งน้อยนั่น!  ผู้หนึ่งร้องตะโกน

มันมีภูเขาน้ําแข็งขนาดเล็กอยู่ที่นี่ แม้เป็นสีขาวล้วน หลังพิจารณาให้ดี จะพบว่ามันมีเงาดําคงอยู่ที่ภายใน เงาดํานั้นขนาดใหญ่ รูปลักษณ์ชัดเจนว่าเป็นโลงศพสีดํา มันเป็นโลงศพขนาดใหญ่ยักษ์สีดําสูงหลายเมตร ราวกับมันได้ถูกสร้างเอาไว้สําหรับยักษ์พวกนั้น!

 อย่าได้เปิดมันออก!  ฉินหยุนเร่งร้อนตะโกน

 มันต้องมีอะไรที่ภายในสิ?  เซียนเฒ่าเต่าเร่งรีบไปรับชม

 พวกเจ้าดวงตามืดบอดกันหมดหรือไร? ไม่เห็นหรือว่านั่นเป็นโลงศพยักษ์? ยักษ์ที่ภายนอกนั้นชวนสะพรึงเพียงใด ที่อยู่ในโลงนั่นย่อมต้องยิ่งสะพรึงกว่านั้น!  ฉินหยุนตะโกนด้วยน้ําเสียงอันดัง  พวกเจ้า อย่าได้นําภัยพิบัติมาสู่ตัว! 

เซียนเฒ่าเต่าและผู้อื่นหาได้ฟังคําของฉินหยุน พวกเขาไม่คิดว่ามันคือโลงศพ แต่เป็นกล่องขนาดใหญ่ที่บรรจุสมบัติเอาไว้มากมาย!

 

ตอนที่ 797 : ยักษ์ไร้เศียร

ได้ยินคําของฉินหยุน ความโกรธแค้นในใจหลันซูเหยาเวลานี้แทบไม่อาจบรรยายกล่าวออกได้เพราะนางเพิ่งรู้สึก ว่าตนเองถูกลวงหลอกครั้งใหญ่ เมื่อครู่นางคิดว่าฉินหยุนมีเบื้องหลังอันยิ่งใหญ่เป็นนางคิดว่าเบื้องหน้าแท้จริงมีกับดักคงอยู่ กระนั้นตอนนี้ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นกลลวงที่ฉินหยุนสร้างขึ้นทั้งสิ้น

ผู้แรกที่เร่งรีบทะยานร่างไป คือกลุ่มคนของเปาเฉิงโจ่วและเจี้ยนสือเทียน พวกเขาทะ ยานออกประจําตําแหน่งเคียงข้างฉินหยุน เป็นการคุ้มกันบัลลังก์ราชันมังกรทองม่วงเอาไว้

ได้เห็นเปาเฉิงโฉ่วและคณะตั้งป้องกัน หลันซูเหยาจึงก้าวเดินอย่างพิโรธเข้าหา

 ฉินหยุน สิ่งที่เจ้ากล่าวเมื่อครู่นี้เป็นจริงหรือไม่? เจ้าอย่าได้คิดว่าจะลวงหลอกข้าได้อีก!  น้ํา เสียงของหลันซูเหยาอัดแน่นด้วยโทสะ

 สิ่งที่ข้ากล่าวเมื่อครู่ล้วนเป็นจริง ไม่มีอันใกลวงหลอกแม้เพียงนิด!  ฉินหยุนกล่าวอย่างสบายกายและใจ  แน่นอนว่าเจ้าสามารถเลือกไม่เชื่อข้า และค้นหาทางออกจากที่นี่ด้วยตนเองได้! 

เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพอได้ยินคํากล่าวฉินหยุน ตอนนี้นางมั่นใจเต็มเปี่ยม ว่าทั้งหมดเป็นคําลวงทั้งเพเพราะนี่คือเคล็ดลับการลวงหลอกที่นางเคยสอนไว้ก่อนหน้า เพื่อทําให้คํากล่าวทั้งหมดยังดูเป็นจริงแม้ลวงหลอก ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ฉินหยุนกล่าวยังจริงครึ่งเท็จครึ่ง

หากผู้คนไม่อาจทราบว่าอันใดเท็จ และอันใดจริง เช่นนั้นพวกเขาก็ได้แต่ต้องเชื่อ โดยเฉพาะกับสถานการณ์เช่นตอนนี้ ไม่มีผู้ใดทราบวิธีการออกไป ทว่าฉินหยุนไม่ติดข้อจํากัดของค่ายอาคมในที่นี้ ดังนั้นแล้ว แม้หลันซูเหยาเกิดความสงสัยมากมายเพียงใด นางก็ทําได้เพียงแต่ต้องเชื่อ

 ฉินหยุน ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรแล้ว?  เจี้ยนหลิงหลงเอ่ยถาม

 ก้นข้าไม่อาจเคลื่อนออกจากบัลลังก์นี้ได้ และก็ไม่ทราบเช่นกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!  ฉินหยุนฝืนยิ้มออก  ทันทีเมื่อมาถึงที่นี่ ข้าก็มุ่งตรงมา นั่งที่บัลลังก์นี้ และจากนั้นก็ไม่อาจขยับไปไหนได้แล้ว! 

ผู้ปกครองแพะภูตผีกล่าวเสียงเบา  เจ้าเด็กนี่เห็นได้ชัดว่าไม่อาจหลบหนีจึงเสแสร้ง ข้ากล้ากล่าวว่าทุกถ้อยคําที่มันกล่าวออกมาก่อนหน้าล้วนลวงหลอก เป็นมันกล่าวออกเช่นนั้นเพื่อไม่ให้องค์ราชินีซูเหยาตรวจสอบ! 

เชี่ยวเย่ว์เหม่ยจึงยิ้มกล่าว  ต่อให้นางคิดอยากตรวจสอบ แล้วนางจะคิดตรวจสอบอันใด? 

ผู้คนของตระกูลหลงและเขตแดนลึกล้ํา ตอนนี้ต่างก็ไม่กล้าเชื่อคํากล่าวก่อนหน้านี้ของฉินหยุน แม้พวกเขาไม่เชื่อ ก็ได้แต่ต้องร่วมมือกับหลันซูเหยา ในที่นี้ นอกจากฉินหยุนแล้ว ยอดฝีมีอผู้อื่นล้วนหวาดกลัวหลันซูเหยา เพราะเนตรศักดิ์สิทธิ์ของนาง มันสามารถปลดปล่อยพลังลึกลับประหลาดที่สามารถแปรเปลี่ยนผู้คนเป็นหินสีน้ําเงินได้

ด้วยนั่งอยู่บนบัลลังก์ ฉินหยุนพยายามทุกวิธีที่น่าจะเป็นไปได้ กระนั้นเขาก็ไม่อาจเคลื่อนไหวออกก่อนหน้า เขาทดลองใช้เลือดมังกรประหลาดเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจํากัดของค่ายอาคมได้ กระนั้นตอนนี้กลับไม่อาจ

เจี้ยนหลิงหลงตรวจสอบบัลลังก์พร้อมกล่าว  บัลลังก์นี้ไม่มีอักขระใด! 

 จริงหรือ? อย่างนั้นแล้วมันดึงข้าไว้จนไม่อาจขยับได้อย่างไร?  ฉินหยุนเกิดความอับจน

 เจ้าลองเฉือนนั่นเนื้อก้นเจ้าออกดู! ด้วยกําลังเจ้า คิดฟื้นฟูสมควรเป็นเรื่องง่ายดาย!  หลันซูเหยากล่าวด้วยน้ําเสียงเย็นเยือก

 ข้าย่อมไม่ทํา!  แม้ฉินหยุนครอบครองพลังฟื้นฟูสูงล้ํา ทว่าเพียงคิด เขาก็หวาดเสียวแทบตายแล้ว

หลันซูเหยานึกย้อนถึงเรื่องราวที่ฉินหยุนตบก้นนางก่อนหน้า ความโกรธแค้ นในใจพลันพวยพุ่งขึ้นมา

เซียนเฒ่าเต่าพลันเอ่ยคํา  สังเวยชีวิต… ต้องเป็นเช่นนี้แน่แล้ว! บุคคลผู้นั่งบัลลังก์ต้องตาย! นี่จึงเป็นวิธีการที่พวกเราจะไปยังพื้นที่ถัดไปได้! 

ผู้ปกครองแพะภูตผีพอได้ยินจึงเร่งรีบตะโกนกล่าว  องค์ราชินีซูเหยา ขอท่านเร่งรีบสั่งหารฉินหยุนเช่นนั้นพวกเราจะได้ไปต่อ! 

 ตาเฒ่าเต่าบัดซบ!  ฉินหยุนสบถออกดัง

 อาจารย์ ท่านกล่าวแล้วว่าจะไม่ทําร้ายเขา!  สื่อชิงเฉิงกล่าวเสียงเบา

 วางใจ ข้าย่อมไม่สังหารมัน!  หลันซูเหยาหันมองทางเซียนเฒ่าเต่าพร้อมถาม  นอกจากวิธีนี้ยังมีวิธีอื่นอีกหรือไม่? 

 ย่อมไม่มี พวกเราได้แต่ต้องสังหารมัน! ไม่อย่างนั้น พวกเราก็ไม่อาจไปยังพื้นที่ถัดไปได้!  เซียนเฒ่าเต่าสายศีรษะ

คิ้วของสื่อชิงเฉิงขมวดมุ่นขณะกล่าวคํา  ยังมีวิธี สังเวยเลือด! 

นางจําได้ ว่าพิธีกรรมสังเวยทั้งหลาย มันจําเป็นต้องสังเวยเลือดจํานวนมาก

 ก็ได้ ข้าทําเองก็ได้… จริงด้วย ผู้อื่นล้วนถอยไปก่อน ข้ากังวลว่ามันอาจเกิดอะไรบางอย่างขึ้นมาก็เป็นได้!  ฉินหยุนนํามีดออกมา เฉือนนั่นเข้าที่มือตนเองเปิดปากแผล ก่อนจะปล่อยให้เลือดหยดไหลลงที่บัลลังก์ราชัน

ทันทีเมื่อเลือดหยดลงที่บัลลังก์ มันจึงถูกดูดหายวับกับตา

 ล้วนถอยให้ห่างออกไปแล้ว!  ฉินหยุนพลันตะโกนดัง  ข้าสัมผัสได้ถึงพลังที่ผันแปร! 

 นี่เจ้าไม่มีปัญหาแน่หรือ?  เจี้ยนหลิงหลงร้อนใจ

 ข้าไม่เป็นไร ท่านเร่งรีบไป! เร็วเข้า!  ฉินหยุนกล่าวเร่ง

หลันซูเหยาเผ่นหนีก่อนผู้อื่น นางนําสื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อตามติดเผ่นหนีจากบัลลังก์ไปยังพื้นพระราชวังเบื้องล่าง ไม่นานจากนั้น เปาเฉิงโจ่วและคณะต่างตามติดมาถึง

ต้ม ตุ้ม!

ทั่วทั้งพระราชวังเริ่มสั่นไหว!

ฉินหยุนหยดเลือดลงไปต่อ ตอนนี้เขาสามารถออกจากบัลลังก็ได้แล้ว!

 บัลลังก์นี่เป็นของดี ต้องเก็บมันไว้เ  ฉินหยุนกล่าวพร้อมนําบัลลังก์ยกขึ้นเก็บมันไป

ตอนนี้เอง กรงเล็บสีดําพลันทะยานปรากฏจากเบื้องล่างบัลลังก์ มันคล้ายสัตว์ขนาดใหญ่ยักษ์ได้เห็นกรงเล็บปรากฏ หลายคนต่างสะดุ้งตระหนกตกใจ ฉินหยุนคํารามร้องบินทะยานมุ่งหน้าไปทางเจี้ยนสือเทียนและคณะ

 คุก คุก คุก…  เสียงหัวเราะประหลาดดังตามมา พื้นที่เบื้องล่างบัลลังก์กลับเกิดการระเบิด เผยหลุมปรากฏอสูรกายร่างสูงหลายเมตรคลุกคลานขึ้นมา อสูรร้ายตัวนี้คล้ายมนุษย์ที่ศีรษะใหญ่ภายในศีรษะของมันประกอบด้วยดวงตาสี่เหลี่ยม มีสองมือเปรียบดังขาปลาหมึกที่มีรยางค์จํานวนมาก ทั้งร่างเป็นสีดําสนิท มันมีสองปาก และเมื่อครู่ มันได้ส่งเสียงหัวเราะประหลาดชวนขนลุกออกมา

 เลือดเจ้าช่างเลิศรสนัก อย่าได้คิดหนีแล้ว คุก คุก คุก 

อสูรกายตนนี้หัวเราะดังขณะมองฉินหยุนด้วยดวงตาสี่เหลี่ยมที่มีอัคคีเพลิงลุกโชน ก่อนจะปรากฏลําแสงสีแดงที่ด้านหลังของฉินหยุนในพริบตา ทันใดนี้เอง หลันซูเหยาจึงปรากฏตัวข้างฉินหยุนนางโจมตีใส่อัคคีเพลิงสีแดงนั้นด้วยฝ่ามือ

ตู้ม!

แรงระเบิดหลายระลอกดังต่อเนื่อง แสงสว่างสีแดงและน้ําเงินวูบวาบปรากฏ แรงสั่นสะเทือนผ่านอากาศส่งผลให้พื้นที่ยืนหยัดต้องสั่นตาม กระทั่งว่าพระราชวังทองคําแห่งนี้โดนการโจมตีรุน แรงหลายครั้งครา กระนั้นหากมอง จะพบว่ามันไม่ได้รับความเสียหายใดฉินหยุนยังอยู่ ข้างเงี้ยนสือเทียนและคณะ เมื่อครู่เขาเกือบถูกจู่โจมใส่

เจี้ยนสือเทียนตะโกนถาม  แม่นางซูเหยา ต้องการให้ช่วยหรือไม่? 

น้ําเสียงเย็นเยียบของหลันซูเหยาดังตอบ  ไม่จําเป็น! 

ยามเมื่อนางพุ่งทะยานเข้าหาหมอกสีแดงและน้ําเงินตรงหน้า ดวงตาสี่เหลี่ยมของอสูรกายจึงเรืองแสงสีแดง ก่อนจะยิงออกมาซึ่งแสงสีแดงนับไม่ถ้วน มันกลับกลายเป็นส่องสว่างทั่วทั้งพระราชวังด้วยสีแดงฉาน เป็นผลให้ผู้คนรู้สึกราวกับอยู่ในโลกแห่งโลหิต

 ระวังแสงสีแดงพวกนี้!  ดวงตาของหลันซูเหยาเผยแสงออกเช่นกัน มันสาดส่องจากใบหน้าของนาง ขวางสกัดต้านรับแสงสีแดงที่โจมตีเข้าใส่

เจี้ยนสือเทียนและเปาเฉิงโฉ่ว สองจ้าวสํานักจึงปลดปล่อยพลังเซียนเข้าคุ้มกันผู้เยาว์ ไว้เบื้องหลังหลายคนที่นี้ลงมือไม่รวดเร็วพอ หลังถูกแสงสีแดงเหล่านั้นสาดส่อง ร่างกายพวกเขาจึงกลับกลายเป็นแอ่งเลือดที่พื้นการโจมตีของอสูรกายตนนี้ ได้ทําหลายร้อยคนสิ้นชีพ

ผู้ฝึกตนอสูร ตระกูลหลง และผู้อื่นจากแดนวิญญาณอ้างว้าง รวมถึงชนเผ่ามนุษย์สัตว์ยุคโบราณ พวกเขาหลายคนต่างตายจาก ตําหนักเซียนดาบและนครเซียนยุทธภัณฑ์หาได้รับความเสียหายใดไม่ นอกจากนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่ได้นําพาผู้คนร่วมทางมาด้วยมากมายแต่อย่างใด

ดวงตาของหลันซูเหยาปลดปล่อยแสงสีน้ําเงิน พุ่งตรงเข้าโจมตีใส่ดวงตาของอสูรกายมันส่งเสียงคํารามร้องกราดเกรี้ยว ร่างนั้นเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นหินสีน้ําเงิน หลังอสูรกายกลับกลายเป็นก้อนหินสีน้ําเงิน หลายคนเวลานี้ต่างนึกหวาดกลัว พวกเขาไม่คิดว่าหลันซูเหยาจะสามารถแปรเปลี่ยนอสูรกายร่างยักษ์ให้กลายเป็นหินได้ง่ายดายเช่นนี้

หลันซูเหยาบินทะยาน นําเอาดาบยาวของนางออกมา ใช้มันเก็บเกี่ยวดวงตาสี่เหลี่ยมของอสูรกายออกจนสิ้น

 หลุมนี้ลงไปได้!  หลันซูเหยารับชมหลุมที่อสูรกายออกมาพร้อมบอกกล่าว

ฉินหยุนนึกย้อน ว่าตนเพิ่งนั่งบนบัลลังก์ที่อยู่ด้านบนหลุมนั่นพอดี ความหวาดกลัวเสียวที่ก้นจึงบังเกิด

 สตรีผู้นี้นําดวงตาอสูรกายนั่นไป บางทีนางอาจใช้มันเพิ่มพลังได้ในภายหลัง!  หลิงหยุนเอ๋อกล่าว

เมื่อครู่นี้ หลายผู้คนล้วนได้เห็นว่าเพียงดวงตาข้างหนึ่ง ลําแสงสีแดงที่ปลดปล่อยออกมามันได้แปรเปลี่ยนหลายผู้คนให้กลายเป็นแอ่งเลือด

 ข้าลงไปก่อน!  หลันซูเหยากระโดดลงไปในหลุม

 พวกเราตามไป!  เจี้ยนสือเทียนนําคณะ

หลันซูเหยาที่ลงสู่เบื้องล่าง เจี้ยนสือเทียนและคณะตามติด ฉินหยุนตามอยู่ด้านหลังเปาเฉิงโจ่วและเจี้ยนสือเทียนลงลึกสู่หลุม

หลังร่วงหล่นมาพักหนึ่ง พวกเขาค่อยมาถึงโถงทางเดินกว้างขวางที่ดํามืด ที่นี้ต้องใช้วัตถุส่องแสง หลันซูเหยาเดินนําหน้า ดวงตาสีครามของนางเผยประกายแสงสีขาวสาดส่องเบื้องหน้า ผู้คนต่างได้เห็นสถานการณ์ของโถงทางเดินนี้กระจ่างชัดจนต้องตื่นตะลึงไม่รู้จบ

ยักษ์หลายตัวนั่งเรียงรายสองฟากข้างของโถงทางเดิน ที่ชวนตื่นตะลึงกว่า คือยักษ์เหล่านี้ไร้เศียรนอกจากนี้ ตําแหน่งที่ซึ่งสมควรมีหัวใจกลับว่างเปล่า ราวกับมีผู้อื่นควักเอาหัวใจของมันออกไป

 ร่างยักษ์เหล่านี้แข็งแกร่งยิ่ง มันแทบถึงขอบเขตเชียน!  เจี้ยนสือเทียนนําดาบออก มาทดลองจ้วงแทง

 เพราะร่างกายของพวกมันแข็งแกร่ง ดังนั้นจึงอยู่มาได้จนกระทั่งถึงตอนนี้  เปาเฉิงโจ่วกล่าวคําขึ้น

ชนเผ่าสัตว์ยุคโบราณ และผู้ฝึกตนอสูรต่างลงมาถึง พวกเขามีจํานวนมากที่สุด นับแล้วก็เกือบสองพันทันทีเมื่อได้พบเห็นร่างยักษ์เหล่านี้ที่ใกล้เคียงขอบเขตเซียน พวกเขาเร่งรีบ เข้าไปตรวจสอบจากนั้นจึงเริ่มกัดกินร่างยักษ์เหล่านี้ กระทั่งผู้ฝึกตนอสูรครึ่งเซียนก็ยังต้องกัดกินร่างยักษ์เหล่านี้

 พวกเขาเหล่านี้ถึงขั้นไม่อาจระงับความอยาก กัดกินอะไรก็ไม่รู้ นี่ไม่กลัวมันมีอันใดผิดแผกในร่างนั้นเลยหรือไร?  ฉินหยุนสบถออกเสียงเบา

ผู้อื่นต่างขมวดคิ้วมองตาม

ผู้คนของตระกูลหลงและเขตแดนลึกล้ํา กระทําเสมือนนี้ไม่มีอันใดผิด เพราะพวกเขาพบเจอเรื่องราวเช่นนี้มามาก

หลันซูเหยาไม่กล่าวคําใด นางทราบกระจ่างชัดดีถึงชนเผ่าสัตว์ยุคโบราณ ตราบเท่าที่มีเนื้อพวกเขาย่อมกัดกิน นางเลือกเดินมุ่งหน้าไป ฉินหยุนตามหลังนาง เขารับชมรอบข้างเพื่อไม่ให้คลาดสายตา

 อัก อัก… อัก… 

ทันใดนี้เอง หัวใจที่เต้นตุบและปอดพลันปริแตกแยกออกพร้อมเสียงกรีดร้องดังจากทางด้านหลัง

หลันซูเหยาหันควับกลับมอง พบเห็นผู้ฝึกตนอสูรและชนเผ่ามนุษย์สัตว์ที่กัดกินเนื้อยักษ์เวลานี้ร่างกายบิดเบี้ยวพร้อมมีเลือดไหลทะลักออก

ผู้ฝึกตนอสูร รวมถึงผู้คนของชนเผ่า เวลานี้ในร่างเผยเสียงประหลาดออกมา จากนั้นร่างพลันขยายขนาดจนสูงหลายเมตร

 องค์ราชินีซูเหยา เร่งรีบเร่งรีบสังหารพวกเขาเหล่านี้!  ผู้ปกครองแพะภูตผีหวาดกลัวยามได้เห็นคนของชนเผ่าแพะภูตผี มีแต่เขาที่ไม่ได้เข้าไปกินเนื้อยักษ์เหล่านั้น ดังนั้นตัวเขาจึงยังไม่เป็นไร

 

ตอนที่ 796 : วาจาคืออาวุธ

พวกเขาลงมาเบื้องล่าง ที่ได้เห็นคือฉินหยุนและพระราชวังหรูหราตรงหน้า ฉินหยุนกําลังนั่งบนบัลลังก์ราชันแห่งมังกร ตัวเขานั่งด้วยท่วงท่าสะกดข่ม

สําหรับผู้ซึ่งเพิ่งเข้าสู่พระราชวังแห่งนี้ เขาเปรียบดังผู้ซึ่งอยู่สูงส่งและห่างไกลกลุ่มค นพลันนับถือในความหาญกล้าของฉินหยุน ตัวเขาไม่คิดหลบหนีทว่าฉินหยุนแท้จริงคิดหลบหนีแต่เขาไม่อาจ

ดังนั้นเขาจึงได้แต่ต้องแสดงบทบาทเช่นนี้ออกมา แม้พวกเขาได้เห็นฉินหยุนทว่าไม่มีผู้ใดกล้าลงมือเพราะเขาคือเหยื่อของหลันซูเหยา

ฉินหยุนย่อมพบเห็นเชี่ยวเย่ว์เหม่ยและคณะปลอดภัยดี เวลานี้เขาค่อยผ่อนคลายเผยลมหายใจผ่อนยาว เมื่อครู่เขานึกว่าผู้คนของเขตแดนลึกล้ําจะฉวยโอกาสสร้างปัญหาแก่เปาเฉิงโฉ่วและคณะ

ใบหน้าของหลันซูเหยามืดมน นางก้าวเดินเข้ามาทีละก้าวเข้าหาฉินหยุน น้ําเสียง เย็นเยือกกล่าวคําออก  ฉินหยุน การกระทําของเจ้าต่อข้าเมื่อครู่นี้ มันมากพอให้ข้าสังหารเจ้าได้นับร้อยพันครั้ง ทว่าโชคดีที่เจ้ามีเพียงหนึ่งชีวิต ไม่เช่นนั้นหากเจ้ามีสักหนึ่งร้อยชีวิต มันก็ยังไม่เพียงพอให้เจ้าได้ใช้ตาย! 

 นางเฒ่าหลัน หากเจ้าคิดอยากแก้แค้นเพียงนั้น เหตุใดจึงไม่กล่าวว่าผู้ใดเป็นฝ่าย ผิดก่อนเล่า?  ขณะนั่งบนบัลลังก์ ฉินหยุนเผยท่วงท่าประหนึ่งเป็นนายเหนือของสถานที่แห่งนี้

บางทีอาจเป็นเพราะเขานั่งบนบัลลังก์ คํากล่าวของเขาจึงรุนแรงและดังก้องทั้งพระราชวังงดงามแห่งนี้เป็นผลให้หลายคนต่างรู้สึกนึกถึง ฉินหยุนเวลานี้คล้ายแข็งแกร่งยิ่ง ท่วงท่าและวาจาของเขาที่กล่าวออกเป็นผลให้หลันซูเหยาต้องหยุดฝีเท้าที่ก้าวเดินเข้ามา

 ข้าไม่มีเรื่องเกลียดชังหรือความแค้นใดกับเจ้า กระนั้นทันทีที่ข้าเข้าสู่เขตแดนอ้างว้างแห่งนี้เป็นเจ้าที่เปลื้องผ้าตัวข้าและแขวนเอาไว้! ข้าไม่เปลื้องผ้าตัวเจ้า ก็เพราะข้าเห็นแก่ศิษย์ พี่ทั้งสองของข้า!  ฉินหยุนแค่นเสียงดังกล่าว นางเฒ่าหลัน หากเจ้าคิดอยากสร้างปัญหาแก่ข้าอีกครั้ง ถัดจากนี้ข้าจะไม่ไว้ไมตรีแล้ว! 

หลันซูเหยาได้ยินคํากล่าวฉินหยุน  นางเฒ่าหลัน  ซ้ําแล้วซ้ําเล่าภายในเวลานี้อดไม่ได้ที่จะ โกรธแค้น นางสูดอากาศเข้าปอด คิดพุ่งตรงเข้าไปสังหารฉินหยุนเสียเดี๋ยวนี้! กระนั้น นางพบว่าเรื่องราวผิดแผก! เพราะฉินหยุนคือผู้แรกซึ่งมาถึงที่นี่ และสภาวะของเขาเวลานี้คล้ายแข็งแกร่งยิ่งเป็นผลให้ผู้คนรู้สึกราวกับต้องโค้งกายแสดงความเคารพ! และยังมีความจริงที่ว่าฉินหยุนไม่เผยความหวาดกลัวใดออกมา เห็นได้ชัดว่าเขามีเบื้องหลังอันใดซุกซ่อน

ไม่เพียงแต่หลันซูเหยา กระทั่งเซียนเฒ่าเต่ายังกล่าวคําเบา  องค์ราชินีซูเหยา ขอท่านโปรดระวัง แม้พระราชวังแห่งนี้วิจิตรเลิศล้ํา กระนั้นมันมีกับดักมากมายคงอยู่ เจ้าตัวบัดซบนามฉินหยุนผู้นี้ มันมีจารึกวิญญาณถึงสอง และยังเชี่ยวชาญโทเทมมากมาย มันต้องสามารถใช้อักขระกับดักเหล่านั้นได้เป็นแน่! 

ผู้คนต่างได้เห็น ว่าฉินหยุนตอนนี้เผยอาการสงบไม่หวาดกลัวใดแม้แต่น้อย บรรดาผู้ซึ่งรู้จักฉินหยุนยามนี้ต่างคิดเห็นเช่นเดียวกันว่าเขาต้องเตรียมกับดักไว้พร้อมลงมือ!

ฉินหยุนเองก็ทราบ ว่าผู้คนตรงหน้าหวาดกลัวความตายยิ่งกว่าอื่นใด เขาจึงหัวเราะดังกล่าวคํา  พวกเจ้าจงเข้ามา กับดักใดหาได้มีไม่ ข้ากล่าวไปแล้ว เหตุใดยังต้องหวาดกลัว? พวกเจ้าล้วนแข็งแกร่งกันถ้วนหน้า เหตุใดจึงกลัวเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้กันด้วยเล่า? 

ถึงตอนนี้เอง ชายชราจากเขตแดนลึกล้ําจึงก้าวเดินเข้ามากล่าวเสียงเบา  นายท่านซูเหยา จ้าวสํานักและมิตรสหายของฉินหยุนอยู่ที่นี่ พวกเราสมควรใช้คนเหล่านี้บีบบังคับฉินหยุนได้! 

ได้ยินคํากล่าว เปาเฉิงโล่วจึงเผยยิ้ม   พวกเราไม่ช่วยอินหยุนสู้กับเจ้า ก็กล่าวได้ว่าไว้ไมตรีมากพอแล้ว กระนั้นเจ้ากลับคิดจับพวกเราข่มขู่ฉินหยุน? นี่เจ้าไม่เกรงกลัวพวกเราสู้กับเจ้าแทนอย่างนั้นหรือ? 

เจี้ยนสือเทียนเผยยิ้ม  พระราชวังแห่งนี้วิจิตรงดงามนัก ข้าย่อมชื่นชอบทําลายสถานที่เช่น นี้เป็นที่สุดจงเข้ามา หวังว่าจะเป็นการต่อสู้ที่ทําให้ข้าพึงพอใจได้! 

ชายชราเขตแดนลึกล้ําตะโกนดัง  ตัวหน้าโง่บัดซบ พวกเจ้าไม่หวาดเกรงพลังเนตรศักดิ์สิทธิ์ของนายท่านซูเหยาเลยหรือไร? 

 ข้าคือครึ่งเซียน และไม่คล้ายว่าชีวิตนี้จะได้เป็นเซียน ชีวิตนี้ข้าคงอยู่มานานพอแล้ว ดังนั้นหากข้าสละชีวิตนี้ ข้าย่อมช่วยเหลือฉินหยุนเอาไว้ได้ ฉินหยุนต่างหากจึงเป็นผู้มีศักยภาพ เขาย่อมต้องได้กลายเป็นเซียน ข้าคิดอยากฝากฝังโอกาสเอาไว้แก่ชนรุ่นหลัง!  เปาเฉิงโจ่วหัวเราะออกจากใจ

ได้ยินคํากล่าวนี้ ผู้คนต่างมั่นใจว่าเขาพร้อมสละชีวิต ครึ่งเซียนต่อสู้โดยเอาชีวิตเข้าแลกนั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนที่นี้หวาดกลัวเป็นที่สุด กระทั่งหลันซูเหยาก็ไม่เว้น!

สาเหตุว่าทําไมฉินหยุนยังรู้สึกปลอดภัย ก็เพราะเปาเฉิงโฉ่วและเจี้ยนสือเทียนอยู่ที่นี่!

 หลันซูเหยา เจ้าจงเร่งรีบตอบคําถามข้า เจ้าเปลื้องผ้าข้า แขวนข้าเอาไว้กับต้นไม้ เป็นเจ้าใช่หรือไม่ที่ก่อกระทําความผิดก่อน?  ฉินหยุนกล่าวถามด้วยน้ําเสียงอันดัง

หลันซูเหยาไม่ตอบ ผู้ซึ่งอหังการภาคภูมิเช่นนาง ถึงกับไม่กล้ายอมรับความผิดพลาดของตนเอง

 อาจารย์ เรื่องราวก่อนหน้าที่ท่านเปลื้องผ้าเป็นเพียงอุบัติเหตุใช่หรือไม่! ยอมรับท่านก็ไม่สูญเสียอันใดหรือไม่ใช่?  สื่อชิงเฉิงก้าวเดินเข้าไปกล่าวคําเบาต่อหลันซูเหยา

 อาจารย์ น้องหยุนเป็นคนดีสาเหตุว่าทําไมท่านตอนนี้มีข้อพิพาทเช่นนี้ ก็เพราะความโกรธที่ โพล่งออก ท่านควรคิดให้ดีนี่ไม่ใช่เรื่องที่ท่านจําเป็นต้องยอมเสี่ยงเป็นตาย!  สุ่ยเทียนสื่อก้าวเดิน เข้ามารั้งมือหลันซูเหยาเอาไว้

สื่อชิงเฉิงพบเห็นหลันซูเหยาครุ่นคิด นางจึงกล่าว  อาจารย์ เจ้าหนูนี่เชี่ยวชาญอักขระค่ายอาคม ท่านเองก็ได้เห็นแล้ว เมื่อครู่ไม่มีผู้ใดสามารถขยับ มีแต่เขาที่สามารถ เห็นได้ชัดว่าเขาเข้าใจต่อค่ายอาคมของสถานที่แห่งนี้!

 ท่านกล่าวก่อนหน้า ว่ารอคอยเวลายาวนานเพื่อเข้าสู่เมืองภูตผีต้องห้ามแห่งนี้ เพื่อการนั้นท่านถึงกับยอมร่วมมือกับคนของแดนวิญญาณอ้างว้างเพื่อสํารวจที่นี่. หากพวกเราได้น้องหยุนช่วยเหลือบางที่พวกเราอาจได้ผลลัพธ์ตอบแทนเป็นสองเท่า! 

เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าวจากที่ไกลออกไป  พี่ชายของข้าย่อมเลิศล้ํา เขาสามารถครอบครองสิ่งของดีเลิศที่นี่ไว้แต่เพียงผู้เดียว เหตุใดจึงต้องร่วมมือกับนาง? จ้าวสํานักเปา จ้าวสํานักเจี้ยนพวกเราควรติดตามพี่ชายไปรับสิ่งของที่นี่ออกมากันแล้ว! 

เจี้ยนรั่วหยานเองก็กล่าว  เป็นเช่นนั้น คนพวกนี้คิดอยากสังหารพี่หยุน ทั้งยังคิดอยากฉกชิงสมบัติจากเขาอีกอย่างนั้นหรือ? ช่างคิดฝันกว้างไกล! 

เจี้ยนหลิงหลงยิ้มกล่าว  พวกเจ้าล้วนไม่ทราบ ว่าระหว่างการแข่งขันจารึกในงานชุมนุมยุทธ์ ดาบปีศาจน้อยนามเชี่ยวหยุน แท้จริงเป็นฉินหยุน! 

ได้ยินคํากล่าวนาง บรรดาอาจารย์จารึกเต๋าที่นี้ต่างต้องเบิกดวงตาออกกว้าง!

 เชี่ยวหยุนคือฉินหยุน? เจ้าตัวบัดซบนั่น มันถึงขั้นชนะได้รับอักขระตะวัน!  อาจารย์จารึกเต๋จากเขตแดนลึกล้ําสบถออกเสียงเบา

 ที่ชนะพวกเราไปได้ แท้จริงเป็นตัวบัดซบฉินหยุนผู้นี้! 

 เจ้าปีศาจน้อยที่บัดซบ! มันถึงขั้นชนะเลิศอันดับหนึ่งทั้งการแข่งขันจารึกและการแข่งขันประลองยุทธ์! 

 คงต้องกล่าวแล้ว ว่าเจ้าปีศาจน้อยบัดซบผู้นี้มีความสามารถของจริง! 

ได้ยินคําสบถของบรรดาอาจารย์จารึกเต๋ ผู้คนของแดนอสูรอ้างว้าง รวมถึงชนเผ่ายุคโบราณที่นี้ต่างต้องลอบทิ้ง เห็นได้ชัด ว่าปีศาจน้อยซึ่งนั่งอยู่เบื้องหน้าพวกเขาตอนนี้ คือตัวตนที่ชวนสะพซึ่งผู้หนึ่ง

หลันซูเหยากําหมัดเอาไว้แน่น ฟันต้องกัดดังกรอด นางตอนนี้ปรารถนาฉีกกระชากฉินหยุนออกเป็นชิ้น ทว่าเรื่องนี้ยากกระทํา

โดยเฉพาะตอนนี้ที่นางได้ทราบ ว่าฉินหยุนคือผู้เยาว์อันเลิศล้ํา นางยิ่งไม่อาจลงมือ เพราะครึ่งเชียนเช่นเปาเฉิงโจ่วพร้อมต่อสู้เป็นตายปกป้องฉินหยุน! ผู้ปกครองแพะภูตผีเองก็คิดว่าการลงมือสังหารฉินหยุนกลายเป็นเรื่องยากเย็นขึ้นมา!

ฉินหยุนพลันกล่าวขึ้น  สถานที่แห่งนี้มีมังกรที่แข็งแกร่งอยู่หรือไม่ใช่? มังกรย่อมต้องมีสมบัติมากมายและเหล่านั้นสมควรต้องซ่อนไว้ที่นี่! 

เซียนเฒ่าเต่าเอ่ยถามเสียงดัง  เจ้าทราบได้อย่างไร? 

 ข้ารู้เห็นทุกสิ่ง! ข้ายังทราบ ว่ามังกรนั่น คือบุตรแห่งจอมจักรพรรดิเซียนมังกร!  ฉินหยุนเผยยิ้มกล่าว

คํากล่าวของฉินหยุน เป็นผลให้บรรดาชนเผ่ายุคโบราณต่างตื่นตะลึงไม่รู้จบ เรื่องนี้เพียงทราบกันก็แต่รุ่นบรรพบุรุษของแต่ละชนเผ่า และเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้แพร่งพราย มันจึงเป็นความลับต่อคนนอกมาโดยตลอด

 เจ้าสามารถนําพวกเราไปยังสมบัติเหล่านั้นได้หรือ?  หลันซูเหยาในที่สุดจึงกล่าว

 ไม่ข้าไม่อาจช่วยเจ้าค้นหาสมบัติในที่นี้ และข้าก็ไม่คิดหาสมบัติเหล่านั้นด้วย เพราะข้ายังคิดมีชีวิตอยู่! 

 ตั้งแต่เข้ามาที่นี่ ข้าจึงได้พบ ว่าที่นี่แทบไม่มีสมบัติใดคงอยู่ เพราะสถานที่แห่งนี้คือแท่นบูชายัญมันจําเป็นต้องใช้ชีวิตผู้คนจํานวนมากปลุกผนึกให้ตื่นขึ้น! 

 และผู้คนที่เข้ามายังที่แห่งนี้ ก็คือเหยื่อสังเวย! 

ฉินหยุนเผยสีหน้าหนักอึ้ง กระนั้นคํากล่าวของเขา มันเป็นวาจาไร้สาระที่ต้อง การกล่าวออกไปให้คนเหล่านี้หวาดกลัว!

เซียนเฒ่าเต่ากล่าวตะโกนดัง  วาจาเจ้าล้วนไร้สาระ บุตรแห่งจอมจักรพรรดิเซียนมังกรถูกผนึกเอาไว้ที่นี่ก็ใช่ ทว่าจิตวิญญาณของเขานั้นสูญสลายหายไปหมดสิ้นแล้ว! ตัวเขาไม่สา มารถฟื้นคืนชีพ เพราะเขาสิ้นชีพ เมืองภูตผีต้องห้ามแห่งนี้จึงเปิดออก! 

ฉินหยุนแค่นเสียงกล่าว  ครั้งเจ้าเข้ามา ไม่พบเห็นวัตถุข้นเหนียวกระจายทั่วหรืออย่างไร? นอกจากนี้แล้ว พวกมันยังมีความสามารถฟื้นตัวสูงล้ํา! 

สื่อชิงเฉิงพลันนําเอากล่องออกมา เปิดมันออกและกล่าวถาม  สิ่งนี้อย่างนั้นหรือ? 

ผู้คนต่างเริ่มวิจารณ์ พวกเขาพบเห็นพวกมันจริง กระนั้นพวกเขาหาได้กังวลใด เพ ราะพวกมันกระจายทั่วทุกที่แม้ว่าแปลก แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องปกติของสถานที่

 สิ่งนี้แท้จริงคือเลือดมังกร! บุตรแห่งจอมจักรพรรดิเซียนมังกรถูกสังหารเมื่อนานมาแล้วทว่าเป็นเพียงความตายภายนอก ร่างมังกรระเบิดออก เลือดจึงสาดกระเซ็นทั่วทุกแห่งหน  ฉินหยุนกล่าว  ที่นี้มีคนของตระกูลหลง ให้พวกมันตรวจสอบดูย่อมได้ทราบ! 

 เพราะผ่านกาลเวลายาวนาน ออร่ามังกรในเลือดจึงระเหยออกจนพวกเจ้ายากพบเห็นได้! 

มีคนเพียงน้อยนิดที่รวบรวมเลือดมังกรสีดําเหล่านี้มา พวกเขานําของตนเองออกมา ส่งมอบให้คนของตระกูลหลงพิจารณาอย่างถี่ถ้วน!

ไม่นานจากนั้น ครึ่งเซียนตระกูลหลงจึงกล่าวออกด้วยสีหน้าตื่นตะลึง  นี่เป็นเลือดมังกรของจริง นอกจากนี้แล้วยังมีแต่พลังเซียนอัดแน่น เป็นเลือดของเซียนมังกร! 

หลันซูเหยาพอได้ทราบ สีหน้าของนางแปรเปลี่ยน เรื่องนี้แตกต่างไปจากที่ชนเผ่ายุคโบราณได้ทราบแล้ว

 อย่างนั้นที่นี่คืออะไรกัน?  หลันซูเหยาหันมองรอบ

 เป็นผู้หนึ่งที่สามารถสังหารจอมจักรพรรดิเซียนมังกร! คนผู้นั้นถูกผนึกเอาไว้ที่นี่โดย จอมจักรพรรดิเชียนมังกร ตัวเขาไม่อาจไปพ้นจากเมืองภูตผีต้องห้าม จึงได้แต่ต้องอยู่ที่นี่!  สีหน้าฉินหยุนเผยความเคร่งเครียด  ข้าได้พบเรื่องนี้ก็หลังจากเข้ามาแล้ว! และยังได้ทราบ ว่าอักขระทั่วทั้งสถานที่แห่งนี้ต่างถูกใช้เพื่อเป็นแท่นประกอบพิธี พวกเราได้แต่เข้าทว่าไม่สามารถออกไป! 

คํากล่าวของเขาสร้างความตื่นตะลึงครั้งใหญ่! เพราะหลังจากที่เข้าถึงห้องโถง ที่พื้นปูด้วยก้อนหยกทองคําพวกเขาไม่อาจออกไปได้จริง!

เชี่ยวเย่ว์เหม่ยรู้สึกร้อนรนหลังได้รับฟัง กระนั้นนางเองก็คิด ว่าฉินหยุนเพียงกล่าววาจาไร้สาระไปเรื่อย ตอนนี้กระทั่งนางก็ไม่ทราบแล้ว ว่าฉินหยุนกล่าวอันใดจริงอันใดเท็จ

 ฉินหยุน หากเจ้านําพวกเราออกจากสถานที่แห่งนี้อย่างปลอดภัย ข้าจะยอมปล่อยตัวเจ้าไป! ข้าจะรับประกันว่าเจ้าจะได้ออกไปจากแดนอสูรอ้างว้างอย่างปลอดภัย!  แม้หลันซูเหยาเผยใบห น้าเย็นเยือกกระนั้นภายในหัวใจนางมีแต่ความหวาดกลัวเกินใดเทียบเปรียบเกาะกุมแล้ว เพราะนางและทุกคนล้วนติดกันอยู่ที่นี่นั่นคือเรื่องจริง

ฉินหยุนกล่าวขึ้น  ข้าสมควรเชื่อฟังคํากล่าวพี่ชายผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ เขากล่าวว่าสิ่งของด้านในเมืองภูตผีต้องห้าม มันสามารถทําลายล้างแดนอสูรอ้างว้างได้! 

หลันซูเหยาเอ่ยถามเสียงเย็นเยือก  หยุดกล่าววาจาไร้สาระ เจ้าจะยอมร่วมมือกับข้าหรือไม่จงตอบ! 

ฉินหยุนพยักหน้าและตอบกลับ  ข้ายอมรับ ทว่าเจ้าต้องรับประกันว่าจะไม่ทําร้า ยอันใดต่อข้า! 

 หากข้าทําร้ายเจ้า เช่นนั้นข้าย่อมไม่ตายดี จิตวิญญาณข้าจะแหลกสลาย!  หลันซูเหยากล่าว  คราวนี้เจ้านําพวกเราไปสู่พื้นที่ถัดไปได้หรือยัง? 

 เรื่องนี้ ก่อนอื่นใด ให้เร่งรีบช่วยข้าแล้ว เพราะข้าติดอยู่กับบัลลังก์นี่!  ฉินหยุนหัวเราะดัง  เข้ามาช่วยเหลือข้าที่นี้ไม่มีกับดักใด ที่มีก็แต่ตรงกันข้า! 

คําพูดดังกล่าว เป็นผลให้หลายผู้คนที่นี้สบถดังภายใน พวกเขาค่อยทราบตอนนี้ ว่าฉันหยุนหว่านโปรยวาจาไร้สาระไปเรื่อย!

และสาเหตุว่าทําไมเขาไม่คิดหนี ก็เพราะเขาไม่อาจหลบหนี!

 

ตอนที่ 795 : บัลลังก์ราชันแห่งพระราชวังใหญ่

หลันซูเหยาพบเห็นฉินหยุน นางจึงกล่าวอย่างนึกถึง  ข้าพันธนาการมันไว้แล้ว ผู้ใดช่วยเหลือมันออกมา? 

ฉินหยุนหัวเราะดังกล่าวคํา  นางเฒ่าดุร้ายซูเหยา เป็นเจ้าปรามาสต่อข้าเกินไป ด้วยลูกเล่นต่ําทรามของเจ้า คิดหรือว่าจะพันธนาการท่านลุงฉินหยุนของเจ้าผู้นี้เอาไว้ได้? 

กลุ่มของเปาเฉิงโจ่วและเจี้ยนสือเทียนย่อมได้เห็นสื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อที่นี่ พวกเขาคงคาดเดาว่าฉินหยุนสมควรมาที่นี้ ตอนนี้ พวกเขาได้เห็นฉินหยุนสบถด่าทอต่อหลันซูเหยา พวกเขาเผยอาการตื่นตะลึงไม่รู้จบ พวกเขาไม่คิดว่าฉินหยุนจะถึงขั้นมีสัมพันธ์เบาะแว้งกับหลันซูเหยา

 เสี่ยวหยุน… เจ้า เจ้าอย่าได้พูดแล้ว…  สื่อชิงเฉิงตะโกนคําเบา

 เหตุใดข้าไม่อาจพูด? นางเฒ่าหิวโซและโฉดชั่วผู้นี้มันเปลื้องผ้าข้าและฉวยโอกาสต่อข้า เป็นนางที่แทบข่มขืนและหยามเหยียดเกียรติที่ข้ามี เหตุใดข้าจึงไม่อาจกล่าวต่อนาง?  น้ําเสียงของฉัน หยุนดังก้องทั่วทั้งห้องโถง

ได้รับฟัง ผู้คนล้วนกายแข็งทื่อ พวกเขาต่างมองฉินหยุนราวกับคนตายผู้หนึ่ง

 องค์ราชินีซูเหยาโปรดวางใจ ข้ารับประกันว่าผิวหนังของมันต้องถูกถลกออกทั้งสภาพยังมีชีวิต!  ผู้ปกครองแพะภูตผีเร่งรีบกล่าว

 เจ้าปีศาจน้อย เร่งรีบยอมรับความผิดต่อองค์ราชินีซูเหยา! 

 เจ้ามนุษย์เด็กที่สมควรตาย! 

 ไม่ว่าเจ้าครอบครองชีวิต วันนี้มันจะไม่พอให้เจ้าได้ใช้รับความตาย! 

บางที่นายท่านใหญ่อาจรับเจ้าไว้เป็นข้าทาสและ

 เร่งรีบยอมรับความผิดต่อองค์ร ไม่ลงมือสังหาร! 

เวลานี้ผู้คนต่างไม่อาจขยับ ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่กล่าววาจาคุกคามฉินหยุน

ผู้คนของเขตแดนลึกล้ําและตระกูลหลงยังกล่าวว่าฉินหยุนเป็นตัวตนเลวทรามเกินกว่าการชดใช้บาป เป็นเขาครอบครองสองจารึกวิญญาณ ทั้งยังเชี่ยวชาญอักขระโทเทมมากมาย

หลังถูกสบถก่นด่า สีหน้าหลันซูเหยากลายเป็นดํามืดชวนสะพรึง ดวงตาสีครามทั้งสองของนางพลันระเบิดแสงสีน้ําเงินยิงเข้าใส่ฉินหยุน ร่างฉินหยุนซึ่งถูกแสงสีน้ําเงินโจมตีใส่ฉับพลัน จึงกลับกลายเป็นหินสีน้ําเงิน

 อาจารย์… โปรดละเว้นเขา!  สื่อชิงเฉิงเร่งร้อนขอความเมตตา

 อาจารย์ เป็นเขาโกรธจนหน้ามืดจนกล่าวเช่นนั้นออก  ได้เห็นฉินหยุนกลายเป็นหินสีน้ําเงิน สุ่ยเทียนสื่อรู้สึกเสียใจเป็นล้นพ้น

หลันซูเหยาพลันกล่าวเสียงเย็น  มีแต่ข้าสามารถควบคุมพลังได้ในอีกครึ่งชั่วยาม ไม่เช่นนั้นมันตาย! ผู้ใดซึ่งถูกข้าแปรเปลี่ยนเป็นหิน ผ่านไปครึ่งชั่วยาม มันจะแตกออกเป็นเสี่ยงแม้ข้าไม่ลงมือ! 

หลายคนต่างหวาดกลัวหลันซูเหยาเพราะเรื่องนี้ ตอนนี้พวกเขายิ่งหวาดกลัวมากขึ้น ที่นี่ไม่มีผู้ใดสามารถขยับหรือใช้พลังในร่าง กระนั้น หลันซูเหยากลับยังแปรเปลี่ยนฉินหยุนเป็นหินสีน้ําเงินทั้งที่อยู่ห่างไปหลายร้อยเมตรได้!

โถงใหญ่แห่งนี้เงียบสงัด ไม่มีผู้ใดกล้าพูดกล่าวเพราะเกรงยั่วยุหลันซูเหยา

ภายในห้องโถงเงียบงัน ฉับพลันเสียงปริแตกดังขึ้น มันดังจากร่างของฉินหยุน! ผู้คนต่างจับจ้องมองเขม็ง ฉินหยุนที่ร่างแปรเปลี่ยนเป็นหินสีน้ําเงิน ตอนนี้กําลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงแล้ว

 ฮ่าฮ่าฮ่า ฉินหยุนมันตายแน่แล้ว!  ชายชราจากเขตแดนลึกล้ําหัวเราะเสียงดัง

 นายท่านซูเหยาช่างยอดเยี่ยม ถึงขั้นสังหารฉินหยุนได้เพียงแค่มอง!  ผู้คนของตระกูลหลงต่างออกปากโห่ร้องตะโกน

คนของทั้งตระกูลหลงและเขตแดนลึกล้ํา ต่างชื่นชมหลันซูเหยาเป็นการใหญ่

ได้เห็นหินสีน้ําเงินแตกออกเป็นเสี่ยง สื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อต่างคร่ําครวญกันออกมา

หลังหินสีน้ําเงินนั้นเริ่มปริแตกอย่างไม่คาดคิด มันระเบิดออก!

ฉินหยุนปรากฏกาย!

เป็นฉินหยุนที่ไร้รอยขีดข่วน ที่ปริแตกภายนอก มันเป็นเพียงเปลือกที่สร้างขึ้นจากหินสีน้ําเงิน!

 ฮ่าฮ่า ข้าหรือจะตาย! และตอนนี้ข้าก็ขยับร่างได้แล้ว!  ฉินหยุนหัวเราะดังจากใจ ถัดจากนั้น เขาจึงพับแขนเสื้อขึ้นและเริ่มก้าวเดินไปทางหลันซูเหยา

ผู้คนที่นี้ต่างเบิกตากว้างอ้าปากค้าง! หลันซูเหยาลงมือพลาด!

กระทั่งหลันซูเหยายังหวาดกลัวไม่รู้จบ นางเร่งรีบยิงแสงสีน้ําเงินออกจากดวงตาอีกครั้งหนึ่ง ลําแสงสีน้ําเงินปะทะร่างฉินหยุน ทว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้น ตัวเขายังคงก้าวเดินได้ ไม่ช้า ฉินหยุนจึงเข้าถึงตรงหน้าหลันซูเหยา

 เจ้า… นี่เจ้าคิดทําอะไร?  หลันซูเหยาตอนนี้ค่อยรู้สึกถึงความหวาดกลัวซึ่งไม่เคยมีมาก่อน นางร้องตะโกนดัง

 เจ้าหนูนี่…  สื่อชิงเฉิงได้แต่ครวญคราง

 นายท่านซูเหยา คล้ายเส้นผมนี้ดูน่าลูบนัก!  ฉินหยุนหัวเราะซุกซนก่อนจะเริ่มเล่นกับเส้นผมเหยียดตรงของหลันซูเหยา ก่อนจะม้วนมันไปมาพร้อมขยี้จนยุ่งเหยิง

การกระทําของฉินหยุน เป็นผลให้ยอดฝีมือที่นี้ตะโกนก่นด่าโกรธแค้น กระนั้น ภายใต้คําสาปที่ครอบงํา มีแต่ฉินหยุนที่ละเล่นได้อย่างสนุกสนานหัวเราะยินดี

ร่างกายหลันซูเหยาสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ ดวงตาสีครามของนางอัดแน่นด้วยจิตสังหาร

ภายใต้คําก่นด่าของผู้คนมากมาย เรื่องราวชวนสะพรึงได้บังเกิด ฉินหยุนเข้าไปด้านหลังหลันซูเหยาพร้อมตบก้นดัง  เพี้ยะ เพี้ยะ เพียะ  หลายครั้งต่อเนื่อง

ฉินหยุนกระทําเช่นนี้ต่อหน้าสาธารณชน มันไม่ต่างอะไรกับหยามต่อหลันซูเหยา!

ถัดจากนั้น ฉินหยุนจึงเริ่มลูบคลําใบหน้าหยกแก้วงดงามของหลันซูเหยา เขาหัวเราะเบาก่อนจะจูบที่ใบหน้าของนาง

ผู้คนที่สบถก่นด่าต่างหยุดปาก! พวกเขาพบว่าเรื่องราวยากเกินเชื่อ องค์ราชินีซูเหยาผู้สูงส่งทรงอํานาจ เวลานี้ถึงขั้นถูกผู้อื่นหยามเหยียดได้เพียงนี้

 อย่าได้กังวลไป ข้าย่อมไม่ต่ําทรามดังเช่นเจ้า! ดังนั้นข้าจึงไม่คิดเปลื้องผ้าเจ้าที่ตรงนี้!  ฉินหยุนกล่าว ก่อนจะนําเอาปากกาและน้ําหมึกออกมา ถัดจากนั้น เขาจึงเริ่มวาดหัวหมูและหลังเต่าที่ใบหน้าหลันซูเหยา

เส้นผมหลันซูเหยายุ่งเหยิง ใบหน้างดงามมีแต่ภาพวาดเล่นชวนขบขัน นางเวลานี้ไม่ทราบแล้วว่าเป็นคนหรือผี!

นางโกรธจัดจนไม่อาจพูดกล่าว เพราะไม่ว่าภาษาใดในโลกหล้า ยามนี้ล้วนไม่อาจบรรยายความโกรธของนางออกได้

ถัดจากนั้น ฉินหยุนจึงเริ่มตบก้นของนางอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งสาแก่ใจเขาจึงค่อยเดินไปหาผู้ปกครองแพะภูตผี เขาถือค้อนเทวะเก้าตะวันไว้ในมือ!

 เจ้าตัวบัดซบ เจ้าคิดทําอะไร?  ผู้ปกครองแพะภูตผีร้องตะโกนอย่างกราดเกรี้ยว

 ตัวบัดซบ ให้ข้าได้กัดกินเจ้าทั้งเป็น!  เฟิงหยางเริ่มร้องตะโกนดัง

 มันผู้นี้คิดอยากกินข้า ดังนั้นข้าหรือจะปล่อยมันไป ชะตาของมันคือตาย!  ฉินหยุนกล่าวพร้อมฟาดหวดค้อนลง

ครืน!

อัคคีเพลิงสีดําทะลักล้นลุกโชนจากค้อนเทวะเก้าตะวันของฉินหยุน มันมาพร้อมกับพลังสั่นไหวรุนแรง ทั้งหมดทั้งมวลนี้สะกดลงที่ร่างของเฟิงหยางจนกลับกลายเป็นเถ้าธุลี

 ตัวบัดซบ เจ้าต้องตาย!  ผู้ปกครองแพะภูตผีตะโกนร้องด้วยโทสะดังสนั่นห้องโถง

ผู้คนของตระกูลหลงและเขตแดนลึกล้ํา เวลานี้ต่างหวาดกลัวที่จะเผยความหาญกล้า พวกเขาย่อมได้เห็นแล้วว่าฉินหยุนกระทําต่อหลันซูเหยาเช่นไร พวกเขาทราบกระจ่างชัด ฉินหยุนไม่ใช่ผู้ที่ไว้หน้าสวรรค์หรือโลกหล้า และพวกเขามีข้อพิพาทกับฉินหยุนไม่รู้จบ ตอนนี้ฉินหยุนคือผู้เดียวที่มีโอกาสคุกคามชีวิตพวกเขา

ฉินหยุนที่สังหารเฟิงหยางเรียบร้อย ขณะคิดสังหารผู้ปกครองแพะภูตผี พื้นเบื้องล่างพลันเริ่มสั่นไหว

 บัดซบ! 

ฉินหยุนย่อมได้เห็นแสงสีทองเบื้องล่างเท้าผู้คนที่เลือนหาย เขาทราบว่าคําสาปคลายออกตัว เขาเร่งรีบใช้ความสามารถเทวะทะลุทะลวงลงสู่พื้นเบื้องล่าง

ตุ้ม ต้ม ตุ้ม!

ขณะฉินหยุนทะลวงผ่านลงสู่พื้น การโจมตีดุดันพลันปรากฏจากทั่วทิศ เหล่านี้มาจากครึ่งเซียนและจักรพรรดิยุทธ์

การโจมตียังคงประดังเข้าต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ผ่านไปพักหนึ่งจึงค่อยสงบ ฉินหยุนหายตัวลงพื้นดิน ทุกการโจมตีล้วนไร้ผลต่อตัวเขา และตัวเขาไม่ได้รับบาดเจ็บใด เพราะเห็นได้ชัดว่าพื้นในห้องโถงแห่งนี้แข็งแกร่งไร้รอยขีดข่วน

 เซียนเฒ่าเต่า ตัวบัดซบนั่นไปที่ใดแล้ว?  น้ําเสียงเย็นเยือกของหลันซูเหยาดังขึ้น ความสงบเกินคาดคิดนี้เป็นผลให้ผู้คนต่างตระหนกวิตก

 ข้า ข้าไม่ทราบ!  เซียนเฒ่าเต่าเองก็รู้สึกว่าฉินหยุนผู้นี้ประหลาดเหลือเชื่อเกินไป

หลายคนล้วนเชื่อว่าหลันซูเหยาคิดสังหารฉินหยุนให้ตายตก พวกเขาแทบไม่อาจเก็บซ่อนความหวาดกลัวในจิตใจ เวลานี้มีแต่คิดถอยหนีห่าง หลันซูเหยาที่สงบได้ในทันทีเช่นนี้ มันเปรียบดังความสงบก่อนพายุมาเยือน

 ข้าจะฉีกกระชากไอ้ตัวบัดซบนั่นให้เป็นชิ้น!  ผู้ปกครองแพะภูตผีเผยดวงตาแดงก่ําอย่างโกรธแค้น

 นี่ เรื่องนี้ หากเขาไม่สังหารผู้อื่น ข้าเกรงว่าพวกเราก็จะยังไม่อาจเคลื่อนไหวได้!  เซียนเฒ่าเต่ากล่าวคําเบา  เพราะจิตวิญญาณสังเวยชีพ คําสาปต่อพวกเราจึงคลายออก ไม่เช่นนั้น พวกเราคงต้องติดอยู่ในสภาพนั้นเป็นเวลานาน มีแต่ผู้ใดผู้หนึ่งตายตกพวกเราจึงค่อยเคลื่อนไหว! 

 เหตุใดมันสามารถขยับ? แล้วเหตุใดมันหลุดพ้นจากพลังเนตรศักดิ์สิทธิ์ของข้าได้?  หลันซูเหยาเอ่ยถามเสียงเย็นเยียบ

 ข้า ข้าไม่ทราบแล้ว!  เซียนเฒ่าเต่าไม่อาจอธิบายถึงสถานการณ์ตอนนี้  ข้าเพียงทราบว่า พวกเราไม่อาจเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน และเกือบที่จะ… หากไม่มีผู้ใดตายตกเมื่อครู่ พวกเราก็ไม่มีทางเป็นอิสระเช่นตอนนี้ได้! 

ได้ยินเช่นนี้ ผู้ปกครองแพะภูตผียิ่งพิโรธ

แคร่ก แคร่ก แคร่ก

อย่างกะทันหัน เสียงปริแตกดังแผ่ขยาย พื้นที่รอบห้องโถงกว้าง ก้อนหยกสีทองบนพื้นเริ่มพังทลาย ผู้คนที่นี้ต่างเดินไปรวมตัวกันรับชม พวกเขาพบเห็นเป็นถ้ําสีดําสนิทแห่งหนึ่ง เบื้องล่างไม่อาจพบเห็นว่าเป็นอันใด เพราะมันมีหมอกสีดําหนาบดบัง กลุ่มคนหารือกันว่าจะส่งผู้ใดลงไป

ฉินหยุนที่ใช้ความสามารถเทวะทะลุทะลวงผ่านพื้นดิน เขาจึงมาถึงอุโมงค์น้ําใต้ดิน ทั้งนี้ กระแสน้ํายังเชี่ยวกรากจนนําพาเขาสู่พื้นที่อื่น

 บ้าฉิบ! เหตุใดหลังสังหารตัวบัดซบนั่นพวกมันจึงเคลื่อนไหวได้กัน?  ฉินหยุนสบถออก

 เสี่ยวหยุน หลังเจ้าสังหารมันผู้นั้น จิตวิญญาณของมันเลือนหาย อย่างนั้นหมายถึงต้องมีบางอย่างดูดกลืนมันไป  หลิงหยุนเอ๋อกล่าว  ให้ข้าคาดเดา ห้องโถงแห่งนั้นจําเป็นต้องสังเวยจิตวิญญาณเพื่อที่จะไปต่อได้ 

 ช่างมัน ได้ฝากความแค้นกับหลันซูเหยาได้ ตอนนี้ใจข้าค่อยโล่งไปมาก!  ฉินหยุนเพียงนึกถึงเรื่องที่กระทําไป เขาจึงยิ้มอย่างสุขสันต์

เดิมฉินหยุนคิดอยากกระทําเหี้ยมโหดกว่านั้น เขาคิดจับตัวหลันซูเหยา โยนนางเข้าไปให้เหยาเฟิง กระนั้นเขาไม่อาจขยับตัวนาง สาเหตุต้องเป็นเพราะก้อนหยกทองคําที่พื้นดึงดูดนางเอาไว้แน่น สาเหตุว่าทําไมฉินหยุนสามารถขยับ ก็เพราะหลิงหยุนเอื้อปลดปล่อยเลือดประหลาดที่ดูดกลืนเข้าไปจํานวนมากออกมา สาเหตุว่าทําไมเขาจึงคลายพลังเนตรศักดิ์สิทธิ์ของหลันซูเหยาได้ ก็ เพราะเลือดประหลาดนั้นอีกเช่นกัน

 เลือดประหลาดนั่นช่างยอดเยี่ยม มันทําให้ข้าเคลื่อนไหวได้โดยไม่ติดขัดใด!  ฉินหยุนกล่าวชื่นชมหลิงหยุนเอ๋อ หากนางไม่ให้เขารวบรวมเลือดประหลาดเหล่านั้น เรื่องราวที่เกิดขึ้นคงเลวร้ายกว่านี้มากมายนัก

เวลานี้ เขากําลังไหลไปตามกระแสน้ําสู่พื้นที่อื่น ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เขาสัมผัสได้ถึงกระแสน้ําที่หยุดนิ่ง ดังนั้นจึงว่ายมุ่งหน้าไป

หลังออกพ้นจากห้วงน้ํา เขาจึงได้พบเห็นพระราชวังอันตระการตาที่อัดแน่นด้วยแสงทองม่วงสาดส่อง พระราชวังตรงหน้าของเขานี้ มันมีบัลลังก์มังกรแกะสลักอันวิจิตร มันคล้ายพระราชวังแห่งผู้ครอง ที่ใจกลางพระราชวัง มันปูไว้ด้วยพรมทองม่วง ขณะเดินไปฉินหยุนรับรู้ถึงความรู้สึก ยากบรรยายออก มันเป็นความรู้สึกราวกับแหวกว่ายผ่านมวลเมฆล่องผ่านสายหมอก!

อย่างรวดเร็ว เขามาถึงพื้นที่ตรงหน้า นั่งลงที่บัลลังก์ราชัน ภาพมุมกว้างของเขาเวลานี้คือทั่วทั้งพระราชวัง ทั้งมันยังทําให้รู้สึกราวกับได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกหล้าและสรวงสวรรค์!

ฟุบ ฟุบ ฟุบ!

อย่างกะทันหัน หลายคนร่วงหล่นลงมาที่บ่อน้ําสีดําเบื้องหน้าอย่างไม่คาดคิด เหล่านี้เป็นหลันซูเหยาและคณะ!

ฉินหยุนสบถก่นด่าภายใน เขาคิดใช้ความสามารถเทวะทะลุทะลวงเพื่อหลบหนีเข้าพื้นดิน

แต่แล้ว เขาพลันต้องตื่นตะลึง พบว่าตนเองถูกรั้งเอาไว้กับบัลลังก์ราชันรูปสลักมังกร ตัวเขาไม่อาจหลบหนี

ยิ่งผ่านไปยิ่งมีคนร่วงหล่นลงมา พวกเขาเหล่านี้ล้วนมาจากห้องโถงที่เบื้องบน!

 

ตอนที่ 794 : ไม่อาจเคลื่อนไหว

ฉินหยุนมองที่สิ่งปลูกสร้างครึ่งทรงกลมขนาดใหญ่ยักษ์ใจกลางเมืองภูตผีต้องห้าม

 ไม่ทราบเลยว่าจ้าวสํานักและผู้อื่นยังอยู่ที่ภายในนั้นหรือไม่  ฉินหยุนเข้าสู่เขตแดนอ้างว้างแห่งนี้ ก็เพื่อค้นหาเปาเฉิงโจ่วและคณะ

 ฉินหยุนเจ้าต้องระวังตัว สถานการณ์ภายในนี้คล้ายซับซ้อนไม่น้อย  เหยาเฟิงกล่าว

  พี่สาวเหยาเฟิง ทีนี้ท่านออกมาได้หรือไม่?  ฉินหยุนเอ่ยถาม

 ไม่ได้ เจ้าต้องพึ่งพาตนเองแล้ว  เหยาเฟิงกล่าว

ฉินหยุนตอนนี้ได้แต่เก็บเลือดประหลาด คาดหวังว่าพวกมันจะสามารถใช้งาน หลังจากฉินหยุนเดินเตร่อยู่พักหนึ่ง เขาค่อยรวบรวมเลือดประหลาดได้มากพอ หลิงหยุนเอ่อลงมือเข้าควบคุมตะวันทมิฬกลืนกินเลือดประหลาดเหล่านั้นจนสิ้น

ตอนนี้ เขากําลังมุ่งหน้าไปยังศูนย์กลางของเมือง ที่แห่งนั้นคือใจกลางของเมืองภูตผีต้องห้าม สาเหตุว่าทําไมเมืองภูตผีต้องห้ามตอนนี้กลายเป็นเช่นนี้ ก็เพราะมันมีผนึกที่ใจกลาง

หลิงหยุนเอ๋อกล่าว  เสี่ยวหยุน เจ้าไม่คิดหรือว่าสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่นั่นคล้ายสุสาน? 

ฉินหยุนเคยได้เห็นสุสานเขียนมามาก ตอนนี้เขาค่อยรู้สึกว่าที่เห็นตรงหน้านี้ค่อนข้างคล้าย

 สุสานนี้ไม่คล้ายน่าหวาดกลัวเท่าที่ผนึกพี่สาวปิงชิงเอาไว้  ฉินหยุนกล่าวภายใน

 เป็นไปได้ว่าพี่สาวปิงชิงที่มีกําลังสูงสุด แท้จริงแข็งแกร่งยิ่งกว่าบุตรแห่งจอมจักรพรรดิเซียนมังกร?  หลิงหยุนเอ๋อยิ้มกล่าว

ฉินหยุนคิดตาม ยามนี้พลันได้ตระหนักว่าปิงชิงค่อนข้างเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดา กล่าวโดยทั่วไปแล้ว มีแต่ผู้ที่ยากแก่การสังหารจึงถูกผนึก ปิงชิงถูกผนึกเอาไว้ในเทือกเขาเมฆมังกรอย่างยิ่งใหญ่ นั่นแทบคล้ายกับเซี่ยฉีโหรว ทั้งสองเป็นตัวตนยากสังหาร

 เสี่ยวหยุน ร่างของพี่สาวปิงชิงสมควรมีความลับอันยิ่งใหญ่ซุกซ่อนไว้ ย้อนกลับไปวันคืนเหล่านั้น ผู้คนที่มีสัมพันธ์อันดีกับพี่โหรวมีมากมาย ทว่ากลับมีเพียงพี่สาวปิงชิงที่ถูกผนึกเอาไว้  หลิงหยุนเอ๋อกล่าวอีกครั้ง

ฉินหยุนซ่อนเร้นขณะระแวดระวังรุกคืบหน้า ปิงชิงย่อมเก็บซ่อนความลับเอาไว้มากมาย กระนั้น ตอนนี้เขาก็ได้เพียงแต่คิด และมันไม่มีทางสร้างประโยชน์ใดให้ได้

ทันใดนี้เอง เขารับรู้ได้ถึงสิ่งที่ถูกผนึกเอาไว้ภายในสิ่งปลูกสร้างครึ่งทรงกลมเบื้องหน้า มันทรงพลังอํานาจชวนสะพรึง เหยาเฟิงก่อนหน้าได้บอกว่าเลือดประหลาดเหล่านั้นคือเลือดมังกร อย่างนั้นก็เป็นไปได้ว่าพวกมันคือเลือดของบุตรแห่งจอมจักรพรรดิเซียนมังกร

ตํานานกล่าวว่าอีกฝ่ายถูกสังหารไปแล้ว ฉินหยุนสงสัยว่านั่นไม่ใช่สุดท้ายแล้วจึงมาถึงเบื้องนอกของสิ่งปลูกสร้างครึ่งทรงกลม ทันทีเมื่อมาถึง เขาเร่งรีบวนรอบสิ่งปลูกสร้างนี้ สัมผัสได้ถึงออร่าของผู้คนจํานวนมาก หนึ่งในนั้น เป็นของผู้ปกครองแพะภูตผี

 ออร่าของจ้าวสํานักและผู้อื่นยังอยู่ ชัดเจนว่ากําลังร่วมมือกันทําอะไรบางอย่าง พวกเขาน่าจะร่วมมือกันสํารวจพื้นที่นี้! 

ฉินหยุนได้เพียงแต่คาดการณ์ สิ่งปลูกสร้างนี้ขนาดใหญ่ ฉินหยุนเดินวนรอบหนึ่งเมื่อครู่ยังต้องใช้เวลานาน มันใหญ่ขนาดสวนมหึมาแห่งหนึ่ง ทางเข้ามีหลากหลาย แม้สิ่งปลูกสร้างครึ่งทรงกลมนี้ทําขึ้นจากหินแข็ง กระนั้นมันกลับมีอุโมงค์ทางเข้ามากมาย หากนับคงไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อย ฉินหยุนเลือกอุโมงค์ทางเข้าหนึ่ง ก่อนจะเข้าไปอย่างระมัดระวังตัว ภายในค่อนข้างดํามืด ทั้งยังมีสายลมเย็นโชยพัดผ่าน

 นางเฒ่าหลันซูเหยาเองก็สมควรอยู่ที่ภายในนี้!  นึกถึงอีกฝ่าย ฉินหยุนรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา

ระหว่างเดินผ่านเส้นทางยาว ร่างของเขาพลันต้องสั่น สายลมเย็นเยือกยากเทียบเปรียบได้มาถึงพร้อมเสียงร้องคํารามสร้างความหวาดกลัวแก่ผู้คน

 หรือภายในนี้จะมีภูตผี?  ฉินหยุนไร้ซึ่งความกลัวเกรง เพราะตัวเขาเวลานี้ปลอดภัยยิ่ง

เขาเดินผ่านเส้นทางต่อไปเรื่อย จนกระทั่งถึงห้องโถงใหญ่แห่งหนึ่ง ที่นี้มีความกว้างนับลี้ ภายในสว่างไสว ทั้งนี้พื้นยังเป็นประกายด้วยสีทองคํา ราวกับมันสร้างขึ้นจากผลึกแก้วสีทองประกาย แสงวิบวับทําให้หลังคาของห้องโถงแห่งนี้เปล่งประกาย ภายในมีหลายผู้คนคงอยู่ กล่าวได้ว่ามากกว่าหนึ่งพันชีวิต!

ฉินหยุนเดินไปพร้อมกวาดสายตาสํารวจมอง เขาได้เห็นคนรู้จักเช่นเจี้ยนสือเทียน รวมถึงเปาเฉิงโฉ่ว ทั้งยังมีครึ่งเซียนและจักรพรรดิยุทธ์ของตระกูลหลงและเขตแดนลึกล้ํา ผู้คนของเขตแดนนอกหลายคนจากขั้วอํานาจใหญ่ต่างก็อยู่กันที่นี้

ฉินหยุนยังคงสภาพโปร่งแสงไว้ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดพบเห็น ผู้คนเหล่านี้อยู่ที่นี่กันมานานไม่น้อย ทว่าไม่ใช่การติดอยู่ที่ตรงนี้ แต่เป็นเมื่อมาถึงพวกเขาค่อยตระหนักได้ว่าไม่อาจออกไป

เฉินหยุนพบเห็นหลันซูเหยา รวมถึงสื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อที่ด้านหลังของนาง ตําแหน่งของหลันซูเหยาในที่นี้สูงส่ง เพราะฉินหยุนพบเห็นผู้ปกครองแพะภูตผีเคารพนับถือพร้อมตั้งแนวป้องกันให้แก่นาง

กระทั่งผู้คนของตระกูลหลงและเขตแดนลึกล้ํายังต้องหารือกันถึงเรื่องนาง ท่าที่พวกเขาเป็นไปอย่างอ่อนโยนและสุภาพ และใบหน้าเคร่งเครียดของหลันซูเหยา มันอัดแน่นด้วยความเย็นเยือกอันงดงาม มวลอากาศรอบกายนางที่เผยออก เป็นนางแทบแช่แข็งทุกผู้คน

 นางเฒ่าคลุ้มคลั่งนี้ เหตุใดจึงทรงอิทธิพลได้เพียงนี้กัน?  ฉินหยุนพลันรู้สึกว่าคิดแก้แค้นหาฉันชูเหยาไม่ใช่เรื่องง่าย

นอกจากผู้คนของเขตแดนนอก ฉินหยุนยังได้เห็นกลุ่มคนที่เผยออร่าอสูรชั่วร้ายจากร่างกายอย่างไม่ปิดบัง ชัดเจนว่าเป็นผู้ฝึกตนเต๋อสูรของแดนอสูรอ้างว้าง

นอกจากนี้แล้วยังมีผู้คนที่เป็นชนเผ่าสัตว์ พวกเขาเหล่านี้เป็นชนเผ่ายุคโบราณ

ฉินหยุนไม่กล้าเข้าไปใกล้ กระทั่งอยู่ห่างหลายร้อยเมตร สําหรับเขาแล้วนี่ถือเป็นระยะที่ต้องระมัดระวัง ฉินหยุนไม่ถูกพบเห็นในระยะไกล ชัดเจนว่าเป็นผลของยันต์เตซ่อนเร้นลี้ลับที่สร้างขึ้นไว้ก่อนหน้า

ตัวเขาได้แอบฟังผู้คนเหล่านี้สนทนากัน ไม่นานนักหลังเข้ามา พวกเขาจึงได้พบว่ามีม่านพลังขวางกั้นเอาไว้ พวกเขาไม่อาจออกไป ฉินหยุนทดลองเดินผ่านไปยังเส้นทางคิดออกไป กลับเป็นเขาที่สามารถออกไปได้ และเขาก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะสาเหตุใด!

เส้นทางอุโมงค์เชื่อมต่อสู่ภายนอกนั้นมีมากมาย ทว่าพวกมันล้วนนํามาสู่ห้องโถงกว้างขวางโอ่อ่าแห่งนี้ ดังนั้นแล้ว ห้องโถงนี้จึงมีเส้นทางอุโมงค์เชื่อมต่อรายล้อม

ผู้คนเหล่านี้คิดทดลองดูแล้ว พบว่าไม่ว่าทําอย่างไรก็ไม่อาจออกไป

ฉินหยุนลองไปทดสอบอุโมงค์อื่นอีกหลายแห่ง และตัวเขาก็ผ่านไปได้อย่างราบลื่นทุกครั้งไป!

 นี่มันเรื่องอะไรกัน? เหตุใดเราจึงออกไปได้ขณะที่พวกเขาไม่อาจ?  ฉินหยุนพบว่าเรื่องราวแปลกประหลาด

 หรือจะเป็นเพราะ… ที่ข้าให้เจ้าช่วยรวบรวมเลือดประหลาดเหล่านั้นมา?  หลิงหยุนเอ๋อยิ้มกล่าวถาม

ฉินหยุนกลายเป็นยินดี เขาลอบเข้าไปใกล้หลันซูเหยา กระนั้นก็เป็นเพียงระยะสองร้อยเมตร

หลันซูเหยากล่าวกับบุคคลศีรษะเป็นม้าด้วยน้ําเสียงเย็นเยือก  พวกเจ้ามันไร้ค่า! เมื่อครู่บอกกล่าวต่อข้าว่าอย่างไร? ในนี้มีมรดกชนเผ่าโบราณคงอยู่มากมายหรือ ตอนนี้เป็นไร? พวกเราล้วนติดกันอยู่ที่นี่! 

 องค์ราชินีซูเหยาโปรดเมตตา พวกเราไม่ได้ติดอยู่ที่นี่ และที่นี่ก็มีชนเผ่ายุคโบราณอยู่จริง พวกเราเพียงยังไม่พบกลไกเพื่อใช้ออกไปจากที่แห่งนี้!  เต่าชราผู้หนึ่งกล่าว

ได้เห็นเต่าชรา ฉินหยุนจึงลอบเหยียดหยัน เขาเรียกหาผู้อื่นเป็น  เต่าหัวหด  มาหลายครั้งครา เวลานี้ค่อยได้เห็นผู้เฒ่าเต่าหัวหดของจริง!

เต่าชราคนนี้อายุมากล้ํา รูปลักษณ์ภายนอกเป็นสิ่งบ่งบอกได้อย่างดี และหลันซูเหยาก็ไม่ได้เผยท่าที่อหังการเย็นเยือกต่ออีกฝ่ายเฉกเช่นผู้อื่น

 เซียนเฒ่าเต่า เจ้าพบวิธีการไปยังพื้นที่ต่อไปแล้วอย่างนั้นหรือ?  หลันซูเหยากล่าวถาม

 ขอรับ พวกเราพบแล้ว!  เซียนเฒ่าเต่าหัวเราะรับ จากนั้นจึงลูบหนวดเครายาวของตนเอง

ถึงตอนนี้ ประชากรเต่าหลายคนต่างคลานมากับพื้นราวกับพบเห็นบางอย่าง

ฉินหยุนพิจารณามองประชากรเต่าเหล่านี้ พบว่ามันมีอักขระจํานวนมากแกะสลักไว้บนกระดองเต่า มันมีเพียงแต่เส้นสว่าง ทว่าเพียงมองย่อมทราบว่าเป็นอักขระที่ลึกล้ําอย่างยิ่ง

– ภายในเขตแดนอ้างว้างลึกลับแห่งนี้ ผู้เหนือล้ําท่ามกลางชนเผ่ายุคโบราณ ย่อมต้องเป็นชนเผ่าครึ่งสัตว์เหล่านี้

ก่อนหน้านี้ ฉินหยุนได้พบเห็นบุคคลเหล่านี้แปรเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ พวกเขาหาได้มีใดผิดแผกจากมนุษย์ธรรมดาไม่

และหลันซูเหยาผู้ซึ่งมีตําแหน่งอันสูงศักดิ์ ตัวนางไม่ได้มีรูปลักษณ์เป็นสัตว์ กระนั้นฉินหยุนรู้สึก ว่านางสมควรต้องเป็นสัตว์ครึ่งคนเช่นเดียวกัน เพียงแต่รูปลักษณ์สัตว์ของนางอาจเก็บซ่อนเร้นไว้เป็นอย่างดี

 เสี่ยวหยุน ตัวตนสัตว์ของหลันซูเหยานั้นสมควรเป็นที่ดวงตา!  หลิงหยุนเอ๋อกล่าว  ดวงตาสีครามของนางค่อนข้างพิเศษ! 

ฉินหยุนลอบตระหนก เขาเองก็คิดเช่นเดียวกันนี้

 ผู้คนจากแดนวิญญาณอ้างว้าง เจ้าทราบเรื่องวิถีจารึกหรือไม่?  เซียนเฒ่าเต่าพลันเอ่ยถาม

 พวกเราย่อมทราบ!  เจี้ยนสือเทียนและคณะรับคํา

ที่นี้มีอาจารย์จารึกเต่ําอยู่มาก พวกเขาต่างเป็นคนของตระกูลหลงและเจี้ยน

 กี่คนกัน?  เซียนเฒ่าเต่าคล้ายตื่นตะลึงพร้อมเร่งรีบถาม

ไม่นานนัก อาจารย์จารึกนับร้อย ประกอบด้วยอาจารย์จารึกเต๋และลึกล้ําจึงเผยตัวกันออกมา

เรื่องนี้เป็นผลให้ชนเผ่ายุคโบราณและผู้คนของแดนอสูรอ้างว้างตื่นตะลึง พวกเขาไม่คิดว่าแดนวิญญาณอ้างว้างจะมีอาจารย์จารึกมากมายเพียงนี้ นอกจากนี้แล้ว ยังมีทั้งจักรพรรดิยุทธ์และครึ่งเซียนที่เป็นอาจารย์จารึก

 ตอนนี้พวกเราต้องการให้สหายทั้งหลายช่วยพิจารณาก้อนหยกทองคําบนพื้น บางก้อนจะมีอักขระแกะสลักเอาไว้ ตราบเท่าที่พวกเราพบก้อนหยกทองคําที่มีอักขระ เช่นนั้นข้าจะได้ทราบว่า พวกเราจะไปยังพื้นที่ถัดไปได้อย่างไร!  เซียนเฒ่าเต่าเอ่ยคํา

หลังจากที่บรรดาอาจารย์จารึกต่างได้รับฟัง พวกเขาจึงเร่งรีบก้มมองลงที่พื้น ฉินหยุนก้มมองลงที่ก้อนหยกทองคําเช่นเดียวกัน

ไม่นานนัก อาจารย์จารึกเต๋ผู้หนึ่งที่พบเจอจึงร้องตะโกนเรียกเสียงดัง

เซียนเฒ่าเต่าเร่งรีบวิ่งไปรับชม จากนั้นจึงกล่าวชมไม่ขาดปาก  พบแล้ว พวกเราพบเส้น

ทางแล้ว! 

เซียนเฒ่าเต่ากล่าวคําจบ เขาจึงนอนลงกับพื้นก้อนหยกทองคํา กระดองเต่าสัมผัสกับก้อนหยก ขาทั้งสี่ชี้ขึ้นฟ้า!

ฟุบ ฟุบ ฟุบ!

เซียนเฒ่าเต่าพลันทะยานตัวลุกพรวดอย่างชวนขบขัน!

ไม่นานจากนั้น ก้อนหยกทองคําเบื้องล่างพลันเริ่มสาดส่องแสงสีทองออกมา

ต้ม ตูม ตู้ม!

เสียงบางอย่างดังขึ้นต่อเนื่องจากทั่วทิศ!

เวลาเดียวกันนี้เอง เบื้องล่างฝ่าเท้าผู้คนจึงเผยแสงสีทองเจิดจ้าสว่างวาบ

 นี่เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดไม่อาจขยับ! 

 พวกเราติดอยู่กับที่! 

 พวกเราขยับได้เพียงแต่ศีรษะ และพลังงานในร่างกายพวกเราก็ไม่อาจโคจร! 

 เซียนเฒ่าเต่า นี่เจ้าทําอันใดลงไป? เจ้าเชื่อหรือไม่ ว่าข้าพร้อมจะต้มเจ้าเป็นซุปอันโอชะ! มนุษย์สัตว์หัวจระเข้คําราม

พวกเขาได้เพียงแต่พูดกล่าวและหันศีรษะมองไปรอบ!

 เร่งรีบรับชม ตรงนั้นมีคนอยู่!  อย่างกะทันหัน คนผู้หนึ่งร้องตะโกนเพราะพบเห็นฉินหยุน

ก็เหมือนดังผู้อื่น เขาไม่อาจขยับ ได้แต่ต้องยืนนิ่งกับที่ แสงสีทองสาดส่องออกจากเบื้องล่างฝ่าเท้า

 เป็นฉินหยุน! 

 เจ้านี่มันเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด? 

 ฉินหยุนมันมาที่นี่เองอย่างนั้นหรือ? 

กลุ่มคนเริ่มโวยวายพูดกล่าว

ผู้เฒ่าชราจากเขตแดนอ้างว้างพลันคํารามออกด้วยโทสะ  ฉินหยุน เจ้าไม่อาจเข้ามายังเขตแดนอ้างว้างแห่งนี้โดยพวกเรายังไม่อนุญาต เจ้าจงไสหัวไปเสียเดี๋ยวนี้ 

ฉินหยุนยิ้มกล่าว  ตาเฒ่าบัดซบเอ๋ย ข้ามาถึงที่นี่แล้วมันเกี่ยวข้องอันใดกับเจ้า? ตระกูลเจ้าสร้างเขตแดนอ้างว้างนี้ไว้อย่างนั้นหรือ? เจ้าเข้ามาได้ เหตุใดข้าจึงไม่อาจเข้า? 

 นั่นมันเจ้าหนุ่มที่ร่วมมือกับชนเผ่าผู้ขี่พยัคฆ์! มันเกือบสังหารเชิงหยางของชนเผ่าเราไป!  ผู้ปกครองแพะภูตผีคํารามเสียงเย็น

 ให้ข้าได้กินมัน… ข้าคิดกินมันทั้งเป็น กิน กิน กิน  ได้เห็นฉินหยุน เฟิงหยางจึงเริ่มตะโกนร้องอย่างคลุ้มคลั่ง

 

ตอนที่ 793 : โลหิตสีดําประหลาด

ผู้แข็งแกร่งที่สุดของชนเผ่าแพะภูตผี ย่อมต้องเป็นผู้ปกครองแพะภูตผี ทว่าเขาเพิ่งต่อสู้กับผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ ตอนนี้จึงไม่อาจลงต่อสู้ได้อีก

ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ไม่ทราบว่าชายหนุ่มผู้นี้ที่เพิ่งปรากฏตัวเป็นผู้ใด หรือมีเหตุผลอันใดต้องช่วยเหลือผู้ขีพยัคฆ์ เพราะชนเผ่าผู้ขีพยัคฆ์ของพวกเขาไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบในที่นี้

 ฝ่ายเจ้าเล่าคิดส่งผู้ใดออกมา?  ฉินหยุนนําเอากระบี่ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณปรโลกออกมา ในเมื่อเป็นการต่อสู้ที่สามารถใช้งานอาวุธ เขาจึงกล้ากระโดดพรวดออกเสนอตัว

ตราบเท่าที่สามารถใช้งานอาวุธ เขาย่อมไม่แพ้

 อย่างนั้น พวกเราจะส่งคนหนุ่มไปต่อสู้เช่นกัน!  ผู้ปกครองแพะภูตผีหัวเราะดัง จากนั้นจึงตะโกน  เฟิงหยาง เจ้าออกมาสู้ 

เฟิงหยางเผยตัว เขาเป็นคนหนุ่มเช่นกัน กระทั่งว่าค่อนข้างเตี้ยกว่าฉินหยุน กระนั้น เขาแพะบนศีรษะกลับใหญ่อย่างเห็นได้ชัด มันใหญ่เสียยิ่งกว่าแพะภูตผีทั้งหลายในที่นี้

ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ได้เห็น เขาจึงกล่าวออกเสียงเย็น  ผู้ปกครองแพะภูตผี คนหนุ่มที่เจ้าส่งออกมาแข็งแกร่งเกินไป! 

เห็นได้ชัดว่าเขาแพะขนาดใหญ่ มันหมายถึงความแข็งแกร่ง

 ข้าทําเพื่อความเสมอภาค ด้วยการส่งคนหนุ่มเช่นเดียวกันออกมา!  ผู้ปกครองแพะภูตผีหัวเราะดัง

 คนหนุ่มเอ๋ย เจ้าจงเร่งรีบไปเสีย! ชายผู้นี้นามเฟิงหยาง ทั้งยังแข็งแกร่งยิ่ง อย่าได้มองว่าภายนอกอ่อนเยาว์ แท้จริงมันมีอายุนับพันปีแล้ว!  ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่กล่าวต่อฉินหยุน

ถือกําเนิดขึ้นมากว่าพันปี เช่นนั้นก็ไม่แปลกที่จะแข็งแกร่ง

ฉินหยุนไม่เพียงแต่ไม่คิดจากไป เขากลับรู้สึกตื่นเต้นยินดีด้วยซ้ํา เพราะตัวเขาเพิ่งก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ําระดับสูง และยังไม่มีโอกาสได้สู้ในศึกใด แม้เฟิงหยางเป็นไปได้มากว่าจะเป็นราชันยุทธ์ กระนั้นฉินหยุนหาได้หวั่นเกรงใดไปไม่ กลับกัน เขารู้สึกตื่นเต้นยินดีด้วยซ้ํา

 พี่ชายผู้นํา แม้พวกเราเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน กระนั้นข้านับถือและเคารพในการกระทําท่านนัก! วันนี้ ข้าตัดสินใจทุ่มสุดตัวช่วยเหลือท่านจัดการกลุ่มแพะภูตผีเหล่านี้ให้ถอยกลับไปเอง!  ฉินหยุนกล่าว

 เจ้า… นับถือข้า?  ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่เบิกดวงตากว้าง เรื่องราวพบว่ายากเกินเชื่อ หากเป็นชนเผ่าผู้ขี่พยัคฆ์ของเขา เช่นนั้นก็เป็นเรื่องปกติ ทว่าคนหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ อีกฝ่ายคือคนแปลกหน้าโดยสมบูรณ์ ไม่เพียงแต่ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ กระทั่งผู้ขี่พยัคฆ์อื่นในที่นี้ต่างก็ตื่นตะลึง

 ชายผู้นี้สมองโดนกระทบกระเทือนแล้วหรือไร ชนเผ่าผู้ขี่พยัคฆ์มีอันใดให้นับถือ?  ผู้ปกครองแพะภูตผีกล่าวคําเหยียดหยัน  วาจาเหล่านี้ไร้ค่านัก เร่งรีบต่อสู้กันได้แล้ว! 

เฟิงหยางมองที่ฉินหยุนพร้อมเลียริมฝีปาก  ข้าคิดอยากกินเจ้านี่ทั้งเป็น ร่างนั่นคงอร่อยไม่น้อย! 

ในมือเฟิงหยางคือมีดสั้น สภาพดูค่อนข้างย่ําแย่ระดับหนึ่ง

ทว่ากระบี่ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณปรโลกที่ฉินหยุนถือไว้ตอนนี้ สภาพมันยิ่งเลวร้ายกว่า ไม่เพียงแต่ทรุดโทรม กระทั่งมีรอยปริแตกหลายแห่ง รวมถึงเสื้อผ้าที่สวมใส่ยังดูค่อนข้างมอซอ ไม่ว่าผู้คนมองเขาเช่นไร ก็ไม่คล้ายจะพบว่าเป็นคนมากฝีมือแต่อย่างใด

 ให้ข้าได้กิน กิน กิน กิน แล้วก็กิน!  เฟิงหยางพลันหัวเราะดังราวคลุ้มคลั่ง เขาตะโกนพร้อมร่างแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีแดงพุ่งเข้าหาฉินหยุน

 เช่นนั้นจงไปกินสิ่งปฏิกูล!  ฉินหยุนคํารามดัง กระบี่ในมือตวัดออกซึ่งหน้า เผยออกซึ่งพลังสั่นไหวรุนแรงดุดัน

ต้ม ตุ้ม ตุ้ม!

พื้นดินพลันปริแตกแยกออก สิ่งปลูกสร้างโดยรอบพังทลาย พวกมันแตกออกเป็นเสี่ยงเพียงเพราะแรงสั่นไหวจนกลับกลายเป็นฝุ่นทราย ฉินหยุนตวัดกระบี่อีกครั้งหนึ่ง พื้นที่โดยรอบจึงถูกปกคลุมด้วยพลังสั่นไหวแผ่กระจาย เป็นผลให้กลุ่มแพะภูตผีต้องเร่งรีบบินขึ้นบนฟ้า เฟิงหยางเองก็กระเด็นไปไกลเพราะการโจมตีสั่นไหวอย่างกะทันหันของฉินหยุน

 กิน กิน กิน ให้ข้าได้กิน ให้ข้าได้สังหารเจ้า!  เฟิงหยางมีโทสะ ดวงตาเผยหมอกสีแดงรุน แรงออกมาขณะทะยานร่างจากพื้น

กําลังฉินหยุนที่เผยออก เป็นผลให้ทั้งผู้นําพยัคฆ์ใหญ่และผู้ปกครองแพะภูตผีตื่นตะลึง เพราะพวกเขาไม่คุ้นเคยกับพลังเช่นนี้

เฟิงหยางพิโรธ สภาพเวลานี้คล้ายคลุ้มคลั่ง มีดสั้นในมือคิดโจมตี แสงอสนีบาตสายฟ้าสีแดงสุกปลั่ง เวลานี้มันพุ่งทะยานเข้าหาฉินหยุนสว่างวาบในพริบตา

 ที่เจ้าจะได้กิน ก็มีแต่สิ่งปฏิกูล! 

ฉินหยุนแค่นเสียงสะบัดกระบี่ในมือ ร่างเงากระบี่นับร้อยโจมตีออก ออร่ากระบี่ได้เผยพลังของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณปรโลก มันนําพามาซึ่งพลังกลืนกินจิตวิญญาณอันเย็นเยือกเผยพลัง

ภาพร่างกระบี่อัดแน่นฟากฟ้า ราวกับสายลมเย็นเยือกจากนรกก้นบึงทะลักล้นออก มันบดบังฟากฟ้า ปกคลุมผืนแผ่นดิน พวกมันทะลักล้นออกมาซ้อนทับกันชั้นแล้วชั้นเล่าเข้าปกคลุมเฟิงหยาง

แม้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณปรโลกได้รับความเสียหายหนัก กระนั้นมันก็ยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าอุปกรณ์เต่ําหลายต่อหลายเท่านัก

การโจมตีครั้งที่สองของเฟิงหยางถูกต้านรับไว้ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังรู้สึกราวกับจิตวิญญาณตนเองถูกกัดกินโดยบางสิ่งจนเจ็บปวดรวดร้าว

 ลงนรกไปกินสิ่งเน่าเหม็นที่เจ้าต้องการ! 

ฉินหยุนใช้ก้าวเท้าร่างเงาประกายแสงสมบูรณ์เข้าถึงด้านหลังเฟิงหยางในพริบตา จากนั้นจึงสับฟันกระบีลงอย่างดุร้าย

ตึง!

อย่างกะทันหัน ห่วงเขาแพะสีแดงฉานพลันปรากฏโจมตีใส่กระบี่ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณปรโลกของฉินหยุน ด้วยฉินหยุนกระชับกระไว้แน่นในมือ เขาจึงรู้สึกเพียงเจ็บที่มือจนต้องถอยร่น

 ศึกนี้พวกเราแพ้! 

ผู้ปกครองแพะภูตผีที่ภาคภูมิอหังการเมื่อครู่ ยามนี้ไม่กล้าปรามาสต่อฉินหยุน เพราะเฟิงหยางแทบถูกสังหารต่อหน้า

 ตัวบัดซบ!  ฉินหยุนรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่มือ เสียงต้องสบถก่นด่าเบา

ผู้ปกครองแพะภูตผีกล่าวเสียงเย็นเยียบ  คนหนุ่ม เจ้าไม่ใช่คนของชนเผ่าผู้ขี่พยัคฆ์ ดังนั้นสมควรต้องระวังพวกเราเอาไว้ เมื่อครู่เป็นเจ้าคิดสังหารคนของชนเผ่าแพะภูตผีของพวกเรา! 

ฉินหยุนแค่นเสียงกล่าวตอบ  ตัวบัดซบที่คิดสังหารกัดกินข้า เหตุใดข้าจึงไม่อาจสังหารมัน? 

เฟิงหยางถูกนําตัวไป เขากรีดร้องตะโกนด่าทอฉินหยุนแม้อยู่ไกลเห็นได้ชัด ว่าเขาไม่ยินยอมรับความพ่ายแพ้

ผู้ปกครองแพะภูตผีพลันเผยน้ําเสียงหนักอึ้งและเย็นเยียบ เขากล่าวออกด้วยโทสะ  หากเจ้ายังกล้าอวดดี เชื่อหรือไม่ว่าเมื่อใดข้าออกปาก เจ้าก็จะตายที่ตรงนี้! 

ฉินหยุนหัวเราะดังตอบกลับ  ตัวบัดซบหัวแพะเอ๊ย หากเจ้ามีความกล้า เช่นนั้นจงเข้ามา หาได้มีผู้ใดหวาดเกรงเจ้าไม่! 

ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ที่บาดเจ็บพลันต้องเร่งร้อนออกหน้า  ผู้ปกครองแพะภูตผี เมื่อครู่เจ้าลงมือกะทันหัน เป็นเจ้าแทรกแซงการแข่งขัน! 

 ถือว่าเจ้าโชคดีไปก็แล้วกัน! 

ผู้ปกครองแพะภูตผีมองผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ด้วยดวงตาอัดแน่นเปี่ยมโทสะ เขากัดฟันแน่น จากนั้นจึงจากไปพร้อมคนของตนเอง

ฉินหยุนค่อยได้ตระหนักตอนนี้ ว่าชนเผ่าใหญ่ทั้งหลายภายในเขตแดนอ้างว้างลึกลับแห่งนี้ต่างหวาดกลัวต่อชนเผ่าผู้ขีพยัคฆ์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าลงมืออันใดมาก

ชนเผ่าผู้ขีพยัคฆ์ไม่อาจกล่าวได้ว่าแข็งแกร่ง เพียงจักรพรรดิยุทธ์กวาดมือย่อมสังหารพวกเขาจนสิ้น กระนั้นกลับไม่มีผู้ใดกล้าลงมือ

ฉินหยุนมองทางผู้ปกครองแพะภูตผีที่คิดจากไป เขาสบถเสียงเบา  ตัวบัดซบหัวแพะนั่น ไม่ช้าข้าจะสังหารมันให้ได้! 

ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่เอ่ยคําขึ้น  คนหนุ่ม นามเจ้าว่าอะไร? พวกเราติดค้างเจ้าอย่างแท้จริง 

 นามข้าฉินหยุน  ฉินหยุนมองทางประตูที่เปิดออกพร้อมกล่าวถาม  ภายในนั้นมีอันใดคงอยู่กันแน่? เหตุใดหลายคนจึงต่อสู้เพื่อให้ได้เข้าไป? 

ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ถอนหายใจยาว  ข้าเองก็ไม่ทราบ เพียงทราบว่าสิ่งที่ถูกผนึกเอาไว้ภายใน มันสามารถทําให้เขตแดนอ้างว้างนี้ถูกทําลาย และชนเผ่าผู้ขี่พยัคฆ์ของพวกเราได้รับหน้าที่คุ้มกันมันตั้งแต่ครั้งโบราณ เพื่อที่ไม่ให้ผู้ใดสามารถผ่านประตูเมืองเข้าไปได้! 

ฉินหยุนกล่าวถาม  พี่ชายผู้นําใหญ่ ข้าคิดอยากเข้าไปรับชมแล้ว ลาก่อน! 

เขาไม่คิดเคลื่อนไหวที่ประตูนี้ เพราะชนเผ่าผู้ขีพยัคฆ์ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อป้องกันมันเอาไว้

 น้องชาย เจ้าจงเข้าไปผ่านประตูนี้!  ผู้ขี่พยัคฆ์ใหญ่พลันตะโกน

 นี่ไม่มีปัญหาหรือ? อย่างไรแล้วพื้นที่นี้ก็เป็นพวกท่านแบกรับความขื่นขมพิทักษ์มันเอาไว้  ฉินหยุนกล่าวอย่างกระดากใจ

 พวกเราแบกรับความขื่นขมพิทักษ์ไว้แล้วอย่างไร? ประตูเมืองอีกสามล้วนเปิดออก ผู้ใดต่างก็สามารถเข้า ข้าเพียงคุ้มกันที่นี่เพื่อเติมเต็มหน้าที่ซึ่งได้รับ!  ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ทราบดีว่าการป้องกันอย่างขมขื่นที่ประตูเมืองแห่งนี้มันไร้ค่า

 พี่ชายผู้นําใหญ่ สิ่งน่ากลัวภายในมันคืออันใดกันแน่?  ฉินหยุนมองที่ภายในประตูเมือง ที่พบเห็นมันเป็นเพียงม่านฉากสีดําสนิท

 ข้าไม่ทราบ! ที่ทราบก็เพียงด้านในอันตรายยิ่ง หากเจ้าคิดอยากเข้าไป เช่นนั้นก็จงเตรียมพร้อมแบกรับความตายทุกเมื่อชั่วขณะ!  ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่กล่าว

 ถ้าอย่างนั้น ไว้มีโอกาสพวกเราคงได้พบกันใหม่!  ฉินหยุนกล่าวคําจบ เขาจึงพุ่งทะยานไปทางประตูเมือง

ทันทีเมื่อเข้ามา เขารับรู้ได้ถึงสายลมเย็นเยือกหมองหม่นพัดพา เส้นทางภายในแห่งนี้มีแต่หมอกสีดําปกคลุม ทําให้แทบไม่อาจมองเห็นสภาพรอบด้าน หลังพิจารณาโดยการบินอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงค่อยบุกฝ่าหมอกสีดําไปต่อ ทุกสิ่งอย่างที่นี้ล้วนดําสนิท คลื่นสายลมเย็นเยือกพร้อมกลิ่นเน่าเหม็นพัดพาไม่หยุดหย่อน

ดังที่คาดไว้ ภายในเป็นเมือง ทั้งยังค่อนข้างใหญ่ สิ่งปลูกสร้างงดงามต่างกระจายอยู่ทั่ว ทว่าทุกหนแห่งไร้ซึ่งจิตวิญญาณ สิ่งปลูกสร้างสองฟากฟ้าเส้นทางปกคลุมด้วยของเหลวสีดําหนาอย่างน่าสะอิดสะเอียด เส้นทางก็มีหลายสิ่งปะปน ฉินหยุนก้าวเหยียบที่พวกมัน เหล่านี้คือสิ่งข้นเหนียวชวนสะอิดสะเอียด!

 นี่เป็นเลือด!  หลิงหยุนเอ๋อร้องโพล่ง

 เลือดอันใดกันเป็นเช่นนี้?  ฉินหยุนสัมผัสพวกมัน พยายามตรวจจับ จนได้พบว่าภายในมีพลังงานประหลาด

 ข้าไม่ทราบ แต่มันต้องเป็นสิ่งที่มาจากสิ่งมีชีวิตอันแข็งแกร่ง! การศึกน่าจะเกิดขึ้นบนฟากฟ้า ดังนั้นเลือดเหล่านี้จึงกระจายทั่วสถานที่แห่งนี้ นอกจากนี้แล้ว มันยังเกิดขึ้นเมื่อเวลาหลายปีมาแล้วด้วย!  หลิงหยุนเอ๋อกล่าว

เลือดเหล่านี้ยังข้นเหนียวแม้ผ่านมาหลายปี คิดเช่นนี้ มันยิ่งทําเขาหวาดกลัว ต้องทราบว่าผู้นําพาความตายคงอยู่ที่นี่มานานนับ กระนั้นพวกมันกลับไม่อาจทําให้เลือดประหลาดเหล่านี้เลือนหาย ฉินหยุนหันกลับมองไป พบว่าสิ่งข้นเหนียวสีดําที่เขาเหยียบย่างมันกลับคืนสู่สภาพปกติ

 พลังการฟื้นตัวของมันก็ยอดเยี่ยม!  ฉินหยุนอุทานตื่นตะลึง

 นี่ถือเป็นของดี ข้าคิดอยากดูดกลืนพวกมัน!  หลิงหยุนเอ๋อกล่าว

ร่างกายฉินหยุนพลันมีมวลพลังงานสีดํากระจายออก พวกมันเหล่านี้ปลดปล่อยพลังกลืนกินอันแรงกล้า เริ่มทําการดูดกลืนเลือดสีดําประหลาดจากทั่วพื้นที่

 หยุนเอ๋อ ดูดกลืนเลือดสีดําประหลาดพวกนี้ไม่มีปัญหาหรือ?  ฉินหยุนเกิดกังวล

 ข้าจะผนึกพวกมันเอาไว้ในตะวันทมิชชั่วคราว ดังนั้นไม่น่ามีปัญหาใด!  หลิงหยุนเอ๋อกล่าว  เสี่ยวหยุน เจ้าควรเดินไปให้ทั่ว รวบรวมเลือดประหลาดเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด! 

สถานที่ซึ่งฉินหยุนอยู่แทบไม่มีผู้คน ผู้อื่นเข้ามาที่นี่ผ่านประตูเมืองอีกสามด้าน และพวกเขาไม่ใช่เพ่นพ่านไปทั่ว แต่กลับมุ่งตรงไปยังสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ยักษ์ที่ใจกลาง

ฉินหยุนย่อมได้เห็นแสงขมุกขมัว ที่ตรงกลางของเมืองภูตผีต้องห้าม มันคือสิ่งปลูกสร้างครึ่งทรงกลมขนาดใหญ่ยักษ์ กระนั้นเขาไม่คิดเร่งรีบไป สถานที่แห่งนี้สมควรมีแต่อันตรายคงอยู่ ฉินหยุนเก็บตัวอย่างเลือดประหลาดขึ้นมา ก่อนจะส่งพวกมันเข้าไปในไข่มุกเม็ดที่สาม เพื่อที่จะได้ให้เหยาเชิงช่วยวิเคราะห์เลือดเหล่านี้

 ฉินหยุน นี่เจ้าอยู่ที่ใด? เร่งรีบบอกข้า!  เหยาเชิงกล่าวถาม

 ข้าอยู่ในเขตแดนอ้างว้าง ตอนนี้มาถึงเมืองภูตผีต้องห้าม  ฉินหยุนบอกเล่าทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นให้เหยาเชิงได้ทราบ

 ฉินหยุน เป็นเจ้ามาถึงสถานที่มหาวิบัติแล้ว!  น้ําเสียงเหยาเชิงเผยความหวาดกลัวและร้อนรน  สถานที่ซึ่งเจ้าอยู่ตอนนี้ คือสถานที่ซึ่งบุตรแห่งจอมจักรพรรดิเซียนมังกรถูกผนึกเอาไว้! 

 จอมจักรพรรดิเซียนมังกร? บุตร?  ฉินหยุนตื่นตะลึง

 จอมจักรพรรดิเซียนมังกรได้ฝึกฝนจนถึงขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ และไปจากแดนเซียนอ้างว้างเมื่อนานมาแล้ว เพื่อเดินทางไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์อ้างว้าง! หนึ่งในบุตรชายทั้งหลายของเขา มีผู้หนึ่งซึ่งเลิศล้ํา เขาเองก็มีศักยภาพได้เป็นนายเหนือแห่งแดนเซียนอ้างว้าง ข้าได้ยินมาว่าภายหลังเขาได้ ข้องเกี่ยวกับเต๋าอสูร จนเกิดกลายสภาพเป็นบุคคลชั่วร้าย จากนั้น ยอดฝีมือหลายคนของแดน เซียนอ้างว้างจึงร่วมมือกันผนึกเขาเอาไว้ในแดนวิญญาณอ้างว้าง!  เหยาเชิงกล่าว

เหยาเชิงกล่าวคําจบ นางจึงกล่าวอีกครั้งด้วยน้ําเสียงเบาซึ่งมีแต่ความสงสัย  เลือดนี้เป็นของมังกร กระนั้นมันกลับพิเศษยิ่งกว่า แม้เป็นสีดํา ทว่าไม่ใช่ชั่วร้าย! แปลก… มันผู้นั้นสมควรถูกผนึกเอาไว้ เหตุใดเลือดเหล่านี้จึงกระจายไปทั่วได้? หรือเป็นไปได้ว่ามีผู้อื่นซึ่งเลิศล้ําทัดเทียมกันอยู่ที่ภายในนี้? 

 

ตอนที่ 792 : ชนเผ่าแพะภูตผี

ฉินหยุนตอนนี้สามารถสัมผัสได้ ถึงมวลพลังงานสีดําที่ทะลักล้นออกจากประตูใหญ่ มันอัดแน่นด้วยออร่าอันอื่นขมโหดเหี้ยม

 บัดซบ… ยายเฒ่าหลันซูเหยานั่นคิดอยากนําพี่สาวซาลาเปานึ่งกับภูติวารีเข้าไปที่นั่นหรือ?  ฉินหยุนสบถคําด่าออกในใจ

ตู้ม!

เสียงดังขึ้นอีกครั้ง กระนั้น แรงสั่นสะเทือนกลับไม่ได้มาจากประตูเมืองที่เบื้องหน้า แต่กลับเป็นสถานที่ซึ่งห่างไกลออกไป

 ไม่ดีแล้ว! ประตูเมืองมีสี่ทิศ แต่ละประตูจะมีชนเผ่าใหญ่แยกกันไปโจมตีประตูเมือง!  ผู้นําหน่วยพยัคฆ์สบถออกเสียงดัง  พวกมันเลือกโจมตีฝั่งนี้ก่อน เพื่อเป็นการดึงความสนใจพวกเราให้สับสน! 

 บุกไป! 

สุดท้ายผู้นําหน่วยพยัคฆ์จึงสั่งการ นําทัพมิตรสหายโหมบุกเข้า

ฉินหยุนเร่งรีบมองหาหลันซูเหยา ที่ได้ทราบ คือหลันซูเหยาอยู่ใกล้เคียงบริเวณนี้

 นางเฒ่านี่คิดอยากรับชมจากแถวนี้!  หลิงหยุนเอ๋อร้องบอก

 ได้ อย่างนั้นข้าจะเองก็จะรับชมอยู่ที่นี่!  ฉินหยุนไม่คิดลงมือในช่วงเวลานี้ เพราะเขายังไม่ต้องการให้หลันซูเหยาจับได้ หากถูกนางจับตัวอีกครั้ง ก็คงเป็นการไม่สะดวกแล้ว

ตู้ม!

เสียงสนั่นเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง ประตูเมืองขนาดใหญ่เวลานี้กลับกลายเป็นแตกกระจาย

กลุ่มก้อนพลังงานหนาแน่นสีดําทะลักออกรุนแรงจากประตูเมืองราวกับสายธารแห่งความมืด

ครืน! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

เสียงสารพัดชนิดพลันดังตามติด

สิ่งที่ฉินหยุนได้เห็น คือผู้นําพาความตาย พวกมันเป็นมนุษย์สัตว์สีดําทั้งตัว ส่วนบนเป็นคน ส่วนล่างเป็นสัตว์ พวกมันเหล่านี้ควบขี่ม้าโครงกระดูกตัวใหญ่ ทั้งยังถือกระบองใหญ่และสารพัดอาวุธ พวกมันคํารามร้องโกรธเกรี้ยวจนส่งผลให้ผู้คนที่รับชมต่างต้องรู้สึกเย็นเยียบ

ผู้นําพาความตายจํานวนนับหมื่นกําลังไหลทะลักออกมา!

หน่วยพยัคฆ์มีคนหลายสิบ ต่อหน้าฝูงผู้นําพาความตาย มันไม่มีอันใดให้สามารถเทียบเปรียบยืนหยัดต้านรับไว้ได้ กระนั้น ผู้นําหน่วยพยัคฆ์ก็ยังหาญกล้า พวกเขาไม่หวาดเกรงใดแม้แต่น้อย พวกเขาร้องตะโกนเสียงดังพุ่งทะยานเข้าน้ำนั่นเปิดศึกกับผู้นําพาความตาย

ฉินหยุนซ่อนตัวด้านบนหอคอยหิน เขารับชมสิ่งปลูกสร้างใกล้ประตูเมืองถูกทําลายโดยพวกผู้นําพาความตายที่ทะลักล้นออก

เบื้องหน้า มวลพลังงานสีดํากระจายทั่วทิศ กระนั้น แสงอันศักดิ์สิทธิ์สีทองทั้งหลายพลันปรากฏ หน่วยพยัคฆ์ถือกระบองไว้ในมือ พวกเขาฟาดหวดมันออกด้วยคลื่นแสงสีทองสว่างไสว

พยัคฆ์สีทองร่างใหญ่แต่ละตัวล้วนเปล่งแสงสีทองออกจากทั่วทั้งร่าง พร้อมกันนี้ พวกมันยังยิงลําแสงสีทองออกจากปากเข้าน้ำนั่นกับฝูงผู้นําพาความตาย

 หน่วยพยัคฆ์เหล่านี้ยอดเยี่ยมนัก พวกเขาทั้งอาจหาญและดุดัน!  ฉินหยุนลอบชื่นชมต่ออีกฝ่าย

ผู้ขี่พยัคฆ์ทั้งหลายทราบว่าฝายตนมีจํานวนน้อยกว่า กระนั้นก็ยังเข้ารับศึกกับฝูงผู้นําพาความตายจํานวนมหาศาล

ฝูงผู้นําพาความตายที่ทะลักล้นออกมา เริ่มไล่ทําลายสิ่งปลูกสร้างนอกประตูเมือง

ที่ไกลห่างออกไป หลายล้านคนกําลังรับชม กระนั้น พวกเขาไม่กล้าเข้ามาใกล้ กระทั่งว่ามีหลายคนที่เร่งรีบเผ่นหนีหลังได้พบเห็น

อย่างไรแล้ว ไม่ว่าผู้ใดล้วนต้องหวาดกลัวต่อความตาย นอกจากนี้ ผู้นําพาความตายเหล่านี้ยังถูกผนึกเอาไว้เป็นเวลานาน ตอนนี้ได้ออกมา สิ่งแรกที่พวกมันกระหายเด่นชัดคืออาหาร และผู้คนที่ยังมีชีวิต ก็เป็นอาหารอันโอชะแก่มัน

หอคอยซึ่งฉินหยุนใช้ซ่อนตัว เวลานี้ถูกทัพผู้นําพาความตายโหมบุกจนถูกทําลาย ฉินหยุนซ่อนตัวกลางอากาศเพดานบินต่ำ ตัวเขายังไม่ถูกพบเห็น

ผู้นําหน่วยพยัคฆ์ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในที่นี้ ทุกครั้งที่เขาลงมือ ผู้นําพาความตายหลายร้อยตนจะสิ้นชีพ หอกเมื่อแทงออก มันจะนําพามาซึ่งพลังงานสีทองแกร่งกล้าทะลวงผ่านร่างบรรดาผู้นําพาความตาย ยามเมื่อหอกกวัดแกว่งออก มันจะทะลักล้นซึ่งพลังงานรุนแรงเข้าทําลายล้างผู้นําพาความตายในละแวกใกล้เคียง

 คนกลุ่มนี้แข็งแกร่งเพียงใดกันนี่?  ฉินหยุนลอบขมวดคิ้ว  อย่างน้อยเท่าที่เห็น ก็เป็นกําลังระดับราชันยุทธ์ 

 ใช่ พวกเขาเป็นราชันยุทธ์ ทว่ายายเฒ่าชูเหยานั้นแข็งแกร่งกว่าพวกเขา!  หลิงหยุนเอ๋อกล่าว

ฉินหยุนเดิมคิด ว่าหน่วยพยัคฆ์หลายสิบคนเหล่านี้ไม่มีทางต้านรับไว้ได้ กระนั้นตอนนี้ ร่างของผู้นําพาความตายต่างกระจายเกลื่อน

ววามตายอาจหาญยามออกมา แต่แท้จริงแล้วกลับอ่อนแอนัก!  ฉินหยุนลงมาที่พื้นรับชมร่างของผู้นําพาความตาย ก่อนจะลอบส่งฝ่ามือโจมตีออก เขาจึงได้ทราบ ว่าร่างกายพวกมันอ่อนแออย่างยิ่ง

 ไม่แปลกใจ อย่างไรแล้วพวกมันเหล่านี้ก็ถูกผนึกเอาไว้นานนัก  หลิงหยุนเอ๋อกล่าว

ภายในมวลพลังงานสีดําที่ปิดล้อมพื้นที่ ฉินหยุนลงมือสังหารผู้นําพาความตายไปจํานวนหนึ่ง ทว่าก็ยังไม่พบผลประโยชน์อันใดจากพวกมัน กล่าวได้ว่าไร้ค่า

มวลพลังงานสีดํายังคงกระจายตัวต่อเนื่อง หน่วยพยัคฆ์ที่อยู่แนวหน้า เวลานี้ต่างกระจายตัวไปยังประตูพร้อมตั้งแถวต้านรับ เพื่อไม่ให้ผู้ใดสามารถเข้าและออก

หลันซูเหยานําสื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อบินไป

 อย่าได้คิดว่าจะข้ามผ่านตรงนี้ไปได้!  ผู้นําหน่วยพยัคฆ์คํารามดัง

 ก็ได้ ในเมื่อเจ้าลําบากสังหารผู้นําพาความตายไปมากขนาดนั้น จะถือว่าเห็นแก่เจ้า! เมืองภูตผีต้องห้ามมีทั้งสิ้นสี่ประตู ประตูอื่นก็คงใกล้แตกแล้ว พวกเจ้าตั้งระวังที่ตรงนี้ไปจะได้อะไร?  หลันซูเหยากล่าวเย้ยหยันขณะบินไปทางอื่น

ฉินหยุนมองตามสื่อชิงเฉิงและสู่ยเทียนสื่อ เขาคิดอยากไล่ตามคนทั้งสามไป ทว่าเขาเองก็คิดอยากถามเรื่องเมืองภูตผีต้องห้ามจากผู้นําหน่วยพยัคฆ์ เห็นได้ชัดว่าหลันซูเหยาและผู้นําชนเผ่าโบราณทั้งหลาย คิดอยากเปิดทางเข้าสู่ภายในเมืองภูตผีต้องห้าม ถึงขั้นขนาดต้องร่วมมือกับตระกูลหลงและเขตแดนลึกล้ำเพื่อให้เกิดความสําเร็จ

กลุ่มคนขีพยัคฆ์ตรงหน้า คิดเพียงแต่ป้องกันประตูเมืองเอาไว้เพื่อไม่ให้ผู้คนภายนอกได้เข้าและไม่ให้สิ่งที่อยู่ภายในได้ออก

ขณะฉินหยุนครุ่นคิด เขาจึงได้เห็นกลุ่มคนชุดแดงบินมาจากแต่ไกล คนกลุ่มนี้เผยความชัดเจนทางร่างกาย ศีรษะมีเขาแพะงอกออกมาถึงสอง พบเห็นคนกลุ่มนี้ ฉินหยุนจึงค่อยตระหนักได้ว่าสมควรเป็นชนเผ่ามนุษย์สัตว์

มันทําให้เขานึกย้อนถึงพี่ชายผู้ซึ่งเป็นจักรพรรดิสัตว์ราชันสวรรค์ ครั้งนั้นที่จักรพรรดิสัตว์ราชันสวรรค์และอีกหลายคนออกจากเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ นับแต่นั้นเขาก็ไม่ทราบอีกเลยว่าอีกฝ่ายไปที่ใดแล้ว

 กลุ่มตัวบัดซบแพะภูตผีย่อมได้เห็นว่าพวกเราอยู่ตรงนี้ กระนั้นยังคิดเข้าไป!  ผู้นําหน่วยพยัคฆ์คํารามดัง

 ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ เมื่อครู่ทําได้ดีนัก ถึงขั้นกวาดล้างผู้นําพาความตายเหล่านั้นได้จนหมดสิ้น! 

ผู้นําชนเผ่าแพะภูตผีแท้จริงยังเยาว์ ทั้งยังมีเสน่ห์อันชั่วร้าย เมื่อก่อนลงที่พื้น เขาคว้ามือของผู้นําพาความตายขึ้นมาข้างหนึ่งก่อนจะเริ่มกัดกิน

 ผู้ปกครองแพะภูตผี เจ้าเองก็ทราบว่าพวกเราเอาจริง เหตุใดยังเข้ามาวุ่นวาย?  ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่กล่าวขึ้นเสียงเล็กน้อย พร้อมเปิดเผยออร่าสะกดข่มออกมา

ผู้ปกครองแพะภูตผีเข้ากัดกินเนื้อผู้นําพาความตาย ราวกับมันคืออาหารอันโอชะ คําถามที่ได้ยิน ล้วนไม่มีการตอบกลับ

ผ่านการกินไปครู่หนึ่ง เขาจึงกล่าว  มิตรสหาย ผู้นําพาความตายเหล่านี้กล่าวได้ว่าเลิศรส กระนั้นเจ้าที่กินพวกมันได้กลับไม่คิดกิน ข้าเกรงว่าพวกเจ้าจะเสียโอกาสอันดีไปแล้ว! 

ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่และผู้ขีพยัคฆ์คนอื่นต่างเฝ้ามองแพะภูตผีเหล่านี้ กัดกินเนื้อทั้งร่างของผู้นําพาความตาย ภายในต้องรู้สึกเย็นเยือกที่แขนขา

ฉินหยุนอุทานดังในใจ  เจ้าพวกนี้มันตัวบ้าอะไรกัน? 

หลิงหยุนเอกล่าว  เสี่ยวหยุน กลุ่มนี้คือชนเผ่าโบราณที่น่าจะข้องเกี่ยวกับพวกสัตว์! 

 อย่างนั้นหลันซูเหยาผู้นั้นก็เป็นสัตว์อสูรสั้นหรือ? นางอสูรบัดซบ!  ฉินหยุนสบถเสียงเบา

ผู้ปกครองแพะภูตผีพลันหัวเราะพร้อมกล่าว  ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ คิดหรือว่าข้าไม่ทราบ ว่าเจ้าจงใจข่มขวัญพวกเรา เพื่อซ่อนเร้นความจริงที่พวกเจ้าพยายามกระทําอยู่! 

กลุ่มคนขีพยัคฆ์ได้เข้าน้ำนั่นสังหารผู้นําพาความตายไปมาก เมื่อครู่เป็นพวกเขาลงแรงไปอย่างมหาศาล

 ผู้ปกครองแพะภูตผี เจ้าจงเร่งรีบไสหัวไป!  ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ตะโกนกราดเกรี้ยว

 ชนเผ่าอื่นเห็นแก่พวกเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เลือกมาที่ประตูนี้! 

ใบหน้าของผู้ปกครองแพะภูตผีพลันแสยะออกหัวเราะโฉดชั่ว  กระนั้นข้าไม่ใช่ ข้าไม่เคยไว้หน้าผู้ใด! นอกจากนี้แล้ว ประตูอีกสามที่เหลือก็เป็นชนเผ่าอื่นใช้เพื่อเข้าไปกันแล้ว ดังนั้นข้าจึงคิดอยากเข้าผ่านประตูนี้ เพื่อให้ชนเผ่าข้าได้ดูน่าเกรงขาม! 

ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่เผยเสียงทุ้มลึก  เจ้าคิดหรือว่าสามารถผ่านประตูนี้? ที่พวกเจ้าจะผ่านไปได้ มีแต่ร่างที่ไร้ชีวิต! 

ฉินหยุนเลิกคิ้วขึ้น ผู้ควบขีพยัคฆ์เหล่านี้คิดต่อสู้กับชนเผ่าแพะภูตผีแล้ว!

เขตแดนอ้างว้างแห่งนี้ดูลึกลับ มันมีหลายชนเผ่ามนุษย์สัตว์โบราณ ทั้งยังแข็งแกร่งกันถ้วนหน้า พวกเขาทราบวิธีการเข้าสู่เมืองภูตผีต้องห้าม เห็นได้ชัดว่าภายในต้องมีของดีคงอยู่ เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงพร้อมเสี่ยง

 ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ ข้าจะมอบโอกาสให้ พวกเราจะประลองยุทธ์กันสามรอบ ฝ่ายที่ชนะได้สองรอบจึงเป็นผู้ชนะ  ผู้ปกครองแพะภูตผียิ้มกล่าว  หากเจ้าเอาชนะ เช่นนั้นพวกเราจะไปยังประตูอื่นเอง! 

ฉินหยุนย่อมได้เห็น ว่าแม้กลุ่มผู้ขีพยัคฆ์เหล่านี้ไม่แข็งแกร่งเป็นล้นพ้น ทว่าชนเผ่าอื่นต่างไว้หน้า กระทั่งหลันซูเหยายังไม่คิดสู้

 ตกลงตามนั้น!  ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่เห็นพ้องด้วย

ชนเผ่าแพะภูตผีมีกันกว่าร้อยคน นอกจากนี้แล้ว พวกเขาล้วนแข็งแกร่ง หากเกิดการปะทะ ผู้ขี่พยัคฆ์เหล่านี้อย่างไรก็ต้องพ่ายแพ้อย่างสาหัส

ตามปกติ ชนเผ่าแพะภูตผีหากคิดปะทะโดยตรง ก็อาจต้องสูญเสียคนกว่าครึ่ง ผู้ปกครองแพะภูตผีจึงเสนอเช่นนี้ เพราะเขาไม่คิดแบกรับความสูญเสียครั้งใหญ่ หากสามารถเอาชนะได้ พวกเขาย่อมได้เข้าสู่เมืองภูตผีต้องห้ามด้วยเกียรติอันสูงส่ง!

 ข้าออกไปก่อนเอง!  ผู้ปกครองแพะภูตผีหัวเราะดัง เขาร่อนลงกับพื้นและกล่าว  ฝ่ายเจ้าคิดส่งผู้ใดออกมา? 

ผู้ปกครองแพะภูตผี ย่อมต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในชนเผ่า ดังนั้นแล้ว ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่จึงต้องเป็นฝ่ายออกหน้าต้านรับ

 ผู้นําพยัคฆ์ใหม่ แม้เจ้าเอาชนะรอบนี้ รอบหน้าเจ้าก็ไม่อาจลงต่อได้! ข้าเองก็ด้วย พวกเราสามารถลงประลองต่อกันได้ครั้งหนึ่งเท่านั้น!  ผู้ปกครองแพะภูตผีกล่าวคําจบ จึงนําเอาห่วงสีดําซึ่งน่าจะเป็นอาวุธออกมาถึงสอง ที่ตัวห่วง มันมีเขาแพะปรากฏ ดูไปแล้วเป็นอาวุธที่ให้ความรู้สึกคุกคาม

ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ย่อมใช้กระบอง

 เริ่มได้!  เขาร้องตะโกนดังพร้อมพุ่งทะยานรุนแรง

ใบหน้าหล่อเหลาโฉดชั่วของผู้ปกครองแพะภูตผีเผยรอยยิ้มชั่วร้าย ร่างกายพลันสว่างวาบระเบิดแสงสว่างสีแดงออกมา ห่วงทั้งสองส่องประกายแสงสีแดงชั่วร้ายประหนึ่งอสนีบาต มันพุ่งตรงเข้าปะทะกับร่างผู้นําพยัคฆ์ใหญ่

ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่กลับกลายเป็นฝ่ายโดนระดมโจมตีเสียก่อน ร่างสูงกํายําของเขาต้องปริปากแผลจํานวนมากเพราะการโจมตีต่อเนื่อง

 พี่ใหญ่!  หนึ่งในผู้ขี่พยัคฆ์ตะโกนออกอย่างเกรี้ยวกราด

ไม่นานนัก ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่จึงถูกทําร้ายจนถึงขั้นต้องล้มนอนกับพื้น

 เจ้าพ่ายแล้ว!  แสงสีแดงควบแน่นรวมตัว กลับกลายเป็นผู้ปกครองแพะภูตผีตามเดิม

ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ถูกหามกลับ

ผู้ปกครองแพะภูตผีถอยฉาก ส่งชายวัยกลางคนออกมาแทนที่ เขาที่ศีรษะของชายผู้นี้ราวกับมันเป็นหนามแหลมคม มันทําให้ผู้พบเห็นรู้สึกถึงกําลังอันแข็งแกร่ง

 ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ ฝ่ายเจ้าคิดส่งผู้ใดออกมากันเล่า?  ผู้ปกครองแพะภูตผีเผยยิ้มอหังการ

ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่ทราบกระจ่างถึงกําลังของชนเผ่าแพะภูตผี แม้เป็นระดับพลังเดียวกัน ทว่าผู้ขี่พยัคฆ์ที่ไม่อาจขีพยัคฆ์ในการต่อสู้ ทั้งเมื่อครู่ยังต้องสูญเสียพลังงานไปอย่างมหาศาล พวกเขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบในทุกด้าน

 ให้ข้าเอง!  อย่างกะทันหัน ฉินหยุนปรากฏตัวพร้อมตะโกนดัง

ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่และคณะต่างตื่นตะลึง เพราะผู้ขีพยัคฆ์มีจํานวนน้อยนิด ทั้งพวกเขายังมารวมกันที่นี้หมดสิ้น และพวกเขาไม่เคยมีมิตรสหาย ไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่สมควรต้องยื่นมือช่วยเหลือพวกเขา

ผู้นําพยัคฆ์ใหญ่และคณะต่างมองไปยังชายชุดสีเทา ผิวหนังค่อนข้างเข้ม เป็นชายหนุ่มหล่อเหลาเคลื่อนตัวลงจากฟากฟ้าด้านบน ใบหน้านั้นเผยรอยยิ้มอันมาดมั่น

 โอ้? หน้าใหม่! ข้าไม่นึก ว่าผู้ขีพยัคฆ์เช่นพวกเจ้าจะถึงขั้นเปิดรับคนใหม่เข้ามา! หาได้ยากยิ่งนัก!  ผู้ปกครองแพะภูตผีหัวเราะกล่าว

 

ตอนที่ 791 : นครคนตายต้องห้าม

กําลังแท้จริงของซูเหยาแข็งแกร่งยิ่ง ฉินหยุนไม่อาจบอกได้ว่านางฝึกฝนจนอยู่ระดับใดแล้ว เพียงทราบ ว่านางสามารถจัดการราชันยุทธ์ได้โดยง่าย นี้เป็นพลังอํานาจระดับที่ฉินหยุนไม่อาจรับมือได้ไหว ดังนั้น สื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อจึงตัดสินใจติดตามซูเหยาเป็นการชั่วคราว พวกนางไม่ต้องการให้ฉินหยุนถูกแปรเปลี่ยนเป็นอัญมณีสีน้ำเงินที่แหลกสลาย

ฉินหยุนตอนนี้เป็นกังวลถึงสองหญิงสาว เห็นได้ชัดว่าซูเหยาค่อนข้างจริงใจยามรับพวกนางเป็นศิษย์

 นางผู้นั้นมันอะไรกันแน่? คิดพันธนาการไว้ก็เข้าใจ แต่เหตุใดต้องฉีกกระชากเสื้อผ้าเราด้วย?  ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ ฉินหยุนยิ่งโกรธแค้น

 บางทีอาจเป็นนางเห็นว่าเจ้าหล่อเหลา ดังนั้นจึงคิดอยากเปลื้องผ้าเห็นทุกส่วนในกายเจ้า!  หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะคิกคัก

 หยุนเอ๋อ นี่เจ้าชมข้าหรือไม่ใช่?  ฉินหยุนกล่าวออกด้วยอารมณ์ไม่ค่อยยินดีนัก

ตอนนี้เขากําลังสะกดรอยซูเหยาผ่านยันต์ติดตามวิญญาณ แม้เป็นยามค่ำคืน เขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะซูเหยาสามารถรับรู้ถึงตัวเขาแม้ซ่อนเร้นอยู่

 หยุนเอ๋อ พลังเงาของข้าไม่อาจใช้งานต่อหน้าซูเหยา นี่มันเรื่องอันใดกัน?  ฉินหยุนบินต่ำในป่าพลางถาม

 บางทีอาจเป็นเพราะนางมีความสามารถรับรู้อันยอดเยี่ยม เจ้าเองก็ได้เห็นพวกคนที่ออกมาลาดตระเวน แม้เป็นราชันยุทธ์ มันก็ยังไม่พบเจอเจ้าแม้แต่น้อย!  หลิงหยุนเอ๋อกล่าว

 อา… หากมันใช้งานไม่ได้ อย่างนั้นข้าก็เสียเปรียบแย่แล้ว!  ฉินหยุนยิ่งร้อนรน

ใช้พลังเงาเพื่อซ่อนเร้นในความมืด มันคือเคล็ดวิชาซ่อนเร้นหนึ่งเดียวที่เขามี กระนั้นมันไม่ใช่ใช้ประโยชน์ได้ตลอด หากเขาพบเจอกับผู้ที่มีประสาทรับรู้แรงกล้า เช่นนั้นก็อันตรายยิ่ง

ระหว่างฉินหยุนตามรอยไป เขาหาได้เว้นช่วงพักไม่

 นี่ไม่ได้แล้ว เพื่อซ่อนเร้นตัวตนอย่างสมบูรณ์ ต้องหาทางสร้างอะไรสักอย่างมาใช้แทน!  ฉินหยุนพิงกับต้นไม้ใหญ่พลางหลับตาลง เขากําลังนึกย้อนถึงอักขระจันทราและดวงดาวที่เชี่ยวชาญ

ผ่านไปพักหนึ่ง เขาตัดสินใจใช้งานสามอักขระจันทรา สี่อักขระดวงดาว และอักขระเต๋าสร้างยันต์ขึ้น

การกระทําเช่นที่เขาลงมือตอนนี้ แม้เป็นอาจารย์เต่ก็ถือเป็นภาระงานหนักหนา กระนั้นฉินหยุนครอบครองจารึกวิญญาณจํานวนมาก สําหรับเขาถือว่ายังเป็นเรื่องสามารถทําได้

มีแต่ยามเมื่อแกะสลักอักขระเต๋าจึงทําให้รู้สึกว่ายากไปบ้าง เพราะระดับการฝึกฝนของเขายังค่อนข้างต่ำ ล่าสุดตอนแกะสลักอักขระเต๋า ระดับการฝึกฝนของเขาต่ำเตี้ยอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงแทบหมดสิ้นเรี่ยวแรง ทว่าตอนนี้ เขาคือขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำระดับสูง แม้เป็นการสร้างอุปกรณ์เต๋ามันก็ไม่ใช่ปัญหาใดอีกต่อไป

 มีเผ่าพันธุ์ยุคโบราณที่แข็งแกร่งอยู่ภายในเขตแดนอ้างว้าง พวกเราไม่ทราบพลังอํานาจแท้จริงพวกเขาเหล่านี้ ที่ทําได้ ก็มีแต่ต้องระมัดระวัง 

ฉินหยุนนํากระดาษยันต์ออกมาเริ่มแกะสลักอักขระ กระดาษยันต์นี้เป็นเจี้ยนหลิงหลงมอบไว้ให้แก่เขา นางคืออาจารย์จารึกเต๋า ยามใดมีเวลาว่าง ย่อมทํากระดาษยันต์เปล่าไว้จํานวนมาก

เฉินหยุนได้ร้องขอต่อนางมาจํานวนหนึ่ง ด้วยปากกาลึกล้ำสะท้อนจิตในมือ พร้อมจารึกวิญญาณในกาย เขาเริ่มแกะสลักอักขระรวดเร็วและลื่นไหล เพียงหนึ่งชั่วยาม เขาจึงแกะสลักยันต์เต๋าที่มีอักขระทั้งสามประเภทได้เสร็จสิ้น

 เหอะ… นี่ก็แค่โหมโรง!  ได้เห็นว่าตนเองสามารถสร้างยันต์เต่าที่ดีได้โดยง่าย ฉินหยุนค่อยรู้สึกภาคภูมิ

ต้องทราบว่าอาจารย์จารึกเตที่มีประสบการณ์มากล้ำ ก็ยังไม่อาจสร้างยันต์เต๋าที่ดีเช่นนี้พร้อมความวิจิตรสูงล้ำได้ง่าย นอกจากนี้แล้ว ยันต์ของฉินหยุนสามารถใช้งานซ้ำได้

 นี่คือยันต์เตซ่อนเร้นลี้ลับ ทําให้ตัวเราสามารถซ่อนเร้นได้ดีขึ้น แต่ผลลัพธ์การใช้งานยังไม่ทราบ…  ฉินหยุนเรียกใช้งาน จากนั้นจึงแปะมันเอาไว้ที่ตําแหน่งหัวใจ ทําให้ยันต์เข้าสู่ในร่างกาย

ไม่นานจากนั้น เขาจึงสัมผัสได้ถึงยันต์ที่ผนวกรวมอย่างสมบูรณ์ ออร่าอ่อนจางได้ปรากฏในกายเขา

 นี่สมควรใช้งานได้!  ฉินหยุนแปรเปลี่ยนร่างกายตนเองเป็นโปร่งแสงโดยสมบูรณ์ และจึงติดตามซูเหยาต่อเนื่อง

 เสี่ยวหยุน เมื่อใดมีเวลา เจ้าควรแกะสลักยันต์เต๋าไว้ให้มากกว่านี้ เจ้าจะได้ปรับการใช้อักขระดวงดาวและจันทราร่วมกับอักขระโทเทม ยันต์เต่ระดับนั้นย่อมครอบครองอํานาจชวนสะพรึง!  หลิงหยุนเอ๋อกล่าว  เมื่อใดเจ้าไม่อาจเอาชนะผู้อื่น เช่นนั้นจงโยนแผ่นยันต์ใส่พวกมันเสีย ฮ่าฮ่าฮ่า! 

ตอนนี้ฉินหยุนไม่มีเวลาให้ทํายันต์เหล่านั้น เมื่อใดได้พบเจี้ยนหลิงหลง เขาวางแผนคิดสอบถามต่อนางเพื่อขอกระดาษยันต์ให้มากกว่านี้

แม้มียันต์เต่ซ่อนเร้นลี้ลับ ฉินหยุนก็ยังกังวล ว่าซูเหยาอาจพบเจอตัวได้ เขาไม่ทราบว่าซูเหยาจะทําอันใดอีกหากพบเจอ ทว่าคงไม่ใช่เพียงแค่เปลื้องผ้าเหมือนครั้งก่อนอย่างแน่นอน

 นางเฒ่าซูเหยานั่น นางเปลื้องผ้าข้าต่อหน้าพี่สาวซาลาเปานึ่งและภูติวารี นี่ถือเป็นการหยามเหยียดยิ่งนัก แค้นนี้ต้องชําระ!  เพียงนึกถึงเรื่องนี้ ฉินหยุนก็รู้สึกสั่นสะท้านในหัวใจแล้ว

 ล้างแค้นด้วยการเปลื้องผ้านาง!  หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะซุกซน  นางเองก็เป็นสตรีผู้งดงาม เรือนร่างย่อมต้องดี หีหีหี! 

 ข้าย่อมไม่ทําเรื่องไร้ยางอายเช่นนั้น!  หากเขาเปลื้องผ้าซูเหยา ภายหลังนางจับตัวเขาได้ เช่นนั้นเขาคงถูกถลกหนังทั้งเป็นแล้ว

ซูเหยานําสื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อเดินทาง เป็นนางเร่งรีบตลอดการเดินทาง และนางก็ไม่ทราบว่ามีผู้อื่นติดตามนางมาด้วย ความเร็วของฉินหยุนไม่มาก ทั้งยังไม่ได้ไล่ตามซูเหยากระชั้นชิดเพียงแต่หาตําแหน่งโดยคร่าวของซูเหยาและติดตามไป

 คล้ายจะมีคนอยู่ไม่ใช่น้อย!  ฉินหยุนมองไปยังสิ่งปลูกสร้างตรงหน้า มันเปรียบดังเมืองขนาดใหญ่

สิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นค่อนข้างหยาบกระด้างและเรียบง่าย พวกมันถูกสร้างขึ้นเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมด้วยอิฐหิน และภายในอาคารใหญ่เหล่านี้ล้วนซับซ้อน

ทั้งยังมีเมืองขนาดใหญ่ที่มีกําแพงเมืองสูงนับร้อยเมตร ฉินหยุนบินขึ้นฟ้าสูง มองลงไปจากด้านบน พบเห็นภายในกําแพงเมืองมีหมอกสีดําปกคลุม ทําให้เขาไม่อาจมองเห็นสิ่งใด

เพียงเมืองนอกกําแพงก็ใหญ่โตมากแล้ว เห็นได้ชัด ว่ามันจะต้องมีประชากรอยู่อาศัยหลายล้านคน

 เกิดอะไรขึ้นกับเมืองนี้กันแน่?  ฉินหยุนกล่าวออกอย่างนึกหวาดกลัว

แม้เขาเกิดความสงสัย ก็ได้แต่ต้องตามซูเหยาไปต่อ เมื่อฉินหยุนเข้าสู่ในเมืองแล้ว เขาจึงได้พบผู้คนภายใน เหล่านี้ไม่มีใดพิเศษ ดังนั้นเขาจึงลอบเผยตัวตน ไม่ต้องคงสภาพการโปร่งแสง

ผู้คนเหล่านี้ไม่มีทางทราบว่าเขามาจากแดนวิญญาณอ้างว้าง ระหว่างเดินท่ามกลางฝูงชน ฉินหยุนยังคงติดตามซูเหยาผ่านยันต์สะกดรอยจิตวิญญาณ นางกําลังเข้าสู่ส่วนลึกในเมือง

 อย่าบอกนะว่านางกําลังจะเข้าไปในกําแพงเมืองนั่น!  ฉินหยุนกลายเป็นร้อนใจ เพราะจากที่ได้รับชมเมื่อครู่ เขาทราบว่าเมืองด้านในกําแพงสูงใหญ่แห่งนั้นคือสถานที่ยากเข้าไป

ระหว่างทาง ฉินหยุนพบว่าเมืองภายในกําแพง มันเปรียบดังเมืองภูตผีต้องห้าม มันถูกผนึกเอาไว้เป็นเวลานาน ไม่มีผู้ใดคิดเข้าไป ทว่าก็เวลานี้เช่นกัน ที่ผนึกนั้นคล้ายได้ถูกคลายออก

 เป็นไปได้ว่าผู้คนของชนเผ่ายุคโบราณ อนุญาตให้คนจากแดนวิญญาณอ้างว้างเข้ามาที่นี่ก็เพราะเมืองภูตผีต้องห้ามนั้น?  ฉินหยุนเกิดหวาดกลัวทีภายใน หากมันเป็นจริง เช่นนั้นภายในก็อันตรายอย่างยิ่งแล้ว

ตู้ม!

ขณะเดินไปเรื่อย อย่างกะทันหัน เสียงดังสนั่นหวั่นไหวได้บังเกิดขึ้นที่เบื้องหน้า หลายผู้คนกลายเป็นสะดุ้งตระหนกตกใจร้องตะโกนเสียงดัง ถัดจากนั้นจึงเร่งรีบกระจายตัวเผ่นหนี

 เมืองภูตผีเปิดแล้ว! 

 ผู้นําพาความตายกําลังออกมาจากเมืองนั่น พวกเราตายกันหมดแน่ เร่งรีบหนี! 

 รีบหนี! 

ชั่วขณะนี้ ผู้คนนอกกําแพงเมืองต่างเร่งร้อนเผ่นหนีกระจัดกระจายราวฝูงนก พวกเขาต่างใช้ความเร็วสูงสุดเพื่อเร่งรีบไปให้พ้นจากเมืองภูตผี

ฉินหยุนเองก็ได้พบ ว่าบริเวณใกล้กําแพงเมือง พลังวิญญาณเก้าตะวันค่อนข้างหนาแน่น มันมีกระทั่งพลังงานเชียน เพราะเหตุนั้นจึงทําให้หลายผู้คนมารวมตัวอยู่อาศัยกันที่นี่

ตึง ตึง ตึง!

ตอนนี้เอง ฉินหยุนได้ยินเสียงฝีเท้าหนักอึ้งดังสนั่นจากเบื้องหลัง เขาหันกลับมอง พบเป็นกลุ่มคนเร่งรีบควบขีพยัคฆ์สีทองขนาดใหญ่เข้ามาอย่างอาจหาญ คนกลุ่มนี้มีกันกว่าหลายสิบคน แต่ละคนล้วนหล่อเหลา ร่างกายเผยแรงกดดันไหลเวียนเด่นชัด ทั้งยังมีกระบองถือในมือ

พวกเขาเหล่านั้นควบขีพยัคฆ์สีทองร่างใหญ่ด้วยท่วงท่าหาญกล้าบุกเข้าหาเมืองภูตผี ผู้ขึ้นขี่พยัคฆ์เหล่านั้นห้อตะบึงพุ่งผ่านถนนใหญ่ หาได้ทําลายอาคารสิ่งปลูกสร้างที่ขวางทางไม่

ชั่วเวลานี้ ฉินหยุนสัมผัสได้ถึงออร่าเย็นเยือก เป็นซูเหยา! ฉินหยุนเร่งรีบซ่อนตัวในร้านค้าใกล้เคียง ซูเหยาพลันปรากฏตัวขึ้น ขวางเส้นทางของกลุ่มคนขีพยัคฆ์เหล่านี้ไว้

ผู้นําทัพพยัคฆ์เป็นชายวัยกลางคนไว้หนวดเครา หลังถูกบีบบังคับให้ต้องหยุด ผู้อื่นที่ติดตามมาล้วนต้องหยุดตาม พยัคฆ์สีทองร่างใหญ่มีความยาวลําตัวเกือบสิบเมตร มันระเบิดเอาเสียงคํารามสนั่นพื้นแผ่นดินออกมา เป็นผลให้กลุ่มคนที่แตกตื่นอยู่แล้วยิ่งตระหนกตกใจ

 หลันซูเหยา เหตุใดจึงขวางทางพวกเรา?  หัวหน้าหน่วยวัยกลางคนเอ่ยถามเสียงเย็น

 พวกเจ้าเร่งรีบไปที่ใด?  หลันซูเหยาเผยน้ำเสียงเย็นเยือกอหังการ มันอัดแน่นด้วยจิตสังหารเพียงแค่มองก็กล้ากล่าว ว่าความสัมพันธ์ของนางและคนกลุ่มนี้หาได้ดีเท่าใดนัก

 ก็เห็นชัดว่าพวกเราคิดเข้าหยุดยั้งผู้นําพาความตาย นั่นเป็นงานพวกเรา!  ผู้นําหน่วยพยัคฆ์กล่าว  หากเป็นไปได้ พวกเราก็คิดอยากผนึกทางเข้านั่น เพื่อที่จะได้ไม่มีผู้ใดล่วงล้ำเข้าไปอีก! 

หลันซูเหยาแค่นเสียง  ด้วยพวกเจ้าหรือ? คิดหรือว่าจะสามารถสกัดชนเผ่าใหญ่ทั้งหลายที่คิดอยากเข้านครภูตผีได้หมด? 

ผู้นําหน่วยพยัคฆ์กล่าว  ข้าขวางไว้ก็เพราะเจตนาดี! หากพวกมันเข้าไป เช่นนั้นย่อมต้องนําสิ่งของต้องห้ามภายในออกมา ถึงตอนนั้น ทั่วทั้งเขตแดนอ้างว้างได้ถูกทําลายหมดสิ้น! 

 พวกเราหาได้สนไม่! พวกเราได้ติดต่อขั้วอํานาจใหญ่ทั้งหลายจากแดนวิญญาณอ้างว้างแล้ว หากสถานที่แห่งนี้ถูกทําลาย เช่นนั้นพวกเราก็สามารถเข้าแดนวิญญาณอ้างว้างได้ทันที ด้วยกําลังพวกเรา ย่อมเป็นหนึ่งในฝ่ายใหญ่ของที่นั่นได้ไม่ยาก!  หลันซูเหยากล่าว

 อย่างนั้นพวกเราทําตามเจ้าว่า แต่ไม่ว่าด้วยอะไร ตอนนี้พวกเราต้องหยุดผู้นําพาความตายจากการแหกประตูนั่นออกมา!  ผู้นําหน่วยพยัคฆ์กล่าวเสียงเย็น

ขณะหลบซ่อน ฉินหยุนยังสามารถพบเห็นเรื่องราว เขาได้เห็น ว่าสื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อยังอยู่ข้างกายหลันซูเหยา

 อย่างนั้นก็หมายความถึง ผู้คนของเขตแดนลึกล้ำและตระกูลหลงต่างอยู่ในเมืองภูตผีต้องห้ามแห่งนั้น! น่าสงสัยจริงว่าภายในมีอันใดคงอยู่  ฉินหยุนเกิดความสงสัยอยู่ภายใน

หลันซูเหยานําสื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อบินหาย ผู้นําหน่วยพยัคฆ์เผยสีหน้าหนักอึ้ง สายตาของเขามองไปทางประตูเมืองขนาดใหญ่ เวลานี้ยังไม่เคลื่อนไหวใด เดิมนอกประตูเมืองแห่งนี้มีประชากรหลายล้าน ทว่าเพียงพริบตา พวกเขาเหล่านั้นหนีหายหมดสิ้น ขณะนี้อยู่ห่างจากประตูเมืองและลอยตัวกลางอากาศกันถ้วนหน้า เพื่อทําการรับชมจากระยะไกล

 คนกลุ่มนี้มีกําลังค่อนข้างสูง ทันทีที่สัมผัสถึงอันตรายได้ พวกเขาจึงเร่งรีบเผ่นหนีไปไกล!  ฉินหยุนกล่าวภายใน

 พี่ใหญ่ เหตุใดพวกเราจึงยังไม่บุกไป?  หนึ่งในชายวัยกลางคนกล่าวถามผู้นําหน่วยพยัคฆ์

 หากครั้งนี้พวกเราไป นั่นหมายถึงความตาย!  อีกฝ่ายตอบกลับ

 หากต้องตาย เช่นนั้นก็ตาย! 

 พี่ใหญ่ พวกเราย่อมไม่หวาดกลัว เร่งรีบไปกันได้แล้ว! 

 อย่างนั้นจงบุกเข้าไปสังหารพวกมัน! 

 สาเหตุเดียวที่พวกเราผู้ควบขีพยัคฆ์ยังมีชีวิตอยู่ ก็เพื่อหยุดยั้งผู้นําพาความตายเหล่านี้! 

ตู้ม!

ทางเข้าเมืองภูตผีต้องห้ามพลันสั่นไหวรุนแรง!

แรงสั่นไหวเป็นผลให้มันปลดปล่อยพลังงานสีดําฟุ้งกระจายออกมา เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่คงอยู่ภายใน มันกําลังเคาะประตูใหญ่นั้นอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง!

 

ตอนที่ 790 : ชนเผ่าจากครั้งบรรพกาล

สื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อไม่คิดต้องการให้ฉินหยุนไปยังเขตแดนอ้างว้าง เพราะที่แห่งนั้นมีแต่ครึ่งเซียนของเขตแดนลึกล้ำและตระกูลหลง สถานที่ดังกล่าวไม่ใช่อาณาเขตของตระกูลเจี้ยน หากฉินหยุนไปยังที่นั่น หากเขตแดนลึกล้ำและตระกูลหลงได้ทราบ เรื่องราวจะกลายเป็นอันตราย

 น้องหยุน นี่ไม่ใช่พวกเราไม่ต้องการให้เจ้าไป แต่เป็นกังวลถึงความปลอดภัยเจ้า!  สุ่ยเทียนสื่อกล่าวตอบเสียงหวานพร้อมรั้งแขนฉินหยุนไว้

สื่อชิงเฉิงเองก็พยักหน้ารับ

 พวกท่านวางใจ กระทั่งเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ ข้าก็ยังรอดพ้นมาได้!  ฉินหยุนยิ้มกล่าวพร้อมกับลูบใบหน้าของสื่อชิงเฉิง

สื่อชิงเฉิงเผยเสียงโกรธเคือง จากนั้นจึงสั่งให้ยันต์ทํางาน หลังได้ทราบทิศทาง พวกเขาจึงกลับไปเปลี่ยนสวมใส่ชุดเรียบง่าย เพราะไม่ต้องการให้เป็นที่สังเกตและจุดสนใจ

สุ่ยเทียนสื่อและสื่อชิงเฉิง ทั้งสองต่างเปลี่ยนสวมใส่ชุดผ้าปานเรียบง่าย ทั้งยังมีหมวกไผ่สานซ่อนเร้นใบหน้า ฉินหยุนตอนนี้สวมใส่ชุดสีเทา ทั้งยังติดหนวดเคราเพิ่ม นอกจากนี้เขายังวาดแผลเป็นที่บนใบหน้า หลังแปลงโฉมกันเรียบร้อย ทั้งสามจึงเร่งรีบไปจากเกาะแห่งดาบที่สอง

สื่อชิงเฉิงนําอุปกรณ์บินได้ออกมา เป็นกระสวยบินได้ คุณภาพกล่าวได้ว่าปานกลาง สุ่ยเทียนสือยังไม่เห็นด้วยกับการเดินทางครั้งนี้ เพราะเปาเฉิงโฉ่วได้กล่าวไว้ว่าต้องการให้พวกนางช่วยรั้งฉินหยุนให้อยู่ในคฤหาสน์เซียนดาบเมื่อออกมา ทว่าตอนนี้ พวกนางทั้งสองกําลังจะร่วมทางไปยังเขตแดนอ้างว้างพร้อมกับฉินหยุน

ได้เห็นใบหน้าเผยกังวลของสุยเทียนสื่อ ฉินหยุนจึงใช้โอกาสนี้ลูบสัมผัสใบหน้าของนาง เขายิ้มกล่าว  พี่สุยอย่าได้หวาดกลัวไป เมื่อใดถึงเวลา ข้าย่อมปกป้องท่าน! 

 น้องหยุน เจ้าฝึกฝนถึงระดับใดแล้วกัน?  สุ่ยเทียนสื่อกล่าวถาม

  ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำระดับสูง!  ฉินหยุนยิ้มกล่าว

 ครั้งเจ้าอยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำระดับต้นและกลางก็เก่งกาจกว่าพวกเรามากนัก ดูเหมือนพวกเราคงไม่มีหน้าพอให้การคุ้มกันเจ้าได้แล้ว!  สุยเทียนสื่อถอนหายใจอย่างอื่นขม

 ข้าไม่ได้ต้องการให้ท่านปกป้อง แต่ต้องการให้ท่านช่วยเหลือข้าสร้างอุปกรณ์และยันต์!  ฉินหยุนหยิกที่คางของนางพร้อมหัวเราะหยอกล้อ

 น้องหยุน ข้ายังช่วยอุ่นที่นอนให้เจ้าได้เ  สุ่ยเทียนสื่อเผยยิ้มหวานหยด ร่างของนางกดทับร่างของฉินหยุน ศีรษะของนางพยายามพึงที่ไหล่กว้าง ทั้งร่างนั้นคิดครอบงําฉินหยุนเอาไว้

ด้วยเพราะนั่งอยู่บนกระสวยบินได้ ฉินหยุนไม่อาจหลบหนี ได้เพียงแต่ต้องปล่อยให้สุ่ยเทียนสื่อเอารัดเอาเปรียบ ในเมื่อรู้จักสุ่ยเทียนชื่อเป็นเวลานานแล้ว เขาจึงยิ่งคุ้นเคยกับพฤติกรรมเช่นนี้ของนาง ก่อนหน้า สื่อชิงเฉิงยังเคยกล่าวดัง กระนั้นตอนนี้แทบไม่พูดกล่าวใดแล้ว

 เห็นได้ชัดว่าเขตแดนอ้างว้างแห่งนั้นอยู่ในแดนอสูรอ้างว้าง คิดไปที่นั่นต้องใช้เวลาบินถึงหลายวัน  สื่อชิงเฉิงกล่าว

 เพียงไม่กี่วัน ข้าย่อมไม่เบื่อตายก่อนอยู่แล้ว!  ฉินหยุนหัวเราะรับพลางใช้มือลูบที่ใบหน้าของสื่อชิงเฉิง

เช่นนี้ ฉินหยุนจึงได้ละเล่นกับสองโฉมงามระหว่างการเดินทางอย่างสุขสันต์

หลายวันผ่านไป พวกเขามาถึงส่วนลึกของแดนอสูรอ้างว้าง สื่อชิงเฉิงนําเอายันต์ตามรอยวิญญาณออกมา ก่อนจะออกไปจากกระสวยบินได้ เพราะตามปฏิกิริยาของยันต์ตามรอยวิญญาณเขตแดนอ้างว้างที่เป็นเป้าหมายสมควรอยู่ในละแวกนี้

ท้องฟ้าใกล้พลบค่ำ ฉินหยุนและหญิงสาวทั้งสองจึงก้าวเดินอย่างระวังอยู่เบื้องล่างเนินเขาที่แห้งแล้ง พื้นที่ตรงนี้ค่อนข้างกว้าง ทั้งยังไม่มีต้นไม้แม้สักต้น กล่าวได้ว่าเป็นพื้นที่รกร้างอย่างแท้จริง

 ทางเข้าเขตแดนอ้างว้างนี้ล่องหนอยู่!  ฉินหยุนกล่าวคําเสียงเบา

 อยู่ตรงนั้น!  สื่อชิงเฉิงชี้ไปยังทิศทางหนึ่งพร้อมถือยันต์ตามรอยวิญญาณ

ทั้งสามเดินอยู่ทั้งคืน จึงค่อยมาถึงทางเข้าถ้ำแห่งหนึ่ง

 หรือจะเป็นด้านในนี้?  ฉินหยุนกล่าวกับตนเอง

 ให้ข้านําเข้าไปก่อน!  สุยเทียนสื่อกล่าวอย่างอาจหาญก้าวเดินนําหน้า

 เดี่ยว พวกเราควรเข้าไปด้วยกัน!  ฉินหยุนรั้งสองหญิงสาวเอาไว้ ก่อนจะจับมือพวกนางตระเตรียมเดินนําเข้าไปพร้อมกัน

คนทั้งสามเข้าสู่ภายในถ้ำ ทุกฝีเท้าก้าวเดินอย่างระแวดระวัง หลังผ่านตัวถ้ำมาได้ จึงค่อยพบสถานที่โล่งกว้าง พื้นที่ตรงนี้มันไม่เหมือนดังเทือกเขาแห้งแล้งภายนอก มันเต็มไปด้วยเสียงนกร้องและกลิ่นหอมของดอกไม้ ทั้งดอกไม้และพืชพรรณต่างกระจายทั่วที่แห่งนี้ นับเป็นภาพเจริญตายามได้พบเห็น แม้เป็นยามค่ำคืน ทว่าทุกสถานที่จะมีพืชเรืองแสงคอยสาดส่องเจือจางลง

ฉินหยุนขมวดคิ้วกล่าว  ออร่าเซียนของเขตแดนอ้างว้างหนาแน่นมาก นี้ไม่ธรรมดาแล้ว! 

สื่อชิงเฉิงกลายเป็นร้อนใจกล่าวคํา  เขตแดนอ้างว้างที่มีพลังงานเซียนหนาแน่น ย่อมต้องมีสัตว์ที่แข็งแกร่ง หรืออาจมีคน! 

 มีคนมา!  สุ่ยเทียนสื่อกล่าวคําเสียงเบา  ทางนั้น! 

ฉินหยุนเร่งรีบดึงสองหญิงสาวหลบซ่อนในความมืดโดยพลังเงา ที่ทําฉินหยุนตระหนกคือเขาไม่พบผู้ใด ทว่าสู่ยเทียนสื่อกลับพบ แม้สุ่ยเทียนสื่อและสื่อชิงเฉิงงดงาม อ่อนหวาน และเป็นสตรีอบอุ่น กระนั้นพวกนางติดตามเชี่ยวเสวียนฉินเดินทางทั่วแดนวิญญาณอ้างว้าง ดังนั้นจึงได้เรียนรู้มาหลายสิ่งอย่างเช่นกัน

หลายคนมาถึง รวมกันแล้วเกินกว่ายี่สิบ เหล่านี้ร่างสูงและกํายํา ทั้งยังสวมใส่ชุดเกราะสีทองอ่อนจาง มือถือกระบอง ออร่าที่เผยคือขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ มีแต่ผู้นํากลุ่มที่เป็นราชันยุทธ์

 อีกแล้วหรือ มีคนเข้ามาหาที่ตาย วิเศษนัก!  ราชันยุทธ์ที่เป็นผู้นํากล่าว

 หัวหน้า เบื้องบนส่งคําลงมา บอกว่าหากมีผู้ใดเข้ามาที่นี่ให้จับกุมไว้ ทว่านี้ไม่คล้ายพบเห็นผู้ใดในละแวก?  คนหนึ่งเอ่ยถาม

 ไม่เป็นไร รายงานเบื้องบนบอกว่าพวกมันหลบหนีไปแล้ว!  ราชันยุทธ์กล่าว

ฉินหยุนและผู้อื่นค่อยตระหนักได้ ว่าภายในเขตแดนอ้างว้างอันลึกลับ มันมีฝักฝ่ายที่แข็งแกร่งอยู่เป็นกลุ่มก้อน นอกจากนี้ยังสามารถเข้าถึงได้ง่าย ราวกับเป็นการจงใจเปิดให้ผู้คนภายในได้ออก ภายนอกได้เข้าอย่างสะดวก

หลิงหยุนเอ๋อพลันกล่าว  เสี่ยวหยุน คนกลุ่มนี้แปลก พวกเขาไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์ธรรมดา จากออร่านั้น สมควรเป็นเผ่าพันธุ์ที่สาบสูญตั้งแต่ครั้งบรรพกาล! 

 เผ่าพันธุ์ยุคโบราณที่สาบสูญ?  ฉินหยุนไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน

 ใช่ ยุคโบราณ พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้ปรับตัวรับพลังวิญญาณเก้าตะวัน ภายหลังจึงเริ่มตายจากสูญหาย! กระนั้น ก็มีบ้างที่ค้นหาเขตแดนอ้างว้างซึ่งเหมาะสมแก่การคงอยู่ จากนั้นจึงอพยพไปเพื่อเอาชีวิตรอด เผ่าพันธุ์ยุคโบราณที่สาบสูญเหล่านี้ย่อมครอบครองพลังเลิศลําแต่กําเนิด!  หลิงหยุนเอ๋อกล่าว

ฉินหยุนนึกย้อนไปถึงเผ่าพันธุ์นักรบในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเหล่านั้นเองก็เป็นเผ่าพันธุ์ยุคโบราณ เขตแดนอ้างว้างเดิมเป็นมิติเอกเทศพิเศษ หากเขตแดนอ้างว้างที่ดีสามารถอยู่ในการควบคุม เช่นนั้นคิดพัฒนาจนเกิดเป็นขั้วอํานาจเติบโตด้วยทรัพยากรทั้งหลายย่อมทําได้

ฉินหยุนส่งเสียงสื่อสารบอกต่อสุ่ยเทียนสื่อและสื่อชิงเฉิง  ข้าต้องการติดตามพวกมันไปยังที่ซ่อน! 

สื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อต่างคิดว่าเรื่องราวอันตรายเกินไป ดังนั้นจึงคัดค้าน

ทันใดนี้เอง ออร่าเย็นเยือกเลิศล้ำพลันปรากฏ

 เป็นองค์ราชินีชูเหยา!  ใบหน้าของราชันยุทธ์ผู้นั้นแปรเปลี่ยนรุนแรง เขาคุกเข่าลงต่อทิศทงหนึ่ง

ผู้อื่นล้วนเร่งรีบโขกศีรษะ

 พวกเราคํานับต่อองค์ราชินีซูเหยา!  กลุ่มคนตะโกนพร้อมกัน

ตอนนี้เอง สตรีผู้หนึ่งได้ลอยตัวลงมา นางมีใบหน้าค่อนข้างชี้แหลม ร่างเพรียวบางและมีคิ้วประหนึ่งใบหลิว สวมใส่ชุดกระโปรงสีดํา สีหน้าเย็นเยือกขาวเปรียบดังหิมะ ดวงตานั้นเป็นสีคราม เส้นผมยาวพลิ้วไหวกับสายลม เป็นนางเผยแต่ออร่าเย็นเยือก ทั้งมวลรวมกันทําให้นางเป็นโฉมงามผู้ชั่วร้ายและเย็นชา

สตรีผู้นี้ทั้งงดงามและพิเศษ โดยเฉพาะดวงตาสีครามของนาง มันเปรียบดังอัญมณีสีน้ำเงินคู่งดงาม คิ้วนั้นขมวดรวดเร็ว เป็นผลให้กลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าสูดลมหายใจเข้าลึก พวกเขารู้สึกราวกับสายตาของนางกําลังกวาดมองหาบางสิ่งบางอย่าง

 คนพวกนั้นเล่า?  สตรีนามซูเหยากล่าวถามด้วยน้ำเสียงอันสูงส่ง ท่าที่เย็นเยือก ราวกับนางคือผู้สูงศักดิ์แห่งโลกหล้า

 พวกเรา พวกเราไม่… 

ขณะหัวหน้าผู้เป็นราชันยุทธ์กล่าวคําไม่ทันจบดี มือขาวของซูเหยาผู้นั้นพร้อมแขนเสื้อสีดําพลันตบเข้าที่หมวกเหล็กของราชันยุทธ์อย่างรุนแรง

 องค์ราชินีซูเหยา โปรดไว้ชีวิตพวกเรา พวกเราเร่งรีบมาที่นี่และไม่พบเห็นอันใด! พวกเราหาได้พบเจอผู้เข้ามา!  ศีรษะของราชันยุทธ์ผู้นั้นก้มลงต่ำ

 พวกเจ้าไม่เห็นรอยเท้าบนผืนหญ้าที่เพิ่งถูกเหยียบย่างหรือไร?  น้ำเสียงโหดเหี้ยมของซูเหยาเผยออกดังขึ้น เป็นผลให้ผู้ที่โค้งศีรษะต้องตัวสั่น

 ข้า ข้าไม่พบเห็นขอรับ!  ราชันยุทธ์ผู้นั้นกล่าว

 เช่นนั้นจงรับความตาย สวะเช่นพวกเจ้าเลี้ยงไว้ก็เปลืองอาหาร!  ซูเหยากล่าวคําจบ ดวงตาสีครามของนางจึงเผยลําแสงสีน้ำเงิน แปรเปลี่ยนกลุ่มคนให้กลายเป็นอัญมณีสีน้ำเงิน

ได้เห็นเรื่องราวตรงหน้า ฉินหยุนและสองสาวข้างกายแทบหัวใจหยุดเต้น

ไม่เพียงแต่สตรีผู้นี้ครอบครองกําลังเลิศล้ำ ความสามารถของนางยังชวนสะพรึง!

ตู้ม!

ชูเหยาใช้ฝ่ามือโจมตีออก รูปปั้นอัญมณีสีน้ำเงินแตกกระจายทั่วพื้น

 ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอยู่ที่นี่! หากไม่คิดอยากกลายเป็นก้อนกรวดเช่นนี้ จงเผยตนเองออกมา! ข้าให้สัญญาว่าจะไม่สังหาร!  ซูเหยามองไปยังทิศทางที่พวกฉินหยุนซ่อนตัวพร้อมกล่าวเย็นเยือก

ฉินหยุนถอนหายใจภายใน  เหตุใดเรามักต้องเจอแต่สตรีเช่นนี้? 

สื่อชิงเฉิงและสุยเทียนสื่อต่างเกิดนึกเสียใจ พวกนางไม่ควรให้ฉินหยุนมาที่นี่ ฉินหยุนจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้

 เจ้าไม่มีวันหนีรอดพ้น!  ซูเหยากล่าวอีกครั้ง  จงไสหัวออกมาและยอมรับต่อข้า มีแต่ทางนี้เจ้าจึงจะมีชีวิตรอด! 

สตรีนามซูเหยาผู้นี้เผยท่าทีสะกดข่มราวกับเป็นผู้ปกครองโลกหล้า นางคิดเพียงแต่ให้ผู้คนก้มศีรษะยอมรับต่อนาง

สื่อชิงเฉยและสุ่ยเทียนสื่อเห็นพ้องว่าควรเผยตัวตน ฉินหยุนได้แต่ต้องเผยตัวตนพร้อมพวกนางต่อหน้าซูเหยา

ซูเหยามองหนึ่งชายสองหญิงตรงหน้า นางพลันคว้าฉินหยุนไว้ราวโกรธเกรี้ยวพร้อมถามอย่างมีโทสะ  เจ้าบังคับพวกนางมาอย่างนั้นหรือ? 

 พี่สาวท่านนี้ เขาเป็นน้องชายพวกเรา!  สื่อชิงเฉิงเร่งรีบกล่าว

 พวกเรามาที่นี่เพื่อหาตัวจ้าวสํานักของพวกเรา!  สุ่ยเทียนสื่อเร่งรีบอธิบาย

ฉินหยุนไม่คิด ว่าซูเหยาผู้นี้จะกลายเป็นมีโทสะต่อเรื่องนี้

 เจ้าช่างงดงาม อย่าได้ยุ่งกับบุรุษ ไม่เช่นนั้นภายหน้ามันมีแต่จะเอาเปรียบต่อเจ้า!  ซูเหยาปล่อยพลังดึงสื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อเข้าหาตัวนาง  ภายหน้า พวกเจ้าจงมาเป็นศิษย์ข้า! 

 เรื่องนี้ พวกเราคิดหาตัวจ้าวสํานักของพวกเราร่วมกับเขา!  สื่อชิงเฉิงกล่าว

 ไม่ต้องหาแล้ว เจ้าจะได้เป็นศิษย์ข้า หากไม่รับรู้ เช่นนั้นข้าจะสังหารมันเสีย!  ดวงตาของซูเหยาเผยแสงสีครามเป็นประกาย

สื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อต่างส่งเสียงสื่อสารบอกต่อฉินหยุน ว่าพวกนางจะยอมรับคําซูเหยาไปก่อน

ซูเหยาเมื่อได้เห็นสื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อยอมรับ ดังนั้นจึงไม่สังหารฉินหยุน แต่กลับฉีกกระชากเสื้อผ้าเขาพร้อมแขวนร่างไว้บนต้นไม้

สุ่ยเทียนสื่อและสื่อชิงเฉิงต่างทราบ ว่าฉินหยุนสามารถหลบหนีด้วยตนเอง กระนั้นพวกนางก็ยังปวดใจ

ฉินหยุนมองซูเหยานําสื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อจากไป เขาสบถก่นด่าอยู่ภายใน  สตรีผู้นี้ ถึงขั้นกล้าฉกชิงพี่สาวซาลาเปานึ่งกับภูติวารีของข้าไป ทั้งยังฉีกเสื้อผ้าข้า! ล้างคอรอข้าก่อนเถอะ! 

เฉินหยุนปลดพันธนาการจากเชือก ก่อนนําเอาเสื้อผ้าออกมาสวมใส่ พร้อมนําเอายันต์ตามรอยวิญญาณแผ่นใหม่ออกมา และจึงลอบติดตามพวกนางไป

 

ตอนที่ 789 : บรรพบุรุษเจ็ดดาบ

ฉินหยุนเพิ่งก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ํา จากนั้นเป็นเหยาเฟิงและชิงชิงใช้งานเข็มผนึกวิญญาณเก้าสมบูรณ์ เพื่อช่วยให้เขาก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ําระดับกลาง

ตอนนี้ ตระกูลเจี้ยนจะช่วยเขาเพิ่มการฝึกฝนขึ้นอีกระดับหนึ่ง พวกเขาจะช่วยให้เขาก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ําระดับสูง!

เรื่องราวทั้งหมดนี้เพียงผ่านไปไม่นาน!

ด้วยเหตุนี้ ฉินหยุนจึงกังวลถึงการเลื่อนระดับพลังที่เร็วเกินไปนี้ มันอาจส่งผลร้ายต่อตัวเขาได้

 จ้าวสํานักดาบ ข้า ข้าเพิ่งก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ําระดับกลาง นอกจากนี้ยังเป็น การเลื่อนระดับขึ้นมาเพียงไม่นาน หากเลื่อนระดับอีกตอนนี้ ข้าเกรงว่าคงไม่ดีกระมัง?  ฉินหยุนกล่าว

เจี้ยนหลิงหลงและผู้ตื่นต่างตระหนักได้ดี เพราะก่อนหน้า เป็นพวกนางร่วมมือกันช่วยฉันหยุนเลื่อนระดับพลัง และเพียงผ่านพ้นไปไม่กี่วัน ฉินหยุนก็เลื่อนสู่ระดับกลาง!

 อา… เรื่องนี้ ไม่น่าจะมีปัญหาใด! แม้วิธีลับเลื่อนระดับพลังของตระกูลเจี้ยนเราไม่อาจใช้งานซ้ําได้ กระนั้นมันก็เป็นไปอย่างมีเสถียรภาพอย่างยิ่ง!  เจี้ยนสือเทียนเองยังตระหนกยามได้รับฟัง

เปาเฉิงโจ่วและคู่บินอวต่างลอบอุทานและชื่นชม พวกเขาคิด ว่าฉินหยุนเพียงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ําระดับต้น พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อน ว่าตัวเขาจะก้าวถึงระดับกลางแล้ว เช่นนี้พวกเขาจึงได้ตระหนักว่าพวกตนเข้าใจต่อฉินหยุนตื้นเขินเกินไป

ฉินหยุนจากไปพร้อมเจี้ยนสือเทียน ทั้งสองบินมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์เซียนดาบ ปลายทางคือพื้นที่ศูนย์กลาง

ระหว่างทาง ฉินหยุนได้ส่งเสียงสื่อสารบอกต่อเหยาเพิ่งที่อยู่ในไข่มุกเม็ดที่สาม  พี่สาวเหยาเฟิง ข้าจัดการหลงเฉิงขวงได้แล้ว! 

เขารายงานเรื่องราวต่อเหยาเฟิง เพราะนางค่อนข้างสนใจเรื่องเทพมารที่ครอบงําไม่น้อย

 ส่งเขาอสูรนั่นให้ข้าตรวจสอบและวางใจได้ ตอนนี้ตระกูลเจี้ยนจะช่วยเจ้าเพิ่มระดับ การฝึกฝนนี้ไม่น่าส่งผลกระทบใด ตราบเท่าที่พวกนั้นไม่ได้ใช้เข็มผนึกวิญญาณเก้าสมบูรณ์ เจ้าก็ไม่ต้องกังวลใดไป!  เหยาเชิงกล่าว คําของนางทําให้ฉินหยุนผ่อนคลายลงได้มาก

ฉินหยุนเก็บเขาอสูรไว้ในไข่มุกเม็ดที่สาม

ช่วงเวลาถัดจากนี้ เหยาเพิ่งจะทําความเข้าใจต่อพระสูตรโลกาวินาศเก้าสุริ ยันของจอมจักรพรรดิอสูรเชียนและดูดกลืนพลังของทาสเงา สําหรับนาง แต่ละวันในช่วงนี้เป็น เรื่องน่าพึงใจยิ่ง

ฉินหยุนติดตามเจี้ยนสือเทียนถึงตรงใจกลางคฤหาสน์เชียนดาบ ที่แห่งนี้มีภูเขาสูงนับร้อยเมตรล้อมรอบ ถัดจากนั้น ฉินหยุนจึงเข้าสู่ถ้ําภายใต้ภูเขาสู่ส่วนลึก ภายในเป็นห้องโถงกว้างใหญ่ประกอบด้วยเสาทั้งเจ็ดที่สูงหลายเมตร เสาแต่ละต้นดูโบราณ มันมีออร่าผันแปรไหลเวียน ที่บนตัวเสา มันมีอักขระซับซ้อนแกะสลักไว้มากมาย ฉินหยุนสนใจอักขระเหล่านี้ยิ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นอักขระตะวัน กระทั่งมีโทเทมตะวัน!

ชายชราหลายคนต่างนั่งอยู่ด้านบนเสาเหล่านี้ แต่ละคนชราภาพขนาดเส้นผมขาวทั้งศีรษะและไว้หนวดเครายาว พวกเขาสวมใส่ชุดสีเทา ร่างกําลังลอยเหนือเสาขณะนั่งบนแท่นดอกบัวดวงตาล้วนหลับสนิท เขาเกิดรู้สึกกดดันขึ้นมา โดยเฉพาะเจตนาแห่งดาบจากชายชราทั้งเจ็ดราวกับมันพร้อมเข้าฉีกกระชากร่างของเขา

เจี้ยนสือเทียนกล่าวเสียงเบา  ฉินหยุน ไปนั่งที่ตรงกลาง 

ฉินหยุนไม่ทราบว่าชายชราเหล่านี้คือผู้ใด กระนั้นจากออร่าของพวกเขา ย่อมต้องเป็นครึ่งเซียนที่เลิศล้ํา ชัดเจนว่าแทบใกล้ถึงขอบเขตเซียนอยู่รอมร่อแล้ว พวกเขาห่างอีกเพียงเล็กน้อยก็พร้อมจะขึ้นเป็นเซียน เพื่อฉีกกระชากมิติเข้าสู่แดนเซียนอ้างว้าง

ฉินหยุนนังที่ตรงกลาง หลับตาลงและสงบจิตใจ

เจี้ยนสือเทียนกล่าว  ฉินหยุน ท่านทั้งเจ็ดนี้คือบรรพบุรุษของพวกเราตระกูลเจี้ยน ดาบเซียนทั้งเจ็ดเหล่านั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของท่านทั้งเจ็ดนี้ พวกท่านสามารถใช้เจ็ดดาบรวมถึง เจ็ดดาบเซียนต้นกําเนิดเพื่อช่วยให้เจ้าเลื่อนระดับพลังได้! 

 ข้าทราบแล้วขอรับ!  ฉินหยุนพยักหน้ารับ

กระทั่งถึงตอนนี้ ชายชราทั้งเจ็ดก็ยังไม่ลืมตาขึ้น ฉินหยุนลอบถอนหายใจยามได้ทราบเรื่องราวภายในตระกูลเจี้ยน บรรพบุรุษยุคก่อนทั้งเจ็ดนี้ครอบครองพลังชวนสะพรึง เขาสงสัย ว่าเหตุใดผู้คนเขตแดนลึกล้ําจึงไม่กล้าก่อการทุ่มบ่ามที่นี่ เพราะพวกเขาทราบดีว่ายังมีบรรพบุรุษทั้งเจ็ดอันเลิศล้ําเหล่านี้คงอยู่ หากไม่กล่าวถึงเซียน เช่นนั้นเจ็ดบรรพบุรุษย่อมเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดของแดนวิญญาณอ้างว้าง

 เริ่มกันได้  เจี้ยนสือเทียนกล่าวคําเบา

คํากล่าวพอสิ้นสุดฉินหยุนจึงได้เห็นเจ็ดดาบปรากฏรอบกาย

 เจ็ดดาบเซียนนี้มาจากภายนอก? 

ฉินหยุนรู้สึกหวาดกลัว เพราะเจ็ดดาบคมกล้าเผยคลื่นพลังเจตนาฆ่าฟัน ความโหดเหี้ยมฉายผ่านตัวพวกมันราวเสียงคําราม มองเพียงครั้งเดียวย่อมกล้ากล่าว ว่าดาบทั้งเจ็ดเล่มนี้ได้สั่งหารผู้คนมานับไม่ถ้วน! กระนั้น ฉินหยุนกลับไม่อาจสัมผัสถึงออร่าอสูรใดจากดาบเหล่านี้แต่เป็นออร่าแห่งความอาจหาญ!

เขาพลันนึกย้อนถึงคํากล่าวของหลิงหยุนเอ๋อและเชี่ยวเย่ว์เหม่ย เพื่อให้ได้กลายเป็นเซียน ผู้นั้นต้องบ่มเพาะกรรมดี และบรรพบุรุษทั้งเจ็ด ก็ได้เข้าใจถึงแก่นแท้แห่งเต๋นี้!

 เหล่านี้คือดาบต้นกําเนิดของบรรพบุรุษทั้งเจ็ด! เจ้าไม่ต้องหวาดเกรงไป!  เจี้ยนสือ เทียนยิ้มกล่าว

ฉินหยุนยิ่งรู้สึกทิ้ง ดาบต้นกําเนิดของเจ็ดบรรพบุรุษตระกูลเจี้ยน เหล่านี้ได้กลายเป็นอุปกรณ์เซียนแล้ว! ทันใดนี้ ฉินหยุนสัมผัสได้ ถึงเส้นสายพลังงานทั้งเจ็ดที่พุ่งเข้าหาเขาจากทั่วทิศ คลื่นพลังงานเริ่มทะลักคิดพยายามเข้าสู่กายเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า

ฉินหยุนผ่อนคลายร่างกาย จากนั้นจึงโคจรวิชาร่างศักดิ์สิทธิ์เชียนอสูร เพื่อชักนําพลังงานเหล่านี้เข้าสู่สภาวะการฝึกฝน

หลายวันผ่านไป บรรพบุรุษทั้งเจ็ดจึงลืมตาเบิกโพลงขึ้น!

เจี้ยนสือเทียนจึงกล่าวถาม  ท่านบรรพบุรุษ เกิดเรื่องใดหรือ? 

หนึ่งในชายชราเผยสีหน้าตื่นตะลึง  แก่นเต๋ลึกล้ําของเจ้าปีศาจน้อยนี้ประหลาดยิ่ง มันต้องการพลังงานมากกว่าปกติเพื่อเลื่อนระดับ! 

ตะวันทมิฬของฉินหยุนย่อมต้องกลืนกินพลังงานมหาศาล มันยังปลดปล่อยพลัง เต่ลึกล้ําคมกล้าประหนึ่งปลายหอกตราบเท่าที่ใช้พลังจิตคิดสัมผัส ย่อมได้ทราบถึงควา มคมกล้าไร้สิ้นสุดของมัน

เจี้ยนสือเทียนย่อมรับรู้ถึงความคมกล้าเป็นล้นพ้นของพลังเต่ลึกล้ําที่ฉินหยุนครอบครอง มันแข็งแกร่งยิ่ง และมันยังยืนหยัดอย่างเหนือล้ํา!

หลังจากที่ฉินหยุนก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ําระดับกลาง พลังเต่ลึกล้ําปลายหอกของเขาจึงยิ่งแข็งแกร่ง และตอนนี้ ระหว่างการดูดกลืนพลังงานอย่างละโมบ มันพลันปรากฏเผยตัวขึ้นมา

 พวกเราดําเนินต่อไปได้หรือไม่?  เจี้ยนสือเทียนร้อนใจจึงกล่าวถาม เพราะตระกูลเจี้ยนให้สัญญาแล้วว่าจะช่วยฉินหยุนเลื่อนระดับการฝึกฝน

 ย่อมได้ ทว่านี่อาจต้องใช้เวลานาน เจ้าปีศาจน้อยผู้นี้ คู่ควรแล้วที่สามารถสังหารผู้ถูกเทพมารครอบงําได้ ช่างเป็นชะตาท้าสวรรค์ยิ่งนัก! เสียวเทียน เจ้าควรไปจัดการธุระของตนเองก่อนเสีย!  บรรพบุรุษชรากล่าวคํา

เจี้ยนสือเทียนพยักหน้ารับ ก่อนจะจากไปด้วยใบหน้าอัดแน่นด้วยความตื่นตะลึง

เจี้ยนสือเทียนเมื่อออกไปแล้ว บรรพบุรุษชราตาเดียวได้มองฉินหยุนพร้อมถาม  เจ้าหนุ่มเจ้า ควรบอกพวกเราถึงสถานการณ์การฝึกฝนของเจ้า! 

 ท่านบรรพบุรุษ เรื่องนี้ข้าไม่อาจพูดกล่าวขอรับ! หากท่านไม่ต้องการช่วยข้าเลื่อนระดับพลังต่อข้าก็ไม่คิดต่อว่าท่านแต่อย่างใด!  ฉินหยุนกล่าว

 สิ่งที่เจ้าฝึกฝนไม่สมควรใช่แก่นเต๋ลึกล้ํา แต่เป็นสิ่งที่คล้ายดาบต้นกําเนิดของพวกเรา เพราะมันได้แปรเปลี่ยนเป็นวัตถุไปแล้ว!  บรรพบุรุษตาเดียวกล่าวคํา

 ถูกต้องขอรับ!  ฉินหยุนลอบหวาดกลัว บรรพบุรุษเฒ่าชราเหล่านี้ถึงขั้นคาดเดาโดยคร่าวได้แม่นยํา

 แม้เจ้ามีร่างเซียนอันเลิศล้ํา พวกเราก็ยังสัมผัสได้ ว่าภายในร่างเซียนของเจ้า มันมีพลังงานอสูรอยู่ไม่น้อย พวกเราหวังว่าภายหน้าเจ้าจะสามารถสะกดความชั่วร้ายนั้นไว้ได้!  บรรพบุรุษชราตาเดียวกล่าว

 ขอบคุณท่านบรรพบุรุษที่กล่าวเตือนแล้วขอรับ  ฉินหยุนรับคํา

 พวกเราจะไม่ถามอื่นใดเจ้าอีก อย่างไรแล้ว คิดขุดคุ้ยเต่ําการฝึกฝนของผู้อื่นถือเป็นเรื่องต้องห้าม! มหาวิถีแห่งเต๋มีนับไม่ถ้วน แต่ละคนล้วนมีวิธีการฝึกฝนวิถีแห่งเต๋ที่เป็นเอกลักษณ์ ทั้งยังมีแต่เรื่องท้าทายทวยเทพไม่จบไม่สิ้น!  บรรพบุรุษตาเดียวกล่าวคําพร้อมถอนหายใจ

นับจากนั้น บรรพบุรุษทั้งเจ็ดจึงไม่กล่าวถามอันใดอีก

ฉินหยุนย่อมสัมผัสถึงตะวันทมิฬของตนเองได้ หลังดูดกลืนพลังงานมหาศาล มัน แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

 หากเข้าสู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ําระดับสูง พลังเต่ลึกล้ําที่คมกล้าจะปลดปล่อยออกมาได้รุนแรงมากขึ้น กระทั่งอาจแปรเปลี่ยนเป็นวัตถุ!  ฉินหยุนกล่าวภายใน  เราไม่ได้ฝึกฝนแก่นเต่ลึกล้ําแต่เป็นตะวันทมิฬ จึงไม่ทราบว่าภายหน้าจะเกิดอันใดขึ้นแล้ว 

หลายวันผ่านไปอีกครั้ง ตะวันทมิฬของฉินหยุนในที่สุดจึงเริ่มสั่นไหวรุนแรง มันระเบิดเอาพลังเต่ลึกล้ําที่คมกล้าออกมา พลังเต่ลึกล้ําเหล่านี้ทะลักล้นจากกายเขากระจายทั่ว มันกระทั่งทําชายชราเหล่านี้เกิดความหวาดกลัวยากบรรยายออก ฉินหยุนอยู่ระหว่างการเลื่อนระดับ ดังนั้นจึง ไม่อาจควบคุม ภายหลัง ด้วยพลังจิตที่สามารถลงมือ เขาจึงดึงปลายหอกคมกริบเหล่านั้นกลับคืน

 ท่านบรรพบุรุษทั้งเจ็ด ท่านช่วยข้าหนักหนายิ่งนัก ผู้น้อยไม่รู้ว่าควรกล่าวขอบคุณเพียงใดจึง พอ!  ฉินหยุนลุกขึ้นยืน พร้อมกล่าวขอบคุณจากใจจริง

 พวกเราหวังว่าภายหน้าเจ้าจะก่อแต่กรรมดี สะสมความดีเอาไว้ นั่นจะทําให้เจ้าได้เป็นเซียนได้โดยเร็ว!  บรรพบุรุษตาเดียวพยักหน้ารับและกล่าวคํา

ฉินหยุนกล่าวขอบคุณบรรพบุรุษทั้งเจ็ดอีกครั้งก่อนจะเดินกลับ เขาออกมาจากถ้ําด้วยตนเอง

 น่าจะอยู่ในนั้นมาได้สามสิบวัน การแข่งขันระดับราชันยุทธ์คงจบสิ้นแล้ว  ฉินหยุนรู้สึกเสียดาย เขาคิดอยากได้เห็นการแข่งขันเหล่านั้น

ฉินหยุนที่เดินออกจากถ้ํา จึงได้เห็นสื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อ ทั้งสองเผยรอยยิ้มงดงามต้อนรับ

 เหตุใดพวกท่านอยู่ที่นี่?  ฉินหยุนคิด ว่าผู้ที่รอคอยจะเป็นเจี้ยนสือเทียนเสียอีก

 เหตุใดเจ้าจึงดูผิดหวัง?  สุ่ยเทียนสื่อแสร้งโกรธเคืองกล่าวถาม นางสวมใส่ชุดกระโปรงสีชมพู เวลานี้ยิ่งดูเย้ายวน นางก้าวเดินเข้ามาคว้ามือฉินหยุนไว้

สื่อชิงเฉิงสวมใส่ชุดสีม่วง นางก้าวเดินออกมาพร้อมกล่าว  พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้อยู่ที่เกาะดาบแห่งนี้แล้ว 

 อย่างนั้นไปที่ใดแล้ว?  ฉินหยุนเอ่ยถาม

 ผู้คนของเขตแดนลึกล้ํา ได้เชื้อเชิญพวกเขาเข้าสู่เขตแดนลับอ้างว้างโบราณ กล่าวว่าจะจัดงานประลองยุทธ์ขึ้นที่นั่น พร้อมทําการสํารวจเขตแดนลับอ้างว้างโบราณด้วยเลย!  สื่อชิงเฉิงถอนหายใจ  เขตแดนลับอ้างว้างโบราณกล่าวว่ายอดเยี่ยม กระทั่งครึ่งเซียนทั้งหลายยังกระหายคิดอยากไป ภายหลัง พวกเขาคณะใหญ่จึงเร่งรีบเดินทางไป! 

 ผู้คนของเขตแดนลึกล้ําเชื้อเชิญไป? นี่ย่อมมีอุบายอะไรแน่แล้ว!  ฉินหยุนพอได้ฟัง เขาได้กลิ่นไม่ชอบมาพากลโดยทันที

 น้องหยุน ข้าเองก็คิดเช่นกัน ดังนั้นเจ้าไม่ควรไป! จ้าวสํานักเปากล่าวว่าเมื่อใดเจ้าออกมาให้รอพวกเขากลับมา จากนั้นจึงค่อยกลับนครเซียนยุทธภัณฑ์ด้วยกัน  สุ่ยเทียนสื่อเวลานี้เผยมือลื่นไหลลูบสัมผัสศีรษะฉินหยุนเบามือ

 เย่ว์เหม่ยก็ไปด้วยหรือ?  ฉินหยุนเอ่ยถาม

 ใช่!  สื่อชิงเฉิงพยักหน้ารับ

 ไม่ดีนัก! แล้วเขตแดนอ้างว้างนั่นอยู่ที่ใด? ข้าต้องไป!  ฉินหยุนกล่าว

 จ้าวสํานักดาบและครึ่งเซียนทั้งหลายของตระกูลเจี้ยนล้วนเดินทางไป นี่ไม่น่ามีปัญหาใด  สี่อชิงเฉิงขมวดคิ้ว  เจ้าหนู อย่าได้กังวลไปแล้ว เพียงอยู่ที่นี่กับพวกเรารอพวกเขากลับมา! 

 ข้าได้ทราบว่าตระกูลหลงค้นพบเขตแดนลับอ้างว้างโบราณ และหลายฝ่ายของเขต แดนลึกล้ําต่างก็ไปถึงที่นั่นกันแล้ว!  สุ่ยเทียนสื่อกล่าว  น้องหยุน พวกเราไม่ควรไป เชื่อฟังพี่สาวและรอที่นี่! 

 ไม่ได้ ข้าต้องไป! ข้ากังวลว่านี่จะเป็นกับดัก! ไม่ใช่จ้าวสํานักดาบและผู้อื่นเคยติดกับเช่นนี้มาก่อนหรือไร!  ฉินหยุนไม่เชื่อใจในกําลังของเจี้ยนสือเทียนและคณะ

ครั้งล่าสุด หากเขาไม่นําจอมราชันดวงดาวอสูรออกมาต่อสู้อย่างหนักหน่วงจนพลิกสถานการณ์ ตอนนั้น ทั้งคฤหาสน์เซียนดาบได้ล่มสลายเพราะผู้ฝึกตนอสูรของเขตแดนลึกลําอสูรอ้างว้างไปแล้ว

สื่อชิงเฉิงนํายันต์ตามรอยวิญญาณออกมา  ได้! อย่างนั้นพวกเราร่วมทางไปกับเจ้าด้วย! 

 ยันต์ตามรอยวิญญาณนี้ได้ดูดกลืนออร่าของพี่หลิงหลงไว้ พวกเราสามารถติดตามออร่าที่นางหลงเหลือไปได้ พี่หลิงหลงมอบสิ่งนี้ไว้ให้พวกเรา! 

 

ตอนที่ 788 : รับรางวัล

ร่างกายหลงเฉิ่งขวงแหลกเละกระจัดกระจายทั่วพื้น ฉินหยุนปลดปล่อยอัคคีเพลิงสีดําออกมาเผาไหม้พวกมันจนกลายเป็นเศษธุลี

ผู้คนของตระกูลหลงและเขตแดนลึกล้ําที่เมื่อครู่ยินดี เวลานี้อารมณ์ยินดีที่ค้างคา กลบกลายเป็นตื่นตะลึงต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลงเฉิ่งขวงถูกฉินหยุนสังหารและที่หลงเหลือก็เป็นเพียงเศษซากเถ้าธุลี!

ตอนนี้ ไม่เพียงแต่บุคคลของเขตแดนลึกล้ํา กระทั่งฝูงชนที่รับชมนับหมื่นที่นี้ ต่างต้องตื่นตะลีงต่อการโจมตีตอบโต้ปะทุพลังของฉินหยุน

เจี้ยนหลิงหลง หยางฉีเย่ว์รวมถึงผู้อื่นย่อมตระหนกตกใจ ทว่าเหตุการณ์ที่พบเห็น มัน ทําให้ใจของพวกเขาได้สงบลง

โดยเฉพาะหยางฉีเย่ว์และเชี่ยวเสวียนฉิน พวกนางต่างสงสัย ว่าฉินหยุนได้ตื่นรู้ความทรงจําของชาติภพก่อนขึ้นมาหรือไม่ ทั้งสองไม่คิดอยากให้ฉินหยุนจดจําได้ เพราะนั่นจะกลับเป็นผลร้ายต่อการเติบโตของเขาเอง

 ฉิน ฉินหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าทําอันใดลงไป? เจ้าเพิ่งสังหารหลงเฉิ่งขวง เขา คือศิษย์อันเลิศล้ําของสํานักมังกรแห่งเขตแดนลึกล้ําของพวกเรา!  ชายชราร่างอ้วนจากเขต แดนลึกล้ําตะโกนออกด้วยความโกรธเกรี้ยว

 นี่เรื่องปกติหรือไม่ใช่? หากข้าไม่สังหารมัน ก็เป็นมันที่สังหารข้า! ด้วยข้าไร้ซึ่งทางเลือกจึงมีแต่ต้องสังหารมันทิ้ง!  ฉินหยุนกล่าวพร้อมรอยยิ้มเย็นเยือก

งานประลองยุทธ์ย่อมโหดร้ายเสมอมา! มีแต่ผู้อยู่รอดจึงนับเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง!

คนของตระกูลหลงและเขตแดนลึกล้ําเกิดความพิโรธเกินใดเทียบเปรียบ พวกเขาต่างคิดอยากลงไปสังหารอีกฝ่ายเสียเดี๋ยวนี้ กระนั้น ที่นี่คืออาณาเขตของตระกูลเจี้ยน เจ็ดดาบเซียนล้วนอยู่ที่นี่หากพวกเขาคิดสร้างปัญหา แม้เป็นครึ่งเซียนหลายคน พวกเขาก็มีแต่ชะตาต้องตายที่นี่!

ด้วยความตายของหลงเฉิ่งขวง ตระกูลหลงและเขตแดนลึกล้ําจึงพ่ายแพ้โดยสมบูรณ์! กระทั่งว่าผู้ชนะเลิศไม่ใช่ศิษย์ตระกูลเจี้ยน แต่นี่ก็ทําให้ตระกูลเจี้ยนเกิดความยินดีขึ้นภายในใจได้ตราบเท่าที่ผู้ชนะเลิศไม่ใช่ตระกูลหลง แต่เป็นตระกูลเจี้ยนและพันธมิตร ก็ไม่ถือว่าตระกูลเจี้ยนพ่ายแพ้แต่อย่างใด

ยิ่งไปกว่านั้น ฉินหยุนคือผู้มาจากนครเชียนยุทธภัณฑ์ และนครเชียนยุทธภัณฑ์ก็เป็นพันธมิตรที่ดีกับพวกเขา เจี้ยนสือเทียนย่อมยินดีที่พบเห็นฉินหยุนคว้าชัยชนะมาได้

ผู้คนของตระกูลหลงและเขตแดนลึกล้ําต่างเผยสีหน้าดํามืด สายตาจ้องมองแต่เศษเถ้าธุลีที่ลอยอยู่บนเวทีประลองยุทธ์ พวกเขาโศกเศร้าเป็นล้นพ้น

เพื่อทําให้หลงเฉิ่งขวงแข็งแกร่งขึ้น พวกเขาต้องจ่ายอย่างมหาศาลเพื่อทําพิสังเวย และตอนนี้หลงเฉิ่งขวงตายไปแล้ว หลังได้ครอบครองพลังของเทพมาร กําลังของหลงเฉิ่งขวงจึงทัดเทียมราชันยุทธ์ กระนั้น เขาก็ยังต้องถูกฉินหยุนสังหาร

ตอนนี้ผู้คนเพียงรู้สึกหวาดกลัวต่อกําลังแท้จริงที่ฉินหยุนครอบครอง!

หลิงหยุนเอ๋อกําลังสะอื้นไห้ในมิติมายาของฉินหยุน เมื่อครู่ เป็นนางเกือบจบสิ้นแล้ว นางจะต้องแยกจากกับฉินหยุนไปชั่วนิรันดร์ มันเป็นความเจ็บปวดและใจสลาย ทว่าตอนนี้นางยังได้อยู่ร่วมกับฉินหยุน นี่จึงเกิดเป็นความยินดีไม่รู้จบในใจนาง

 เสี่ยวหยุน เจ้าจะต้องอยู่กับข้าไปตลอด ข้าจะไม่ไปไหนจากเจ้าทั้งนั้น!  เดิมหลิงหยุนเอ๋อเปรียบเสมือนปีศาจน้อยซุกซน ตอนนี้ที่นางยินดี มันเปรียบดังนางเป็นเด็กเพิ่งได้ของเล่น

 หยุนเอ๋อ เจ้าอย่าได้ร้องไห้แล้ว!  ฉินหยุนหัวเราะจากใจขณะก้าวเดินลงจากเวทีประลองยุทธ์

เมื่อครู่ เขาได้ใช้พลังของวิญญาณราชสีห์สวรรค์ กระนั้น เขาก็ไม่ได้ใช้มันจนหมดสิ้น เขายังสะกดส่วนหนึ่งเอาไว้ เขายังไม่ทราบว่าภายหน้าจะยังใช้งานมันได้อีกหรือไม่

หน้าท้องฉินหยุนถูกแทงทะลุเมื่อครู่ ตอนนี้กําลังรักษาตัวเอง เจี้ยนสือเทียนและเปาเฉิงโจ่ว ครึ่งเซียนทั้งสองได้เข้ามาคุ้มกันฉินหยุนในทันที พวกเขากังวล ว่าผู้คนของตระกูลหลงและเขต แดนลึกล้ําอาจบุกเข้ามาลงมือสังหาร

เจี้ยนสือเทียนได้ประกาศดัง ว่างานชุมนุมยุทธ์ดาบ การแข่งขันระดับยอดยุทธ์ ผู้ชนะคือฉินห

ฉินหยุนย่อมได้รับรางวัลอันดับหนึ่ง นั่นก็คือเพิ่มระดับการฝึกฝน ครึ่งเซียนตระกู ลเจี้ยนหลายคนจะใช้วิธีลับของตําหนักเขียนดาบเพื่อยกระดับการฝึกฝนให้แก่เขา

หยางฉีเย่ว์ร่วมทางกับฉินหยุน ติดตามเจี้ยนหลิงหลงและเปาเฉิงโจ่วกลับสู่ที่พัก

ในห้องลับที่กางม่านพลังเอาไว้ หยางฉีเย่ว์กําลังช่วยรักษาฉินหยุนเพียงลําพัง

หยางฉีเย่ว์มองที่รูใหญ่ตรงหน้าท้องของฉินหยุน นางกล่าวออกด้วยอาการปวดใจ  ตะวันทมิฬของเจ้าเกือบถูกนําเอาไป เรื่องราวอันตรายเกินไปแล้ว 

 พี่หยาง ท่านมีร่างศักดิ์สิทธิ์จันทราทมิฬหรือ?  ฉินหยุนกล่าวถาม

จ้าทราบได้อย่างไร? กระทั่งเย่ว์โยวกับปิงชิงยังไม่ทราบว่าข้าครอบครองร่างศัก ดิ์สิทธิ์จันทราทมิฬ! 

หยางฉีเย่ว์ลูบที่หน้าท้องฉินหยุน มือขาวของนางปลดปล่อยมวลเมฆจันทราสีขาวเงินเข้าทําการรักษาบาดแผล ฉินหยุนสัมผัสได้ถึงพลังงานอบอุ่นจากฝ่ามือของหยางฉีเย่ว์ มันทําให้เขารู้สึกอุ่นใจ

 เสี่ยวหยุน หากเจ้าตื่นรู้ความทรงจําขึ้นมา ต้องอย่าได้ให้เชี่ยวเสวียนฉินและบิงชิงได้ทราบ  หยางฉีเย่ว์ถอนหายใจเบา  เห็นได้ชัด ว่าพวกนางไม่คิดยอมรับเจ้าหากได้รับความทรงจํากลับคืนมา! 

 ข้ายังไม่ได้ตื่นรู้ความทรงจํา แต่เป็นสิ่งที่หลงเฉิ่งขวงบอกต่อข้า เทพมารในร่างของมัน บอกว่าท่านครอบครองร่างศักดิ์สิทธิ์จันทราทมิฬ มันกล่าว มันกล่าวถึงเรื่องไม่ดีทั้งหลายที่คิดทําต่อท่าน! 

ฉินหยุนยามนึกย้อนถึงเรื่องนี้ เขายังคงมีโทสะที่ตกค้างไม่อาจเลือนหาย

 เพราะเหตุนั้นเจ้าจึงดื้อรั้น ไม่คิดยอมลงมาจากการแข่งขัน เพราะเจ้าต้องการกําจัดมัน เจ้าเป็นกังวลว่ามันจะมาทําร้ายข้า!  หยางฉีเย่ว์ที่ได้รับฟัง ดวงตางดงามของนางจึงเผยความอ่อนโยนโอบอ้อมพร้อมยิ้มออกมา

ฉินหยุนพยักหน้ารับและกล่าว  มันคิดกลืนกินท่าน ช่างโฉดชั่วนัก! 

หยางฉีเย่ว์รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นางเผยยิ้มกล่าว  เสี่ยวหยุน ขอบคุณเจ้าแล้ว! 

 พี่หยาง ท่านคิดขอบคุณข้าอย่างไร?  ฉินหยุนเผยยิ้มขี้เล่น

หยางฉีเย่ว์กัดริมฝีปาก เผยใบหน้าเย้ายวนดึงดูด จากนั้น ศีรษะนางจึงขยับพร้อมเข้าจูบฉินหยุน!

ฉินหยุนเพียงกล่าววาจาไปเรื่อย เป็นเขาไม่คาดคิด ว่าหยางฉีเย่ว์จะถึงขั้นคิดอยากขอบคุณต่อเขาเพียงนี้! จูบที่มาอย่างกะทันหัน มันอัดแน่นด้วยความรักและอบอุ่นในหัวใจ เป็นการสลายความนึกคิดอื่นในใจเขาจนเลือนหาย ก่อนที่ความรู้สึกอื่นจะปะทุขึ้นมาแทนอย่างรวดเร็ว

 เร่งรีบกอดนางไว้  หลิงหยุนเอ๋อโห่ร้องตะโกน  นี่เป็นจูบแรกของนาง! 

หลิงหยุนเอ๋อตะโกนส่งเสียงเช่นนี้ ฉินหยุนจึงสะดุ้งรู้สึกตัว เขาทราบว่าไม่ใช่ความฝัน ดังนั้นจึงสวมกอดหยางฉีเย่ว์ไว้ คนทั้งสองต่างมัวเมาด้วยความรู้สึกที่สะสมมาจากชาติภพก่อนและชาติภพนี้ เป็นชะตาของคนทั้งสองที่ต้องดําเนินต่อไปร่วมกัน

ไม่ทราบเวลาผ่านไปเพียงใด หยางฉีเย่ว์คอยผลักฉินหยุนออกเบามือ ใบหน้าขาวนวลของนางเผยสีแดง  เสี่ยวหยุน เจ้าอย่าได้พูดกล่าวเรื่องนี้ออกไป! ได้ยินว่าเจ้าบอกทุกสิ่งแก่เย่ว์หลานทว่าเรื่องนี้ไม่ได้! 

 โอ  ฉินหยุนหัวเราะรับคําก่อนจะยื่นมือเข้าไปลูบสัมผัสใบหน้างามไร้ผู้ใดเทียบเปรียบของหยางฉีเย่ว์

 บอกต่อข้าตามตรง เจ้าและบึงชิงได้จูบกันหรือไม่?  หยางฉีเย่ว์ลูบที่หน้าอกฉินหยุ นพร้อมกล่าวถามอย่างนึกโกรธเคือง

 เป็นนางที่ฉวยโอกาสข้า!  ฉินหยุนบอกต่อหยางฉีเย่ว์ ว่าบิงชิงฉวยโอกาสต่อเขาเช่นไร

 เหอะ… ชาติภพก่อนเจ้าติดค้างพวกเราไว้ ดังนั้นชาติภพนี้ก็อย่าได้คิดว่าจะหนีพวกเรารอด!  หยางฉีเย่ว์หยิกแขนฉินหยุนเบามือ

ฉินหยุนไม่ทราบเรื่องราวในชาติภพก่อนเลยแม้เพียงนิด เขาเพียงทราบ ว่าชีวิตนี้ ตัวเขาต้องปกป้องสตรีอันเป็นที่รัก

 พี่หยาง ชาติภพก่อนของข้าวิเศษเพียงนั้นเลยหรือ?  ฉินหยุนยิ้มกล่าวถาม

 ชาติภพก่อนของเจ้าไม่คล้ายมีใดวิเศษ แต่เป็นกะล่อนและปลิ้นปล้อน ลวงหลอกความรู้สึกพวกเราไปเรื่อย คดโกงเอาเงินและสมบัติไปอีกต่างหาก ทั้งยังกล่อมให้พวกเรามาทํางานรับใช้หนักหนาให้ เป็นวายร้ายอย่างแท้จริง!  หยางฉีเย่ว์ชกหมัดเบาที่หน้าอกฉินหยุน

ฉินหยุนแทบคิดอยากไปด่าตนเองในชาติภพก่อนต่อหน้า เป็นเขาไม่เข้าใจ ว่าอีกฝ่ายละเลยความรู้สึกอันล้ําค่าเหล่านี้ไปได้อย่างไร?

 เสี่ยวหยุน ข้าต้องกลับแล้ว ตั้งแต่ที่ความทรงจําตื่นขึ้น จิตวิญญาณข้ามีแต่แข็งแกร่งมากขึ้น ข้าเย่ว์หลาน และผู้อื่นล้วนเป็นเช่นเดียวกัน ยิ่งเวลาผ่านไป พวกเราจะต้องสะกดจิตวิญญาณเอาไว้เพื่อไม่ให้แข็งแกร่งเกินไปจนร่างกายไม่อาจรับ! 

หยางฉีเย่ว์คลายอ้อมกอดฉินหยุน นางมองที่อาการบาดเจ็บตรงหน้าท้อง ความรู้สึกของนางคล้ายยังค้างคา

 เมื่อใดข้ามเวลา ข้าจะไปพบพวกท่านทุกคนที่เกาะจันทราปีศาจ  ฉินหยุนลูบใบหน้าหยางฉีเย่ว์เบามือพร้อมกล่าว

หยางฉีเย่ว์จูบฉินหยุนเบาอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้น หลังจากเจ้าเลื่อนระดับพลัง เจ้าจงจํา ไว้ว่าต้องสร้างอุปกรณ์ลึกล้ําที่ดีขึ้นมา! 

 อุปกรณ์ลึกล้ําอันใด? สําหรับพี่หยาง ข้าย่อมสร้างอุปกรณ์เต๋ให้ได้!  ฉินหยุนยิ้มกล่าว

 จริงหรือ? นี่เจ้าสามารถสร้างอุปกรณ์เต๋ได้แล้ว?  หยางฉีเย่ว์แทบไม่กล้าเชื่อสิ่งที่ได้ฟัง

 พี่หยาง ข้ามีจารึกวิญญาณจ้าวเต๋!  ฉินหยุนเผยยิ้มลึกลับกล่าวคํา

 โอ  หยางฉีเย่ว์พอได้ทราบ นางเกิดนึกถึง กระนั้นก็ยินดี นางลูบใบหน้าฉินหยุนเบา มือพร้อมกล่าว เสี่ยวหยุน เมื่อข้าไม่ได้อยู่กับเจ้า จงระวังตัวและดูแลตนเองให้ดี ข้าไม่คิดอยากเสียเจ้าไปอีก! 

 ขอรับ! ภายหน้าขาย่อมสร้างอุปกรณ์เซียน หรืออาจเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ให้แก่พี่หยางด้วยซ้ํา!  ฉินหยุนยิ้มกล่าว

หยางฉีเย่ว์หัวเราะยินดี จากนั้นจึงเดินออกไปจากห้องลับ

นางเมื่อออกไปแล้ว สีหน้าจึงนิ่งสงบเช่นเคย นางคือโฉมงามบริสุทธิ์และเย็นเยือก เปรียบดังก้อนหยกเย็นที่งดงามตระหง่าน ราวกับภูติที่เพิ่งเคลื่อนคล้อยลงจากดวงจันทรา

 พี่ชาย ดีขึ้นแล้วหรือ?  เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเร่งรีบเข้ามากล่าวถามอย่างร้อนใจ

 ดีขึ้นมาก!  ฉินหยุนยิ้มพร้อมหยิกที่ใบหน้าเชี่ยวเย่ว์เหม่ย

ฉินหยุนสบายดี เปาเฉิงโฉ่ว อู่ในอจี้ และอีกหลายคนต่างถอนหายใจยาวกันได้

ก่อนหน้านี้ พวกเขาได้เห็นรูใหญ่ปรากฏเปิดที่หน้าท้องฉินหยุน แก่นเต่ลึกล้ําของเขาถูกคว้าเอาไว้ พวกเขาเป็นกังวล ว่าแก่นเต๋ลึกล้ํานั้นจะได้รับความเสียหาย ทว่าตอนนี้ ฉินหยุนคล้ายหายดีแล้ว

แม่เฒ่าหยุนเหยากล่าว  พวกเรากับฉีเย่ว์ขอตัวก่อน พวกเราจะไม่เข้าร่วมการแข่งขันระดับราชันยุทธ์แล้ว 

ฮจิงเซียน สื่อชิงเฉิง สุ่ยเทียนสื่อ และเชี่ยวเสวียนฉินล้วนอยู่ที่นี่ เชี่ยวเสวียนฉินต้องสะกดการเติบโตของจิตวิญญาณ ดังนั้นนางจึงกลับไปพร้อมหยางฉีเย่ว์ ฮจิงเซียนมีกําลังเลิศล้ําและยากหยั่ง ถึงงานหลักของนางคือเดินทางไปจัดการธุระแทบทุกสถานที่ ดังนั้นนางจึงยังไม่ไปที่ใด สื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อเองก็ตกลงกัน ว่านับแต่นี้จะติดตามฉินหยุนช่วยเหลือเขาสร้างอุปกรณ์ดังนั้น จึงไม่จากไปไหนอีก

เปาเฉิงโจ่วและฉินหยุนส่งแม่เฒ่าหยุนเหยาและคณะก่อนจะเดินกลับห้องโถงรับรอง

เจี้ยนรั่วหยานเผยเสียงถามด้วยความกังวล  จ้าวสํานัก ท่านคิดว่าผู้คนของเขตแดนลึกล้ําจะมีแผนชั่วใดอีกหรือไม่? 

เปาเฉิงโจ่วส่ายศีรษะ  ยากพูดกล่าวนัก โดยสรุป พวกเราต้องตั้งระวังไว้ทุกฝีก้าว! 

เชี่ยวเย่ว์เหม่ยยิ้มกล่าว  ไม่ใช่ว่าสถานการณ์ภายในเขตแดนลึกล้ําเลวร้ายหรอกหรือ? ทันทีที่พวกเราเขตแดนนอกรวมกําลังกันได้ เมื่อนั้นพวกเราจะบุกประหนึ่งพายุเข้าสู่เขตแดนลึกล้ําและคว้าที่ยืนหยัดมา! 

คู่บินอวกล่าว  ฝ่ายเราได้ส่งคนไปตรวจสอบสถานการณ์ก็นานแล้ว ถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่ กลับมา! 

ยูจิงเซียนกล่าวด้วยความกังวล  ผู้คนเหล่านั้นล้วนเป็นระดับครึ่งเซียน หวังว่าพวกเขาจะกลับมาอย่างปลอดภัย 

ภายในแดนวิญญาณอ้างว้าง แข็งแกร่งที่สุดคือครึ่งเซียน กระนั้น ผู้คนของเขตแดนลึกล้ําย่อมมีเคล็ดวิชาการฝึกฝนที่พิเศษและหลากหลาย ดังนั้นแล้วแม้เป็นระดับพลังเดียวกัน พลังของพวกเขาจะกลับกลายเป็นแข็งแกร่งกว่า ตัวอย่างที่มีให้เห็นแล้ว ก็เช่นศิษย์เขตแดนลึกล้ําอย่างหลงเฉิงขวง

พลบค่ํา เจี้ยนสือเทียนมาถึงอย่างกะทันหัน ไม่มีผู้ใดทราบว่าเขาปรากฏตัวกะทันหันเช่นนี้เพราะอะไร

 จ้าวสํานักดาบ มีเรื่องเร่งร้อนอันใดจึงไม่อาจรอคอยถึงพรุ่งนี้หรือ?  เปาเฉิงโจ่วเปิดประตูพบเห็นเป็นเจี้ยนสือเทียน เขาจึงหัวเราะพร้อมถามไถ่

 อาการบาดเจ็บฉินหยุนเป็นอย่างไรบ้าง? หากยังไม่ฟื้นฟูดี พวกเราช่วยรักษาให้เขาได้  เจี้ยนสือเทียนเข้ามาในห้องรับรองพบเห็นฉินหยุนนั่งอยู่สุขสบายถึงกับมึนงง

 ข้าย่อมหายดีแล้ว!  ฉินหยุนยิ้มให้เจี้ยนสือเทียน  จ้าวสํานักดาบ แล้วเจี้ยนหนันหูเล่า? เขาฟื้นตัวดีขึ้นหรือยัง? 

 ดีแล้ว ตั้งแต่ทราบว่าเจ้าเอาชนะหลงเฉิ่งขวงได้ เขาจึงกล่าว ว่าขอมอบดาบเล่มนั้นให้แก่เจ้าเป็นของขวัญแด่ความสําเร็จ!  เจี้ยนสือเทียนหัวเราะพร้อมเผยคําออก

ดาบเล่มนั้นยังอยู่กับเชี่ยวเสวียนฉิน เขาคิดไปพบนางภายหน้าเมื่อมีเวลา เพื่อที่จะสะสาง เสียเจ้าไปอีก! 

 ขอรับ! ภายหน้าขาย่อมสร้างอุปกรณ์เซียน หรืออาจเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ให้แก่พี่หยางด้วยซ้ํา!  ฉินหยุนยิ้มกล่าว

หยางฉีเย่ว์หัวเราะยินดี จากนั้นจึงเดินออกไปจากห้องลับ

นางเมื่อออกไปแล้ว สีหน้าจึงนิ่งสงบเช่นเคย นางคือโฉมงามบริสุทธิ์และเย็นเยือก เปรียบดังก้อนหยกเย็นที่งดงามตระหง่าน ราวกับภูติที่เพิ่งเคลื่อนคล้อยลงจากดวงจันทรา

 พี่ชาย ดีขึ้นแล้วหรือ?  เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเร่งรีบเข้ามากล่าวถามอย่างร้อนใจ

 ดีขึ้นมาก!  ฉินหยุนยิ้มพร้อมหยิกที่ใบหน้าเชี่ยวเย่ว์เหม่ย

ฉินหยุนสบายดี เปาเฉิงโจ่ว คู่บินอวี่ และอีกหลายคนต่างถอนหายใจยาวกันได้

ก่อนหน้านี้ พวกเขาได้เห็นรูใหญ่ปรากฏเปิดที่หน้าท้องฉินหยุน แก่นเต่ลึกล้ําของเขาถูกคว้า

 

ตอนที่ 787 : พลังอํานาจแห่งเทพมาร

เกล็ดของหลงเฉิ่งขวงแหลกสลายเพราะกรงเล็บ กระนั้นพวกมันฟื้นคืนกลับได้รวดเร็ว คิดสร้างความเสียหายแก่มันถือเป็นเรื่องยากยิ่ง

มือของฉินหยุนแปรเปลี่ยนเป็นกรงเล็บราชสีห์ เป็นผลให้หลายคนต้องสะดุ้งผุดลุกกันขึ้นมา

บรรดาผู้ซึ่งเคยเห็นเขาใช้กรงเล็บราชสีห์สวรรค์มาก่อน เวลานี้ได้ทราบ ว่ากรงเล็บราชสีห์สวรรค์ของฉินหยุนตอนนี้วิวัฒนาการขึ้นแล้ว ก่อนหน้า กรงเล็บราชสีห์สวรรค์ที่เผยออกมันเป็นเพียงพลังงานที่ควบแน่น ตอนนี้พวกมันเปรียบดังอาวุธจริง ปลายกรงเล็บ มันยังเผยประกายแสงเจิดจ้าอันเย็นเยือก

ได้เห็นกรงเล็บราชสีห์สวรรค์ของฉินหยุน หลงเฉิ่งขวงอดไม่ได้ที่จะเลียรอบริมฝีปาก เสียงหัวเราะชั่วร้ายเผยพร้อมร่างที่ทะยานออก เขาอสูรที่ศีรษะนั้นพลันปลดปล่อยรัศมีแสงสีแดงออกมามันคือรัศมีแสงกว้างถึงสิบเมตรที่ครอบงําด้านบน ก่อนจะร่วงหล่นลงมาปกคลุมใส่ฉินหยุนจากนั้นขนาดของมันจึงหดเล็กลง คิดพยายามพันธนาการฉินหยุนเอาไว้ ฉินหยุนย่อมไม่นิ่งเฉยรอความตาย เขาเร่งรีบกระโดด

 อย่าได้คิดว่าจะหนีรอด!  เสียงหัวเราะชั่วร้ายของหลงเฉิ่งขวงดัง ขึ้นพร้อมหลายหมัดปลดปล่อยผ่านอากาศ

พลังงานหมัดก่อเกิดเป็นรูปลักษณ์วิญญาณร้ายเข้าปกคลุมฉินหยุน กรงเล็บราชสีห์สวรรค์จึงต้องวูบไหวกระนั้น มันกลับไม่อาจทําลายพลังงานหมัดโดยสมบูรณ์ได้

ตู้ม ตู้ม!

ฉินหยุนรับแรงปะทะโดนอัดลงกับพื้น เวทีขนาดเล็กที่วางไว้บนลานประลองขนาดใหญ่ได้กลับกลายเป็นเศษซากทันทีเมื่อต้องถูกพลังงานหมัดเมื่อครู่

 จงหยุดที่ตรงนั้น!  หลงเฉิ่งขวงหัวเราะเสียงดัง

รัศมีแสงอีกจํานวนหนึ่งเริ่มหดขนาดเล็กลงพันธนาการฉินหยุนเอาไว้

ฉินหยุนระเบิดเสียงคําราม ปลดปล่อยความสามารถเทวะแผ่นดินไหว คลื่นสั่นสะเทือนแผ่กระจายจากทุกส่วนในร่าง

ครืน ครืน ครืน!

พลังแผ่นดินไหวเป็นผลให้เวทีประลองยุทธ์สั่นสะเทือนรุนแรง มันเคลื่อนขึ้นลงเป็นคลื่น

ตู้ม!

ฉินหยุนสะบัดร่างรุนแรง แสงสีแดงระเบิดออกโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง รัศมีแสงสีแดงที่พันธนาการไว้เมื่อครู่ เวลานี้แหลกสลายแล้ว

หลงเฉิ่งขวงลอยกลางอากาศ ได้รับชมพลังอํานาจของฉินหยุนยังถึงกับต้องตื่นตระหนก

ฟุบ ฟุบ!

ฉินหยุนประสานสองนิ้วชี้ไปยังหลงเฉิ่งขวงบนฟากฟ้า ดัชนีทะลวงขุนเขาแยกพสุธาจึงปรากฏพลังดัชนีสีดําปลดปล่อยออกในพริบตา

ร่างกายหลงเฉิ่งขวงระเบิดมวลพลังงานสีดําสร้างเป็นม่านพลังล้อมรอบ

ตู้ม!

กระนั้น ดัชนีทะลวงขุนเขาแยกพสุธาของฉินหยุนกลับทะลวงผ่านม่านพลังสีดําของหลงเฉิงขวง มันปะทะเข้าที่เกล็ดบนร่างระเบิดพวกมันแหลกสลายเกิดเป็นมวลเลือดสาดกระจายลงมา

หลงเฉิ่งขวงหลั่งเลือดออก เป็นผลให้หลายคนที่รับชมร้องออกอย่างนึกถึง

 เจ้า เจ้าถึงขั้นบีบบังคับให้ข้าทําเช่นนี้ 

หลงเฉิ่งขวงคํารามเกรี้ยวกราด อาการบาดเจ็บของเขาฟื้นตัวรวดเร็ว เพียงเขากล่าวคําจบฉินหยุนจึงโจมตีออกด้วยดัชนีทะลวงขุนเขาแยกพสุธาอีกครั้งหนึ่ง

ทันใดนี้เอง สายฟ้าอสนีบาตหนาใหญ่ได้ฟาดฟันลงจากฟากฟ้า!

หลงเฉิ่งขวงมีโทสะเป็นล้นพ้น กลุ่มก้อนพลังงานสีดําทะลักล้นจากร่างกาย

ในพริบตา หลงเฉิ่งขวงได้แปรเปลี่ยนร่างอีกครั้งหนึ่ง ใบหน้าเกิดเป็นเกล็ดขึ้นปกคลุม ดวงตาสีเขียวทั้งสองยิ่งลุกโชน ลิ้นกลับกลายเป็นสีดําและยื่นยาวออกมา

 นี่คือร่างอัปลักษณ์ของเจ้าหรือ?  ฉินหยุนกล่าวคําจบ จึงกระโดดหลบพลังชั่วร้ายสีดําของหลงเฉิงขวงที่โจมตีใส่

 คิดชั่วโทสะข้า เจ้าต้องไม่ได้ตายดี!  หลงเฉิ่งขวงผู้ซึ่งแปรสภาพเป็นอสูรร้ายโดยสมบูรณ์เวลานี้ตะโกนเสียงดังสนั่น เป็นผลให้หลายคนต่างรู้สึกเลือดในกายเย็นเยียบ

พบเห็นหลงเฉิ่งขวงเป็นเช่นนี้ ฝูงชนที่รับชมต่างเผยสีหน้าหนักอึ้งกันออกมา กระทั่งผู้ที่เข้าใจผู้ฝึกตนอสูร ยังไม่ทราบว่านี่เป็นวิชาอสูรใดที่หลงเฉิ่งขวงฝึกฝนจนมีสภาพน่าหวาดกลัวเพียง

หลงเฉิ่งขวงเข้าถึงฉินหยุนทางด้านหลังในพริบตา พร้อมโจมตีออกด้วยฝ่ามือหนักหน่วง ฉินหยุนหลบเลี่ยงพร้อมโจมตีสวนกลับโดยเจ็ดฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์ด้วยมือเดียว ขณะที่อีกมือหนึ่งไม่ว่างเว้น ใช้งานดัชนีทะลวงขุนเขาแยกพสุธาออกอีกครั้ง พลังฝ่ามือและพลังดัชนีต่างเข้าปะทะที่ร่างหลงเฉิงขวงแทบพร้อมกัน!

เสียงคํารามร้องของพลังงานมหาศาลดังกึกก้อง!

หลงเฉิ่งขวงถอยกลับหลายสิบเมตรเพราะการโจมตีครั้งนี้ ที่เกล็ดสีดําบนร่างนั้นเพียง ปลดปล่อยมวลพลังงานสีดําออกมา!

 อํานาจป้องกันมันแข็งแกร่งนัก! 

ฉินหยุนเกิดความตื่นตะลึงภายใน ก่อนหน้านี้เขายังสามารถเรียกเลือดจากหลงเฉิ่งขวงได้ กระนั้นตอนนี้ เขาไม่อาจแม้ทําลายการป้องกันอีกฝ่าย ฉินหยุนปลดปล่อยกรงเล็บราชสีห์สวรรค์ อีกครั้งหนึ่งร่างทะยานพุ่งตัวออก บุกโจมตีต่อเนื่องใส่หลงเฉิ่งขวง เสียงปะทะ  ตึง ตึง ตึง  ดัง นต่อเนื่องไม่หยุดเกล็ดดําของหลงเฉิ่งขวงแข็งแกร่งขึ้นจริง!

 ฉินหยุน หยุดสู้ได้แล้ว เร่งรีบถอนตัว!  เจี้ยนสือเทียนตะโกนดังจากบนฟากฟ้าเหนือม่านพลัง

หลงเฉิ่งขวงตอนนี้อยู่ในสภาพชวนสะพรึงและยากกําราบ ฉินหยุนมีศักยภาพไม่พอจัดการอีกฝ่ายลงได้!

เฉินหยุนย่อมต้องสังหารหลงเฉิ่งขวงที่ถูกเทพมารครอบงํา ไม่อย่างนั้นแล้วหากเทพมารทําให้ อีกฝ่ายแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ ทั้งฉินหยุนและหยางฉีเย่ว์จะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง

หลงเฉิ่งขวงตะโกนพร้อมหัวเราะเสียงดัง  ฉินหยุน วันนี้คือวันตายของเจ้า! 

ผู้คนจากตระกูลหลงและเขตแดนลึกล้ํา ได้เห็นหลงเฉิ่งขวงทรงพลังอํานาจขึ้นมหาศาลเพียงนี้ ยังตระหนกตกใจพร้อมกันนี้ พวกเขายังเป็นกังวล ว่าหลงเฉิ่งขวงจะไม่อาจควบคุมตนเองได้อีกเศษเสี้ยวจิตวิญญาณเทพมารภายในร่างหลงเฉิ่งขวง มันอัดแน่นด้วยพลังงานมหาศาลจนทําให้เขาต้องมีสภาพเป็นเช่นนี้

หลงเฉิ่งขวงผู้ซึ่งหัวเราะเสียงดัง เวลานี้พลันคายเอาลําแสงสีแดงเจิดจ้าออกมา! ลําแสงสี แดงเคลื่อนไหวในพริบตา กระทั่งฉินหยุนคิดหลบเลี่ยงก็ยังต้องโดนโจมตีเข้าใส่

ตู้ม!

ฉินหยุนถูกโจมตี หมอกโลหิตพลันบังเกิดตามลําแสงที่ยิงออก เสียงดังสนั่นเกิดขึ้นราวกับ มันพร้อมแยกแดนสวรรค์และพื้นโลกออกจากกันเวทีประลองยุทธ์กลับกลายเป็นถูกปกคลุมด้วย แสงสีแดง มันคือพลังชั่วร้ายที่อัดแน่นจนแข็งแกร่ง

 เสี่ยวหยุน!  หยางฉีเย่ว์รับชมจากที่ไกลออกไป มือขาวนวลของนางกําเอาไว้แน่น

 กําลังของหลงเฉิ่งขวงเกินกว่าที่คาดคิดไว้มากเกินไปแล้ว!  เปาเฉิงโฉ่วเผยสีหน้าหนักอึ้ง  พวกเราต้องให้ฉินหยุนถอนตัวโดยเร็ว! 

ถูกหลงเฉิ่งขวงโจมตีไปครั้งหนึ่ง ผิวหนังของฉินหยุนจึงปริออกพร้อมร่วงหล่นกับพื้นกรีดร้องเจ็บปวด

ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

หลงเฉิ่งขวงลอยร่างกลางอากาศ เขาอสูรสีดําพลันยิงออกซึ่งแสงสีแดงฉานเป้าหมาย ของมันคือฉินหยุนและยังเป็นการยิงออกอย่างไม่คิดหยุดยั้ง!

ฉินหยุนนอนกับพื้น เขาเกือบจะสิ้นหวัง กระนั้น หลิงหยุนเอ๋อได้เร่งรีบปลดปล่อยพลังกลืนกิน เริ่มกลืนกินพลังเทพมารเข้าไปตัวนางเวลานี้เพียงดูดกลืนได้ส่วนหนึ่ง ส่วนใหญ่ที่เหลือจึงต้องปะทะกับร่างกายฉินหยุน

ฉินหยุนครอบครองวิญญาณยุทธ์แห่งความเที่ยงธรรม ไม่อย่างนั้นตัวเขาคงเกิดคลุ้มคลั่งเพราะการดูดกลืนพลังเทพมารไปแล้ว!

 เพียงเศษเสี้ยวพลังของเทพมารยังแข็งแกร่งเพียงนี้!  ฉินหยุนนอนกับพื้นร่างกาย ยากเคลื่อนไหวตัวเขาถูกหลงเฉิ่งขวงโจมตีต่อเนื่อง

เวทีประลองถูกปกคลุมด้วยออร่าสีแดงดูชั่วร้าย! หลงเฉิ่งขวงลอยค้างกลางอากาศ ฝ่ามือไพร่เก็บไว้ด้านหลัง เขาอสูรที่ศีรษะเพียงยิงพลังเทพมารออกต่อเนื่องลงสู่พื้นเบื้องล่าง

ฝูงชนที่รับชมต่างตื่นตะลึง ทุกคนที่นี้ย่อมได้ยินเสียง  ตู้ม ตู้ม ตู้ม  ดังต่อเนื่องมันราวกับประสาทรับฟังพวกเขาด้านชา ทุกคนที่นี้ล้วนได้เห็นถึงพลังชวนสะพรึงของหลงเฉิ่งขวง

ทว่าฉินหยุนยังอยู่ที่ตรงนั้น และยังไม่สิ้นชีพ! ฉินหยุนมีกําลังต้านรับมากพอให้ผู้รับชมต้องนึกซึ่งเพราะเขาถึงขั้นสามารถแบกรับการโจมตีหลายครั้งคราได้

กระทั่งเทพมารในร่างหลงเฉิ่งขวงยังพบว่าเรื่องราวเกินเชื่อได้

สุดท้าย หลงเฉิ่งขวงหยุดโจมตี ร่างเคลื่อนลงมาด้วยรัศมีพลังชั่วร้ายอย่างสง่างามบนเวทีประลองยุทธ์ จากนั้นจึงค่อยดูดกลืนพลังที่ฟุ้งกระจายกลับคืนโดยสมบูรณ์

ฉินหยุนนอนกับพื้น ร่างกายของเขามีแต่บาดแผลกระจายทั่ว ทว่าเขาก็ยังพยายามค ลุกคลานลุกขึ้น แต่ขณะเขาคิดตั้งตัวได้ หลงเฉิ่งขวงจึงส่งลูกเตะออกมาคราหนึ่งอย่างรุนแรง

หลงเฉิ่งขวงเคลื่อนที่ในพริบตาตามติดร่างฉินหยุนที่กระเด็นไปพร้อมยกร่างนั้นขึ้นลําคอของฉินหยุนถูกเกาะกุมด้วยแรงบีบจนไม่อาจพูดกล่าว

 เจ้าคิดอยากยอมแพ้งั้นหรือ?  หลงเฉิ่งขวงเผยเสียงหัวเราะชั่วร้าย

ฉินหยุนไม่เคยมีความคิดยอมแพ้ หากไม่อาจสังหารหลงเฉิ่งขวงวันนี้ อีกไม่นานพลังอํานาจของหลงเฉิ่งขวงจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น และถึงตอนนั้น ก็จะไม่มีผู้ใดหยุดยั้งเขาได้อีกต่อไป

อย่างกะทันหัน หลงเฉิ่งขวงรับรู้ถึงตะวันทมินในร่างฉินหยุน เขาทั้งรู้สึกตื่นตะลึงและยินดี

 ไม่แปลกใจที่เจ้าต้านรับการโจมตีข้าได้หลายครั้งเพียงนั้น นี่เองที่เป็นสาเหตุ!  หลงเฉิงขวงกล่าวออกอย่างตื่นเต้นยินดี มือจ้วงแทงเข้าใส่หน้าท้องฉินหยุน คว้าเข้าที่ตะวันทมิฬ ทว่าไม่ อาจนํามันออก

ได้เห็นเรื่องราว เปาเฉิงโจ่วเร่งร้อนตะโกน  เขาคิดนําแก่นเตําลึกล้ําออกมา เร่งรีบหยุด! 

หลงเฉิ่งขวงย่อมทราบ ว่าหากตนเองนําตะวันทมิฬออกมา วันนี้เขาจะไม่มีทางรอดชีวิตพ้นจากที่นี่ ดังนั้นจึงเพียงคว้าจับมันเอาไว้

ชายชราเขตแดนลึกล้ํากล่าวคําเสียงเย็น  นั่นไม่ใช่การนําออกมา เพียงแต่เป็นการคว้าจับ! 

หยางฉีเย่ว์เกิดกังวล นางกระชับมือเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเกาะกุมไว้แน่น เชี่ยวเย่ว์เหมยเองก็มองออกด้วยอาการปวดร้าวในหัวใจ นางคิดอยากออกไปช่วยฉินหยุนเสียเดี๋ยวนี้

หลงเฉิ่งขวงที่คว้าจับตะวันทมิฬของฉินหยุน ฉินหยุนจึงได้ยินเสียงหลิงหยุนเอ๋อตะโกนร้องเจ็บปวด

 วิญญาณเต๋? วิเศษนัก ข้านึกอยากได้สิ่งเช่นนี้มาโดยตลอด คราวนี้มันต้องเป็นของข้า!  หลงเฉิงขวงเผยเสียงแหบห้าวชั่วร้ายดังก้องในจิตใจฉินหยุน

 เสี่ยวหยุน อย่าให้มันเอาข้าไป! ข้าไม่อยากแยกจากเจ้า!  หลิงหยุนเอ๋อร้องตะโกนเจ็บปวดเสียงดัง  ข้าจะเป็นสหายที่ดีต่อเจ้าตลอดไป ต้องไปอยู่กับมัน ข้ายอมตายเสียดีกว่า! 

ฉินหยุนตะโกนโกรธเกรี้ยวดังภายใน  หยุนเอ๋อ… หยุนเอ๋อ… ข้าจะไม่ให้ได้มันนําเจ้าไป! 

หลงเฉิ่งขวงเผยเสียงหัวเราะโฉดชั่วดังก้องในมิติมายาของฉินหยุน  วิญญาณเต่น้อยเอ๋ย เจ้าเป็นของข้าแล้ว! อย่าได้ดิ้นรน หลังได้ติดตามข้า ไม่นานเจ้าก็ลืมเลือนมนุษย์ไร้ค่าผู้นี้แล้ว! มีแต่เทพมารผู้นี้จึงค่อยเหมาะสมกับเจ้า! 

หลิงหยุนเอ้อร้องตะโกนดังด้วยโทสะและความโศกศัลย์  เสี่ยวหยุน อย่าให้ข้าแยกจากเจ้า! ข้าจะอยู่กับเจ้าไปตลอด และข้าไม่คิดติดตามตัวบัดซบนี้! 

หลังจากที่ตะวันทมิฬของฉินหยุนถูกหลงเฉิ่งขวงคว้าจับเอาไว้ มันถูกควบคุมโดยพลังเทพมารอันชวนสะพรึง กระทั่งหลิงหยุนเอ๋อยังถูกควบคุม

ได้ยินเสียงโศกศัลย์ของหลิงหยุนเอ๋อดังสะท้อนไม่หยุด ความโกรธในใจของฉินหยุนยิ่งมากล้นยามที่หลิงหยุนเอ๋อหวาดกลัว เขาก็หวาดกลัวเช่นเดียวกับนาง ยามที่หลิงหยุนเอ๋อโศกศัลย์ เขาก็เศร้าโศกเช่นกัน

ตอนนี้ เขามีทั้งความรู้สึกโกรธแค้นและโศกเศร้าจากจิตของหลิงหยุนเอ๋อ เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกของหลิงหยุนเอ๋อที่มีให้แก่เขา และเขาเองก็ไม่ทราบ ว่าเหตุใดหลิงหยุนเอ๋อจึงปรากฏตัวเป็นวิญ ญาณเต่ของเขา และทําไมนางถึงมีความรู้สึกลึกล้ําให้แก่เขาถึงเพียงนี้

 หยุนเอ๋อ จะไม่มีผู้ใดนําเจ้าไปจากข้าได้ 

ฉินหยุนมองร่างภูติน้อยงดงามของหลิงหยุนเอ๋อ ร่างกายของนางกําลังเลือนหายไปทีละนิดในพริบตานี้ เขาเลือกหยิบยืมพลังของวิญญาณราชสีห์สวรรค์! เดิมเขาผสานวิญญาณราชสีห์สวรรค์เข้ากับกระดูกวิญญาณ ดังนั้นเขาจึงสามารถหยิบยืมพลังวิญญาณราชสีห์สวรรค์ ครั้งหนึ่งเขาเคยหยิบยืมมันมาแล้ว หลังผ่านไปหลายปี การฝึกฝนเขาเพิ่มพูนขึ้นมหาศาล ทว่าตอนนี้เขาต้องหยิบยืมพลังนั้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว

วิญญาณราชสีห์สวรรค์ คือเศษเสี้ยวจิตวิญญาณที่บรรพบุรุษราชสีห์สวรรค์หลงเหลือไว้ พลังภายในของมันย่อมไม่อ่อนด้อยไปกว่าเทพมาร เพราะบรรพบุรุษราชสีห์สวรรค์คือสัตว์เทวะ ผู้ซึ่งสามารถเข้าสู่แดนเทพอ้างว้าง

 เทพมาร เจ้าจงลงนรกไปเสีย!  กรงเล็บราชสีห์สวรรค์ของฉินหยุนปรากฏในพริบตา เข้าตวัดใส่หลงเฉิ่งขวงซึ่งอยู่ตรงหน้า

ร่างกายแข็งแกร่งเลิศล้ําของหลงเฉิ่งขวง เวลานี้ถูกกรงเล็บคมกล้าปะทะหลายครั้งครา

เสียงฉินหยุนคํารามดังใส่ร่างของหลงเฉิ่งขวงที่เริ่มไม่อาจทานทน นี่คือเสียงคํารามสวรรค์แห่งราชสีห์สวรรค์!

คลื่นเสียงนี้มาพร้อมความสามารถเทวะแผ่นดินไหว มันโจมตีใส่พลังของเทพ มารจนแหลกสลายพร้อมทะลักเข้าใส่ร่างของหลงเฉิ่งขวงคิดบดขยี้

หลงเฉิ่งขวงและเทพมารตื่นตะลึงถึงที่สุด ทั้งสองไม่นึกฝัน ว่าฉินหยุนจะยังสามารถระเบิดพลังระดับนี้ออกมาได้

 ข้ายอม.. 

หลงเฉิ่งขวงยังกล่าวไม่ทันครบประโยค ฉินหยุนโจมตีออกด้วยฝ่ามือ เป็นพลังราชสีห์สวรรค์ที่ปลดปล่อยพร้อมฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์!

ฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์ราชสีห์สวรรค์! นอกจากนี้ มันยังปลดปล่อยออกถึงเจ็ดฝ่ามือ!

ตู้ม!

เจ็ดฝ่ามือควบแน่นรวมเป็นหนึ่ง พลังอํานาจฝ่ามือแปรเปลี่ยนเป็นศีรษะราชสีห์สวรรค์พุ่งออกเข้ากลืนกินร่างหลงเฉิ่งขวง เสียงเทพมารแหบห้าวคํารามร้องดังกึกก้อง ผู้คนต่างสะดุ้งนึกหวาดกลัวไม่รู้จบสิ้น

ร่างกายหลงเฉิ่งขวงถูกฉีกกระชากแหลกสลาย ที่หลงเหลือ เป็นเพียงเขาอสูร!

ฉินหยุนเข้าไปคว้าเขาอสูรนั้นขึ้นมา พร้อมสะกดพลังสัตว์สวรรค์ของราชสีห์สวรรค์ที่หยิบยืมมาใส่เข้าไป

 

ตอนที่ 786 : เขาอสูรโทเทม

ข่าวคราวของหลงเฉิ่งขวงที่แข็งแกร่งขึ้น ได้แพร่กระจายไปทั่วต่อผู้คนทั้งเกาะแห่งดาบทั้งเก่าและใหม่ หลายคนต่างคาดเดา ว่าคนของเขตแดนลึกล้ำต้องการเอาชนะฉินหยุนให้จงได้ ดังนั้นพวกเขาจึงทุ่มเทช่วยเหลือหลงเฉิ่งขวงเพิ่มกําลังมหาศาลเช่นนี้

ขั้นตอนการเสริมกําลังให้แก่หลงเฉิ่งขวงสร้างความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ พลังงานอสูรอัดแน่นบนฟากฟ้า จนเป็นผลให้ผู้คนต่างเชื่อ ว่านี่ไม่ใช่การเสริมกําลังอย่างที่ควรจะเป็น

ตามปกติแล้ว การหยิบยืมพลังจากเทพมาร มันย่อมต้องมีการสังเวย และพลังอันน่าสะพรึงเช่นนี้ เครื่องสังเวยย่อมต้องชวนขนลุกตามไปด้วย

หลังได้ทราบว่าฉินหยุนกลับมาจากนครเซียนยุทธภัณฑ์ หยางฉีเย่ว์พร้อมแม่เฒ่าหยุนเหยาจึงเร่งรีบเดินทางมา

 เสี่ยวหยุน หลงเฉิ่งขวงตอนนี้ไม่ใช่คนเดิมเช่นก่อนหน้าแล้ว!  ทันทีที่หยางฉีเย่ว์เข้ามาในห้องรับรอง นางพบเห็นฉินหยุนพร้อมเร่งร้อนออกปาก

 เป็นเช่นนั้น แต่แล้วมันอย่างไร?  ฉินหยุนถามกลับ

 ภายในร่างของมัน มีจิตและวิญญาณมารอันแข็งแกร่งคงอยู่!  หยางฉีเย่ว์เผยสีหน้าหนักอึ้ง  นั่นต้องเป็นเทพมารในตํานานอย่างแน่นอน! 

เปาเฉิงโจ่วกล่าวเสียงลุ่มลึก  เทพมารคงอยู่ทุกหนแห่ง ตราบเท่าที่ยังมีผู้คนซึ่งพร้อมแปรเปลี่ยนเป็นมารร้ายและฝึกฝนเตอสูร พวกเขาเหล่านั้นย่อมเชิดชูบูชาเทพมาร! 

หยางฉีเย่ว์กล่าวเสริม  เสี่ยวหยุน อย่าได้เข้าร่วมต่อแล้ว การคงอยู่ของจิตวิญญาณเทพมารในร่างหลงเฉิ่งขวงยังไม่ตื่นขึ้น แต่หากมันตื่นขึ้นเมื่อใด เป้าหมายของมันย่อมเป็นเจ้า เพราะเทพมารเองก็ต้องการจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาว 

ยามที่หลงเฉิ่งขวงดําเนินพิธีกรรมสังเวย เทพมารย่อมได้อ่านจิตใจของเขา ดังนั้นแล้วเทพมารย่อมได้ทราบ ว่าฉินหยุนครอบครองสองจารึกวิญญาณ เพียงเหตุผลนี้ เทพมารก็ยินดีประทานพลังอันยิ่งใหญ่ พร้อมส่งจิตวิญญาณเศษเสี้ยวลงมาประทับในร่างหลงเฉิ่งขวง ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพื่อที่จะทําให้หลงเฉิ่งขวงได้รับจารึกวิญญาณของฉินหยุน

 พี่หยาง ข้าสามารถเอาชนะมันได้แน่!  ฉินหยุนกําหมัดแน่น  มีจิตและวิญญาณของเทพมารแล้วอย่างไร? เช่นนั้นข้าก็เพียงสังหารเทพ! 

หยางฉีเย่ว์เดิมคิดอยากเกลี้ยกล่อมฉินหยุน ทว่าหลังได้ฟังคํากล่าวอีกฝ่าย นางได้แต่ต้องยอมรับ

 อย่างนั้นเมื่อถึงเวลา เจ้าจงระวังให้มาก  หยางฉีเย่ว์ทราบว่าฉินหยุนแข็งแกร่งยิ่ง กระนั้นนางก็ทราบ ว่ากําลังของหลงเฉิ่งขวงเวลานี้น่าสะพรึงกลัวระดับใด

วันถัดมา งานชุมนุมยุทธ์ดาบได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง

ตั้งแต่รุ่งสาง ฉินหยุนได้ทราบข่าวคราวใหญ่! ศิษย์ตระกูลเจี้ยนทั้งหมดยอมถอนตัวจากการแข่งขัน! กระทั่งเจี้ยนรั่วหยานก็ถอนตัว! นี่เป็นการแสดงให้เห็น ว่าพวกเขาเหล่านั้นหวาดเกรงต่อกําลังของหลงเฉิ่งขวง!

ตระกูลเจี้ยนเดิมเป็นเจ้าภาพงานชุมนุมยุทธ์ดาบ พวกเขาคิดอยากสําแดงพลังอํานาจอันเลิศล้ำให้ผู้คนได้ชื่นชม แต่แล้ว หลงเฉิ่งขวงกลับมีกําลังเพิ่มขึ้นมหาศาลจนขนาดตระกูลเจี้ยนยอมละทิ้งเกียรติ เลือกถอนศิษย์ของตนทั้งหมดออกจากการแข่งขัน!

เดิมมีผู้เข้าร่วมแข่งขันยี่สิบสี่คนในวันนี้ ตอนนี้เหลือเพียงแปดคน ศิษย์ตระกูลเจี้ยน รวมถึงหยางฉีเย่ว์ กระทั่งศิษย์ตระกูลหลง ทั้งหมดล้วนถอยฉาก

ข่าวคราวครั้งนี้ได้สะท้านสะเทือนต่อเกาะแห่งดาบทั้งสอง ผู้คนต่างทราบ ว่าหลงเฉิ่งขวงยังอยู่ที่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำระดับกลาง กระนั้นกลับมีกําลังทัดเทียมราชันยุทธ์ พวกเขาล้วนคาดหวังต่อการแข่งขันที่เกิดขึ้น กระนั้นตอนนี้ หลายคนกลับเลือกถอนตัวจากไป

ฉินหยุนไม่ถอนตัว เขามั่นใจ ว่าแม้หลงเฉิ่งขวงครอบครองพลังของเทพมาร เขาก็ยังสามารถมีชัยชนะเหนืออีกฝ่าย ฉินหยุนมาถึงเวทีประลองยุทธ์ พบเห็นหลงเฉิ่งขวงที่สวมใส่ชุดหรูหราสีทองปักลายมังกร

หน้าผากของอีกฝ่าย มันมีเขาสีดํายื่นยาวออกมา กระนั้น ที่ร่างกายกลับไร้ซึ่งออร่ามาร และท่าทีก็ยังเป็นเช่นก่อนหน้า อหังการ อวดดี และมองเหยียดต่อทุกผู้คน ฉินหยุนไม่พบเห็นว่าหลงเฉิ่งขวงสภาพนี้น่าหวาดกลัวเช่นไร ในสายตาของเขา หลงเฉิ่งขวงแทบไม่ต่างอันใดจากก่อนหน้า

ชายชราร่างอ้วนท้วนจากเขตแดนลึกล้ำพบเห็นฉินหยุนและเปาเฉิงโจ่วปรากฏตัว เขาจึงแสยะยิ้มกล่าวคํา  อย่างน้อยเจ้าก็ยังมา นึกว่าจะหนีไปเสียแล้ว! ฉินหยุน เจ้าไม่ถอนตัว ถือว่ามีความกล้ายิ่งนัก! 

ผู้คนจากเขตแดนลึกล้ำต่างยินดีที่ได้พบเห็นเรื่องราวเป็นเช่นนี้

เจี้ยนสือเทียนกังวลห่วงหาฉินหยุนเช่นกัน กระทั่งเขายังคาดหวังให้ฉินหยุนถอนตัว

 หลงเฉิ่งขวงทําไหล่ข้าได้รับบาดเจ็บ หนี้แค้นครั้งนั้นยังไม่สะสาง ข้าหรือจะถอนตัว?  ฉินหยุนมองทางหลงเฉิ่งขวงพร้อมกล่าวเสียงเย็นเยียบ

ชายชราร่างอ้วนท้วนหันไปกล่าวกับเจี้ยนสือเทียน  จ้าวสํานักดาบ พวกเราเอาอย่างนี้เป็นไร ให้ฉินหยุนและหลงเฉิ่งขวงตัดสินอันดับหนึ่งไปเลย! เพราะผู้เข้าร่วมที่เหลือตอนนี้ ก็มีแต่ฉินหยุนและศิษย์ของฝ่ายเราทั้งสิ้น 

ผู้คนของเขตแดนลึกล้ำร้องขอการจัดรอบสุดท้ายเสียตอนนี้ เรื่องราวดังกล่าว เป็นผลให้หลายคนต้องร้องตะโกนอย่างนึกถึง

 ในเมื่อเจ้าว่าอย่างนั้น ก็ว่าตามนั้น  เจี้ยนสือเทียนกังวลว่าเรื่องราวจะถูกลากถ่วง ถึงตอนนั้นมันจะไม่ดีสําหรับฉินหยุนเอง ผู้ใดกันทราบ ว่าอีกฝ่ายจะมีวิธีการลึกลับใดคงเหลือเพื่อเพิ่มกําลังหลงเฉิ่งขวงอีก!

ผู้คนจากเขตแดนลึกล้ำต่างกังวลด้วยซ้ำว่าฉินหยุนจะหวาดกลัวเผ่นหนี ดังนั้นพวกเขาจึงคิดเริ่มศึกโดยตรงเสียแต่ตรงนี้! อย่างไรแล้ว ก็มีแต่หลงเฉิ่งขวงที่มีศักยภาพมากพอจัดการฉินหยุนได้ หากศิษย์ผู้อื่นของเขตแดนลึกล้ำต่อสู้กับฉินหยุน พวกเขาย่อมต้องตายโดยไม่ต้องสงสัย!

ฉินหยุนและหลงเฉิ่งขวงต่างยืนบทเวทีประลองยุทธ์

เสียงระฆังพลันดังขึ้นอย่างรุนแรง การศึกเริ่มขึ้นแล้ว!

กระนั้น ฉินหยุนและหลงเฉิ่งขวงหาได้ลงมือ เรื่องนี้เป็นผลให้หลายคนเกิดความสงสัยจนร้องตะโกนสบถออก

สาเหตุว่าทําไมฉินหยุนไม่เคลื่อนไหว เพราะเขาสัมผัสได้ถึงพลังที่มองไม่เห็นรอบด้าน มันทําให้เขายากเคลื่อนไหว ดวงตาของหลงเฉิ่งขวงพลันแปรเปลี่ยน มันเผยประกายแสงสีเขียว นี่คือดวงตาที่เผยความโหดเหี้ยมชวนสะพรึง ยามฉินหยุนมองที่ดวงตาหลงเฉิ่งขวง มันราวกับเขาได้เห็นทั้งโลกหล้าที่อัดแน่นด้วยความชั่วร้ายและโหดเหี้ยม

 ฉินหยุน ข้าจะให้โอกาสเจ้า คืนนี้ให้นําหยางฉีเย่ว์มาที่ห้องข้า!  หลงเฉิ่งขวงเผย เสียงแหบห้าว มันราวกับเป็นเสียงคนสองคนที่กล่าวออกพร้อมกัน

ฉินหยุนทราบ ว่านี่คือเสียงของเทพมารที่ครอบงําหลงเฉิ่งขวง

 ฝันไปเถอะ!  ฉินหยุนเผยเสียงกราดเกรี้ยว

 ฉินหยุน หยางฉีเย่ว์ครอบครองร่างศักดิ์สิทธิ์จันทราทมิฬที่หาได้ยากยิ่ง หากเจ้านํานางมาให้ข้าได้ร่วมสนุก เช่นนั้นข้าจะมอบพลังเทพมารให้แก่เจ้า และเจ้าจะได้เป็นผู้ที่เลิศล้ำกว่าทุกสรรพสิ่งในแดนวิญญาณอ้างว้างแห่งนี้!  หลงเฉิ่งขวงเผยรอยยิ้มชั่วร้าย

ฉินหยุนกําหมัดแน่น น้ำเสียงนี้มีแต่ความพิโรธโกรธแค้น  เจ้ามีเจตนาร้ายต่อพี่หยาง ข้าย่อมไม่สนว่าเจ้าเป็นเทพมารหรือภูตผี เพียงทราบว่าต้องกําจัดเจ้า! 

 ฉินหยุน เจ้าไม่ได้ดีดังเช่นที่เห็น ข้าสัมผัสได้ถึงพลังอสูรอันชั่วร้ายในกายเจ้า เป็นตัวเจ้าที่วางแผนกับตนเอง คิดเก็บหยางฉีเย่ว์ไว้ให้ตนเองหรือไม่ใช่?  หลงเฉิ่งขวงแสยะยิ้ม  จงเชื่อข้า เจ้าไม่อาจได้รับอันใดจากร่างของหยางฉีเย่ว์ ส่งมอบมันให้แก่ข้า แล้วเจ้าจะได้รับพลังเทพมารอันเลิศล้ำไปครอง! 

หลงเฉิ่งขวงกล่าวคําจบ สายฟ้าอสนีบาตสีดําจึงร่วงหล่นลงมา มันนําพามาพร้อมออร่าชั่วร้ายชวนสะพรึง หลังจากที่พลังชั่วร้ายปรากฏอย่างกะทันหัน ทั้งเวทีประลองกลับกลายเป็นสันสะเทือนรุนแรง ราวกับม่านพลังของเวทีประลองพร้อมจะแตกออกได้ทุกเมื่อ

 เจ้าควรหยุดฝันเฟื่องได้แล้ว! 

ฉินหยุนเกิดหวาดกลัวต่อพลังชั่วร้ายอันรุนแรงที่หลงเฉิ่งขวงปล่อยออกมา ทว่า ความโกรธของเขาก็แทบไร้ก้นบึง ความหวาดกลัวที่เกาะกุมมันแทบไม่มีผลอันใดต่อเขาแล้ว

ฟู ฟู ฟู!

ร่างกายของฉินหยุนเริ่มมีมวลอากาศสั่นไหวปรากฏโดยรอบ พลังชั่วร้ายซึ่งอยู่รอบกายเขา พวกมันเริ่มสลายไปทีละน้อย

 ฉินหยุน ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว เป็นเจ้าไม่คิดรับ เช่นนั้นก็อย่าได้ร้องขอความเมตตาจากข้า! 

หลงเฉิ่งขวงหัวเราะเย็นเยียบ  อย่าได้กังวล ข้าจะผนึกจิตวิญญาณเจ้าเอาไว้ เพื่อให้เจ้าได้รับชม ว่าข้าจะสําราญกับร่างศักดิ์สิทธิ์จันทราทมิฬอย่างไร ฮ่าฮ่าฮ่า! 

 ตัวบัดซบ ข้าจะฉีกเจ้าออกเป็นชิ้น! เทพมารงั้นหรือ? ไม่ช้าหรอก ข้าจะหาร่างหลักของเจ้าพร้อมทําลายให้สิ้นซาก! 

ความโกรธในใจฉินหยุนที่สุมอัดเกิดเดือดพล่าน! วิญญาณยุทธ์แห่งความเที่ยงธรรมซึ่งอยู่ในตะวันทมิฬพลันพิโรธคํารามร้อง มันปลดปล่อยพลังแห่งความเที่ยงธรรมออกมา!

พลังชั่วร้ายที่หลงเฉิ่งขวงปลดปล่อยไว้รอบด้าน เวลานี้ถูกสลายหายหมดสิ้น ฉินหยุนลงมือเคลื่อนไหวแล้ว! หลงเฉิ่งขวงเกิดหวาดกลัวต่อพลังแห่งความเที่ยงธรรมที่ฉินหยุนปลดปล่อยจากร่างฝีเท้านั้นก้าวถอย

 เจ้า… นี่เจ้าเป็นขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำระดับกลาง? 

หลงเฉิ่งขวงพบว่าเรื่องราวยากเกินเชื่อได้ ฉินหยุนเพิ่งก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ กระนั้นเวลานี้กลับอยู่ระดับกลาง ความเร็วการเลื่อนระดับเช่นนี้ แม้กระทั่งในเขตแดนลึกล้ำก็แทบไม่อาจเป็นไปได้

 ดี ดี วิเศษนัก… เช่นนั้นวันนี้ ข้าจะชิงจารึกวิญญาณจากเจ้า! วันนี้ ข้าจะจัดพิธีศพและฝังเจ้าไว้ที่นี่! ไม่ว่าพรสวรรค์เจ้ามากล้นเพียงใด หลังเจ้าตาย มันก็เป็นได้เพียงเศษธุลี! 

ร่างกายหลงเฉิ่งขวงพลันขยายตัวพร้อมปรากฏเกล็ดสีดํา เหล่านี้คือเกล็ดมังกรชั่วร้ายที่ชวนตระการตา มันพร้อมทําให้ผู้พบเห็นเกิดความหวาดกลัว เวลานี้ กลุ่มก้อนพลังงานสีดําเริ่มปรากฏเด่นชัด

 เสี่ยวหยุน  หยางฉีเย่ว์กําหมัดของนางไว้แน่น เพราะนางกําลังห่วงหาฉินหยุนเป็นอย่างยิ่ง

เวลานี้ฝูงชนที่รับชมต่างได้เห็น ว่าหลงเฉิ่งขวงเกิดความผิดปกติขึ้นอย่างรุนแรง กระนั้นผู้คนของเขตแดนลึกล้ำกลับยินดีไม่รู้จบ พวกเขาทราบดีว่านี้หมายความถึงมีเศษเสี้ยวจิตวิญญาณเทพมารในกายของหลงเฉิ่งขวง นี่ถือเป็นการที่เทพมารได้เลือกแล้ว! ที่น่าสะพรึงกลัวกว่านั้น คือเขาที่ศีรษะของหลงเฉิ่งขวง มันทั้งยาวขึ้น และใหญ่มากยิ่งขึ้นทั้งยังมีอักขระจํานวนมากปรากฏ!

 เป็นโทเทมมารอสูร!  อาจารย์จารึกตระกูลเจี้ยนเผยดวงตาเป็นประกายประหนึ่งคบเพลิงสายตาของเขาจับจ้องที่สายฟ้าสีดําซึ่งถูกยิงออกจากเขาใหญ่ น้ำเสียงของเขาอัดแน่นด้วยความตื่นตะลึง

 เป็นโทเทมระดับเต๋า! 

 เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับหลงเฉิ่งขวงได้อย่างไรกัน? 

 เขาฝึกฝนโทเทมมารอสูรจิ้นหรือ? 

กระทั่งว่าเป็นอาจารย์จารึกเตที่มีชื่อเสียงเลิศล้ำ ยังต้องริษยาปรารถนาต่อโทเทมเต๋าอสูรเช่นนี้!

การแปรเปลี่ยนร่างของหลงเฉิ่งขวงอย่างกะทันหัน เป็นผลให้บรรดาผู้ชมโห่ร้องอย่างเดือดพล่านพร้อมตะโกนดัง!

กระนั้นสิ่งที่พวกเขาไม่ทราบ ก็คือหลงเฉิ่งขวงเป็นร่างจําแลงของเทพมาร!

ฉินหยุนเวลานี้โจมตีออกด้วยฝ่ามือมังกรสมบูรณ์ กระนั้นเกล็ดมังกรสีดําเหล่านั้นกลับสะท้าน สลัดการโจมตีพ้น

 ฉินหยุน จงรับความตาย! 

น้ำเสียงหลงเฉิ่งขวงแหบห้าว เขาใหญ่ที่หน้าผากฉับพลันยิ่งเอาลําแสงสีดําออกและทะลวงเข้าใส่หน้าอกฉินหยุนในพริบตา!

 อึก!  ฉินหยุนรับแรงปะทะรวดร้าวพร้อมร่างกระเด็น

หลงเฉิ่งขวงเร่งรีบทะยานร่างตามติด ฝ่ามือเสื้อขึ้นสับฟันลงที่ลําคอของฉินหยุน

ฉินหยุนที่ร่างกระเด็นลิว ฉับพลันได้พลิกกลับพร้อมหลบเลี้ยงกรงเล็บสีดําขนาดใหญ่ที่พุ่งเข้ามา! พร้อมกันนี้ เขายังเผยเสียงคํารามราชสีห์สวรรค์ แขนข้างหนึ่งแปรเปลี่ยนเป็นกรงเล็บใหญ่พร้อมประกายแสงเปรียบดังเกล็ดน้ำแข็งต้องแสงอาทิตย์ สิ่งนี้คือกรงเล็บราชสีห์สวรรค์!

ฉัวะ!

กรงเล็บฉินหยุนตวัดออก ฝากทิ้งรอยแผลกรงเล็บไว้ที่เกล็ดสีดําบนร่างของหลงเฉิ่งขวง หลังจากที่ฉินหยุนเผยกรงเล็บราชสีห์สวรรค์ นี่ไม่ใช่ภาพจําแลงอีกต่อไป ทว่าเป็นกรงเล็บราชสีห์ของจริง! มันเปรียบดังอาวุธที่คมกล้า!

ได้เห็นฉินหยุนเผยกรงเล็บออก หลายคนต่างคิดว่าเขานําอาวุธออกมา ทว่าจากที่เห็นพวกเขาค่อยตระหนักได้ว่าสิ่งนั้นคือวิชายุทธ์โทเทมราชสีห์สวรรค์ มันคือโทเทมโบราณที่สูญหายและผู้ที่เชี่ยวชาญวิชายุทธ์โทเทมราชสีห์สวรรค์ กล่าวได้ว่าไม่เคยมีมาก่อน!

เกล็ดของหลงเฉิ่งขวงครานี้ถูกทําลาย กระนั้นก็ฟื้นคืนกลับรวดเร็ว ตัวเขาแตกตื่น เขาไม่คิดว่ามนุษย์ตัวจ้อยจากแดนวิญญาณอ้างว้าง จะถึงขั้นสามารถเชี่ยวชาญพลังสัตว์สวรรค์ระดับชวนสะพรึงนี้ได้

 

ตอนที่ 785 : เข็มผนึกวิญญาณเก้าสมบูรณ์

ฉินหยุนที่ได้เห็นกล่องยาวสีดํา ตัวเขาเวลานี้ตื่นเต้น เพราะนั่นคือวัตถุลึกลับซึ่งคงอยู่ในไข่มุกเม็ดที่สาม

เดิม มารดาของเซี่ยฉีโหรว หมัวจีได้หลงเหลือสิ่งนี้ไว้ในวิญญาณเทวะเก้าตะวัน พวกมันเดิมเป็นสิ่งที่ไว้ช่วยให้เซี่ยฉีโหรวได้แข็งแกร่งขึ้น ภายหลัง เซี่ยฉีโหรวมอบวิญญาณเทวะเก้าตะวันให้แก่ฉินหยุน

 มันคืออะไรกัน?  ฉินหยุนถามพลางเดินเข้าหา เขายื่นมือออกคิดสัมผัส ทว่าสายตาจับจ้องของเหยาเฟิงทําให้เขาต้องชักมือกลับ

ทันใดนี้ สระเซียนพลันมีปฏิกิริยา ปิงชิงโผล่พรวดออกจากสระเซียนลงมาที่พื้น ชุดขาวงดงามดังหิมะของนางพลิ้วไหวกับอากาศร่วมกับพลังงานเซียนสีขาว นางเป็นโฉมงามแห่งโลกหล้าที่บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ และสูงศักดิ์

ได้เห็นปิงชิง เหยาเฟิงรู้สึกปวดร้าวภายใน เพราะหลังจากที่นางโดนสาปจนอัปลักษณ์เช่นนี้มันทําให้นางไม่อาจเทียบเปรียบอีกฝ่าย นางได้แต่ก้มหน้ามองลงพื้น

ฉินหยุนพบเห็นสีหน้าเหยาเฟิงย่ำแย่ เขารู้สึกปวดใจไม่แพ้ผู้ใด เขาก้าวเดินไปสัมผัสที่ไหล่ของเหยาเฟิงพร้อมกล่าวเสียงเบา  พี่สาวเหยาเฟิง ทุกสิ่งอย่างจะต้องดีขึ้น 

เวลานี้ เหยาเฟิงที่เกลียดชังฉินหยุนในชาติภพก่อน หาได้แสดงออกเช่นกาลก่อน ปิงชิงเมื่อครู่อยู่ที่ต้นกําเนิดเซียนเบื้องล่างสระเซียน นางสัมผัสได้ถึงออร่าทรงพลังอํานาจจึงออกมาหลังได้เห็นเหยาเฟิง คิ้วของนางขมวด นางครั้งหนึ่งเคยถูกฉินหยุนถามเรื่องเหยาเฟิง และตอนนี้ในที่สุดนางก็ได้พบกับเหยาเฟิง

 เป็นเจ้า! 

ปิงชิงตอนนี้จดจําได้แล้วว่าเหยาเฟิงคือผู้ใด

 ปิงชิง ดูเหมือนเจ้าจะดียิ่งกว่าข้านัก!  เหยาเฟิงกล่าวคําจบ จึงหันมองทางฉินหยุน

 ใช่ ข้าย่อมดีกว่าเจ้า  ชิงชิงถอนหายใจหนักและยาว นางกล่าว  ข้าไม่คิดเลย ว่าชายคนนั้นจะทําให้เจ้าต้องถูกคําสาปของจอมจักรพรรดิอสูรเซียนเช่นนี้! 

ฉินหยุนพลันไหวไหล่ สีหน้าของเขาไม่รู้ว่าควรเผยอันใดดีแล้ว

เหยาเฟิงกล่าว  เรื่องนั้นช่างมันก่อน ข้าต้องการช่วยเหลือชายคนนี้ให้แข็งแกร่ง ข้าต้องให้เจ้าช่วย เช่นนี้จะได้มีเสถียรภาพยิ่งขึ้น เขาฝึกฝนร่างเซียนอสูร ดังนั้นจึงเกรงว่าเพียงข้าจะไม่อาจทําให้เรื่องราวราบลื่นได้! 

ปิงชิงมองกล่องและจึงถาม  ไม่เกลียดชังเขาแล้วหรือ? 

 เกลียดชังเขาแล้วข้าได้อะไร? ตอนนี้ข้าได้แต่ไว้ใจฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเขา!  เหยาเฟิงจ้องมองฉินหยุนพร้อมถอนหายใจยาว

 แล้วนี่เจ้ามากับเขาได้อย่างไร?  ปิงชิงถามอีกครั้ง นางจําได้ ว่าฉินหยุนเคยบอกว่าพบเจอเหยาเฟิงในความฝัน

 นานมาแล้ว เสี่ยวโหรวฝากของสิ่งหนึ่งไว้กับเขา เป็นข้าถูกผนึกไว้ภายในนั้น และตอนนี้จึงออกมาได้  เหยาเฟิงกล่าว  พวกต้องช่วยเขาให้เลื่อนระดับพลัง เขาจะต้องไปสู้กับผู้ที่บูชายัญเรียกพลังจากเทพมาร! 

 แล้วจะช่วยเขาอย่างไร?  ปิงชิงถาม

 ข้าได้พูดคุยกับเขาแล้ว ได้ยินว่าเจ้ามีบรรทมเซียนตะวันจันทราที่นี่ใช่หรือไม่?  เหยาเฟิงถาม

ปิงชิงพยักหน้ารับ

ไม่นานจากนั้น ฉินหยุน ปิงชิง และเหยาเฟิงจึงมาถึงที่ก้นบึงสระเซียน ฉินหยุนเร่งรีบนอนลงบนบรรทมเซียนตะวันจันทรา เหยาเฟิงเปิดกล่องออกมา ภายในเป็นเข็มเก้าเล่ม ทว่ามันใหญ่ไม่ต่างอะไรกับตะเกียบ

ฉินหยุนพลันลุกขึ้นนั่ง สายตามองเข็มทั้งเก้าเล่มพร้อมร้องถาม  พี่สาวเหยาเฟิง นั่นบ้าอะไร? 

 เข็มผนึกวิญญาณเก้าสมบูรณ์!  ดวงตาของปิงชิงทอประกายตื่นตระหนก

ฉินหยุนอดไม่ได้ที่จะเกิดความเย็นวาบในหัวใจ เขารู้สึกว่าเข็มทั้งเก้าเล่มนั้นมันพร้อมจะทิ่มแทงทรมานตัวเขา!

 นอนลงและอยู่ให้นิ่ง!  เหยาเฟิงร้องโพล่งบอก

ฉินหยุนที่นอนลงแล้ว เขาเกิดอาการร้อนรนจึงเอ่ยถาม  พี่สาวเหยาเฟิง ท่านคิดทิ่มแทงเข็มทั้งเก้าเล่มนั้นใส่ตัวข้าหรือ? 

เหยาเฟิงจึงแค่นเสียง  ด้วยกําลังเจ้าตอนนี้ ย่อมไม่มีทางทนทา นรับการแทงของเข็มทั้งเก้าได้! 

 แล้วเข็มผนึกวิญญาณเก้าสมบูรณ์นี้คืออะไร? มันสามารถทําให้ข้าแข็งแกร่งได้จริงหรือ? 

หลังจากที่ฉินหยุนได้เห็นเหยาเฟิงนําเข็มออกมาเล่มหนึ่ง ตระเตรียมทุ่มเข้าใส่ เขาจึงต้องสูดอากาศเย็นเยือกเข้าจนเต็มปอด

ปิงชิงอธิบาย  มันสามารถผนึกจิตวิญญาณเจ้า ทําให้การเชื่อมต่อระหว่างจิตวิญญาณและร่างกายแยกออกจากกัน เช่นนี้ พวกเราจะสามารถถ่ายเทพลังงานเข้าสู่แก่นเต๋ของเจ้าโดยตรง เพื่อทําให้แก่นเต๋ของเจ้าเลื่อนระดับได้! 

 หากพวกเราไม่ทําการผนึกจิตวิญญาณ เช่นนั้นจิตวิญญาณของเจ้าจะปฏิเสธพลังที่พวกเราถ่ายเทเข้าไปจนไม่อาจดําเนินต่อ นอกจากนี้ วิธีการนี้ยังมีอันตรายอีกหลายทางจากปฏิกิริยาตอบสนอง ทั้งยังต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะปรับตัวและทําการขัดเกลาพลังอีกครั้งหนึ่งได้ 

 ด้วยเข็มผนึกวิญญาณเก้าสมบูรณ์นี้ พวกเราจะผนึกจิตวิญญาณเจ้า และทําการถ่ายเทพลังต่อเนื่องสู่แก่นเต๋า ทําให้มันสามารถขัดเกลาพลังงานได้อย่างรวดเร็ว และสุดท้ายจึงทําให้เจ้าเลื่อนระดับพลังได้ 

ได้ยินคํากล่าวเหล่านี้ ฉินหยุนรู้สึกหวาดกลัวจับใจ เพราะขั้นตอนคือเขาต้องหมดสิ้นสติไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง เข็มในมือของเหยาเฟิง ฉับพลันนี้จึงแทงเข้าใส่ศีรษะฉินหยุนในพริบตา ฉินหยุนเข้าสู่สภาวะแปลกประหลาด ตัวเขาขาดการรับรู้ใดจากร่างกาย ตอนนี้เขาได้เพียงแต่อาศัยอยู่ ภายในโลกมายาพร้อมกับหลิงหยุนเอ๋อ

 หยุนเอ๋อ เจ้าทราบหรือไม่ว่าภายนอกเกิดอันใดขึ้น?  ฉินหยุนกล่าวถาม

 ข้าไม่ทราบ ข้าเองก็ถูกผนึกไว้กับเจ้า! เหตุใดจึงต้องกลัว? พี่สาวปิงชิงเอารัดเอาเปรียบต่อเจ้าหลายครั้งคราแล้ว อีกสักหลายครั้งจะเป็นไรไป?  หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะดัง

หลังจากที่ร่างกายและจิตวิญญาณของฉินหยุนแยกออกจากกันเป็นเวลาสามวัน ท้ายที่สุดเขาค่อยฟื้นคืนสติกลับมาได้ เขาลืมตาขึ้นพร้อมได้เห็นปิงชิงและเหยาเฟิง ตัวเหยาเฟิงตอนนี้กําลังเก็บเข็มกลับใส่กล่อง

ฉินหยุนรู้สึกประหลาดจนต้องถามออก  นี่ข้าเลื่อนระดับแล้ว? 

เหยาเฟิงกล่าว  เจ้าตอนนี้อยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำระดับกลางแล้ว ทว่าเจ้าเพิ่งก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำไม่นานมานี้ และตอนนี้ยังเลื่อนระดับอีกครั้ง ข้าไม่ทราบว่าเรื่องนี้จะส่งผลใดในภายหลังหรือไม่ 

ฉินหยุนรับรู้ถึงตะวันทมิฬตนเองได้อีกครั้ง เขาได้ทราบ ว่าตะวันทมิฬมันไม่ได้ปลดปล่อยแสงสีดําออกมาอีก และพลังเต๋าลึกล้ำก็แข็งแกร่งมากขึ้น แก่นเตําลึกล้ำที่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำระดับกลาง มันสามารถปลดปล่อยพลังอันคมกล้าออกมาเพื่อทําให้พลังเต๋าลึกล้ำแข็งแกร่งขึ้น

หากคิดอยากตรวจสอบว่าตนเองอยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำระดับกลางหรือไม่ ก็จําเป็นต้องใช้พลังจิตเพื่อตรวจสอบออร่า และหากสัมผัสได้ถึงความรู้สึกคมกล้า เช่นนั้นจึงเป็นขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำระดับกลางที่แท้จริง

 ข้าเลื่อนระดับพลังแล้ว!  ฉินหยุนแทบไม่อาจเชื่อ เพราะระหว่างกระบวนการตัวเขาไม่ทราบอะไรเลย

ปิงชิงกล่าว  ฉินหยุน เข็มผนึกวิญญาณเก้าสมบูรณ์ไม่อาจใช้งานซ้ำได้ เจ้าควรต้องตั้งใจกว่านี้และอย่าได้ทําให้จิตวิญญาณได้รับบาดเจ็บรุนแรง! 

เหยาเฟิงถึงตรงนี้จึงกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงเข้มงวด  เมื่อครู่จิตวิญญาณของเจ้าแยกออกจากร่าง ดังนั้นแล้วเมื่อใดจิตวิญญาณและร่างกายเชื่อมต่ออีกครั้งหนึ่ง มันย่อมต้องมีแผลเป็นปรากฏที่การเชื่อมต่อระหว่างพวกมันทั้งสอง หากจิตวิญญาณเจ้าได้รับความเสียหายหนักหนาซ้ำเติม เช่นนั้นมันอาจหลุดจากร่าง พร้อมลอยล่องไปอย่างไร้ทิศทาง! 

ได้ยินเช่นนี้ ฉินหยุนตระหนกพร้อมจดจํา เขาถึงขั้นจินตนาการสภาพจิตวิญญาณของตนเองที่สูญเสียการควบคุมหลุดลอยหาย มันทําเขาเอาหวาดกลัวขึ้นมา

ตอนนี้เขาได้ทราบกระจ่างแล้ว ว่าเหตุใดเข็มผนึกวิญญาณเก้าสมบูรณ์จึงไม่อาจใช้งานซ้ำ นั่นก็เพราะมันจะทําให้เกิดแผลที่การเชื่อมต่อระหว่างกายและจิตวิญญาณ และยิ่งมีแผลเป็นมาก มันก็ยิ่งเชื่อมต่อกันได้ยากมากขึ้น

 วางใจ หลังเจ้าฟื้นตัวให้ดี ผ่านไประยะเวลาหนึ่ง เจ้าก็สามารถใช้งานมันได้อีกครั้ง!  เหยาเฟิงกล่าว

ใช้งานได้หลังผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง นั่นหมายความถึงเขาสามารถเลื่อนระดับพลังได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น นี่ถือเป็นเรื่องดี!

ปิงชิงกล่าว  เข็มผนึกวิญญาณเก้าตะวันยังเป็นอาวุธที่ดีเยี่ยมเช่นกัน! แต่ดีที่สุดคืออย่าได้ใช้มันโดยขาดความระวัง หากหายไปเพิ่มหนึ่ง ทั้งชุดก็ไร้ค่าให้ใช้งานแล้ว! 

เหยาเฟิงถือกล่องไว้แน่น นางเกรงว่าฉินหยุนจะนําไปใช้งานต่อสู้ น้ำเสียงเย็นเยือกกล่าวออก  ฉินหยุน หากเจ้าคิดอยากใช้มันในฐานะอาวุธ เมื่อใดถึงเวลา ข้าจะให้เจ้าหยิบยืมเอง ทว่านั่นก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย! 

 ตอนนี้ข้าเพียงคิดไปตําหนักเซียนดาบแล้ว!  ฉินหยุนลอบสัมผัสถึงพลังเต๋าลึกล้ำของตนเอง มันทําให้เขารู้สึกพึงพอใจยิ่ง

 พี่เหยาเฟิง ท่านอย่าได้ใส่ใจสภาพในเวลานี้เลย ภายหน้าย่อมต้องดีขึ้นแน่  ได้เห็นเหยาเฟิงคิดจากไป ปิงชิงจึงเข้ามากล่าวปลอบประโลม

 เสี่ยวชิง เจ้าต้องสงบใจเอาไว้ ฟื้นคืนกําลังเจ้าให้ถึงขีดสูงสุดในที่นี้ ถึงตอนนั้นค่อยไปยังแดนเซียนอ้างว้าง  เหยาเฟิงพยักหน้ารับ ก่อนจะกลับเข้าสู่ไข่มุกเม็ดที่สามของวิญญาณเทวะเก้าตะวัน

จากบทสนทนา ฉินหยุนจึงได้ตระหนัก ว่าสถานะของเหยาเฟิงค่อนข้างสูงไม่ใช่น้อย

 พี่สาวปิงชิง เหยาเฟิงคือผู้ใดกัน?  ฉินหยุนกล่าวถาม

 อย่าได้ถามแล้ว เจ้าไปเข้าร่วมงานชุมนุมยุทธ์ดาบเสีย!  ปิงชิงกล่าวคําจบ นางจึงทะยานร่างขึ้นจากสระเซียนพร้อมฉินหยุน

ฉินหยุนเก็บงําอาการหดหูไว้ในใจ จากนั้นจึงก้าวเดินออกจากตําหนักพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์เพื่อไปพบเปาเฉิงโจ่ว หลังพบเจออีกฝ่าย พวกเขาจึงเริ่มมุ่งหน้าเดินทางสู่เกาะแห่งดาบ เพราะฉินหยุนฝึกฝนตะวันทมิฬแทนที่จะเป็นแก่นเต๋าลึกล้ำ พละกําลังของเขาจึงไม่มีทางง่ายพบเห็น แม้เปาเฉิงโจ่วพยายามสํารวจค้นหา เขาก็ยังไม่อาจได้พบอันใด

ระหว่างทาง ฉินหยุนส่งเสียงสื่อสารหาเหยาเฟิงที่อยู่ภายในไข่มุกเม็ดที่สามของวิญญาณเทวะเก้าตะวัน  พี่สาวเหยาเฟิง ระหว่างที่ข้าหมดสติ พี่สาวปิงชิงได้ทําอื่นใดหรือไม่? 

 อื่นใดอันใดที่นางจะทํา? พวกเราทั้งสองใช้เวลาทั้งสามวันเสริมพลังให้แก่ตะวันทมิฬของเจ้า พวกเราถ่ายเทพลังไปจนกระทั่งมันเกิดแปรเปลี่ยนขึ้นมา  เหยาเฟิงกล่าว

 เอ่อ… อย่างนั้นก็ดีแล้ว!  ฉินหยุนถอนหายใจโล่งอก

รัศมีสองล้ำรอบเกาะแห่งดาบที่สอง มันปกคลุมด้วยมวลเมฆสีแดงม่วง ทั้งพื้นที่กลับกลายเต็มไปด้วยออร่าอสูรร้าย

 พวกคนของเขตแดนลึกล้ำ นี่พวกมันไปยังเขตแดนลึกล้ำอสูรอ้างว้างเพื่อเรียนรู้วิชานี้มาหรือไร? เหตุใดพวกมันจึงทราบเต๋อสูรที่ชั่วร้ายเพียงนี้กัน?  หลังเปาเฉิงโฉ่วมาถึง สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนและกล่าว  ฉินหยุน เจ้ายอมรับความพ่ายแพ้ต่อมันและยอมกล้ำกลืนเป็นไร? 

 ข้าย่อมไม่ทําแน่! 

ฉินหยุนเวลานี้มั่นใจในกําลังตนเองเป็นอย่างยิ่ง และต่อให้ไม่ใช่ เขาก็ไม่มีทางคิดยอมแพ้!

เปาเฉิงโฉ่วนำฉินหยุนกลับสู่คฤหาสน์เซียนดาบซึ่งตั้งภายในค่ายอาคมเจ็ดดาบอันยิ่งใหญ่ ในสวนซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของคฤหาสน์เซียนดาบ อู่ปินอและเจี้ยนหลิงหลงกําลังนั่งรอคอยด้วยสีหน้าหนักอึ้ง

เจี้ยนรั่วหยานพบเห็นฉินหยุนกลับมาจึงเร่งรีบเดินเข้าหา นางกล่าวเสียงเบา  พี่หยุน ข่าวใหญ่! 

 ข่าวใหญ่อันใด?  เปาเฉิงโฉ่วเร่งร้อนเอ่ยถาม

 หลงเฉิ่งขวงกลายเป็นคนละคนไปแล้ว ที่ศีรษะอีกฝ่ายเวลานี้ มันมีเขางอกออกมา!  เชี่ยวเย่ว์เหม่ยนําเอากล้วยออกมา ก่อนจะทําท่าปักที่หน้าผากพร้อมกล่าว  อย่างนี้! 

ฉินหยุนที่ได้เห็นจึงหัวเราะ  เย่ว์เหม่ย อย่าได้ไปทําเช่นนี้ต่อหน้าหลงเฉิ่งขวงแล้ว เดี๋ยวจะกลายเป็นเจ้ากระตุ้นโทสะมันเข้า! 

เจี้ยนหลิงหลงกล่าว  เป็นเขาอสูรในตํานาน! หลังหลงเฉิ่งขวงมีเขาอสูรนี้ กําลังของมันจึงเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ตามรายงานที่ได้รับมา กระทั่งราชันยุทธ์ก็ไม่อาจเอาชนะมันได้! 

เจี้ยนรั่วหยานกล่าว  พี่หยุน พี่หยางกล่าวว่าเมื่อใดท่านกลับมาแล้ว ให้รีบไปเก็บตัวเงียบโดยทันที! 

 เหตุใดข้าจึงต้องทําเช่นนั้น?  ฉินหยุนเบะปากกล่าวคํา  ข้าย่อมต้องเอาชนะมันได้! 

 

ตอนที่ 784 : บูชายัญเทพมาร

หลังได้ยินน้ำเสียงที่มีแต่ความไม่พอใจของฉินหยุน เซี่ยฉีโหรวจึงอดไม่ได้ที่เผยเสียงหัวเราะเบา  เสียวหยุน บางที่เหยาเฟิงอาจเพียงทําเช่นนั้นเพื่อจงใจทําให้เจ้ากังวล! เจ้าควรอดทนอีกสักหน่อย ไม่ใช่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าและนางดีขึ้นกว่าก่อนหน้าแล้วหรือไร? 

 เป็นข้าไม่ทราบเรื่องใดของนางด้วยซ้ำ!  ฉินหยุนเองก็คิด ว่าความสัมพันธ์ของตนตอนนี้กับเหยาเฟิงค่อนข้างดี

หลายครั้งครา นางช่วยเหลือเขาโดยไม่อิดออด กระนั้นยามที่เอ่ยถึงสิ่งของภายในไข่มุกเม็ดที่สาม ผู้ใดกันทราบว่านางจะกล่าววาจาเลื่อนลอยอย่าง  รอโอกาสไปก่อน  หรือ  เจ้ายังไม่แข็งแกร่งพอ  หรือ  เวลานี้ยังไม่ใช่  อะไรทํานองนั้น

 พี่ฉีโหรว อย่าได้พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ท่านลองคาดเดา ว่าที่เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬข้าได้รับอันใดมา!  ฉินหยุนกล่าวคําอย่างลึกลับ

 ไม่ใช่จันทราทมิฬหรือ?  เซี่ยฉีโหรวจําได้ ว่าฉินหยุนได้รับจันทราทมิฬ

 ไม่ใช่! เป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณปรโลก!  ฉินหยุนยิ้มกล่าว

 โอ้! กระบี่ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณปรโลกของจอมจักรพรรดิปรโลก!  เซี่ยฉีโหรวเผยน้ำเสียงนึกทึ่ง

จากนั้นฉินหยุนจึงบอกเล่าเรื่องราวให้เซี่ยฉีโหรวได้ฟัง

 ชัดเจนว่าจอมจักรพรรดิปรโลกยังไม่ตาย! เสี่ยวหยุน เจ้าสามารถใช้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณปรโลกเพื่อหาตัวจอมจักรพรรดิปรโลกได้!  เซี่ยฉีโหรวกล่าว  จอมจักรพรรดิปรโลกโดนล่อลวงโดยอีกสองจอมจักรพรรดิ เขาต้องโกรธแค้นเป็นล้นพ้นแน่ และเขาต้องอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเราในภายหน้าอย่างแน่นอน! 

 ใช่ ข้าเองก็คิดพยายามเพื่อหาตัวจอมจักรพรรดิปรโลกเช่นกัน  ฉินหยุนกล่าว

ไม่นาน ฉินหยุนจึงบอกถึงสถานะการฝึกฝนตอนนี้ของตนเองต่อเซี่ยฉีโหรว

เซี่ยฉีโหรวที่ได้รับฟัง นางหัวเราะยินดีกล่าวคํา  เสี่ยวหยุน เจ้าไม่ต้องกังวลใดไป เมื่อเจ้าฝึกฝน ปล่อยให้ธรรมชาติเป็นไป เจ้าฝึกฝนร่างเซียนอสูร นับแต่นี้ทุกสิ่งจะยิ่งมั่นคงและเหมาะสมยามเมื่อถึงเวลาเลื่อนระดับ มันมีแต่จะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น 

 พี่ฉีโหรว ท่านเคยกล่าว ว่าหลังข้าก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ ท่านมีเรื่องให้ข้าไปทํา นั่นคืออันใดกัน?  ฉินหยุนกล่าวถาม

 มันคือการค้นหาวิญญาณตะวันทมิฬ! เก้าตะวันย่อมมีเก้าวิญญาณและเก้าจิตวิญญาณ เช่นเดียวกัน ตะวันทมิฬย่อมต้องมีเก้าวิญญาณและเก้าจิตวิญญาณ!  เซี่ยฉีโหรวอย่างจริงจัง

 วิญญาณ คือสิ่งที่สามารถออกจากร่าง และจิตวิญญาณ คือสิ่งที่ต้องคงอยู่แต่ในร่าง 

 แล้วเก้าวิญญาณและเก้าจิตวิญญาณของตะวันทมิฬอยู่ที่ใดกัน?  ฉินหยุนเอ่ยถามด้วยอาการตื่นเต้น

 ข้าเพียงทราบ ว่าเก้าจิตวิญญาณตะวันทมิฬได้ถูกใช้เพื่อสร้างเป็นวิญญาณเทวะเก้าหยินขณะที่เก่าวิญญาณตะวันทมิฬได้ร่วงหล่นสู่เก้าแดนอ้างว้าง  เซี่ยฉีโหรวกล่าว  ข้าครอบครองวิญญาณเทวะเก้าหยิน ดังนั้นจึงสามารถสัมผัสถึงเก้าวิญญาณตะวันทมิฬได้ และมีหนึ่งที่คงอยู่ในแดนวิญญาณอ้างว้าง! 

 ไม่ใช่ว่าเจ้าเข้าร่วมงานชุมนุมยุทธ์ดาบอยู่อย่างนั้นหรือ? หลังจบเรื่องราว ข้าค่อยชี้แนะแก่เจ้าอีกครั้ง  เซี่ยฉีโหรวกล่าว

 ข้านึก ว่าวิญญาณเทวะเก้าหยินถูกสร้างขึ้นจากดวงจันทราหรืออะไรทํานองนั้น…  ฉินหยุนย่อมต้องการทราบเรื่องของเก้าวิญญาณตะวันทมิฬ

 จันทราและจันทราทมิฬ มันเป็นสิ่งที่ใช้สําหรับการสร้างได้เช่นกัน เสี่ยวหยุน วิญญาณเทวะเก้าหยินมีพลังหยินที่รุนแรง เพราะเหตุนั้นข้าจึงไม่ได้มอบให้แก่เจ้า และมันก็ไม่เหมาะให้บุรุษใช้งานเช่นกัน  เซียนี้โหรวกล่าว

 พี่ฉีโหรว เดิมมันเป็นของท่าน นอกจากนี้ ท่านได้มอบวิญญาณเทวะเก้าตะวันให้แก่ข้าแล้ว เพียงนี้ก็ทําข้ายินดีแทบแย่แล้วขอรับ!  ฉินหยุนยิ้มรับคํา

 วิญญาณเทวะเก้าตะวันและวิญญาณเทวะเก้าหยิน เดิมมันเป็นของเจ้า ทว่าเรื่องนี้อย่าได้พูดกล่าวถึงมันแล้ว! 

คํากล่าวของเซี่ยฉีโหรว มันยิ่งทําให้ฉินหยุนตื่นตะลึง อุปกรณ์เทวะทั้งสอง แท้จริงเป็นของตัวเขาในชาติภพก่อน อย่างกะทันหัน เขาสัมผัสได้ว่าชาติภพก่อนของเขาและเซี่ยฉีโหรวคล้ายมีสัมพันธ์ต่อกัน

 เสี่ยวหยุน เก้าวิญญาณตะวันทมิฬเป็นสิ่งยากได้รับ ทว่าเจ้าครอบครองวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬ และยังฝึกฝนตะวันทมิฬ นอกจากนี้ เจ้ายังมีวิญญาณดวงตะวันอีกสอง ข้าจึงเชื่อว่าเจ้าจะสามารถค้นหาวิญญาณตะวันทมิฬนั้นมาได้  เซี่ยฉีโหรวกล่าว

 พี่ฉีโหรว วิญญาณตะวันทมิฬสร้างประโยชน์แก่ท่านได้มากหรือ?  ฉินหยุนกล่าวถาม

 ใช่ หลังเจ้าค้นหาเก่าวิญญาณตะวันทมิฬพบ มันจะทําให้วิญญาณเทวะเก้าหยินของข้าสมบูรณ์ และมันจะเป็นตัวช่วยทําให้ข้าได้รับร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนอสูรกลับคืนมา!  เซี่ยฉีโหรวกล่าว

ฉินหยุนต้องลอบหวาดกลัว แท้จริงเซี่ยฉีโหรวถึงขั้นฝึกฝนร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนอสูรได้แล้ว ไม่แปลกใจที่นางถูกผนึกไว้

 เสี่ยวหยุน เมื่อใดพูดกล่าวกับเหยาเฟิง บอกนาง ว่าข้าคือผู้ที่ฝากฝังแก่เจ้าไว้ เห็นแก่ข้า นางน่าจะส่งพวกมันให้แก่เจ้า  เซี่ยฉีโหรวกล่าว

 ขอรับ!  ฉินหยุนพยักหน้ารับ เขาคาดหวังว่าจะได้ผลบ้าง

 อย่างนั้นข้าไปพักแล้ว ข้าต้องปรับตัวให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นจึงชี้แนะแก่เจ้าถึงวิธีการค้นหาเก่าวิญญาณตะวันทมิฬ!  เซี่ยโหรวกล่าวคําจบ แผนที่หลุมฝังเซียนจึงเงียบหายไป

ฉินหยุนเก็บแผนที่หลุมฝังเซียน ก่อนจะส่งเสียงหาเหยาเฟิงที่ภายในไข่มุกเม็ดที่สาม

 พี่สาวเหยาเฟิง ข้าเพิ่งพูดคุยกับพี่ฉีโหรว นางกล่าวว่าจะชี้แนะให้ข้าไปค้นหาเก้าวิญญาณตะวันทมิฬ!  ฉินหยุนบอกเรื่องนี้ให้เหยาเฟิงได้ทราบ ว่าเขาและเซี่ยฉีโหรวค่อนข้างสนิทต่อกัน

 อืม  เหยาเฟิงรับคํา

 พี่ฉีโหรวยังกล่าว ว่าเห็นแก่นาง ท่านควรส่งสิ่งของในไข่มุกเม็ดที่สามให้ข้า!  ฉินหยุนกล่าว

 ข้าย่อมให้เจ้า!  เหยาเฟิงกล่าว

 อย่างนั้นก็ให้ข้าได้แล้ว!  ฉินหยุนกล่าวคําซ้ำ

 ไม่!  คํากล่าวของเหยาเฟิง ทําเอาฉินหยุนคิดอยากเอาหัวโขกกําแพง

 ไม่ใช่ท่านกล่าวว่าจะให้ข้าหรือ? ท่านยังกล่าวก่อนหน้านี้ ว่าเมื่อใดข้าก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ ท่านจะมอบมันให้แก่ข้า นี้ท่านกําลังกลับคืนคําพูด!  ฉินหยุนในเวลานี้ไร้ทางเลือกแล้ว

 ฉินหยุน สิ่งนี้จําเป็นต้องให้ข้าช่วยเหลือเจ้าใช้งาน! หากเจ้าคิดใช้มันด้วยตนเอง เรื่องราวจะอันตรายอย่างยิ่ง! เมื่อใดเจ้ากลับสู่พระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์ ข้าจะออกไปและช่วยเจ้าใช้งานมัน!  เหยาเฟิงกล่าว

 แท้จริงมันคืออันใดกันแน่?  ฉินหยุนยิ่งมายิ่งสงสัย

 เป็นสิ่งที่ช่วยให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นได้ และยังอันตรายยามใช้งานอีกด้วย! เดิมหมัวจีบอกกล่าวให้ข้าช่วยเสี่ยวโหววใช้งานมัน และอย่าได้ให้นางใช้มันโดยตรง  เหยาเฟิงกล่าว

 ก็ได้! ข้าพยายามรีบกลับไปโดยเร็ว!  ฉินหยุนคิดอยากโบยบินกลับไปเสียเดี๋ยวนี้หากทําได้

หลังพักผ่อนอยู่ตลอดทั้งคืน ฉินหยุนตื่นขึ้นพร้อมออกจากห้อง หลังผ่านห้องรับรองออกมาเขาจึงได้เห็นท้องฟ้าเบื้องนอกของเกาะแห่งดาบที่สอง มันกําลังถูกครอบงําด้วยแสงดวงตะวันสีแดงม่วง! นี่ไม่ใช่ดวงตะวันของจริง แต่เป็นทรงกลมขนาดใหญ่ยักษ์ที่ส่องแสงเจิดจ้า ลําแสงสาดส่องจากตัวมันหนาแน่น มันราวกับดวงตะวันของจริง

 นี่เรื่องบ้าอันใด?  ฉินหยุนเอ่ยถามอย่างตระหนก

 ผู้คนของเขตแดนลึกล้ำนําสิ่งนี้ออกมา เมื่อคืนพวกนั้นไปจากเกาะแห่งดาบ จากนั้นจึงนําเจ้าสิ่งนี้มาปรากฏด้านนอกเกาะแห่งดาบ ข้าเองก็ไม่ทราบว่ามันคืออะไร  เปาเฉิงโฉ่วกล่าว

 จ้าวสํานักดาบยังได้กล่าว ว่าการแข่งขันเดิมจะเริ่มในอีกสามวัน เวลานี้เลื่อนออกไปเป็นห้าวัน! 

 แม่นางหยางกลับไปกับแม่เฒ่าหยุนเหยาแล้ว นางกล่าวว่าจะพยายามแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุด! 

ทันใดนี้เอง เจี้ยนสือเทียนเร่งร้อนบินมา หลังลงถึงพื้น เขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก  พวกคนของเขตแดนลึกล้ำ ถึงขั้นนําวิธีการลับสมัยบรรพกาลออกมาใช้เพื่อเพิ่มพลังให้หลงเฉิ่งขวง! 

 จากข่าวที่ได้รับจากสายสืบ หลงเฉิ่งขวงตอนนี้ทําให้กลองทดสอบพลังลึกล้ำดังถึงแปดสิบครั้งได้แล้ว ทว่าตอนนี้ก็ยังคิดเพิ่มพูนกําลังให้มากยิ่งขึ้นไปอีก! 

หลังได้ทราบ เปาเฉิงโจ่วและคู่ปินอว์ต่างสะท้านเกิดความกังวล

 พวกมันไม่คิดเลิกรายั่วยุข้า!  ฉินหยุนสีหน้าแปรเปลี่ยน  หากพวกมันใช้วิธีเช่นนี้ เพิ่มพูนกําลังสิ่งที่ต้องจ่ายย่อมมหาศาล! 

เจี้ยนสือเทียนพยักหน้ารับกล่าว  เป็นเช่นนี้ นอกจากนี้แล้ว มันจะยิ่งทําให้หลงเฉิ่งขวงรุนแรงและไร้เหตุผลมากขึ้น! 

เจี้ยนหลิงหลงมองที่ฉินหยุนด้วยความกังวล  แปดสิบครั้ง นั่นทัดเทียมพลังเต๋าลึกล้ำของผู้ที่เกือบก้าวถึงราชันยุทธ์! พวกเจ้ายังหนุ่ม กระนั้นแต่ละคนกลับครอบครองพลังชวนสะพรึงนัก! 

สําหรับราชันยุทธ์ทั่วไป จะมีพลังเต๋าลึกล้ำที่สามารถทําให้กลองดังนับร้อยครั้งได้ หากเป็นราชันยุทธ์ที่แข็งแกร่ง เช่นนั้นอาจได้สักหนึ่งร้อยห้าครั้ง

ฉินหยุนมองที่ดวงตะวันขนาดย่อมที่เป็นบอลแสงสีแดงม่วง เขาขมวดคิ้วกล่าว  หากพวกมันยังทําต่อไป เช่นนั้นพลังจะเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง นี่มันวิธีการลับอันใดกัน? 

เจี้ยนสือเทียนนําเปลือกหอยเสียงสื่อสารออกมา รับฟังข่าวคราวล่าสุด สีหน้าของเขายิ่งหนัก

 หลงเฉิ่งขวงยังไม่หยุดดูดกลืนพลังของดวงตะวันแดงม่วง พลังตอนนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาทําให้กลองทดสอบพลังลึกล้ำดังถึงหนึ่งร้อยครั้งได้แล้ว!

เปาเฉิงโฉ่ว ฉู่ปินอวี้ และเจี้ยนหลิงหลง รวมถึงบรรดาผู้อาวุโสล้วนตื่นตะลึงพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก หลงเฉิ่งขวงถึงขั้นเพิ่มพูนพลังได้ถึงขั้นที่พวกเขายากจะเชื่อ

 มันก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำระดับสูงหรือระดับสูงสุดแล้ว?  ฉินหยุนเอ่ยถามด้วยความกังวล

 เป็นไปไม่ได้ หากเขาเลื่อนระดับขึ้นมา เช่นนั้นเขาจะไม่อาจเข้าร่วมการแข่งขัน นั่นจะกลายเป็นการกระทําที่ไร้ความหมาย  เจี้ยนสือเทียนส่ายศีรษะ  ในอีกหลายวันถัดจากนี้ พวกเรายิ่งต้องระวังให้มาก! 

ฉินหยุนหันมองทางเปาเฉิงโจ่วและกล่าว  จ้าวสํานัก ท่านนําข้ากลับสู่พระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์ การแข่งขันจะเริ่มขึ้นในอีกห้าวัน ไม่กี่วันถัดจากนี้ ข้าจะเพิ่มพูนการฝึกฝน! 

เปาเฉิงโจ่วทราบ ว่าผู้อาวุโสสูงสุดอย่างปิงชิงมักชี้แนะการฝึกฝนแก่ฉินหยุน เขาพยักหน้ารับก่อนเร่งรีบนําฉินหยุนกลับสู่พระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์

ฉินหยุนตอนนี้เพียงคิดก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำระดับกลาง ถึงตอนนั้น เขาจะทําให้กลองดังได้ราวหนึ่งร้อยครั้ง และคิดเอาชนะหลงเฉิ่งขวงย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็น สาเหตุว่าทําไมเขาคิดกลับสู่พระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์ ก็เพราะต้องการขอให้เหยาเฟิงใช้อุปกรณ์ลึกลับนั้นเพิ่มพูนพลังตนเอง ระหว่างทาง เขายังบอกต่อเหยาเฟิงถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับหลงเฉิ่งขวง

เหยาเฟิงที่ได้ยินจึงแค่นเสียงกล่าว  วิธีการบรรพกาลเช่นนี้ เป็นวิธีของเต๋าอสูร มันมีแต่จะทําร้ายร่างกาย ทั้งยังจะบีบเค้นให้ผู้คนเข้าสู่เต๋อสูรโดยสมบูรณ์ มีแต่ผู้ที่ครอบครองอุปกรณ์วิเศษป้องกันจิตใจ จึงสามารถลดทอนการคุกคามให้เหลือเพียงระดับร่างกายได้! 

 พี่สาวเหยาเฟิง ท่านกําลังกล่าว ว่าหลงเฉิ่งขวงจะคงสภาวะนั้นได้ไม่นาน? มันไม่ใช่คงอยู่ถาวรหรือ?  ฉินหยุนกล่าวถาม

 อย่างมากก็ราวสองปี หลังพลังนั้นเลือนหาย มันต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อฟื้นตัว  เหยาเฟิงกล่าว  จุดประสงค์หลักของวิชาลับเช่นนี้ ก็คือการสังเวยชีวิตต่อเทพมารเพื่อหยิบยืมพลังของเทพมาร! ข้าเองก็ไม่ทราบว่าพวกมันไปหาแท่นบูชายัญมาได้อย่างไร พวกมันถึงขั้นติดต่อกับเทพมารได้! 

เปาเฉิงโฉ่วเร่งความเร็วสูงสุด เขานําฉินหยุนกลับสู่พระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์ด้วยเวลาเพียงครึ่งวัน ระหว่างทาง เหยาเฟิงยังได้กล่าว ว่านางสามารถช่วยฉินหยุนเลื่อนระดับสู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำระดับกลาง

ทันทีเมื่อกลับมา ฉินหยุนจึงเร่งร้อนมุ่งหน้าไปยังตําหนักพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์เพื่อพบปิงชิง เหยาเฟิงไม่ต้องการพบปิงชิง ทว่านางทราบ ว่าฉินหยุนตอนนี้กําลังเผชิญหน้ากับศัตรูอันตราย ดังนั้นนางจึงต้องร่วมมือกับปิงชิงเพื่อช่วยฉินหยุนเลื่อนระดับพลัง ทันทีเมื่อมาถึงตําหนักพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์ ฉินหยุนกลับไม่พบชิงชิงนั่งอยู่ข้างสระเซียนเช่นที่เคยเป็น

 ฉินหยุน สิ่งนี้ไม่อาจใช้งานบ่อยได้ หลังจากเจ้าใช้ในครั้งนี้ เจ้าต้องรออีกหลายปีกว่าจะใช้งานได้อีกครั้ง! 

เหยาเฟิงออกมาจากไข่มุกเม็ดที่สามของวิญญาณเทวะเก้าตะวัน พร้อมถือกล่องยาวสีดําไว้ในมือ

 

ตอนที่ 783 : ไข่มุกเม็ดที่สาม

ฉินหยุนสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นจึงลอบควบแน่นพลังและตระเตรียมใช้เจ็ดฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์ ฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์ที่รั้งรอ มันเงียบสงบ และยามเมื่อปล่อยออก เจ็ดฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์ของฉินหยุน มันนําพามาซึ่งเสียงมังกรวิปโยคคํารามร้อง ราวกับมันคือความสิ้นหวังของเหล่ามวลมังกร

เจ็ดฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์ของฉินหยุนปะทะเข้าที่กลองทดสอบแล้ว!

ตึง ตึง ตึง…

จํานวนเสียงกลองถึงสิบครั้ง ผู้คนล้วนได้ทราบว่าฉินหยุนอยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ํา

กลองยังคงดังต่อเนื่องจนผ่านพ้นยี่สิบ เรื่องนี้เป็นผลให้ผู้คนต้องทึ่ง เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อน เขายังอยู่เพียงขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูงสุด กระนั้นตอนนี้ กลับเป็นยอดยุทธ์ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ายอดยุทธ์ระดับกลางหลายต่อหลายคน

ยามเมื่อกลองดังผ่านพ้นสามสิบครั้ง หลงเฉิ่งขวงจึงร้อนรนและตื่นตะลึง เพราะพลังเต๋าลึกล้ําของฉินหยุนหาได้อ่อนด้อย!

เสียงกลองยังคงดังต่อเนื่อง มันข้ามผ่านพ้นสี่สิบ ทว่าเสียงนี้ยังไม่คล้ายอ่อนแรงลงแม้เพียงนิด กลับกัน มันยังคงดัง ตึง… ตึง ตึง… ด้วยอัตราเสี่ยงและความถี่สม่ําเสมอ ไม่ช้าจึงผ่านพ้นห้าสิบและก็ยังไม่มีทีท่าคล้ายเชื่องช้าลงแต่อย่างใด

มันไปถึงห้าสิบห้าครั้ง ข้ามผ่านหลงเฉิ่งขวง สีหน้าอหังการอวดดีของหลงเฉิ่งขวงเลือนหายไปแล้ว มันเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและสํานึกเสียใจ ฉินหยุนคือยอดยุทธ์ระดับต้น ทว่าพลังเต๋าลึกล้ําของเขา กลับแข็งแกร่งยิ่งกว่าระดับกลางเช่นเขา!

หลังเสียงที่หกสิบห้าดังขึ้น ทุกอย่างกลับกลายเป็นเงียบสงบ มันถึงขั้นมากกว่าเสียงกลองของหลงเฉิ่งขวงถึงสิบครั้ง!

“หลงเฉิ่งขวง เจี้ยนหนันหูมีกําลังทัดเทียมข้า กระนั้นเจ้ากลับเอาชนะเขาง่ายดาย เป็นเจ้าใช้อาวุธลับเสียเองแล้วกระมัง?” ฉินหยุนตะโกนถามเสียงดัง

เมื่อครู่ หลงเฉิ่งขวงและผู้คนของเขตแดนลึกล้ํา ต่างใช้ถ้อยคําเหล่านี้กล่าวหาฉินหยุน ตอนนี้หลงเฉิ่งขวงจึงถูกตั้งคําถามเช่นเดียวกันขึ้นมา! หลงเฉิ่งขวงก้าวเท้าถอยกลับ เขาไม่เชื่อว่าพลังเต๋าลึกล้ําของฉินหยุนจะแข็งแกร่งเพียงนี้ได้!

ชายชราจากเขตแดนลึกล้ํากล่าวคําเสียงเย็นเยือก “ฉินหยุน เจ้ายังไม่ได้ทดสอบกลองของพวกเรา!”

ฉินหยุนก้าวเดินไปใช้งานเจ็ดฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์ ครั้งนี้ เขากระทั่งลงแรงที่มากขึ้น เพราะเป็นกังวลว่าผู้คนของเขตแดนลึกล้ําเหล่านี้จะใช้วิธีการชั่วช้าไร้ยางอาย ผู้คนต่างกําลังนับอย่างตั้งใจ

ไม่นาน เสียงกลองจึงหยุดลงที่หกสิบแปดครั้ง พลังเต๋าลึกล้ําของฉินหยุน กล่าวได้ว่าทัดเทียมกับยอดยุทธ์ระดับสูงสุด

ฝูงชนที่รับชมต่างใบหน้าร้อนผ่าว เพราะเมื่อครู่พวกเขาเพิ่งด่าทอฉินหยุนอย่างเสียหาย กล่าวหาว่าเขาคดโกง ทั้งยังมีเรื่องใช้งานอาวุธลับ!

“เป็นเจ้าใช้งานวิชายุทธ์เพิ่มพูนพลังเต๋าลึกล้ําของตนเอง!” หลงเฉิ่งขวงกราดเกรี้ยวเป็นล้นพ้น เพราะพลังเต๋าลึกล้ําของเขา ถึงขั้นต้องพ่ายแพ้ต่อฉินหยุนอย่างสิ้นรูป

“เจ้าเองก็ทําได้ อย่ารีรอและลองอีกครั้ง!” ฉินหยุนแค่นเสียงกล่าว

หลงเฉิ่งขวงย่อมทดสอบอีกครั้งหนึ่ง เวลานี้ เขาเลือกใช้วิชายุทธ์เพื่อเพิ่มพลังเต๋าลึกล้ําของตนเอง กระทั่งว่าทดสอบอีกครั้งเช่นนี้ ผลลัพธ์ก็ยังเป็นเช่นเดิม

ผู้เฒ่าทั้งหลายที่นี้ย่อมทราบกระจ่างชัด ไม่เพียงแต่พลังเต๋าลึกล้ําของฉินหยุนแข็งแกร่ง วิชายุทธ์และเคล็ดวิชาทั้งหลายที่เขาครอบครองก็แข็งแกร่ง มีแต่เป็นเช่นนี้ จึงทําให้พลังเต๋าลึกล้ําเพิ่มพูนแข็งแกร่งได้หลายเท่า

“หลงเฉิ่งขวง เจ้าใช้งานอาวุธลับหรือไม่ใช่?” ฉินหยุนกล่าวถามเสียงเย็นเยือก “เจี้ยนหนันหูเป็นอัจฉริยะหาตัวจับได้ยากแห่งตระกูลเจี้ยน กระนั้นเจ้ากลับเอาชนะเขาได้ง่ายดาย เรื่องนี้ย่อมเป็นที่สงสัยของผู้คน!”

ศิษย์ตระกูลเจี้ยนหลายคนต่างเริ่มร้องตะโกนดัง กล่าวหาว่าหลงเฉิ่งขวงใช้งานอาวุธลับ! เรื่องนี้เป็นหลงเฉิ่งขวงไม่ได้ตระเตรียมรับมือมาก่อน เพราะหลงเฉิ่งขวงคิดแต่โยนเรื่องให้ฉินหยุน กระนั้นครานี้ต้องแบกรับกลับคืน ทั้งยังเป็นความเสียหายใหญ่หลวงที่มากยิ่งกว่า เขาถึงขั้นไม่อาจกล่าวคําใดออกได้

กลุ่มผู้อาวุโสจากเขตแดนลึกล้ําไม่ยี่หระใด ชายชราร่างอ้วนท้วนกล่าวคําออก “หลังเจี้ยนหนันหูฟื้นตัวให้เขาเข้ารับการทดสอบพลังเต๋าลึกล้ํา หากพลังเต๋าาลึกล้ําของเขาทัดเทียมฉินหยุน เช่นนั้นก็เป็นการยืนยันว่าหลงเฉิ่งขวงใช้งานอาวุธลับ!”

ตอนนี้ ผู้คนของเขตแดนลึกล้ําไม่กล้ายกประเด็นเรื่องฉินหยุนใช้งานอาวุธลับขึ้นมาอีก

เจี้ยนรั่วหยานเองก็ไม่คิด ว่าไม่เพียงแต่ฉินหยุนก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ํา แต่กลับยังมีพลังเต๋าลึกล้ําที่เกินเชื่อได้ในครอบครอง! เรื่องนี้มันเกินกว่าสามัญสํานึกจะเข้าใจได้!

พลังเต๋าลึกล้ําของหลงเฉิ่งขวง ถือว่าเป็นเส้นขอบฟ้าของบรรดาผู้เฒ่าแห่งเขตแดนนอกแล้ว กระนั้นตอนนี้ พลังเต๋าลึกล้ําของฉินหยุน กลับกลายเป็นการท้าทายต่อสวรรค์

ตอนนี้หลายคนต่างเชื่อ ว่าหลงเฉิ่งขวงไม่มีทางใช่คู่ต่อสู้ของฉินหยุน บางคนกระทั่งคาดเดาไป ว่าเขาต้องเป็นยอดยุทธ์ระดับสูงหรืออาจกระทั่งเป็นระดับสูงสุด กระนั้นหากเป็นจริง ผู้คนของเขตแดนลึกล้ําย่อมสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่ และฉินหยุนก็ไม่เปิดช่องให้ผู้คนของเขตแดนลึกล้ําได้มีโอกาสใช้เรื่องนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

ศึกครั้งนี้เขตแดนลึกล้ําสูญเสียใหญ่หลวง เมื่อครูเจี้ยนหนันหูพ่ายแพ้ด้วยสภาพย่ําแย่ ส่งผลให้ตระกูลเจี้ยนและพันธมิตรจากเขตแดนนอกรับแรงสะเทือนใจหนักหนา มันเป็นการบ่งบอกให้พวก เขาได้ทราบถึงความแตกต่างระหว่างพวกตนและเขตแดนลึกล้ํา

ทว่าตอนนี้ เขตแดนลึกล้ําต่างหากจึงแบกรับความเสียหายใหญ่หลวง! พวกเขาคิดเสมอมา ว่าทรัพยากรของเขตแดนนอกข้นแค้นอ่อนด้อยกว่าพวกเขาในทุกสัดส่วน แต่แล้วเวลานี้ พวกเขากลับตั้งคําถามต่อชีวิตตนเองหลังถูกฉินหยุนตบหน้าครั้งใหญ่

ฉินหยุนก้าวเดินลงจากเวทีประลองยุทธ์ จากนั้นจึงมองทางบรรดาอัจฉริยะจากเขตแดนลึกล้ํา ใบหน้าของเขาเผยซึ่งจิตสังหาร อัจฉริยะจากเขตแดนลึกล้ําตรงหน้าไม่กล้าเผยท่าที่อวดดีอื่นใดอีก พวกเขาได้แต่กัดฟันแน่นจับจ้องฉินหยุน

แม้อวี้เสินเจนสิ้นชีพ ทว่าคู่การประลองที่เหลือก็ดําเนินต่อไปจนกระทั่งหมดวัน ส่วนนัดประลองครั้งหน้าจะมีก็อีกสามวันให้หลัง

เหตุการณ์จบสิ้นเรียบร้อย บรรดาผู้อาวุโสเขตแดนลึกล้ําและตระกูลหลงต่างเร่งรีบนําศิษย์ตนเองไป ยามคิดออกไป ฉินหยุนย่อมได้เห็นสีหน้าของบรรดาชายชราจากเขตแดนลึกล้ํา

“เสี่ยวหยุน ตาเฒ่าพวกนั้นย่อมต้องมีเล่ห์กลซุกซ่อนอยู่อีกแน่เจ้าควรต้องระวัง” หลิงหยุนเอ๋อกล่าวเตือน

“ข้ารู้ ทั้งยังต้องไปบอกต่อพี่หยางและน้องหยานให้ระแวดระวังมากยิ่งขึ้น” ฉินหยุนกล่าว

เจี้ยนสือเทียนก้าวเดินเข้ามาพร้อมตบไหลฉินหยุน “ฉินหยุน เจ้าไม่ต้องหวั่นเกรงใดไป ตราบเท่าที่อยู่ในเกาะแห่งดาบ พวกเรากล้ารับประกันความปลอดภัยให้แก่เจ้า”

“ข้าเป็นกังวล ว่าเรื่องราวเช่นครั้งก่อน อย่างทั้งคฤหาสน์เขียนดาบตกอยู่ในมือศัตรูอาจเกิดขึ้นอีกครั้ง!” ฉินหยุนกล่าวตอบ “หุ่นเชิดของข้าตอนนี้ไม่อาจใช้งาน หากเกิดเรื่องเช่นครั้งก่อน ข้าเกรงว่าจะไม่อาจช่วยเหลือใดได้!”

เจี้ยนสือเทียนหัวเราะรับ “วางใจ พวกเราย่อมได้รับประสบการณ์ไปมากแล้ว เรื่องราวเช่นนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก!”

ฉินหยุนกล่าวคําเสียงเบา “จ้าวสํานักดาบ ระหว่างการประลองของข้าและอว์เสินเจิ้น พวก มันใช้งานอาวุธลับจริง อี้เสินเงินใช้เข็มโปร่งแสง และมีดสั้นโปร่งแสง กระทั่งข้ายังไม่อาจมอง เห็น ทว่าสัมผัสถึงได้”

“ตัวบัดซบพวกนั้น! ข้าทราบอยู่แล้วว่าที่พี่หูพ่ายแพ้มันไม่ถูกต้อง!” หลังได้ยินคํากล่าวของฉินหยุน เจี้ยนรั่วหยานจึงสบถคําเบาออกมา

“นี่เรื่องจริงหรือ?” หลังเจี้ยนสือเทียนและบรรดาครึ่งเซียนตระกูลเจี้ยนได้ทราบ พวกเขาเผยอาการตื่นตะลึง

ฉินหยุนยื่นมือออกมา “นี่เป็นเศษซากที่ข้ารวบรวมได้จากมีดสั้น ท่านนําไปค้นคว้าดูว่ามันเป็นของเช่นไรกันแน่”

หลังเจี้ยนสือเทียนรับเศษชิ้นส่วนไว้ในมือ เขาจึงสัมผัสได้ถึงโครงสร้าง มันเป็นชิ้นส่วนที่ไม่อาจมองเห็นของมีด

“ตัวบัดซบเขตแดนลึกล้ํา!” หนึ่งในครึ่งเซียนตระกูลเจี้ยนคํารามเสียงเบา

“มันคืออะไรกันขอรับ?” ฉินหยุนเร่งร้อนถาม

“นี่เป็นวัสดุพิเศษ มันไร้สีและไร้แสงสะท้อน ยิ่งไปกว่านั้น มันยังสามารถซ่อนเร้นอักขระไว้ภายใน นี่เป็นวัสดุหาได้ยากยิ่ง ดังนั้นจึงใช้ทําได้เพียงแต่อาวุธเล็กหรืออาวุธลับ!” ครึ่งเซียนตระกูลเจี้ยนสัมผัสชิ้นส่วนด้วยปลายนิ้ว เขาสบถออกเสียงเบา “พวกมันถึงขั้นใช้อาวุธลับ แล้วยังคิดใส่ร้ายต่อเจ้า!”

ชั่วขณะนี้ บรรดาผู้เฒ่าที่นี้ต่างต้องนับถือฉินหยุนมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงแต่รับมือกับอัจฉริยะเขตแดนลึกล้ําที่ใช้งานอาวุธลับ แต่ยังคลี่คลายวิกฤตเมื่อครู่นี้ได้ นอกจากนี้แล้ว เขายังทําให้ผู้คนต่างตั้งคําถาม ว่าหลงเฉิ่งขวงใช้งานอาวุธลับหรือไม่!

“ม่านพลังของพวกท่านจําเป็นต้องเสริมศักยภาพขึ้นครั้งใหญ่ หากเป็นแบบนี้ต่อไป อีกหลายคนได้ถูกเล่ห์กลตําช้าพวกมันเล่นงานแน่!” ฉินหยุนกล่าว

“ข้าจะขยายระยะเวลาเตรียมการแข่งขันออกไปเพื่อเสริมศักยภาพแก่ม่านพลัง เมื่อใดถึงเวลา พวกเราจะเปิดโปงพวกมันกลางที่สาธารณะ!” เจี้ยนสือเทียนพยักหน้ารับ

ฉินหยุนเองก็เหนื่อยล้า หลังกล่าวลากับบรรดาผู้อาวุโส เขาจึงติดตามเปาเฉิงโจ่วและผู้อื่นกลับไป หยางฉีเย่ว์ก็ร่วมทางด้วย แม่เฒ่าหยุนเหยาไม่ได้กล่าวคําใด เพราะตอนนี้ผู้คนล้วนได้ทราบว่าฉินหยุนผสานรวมเข้ากับจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวแล้ว ดังนั้นหยางฉีเย่ว์จึงไม่ใช่เป้าหมายของผู้แข็งแกร่งหมู่มากอีก

ผู้อื่นเพียงทราบ ว่าฉินหยุนครอบครองสองจารึกวิญญาณ กระนั้นเจี้ยนหลิงหลงทราบ ว่าเขา ยังมีจารึกวิญญาณราชนสัตว์ นั่นจึงเป็นเรื่องที่ทําให้นางต้องนึกถึงมากยิ่งขึ้น

เฉินหยุนกลับมานั่งพักในห้องรับรอง พลางกัดกินผลไม้ที่เชี่ยวเย่ว์เหม่ยส่งมาให้

“เสี่ยวหยุน เจ้าบุ่มบ่ามเกินไปแล้ว ข้าเตือนเจ้าไม่ให้เผยเรื่องครอบครองจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาว เหตุใดเจ้าไม่ฟังข้า?” หยางฉีเย่ว์โอดครวญเบาพร้อมกล่าวต่อว่า จากนั้นนางจึงหยิกที่หูฉินหยุน

“พี่หยาง ข้าไม่ต้องการให้ท่านต้องแบกรับแรงกดดันมหาศาลเพียงนั้น นอกจากนี้แล้ว ข้ายังมักอยู่แต่ในพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์ ภายใต้ผู้อาวุโสสูงสุดคุ้มกัน ข้าย่อมไม่เป็นไรอย่างแน่นอน” ฉินหยุนหัวเราะรับ

เปาเฉิงโฉ่วยิ้มกล่าว “แม่นางหยางวางใจ ด้วยพวกเราคุ้มกัน ฉินหยุนจะไม่เกิดอุบัติเหตุใดอย่างแน่นอน”

“เลิกพูดกล่าวเรื่องนี้แล้ว ข้าคิดไปพัก วันนี้เหนื่อยล้านัก” กล่าวคําจบ ฉินหยุนจึงเดินเข้าห้องพร้อมปิดประตู

สาเหตุว่าทําไมฉินหยุนจึงเข้าห้องเร่งด่วน ทั้งยังลงกลอนประตู ก็เพราะแผนที่หลุมฝังเซียนมีปฏิกิริยา เซี่ยฉีโหรวพยายามติดต่อหาเขา หลังเข้าห้องเรียบร้อย เขาจึงเร่งรีบกางแผนที่หลุมฝังเซียน เสียงอ่อนหนุ่มของเซียโหรวจึงดังขึ้นมา

“เสี่ยวหยุน ช่วงที่ผ่านมาเจ้าพยายามติดต่อหาข้าหรือ? เกิดเรื่องอันใด?” เซียฉีโหรวเอ่ยถาม

“พี่ฉีโหรว ข้าก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ําแล้ว!” หลังเข้าสู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ํา เซี่ยโหรว เคยกล่าวว่ามีงานให้เขาไปกระทํา

เช่นกัน เหยาเฟิงยังกล่าวว่านางจะส่งมอบสิ่งที่อยู่ภายในไข่มุกเม็ดที่สามของวิญญาณเทวะ เก้าตะวันหลังเขาเลื่อนระดับสู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ํา กระนั้น เวลานี้นางก็ยังไม่ได้ส่งมอบมันให้แก่เขา

“อา… เจ้าช่างรวดเร็วนัก!” เซี่ยฉีโหรวรับคําอย่างนึกทึ่ง

“พี่ฉีโหรว เหยาเฟิงบอกต่อข้า ว่าหลังก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ํา นางจะมอบสิ่งของภายในไข่มุกเม็ดที่สามแก่ข้า ทว่านางกลับยังไม่มอบให้ข้า! ท่านต้องช่วยข้าแล้ว!” ฉินหยุนร้องทุกข์ เพราะเขาไม่มีวิธีเกลี้ยกล่อมเหยาเฟิง

ตอนที่ 782 : กลองพลังลึกล้ํา

ระหว่างที่ก้าวเดินเข้าไป อวี้เสินเจินไม่ได้ระวังตัวใด เพราะอีกฝ่ายถูกโจมตีด้วยอาวุธลับไปแล้ว ทว่าฉินหยุนกลับไม่เป็นไร กระทั่งใช้อาวุธลับนั้นตอบโต้กลับคืน อาวุธลับนี้สร้างขึ้นเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงไม่อาจมองเห็น กระทั่งม่านพลังของเวทีประลองยุทธ์ยังไม่อาจตรวจจับ วิธีการสร้างมันขึ้นย่อมต้องใช้ฝีมือมากล้ําและจะสร้างได้ ก็ต้องเป็นอาจารย์จารึกของเขตแดนลึกล้ํา

หลังถูกอาวุธลับตนเองคืนสนอง อวี้เสินเจินค่อยตระหนักได้ ว่าตนเองตอนนี้ไม่อาจพูดกล่าวหรือขยับ

ฝูงชนที่รับชมต่างเชื่อว่าฉินหยุนถูกวิชายุทธ์ประหลาดเข้าเล่นงาน ตอนนี้พวกเขากําลังรอคอยให้ฉินหยุนถูกทรมาน แต่แล้วกลับกลายเป็นอวี้เสินเจินที่หยุดชะงักขณะเดินเข้าหาอีกฝ่าย

ตึง!

เฉินหยุนผลักฝ่ามือโจมตีออกดดัน ส่งร่างอวี้เสินเจินกระเด็นลิ่ว! ได้เห็นเช่นนี้ หลงเฉิ่งขวง รวมถึงบรรดาอัจฉริยะผู้อื่นจากเขตแดนลึกล้ําต่างสีหน้าแปรเปลี่ยน ผู้ซึ่งถูกทรมานไม่ใช่ฉินหยุน แต่กลับเป็นตัวอวี้เสินเจินเสียเอง! บรรดาผู้อาวุโสเขตแดนลึกล้ําต่างมองหน้ากันเองด้วยอาการตื่นตะลึง

เพราะพวกเขาทราบ ว่าอวี้เสินเจินใช้งานอาวุธลับ และอาวุธลับนั้นตราบเท่าที่ใช้งานออก มันย่อมต้องโจมตีใส่เป้าหมายอย่างแน่นอน! แต่แล้วเวลานี้ กลับกลายเป็นอวี้เสินเจินที่ทําพลาด จนขนาดโดนอาวุธลับตนเองทําร้ายคืนสนอง!

ร่างพอกระเด็น อวี้เสินเจินจึงร่วงหล่นกับพื้น โลหิตกระอักไหลหลั่งจากปาก เป็นเขาได้รับบาดเจ็บร้ายแรง

“ตัวบัดซบเอ๋ย เจ้าคิดว่าไม่มีผู้ใดพบเห็นลูกเล่นต่ําช้าของเจ้าหรือ?” ฉินหยุนแค่นเสียงกล่าวคําเบา “สวะเช่นเจ้าหรือกล้าดีคิดแตะต้องพี่หยาง?”

ตึง!

ฉินหยุนทะยานร่างขึ้นกลางอากาศ พร้อมทะยานลงสู่พื้นปะทะที่ต้นขาของอวี้เสินเจิน ทั้งร่างของอวี้เสินเจินกระตุกด้วยความเจ็บปวด เสียงครวญครางคล้ายดังจากลําคอ ราวกับเขาคิดพูดกล่าวบางอย่าง ทว่าเสียงไม่มีใดออกมา

ตราบเท่าที่ผู้เข้าแข่งขันไม่ประกาศยอมแพ้ การถูกทําร้ายทรมานจะดําเนินไป ฉินหยุนลอบหวาดกลัวต่อพิษร้ายที่เคลือบอาวุธลับนั้นเอาไว้ มันถึงขั้นทําให้ผู้คนไม่อาจพูดกล่าวและเคลื่อนไหว หากเป็นเขาที่ถูกมันทําร้ายเขา ผลลัพธ์คงคาดเดาได้ไม่ยาก

“เร่งรีบหยุด พวกเรายอมแพ้!” ชายชราจากเขตแดนลึกล้ําเร่งร้อนตะโกน เขาทราบดีว่าอวี้เสินเจินพ่ายแพ้แน่นอนแล้ว

ตึง!

เฉินหยุนตอบกลับคําตะโกนนั้นด้วยหมัดรุนแรง มันเข้าปะทะใบหน้าอวี้เสินเจิน เป็นผลให้ใบหน้าอีกฝ่ายต้องบิดเบี้ยวเสียรูป

ตู้ม ตู้ม ตู้ม

ฉินหยุนเตะส่งร่างอวี้เสินเจินลอยขึ้นฟ้า ก่อนจะรัวหมัดกลางอากาศอีกหลายครั้งครา พลังหมัดแต่ละครั้งรุนแรง ร่างเงาหมัดนับไม่ถ้วนปรากฏปะทะกับร่างอวี้เสินเจินไม่หยุดหย่อน อวี้เสินเจินผู้นี้เป็นอัจฉริยะจากเขตแดนลึกล้ํา ดังนั้นคิดสังหารเขาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

“ฉินหยุน จงหยุดเดี๋ยวนี้!” ชายชราจากเขตแดนลึกล้ําได้เห็นอวี้เสินเจินถูกทําร้ายหนักหนา ถึงขั้นแทบไม่อาจจดจําได้ว่าเป็นบุตรผู้ใด เขาจึงร้องตะโกนเสียงดัง

เจี้ยนสือเทียนรับชมเฉยชา สีหน้าของเขาเย็นเยือก เขาไม่สนใจคําของผู้อาวุโสจากเขตแดนลึกล้ําเหล่านี้

อวี้เสินเจินร่วงหล่นจากฟากฟ้า ตัวเขายังไม่ตาย

“ไปชดใช้กรรมในนรก!” ฉินหยุนทะยานร่างลงจากเบื้องบน ใช้งานดัชนีทะลวงขุนเขาแยกพสุธา

ลําแสงสีดํายิงออกจากกลางฟากฟ้าพุ่งลงมาประหนึ่งเสาเข็ม ยามเมื่อกระทบเป้าหมาย แรงระเบิดปะทุเกิดเสียงดังสนั่น และเป้าหมายย่อมไม่ใช่อื่นใด เป็นร่างของอวี้เสินเจิน!

ตู้ม!

เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว สายลมกระโชกรุนแรงร้องโหยหวน ร่างกายอวี้เสินเจินแหลกเละไปกับสายลม ร่างนั้นกลับกลายเป็นเถ้าธุลีสีดํา!

อวี้เสินเจินสิ้นชีพแล้ว!

ยอดยุทธ์อัจฉริยะจากเขตแดนลึกล้ํา ถึงขั้นต้องสิ้นชีพด้วยสภาพชวนสังเวชเช่นนี้

ผู้คนต่างต้องนึกถึงกับพลังอํานาจของฉินหยุน อัจฉริยะจากเขตแดนลึกล้ําย่อมแข็งแกร่ง หลงเฉิ่งขวงสามารถเอาชนะเจี้ยนหนันหูมาได้ และอวี้เสินเจินผู้นี้ย่อมครอบครองกําลังที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเท่าใดนัก กระนั้นแล้ว เขาก็ยังต้องถูกสังหารจนไม่เหลือแม้เศษซากร่างกาย ผู้คนเวลานี้ล้วนจมดิ่งในอาการตื่นตะลึงจนเงียบเสียง

หลงเฉิ่งขวงกลืนน้ําลายอึกใหญ่ เขากําหมัดแน่นพร้อมสบถเสียงเบา “น้องอวี้ ข้าจะล้างแค้น

“พี่ใหญ่หลง เกิดเรื่องอันใดกับศิษย์พ่อ? เขาไม่สมควรต้องพ่ายแพ้เช่นนี้ เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?” อัจฉริยะผู้หนึ่งของเขตแดนลึกล้ํากล่าวถาม

“ข้าจะทราบหรือไร!” หลงเฉิ่งขวงสบถตอบกลับ “ที่ทราบ คือข้าจะทําให้ฉินหยุนมันต้องตายด้วยสภาพน่าสังเวช!”

อวี้เสินเจินสิ้นชีพอย่างไร้เศษร่างหลงเหลือ นี่ถือเป็นการตบหน้าบรรดาผู้อาวุโสของเขตแดนลึกล้ํา ก่อนหน้านี้ เป็นเจี้ยนหนันหูพ่ายแพ้ย่ําแย่ด้วยมือของหลงเฉิ่งขวง เป็นผลให้ตระกูลเจี้ยนและเขตแดนนอกต่างต้องหวาดกลัวต่อพลังอํานาจของเขตแดนลึกล้ํา

กระนั้นตอนนี้ฉินหยุนลงมือสังหารอวี้เสินเจิน ผู้คนของเขตแดนนอกค่อยรู้สึกว่าอัจฉริยะแห่งเขตแดนลึกล้ํา ก็ไม่ใช้ไร้ผู้ต้าน

เจี้ยนสือเทียนปิดม่านพลัง บรรดาผู้อาวุโสเขตแดนลึกล้ําต่างบุกเข้ามาด้วยอารมณ์โกรธแค้น

เจี้ยนสือเทียนยืนขวางตรงหน้าฉินหยุน ท่าทีของเขากระจ่างชัด น้ําเสียงเย็นเยือกของเขากล่าวคําออก “หากคิดลงมือต่อฉินหยุนที่นี่ ข้าก็กล้าประกาศว่าจะไม่มีพวกเจ้าผู้ใดรอดพ้นออกไปจากคฤหาสน์เซียนดาบ!”

ตระกูลเจี้ยนคือผู้จัดงานชุมนุมยุทธ์ดาบ มันเป็นงานที่พวกเขาคิดใช้สร้างเกียรติและชื่อเสียงพร้อมเผยซึ่งพลังอํานาจ กระนั้น เจี้ยนหนันหูพ่ายแพ้ด้วยสภาพอันย่ําแย่ นั่นถือเป็นการตบใบหน้าพวกเขาฉาดใหญ่

และเวลานี้ ฉินหยุนสามารถมีชัยเหนืออัจฉริยะจากเขตแดนลึกล้ํา เป็นปกติที่ตระกูลเจี้ยนจะต้องให้การปกป้องคุ้มครอง ฉินหยุนยังเป็นคนของนครเซียนยุทธภัณฑ์ และนครเซียนยุทธภัณฑ์กับตระกูลเจี้ยนก็ถือเป็นพันธมิตรต่อกัน หากฉินหยุนชนะ เช่นนั้นตระกูลเจี้ยนย่อมกอบกู้หน้าตากลับคืนมาได้

ชายชราร่างอ้วนท้วนจากเขตแดนลึกล้ํากล่าวเสียงเย็นเยือก “เจี้ยนสือเทียน เจ้าเองก็ได้เห็นว่าฉินหยุนอยู่เพียงขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูงสุด กระนั้นกลับสามารถเอาชนะผู้ฝึกตนขอบ เขตวรยุทธ์ลึกล้ําระดับกลาง นี่มันไม่สมเหตุสมผล! เขาต้องใช้งานอาวุธลับเป็นแน่!”

ฉินหยุนแค่นเสียงดังภายใน อาวุธลับดังกล่าวจึงเป็นอวี้เสินเจินใช้งาน และย่อมต้องได้รับจากบรรดาผู้เฒ่าชราที่ตรงหน้า กระนั้นตอนนี้ อีกฝ่ายคิดเล่นละครปาหี่ฉากหนึ่ง!

“ข้าไม่เคยกล่าวว่าตัวข้าอยู่เพียงขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูงสุด นั่นเป็นพวกเจ้าทึกทักกันเองทั้งสิ้น!” ฉินหยุนกล่าว

“จะบอกว่าเจ้าก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ํา?” ชายชราร่างอ้วนท้วนแผ่นเสียงดังขึ้นจมูก “คํากล่าวเจ้าล้วนโป้ปด ความจริงแล้วเป็นเจ้าที่ใช้งานอาวุธลับ!”

ผู้คนตระกูลหลงต่างตะโกนเสียงดัง “ทุกคน จากจุดนี้ฉินหยุนชัดเจนว่าอยู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูงสุด เขาหรือจะเอาชนะขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ําระดับกลางได้? ตัวเขาเป็นอาจารย์จารึกที่สามารถสร้างสิ่งของ ดังนั้นย่อมต้องมีอาวุธลับซ่อนเร้นที่พวกเราไม่อาจตรวจพบเจอได้”

ผู้ชมที่นี้หลายคน ต่างเป็นผู้คนของตระกูลหลงและพันธมิตร ดังนั้นพวกเขาจึงโห่ร้องตะโกนเห็นพ้องด้วย

“เจี้ยนสือเทียน เจ้าคิดให้การปกป้องฉินหยุนงั้นหรือ? นั่นก็ย่อมได้งานชุมนุมยุทธ์ดาบนี้จัดขึ้นโดยฝ่ายเจ้า อยากคิดทําอันใดจงทําไป! พวกเราไม่คิดเข้าร่วมด้วยแล้ว!” ชายชราร่างอ้วนท้วนกล่าวคํา

“ก็ไม่ใช่แค่การยืนยันว่าข้าอยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ํางั้นหรือ? เรื่องราวง่ายดาย อุปกรณ์ตรวจสอบระดับพลังผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ําย่อมต้องมี นำมันออกมาทดสอบ ทีนี้ก็ไม่มีข้อกังขาแล้วใช่หรือไม่?” แม้ฉินหยุนโกรธเกรี้ยว กระนั้นเขาก็ยังเผยอาการสงบ

หลงเฉิ่งขวงก้าวเดินขึ้นบนลานประลองยุทธ์ เขากล้าพูดกล่าวว่าฉินหยุนอยู่เพียงขอบเขตวรยุทธวิญญาณระดับสูงสุด ดังนั้นเขาจึงตะโกนดัง “ข้าคือยอดยุทธ์ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ําระดับกลาง ข้าจะทดสอบพลังเต๋าลึกล้ําร่วมกับฉินหยุน หากพลังของมันไม่ทัดเทียมข้า เช่นนั้นก็เป็นมันใช้งานอาวุธลับ!”

หยางฉีเย่ว์ก้าวเดินขึ้นมาพร้อมแค่นเสียงกล่าว “หลงเฉิ่งขวง ผู้คนล้วนทราบว่าเจ้าแข็งแกร่ง เหตุใดจึงนําตนเองเป็นมาตรฐานการวัดตรวจสอบ?”

หลงเฉิ่งขวงแผ่นเสียงดัง “อวี้เสินเจินมีกําลังทัดเทียมข้า! ในเมื่อฉินหยุนสามารถสังหารอวี้เสินเจิน นั่นก็หมายถึงพลังเต๋าลึกล้ําของมันต้องใกล้เคียงกับข้า ตราบเท่าที่พลังเต๋าลึกล้ําของมันและข้าไม่ต่างกันมาก พวกเราจะถือว่ามันมีกําลังแท้จริงเพื่อเป็นข้อพิสูจน์!”

“หลงเฉิ่งขวง ข้าเองก็สงสัยว่าเจ้าใช้งานอาวุธลับครั้งที่เอาชนะเจี้ยนหนันหู เพราะเจี้ยนหนันหูก็มีกําลังทัดเทียมข้า! หากการทดสอบบ่งบอกว่าพลังเต๋าลึกล้ําของข้าเหนือกว่าเจ้า เช่นนั้นก็หมายความว่าเจ้าใช้งานอาวุธลับ!” ฉินหยุนแค่นเสียงกล่าว

“ฉินหยุน เจ้าช่างมั่นใจนัก! หากพลังเต๋าลึกล้ําของเจ้าเหนือกว่าข้า เช่นนั้นข้าจะยอมรับก็ได้” หลงเฉิ่งขวงหัวเราะเสียงดัง

ผู้คนของเขตแดนลึกล้ํานําเอากลองขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลางสองเมตรออกมา เจี้ยนสือเทียนก็นําเอากลองใหญ่เช่นเดียวกันนี้ออกมา สิ่งนี้คืออุปกรณ์ทดสอบพลังเต๋าลึกล้ํา

เจี้ยนสือเทียนกล่าว “นี่เป็นอุปกรณ์สําหรับใช้ทดสอบพลังเต๋าลึกล้ํา บุคคลที่มีพลังเต๋าลึกล้ํามากกว่า ย่อมสร้างจํานวนครั้งที่เสียงดังได้มากกว่า!”

“กับผู้ที่เพิ่งก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ํา จะสามารถทําให้ดังได้ราวสิบครั้ง!”

ทั้งตระกูลเจี้ยนและเขตแดนลึกล้ําต่างนํากลองทดสอบออกมา นี่ก็เพื่อเป็นการพิสูจน์สองทางให้กระจ่างชัด!

หลงเฉิ่งขวงเดินไปยังกลองพลังลึกล้ํา จากนั้นจึงต่อยหมัดออก

ตึง ตึง ตึง…. เสียงกลองดังต่อเนื่องรวมทั้งสิ้นห้าสิบสามครั้ง เรื่องนี้ส่งผลให้หลายคนต่างตื่นตะลึง!

“เขาอยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ําระดับกลาง กระนั้นพลังเต๋าลึกล้ํากลับทําให้กลองดังได้ถึงห้าสิบสามครั้ง! นี่หมายความถึงพลังเต๋าลึกล้ําของเขาเหนือล้ํากว่าขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ําระดับสูง หรือบางที่อาจใกล้ถึงระดับสูงสุดแล้วก็เป็นได้!

“ตามปกติ ยอดยุทธ์ระดับกลางพลังลึกล้ําจะส่งผลให้เสียงดังได้ราวยี่สิบครั้ง อย่างดีที่สุดก็ราวสามสิบครั้ง!”

“อัจฉริยะจากเขตแดนลึกล้ําช่างน่ากลัวยิ่งนัก!”

“ฉินหยุนย่อมต้องใช้อาวุธลับแน่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางสังหารอวี้เสินเจินได้”

“ฉินหยุนยังคิดว่าตนเองสามารถมีชัยเหนือหลงเฉิ่งขวง ช่างไม่รู้จักถึงความแตกต่างระหว่างสวรรค์และพื้นแผ่นดิน!”

หลายคนต่างเริ่มพูดคุยพร้อมตั้งข้อสงสัยกันขึ้นมา

หลงเฉิ่งขวงเผยยิ้มภาคภูมิ ก้าวเดินไปยังกลองของเจี้ยนลือเทียนและต่อยออก ครั้งนี้มันดังถึงห้าสิบสี่ครั้ง!

เจี้ยนสือเทียน เปาเฉิงโจ่ว และคณะคนของเขาต่างเผยสีหน้า เพราะผลลัพธ์นี้สร้างความตื่นตะลึงแก่พวกเขาจริง กระทั่งหลานชายที่เจี้ยนสือเทียนภาคภูมิ เจี้ยนหนันหูยังทําให้ดังได้เพียงแค่สี่สิบครั้ง!

มีแต่หยางฉีเย่ว์ที่ยังคงอาการสงบ แม้นางไม่ทราบว่าฉินหยุนแข็งแกร่งเพียงใด กระนั้นนางก็ได้เห็นสีหน้าของฉินหยุนที่ยังมาดมั่น!

หลงเฉิ่งขวงกล่าวด้วยเสียงอันดัง “ทุกคนคงได้เห็นแล้ว นี่คือความแข็งแกร่งของอัจฉริยะแห่งเขตแดนลึกล้ํา! อวี้เสินเจินมีพลังเต๋าาลึกล้ําอยู่ที่ราวห้าสิบครั้ง! แต่แล้วฉินหยุนกลับสังหารเขาได้! นั่นย่อมต้องเป็นการใช้งานอาวุธลับอย่างแน่นอน!”

ชายชราจากเขตแดนลึกล้ําแค่นเสียงกล่าว “หากฉินหยุนใช้งานอาวุธลับจริง เช่นนั้นวันนี้พวกเราจะให้มันต้องชดใช้ด้วยชีวิตโดยไม่สนอื่นใด!”

หลายคนต่างเริ่มร้องตะโกนกล่าวหาว่าฉินหยุนไร้ยางอาย

ฉินหยุนกล่าวถาม “หลงเฉิ่งขวง พลังเต๋าลึกล้ําของเจ้าแข็งแกร่งก็ใช่ นั่นหมายความถึงเจ้าเป็นยอดยุทธ์ระดับสูงอย่างนั้นหรือ?”

หลงเฉิ่งขวงแค่นเสียง “หากข้าเป็นยอดยุทธ์ระดับสูง เจ้าคิดหรือว่าคณะคนของเจี้ยนสือเทียนจะไม่อาจตรวจพบได้?”

ฉินหยุนพยักหน้ารับกล่าว “ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้ ภายหลังพลังเต๋าลึกล้ําของข้าเหนือล้ํากว่า เจ้าก็อย่าได้กล่าวหาว่าข้าเป็นยอดยุทธ์ระดับสูง!”

“ฉินหยุน นี่เจ้ายังฝันไม่รู้จักตื่นหรือไร? ช่างน่าขันนัก! พลังเต๋าลึกล้ําของเจ้าหรือจะแข็งแกร่งกว่าข้า? ข้าต่างหากจึงเป็นยอดยุทธ์ระดับกลางผู้ซึ่งแข็งแกร่งที่สุด!” หลงเฉิ่งขวงแค่นเสียงดังพร้อมกล่าวอย่างภาคภูมิ

ฉินหยุนก้าวเดินไปยังกลองทดสอบของเจี้ยนสือเทียน เขาตระเตรียมลงมือทดสอบ หลายคนที่สบถก่นด่าต่อเขา เวลานี้ล้วนเงียบเสียงลงแล้ว

ฝูงชนที่รับชมคิดอยากได้ทราบ พวกเขารอคอยว่าผลลัพธ์ของฉินหยุนจะออกมาเป็นเช่นไร!

ตอนที่ 781 : สองจารึกวิญญาณ

ฉินหยุนเจตนาขึ้นไปต่อสู้กับอวี้เสินเจินด้วยตนเอง นี่ก็เพื่อเป็นการล้างแค้นต่อเรื่องเมื่อวันก่อน อวี้เสินเจินคือบุคคลต่ําทรามและชั่วร้าย ทั้งยังเป็นตัวอันตราย ภายหน้าย่อมต้องเป็นปัญหาต่อตัวเขาแน่

ขณะฉินหยุนเดินขึ้นเวทีประลองยุทธ์ อวี้เสินเจินก็เดินจากทางฝั่งของตนเอง ผู้คนจากเขตแดนลึกล้ําหาได้ห่วงหาอวี้เสินเจินไม่ เพราะที่ฉินหยุนทําลายหุ่นเชิดวัชระไปก่อนหน้านี้ มันเป็นเพราะเขาใช้พลังแปรธาตุ

อวี้เสินเจินมองด้วยความอหังการไปยังฉินหยุนพร้อมกล่าวถาม “ฉินหยุน เจ้าไปที่เทือกเขานิราศจันทราใช่หรือไม่?”

ฉินหยุนตอบกลับ “ใช่ แล้วอย่างไร?”

อวี้เสินเจินมองหยางฉีเย่ว์ซึ่งอยู่เบื้องล่างเวทีประลอง เขากล่าวถาม “หยางฉีเย่ว์ไม่ใช่อาจารย์ จารึกและสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับหยางฉีเย่ว์ก็ดีเยี่ยม! จารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวคงตกอยู่ในมือเจ้าแล้วอย่างนั้นสิ?”

บรรดาผู้อาวุโสของขั้วอํานาจทั้งหลายต่างสงสัยเช่นเดียวกันนี้

หยางฉีเย่ว์ไม่อาจส่งเสียงสื่อสารบอกต่อฉินหยุน เพราะตอนนี้เขาอยู่ภายในม่านพลังเวทีประลองยุทธ์ นางต้องส่ายศีรษะเป็นการบอกต่อฉินหยุนว่าไม่ต้องยอมรับคําใด

“เป็นเช่นนั้น จารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวอยู่ในมือข้า!” ฉินหยุนตอบกลับไปด้วยเสียงอันดัง

หากเขาไม่ยอมรับ นับจากนี้หยางฉีเย่ว์ก็จะยังตกเป็นเป้าของผู้คนแข็งแกร่งจํานวนมาก

ช่วงเวลานี้เอง ที่มันไปกระตุ้นความริษยาของบรรดาอาจารย์จารึกเต๋าเข้าให้ บ้างก็นึกถึง บ้างก็ชื่นชม และเกลียดชัง..

“ฉินหยุนมีจารึกวิญญาณอัคคีคลั่งแล้ว ตอนนี้ยังได้จารึกวิญญาณจ้าวดวงดาว โชคของมันออกจะดีเกินไปแล้ว!”

“ฉินหยุนครอบครองจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาว เช่นนั้นพวกเราก็ไม่จําเป็นต้องไล่ตามหยางฉีเย่ว์อีก!”

“หรือเขาจงใจกล่าวเช่นนี้เพื่อปกป้องหยางฉีเย่ว์?”

“เจ้าหนูเช่นนี้ถึงขั้นได้ครอบครองจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาว…”

ยังไม่ต้องกล่าวถึงฝักฝ่ายทั้งหลายที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับนครเซียนยุทธภัณฑ์ กระทั่งอาจารย์จารึกเต๋าของตระกูลเจี้ยนยังต้องหวั่นไหว ขนาดเกิดความนึกคิดอันชั่วร้ายขึ้นมา

อวี้เสินเจินเวลานี้เผยเสียงหัวเราะดังอย่างโฉดชั่ว “ฉินหยุน ข้าจะบีบบังคับให้เจ้าส่งมอบจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวนั้นออกมาเอง!”

ฉินหยุนยิ้มบางกล่าวคํา “ข้าได้ผสานรวมเข้ากับจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวแล้ว หากสังหารข้า เช่นนั้นมันก็ตายไปพร้อมกับข้า ต่อให้จับตัวข้าได้ เจ้าก็ไม่มีทางแยกมันออกมา”

ผู้อาวุโสเขตแดนลึกล้ําร้องตะโกนดัง “เป็นไปไม่ได้! เจ้าเพิ่งผสานรวมกับจารึกวิญญาณอัคคีคลั่ง เวลายังผ่านไปไม่ถึงหนึ่งร้อยปี เจ้าไม่มีทางผสานรวมกับจารึกวิญญาณอื่นได้อีก หากทํามัน จะมีแต่ความขัดแย้งภายในเกิดขึ้น!”

ครึ่งเซียนตระกูลหลงตะโกนด้วยเสียงอันดัง “ฉินหยุน เจ้าไม่อาจลวงหลอกต่อพวกเรา เจ้ายังอ่อนต่อโลกเกินไปนัก! ความจริงที่เจ้าไม่ทราบเรื่องราวนี้ เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่คู่ควรได้ครอบครองจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาว!”

ฉินหยุนเริ่มหัวเราะดังกล่าว “พวกเจ้าต่างหากจึงไม่คู่ควร ข้าผสานรวมกับจารึกวิญญาณถึงสองในระยะเวลาอันสั้น นี่จึงเป็นพรสวรรค์ของข้า!”

อวี้เสินเจินเผยเสียงเย็นเยียบ “ฉินหยุน ตัวเจ้าไม่มีทางผสานรวมกับจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาว! อย่าได้ทําเป็นลึกลับ เจ้าไม่อาจลวงหลอกต่อพวกเรา!”

ฉินหยุนพลันนําเอากระดาษยันต์ออกมาแผ่นหนึ่ง เริ่มทําการแกะสลักลงไป ความเร็วนี้มากล้ํา เขาแกะสลักอักขระดวงดาวได้สําเร็จในระยะเวลาอันน้อยนิด

“ยันต์นี้ข้าแกะสลักอักขระดวงดาวลงไป!” ฉินหยุนกล่าวคําจบจึงโยนแผ่นยันต์ไปยังอวี้เสินเจิน

อวี้เสินเจินพลันคว้ายันต์แผ่นนั้นไว้ แต่แล้วยันต์กลับระเบิดออกเป็นอัคคีดวงดาว! แรงระเบิด ส่งผลให้มือของเขาต้องถูกไฟลวก ขณะนี้กลิ่นเนื้อไหม้เผยออก ยามได้รับชมเรื่องราว บรรดาผู้คนของเขตแดนลึกลําต่างต้องสูดอากาศเย็นเยือกเข้าปอด

นั่นคืออักขระดวงดาวอัคคี! ฉินหยุนครอบครองทั้งจารึกวิญญาณอัคคีคลั่งและจ้าวดวงดาว ดังนั้นแล้วความเร็วการแกะสลักของเขาจึงมากล้ํา ระดับความวิจิตรย่อมต้องสูงล้ําเช่นเดียวกัน ผลลัพธ์ที่ได้ พลังอํานาจของมันจึงแข็งแกร่งเป็นล้นพ้น! ตราบเท่าที่เป็นอาจารย์จารึกเต๋า เพียงมองย่อมได้ทราบ ว่าแผ่นยันต์ของฉินหยุนเมื่อครู่ทรงอํานาจเพียงใด

ฉินหยุนได้ผสานรวมเข้ากับจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวแล้ว เขาคืออาจารย์จารึกผู้ครอบครองสองจารึกวิญญาณ ศักยภาพของเขามากล้นขนาดชวนพรั่นพรึง!

ผู้คนของตําหนักจารึกเทวะต่างก็อยู่ที่นี้ ทว่าพวกเขาไม่ได้เข้าร่วมเบาะแว้งเรื่องราวระหว่างตระกูลหลงและตระกูลเจี้ยน ดังนั้นศิษย์ของพวกเขาจึงไม่เข้าร่วมการแข่งขัน ตอนนี้ บรรดาเบื้องบนของตําหนักจารึกเทวะล้วนริษยาต่อฉินหยุนที่ครอบครองสองจารึกวิญญาณที่พวกเขาไม่ทราบ นอกจากจารึกวิญญาณอัคคีคลั่งและจ้าวดวงดาว ฉินหยุนยังคงมีอีกสี่ นั่นก็คือราชันสัตว์ นายหญิงจันทรา จ้าวเต่า และราชันอุปกรณ์ หากได้ทราบ พวกเขาคงคลุ้มคลั่งจนกระอักเลือดตายตก

อวี้เสินเจินพลันหัวเราะเสียงดัง “ฉินหยุน เจ้าไม่ควรให้พวกเราได้ทราบว่าเจ้าผสานรวมกับจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวแล้ว เช่นนี้ เจ้าก็ไม่มีค่าพอให้มีชีวิตอยู่อีกต่อไป!”

ก่อนหน้า พวกเขาคิดว่าอย่างน้อยก็จับตัวฉินหยุนใช้ข่มขู่หยางฉีเย่ว์ได้ กระนั้นตอนนี้ พวกเขาไร้ซึ่งโอกาสได้รับจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวแล้ว บรรดาครึ่งเซียนของเขตแดนลึกล้ําและตระกูลหลงต่างเผยความโศกออกมา พวกเขาต่างรู้สึกว่าตนเองพลาดโอกาสการได้รับจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวไปแล้ว

“วาจาเจ้าช่างไม่น่ารื่นหูยิ่งนัก! จารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวไม่เคยเป็นของพวกเจ้า กระนั้นกลับทําเสมือนมันเป็นของพวกเจ้าเสียดิบดี!” ฉินหยุนเผยเสียงเย็นเยือก

“หากข้าสังหารเจ้า ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์จารึกมีพรสวรรค์ ทั้งยังครอบครองสองจารึกวิญญาณ ชื่อเสียงข้าย่อมต้องลือนามไปอีกนานแสนนาน!” อวี้เสินเจินกลายเป็นยินดีพร้อมเผยเสียงหัวเราะ

ฉินหยุนถอนหายใจกล่าวคํา “เหอะ… สังหารสวะข้างทางเช่นเจ้าไปหาได้มีเกียรติอันใดต่อข้า ผ่านพ้นไปไม่กี่วันผู้คนก็ลืมเลือนเจ้าไปแล้ว! นี่จึงเป็นข้อแตกต่างระหว่างข้าและสวะเช่นเจ้า!”

“ฉินหยุน เจ้ายังคิดหรือว่าหลังเผยเรื่องผสานรวมจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวไปแล้ว หยางฉีเย่ว์จะได้อยู่ต่อไปอย่างไร้ซึ่งปัญหาใด? วางใจได้ ข้าจะสังหารนางด้วยวิธีการอันโหดร้ายทารุนให้เอง!”

อวี้เสินเจินกระตุ้นโทสะฉินหยุน สายตาเวลานี้จ้องมองดุดันไปที่หยางฉีเย่ว์ “กับโฉมงามเช่นนี้ เรือนร่างย่อมต้องวิเศษ ไม่เพียงแต่จะได้กัดกินนาง จะเป็นนางได้ทําให้ข้าพึงใจ!”

ฉินหยุนกําหมัดแน่น แม้เขาทราบว่าหยางฉีเย่ว์ไม่ใช่ง่ายลงมือด้วยเช่นที่อีกฝ่ายกล่าวอ้าง ทว่าหลังได้ยินคําของอวี้เสินเจิน เขาจึงลอบเกิดนึกกังวลทั้งยังมีโทสะ

หยางฉีเย่ว์เผยสีหน้าเรียบเฉย ตัวนางได้ตัดสินใจไปแล้ว หากฉินหยุนต้องบาดเจ็บร้ายแรงจากศึกครั้งนี้ นางจะไม่อดกลั้นพร้อมเข้าสังหารบรรดาอัจฉริยะจากเขตแดนลึกล้ําเหล่านี้จนครบถ้วน

ฝูงชนต่างต้องการได้เห็น หากฉินหยุนผู้ซึ่งเป็นอาจารย์จารึกมากพรสวรรค์ที่มีสองจารึกวิญญาณในครอบครอง ต้องต่อสู้กับอัจฉริยะเลิศล้ําจากเขตแดนลึกล้ํา หากชนะได้ เช่นนั้นเขาจะกลายเป็นยอดอัจฉริยะที่ไม่มีผู้ใดทัดเทียมทั้งวิถีจารึกและวิถียุทธ์แห่งเต๋า

ตึง!

เสียงระฆังดัง การต่อสู้เริ่มขึ้นแล้ว!

อวี้เสินเจินหัวเราะโฉดชั่ว ร่างกลับกลายเป็นภาพติดตานับไม่ถ้วนกระจายทั่วทั้งเวทีประลองยุทธ์ จากจุดนี้ แทบไม่อาจกล่าวได้ว่าเขาอยู่ที่ตําแหน่งใด

“ก้าวเท้าร่างเงาไร้ร่องรอยของน้องอวี้เป็นวิชายุทธ์สวรรค์ชั้นเลิศ นอกจากนี้แล้วยังเชี่ยวชาญถึงขั้นสมบูรณ์!” หลงเฉิงขวงยิ้มกล่าว “แม้เป็นข้า ก็ไม่อาจตรวจพบหาตําแหน่งได้ในระยะเวลาอันสั้น!”

ที่บนเวทีประลองยุทธ์ ร่างเงาของอวี้เสินเจินจํานวนมากวิ่งออกไปอย่างไร้รูปแบบ ราวกับมันเป็นสายลมที่พัดกระจายทั่วทิศ แม้เป็นราชันยุทธ์หรือจักรพรรดิยุทธ์ ก็ไม่มีทางพบเห็นว่าตัวเขาแท้จริงอยู่ที่ตรงใด

ทว่าฉินหยุนทราบ พลังจิตจันทราทมิฬของฉินหยุน มันสามารถเล็งเป้าหมายไปยังอวี้เสินเจินได้ตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่ว่าอีกฝ่ายคิดวิ่งเพียงใด ฉินหยุนย่อมทราบ

คิ้วของฉินหยุนพลันขมวดเล็กน้อย อวี้เสินเจินลงมือโจมตีแล้ว! เขาปลดปล่อยพลังจิตออกจนถึงขีดจํากัด ห้วงเวลาคล้ายเชื่องช้าลง เขาสามารถตรวจพบการโจมตี มันเป็นอาวุธ! และในพริบตา ฉินหยุนหลบเลี่ยงได้ทัน!

ร่างจําแลงภาพติดตาของอเสินเจินบนเวทีประลองยุทธ์เลือนหายหมดสิ้น อวี้เสินเจินยืนบนเวทีประลองยุทธ์ด้วยอาการตื่นตะลึง เพราะเมื่อครู่ เป็นฉินหยุนที่หายตัวไป! ฉินหยุนใช้เงาปลิดชีพลมหายใจสมบูรณ์

“ชายผู้นี้ถึงกับมีอาวุธในมือ! นั่นน่าจะเป็นมีดเล็กโปร่งใส จึงไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า!” ฉินหยุนอุทานอยู่ภายใน “ม่านพลังรอบเวทีประลองยุทธ์สามารถตรวจจับอาวุธ ทว่าไม่อาจตรวจพบมีดนั้น!”

หลงเฉิ่งขวงและอัจฉริยะอีกหลายคนต่างลอบนึกถึงในใจ เพราะฉินหยุนถึงขั้นทราบตําแหน่งของอเสินเจินกระจ่างแจ้ง!

ฉินหยุนฉับพลันปรากฏตัว ให้หลิงหยุนเอ๋อใช้แรงโน้มถ่วงมหาศาลกดดัน อวี้เสินเจินตื่นตะลึงสุดขั้ว เพราะพลังนี้แปลกประหลาดอย่างที่เขาไม่มีทางนึกหาทางร้านรับได้

โอกาสเผยออกแล้ว!

เฉินหยุนโจมตีด้วยเจ็ดฝ่ามือมังกรสมบูรณ์จากบนฟ้า เสียงมังกรร้องดังอย่างโศกศัลย์ เวทีประลองถึงกับสั่นสะท้าน

หลายคนต่างได้เห็นกระจ่างชัดตอนนี้ ฝ่ามือโจมตีของฉินหยุนและหยางฉีเย่วถึงขั้นเป็นวิชาเดียวกัน ตอนนี้พวกเขาจึงมั่นใจว่าฉินหยุนและหยางฉีเย่ว์มีสัมพันธ์ต่อกันอย่างยิ่ง เพราะทั้งสองถึงขั้นได้ทราบวิชายุทธ์ทรงพลังอํานาจเช่นเดียวกัน!

เจ็ดฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์ของฉินหยุนเผยอํานาจการโจมตีครั้งยิ่งใหญ่ มันร่วงหล่นเข้าบดทับใส่ร่างอวี่เสินเจิน กระนั้น ก็เพียงทําอี้เสินเจินได้แค่กระอักเลือดออก

ตู้ม!

ร่างกายอวี้เสินเจิน พริบตาเริ่มสั่นเทิ้มพร้อมปลดปล่อยพลังประหลาดทําการสลายแรงโน้มถ่วง จากนั้นเขาจึงยกมือขึ้นปลดปล่อยพลังเต่จํานวนมากออกมา

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!

หมัดอวี้เสินเจินต่อยกับอากาศ ปลดปล่อยเป็นหลายหมัดพุ่งเข้าหาฉินหยุนจากระยะไกล ภาพจําแลงอสูรร้ายได้ปรากฏพร้อมพุ่งเข้าคิดกลืนกินฉินหยุนในพริบตา!

ฉินหยุนกระทืบเท้ารุนแรง ร่างกายเริ่มสั่นขณะระเบิดเอาพลังสั่นไหวออกมาสลายภาพจําแลงอสูรร้ายเหล่านั้น

ทันใดนี้เอง อวี้เสินเจินจึงมาถึงตรงหน้าฉินหยุน ใบหน้าอีกฝ่ายเผยรอยยิ้มชั่วร้ายไม่คิดปิดบัง

“แย่แล้ว!” ฉินหยุนฉับพลันรู้สึกถึงบางอย่างที่เข้าสู่หน้าท้องตนเอง

สิ่งนี้คือเข็มยาวโปร่งแสง มันเป็นอาวุธลับ ตัวเขาไม่คิด ว่าอวี้เสินเจินผู้นี้ ไม่เพียงแต่มีมีดโปร่งแสง ทว่ายังมีอาวุธลับอื่นไว้ใช้งาน!

“ฉินหยุน เจ้าเคลื่อนไหวไม่ได้แล้วกระมัง? ทั้งยังพูดไม่ได้อีก?” มือของอวี้เสินเจินไพร่กลับไว้ด้านหลัง เขาเผยเสียงหัวเราะดังขณะมองที่ฉินหยุน

ฉินหยุนเองก็ยืนนิ่งไร้การเคลื่อนไหว สายตาจ้องมองที่อวี้เสินเจินซึ่งยังหัวเราะ

อวี้เสินเจินเผยเสียงอหังการอวดตึกล่าวคํา “ทุกคนจงรับชม ข้าขอเชิญให้พวกเจ้าเบิกตาให้ กว้างไว้ แล้วดูว่าข้าจะบดขยี้อาจารย์จารึกอัจฉริยะที่มีสองจารึกวิญญาณอย่างไร!”

ตอนนี้เอง บรรดาผู้อาวุโสเขตแดนลึกล้ํา รวมถึงคณะคนของหลงเฉิงขวงต่างสูดลมหายใจเข้าลึก เพราะพวกเขาทราบ ว่าอวี้เสินเจินใช้งานอาวุธลับได้สําเร็จ

อวี้เสินเจินใช้อาวุธลับโจมตีได้อย่างปราดเปรื่อง นอกจากนี้แล้ว มันยังไม่ใช่เป็นการทะลวงผ่านหน้าท้องฉินหยุน มันเหมือนดังความสามารถเทวะทะลุทะลวง มันผ่านผิวหนังและเนื้อของฉินหยุน เสียบเข้าเพียงแต่ที่ตะวันทมิฬ

อวี้เสินเจินเผยยิ้มกระหยิ่มก้าวเดินมาที่ตรงหน้าฉินหยุน

ทันใดนี้เอง ฉินหยุนจึงบีบบังคับนําเอาอาวุธลับโปร่งแสงออกจากตะวันทมิฬ แทงมันสวนกลับเข้าไปยังหน้าท้องของอวี้เสินเจินเสียเอง!

ตอนที่ 780 : สองดาบเป็นหนึ่ง

สีหน้าของเจี้ยนหนันหู่หนักอึ้ง เขากระชับดาบต้นกําเนิดในมือพร้อมก้าวเดินฝีเท้าเสียงดัง จากนั้นปลายดาบจึงชี้ที่หลงเฉิ่งขวง

ตึง ตึง ตึง!

เจี้ยนหนันหู่เคลื่อนไหวเชื่องช้า ฝีเท้าของเขาประทับกับพื้น ราวกับทุกย่างก้าวหนักหนานับหมื่นจิน เป็นผลให้ทั้งเวทีประลองสั่นไหวรุนแรง

ที่ทําผู้คนตื่นตะลึงก็คือ ยามที่เจี้ยนหนันหู่พุ่งตรงออกไป เสื้อผ้าของเขากลับกลายเป็นถูกฉีกกระชากออก ผิวหนังต้องปริแตก เนื้อและเลือดเผยให้เห็นไหลหลั่ง เพียงพริบตา เขาต้องกลับกลายเป็นมนุษย์เลือด

ครึก ครึก ครึก!

กระดูกเจี้ยนหนันหู่เริ่มแตกหัก เสียงกระดูกหักดังก้องต่อเนื่องให้ได้ยิน และทันใดนี้เอง ดาบต้นกําเนิดของเขาพลันระเบิดออก!

ตู้ม!

แรงระเบิดของดาบต้นกําเนิด ส่งผลให้เกิดสายลมกระโชกรุนแรงกระจายทั่วทิศ

เจี้ยนหนันหู่หยุดเคลื่อนไหว เขาตะโกนดัง “ข้ายอมแพ้!”

“พี่หู่” เจี้ยนรั่วหยานตะโกนดัง

ฉินหยุนขมวดคิ้วแน่น สายตามองทางหยางฉีเย่ว์ที่อยู่ข้างกาย คิ้วงดงามของนางก็ขมวดแน่นเช่นเดียวกัน สีหน้าเวลานี้หนักอึ้ง

โดยทันที ผู้คนของตระกูลหลงและฝักฝ่ายพันธมิตรที่มาร่วมชม เวลานี้ล้วนโห่ร้องตะโกนยินดีเป็นล้นพ้น

“หลงเฉิ่งขวง…. หลงเฉิ่งขวง…”

“หลงเฉิ่งขวงไร้ผู้ต้าน! หลงเฉิ่งขวงไร้ผู้ต้าน!”

หลายคนเวลานี้ยังตื่นตะลึงยามได้เห็นพลังชวนสะพรึงของหลงเฉิ่งขวง เจี้ยนหนันหู่เป็นที่ทราบกัน ว่าเป็นศิษย์ในรุ่นเดียวกันของตระกูลเจี้ยนซึ่งแข็งแกร่งที่สุด กระนั้นตอนนี้ ตัวเขาต้องพ่ายแพ้ด้วยสภาพอันย่ำแย่

เจี้ยนสือเทียนเร่งรีบปิดม่านพลัง เข้าไปช่วยรักษาอาการให้แก่เจี้ยนหนันหู่ ฉินหยุนเองก็เดินขึ้นบนเวทีประลองยุทธ์ เขาลอบสํารวจและตรวจพบทราบ ว่ากระดูกทั้งร่างกายท่อนบนของเจี้ยนหนันหู่แตกป่นละเอียด ด้วยเจี้ยนหนันหู่ฝึกฝนร่างเซียน ร่างกายย่อมต้องแข็งแกร่ง กระนั้นเขากลับต้องพ่ายแพ้เช่นนี้ต่อหลงเฉิ่งขวงที่ยืนนิ่งที่เดิมไร้การเคลื่อนไหว!

“เหอะ… เป็นผู้ที่ไม่รู้จักประมานตนเอง! อย่างไรแล้วก็ได้แค่นี้ แต่ก็ถือว่าพรสวรรค์ตระกูลเจี้ยนยังมีอยู่บ้าง หากเป็นผู้อื่น มันคงร่างแหลกออกเป็นชิ้นแล้ว!” หลงเฉิ่งขวงเผยน้ำเสียงอัดแน่นด้วยความเดียดฉันท์ เขาหัวเราะดังพอที่ทุกผู้คนในพื้นที่การแข่งขันจะได้ยิน

หลงเฉิ่งขวงมองที่ฉินหยุน ความโหดเหี้ยมของเขาเผยออกทางสายตา “ฉินหยุน เจ้าเองก็จะต้องมีจุดจบเช่นนี้”

อวี้เสินเจินกล่าวจากเบื้องล่าง “พี่ใหญ่หลง ท่านได้เจี้ยนหนันหู่ไปแล้ว ฉินหยุนย่อมเป็นของข้า มันไม่มีโอกาสได้ไปสู้กับท่านอย่างแน่นอน!”

หลงเฉิ่งขวงก้าวเดินลงจากเวทีประลองยุทธ์ ตระกูลหลงและผู้อาวุโสจากเขตแดนลึกล้ำต่างมาถึงกันคนแล้วคนเล่า พร้อมทั้งกล่าวชมเขาไม่ขาดปาก

หลังกินเม็ดยาไปจํานวนหนึ่ง เจี้ยนหนันหู่ค่อยลืมตาได้ พบเห็นฉินหยุนอยู่ที่นี่ เขาจึงกล่าวเสียงเบา “ฉินหยุน มันผู้นั้นแข็งแกร่ง พลังของมันอันใดไม่ทราบเข้าสู่ร่างกายขา ก่อนจะฉีกกระชากร่างกายข้าจากภายใน!”

“ข้ารู้” ฉินหยุนกล่าวตอบ

“หากเจ้าสู้กับมัน ดีที่สุดคือเตรียมยอมแพ้ทุกเมื่อ ข้าเป็นกังวล ว่ามันจะลงมือจนกว่าเจ้าจะตายตก!” เจี้ยนหนันหู่กล่าว

“ขอบคุณที่เจ้าห่วงหาแล้ว ตอนนี้ไปพักเสีย” ฉินหยุนตบไหล่เจี้ยนหนันหู่

ฉินหยุนอยู่กลุ่มที่สี่ ถัดจากนี้เป็นกลุ่มที่สาม และถึงคราวเจี้ยนรั่วหยานขึ้นสู้แล้ว!

เจี้ยนรั่วหยานคือคนของตระกูลเจี้ยน และนางก็มาจากนครเซียนยุทธภัณฑ์ นอกจากนี้แล้วความสัมพันธ์ระหว่างนางและฉินหยุนยังค่อนข้างดี ทั้งนางยังแข็งแกร่ง เพราะเหตุนั้นย่อมได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ

และตอนนี้ ขวัญกําลังใจของตระกูลเจี้ยนกําลังลดต่ำลงเพราะการถอนตัวของเจี้ยนหนันหู่ที่แพ้พ่าย ตระกูลเจี้ยนจึงไม่มียอดฝีมือใดหลงเหลือเข้าร่วมการแข่งขัน แม้กําลังเจี้ยนรั่วหยานค่อนข้างดี ทว่าตระกูลเจี้ยนก็หาได้คาดหวังใดจากนางนัก

ยอดฝีมือทุกคนต่างคิด ว่าผู้ที่สามารถเอาชนะหลงเฉิ่งขวงได้สมควรเหลือเพียงหยางเย่ว์แล้ว และหยางฉีเย่ว์ก็เป็นคนของเกาะจันทราปีศาจ และเกาะจันทราปีศาจก็เป็นพันธมิตรกับตระกูลเจี้ยน หากหยางฉีเย่ว์เอาชนะหลงเฉิ่งขวงได้ เช่นนั้นตระกูลเจี้ยนจึงค่อยรู้สึกดีขึ้นบ้าง

ตอนนี้ นอกจากฉินหยุนและหยางฉีเย่ว์ ผู้เข้าแข่งขันอื่นล้วนมาจากตระกูลเจี้ยนและตระกูลหลง และยังมีอัจฉริยะจากเขตแดนลึกลํ้าปะปนอีกเล็กน้อย ทางด้านศิษย์ตระกูลหลงและตระกูลเจี้ยนที่ประมือต่อกัน ถือว่าเป็นไปอย่างปกติ แม้ศิษย์ตระกูลหลงผู้นี้ดูไม่ค่อยเก่งกาจเท่าใดนัก ทว่าเขาก็เป็นร่างเซียนที่มีชื่อเสียงในแคว้นมังกรทะยานฟ้า

หลังจากที่ฉินหยุนได้แกะสลักอักขระโทเทมดาบที่เรือนร่างเจี้ยนรั่วหยาน นางจึงได้ฝึกฝนร่างดาบลึกล้ำ ถัดจากนั้น ด้วยปิงชิงและเปาเฉิงโฉ่วบํารุงเลี้ยงดู นางจึงฝึกฝนเกิดขึ้นเป็นร่างเซียนดาบ และก็มีคนเพียงน้อยนิดที่ทราบเรื่องนี้ กระทั่งเจี้ยนสือเทียนก็ยังไม่ทราบ

เจี้ยนรั่วหยาน กล่าวได้ว่าเลิศล้ำทุกสัดส่วนด้วยโทเทมดาบที่นางครอบครอง ทั้งนี้ นางยังได้เรียนรู้วิชายุทธ์โทเทมดาบอีกด้วย

“เจี้ยนรั่วหยาน นี่เจ้ายังหาญกล้าขึ้นมาหรือ? ไม่เห็นหรือไรว่าเจี้ยนหนันหู่พ่ายแพ้ไปด้วยสภาพเช่นไร?” อีกฝ่ายที่เป็นคนของตระกูลหลง เวลานี้แค่นเสียงกล่าวคําออก

คนของตระกูลหลงผู้นี้นามหลงเต๋อปิน เป็นชายร่างเตี้ยกํายํา มองไปพบว่าร่างกายเขาคล้ายก้อนหินแข็งที่อ ชุดหนังสีฟ้าครามที่เขาสวมใส่มีมังกรถูกปักประดับเอาไว้ เสื้อผ้าของศิษย์ตระกูลหลงทุกผู้คน ย่อมมีลวดลายมังกรปักประดับเอาไว้

เจี้ยนรั่วหยานเพียงสวมใส่ชุดเรียบง่ายสบาย ดาบต้นกําเนิดสีดําขาวทั้งสองของนางเผยความแน่วแน่ ฉินหยุนไม่คิด ว่าผ่านไปไม่กี่ปีที่ไม่ได้พบเจี้ยนรั่วหยาน นางจะถึงขั้นผสานดาบต้นกําเนิด และดาบเจตจิตทั้งสองรวมเป็นหนึ่งได้

เพราะเจี้ยนหนันหู่พ่ายแพ้ เจี้ยนรั่วหยานย่อมมีโทสะ หลังถูกอีกฝ่ายกระตุ้นอารมณ์ ความกราดเกรี้ยวของนางจึงพุ่งสูง เวลานี้จึงเผยออร่าดาบสะกดขมรุนแรงออกมา

หยางฉีเย่ว์พูดคุยผ่านเสียงสื่อสารกับฉินหยุน “เย่ว์หลานบอก ว่าเจ้าแกะสลักอักขระโทเทมดาบที่ร่างกายเจี้ยรั่วหยาน ทําให้นางได้ฝึกฝนร่างดาบ ภายหลังข้าได้หารือกับชิงชิง คิดว่าชิงชิงน่าจะช่วยชี้แนะแก่นาง ให้ผสานดาบทั้งสองรวมเป็นหนึ่ง นี่จึงเป็นการเพิ่มพูนพลังให้แก่นางได้มากขึ้น”

หลายปีที่ผ่านมา ปิงชิงคอยชี้แนะแก่เจี้ยนรั่วหยานให้ฝึกฝนที่ภายในเขตแดนจินตภาพเซียนยุทธภัณฑ์ ดังนั้นแล้ว กําลังของเจี้ยนรั่วหยานย่อมไม่มีทางอ่อนด้อย!

เสียงระฆังดังขึ้นแล้ว!

จิตใจเจี้ยนสือเทียนหนักอึ้ง เจี้ยนหนั่นหู่พ่ายแพ้ไปแล้ว ตอนนี้เขาก็กําลังจะได้เห็นศิษย์ตระกูลเจี้ยนอีกหนึ่งที่ต้องพ่ายแพ้อย่างเจ็บช้ำ

แม้หลงเต๋อปินดูเหมือนก้อนหินแข็งที่อ กระนั้นเขาไม่เชื่องช้า ทว่าปราดเปรียว เคล็ดวิชาเคลื่อนไหวยังแปลกประหลาด มันรวดเร็วยิ่ง! เขาสามารถเข้าถึงด้านหลังเจี้ยนรั่วหยานได้ในพริบตา และทันใดนี้ ร่างกายเจี้ยนรั่วหยานพลันต้องถูกรัดพันไว้โดยงูตัวน้อยที่คล้ายเชือกสีดํา

“โฉมงาม ให้ข้าได้สัมผัสรู้สึกหน่อยแล้ว!” หลงเต๋อปินเผยยิ้มโฉดชั่ว มือนั้นยื่นออกไปคิดจับบั้นท้ายเจี้ยนรั่วหยาน

ขณะหลงเต๋อปินคิดล่วงละเมิดต่อเจี้ยนรั่วหยาน ดาบยาวสีดําขาวจึงปรากฏที่เบื้องหลังเจี้ยนรั่วหยาน ก่อนมันจะสับฟันตัดเอามือของหลงเต๋อปินออกจากร่าง

“อ๊าก!” หลงเสื้อปินกรีดร้องเจ็บปวดเสียงดัง

ทั้งนี้ มันยังเป็นการตัดเชือกสีดําบนร่างกายของเจี้ยนรั่วหยานอย่างรวดเร็ว เรื่องราวชวนประหลาดที่สุดคือ ดาบนั้นสับฟันใส่เจี้ยนรั่วหยาน ทว่ามันไม่ตัดออกแม้ปลายผมของนาง นี่ย่อมต้องเป็นเจี้ยนรั่วหยานควบคุมดาบต้นกําเนิดได้อย่างไร้ที่ติ

ไม่มีผู้ใดคาดคิด ว่าดาบต้นกําเนิดของเจี้ยนรั่วหยานสามารถแปลกประหลาดได้เพียงนี้ มันถึงขั้นออกจากร่างกายของนางโดยตรง ทั้งยังเคลื่อนไหวปราดเปรียวประหนึ่งแขนขาของนางเอง ทั้งยังคมอย่างยิ่ง เพียงชั่วครู่ มันถึงขั้นตัดมือหลงเต๋อปินขาดออกได้

เจี้ยนรั่วหยานที่ลงมือสําเร็จ นางเกาะกุมดาบต้นกําเนิดไว้ พร้อมเร่งรีบจ้วงแทงออก! ดาบต้นกําเนิดของนางฉับพลันหลุดจากมือซ้ายพุ่งทะยาน! หลงเต๋อปินพลาดโอกาสเก็บกู้มือตนเอง ขณะนี้ต้องเร่งร้อนหลบเลี่ยง

ตั้งแต่ที่เจี้ยนรั่วหยานผสานดาบเจตจิตและดาบต้นกําเนิดรวมเป็นหนึ่ง นางจึงสามารถควบคุมดาบต้นกําเนิดของตนเองด้วยพลังจิตอย่างพลิ้วไหว

หลงเต๋อปินขยับศีรษะหลบเลี่ยง เขาคิดว่าสมควรหลบได้พ้น ผู้ใดกันทราบ ว่าดาบนั้นจะพลันแยกออกเป็นสอง ดาบหนึ่งขาวและหนึ่งดํา กลับกลายเป็นพร้อมกันทิ่มแทงใส่ศีรษะของหลงเต๋อปินอย่างพร้อมเพรียง

ฝูงชนต่างระเบิดเสียงร้องฮือฮาดังออกมา ไม่มีผู้ใดคาดคิด ว่าสตรีเช่นเจี้ยนรั่วหยาน จะถึงขั้นสามารถตอบโต้โจมตีออกอย่างดุดันเผ็ดร้อนเช่นนี้ได้

“ตัวบัดซบเอ๋ย เจ้าคิดแตะต้องกายข้างั้นหรือ?” เจี้ยนรั่วหยานสบถออกเสียงเบา จากนั้นนางจึงควบคุมดาบให้แปรสภาพ

ดาบกลับกลายเป็นใหญ่ขึ้น มันผ่าแยกศีรษะของหลงเต๋อปินออกเกิดเป็นการระเบิดเลือดเนื้อ จากนั้นดาบทั้งสองจึงค่อยรวมกลับคืนเป็นหนึ่งอีกครั้ง!

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!

เจี้ยนรั่วหยานควบคุมดาบต้นกําเนิด เข้าทิ่มแทงร่างของหลงเต๋อปินทั้งหน้าและหลัง จนร่างนั้นเกิดขึ้นเป็นบาดแผลทะลุเห็นอีกฝั่งถึงหลายรูด้วยกัน!

ศิษย์ตระกูลหลงอีกหนึ่งชีวิตต้องสิ้นชีพ และเป็นการถูกสังหารโดยสตรี! เวลานี้ ผู้คนตระกูลหลงเกลียดชังเจียนรั่วหยานแทบตายตกแล้ว!

เจี้ยนสือเทียนครานี้ค่อยถอนหายใจโล่งอกได้ ตระกูลเจี้ยนค่อยกอบกู้ขวัญกําลังใจคืนมา อย่างน้อยเจี้ยนรั่วหยานก็หาได้อ่อนแอดังเช่นที่พวกเขาคาดคิดเอาไว้ไม่

เจี้ยนรั่วหยานเดินลงจากเวทีประลองยุทธ์ ปลายทางฝีเท้าของนางคือฉินหยุน ขณะนางกําลังจะเคลื่อนผ่านอวี้เสินเจิน เขาพลันยืนขาออกคิดเตะสกัดเจี้ยนรั่วหยาน เป็นผลให้นางต้องล้มลงด้านหน้า ฉินหยุนต้องเร่งร้อนเข้าไปคว้ารับร่างของนางเอาไว้

เจี้ยนรั่วหยานระเบิดโพล่งโทสะออก “อวี้เสินเจิน ไอ้ตัวบัดซบ!”

ฉินหยุนกล่าวอย่างเฉยชา “มั่นผู้นี้มีอาการป่วยทางจิต ไว้อีกไม่นานข้าจะรักษามันให้ ตราบเท่าที่มันตาย อาการป่วยของมันย่อมตายตามไปด้วย!”

อวี้เสินเจินเผยเสียงหัวเราะ “ข้าก็เพียงหยอกล้อเล่น! ว่าไป เจ้าแข็งแกร่งเพียงนั้น ทว่ากลับถูกข้าสกัดขาไว้ได้ นี่ไม่ใช่หมายความถึงกําลังเจ้าอ่อนด้อยกว่าข้าหรือไร? ตัวเจ้าเป็นยอดยุทธ์อันเลิศล้ำ กระนั้นกลับถูกผู้อื่นเตะสกัดจนเกือบล้ม!”

ฉินหยุนแค่นเสียงกล่าว “เพราะไม่มียอดยุทธ์ผู้ใดกระทําเรื่องต่ำทรามเช่นที่เจ้าทํา!”

อวี้เสินเจินจับจ้องหยางฉีเย่ว์ เขากล่าว “ฉินหยุน เจ้าก็ได้แต่ปากดีไปเรื่อย จงรอคอยสักประเดี๋ยว ข้าจะทําให้เจ้าไม่มีปากได้พูดกล่าวอีกเป็นครั้งที่สอง!”

“พี่หยน อย่าไปสนตัวบัดซบนี้!” เจียนรัวหยานถึงฉินหยุนถอยฉากออกมา

อขี้เงินจนคือตัวบัดซบอย่างแท้จริง เขาเตะสกัดขาผู้อื่นกลั่นแกล้งไปเรื่อย การกระทําเหล่านี้หาได้เผยความดีงามใดออกไม่ กระนั้น เขาก็กล่าวได้ว่าเป็นผู้มีฝีมือคนหนึ่ง ทว่าเป็นผู้มีฝีมือที่ไร้ยางอาย!

สุดท้ายแล้ว ถึงเวลาการแข่งขันของกลุ่มที่สี่ ฉินหยุนและอวี้เสินเจิน ในที่สุดพวกเขาก็จะได้ต่อสู้กันแล้ว

ในศึกก่อนหน้า ตระกูลหลงและตระกูลเจี้ยนต่างพ่ายแพ้กันไปด้วยจํานวนทัดเทียมกัน กําลังพวกเขากล่าวได้ว่าทัดเทียม บรรดาอัจฉริยะจากเขตแดนลึกล้ำต่างได้รับชัยชนะมาครอง และคู่ต่อสู้พวกเขายังบาดเจ็บหนัก อวี้เสินเจินคือศิษย์จากเขตแดนลึกล้ำคนสุดท้ายที่ต้องขึ้นประลอง

หลงเฉิ่งขวงกล่าวด้วยสีหน้าอันสงบ “หากน้องอวี้เอาจริง กระทั่งข้าก็ยังต้องหวั่นเกรงระดับหนึ่ง และครานี้เหยื่อคือฉินหยุน เป็นมันต้องตายแน่นอนแล้ว!”

อัจฉริยะผู้อื่นจากเขตแดนลึกล้ำหัวเราะเสียงดัง “แต่หากมันประกาศยอมแพ้ในพริบตา เช่นนั้นมันจึงไม่ตาย ทว่าต่อหน้าพี่ใหญ่อวี้ มันย่อมไม่มีโอกาสได้เผยเสียงใดออกมา!”

ฉินหยุนยืนที่ด้านบนเวทีประลองยุทธ์ โทสะภายในหัวใจของเขากําลังถูกผลาญไหม้เป็นเชื้อเพลิง ตัวเขากําลังสะกดข่มโทสะภายในใจเอาไว้ เขาคิดอยากใช้ศึกนี้ เป็นการผสานระหว่างพลังอันเหนือล้ำของเขาและโทสะเพื่อปลดปล่อยพวกมันออกไปพร้อมกัน

เจี้ยนรั่วหยานพลันเกิดนึกกังวลห่วงหาฉินหยุน เพราะนางยังจดจําภาพฉากที่เจี้ยนหนันหู่พ่ายแพ้ก่อนหน้านี้ได้

อัจฉริยะจากเขตแดนลึกล้ำ พวกเขาทั้งลึกลับและแกร่งกล้า เช่นกัน ไม่มีผู้ใดทราบว่าพวกเขาใช้พลังอันใด

ตอนที่ 779 : อัจฉริยะแห่งเขตแดนลึกล้ำ

หลงเฉิ่งขวงคือผู้แรกที่ขึ้นไปจับไข่มุก เขาได้รับหมายเลขเจ็ด ผู้เข้าร่วมแข่งขันมีทั้งสิ้นสี่สิบแปดคน หมายความถึงจะมียี่สิบสี่คู่ประลอง ไม่นานจากนั้น อัจฉริยะผู้อื่นจากเขตแดนลึกล้ำจึงขึ้นไปจับไข่มุก

“พี่หยาง ท่านคิดอยากสู้กับศิษย์ของเขตแดนลึกล้ำหรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถามหยางฉีเย่ว์ผ่านทางเสียงสื่อสาร

“ข้ายังไม่คิดสู้ ต้องการรับชมก่อนสักรอบถือเป็นดี” ได้ยินคําถามเช่นนี้จากฉินหยุน หยางฉีเย่ว์จึงได้ทราบ ว่าฉินหยุนสามารถควบคุมไข่มุกดังใจนึก

เมื่อถึงคราวหยางฉีเย่ว์จับไขมก ฉินหยนจึงเลือกศิษย์ตระกลหลงที่อ่อนด้อยไปสู้กับนางคนหนึ่ง ทางด้านเจี้ยนรั่วหยานก็เช่นเดียวกัน แต่ยามที่ถึงคราวเจี้ยนหนันหู่ ด้วยฉินหยุนควบคุมเขาจึงคว้าจับหมายเลขเจ็ดขึ้นมาได้

“ฮ่าฮ่า หลงเฉิ่งขวง เจ้าต้องจบสิ้นแน่แล้ว!” เจี้ยนหนันหู่เองก็ไม่คาดคิด ว่าตนเองจะจับไข่มุกหมายเลขเจ็ดขึ้นมาได้ ตัวเขายินดีเป็นล้นพ้นขนาดชูมันขึ้นสูงพร้อมหัวเราะดังใส่หลงเฉิ่งขวง

เจี้ยนสือเทียนเองคิด ว่าเรื่องบังเอิญนี้ช่างเกินไป หลานชายของเขาถึงขั้นได้สู้กับหลงเฉิ่งขวงรวดเร็วเพียงนี้

ฉินหยุนจับไข่มุกหมายเลขสิบห้าขึ้นมาได้ อีกฝ่ายที่จับหมายเลขสิบห้าขึ้นมาเป็นอวี้เสินเจิน ตัวอวี้เสินเจินเองก็พบว่าเรื่องราวชวนประหลาดใจ กระนั้นเขากลับไม่คิดใดมาก เพราะเขาเองก็คิดต่อสู้โดยเร็วเช่นกัน

ฉินหยุนยังไม่ทราบกําลังของหลงเฉิ่งขวงกระจ่างชัด ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการต่อสู้กับอีกฝ่ายแต่รอบแรก ดังนั้น เขาจึงให้เจี้ยนหนันหู่ออกไปรีดเค้นกําลังของอีกฝ่ายออกมา เขายังคิด ว่าด้วยกําลังของเจี้ยนหนันหู่ แม้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลงเฉิ่งขวง อย่างน้อยเขาก็ต้องทําให้หลงเฉิ่งขวงเผยกําลังออกมาได้บ้าง

หลงเฉิ่งขวงเชี่ยวชาญพลังลับประหลาด นับเป็นตัวตนอันตรายที่สุดในที่นี้ มีแต่ฉินหยุนจึงมีความสามารถรับมือพลังลับประหลาดนั้นไว้ได้

เวลานี้มีเวทีการแข่งขันถึงสี่ ดังนั้นการแข่งขันทั้งสี่คู่จะดําเนินไปพร้อมกัน หยางฉีเย่ว์ได้ไข่มุกหมายเลขสาม ดังนั้นนางจึงเป็นกลุ่มแรกที่ขึ้นประลอง และในกลุ่มแรก ก็มียอดยุทธ์อัจฉริยะจากเขตแดนลึกล้ำคงอยู่ คู่ต่อสู้ของพวกเขา คือตระกูลหลงและตระกูลเจี้ยน

หลังจากที่หยางฉีเย่ว์ขึ้นบนเวที ทั้งกายของนางพลันเกิดแปรเปลี่ยน! ปกตินางคล้ายบุคคลผู้เย็นเยือก กระนั้นตอนนี้ นางกลับกลายเป็นมีจิตสังหารเปี่ยมล้น ดวงตางดงามของนางเผยแต่เจตนาสังหารต่ออีกฝ่าย และนางก็ไม่คิดซ่อนเร้นจิตสังหารนี้ เพราะอีกฝ่ายคือตระกูลหลง

ครั้งที่นางอยู่ในเทือกเขานิราศจันทรา ก็เป็นตระกูลหลงที่ไล่ล่าคิดสังหารนางจนได้รับบาดเจ็บ เดิมนางหาได้สนใจการแข่งขันเช่นนี้ไม่ กระนั้น นางพบว่าตระกูลหลงได้ส่งศิษย์มากพรสวรรค์หลายคนเข้าร่วมการแข่งขัน ดังนั้นนางจึงตัดสินใจเข้าร่วม นางคิดอยากใช้การแข่งขันนี้ทําให้ผู้คน ได้ทราบว่าการยั่วยุนางต้องมีผลกรรมเช่นไร!

ตระกูลหลงมีพลังอํานาจกว้างใหญ่ไพศาล พวกเขามีรุ่นเยาว์มากมาย กระนั้นศิษย์ที่มีพรสวรรค์ กล่าวได้ว่ามีเพียงจํานวนหนึ่ง และวันนี้ บรรดาผู้ซึ่งมาจากตระกูลหลง ล้วนแล้วแต่เหนือล้ำกันทั้งสิ้น

เข้าร่วมการแข่งขันเช่นนี้ มันเป็นเรื่องของความเป็นและความตาย หลายปีมาแล้ว ฝ่ายใหญ่ทั้งหลายต่างต่อสู้กันเองหลายครั้งคราผ่านการแข่งขันเช่นนี้ อัจฉริยะหลายคนต้องตายในการแข่งขัน กระนั้นสําหรับหลายคน ผู้ซึ่งตายจากบนเวทีการแข่งขันย่อมไม่ใช่อัจฉริยะ พวกเขาเป็นเพียงก้อนหินให้อัจฉริยะแท้จริงได้ก้าวเหยียบข้ามผ่าน

และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ผู้ชมต่างมีอารมณ์ร่วมร้อนแรง เพราะพวกเขาคิดอยากเห็นผู้ได้ชื่ออัจฉริยะร่วงหล่น ผู้คนธรรมดาชื่นชอบเรื่องราวเช่นนี้อย่างยิ่ง

อัจฉริยะที่วางตัวสูงส่งต่อคนธรรมดามากเพียงใด พวกเขายิ่งกดข่มผู้อื่นมากเพียงนั้น กล่าวได้ว่าหลายคนคิดอยากเห็นพวกเขาเหล่านั้นตายจาก อย่างไรแล้วก็ไม่ใช่พวกเขาที่ถูกสังหาร

สําหรับปุถุชนทั่วไป อัจฉริยะทางวิถียุทธ์แห่งเต๋หาได้ใช่เรื่องสําคัญ แต่เป็นเรื่องที่ว่าจะสามารถมีชีวิตยืนยาวได้หรือไม่ มีแต่ชีวิตยืนยาว จึงค่อยได้เห็นอัจฉริยะร่วงโรยไปคนแล้วคนเล่า อย่างไรแล้วก็ไม่มีผู้ใดโต้เถียง ว่าการมีชีวิตยืนยาวจึงเป็นสิ่งสําคัญ และนี่ก็เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนทั้งหลายใฝ่หา

แม้หยางฉีเย่ว์อัดแน่นด้วยจิตสังหาร ทว่าคู่ต่อสู้ของนางหาได้หวั่นเกรงใดไม่ สําหรับหลายคน แม้สตรีมีจิตสังหารเป็นล้นพ้นก็เพียงเท่านั้น รุ่นเยาว์จากตระกูลหลงผู้นี้ นามหลงฉู่อ้ายหยุน ร่างของเขาสูงกว่าสองเมตร และไม่ใช่จอมกล้ามเนื้อ ทั้งยังสวมใส่ชุดสีเขียว ดังนั้นอีกฝ่ายจึงมีรูปลักษณ์ประหนึ่งต้นไผ่! ศิษย์ของตระกูลใหญ่ทั้งหลายย่อมคุ้นเคยกับหลงอ้ายหยุนผู้นี้อย่างดี

เจี้ยนรั่วหยานยืนข้างฉินหยุนพร้อมกล่าวเสียงเบา “พี่หยุน หลงฉู่อ้ายหยุนผู้นี้ครอบครองวิญญาณมังกรถึงสอง กระทั่งว่ามีวิญญาณยุทธ์มังกรแท้จริง ที่น่ากลัวที่สุด คือพลังแก่นเต๋าลึกล้ำของเขา มันสามารถผสานรวมแก่นเต๋าลึกล้ำมังกรทั้งสอง ก่อเกิดขึ้นเป็นแก่นเต๋าลึกล้ำที่สามขึ้นมา

ฉินหยุนอุทาน “ฟังดูน่าทึ่งนัก!”

“เพราะเหตุนั้นพลังลึกล้ำของเขาจึงชวนสะพรึง!” เจี้ยนรั่วหยานกล่าวอีกครั้ง

“พี่หยางอย่างไรก็ต้องชนะมั่นได้!” ฉินหยุนไม่กังวลเรื่องหยางฉีเย่ว์แม้แต่น้อย อย่างไรแล้วนางครั้งหนึ่งเคยเป็นเซียน และยังเป็นถึงนายหญิงน้อยแห่งพระราชวังกวงหาน ทั้งยังครอบครองวิญญาณยุทธ์จันทราทมิฬ

เวทีแข่งขันทั้งสี่พร้อมแล้ว ม่านพลังเปิดออก เสียงระฆังดัง การต่อสู้จึงเริ่มต้นขึ้น

หลายคนต่างให้ความสนใจกับศึกของหยางฉีเย่ว์ เพราะนางคือสตรีที่โด่งดัง! นางได้รับจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวจากเทือกเขานิราศจันทราด้วยตนเอง จากนั้นจึงหลบซ่อนจากยอดฝีมือได้ นานนับจนกระทั่งทําให้ฝ่ายขั้วอํานาจใหญ่ต้องส่งคนไปตายจํานวนมาก

ตั้งแต่ที่นางกลับจากเทือกเขานิราศจันทรา ข่าวลือว่าจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวยังอยู่กับนาง แม้มีข่าวลือว่าหยางฉีเย่ว์เป็นคนรักของฉินหยุน กระนั้นข่าวลือนี้ไม่ได้มีการยืนยัน ดังนั้นแล้วผู้คนจึงไม่เชื่อ ว่าจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวตกอยู่ในมือฉินหยุนแล้ว

“แม่นางหยางผู้งดงาม ข้าย่อมไม่สังหาร เพียงแต่จะทําให้เจ้าพูดกล่าวอันใดไม่ได้ แล้วทําให้เจ้าได้รับรู้ถึงความอบอุ่นอ่อนโยนจากข้า!”

ดวงตาหลงอ้ายหยุนเผยประกายความชั่วร้าย ลิ้นเลียรอบริมฝีปาก จากนั้นแขนจึงกางออกมังกรดุร้ายทองม่วงถึงสามตัวพลันปรากฏจากร่าง

โฮก โฮก โฮก!

สามมังกรพิโรธเผยเขี้ยวเล็บหมายเข้าโจมตีใส่หยางฉีเย่ว์ ที่ทําผู้คนตื่นตะลึง คือมังกรทั้งสามไม่ใช่ภาพจําแลง รูปลักษณ์ของพวกมันเหมือนจริงเป็นอย่างยิ่ง

“ด้วยมดปลวกสามตัวนี้ เจ้าคิดว่าเอาชนะข้าได้งั้นหรือ?” หยางฉีเย่ว์แค่นเสียง ฉับพลัน กลุ่มก้อนพลังงานสีดําพลันปรากฏจากฝ่ามือขาวนวลของนาง

ทันทีที่มังกรพิโรธทั้งสามกลับกลายเป็นลําแสงทองคําพุ่งมา หยางฉีเย่ว์จึงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย มังกรทั้งสามกลายเป็นไร้การเคลื่อนไหว เพราะพวกมันสูญเสียเป้าหมายอย่างไร้ร่องรอย

เคล็ดวิชาเคลื่อนไหวของหยางฉีเย่ว์ ชัดเจนว่าเป็นเงาปลิดชีพลมหายใจสมบูรณ์ของฉินหยุน!

หลงฉู่อ้ายหยุนพลันปลดปล่อยพลังจิตถึงขีดสุดออกมาจับความผันแปรพลังงานรอบด้าน ยามที่พยายามสัมผัสถึง หยางฉีเย่ว์ได้ปรากฏเบื้องหลัง หลงฉู่อ้ายหยุนตรวจพบอันตรายอย่างกะทันหัน ร่างกายของเขาระเบิดออร่ามังกรออกมา มังกรน้อยใหญ่ปรากฏในพริบตาพร้อมปกคลุมร่างของเขาเอาไว้

หลายคนพบว่าเรื่องราวน่าขัน หลงฉู่อ้ายหยุนเมื่อครู่เพิ่งอวดดีเป็นล้นพ้นออกมา กระนั้นเพียงพริบตา กลับต้องแปรสภาพเป็นเต่าหดหัวอยู่หลังกระดองหนาเสียเอง

หยางฉีเย่ว์ใช้ฝ่ามือโจมตี มังกรร้องคํารามดังสนั้น เสียงร้องนี้เป็นฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์ ก่อนหน้านี้ ฉินหยุนเคยขอให้หยางฉีเย่ว์ช่วยศึกษาและชี้แนะพระสูตรหัวใจเก้าสมบูรณ์ ดังนั้นหยางฉีเย่ว์ ย่อมต้องทราบเคล็ดวิชายุทธ์เหล่านี้

“เป็นเจ็ดฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์ นอกจากนี้ ยังใช้ออกได้ง่ายดายในท่วงท่าไม่จริงจังด้วย!” ฉินหยุนเกิดนึกหวาดกลัวขึ้นภายใน

เพราะสําหรับเขา การใช้เจ็ดฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์ถือเป็นเรื่องยาก ตามปกติเขาแทบจะไม่คิดใช้เลยด้วยซ้ำ ที่ทําเขาตื่นตะลึงที่สุดก็คือ หยางฉีเย่ว์ได้ควบแน่นเจ็ดฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์ออกด้วยสองฝ่ามือ!

ตู้ม

ฝ่ามือของนางเคลื่อนคล้อย เสียงคํารามร้องมังกรพิโรธดังนับไม่ถ้วน ลําแสงทองม่วงระเบิดทะลักออก มังกรทองม่วงบนร่างของหลงฉู่อ้ายหยุนแหลกสลาย และแม้ร่างกายถูกปกคลุมชั้นแล้วชั้นเล่า เขาก็ยังต้องกระอักเลือดออกมาคําโตเพราะฝ่ามือที่โจมตีเข้าใส่

ตัวเขาเวลานี้เร่งรีบหลบเลี่ยงทิ้งระยะ ใบหน้ามีแต่ความหวาดกลัวปรากฏ หลงคู่อ้ายหยุนไม่คิดกล่าวยามแพ้ กระนั้น เขาก็หวาดเกรงต่อความตาย ขณะเขาคิดกล่าวคํายอมแพ้ออก ฝ่ามือชุดที่สองของหยางฉีเย่ว์จึงมาถึง พลังงานฝ่ามือสีแดงมาถึงรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้า มันมาพร้อมเสียงร้องมังกรอันวิปโยค

ตู้ม!

พลังฝ่ามือเคลื่อนถึงราวแสงวูบในพริบตา ส่งร่างหลงฉู่อ้ายหยุนกระเด็น ยิ่งหลงฉู่อ้ายหยุนถูกพลังฝ่ามือโจมตีมากครั้งเท่าใด พลังฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์ที่เข้าสู่ร่างของเขาจะยิ่งเท่าทวี ทําการฉีกร่างเซียนอันเลิศล้ำของเขาออกเป็นเสี่ยง

ตู้ม!

เสียงดังกึกก้องบังเกิด ร่างกายหลงอ้ายหยุนกลับกลายระเบิดออกเป็นชิ้นเนื้อปะทะม่านพลังโปร่งแสง จากนั้นจึงค่อยไถลลงด้วยความข้นหนืดของเลือดลงไปตามม่านพลัง

มันเกิดขึ้นแล้ว!

อัจฉริยะได้ร่วงหล่นแล้ว!

บรรดาฝูงชนที่รับชมต่างเงียบงันตื่นตะลึงไปครู่ จากนั้นจึงพร้อมใจกันระเบิดเสียงโห่ร้องตะโกนดัง

หลงฉู่อ้ายหยุนตายโดยไม่เหลือศพไว้ให้ดูต่างหน้า!

เจี้ยนรั่วหยานรู้สึกร่างกายเหน็บชายามรับชม หยางฉีเย่ว์มีกําลังเหนือล้ำและชวนสะพรึงกว่าที่นางคิดเอาไว้มาก

ฉินหยุนหาได้แปลกใจใดไม่ เขาเพียงรู้สึก ว่าบรรดาสตรีของพระราชวังกวงหาน ไม่ว่าชาติภพก่อนหรือชาติภพนี้ พวกนางล้วนเหนือล้ำกันทั้งสิ้น

ผู้คนตระกูลหลงมีโทสะ กระนั้นพวกเขาก็ได้แต่สบถก่นด่าออก ผู้คนล้วนทราบว่าตระกูลหลงคือผู้ร้ายที่ไล่ล่าหยางฉีเย่ว์อย่างหิวกระหาย ทั้งยังเคยทํานางบาดเจ็บร้ายแรง

ตอนนี้หยางฉีเย่ว์ไม่คิดเก็บความรู้สึกคับแค้นนั้นไว้ นี่ถือเป็นเรื่องปกติ ขณะที่หยางฉีเย่ว์ก้าวเดินลงจากเวทีประลอง เจี้ยนสือเทียนและครึ่งเซียนทั้งหลายของตระกูลเจี้ยนจึงเข้ามาคุ้มกันให้แก่นาง

เดิมงานชุมนุมยุทธ์ดาบจัดขึ้นเพื่อเป็นการประชันระหว่างตระกูลเจี้ยนและตระกูลหลง ตอนนี้ศิษย์ตระกูลหลงถูกสังหาร นี่ย่อมเป็นเรื่องราวที่ตระกูลเจี้ยนยินดีได้พบเห็นเป็นที่สุด

ดังนั้นแล้ว พวกเขาย่อมต้องให้การคุ้มกันแก่บุคคลที่กล้าลงมือต่อตระกูลหลง เรื่องนี้ยิ่งทําให้สีหน้าผู้คนตระกูลหลงอัปลักษณ์จนดูไม่ได้

ศึกทั้งสี่คู่ของกลุ่มแรกตัดสินผลกันได้แล้ว ตอนนี้จึงเป็นเวลาของกลุ่มที่สอง หลายคนต่างคาดหวัง เพราะกลุ่มที่สองมีการปะทะกันระหว่างเจี้ยนหนันหู่และหลงเฉิ่งขวง ทั้งเจี้ยนหนันหู่และหลงเฉิ่งขวงต่างมีใจคิดอยากต่อสู้กันเองเป็นล้นพ้นอยู่ก่อนแล้ว

“เจี้ยนหนันหู่คิดอยากสู้กับหลงเฉิ่งขวงออกหน้าออกตา ที่เราทําก็เพียงให้เขาได้สมหวัง และก็คาดหวังให้เขาได้รับชัยชนะ!” ฉินหยุนกล่าวคําอยู่ในใจ

ที่นี่ มีแต่ฉินหยุนที่ทราบกําลังแท้จริงของเจี้ยนหนันหู่ กระทั่งว่าไม่ได้พบกันหลายปีแล้ว ฉินหยุนก็ยังรับรู้ได้ ว่าเจี้ยนหนันหู่มีความคืบหน้าไม่มากเท่าใดนัก

เจี้ยนสือเทียนย่อมคาดหวังยามได้เห็นศึกนี้ เพราะเจี้ยนหนันหู่คือหลานชายของเขา และภายในใจของเขาก็มีความว้าวุ่นใจปรากฏเช่นกัน หลงเฉิ่งขวงอย่างไรแล้วก็เป็นอัจฉริยะจากเขตแดนลึกล้ำ และยังเป็นคนของตระกูลหลง เขาย่อมต้องเลิศล้ำขนาดที่ทําให้เขตแดนลึกล้ำมอบความสําคัญให้

เจี้ยนสือเทียนลั่นระฆังใบใหญ่ การศึกเริ่มขึ้นแล้ว!

หลงเฉิ่งขวงยืนนิ่งที่ตรงเดิม คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย จากนั้นเวทีประลองฉับพลันจึงเริ่มสั่นไหว

เจี้ยนหนันหู่ปลดปล่อยดาบต้นกําเนิดในทันที จากนั้นจึงร้องคํารามดัง ระเบิดเอาพลังสีขาวออกจากร่างกํายําสูงใหญ่ นี่คือการก่อเกิดซึ่งดาบจําแลงนับไม่ถ้วนที่พร้อมพุ่งออก

หลงเฉิ่งขวงเพียงแต่ยืนนิ่งเช่นเดิม ชุดสีทองคําหรูหราของเขาพลิ้วไหวกับอากาศ ร่างกายเผยประกายแสงสีทองวิบวับ จากนั้นจึงค่อยมีลําแสงสีทอง ม่วง และแดงปรากฏควบแน่นออกมา

ไม่มีผู้ใดทราบ ว่าหลงเฉิ่งขวงคิดทําอันใดจึงทําให้เวทีประลองสั่นไหวเช่นนี้

ตอนที่ 778 : ล้างสังหารหุ่นเชิด

ร่างกายของหุ่นเชิดวัชระแกร่งกล้า โดยเฉพาะที่ศีรษะ มันสามารถต้านรับการโจมตีของอุปกรณ์เต๋าได้ด้วยซ้ำ

กระนั้นตอนนี้ ฉินหยุนได้ระเบิดศีรษะของมันออกเป็นเสี่ยงด้วยนิ้วเพียงสอง!

ผู้คนจากเขตแดนลึกล้ำต่างนิ่งค้าง! พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้ ว่าเหตุใดฉินหยุน ผู้ซึ่งยังไม่ก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ กลับกลายเป็นมีพลังลึกล้ำชวนสะพรึงเช่นนี้ได้

สาเหตุว่าทําไมพวกเขาไม่ทราบเรื่องฉินหยุนก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ นั่นก็เพราะฉินหยุนฝึกฝนตะวันทมิฬ เขาไม่ได้ทําให้แก่นเต๋าลึกล้ำถือกําเนิดขึ้น

และแม้ศีรษะหุ่นเชิดวัชระจะแตกออกเป็นเสียงกระจัดกระจาย มันก็ยังไม่ได้ร่วงโรยที่เท่านี้ เพราะแก่นของมันไม่ได้อยู่ที่ศีรษะ ดังนั้นจึงยังสามารถโจมตีต่อ

ตอนนี้ ผู้คนของเขตแดนลึกล้ำจึงเข้าควบคุมหุ่นเชิดโดยตรง หุ่นเชิดพลันแปรเปลี่ยน สองหมัดโรมรันออกนับไม่ถ้วนเกิดเสียง “ตึง ตึง ตึง” ดังขึ้นรัวไม่หยุด มันประหนึ่งสายฟ้าอสนีบาตฟาดฟันออกซึ่งหน้า พลังหมัดแปรเปลี่ยนเปรียบดั่งสายฟ้าเข้าปกคลุมพื้นที่กว้าง

ฝูงชนที่รับชมต่างต้องยืนขึ้น ที่พวกเขาได้เห็นตอนนี้ คือสายฟ้าทองคําได้ปกคลุมพื้นที่ และคล้ายกับร่างของฉินหยุนได้ถูกทะลวงผ่านโดยหมัดพลังสายฟ้าทองคําจํานวนมหาศาล กระนั้นแล้ว เขาก็ยังยืนนิ่งที่เดิมเช่นก่อนหน้า และร่างกายหาได้ฉีกขาดอันใดไม่

“นั่นเป็นภาพติดตา!” ผู้หนึ่งร้องตะโกนขึ้น

หุ่นเชิดวัชระโจมตีเพียงแต่ภาพติดตาของฉินหยุน ส่วนฉินหยุนตัวจริงนั้นเลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย ฉินหยุนใช้งานก้าวเท้าเก้าสมบูรณ์ เงาปลิดชีพลมหายใจสมบูรณ์พร้อมเลือนหายโดยหมดจดไปชั่วครู่

“ฉินหยุนอยู่บนฟ้า!”

คนหนึ่งเห็นร่างเงาปรากฏ อีกฝ่ายเผยตัวขึ้นบนฟากฟ้า และช่วงเวลานี้ ฉินหยุนได้ทะยานร่างลงอย่างดุดันจากฟากฟ้าเบื้องบน! ขณะเขาทะยานตัวลงมา หุ่นเชิดวัชระจึงต่อยหมัดขึ้นสู่ท้องฟ้า สายฟ้าอสนีบาตทองคํามวลหนาจึงทะลักขึ้นสูงคิดกลืนกินฉินหยุน

ตู้ม

ฉินหยุนสะบัดฝ่ามือ ทําการสะกดพลังอสนีบาตทองคํานั้นลง พลังฝ่ามือระเบิดออก เกิดเป็นสายลมกระโชกรุนแรงส่งเสียงร้องโหยหวนประหนึ่งมังกรโศกา

ฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์

แม้เป็นเพียงห้าฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์ ทว่าด้วยกําลังของฉินหยุนตอนนี้ มันมากเกินพอที่จะทําลายล้างหุ่นเชิดวัชระจนสิ้น

ตู้ม

ห้าฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์ได้เข้ากลืนกินอสนีบาตทองคํา ก่อนจะพุ่งตรงต่อเข้าหาร่างหุ่นเชิดวัชระ เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวขนาดทุกผู้คนที่ได้รับฟังต้องหูดับไปชั่วครู! ร่างหุ่นเชิดวัชระเกิดขึ้นซึ่งรอยปริแตกจํานวนมาก มันราวกับก้อนน้ำแข็งที่พร้อมแตกออกทุกเมื่อ

ตู้ม ตู้ม

ฉินหยุนลงมืออีกครั้งด้วยสองฝ่ามือ ทําการทําลายร่างหุ่นเชิดวัชระโดยสมบูรณ์ ร่างหุ่นเชิดวัชระกลับกลายเป็นผลึกแก้วสีทองประหนึ่งเม็ดข้าว พวกมันถูกสายลมรุนแรงที่ยังไม่สงบพัดพากระจัดกระจาย

ประกายแสงสีทองเหล่านี้ยามเคลื่อนผ่านดูงดงามยิ่ง กระนั้น หลายคนต่างอดไม่ได้ที่จะต้องเทียบเปรียบ ว่าประกายแสงสีทองเหล่านี้ มันไม่ต่างจากหมอกเลือดของมนุษย์ เพราะหากเป็นผู้คนถูกโจมตีรุนแรงเช่นนั้น ร่างคงระเบิดแตกสลายกลายเป็นละอองเลือด

ฉินหยุนชนะ เขาใช้พลังอันเหนือล้ำบดขยี้หุ่นเชิดวัชระไปได้ ฝูงชนต่างโห่ร้องตะโกนยินดี เจี้ยนสือเทียนถอนหายใจยาวโล่งอก กระทั่งเขายังต้องลอบตระหนกต่อกําลังของฉินหยุนในเวลานี้

หลงเฉิ่งขวง อวี้เสินเจิน และคณะอัจฉริยะจากเขตแดนลึกล้ำล้วนพูดกล่าวกันไม่ออก พวกเขาได้เพียงแต่กําหมัดเอาไว้แน่น

“หุ่นเชิดจากเขตแดนลึกล้ำได้แค่นี้หรือ? ขยะคล้ายยังมีค่าเสียกว่า!” เจี้ยนรั่วหยานกล่าวเย้ยหยันเสียงดัง

ขณะเจี้ยนสือเทียนคิดถอนม่านพลัง หุ่นเชิดวัชระอีกเก้าตัวพลันบุกโจมตีใส่ฉินหยุน ฝูงชนต่างโห่ร้องเสียงดัง แม้เก้าผู้เข้าแข่งขันถอนตัวไปแล้ว อีกฝ่ายกลับปล่อยหุ่นเชิดเอาไว้บนเวทีประลองยุทธ์ เห็นได้ชัดว่าเพื่อผนึกกําลังโจมตีใส่ฉินหยุนในตอนนี้!

“พวกเจ้าคิดทําอะไร?” เจี้ยนสือเทียนจับจ้องกลุ่มคนจากเขตแดนลึกล้ำพร้อมตะโกนกราดเกรี้ยว

“ข้าเสียการควบคุม… หุ่นเชิดเหล่านี้มีสติปัญญาของพวกมันเอง พวกมันเห็นฉินหยุนทําลายพรรคพวก ดังนั้นจึงละทิ้งการควบคุมของข้าและโจมตีใส่ฉินหยุน!” ชายชราจากเขตแดนลึกล้ำตะโกนดัง “เร่งรีบเปิดม่านพลัง!”

ผู้คนของเขตแดนลึกล้ำและตระกูลหลงต่างเผยยิ้มชั่วร้ายที่ใบหน้า เห็นเช่นนี้ ผู้คนย่อมทราบว่าเรื่องราวเป็นอีกฝ่ายจงใจกระทํา

หุ่นเชิดวัชระทั้งเก้าตัวบุกโจมตีใส่ฉินหยุน พวกมันเปรียบดังแสงสีทองวูบไหวเคลื่อนไปมาอย่างไร้รูปแบบ ทั้งยังรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าจนแทบไม่อาจเห็นร่าง

ตู้ม ตู้ม ตู้ม..

หุ่นเชิดวัชระทั้งเก้าพร้อมใจโจมตีฉินหยุนไม่หยุดพักราวคลุ้มคลั่ง และฉินหยุนไม่อาจต้านรับ เขาได้เพียงแต่ต้องหลบด้วยความยากลําบาก

หลงเฉิ่งขวงเวลานี้ค่อยเผยยิ้มโฉดชั่วกล่าวคํา “ฉินหยุนมันต้องตาย!”

คํากล่าวนี้ยิ่งกระจ่างชัด ผู้คนของเขตแดนลึกล้ำ คือผู้ควบคุมหุ่นเชิดให้บุกโจมตีใส่ฉินหยุนและฉินหยุนย่อมทราบเรื่องดี เขากระทั่งยินดีภายในใจด้วยซ้ำ

“หากจําไม่ผิด หุ่นเชิดวัชระพวกนี้ล้ำค่ามากกระมัง?” ฉินหยุนพลันทะยานร่างขึ้นฟ้า

หุ่นเชิดวัชระทั้งเก้าจึงกระโดดขึ้นตามติด

“หยุนเอ๋อ เอาเลย!” ฉินหยุนร้องตะโกน

หลิงหยุนเอ็อพลันปลดปล่อยแรงโน้มถ่วง ตัวหลิงหยุนเอ๋อเวลานี้ นางสามารถปลดปล่อยแรงโน้มถ่วงที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าก่อนหน้า แรงสะกดรุนแรงได้กดทับเข้าใส่บรรดาหุ่นเชิดวัชระ

ครืน!

หุ่นเชิดวัชระทั้งเก้าไม่คิดว่าจะมีพลังเช่นนี้ปรากฏ พวกมันถูกโจมตีโดยพลังแรงโน้มถ่วงจนร่างต้องร่วงหล่นแนบติดกับพื้น ฝูงชนต่างร้องตะโกนตระหนกตกใจ หุ่นเชิดวัชระทั้งเก้าบุกโจมตีฉินหยุนพร้อมกัน ตอนนี้ไม่เพียงแต่โจมตีพลาด พวกมันกระทั่งร่างร่วงหล่นกับพื้น!

ทันทีที่พวกมันร่างร่วงหล่นกับพื้น ฉินหยุนจึงใช้วิชายุทธ์โทเทมต้นไม้ ปลดปล่อยพลังลึกล้ำผ่านตะวันทมิฬ ควบแน่นเกิดขึ้นเป็นกรงเล็บพฤกษาจํานวนมากปรากฏจากพื้นเวที

ในพริบตา หุ่นเชิตวัชระทั้งเก้าจึงถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยรากไม้สีดํา แต่ละรากไม้ได้รัตพันรอบตัวพวกมันเอาไว้ประหนึ่งบอลลูกใหญ่

และทันใดนี้เอง กลุ่มก้อนพลังงานสีดําพลันฟุ้งกระจายจากร่างฉินหยุน สภาพของเขาตอนนี้ประหนึ่งเทพอสูร! พร้อมกันนี้ พื้นดินจึงเริ่มสั่นไหวขึ้นทีละน้อย! ฉินหยุนปลดปล่อยความสามารถเทวะแผ่นดินไหว ควบแน่นพลังปรากฏที่ในมือ จากนั้นจึงโจมตีเข้าใส่บอลรากไม้สีดําที่เบื้องล่าง!

ครืน!

เสียงดังสนั่นบังเกิดพร้อมแผ่นดินสะท้านสะเทือน แรงระเบิดแผ่ขยายจากพื้นเวทีประลองยุทธ์ รากไม้แตกออกเป็นเสี่ยง ระเบิดเอากลุ่มก้อนพลังงานสีดําพร้อมประกายแสงสีทองระยิบระยับปกคลุมทั่วทั้งลานประลองยุทธ์

เจี้ยนสือเทียนที่คิดถอนม่านพลังออก กระนั้นยามได้เห็นเรื่องราวไม่เป็นดังที่คิด เขาจึงหยุดมือ

ฝูงชนผู้รับชมด้านนอกเวทีประลองยุทธ์เพียงได้เห็น ว่าพื้นที่ภายในม่านพลัง มันมีแต่พลังงานสีดําฟุ้งกระจายพร้อมหมอกแสงสีทอง

ใบหน้าบรรดาผู้อาวุโสจากเขตแดนลึกล้ำกระตุกด้วยความปวดร้าวในหัวใจ พวกเขาทราบชัดเจนดี ถึงการเชื่อมต่อกับหุ่นเชิดวัชระที่ขาดหายไป หุ่นเชิดวัชระทั้งสิบตัวที่มีมูลค่าไม่อาจประเมินได้ ตอนนี้ทั้งหมดถูกฉินหยุนทําลายสิ้น

เมื่อใดพวกเขากลับสู่เขตแดนลึกล้ำ พวกเขาก็ไม่ทราบแล้วว่าควรรายงานต่อเบื้องบนอย่างไร! หลงเฉิ่งขวงและกลุ่มอัจฉริยะจากเขตแดนลึกล้ำล้วนกายแข็งที่อ เพราะแม้เป็นราชันยุทธ์ คิดทําลายหุ่นเชิดวัชระเหล่านั้นก็ไม่มีทางทําได้ง่าย

กลุ่มก้อนพลังงานสีดําที่เวทีประลองยุทธ์เริ่มกระจาย ผลึกแก้วสีทองราวเมล็ดข้าวได้ลอยฟุ้งในอากาศก่อนร่วงหล่นลงมาเชื่องช้า พวกมันราวกับสายฝนทองคําที่เคลื่อนคล้อยลงมาอย่างงดงามยิ่ง

หลังจากเจี้ยนสือเทียนปิดม่านพลังและขึ้นบนเวที เขาสัมผัสได้ถึงพลังสั่นไหว และยังมีพลังอีกประเภทหนึ่งที่อาจารย์จารึกย่อมคุ้นเคย

“นี่มัน… พลังแปรธาตุหรือ? นี่เขาถึงขั้นใช้พลังแปรธาตุต่อสู้ได้?”

“มันจะเป็นอักขระแปรธาตุที่ชวนสะพรึงเพียงใด? หรือเขาเชี่ยวชาญโทเทมแปรธาตุ?”

“เป็นไปได้ ฉินหยุนต้องมีโทเทมแปรธาตุในครอบครอง!”

“ไม่ว่าหุ่นเชิดวัชระแข็งแกร่งเพียงใด พวกมันก็ต้องอาศัยการเกื้อหนุนจากอักขระโทเทมภายในร่าง และฉินหยุนใช้งานพลังแปรธาตุผสานรวมกับพลังสั่นไหว ถ่ายเทพลังเข้าสู่ร่างหุ่นเชิด นี่จึงเป็นการทําลายอักขระโดยสมบูรณ์จากภายใน!”

“วิธีการใช้พลังที่ปราดเปรื่องนัก!”

ฉินหยุนย่อมไม่มีโทเทมแปรธาตุ ทว่าเขามีอักขระจันทราแปรธาตุ และยังแกะสลักอักขระเหล่านั้นไว้ในกระดูกเมื่อนานมาแล้ว เดิมเขาเพียงใช้เพื่อทําให้การสร้างอุปกรณ์ง่ายดายขึ้น เป็นเขาไม่คาดคิด ว่ามันจะส่งผลต่อหุ่นเชิดเหล่านี้จนกระทั่งทําลายพวกมันได้หมดสิ้น!

“ฉินหยุน เจ้าตัวบัดซบ จงนําหุ่นเชิดวัชระกลับคืนแก่พวกเรา!” ชายชราจากเขตแดนลึกล้ำกล่าวออกด้วยโทสะ

“เจ้าคิดว่ามีสิทธิ์อันชอบธรรมอันใดอย่างนั้นหรือ?” เจี้ยนสือเทียนแค่นเสียงดังขึ้น

ผู้คนของเขตแดนลึกล้ำพลันชะงักฝีปาก เพราะเมื่อครู่ เป็นพวกเขาลอบเร้นควบคุมหุ่นเชิดวัชระให้โจมตีใส่ฉินหยุน ทุกคนล้วนได้เห็นว่าฉินหยุนถูกปิดล้อม เป็นเขาป้องกันตนเองและสู้กลับจนทําลายหุ่นเชิดหมดสิ้น

หลงเฉิ่งขวงแค่นเสียงกล่าว “ไม่แปลกใจที่ฉินหยุนทําลายหุ่นเชิดวัชระเหล่านั้นได้ เป็นมันมีเล่ห์กลให้ใช้งานมากมาย! มันก็ได้แต่อาศัยพลังแปรธาตุจัดการพวกหุ่นเชิด!”

อวี้เสินเจินกัดฟันแน่น “ฉินหยุนทําพวกเราสูญเสียหุ่นเชิดวัชระอันล้ำค่าไปมาก ข้าต้องได้ฉีกกระชากร่างมั่นที่บนเวทีประลองยุทธ์!”

ฉินหยุนผ่านพ้นเข้าร่วมรอบถัดไป และคนที่ผ่านเข้ารอบ ก็มีน้อยกว่าห้าสิบ!

ฉินหยุนลงจากเวทีประลองยุทธ์ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม อันที่จริงเมื่อครู่นี้ เขาทําลายหุ่นเชิดวัชระเพียงหนึ่ง ส่วนที่เหลืออีกแปด ได้ถูกส่งเข้าไปภายในไข่มุกเม็ดที่สามของวิญญาณเทวะเก้าตะวันเพื่อให้เหยาเพิ่งช่วยสลายจิตสํานึกที่ฝังในตัวพวกมัน

หรือก็คือ ภายหลังเขาค่อยดัดแปลงพวกมันสักเล็กน้อย หุ่นเชิดวัชระที่มูลค่านับไม่ถ้วนเหล่านี้จะกลายเป็นของเขา! สาเหตุที่เขายินดีจนเผยยิ้ม ก็เพราะเขาชื่นชอบยามที่ศัตรูส่งมอบของขวัญให้แก่เขาถึงที่

เจี้ยนสือเทียนตะโกนดัง “พรุ่งนี้พวกเราค่อยเริ่มงานหลัก นั่นจึงเป็นการประลองยุทธ์ระหว่างผู้เข้าแข่งขันระดับยอดยุทธ์!”

ฉินหยุนมองทางหยางเย่ว์ พบว่าดวงตาของนางเผยความยินดีและนับถือออกมา

เจี้ยนรั่วหยานก้าวเดินเข้ามาพร้อมยิ้มกล่าว “พี่หยุน เหมือนพวกเราจะไม่อาจใช้หลักการคิดทั่วไปกับท่านได้! ตัวท่านยังไม่ก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ กระนั้นกลับมีพลังอันเลิศล้ำได้เพียงนี้”

ตามปกติแล้ว ยามที่ผู้ใดก็ตามฝึกฝนแก่นเต้ลึกล้ำ และก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ ผู้นั้นย่อมปลดปล่อยออร่าพลังลึกล้ำอ่อนจางออกมา ทว่าฉินหยุนไม่มีออร่าดังกล่าว ดังนั้นผู้คนจึงคิดว่าเขายังไม่ก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ มีแต่เสี้ยนหลิงหลงและอีกไม่กี่คนที่ทราบว่าเขาเลื่อนระดับพลังได้สําเร็จแล้ว ทั้งยังเป็นพลังเลิศล้ำเกินกว่าที่คาดคิดไว้เสียด้วย

“ฉินหยุน ไม่คิดว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงนี้! การแข่งขันวันรุ่งขึ้น จงอย่าได้พบข้า ไม่เช่นนั้น ข้าจะทําให้เจ้าร้องไห้วิ่งกลับบ้าน!” เจี้ยนหนันหู่กล่าวพร้อมหัวเราะดังก่อนจะเดินจากไป

เฉินหยุนตามเปาเฉิงโฉ่งและคณะเข้าพักที่คฤหาสน์เซียนดาบ

วันรุ่งขึ้นมาถึงรวดเร็ว

วันนี้ฟ้ายังไม่สาง กระนั้นฉินหยุนกลับออกไปยังพื้นที่การแข่งขัน และรับชมบริเวณที่นั่งผู้ชมอันหนาแน่น เขาได้ทราบ ว่าผู้คนเหล่านี้เมื่อวานไม่ได้จากไปที่ใด เพียงแต่อยู่ที่นี่ เพราะหากพวกเขาออกไป วันนี้คิดเข้ามาอีกครั้ง ก็จําเป็นต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสูงลิบ

ฉินหยุนยืนข้างเวทีประลองยุทธ์ รับชมผู้เข้าแข่งขันอื่นที่มาถึง เจี้ยนรั่วหยาน และเจี้ยนหนั่นหูต่างก็มาถึงแต่เช้าตรู่ ทันทีที่พบเห็นฉินหยุน พวกเขาจึงเข้ามาสนทนาด้วย

“สุดท้ายนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่จะได้ต่อสู้กัน ดาบต้นกําเนิดของข้าหิวกระหายมายาวนานแล้ว เวลานี้แทบไม่อาจอดรนทนได้ไหว!” เจี้ยนหนันหู่นําดาบต้นกําเนิดของตนเองออกมา

ดาบต้นกําเนิดควบแน่นเกิดขึ้นจากแก่นเต๋าลึกล้ำ มันคืออุปกรณ์ลึกล้ำอันแข็งแกร่งที่ทัดเทียมอุปกรณ์เต๋า ในการแข่งขันเช่นนี้ที่ผู้เข้าร่วมไม่อาจใช้งานอาวุธ ผู้ฝึกตนดาบจึงเปรียบดังตัวตนที่แหกกฎเกณฑ์ ทว่าเรื่องนี้ไม่อาจว่ากล่าวอันใดได้

ฟ้าสาง ผู้คนต่างมาที่นี่

ฉินหยุนและหยางฉีเย่ว์ยืนด้วยกัน เพื่อรอคอยการจับไข่มุกเลือกคู่ต่อสู้ และนี้ก็เป็นวิธีการซึ่งฉินหยุนชื่นชอบเป็นที่สุด เพราะเขาสามารถเลือกได้ว่าคู่ต่อสู้ของตนเองจะเป็นใคร

และได้เห็นเจี้ยนหนันหู่ที่กระเหี้ยนกระหายการต่อสู้ ฉินหยุนจึงตัดสินใจให้อีกฝ่ายได้สู้กับหลงเฉิ่งขวง!

ตอนที่ 777 : หุ่นเชิดวัชระ

เป็นดังที่หยางฉีเย่ว์กล่าว หลงเฉิ่งขวงและคณะหาได้คิดเผยกําลังอันเหนือล้ําออกมาไม่ พวกเขาทําเช่นนี้ ก็เพื่อที่ผู้อื่นจะได้ไม่ทราบกําลังพวกเขา

หลงเฉิ่งขวงและคณะมักอหังการอวดดี ทว่า พวกเขากลับยังระแวดระวังต่อเจี้ยนหนันหูและ ศิษย์มีพรสวรรค์ผู้อื่น เรื่องนี้ทําให้ผู้คนต่างต้องระวังตัวมากยิ่งขึ้น

“เจ้าพวกนี้สู้ไม่ต่างอะไรกับคนแก่ใกล้ตาย!” เจี้ยนรั่วหยานแผ่นเสียงเบา

ฝูงชนต่างสบถออกเสียงดัง เพราะการต่อสู้ครั้งนี้ไม่น่าพึงพอใจอย่างยิ่ง

“น้องหยาน หุ่นเชิดตระกูลเจี้ยนของเจ้าคล้ายอ่อนแอไม่ใช่น้อยแล้ว!” ฉินหยุนกล่าวเหยียด “พวกนี้เป็นหุ่นเชิดขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ําระดับสูงสุดจริงหรือ?”

เจี้ยนรั่วหยานสบถออกเสียงเบา “ข้าไม่ทราบ ทว่าพวกมันอ่อนแอเกินไปมากมายนัก!”

เจี้ยนหนันหูกล่าวเสียงเย็น “ไม่ใช่หุ่นเชิดของตระกูลเจี้ยนเราอ่อนด้อย แต่เป็นผู้คนของเขต แดนลึกล้ําแข็งแกร่งเกินไป!”

หยางฉีเย่ว์กล่าว “ผู้คนของเขตแดนลึกล้ํา คล้ายพยายามทําให้เชื่องล้าและลากถ่วง กระนั้นในทางลับ พวกเขาได้ปลดปล่อยพลังออกมาทําให้หุ่นเชิดเกิดอาการ

แปรปรวน เช่นนี้ หุ่นเชิดเหล่านั้นจึงดูอ่อนแอยิ่ง และหลงเฉิ่งขวงพร้อมกลุ่มคนของมัน จึงไม่จําเป็นต้องเผยพลังอันเป็นที่สุดออกมาเพื่อเอาชนะ!”

“ตราบเท่าที่หาโอกาสได้พบ พวกเขาย่อมต้องปล่อยการโจมตีรุนแรงใส่หุ่นเชิดเป็นแน่”

ไม่นานจากนั้น หลงเฉิ่งขวงฉับพลันลงมือเคลื่อนไหว เขาไม่เอาแต่หลบเลี่ยง ทว่าต่อยออกจากระยะไกลส่งร่างหุ่นเชิดกระเด็นลิ่ว หุ่นเชิดเวลานี้แน่นิ่งกับพื้นไม่ขยับ นั่นหมายถึงมันสูญเสียอํานาจการต่อสู้แล้ว หลงเฉิ่งขวงเข้าสู่รอบถัดไปได้สําเร็จ

อย่างรวดเร็ว กลุ่มคนทั้งสิบที่ขึ้นไปสู้เป็นกลุ่มแรก เวลานี้ล้วนจัดการหุ่นเชิดกันครบถ้วน

หยางฉีเย่ว์ เจี้ยนหนันหู และเจี้ยนรั่วหยานอยู่ในกลุ่มที่สอง

สิ่งนี้ก็เป็นไปตามลําดับการลงทะเบียน หลงเฉิงขวงและพลพรรคลงทะเบียนเป็นกลุ่มแรก ด้วยเพราะท่าทอหังการล้นฟ้า จึงไม่มีผู้ใดเข้าขวางทาง ปล่อยให้พวกเขาได้ลงทะเบียนเป็นฝ่ายแรก

ถัดจากนั้นจึงเป็นเจี้ยนหนันหูและผู้อื่น ตระกูลหลงส่งหุ่นเชิดขึ้นไป การศึกเมื่อเริ่มขึ้น มัน ตึงเครียดอยู่ครู่หนึ่ง เจี้ยนหนันหูไม่คิดปิดซ่อนกําลัง นับตั้งแต่เริ่ม เขาลั่นการโจมตีดุดันออก

ศึกปะทะเริ่มไม่นาน หุ่นเชิดของตระกูลหลงจึงได้รับความเสียหาย ทางด้านเจี้ยนรั่วหยานและ ศิษย์เกือบทุกคนของตระกูลเจี้ยนล้วนโจมตีออกดุดันเช่นเดียวกัน มีแต่หยางฉีเย่ว์ที่ต่อสู้กับหุ่นเชิด เหล่านี้ด้วยความระวัง

ฉินหยุนรับชมหยางฉีเย่ว์โดยตลอด เขาไม่อาจสัมผัสถึงความผันแปรทางพลังจากนางได้ ทุก การเคลื่อนไหว มันเรียบง่ายและไร้ซึ่งออร่าใด

“พี่หยางเองก็เก็บงํากําลังอันเลิศล้ําไว้” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว

“ใช่ พี่หยางตอนนี้ใช้เพียงแต่กําลังกาย” ฉินหยุนเองก็ทราบ

กลุ่มผู้เข้าร่วมที่สอง ไม่เพียงเอาชนะหุ่นเชิดตระกูลหลง ทว่ายังแปรเปลี่ยนพวกมันเป็นเศษซาก บรรดาผู้ชม โดยเฉพาะกับระดับยอดยุทธ์พบว่าเรื่องราวชวนน่าทึ่ง เพราะผู้เข้าแข่งขันเหล่านี้ อยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ําระดับกลาง ขณะที่หุ่นเชิดเหล่านั้นอยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ําระดับสูงสุด

กําลังของหุ่นเชิดที่ลงมาต่อสู้คล้ายขาดแคลนไป หรืออัจฉริยะเหล่านี้แข็งแกร่งจนเกินไปกัน แน่? สถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นผลให้หลายคนต่างตั้งข้อสงสัย แน่นอนว่าในมุมมองฉินหยุน หุ่นเชิดเหล่านี้ไม่ได้แข็งแกร่งใดแม้เพียงนิด

หุ่นเชิดคือของล้ําค่า โดยเฉพาะกับหุ่นเชิดขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ํา ตอนนี้ หุ่นเชิดตระกูลหลงทั้ง สิบตัวแปรเปลี่ยนเป็นเศษซาก พวกเขารู้สึกเจ็บปวดหัวใจของจริง แต่แม้เจ็บปวด กระนั้นพวกเขา ไม่อาจกลับคืนคําพูด ตระกูลหลงได้แต่เริ่มนึกเสียใจ ที่ไม่ยอมรับเงื่อนไขของอีกฝ่ายและเลือกส่ง ทรัพยากรตนเองลงไป

กระนั้น พวกเขายังไม่ได้พลาดเพียงเท่านั้น พวกเขายังพลาดโอกาสจัดการกับฉินหยุนและ หยางฉีเย่ว์ หุ่นเชิดที่ส่งลงไปรับมือหยางฉีเย่ว์แข็งแกร่งยิ่ง กระนั้นเวลานี้ มันก็กลายเป็นเศษซากไปเรียบร้อยแล้ว

หลังผ่านไปหลายกลุ่ม มีไม่น้อยที่เอาชนะหุ่นเชิดไม่ทันเวลา บ้างก็ได้รับบาดเจ็บกลับมา ตอนนี้เป็นช่วงบ่าย กลุ่มสิบคนสุดท้ายกําลังขึ้นเวที ตอนนี้มีเพียงสี่สิบคนที่ผ่านเข้ารอบ ฉินหยุน ลงทะเบียนเป็นคนสุดท้าย ดังนั้นเขาจึงเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ต้องเข้าทดสอบ

“ท้ายที่สุด ก็ถึงคราวเจ้านั่นได้ขึ้นไปเสียที!” อวี้เสินเจินผู้ซึ่งคิดเตะสกัดขาฉินหยุนเมื่อวันก่อน ตอนนี้ได้เห็นฉินหยุนเดินขึ้นไปจึงกล่าวคํา “หากข้าไม่คิดเห็นชายผู้นี้โดนทุบตีจนแหลกเละ ข้าคงกลับไปนอนเอาแรงนานแล้ว!”

หลงเฉิ่งขวงหัวเราะกล่าว “หุ่นเชิดเหล่านั้นเป็นเพียงชั้นสวะจากตระกูลหลง ครานี้จึงเป็นของ พวกเราจากเขตแดนลึกล้ํา!”

อวี่เสินเจินหัวเราะดังกล่าวตอบ “ต้องกล่าวเลย ฉินหยุนผู้นี้มีฝีมืออยู่บ้าง กระทั่งผู้ อาวุโสของเขตแดนลึกล้ําพวกเรายังต้องใส่ใจมันเป็นพิเศษ!”

หลังจากที่เจี้ยนหนันหูและคณะได้ทราบเรื่อง สีหน้าพวกเขาแปรเปลี่ยน

หลงเฉิ่งขวงมองทางเจี้ยนหนันหูพร้อมหัวเราะ “เจี้ยนหนันหู เจ้าจงรอรับชม ว่าฉินหยุนจะ ถูกทุบตีจนตกตายด้วยหุ่นเชิดของพวกเราเขตแดนลึกล้ําอย่างไร!”

เจี้ยนหนันหูแค่นเสียง “หลงเฉิ่งขวง ไม่ใช่เจ้าหรือที่คิดอยากเอาชนะฉินหยุนในการแข่งขันด้วยตนเอง?”

อวี้เสินเจินแค่นเสียงขึ้นจมูกดัง “หากแค่หุ่นเชิดมันยังเอาชนะไม่ได้ ยังจะมีค่าพอให้พี่ใหญ่หลงลงมือหรือไร!”

ฉินหยุนอยู่กลุ่มสุดท้าย ผู้อื่นในกลุ่มนี้ต่างมาจากสํานักหลากหลาย หุ่นเชิดสําหรับกลุ่มนี้ เป็นของตระกูลหลงนํามา หุ่นเชิดทั้งสิบเผยแสงสีทองประกายวาววับ ราวกับพวกมันถูกสร้างขึ้นจากผลึกแก้วทองคํา

ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันยังไม่คล้ายรูปลักษณ์มนุษย์ แต่คล้ายก้อนโลหะที่ปั้นขึ้นเป็นมนุษย์ นอกจากนี้แล้ว ขนาดของมันยังใหญ่ และมีพลังลึกล้ําแข็งแกร่งอัดแน่นที่ภายใน ผู้คนล้วนรู้สึก และคิดเห็นเช่นกัน ว่าภายในสมควรมีแก่นเต่ลึกล้ําคงอยู่ บรรดาผู้ชมต่างเร่าร้อนกันขึ้นมา เพ ราะในที่สุด พวกเขาก็จะได้มีโอกาสได้เห็นศึกที่น่าตื่นตาตื่นใจบ้างแล้ว

“จ้าวสํานักดาบ นี่ไม่คล้ายขัดต่อกฎหรือไร? หุ่นเชิดเหล่านี้คล้ายมีปัญหา!” เปาเฉิงโฉ่วกล่าว คําดังขึ้น

ผู้อาวุโสจากเขตแดนลึกล้ําจึงแค่นเสียง “หุ่นเชิดของพวกเราหาได้ใช่ระดับราชันยุทธ์ อย่างนั้นยังจะขัดต่อกฎใด?”

เจี้ยนสือเทียนและคณะครึ่งเซียนตระกูลเจี้ยนต่างเดินเข้าไปตรวจสอบ จากนั้นพวกเขาจึงส่าย ศีรษะ เพราะหุ่นเชิดเหล่านี้ไม่ใช่ระดับราชันยุทธ์

หลงเฉิ่งขวงหัวเราะภูมิอกภูมิใจ “นี่คือหุ่นเชิดวรยุทธ์ลึกล้ําวัชระของพวกเรา กระทั่งว่าเป็นรา ชันยุทธ์ระดับต้น คิดเอาชนะสักตัวหนึ่งในชั่วเวลาก้านธูปยังเป็นเรื่องลําบาก ส่วนฉินหยุนงั้นหรือ อย่าได้กล่าวถึงมันแล้ว!”

เจี้ยนหลิงหลงขมวดคิ้ว “หุ่นเชิดวัชระมีโทเทมเตที่ภายใน บัดซบนัก พวกมันเป็นอักขระ โทเทมที่แข็งแกร่งเลิศล้ํา!”

หุ่นเชิดก่อนหน้านี้ล้วนมีโทเทมลึกล้ําอยู่ภายใน ทว่าครานี้เป็นโทเทมเต๋ พวกมันย่อมต้องแข็ง แกร่งกว่าก่อนหน้าอย่างไม่อาจเทียบได้ติด

อวี้เสินเจินแค่นเสียง “กระทั่งว่าเป็นพวกเรา คิดเอาชนะหุ่นเชิดวัชระยังเป็นเรื่องยากลําบากน่าเสียดายนัก คล้ายฉินหยุนจะไม่อาจผ่านเข้ารอบถัดไปได้แล้ว โอกาสที่จะได้ทุบตีมัน จนเป็นดอกบัวเลือดเบ่งบานกลางพื้นคงต้องไว้คราวหน้ากระมัง!”

ผู้เข้าร่วมแข่งขันอีกเก้าคนในกลุ่มของฉินหยุน พวกเขาตัดสินใจถอนตัว

“สมแล้วที่เป็นหุ่นเชิดจากเขตแดนลึกล้ํา พวกมันเหล่านี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าหุ่นเชิดจากเขตแดน นอกอย่างเห็นได้ชัด! ตัวหนึ่งก็สมควรทัดเทียมราชันยุทธ์ระดับต้นของพวกเราแล้ว!” ชายชราตระกูลหลงยิ้มกล่าวคําชม

ผู้อาวุโสจากเขตแดนลึกล้ํากล่าวเสียงภาคภูมิดังก้อง “เพียงหนึ่งงั้นหรือ? มูลค่าพวกมันทัดเที่ ยมราชันยุทธ์ระดับต้นของพวกเจ้าอย่างน้อยก็สอง! หุ่นเชิดวัชระเหล่านี้ต้องใช้เวลานับหมื่นปีเพื่อสร้างขึ้น พวกมันจะถูกใช้เพื่อสําหรับเข้าสํารวจพื้นที่อันตรายก็เท่านั้น!”

“หุ่นเชิดวัชระเหล่านี้สามารถเข้าสู่สภาพแวดล้อมที่ผู้คนทั่วไปไม่อาจเข้า ยกตัวอย่าง สถานที่ร้อนสุดขั้วหรือหนาวเย็นสุดขีด จุดประสงค์ก็เพื่อใช้หาสมบัติล้ําค่า พวกเราเรียกขานพวกมันเป็นนักล่าสมบัติ!”

“มูลค่าของหุ่นเชิดวัชระไม่อาจนับประเมิน คิดสร้างมันตัวหนึ่ง ที่ถือเป็นการสะท้อนอํานาจของฝ่ายที่สร้างมันขึ้นมาได้”

ชายชราจากเขตแดนลึกล้ํากล่าวภูมิอกภูมิใจดังลั่นให้ผู้คนที่นี้ล้วนได้ยินหลายคนต่างถอนหายใจ บ้างก็เริ่มคิดอยากได้พวกมันสักตัวเพื่อไว้ใช้หาสมบัติ

ตอนนี้ บนเวทีประลองยุทธ์มีแต่ฉินหยุนที่ยืนอยู่ กระนั้น ผู้อาวุโสเขตแดนลึกล้ําก็หาได้นําหุ่นเชิดวัชระอีกเก้าตัวนําเก็บ เห็นได้ชัดว่ากําลังคิดข่มขู่ เจี้ยนสือเทียนพบเห็น ว่าฉินหยุนไม่มีเจตนาถอย ดวงตาของอีกฝ่ายเด็ดเดี่ยว เจี้ยนสือเทียนถอนหายใจพร้อมตะโกนดัง “เริ่มได้!”

การศึกเริ่มขึ้นแล้ว! หุ่นเชิดวัชระพลันทะยานออกอย่างดุดัน! ความเร็วระดับนี้ กล่าวได้ว่าเป็น ระดับราชันยุทธ์แล้ว!

“ฉินหยุนต้องตายแน่แล้ว!” อวี่เสินเจินเผยเสียงดังตะโกนยินดี

หุ่นเชิดวัชระพุ่งออกประหนึ่งลําแสงพร้อมปล่อยหมัด!

ตู้ม!

หมัดทองคําของหุ่นเชิดวัชระ มันเข้าปะทะกับใบหน้าฉินหยุน แรงระเบิดรุนแรงดังสนั่นเกิดเป็นคลื่นอากาศกระจายรอบทิศ! คลื่นอากาศสีทองทะลักทั่วพื้นที่เวทีประลองยุทธ์นับร้อยเมตร มวลอากาศเคลื่อนตัวรุนแรงไม่หยุด

ผู้คนล้วนได้เห็น ว่าใบหน้าฉินหยุนถูกโจมตีด้วยหมัด นี้ย่อมต้องบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่! เจี้ยนรั่วหยานร้อนรนเป็นที่สุด นางกระชับมือเจี้ยนหลิงหลงเอาไว้แน่น หมอกทองคําเมื่อกระจายตัวออก ฉินหยุนยังยืนอยู่ที่ตําแหน่งเดิม!

“ศีรษะฉินหยุนยังอยู่! เขายังไม่ตาย!” คนหนึ่งร้องตะโกนดังขึ้น

ไม่เพียงแต่ศีรษะฉินหยุนยังอยู่ดี ใบหน้าเขาก็ไม่ได้บาดเจ็บแต่อย่างใด เพียงแต่มีรอยแดงเล็กน้อย ได้เห็นเช่นนี้ หลงเฉิ่งขวง อวี่เสินเจิน และคณะศิษย์ผู้มีพรสวรรค์จากเขตแดนลึกล้ําพลันต้องเบิกตากว้าง พวกเขาพบว่าเรื่องราวประหลาดเกินไป บรรดาผู้อาวุโสจากเขตแดนลึกล้ํายังต้องตื่นตะลึงยามได้เห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนเวทีประลองยุทธ์

ฉินหยุนสัมผัสใบหน้าตนเองพลางขึ้นเสียงที่จมูกแค่นดังออก “เห็นภูมิใจหนักหนา แท้จริงเป็นของสวะพรรค์นี้เองหรือ? กระทั่งเป็นหุ่นเชิดรับใช้ข้ายังทําได้แข็งแกร่งกว่านี้”

ขณะเขาพูดกล่าว หุ่นเชิดวัชระจึงลงมืออีกครั้งหนึ่ง ฉินหยุนหลบหมัด เข้าถึงทางด้านหลังหุ่นเชิดวัชระ จากนั้น เขาจึงแนบสองนิ้วเข้าด้วยกันพร้อมจิ้มแทงเข้าใส่ศีรษะของหุ่นเชิด! นี่คือ ดัชนีทะลวงฟ้า กระบวนท่าดัชนีทะลวงภูผาแยกพสุธา!

ตู้ม!

เสียงสายฟ้าฟาดออกระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวถึงฟากฟ้า! สองนิ้วประสานของฉินหยุน มัน ปลดปล่อยสายฟ้าสีดํารุนแรงออกมาทะลวงผ่านศีรษะของหุ่นเชิด!

ตู้ม!

ศีรษะหุ่นเชิดวัชระระเบิดแตกกระจายออกเป็นเศษซาก ประกายแสงสีทองจากวัสดุร่างหุ่นเชิดกระจัดกระจายทั่วฟากฟ้า!

ตอนที่ 776 : เริ่มงานประลองยุทธ์

ฉินหยุนพอออกมา เขาเห็นเพียงแต่เชี่ยวเย่ว์เหม่ยที่รออยู่

“แล้วคนอื่นเล่า?” ฉินหยุนเอ่ยถาม

“พวกนางไปเวทีประลองยุทธ์หมดแล้ว เพราะต้องการร่วมด้วยช่วยกันส่งแรงใจให้พี่หยาง” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยที่ได้เห็นฉินหยุน นางรู้สึกได้ว่าตัวเขาแปลกออกไป

นางกล่าวถามอย่างสงสัยด้วยเสียงเบา “พี่ชาย ท่านเข้าถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ําแล้วหรือ?”

ฉินหยุนเผยยิ้มตอบ “ใช่! มีการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเกิดขึ้นไปบ้าง แต่โดยรวมก็ ราบลื่นดี!”

“นับว่าดี พวกเราก็ควรตามไปกันได้แล้ว!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยไม่คิดถามอื่นใดอีก ก่อนจะออกไปพร้อมกับฉินหยุน

วันนี้คือวันสุดท้ายสําหรับการลงทะเบียนแข่งขันระดับยอดยุทธ์ บรรดาผู้ซึ่งต้องการลงทะเบียน ต่างลงทะเบียนกันไปเรียบร้อยแล้ว ความจริงที่ฉินหยุนมาวันนี้ได้สร้างความฮือฮาครั้งใหญ่ไม่ใช่น้อย

หลงเฉิ่งขวงและคณะคนของเขาไม่อยู่ที่นี่ หลังฉินหยุนลงทะเบียนเรียบร้อย เขาจึงได้รับป้าย หยกสําหรับใช้เข้าสู่คฤหาสน์เชียนดาบมา

“หลายวันมานี้ไม่มีข่าวคราวของฉินหยุน นึกว่าไปซ่อนตัวมุดรูที่ใดแล้ว ไม่นึกเลยว่าเขาจะไม่ ยอมกล้ํากลืนความโกรธแค้นครั้งนั้น ถึงขั้นมาเข้าร่วมลงทะเบียนการแข่งขันระดับยอดยุทธ์!”

“อา หลงเฉิงขวงจะต้องจงใจกระทําเมื่อตอนนั้นเพื่อยั่วยุให้เขาเข้าร่วมแน่เป็นเขาต้องการหยามเหยียดฉินหยุนบนเวทีประลองยุทธ์!”

“หลายวันก่อน หลงเฉิงขวงได้ฝากความแค้นต่อฉินหยุนไว้ไม่น้อยจริง ๆ”

หลายคนต่างได้เห็นฉินหยุนเข้าสู่คฤหาสน์เซียนดาบ พวกเขาเหล่านี้ย่อมเกิดความคาดหวังอย่างไม่รู้ตัวก่อนจะตามเข้าไป

วันนี้ การแข่งขันระดับยอดยุทธ์จะจัดขึ้นบนเวทีประลองยุทธ์ ฉินหยุนพบว่ามียอดยุทธ์เพียงหนึ่งร้อยคนที่เข้าร่วมการแข่งขัน

มันไม่ใช่ว่ามียอดยุทธ์จํานวนน้อย แต่การแข่งขันนี้คือการประชันระหว่างอัจฉริยะรุ่นเยาว์ระดับชั้นแนวหน้า ผู้คนที่ไม่มีความมั่นใจเป็นล้นพ้นย่อมไม่คิดลงทะเบียน เพราะพวกเขาเกรงว่าจะ เป็นการทําตนเองเสื่อมเสีย ทว่าหากไร้โชคพวกเขาอาจต้องสิ้นชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัส

เวทีประลองยุทธ์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่เขตตะวันออกของคฤหาสน์เซียนดาบ รอบพื้นที่ของเวที ประลองยุทธ์ต่างเต็มไปด้วยที่นั่งผู้ชมกว่าแสนคน เวทีประลองยุทธ์กว้างหนึ่งร้อยเมตรกล่าวได้ว่า ค่อนข้างเล็กสําหรับยอดยุทธ์

ฉินหยุนเมื่อมาถึง สายตาคมกล้าล้วนจ้องมองที่เขา บรรดาผู้อาวุโสของขั้วอํานาจทั้งหลาย รวมถึงยอดฝีมือรุ่นเยาว์ระดับยอดยุทธ์ที่เข้าร่วมการแข่งขัน พวกเขาล้วนมองมาทางนี้

ฉินหยุนมาถึง หมายความถึงเขาลงทะเบียนเข้าร่วมการแข่งขัน ผู้คนล้วนทราบ ว่าฉินหยุนอยู่ ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูงสุด กระนั้นก็ยังเข้าร่วมการแข่งขันที่เต็มไปด้วยคู่ต่อสู้ทรงอํานาจ นี้ย่อมต้องเป็นเพราะการยั่วยุของหลงเฉิงขวงเมื่อหลายวันก่อน

หลงเฉิงขวงและผู้คนของตระกูลหลงต่างยิ้มยินดียามได้เห็นฉินหยุน พวกเขาต่างคาดหวังให้ ฉินหยุนเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ กระทั่งเป็นกังวลด้วยซ้ําไป สําหรับตระกูลหลง พวกเขากระหาย การเอาชนะฉินหยุนด้วยมือตนเอง ดังนั้นแล้ว พวกเขาจึงทําทุกหนทาง และนี่คือวิธีการดีที่สุด ที่จะได้ประหารฉินหยุนต่อหน้าสาธารณะชนในการแข่งขัน

ฉินหยุนมองที่หยางฉีเย่ว์ นางวันนี้สวมใส่ชุดขาว มีผ้าพันไว้รอบคอเป็นการปกปิดครึ่งใบหน้า นางที่พบเห็นฉินหยุน จึงสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ประหลาดในกายฉินหยุน ดวงตางดงามนั้นกลับก ลายเป็นต้องนึกบึงพร้อมเผยความประหลาดใจ

เปาเฉิงโจ่วและฉ่ปินอวต่างเร่งรีบเข้าถึงข้างกายฉินหยุน

“ฉินหยุน นี่เจ้าลงทะเบียนหรือ?” เจี้ยนหนันหูกล่าวถาม

“ถูกต้อง!” ฉินหยุนนําเอาป้ายหยกออกมายิ้มกล่าว “เจี้ยนหนันหู หากเจ้าพ่ายแพ้แก่ข้าอีกครั้ง ก็จงลืมเรื่องคิดนําดาบเจ้ากลับคืนเสีย!”

ดาบเต๋ของเจี้ยนหนันหู เวลานี้ยังคงอยู่กับเชี่ยวเสวียนฉิน

“ฉินหยุน ข้าย่อมไม่พ่ายแพ้เจ้าอีกครั้งแน่!” เจี้ยนหนันหูยิ้มกล่าว ก่อนจะหันมองทางหลงเฉิงขวง เป้าหมายของเขาครานี้คือหลงเฉิงขวง

เจี้ยนสือเทียนกล่าว “วันพรุ่งนี้จึงเริ่มการแข่งขันอย่างเป็นทางการ ยอดยุทธ์กว่าร้อยคนได้ ลงทะเบียน ดังนั้นแล้ว พวกเราจะจัดงานนี้ให้ดีที่สุดเพื่อให้เป็นการแข่งขันที่ยอดเยี่ยม!”

เปาเฉิงโจ่วเอ่ยคําขึ้น “อย่างนั้นแล้วเจ้ากล่าวได้หรือไม่ ว่างานวันพรุ่งนี้มีเนื้อหาอย่างไร?”

“ย่อมได้! งานวันพรุ่งนี้ คือศึกปะทะหุ่นเชิด!” เจี้ยนสือเทียนกล่าว

คํากล่าวนี้ เป็นผลให้ยอดยุทธ์ที่เข้าร่วมล้วนประหลาดใจ ฉินหยุนรู้สึกว่าเรื่องราวผิดคาด เพราะหากเป็นจริง สําหรับเขามันก็ง่ายดายมากแล้ว

ผู้อาวุโสตระกูลหลงแค่นเสียงกล่าว “หุ่นเชิดตระกูลเจี้ยน? อย่างนั้นพวกเจ้าคิดโกงก็ง่ายแล้ว!”

เจี้ยนสือเทียนกล่าว “เอาอย่างนี้เป็นไร ตระกูลเจี้ยนและตระกูลหลง จะแบ่งสัดส่วนหุ่นเชิดเป็นครึ่งหนึ่ง หุ่นเชิดของตระกูลเจี้ยนจะใช้เพื่อทดสอบยอดยุทธ์ตระกูลหลง และหุ่นเชิดตระกูลหลง จึงใช้เพื่อทดสอบยอดยุทธ์ตระกูลเจี้ยน!”

ชายวัยกลางคนของตระกูลหลงมองทางฉินหยุนพร้อมแค่นเสียงกล่าว “แล้วฉินหยุนกับหยาง ฉีเย่ว์เล่า หุ่นเชิดตระกูลใดจึงใช้ทดสอบสองคนนั้น?”

“ให้พวกเขารับการทดสอบโดยหุ่นเชิดฝ่ายเจ้า อย่างนี้เป็นไร?” เจี้ยนสือเทียนหัวเราะรับ ตระกูลเจี้ยนย่อมไม่คิดนําหุ่นเชิดออกมาจํานวนมากอยู่แต่แรกแล้ว เพราะพวกมันจะต้องแบกรับความเสียหายหนัก

“พวกเราจะใช้หุ่นเชิดขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ําระดับสูงสุด!” เจี้ยนสือเทียนกล่าว “พวกเจ้ามีหรือไม่?”

“ย่อมต้องมี!” ผู้คนตระกูลหลงหัวเราะภาคภูมิขณะมองที่ฉินหยุน

ฉินหยุนก้าวเดินออกไปยังเวทีประลองยุทธ์ เจี้ยนสือเทียนและผู้อื่นอยู่ที่นี่ ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลถึงการลอบโจมตีของตระกูลหลง หยางฉีเย่ว์เองก็เดินเข้าหาฉินหยุน ทั้งสองเดินออกห่างจากฝูงชน

“พี่หยาง ข้าทําท่านเป็นห่วงแล้ว” ฉินหยุนส่งเสียงสื่อสารบอกหยางฉีเย่ว์

“ข้าไม่ใช่ผู้เดียวที่ห่วงหาเจ้า เย่ว์โยวบ่อยครั้งมักถามถึงเจ้า นางตอนนี้อยู่แดนเซียนอ้างว้าง ทุกเดือนนางจะสามารถติดต่อหาข้าผ่านดวงจันทราเต็มดวง และถามถึงเรื่องเจ้าตลอด!” หยางฉีเย่ว์ได้เห็นฉินหยุนปลอดภัยดี นางจึงคลายความกังวลที่เกาะกุมอยู่ในใจตลอดมาได้

“เสี่ยวหยุน เย่ว์โยว… นาง… เจ้าคงไม่กล่าวโทษนางใช่หรือไม่?” หยางฉีเย่ว์และเย่ว์โยวเป็นพี่ น้องฝาแฝด ฉินหยุนและเย่ว์โยวมีข้อเบาะแว้งต่อกันอย่างใหญ่หลวง นี่ถือเป็นเรื่องชวนให้หยางฉีเย่ว์ต้องปวดศีรษะ

“ย่อมต้องไม่อยู่แล้ว!” ฉินหยุนคิด ว่าหากเย่ว์โยวไม่บังคับให้เขาเข้าสู่เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ เขาก็คงไม่มีโอกาสได้รับจารึกวิญญาณนายหญิงจันทรา

“วิเศษนัก ข้านึกว่าเจ้าจะเกลียดนางไปตลอดแล้วเสียอีก” หยางฉีเย่ว์โล่งใจได้มาก นางเผยยิ้มให้

ฉินหยุนส่งเสียงสื่อสารกลับไป “พี่หยาง ภายในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ เป็นข้าได้ พบกับจันทราทมิฬและจารึกวิญญาณนายหญิงจันทรา!”

ฉินหยุนบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดแก่หยางฉีเย่ว์

“เย่ว์โยวช่างแย่นัก! ผ่านมาหลายปีนางไม่อาจได้เข้าใกล้จันทราทมิฬ แต่เป็นเจ้าที่เพิ่งเข้าไปกลับได้รับมันมา!” หยางฉีเย่ว์พอได้รับฟัง นางต้องส่ายศีรษะพลางยิ้มอ่อน

“พี่หยาง จันทราทมิฬได้แปรเปลี่ยนเป็นจิตของข้าไปแล้ว ทําให้ตอนนี้ไม่อาจมอบมันคืนแก่ท่าน” ฉินหยุนกล่าวด้วยความรู้สึกผิด

“ไม่จําเป็นเลย! เจ้าสามารถได้รับจันทราทมิฬ นั่นจึงเป็นโชคชะตาของเจ้า! อย่าได้พูดกล่าวถึง เรื่องนี้อีกตกลงหรือไม่? ภายหลัง เมื่อใดเจ้ามีกําลังเพียงพอ ค่อยหาทางสร้างจันทราทมิฬและ มอบแก่ข้าก็พอ!” หยางฉีเย่ว์ยิ้ม พลางลูบผมฉินหยุน

“แล้วเรื่องการฝึกฝนของข้าเล่า?” ฉินหยุนยังไม่ทราบสถานะของตนเองอย่างกระจ่างชัดด้วยซ้ำ

“ซับซ้อนมาก! เมื่อใดกลับไป จงถามต่อปิงชิง นางน่าจะมีความรู้เรื่องนี้ดีกว่าข้า” หยาง ฉีเย่ว์กล่าว

หากเขาถามต่อเซี่ยฉีโหรว เช่นนั้นก็สมควรได้รับคําตอบในทันที ทว่าเวลานี้เขาไม่อาจติดต่อหานาง ฉินหยุนและหยางฉีเย่ว์เดินไปบนเวทีประลองยุทธ์ พลางพูดคุยทางเสียงสื่อสารต่อกัน ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินหยุนค่อยติดตามเปาเฉิงโจ่วออกจากที่นี้

วันถัดมา พื้นที่เวทีประลองยุทธ์กลายเป็นเนื่องแน่นด้วยผู้คน!

ฉินหยุนต่อแถวร่วมกับยอดยุทธ์ผู้อื่นเพื่อเข้าเวทีประลองยุทธ์ พวกเขากําลังรอคอยให้เจี้ยนสือเทียนมาถึง

ฉินหยุนคิด ว่าการแข่งขันวันนี้คงไม่มีอันใดที่ดีให้รับชมนัก เพราะมันเป็นเพียงงานคัดเลือกที่ต้องต่อสู้กับหุ่นเชิด เพื่อตัดสินว่าผู้ใดจึงสามารถเข้าสู่งานรอบหลัก

ตราบเท่าที่สามารถเอาชนะหุ่นเชิดในระยะเวลาชั่วธูปไหม้ ก็สามารถไปต่อยังรอบถัดไป

สิ่งที่ฉินหยุนห่วงหาเวลานี้ที่สุด คือเขาจะได้สู้กับหลงเฉิงขวงหรือไม่ เพราะตราบเท่าที่เขาเอา ชนะหลงเฉิงขวงได้ นั้นจึงเป็นการล้างแค้นที่ถูกหยามเหยียดครั้งก่อนหน้าได้!

“ฉินหยุน เจ้าช่างหุนหันเกินข้านึกคิดนัก! ข้าเพียงยั่วยุเจ้าไป กระนั้นกลับเข้าร่วมการแข่งขัน เช่นนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า!” หลังกล่าวคําจบ หลงเฉิ่งขวงจึงมองทางหยางฉีเย่ว์และกล่าวเชิงเกี้ยวพาราสี “แม่นางหยางผู้งดงาม หากสู้กับข้า เช่นนั้นข้าจะเบามือและกระทําอย่างนุ่มนวลให้ ฮ่าฮ่าฮ่า!”

ฉินหยุนมองที่หลงเฉิงขวงด้วยจิตสังหารเป็นล้นพ้น

เจี้ยนสือเทียนมาถึง “การแข่งขันครั้งนี้ หากได้รับสิบอันดับแรก เช่นนั้นจะได้รับรางวัลพิเศษ และหากได้รับอันดับหนึ่ง รางวัลที่ได้รับคือการเพิ่มระดับการฝึกฝนให้หนึ่งระดับ!”

“ยกตัวอย่าง ตอนนี้อยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ําระดับกลาง หากได้รับอันดับหนึ่ง ตําหนักเซียน ดาบของเราย่อมช่วยเหลือเพิ่มพูนการฝึกฝนสู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ําระดับสูง!”

ได้ยินเช่นนี้ ผู้คนรายล้อมเวทีประลองยุทธ์ต่างร้องตะโกน! และรางวัลนี้ สําหรับฉินหยุนก็ถือเป็นสิ่งล้ําค่าเช่นกัน

“เอาละ พวกเจ้ามีกันทั้งสิ้นหนึ่งร้อยสิบคน ถัดจากนี้พวกเจ้าจะต่อสู้กับหุ่นเชิด การต่อสู้เช่นนี้ ก็เพื่อให้เผยกําลังแท้จริงออกมา จงเอาชนะหุ่นเชิดภายในระยะเวลาชั่วก้านธูปไหม้ให้จงได้!” เจี้ยนสือเทียนกล่าวคําจบ เขาจึงเริ่มอ่านรายนาม

เขาเรียกขานนามคนทั้งสิบ ให้ไปยังตําแหน่งที่มีการจัดไว้สําหรับต่อสู้กับหุ่นเชิด ตามข้อตกลง เมื่อวันก่อน หุ่นเชิดของตระกูลเจี้ยนและตระกูลหลง จะรับหน้าที่ต่อสู้กับยอดยุทธ์ของตระกูลฝ่ายตรงข้าม เพียงไม่นาน ศึกทั้งสิบคู่จึงเริ่มขึ้นบนเวทีประลองขนาดใหญ่

นามของหลงเฉิงขวงอยู่ในรายชื่อกลุ่มแรก ศิษย์ทั้งหมดของกลุ่มแรกมาจากตระกูลหลง และ จํานวนหนึ่งนั้นมาจากเขตแดนลึกล้ํา หุ่นเชิดกลุ่มแรกที่เป็นคู่ต่อสู้ย่อมต้องมาจากตระกูลเจี้ยน!

ฉินหยุนและผู้อื่นต่างรับชมขณะยืนด้านล่างเวทีประลองยุทธ์

เจี้ยนรั่วหยานกล่าว “พี่หยุน นี่คือโอกาสดีที่จะได้เห็นกําลังของมัน!”

หยางฉีเย่ว์ส่ายศีรษะ “พวกมันย่อมไม่เผยกําลังโดยง่าย แม้อวดดีเช่นนั้น ทว่าพวกมันไม่ได้ เบาปัญญา!”

ศึกปะทะหุ่นเชิดเริ่มขึ้น ระหว่างการต่อสู้ ผู้เข้าแข่งขันไม่อาจใช้งานอาวุธ

หลงเฉิงขวงและพลพรรคคล้ายผ่อนคลายอย่างยิ่ง พวกเขาไม่ได้มีเจตนาคิดต่อสู้แต่อย่างใดด้วยซ้ํา

ตอนที่ 775 : ผสานรวมตะวันจันทรา

ฉินหยุนและเซี่ยวเย่ว์เหม่ยกลับไปยังห้องชุดหรูหราของเจี้ยนหลิงหลง

เซี่ยวเย่ว์เหม่ยนําเอายาเหลวออกมาทําความสะอาดแผลที่ไหล่ของฉินหยุน

“พี่ชาย ท่านเจ็บหรือไม่?” เซี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าวถามอย่างปวดใจ บาดแผลใหญ่นี้กําลังรักษาตัวเองที่ละน้อย

“ไม่เลย!” ฉินหยุนยิ้มบางให้เซี่ยวเย่ว์เหม่ย “เย่ว์เหม่ย เจ้าเองก็สงบใจมากนัก!”

ด้วยธรรมชาติของเซี่ยวเย่ว์เหม่ย การไม่ตะโกนร้องที่ตรงนั้นถือว่าแปลกมากแล้ว ฉินหยุนรู้จัก นางดีได้เห็นนางสงบเพียงนี้ เขาจึงทราบว่ามีเรื่องราวไม่ถูกต้อง

“ข้าย่อมต้องสงบ! ข้าย่อมไม่โกรธต่อกลุ่มคนตายเช่นนั้น!” เสี่ยวเย่ว์เหม่ยแค่นเสียงเบา

“เย่ว์เหม่ย เจ้าคิดวางแผนไปสังหารพวกมันเองหรือ?” ฉินหยุนพลันคว้ามือน้อยของนางไว้ และกล่าวถาม

“ใช่! ข้าจะไปสังหารพวกมันเสียเดี๋ยวนี้!” เซี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว “ผู้ใดใช้ให้พวกมันหาเรื่องท่าน!”

“เย่ว์เหม่ย พวกมันไม่ใช่รับมือได้ง่าย พวกมันมาจากเขตแดนลึกล้ำ!” ได้ เห็นเชียวเย่ว์เหม่ยสงบจนน่ากลัว ฉินหยุนย่อมตระหนักได้ว่านางคิดทําอะไร

“แล้วพวกเราจะปล่อยไปเช่นนี้หรือไร?” เซี่ยวเย่ว์เหม่ยไม่ยินดี นางย่อมเชื่อฟังฉินหยุนและเขาไม่ต้องการให้นางออกไปลงมือก่อการ

“ไม่ใช่ว่าพวกเรายังมีอีกหลายวันหรอกหรือ? อีกหลายวันถัดจากนี้ ข้าจะต้องเลื่อนระดับพลังให้จงได้!” ฉินหยุนกล่าวออกด้วยสีหน้าหนักแน่น “เมื่อใดถึงเวลานั้น ข้าจะสังหารพวกมันอย่างผ่าเผยที่บนเวทีประลองยุทธ์!”

เซี่ยวเย่ว์เหม่ยถอนหายใจ “ดูเหมือนผู้คนของเขตแดนลึกล้ำจะย่างกรายมาที่นี่แล้ว ไม่แปลกใจที่ท่านยายหยุนเหยาไม่ให้พี่หยางออกห่างไปไหน”

หนึ่งในเหตุผลที่ผู้คนของเขตแดนลึกล้ำมาที่นี่ ก็เพื่อจับตัวหยางฉีเย่ว์ เพราะพวกเขาเหล่านั้นเชื่อ ว่าหยางฉีเย่ว์ยังมีจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวในครอบครอง

เจี้ยนสือเทียน เปาเฉิงโจ่ว อู่ในอวี่ เจี้ยนรั่วหยาน รวมถึงเจี้ยนหนันหูต่างมาถึงหน้าประตู

“นี่ไม่ใช่ห้องชุดของหลิงหลงหรอกหรือ? ฉินหยุนถึงขั้นอยู่ที่นี่ อย่าได้บอกข้าแล้ว อย่าได้บอกว่าเซี่ยวหยุนผู้นั้นเป็นเขา!?” เจี้ยนสือเทียนร้องตระหนกตกใจ

“ต้องเป็นเขาแน่แล้ว!” เจี้ยนรั่วหยานคล้ายนึกขึ้นได้ “ข้าก็คิดว่าแปลก พี่หลิงหลงถึงกับโอนอ่อนต่อเจ้าปีศาจน้อยตัวนั้นง่ายเกินไป ทั้งยังกระทั่งมอบจูบให้!”

เจี้ยนหนันหู่ครวญครางเบา “ฉินหยุนผู้นี้ ถึงขั้นเด็ดดอกไม้หอมชมเชยไปทั่ว ทั้งยังกระทําอย่างง่ายดาย ไม่แปลกใจที่ยังไม่ก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำแม้ผ่านมาหลายปีแล้ว!”

หลังกล่าวคําจบ เขาจึงตวัดสายตามองเจี้ยนรั่วหยาน “น้องหยาน เจ้าดีที่สุดคือไม่เข้าไปใกล้ฉินหยุน!”

หลังได้รับฟัง เปาเฉิงโจ่วและคณะต่างสายศีรษะยิ้มให้แก่กัน

เจี้ยนสือเทียนเคาะประตูพร้อมตะโกนดัง “ฉินหยุนเป็นพวกเราเอง!”

ฉินหยุนเร่งรีบไปเปิดประตู พบเห็นเปาเฉิงโจ่วและคณะ คู่ในอวี่ยังได้เห็นเซี่ยวเย่ว์เหม่ย เวลานี้ภายในใจเขายังนับถือต่อนางอยู่ เพราะครั้งล่าสุดเซี่ยวเย่ว์เหม่ยได้ช่วยชี้แนะการฝึกฝนให้แก่เขา

“เจ้าปีศาจน้อย เป็นเจ้าที่นําอักขระตะวันของตระกูลเจี้ยนเราไป!” เจี้ยนสือเทียนเข้ามาพร้อมหัวเราะเบา

“ฉินหยุน เหมือนเจ้าจะกลับมาได้พักหนึ่งแล้วสินะ” เปาเฉิงโจ่วหัวเราะออกเช่นกัน

ฉินหยุนได้เห็นบรรดาผู้อาวุโสมาถึง เขาจึงเชื้อเชิญอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท หลังเข้ามานั่งกันเรียบร้อย พวกเขาจึงสอบถามถึงอาการบาดเจ็บ ตัวฉินหยุนไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงใด ทว่าความโกรธนั้นต่างหากจึงร้ายแรง!

เปาเฉิงโจ่วและผู้อื่นยังสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ จนกระทั่งพอใจพวกเขาจึงเดินทางกลับ เจี้ยนหนันหูและเจี้ยนรั่วหยานต่างกลับเช่นกัน เพราะทั้งสองยังต้องไปลงทะเบียน

ฟ้าสาง เจี้ยนหลิงหลงกลับมา นางได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อฉินหยุน ผู้คนล้วนพูดคุยกันทั่วทั้งเกาะแห่งดาบ ถึงสิ่งที่คณะกลุ่มคนของหลงเฉิงขวงกระทําหยามเหยียดต่อฉินหยุนเพียงใด และเป็นฉินหยุนที่ยอมกล้ำกลืนเพราะระดับการฝึกฝนที่ต่ำต้อยกว่า

หลังเจี้ยนหลิงหลงได้ทราบถึงอาการบาดเจ็บของฉินหยุน นางแทบทะยานร่างกลับมายังที่นี่ เป็นนางเดือดแค้นประหนึ่งภูเขาไฟพร้อมระเบิดออกทุกเมื่อตัวนางเวลานี้ กําลังสะกดกลั้นความโกรธเกรี้ยวอันไม่มีสิ้นสุดไว้

นางพอกลับมาได้พบฉินหยุน จึงตรงเข้าฉีกกระชากเสื้อผ้าเขาพร้อมพิจารณาอาการบาดเจ็บ นางกล่าวออกอย่างเดือดแค้น “หลงเฉิงขวงงั้นหรือ? ข้าผู้นี้จะออกไปสับหันร่างมันออกเป็นชิ้นแล้วโยนให้สุนัขได้กัดกินเนื้อมัน!”

“พี่หลิงหลง หากท่านไป ก็เท่ากับต้องสู้กับทั้งตระกูลหลง งานชุมนุมยุทธ์ดาบนี้เป็นการประขันระหว่างตระกูลเจี้ยนและตระกูลหลง ตระกูลหลงย่อมต้องส่งครึ่งเซียนมาเข้าร่วม!” ฉินหยุนกล่าว

เจี้ยนหลิงหลงที่สงบใจและพิจารณาอีกครั้ง จึงค่อยทราบว่าตัวนางเพียงลําพังยังไม่อาจสั่นคลอนต่อทั้งตระกูลหลงได้

“เขตแดนลึกล้ำช่วยเหลือตระกูลหลงในเบื้องหลัง หลงเฉิงขวงผู้นั้นก็มาจากเขตแดนลึกล้ำ ครานี้สมควรต้องมีผู้ช่วยเหลือของเขตแดนลึกล้ำร่วมทางมาด้วยแน่” เจี้ยนหลิงหลงกล่าว

“พี่หลิงหลง นี่เหรียญผลึกม่วง รบกวนท่านไปซื้อผลึกแก้วแกนกลางปริมาณมากมาให้แล้ว” ฉินหยุนกล่าว

“ได้” เจี้ยนหลิงหลงรับเหรียญผลึกม่วงมา ก่อนจะเร่งร้อนจากไป

ไม่นานจากนั้น สื่อชิงเฉิง สุ่ยเทียนสื่อ และเชี่ยวเสวียนฉินต่างมาถึง พวกนางยังนํายารักษาจากหยางฉีเย่ว์มาด้วย นี่ก็เพื่อช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้แก่ฉินหยุน

“ฉินหยุน ฉีเย่ว์เองก็จะเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ครั้งนี้ด้วย! นางกล่าวว่าต้องการล้างแค้นให้แก่เจ้า!” เชี่ยวเสวียนฉินกล่าว

“ยังต้องมีเหตุผลอื่นอีกกระมังที่พี่หยางเข้าร่วมงานประลองยุทธ์เช่นนี้? ด้วยธรรมชาติของพี่ หยางย่อมไม่ชื่นชอบเข้าร่วมการแข่งขันเช่นนี้” ฉินหยุนเอ่ยถาม

“นางกล่าว ว่าต้องการเอาชนะคนของเขตแดนลึกล้ำและตระกูลหลงในงานประลองยุทธ์ ย้อนกลับไปครั้งนางอยู่ที่เทือกเขานิราศจันทรา นางได้รับบาดเจ็บก็เพราะคนของตระกูลหลง และตอนนี้ นางก็ตกเป็นเป้าของเขตแดนลึกล้ำ นางจึงคิดอยากยืนหยัดต่อสู้” สุ่ยเทียนสื่อถอนหายใจเบา

“ตระกูลหลงช่างบัดซบยิ่งนัก!” ฉินหยุนกําหมัดไว้แน่น ตัวเขาเป็นกังวลว่าหยางฉีเย่ว์จะไม่อาจทัดเทียมคนของเขตแดนลึกล้ำได้

“ผู้คนของเขตแดนลึกล้ำมีทรัพยากรมากล้น วิธีการฝึกฝนก็เหนือล้ำยิ่งกว่า พละกําลังพวกเขา จึงมากมายยิ่งกว่า!” สื่อชิงเฉิงกล่าว

ระยะเวลาการลงทะเบียนเหลืออยู่ห้าวัน ฉินหยุนคิดอยากไปลงทะเบียนก็หลังจากเลื่อนระดับพลังได้ เจี้ยนหลิงหลงกลับมาหลังซื้อหาผลึกแก้วแกนกลางจํานวนมหาศาลด้วยราคาสูงลิ่ว คุณภาพของผลึกแก้วแกนกลางเหล่านี้ค่อนข้างทั่วไป กระนั้นก็ได้มาจํานวนมหาศาล ห้องลับเวลานี้ กลับกลายเป็นอัดแน่นด้วยกองผลึกแก้วแกนกลาง

“เริ่มกันได้แล้ว!”

ฉินหยุนและสตรีทั้งหลายต่างนั่งเป็นวงล้อมจับมือกันและกันเอาไว้ ยามเมื่อฉินหยุนดูดกลืนพลังงานภายในผลึกแก้วแกนกลาง เขาจะลอบโคจรมันด้วยวิชาร่างศักดิ์สิทธิ์เชียนอสูร

เขายังใช้วิญญาณเทวะเก้าตะวัน เพื่อชักนําพลังดวงตะวันทั้งเก้าประเภทออกจากผลึกแก้วแกนกลาง หลังพลังงานไหลเวียนสู่ร่างกาย เขาจะโคจรพวกมันผ่านวิชาร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนอสูร และเมื่อนั้น มันคือการเพิ่มแบบเท่าทวีของพลัง ฉินหยุนทราบดีว่าใจความสําคัญของวิชาร่างศักดิ์ สิทธิ์เซียนอสูรมีเพียงหนึ่งคํานั่นก็คือ “ความเจ็บปวด!”

พลังงานที่เขาดูดกลืนตลอดช่วงเวลาก่อนหน้านี้ กล่าวได้ว่าอ่อนจาง ด้วยการปรับเปลี่ยนใหม่ พลังถูกส่งถ่ายต่อไปยังเซี่ยวเย่ว์เหม่ย และเซี่ยวเย่ว์เหม่ยที่ได้รับพลัง นางตระหนักได้ถึงบางสิ่ง ผิดแผก มันแข็งแกร่งขึ้นและยังมีพลังงานประเภทอื่นอัดแน่นมา มันคือสิ่งที่เสริมแกร่งแก่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว

หลังจากที่พลังงานผสานในกายนาง มันจึงยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น ถัดจากนั้นนางจึงส่งต่อพลังงานที่เพิ่มพูนแล้วต่อไปยังสื่อชิงเฉิง ถัดจากนั้นจึงเป็นสุ่ยเทียนสื่อ และเชี่ยวเสวียนฉินตามลําดับ กระทั่งถึงครั้งที่ส่งถ่ายไปยังร่างเจี้ยนหลิงหลง มันก็แข็งแกร่งขึ้นหลายเท่าตัวแล้ว มันถึงขั้นขนาดที่จักรพรรดิยุทธ์เช่นเจี้ยนหลิงหลง ยังต้องสัมผัสได้ถึงประโยชน์มหาศาลของพลังงานนี้

ท้ายที่สุด เมื่อพลังงานกลับคืนสู่กายของฉินหยุน มันทําให้เขารับรู้ว่าพลังงานที่ออกจากร่างกายของเขาตอนแรก มันเปรียบดังห้วยน้ําไหลเล็กน้อย และที่กลับคืนมามันประหนึ่งเป็นแม่น้ำ ใหญ่อันเชี่ยวกราก มันทะลักล้นเข้าใส่กายเขา!

“อึก” ฉินหยุนอดไม่ได้จนต้องคํารามร้องเจ็บปวดออกมา

“เจ้าไหวหรือไม่?” เจี้ยนหลิงหลงกล่าวถาม แม้จักรพรรดิยุทธ์เช่นนาง ยังรู้สึกว่าพลังนี้แข็งแกร่งเกินไป

“ข้ายังทนได้” เฉินหยุนนึกถึงเรื่องราว หากหยางฉีเย่วเผชิญหน้าหลงเฉิงขวงคิ้วของเขากลับกลายเป็นขมวด กระบวนการดําเนินต่อไป

ฉินหยุนและเจี้ยนหลิงหลง ต่างใช้เหรียญผลึกม่วงหลายร้อยล้านเพื่อซื้อหาเป็นผลึกแก้วแกนกลางมากองแล้วกองเล่าถูกใช้งาน ไม่ทราบว่ามันยังต้องใช้งานอีกมากมายเพียงใด และสิ่งหนึ่งที่ไม่คาดคิด คือในช่วงระยะเวลาไม่กี่วันนี้สื่อชิงเฉิง สุ่ยเทียนสื่อ และเชี่ยวเสวียนฉิน พวกนางถึงกับสําเร็จการฝึกฝนร่างเซียน! กระทั่งเจี้ยนหลิงหลงยังมีความคืบหน้าทางการฝึกฝนอย่างก้าวทะยาน

และเวลานี้ ร่างกายของฉินหยุนกําลังเผยลําแสงเจิดจ้าถึงเก้าสีทะลักออก เขานั่งนิ่งกับพื้นดวงตาหลับลง จิตใจถูกผนึก ตัวเขาไม่อาจรับรู้ถึงเรื่องราวภายนอกอีกต่อไป

เชียวเย่ว์เหม่ยกล่าวคําเสียงเบา “ลําแสงเก้าสีปรากฏที่ร่างพี่ชายนี้ย่อมต้องเป็นพลังงานตะวันเก้าประเภท! ไม่ใช่ว่าพี่ชายมีหนึ่งชีพจรวิญญาณหรือ?”

“ออกไปกันก่อนดีกว่า ให้เขาได้เก็บตัวสงบเพื่อเลื่อนระดับ!” เจี้ยนหลิงหลงกล่าว

หลังจากที่กลุ่มหญิงสาวออกจากห้อง จึงมีแต่ฉินหยุนที่คงอยู่ สาเหตุว่าฉินหยุนทําไมจึงอยู่สภาพคล้ายหลับ ก็เพราะแก่นเต๋ตะวันทมิฬของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ปกติขึ้นมา

ย้อนกลับไปครั้งเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ เขาได้พบจันทราทมิฬ และผนึกมันเอาไว้ภายใน แก่นเต๋ตะวันทมิฬ และตอนนี้เอง จันทราทมิฬได้ออกมานอกแก่นเต่าตะวันทมิฬ เข้าสู่จิตใจของ เขามันกลืนกินจิตแปรสภาพจันทรา ตอนนี้ จิตใจของเขาหาได้ใช่จันทราที่อ่อนแสงเช่นก่อนหน้า ทว่ามันกลับกลายเป็นจันทราทมิฬ!

“จิตของเจ้าเป็นจันทราทมิฬ แก่นเต๋ก็เป็นตะวันทมิฬ! นี่ถือเป็นการคู่ผสมกันอย่างยอด เยี่ยม! หยินและหยาง คือตัวแทนของอสูรและเซียน บางทีนี่อาจทําให้เจ้าสามารถฝึกฝนร่างศักดิ์ สิทธิ์เซียนอสูรได้ง่ายดายมากขึ้น!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าวอย่างนึกถึง “ไม่แปลกใจที่เจ้าต้องดูดกลืนผลึกแก้วแกนกลางมหาศาลเพียงนั้น เพราะเจ้าต้องแบกรับทั้งจันทราทมิฬและตะวันทมิฬ”

ฉินหยุนได้ควบแน่นแก่นเตําลึกล้ำขึ้นมา นี่คือตะวันทมิฬอย่างไม่ต้องสงสัย!

“เจ้าได้ฝึกฝนตะวันทมิฬก่อนเวลาเช่นนี้! ข้าเองไม่ทราบแล้วว่านี่คือเรื่องดีหรือแย่!” หลิงหยุนเอ่อคือวิญญาณเต่ตะวันทมิฬ กระทั่งนางเอง ก็ไม่คิดว่าเรื่องราวจะเกิดขึ้นกลับกลายเป็นเช่นนี้

“เสี่ยวหยุน… เสี่ยวหยุน!” หลิงหยุนเอ๋อร้องตะโกน

“หยุนเอ๋อ ข้ายังสบายดี!” ฉินหยุนตอบรับ จิตใจของเขายังคงอยู่ที่นี่ เรื่องนี้ทําให้หลิงหยุนเออผ่อนคลายได้มาก!

“สาเหตุว่าทําไมสถานการณ์เช่นนี้บังเกิดขึ้นกับเจ้า อาจเป็นเพราะเจ้าฝึกฝนพระสูตรหัวใจตะวันจันทราพร้อมกับวิชาร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนอสูรกับหญิงสาวเหล่านั้น สถานการณ์ตอนนี้ถือว่าเกิดขึ้นก่อนเวลาอันสมควร!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว

ฉินหยุนลืมตาขึ้นพร้อมลุกยืน เขาเผยยิ้มกล่าว “พลังตะวันและจันทราได้ผสานต่อกัน พลังนี้เลิศล้ำนัก!”

ตัวเขาตอนนี้เชี่ยวชาญทั้งพลังตะวันและพลังจันทรา นอกจากนี้มันยังเป็นสิ่งแข็งแกร่งที่สุดดังเช่นตะวันทมิฬและจันทราทมิฬ พวกมันทั้งสองเป็นสีดํา!

กระนั้น แก่นเต๋ตะวันทมิฬของเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นดวงตะวันทมิฬขนาดเล็ก นี่ไม่ใช่แก่นเต๋ลีกล้ำตามปกติ ทว่าชวนสะพรึงยิ่งกว่านั้น และตัวเขายังสามารถใช้จิตวิญญาณตะวันทมิฬ เพื่อปลดปล่อยพลังจิตทรงอํานาจมหาศาลออกมาได้

ฉินหยุนเร่งรีบเปลี่ยนชุดสะอาดพร้อมออกจากห้อง เป็นเขาต้องการไปลงทะเบียนเข้าร่วมงาน ประลองยุทธ์

ฉินหยุนรู้สึกหวั่นเกรงไม่น้อยหลังสัมผัสได้ ถึงออร่าของบรรดาเหล่ายอดยุทธ์ที่รวมตัวกันในลานกว้าง การแข่งขันจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่วันถัดจากนี้ ทว่า ฉินหยุนรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล เพราะตัวเขาจะไม่อาจเลื่อนระดับพลังได้ในช่วงไม่กี่วันถัดจากนี้เป็นแน่

ยอดยุทธ์ส่วนใหญ่ในที่นี้ พวกเขาที่เข้าแข่งขันระดับยอดยุทธ์ จะอยู่ระดับกลางหรือสูงกว่านั้น ยกตัวอย่าง เจี้ยนหนันหู่และเจี้ยนรั่วหยาน ทั้งสองต่างเป็นยอดยุทธ์ระดับกลาง

ฟ้ายังมืด หลายคนรวมตัวกันที่ลานกว้าง พวกเขารอคอยจนกระทั่งเช้าเพื่อการลงทะเบียนเข้าร่วมแข่งขัน ยอดยุทธ์ที่เลิศล้ำทั้งหลายของหลายแคว้นต่างมารวมตัวกันที่นี่

ด้วยฉินหยุนหายตัวไปหลายปี รูปลักษณ์ของเขาจึงเลือนหายจากความทรงจำผู้อื่น กระนั้น นามของฉินหยุนก็ยังเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้คน ทั้งยังมีการกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้ง

ไกลออกไป เจี้ยนรั่วหยาน เจี้ยนหนันหู่ เจี้ยนหมาง และคณะศิษย์ตระกูลเจี้ยนกำลังหัวเราะไปพลางพูดคุย

แต่แล้วผู้หนึ่งพลันร้องโพล่ง “ชายชุดสีครามผู้นั้นดูคล้ายฉินหยุน ก่อนหน้านี้ ข้าเคยพบเห็นเขาครั้งหนึ่งที่ทางเข้าพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์ เป็นเขาฝากความประทับใจไว้แก่ข้ามากนัก!”

เสียงของคนผู้นี้ค่อนข้างดัง ผู้คนใกล้เคียงล้วนได้ยิน เจี้ยนหนันหู่ เจี้ยนรั่วหยาน และบรรดาหัวกะทิจากแคว้นมหาดวงดาวล้วนมองไป พวกเขาส่วนใหญ่มีความประทับใจอันดีต่อฉินหยุน เวลานี้พวกเขาล้วนได้ยืนยันมั่นใจ ว่าอีกฝ่ายคือฉินหยุน

ฉินหยุนมาถึงแล้ว!

หากงานประลองยุทธ์ครั้งใหญ่เช่นนี้ไม่มีฉินหยุนเข้าร่วม ผู้คนรุ่นเดียวกันจะรู้สึกเสมือนสิ่งใดขาดหายไป อย่างไรแล้ว ฉินหยุนก็คือผู้มีพรสวรรค์สูงล้ำของแดนวิญญาณอ้างว้างเขตแดนนอก นี่ยังไม่กล่าวถึงความเลิศล้ำของเขาต่อวิถีจารึก

ทั่วทั้งลานกว้างกลับกลายเป็นเงียบงันครู่หนึ่ง ถัดจากนั้นจึงเกิดความอึกทึกครั้งใหญ่!

เจี้ยนหนันหู่ เจี้ยนรั่วหยาน รวมถึงเจี้ยนหมางเร่งรีบเข้ามาใกล้

“พี่หยุน นั่นท่านหรือ?” เจี้ยนรั่วหยานพบว่าเรื่องราวยากเกินเชื่อ นางกล่าวถามออกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดี

“ย่อมเป็นข้า” ฉินหยุนยิ้มบางตอบรับ จากนั้นจึงมองที่เจี้ยนหนันหู่

เจี้ยนหนันหู่ขมวดคิ้วกล่าว “ฉินหยุน เจ้ายังไม่ก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ นี่ช่างน่าผิดหวังนัก!”

ฉินหยุนกล่าว “ข้าติดอยู่ในช่องว่างกาลอวกาศ ทำให้ถูกรั้งเวลาหายไปหลายปี!”

เจี้ยนรั่วหยานกล่าว “พี่หยุน อย่างนั้นท่านควรรอจนกว่าจะเข้าสู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำก่อน!”

เจี้ยนหนันหู่กล่าว “ฉินหยุน แม้เจ้ายังไม่ก้าวถึงการเป็นยอดยุทธ์ กระนั้นเจ้าก็ยังแข็งแกร่ง! ลงทะเบียนเข้าร่วมเสีย แม้เจ้าไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีอันใดนัก ก็ไม่มีผู้ใดคิดกล่าวเย้ยหยันเจ้า!”

เจี้ยนหมางเอ่ยคำ “ดีสุดหากเจ้าไม่เข้าร่วม!”

เพียงเจี้ยนหมางกล่าวคำจบ ออร่าอันเหนือล้ำพลันมาถึง อีกฝ่ายเป็นชายหล่อเหลาใบหน้ารูปหยก ดวงตานั้นมีแต่ความเย็นเยือกอหังการ เขามาพร้อมกลุ่มคนสวมใส่ชุดหรูหรา

ชายที่หล่อเหลาซึ่งสวมใส่ชุดสีขาวทองคำหรูหรา มันมีลวดลายมังกรปักเอาไว้อย่างงดงาม หมวกของอีกฝ่ายก็มีร่างมังกรสลักเอาไว้ พัดในมือก็พลิ้วไหวด้วยประกายแสงสีทองสาดส่องจากมังกรที่ปักไว้อย่างงดงาม ทั้งยังมีรองเท้าลวดลายมังกร ชายผู้นี้มีแต่มังกรประดับเต็มตัว ทั้งยังมีออร่ามังกรอันเลิศล้ำ

“นั่นคือหลงเฉิ่งขวง! เขาคือหลานของผู้นำตระกูลแห่งแคว้นมังกรทะยานฟ้า ครอบครองร่างมังกร และมีสามวิญญาณยุทธ์! เป็นบุคคลที่น่าสะพรึงผู้หนึ่ง!” เจี้ยนรั่วหยานส่งเสียงสื่อสารบอกต่อฉินหยุน

กลุ่มคนยังหนุ่มรอบกายหลงเฉิ่งขวง ออร่าของพวกเขาแทบไม่อ่อนด้อยไปกว่ากัน ชัดเจนว่าพวกเขาเหล่านี้คือผู้มากพรสวรรค์

“เจ้าหรือคือฉินหยุน?” หลงเฉิ่งขวงมองทางฉินหยุนจากระยะไกลพร้อมหัวเราะเบา “เจ้ายังไม่เข้าสู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ กระนั้นกลับกล้าเสนอหน้าโผล่ออกมา!”

“หากข้าเป็นเจ้า ข้าคงหลบซ่อนในถ้ำ คิดออกมาก็ต่อเมื่อก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ! และเจ้าคิดหรือว่านี่จะเหมือนเมื่อหลายปีก่อน ท่ามกลางผู้มากพรสวรรค์ทางยุทธ์เต๋าที่นี้ มันไม่มีที่ให้เจ้าได้ยืนหยัด!”

ผู้คนต่างทราบว่าหลงเฉิ่งขวงแข็งแกร่งเพียงใด กระทั่งเจี้ยนหนันหู่ยังต้องหวั่นเกรง!

เจี้ยนหนันหู่แค่นเสียงกล่าว “หลงเฉิ่งขวง ข้ายอมรับว่าเจ้าแข็งแกร่ง! ทว่าเจ้าที่เป็นยอดยุทธ์ระดับกลาง เหตุใดจึงอหังการอวดดีต่อฉินหยุนเพียงนี้?”

“ฉินหยุนอยู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูงสุด หากเป็นเจ้าที่มีการฝึกฝนทัดเทียม เจ้าจะมีแต่ถูกเขาสะกดข่มจนถูกเฉือนหั่นทั้งร่างเป็นชิ้นเนื้อ!”

หลงเฉิ่งขวงเผยเสียงหัวเราะดัง “เจี้ยนหนันหู่ เจ้าให้ค่ามันสูงเกินไปแล้ว! ไม่แปลกใจที่เจ้าพ่ายแพ้ต่อมันหลายครั้งครา หากเป็นข้า คิดเอาชนะมันใช้มือเดียวก็เกินพอ!”

ได้เห็นหลงเฉิ่งขวงอหังการอวดดีเป็นล้นพ้น เชี่ยวเย่ว์เหม่ยต้องกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ ฉินหยุนรับรู้ได้ว่าหลงเฉิ่งขวงแข็งแกร่งเพียงใด ตั้งแต่ที่ครอบครองร่างเซียนอสูร สัมผัสของเขาแม่นยำมากล้ำ โดยเฉพาะยามเมื่อต้องเผชิญหน้ากับบุคคลอันตรายที่แข็งแกร่ง หลงเฉิ่งขวงผู้นี้ เห็นได้ชัดว่ายังเก็บงำพลังมากล้ำไว้ภายใน

“เสี่ยวหยุน ชายผู้นี้แปลกเกินไปแล้ว! ข้าคิดว่ามันและผู้คนรอบกายล้วนมาจากเขตแดนลึกล้ำ!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว

เป็นศิษย์ของเขตแดนลึกล้ำ! เขตแดนลึกล้ำวิญญาณอ้างว้าง มันมีทรัพยากรและพลังที่หนาแน่นยิ่งกว่าหากเทียบกับเขตแดนนอก ทั้งยังรวมถึงวิธีการฝึกฝน พวกเขากล่าวว่าเหนือล้ำกว่าในทุกสัดส่วน และตอนนี้ ศิษย์ของเขตแดนลึกล้ำได้มายังที่นี่ ทั้งยังมาจากตระกูลหลง! ชัดเจนว่าขั้วอำนาจแห่งเขตแดนลึกล้ำ ได้ทำการสนับสนุนตระกูลหลงอยู่เบื้องหลัง

ฉินหยุนเมินเฉยหลงเฉิ่งขวง กระนั้น หลงเฉิ่งขวงและคณะคนของเขากลับปิดล้อมฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ยไว้ เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพยายามดึงฉินหยุนให้ไปจากที่ตรงนี้ กระนั้นชายหนุ่มชุดแดงกลับปลดปล่อยพลังกดดันมหาศาลรั้งนางไว้ แรงดังกล่าว มันถึงขั้นทำให้เชี่ยวเย่ว์เหม่ยต้องร้องออกมาเบา

“เจ้าทำบ้าอะไร?” ฉินหยุนกล่าวน้ำเสียงลุ่มลึก

“หลงเฉิ่งขวง ที่นี่คืออาณาเขตแห่งตระกูลเจี้ยน เจ้าอย่าได้คิดว่าจะลงมือตามใจชอบที่นี่ได้!” เจี้ยนหนันหู่ชักดาบของตนออก

“ข้าเพียงคิดอยากได้เห็น ว่าฉินหยุนที่ตำนานกล่าวขานผู้นั้นแข็งแกร่งเพียงใด!” หลงเฉิ่งขวงแค่นเสียงกล่าว จากนั้นจึงใช้พลังลับโจมตีใส่ศีรษะเชี่ยวเย่ว์เหม่ย

นอกจากฉินหยุน หาได้มีผู้ใดสัมผัสถึงพลังนี้ได้ พลังงานเช่นนี้ไร้เสียง ทั้งยังอัดแน่นด้วยพลังชวนสะพรึง มันคือพลังที่ยากตรวจพบ ฉินหยุนเพียงตรวจพบความผันแปรผ่านทางพลังงานวิญญาณเก้าตะวัน

ฉินหยุนกลายเป็นมีโทสะ เพราะหลงเฉิ่งขวงคิดเล็งไปยังศีรษะของเชี่ยวเย่ว์เหม่ย! เขารั้งเชี่ยวเย่ว์เหม่ยกลับเข้าหาตน หลังจากที่พลังนั้นพลาดเป้า มันจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปยังศีรษะของฉินหยุน

พลังงานลึกลับประหลาดนี้ถึงขั้นหาเป้าหมายเป็นศีรษะผู้คนด้วยตนเองได้! ฉินหยุนหวั่นเกรง หลิงหยุนเอ๋อปลดปล่อยพลังแรงดึงดูดผ่านทางวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬเข้าดูดกลืนพลังลึกลับนั้น

ตู้ม!

พลังงานลับเกิดการบิดเบี้ยว มันหันเหลงใส่หัวไหล่ของฉินหยุนพร้อมระเบิดออก! แรงระเบิดส่งผลให้หมอกเลือดปรากฏ! หัวไหล่ของฉินหยุนปรากฏรูขนาดใหญ่จากแรงระเบิด!

ผู้คนยามได้เห็นล้วนตื่นตะลึง! ฉินหยุนผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ถึงขั้นได้รับบาดเจ็บหนักที่หัวไหล่เช่นนี้! พวกเขาต่างมองที่เนื้อและโลหิตในหัวไหล่ของฉินหยุนพร้อมลอบหวาดกลัว เพราะที่ตรงนั้น มันปรากฏเส้นสายสีขาว มันคือพลังของร่างเซียนอสูรที่พร้อมฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้อย่างง่ายดาย

“หลงเฉิ่งขวง จงหยุดที่ตรงนั้น!” เจี้ยนหนันหู่ตะโกนดัง เขาเร่งรีบทะยานร่างออกมา

ทันใดนี้ จักรพรรดิยุทธ์และครึ่งเซียนทั้งหลายต่างมาถึง

“ทุกคนจงหยุด ที่นี่เกิดเรื่องใดขึ้น?” ผู้ซึ่งกล่าวถาม เป็นครึ่งเซียนของตระกูลเจี้ยน

“หลงเฉิ่งขวงและคนของมันโจมตีใส่ฉินหยุน!” เจี้ยนหนันหู่กล่าวออกอย่างโกรธแค้น

ฉินหยุนเพียงยืนที่ตรงนั้น เป็นปราการปกป้องให้แก่เชี่ยวเย่ว์เหม่ยที่ด้านหลัง สีหน้าของเขาเวลานี้ทั้งดำมืดและชวนให้หวาดกลัว แม้มีแผลใหญ่ที่หัวไหล่ กระนั้นคิ้วของเขากลับไม่กระตุกแม้เพียงนิด เป็นเขากำลังสะกดข่มโทสะอันล้นพ้นภายในใจ!

“ข้าหาได้ลงมือใดไม่ เป็นมันคิดลงมือแล้วพลาดทำตนเองบาดเจ็บ!” หลงเฉิ่งขวงยิ้มสงบกล่าวคำพร้อมโบกพัดในมือ

“พวกเราเองก็ไม่เห็นว่าหลงเฉิ่งขวงลงมือใด ผู้คนที่นี้เป็นพยาน อีกฝ่ายเพียงปิดล้อมเขาและกล่าวถามถึงเรื่องราวในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ!”

“พวกเราไม่คิดว่าเขาคือผู้ลงมือโจมตี!”

หลายคนที่นี้เป็นพยานคนแล้วคนเล่า ว่าพวกเขาไม่พบเห็นหลงเฉิ่งขวงลงมือใด! พวกเขายังไม่อาจสัมผัสถึงออร่าใดได้ด้วย หัวไหล่ของฉินหยุนระเบิดเองอย่างกะทันหัน ทว่าในใจพวกเขาล้วนคิด ว่านั่นไม่ใช่เขาทำตนเองอย่างแน่นอน!

“ฉินหยุน ตระกูลหลงของข้ามีข้อพิพาทกับเจ้ามากมายนัก ข้าจะเป็นตัวแทนตระกูลหลงทำลายข้อพิพาทเหล่านั้นลงจนสิ้นเอง!”

หลงเฉิ่งขวงเผยใบหน้าลำพองพลางหัวเราะ “หากเจ้าคิดอยากลงมือต่อข้า เช่นนั้นจงลงทะเบียนการแข่งขัน พวกเราจะได้สะสางข้อพิพาทบนลานประลองยุทธ์!”

“เจ้าไม่มีค่าพอจะเป็นตัวแทนตระกูลหลงมาคลี่คลายข้อพิพาทกับข้า! มีแต่ทั้งตระกูลหลงถูกกวาดล้างจนสิ้น นั่นจึงเป็นการคลี่คลายข้อพิพาทของข้าได้!” ฉินหยุนกล่าวออกอย่างไม่หวั่นเกรงใด “หลงเฉิ่งขวง เจ้าอย่าได้ให้ค่าตนเองสูงเกินไปนัก!”

“ฉินหยุน ตัวเจ้าที่ยังไม่ก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ กระนั้นกลับอหังการอวดดีต่อหน้าข้าผู้นี้หรือ! เป็นเจ้าที่ไม่รู้จักประมาณตน!” หลงเฉิ่งขวงแค่นเสียง

“พวกเราไป”

ฉินหยุนดึงเชี่ยวเย่ว์เหม่ยคิดเดินจากไป ขณะฝีเท้าก้าวได้เพียงไม่กี่ก้าว ชายชุดแดงพลันเข้าสกัดขาเขาเอาไว้คิดทำให้เขาต้องล้มลง

“นามเจ้าว่าอะไร?” ฉินหยุนที่ถูกสกัดขา เวลานี้หันศีรษะกลับมองชายชุดแดงพร้อมกล่าวถามเสียงเย็นเยือก

“เจ้ายังไม่มีค่าพอให้ทราบนามข้า! แล้วมองหาอะไร? จงไสหัวไป!” ชายชุดแดงแค่นเสียงกล่าวคำดัง

“นามของมันคืออวี้เสินเจิน!” เจี้ยนรั่วหยานรับชมด้วยโทสะมาตลอด กระนั้นนางทราบ ว่าฝ่ายนางไม่อาจลงมือที่นี้ได้

“ได้ ข้าจะจำนามมันเอาไว้!”

คนหนุ่มอีกจำนวนหนึ่งที่มาพร้อมหลงเฉิ่งขวงคิดถ่มน้ำลายใส่ฉินหยุน กระนั้น ฉินหยุนใช้ม่านพลังสกัดไว้ได้!

เชี่ยวเย่ว์เหม่ยค่อนข้างสงบใจได้มาก เพราะนางทราบดี ด้วยตระกูลเจี้ยนที่นี่ อีกฝ่ายจะไม่มีทางกล้าลงมืออื่นใดอีก เพราะไม่เช่นนั้น พวกเขาจะถูกเขี่ยพ้นออกจากเกาะแห่งดาบ

เจี้ยนหมางไม่อาจมองเห็น กระนั้นเขาสัมผัสกระจ่างชัด ถึงเจตนาสังหารขวนสะพรึงของฉินหยุน เขากล่าวเสียงเบา “คนกลุ่มนี้คงมีชีวิตรอดได้ไม่นาน”

เจี้ยนรั่วหยานตามหลังคอยคุ้มกันให้

เจี้ยนหนันหู่มองที่หลงเฉิ่งขวงพร้อมแค่นเสียงกล่าว “หลงเฉิ่งขวง เจ้าเพียงกล้ารังแกผู้ที่ระดับการฝึกฝนต่ำกว่า หากมีความกล้า เช่นนั้นจงเข้ามารังแกข้า!”

“เจี้ยนหนันหู่เอ๋ย สวะเช่นเจ้าที่พ่ายแพ้ฉินหยุนหลายครั้งครา อย่าได้อวดดีต่อหน้าข้าแล้ว… ฮ่าฮ่าฮ่า!” หลงเฉิ่งขวงหัวเราะดังก่อนจะเดินจากไป

ฉินหยุนมาถึง กระนั้น เขากลับถูกหยามเหยียดพร้อมฝากฝังความเกลียดชังครั้งใหญ่เอาไว้! เรื่องราวนี้แพร่กระจายรวดเร็วสู่ทั่วทั้งเกาะแห่งดาบ

เจี้ยนสือเทียนและเปาเฉิงโฉ่ว รวมถึงผู้อาวุโสอีกหลายคนที่ได้ทราบเรื่อง พวกเขาต่างเร่งรีบมาพบฉินหยุนกันโดยทันที

ฉินหยุนและเจี้ยนหลิงหลงภายนอกดูสงบยิ่ง กระนั้นภายในตื่นเต้นจนแทบแย่แล้ว

เจี้ยนสือเทียนพบว่าสถานการณ์เกินคาดคิด เพราะอันดับหนึ่งไม่ใช่คนของตระกูลเจี้ยน นอกจากนี้ เจี้ยนหลิงหลงยังได้รับอันดับสอง นี่หมายความถึงด้วยไม่มีจารึกวิญญาณจ้าวเต๋า ระดับวิถีจารึกของนางก็ยังสูงล้ำ นางแข็งแกร่งยิ่งกว่าอาจารย์จารึกเต๋าทั้งหลาย ตอนนี้เขานึกเสียใจที่ปล่อยมือจากนาง

อันดับที่สาม จึงเป็นอาจารย์จารึกเต๋าของตระกูลเจี้ยน สีหน้าของเขาไม่สู้ดีเท่าใดนัก เพราะก่อนการแข่งขันจะเริ่ม เขาคือผู้ที่มีศักยภาพชนะเลิศมากที่สุด กระนั้นตอนนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ได้อันดับแรก ยังกลับต้องพ่ายแพ้แก่สตรีจากตระกูลของตนเอง

ฉินหยุนได้รับอักขระตะวัน กระนั้นภายในใจต้องลอบหยามเหยียด เขานึกว่าอย่างน้อยก็ต้องได้สักหลายชุด กระนั้นกลับเป็นเพียงหนึ่งชุด เจี้ยนหลิงหลงได้รับอักขระเต๋าและอักขระจันทราอย่างละหนึ่งชุดเช่นกัน ทั้งหมดได้ถูกแกะสลักไว้บนแผ่นหนังสัตว์

“น้องชาย ข้าพักที่หอพำนักเซียนดาบ คืนนี้ไปพักกับข้า จะได้กล่าวขอบคุณเจ้าด้วย! นอกจากนี้ หากอยู่ร่วมกับข้าก็มีแต่จะยิ่งปลอดภัย!” เจี้ยนหลิงหลงเผยความยินดีขณะดึงแขนฉินหยุนออกจากเวทีแข่งขัน

เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพอเห็นดังนี้ นางจึงลอบติดตามทั้งสอง

แม้เจี้ยนหลิงหลงเป็นสตรีอารมณ์ร้าย ทว่านางงดงามอย่างยิ่ง นอกจากนี้แล้ว นางยังเป็นถึงจักรพรรดิยุทธ์ ท่าทียังร้อนแรงผ่าเผย นางคือฝันหวานของบุรุษทั้งหลาย ทว่าเวลานี้ นางกลับโดนเจ้าปีศาจน้อยผู้นั้นครอบงำ!

เจี้ยนหลิงหลงนำฉินหยุนออกจากอาคารลูกบาศก์ จากนั้นจึงคิดขึ้นเรือบิน แต่ขณะจะขึ้นไปนั้นเอง ฉินหยุนพลันตะโกน “รอประเดี๋ยว!”

เชี่ยวเย่ว์เหม่ยมาถึงตามติด นางสวมใส่หน้ากาก เจี้ยนหลิงหลงเปิดประตูรับบุคคลชุดดำสวมหน้ากากเข้ามา นางไม่เอ่ยถามว่าผู้นี้คือใคร หลังเข้าสู่เรือบินเรียบร้อย เชี่ยวเย่ว์เหม่ยจึงค่อยถอดหน้ากากออก เผยซึ่งใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มทรงเสน่ห์

“พี่หลิงหลง เป็นข้าเอง!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะกล่าว

ก่อนหน้านี้ เชี่ยวเย่ว์เหม่ยได้ไปเยี่ยมเยือนพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์อยู่บ่อยครั้ง นางรู้จักกับปิงชิง ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเจี้ยนหลิงหลง เจี้ยนรั่วหยาน และเหลียวจิงเหมิงจึงค่อนข้างดี และที่พระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์ นางก็แสร้งทำตัวเป็นเซียนมาโดยตลอด

“เย่ว์เหม่ย เจ้า… เจ้าทราบว่าพี่ชายเจ้ากลับมาแล้ว กระนั้นกลับไม่บอกข้าแม้เพียงนิด!” เจี้ยนหลิงหลงครวญครางเบา จากนั้นจึงยื่นมือเข้าไปหยิกใบหน้างดงามของเชี่ยวเย่ว์เหม่ย

เจี้ยนหลิงหลงควบคุมเรือบิน มุ่งหน้าสู่หอพำนักเซียนดาบซึ่งอยู่ไม่ไกล

“นี่ก็เพราะพวกเรามีเรื่องสำคัญให้ต้องทำ!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว “พี่หลิงหลง ท่านมีผลึกแก้วแกนกลางเท่าใดกัน?”

“ข้าไม่มีเหลือแล้ว หากไม่พอ ข้าจะไปช่วยซื้อมาให้” เจี้ยนหลิงหลงกล่าว

“ตอนนี้ไม่เหมาะสมไปซื้อ ราคาค่อนข้างพุ่งสูง ทั้งคุณภาพยังออกจะขาดไปบ้าง!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเป็นกังวล ว่าฉินหยุนจะไม่อาจเลื่อนระดับได้ทันเวลา

ฉินหยุนจึงกล่าวขึ้น “รอจนถึงเวลานั้น พวกเราค่อยว่ากล่าวกันอีกทีหนึ่ง!”

ไม่นานจากนั้น ฉินหยุนและเจี้ยนหลิงหลงจึงแลกเปลี่ยนอักขระที่ได้รับมา

“อักขระตะวันชั้นเลิศ ค่อนข้างดี ทว่าข้าไม่ทราบว่าอักขระตะวันระดับราชันเป็นเช่นไร!” เจี้ยนหลิงหลงขมวดคิ้ว “เจ้าอย่าได้กังวลไป ตำหนักเซียนดาบเชี่ยวชาญอักขระตะวันไม่ใช่น้อย และแต่ละชุดย่อมเป็นของดี!”

อักขระเต๋าและอักขระจันทรา ก็ถือว่าเป็นของดี

โดยเฉพาะอักขระเต๋า มันเป็นอักขระเต๋านามลึกล้ำทะยาน ค่ายอาคมที่สร้างขึ้นโดยอักขระเต๋านี้ จะสามารถทำให้เพิ่มพูนการฝึกฝนแก่ผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ

อักขระจันทรา มันนามคือแก่นจันทรา มันไว้ใช้สำหรับควบแน่นแก่นจันทรา

เจี้ยนหลิงหลงนำฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ย สู่ห้องพักของนางที่หอพำนักเซียนดาบ หอพำนักเซียนดาบแห่งนี้สูงกว่าสองร้อยชั้น เจี้ยนหลิงหลงอยู่ที่ชั้นหนึ่งร้อยแปดสิบ ภายในห้องชุดค่อนข้างหรูหราและกว้างใหญ่ มันเปรียบดังพระราชวังกลางฟ้า ชั้นนี้ประกอบด้วยหลายห้อง ทั้งยังมีห้องฝึกฝน

“พี่หลิงหลง พำนักอาศัยที่นี่ต้องจ่ายกี่เหรียญม่วงต่อวัน?” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยวิ่งเล่นไปทั่ว นางเวลานี้ค่อนข้างอิจฉาต่อพระราชวังกลางฟ้าอันหรูหราแห่งนี้

“ไม่ต้องจ่ายแม้สักเหรียญม่วง! แม้ข้าออกจากตำหนักเซียนดาบแล้ว กระนั้นข้าก็ได้สร้างความดีความชอบแก่ตำหนักเซียนดาบเอาไว้มาก ยามที่หอพำนักแห่งนี้สร้างเสร็จ ข้าจึงร้องขอมาครึ่งชั้น!” เจี้ยนหลิงหลงยิ้มกล่าว

เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเอ่ยคำ “ข้าจะไปพาท่านป้าและผู้อื่นมา”

เจี้ยนหลิงหลงย่อมรู้จักเชี่ยวเสวียนฉิน พวกนางค่อนข้างคุ้นเคยต่อกัน เพราะบ่อยครั้งเชี่ยวเสวียนฉินจะไปยังพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์เพื่อพบปิงชิง หลังเชี่ยวเย่ว์เหม่ยออกไปแล้ว ฉินหยุนจึงบอกต่อเจี้ยนหลิงหลง ถึงเรื่องที่เขากำลังฝึกฝนร่วมกับเชี่ยวเย่ว์เหม่ยและคณะ

“พระสูตรตะวันจันทรา? พี่สาวปิงชิงได้สอนสั่งแก่ข้าเช่นกัน และข้าก็คิดหาบุรุษมาทดลองด้วยอยู่พอดี!” เจี้ยนหลิงหลงมองฉินหยุนพลางหัวเราะร่วน

“พี่สาวหลิงหลง การฝึกฝนจำเป็นต้องใช้ความเชื่อใจอย่างแท้จริง!” ฉินหยุนกล่าวออก

“ข้าย่อมเชื่อใจเจ้า” เจี้ยนหลิงหลงหยิกที่ใบหน้าฉินหยุน “เจ้าปีศาจน้อย เป็นเจ้าไม่เชื่อใจข้า!”

“จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร!” ฉินหยุนหัวเราะยินดี ขณะดึงมือเจี้ยนหลิงหลงที่หยิกหน้าตนเองออก

ไม่นานจากนั้น เชี่ยวเย่ว์เหม่ยได้พาสื่อชิงเฉิงและคณะมา ทางด้านฮูจิงเซียน นางมีเรื่องอื่นต้องสะสาง ดังนั้นจึงไม่อาจร่วมทางมา ตอนนี้จึงมีแต่เจี้ยนหลิงหลงที่ร่วมวงด้วย

สถานการณ์การฝึกฝนของฉินหยุนค่อนข้างพิเศษ แก่นเต๋าตะวันทมิฬของเขา มันจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรการฝึกฝนมากมายกว่าผู้อื่นหลายเท่าเพื่อแปรเปลี่ยนเป็นแก่นเต๋าลึกล้ำ

ภายในห้องลับกว้างขวาง ฉินหยุน เชี่ยวเย่ว์เหม่ย และสตรีทั้งหลายต่างร่วมฝึกฝน รอบด้านถูกเรียงรายไว้ด้วยผลึกแก้วแกนกลาง ฉินหยุนดูดกลืนพลังงานจากผลึกแก้วแกนกลางรวดเร็ว มันทำให้ทั้งห้องมีแต่พลังงานดวงดาวอัดแน่น

เมื่อจักรพรรดิยุทธ์เช่นเจี้ยนหลิงหลงร่วมด้วย พลังงานที่ฉินหยุนปลดปล่อยออกมา มันจึงถูกเสริมเท่าทวียามถูกส่งผ่านต่อร่างสตรีผู้อื่น ยามเมื่อกลับคืนสู่ร่างฉินหยุน มันราวกับพลังอันคลุ้มคลั่ง หากฉินหยุนไม่ได้ฝึกฝนร่างเซียนอสูร เขาคงไม่อาจต้านรับพลังชวนสะพรึงระดับนี้ที่เข้าสู่กายได้

เจี้ยนหลิงหลงคือคนสุดท้ายที่ได้รับพลัง ก่อนจะถูกส่งต่อกลับคืนสู่ร่างฉินหยุน นางย่อมทราบว่าพลังถูกเสริมจนมากล้นขึ้นหลายเท่าผ่านกระบวนการ แม้นางที่เป็นจักรพรรดิยุทธ์ยังต้องรู้สึกหวาดกลัวต่อพลังดังกล่าว

นางกังวล ว่าฉินหยุนจะไม่อาจทนทานรับได้ไหว กระนั้นหลังผ่านไปครั้งหนึ่ง ฉินหยุนสามารถผ่านพ้นอย่างไร้ซึ่งปัญหา เรื่องนี้ค่อยทำนางผ่อนคลายได้มาก

แม้เชี่ยวเย่ว์เหม่ยและคณะพยายามสุดแรงเพื่อช่วยฉินหยุนเลื่อนระดับพลัง ทว่าการร่วมฝึกฝนเช่นนี้ก็เป็นประโยชน์แก่พวกนางมหาศาลไม่ต่างกัน สำหรับฉินหยุนที่ฝึกฝนร่างเซียนอสูร หลังจากพลังงานในตัวเขาถูกส่งต่อไปยังร่างของสตรี มันจะเป็นการเสริมแกร่งให้แก่ร่างกายของพวกนาง เช่นนี้ มันจึงเป็นการฝึกฝนร่วมกันที่ได้ประโยชน์ทุกฝ่าย

ฉินหยุนเวลานี้ค่อยทราบกระจ่างชัด ว่าเหตุใดตัวเขาในชาติภพก่อน จึงเอาแต่ลวงหลอกสตรีจากพระราชวังกวงหานไปเรื่อย นั่นก็เพราะหลังได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากศิษย์หญิงของพระราชวังกวงหาน เขาจะสามารถฝึกฝนร่วมกับพวกนาง มันคือวิธีการที่จะช่วยเสริมความเร็วการฝึกฝนจนแทบไม่อาจนึกฝันถึง

ผ่านไปสามวัน! ผลึกแก้วแกนกลางทั้งหมดในห้องลับต่างถูกใช้งานหมดสิ้น! ฉินหยุนไม่กล้ามองหน้าพวกนางแล้ว เพราะเขายังไม่อาจเลื่อนระดับพลังได้สำเร็จ!

“พี่ชาย ท่านนี่ไม่ต่างอะไรกับหลุมไร้ก้น! จำนวนผลึกแก้วแกนกลางที่ท่านดูดกลืนเข้าไป มันพอให้ห้าคนเลื่อนระดับพลังได้แล้วกระมัง!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยทราบ ว่าฉินหยุนครอบครองวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬ กระนั้นนางก็ยังคิดว่าเรื่องนี้ออกจะเกินคาดมากเกินไป

เชี่ยวเสวียนฉินกล่าว “นี่ถือเป็นสถานการณ์ที่ดี! เลื่อนระดับยากเพียงใด หลังผ่านพ้นไปได้จึงยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น! แน่นอนว่าฉินหยุนครอบครองสามวิญญาณยุทธ์ ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันทั้งสามยังเป็นวิญญาณยุทธ์ที่แข็งแกร่งยิ่ง ต้องการทรัพยากรมากมายขึ้นจึงเป็นเรื่องธรรมดา”

“ข้าจะออกไปซื้อหาผลึกแก้วแกนกลางมาเพิ่ม” เจี้ยนหลิงหลงยิ้มกล่าว “ฉินหยุน เจ้าจงก้าวถึงขอบเขตจักรพรรดิยุทธ์โดยเร็ว! เจ้าเป็นบุรุษเพียงหนึ่งเดียวที่ข้าสามารถฝึกฝนพระสูตรหัวใจตะวันจันทราร่วมด้วยได้ ข้าคิดอยากเร่งรีบก้าวสู่ขอบเขตครึ่งเซียน ความหวังฝากไว้ที่เจ้าแล้ว!”

เพราะเจี้ยนหลิงหลงอยู่ที่นี่ สุ่ยเทียนสื่อผู้ร้อนแรงจึงต้องยับยั้งตนเองไว้มากมายนัก กระนั้นตอนนี้ นางแทบไม่อาจทนได้ไหวอีก จึงต้องยื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าฉินหยุนพลางยิ้ม “น้องหยุน พี่สาวเองก็ต้องพึ่งพาเจ้า เพื่อที่จะได้ฝึกฝนก้าวหน้ารวดเร็วในภายหน้าเช่นกัน”

ฉินหยุนมองทางเชี่ยวเสวียนฉินและสื่อชิงเฉิง ทั้งสองต่างพยักหน้ารับพร้อมกัน เขาที่อดไม่ได้จึงกล่าวพร้อมฝืนยิ้ม “ดูเหมือนข้าจะได้รับภาระหนักอึ้งมาฝากฝังแล้ว!”

“พี่สาวหลิงหลง ยามที่ออกไปซื้อหาผลึกแก้วแกนกลาง หากมีเหรียญม่วงไม่พอ ข้ายังมีอีกมาก” ฉินหยุนกล่าว การยกเรื่องนี้ให้เจี้ยนหลิงหลงจัดการ นั่นหมายความถึงฉินหยุนและคณะแทบไม่ต้องกังวลอื่นใด

ฉินหยุนคาดเดาถึงสาเหตุที่ตนเองตอนนี้เลื่อนระดับได้ยากเย็น นั่นอาจเป็นเพราะกระดูกวิญญาณและแก่นเต๋าตะวันทมิฬ ทั้งสองกล่าวได้ว่ายากนักที่จะป้อนพวกมันจนอิ่มหนำ หรือบางทีอาจเป็นจันทราทมิฬที่ประหลาดล้ำ นั่นก็เป็นอีกหนึ่งตัวตนที่ต้องการพลังงานมหาศาล

“เจ้าหนู พวกเราต้องกลับไปพบท่านยายหยุนเหยาก่อน นางไม่อนุญาตให้พวกเราไปไหนมาไหนตามใจในช่วงเวลาเช่นนี้” สื่อชิงเฉิงขยี้ผมฉินหยุนพร้อมบอกเล่าออกมา

“ทราบแล้ว เมื่อใดผลึกแก้วแกนกลางรวบรวมได้มากพอ ข้าจะติดต่อหาพวกท่านอีกครั้ง” ฉินหยุนยิ้มพร้อมหัวเราะร่วนตอบรับ

หลังเชี่ยวเสวียนฉิน สื่อชิงเฉิง และสุ่ยเทียนสื่อต่างกลับไปแล้ว เจี้ยนหลิงหลงจึงออกไปซื้อหาผลึกแก้วแกนกลางมาเพิ่ม ที่นี่จึงเหลือแต่เชี่ยวเย่ว์เหม่ย นางกำลังกัดกินผลไม้กลิ่นหอมหวาน

“เย่ว์เหม่ย ข้ารู้สึกว่าตนเองตอนนี้ยังไม่อาจเลื่อนระดับไปได้!” ฉินหยุนถอนหายใจ “เป็นไปได้ว่า อาจเป็นเพราะจันทราทมิฬที่อยู่ภายในแก่นเต๋าตะวันทมิฬหรือไม่?”

“ข้ายังไม่ได้หารือถึงสถานการณ์จำเพาะกับพี่หยาง คิดว่านางน่าจะพอทราบอันใดบ้าง” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว

ฉินหยุนนำแผนที่หลุมฝังเซียนออกมา “ข้าติดต่อหาพี่ฉีโหรวไม่ได้นานแล้ว สงสัยนักว่าเกิดปัญหาใดขึ้นหรือไม่!”

ฉินหยุนหยดเลือดที่แผนที่หลุมฝังเซียน และมันก็ยังไม่มีการตอบสนองดังเช่นที่ผ่านมา

“สถานการณ์ทางด้านจิตวิญญาณของพี่ฉีโหรวค่อนข้างย่ำแย่กว่าพวกเรานัก จิตวิญญาณของนางแข็งแกร่งเลิศล้ำ ทว่ากำลังกายไม่อาจเพิ่มขึ้นตามจิตวิญญาณได้ทัน ดังนั้นแล้วยิ่งผ่านไป พี่สาวจึงต้องทำให้จิตวิญญาณเข้าสู่สภาวะการจำศีลเพื่อคงสถานการณ์ไว้” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว

“พี่ชาย ในงานประลองยุทธ์ที่จะถึง ท่านคิดเข้าร่วมโดยแอบแฝงนามหรือใช้ตัวตนจริง?” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าวถาม “ข้าออกไปสืบหาข่าวคราว พบว่าผู้อื่นที่เข้าแข่งขันระดับยอดยุทธ์ล้วนแข็งแกร่งกันทั้งสิ้น”

ฉินหยุนคิดตามพลางกล่าว “ข้าจะใช้ตัวตนแท้จริง”

เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเผยความกังวล “นี่ไม่เป็นไรจริงหรือ?”

ฉินหยุนกล่าวตอบ “ตั้งแต่ที่ข้าเข้าสู่เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ พี่หยางตกเป็นเป้าของผู้คนมากมาย ตอนนี้หากข้าเผยตัว ย่อมสามารถแบ่งปันภาระของพี่หยางได้!”

“ทราบแล้ว” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยรับคำ “อย่างนั้นก็ไปลงทะเบียน!”

ฉินหยุนให้เชี่ยวเย่ว์เหม่ยแปรเปลี่ยนตนเองกลับคืนดังเดิม จากนั้นเขาจึงเปลี่ยนสวมใส่ชุดสะอาดสะอ้าน เป็นชุดสีน้ำเงินเข้มเรียบง่าย ใบหน้าหล่อเหลาซึ่งถูกแสงแดดแผดเผามีแต่ความมั่นคง สีหน้าเวลานี้คมกล้าประหนึ่งปลายหอก มันคือสภาวะที่พร้อมยืนหยัดผ่านพ้นความยุ่งเหยิงทั้งหลาย

เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะยินดี ก่อนจะดึงฉินหยุนมุ่งหน้าสู่ทางเข้าหลักของคฤหาสน์เซียนดาบ

หลังการแข่งขันจารึก เวลานี้จึงเป็นคราวของการแข่งขันประลองยุทธ์! มันคือห้วงเวลาที่ยอดยุทธ์จะเข้าแข่งขัน กระทั่งราชันยุทธ์ก็เข้าร่วม! กล่าวกันว่าราชันยุทธ์ส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมล้วนเป็นราชันยุทธ์เยาว์วัย อย่างไรแล้ว ราชันยุทธ์เฒ่าชราย่อมไม่มีหน้ากล้าขึ้นไป ดังนั้น จึงมีหลายคนต่างคาดหวังถึงเรื่องราวที่จะดำเนินถัดจากนี้

ภายในเกาะแห่งดาบ คฤหาสน์เซียนดาบซึ่งถูกล้อมไว้ด้วยเจ็ดดาบเซียนใหญ่ยักษ์ บรรยากาศที่นี้ทั้งโอ่อ่าและให้ผู้คนรับรู้ถึงความปลอดภัย ทางเข้าใหญ่ของคฤหาสน์เซียนดาบเป็นลานกว้างขนาดใหญ่มหึมา ลานกว้างแห่งนี้มีแต่เสียงอึกทึก จากระยะไกล เสียงพูดคุยและเสียงสารพัดชนิดล้วนดังได้ยินจากที่นี่

เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเมื่อมาถึง นางสบถออกเสียงเบา “ไอ้ลิงไพร่เจี้ยนหนันหู่ก็อยู่ที่นี่!”

ฉินหยุนนำเอาหนังสัตว์ออกมาสี่ผืน วางพวกมันซ้อนไว้ด้วยกัน ผู้คนต่างไม่ทราบว่าฉินหยุนคิดทำอันใด กระนั้นพวกเขาล้วนคิดเห็นเช่นเดียวกัน นั่นคือเรื่องราวแปลกประหลาด

เจี้ยนหลิงหลงที่อยู่ไม่ไกลนัก นางเอ่ยถามผ่านเสียงสื่อสาร “ฉินหยุน เจ้าคิดทำอะไร? เลิกเสียเวลา เร่งรีบแกะสลักไป หากไม่แล้ว เจ้าจะไม่อาจเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกได้!”

เมื่อครู่ นางย่อมได้เห็นถึงความเร็วการแกะสลักของฉินหยุนที่เชื่องช้า หากนำตรงนี้มาตีแผ่ เขาย่อมไม่มีทางเข้าถึงสามอันดับแรก ดังนั้น คำของนางจึงเป็นเพียงการปลอบประโลม

ฉินหยุนทราบกระจ่างชัดดี ถึงความแตกต่างระหว่างตนเองและอาจารย์จารึกเต๋า ดังนั้นแล้ว เขาจึงได้แต่ต้องวิธีการอื่น

“พี่สาวหลิงหลง ข้าอาจไม่ถึงสามอันดับแรก ดังนั้นท่านทำให้ดีที่สุดเผื่อข้าด้วย!”

เขากล่าวคำจบ จึงเริ่มทำการแกะสลักอักขระลึกล้ำลงบนแผ่นหนังสัตว์ที่ซ้อนทับ เพราะตัวเขาไม่มั่นใจว่ามันสามารถสำเร็จได้หรือไม่ กระนั้น เขาโยนความคิดเรื่องสำเร็จหรือล้มเหลวไปแล้ว เพียงแต่ตั้งมั่นแกะสลักอักขระลึกล้ำ มีแต่วิธีเช่นนี้ จึงทำให้เขาสามารถนำเสนออักขระลึกล้ำที่ความวิจิตรระดับสูง

ยามที่แกะสลัก ฉินหยุนจะใช้งานความสามารถเทวะทะลุทะลวงออกไปพร้อมกัน นอกจากนี้แล้ว เขายังปลดปล่อยพลังจิตวิญญาณโลหิตออกมาให้มากขึ้น ด้วยวิธีการนี้ มันจะทำให้เขาสามารถแกะสลักหนังสัตว์ทั้งสี่แผ่นในคราวเดียว ตัวเขาเพียงเริ่มได้ครู่หนึ่งกลับเกิดความยินดีขึ้นภายใน เพราะวิธีการนี้คล้ายสามารถเป็นจริง

“แม้ใช้พลังจิตมหาศาล ทว่ามันเพิ่มความเร็วได้มากล้ำ บางทีนี่อาจเป็นแนวทางที่เราจะใช้สร้างยันต์จำนวนมากในภายหน้า!” ฉินหยุนเกิดความตื่นเต้นยินดีภายใน

“หากฝึกฝนและสั่งสมประสบการณ์ให้มากกว่านี้ เจ้าย่อมทำได้รวดเร็วมากขึ้น! นี่ค่อนข้างเหมาะสมกับการทำยันต์ลึกล้ำจำนวนมากยิ่งนัก!” หลิงหยุนเอ๋อยิ้มกล่าว “เสี่ยวหยุน วิถีจารึกแห่งเต๋าและวิถียุทธ์แห่งเต๋าล้วนเป็นเช่นเดียวกัน ทั้งสองต่างเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เจ้าที่มีความรู้ผสมผสานของทั้งสอง ย่อมต้องเกิดความเชี่ยวชาญต่อพวกมันที่เป็นหนึ่งเดียวกันยิ่งกว่าผู้ใด!”

ฉินหยุนพยักหน้ารับ

เวลานี้ การกระทำของเขากลายเป็นดึงดูดความสนใจของอาจารย์จารึกเต๋าทั้งหลาย โดยเฉพาะบรรดาอาจารย์จารึกเต๋าที่อยู่นอกเวทีแข่งขัน พวกเขาคิดอยากทราบ ว่าฉินหยุนกำลังทำอันใด มันคล้ายตัวเขายอมปล่อยวางการแข่งขัน กระนั้นสีหน้าและการกระทำกลับเคร่งเครียดจริงจัง

อย่างรวดเร็ว กว่าหนึ่งชั่วยามได้ผ่านพ้นไป

อาจารย์จารึกเต๋าทั้งหลายได้แกะสลักไข่มุกผลึกแก้วที่สองเสร็จเรียบร้อย และมีจำนวนหนึ่งที่สำเร็จถึงสาม พวกเขาเริ่มทำการแกะสลักลูกที่สี่ เจี้ยนหลิงหลงเองก็เริ่มลูกที่สี่แล้ว นางเพียงช้ากว่าอาจารย์จารึกเต๋าเหล่านั้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

และฉินหยุนที่ใช้ความสามารถเทวะทะลุทะลวง เพื่อแกะสลักอักขระลึกล้ำลงบนแผ่นหนังสัตว์ทั้งสี่ผืนในเวลาเดียวกัน ตัวเขาได้เข้าไปร้องขอไข่มุกสี่ลูกจากเจี้ยนสือเทียน!

“เจ้าปีศาจน้อย นี่เจ้าทำอันใดลงไป? เจ้าแกะสลักอักขระลึกล้ำเช่นเดียวกันบนแผ่นหนังสัตว์ถึงสี่ผืนได้ในคราวเดียว!”

“เป็นเคล็ดวิชาลับของข้า!” ฉินหยุนกล่าวพลางนำหนังสัตว์ผืนหนึ่งมาห่อรอบไข่มุก

และตอนนี้เอง หลายคนคล้ายตระหนักได้ว่าเขาคิดทำอันใด! แท้ที่จริง เป็นเขาคิดพยายามโอนถ่ายอักขระจากแผ่นหนังสัตว์เข้าไปยังไข่มุก!

หากทำได้สำเร็จ เช่นนั้นเท่ากับเขาทำสำเร็จถึงสี่ครั้งในคราวเดียว เคล็ดวิชาเช่นนี้ กล่าวได้ว่าท่ามกลางบรรดาอาจารย์จารึกทั้งหลายที่นี้ ไม่เคยมีแม้ผู้ใดได้เคยทราบว่ามีอยู่ เจี้ยนหลิงหลงเองก็ไม่ยกเว้น นางไม่คาดคิด ว่าฉินหยุนจะถึงขั้นทราบวิชาอันปราดเปรื่องเช่นนี้!

“เจ้าหนู วิธีการนอกรีตถือเป็นการเดินออกนอกเส้นทาง! วิธีการคิดของเจ้าดูดี ทว่าเจ้ายังอ่อนต่อโลกเกินไป!” อาจารย์จารึกเต๋าผู้หนึ่งแค่นเสียงกล่าว

“เจ้าสามารถแกะสลักอักขระบนแผ่นหนังสัตว์สี่ผืนในเวลาเดียวกัน นี่เป็นเคล็ดวิชาที่ดีล้ำอย่างแท้จริง! กระนั้น หากเจ้าคิดอยากโอนย้ายอักขระจากแผ่นหนังสัตว์ไปยังอุปกรณ์ เรื่องราวเช่นนั้นคงมีแต่เพียงในโลกความฝันแล้ว!”

“เจ้าปีศาจน้อย ไม่ใช่พวกเราไม่เคยคิดวิธีการเช่นเดียวกับที่เจ้าคิด ทว่ามีหลายคนได้ลองพยายามและฝึกฝนดูแล้ว กระนั้นกลับไม่เคยมีผู้ใดทำได้สำเร็จ!”

“เหอะเหอะ นี่ทำข้านึกถึงสมัยยังหนุ่มไม่ผิดเพี้ยน!”

“ยามยังหนุ่มผู้ใดบ้างไม่มีความฝัน? เพื่อหาทางลัด พวกเราย่อมคิดหาวิธีแปลกประหลาดทั้งหลายนำมาลองใช้!”

บรรดาอาจารย์จารึกเต๋าที่ยืนรายล้อมรับชมจากข้างเวที เวลานี้ต่างอดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องราวของตนเองครั้งยังเยาว์ ยามนั้น พวกเขาต่างเกิดความคิดอันปราดเปรื่องและวิธีการประหลาดออกมามากมาย ทว่าภายหลังเวลาผ่านไป พวกเขาค่อยตระหนักเผชิญกับความเป็นจริง จากนั้น พวกเขาล้วนตัดสินใจเดินสู่หนทางเส้นเดิมที่รุ่นก่อนได้สร้างไว้

ฉินหยุนวางแผ่นหนังสัตว์ไว้ด้านบนไข่มุกผลึกแก้วครึ่งตัวคน จากนั้น เขาจึงใช้เคล็ดวิชาลับของเคล็ดวิชาขัดเกลาวิญญาณ เพื่อทำการควบแน่นพลังส่งถ่ายวิญญาณพิเศษ เพื่อทำการเคลื่อนย้ายอักขระลึกล้ำสู่ภายในไข่มุกผลึกแก้ว

ด้วยอักขระลึกล้ำเป็นสิ่งที่ฉินหยุนแกะสลักโดยพลังจิตวิญญาณโลหิต ตอนนี้ มันจึงสามารถตอบรับพลังส่งถ่ายวิญญาณอย่างราบลื่น

แน่นอนว่าอักขระลึกล้ำย่อมต้องมีเสถียรภาพระหว่างการเคลื่อนย้าย โดยครั้งนี้ เป็นหลิงหยุนเอ๋อปลดปล่อยพลังแรงโน้มถ่วงพิเศษพันธนาการรอบอักขระลึกล้ำเอาไว้ เพื่อไม่ให้ความผันแปรภายนอกใดเข้าทำลายอักขระลึกล้ำได้

ขั้นตอนดังกล่าวถือว่ายากที่สุด เพราะหากอักขระลึกล้ำผันแปรแม้เพียงนิด เช่นนั้นระดับความวิจิตรจะร่วงหล่นอย่างมหาศาล กระทั่งอาจเกิดปัญหากับรากฐานของอักขระ

กระบวนการเคลื่อนย้ายอักขระโดยไม่มีการแตะต้อง มันจำเป็นต้องใช้พลังจิตเพ่งสมาธิอย่างมหาศาล รวมถึงความแม่นยำในการใช้พลังจิตควบคุม ฉินหยุนคือผู้ลงมือ คิ้วของเขาขมวดแน่นและผุดเม็ดเหงื่อปรากฏ

แม้ภายนอกมีแต่เสียงดังรบกวน รวมถึงยังมีแต่ออร่าผันแปรอยู่ทั่ว เขาก็ยังคงสภาวะสงบอย่างน่าทึ่งเอาไว้ได้ ตอนนี้ เขารู้สึกได้ว่าตนเองราวกับอยู่ในห้วงอวกาศกว้างใหญ่สีขาวโพลน มันมีแต่ตัวเขา ไข่มุกผลึกแก้ว และอักขระลึกล้ำ ทุกสิ่งอย่างรอบด้านล้วนเลือนหายอย่างไร้ร่องรอย

สภาวะนี้คือความสงบอย่างถึงที่สุด เจตนาตั้งมั่นจนไม่สนอื่นใดในโลกหล้า เขากระทั่งได้เห็นกระแสลมหลากสีสันที่พัดผ่าน เหล่านี้คือออร่าแห่งสวรรค์และปฐพี พวกมันคือพลังวิญญาณทั้งหลาย ด้วยตัวเขารับรู้ถึงกระแสลมเหล่านี้ คิดสกัดพวกมันออกไปย่อมไม่ใช่เรื่องยาก เช่นนี้ มันจะยิ่งทำให้เขาเคลื่อนย้ายอักขระลึกล้ำได้อย่างแม่นยำ

ครั้งที่เขาได้รับเคล็ดวิชาขัดเกลาวิญญาณ แม่เฒ่าเฉียวได้บอกกล่าวต่อเขา ว่าการผสมผสานระหว่างอักขระและขัดเกลาวิญญาณคือที่สุด และตอนนี้ เขาได้เข้าใจถึงความหมายนั้นแล้ว อักขระลึกล้ำบนแผ่นหนังสัตว์ที่ปิดไว้ด้านบนไข่มุกผลึกแก้วได้เลือนหายในห้วงเวลานี้! และจากนั้น อักขระจึงเริ่มไปปรากฏที่ไข่มุกผลึกแก้ว! เป็นเขาทำได้สำเร็จ!

บรรดาอาจารย์จารึกที่นี้ต่างพบเห็น พวกเขานิ่งอึ้งตาค้าง แต่ละคนต่างคิดว่าเรื่องราวยากเกินเชื่อแม้ได้พบเห็นกับตาตนเอง

เจี้ยนหลิงหลงและอาจารย์จารึกอีกหลายคน ล้วนอยู่ระหว่างการแกะสลักอักขระลึกล้ำ กระนั้น พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องละความสนใจ มองไปยังอักขระลึกล้ำที่ปรากฎในไข่มุกของฉินหยุน

ระดับความวิจิตรแทบไม่ต้องกล่าวขานถึง ตัวเขาเวลานี้ ได้ทำให้ความฝันของผู้คนครั้งยังเยาว์กลายเป็นจริงขึ้นมา! อักขระที่แผ่นหนังสัตว์ มันถูกเคลื่อนย้ายสู่ภายในไข่มุก! เรื่องราวนี้ยากเกินจินตนาการได้ถึงว่าจะเกิดขึ้นจริง อาจารย์จารึกทั้งหลายเพียงแต่เคยคิดและลองทำ ทว่าครั้งนี้มีคนผู้หนึ่งทำแนวคิดนั้นจนสำเร็จขึ้นมาได้!

ฉินหยุนยิ้มยินดี เขาเคลื่อนกายพร้อมลงมือครั้งถัดไป ทุกเวลามีค่า ดังนั้นเขาจึงต้องรวดเร็ว ด้วยระยะเวลาที่เหลือ เขาย่อมต้องลงอักขระที่ตัวไข่มุกได้สำเร็จทั้งหมด! เรื่องนี้เป็นการนำความร้อนรนมาสู่บรรดาอาจารย์จารึกเต๋า เมื่อครู่พวกเขาต่างคิด ว่าเจ้าปีศาจน้อยตรงหน้าได้ยอมแพ้ไปแล้ว และวิธีการคิดของเขามันผิดจารีตและแนวทาง ทว่าตอนนี้ แนวคิดผิดจารีตนั้นกลับกลายทำให้เกิดผลไม้สุกปลั่งขึ้นมา!

ฉินหยุนที่ลงมือครั้งแรกสำเร็จย่อมได้รับประสบการณ์ ครั้งถัดมาจึงยิ่งราบลื่นยิ่งกว่า แม้พลังจิตถูกเรียกใช้มหาศาล กระนั้นเขาก็ยังสามารถทำต่อไปได้จนสุดทาง การแข่งขันใกล้หมดเวลา ฉินหยุนทำการเคลื่อนย้ายอักขระจากหนังสัตว์ทั้งสี่แผ่นสู่ไข่มุกผลึกแก้วทั้งสี่ได้สำเร็จ! รวมเข้ากับหนึ่งลูกที่ทำสำเร็จก่อนหน้า รวมแล้วเท่ากับเขาทำสำเร็จถึงห้า! และบรรดาอาจารย์จารึกเต๋าที่ออกนำหน้าไปแต่แรก เวลานี้เพียงทำสำเร็จได้มากที่สุดคือสี่

“ข้าทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว!”

ฉินหยุนมองทางเจี้ยนสือเทียนพร้อมหัวเราะเริงร่ากล่าวคำ ตัวเขาเวลานี้แท้จริงใช้พลังออกแทบหมดสิ้น ดวงตาเผยแต่ความเหนื่อยล้า กระนั้น พลังจิตของเขาสามารถฟื้นคืนด้วยอัตราสูงล้ำ ดังนั้นเขาจึงสามารถอดทนต่อ บรรดาอาจารย์จารึกเต๋าที่ทุ่มสุดตัวสู้กับเวลา ตอนนี้ต่างต้องนิ่งค้างพร้อมสบถก่นด่าในใจไม่รู้จบ

พวกเขาต้องแกะสลักอักขระด้วยความขื่นขม ดีที่สุดและทุ่มสุดตัวออกมาได้เพียงสี่ กระนั้น ปีศาจน้อยตรงหน้าผู้ซึ่งยังไม่ก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ กลับใช้วิธีนอกคอกจนทำสำเร็จได้ถึงห้า! นี่หมายความถึงการแข่งขันครั้งนี้ ผู้ที่จะได้รับอันดับหนึ่งไปครอง ย่อมเป็นเจ้าปีศาจน้อยตรงหน้า!

แม้เจี้ยนหลิงหลงยินดียิ่ง ทว่าภายในก็ยังต้องทึ่ง ตัวนางคิดอยากได้ทราบเคล็ดวิชาลับนี้เช่นเดียวกัน

เวลานี้ ทุกผู้คนต่างคิดอยากทราบถึงเคล็ดวิชาลับดังกล่าว เพราะมันคือการทำสิ่งที่ในอดีตไม่อาจทำได้ ให้เกิดสำเร็จเป็นจริงขึ้นมาได้

เวลาใกล้หมด เจี้ยนหลิงหลงและอาจารย์จารึกเต๋าอีกห้าคนแกะสลักไข่มุกลูกที่สี่ได้สำเร็จ และฉินหยุนสำเร็จถึงห้า อันดับหนึ่งย่อมตกแก่เขา!

“จ้าวสำนักดาบ ไข่มุกของเขาผ่านมาตรฐานหรือไม่? ระดับความวิจิตรเล่า?” ชายชรากล่าวถาม ตัวเขาเวลานี้ไม่อาจสะกดกลั้นความร้อนรน

“ข้ายังไม่ทราบ และกำลังคิดไปตรวจสอบดู” เจี้ยนสือเทียนนำเอาอุปกรณ์ที่คล้ายกระจกออกมา ก่อนจะเดินเข้าไปทดสอบ

หลังได้ทดสอบ สีหน้าของเขาเผยอาการตื่นตะลึง เขากล่าวออกด้วยน้ำเสียงประหลาดใจสุดขีด “ความวิจิตรระดับที่เจ็ด!”

แกะสลักอักขระลึกล้ำระดับราชันด้วยความวิจิตรระดับที่เจ็ด กล่าวได้ว่าฝีมือสูงล้ำแล้ว

บรรดาอาจารย์จารึกเต๋าทั้งหลายล้วนไม่เชื่อ พวกเขาก้าวเดินเข้ามาพร้อมทดสอบด้วยอุปกรณ์ของตนเอง ผลลัพธ์การทดสอบเป็นเช่นเดียวกันหมด ไข่มุกทั้งห้าลูก มันมีระดับความวิจิตรที่เจ็ดเหมือนกันทั้งห้าลูก! เรื่องนี้ยิ่งทำให้ผู้คนได้อุทานร้องตระหนกตกใจกันอีกครั้ง!

“เจ้าปีศาจน้อยผู้นี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าครอบครองจารึกวิญญาณจ้าวลึกล้ำ? เขายังเยาว์เพียงนี้ กระนั้นกลับมีระดับความวิจิตรสูงส่ง!”

“ปีศาจน้อยบัดซบผู้นี้ถึงขั้นมีจารึกวิญญาณ!”

“สวรรค์ไร้ดวงตา พวกเราฝึกฝนขมขื่นกันนับพันพันปี กระนั้นกลับไม่อาจเอาชนะเจ้าปีศาจน้อยผู้มีจารึกวิญญาณได้!”

“อา… โชคชะตาชีวิตช่างเล่นตลกยิ่งนัก!”

บรรดาอาจารย์จารึกเต๋าต่างคร่ำครวญกันออกมาด้วยความโศก

พวกเขากล่าวเช่นนี้ ก็เพื่อไม่ให้ผู้อื่นกล่าวว่าพวกเขาย่ำแย่กว่าปีศาจน้อยตรงหน้าที่มีจารึกวิญญาณ เนื่องด้วยจารึกวิญญาณ มันคือสิ่งท้าทายสวรรค์ประการหนึ่ง ดังนั้นแล้ว เวลานี้พวกเขาจึงได้แต่ต้องปลอบใจตนเอง ต่อจารึกวิญญาณท้าทายสวรรค์ของเด็กหนุ่มตรงหน้า

กระทั่งเจี้ยนหลิงหลง หยางฉีเย่ว์ และผู้อื่นที่ทราบเบื้องหลัง ยังคิดว่าฉินหยุนมีจารึกวิญญาณจ้าวลึกล้ำในครอบครอง และแม้ฉินหยุนไม่มีในครอบครอง เขาก็ไม่คิดกล่าวปฏิเสธ เพราะหากไม่มี นั่นหมายความถึงเขาจะมีฝีมืออันเลิศล้ำจนเกินไปขนาดผิดสังเกตได้

เพราะหลายคนสำเร็จไข่มุกผลึกแก้วสี่ลูก ดังนั้นอันดับจึงต้องตัดสินด้วยระดับความวิจิตร หลังตรวจสอบเรียบร้อย ผู้ซึ่งไม่เข้าใจเรื่องอักขระ จึงได้ทราบว่าเหตุใดบรรดาอาจารย์จารึกเต๋าต่างโศกา เพราะระดับความวิจิตรของอักขระลึกล้ำที่พวกเขาลงมือ เพียงอยู่ระดับที่ห้าหรือหก

เนื่องด้วยเป็นการแข่งขันความเร็วเป็นหลัก พวกเขาจึงไม่อาจควบคุมระดับความวิจิตร สำหรับอาจารย์จารึกเต๋าเหล่านี้ ระดับความวิจิตรที่ห้าหรือหกกล่าวได้ว่าน่าพึงพอใจมากแล้ว

มีแต่เจี้ยนหลิงหลงที่ดีกว่า ไข่มุกผลึกแก้วของนางลูกหนึ่งมีความวิจิตรระดับที่เจ็ด ผู้อื่นล้วนสูงสุดกันที่หก ดังนั้นนางจึงได้รับอันดับสอง

ฉินหยุนค่อนข้างหวาดกลัวยามได้เห็นระดับความวิจิตรของอาจารย์จารึกเต๋าเหล่านี้ ความแตกต่างนี้มากเกินไป สาเหตุที่ความวิจิตรของเขาสูงเพียงนี้ก็เพราะปากกาลึกล้ำสะท้อนจิต ตัวปากกาลึกล้ำสะท้อนจิต มันสามารถเพิ่มระดับความวิจิตรได้ถึงสองระดับ มันคือของวิเศษชิ้นหนึ่งก็ว่าได้

ฉินหยุนและเจี้ยนหลิงหลงอยู่กลุ่มเดียวกัน ทั้งยังครองอันดับหนึ่งและสองร่วมกัน

อันดับหนึ่งจะได้รับอักขระตะวัน ส่วนอันดับสองจะได้รับอักขระจันทราและอักขระเต๋า และความสัมพันธ์ของคนทั้งสองค่อนข้างดี ดังนั้นพวกเขาย่อมต้องแบ่งปันอักขระซึ่งกันและกันอย่างแน่นอน

เจี้ยนหลิงหลงกล่าว “ปีศาจน้อยเชี่ยวหยุนผู้นี้ยังเยาว์ ด้วยขีดจำกัดทางอายุ เขาไม่อาจแกะสลักอักขระโทเทมจำนวนมากได้ต่อเนื่อง ไม่อย่างนั้น พลังจิตของเขาจะต้องแบกรับความเสียหายใหญ่หลวง”

ตอนนี้ บรรดาอาจารย์จารึกเต๋าทั้งหลายต่างเริ่มต่อว่าชายชรากันทีละคน

ฉินหยุนตะโกนดังขึ้น “ผู้อาวุโสทุกท่าน ผู้น้อยแบ่งปันโทเทมอัคคีอันล้ำค่าก็เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ กระนั้น กลับเป็นชายชราผู้นี้ที่ฉกชิงมันเอาไปแต่ผู้เดียว!”

“ตอนนี้ไม่ใช่ว่าเขาควรต้องส่งมอบอักขระที่ทัดเทียมกันออกมาเพื่อชดเชยที่ข้าเสียไปหรอกหรือ?”

ได้ยินคำกล่าวนี้ ชายชราจากตำหนักจารึกเทวะต่างมองทางบรรดาอาจารย์จารึกเต๋า ตัวเขารู้สึกราวกับถูกจ้องมองโดยหมาป่าที่หิวโหย

“จริงด้วย เป็นเช่นนั้น! น้องชายผู้นี้ได้มอบอักขระโทเทมออกมาแล้ว หากต้องการทัดเทียม คงต้องเป็นอักขระเต๋าสักแปดหรือสิบชุดแล้วกระมัง?”

“ใช่ ใช่ ใช่!”

“ท่านผู้เฒ่า เร่งรีบนำอักขระเต๋าที่เชี่ยวชาญหรือโทเทมอัคคีที่มีออกมาแล้ว!”

“น้องชายผู้นี้ยังเยาว์ กระนั้นกลับมีใจคิดแบ่งปันโทเทมอัคคีแก่พวกเรา จึงเป็นเจ้าตาเฒ่าใกล้ตาย ครอบครองอักขระเต๋าจำนวนมากไว้แต่เพียงผู้เดียวยังไม่พออีกอย่างนั้นหรือ?”

“ตาเฒ่า เจ้าได้รับโทเทมอัคคีไปแล้ว ยังจะต้องการอันใดอีก? เร่งรีบส่งอักขระเต๋าออกมา!”

กลุ่มอาจารย์จารึกเหล่านี้ล้วนไม่สนอีกว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด ทั้งตระกูลหลงและตระกูลเจี้ยนต่างเข้าร่วมกดดัน อย่างไรแล้ว เรื่องนี้ก็เป็นผลประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับกันถ้วนหน้า ดังนั้นพวกเขาย่อมพร้อมจับมือกัน

เจี้ยนหลิงหลงลอบนับถือต่อแผนการร้ายของฉินหยุน เขาโยนเอาโทเทมอัคคีครึ่งจริงครึ่งปลอมออกไป ไม่เพียงแต่ทำให้ผ่านพ้นวิกฤต ทว่ายังสามารถสร้างผลกำไรกลับคืน บางทีอาจทำให้เขาได้รับอักขระเต๋าที่ดีมาจำนวนหนึ่ง

ชายชราจากตำหนักจารึกเทวะ เวลานี้ถูกล้อมเอาไว้โดยบรรดาอาจารย์จารึกเต๋า ตัวเขามีแต่ต้องส่งมอบอักขระเต๋าหรือแกะสลักโทเทมอัคคีออกไป กระนั้น เขาไม่มีโทเทมอัคคี เพียงแต่ทราบว่าตัวเขาถูกกลลวงเข้า และเวลานี้ หาได้มีผู้ใดเชื่อไม่หากเขากล่าวว่าถูกกลลวง เวลานี้ เป็นเขาต้องเผชิญความสูญเสียอันขมขื่นออกมาแล้ว!

เวทีการแข่งขันกลับกลายเป็นวุ่นวายขึ้นมา!

บรรดาผู้ชมต่างสะท้านกันถึงทรวง!

ต้องทราบว่าเมื่อครู่นี้ ชายชราจากตำหนักจารึกเทวะนำกลุ่มคน คิดพยายามบีบบังคับให้เด็กหนุ่มส่งมอบอักขระต้องห้าม ทว่าตอนนี้ อาจารย์จารึกเต๋าทั้งหลายที่นี้ต่างปิดล้อมอีกฝ่าย บีบบังคับให้นำเอาอักขระเต๋าและโทเทมอัคคีออกมา!

หยางฉีเย่ว์ที่รับชม ภายในเวลานี้ลอบยินดี แน่นอนว่านางทราบกระจ่างชัดถึงเรื่องราวที่เป็นไป นอกจากนี้ นางยังสงสัยว่าความทรงจำชาติภพก่อนฉินหยุนได้ตื่นรู้ขึ้นมา เพราะไม่ว่านางพิจารณาอย่างไร นี่ก็เป็นกลลวงเช่นที่ฉินหยุนในชาติภพก่อนชื่นชอบกระทำ

เชี่ยวเสวียนฉินเองก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน ก่อนหน้านี้ นางยังมีโทสะดังเช่นเจี้ยนหลิงหลง กระนั้นเวลานี้กลับได้ยินดีและผ่อนคลาย

สถานการณ์ถึงขั้นเกินควบคุม เจี้ยนสือเทียนและคณะครึ่งเซียนแทบไม่อาจเกลี้ยกล่อมบรรดาอาจารย์จารึกเต๋าเอาไว้ได้

เจี้ยนหลิงหลงพลันตะโกนดัง “หากตาเฒ่าผู้นี้ไม่ยอมส่งมอบอักขระเต๋าและโทเทมอัคคี พวกเราจะไม่เข้าร่วมการแข่งขันอีก พวกเราจะหยุดเข้าร่วมการแข่งขันที่เท่านี้!”

เจี้ยนสือเทียนลอบสบถต่อเจี้ยนหลิงหลง เป็นนางเพิ่งราดน้ำมันลงกองเพลิง

อาจารย์จารึกเต๋าหลายต่อหลายคนต่างเห็นพ้องต่อวิธีการของเจี้ยนหลิงหลง พวกเขาล้วนตะโกน “หยุดการแข่ง!”

“กลุ่มตัวบัดซบ! จงส่งเหรียญตราพวกเจ้ากลับคืนมา!” ชายชราจากตำหนักจารึกเทวะ เวลานี้มีโทสะล้นฟ้าไม่แพ้ผู้ใด

“เหรียญตราเน่านี่หรือ! หายไปแล้วผู้ใดกันสนใจ! พวกเราเป็นอาจารย์จารึกเต๋าทรงคุณค่า ย่อมไม่ต้องการการดูแลอันน้อยนิดจากตำหนักจารึกเทวะพวกเจ้าแม้เพียงนิด!”

บรรดาอาจารย์จารึกเต๋าเริ่มบดขยี้เหรียญตราตนเองกันอย่างมีโทสะ พวกเขาล้วนทำตามกันคนแล้วคนเล่า

เจี้ยนหลิงหลงกล่าวออกอย่างกราดเกรี้ยว “เชี่ยวหยุนเสียสละโอกาสสุดท้ายในการแกะสลักโทเทมอัคคี นี่ก็เพื่อแบ่งปันโทเทมอัคคีแก่บรรดายอดฝีมือที่นี้ กระนั้น เวลานี้กลับโดนตาเฒ่านี้ฉกชิงไว้!”

“นี่ยังไม่กล่าวถึงความจริงที่ว่าตาเฒ่านี้เก็บโทเทมอัคคีไว้แต่เพียงผู้เดียว! เชี่ยวหยุนส่งมอบโทเทมอัคคีให้แก่มัน ไม่ใช่ว่าเพื่อความยุติธรรมแล้ว จำเป็นต้องส่งอักขระเต๋ากลับคืนแก่เชี่ยวหยุนอย่างเท่าเทียมหรือไร?”

“แต่แล้วตอนนี้เล่า?”

บรรดาอาจารย์จารึกเต๋าเมื่อได้เห็น ว่าสถานการณ์ตอนนี้ได้ที่มากพอจะบีบบังคับชายชราให้ส่งมอบอักขระเต๋า ดังนั้นพวกเขาจึงยิ่งเผยท่าทีเกรี้ยวกราดออกมากันเต็มที่

ฉินหยุนสาแก่ใจอยู่ภายในขณะรับชม กระนั้นภายนอก เขายังแสดงเป็นผู้โศกเศร้าและบริสุทธิ์ต่อไป สีหน้านี้เผยความนึกเสียใจ จนเป็นผลให้บรรดาสตรีในที่นี้ต่างรู้สึกปวดใจยากทานทน พวกนางต่างสบถก่นด่าสาปแช่งต่อตำหนักจารึกเทวะที่ไร้ซึ่งยางอาย และนี่ ก็เป็นเชี่ยวเย่ว์เหม่ยช่วยปลุกปั่นทางลับด้วย

ฝูงชนที่เป็นผู้ชมหลายต่อหลายคน ต่างก่นด่าถึงเรื่องที่ชายชรากลั่นแกล้งเด็กน้อยผู้หนึ่ง เป็นผู้อาวุโสทว่ากลับทำตัวแก่แล้วแก่เลย พวกเขาล้วนสาปแช่งต่อชายชราจากตำหนักจารึกเทวะ

ชายชราจากตำหนักจารึกเทวะเกิดนึกเสียใจที่เข้ามาหาเรื่องฉินหยุน หากไม่แล้ว เขาคงไม่ต้องเผชิญสถานการณ์ยุ่งเหยิงเช่นตอนนี้ เป็นเขาแสวงหายนะมาสู่ตน!

เวทีการแข่งขัน เวลานี้ได้ซ่อมแซมเรียบร้อยแล้ว!

ทว่าไม่มีผู้ใดสนใจ พวกเขายังเอาแต่ปิดล้อมชายชราจากตำหนักจารึกเทวะ

“ทางเลือกมีสอง หนึ่งคือส่งโทเทมอัคคีนั้นมอบให้แก่ทุกคน หรือไม่ ก็จงนำอักขระเต๋าที่มีค่าทัดเทียมกันออกมา!” อาจารย์จารึกเต๋าวัยกลางคนผู้หนึ่งกล่าว

“ข้าไม่มีโทเทมอัคคี ทั้งหมดมันอยู่บนกระดาษแผ่นนั้น!”

ชายชราจากตำหนักจารึกเทวะหน้าแดงก่ำเพราะโทสะ ตัวเขากล่าวออกอย่างเกรี้ยวกราด คำเหล่านี้บอกออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าหาได้มีผู้ใดเชื่อ

ท้ายที่สุด ชายชราจึงไม่อาจอดรนทนได้ไหว

“ได้ ข้าจะให้อักขระเต๋าชุดหนึ่ง!”

“หนึ่งชุดหรือเพียงพอ? ต้องเป็นสาม!” ผู้หนึ่งตะโกนขึ้น

“ใช่ ต้องเป็นสามชุด!”

ชายชราลอบสบถต่อคนกลุ่มนี้ ตัวเขาไม่คาดคิดว่าเรื่องราวจะกลับกลาย เดิมเขาเพียงคิดว่าพบเห็นโอกาสที่จะตัดสิทธิ์เจี้ยนหลิงหลงและฉินหยุนจากการแข่งขัน กระนั้นตอนนี้ กลับกลายเป็นความวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้นเสียแทน

“สอง!” ชายชราเผยท่าทีต่อรอง

เพราะหากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาจะไม่มีทางกลับไปจากที่นี่ด้วยสภาพรอดชีวิต!

“สองอักขระเต๋าชั้นเลิศ!” เจี้ยนหลิงหลงตะโกน

“ได้!” ชายชราจากตำหนักจารึกเทวะเผยดวงตาแดงก่ำเคียดแค้น น้ำเสียงตะโกนออกด้วยโทสะสุมอัดแน่น

หลังกล่าวคำจบ เขาจึงนำแผ่นหนังสัตว์ออกมาสองผืน ยิ่งไปกว่านั้น มันคืออักขระเต๋าชั้นเลิศอย่างแท้จริง! บรรดาอาจารย์จารึกเต๋าพร้อมใจกันสงบปากคำ นำเอาอุปกรณ์ออกมา ตัวอุปกรณ์นี้คล้ายกระจก ตราบเท่าที่ลอยอยู่เหนือแผ่นหนังสัตว์สักครู่หนึ่ง มันจึงสามารถคัดลอกเนื้อหามาได้

เจี้ยนหลิงหลงเดินเข้าไปบันทึกส่วนของนางเช่นกัน ภายในใจของนางเวลานี้บังเกิดเป็นความยินดีไม่รู้จบ และตอนนี้ นางยิ่งนับถือฉินหยุนมากมายขึ้นไปอีก

ชายชราจากตำหนักจารึกเทวะ ภายในเวลานี้ไม่ต่างอะไรกับคนตาย! ตัวเขาเหนื่อยล้าเพราะขว้างเบ็ดออกไปเกิน ปลาไม่ได้รับ ทั้งยังต้องเหนื่อยชักเส้นเอ็นกลับคืนมา!

ฉินหยุนย่อมเดินเข้าไปบันทึกอักขระเต๋า นอกจากนี้แล้ว เขายังเผยท่าทีซาบซึ้งกล่าวคำ “ทำเช่นนี้แต่แรกไม่ดีกว่าหรือ? เหตุใดต้องให้ทุกคนที่นี่ต้องเผยโทสะโต้เถียงกันยาวนานเพียงนี้!”

“เจ้าตัวบัดซบ รอข้าก่อนเถอะ!” ชายชราสีหน้าเขียวคล้ำเพราะความโกรธ ดวงตานั้นมีแต่เจตนาคิดสังหาร

ฉินหยุนย่อมไม่หวั่นเกรงใด เขาเผยเสียงหัวเราะคิกคักก่อนจะกลับไปยืนข้างเจี้ยนหลิงหลง ทั้งยังคว้ามือขาวนุ่มของนางมาจับไว้

เรื่องราวสงบลง บรรดาอาจารย์จารึกเต๋าล้วนยินดี เป็นที่ทราบ ว่าอาจารย์จารึกเต๋าหลายคนถูกคัดออก กระนั้นเวลานี้พวกเขาร่วมกันกดดันอีกฝ่ายจนได้รับผลเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ เป็นอักขระเต๋าถึงสองชุด และอักขระเต๋าทั้งสองชุด ก็เป็นอาจารย์จารึกเต๋าทั้งหลายที่ได้รับ เพียงไม่นานมันจึงกระจายทั่ว แต่อย่างไรแล้ว อักขระเต๋าทั้งสองชุดก็ยังอยู่ระดับชั้นเลิศ มันยังเป็นสิ่งที่ล้ำค่าในตัวของมันเอง

ได้เห็นเรื่องราวสงบลง เจี้ยนสือเทียนค่อยถอนหายใจโล่งอก

“ตอนนี้พวกเราก็เริ่มรอบที่สี่กันได้แล้ว!” เจี้ยนสือเทียนประกาศ “รอบที่สี่คือการตัดสินสู่ชัยชนะ!”

“อาจารย์จารึกผู้ซึ่งคว้าอันดับหนึ่งไปครอง รางวัลที่ได้รับคืออักขระตะวัน อันดับที่สองจะได้รับอักขระเต๋าและอักขระจันทรา ส่วนอันดับที่สาม จึงเป็นอักขระดวงดาวและอักขระเต๋า!”

อันดับทั้งสามกำลังจะถูกตัดสิน ผู้เข้าร่วมมีเพียงสิบ บรรดาอาจารย์จารึกทั้งหลายเวลานี้ล้วนสงบเงียบรับฟัง

เจี้ยนสือเทียนกล่าว “รอบสุดท้ายจะเป็นการแข่งขันแบบกลุ่ม กระนั้นเมื่อตัดสินอันดับ มันจะเป็นการแยกจากกลุ่มออกมา!”

“นั่นหมายความถึง เป็นไปได้ที่อาจารย์จารึกทั้งสองคนจะได้อันดับกันทั้งคู่!”

หลายคนไม่คาดคิด เดิมพวกเขานึกว่าแต่ละกลุ่มจะได้รับเพียงหนึ่งรางวัล รอบการแข่งขันสุดท้ายกลับกลายเป็นไม่ธรรมดาขึ้นมา!

เจี้ยนสือเทียนกล่าว “รอบสุดท้าย คือการสร้างไข่มุกค่ายอาคม!”

เขานำเอาไข่มุกผลึกแก้วขนาดครึ่งตัวคนออกมาและกล่าว “พวกเราจะมอบอักขระลึกล้ำระดับราชันให้ ที่ต้องทำ คือแกะสลักอักขระลึกล้ำเหล่านั้นภายในไข่มุกผลึกแก้ว มีแต่ทำสำเร็จครบถ้วนสมบูรณ์จึงผ่านคุณสมบัติ!”

“อันดับจะถูกตัดสินจากจำนวนไข่มุกที่ทำสำเร็จ หากจำนวนไข่มุกทัดเทียม เช่นนั้นพวกเราจะตรวจสอบระดับความวิจิตรเพื่อตัดสินอันดับ เวลาจำกัดที่สามชั่วยาม!”

ไข่มุกเหล่านี้ถูกใช้เพื่อสร้างค่ายอาคม ผลลัพธ์ที่พวกมันจะเผยออกย่อมต้องดี ตำหนักเซียนดาบจึงให้อาจารย์จารึกที่มีฝีมือเหล่านี้เข้ามาจัดการ

“พี่สาวหลิงหลง หากเป็นท่าน คิดว่าจะแกะสลักได้เท่าใด?” ฉินหยุนกล่าวถาม

“หนึ่งลูก ก็น่าจะราวหนึ่งชั่วยาม ดังนั้นสามชั่วยามน่าจะแกะสลักได้สาม หากทุ่มสุดตัว บางทีอาจได้เป็นสี่” เจี้ยนหลิงหลงกล่าว

เจี้ยนสือเทียนเริ่มส่งมอบอักขระลึกล้ำระดับราชัน

ฉินหยุนรับชม เขารู้สึกว่าไม่น่าจะยากแต่อย่างใด

หลังอาจารย์จารึกทั้งหลายได้พิจารณาอยู่ครึ่งชั่วยาม เจี้ยนสือเทียนจึงค่อยประกาศเริ่มการแข่งขัน

ฉินหยุนย่อมใช้ปากกาลึกล้ำสะท้อนจิตเพื่อแกะสลัก นี่ก็เพื่อเป็นการทำให้มั่นใจว่าจะมีระดับความวิจิตรค่อนข้างสูง เขาไม่ทราบว่าอักขระนี้คืออันใด เพียงทราบว่าดูคุ้นเคยนัก อาจารย์จารึกผู้อื่นเองก็เป็นเช่นฉินหยุน พวกเขาต่างปล่อยพลังจิตวิญญาณโลหิตกันออกมา พร้อมเริ่มทำการแกะสลักอักขระลึกล้ำระดับราชันอย่างขะมักเขม้น

“น่าจะแกะสลักได้หนึ่งลูกในหนึ่งชั่วยาม!”

ตอนนี้ฉินหยุนรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล เพราะบรรดาอาจารย์จารึกเต๋าที่นี่ล้วนมีระดับการฝึกฝนสูงส่งยิ่ง ดังนั้น พวกเขาย่อมมีเปรียบเหนือกว่าเขาด้านปริมาณพลัง

“สถานการณ์เช่นนี้คล้ายไม่ดี หากปล่อยให้เป็นไปเรามีแต่ต้องแพ้!” ฉินหยุนย่อมทราบ ว่าอาจารย์จารึกทั้งหลายที่นี้ล้วนรวดเร็วยิ่งกว่าเขา

เจี้ยนหลิงหลงทุ่มสุดตัวเพราะนี่คือการแข่งขัน

กว่าครึ่งชั่วยามผ่านพ้น นอกจากฉินหยุนแล้ว อาจารย์จารึกเต๋าทั้งหลายจึงแกะสลักได้หนึ่งลูก

ฉินหยุนต้องใช้เวลาเต็มชั่วยามจึงสามารถแกะสลักได้สำเร็จหนึ่งลูก!

“นี่ไม่ได้แล้ว หากเป็นอย่างนี้ต่อไป อันดับใดเราก็ไม่ได้ ที่ได้คือท้ายตาราง!” ฉินหยุนมองทางเจี้ยนหลิงหลง พบว่านางรวดเร็วที่สุด เป็นไปได้สูงว่านางจะเข้าถึงสามอันดับแรก

“เสี่ยวหยุน หากเป็นอย่างนี้เจ้ามีแต่จะแพ้!” หลิงหยุนเอ๋อพลันกล่าว

“ข้าทราบดี” ฉินหยุนถอนหายใจกล่าว “ข้ายังไม่ก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ เข้าร่วมปะทะกับกลุ่มราชันยุทธ์และจักรพรรดิยุทธ์ เป็นข้าเสียเปรียบที่ทุกตรง!”

หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “ข้ามีความคิด นำเอาแผ่นหนังสัตว์ออกมาจำนวนหนึ่ง ซ้อนพวกมันรวมด้วยกัน จากนั้นจึงใช้ความสามารถเทวะทะลุทะลวงระหว่างการแกะสลักอักขระลึกล้ำระดับราชันบนแผ่นหนังสัตว์ที่ซ้อนกันอยู่ เช่นนี้ เจ้าจะสามารถแกะสลักบนแผ่นหนังสัตว์หลายผืนได้ในคราวเดียว ถึงตอนนั้นค่อยใช้เคล็ดวิชาขัดเกลาวิญญาณ โอนถ่ายอักขระจากแผ่นหนังสัตว์เข้าสู่ตัวไข่มุก!”

“แกะสลักอักขระต้องใช้พลังจิตวิญญาณโลหิต ดังนั้นแล้ว ด้วยเคล็ดวิชาขัดเกลาวิญญาณ การส่งถ่ายพวกมันย่อมต้องทำได้!”

“นี่เป็นเพียงข้านึกทฤษฎีขึ้นมา ส่วนความมั่นใจข้าหาได้มีไม่ และเจ้าก็มีเวลาเหลือเพียงสองชั่วยาม!”

“สำเร็จหรือไม่ล้วนไม่ใช่สาระแล้ว ข้าคิดอยากทดลอง นี่เป็นวิธีการเดียวที่พวกเราจะทำได้!” ฉินหยุนตอบคำนางกลับ ภายในเวลานี้ย่อมเกิดความตื่นเต้นยินดี เพราะเขารู้สึก ว่าเรื่องราวสมควรสำเร็จได้

อำนาจของยันต์ที่เผยออก กระทั่งฉินหยุนและเจี้ยนหลิงหลงยังคิดว่าเกินเชื่อได้ ฉินหยุนย่อมตระหนัก ว่าอำนาจมันสมควรทัดเทียมอักขระเต๋า ทว่าพลังที่เผยออกมานี้ มันรุนแรงยิ่งกว่า

เจี้ยนหลิงหลงยังคงตื่นตะลึงจากเหตุการณ์ นางกล่าวถาม “ระดับแรงสั่นไหวเล่า?”

เจี้ยนสือเทียนมองที่แผ่นกลมในมือ มันปรากฏคำหนึ่งร้อย!

ระดับแรงสั่นไหวหนึ่งร้อย!

บรรดาอาจารย์จารึกอื่นที่นี่ พวกเขายากทำใจยอมรับ หากเจี้ยนหลิงหลงแกะสลักอักขระนั้นด้วยตนเอง พวกเขาอาจสามารถยอมรับ ทว่าโชคไม่ดีนัก เป็นเด็กหนุ่มที่แกะสลักมันขึ้นมา พวกเขาได้แต่เชื่อ ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เชี่ยวชาญอักขระเลิศล้ำ ทั้งยังครอบครองจารึกวิญญาณ! มีแต่เป็นเช่นนี้ จึงสามารถทำให้อักขระเผยพลังชวนสะพรึงระดับนี้ออกมาได้

เจี้ยนหลิงหลงย่อมทราบว่าฉินหยุนครอบครองโทเทมอัคคี ทว่าพลังอำนาจระดับนี้ มันเกินกว่าที่นางคาดคิดเอาไว้

“พวกเราอยู่อันดับที่หนึ่งอีกแล้ว!”

แม้เจี้ยนหลิงหลงทึ่งไปบ้าง กระนั้นนางก็ยินดีพร้อมที่จะมองสีหน้าอัปลักษณ์ของอาจารย์จารึกจากกลุ่มอื่น

กลุ่มของเจี้ยนหลิงหลงและฉินหยุนก้าวขึ้นสู่อันดับที่หนึ่งอีกครั้ง เรื่องราวนี้ กลายเป็นแผลทางจิตใจต่อบรรดาอาจารย์จารึกเต๋าเฒ่าชรา

เวทีแข่งขันได้รับความเสียหายหนักหนา และเรื่องน่าเสียดายที่สุดของตำหนักเซียนดาบ คืออุปกรณ์เต๋าของพวกเขาถูกทำลาย!

“ทุกท่าน พวกเราจะพักกันก่อนสองชั่วยาม ระหว่างนี้จะเร่งรีบฟื้นคืนเวทีแข่งขันให้กลับสู่สภาพเดิมโดยเร็ว!”

เจี้ยนสือเทียนมองเศษซากหอคอยของตนด้วยความปวดร้าวหัวใจ จากนั้นสายตาจึงมองที่ฉินหยุน

ตอนนี้ บรรดาอาจารย์จารึกทั้งหลายต่างสงสัยอย่างยิ่ง ว่าฉินหยุนลงมือแกะสลักอักขระใดลงไป เพราะสิ่งที่เผยมันชวนสะพรึง มันสามารถเผยอำนาจอันเลิศล้ำ ระดับพลังแทบทัดเทียมยันต์เต๋าชั้นเลิศ!

และยันต์เต๋าระดับนั้น จำเป็นต้องใช้เวลาที่ค่อนข้างนานหากคิดสร้าง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถสร้างเสร็จภายในสามชั่วยาม นั่นคือสิ่งที่บรรดาอาจารย์จารึกทั้งหลายยังไม่อาจหาคำตอบ

เจี้ยนหลิงหลงลอบสงสัย ว่าฉินหยุนได้รับจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวมาครองแล้ว และเมื่อครู่ ก็เป็นเขาแกะสลักอักขระดวงดาวที่ทรงพลังอำนาจลงไป กระนั้นนางได้แต่คาดเดาโดยไม่คิดเอ่ยถาม

ฉินหยุนและเจี้ยนหลิงหลงไปนั่งพักข้างเวทีแข่งขัน เวลานี้ การแข่งขันรอบถัดไปจะเหลือเพียงสิบกลุ่ม และกลุ่มของมู่เฟิงย่อมตกรอบไปแล้ว

เจี้ยนสือเทียนเรียกผู้คนจำนวนมากออกมาเร่งรีบซ่อมแซมเวทีแข่งขัน พวกเขานำเอาก้อนอิฐหินลงมาวางกันใหม่ไม่ขาด

เวลาเดียวกันนี้ อาจารย์จารึกเต๋าหลายคนต่างเดินเข้ามา

“เจี้ยนหลิงหลง เจ้าใช้อักขระใดลงไป?” ผู้ที่เอ่ยคำถามนี้ เป็นชายชราที่เผยสีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ใช่คนดี และไม่ทราบว่าเขาผู้นี้สังกัดฝักฝ่ายใด

“พวกเราใช้อักขระใดมีอันใดเกี่ยวข้องกับเจ้า?” ได้เห็นชายชราเผยท่าทีไร้มารยาทแก่นาง เจี้ยนหลิงหลงย่อมตอบกลับไปอย่างเย็นเยือก

“พลังระดับนั้นไม่ใช่สิ่งที่อักขระทั่วไปสามารถทำได้! ดังนั้นแล้ว พวกเราสงสัย ว่าเจ้าปีศาจน้อยนั่นอาจใช้อักขระต้องห้าม!” ชายชรากล่าวคำกราดเกรี้ยว “หากเป็นเช่นนั้น ตำหนักจารึกเทวะของพวกเราย่อมต้องยื่นมือมาข้องเกี่ยว!”

เจี้ยนหลิงหลงคำรามออกด้วยโทสะ “อักขระต้องห้ามบัดซบอันใด! ตำหนักจารึกเทวะเจ้าก็แค่กลุ่มสุกรที่ดีแต่ร้องไปเรื่อย! หากพวกเจ้ามีเวลาว่าง เหตุใดไม่ไปไล่ล่าสังหารผู้ฝึกตนอสูรที่รุกล้ำสู่แดนวิญญาณอ้างว้าง? กลับกัน ดันเสนอหน้ามาที่นี่เพื่อกล่าววาจาไร้สาระที่เลื่อนลอย!”

เห็นได้ชัด ว่าคนกลุ่มนี้มาจากตำหนักจารึกเทวะ และก็มีแต่ตำหนักจารึกเทวะ ที่สามารถสร้างความวุ่นวายระดับนี้ได้

“เจี้ยนหลิงหลง เจ้ากำลังหยาบคายต่อตำหนักจารึกเทวะ พวกเราจะริบเหรียญตาเจ้ากลับคืน!” ชายชราผู้นี้กราดเกรี้ยว เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งของเขาในตำหนักจารึกเทวะไม่ใช่ต่ำต้อย

“เอามันคืนไป! กลุ่มเศษสวะ หากวันนี้เจ้าไม่อาจยืนยันว่ามันเป็นอักขระต้องห้ามใด เช่นนั้นข้าจะประณามพวกเจ้า!”

เจี้ยนหลิงหลงนำเอาเหรียญตราออกมาอย่างนึกโกรธแค้น จากนั้นจึงบดขยี้มันเป็นเศษซากก่อนโยนลงพื้น

“เจ้า… นี่เจ้า…” ชายชราผู้นี้ยิ่งโกรธแค้น เขาชี้หน้าเจี้ยนหลิงหลง ทว่าคำไม่คล้ายกล่าวออกได้

“กลุ่มตัวบัดซบเอ๋ย จงเร่งรีบไขความกระจ่างว่านั่นคืออักขระต้องห้ามใด! หากไม่ได้ ข้าจะมองว่าเจ้าจงใจสร้างปัญหาแก่ข้า และหากข้าไม่ได้หักขาสุนัขเช่นเจ้าวันนี้ ข้าก็ไม่ขอใช้สกุลเจี้ยนอีก!”

เจี้ยนหลิงหลงมีโทสะเป็นล้นพ้น ทั้งกายนางเผยอัคคีเพลิงร้อนแรง นางนำดาบใหญ่ออกมาชี้ที่ชายชรา

แท้จริงแล้ว อักขระต้องห้าม ก็คืออักขระดวงดาว จันทรา และตะวัน กระนั้น ไม่ใช่ว่ามันจะใช้งานกันได้ทุกคน และยังเป็นรางวัลของการแข่งขันครั้งนี้อีกด้วย สาเหตุว่าทำไมอักขระทั้งสามถูกเรียกขานเป็นอักขระต้องห้าม ก็เพื่อเป็นการห้ามปรามอาจารย์จารึกทั้งหลายไม่ให้ใช้งานพวกมัน

ตามปกติแล้ว ตำหนักจารึกเทวะจะถือสิทธิ์การมอบใช้งานอักขระเหล่านี้ และทุกสำนักใหญ่ รวมถึงตระกูลใหญ่ ย่อมต้องมีส่วนร่วมในตำหนักจารึกเทวะ พวกเขาล้วนเป็นคนกันเองที่พร้อมก่อเรื่องไร้ยางอาย ดังนั้น กล่าวได้ว่าพวกเขามีสิทธิ์ที่จะอนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิ่งที่เรียกอักขระต้องห้าม หรือก็คือ อักขระต้องห้ามมันไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายจริงดังที่กล่าว หาได้เหมือนอย่างผู้ฝึกตนอสูรที่เป็นภัยคุกคามไม่

ด้วยเจี้ยนหลิงหลงมีโทสะเป็นล้นพ้น เพราะชายชราจงใจสร้างปัญหาขึ้น อีกฝ่ายคิดพยายามหยิบยกประเด็นนี้เพื่อหาทางลงมือต่อฉินหยุน จากนั้น จึงค่อยทรมานอีกฝ่ายเพื่อได้รับอักขระเหล่านั้นมา และนำพวกมันส่งมอบแก่ตำหนักจารึกเทวะต่อไป

บรรดาอาจารย์จารึกเฒ่าชราของตำหนักจารึกเทวะ บ่อยครั้งลงมือเช่นนี้ กระนั้น พวกเขาไม่คิดว่าครั้งนี้จะไปเตะโดนตอไม้ใหญ่เข้าให้ หลังได้ทราบจิตสังหารของเจี้ยนหลิงหลง ชายชราจากตำหนักจารึกเทวะจึงหันมองทางเจี้ยนสือเทียน เช่นนี้ เจี้ยนสือเทียนจึงต้องเร่งร้อนเดินเข้ามา

“หลิงหลง หากเจ้ามีข้อพิพาทใด เช่นนั้นไปจัดการหลังออกจากเกาะแห่งดาบแล้ว” เจี้ยนสือเทียนกล่าว

“ได้ หลังมันผู้นี้ออกพ้นจากเกาะแห่งดาบ ข้าจะส่งมอบความตายให้แก่มัน!” เจี้ยนหลิงหลงเก็บดาบของนางกลับคืน

“เจ้าปีศาจน้อยผู้นี้ใช้งานอักขระต้องห้าม!”

“หากไม่ได้รับการอนุญาตจากตำหนักจารึกเทวะ จะไม่มีผู้ใดสามารถใช้งานอักขระต้องห้าม! เพราะอักขระต้องห้ามเป็นสิ่งร้ายแรง หากผู้ใดใช้งานมันโดยไม่คิดให้ถี่ถ้วน เช่นนั้นย่อมนำภัยพิบัติมาเยือน!”

“ทุกคนล้วนได้เห็นกันแล้วเมื่อครู่ หลังเจ้าปีศาจน้อยนี่แกะสลักอักขระ พลังอำนาจของยันต์นั้นชวนสะพรึงเพียงใด นั่นย่อมต้องเป็นผลของการใช้อักขระต้องห้าม!”

ชายชราผู้นี้ยังคงไม่ยอมจบเรื่อง เขายังกล่าวออกด้วยโทสะ ตำหนักจารึกเทวะคิดกีดกันฉินหยุนไม่ให้ใช้งานอักขระเหล่านั้น

เจี้ยนหลิงหลงกล่าวถามเสียงลุ่มลึก “ไหนเจ้าลองบอกว่าพวกเราควรทำอย่างไร?”

“ย่อมต้องให้มันส่งอักขระต้องห้ามนั้นออกมา! พวกเราผู้เชี่ยวชาญจะตรวจสอบพวกมัน และทำให้อักขระต้องห้ามเหล่านั้นเกิดความเสถียรภาพ ก่อนจะนำไปส่งมอบให้แก่บรรดายอดฝีมือทั้งหลายร่วมกันศึกษา!” ชายชราแค่นเสียงกล่าว

“เหตุใดเจ้าไม่ลงนรกไปฝันหวานเช่นนั้นต่อกันเล่า!” เจี้ยนหลิงหลงอารมณ์ร้าย นางทะยานออกคิดเข้าจัดการชายชราตรงหน้า

เจี้ยนสือเทียนและครึ่งเซียนอีกหลายคนต่างเร่งรีบเข้าหยุดยั้งนาง

เจี้ยนหลิงหลงสบถออกรุนแรง

ชายชราจากตำหนักจารึกเทวะเมื่อครู่หวาดกลัว กระนั้นตอนนี้เมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงตะโกนดัง “พวกเราอาจารย์จารึกจะร่วมมือกัน ให้เจ้าปีศาจน้อยนั่นส่งอักขระต้องห้ามออกมา!”

ถึงตอนนี้ อาจารย์จารึกหลายคนต่างปรากฏตัวขึ้น

กระนั้น กลับไม่มีอาจารย์จารึกตระกูลเจี้ยนเข้าร่วม แม้พวกเขาเย้ยหยันเจี้ยนหลิงหลงบ่อยครั้ง ทว่าเวลานี้พวกเขาทราบกระจ่างดี สตรีภูเขาไฟเช่นนางพร้อมระเบิด หากพวกเขาทำให้นางมีโทสะมากยิ่งขึ้น เช่นนั้นนางก็พร้อมจะลืมเลือนเรื่องตระกูลและลงมือสังหาร

“เจี้ยนสือเทียน เรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นในการแข่งขันจารึกที่ตำหนักเซียนดาบ เจ้าควรเพิกถอนสิทธิ์เจ้าปีศาจน้อยผู้นี้และจับตัวมันไว้!”

เวลานี้ ชายชราจากตำหนักจารึกเทวะมีอาจารย์จารึกเต๋าหลายคนหนุนหลัง เขาจึงยิ่งกล้าก่อการใหญ่เพื่อจับตัวฉินหยุน

เจี้ยนสือเทียนกล่าว “พวกเราจะพูดกล่าวถึงเรื่องนี้หลังการแข่งขันจบลงแล้ว”

เจี้ยนหลิงหลงถูกครึ่งเซียนสองคนประกบข้างห้ามปราม ดังนั้น นางจึงไม่อาจลงมือใดได้อีก

ฉินหยุนพลันกล่าวถาม “ข้าไม่ทราบว่าอะไรคืออักขระต้องห้าม เหตุใดจึงไม่บอกต่อข้า ว่าอะไรคืออักขระต้องห้าม?”

“อักขระต้องห้ามย่อมต้องเป็นอักขระต้องห้าม พวกมันคืออักขระมารอันชั่วร้ายที่มีพลังเหนือล้ำกว่าอักขระธรรมดา!”

ชายชราผู้นี้ไม่กล้ากล่าว ว่าอักขระดวงดาว อักขระจันทรา และอักขระตะวันคืออักขระต้องห้าม เพราะหลายสำนักล้วนใช้งานพวกมัน

“สำหรับเรื่องนี้ ความจริงที่ข้าแกะสลักไปเมื่อครู่คืออักขระโทเทมอัคคี” ฉินหยุนกล่าว “นั่นถือเป็นอักขระต้องห้ามหรือ?”

โทเทมอัคคี!

บรรดาอาจารย์จารึกทั้งหลายต่างสะท้าน!

“นี่เจ้าแกะสลักอักขระโทเทมอัคคีได้รวดเร็วเพียงนั้นได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้!” ชายชราจากตำหนักจารึกเทวะตะโกนเสียงดัง “เจ้าต้องคดโกงแน่!”

“หากข้าแกะสลักได้ แล้วท่านยังจะว่าอะไร?” ฉินหยุนแค่นเสียง “ท่านเพียงใส่ร้ายข้า เรื่องนี้ต้องมีการสะสาง!”

“เหอะ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าแกะสลักโทเทมอัคคีได้จริงหรือไม่? เว้นแต่เจ้าจะเผยมันออกสู่สาธารณะ!” ชายชราแค่นเสียงกล่าว

คำกล่าวนี้ มันทำให้อาจารย์จารึกทั้งหลายที่นี้ต่างร้องตะโกนออกให้เปิดเผยออกมา

ฉินหยุนหัวเราะรับ นำเอากระดาษออกมา จากนั้นจึงลงปากกาวาดอักขระรวดเร็ว ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม ฉินหยุนจึงทำได้สำเร็จ

“นี่คือโทเทมอัคคี รับไปชม” ฉินหยุนส่งกระดาษออกไป

ชายชราจากตำหนักจารึกเทวะรับกระดาษแผ่นนั้น พิจารณาถ้วนถี่ บรรดาอาจารย์จารึกทั้งหลายรวมตัวกันร่วมรับชม

เจี้ยนหลิงหลงไม่ทราบ ว่าเหตุใดฉินหยุนทำเช่นนี้ กระนั้นนางก็เชื่อ ว่าเขาจะไม่มีทางส่งมอบโทเทมอัคคีแท้จริงออกไปแก่คนกลุ่มนี้

“นี่… นี่เป็นโทเทมอัคคี!” หนึ่งในอาจารย์จารึกเต๋าเฒ่าชรามากความรู้ร้องอุทานกล่าว

สิ่งนี้คือโทเทมอัคคีที่แท้จริง! หลายคนที่นี้ต่างเดือดพล่านด้วยความตื่นเต้นยินดี! ชายชราจากตำหนักจารึกเทวะตั้งจิตมั่น เขาคิดพยายามคัดลอกอักขระบนกระดาษ ตอนนี้ อาจารย์จารึกทั้งหลายต่างทราบกระจ่างชัด ว่าสิ่งนี้คือโทเทมอัคคีของจริง!

“เป็นของจริง! เร่งรีบคัดลอกมันไว้!”

“รีบคัดลอกเร็วเข้า!”

อาจารย์จารึกทั้งหลายเร่งรีบนำอุปกรณ์บันทึกออกมา ตราบเท่าที่นำอุปกรณ์นั้นลอยเหนือกระดาษ มันจะสามารถบันทึกเนื้อหา

ทว่าทันใดนี้เอง กระดาษนั้นกลายเป็นลุกไหม้!

เรื่องนี้ทำเอาบรรดาอาจารย์จารึกทั้งหลายสบถออกด้วยโทสะ

“กลุ่มคนที่ชั่วร้ายนัก! ข้ามอบโทเทมอัคคีให้รับชม กระนั้นกลับคิดอยากได้เป็นของตนเอง!” ฉินหยุนสบถออกต่อชายชราจากตำหนักจารึกเทวะ

“กระดาษมันไหม้ไปเอง เรื่องนี้เกี่ยวข้องอันใดกับข้า? เจ้าจงเร่งรีบทำมันออกมาอีกแผ่น!” ชายชราผู้นี้ยังไม่ยอมแพ้

“เหอะ อักขระโทเทมอัคคีของข้าย่อมพิเศษ เพียงแกะสลักมันได้สองครั้งทุกสามปี และตอนนี้แกะสลักไปแล้วสองครั้ง รอครั้งหน้าก็อีกสามปีแล้ว!”

“หากข้าแกะสลักโทเทมอีกครั้ง ข้าจะโดนผลย้อนกลับจากโทเทมอัคคี และอาจร่วงหล่นสู่เต๋าอสูรได้!”

“พวกท่านจากตำหนักจารึกเทวะสมควรทราบเรื่องนี้ดี ดังนั้นจึงฉวยโอกาสเผากระดาษนั้นคิดเก็บไว้แต่เพียงผู้เดียวหรือไม่ใช่?” ฉินหยุนกล่าวออกอย่างโกรธแค้น

เรื่องเกี่ยวข้องกับอักขระโทเทม แม้เป็นอาจารย์จารึกเต๋าเฒ่าชรา พวกเขาก็ทราบเพียงน้อยนิด ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ต้องเชื่อคำของฉินหยุน เพราะพวกเขามั่นใจ ว่าอักขระโทเทมเมื่อครู่ทั้งลึกล้ำและซับซ้อนอย่างแท้จริง พวกเขามีโอกาสได้รับโทเทมอัคคี กระนั้นกลับถูกชายชราตำหนักจารึกเทวะเผามันไปต่อหน้า!

เจี้ยนหลิงหลงยินดีอยู่ภายใน เวลานี้นางร่วมมือกับฉินหยุนกล่าวเสียงอันเย็นเยือก “ตาเฒ่าตำหนักจารึกเทวะ ชัดเจนว่าเจ้าเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาบางอย่าง จึงคัดลอกอักขระโทเทมในพริบตา จากนั้นจึงเผากระดาษนั้นไหม้! ช่างโฉดชั่วนัก!”

ชายชราจากตำหนักจารึกเทวะสุมอัดด้วยโทสะภายในใจ เขาตะโกนออกดัง “เจ้าปีศาจน้อย นี่ต้องเป็นเจ้าลงมือแน่!”

ฉินหยุนกล่าวออกอย่างโกรธแค้น “ข้ามอบอักขระโทเทมออกไปแล้ว ย่อมคิดแบ่งปันมันแก่ยอดฝีมือที่นี่ทุกท่าน ผู้ใดกันทราบว่าท่านแท้จริงภายในคิดอันใดจึงก่อการ? ตอนนี้ยังคิดกล่าวโทษข้าอย่างนั้นหรือ?”

ตอนที่ 769 การระเบิดครั้งรุนแรง
ระหว่างการสร้างกระดาษยันต์ มันไม่มีข้อจำกัดพิเศษเรื่องวัสดุที่
ต้องใช้แต่อย่างใด ขณะอยู่ในกระบวนการสร้างยันต์นั้น จึงเป็นการ
เผยประสบการณ์อันมากล้ำของบรรดาอาจารย์จารึกเต๋าออกมา
เจี้ยนหลิงหลงใช้งานวัสดุชั้นดีเพื่อสร้างกระดาษยันต์ วัสดุเหล่านี้อัด
แน่นด้วยพลังอันเหนือล้ำ มันคือวัสดุที่มีพลังงานจำนวนมากในตัว
ทั้งยังมีราคาสูงลิบ
ฉินหยุนหันมองรับชมอาจารย์จารึกผู้อื่น พวกเขาต่างก็เลือกวัสดุที่มี
พลังงานในตัวเพื่อสร้างกระดาษยันต์เช่นเดียวกัน
ยามที่กระดาษยันต์ชั้นดีถูกแกะสลักด้วยอักขระที่ดี เมื่อนั้น พลังงาน
ภายในมันจะเพิ่มมากขึ้น ก่อนปะทุออกอย่างรุนแรงเผยซึ่งพลังอัน
เลิศล้ำออกมา
กระดาษยันต์เช่นนี้ เพียงใช้ก็ต่อเมื่อคิดสร้างยันต์เต๋า เพราะอักขระ
เต๋าจะทำให้พลังงานภายในสามารถปะทุออกมาได้รุนแรงที่สุด
แม้ฉินหยุนกล่าวว่าคิดอยากร่วมสร้างกระดาษยันต์ กระนั้น ตัวเขาก็
ขาดฝีมือพอจะยื่นมือช่วยเหลือ ด้วยระดับตอนนี้ ตัวเขายังไม่อาจ
ควบคุมกระบวนการขัดเกลาวัสดุที่มีพลังงานในตัวได้ และเขาก็ยัง
ไม่เคยทดลองทำมาก่อน
ยามที่อาจารย์จารึกลึกล้ำผู้อื่นใช้วัสดุพลังงานเพื่อสร้างกระดาษยันต์
พวกเขาจะทำอย่างระมัดระวัง เพราะหากพวกเขาหย่อนความระวัง
แม้เพียงนิด พลังงานภายในนั้นจะระเบิดออก
เพราะเหตุนี้ การดำรงตำแหน่งอาจารย์จารึกจึงมีความเสี่ยง อาจารย์
จารึกหลายคนต่างต้องสิ้นชีพกันไปเพราะแรงระเบิดจากการสร้าง
ยันต์เต๋าเพียงลำพังก็มีไม่ใช่น้อย
ขณะเจี้ยนหลิงหลงสร้างกระดาษยันต์ นางได้ใช้พลังส่วนหนึ่งเพื่อ
คุ้มกันแก่ฉินหยุน กลุ่มอื่นที่อยู่บนเวทีแข่งขัน ต่างต้องแยกห่างจาก
กันระยะหนึ่ง นี่ก็เพื่อทำให้มั่นใจ ว่าพวกเขาจะไม่เผลอไปทำ
กระดาษยันต์ผู้อื่นจนเกิดการระเบิดขึ้น
ฉินหยุนเพียงแต่นั่งรับชม ส่งวัสดุให้แก่อีกฝ่าย ขั้นตอนกระบวนการ
ทั้งหมดเพื่อขัดเกลากระดาษยันต์เป็นเจี้ยนหลิงหลงลงมือเพียงลำพัง
ส่วนกลุ่มอื่นนั้น อาจารย์จารึกทั้งสองจะร่วมด้วยช่วยกันระหว่าง
กระบวนการ เพราะอย่างไรพวกเขาก็เป็นอาจารย์จารึกเต๋ากันทั้งคู่
ดังนั้นคิดร่วมมือกันหาได้ใช่เรื่องยากไม่
ไม่นานนับตั้งแต่เริ่ม ใบหน้าเจี้ยนหลิงหลงจึงมีเหงื่อไหลหลั่ง ฉิน
หยุนจึงคอยช่วยเหลือนางเช็ดเหงื่อเหล่านั้น เพื่อไม่ให้พวกมันต้อง
ร่วงหล่นลงที่ตัววัสดุ ไม่เพียงแต่เจี้ยนหลิงหลง อาจารย์จารึกผู้อื่นเอง
ก็ต้องทำเช่นนี้ พวกเขาทั้งตั้งใจและมีสีหน้าหนักอึ้ง
เพื่อสร้างยันต์ลึกล้ำให้เกิดแรงระเบิดสูงสุด กระดาษยันต์จำเป็นต้อง
ขัดเกลาขึ้นด้วยคุณภาพระดับกระดาษยันต์เต๋า หากขาดความระวัง
แม้เพียงนิด นั่นอาจหมายถึงการระเบิดจนทำให้บาดเจ็บร้ายแรง
ฉินหยุนรับชมมาโดยตลอด ทั้งยังคอยจดจำทุกกระบวนการที่ดำเนิน
ไป หากเขาไม่เข้าใจ เช่นนั้นจะถามเจี้ยนหลิงหลง นี่ถือเป็นการสร้าง
เสริมประสบการณ์ในตัว เจี้ยนหลิงหลงอดทนบอกกล่าวต่อฉินหยุน
ทุกรายละเอียด
เมื่อใดนางมอบความรู้แก่ผู้อื่น เมื่อนั้นนางจะตั้งใจอย่างยิ่ง ที่นคร
เซียนยุทธภัณฑ์ บ่อยครั้งนางก็ชี้แนะสอนสั่งแก่เหลียวจิงเหมิง
เช่นเดียวกันนี้
กลุ่มอื่นมีอาจารย์จารึกสองคนร่วมมือกันสร้างกระดาษยันต์ แต่
สำหรับกลุ่มของเจี้ยนหลิงหลงและฉินหยุน มีแต่เจี้ยนหลิงหลงที่ทำ
แต่เพียงฝ่ายเดียว ฉินหยุนเพียงรับชม ดังนั้นกลุ่มอื่นจึงทำกระดาษ
ยันต์เสร็จแล้ว ขณะที่เจี้ยนหลิงหลงยังไม่
“เหมือนเจ้าปีศาจน้อยนั่นไม่คล้ายมีความสามารถเท่าใดนัก กระทั่ง
ไม่อาจช่วยอันใดได้ ที่ทำได้ ก็ได้แค่รับชมอยู่ด้านข้าง”
“ก็เหมือนมาเข้าร่วมหาความสำราญหรือไม่ใช่ จุดแข็งเจ้านั่น คงเป็น
การเชี่ยวชาญอักขระมารประหลาดเป็นแน่!”
“เพื่อสร้างยันต์ลึกล้ำให้แข็งแกร่งที่สุด อักขระมารเหล่านั้นย่อมไร้
ค่า”
“ไม่คิดเลย สตรีเช่นเจี้ยนหลิงหลงจะถึงขั้นคิดกัดกินเด็กน้อยเช่นนั้น
นี่คงเป็นนางชื่นชอบเด็กกระมัง!”
“วัวแก่คิดอยากกินหญ้าอ่อนอย่างนั้นสิ เหอะ เหอะ เหอะ!”
เจี้ยนหลิงหลงไม่ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ หากนางได้ยิน ถึงตอนนั้น
โทสะนางคงพร้อมระเบิดออก
เวลากำหนดในรอบการแข่งขันนี้คือสามชั่วยาม ฉินหยุนต้องใช้ไป
สองชั่วยามจึงทำกระดาษยันต์แล้วเสร็จ มันต้องใช้เวลามากกว่ากลุ่ม
อื่นถึงหนึ่งชั่วยาม และเวลานี้ ผู้อื่นก็เริ่มร่วมมือกันแกะสลักอักขระ
แล้ว เวลาที่เหลือมีเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น!
เจี้ยนหลิงหลงเอ่ยถามฉินหยุนทางเสียงสื่อสาร “เจ้าคิดได้หรือยังว่า
จะแกะสลักอักขระใดลงไป?”
ฉินหยุนย่อมคิดเรียบร้อยแล้ว เขากล่าวตอบ “โทเทมอัคคีและอักขระ
อัคคี!”
“เอาละ เรื่องแกะสลักอักขระยกให้เจ้าแล้ว!” เจี้ยนหลิงหลงส่งกระดาษ
ยันต์แผ่นหนาออกไป
กระดาษยันต์นี้เป็นสีดำ หลังสัมผัสเนื้อกระดาษยันต์ ฉินหยุนรับรู้ได้
ถึงพลังงานภายในที่ทรงอำนาจรุนแรง
“พลังงานภายในเสถียรแล้ว เจ้าเพียงแกะสลักไปอย่างที่ทำเหมือน
กระดาษยันต์ปกติ!” เจี้ยนหลิงหลงหัวเราะเบา
ฉินหยุนนำปากกาลึกล้ำสะท้อนจิตออกมา มันถูกปรับเปลี่ยน
รูปลักษณ์เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นผู้อื่นจะไม่มีทางทราบได้ ยิ่งไปกว่า
นั้น เขายังปลดปล่อยหมอกสุกสว่างปกคลุมเอาไว้
ฉินหยุนเริ่มแกะสลักโทเทมอัคคี โทเทมอัคคีของเขานี้ได้โมโมช่วย
วิวัฒนาการให้แล้ว ตอนนี้จึงเป็นโทเทมลึกล้ำ อำนาจของมันย่อม
เหนือล้ำ ทั้งเขายังครอบครองจารึกวิญญาณอัคคีคลั่ง ดังนั้นคิด
แกะสลักโทเทมอัคคีลงกระดาษยันต์สีดำ เรื่องราวจึงง่ายดายยิ่ง
เพียงไม่นานถัดจากนั้น เขาจึงเริ่มทำการแกะสลักอักขระดวงดาว
ระเบิดอัคคี มันคืออักขระดวงดาวธาตุไฟ เช่นนี้ มันจะได้รับผลจาก
ทั้งจารึกวิญญาณอัคคีคลั่ง และจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวที่ทำงาน
ร่วม ระดับความวิจิตรของมันจึงยิ่งสูงล้ำ
ตำนานกล่าวขาน มันยังมีอักขระอีกประเภทหนึ่ง นามว่าอักขระ
จันทราดวงดาว มันคือการผสานกันระหว่างอักขระดวงดาวและ
อักขระจันทรา มันเป็นรองก็เพียงแต่อักขระตะวันยามเทียบเปรียบ
ด้านพลังอำนาจ
หากฉินหยุนได้รับพวกมัน เขาย่อมสามารถแกะสลักพวกมันได้
รวดเร็ว ตอนนี้ เขาได้แกะสลักอักขระดวงดาวระเบิดอัคคีอย่าง
รวดเร็ว สำเร็จมันด้วยเวลาอันน้อยนิด ปากกาลึกล้ำสะท้อนจิตของ
เขา มันเผยแสงสุกสว่างปกคลุม ดังนั้นจึงไม่อาจมีผู้ใดได้ทราบว่าเขา
แกะสลักอักขระใดลงไป อาจารย์จารึกเต๋าผู้อื่นก็เป็นเช่นเดียวกัน
พวกเขาทำทุกอย่างโดยเก็บเป็นความลับ
ยอดฝีมือทั้งหลายพบว่าเป็นเรื่องแปลก ที่เจี้ยนหลิงหลงยอมให้ฉิน
หยุนได้ลงมือแกะสลักอักขระ เจี้ยนหลิงหยงย่อมไม่ใช่มีความรู้
เพียงแต่อักขระเต๋า กระนั้นหากเทียบด้านคุณภาพและความเร็ว นาง
ยังไม่อาจทัดเทียมฉินหยุน
หลังจากที่แกะสลักอักขระดวงดาวระเบิดอัคคี ฉินหยุนยังแกะสลัก
อักขระลึกล้ำธาตุไฟเพิ่มไปอีกจำนวนหนึ่ง และสุดท้าย เขายังได้
แกะสลักอักขระจันทราสมุทรมอดไหม้ มันคืออักขระจันทราธาตุ
อัคคีที่แข็งแกร่ง
“หมดเวลาแล้ว!” เจี้ยนสือเทียนตะโกนดังทันทีเมื่อได้เห็นนาฬิกา
ทรายว่างเปล่า
อันที่จริง กลุ่มอื่นก็เสร็จงานกันเรียบร้อยแล้ว มีแต่กลุ่มของฉินหยุน
ที่ช้าสุด
ทันทีเมื่อถูกเรียกรวมตัว ฉินหยุนจึงหยุดมือโดยทันที จากนั้น เขาจึง
ใช้พลังจิตเข้าตรวจสอบอักขระภายในแผ่นยันต์ ทุกอักขระสมบูรณ์
ดีและหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างไม่มีข้อขัดแย้งใด ฉินหยุนส่งยันต์
นั้นให้แก่เจี้ยนหลิงหลง
หลังได้พิจารณามัน ร่างงดงามของเจี้ยนหลิงหลงจึงเผยความตื่น
ตะลึง! กระทั่งว่านางไม่อาจพบเห็นอักขระภายในแผ่นยันต์ได้
เด่นชัด ทว่านางก็ทราบกระจ่าง ถึงพลังงานอัดแน่นรุนแรงภายใน
แผ่นยันต์ หลังทำการแกะสลักอักขระ พลังงานภายในกระดาษยันต์
จึงถูกเสริมกำลังขึ้นเป็นหลายเท่า
“เริ่มการทดสอบได้!” เจี้ยนสือเทียนนำหอคอยของตนออกมา มัน
ขยายขนาดใหญ่ขึ้น จนสุดท้ายจึงเปิดประตูออก
ทั้งสามสิบกลุ่มตั้งแถว พวกเขาส่งมอบยันต์ลึกล้ำในมือแก่เจี้ยนสือ
เทียน ก่อนยันต์เหล่านั้นจะถูกนำใส่ต่อไปยังหอคอยเพื่อทดสอบ
ระดับการสั่นไหว หอคอยนี้คืออุปกรณ์เต๋าทรงพลัง คิดทำลายด้วย
พลังของยันต์ลึกล้ำกล่าวได้ว่ายากยิ่ง
เจี้ยนสือเทียนรับแผ่นยันต์ พร้อมทดสอบดูว่ามีอักขระเต๋าใดปรากฏ
อยู่หรือไม่ จากนั้นเขาจึงใส่พวกมันลงในหอคอย
ตู้ม!
ผลลัพธ์แรกได้ปรากฏแล้ว!
ด้วยพลังอำนาจรุนแรง ระดับการสั่นไหวที่เผยออกจากหอคอยถึง
ขนาดทำให้ทั้งเวทีประลองสั่นเทิ้ม บรรดารุ่นเยาว์หลายต่อหลายคน
ต่างสะท้าน พวกเขารับรู้ได้ถึงพื้นแผ่นดินของเกาะที่สั่นไหว
“แรงสั่นสะเทือนหกสิบแปด!” เจี้ยนสือเทียนมองแผ่นกลมในมือ
มันปรากฏตัวเลขระดับการสั่นสะเทือนเอาไว้
ระดับสูงสุดคือหนึ่งร้อย หากหกสิบแปดยังรุนแรงเพียงนี้ เช่นนั้นก็
ยากจินตนาการได้ถึงแล้วว่าหนึ่งร้อยจะเป็นเช่นไร! ยิ่งไปกว่านั้น
พลังนั้นยังถูกผนึกเอาไว้เพียงแต่ในหอคอย หากมันปรากฏโดยตรง
สู่ภายนอก เช่นนั้นคงเป็นพลังระดับชวนพรั่นพรึง
เจี้ยนสือเทียนดำเนินการทดสอบต่อเนื่อง
ถัดมา ทั้งเวทีประลองและที่นั่งผู้รับชม ทั้งสองต่างตกอยู่ภายใต้แรง
สั่นไหวต่อเนื่องแทบไม่หยุดพัก
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
หลังจากที่เจี้ยนสือเทียนโยนแผ่นยันต์ลึกล้ำเข้าหอคอย มันเริ่มสั่น
ไหวรุนแรง โชคยังดีที่หอคอยนี้ลอยตัวกลางอากาศ หากมันประทับ
อยู่ที่พื้น เช่นนั้นแรงสั่นไหวที่หลุดรอดออกมาย่อมต้องฉีกกระชาก
เวทีการแข่งขันออกเป็นเสี่ยง
“ระดับแปดสิบเก้า!” เจี้ยนสือเทียนปรากาศอย่างนึกทึ่ง สายตาเวลานี้
มองที่อาจารย์จารึกเต๋าทั้งสองจากตระกูลเจี้ยน
“แปดสิบเก้า นี่ทัดเทียมกับยันต์เต๋า!”
“น่ากลัวนัก! ด้วยไม่มีอักขระเต๋า กระนั้นยังสามารถสร้างยันต์ลึกล้ำ
ให้แข็งแกร่งทัดเทียมยันต์เต๋า!”
“หากสร้างยันต์เต๋า ถึงตอนนั้นคงยากจินตนาการออกแล้ว!”
“นี่คงสูงที่สุดแล้ว ช่างน่านับถือยิ่งนัก!”
บรรดาอาจารย์จารึกบนเวทีแข่งขันต่างประทับใจพร้อมกล่าวชมไม่
ขาด
สุดท้ายแล้วจึงเป็นคราวของเจี้ยนหลิงหลงซึ่งอยู่ท้ายแถว เพราะกลุ่ม
ของคนทั้งสองเสร็จช้าสุด ดังนั้นจึงต้องทดสอบเป็นกลุ่มสุดท้าย
การทดสอบก่อนหน้านี้ ระดับการสั่นไหวสูงสุดที่ปรากฏคือแปดสิบ
เก้า! นางทราบ ว่าอักขระที่ฉินหยุนแกะสลักไว้แข็งแกร่ง กระนั้น
นางก็คาดเดาว่าคงอยู่ที่ราวแปดสิบ ซึ่งนั่นเพียงพอให้ทั้งสองเข้าสู่
สิบอันดับแรกได้! เพราะมีเพียงหกกลุ่มที่สามารถสร้างระดับ
แรงสั่นสะเทือนที่ราวแปดสิบ!
เจี้ยนสือเทียนรับยันต์ลึกล้ำสีดำจากเจี้ยนหลิงหลง เขาพิจารณา
ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน เพราะเจี้ยนหลิงหลงครอบครองจารึกวิญญาณ
จ้าวเต๋า นางสามารถแกะสลักอักขระเต๋าได้ง่ายดายในระยะเวลาอัน
สั้น ไม่ช้า ผู้อาวุโสหลายคนต่างมาร่วมพิจารณายันต์นี้ร่วมกัน
ฉินหยุนใช้เคล็ดวิชาลับยามแกะสลักอักขระ สิ่งที่ผู้อื่นจะได้เห็น ก็
เพียงแต่ความยุ่งเหยิง คิดทราบว่าอักขระใดคงอยู่ที่ภายใน ถือเป็น
เรื่องยากอย่างยิ่ง
เจี้ยนหลิงหลงกล่าวออกด้วยโทสะเล็กน้อย “พวกเจ้าหน้าโง่ หวั่น
เกรงว่าข้าคิดโกงหรือ? ดวงตาพวกเจ้าล้วนมืดบอดกันแล้วหรือไร?
ผู้ที่แกะสลักอักขระคือเจ้าปีศาจน้อยนั่น หาได้ใช่ข้า!”
“ไม่เลย นี่ก็เพียงการระวังไว้ก่อน ยันต์แผ่นนี้หาได้มีปัญหาใดไม่!”
เจี้ยนสือเทียนเร่งรีบกล่าวพลางหัวเราะกลบเกลื่อน “ทดสอบกันได้!”
เพราะอักขระแกะสลักโดยเด็กหนุ่ม บรรดาอาจารย์จารึกเต๋าผู้อื่นต่าง
ลอบเหยียดหยามอยู่ภายใน
เจี้ยนหลิงหลงเดินออกห่าง กลับไปยืนข้างฉินหยุน และเวลานี้ ฉิน
หยุนก็ลอบกังวลอย่างยิ่ง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาผสมผสาน
ระหว่างอักขระโทเทม อักขระลึกล้ำ อักขระดวงดาว และอักขระ
จันทรา เขาไม่ทราบว่ามันสามารถสำเร็จได้ด้วยดีหรือไม่
เจี้ยนสือเทียนโยนแผ่นยันต์เข้าในหอคอย ถัดจากนั้น มันไม่คล้ายมี
สิ่งใดปรากฏ
“มีปัญหาหรือไร?” เจี้ยนสือเทียนขมวดคิ้ว
ฉินหยุนหัวใจเต้นแรง เขานึกว่าทำพลาด
ขณะที่อาจารย์จารึกผู้อื่นคิดอยากกล่าววาจาเย้ยหยัน ทันใดนี้ แรง
ระเบิดรุนแรงชวนตื่นตะลึงพลันบังเกิด หอคอยแตกออกเป็นเสี่ยง
อัคคีเพลิงจำนวนมากทะลักล้นออกมารุนแรง มันเข้าปกคลุมทั่วทั้ง
เวทีการแข่งขัน!
หอคอยระเบิดออกเป็นชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนประหนึ่งดวงดาวที่ร่วง
หล่นจากฟากฟ้า พวกมันกระจัดกระจายทั่วทิศปะทะกับม่านพลัง
ของเวทีแข่งขัน!
ทั่วทั้งเวทีแข่งขันคล้ายปรากฏสัตว์ร้ายอัคคีวิ่งพล่าน พวกมันเป็น
อัคคีเพลิงสีแดงเข้มที่รุนแรง! เสียงระเบิดร้องคำรามของอัคคีพิโรธ
มันเปรียบดังสัตว์ดุร้ายที่เขย่าพื้นโลกอย่างรุนแรงและดุดัน! อัคคี
เพลิงสีแดงส่องสว่างเจิดจ้าต่อที่นั่งผู้ชม ผู้คนต่างต้องรีบลุกขึ้นยืน
รับชมด้วยกายอันแข็งทื่อ!
อำนาจเช่นนี้ มันคือพลังของยันต์เต๋า!
นับว่าโชคยังดี เจี้ยนสือเทียนคือครึ่งเซียน และอาจารย์จารึกเต๋าหลาย
คนต่างอยู่ขอบเขตจักรพรรดิยุทธ์ พวกเขาตอบสนองรวดเร็วและเข้า
ทำการดับเปลวเพลิง! หลังเพลิงสงบ ผู้คนบนเวทีแข่งขันจึงมีแต่
เขม่าดำเผาไหม้เปรอะเปื้อน ใบหน้าพวกเขาล้วนเผยอาการตื่นตะลึง!
พื้นที่มีสภาพยุ่งเหยิง ก้อนอิฐหินขนาดใหญ่ที่ใช้สร้างพื้น เวลานี้มัน
แตกระแหงเพราะแรงสั่นไหวรุนแรง
หอคอยที่ซึ่งเป็นถึงอุปกรณ์เต๋า เวลานี้มันแตกออกเป็นเสี่ยงนับชิ้น
ไม่ถ้วนกระจัดกระจายทั่วทั้งเวที
ฉินหยุนถอยตัวไปซ่อนด้านหลังเจี้ยนหลิงหลง ทั้งยังจับเอวบางของ
นางเอาไว้แน่น กระทั่งตัวเขาเองยังหวาดกลัวต่อพลังอำนาจทำลาย
ล้างระดับนี้!

ตอนที่ 768 ร่วมสร้างยันต์
ฉินหยุนไม่คิดลงมือสังหารสัตว์อสูรดวงดาวหมาป่าสีดำ ชัดเจนว่า
มันเป็นการสิ้นเปลืองพลัง ยิ่งไปกว่านั้น พลังจิตของเขาอย่างไรแล้ว
ก็ไม่เทียบเท่าเจี้ยนหลิงหลง เขาจึงเพียงรับหน้าที่ขวางอุปกรณ์ลึกล้ำ
ผลึกแก้วของผู้อื่น
มู่เฟิงเร่งรีบส่งเสียงสื่อสารบอกต่อฉินหยุน “ฉินหยุน การกระทำเจ้า
อันตรายนัก มันจะกระตุ้นโทสะผู้คน!”
“ข้าย่อมไม่หวั่นเกรงใด! เหล่ามู่ อย่าได้เปิดโปงข้า!” ฉินหยุนกล่าว
ตอบกลับ
“วางใจเถอะ!” อุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้วของมู่เฟิงเองก็ถูกสกัดขัดขวาง
เอาไว้ และเขาก็หยุดดิ้นรนแล้วด้วย
กลุ่มอาจารย์จารึกทั้งหลายต่างเผยสีหน้าน่าเกลียด
“จ้าวสำนักดาบ เขาทำผิดกฎ!” หนึ่งในชายชราตะโกนขึ้นด้วยโทสะ
“ถูกต้อง มันกำลังขวางไม่ให้ผู้อื่นลงมือ!”
“เร่งรีบห้ามปรามมัน และเริ่มรอบที่สามใหม่!”
“เจ้าปีศาจน้อยนี้แปลกเกินไปแล้ว!”
“นี่มันแกะสลักอักขระประหลาดใดไปกันแน่?”
เจี้ยนสือเทียนเริ่มหารือกับผู้อาวุโสทั้งหลาย เพราะพวกเขาไม่คาดคิด
ว่าเรื่องราวเช่นนี้จะเกิดขึ้น
เจี้ยนหลิงหลงกล่าวคำขึ้น “กฎการแข่งขันไม่ได้กล่าว ว่าพวกเราไม่
อาจขวางผู้อื่น การกระทำนี้จึงไม่ขัดต่อกฎใด เพราะไม่มีกฎเช่นนี้คง
อยู่ตั้งแต่แรก!”
เจี้ยนสือเทียนปวดหัว เขาคิดไม่ออกว่าควรหาทางแก้เรื่องนี้อย่างไรดี
“เจ้าปีศาจน้อย จงเร่งรีบหยุดการกระทำเจ้า! ไม่อย่างนั้น ข้าจะหักขา
เจ้าและบดขยี้ระบบสืบพันธุ์เจ้า!” ชายชราตะโกนออกด้วยความ
กราดเกรี้ยว
“ตาเฒ่าเอ๋ย หากเจ้ามีความกล้า เช่นนั้นจงเข้ามา พวกเราจะได้เห็น
กันว่าผู้ใดจึงถูกบดขยี้กันแน่!” ฉินหยุนหัวเราะดัง “ตาเฒ่า ตาเฒ่า จง
เข้ามา จงเข้ามา”
อีกฝ่ายคือผู้อาวุโสของตระกูลเจี้ยน แม้โกรธเป็นล้นพ้น ทว่าเขาไม่
อาจลงมือ เพราะมันจะเป็นการสร้างความเสื่อมเสียแก่ตระกูลเจี้ยน
ยิ่งไปกว่านั้น เขาอาจถูกเจี้ยนหลิงหลงคิดชำระหนี้แค้น เมื่อครู่
เจี้ยนหลิงหลงเพิ่งจูบเด็กหนุ่มผู้นี้ไป หากลงมือ บางทีเจี้ยนหลิงหลง
อาจมาสำเร็จโทษตัวเขาถึงที่!
เจี้ยนหลิงหลงจัดการสัตว์อสูรดวงดาวหมาป่ าสีดำทั้งสิ้นสองพันตัว
โดยง่าย! ผู้คนเวลานี้ล้วนได้เห็น ว่าผลึกแก้วแกนกลางเหล่านั้น มัน
มีแต่คำ “เจี้ยนหลิงหลง” ปรากฏอยู่
เวลานี้เอง เจี้ยนหลิงหลงและฉินหยุนจึงก้าวทะยานขึ้นจากลำดับ
สุดท้ายสู่ลำดับที่หนึ่ง พวกเขาได้รับผลึกแก้วแกนกลางมาสองพัน
กับอีกเล็กน้อย ส่วนลำดับที่สอง มีกันเพียงแค่หนึ่งร้อยสามสิบ
เท่านั้น! ทั้งฉินหยุนและเจี้ยนหลิงหลงหาได้ใช้พลังจิตไปมากมาย
ทั้งสองยังคงมีเรี่ยวแรงประหนึ่งมังกรและพยัคฆ์ร้ายที่ดุดัน!
เจี้ยนสือเทียนใช้โอกาสนี้ประกาศกล่าว “ระหว่างควบคุมอุปกรณ์ลึก
ล้ำผลึกแก้วเพื่อสังหารสัตว์อสูรดวงดาว จะไม่สามารถตั้งใจเข้า
รบกวนผู้อื่นได้!”
ฉินหยุนถามขึ้น “อย่างนั้นแล้ว หากมีผู้ใดเผลอเข้าไปกระทบกระทั่ง
เข้า นั่นจะเป็นการขัดต่อกฎหรือไม่?”
เจี้ยนสือเทียนพยักหน้ารับและกล่าว “อย่างนั้นก็เรียกว่าเป็นการ
รบกวนโดยไม่เจตนา ความผันแปรทางพลังงานย่อมต้องมุ่งเน้นไปที่
สัตว์อสูรดวงดาว เรื่องนี้ข้าย่อมตรวจพบทราบได้!”
เจี้ยนหลิงหลงเข้ามาลูบไล้ใบหน้าหล่อเหลาของฉินหยุนพลางยิ้ม
กล่าว “นี่ไม่สำคัญ เหลืออีกเพียงสองรอบ พวกเราย่อมต้องได้รับ
อันดับหนึ่ง!”
อันดับหนึ่ง จะได้รับผลึกแก้วแกนกลางจำนวนหนึ่งหมื่นเป็นรางวัล
นี่ถือเป็นรางวัลใหญ่! จำนวนของผลึกแก้วแกนกลางมากมายระดับ
นี้ แม้เป็นบรรดาอาจารย์จารึกเต๋าเหล่านี้ ก็กล่าวว่ายากได้รับ และ
พวกมันยังมีประโยชน์มากมายมหาศาล
ฉินหยุนเผยยิ้มสดใสกล่าวตอบ “เป็นเช่นนั้น!”
บรรดาอาจารย์จารึกที่เย้ยหยันเจี้ยนหลิงหลงเมื่อครู่ เวลานี้ล้วนริษยา
พวกเขาไม่คิด ว่าเจี้ยนหลิงหลงจะร่วมมือกับเด็กหนุ่มผู้นั้นได้ดีเพียง
นี้
ทางด้านที่นั่งผู้รับชม หยางฉีเย่ว์ลอบมองทางเซี่ยวเสวียนฉิน สื่อชิง
เฉิง และสุ่ยเทียนสื่อ นางพบเห็นอาการจากคนทั้งสาม ดังนั้นจึงส่ง
เสียงสื่อสารถามไปยังเซี่ยวเสวียนฉิน “พี่เย่ว์ฉิน เด็กหนุ่มผู้นั้นคือ
เสี่ยวหยุน?”
“อา? เอ่อ… อืม… ใช่ เป็นเขา!” เซี่ยวเสวียนฉินไม่คาดคิด ว่าหยางฉี
เย่ว์พบเห็นง่ายดายเพียงนี้
“พวกเจ้า… เรื่องใหญ่เช่นเสี่ยวหยุนกลับมา เหตุใดไม่บอกให้ข้าได้
ทราบ!” หยางฉีเย่ว์ร้องตะโกนดังเข้าโสดประสาทเซี่ยวเสวียนฉิน
กระนั้น หัวใจนางกลับพองโตยินดีแทบแย่แล้ว
“พวกเราคิดว่าเจ้าจะเร่งรีบมาพบเขา หากออกห่างจากข้างกายท่าน
ยายหยุนเหยา เรื่องราวจะกลายเป็นอันตราย!” เซี่ยวเสวียนฉินเร่ง
ร้อนอธิบาย
“เขากลับมาก็ดีแล้ว! ทันทีที่ข้าได้เห็นสตรีเช่นหลิงหลงมีท่าทีโอน
อ่อนต่อเจ้าปีศาจน้อยนั่น ข้าก็ทราบแล้วว่าเรื่องราวไม่ถูกต้อง!”
หยางฉีเย่ว์ยิ้มกล่าว “ข้าไม่อาจไปพบเขาตอนนี้ได้ ทว่าเขาสามารถ
มาพบข้า!”
“กลับไปแล้วข้าจะบอกเขาให้!” เซี่ยวเสวียนฉินกล่าว
“เด็กน้อยเย่ว์เหม่ยทำเขาเป็นเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?” หยางฉีเย่ว์ยิ้มถาม
“ใช่ เย่ว์เหม่ยเองก็อยู่ที่นี่ ทว่าไม่ทราบแล้วว่านางไปซ่อนตัวที่ใด!”
เซี่ยวเสวียนฉินตอบกลับขณะหันมองรอบ
หยางฉีเย่ว์กังวลถึงฉินหยุนมาโดยตลอด เพราะวิกฤตครั้งใหญ่ได้มา
เยือนต่อเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ และตอนนี้ นางได้ทราบว่าฉิน
หยุนกลับมาอย่างปลอดภัย เรื่องราวมีแต่ทำให้นางโล่งใจได้มากขึ้น
เป็นล้นพ้น
รอบที่สี่กำลังจะเริ่มขึ้น!
ฉินหยุนควบคุมอุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้วเข้าโจมตีสัตว์อสูรดวงดาว
การโจมตีเป็นไปดังเช่นปกติ กระนั้น อุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้วของเขา
สามารถปลดปล่อยสายลมประหลาด มันสามารถพัดเอาพลังจิตของ
อุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้วผู้อื่นให้กระจายหาย
เช่นนี้ ยามเมื่ออาวุธลึกล้ำผลึกแก้วของเขาโจมตีสัตว์อสูรดวงดาว ใน
ละแวกใกล้เคียง พลังของผู้อื่นจะถูกลดทอนอย่างมหาศาล พวกเขา
จำเป็นต้องเพ่งการโจมตีหลายครั้งจึงเปิดผิวหนังสัตว์อสูรดวงดาว
อุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้วของเจี้ยนหลิงหลงหาได้รับผลกระทบใดยาม
เข้าใกล้อุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้วของฉินหยุนไม่ นางสามารถลงแรง
แข็งขันเต็มที่ เก็บเกี่ยวเอาชีวิตของหมาป่าสีดำฝูงใหญ่มาได้
ฉินหยุนและเจี้ยนหลิงหลงได้รับอันดับหนึ่งแน่นอนแล้ว กระนั้น
ทั้งสองก็ยังคงทำการสังหารสัตว์อสูรดวงดาวต่อเนื่อง นี่ก็เพราะ
เจี้ยนหลิงหลงคิดอยากระบายโทสะ! นางไม่คิดอยากให้บรรดา
อาจารย์จารึกเต๋าเฒ่าชราที่สูงส่งได้สำเร็จผลอันใด
ในการแข่งขันจารึก นางคิดอยากสำแดงศักยภาพอย่างสูงสุดออกมา
เพื่อเป็นการสั่นคลอนต่อบรรดาอาจารย์จารึกเต๋าที่มองเหยียดหยาม
ต่อนาง
ในรอบที่สี่ เจี้ยนหลิงหลงสังหารหมาป่ าสีดำไปได้กว่าหนึ่งพันตัว
อำนาจของอักขระเต๋าที่นางแกะสลักบนอุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้วถือว่า
อยู่ระดับชวนสะพรึง! เวลานี้ หาได้มีผู้ใดมองเหยียดต่อนางอีกไม่
ยอดฝีมือย่อมทราบ ว่าอาวุธที่ไร้ซึ่งอักขระใดแกะสลักนั้นไร้ค่าเพียง
ใด และยามที่อักขระเต๋าถูกแกะสลักที่ตัวอุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้ว
พลังอำนาจของมันจึงเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว!
อุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้วของเจี้ยนหลิงหลง สามารถปลดปล่อยร่าง
ดาบจำแลงผ่านอักขระเต๋า กระทั่งพลังจิตยังต้องเพิ่มพูนขึ้นหลายเท่า
ตัวนางเวลานี้จึงสามารถเก็บเกี่ยวชีวิตหมาป่ าสีดำฝูงใหญ่ได้ง่ายดาย
รอบที่ห้าไม่มีอันใดผิดคาด เจี้ยนหลิงหลงสังหารฝูงใหญ่ได้อีกครั้ง
คราหนึ่ง
การแข่งขันล่าสัตว์อสูรดวงดาวจบสิ้นลงแล้ว!
อันดับหนึ่งตกเป็นของเจี้ยนหลิงหลงและฉินหยุน กลุ่มของทั้งสอง
คนล่าสัตว์อสูรดวงดาวหมาป่ าสีดำมาได้กว่าสี่พันตัว! อันดับที่สอง
หากเทียบก็น่าเวทนานัก พวกเขาได้เพียงกว่าสี่ร้อยตัว ความแตกต่าง
ถึงกับมากมายนับสิบเท่า!
เป็นที่ทราบกันว่า กลุ่มของอันดับที่สองเป็นอาจารย์จารึกเต๋าของตระกูล
เจี้ยนผู้มีชื่อเสียงมากล้ำ! พวกเขาพ่ายแพ้ต่อเจี้ยนหลิงหลงด้วยความ
แตกต่างอันมหาศาล เช่นนี้ผู้คนเพียงคิด ย่อมทราบว่าสีหน้าพวกเขา
จะน่าเกลียดเพียงใด!
เจี้ยนหลิงหลงยินดีเป็นที่สุด นางหัวเราะกล่าว “พวกเราได้อันดับ
หนึ่ง! เร่งรีบนำรางวัลของพวกเราออกมา!”
เจี้ยนสือเทียนยิ้มกล่าว “เจ้าช่างเหมาะสมเป็นศิษย์ของตระกูลเจี้ยน
เรา ด้วยความเลิศล้ำนั้น นี่คือรางวัล”
เจี้ยนหลิงหลงรับกระเป๋ ามิติเก็บของมา จากนั้นจึงโยนให้แก่ฉินหยุน
นางกล่าว “เจ้าปีศาจน้อย นี่ให้เจ้า พี่สาวผู้นี้หาได้ต้องการใช้ของ
เล็กน้อยพวกนี้ไม่!”
ฉินหยุนรับกระเป๋ ามิติเก็บของพลางหัวเราะอย่างมีเลศนัย จากนั้นจึง
เก็บมันไป หลายผู้คนต่างริษยากันอย่างไม่รู้จบสิ้น! ถึงกับได้รับผลึก
แก้วแกนกลางจำนวนหนึ่งหมื่นก้อนง่ายดายเพียงนี้ มันถือเป็นสมบัติ
หล่นทับก็ไม่ปาน!
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น จึงเป็นการแข่งขันจารึกรอบที่สาม และช่วงบ่าย จึง
เป็นรอบที่สี่!
ฉินหยุนคิดเร่งรีบฝึกฝน ดังนั้น เขาจึงเร่งรีบตามเซี่ยวเย่ว์เหม่ยกลับสู่
ห้องชุดของตำหนักจารึกเทวะ เซี่ยวเสวียนฉินและผู้อื่นต่างติดตาม
มาภายหลังในระยะเวลาไม่ห่างกันมากนัก
ฟ้ามืด ฉินหยุนและสตรีทั้งหลายฝึกฝนร่วมกัน พลังงานจากผลึกแก้ว
แกนกลางสัตว์อสูรดวงดาว เวลานี้ถูกสูบกลืนอย่างรวดเร็ว
“พี่หยางช่างยอดเยี่ยม ถึงขั้นมองท่านออกในระยะเวลาอันน้อยนิด!”
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว “นี่ต้องเป็นเพราะพี่หลิงหลงเผยท่าทีต่อท่านมาก
เกินไป!”
“ข้าจะยังไม่ไปพบพี่หยางเป็นการชั่วคราว ข้าต้องใช้เวลาที่มีฝึกฝน
ให้ดี ก่อนที่งานประลองยุทธ์จะเริ่มขึ้น ข้าต้องฝึกฝนแก่นเต๋าลึกล้ำ
และก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำให้ได้!” ฉินหยุนกล่าว
“ได้ ข้าจะบอกต่อนางให้ นางย่อมต้องเข้าใจอย่างแน่นอน” เซี่ยว
เสวียนฉินรับคำ
“ป้าเซี่ยว ครั้งหน้ามาที่นี่ พาพี่สาวจิ้งจอกร่วมทางมาด้วย ดูกันว่านาง
สามารถฝึกฝนร่วมกับข้าได้หรือไม่!” ฉินหยุนกล่าว
“พี่ชาย ข้าไม่นึก ว่าท่านจะถึงขั้นมีสัมพันธ์ทางลับกับพี่สาวจิ้งจอก!”
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยเผยยิ้มซุกซน
“อย่าได้กล่าววาจาไร้สาระ! พวกเราเป็นสหายต่อกัน ทั้งยังร่วมมือ
ต่อกันมาหลายครั้งคราแล้ว!” ฉินหยุนเร่งรีบอธิบาย
เรื่องนี้ทำเอาสุ่ยเทียนสื่อและผู้อื่นต่างหัวเราะร่วน
ฉินหยุนและสตรีทั้งหลายได้ฝึกฝนกันตลอดทั้งค่ำคืน ผลึกแก้วเต๋า
วิญญาณลึกล้ำของเขาตอนนี้ใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อย ด้วยความเร็วระดับ
นี้ อีกเพียงไม่กี่วันเขาสมควรต้องเลื่อนระดับพลังได้
วันถัดมา ฉินหยุนมาถึงที่คฤหาสน์เซียนดาบแต่เช้า เจี้ยนหลิงหลงได้
ไปยืนบนเวทีแข่งขันรอฉินหยุนอยู่ก่อนแล้ว
“ฉินหยุน เหตุใดเจ้ายังไม่ถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ?” เจี้ยนหลิงหลง
เอ่ยถามผ่านเสียงสื่อสาร
ฉินหยุนได้แต่ต้องอธิบายเรื่องเดิม ถึงเวลาของเขาที่หายไประหว่าง
เดินทางผ่านช่องว่างกาลอวกาศ
“หลังการแข่งขันจารึกจบ ข้าจะช่วยเจ้าหาผลึกแก้วแกนกลางมาให้
เจ้าจะได้เลื่อนระดับโดยเร็ว!” เจี้ยนหลิงหลงกล่าว
“ขอบคุณพี่สาวหลิงหลงแล้ว!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว
บรรดาอาจารย์จารึกที่เข้าแข่งขัน รวมถึงผู้ชม เวลานี้ต่างเริ่มมาถึง
วันนี้เหลืออยู่เพียงสามสิบกลุ่ม หรือก็คือหกสิบคน มู่เฟิงยังอยู่ที่นี่
เขายังไม่ถูกคัดออกไป
เจี้ยนสือเทียนกล่าวคำขึ้น “การแข่งขันรอบถัดจากนี้ คือการสร้าง
ยันต์ลึกล้ำ ยันต์ใดล้วนสามารถสร้าง ทราบเท่าที่มันเผยพลังอันเลิศ
ล้ำออกมาถือว่าเป็นใช้ได้!”
เขานำเอาหอคอยขนาดเล็กออกมาและกล่าว “หลังเสร็จงานสร้าง
ยันต์ ให้ใส่มันที่ในหอคอยนี้และเผยพลังอำนาจออก ตราบเท่าที่มี
กำลังแข็งแกร่งพอ หอคอยนี้จะสั่นไหว ระดับการสั่นไหวมีทั้งสิ้น
หนึ่งร้อยระดับ และสิบกลุ่มที่ได้ระดับสูงสุดจึงค่อยเข้าสู่รอบ
ถัดไป!”
“แกะสลักได้แต่อักขระลึกล้ำอย่างนั้นหรือ?” เจี้ยนหลิงหลงขมวดคิ้ว
กล่าว
“อักขระเต๋าไม่อาจใช้งาน เช่นกัน หากมีความสามารถ อักขระดวงดาว
และจันทราสามารถใช้งาน หลังจากที่ยันต์ลึกล้ำถูกสร้างขึ้น มัน
จะต้องถูกส่งเข้าทดสอบ หากมีการตรวจพบอักขระเต๋าใด เมื่อนั้นจะ
ถือว่าหมดสิทธ์ิ!” เจี้ยนสือเทียนกล่าว
เรื่องนี้สร้างความผ่อนคลายแก่อาจารย์จารึกทั้งหลายอย่างมหาศาล!
เพราะเจี้ยนหลิงหลงครอบครองจารึกวิญญาณจ้าวเต๋า เวลานี้แรง
กดดันจากนางจะไม่ส่งผลกระทบต่อพวกเขาแล้ว!
เจี้ยนหลิงหลงกล่าวถามอีกครั้ง “อักขระโทเทมแกะสลักได้หรือไม่?”
เจี้ยนสือเทียนเผยยิ้ม “ย่อมทำได้! ทว่ามันคงต้องใช้เวลายาวนาน
ตราบเท่าที่ทำได้สำเร็จทันเวลาที่กำหนด เช่นนั้นทำอะไรล้วนทำได้!
ตราบเท่าที่ไม่ใช้อักขระเต๋า ทั้งหมดล้วนเป็นไปได้!”
เจี้ยนหลิงหลงผ่อนคลายได้มาก เพราะฉินหยุนครอบครองโทเทม
มากมาย และส่วนใหญ่เป็นโทเทมสัตว์
“ระยะเวลาจำกัดคือสามชั่วยาม!” เจี้ยนสือเทียนนำนาฬิกาทรายออกมา
“เริ่มกันได้!”
งานเมื่อเริ่ม เจี้ยนหลิงหลงจึงส่งเสียงสื่อสารหาฉินหยุน “ข้าจะทำ
กระดาษยันต์ เจ้าแกะสลักอักขระ เจ้าเลือกได้หรือยังว่าคิดแกะสลัก
อักขระใด?”
“ให้ข้าร่วมทำกระดาษยันต์ด้วย ไม่อย่างนั้นข้าคงเบื่อแทบตายแล้ว!”
ฉินหยุนยิ้มกล่าว
ส่วนว่าเขาคิดแกะสลักอักขระใด ฉินหยุนยังไม่ได้ตัดสินใจ เขาเซี่ยว
ชาญอักขระที่ดีมากมาย กระนั้น เขายังไม่อาจตัดสินใจว่าจะใช้ส่วน
ผสมใด!
ผู้อื่นเริ่มยุ่งกับงาน พวกเขาต่างสร้างกระดาษยันต์ด้วยกัน ส่วนเรื่อง
อักขระที่คิดแกะสลัก พวกเขาต่างหารือกันทางลับผ่านเสียงสื่อสาร

ตอนที่ 767 จันทราชักนำและดวงดาวสายลม
ได้ทราบว่าสามารถแกะสลักอักขระ สีหน้าของบรรดาอาจารย์จารึก
ต่างผ่อนคลายได้มาก
“แล้วมีเวลาเพียงใดให้พวกเราแกะสลักมัน?” อาจารย์จารึกเต๋าวัย
กลางคนกล่าวถาม
“ข้าจะปล่อยฝูงสัตว์อสูรดวงดาวในทันที หลังทำการสังหารพวกมัน
ได้ จึงเป็นช่วงเวลาครึ่งชั่วยามที่จะเว้นไป ก่อนข้าจะปลดปล่อยฝูง
สัตว์อสูรดวงดาวอีกครั้งหนึ่ง”
“ระยะเวลาครึ่งชั่วยามถือเป็นการพักในตัว กระนั้น ก็ขึ้นอยู่กับผู้
แข่งขันว่าคิดอยากพักหรือแกะสลักอักขระ!” เจี้ยนสือเทียนกล่าว
สีหน้ายินดีของบรรดาอาจารย์จารึกพลันเลือนหาย เพราะระยะเวลา
เท่านั้น มันไม่พอให้พวกเขาได้แกะสลักอักขระ
ฉินหยุนและเจี้ยนหลิงหลงต่างมองกันเอง พลางสนทนาผ่านเสียง
สื่อสาร
“พวกเราสังหารชุดแรกก่อน จากนั้นจึงค่อยแกะสลักอักขระ!” เจี้ยน
หลิงหลงกล่าว
“ตามนั้น!” ฉินหยุนก็คิดเช่นเดียวกับเจี้ยนหลิงหลง
ฉินหยุนยังไม่อาจตัดสินใจได้ ว่าตนเองควรแกะสลักอักขระใด เขา
คิดต้องการทราบสถานการณ์ก่อน
เจี้ยนสือเทียนบินขึ้นฟ้า อาจารย์จารึกทั้งหลายต่างกระทำเช่นเดียวกัน
พวกเขาควบคุมอาวุธลึกล้ำผลึกแก้วจากด้านบนนั้น พร้อมเข้าสังหาร
สัตว์อสูรดวงดาว
“ข้าจะปลดปล่อยสัตว์อสูรดวงดาวแล้ว!” เจี้ยนสือเทียนตะโกน เขา
โยนหอคอยของตนออก มันเริ่มขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็ว
อย่างกะทันหัน พื้นแผ่นดินพลันสั่นไหว ฝูงสัตว์อสูรดวงดาวได้ร่วง
หล่นจากส่วนล่างของหอคอย มันราวกับน้ำตกสีดำสนิท ฝูงสัตว์
อสูรดวงดาวเหล่านี้เป็นหมาป่ า ขนาดตัวพวกมันราวกระทิงโตเต็ม
วัย กล่าวได้ว่าเป็นสัตว์อสูรดวงดาวร่างเล็ก ไม่ช้า เวทีการแข่งขัน
เบื้องล่างจึงกลายเป็นสถานที่อัดแน่นด้วยหมาป่ าสีดำฝูงใหญ่
เวลานี้ บรรดาอาจารย์จารึกต่างควบคุมอุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้วของ
ตนเอง บุกเข้าโจมตีใส่ฝูงหมาป่ าสีดำที่เบื้องล่าง
ฉินหยุนใช้งานเคล็ดวิชาเทวะควบคุมต่ออุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้ว ที่
เขาได้รับคือกระบี่ยาว ภายใต้เขาควบคุม มันจึงบินเร็วรี่เข้าสับฟันใส่
ร่างหมาป่ าสีดำเหล่านั้น
อาจารย์จารึกส่วนใหญ่ที่นี่ ต่างเป็นราชันยุทธ์และจักรพรรดิยุทธ์
กระนั้น ยามเมื่อใช้พลังจิตควบคุมอุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้ว พวกเขาไม่
อาจทำได้ดีทัดเทียมฉินหยุน อย่างดีที่สุด พวกเขาก็เพียงมีพลังจิต
ระดับหนึ่ง และหากนำมาเทียบเปรียบ พลังจิตของพวกเขาแทบไม่
ต่างอะไรกับฉินหยุน
หมาป่ าสีดำไม่ใช่ง่ายสังหาร เพราะอุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้วมีกำลังไม่
เพียงพอ บางครั้ง พวกมันก็ไม่อาจเฉือนหั่นเข้าถึงผิวหนังหมาป่ าได้
ที่ทำได้ ก็ต้องผ่านการสับฟันหลายต่อหลายครั้ง หลังเฉือนทะลวง
ผ่านชั้นผิวหนังหมาป่ าสีดำ อุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้วจึงค่อยโจมตีใส่
ร่างหมาป่าสีดำ
ถัดจากนั้น อุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้วจะถ่ายเทพลังจิตปริมาณมหาศาล
สู่ร่างหมาป่ าสีดำ พร้อมตราชื่อเอาไว้ภายในผลึกแก้วแกนกลาง
ขั้นตอนทั้งหมดค่อนข้างซับซ้อน หากไม่ทำอย่างถูกต้อง นามนั้นจะ
ไม่อาจปรากฏที่ผลึกแก้วแกนกลางในช่วงเวลาที่สังหารพวกมันได้
ฉินหยุนเองก็รู้สึก ว่าการทำเช่นนี้ค่อนข้างสิ้นเปลืองพลัง ทว่า เพื่อให้
ได้รับอันดับหนึ่ง เขาต้องลงแรงอย่างเต็มที่ รางวัลคือผลึกแก้วแกน
กลางจำนวนหนึ่งหมื่น หากเขาได้รับ อย่างนั้นมันจะช่วยเหลือตัวเขา
มหาศาล
เจี้ยนหลิงหลงมีพลังจิตเลิศล้ำเช่นเดียวกัน จำนวนของสัตว์อสูร
ดวงดาวหมาป่าสีดำที่นางสังหารได้ แทบไม่น้อยหน้าไปกว่าอาจารย์
จารึกเต๋าผู้ใด ฉินหยุนย่อมถูกนำหน้า อย่างไรแล้วเขาก็ยังไม่ก้าวถึง
ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ ตอนนี้เขาเพียงปรารถนาที่จะก้าวสู่ระดับ
ถัดไปโดยเร็ว หากได้ฝึกฝนแก่นเต๋าลึกล้ำ พลังจิตของเขาย่อม
เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
สุดท้ายแล้ว กว่าครึ่งชั่วยามได้ผ่านพ้น สัตว์อสูรดวงดาวสองพันตัว
ถูกสังหารสิ้น เจี้ยนสือเทียนนำคนเข้ามาเก็บรวบรวมผลึกแก้ว
แกนกลาง เริ่มนับจำนวน บรรดาอาจารย์จารึกเริ่มไปพัก แทบไม่มี
ผู้ใดลงมือแกะสลัก มีเพียงแต่ฉินหยุนและเจี้ยนหลิงหลงที่แกะสลัก
อักขระ
บรรดาอาจารย์จารึกเต๋าต่างคิด ว่าไม่มีเหตุผลใดต้องลงแรงแกะสลัก
อักขระ เพราะเวลามีน้อยเกินไป และก่อนหน้า พวกเขาได้สังหาร
หมาป่าไปหลายต่อหลายตัว พลังจิตจำนวนมหาศาลถูกใช้งาน หาก
ยังต้องแกะสลักอักขระบนอุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้ว อย่างนั้นพวกเขาก็
ต้องสูญเสียพลังจิตเพิ่ม เวลาพักมีเพียงครึ่งชั่วยาม ด้วยเวลาเพียง
เท่านั้น พวกเขาไม่มีทางแกะสลักอักขระใดที่ดีออกมาได้แน่
สำหรับฉินหยุนและเจี้ยนหลิงหลง ครึ่งชั่วยามกล่าวได้ว่ากระชั้นชิด
เพราะพวกเขาเองก็ต้องการพัก ฉินหยุนคิดอยากแกะสลักอักขระที่ดี
เขาต้องการแกะสลักอักขระสองประเภท หนึ่งคืออักขระจันทรา
นามว่าอักขระจันทราชักนำ มันสามารถดึงสิ่งของจากผู้อื่นได้ และ
อย่างที่สอง คืออักขระดวงดาวนามว่า อักขระดวงดาวสายลม มัน
สามารถสร้างสายลมที่สลายพลังจิต
อักขระเหล่านี้เขาได้รับจากประตูจารึก ฉินหยุนครอบครองจารึก
วิญญาณจ้าวดวงดาวและนายหญิงจันทรา ดังนั้นแล้ว เขาจึงสามารถ
แกะสลักอักขระเหล่านี้ได้ในเวลาอันสั้น เจี้ยนหลิงหลงแกะสลัก
อักขระเต๋า พวกมันมีอำนาจแข็งแกร่งไม่ยิ่งหย่อน
หลายคนต่างได้เห็นฉินหยุนและเจี้ยนหลิงหลงขะมักเขม้นแกะสลัก
อักขระ พวกเขาต้องเผยความอึ้งทึ่ง เพราะก่อนหน้า เจี้ยนหลงหลิงมี
ท่าทีคิดอยากสังหารเด็กหนุ่มผู้นั้นปานจะขาดใจ กระนั้นตอนนี้
คล้ายทั้งสองไปด้วยกันได้ดี
เจี้ยนสือเทียนเริ่มประกาศจำนวนนับผลึกแก้วแกนกลางในรอบแรก
กลุ่มของฉินหยุนและเจี้ยนหลิงหลง ได้ผลึกแก้วแกนกลางสามสิบ
ห้าก้อน ฉินหยุนได้รับสิบ และเจี้ยนหลิงหลงได้รับยี่สิบห้า ความ
แตกต่างกระจ่างชัด กลุ่มอื่นที่คะแนนสูงที่สุดคือหกสิบก้อน พวก
เขาคือกลุ่มอาจารย์จารึกเต๋าจากตระกูลเจี้ยนทั้งสองคน
ครึ่งชั่วยามผ่านพ้นในพริบตา! เจี้ยนสือเทียนเริ่มปล่อยฝูงสัตว์อสูร
ดวงดาวอีกกลุ่มหนึ่ง การล่าล้างสังหารรอบที่สองเริ่มขึ้น ทันทีเมื่อ
เริ่ม ผู้คนต่างต้องร้องออกอย่างตื่นตะลึงต่อเรื่องราวที่เผยตรงหน้า
ฉินหยุนและเจี้ยนหลิงหลงไม่ลงมือใด ทั้งสองยังคงแกะสลักอักขระ
บนอุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้ว นี่คือสิ่งที่ฉินหยุนและเจี้ยนหลิงหลงเห็น
พ้องต้องกัน ไม่เพียงแต่คิดอยากแกะสลักอักขระที่ดี พวกเขายัง
ต้องการพักผ่อนอย่างเพียงพอเพื่อฟื้นฟูพลังจิตด้วย ดังนั้นแล้ว ทั้ง
สองจึงตัดสินใจไม่ลงมือใดในรอบที่สอง!
“พี่สาวหลิงหลง รอบที่สามท่านรับหน้าที่สังหาร ข้าจะรับหน้าที่
สกัดผู้อื่นเอาไว้เอง ฮ่าฮ่าฮ่า!” ฉินหยุนส่งเสียงสื่อสารบอกต่อเจี้ยน
หลิงหลง
“ย่อมได้ เพราะอย่างไรกฎก็ไม่ได้กล่าวว่าพวกเราไม่อาจขวางทาง
ผู้อื่น!” เจี้ยนหลิงหลงกล่าวตอบ
รอบที่สองสิ้นสุดลงแล้ว
แม้เจี้ยนหลิงหลงและฉินหยุนเข้าร่วม อย่างดีที่สุด พวกเขาคงได้รับ
ราวสามสิบผลึกแก้ว ดังนั้น อาจารย์จารึกผู้อื่นจึงไม่ใส่ใจแต่อย่างใด
ต่อเรื่องที่คนทั้งสองไม่เข้าร่วม ชัดเจนว่าหลังผ่านพ้นรอบที่สอง ฉิน
หยุนและเจี้ยนหลิงหลงจึงมีอันดับรั้งท้าย ตกอยู่อันดับที่ห้าสิบ
“ต่อให้แกะสลักอักขระที่ดีออกมาได้ แล้วจะยังใช้งานอันใด? อย่างดี
ก็แค่สังหารสัตว์อสูรดวงดาวได้มากขึ้นเล็กน้อย!”
“เป็นเช่นนั้น ช่างโง่เขลานัก! นี่ต้องเป็นความคิดของเจี้ยนหลิงหลง
เป็นแน่!”
“สตรีก็เป็นเช่นนี้ ไว้ผมยาว ทว่าความคิดตื้นเขิน!”
กลุ่มอาจารย์จารึกต่างเริ่มทำการเย้ยหยันต่อเจี้ยนหลิงหลงจากระยะไกล
ฉินหยุนพอได้ยิน เขามีโทสะโกรธแค้นแทนเจี้ยนหลิงหลง เขากล่าว
คำออก “พวกเจ้าตาเฒ่าโอหังอวดดี รอสักประเดี๋ยว ไม่ช้าพวกเราจะ
ให้พวกเจ้าได้ทราบ ว่าผู้ใดกันที่มีความคิดตื้นเขิน!”
“โอ้ เจ้าปีศาจน้อย เจ้ากำลังคิดสวมบทวีรบุรุษปกป้องบุปผาอย่างนั้น
หรือ?” หนึ่งในชายวัยกลางคนระเบิดเสียงหัวเราะดังออก “เจ้าปีศาจ
น้อยเอ๋ย ตัวเจ้ายังมีกลิ่นนมแม่ติดอยู่ที่ปากด้วยซ้ำ กระนั้นกลับคิด
อยากเอาใจเจี้ยนหลิงหลงอย่างนั้นหรือ?”
“หรือมันไม่ทราบว่าเจี้ยนหลิงหลงอารมณ์ร้ายเพียงใด? นางมีชื่อเสียง
เป็นสตรีภูเขาไฟอันโด่งดัง!” หนึ่งในกลุ่มอาจารย์จารึกเต๋าตระกูล
เจี้ยนกล่าวคำขึ้น
“เจ้าปีศาจน้อย ตัวเจ้าคิดอยากปกป้องเจี้ยนหลิงหลง กระนั้นนางหา
ได้มีเมตตาโอบอ้อมใดแก่เจ้าไม่ นี่ไม่คิดรู้สึกว่าน่าละอายบ้างเลย
หรือไร?” อาจารย์จารึกวัยกลางคนอีกหนึ่งคนแค่นเสียงกล่าวคำดัง
เจี้ยนหลิงหลงจึงแค่นเสียงดังขึ้น พร้อมขยับเข้ามาข้างกายฉินหยุน
ก่อนจะจูบที่ริมฝีปาก นางกล่าวคำดัง “ข้าย่อมมีความโอบอ้อม พวก
เจ้ายังจะกล่าวอันใด?”
สีหน้าอาจารย์จารึกวัยกลางคนนิ่งค้าง ใบหน้านั้นคล้ายเพิ่งกลืนยา
ขมที่สุดในชีวิตเข้าไป!
ต่อหน้าผู้คนนับแสนที่นี่ เจี้ยนหลิงหลงถึงขั้นกล้าจูบเด็กหนุ่มที่
ตรงหน้า! เรื่องนี้เป็นผลให้หลายผู้คนต่างต้องเผยสีหน้างงงันกันสุด
ขั้วหัวใจ ผู้คนตระกูลเจี้ยนที่รู้จักเจี้ยนหลิงหลงเป็นอย่างดี เวลานี้
พวกเขาคือผู้ตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด เรื่องราวที่เกิดขึ้นยากเกินเชื่อได้
ว่าสตรีดุร้ายร้อนแรงเช่นเจี้ยนหลิงหลง จะถึงขั้นเปิดเผยถึงเพียงนี้!
ฉินหยุนเองก็ไม่คิด ว่าเจี้ยนหลิงหลงจะจูบที่ริมฝีปากเขาเช่นนี้!
ตอนนี้เอง กลุ่มคนตระกูลเจี้ยนต่างคิด ว่าเจี้ยนหลิงหลงกระทำไปก็
เพราะความโกรธ!
เจี้ยนหลิงหลงแกะสลักอักขระที่ดีไปบ้าง นางโบกอุปกรณ์ลึกล้ำ
ผลึกแก้วในมือพลางยิ้มภาคภูมิกล่าวคำ “พวกเราย่อมต้องได้รับ
อันดับหนึ่ง ข้าได้แกะสลักอักขระเต๋าที่อุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้วของข้า
พวกเจ้าจงรอรับชม!”
“หลิงหลง เท่าที่ข้าทราบ เจ้าไม่คล้ายมีอักขระเต๋าที่ดีอันใด โดยเฉพาะ
กับอักขระเต๋าที่เพิ่มพูนพลังจิต!” อาจารย์จารึกเต๋าชราจากตระกูล
เจี้ยนแค่นเสียงขึ้นจมูก
“เหอะ พวกเราย่อมไม่หวาดกลัวเจ้า” ชายวัยกลางคนตระกูลเจี้ยนอีก
หนึ่งหัวเราะดัง
“หลิงหลง เจ้าควรยอมรับความผิดพลาด และกลับมาช่วยงานพวก
เราแกะสลักเส้นสว่าง!”
เจี้ยนหลิงหลงหาได้โกรธใดไม่ กลับกัน นางเผยยิ้มบาง “พวกเจ้าคิด
ว่านครเซียนยุทธภัณฑ์ถี่เหนียวเช่นพวกเจ้างั้นหรือ? พวกเขามอบ
อักขระเต๋าที่ดีแก่ข้ามากมายนัก!”
เรื่องนี้เป็นความจริง เพราะปิงชิงส่งคำสั่งออกไป ว่าให้มอบความสำคัญ
แก่เจี้ยนหลิงหลง ดังนั้นแล้ว อาจารย์จารึกเต๋าของนครเซียนยุทธภัณฑ์
จึงส่งมอบอักขระเต๋าที่ดีให้แก่เจี้ยนหลิงหลงเป็นของกำนัล!
บรรดาอาจารย์จารึกเต๋าตระกูลเจี้ยนต่างต้องทึ่ง! พวกเขาคิด ว่าหลัง
ไปยังนครเซียนยุทธภัณฑ์ เจี้ยนหลิงหลงก็ยังจะได้รับแต่งานแกะสลัก
เส้นสว่าง เป็นพวกเขาไม่คาดคิด ว่าอาจารย์จารึกเต๋าของนครเซียน
ยุทธภัณฑ์ จะถึงขั้นส่งมอบอักขระเต๋าที่ล้ำค่าให้แก่เจี้ยนหลิงหลง!
ช่วงเวลาพักผันผ่านอย่างรวดเร็ว
ผู้คนเวลานี้มีแรงใจพร้อมออกศึกอีกครั้ง พวกเขาเหล่านี้ล้วนคาดหวัง
ถึงรอบที่สาม เพราะในรอบที่สาม เจี้ยนหลิงหลงย่อมลงมือ นอกจาก
นี้ นางยังได้แกะสลักอักขระเต๋าไว้ที่อุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้ว!
ยอดฝีมือทั้งหลายต่างคาดหวังได้เห็นศักยภาพเลิศล้ำจากเจี้ยนหลิง
หลง เด็กหนุ่มเช่นฉินหยุนถูกเมินเฉยอย่างสมบูรณ์ เพราะเจี้ยนหลิง
หลงครอบครองจารึกวิญญาณจ้าวเต๋า นางสามารถแกะสลักอักขระ
เต๋าที่ดีในระยะเวลาอันสั้น
เพียงเรื่องดังกล่าว ก็มากพอให้ผู้คนต่างเชื่อ ว่าอุปกรณ์ลึกล้ำผลึก
แก้วของนางแข็งแกร่งขึ้นมาก และของเด็กหนุ่มนาม “เชี่ยวหยุน”
อย่างดีก็คงเป็นอักขระวิญญาณทั่วไป ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจเขา
แม้แต่น้อย
หากกล่าวถึงความยาก อย่างนั้นอักขระดวงดาวและจันทราที่ฉินหยุน
แกะสลักจึงยากที่สุดแล้ว ดังนั้น อุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้วของเขาจึง
แข็งแกร่งมากล้ำ
เจี้ยนสือเทียนปลดปล่อยสัตว์อสูรดวงดาวหมาป่ าสีดำออกมาอีกสอง
พันตัว
“เริ่มได้!” เจี้ยนสือเทียนประกาศดัง บรรดาอาจารย์จารึกต่างลงมือ
ปลดปล่อยอุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้วของตนอย่างพร้อมเพรียง
อุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้วของเจี้ยนหลิงหลงและฉินหยุน ย่อมร่วมทาง
บินไปในครั้งนี้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันยังเผยแสงสว่างไสว นี่
เป็นผลมาจากอักขระที่แกะสลักไว้บนตัวอุปกรณ์
เรื่องราวที่น่าทึ่งยิ่งกว่า คืออุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้วของฉินหยุนไม่ได้
มุ่งตรงสังหารสัตว์อสูรดวงดาว กลับกัน มันหมุนวนกลับขึ้นสู่พื้นที่
สูง! ระหว่างการหมุนวน มันได้ปลดปล่อยพลังการชักนำ ก่อนจะ
บังคับนำเอาอุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้วผู้อื่นเข้ามาใกล้ โดยจะยกเว้นไว้
เพียงแต่อุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้วของเจี้ยนหลิงหลง ส่วนของผู้อื่นนั้น
ราวกับพวกมันถูกจับเอาไว้พร้อมเคลื่อนเข้าหาฉินหยุนจนนิ่งค้าง
อาจารย์จารึกหลายต่อหลายคนต่างมองกันเองราวผู้โง่งม! บรรดา
อาจารย์จารึกต่างสบถก่นด่าอย่างโกรธแค้น! ถัดจากนั้น พวกเขาจึง
เร่งร้อนพยายามควบคุมอุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้วของตนกลับคืน ทว่า
มันไม่อาจทำได้สำเร็จ!
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!
อุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้วของเจี้ยนหลิงหลงสร้างความน่าทึ่ง มันระเบิด
เอาคลื่นพลังก่อเกิดเป็นร่างดาบ เหล่านี้คือพลังจิตที่แปรเปลี่ยนเป็น
ภาพจำแลง พวกมันทะยานเข้าสู่ตัวของสัตว์อสูรดวงดาวหมาป่าสีดำ
ก่อนจะเข้าสังหารพวกมันจำนวนมากไปในเวลาอันสั้น!
ฝูงชนที่รับชมต่างเริ่มพูดคุยกันเสียงดัง บ้างก็สบถต่อกลุ่มของเจี้ยน
หลิงหลงที่ก่อการไร้ยางอาย บ้างก็ต้องทึ่งยามได้เห็นพลังอันแปลก
ประหลาดของอักขระที่ถูกแกะสลักลงไป

ตอนที่ 766 พลังจิตอีกครั้ง
ฉินหยุนที่ได้ยินคำของสุ่ยเทียนสื่อ จึงหันมองทางเซี่ยวเสวียนฉิน
ด้วยความสงสัย
เซี่ยวเสวียนฉินกล่าว “การฝึกฝนด้วยสระเซียนให้ผลลัพธ์ดีเยี่ยมที่สุด
จริง กระนั้น พวกเราไม่มีสระเซียน ดังนั้นจึงอย่าได้คิดไป กระทั่งว่า
มีสระเซียน พวกเราก็ยังต้องปลดเสื้อผ้าก่อนจะลงไปแช่เพื่อฝึกฝน
ร่วม”
“หลังการแข่งขันจารึกจบสิ้น ข้าสามารถสร้างสระเซียนขึ้นมาได้!”
ฉินหยุนครอบครองสองต้นกำเนิดเซียน ดังนั้นจึงเป็นผู้ที่สามารถ
สร้างสระเซียนได้
“หากพวกเรามีสระเซียน อย่างนั้นใส่ชุดลงไปแช่คงไม่สะดวกสัก
เท่าใด!” สุ่ยเทียนสื่อเผยยิ้มบาง
“หากเจ้าไม่คิดสวมใส่ เช่นนั้นก็อย่าได้สวมใส่!” เซี่ยวเสวียนฉิน
แค่นเสียงเบากล่าวคำ
ด้วยผ่านการฝึกฝนร่วมกันหลายคน ฉินหยุนรับรู้ได้ ว่าผลึกแก้วเต๋า
วิญญาณลึกล้ำกำลังมีขนาดที่ใหญ่โตขึ้น ด้วยความเร็วระดับนี้ การ
ฝึกฝนแก่นเต๋าลึกล้ำในชั่วระยะเวลาหนึ่งย่อมต้องสำเร็จได้ ฉินหยุน
เพียงนึกก็ยินดีจนเนื้อเต้นแล้ว
หากเขาสามารถฝึกฝนแก่นเต๋าลึกล้ำ ได้กลายเป็นยอดยุทธ์ เมื่อถึง
งานประลองยุทธ์งานชุมนุมยุทธ์ดาบ เขาย่อมสามารถเอาชนะเจี้ยน
หนันหู่ได้โดยง่าย เซี่ยวเสวียนฉินเองก็ทราบ ว่าฉินหยุนคิดอยากเข้า
ร่วมงานประลองยุทธ์ ดังนั้นนางเกิดความร้อนใจขึ้น เป็นนางไม่คิด
อยากพบเห็นฉินหยุนต้องเจ็บช้ำจากการแข่งขัน ด้วยเหตุนี้ นางจึง
พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยให้ฉินหยุนเลื่อนระดับได้สำเร็จ
ฟ้าสาง วันใหม่มาเยือน
เกาะดาบใหม่ยามฟ้าสว่างย่อมคึกคัก หลายคนต่างมุ่งหน้าไปยัง
ศูนย์กลางเจ็ดดาบที่ตรงกลางเกาะดาบใหม่ พวกเขาเหล่านี้คิดอยาก
เข้าสู่อาคารลูกบาศก์แห่งคฤหาสน์เซียนดาบ
การแข่งขันจารึกรอบที่สองกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
เซี่ยวเสวียนฉิน สุ่ยเทียนสื่อ และสื่อชิงเฉิงต่างลักลอบจากไปยามฟ้า
สาง พวกนางไปพบแม่เฒ่าหยุนเหยา ฉินหยุนและเซี่ยวเย่ว์เหม่ยจึง
มุ่งตรงสู่คฤหาสน์เซียนดาบ
ฉินหยุนที่มาถึงเวทีแข่งขัน เขาจึงได้เห็นมู่เฟิง อีกฝ่ายเป็นอาจารย์
จารึกลึกล้ำที่สามารถเข้าร่วมรอบการแข่งขันนี้มาได้ นั่นหมายความ
ถึงเขามีความสามารถ
ด้วยอาจารย์จารึกหนึ่งร้อยคนที่นี่ มีแต่ฉินหยุนและมู่เฟิงที่ไม่ใช่อาจารย์
จารึกเต๋า ผู้อื่นที่เข้าแข่งขัน ต่างยืนกันเคียงข้างบอลผลึกแก้วที่มีนาม
ของตนเองปรากฏ
ท่ามกลางอาจารย์จารึกทั้งหนึ่งร้อย ฉินหยุนเหมือนจะเป็นผู้เดียวที่
ไม่เหมาะสม เพราะฉินหยุนยังเยาว์อย่างยิ่ง กระนั้นกลับได้ยืนหยัด
ร่วมกับอาจารย์จารึกที่มีชื่อเสียงทั้งหลาย เรื่องนี้ถือว่าไม่อาจเข้ากัน
ได้อย่างแท้จริง
เจี้ยนสือเทียนกล่าว “ถัดจากนี้ พวกเราจะเริ่มแบ่งกลุ่ม!”
ผู้หนึ่งถือหีบขนาดใหญ่เดินเข้ามา หีบใหญ่นี้มีรูเล็กที่เบื้องล่าง ทันที
เมื่อมันสัมผัสที่มัน ไข่มุกจะร่วงหล่นลงมาผ่านรูดังกล่าว และที่
ไข่มุก จะมีหมายเลขกำกับเอาไว้ด้วย
“จะมีสองคนที่ได้รับไข่มุกหมายเลขเดียวกัน และนั่นถือเป็นการอยู่
กลุ่มเดียวกัน” เจี้ยนสือเทียนกล่าว
การกระทำเช่นนี้ หลายผู้คนต่างไม่อาจเข้าใจ ในประวัติศาสตร์การ
แข่งขันจารึก มันไม่เคยมีกรณีที่สองคนต้องจับมือร่วมกันมาก่อน
“หากโชคชะตาเลวร้าย เช่นนั้นยามเมื่อคัดเลือกกลุ่ม คงได้เจ้าอ้วน
นั่นหรือไม่ก็เจ้าเด็กนั่นแล้ว!”
“ชายอ้วนคนนั้นเป็นอาจารย์จารึกลึกล้ำ เขายังมีเหรียญตรา ทว่าเด็ก
หนุ่มนั่นไม่มีอันใด ที่ทราบ ก็มีแต่พลังจิตที่เลิศล้ำเท่านั้น!”
“มาดูกันว่าผู้ใดจะโชคร้ายได้สองคนนั้นเข้าร่วมกลุ่ม!”
อาจารย์จารึกทั้งหนึ่งร้อย ต่างตั้งแถวเข้าไปจับไข่มุกกันขึ้นมา เจี้ยน
หลิงหลงจับได้ไข่มุกหมายเลขยี่สิบ ข้างกายเจี้ยนหลิงหลง เวลานี้ยัง
ไม่มีผู้ใดได้รับหมายเลขยี่สิบ และมันเป็นฉินหยุนจงใจให้เรื่องราว
เป็นเช่นนี้ หรือก็คือ เขาจะสร้างโอกาสให้ตนเองได้จับกลุ่มกับเจี้ยน
หลิงหลง
ไม่นานจากนั้น เขาจึงควบคุมไข่มุกหมายเลขยี่สิบภายในหีบใหญ่
เพื่อที่มันจะได้ไม่ตกอยู่ในมือผู้อื่น ด้วยวิธีการดังกล่าว เขาจะสามารถ
รวมกลุ่มกับเจี้ยนหลิงหลงได้อย่างแน่นอน
ฉินหยุนเองก็ไม่อาจทราบ ว่าเหตุใดจึงเป็นการจับกลุ่ม หากอาจารย์
จารึกเต๋าของตระกูลเจี้ยนต้องไปจับกลุ่มกับอาจารย์จารึกเต๋าของ
ตระกูลหลง อย่างนั้นผู้ที่ต้องสูญเสียหนักหนา ย่อมเป็นอาจารย์จารึก
เต๋าตระกูลเจี้ยน
ถึงคราวฉินหยุน เจี้ยนสือเทียนตบที่หีบใหญ่ ไข่มุกร่วงหล่นลงมา
ผ่านรูขนาดเล็ก หมายเลขยี่สิบปรากฏ เรื่องนี้เป็นฉินหยุนจัดแจง
ในทางลับ ยามเจี้ยนหลิงหลงได้เห็นเด็กหนุ่มได้รับไข่มุกหมายเลข
ยี่สิบ ใบหน้างดงามของนางพลันต้องเขียวคล้ำ!
ผู้อื่นบนเวทีการแข่งขัน ต่างหันมองสีหน้าเจี้ยนหลิงหลงพร้อมส่ง
เสียงฮือฮาดังออก เพราะนางเผชิญโชคร้ายครั้งใหญ่หลวงเข้าให้แล้ว!
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยและผู้อื่นย่อมทราบ ว่าการทำเช่นนี้ คือฉินหยุนจงใจ
เลือกอีกฝ่าย
กระทั่งอาจารย์จารึกตระกูลเจี้ยนยังต้องเผยความยินดีต่อเรื่องนี้ พวก
เขาล้วนทราบว่าเจี้ยนหลิงหลงแข็งแกร่ง กระนั้นนางกลับไปเข้าร่วม
นครเซียนยุทธภัณฑ์ ดังนั้นลึกภายในใจ พวกเขาไม่คิดอยากให้นาง
ได้รับอักขระล้ำค่า
ด้วยเพราะนางครอบครองจารึกวิญญาณจ้าวเต๋า หากนางได้รับอักขระ
เต๋าที่ดีไปจำนวนมาก เมื่อนั้น นางจะกลายเป็นอาจารย์จารึกเต๋าที่เลิศ
ล้ำ ถึงเวลานั้น นางจะกลายเป็นเหนือล้ำยิ่งกว่าบรรดาอาจารย์จารึก
เต๋าเฒ่าชราของตระกูลเจี้ยน
และเรื่องราวดังกล่าว บรรดาอาจารย์จารึกเต๋าตระกูลเจี้ยนไม่อยาก
เห็นเป็นที่สุด เพราะแม้ว่าอักขระเต๋าที่แกะสลักโดยเจี้ยนหลิงหลงมี
ระดับความวิจิตรสูงล้ำ แต่นั่นทั้งหมดเป็นเพราะจารึกวิญญาณจ้าว
เต๋า หาได้ใช่ความสามารถของตัวนางเองไม่ พวกเขาจึงไม่ยอมรับ
ความสามารถของนาง
เจี้ยนหลิงหลงเดิมคิด ว่านางจะได้สร้างความตื่นตะลึงในการแข่งขัน
จารึก ให้ผู้คนได้เห็น ถึงระดับการจารึกอันเหนือล้ำของนาง กระนั้น
เวลานี้ นางกลับต้องร่วมกลุ่มกับเด็กน้อยผู้หนึ่ง! นี่แทบจะกลายเป็น
เรื่องแน่นอน ว่านางไม่มีทางเข้าถึงรอบสุดท้ายได้
ได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยันจากผู้คนทั่วทิศ เจี้ยนหลิงหลงจึงตะโกน
ออกด้วยความกราดเกรี้ยว “พวกเจ้าล้วนหุบปาก!”
ฉินหยุนก้าวเดินไปหยุดที่ด้านข้างเจี้ยนหลิงหลงด้วยใบหน้าเปื้อน
ยิ้ม เขากล่าว “พี่สาวหลิงหลง พวกเราได้อยู่กลุ่มเดียวกัน!”
เจี้ยนหลิงหลงคิดอยากเตะเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นล้นพ้น นางยอม
ทำงานผู้เดียวดีกว่าต้องจับคู่กับคนเช่นนี้ แน่นอน ว่านางได้แต่ต้อง
บ่นอยู่ภายในใจ
“เจ้าปีศาจน้อย ทางที่ดีอย่าได้เป็นภาระแก่ข้า!” เจี้ยนหลิงหลงกล่าว
คำเบา “หากเจ้าไม่ทำอันใด บางทีข้าอาจนำเจ้าเข้าสู่รอบสุดท้ายจน
ได้รับอักขระที่ดีเหล่านั้น เมื่อนั้น พวกเราค่อยแบ่งปันอักขระเหล่านั้น
ร่วมกัน!”
เจี้ยนหลิงหลงไม่ทราบแท้จริง ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคือฉินหยุน!
ฉินหยุนกล่าวถามเสียงเบา “พี่สาวหลิงหลง ท่านเป็นคนตระกูลเจี้ยน
ทราบหรือไม่ว่าเหตุใดการแข่งขันจารึกจึงแบ่งออกเป็นกลุ่ม?”
เจี้ยนหลิงหลงแค่นเสียงเบา “ผู้ใดกันจะทราบ!”
ฉินหยุนหันมองทางกลุ่มคนพร้อมถามขึ้นอีกครั้ง “ข้าได้เห็นหลาย
กลุ่มเป็นคนตระกูลเจี้ยนทั้งสิ้น และตระกูลหลงมีแต่จับคู่กับผู้อื่น!
ท่านไม่คิดหรือว่านี่คล้ายบังเอิญจนเกินไป?”
เจี้ยนหลิงหลงขมวดคิ้ว “จะบอกว่าการจับไข่มุกสุ่มขึ้นมานั้น เป็น
ตระกูลเจี้ยนลงมือทางลับอย่างนั้นหรือ?”
ฉินหยุนให้ความสนใจหีบใหญ่นั้นมาโดยตลอด ผู้ที่ตบหีบให้มัน
ปล่อยไข่มุกออกมามีแต่เจี้ยนสือเทียน ชัดเจนว่าเขาต้องมีวิธีการ
บางอย่าง และจะไม่มีผู้ใดทราบด้วย
เจี้ยนหลิงหลงพิจารณาถี่ถ้วนจึงกล่าว “มีแปดกลุ่มที่จับคู่กันระหว่าง
อาจารย์จารึกเต๋าจากตระกูลหลง นอกจากนี้แล้ว ยังเป็นคู่ที่เลิศล้ำ
อย่างยิ่ง!”
ฉินหยุนพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้ แม้ดูเหมือนบังเอิญ ทว่าแท้จริง
ไม่ใช่! คนของตระกูลเจี้ยนไม่คิดจับคู่กับผู้อื่นอย่างเห็นได้ชัด นี่ต้อง
เป็นการจงใจอย่างแนบเนียนที่ผู้อื่นจะไม่คิดสงสัย!”
เจี้ยนหลิงหลงเกิดความโกรธแค้นขึ้นจนสบถเสียงเบา “กล่าวไปแล้ว
จะบอกว่าพวกมันจงใจจับเจ้าโยนให้ข้า?”
ฉินหยุนพยักหน้ารับ “เป็นไปได้อย่างยิ่ง!”
เจี้ยนหลิงหลงสะท้านราวสายฟ้าฟาดเข้าใส่ โทสะของนางแทบไม่
อาจสะกดกลั้น นางพุ่งตรงเข้าหาเจี้ยนสือเทียน! บรรดาอาจารย์จารึก
บนเวที รวมถึงผู้รับชมข้างเคียง พวกเขาต่างทราบถึงโทสะของ
เจี้ยนหลิงหลง เจี้ยนสือเทียนรับมือทันควัน เขาเร่งรีบไปหยุดยืนที่
ตรงหน้าเจี้ยนหลิงหลง
ฉินหยุนประเมินอารมณ์เจี้ยนหลิงหลงต่ำเกินไป เขาไม่คิด ว่านางจะ
เผยความดุดันร้อนแรงออกเพียงนี้!
“พี่สาวหลิงหลง ข้าคือฉินหยุน ท่านอย่าได้ลดตัวลงไปก่อเรื่องกับ
พวกมันแล้ว!” ฉินหยุนเร่งร้อนส่งเสียงสื่อสารในทางลับไปยังเจี้ยน
หลิงหลง
เจี้ยนหลิงหลงพลันชะงักงัน นางหันมองเด็กหนุ่มเบื้องหลัง ภายใน
ใจของนาง ทั้งตื่นเต้นและยินดี ความโกรธในใจของนางเวลานี้ มัน
คล้ายถูกทำให้สลายหายไปในพริบตา
“หลิงหลง แม้คู่ของเจ้ายังเยาว์ กระนั้นพลังจิตของเขาไม่ใช่ธรรมดา
เจ้าอย่าได้มองโลกในแง่ร้ายเช่นนี้” เจี้ยนสือเทียนกล่าวปลอบต่อนาง
โทสะของเจี้ยนหลิงหลงเลือนหายวับกับตา จากนั้น นางจึงกลับไป
ยืนข้างฉินหยุน ภายในใจนาง เวลานี้คล้ายมีแต่ความยินดีเป็นล้นพ้น
แล้ว
เจี้ยนสือเทียนได้เห็นเจี้ยนหลิงหลงสงบใจลงได้ในพริบตา เขาพบว่า
เรื่องราวแปลก กระนั้น เขาก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะ
ผู้คนล้วนทราบว่าเจี้ยนหลิงหลงมีอารมณ์ร้ายเพียงใด นางพร้อมที่จะ
คว่ำโต๊ะได้ทุกเมื่อ
เจี้ยนหลิงหลงส่งเสียงสื่อสารมาทางฉินหยุน “เจ้าปีศาจน้อย เจ้ากลับ
มาเมื่อใด? เหตุใดจึงทำลับล่อเช่นนี้?”
ฉินหยุนหัวเราะตอบกลับ “ข้ากลับมาหลายวันแล้ว และที่ข้าลับล่อ ก็
เพราะไม่ต้องการให้เกิดเรื่องใหญ่ พี่สาวหลิงหลง พวกเราอยู่ร่วมกลุ่ม
เดียวกัน เป็นข้าจงใจให้เป็นเช่นนี้ ท่านคงไม่กล่าวโทษข้ากระมัง?”
เจี้ยนหลิงหลงหยิกที่ใบหน้าฉินหยุนก่อนจะส่งเสียงสื่อสารไป
“แน่นอน ข้าไม่กล่าวโทษเจ้า จับคู่กับเจ้าถือว่าดี พวกเราร่วมมือกัน
ให้ดีที่สุด เอาชนะตัวบัดซบเหล่านั้นให้ได้!”
นางทราบว่าฉินหยุนครอบครองสองจารึกวิญญาณ มันคือจารึก
วิญญาณราชันสัตว์และอัคคีคลั่ง ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้ทางวิถีจารึก
ของเขายังสูงล้ำ เซี่ยวชาญอักขระทั้งหลาย เขาย่อมเป็นคู่หูที่เหนือล้ำ
อย่างแท้จริงไม่มีใดให้นางโต้แย้ง
เจี้ยนสือเทียนกล่าว “ทุกกลุ่มได้รับคู่กันเรียบร้อย ถัดจากนี้จึงเป็น
การแข่งขันรอบสอง และยังคงเกี่ยวข้องกับพลังจิต!”
อย่างไม่คาดคิด กลับกลายเป็นการขันแข่งพลังจิตอีกครั้งหนึ่งแล้ว
หลายคนต่างเกิดนึกทึ่ง และหลายคนต่างเกิดความสับสนงุนงง เสียง
อึกทึกย่อมตามมาหลังการประกาศ
เจี้ยนสือเทียนกล่าวคำดัง “ถัดจากนี้จะเป็นศึกพลังจิต อาจารย์จารึก
จำเป็นต้องใช้พลังจิตของตนเองควบคุมอาวุธที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษ
เพื่อลงมือสังหารต่อสัตว์อสูรดวงดาว!”
ทันใดนี้ ม่านพลังจึงปรากฏ มันปกคลุมพื้นที่หลายร้อยเมตรของเวที
การแข่งขัน
เจี้ยนสือเทียนนำหอคอยขนาดเล็กออกมาพร้อมเผยยิ้ม “ภายในหอคอย
ของข้ามีสัตว์อสูรดวงดาวทั้งสิ้นหนึ่งหมื่นตัว! ทุกครึ่งชั่วยาม ข้าจะ
ปล่อยพวกมันออกมาสองพันตัว พวกเจ้าค่อยควบคุมอาวุธและสังหาร
สัตว์อสูรดวงดาวเหล่านี้ สามสิบกลุ่มที่สังหารได้มากที่สุดจึงมีสิทธ์ิ
เข้าสู่รอบถัดไป!”
“กลุ่มที่สังหารสัตว์อสูรดวงดาวได้มากที่สุด จะได้รับผลึกแก้วแกน
กลางทั้งหมดไปครอง!”
เจี้ยนหลิงหลงเอ่ยถาม “ถึงตอนนั้น เรื่องราวคงโกลาหลยิ่ง อย่างนั้น
จะทราบได้อย่างไรว่าผู้ใดลงมือสังหารกันแน่?”
เจี้ยนสือเทียนนำดาบยาวออกมา “ภายในอาวุธพิเศษนี้ มันจะมีนาม
ของพวกเจ้าเขียนเอาไว้ หากเจ้าควบคุมอาวุธและสังหารสัตว์อสูร
ดวงดาวได้ เมื่อนั้น นามของพวกเจ้าจะถูกเขียนไว้ที่ภายในผลึกแก้ว
แกนกลางของสัตว์อสูรดวงดาว!”
เจี้ยนสือเทียนเริ่มแจกจ่ายอาวุธ พวกมันทั้งหมดคืออาวุธผลึกแก้ว
โปร่งแสง
ฉินหยุนรับไว้พร้อมรับชม มันมีสองคำ “เซี่ยวหยุน” เขียนเอาไว้
ลายมือเป็นเช่นเดียวกับที่เขาเขียนเมื่อวาน
อาจารย์จารึกเต๋าจากตระกูลหลงผู้หนึ่งเผยเสียงทักท้วง “ชัดเจนว่านี่
เป็นการแข่งขันจารึก กระนั้นกลับต้องมาสังหารสัตว์อสูรดวงดาว นี่
ไม่ต่างอะไรกับหลอกพวกเรามาขันแข่งไปเรื่อย!”
เจี้ยนสือเทียนยิ้มกล่าว “อาจารย์จารึก ย่อมต้องใช้พลังจิตเพื่อควบคุม
วัตถุสิ่งของ และมันย่อมเป็นสิ่งที่จะยืนยันถึงศักยภาพทางพลังจิต
ของอาจารย์จารึกได้ดีที่สุด! มีแต่อาวุธที่ขัดเกลาโดยอาจารย์จารึก
เหล่านั้น จึงสามารถกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งเลิศล้ำ!”
ฉินหยุนลอบยินดี เพราะเวลานี้เขากำลังขาดแคลนผลึกแก้วแกนกลาง
หากได้รับอันดับหนึ่ง เขาย่อมสามารถได้รับผลึกแก้วแกนกลางจำนวน
นับหมื่น!
“พี่สาวหลิงหลง ผลึกแก้วแกนกลางเหล่านั้นมีประโยชน์แก่การฝึกฝน
ข้านัก!” ฉินหยุนกล่าว “พวกเราต้องลงมือจริงจังคว้าอันดับหนึ่งมา
ให้ได้!”
เจี้ยนหลิงหลงย่อมมั่นใจในกำลังของนางอยู่แล้ว!
เจี้ยนสือเทียนกล่าว “ถัดจากนี้ ขอให้อาจารย์จารึกที่เข้าร่วมแข่งขัน
แกะสลักอักขระลงบนอุปกรณ์ลึกล้ำผลึกแก้วเหล่านี้เพื่อให้มัน
แข็งแกร่ง มันจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้สามารถสังหารสัตว์อสูรดวงดาวได้
รวดเร็ว!”

ตอนที่ 765 ร่วมช่วยเหลือ
ได้เห็นฉินหยุนเข้าไปต่อแถว หลายคนต่างรู้สึกว่าผิดคาด เพราะพวก
เขามั่นใจถึงเด็กหนุ่มผู้นั้น ว่าเพียงเข้าร่วมเพราะนึกสนุก
ในช่วงบ่าย อาจารย์จารึกลึกล้ำหลายคนต่างหมดเรี่ยวแรง กระนั้น
พวกเขาก็ยังพยายามลบนามที่ฝังอยู่ภายในบอลผลึกแก้วอย่างสุดใจ
อย่างไม่คิดยอมแพ้
เวลานี้ ที่ตรงหน้าฉินหยุนมีคนต่อแถวรอไม่มาก และพวกเขาเหล่านี้
ล้วนเป็นอาจารย์จารึกลึกล้ำ พวกเขาต่างหมดสิ้นเรี่ยวแรงจนอิดโรย
ใบหน้าพวกเขาซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่ยอม
แพ้ การแข่งขันนี้ กล่าวได้ว่าเป็นการรีดเร้นพลังจิตของผู้คนจนถึง
ขีดสุดอย่างแท้จริง
ไม่ช้า จึงค่อยถึงคราวฉินหยุน!
ฉินหยุนมองที่บอลผลึกแก้วซึ่งมีนาม “หลงหยินเซี่ยน” นี่คือนาม
ของอาจารย์จารึกเต๋า และอาจารย์จารึกเต๋าผู้นี้ก็ยืนอยู่ข้างบอลผลึก
แก้ว เขายืนกอดอกพร้อมเผยสีหน้าเดียดฉันท์ยามมองปีศาจน้อย
ตรงหน้า ฉินหยุนมองที่นาฬิกาทราย เวลากำลังไหลไปเรื่อยและ
รวดเร็ว ตัวเขาเข้าแถวนับได้ว่าเป็นช่วงเวลาอันดี เขาเพียงต้องลงมือ
ให้ทันเวลา เขียนนามของตนเองฝากฝังเอาไว้ในช่วงเวลาสุดท้าย
และตอนนั้น จึงค่อยมีการประกาศจบการแข่งขัน
ฉินหยุนวางสองมือลงบนบอลผลึกแก้ว ปลดปล่อยพลังจิตเข้าสู่ภายใน
บอลผลึกแก้วนี้พลันเริ่มสั่นเทิ้ม! หลายคนต่างต้องร้องอุทานดังออก!
นี่หมายความถึงพลังจิตทรงอำนาจอย่างยิ่ง มีแต่การทำให้บอลผลึก
แก้วสั่นไหวได้ จึงค่อยเป็นการลบล้างพลังจิตที่อยู่ภายในแต่เดิม และ
ชั่วขณะนี้ หลงหยิงเซี่ยนที่จับจ้องฉินหยุนด้วยสายตาเดียดฉันท์เมื่อ
ครู่ ตอนนี้กลับต้องเบิกตาโพลงอย่างไม่อาจเชื่อสิ่งที่เห็น
บรรดาอาจารย์จารึกลึกล้ำที่ไร้ซึ่งแรงใจ ต่างมองราวกับตนเองอยู่ใน
ห้วงความฝัน พวกเขาต้องถูไถดวงตาหลายครั้งคราจ้องมองปีศาจ
น้อยตรงหน้าอีกครั้งหนึ่ง! ไม่มีผู้ใดคาดคิด ว่าเด็กหนุ่มที่เหมือนมา
ที่นี่เพื่อหาความสำราญ แท้จริงถึงขั้นมีความสามารถ!
ชายชราไว้หนวดเครายาวที่เข้ามาสนทนากับฉินหยุนแต่แรก เขาเอง
ก็มองทางนี้ด้วยความตื่นตะลึง ผู้คนล้วนจดจำได้ ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้
กล่าว ว่าตนเองใช้ชีวิตมานานนับหมื่นปี แม้ภายหลังกล่าวว่าพูดไป
เรื่อย กระนั้นเวลานี้ผู้คนต่างเชื่อกันแล้ว ว่าคำกล่าวนั้นคือความจริง
“หลงหยินเซี่ยนคือหนึ่งในสิบอันดับแรกของอาจารย์จารึกเต๋าแห่ง
แคว้นมังกรทะยานฟ้า!”
“ชายผู้นี้แข็งแกร่งนัก ถึงขั้นเก็บงำตนเองไว้อย่างลึกล้ำเพียงนี้!”
“และเรื่องราวยังเกิดในเวลานี้ หากนามนั้นถูกลบออก อย่างนั้นก็ถูก
คัดออกแล้ว!”
“หวา เด็กหนุ่มนั่นคิดหาเรื่องหลงหยินเซี่ยน คงมีแต่ความตายที่รอ
คอยแล้ว!”
ฉินหยุนวางมือลงบนบอลผลึกแก้ว ถ่ายเทพลังจิตต้นกำเนิดอันเลิศ
ล้ำเข้าไป เพื่อลบนาม “หลงหยินเซี่ยน” ออกไปทีละน้อย
ฮูม!
บอลผลึกแก้วพลันสั่นไหว ปลดปล่อยสายลมรุนแรงออก นี่เป็น
เหตุการณ์ซึ่งสมควรต้องเกิดขึ้น เพราะพลังจิตภายในแต่เดิมได้ถูก
ทำลายแล้ว!
“หลงหยินเซี่ยน” สามคำนี้ปรากฏที่บอลผลึกแก้วลูกนี้มาครึ่งค่อน
วัน เวลานี้ได้ถูกผู้อื่นลบเลือนออกไปแล้ว!
ที่ทำผู้คนตื่นตะลึง คือหลงหยินเซี่ยนเป็นถึงอาจารย์จารึกเต๋าผู้มี
ชื่อเสียงโด่งดังแห่งตระกูลหลง ทว่าเวลานี้ นามของเขาได้ถูกเด็ก
หนุ่มที่ไม่มีผู้ใดทราบพื้นเพลบเลือนหายไป!
ใบหน้าของหลงหยินเซี่ยนกลับกลายเป็นสุนัขตัวหนึ่ง! เขาจ้องมอง
ฉินหยุนที่ลบนามของตนเองหายอย่างไม่อาจทำอะไรได้!
นาฬิกาทราย ก็ใกล้จะปล่อยเม็ดทรายชุดสุดท้ายลงมาแล้ว!
ฉินหยุนเร่งรีบใช้พลังจิตตนเอง ควบแน่นเกิดขึ้นเป็นแสงสว่างสีแดง
“เซี่ยวหยุน” แม้สองคำนี้สั้น ทว่าผู้คนได้เห็นชัดเจน ลายเส้นไม่ต่าง
อะไรกับเด็กเพิ่งหัดเขียน หากเทียบกับบอลผลึกแก้วอื่น นี่ออกจะน่า
เกลียดเกินไปแล้ว
“ปีศาจน้อยผู้นี้เขียนได้น่าเกลียดเกินไปแล้ว! กระทั่งว่าทราบการ
แกะสลักอักขระ แต่กลับมีลายมือเลวร้ายเพียงนี้!”
“นี่ไม่ต่างอะไรกับไก่เขี่ย!”
“สมองปีศาจน้อยผู้นี้อาจไม่ปกติกระมัง เขียนลายมือน่าเกลียดต่อ
หน้าผู้คนมากมาย กระนั้นกลับยังยิ้มได้!”
ฉินหยุนจงใจเขียนให้น่าเกลียด หากเขาเขียนออกอย่างสมบูรณ์แบบ
มันจะเป็นการใช้พลังจิตที่เพิ่มมากขึ้น
“หมดเวลา!” เจี้ยนสือเทียนประกาศดัง
หลงหยินเซี่ยนรู้สึกราวกับลมเย็นพัดพาเข้าที่ใบหน้า ตัวเขาถึงกับถูก
คัดออกเพราะบุคคลไร้หัวนอนปลายเท้า! หากพบเห็นได้ หัวใจของ
เขาเวลานี้คงมีเส้นความโกรธปรากฏเด่นชัด นอกจากหลงหยินเซี่ยน
อาจารย์จารึกเต๋าตระกูลหลงอีกหนึ่งคนได้ถูกคัดออกเช่นกัน! นี่เป็น
ฝีมือของมู่เฟิง!
ฉินหยุนยินดี เขาหัวเราะพลางกล่าว “ได้เข้ารอบถัดไปแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า!”
อาจารย์จารึกเต๋าผู้อื่นต่างมองทางหลงหยินเซี่ยน พวกเขามองว่าอีก
ฝ่ายเผชิญโชคร้าย หลงหยินเซี่ยนคิดอยากเข้าไปฉีกกระชากใบหน้า
หัวเราะร่าของฉินหยุนออกเป็นชิ้น! ตัวเขาคืออาจารย์จารึกเต๋าผู้ยิ่งใหญ่
กระนั้นตอนนี้กลับถูกคัดออกโดยอาจารย์จารึกลึกล้ำ!
เรื่องนี้ถือเป็นข่าวดีของบรรดาอาจารย์จารึกเต๋าที่ได้เข้ารอบ เพราะ
พวกเขาจะได้เผชิญคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งลดทอนลงไป กลับกลายเป็นว่า
ถึงกับถอนหายใจโล่งอกด้วยความโชคดี เพราะพวกเขาเองก็อาจถูก
คัดออกเมื่อครู่
และอาจารย์จารึกเต๋าทั้งหลายที่นี้ ต่างต้องทึ่งกับพลังจิตของเด็กหนุ่ม
ตรงหน้า มันมหาศาลถึงขั้นสามารถลบล้างพลังจิตของอาจารย์จารึก
เต๋าออกไปได้!
“บอลผลึกแก้วจะถูกวางไว้ในเวทีการแข่งขัน วันพรุ่งนี้จึงค่อยเริ่ม
รอบที่สอง!”
เจี้ยนสือเทียนเองก็คิด ว่าเรื่องราวยากเกินเชื่อ เขาไม่คิด ว่าเด็กหนุ่ม
ที่คล้ายมาหาความสำราญเล่นในที่นี้ จะถึงขั้นผ่านเข้าสู่รอบที่สองได้
ฉินหยุนเดินกลับไปอย่างเริงร่า ทว่าเขาก็ได้ทราบว่าหลายคนติดตาม
มา โชคดีที่เป็นเวลาค่ำคืน เขาจึงใช้พลังเงาสลัดกลุ่มคนเหล่านั้นทิ้ง
หายหมด ก่อนจะกลับไปยังรถลากของเซี่ยวเย่ว์เหม่ย
“พี่สาวซาลาเปานึ่งและพี่สุ่ยไปกับแม่เฒ่าหยุนเหยา” เซี่ยวเย่ว์เหม่ย
เผยยิ้มซุกซนกล่าวคำ “พี่ชายทำได้น่าประทับใจนัก เป็นท่านเขี่ย
หลงหยินเซี่ยนทิ้งได้อย่างหมดจด!”
“ไม่ทราบเลย ว่าเนื้อหาการแข่งขันวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรต่อ” ฉิน
หยุนกล่าวอย่างนั้น ทว่าสีหน้ากลับผ่อนคลาย
“พี่ชาย ข้าคิดไปสืบข่าวคราว ในการแข่งขันระดับยอดยุทธ์ในงาน
ชุมนุมยุทธ์ดาบมีผู้แข็งแกร่งอยู่หลายคน ข้าไม่มั่นใจ ว่าตัวท่านที่
ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูงสุดจะสามารถเอาชนะพวกเขา
เหล่านั้นได้หรือไม่!” เซี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว
“ไว้ถึงรอบก็ได้ทราบเอง!” ฉินหยุนยิ้มตอบ
“เอาอย่างนี้เป็นไร คืนนี้ข้าฝึกฝนร่วมกับท่าน ช่วยท่านขัดเกลาผลึก
แก้วแกนกลางสัตว์อสูรดวงดาวพวกนั้น!” เซี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว “บาง
ทีอีกหลายวันถัดจากนี้ ท่านอาจเลื่อนระดับได้กระมัง?”
ฉินหยุนคิดอยู่ครู่ จากนั้นจึงส่ายศีรษะ “ข้าไม่อาจเลื่อนระดับได้
ง่ายดายเพียงนั้น”
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยบุ้ยปาก “ไม่ใช่ว่าก็แค่ควบแน่นแก่นเต๋าลึกล้ำหรือไร?
ยังจะมีอันใดยาก?”
ฉินหยุนฝึกฝนร่างเซียนอสูร เมื่อเป็นส่วนของร่างกาย ตัวเขาไม่ติดขัด
ที่ตรงใด ที่ต้องฝึกฝน ก็มีแต่แก่นเต๋า
“ได้ อย่างนั้นทดลองดู” ฉินหยุนพยักหน้ารับตกลง
หลังเข้าสู่ห้องชุดของเซี่ยวเย่ว์เหม่ย ทั้งสองต่างเข้าไปยังห้องลับ ฉิน
หยุนนำผลึกแก้วแกนกลางดวงดาวที่สุ่ยเทียนสื่อและสื่อชิงเฉิงมอบ
ให้ออกมา พวกมันมีจำนวนมหาศาล เป็นผลของการรวบรวมมาเป็น
เวลาหลายปี
“พี่ชาย พี่สาวทั้งสองดีต่อท่านนัก พวกนางกล้าเผชิญหน้าอันตราย
ออกล่าสิ่งเหล่านี้มา แน่นอนว่าต้องหมดเรี่ยวแรงไปไม่น้อย” เซี่ยว
เย่ว์เหม่ยมองที่ผลึกแก้วแกนกลางพร้อมถอนหายใจ “ท่านป้าเองก็มี
ให้ท่านไม่ใช่น้อย หลังจบเรื่องนี้ ท่านต้องไปพบนางด้วย”
“พวกเจ้าช่างดีต่อข้านัก” ฉินหยุนสัมผัสใบหน้าเซี่ยวเย่ว์เหม่ยพร้อม
เผยยิ้ม
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยวางแกนกลางผลึกแก้วรายล้อม พวกมันจะเป็นแหล่ง
พลังงานให้ใช้ดูดกลืนระหว่างการฝึกฝน
ฉินหยุนนำเอาหนังสัตว์ผืนใหญ่ออกมา “เย่ว์เหม่ย ข้าจะติดตั้งค่าย
อาคม นี่จะทำให้การดูดกลืนเป็นไปรวดเร็วมากขึ้น”
เขานำเอาปากกาลึกล้ำสะท้อนจิตออกมา พร้อมเริ่มแกะสลักอักขระ
ดวงดาวและจันทรา พวกมันเหล่านี้คือตัวช่วยการควบแน่นพลังลึก
ล้ำ นอกจากนี้แล้ว ยังมีอักขระลึกล้ำชั้นเลิศที่สามารถช่วยการควบแน่น
พลังลึกล้ำ เพราะครอบครองจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวและนายหญิง
จันทรา เขาจึงสามารถแกะสลักอักขระทั้งสองประเภทได้รวดเร็วยิ่ง
เพียงสองชั่วยาม เขาก็ทำพวกมันได้จนสำเร็จ
“สงสัยนักว่าผลลัพธ์จะออกมาเยี่ยงไร!” เซี่ยวเย่ว์เหม่ยลอบคาดหวัง
พร้อมยิ้มกล่าว
“เริ่มกันได้แล้ว!” ฉินหยุนเอ่ยคำ
ทั้งสองนั่งที่ด้านบนแผ่นอาคมหนังสัตว์ขนาดใหญ่ มือประสานไว้
ด้วยกัน ฉินหยุนใช้งานเคล็ดวิชาฝึกฝน เซี่ยวเย่ว์เหม่ยใช้งานพระ
สูตรหัวใจตะวันจันทรา หลังค่ายอาคมเริ่มทำงาน แสงสว่างสีขาว
พลันทะลักออกภายในห้องลับ
พลังลึกล้ำดวงดาวมหาศาลภายในแกนกลางดวงดาว พวกมันกำลัง
ถูกค่ายอาคมชี้นำออกมาจนอัดแน่นทั่วทั้งห้อง หลิงหยุนเอ๋อเข้า
ควบคุมวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬเพื่อดูดกลืนพวกมัน หลังเข้าสู่แก่น
เต๋า พวกมันจึงค่อยปล่อยพลังออกไปให้เซี่ยวเย่ว์เหม่ยได้ดูดกลืน
ต่อไป
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยอยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ นางฝึกฝนแก่นเต๋าลึกล้ำ ด้วย
นางใช้พระสูตรหัวใจตะวันจันทราเพื่อดูดกลืนพลังลึกล้ำดวงดาว
จากร่างกายฉินหยุน หลังจากโคจรผ่านร่างของนาง มันจะกลายเป็น
แข็งแกร่งยิ่งขึ้น จากนั้นจึงไหลเวียนกลับสู่ร่างของฉินหยุน เช่นนี้
พลังลึกล้ำดวงดาวที่ส่งกลับจากร่างเซี่ยวเย่ว์เหม่ยจึงแข็งแกร่งขึ้น
เป็นเท่าทวี
ถัดจากนั้น ฉินหยุนจึงค่อยโคจรพลังลึกล้ำดวงดาวภายในร่าง และ
ขัดเกลาพวกมันสู่ผลึกแก้วเต๋าวิญญาณลึกล้ำ หากผลึกแก้วเต๋า
วิญญาณลึกล้ำใหญ่เพียงพอ พวกมันจะเริ่มผสานรวมเข้ากับแก่นเต๋า
และแปรเปลี่ยนสู่แก่นเต๋าลึกล้ำ
“เย่ว์เหม่ย นำเอาผลึกแก้วแกนกลางออกมาเพิ่ม เรื่องราวกำลังไปได้
ด้วยดี” ฉินหยุนเผยยิ้ม
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยไม่นำพวกมันออกมาในทันที กลับกัน นางเพียงยิ้ม
“พี่ชาย ข้าควรไปพาพี่สาวซาลาเปานึ่งและพี่สุ่ยมา รวมถึงท่านป้า
ด้วย หากฝึกฝนร่วมกับท่านหลายคน พลังลึกล้ำดวงดาวจะยิ่ง
แข็งแกร่งมากขึ้นเป็นหลายเท่า!”
“วิธีการเช่นนี้ทำได้จริงหรือ?” ฉินหยุนที่คิดตาม อดไม่ได้ที่จะเผย
อาการตื่นเต้นยินดี
“ย่อมต้องทำได้อยู่แล้ว ชาติภพก่อนท่านทำเช่นนี้บ่อยครั้ง นั่นจึงเป็น
สาเหตุ ที่ชาติภพก่อนท่านล่อลวงหญิงสาวจากพระราชวังกวงหาน
ไปมากมาย ก็เพราะเพื่อการฝึกฝน!” เซี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะกล่าว
“อย่างนั้นให้พี่หยางมาด้วยแล้ว!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว
“ย่อมได้!” เซี่ยวเย่ว์เหม่ยเร่งรีบออกไป
ฉินหยุนรอคอยกว่าครึ่งชั่วยาม เมื่อเซี่ยวเย่ว์เหม่ยกลับมา นางนำสาม
โฉมงามร่วมทางมาด้วย เซี่ยวเสวียนฉินสวมใส่ชุดขาว นางทั้ง
อ่อนหวานและงดงาม พอได้พบเห็นฉินหยุน นางหัวเราะเบา สีหน้า
กลับคืนสู่ปกติ เพราะภายในใจของนางเวลานี้ มันยินดีมากล้นยิ่งนัก
แล้ว
“พี่หยางเล่า?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ท่านยายหยุนเหยาไม่คิดให้นางออกมาภายนอก!” เซี่ยวเสวียนฉิน
ตอบ “ข้าเองก็ไม่ได้บอกต่อนางว่าเจ้าได้กลับมาแล้ว ข้าเป็นกังวลว่า
นางจะมาที่นี่เพื่อพบเจ้า!”
สื่อชิงเฉิงกล่าว “ข้าได้ยินว่าหลายคนที่จับตาท่านยายหยุนเหยาล้วน
แข็งแกร่ง เหล่านั้นเป็นครึ่งเซียน! ดังนั้นนางจึงไม่อาจปล่อยให้ฉี
เย่ว์อยู่ห่างกายได้”
สุ่ยเทียนสื่อถอนหายใจ “แม้เป็นเกาะแห่งดาบ ก็ยังต้องระแวดระวัง
เพียงนี้”
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะรับ “อย่าได้พูดกล่าวแล้ว เริ่มกันเลยดีกว่า!”
ระหว่างทาง นางได้บอกกล่าวทั้งสามถึงการฝึกฝนนี้ ตั้งแต่ที่เข้าร่วม
เกาะจันทราปีศาจ พวกนางย่อมได้ทราบพระสูตรหัวใจตะวันจันทรา
หลังเข้าสู่ห้องลับเรียบร้อย พวกนางจึงเริ่มนำเอาผลึกแก้วแกนกลาง
ออกมาจัดเรียงโดยรอบจำนวนมาก
“หากเรื่องราวราบลื่นดี หลังใช้งานผลึกแก้วแกนกลางเหล่านี้ น่าจะ
พอให้ฉินหยุนได้ควบแน่นแก่นเต๋าลึกล้ำขึ้นมาได้!” เซี่ยวเสวียนฉิน
ยังคงรู้สึกผิดต่อฉินหยุน เพราะเดิมเป็นเขาช่วยนางเอาไว้ ทว่า นาง
กลับต้องปล่อยให้เขาอยู่ในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬอย่างโดด
เดี่ยว
พวกนางนั่งลงที่บนค่ายอาคมหนังสัตว์ ตั้งวงล้อมโดยการจับมือต่อ
กันเอาไว้พร้อมเริ่มการฝึกฝน ไม่นาน ฉินหยุนจึงสัมผัสได้ ถึงพลัง
ลึกล้ำดวงดาวที่ไหลคืนกลับมา มันแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า ภายในใจ
อดไม่ได้ที่จะลอบยินดี เขาไม่ทราบ ว่าการฝึกฝนร่วมกันหลายผู้คน
เช่นนี้มีแต่ผู้คนถวิลหา ถึงกับได้รับความเชื่อใจจากสตรีเพื่อฝึกฝน
พระสูตรตะวันจันทรา เพียงเรื่องนั้นก็ไม่ใช่ง่ายแล้ว ทว่าฉินหยุน เขา
ถึงขั้นได้รับความเชื่อใจจากสตรีหลายต่อหลายคน!
สุ่ยเทียนสื่อพลันเผยยิ้มบาง “ข้าได้ยินว่าภายในสระเซียนที่อัดแน่น
ด้วยพลังงานเซียน หากฝึกฝนร่วมกันที่นั่น ผลลัพธ์มีแต่จะดียิ่งขึ้น!”

ตอนที่ 764 ความแข็งแกร่งแท้จริง
การแข่งขันครั้งนี้ ไม่เพียงแต่อักขระตะวันที่เป็นรางวัล แต่ยังมีอักขระ
จันทรา อักขระดวงดาว อักขระเต๋า และอักขระลึกล้ำ เหล่านี้ทั้งหมด
อยู่ระดับชั้นเลิศหรือระดับราชัน ผู้คนส่วนใหญ่ที่นี้ต่างโหยหาต่อ
อักขระตะวัน แม้ทราบว่าการได้รับมาไม่ง่าย กระนั้นพวกเขาก็คิด ว่า
หากไม่ได้รับอักขระตะวัน ก็ยังมีรางวัลอื่นรอคอย
มู่เฟิงเองก็คิดเช่นเดียวกันนี้ เขาส่งเสียงสื่อสารมายังฉินหยุนพร้อม
กล่าว “เจ้าปีศาจน้อย อย่างน้อยอาจารย์จารึกเต๋าจากตระกูลเจี้ยนก็มี
ที่นี้กว่าสามสิบคน และอาจารย์จารึกลึกล้ำอีกนับร้อย!”
ได้ยินเช่นนี้ ฉินหยุนเกือบหวาดกลัวไป กระนั้น เขาก็ยังคิดต่อไป ว่า
ผู้คนเหล่านี้มาจากตระกูลเจี้ยนทั่วทั้งแดนวิญญาณอ้างว้างเขตแดน
นอก ดังนั้นจึงอาจไม่ใช่รับมือยากเพียงนั้น เจี้ยนหลิงหลงก็มาจาก
ตระกูลเจี้ยน แต่ถึงอย่างนั้น นางกลับเข้าร่วมในฐานะตัวแทนจาก
นครเซียนยุทธภัณฑ์
“เหล่ามู่ ข้อมูลอันใดที่ท่านรวบรวมมาได้?” ฉินหยุนหันมองทาง
อาจารย์จารึกผู้อื่นที่นี่ เขาเพียงรู้จักมู่เฟิงและเจี้ยนหลิงหลง
“มีอาจารย์จารึกลึกล้ำยังเยาว์สามคนที่เข้าร่วม เจ้าคงได้เห็นแล้ว
พวกนั้นอย่างน้อยก็อายุนับร้อยปีกระมัง!” มู่เฟิงกล่าว
“ร้อยปีท่านก็นับยังเยาว์หรือ?” ฉินหยุนเผยเสียงเดียดฉันท์ ตัวเขาและ
เหลียวจิงเหมิงต่างหากจึงยังเยาว์ และยังได้เป็นถึงอาจารย์จารึกลึกล้ำ
แล้ว
“เจ้าปีศาจน้อย นี่ก็ถือว่าดีล้ำแล้ว! คิดว่าผู้คนเป็นอสูรกายเช่นเจ้า
หรือ?” มู่เฟิงกล่าว
ถึงตอนนี้ หลายคนต่างมองทางเด็กหนุ่มเช่นฉินหยุน ตัวฉินหยุนเพิ่ง
ได้คิด ว่าเชี่ยวเย่ว์เหม่ยแปรเปลี่ยนตัวเขาเป็นยังเด็กเพียงนี้ไม่สมเหตุ
สมผล มันจะกลายเป็นดึงดูดความสนใจจนเกินไป ชัดเจนว่าเชี่ยว
เย่ว์เหม่ยจงใจก่อเรื่อง!
ฉินหยุนตอนนี้ยืนอยู่ข้างมู่เฟิง เขารู้สึกไม่ใคร่สบายใจเท่าใดนักยาม
ถูกจับจ้องโดยหลายผู้คน
ตราบเท่าที่มีเหรียญม่วงในมือมากพอ ย่อมเข้าร่วมการแข่งขันจารึก
ยุทธ์ดาบได้ ฉินหยุนจ่ายไปหนึ่งพันล้านเรียบร้อย ดังนั้น แม้เขาไม่
ทราบเรื่องราวใด ตำหนักเซียนดาบก็จะไม่ห้ามปรามใดทั้งสิ้น เนื่อง
ด้วยพวกเขาได้รับเหรียญม่วงไปแล้ว ยังจะมาตั้งข้อครหาเพื่อเหตุผล
อันใด?
“ตระกูลใดถึงขั้นยอมจ่ายหนึ่งพันล้านเหรียญม่วงให้เด็กน้อยเช่นนี้
ได้เข้าแข่งขัน!”
“บางทีอาจเป็นแผนการร้าย เช่นแสร้งทำตัวเข้าร่วมการแข่งขัน
เพื่อที่จะได้กลับไปคุยโวได้เป็นร้อยปี!”
“หากมาที่นี่เพื่อคิดอวดดี จากนั้นจึงนำไปโพนทะนาทั่ว จะไม่
กลายเป็นที่ขบขันเอาหรอกหรือไร?”
“ผู้ใดทราบ อย่างไรแล้ว พวกเราล้วนไม่อาจทราบความคิดผู้ร่ำรวย
ได้”
ผู้คนที่รับชมจากด้านนอกเวทีแข่งขัน ต่างรู้สึกว่าผู้อื่นทำเช่นนี้ออก
จะสิ้นเปลืองจนเกินไปแล้ว และบรรดาอาจารย์จารึกที่อยู่บนเวที
แข่งขัน ต่างรู้สึกว่าปีศาจน้อยตรงหน้าทะเยอทะยานจนเกินไป
โดยเฉพาะสายตาของเหล่าผู้เฒ่าซึ่งอยู่มานานนับหลายพันปี เขาไม่
ต่างอะไรกับทารกแรกเกิด
ผู้อาวุโสชุดขาวไว้หนวดเคราแทบลากยาวถึงพื้น ได้ก้าวเดินเข้ามายัง
ฉินหยุนพร้อมหัวเราะเบา “เด็กน้อยเอ๋ย ผู้อาวุโสตระกูลเจ้าอยู่ที่ใด?
เจ้าจ่ายเหรียญม่วงมากมายเพียงนี้ คิดมาเพื่อหาอาจารย์ที่ดีอย่างนั้น
หรือ?”
ได้ยินคำกล่าวชายชรา หลายคนจึงค่อยได้ตระหนัก พวกเขาล้วนทราบ
ว่าการได้เป็นศิษย์อย่างเป็นทางการของอาจารย์จารึกเต๋ายากเย็นแสน
ลำบากเพียงใด บรรดาอาจารย์จารึกที่เลิศล้ำ ยามคิดหาตัวศิษย์ นั่นก็
เป็นเรื่องของโชคชะตาแล้ว แต่หากการใช้จ่ายหนึ่งพันล้านเหรียญ
ม่วงเพื่อหาตัวอาจารย์ที่ดีได้ อย่างนั้นก็นับว่าคุ้มค่า
“ผู้อาวุโสตระกูลข้าล้วนสิ้นชีวิตกันหมดแล้ว!” ฉินหยุนยิ้มตอบ
“นี่…” ผู้อาวุโสหนวดเครายาวถึงกับไม่ทราบควรพูดกล่าวอันใด
“พวกเขาล้วนชราภาพและตายจาก นี่เป็นเรื่องปกติ! แท้ที่จริงแล้ว
ทุกคนย่อมมีชะตาต้องตาย นั่นขึ้นอยู่กับว่าเร็วหรือช้า” คำกล่าวของ
ฉินหยุน ถือเป็นการสร้างแรงกระแทกต่อบรรดาอาจารย์จารึกเฒ่า
ชราครั้งใหญ่
สภาพโดยรอบของเวทีการแข่งขันกลับกลายเป็นหนักอึ้งมหาศาล
ไม่เพียงแต่อาจารย์จารึกเฒ่าชรา กระทั่งผู้อาวุโสทั้งหลายที่มารับชม
การแข่งขัน หลังได้ยินคำกล่าวของฉินหยุน พวกเขาล้วนสบถก่นด่า
ภายในใจไม่รู้จบ
“เจ้าปีศาจน้อยผู้นี้ช่างฝีปากกล้าดีนัก! ยามพูดกล่าว มันไม่แม้จะมอง
ว่าตนเองอยู่ต่อหน้าผู้ใด!” คนหนึ่งสบถออกเสียงเบา
ชายชราหนวดเครายาวเผยเสียงหัวเราะ “เด็กน้อยเอ๋ย เจ้ายังเยาว์
กระนั้นกลับเฉยชาต่อชีวิตและความตายได้เพียงนี้ ช่างน่านับถือ
อย่างแท้จริง”
ฉินหยุนจึงยิ้มกล่าว “ไม่นับเป็นอันใด ตัวข้าเพียงมีชีวิตมากว่าหมื่น
ปี เจ้าเองก็อยู่มานานเพียงนี้ ย่อมสมควรต้องเฉยชาต่อชีวิตและความ
ตายเช่นกันแล้ว!”
ความวุ่นวายครั้งใหญ่จึงบังเกิดต่อทุกผู้คนในที่นี้! เด็กหนุ่มตรงหน้า
ถึงขั้นมีอายุยืนยาวมาแล้วนับหมื่นปี ผู้คนพบว่าเรื่องราวยากเกินเชื่อ
ได้! ด้วยความชรา กระนั้นกลับคงสภาพรูปลักษณ์เยาว์วัยเป็นเด็ก
หนุ่ม หากไม่ใช่การกินเม็ดยาเซียนหรือผลไม้เซียน เช่นนั้นก็ต้อง
ฝึกฝนเคล็ดวิชาประหลาด
ดวงตาของชายชราหนวดเครายาวเผยดวงตาเบิกกว้าง มันแทบจะ
ถลนออก เพราะเขายากจะเชื่อ ว่าปีศาจน้อยตรงหน้าตนเอง คือตา
เฒ่าที่มีอายุยืนยาวมานานนับหมื่นปี
“นี่… จริงอย่างนั้นหรือ?” ชายชราไว้หนวดเครายาวกล่าวถาม
“ย่อมไม่จริง ข้าเพียงกล่าวไปเรื่อย!” ฉินหยุนหัวเราะดัง ราวกับเขา
กำลังหยอกล้อผู้น้อยที่อยู่ตรงหน้า
หลายคนต่างสบถออกมา กระนั้น ก็ยังมีคนจำนวหนึ่งที่เชื่อว่าคำ
กล่าวนั้นเป็นจริง เพราะเหตุนี้ ผู้คนจึงยังมีความคลางใจต่ออายุของ
เด็กหนุ่ม
คนหนึ่งกล่าวคำขึ้น “นำเอาอุปกรณ์ตรวจสอบอายุมา!”
แม้กล่าวเช่นนั้น ทว่าพวกเขาไม่กล้าเข้าไปตรวจสอบ เพราะขั้นตอน
การลงทะเบียน เพียงเรียกร้องเหรียญม่วงจากผู้คน เจี้ยนสือเทียน
ทะยานร่างลงจากที่นั่ง มาถึงด้านบนเวทีการแข่งขัน เวลานี้ หลายคน
รอบด้านต่างเงียบเสียงลง
เจี้ยนสือเทียนกล่าวคำดัง “ตระกูลเจี้ยนของเราจัดงานชุมนุมยุทธ์
ดาบขึ้น ก็เพื่อให้ทุกท่านได้มาเยี่ยมชมเกาะแห่งดาบที่สร้างขึ้นใหม่
พร้อมกันนี้ ยังมีการนำอักขระจำนวนหนึ่งมามอบให้แก่ผู้ที่มี
พรหมลิขิตด้วย!”
“หากคิดอยากได้รับอักขระล้ำค่าของพวกเรา เช่นนั้นจงเผยกำลัง
ออกมาให้เห็น!”
“ด้วยเหตุนี้ การแข่งขันจารึกยุทธ์ดาบ จึงเป็นการดึงเอาขีดจำกัด
สูงสุดของผู้คนออกมา มันจะทั้งทำให้อ่อนล้าและหมดเรี่ยวแรง!”
ฉินหยุนจับจ้องที่เจี้ยนหลิงหลง ใบหน้าของนางเผยความโกรธแค้น
เพราะตระกูลเจี้ยนไม่ยินยอมส่งมอบอักขระเต๋าอันล้ำค่าให้แก่นาง
ทว่ากลับจะมอบเป็นของขวัญแก่คนนอก ทั้งที่นางคือคนของตระกูล
เจี้ยน ผู้ซึ่งครอบครองจารึกวิญญาณจ้าวเต๋า
“วันนี้คือการทดสอบครั้งแรก พวกเราจะทดสอบอาจารย์จารึกถึง
กำลังพื้นฐาน นั่นก็คือพลังจิต!” เจี้ยนสือเทียนกล่าว
พลังจิตคือส่วนสำคัญของการเป็นอาจารย์จารึก ฉินหยุนไม่คิด ว่า
สถานการณ์จะผิดคาดเช่นนี้ ทว่าเขาก็ยังคงสงสัยต่อวิธีการทดสอบ
อาจารย์จารึกผู้หนึ่งกล่าวถามขึ้น “จ้าวสำนักดาบ การทดสอบนี้ จะ
เป็นการรีดเร้นพลังจิตของพวกเราจนถึงขีดจำกัดอย่างนั้นหรือ?”
เจี้ยนสือเทียนยิ้มกล่าว “หากคิดอยากเก็บงำกำลัง เช่นนั้นก็ไม่จำเป็น
ต้องเผยออกจนหมดสิ้น กระนั้นก็เป็นไปได้ว่าจะถูกคัดออก!”
การทดสอบพลังจิตต่อบรรดาอาจารย์จารึก มันเปรียบดังของหวาน
ไม่มีผู้ใดในพวกเขาเผยความเคร่งเครียด ทว่าฉินหยุนไม่ใช่ เขาตั้งข้อ
สงสัย เขาทราบว่าตระกูลเจี้ยนจะไม่มีทางส่งมอบอักขระเหล่านั้น
โดยสูญเปล่า การทดสอบพลังจิต ย่อมต้องมีเป้าหมายไปยังอาจารย์
จารึกที่ไม่ใช่มาจากตระกูลเจี้ยน
หากสุดท้ายแล้วผู้ชนะได้รับอักขระล้ำค่ามาจากตระกูลเจี้ยน เช่นนั้น
ตระกูลเจี้ยนก็หาได้สูญเสียสิ่งใดไป ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับเหรียญ
ม่วงมากมาย นอกจากนี้แล้ว ตระกูลเจี้ยนยังจะได้รับชื่อเสียงครั้ง
ยิ่งใหญ่ ฉินหยุนเพียงคิดก็ได้ทราบกลลวงครั้งนี้
“จะมีอาจารย์จารึกแค่หนึ่งร้อยคนที่จะผ่านเข้าสู่รอบถัดไปได้!” เจี้ยน
สือเทียนกล่าวคำเหล่านี้จบ ผู้คนจึงร้องอุทานออกมาดัง
เพียงการทดสอบพลังจิต หลายร้อยคนถึงกับต้องถูกคัดออก ฉินหยุน
ทราบแต่แรกแล้วว่าเรื่องราวต้องเป็นเช่นนี้
เจี้ยนสือเทียนโบกมือพร้อมคนตระกูลเจี้ยนหลายคนก้าวเดินออกมา
พวกเขาต่างถือบอลผลึกแก้วโปร่งแสงขนาดใหญ่ยักษ์ มันคือบอล
ผลึกแก้วที่สูงขนาดครึ่งตัวคน พวกมันถูกวางกับพื้นเรียงรายล้อม
ลานกว้าง และทั้งลานกว้าง มีบอลผลึกแก้วขนาดใหญ่นี้เพียงหนึ่ง
ร้อยลูก
เจี้ยนสือเทียนกล่าว “บอลผลึกแก้วเหล่านี้สร้างขึ้นเป็นพิเศษ ทุกท่าน
ต้องใช้พลังจิตสูงสุดใส่เข้าไปในบอลเหล่านี้ พร้อมทิ้งนามเอาไว้ที่
ภายใน!”
“บอลผลึกแก้วมีทั้งสิ้นหนึ่งร้อย นี่หมายความถึงต้องมีการลบนาม
ของผู้อื่น จากนั้นจึงทิ้งนามของตนเองเอาไว้แทน! มีแต่การปลดปล่อย
พลังจิตอันแข็งแกร่งยิ่งกว่า จึงสามารถทำการลบนามของผู้คนก่อน
หน้าได้!”
“ด้วยเหตุนี้ หากคิดอยากเข้าสู่รอบถัดไป ก็จงใช้พลังจิตอันแข็งแกร่ง
ที่สุดออกมา และทิ้งนามเอาไว้ภายในบอลผลึกแก้ว!”
อาจารย์จารึกลึกล้ำวัยกลางคนผู้หนึ่งกล่าวถาม “อาจารย์จารึกเต๋าย่อม
แข็งแกร่งกว่าพวกเราแล้ว!”
อาจารย์จารึกลึกล้ำหลายคนต่างเห็นพ้องพร้อมทักท้วง
“อาจารย์จารึกเต๋าย่อมมีพลังจิตแข็งแกร่ง กระนั้น ก็ยังมีอาจารย์จารึก
ลึกล้ำหลายคนที่ฝึกฝนจนทัดเทียมอาจารย์จารึกเต๋า ดังนั้น นี่ไม่มีอัน
ใดไม่ยุติธรรม!” เจี้ยนสือเทียนยิ้มกล่าว
อาจารย์จารึกลึกล้ำ และอาจารย์จารึกเต๋าหลายคนอยู่ขอบเขตราชัน
ยุทธ์ รวมถึงจักรพรรดิยุทธ์ มีราวครึ่งหนึ่งที่เป็นอาจารย์จารึกลึกล้ำ
ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ
กฎนี้ตั้งขึ้นโดยตำหนักเซียนดาบ ทั้งตำหนักเซียนดาบยังมีเหตุผล
รองรับ อาจารย์จารึกลึกล้ำที่การฝึกฝนต่ำต้อย จึงได้แต่จำต้องยอมรับ
แท้ที่จริง อาจารย์จารึกลึกล้ำที่การฝึกฝนต่ำต้อยเหล่านี้ ได้เข้าร่วม
และเตรียมใจมากันก่อนแล้ว ทว่าพวกเขาก็ยังมีความหวัง ว่าโชคอาจ
เข้าข้างตนเองบ้าง
“การแข่งขันจะเริ่มแล้ว ขอให้เรียงแถวเข้ารับการทดสอบ และ
ช่วงเวลาตอนเย็นจึงค่อยจบสิ้น!” เจี้ยนสือเทียนตะโกนดัง
ผู้คนหลายร้อยเร่งรีบกระจายตัวออกเป็นหนึ่งร้อยกลุ่ม แต่ละกลุ่มจะ
มีทั้งอาจารย์จารึกเต๋าและอาจารย์จารึกลึกล้ำ นามซึ่งถูกเขียนเอาไว้
ภายในบอลผลึกแก้ว จะต้องเป็นนามเดียวกับที่ลงทะเบียนเอาไว้
เวลานี้ อาจารย์จารึกหลายต่อหลายคนได้ฝากฝังนามตนเองกันเอาไว้
แล้ว
ฉินหยุนอยู่ท้ายแถวพลางสังเกตการณ์ เขาพบ ว่านามซึ่งอาจารย์
จารึกเต๋าเขียนเอาไว้ มันคือการใช้พลังจิตอย่างเสถียรเลิศล้ำ เป็นเรื่อง
ยากที่อาจารย์จารึกลึกล้ำที่มาภายหลังจะสามารถลบนามออก
และยามที่อาจารย์จารึกลึกล้ำเขียนนามไว้ด้วยพลังจิต อาจารย์จารึก
เต๋าผู้มาทีหลังจะลบนามเหล่านั้นอย่างง่ายดาย!
ในตอนนี้ ฉินหยุนเลือกไม่ต่อแถว กลับกัน เขาเพียงแต่รับชมเรื่องราว
มู่เฟิงก็เป็นเช่นเดียวกัน เพราะนับแต่เริ่ม ชัดเจนว่าบอลผลึกแก้วจะ
ถูกครอบครองโดยอาจารย์จารึกเต๋าทั้งหลาย หากพวกเขาขาดความ
ระวัง อย่างนั้นจะเป็นการสูญเสียพลังโดยเปล่า
ผู้คนจะมีเวลาอย่างจำกัด เพื่อที่จะได้พยายามลบนามที่ใช้พลังจิต
จารึกเอาไว้ในบอลผลึกแก้ว ด้วยเหตุนี้ จึงไม่อาจมีผู้ใดหยุดยืนลาก
ถ่วงเป็นเวลานานเพื่อใช้สารพัดวิธี มีแต่ต้องกลับไปต่อแถววนซ้ำ
เรื่องราวพอเป็นเช่นนี้ บรรดาอาจารย์จารึกเต๋าจึงสามารถรักษานาม
ของตนเอาไว้ภายในบอลผลึกแก้วได้อย่างมั่นคง
ฉินหยุนย่อมได้เห็นนามเจี้ยนหลิงหลง นามของนางปรากฏในบอล
ผลึกแก้ว และบรรดาอาจารย์จารึกที่ตั้งแถวเรียงรายเบื้องหลัง ต่างไม่
อาจลบนามของนางออกในเวลาที่กำหนด เจี้ยนหลิงหลงรับชมอยู่
ด้านข้างโดยตลอด หลายผู้คนรู้สึกกดดันมหาศาล ไม่นาน พวกเขา
ค่อยได้เห็น ว่าท่ามกลางบอลผลึกแก้วนับร้อย กว่าครึ่งเป็นนามของ
ตระกูลเจี้ยน
“ตระกูลเจี้ยนจงใจเลือกการทดสอบนี้ เพื่อคิดอวดโอ่ตนเองอย่างนั้น
หรือ?” มู่เฟิงสบถเสียงเบา
เรื่องราวชัดเจน ว่าดำเนินไปทางนั้น
ภายในบอลผลึกแก้วทั้งหนึ่งร้อย แสงสว่างทองคำเป็นประกายจาก
นามที่จารึกไว้เฉิดฉาย ส่วนใหญ่จะมีคำ “เจี้ยน” คงอยู่ ชัดเจนว่าเพื่อ
ต้องการให้ผู้คนได้ทราบ ว่าอาจารย์จารึกแห่งตระกูลเจี้ยนจึงมีพลัง
จิตแข็งแกร่งเป็นที่สุด ตระกูลหลงย่อมมีอาจารย์จารึกหลายคนเข้า
ร่วม พวกเขาต่างคว้าตั๋วผ่านทางเอาไว้ได้หลายคนแล้ว
เวลาผันผ่านรวดเร็ว อีกไม่นานฟ้าก็จะพลบค่ำ ยังคงมีผู้เข้าร่วมที่ยัง
ไม่ต่อแถว ยกตัวอย่างก็เช่นฉินหยุนและมู่เฟิง
และตอนนี้ ฉินหยุนได้ก้าวเดินเข้าไปต่อแถวแล้ว!

ตอนที่ 763 เด็กหนุ่มนามเชี่ยวหยุน
ฉินหยุนเดิมเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง ทว่าสุ่ยเทียนสื่อคิดฉวยโอกาสต่อเขา
ทำให้ต้องเร่งรีบตื่นขึ้นมารับมือ หลังจากที่มือของสุ่ยเทียนสื่อถูกฉิน
หยุนคว้าเอาไว้ ร่างงดงามของนางคล้ายอ่อนยวบก่อนจะโน้มลงที่
บนร่างของฉินหยุน และเวลานี้ นางยังคงเผยรอยยิ้มราวกับผู้หิว
กระหาย
“พี่สุ่ย ข้าเหนื่อยมาก ข้าต้องการพัก!” ฉินหยุนไม่คิด ว่าไม่ได้พบสุ่ย
เทียนสื่อหลายปี นางจะถึงขั้นกล้าลงไม้ลงมือเพียงนี้
ด้วยความเป็นภูติสาวเย้าเสน่ห์เช่นนาง ยามนี้ร่างอ่อนช้อยงดงามนั้น
กลับสวมกอดเขาเอาไว้อย่างไม่คิดหยุดลงมือ
“น้องหยุน ให้พี่สาวผู้นี้ร่วมพักผ่อนกับเจ้าแล้ว!” ร่างของสุ่ยเทียนสื่อ
ทั้งอ่อนนุ่มและอบอุ่น ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นหอมหวานยังเย้ายวน ขณะที่
ถูกนางสวมกอดเอาไว้ ฉินหยุนรู้สึกคล้ายอ่อนแรงยากต้านทาน
สื่อชิงเฉิงเผยยิ้มกล่าวคำ “วิญญาณร้ายวารี น้องสาวของเย่ว์หลานยัง
อยู่ที่นี่และจับตา! เย่ว์หลานเป็นภรรยาของฉินหยุน!”
สุ่ยเทียนสื่อกล่าวอย่างไม่ยินดี “ข้าก็ไม่ได้ทำอันใดต่อน้องหยุนแม้
เพียงนิด ข้าเพียงไม่ได้พบเจอเขามาหลายปี ดังนั้นย่อมต้องคิดถึง
ขนาดร่วมพักผ่อนไปด้วยเพื่อคลายความรู้สึกนั้น!”
ฉินหยุนลอบลูบที่ต้นขาของสุ่ยเทียนสื่อ มันยิ่งทำให้นางเผยยิ้ม
ดึงดูดอย่างมากล้ำยิ่งขึ้น
สุ่ยเทียนสื่อย่อมได้เห็นว่าฉินหยุนเหนื่อยล้าเพียงใด นางจึงจูบเบาที่
ใบหน้าของเขาพร้อมเผยยิ้มบาง “ก็ได้ เจ้าพักให้ดี”
เวลานี้ ฉินหยุนค่อยได้สูดลมหายใจเข้าลึก มันทำให้เขานึกถึงปิงชิง
นางผู้นั้นคือผู้ฉวยโอกาสต่อเขาในทางลับ ขณะที่สุ่ยเทียนสื่อกระทำ
อย่างเปิดเผย!
หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะดัง “เสี่ยวหยุนเอ๋ย ภูติสาวนางนี้คล้ายคิดอยาก
ทำที่ตรงนี้เสียด้วยซ้ำ!”
สุ่ยเทียนสื่อ สื่อชิงเฉิง และเชี่ยวเย่ว์เหม่ยต่างนั่งในห้องรับรอง พวก
นางปล่อยให้ฉินหยุนได้พักผ่อน ย้อนกลับไปครั้งนครจันทราโกลาหล
พวกนางปล่อยให้ฉินหยุนและเชี่ยวเสวียนฉินอยู่ด้วยกันและกลับไป
ก่อน กระนั้น สุดท้ายแล้วมีแต่เชี่ยวเสวียนฉินที่กลับมา หลังได้ทราบ
ว่าฉินหยุนติดอยู่ในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬที่อันตรายยิ่ง พวก
นางยิ่งกังวล สุ่ยเทียนสื่อกระทั่งร้องไห้โฮออกมา
“เย่ว์เหม่ย นี่น้องหยุนมาพบเจ้าเมื่อใดกัน?” สุ่ยเทียนสื่อเอ่ยถาม
“หลายวันก่อน” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเผยยิ้มขี้เล่น
“เฮอะ! ชายผู้นี้… เป็นเขาเมินข้าและชิงเฉิงเพราะแก่กว่าอย่างนั้น
หรือ? เพราะเหตุนั้นจึงไม่มาพบพวกเรา?” สุ่ยเทียนสื่อครวญคราง
เบาออกมา
“เย่ว์เหม่ย ยังมีผู้ใดอีกที่ทราบว่าฉินหยุนกลับมา? ได้บอกต่อฉีเย่ว์
และเสวียนฉินหรือยัง? พวกนางทั้งสองต่างก็อยู่ที่นี่” สื่อชิงเฉิงเอ่ย
ถาม
“ข้ายังไม่ได้แจ้งไป! ข้าคิดไม่ให้พวกนางรับรู้ไปชั่วคราว! ก่อนหน้า
นี้ ท่านทั้งสองได้บอกกล่าว ว่าพร้อมติดตามพี่ชายข้าไปชั่วชีวิตและ
เป็นผู้ช่วยเหลือ! เพราะเหตุนั้นข้าจึงติดต่อหาพวกท่าน!” เชี่ยวเย่ว์
เหม่ยลูบแก้มสื่อชิงเฉิงก่อนจะเผยยิ้มซุกซน “พี่สาวซาลาเปานึ่ง
ใบหน้าท่านช่างวิเศษ! ข้านึกเสียใจนักที่พี่ชายชื่นชอบลูบใบหน้า
ท่านเพียงนี้!”
สื่อชิงเฉิงดึงมือซุกซนของเชี่ยวเย่ว์เหม่ยออกไป นางกล่าวคำด้วย
น้ำเสียงเจือปนความโกรธ “เด็กน้อย อย่าได้กระทำตามอำเภอใจ!”
ใบหน้าของสุ่ยเทียนสื่อพลันเผยร่องรอยความกังวล นางกล่าว “เย่ว์
เหม่ย สถานะของฉินหยุนตอนนี้อันตรายงั้นหรือ? เหตุใดเจ้าจึงยังไม่
แจ้งให้ฉีเย่ว์และเสวียนฉินได้ทราบ?”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยส่ายศีรษะ “พี่ชายยอดเยี่ยม ยังมีอันตรายใดย่างกรายต่อ
เขา? สาเหตุที่ข้าไม่บอกให้พวกนางได้รู้ ก็เพราะข้ากังวลว่าทั้งสอง
จะมาที่นี่ สถานะของพี่หยางจึงอันตราย นางมีผู้อาวุโสกลุ่มใหญ่
คอยคุ้มกันด้วยซ้ำ!”
สื่อชิงเฉิงมองทางห้องของฉินหยุนและกล่าวถาม “เย่ว์เหม่ย เสี่ยว
หยุนจะเข้าร่วมงานชุมนุมยุทธ์ดาบด้วยหรือ? เขาจะเข้าร่วมงาน
ประลองยุทธ์?”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพยักหน้ารับ “การแข่งขันจารึกลงทะเบียนเรียบร้อย
แล้ว ภายหลังค่อยลงทะเบียนงานประลองยุทธ์ วางใจ แม้พี่ชายยังไม่
ก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ ก็ยังมีดีมากพอให้จัดการลิงไพร่เช่น
เจี้ยนหนันหู่อย่างไร้ซึ่งปัญหา!”
สุ่ยเทียนสื่อเผยความกังวล นางขมวดคิ้วกล่าวคำ “เสี่ยวหยุนของข้า
สรุปแล้วนี่เขาผ่านเรื่องราวอันตรายน่าหวาดกลัวเพียงใดจากเขตแดน
อ้างว้างจันทราทมิฬ? เป็นเขายังไม่อาจก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ
เสี่ยวหยุนช่างน่าสงสารนัก พี่สาวผู้นี้คงต้องช่วยให้เขาได้ผ่อนคลาย
ทางกายและอารมณ์ให้มากกว่านี้!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเริ่มบอกเล่า ถึงสาเหตุที่ฉินหยุนถูกถ่วงรั้งในเขตแดน
อ้างว้างจันทราทมิฬ นั่นก็เพราะช่องว่างกาลอวกาศ ฉินหยุนพักอยู่
หลายชั่วยาม สุดท้ายค่อยฟื้นคืนกลับมาดีดังเดิม เมื่อออกมาแล้ว สุ่ย
เทียนสื่อพลันก้าวเดินเข้ามาเกาะกุมแขนของเขาเอาไว้
เห็นได้ชัด ว่าฉินหยุนเริ่มคล้อยตามการหยอกเย้าของภูติสาวตรงหน้า
ฉินหยุนที่เดินมานั่งเรียบร้อย สุ่ยเทียนสื่อและสื่อชิงเฉิงจึงพร้อมใจ
กันนำเอากระเป๋ ามิติเก็บของออกมาจำนวนหนึ่ง
“เหล่านี้คือ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ผลึกแก้วแกนกลางสัตว์อสูรดวงดาว! ให้แก่เจ้า!” สื่อชิงเฉิงกล่าว
ฉินหยุนรับกระเป๋ าเหล่านี้มารับชม ภายในต้องลอบตื่นตะลึง กระเป๋ า
ทั้งหก มันบรรจุเอาไว้ซึ่งผลึกแก้วแกนกลางสัตว์อสูรดวงดาวอยู่
จำนวนมาก
สุ่ยเทียนสื่อเผยยิ้มกล่าวคำ “เสี่ยวหยุน พวกเรารอเจ้ามาหลายปีนัก
พวกเราที่ไม่มีอันใดทำ จึงแวะเวียนไปเทือกเขานิราศจันทรา สังหาร
สัตว์อสูรดวงดาวเหล่านั้น ทั้งหมดนี้เป็นพวกเราหามาเพื่อมอบให้แก่
เจ้า!”
“ขอบคุณท่านทั้งสองแล้ว!” ฉินหยุนตื้นตัน
“เสวียนฉินก็มีมากมายไม่แพ้กัน!” สื่อชิงเฉิงเผยยิ้มบาง “แน่นอนว่า
ย่อมไม่ใช่การมอบให้โดยเปล่า เจ้าต้องสร้างอุปกรณ์ให้แก่พวกเรา
ด้วย!”
ฉินหยุนยื่นมือออกไปพลางยิ้ม จากนั้นจึงเริ่มลูบไล้ใบหน้าของสื่อ
ชิงเฉิงก่อนจะกล่าวคำ “พี่สาวซาลาเปานึ่ง แม้ท่านไม่มอบของ
เหล่านี้แก่ข้า ข้าก็ย่อมช่วยพวกท่านสร้างอุปกรณ์ให้!”
ถูกฉินหยุนลูบใบหน้าอยู่พักหนึ่ง สื่อชิงเฉิงจึงค่อยดึงมือมารนั้น
ออกไป
สุ่ยเทียนสื่อย่อมเกิดนึกอิจฉา นางฮึมฮัมเผยความโกรธออกมาคำเบา
พร้อมกล่าว “เสี่ยวหยุน ข้ายินดีให้เจ้าลูบได้ทุกส่วนทั้งเรือนร่าง นี่
ย่อมต้องดีกว่าใบหน้าของพี่สาวซาลาเปานึ่งของเจ้า!”
“พวกท่านทั้งสองกล่าว ว่าจะติดตามข้าและเป็นผู้ช่วยเหลือข้าใช่
หรือไม่?” ฉินหยุนยิ้มถาม
“ใช่ ใช่!” สุ่ยเทียนสื่อและสื่อชิงเฉิง ทั้งสองพยักหน้ารับพร้อมกัน
“ไม่ใช่พวกท่านเข้าร่วมเกาะจันทราปีศาจแล้วหรือ? ตอนนี้คิดอยาก
ติดตามข้า นี่คล้ายไม่ดีเท่าใดกระมัง?” ฉินหยุนถามขึ้น
“นั่นไม่สำคัญสักนิด! เกาะจันทราปีศาจแทบไม่เข้มงวดอันใด ยิ่งไป
กว่านั้น ฉีเย่ว์ก็เป็นผู้นำของเกาะจันทราปีศาจ นางจะยิ่งยินดีหาก
พวกเราได้เป็นผู้ช่วยเหลือให้แก่เจ้า!” สุ่ยเทียนสื่อเผยยิ้มยั่วยวน
พร้อมเดินเข้าหา นางเริ่มนวดคลึงแผ่นหลังของฉินหยุน
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าวคำขึ้น “เอาละ เอาละ! ตอนนี้ข้าคิดเปลี่ยนรูปลักษณ์
พี่ชายเสียหน่อย! เพื่อที่พี่ชายจะได้เข้าร่วมงานแข่งขันจารึก พวกท่าน
กล่าว ว่าข้าควรเปลี่ยนเขาเป็นสตรีดีหรือไม่?”
“ดี ดี ดียิ่งนัก!” สุ่ยเทียนสื่อหัวเพราะพร้อมกล่าวคำย้ำ
“ดีที่ตรงใดไม่ทราบ!” ฉินหยุนจ้องมองที่สุ่ยเทียนสื่อพลางลูบที่ต้น
ขาของนาง ทำเอานางต้องเผยเสียงครวญครางเบาออกมา!
ความสามารถเทวะของเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเหนือล้ำ มันสามารถแปรเปลี่ยน
ฉินหยุนเป็นคนหนุ่ม กระทั่งรูปลักษณ์โครงสร้างร่างกายยังแปรเปลี่ยน
อย่างมหาศาล ตัวเขาเวลานี้ยังคงหล่อเหลาดังเช่นก่อนหน้า ฉินหยุน
มองตัวเองในกระจกก่อนจะยิ้มพึงพอใจ
ถัดจากนั้น เขาจึงออกไปเดินเล่นทั่วตำหนักจารึกเทวะ กระทั่งเดิน
ผ่านตรงหน้ามู่เฟิง กระนั้นอีกฝ่ายก็ไม่คล้ายจดจำได้ เพื่อทำให้มั่นใจ
ว่าจะไม่ถูกจดจำได้ เขาจึงตามเชี่ยวเย่ว์เหม่ยไปยังโรงสุรา ที่แห่งนี้
ศิษย์ของตระกูลเจี้ยนมาบ่อยครั้ง ภายใน เขาได้เห็นเจี้ยนรั่วหยาน
และเจี้ยนหนันหู่ กระนั้น คนทั้งสองคล้ายไม่อาจจดจำเขาได้ เช่นนี้
ฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ยจึงเดินเตร่ไปทั่วเมืองอยู่หลายวัน
สุดท้ายแล้ว การแข่งขันจารึกก็ใกล้ถึงวันแข่ง
ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันจารึก เพื่อให้มีแต่อาจารย์
จารึกที่แข็งแกร่งในการแข่งขัน มันจึงมีการคัดกรอง ตระกูลเจี้ยน
เพิ่มค่าลงทะเบียนเป็นหนึ่งพันล้านเหรียญม่วง หากเป็นผู้เยาว์และ
เข้าถึงยี่สิบอันดับแรก เช่นนั้นจะได้รับค่าลงทะเบียนกลับคืน
สำหรับอาจารย์จารึกที่แข็งแกร่ง หนึ่งพันล้านเหรียญม่วงแทบไม่นับ
เป็นอะไร เรื่องนี้ย่อมไม่นับเป็นไรสำหรับฉินหยุนเช่นกัน บรรดา
อาจารย์จารึกที่เข้าร่วมการแข่ง เวลานี้ต่างเดินทางมาถึง พวกเขามายัง
ที่นี้พร้อมเงินหนึ่งพันล้าน ด้วยความคาดหวังว่าจะได้รับอักขระตะวัน
รายชื่อของอาจารย์จารึกที่ลงทะเบียนเข้าร่วมถูกประกาศออกมา
จำนวนมีทั้งสิ้นหลายร้อย เหล่านั้นล้วนเป็นตัวตนอาจารย์จารึกลึกล้ำ
และอาจารย์จารึกเต๋า
ตามรายงาน มีอาจารย์จารึกเต๋ามากกว่าร้อยคนมารวมตัวกันในที่นี้
พวกเขาต่างมาจากแคว้นทั้งหลายของแดนวิญญาณอ้างว้างเขตแดน
นอก
ผู้คนคาดเดา ว่าอาจารย์จารึกเต๋าที่เข้าร่วมงานครั้งนี้ กล่าวได้ว่าเป็น
อัตราส่วนแปดในสิบของอาจารย์จารึกเต๋าจากทั่วทั้งแดนวิญญาณ
อ้างว้างเขตแดนนอก ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์จารึกเต๋าหลายคนยัง
ลงทะเบียนด้วยชื่อปลอม ชัดเจนว่าพวกเขาไม่คิดให้ผู้อื่นได้ทราบ
ว่าผู้ชนะได้รับอักขระตะวันไปแท้จริงคือผู้ใด
เวทีการแข่งขันจัดขึ้นที่ตำหนักใหญ่ภายในค่ายอาคมใหญ่เจ็ดดาบ
เวทีตรงกลางกว้างใหญ่ อาจารย์จารึกหลายร้อยคนรวมตัวกันที่นี้
เรื่องน่าสนใจก็คือ อาจารย์จารึกหลายท่านต่างสวมใส่หน้ากาก
แน่นอนว่า ผู้ซึ่งดึงดูดความสนใจที่สุดเป็นเจี้ยนหลิงหลง ในการ
แข่งขันจารึก ไม่เพียงแต่เจี้ยนหลิงหลงเป็นตัวแทนตระกูลเจี้ยน แต่
นางยังเป็นตัวแทนของนครเซียนยุทธภัณฑ์
“ไม่ทราบว่าเจี้ยนหลิงหลงเกิดอันใดขึ้น นางถึงขั้นไปยังนครเซียน
ยุทธภัณฑ์!”
“จริง และตำหนักเซียนดาบก็ถึงกับยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น!”
“ข่าวลือว่านางโดนฉินหยุนล่อลวงไป ฉินหยุนผู้นั้นเชี่ยวชาญโทเทม
มากมาย ดังนั้นนางจึงติดกับได้โดยง่าย!”
“นั่นไม่จริง! ข้าได้ยินว่าบรรดาอาจารย์จารึกเต๋าแห่งตำหนักเซียน
ดาบล้วนถี่เหนียว! พวกเขาไม่คิดแบ่งปันอักขระเต๋าที่ดีแก่นาง ดัง
นั้นเจี้ยนหลิงหลงจึงจากไปด้วยโทสะ!”
“เป็นไปไม่ได้กระมัง? ไม่ใช่ว่าเจี้ยนหลิงหลงครอบครองจารึก
วิญญาณจ้าวเต๋าหรือไร? เหตุใดตำหนักเซียนดาบไม่มอบอักขระเต๋า
ที่ดีแก่นาง?”
“เจ้ายังไม่เข้าใจ หากตาเฒ่าถี่เหนียวพวกนั้นมอบอักขระเต๋าที่ดีแก่
เจี้ยนหลิงหลง ถึงตอนนั้นพวกเขาก็โดนนางทิ้งห่างแล้ว!”
หลายคนต่างพูดคุยกันอย่างออกรสถึงเรื่องของเจี้ยนหลิงหลง
ผู้ชมที่นี่ครึกครื้น อัฒจันทร์ชั้นแล้วชั้นเล่าอัดแน่นด้วยผู้คน พวกเขา
มาจากหลายแคว้น บ้างก็มีตำแหน่งสำคัญในแคว้น บ้างมาเป็นผู้มี
สถานะพิเศษ เพราะงานครั้งนี้ คือการรวมตัวกันของขั้วอำนาจใหญ่
พร้อมเหล่าศิษย์ เปาเฉิงโฉ่วและเจี้ยนสือเทียนนั่งอยู่ด้วยกัน ใบหน้า
เจี้ยนสือเทียนเวลานี้น่าเกลียดไม่ใช่น้อย
เปาเฉิงโฉ่วยิ้มกล่าว “จ้าวสำนักดาบ อย่าได้ใส่ใจเรื่องข่าวลือไร้สาระ
เช่นนั้นไปเลย”
เจี้ยนสือเทียนแค่นเสียง เนื่องด้วยข่าวลือเหล่านั้นล้วนเป็นจริงทั้งสิ้น
หลายปีผันผ่าน หลายผู้คนที่นี่ยังจดจำเรื่องฉินหยุนได้ ยามใดเอ่ยถึง
เรื่องของฉินหยุน เปาเฉิงโฉ่วและฉู่ปินอวี้จะถอนหายใจอย่างนึก
เสียดาย แม่เฒ่าหยุนเหยา เชี่ยวเสวียนฉิน หยางฉีเย่ว์ สื่อชิงเฉิง และ
สุ่ยเทียนสื่อ พวกนางเวลานี้ก็ไม่ได้อยู่ห่างจากเปาเฉิงโฉ่วเท่าใดนัก
“จ้าวสำนักฉู่ ท่านไม่เข้าร่วมหรือ?” ฮูจิงเซียนยิ้มกล่าวถาม
“ไม่เข้าร่วม มันมีแต่ทำข้าเสียเหรียญม่วงโดยเปล่า!” ฉู่ปินอวี้ส่าย
ศีรษะพลางหัวเราะ “หากเข้าร่วม ข้าคงไม่มีทางเข้าถึงแม้ยี่สิบอันดับ
แรก!”
แม่เฒ่าหยุนเหยากล่าวคำ “นครเซียนยุทธภัณฑ์ เจี้ยนหลิงหลง
ครอบครองจารึกวิญญาณจ้าวเต๋า หากแข่งขันแกะสลักอักขระเต๋า ก็
เป็นไปได้สูงยิ่งว่านางจะได้อันดับหนึ่งไปครอง!”
เจี้ยนสือเทียนกล่าว “การแข่งขันนี้ย่อมไม่ให้พวกเขาได้แกะสลัก
อักขระเต๋า ดังนั้นแล้ว จารึกวิญญาณจ้าวเต๋าของหลิงหลงย่อมไม่มี
เปรียบใด”
เปาเฉิงโฉ่วยิ้มกล่าว “พวกเจ้าคล้ายจงใจวางเรื่องราวไว้เป็นอย่างดี
แล้วกระมัง?”
เจี้ยนสือเทียนค่อนข้างไม่ยินดีที่ถูกทราบ “เจ้าอย่าได้กล่าววาจาไร้
สาระ ทุกอย่างเป็นไปอย่างยุติธรรม กล่าวกันตามตรง ผู้มีพรสวรรค์
มีมากมาย ผู้ที่เหนือล้ำกว่าอาจารย์จารึกเต๋าบางทีอาจใช้แค่อักขระลึก
ล้ำ!”
แม่เฒ่าหยุนเหยากล่าว “เป็นเช่นนั้น! ผู้มีพรสวรรค์ คิดสร้างอุปกรณ์
เต๋าเพียงแค่อักขระลึกล้ำยังสามารถกระทำ!”
มู่เฟิงเองก็เข้าร่วม เวลานี้เขาหันมองรอบ พบว่ามีบุคคลหนึ่งนาม
เชี่ยวหยุน หลังพิจารณาให้ดี เขาจึงได้พบเห็นอีกฝ่ายเป็นเด็กน้อย
ซุกซนร่างเล็กและเตี้ย ที่หน้าอกมีป้ายเขียนประดับไว้สองคำ “เชี่ยว
หยุน”
“เหล่ามู่ อย่าได้เปิดโปงข้า!” ฉินหยุนเร่งรีบส่งเสียงสื่อสารร้องบอก
ต่อมู่เฟิง
มู่เฟิงไม่คาดคิด ว่าฉินหยุนจะแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ตนเองเป็นเด็ก
หนุ่มอายุสิบสี่ มันทำเขานึกย้อนถึงกาลก่อน ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ ครั้ง
หนึ่งก็เคยมายืนหยัดที่ตรงหน้าเขาเมื่อนานมาแล้ว!

ตอนที่ 762 สวรรค์พิโรธ
“เย่ว์เหม่ย เรื่องนี้เจ้าไม่อาจนำไปโพนทะนาได้ มันจะเป็นการทำร้าย
เฉียวเฟิง” ฉินหยุนกล่าวเตือน
“พี่ชายวางใจ ข้าย่อมไม่ใช่ผู้หญิงปากมาก!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยยิ้มตอบ
“พี่ชาย ท่านช่างยอดเยี่ยมนัก ท่านเพียงเพิ่งออกมา ก็ไปยังตระกูลหลง
และจับตัวมังกรของพวกมันมาได้แล้ว! หากเรื่องราวนี้เผยแพร่ออกไป
มันคงสั่นสะท้านต่อทั่วทั้งแดนวิญญาณอ้างว้างเขตแดนนอก!”
กำลังของฉินหยุน มันทำให้เชี่ยวเย่ว์เหม่ยรู้สึกภูมิใจ
ฉินหยุนควบคุมวิญญาณมังกรภายในไข่มุกมังกร พร้อมปลดปล่อย
พลังจิตวิญญาณสัตว์อันเลิศล้ำออกมา เขากำลังควบแน่นจารึก
วิญญาณอย่างต่อเนื่อง
“น่าเสียดายนักที่ข้าไม่ได้ร่วมทางไปกับท่าน!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเผยสี
หน้าเสียดายออกมา
“ข้าและเฉียวเฟิงเผชิญอันตรายไม่ใช่น้อย” ฉินหยุนกล่าว อันที่จริง
สามารถพูดกล่าวได้ ว่าเขาจับตัวมังกรมาอย่างง่ายดาย
“พี่ชาย คล้ายท่านตระเตรียมไว้แต่แรกแล้ว หลายปีก่อน ท่านได้
ชักชวนหลงเฉียวเฟิงมาเข้าพวก เห็นได้ชัดว่ามีสายตากว้างไกลมอง
ไปที่มังกรตัวนั้น!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเผยยิ้มสดใสกล่าวคำ “พี่ชาย ข้าจะ
ช่วยท่านค้นหาสถานที่อยู่ของมังกรตัวอื่น ถึงตอนนั้นไว้พวกเราไป
จับพวกมันมาสังหารด้วยกัน!”
“ย่อมได้อยู่แล้ว!” ฉินหยุนหัวเราะพร้อมพยักหน้ารับ
ด้วยความช่วยเหลือจากวิญญาณมังกร เวลานี้เขาค่อยผ่อนคลายได้
มาก วิญญาณยุทธ์ทั้งของเขาและเชี่ยวเย่ว์เหม่ย จึงไม่ต้องปลดปล่อย
จิตวิญญาณโลหิตออกมาอีกต่อไป เชี่ยวเย่ว์เหม่ยที่ได้สงบใจลงบ้าง
เวลานี้จึงได้ผ่อนคลายจากสภาวะอ่อนล้าของวิญญาณยุทธ์
ฉินหยุนส่งเสียงสื่อสารไปยังเหยาเฟิง “พี่สาวเหยาเฟิง ข้าเวลานี้อยู่
กับเย่ว์เหม่ย!”
“เย่ว์เหม่ย? นางอยู่กับเจ้าแล้วหรือ?” เหยาเฟิงพอได้ทราบ นางเผย
ความกังวลพร้อมเอ่ยถามออก
“ท่านไม่คิดอยากพบนางหรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ข้าไม่คิดอยากพบนางด้วยสภาพเช่นนี้ เจ้าดูแลนางให้ดี อย่าได้
รังแกนาง และอย่าได้ลวงหลอกอันใดต่อนาง!”
“เด็กน้อยผู้นี้ฉลาดเกินกว่าท่านคิด นางวิ่งเล่นไปทั่วสร้างปัญหา
ฉ้อโกงสารพัด ก่อนหน้า นางยังนำข้าไปเล่นละครลวงผู้คนไปฉาก
ใหญ่!” ฉินหยุนใช้โอกาสนี้บอกเล่าเรื่องราวของเชี่ยวเย่ว์เหม่ยให้
เหยาเฟิงได้ฟัง
เหยาเฟิงใช้ชีวิตโดดเดี่ยวภายในไข่มุกเม็ดที่สามของวิญญาณเทวะ
เก้าตะวันเป็นเวลานับหมื่นปี นางจึงอ้างว้างเปลี่ยวเหงา เวลานี้ได้
ทราบเรื่องเชี่ยวเย่ว์เหม่ย ค่อยทำให้นางอารมณ์ดีขึ้นได้บ้าง
“ที่ภายนอก พวกเจ้าสองคนทำอันใดกันอยู่?” เหยาเฟิงเอ่ยถาม
“พวกเรากำลังสกัดจารึกวิญญาณ!” ฉินหยุนตอบกลับ
เขาบอกเล่าต่อเหยาเฟิงถึงสถานการณ์การสกัดจารึกวิญญาณ เหยาเฟิง
ที่ได้ทราบ นางต้องร้องอุทานกล่าวชื่นชม เป็นนางไม่คาดคิด ว่าจารึก
วิญญาณจะสามารถสกัดขึ้นมาได้ หากทำสำเร็จ เช่นนั้นมันหมายความ
ถึง ภายหน้าเขาจะมีจารึกวิญญาณมากมายไว้ในครอบครอง
เป็นที่ทราบกัน ว่าแม้แต่ในแดนเซียนอ้างว้าง จารึกวิญญาณก็ไม่ใช่มี
มากมายนัก มันล้ำค่ามากพอขนาดให้เซียนทั้งหลายต่อสู้แย่งชิงกัน
จนตกตาย! เหยาเฟิงเลือกกลับไปฝึกฝนต่อ และนางได้บอกต่อฉิน
หยุน ว่าให้แจ้งต่อนางหากทำสำเร็จ
การแข่งขันจารึกอยู่ห่างไปอีกเพียงไม่กี่วัน ฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ย
ต้องขลุกตัวอยู่แต่ในห้องลับตลอดทั้งสิ้นเจ็ดวัน ท้ายที่สุด กระทั่ง
พลังวิญญาณมังกรก็ถูกกลืนกินหมดสิ้น
และตอนนี้เอง ที่ท้องฟ้าได้เริ่มมีเมฆดำเข้าปกคลุม เดิมยังเป็นช่วง
กลางวัน กระนั้น เพียงอึดใจเดียวเท่านั้น ท้องฟ้ากลับแปรเปลี่ยนเป็น
มีเมฆสีดำปกคลุม รัศมีหนึ่งหมื่นลี้รอบเกาะแห่งดาบ มันกลับกลาย
เป็นสภาพอันดำมืด มันคือความมืดที่ไร้ซึ่งแสงสว่างใดปรากฏจาก
เบื้องบน
ตู้ม! ครืน!
อย่างกะทันหัน อสนีบาตรุนแรงได้ฟาดฟันลงมาพร้อมระเบิดเข้าใส่
ม่านพลังอาคมของเกาะแห่งดาบ เกาะแห่งดาบที่สร้างขึ้นใหม่ กลับ
กลายเป็นต้องตกอยู่ในความตื่นตะลึง ตัวเกาะสั่นไหวต่อเนื่องไม่
หยุด เกาะแห่งดาบกำลังถูกโจมตีโดยสายฟ้าอสนีบาตทรงอำนาจ
รุนแรง จักรพรรดิยุทธ์และครึ่งเซียนทั้งหลายที่อยู่ภายในตำหนัก
เซียนดาบ พวกเขาต่างเร่งรีบออกมาพร้อมทะยานร่างขึ้นฟ้า สีหน้า
พวกเขาล้วนหนักอึ้งขณะรับชมท้องฟ้าที่ปลดปล่อยสายฟ้าอสนีบาต
รุนแรงออกมาไม่หยุด
“มันฟาดลงไปที่ตำหนักจารึกเทวะ เป็นไปได้ว่ามีผู้หนึ่งกำลังเผชิญ
การท้าทายโดยทัณฑ์พิบัติอย่างนั้นหรือ?” เจี้ยนสือเทียนขมวดคิ้ว
“นี่ไม่ใช่ทัณฑ์พิบัติทั่วไปแล้ว!” ชายชราหนวดเครายาวผู้หนึ่งกล่าว
ออกด้วยสีหน้าหนักอึ้ง “ทว่านี่เป็นการท้าทายต่อสวรรค์! ผู้ใดกันที่
ในสถานที่แห่งนี้ของพวกเรา ที่สามารถเรียกการท้าทายจากสวรรค์
มาได้?”
“ครึ่งเซียนจะเผชิญทัณฑ์พิบัติถึงเจ็ดครั้ง และทัณฑ์พิบัติสุดท้ายจึง
เป็นทัณฑ์พิบัติจากสวรรค์ การข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ นั่นหมายความ
ถึงการได้ก้าวสู่ความเป็นเซียน!” เจี้ยนสือเทียนกล่าวออกด้วยสีหน้า
ริษยา
เวลานี้ กลุ่มคนของตำหนักเซียนดาบต่างเร่งรีบบินไปยังตำหนัก
จารึกเทวะ
ฉินหยุนอยู่ที่ตำหนักจารึกเทวะพร้อมเชี่ยวเย่ว์เหม่ย เขากำลังสกัด
จารึกวิญญาณจ้าวเต๋า ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาได้ทำสำเร็จแล้ว
“พี่ชาย คล้ายข้างนอกมีภัยพิบัติเกิดขึ้น!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเก็บกระจก
ของนาง เวลานี้ นางร้องตะโกนออกมาดัง “กระจกข้ามีรอยปริแตก!”
“ว่าอะไร! นี่เป็นอะไรหรือไม่?” ฉินหยุนตื่นตะลึงพร้อมเอ่ยถาม
อย่างร้อนรน
“ไม่เป็นไร สักพักหนึ่งมันก็ฟื้นฟูตัวเองได้!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะ
ตอบ
หลิงหยุนเอ๋อกล่าวคำขึ้น “เสี่ยวหยุน การกระทำของเจ้าอย่างสกัดเอา
จารึกวิญญาณจ้าวเต๋าขึ้นมาใหม่ นั่นถือเป็นการท้าทายสวรรค์แห่ง
เต๋า! เพราะเหตุนั้นทัณฑ์พิบัติแห่งสวรรค์จึงเกิดขึ้น กระจกของเย่ว์
เหม่ยเกิดรอยร้าวก็เพราะเรื่องนั้น!”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย? อย่างนั้นพวกเราควรรับมืออย่างไร?” ฉินหยุน
มองที่ไข่มุกผนึกวิญญาณสีขาวในมือที่กำลังสั่นต่อเนื่อง
แสงสีขาวได้สว่างรุนแรงจากไข่มุกผนึกวิญญาณ มันเป็นแสงที่
รุนแรงยิ่ง
“ส่งมันให้แก่เหยาเฟิง” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
ฉินหยุนเร่งร้อนติดต่อหาเหยาเฟิงทันที “พี่สาวเหยาเฟิง ข้าเจอปัญหา
เข้าแล้ว จารึกวิญญาณสกัดได้สำเร็จ ทว่ามันเป็นการกระตุ้นให้เกิด
ทัณฑ์พิบัติแห่งสวรรค์ ข้าคิดอยากฝากมันไว้กับท่านชั่วคราวได้
หรือไม่?”
“เร่งรีบแล้ว!” เหยาเฟิงพอได้ทราบ นางเป็นกังวลต่อเรื่องนี้ยิ่ง
ฉินหยุนส่งจารึกวิญญาณจ้าวเต๋าสู่ด้านในไข่มุกเม็ดที่สามของวิญญาณ
เทวะเก้าตะวัน การเคลื่อนไหวภายนอกยังคงรุนแรงยิ่งใหญ่ ฉินหยุน
และเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเร่งรีบออกจากตำหนักจารึกเทวะ ภายนอกดำมืด
สนิท พลังชวนขนลุกน่าหวาดกลัวได้เข้าปกคลุมกดดัน ผู้คนในเกาะ
แห่งดาบต่างรู้สึก ว่าตนเองคล้ายสามารถจบสิ้นชีวิตได้ทุกเมื่อชั่วขณะ
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
เมฆสีดำบนฟากฟ้าฉับพลันปลดปล่อยสายฟ้าอสนีบาตนับไม่ถ้วน
ลงมาเข้าใส่ม่านพลังคุ้มกันเกาะแห่งดาบ ฉินหยุนต้องลอบนับถือต่อ
อำนาจการป้องกันของเกาะแห่งดาบ มันถึงขั้นสามารถต้านรับเอาไว้
สุดท้ายแล้ว หลังผ่านการโจมตีรุนแรงหลายครั้งครา มวลเมฆสีดำจึง
ค่อยกระจายตัว เพียงไม่นานนัก ออร่าอันแข็งแกร่งได้พุ่งทะยานเข้า
มา เจี้ยนสือเทียนและคณะครึ่งเซียนของตระกูลเจี้ยนเร่งรีบมาทางนี้
หลายผู้คนต่างหวาดกลัว เกาะแห่งดาบชั้นที่สอง เวลานี้ได้ความสงบ
กลับคืนแล้ว
เจี้ยนสือเทียนพอมาถึง เขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงกระจ่าง “สงสัยนักว่า
ผู้อาวุโสท่านใดที่นี่ข้ามผ่านทัณฑ์พิบัตินั้นไปได้?”
เขาเพียงกล่าวจบ จึงรู้สึกได้ถึงอะไรไม่ชอบมาพากล
ชายชราไว้หนวดเครายาวข้างกายของเขาขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ประหลาด
นัก ข้ามั่นใจ ว่านั่นเป็นทัณฑ์พิบัติแห่งสวรรค์ กระนั้น มันไม่มีทาง
หายไปเช่นนั้นได้ หรือจะเป็นไปได้ว่าบุคคลที่คิดข้ามผ่านทัณฑ์
พิบัติถูกกำจัดไปแล้ว?”
ไม่นานจากนั้น เจี้ยนสือเทียนและคณะคนจึงเข้าสู่ตำหนักจารึกเทวะ
ไปตรวจสอบ ทว่าพวกเขาก็ไม่อาจได้รับอันใด ฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์
เหม่ยออกมาอยู่ด้านนอกตำหนักจารึกเทวะเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังมีคน
มากมายมารับชม และเวลานี้ บุคคลคุ้นเคยกับฉินหยุนจึงปรากฏ
พวกเขาคือเจี้ยนหนันหู่และเจี้ยนรั่วหยาน ข้างกายพวกเขายังมีศิษย์
ตระกูลเจี้ยนอีกหลายคน
เจี้ยนหนันหู่พอเห็นเจี้ยนสือเทียนออกจากตำหนักจารึกเทวะ เขาจึง
เข้าไปถาม “ท่านปู่ หรือจะเป็นพวกหน้าโง่ตระกูลหลงก่อการ? พวก
มันไม่เพียงสูญเสียมังกร ทว่ามาสร้างความวุ่นวายถึงที่นี้!”
หนึ่งในผู้อาวุโสกล่าวคำ “ตระกูลหลงไม่มีกำลังทำเช่นนี้ พวกเขาไม่
มีทางทำได้ พวกเราควรกลับกันก่อนแล้ว”
เจี้ยนสือเทียนตะโกนบอกต่อผู้คนภายนอก “พวกเจ้าล้วนได้เห็น
กระจ่างชัดแล้ว อำนาจการป้องกันเกาะแห่งดาบของเรามากล้ำ
ดังนั้นนับแต่นี้จงวางใจและกลับไปทำกิจธุระต่อได้”
ผู้คนต่างกระจายตัว
มู่เฟิงหันมองทางฉินหยุนที่เปลี่ยนรูปลักษณ์ เขาสงสัยว่าเรื่องนี้ต้อง
เป็นฝีมือฉินหยุน เขาทราบกระจ่างชัดดี ว่าฉินหยุนไปยังที่ใด ที่แห่ง
นั้นไม่เคยมีความสงบปรากฏ ทั้งฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ย เวลานี้
กลับคืนสู่ห้องชุดหรูหราเช่นเดิมแล้ว
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกระโดดไปมาด้วยความยินดี “พี่ชาย พวกเราทำได้
สำเร็จแล้ว พวกเราทำสำเร็จ ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ฉินหยุนเวลานี้ยังไม่อาจสงบใจ “เย่ว์เหม่ย กระจกเจ้าไม่เป็นไรแน่
หรือ?”
เย่ว์เหม่ยนำเอากระจกออกมาพร้อมส่งให้แก่ฉินหยุน “ไม่เป็นไร
ท่านดูเองแล้วจะได้ทราบ!”
“วิเศษนัก!” ฉินหยุนพอได้พิจารณาถี่ถ้วนด้วยตนเอง เขาจึงถอน
หายใจโล่งอก “นั่นคือทัณฑ์พิบัติแห่งสวรรค์ ข้าคงไม่กล้าบุ่มบ่ามทำ
เรื่องเช่นนี้อีกครั้งแล้ว!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเบะปากกล่าวคำ “พี่ชาย ท่านขลาดกลัวเกินไปแล้ว
เพียงทัณฑ์พิบัติแห่งสวรรค์แค่หนึ่ง ท่านกลับหวาดกลัวเพียงนี้แล้ว
หรือ? หนทางสู่ความแข็งแกร่งคือการท้าทายสวรรค์ ภายหลังท่าน
ยังต้องเผชิญทัณฑ์พิบัติเหล่านี้หลายต่อหลายครั้งนัก!”
นางหาได้หวั่นเกรงอันใดไม่ เพียงนั่งลงพร้อมหยิบผลไม้มากัดกิน
“ข้าเป็นกังวล ว่ากระจกเจ้าจะไม่อาจมีไว้ให้ถือได้อีก!” ฉินหยุนกล่าว
“ไม่มีใดเลย ข้าไม่หวาดเกรงใดแม้สักนิด เหตุใดท่านจึงหวาดเกรง?”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะพลางโยนผลไม้ให้ฉินหยุน
ฉินหยุนรับผลไม้นั้นมากินด้วยความโล่งใจ
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยนั่งพลางยิ้ม “พี่ชาย หากท่านผสานรวมเข้ากับจารึก
วิญญาณจ้าวเต๋า อย่างนั้นหมายถึงสามารถแกะสลักอักขระเต๋าได้
ทันทีใช่หรือไม่? เร่งรีบทดลองดูแล้ว!”
จารึกวิญญาณจ้าวเต๋าได้ถูกสกัดอย่างเสร็จสมบูรณ์ นอกจากนี้ เหยา
เฟิงยังได้ทำให้มันสงบเรียบร้อยแล้ว
ฉินหยุนที่นำไข่มุกผนึกวิญญาณออกมา เขาหันมองรอบด้านอย่าง
ว้าวุ่น “ทัณฑ์พิบัติแห่งสวรรค์นั่นคงไม่ปรากฏอีกครั้งกระมัง?”
“อย่าได้กังวลมันไป เร่งรีบผสานรวมได้แล้ว!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเดินเข้า
มาพร้อมกล่าวเร่ง
ด้วยหลิงหยุนเอ๋อช่วยเหลือ ฉินหยุนจึงผสานเข้ากับจารึกวิญญาณ
จ้าวเต๋าอย่างรวดเร็ว พริบตาที่เขาผสานรวมกับมัน ความรู้สึกวิเศษ
เกินบรรยายได้ปรากฏรอบกายเขา ฉินหยุนนำเอากระดาษยันต์
ออกมา จากนั้นจึงนำปากกาลึกล้ำสะท้อนจิตออกมา ก่อนจะเริ่มวาด
อักขระเต๋าที่ตัวพวกมัน จำนวนอักขระเต๋าที่เขาเชี่ยวชาญมีไม่ใช่น้อย
ทั้งยังเป็นอักขระเต๋าชั้นเลิศ คิ้วของฉินหยุนขมวดเล็กน้อยยาม
แกะสลักอักขระเต๋า
“ต้องใช้พลังจิตมากมายนัก”
ฉินหยุนหลั่งเหงื่อออกมาจำนวนมาก เขารู้สึก ว่าจิตจันทราทมิฬของ
เขาถูกใช้งานพลังจิตอย่างหนักหน่วง
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม สีหน้าฉินหยุนจึงซีดเผือด กระนั้น เขาก็สร้าง
ยันต์เต๋าขึ้นมาได้สำเร็จ
“ข้ารู้สึกไม่ต่างอะไรกับคนใกล้ตาย!” ฉินหยุนสูดลมหายใจยาว
จากนั้นจึงเก็บปากกาลึกล้ำสะท้อนจิต ก่อนจะนอนลงกับโต๊ะอย่าง
หมดสิ้นเรี่ยวแรง
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเข้ามาหามร่างฉินหยุนไปนอนบนเตียง
“ยังไม่เข้าสู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ แต่กลับสร้างยันต์เต๋าได้แล้ว พี่ชาย
ข้าเลิศล้ำยอดเยี่ยมเสมอมา!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยมองที่ฉินหยุนพลางลูบ
ใบหน้าของเขาพร้อมยิ้มกล่าว
เวลานี้ คนผู้หนึ่งเคาะประตูดังขึ้น เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเร่งรีบไปเปิดประตู
เป็นสองสตรีก้าวเดินเข้ามา ใบหน้ามีผ้าคลุมปิ ดบัง หลังได้เห็นเชี่ยว
เย่ว์เหม่ย พวกนางจึงค่อยถอนผ้าคลุมออกจากใบหน้า
ผู้หนึ่งที่เข้ามา สวมใส่ชุดกระโปรงสีม่วงงดงามประหนึ่งชนชั้นสูง
ตัวนางงดงาม ใบหน้าประหนึ่งหยกทรงกลมที่มาพร้อมรอยยิ้ม
เปรียบดังสายน้ำอันอ่อนนุ่ม เป็นสื่อชิงเฉิง
อีกหนึ่งสวมใส่ชุดกระโปรงสีน้ำเงิน เป็นสุ่ยเทียนสื่อ เรือนร่างของ
นางร้อนแรง ดวงตาของนางงดงามประหนึ่งหยาดน้ำมีเสน่ห์ดึงดูด
พร้อมเกาะกุมจิตวิญญาณผู้คน
นางสัมผัสใบหน้าเชี่ยวเย่ว์เหม่ยก่อนจะยิ้มกล่าว “เด็กน้อย เหตุใดเจ้า
เรียกหาพวกเราเช่นนี้? มีเรื่องด่วนหรือ?”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะซุกซน “พี่สุ่ย พี่ชายกลับมาแล้ว เขากำลัง
เหนื่อยล้า ตอนนี้ต้องได้รับการดูแลอยู่พอดี ไม่ใช่ท่านหรือที่เฝ้ารอ
เวลานี้มาตลอด?”
สุ่ยเทียนสื่อและสื่อชิงเฉิงหันมองหน้ากันเองอย่างตื่นตะลึง จากนั้น
ฝีเท้าค่อยเร่งรีบเดินเข้าในห้อง เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพอปิดประตูแล้ว นาง
จึงเดินไปยังห้องฉินหยุน
“เป็นน้องหยุนจริงด้วย!” สุ่ยเทียนสื่อยามได้เห็นฉินหยุน นางหัวเราะ
ยินดีพร้อมก้าวเดินเข้าหา มือขาวนวลนุ่มนิ่มทั้งสองยื่นไปยังเสื้อผ้า
ของฉินหยุนพลางจับโน่นนั่นไปทั่ว
“วิญญาณร้ายวารี! นี่เจ้ายังมียางอายหรือไม่?” สื่อชิงเฉิงไม่คิดนิ่งเฉย
รับชม นางเข้าไปดึงร่างอีกฝ่ายออกมา
“ข้าเพียงสัมผัสดูว่าเป็นน้องหยุนตัวจริงหรือไม่ ได้สัมผัสแล้วข้าจึง
ค่อยรู้สึกว่าเป็นคนจริง!” สุ่ยเทียนสื่อจ้องมองสื่อชิงเฉิงที่เผยโทสะ
เล็กน้อย นางยิ้มกล่าว “หากเจ้าไม่เชื่อ เช่นนั้นจงไปสัมผัสด้วย
ตนเอง!”
เวลานี้ สุ่ยเทียนสื่อยิ่งไม่ยั้งมือ นางตรงเข้าวางมือที่หน้าท้องฉินหยุน
ก่อนจะพยายามลูบไล้ลงสู่เบื้องล่าง
ฉินหยุนพลันเบิกตาพร้อมคว้ามือขาวของสุ่ยเทียนสื่อเอาไว้ เขายิ้ม
กล่าว “พี่สุ่ย ข้าเป็นฉินหยุนตัวจริง ท่านไม่ต้องสัมผัสเพื่อยืนยันใด
แล้ว มั่นใจได้ ว่าข้าผู้นี้คือฉินหยุน!”

ตอนที่ 761 วิญญาณมังกร
ฉินหยุนคิดไปครู่หนึ่ง เขาทราบว่าความกังวลของมู่เฟิงไม่ไร้ซึ่งเหตุผล
แม้เขาช่วยเหลือตำหนักเซียนดาบมาก่อน กระนั้นก็มีแต่ตระกูลเจี้ยน
แห่งแคว้นมหาดวงดาวที่ติดค้างต่อเขา ส่วนตระกูลเจี้ยนจากแคว้น
อื่น ย่อมไม่คิดเห็นเช่นเดียวกันเป็นแน่
มู่เฟิงกล่าวอีกครั้ง “ฉินหยุน หากเจ้าได้รับอันดับหนึ่ง นั่นย่อมเป็น
การกระตุ้นให้เกิดความบาดหมางภายในตระกูลเจี้ยน แน่นอนว่าก็
เป็นเพียงข้าคาดเดา!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเอ่ยคำ “พี่ชาย ท่านไม่จำเป็นต้องได้รับอันดับหนึ่ง
เพียงแต่ไปจัดการเจี้ยนหนันหู่นั่น!”
“พวกเราไว้ว่ากล่าวยามเมื่อถึงเวลา” ฉินหยุนยิ้มตอบ “บางทีข้าอาจ
ไปไม่ถึงสิบอันดับแรกด้วยซ้ำ”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยไม่คิดเช่นนั้น นางเชื่อ ว่าฉินหยุนอย่างไรแล้วก็แข็งแกร่ง
เลิศล้ำ
มู่เฟิงกล่าวขึ้น “เจ้าลงทะเบียนการแข่งขันจารึกที่ตำหนักจารึกเทวะ
ได้เลย และควรไปเสียแต่ตอนนี้”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยทราบดี จึงเร่งรีบนำฉินหยุนไปลงทะเบียน ฉินหยุนตั้ง
ชื่อปลอมเพื่อเข้าร่วม กระทั่งให้เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเลือกให้ นามจึงเป็น
เชี่ยวหยุน
“เหล่ามู่ไปแล้ว พี่ชาย พวกเราควรได้เริ่มกันเสียที” เชี่ยวเย่ว์เหม่ย
นำเอากระจกออกมาพลางหัวเราะกล่าว
นางทราบว่าฉินหยุนต้องการให้ช่วยเหลืออันใด ฉินหยุนและเชี่ยว
เย่ว์เหม่ยเข้าสู่ห้องเงียบสงบ เป็นห้องลับที่แข็งแกร่ง
ฉินหยุนหัวเราะกล่าว “เย่ว์เหม่ย ตอนนี้ข้าได้รับจารึกวิญญาณอื่น
มาแล้ว!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยวางกระจกน้อยที่หน้าท้องฉินหยุนพลางกล่าวถาม
“เป็นจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวที่พี่หยางมอบให้ท่าน?”
ฉินหยุนหัวเราะซุกซนดังออกมา เขาไม่กล่าวอันใด แต่ขณะเชี่ยวเย่ว์
เหม่ยกำลังคัดลอกจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาว นางพลันได้เห็นจารึก
วิญญาณอีกหนึ่ง นางพิจารณาต้องการทราบว่าคือจารึกวิญญาณใด
และนั่น มันทำให้ดวงตาของนางเบิกออกกว้าง ทั้งยังอ้าปากค้างมอง
ฉินหยุนอย่างไม่อาจเชื่อ
“เย่ว์เหม่ย แม้การฝึกฝนข้าก้าวหน้าไม่มาก กระนั้นผลลัพธ์ที่เก็บ
เกี่ยวมาได้ถือว่าเลิศล้ำจริง!” ฉินหยุนหยิกที่แก้มเชี่ยวเย่ว์เหม่ยซึ่ง
กำลังตื่นตะลึง
“พี่ชาย ท่านช่างยอดเยี่ยมนัก ฮ่าฮ่าฮ่า!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะอารมณ์ดี
“ชี่!” ฉินหยุนพลันทำท่าทางให้นางลดเสียง
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยจึงกล่าวถามเสียงเบา “พี่ชาย ท่านได้รับจารึกวิญญาณ
นายหญิงจันทรามาได้อย่างไร? ข้าได้ยินว่าภายในเก้าแดนอ้างว้าง
จารึกวิญญาณนายหญิงจันทรามีมากที่สุดก็เพียงสาม!”
“เย่ว์เหม่ย จะบอกว่าเจ้าไม่ทราบหรือ ว่าตัวข้าในชาติภพก่อนมีจารึก
วิญญาณนายหญิงจันทรา?” ฉินหยุนขมวดคิ้วเอ่ยถาม
“อดีตก็คืออดีต มันจะติดตัวท่านมาถึงตอนนี้ได้อย่างไร?” เชี่ยวเย่ว์
เหม่ยกล่าว
“เป็นตัวข้าในอดีตได้ส่งต่อมันมาให้!” ฉินหยุนหัวเราะก่อนจะอธิบาย
เรื่องชนเผ่านักรบให้เชี่ยวเย่ว์เหม่ยได้ฟัง
“ข้าทราบว่าเย่ว์โยวเข้าใจท่านผิด นางช่างโง่เขลานัก! นางเสียเวลา
ไปหนึ่งหมื่นปีก็ยังไม่อาจได้รับจันทราทมิฬ รอข้าไปถึงแดนเซียน
อ้างว้าง เมื่อนั้นจะเยาะเย้ยนางจนตายตก!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพอได้ทราบ
ว่าฉินหยุนครอบครองจันทราทมิฬ นางอุทานกล่าวคำนับถือออกมา
“เย่ว์เหม่ย จันทราทมิฬนี้สำคัญต่อการสร้างพระราชวังกวงหานขึ้นมา
ใหม่งั้นหรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม “ข้าต้องการส่งมันกลับคืนให้พี่หยาง!”
“ไม่จำเป็นต้องให้พี่หยาง ในเมื่อท่านได้รับ ก็หมายความถึงเป็นโชค
ชะตาของท่านกับจันทราทมิฬ พี่หยางย่อมไม่คิดรับไว้แน่” เชี่ยวเย่ว์
เหม่ยหัวเราะอย่างมีเลศนัย “พี่หยางรักท่านมากมายเพียงนั้น ย่อมไม่
คิดฉกชิงสิ่งของจากท่าน!”
“อย่าได้คิดอันใดไปไกล!” ฉินหยุนหยิกที่แก้มเชี่ยวเย่ว์เหม่ย “พวก
เราก็ควรเริ่มกันได้แล้ว”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกลายเป็นจริงจัง กระจกน้อยถือไว้ในมือ นางกล่าว
“พี่ชาย จารึกวิญญาณใดที่ท่านต้องการสกัดออกมา?”
“จารึกวิญญาณจ้าวเต๋า!” ฉินหยุนตอบกลับ “เจ้าได้คัดลอกมันจากผู้
อาวุโสหลิงหลงแล้วใช่หรือไม่?”
“ใช่!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพยักหน้ารับ นางกล่าวถามเสียงเบา “พี่ชาย หาก
ท่านมีจารึกวิญญาณจ้าวเต๋า นั่นไม่ใช่หมายความว่าก้าวถึงการเป็น
อาจารย์จารึกเต๋าแล้วหรือ?”
ฉินหยุนคิดไปครู่ เขาส่ายศีรษะ “ข้าไม่มั่นใจเท่าใดนัก เพียงสกัดมัน
ออกมาก่อน ภายหลังค่อยทราบแล้ว!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหลับตาลงและกล่าว “ข้าจะให้จารึกวิญญาณจ้าวเต๋า
ปรากฏบนกระจก!”
โดยทันที ฉินหยุนได้เห็นจารึกวิญญาณจ้าวเต๋าปรากฏขึ้น มันปรากฏ
ขึ้นพร้อมอักขระประหลาดก่อตัว!
“เย่ว์เหม่ย จำครั้งที่พวกเราช่วยหงหลันสกัดเอาวิญญาณยุทธ์กล้วยไม้
แดงออกมาได้ใช่หรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ย่อมจำได้! ทว่าสถานการณ์ตอนนี้ออกจะยากกว่าครั้งนั้น ในตอน
นั้นเป็นวิญญาณยุทธ์ ทว่าครั้งนี้เป็นจารึกวิญญาณ พวกมันแตกต่าง
กันมาก!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว
“เป็นเช่นนั้น ข้าเองก็ไม่ทราบว่าเรื่องนี้จะสำเร็จได้หรือไม่” ฉินหยุน
กล่าวพลางนำไข่มุกผนึกวิญญาณจำนวนมากออกมา วิญญาณยุทธ์
ทั้งหลายต่างถูกผนึกเอาไว้ที่ภายในนั้น
วิญญาณยุทธ์อัดแน่นด้วยพลังจิตวิญญาณ มันคือรากฐานของการขัด
เกลาวิญญาณ
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว “จารึกวิญญาณ จำเป็นต้องใช้พลังจิตวิญญาณ
มากมายมหาศาล!”
นางเองก็นำเอาไข่มุกผนึกวิญญาณจำนวนมากออกมา เหล่านี้เป็น
นางรวบรวมเป็นเวลาหลายปี ไข่มุกผนึกวิญญาณที่ฉินหยุนและเชี่ยว
เย่ว์เหม่ยนำออกมา พวกมันวางไว้เป็นกองสูงถึงสองเมตร
“ข้ายังมีวิญญาณยุทธ์ที่ดีอีกมาก พวกมันล้วนเป็นระดับทองม่วง!”
ฉินหยุนกล่าว “ทว่าข้าไม่คิดอยากใช้พวกมันเท่าใดนัก”
เย่ว์เหม่ยหัวเราะ “ใช้พวกมันหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ตัวข้ามี
รากฐานที่ดีแล้ว! พี่ชาย ตอนนี้ข้าสามารถใช้พลังจากวิญญาณยุทธ์ถึง
ห้าอย่างได้แล้ว!”
ฉินหยุนเผยความยินดี “เย่ว์เหม่ย เจ้านับวันยิ่งมีแต่น่าทึ่ง!”
“เริ่มกันได้แล้ว” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว นางรวบรวมพลัง จากวิญญาณ
ยุทธ์กระจก นางบังคับนำเอาพลังจิตวิญญาณของจารึกวิญญาณจ้าว
เต๋าออกมา
ฉินหยุนนำไข่มุกผนึกวิญญาณพิเศษเผยออก เขาชักนำพลังจิต
วิญญาณของจารึกวิญญาณจ้าวเต๋าเข้าสู่ไข่มุกผนึกวิญญาณ
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเผยยิ้ม “มีแต่พลังจิตวิญญาณที่ปล่อยออกจากกระจก
ของข้า จึงสามารถคัดลอกร่างจิตวิญญาณได้!”
ฉินหยุนพยักหน้ารับ “ถูกต้อง! กระทั่งว่าข้ามีวิญญาณยุทธ์ตะวัน
ทมิฬ ก็ยังไม่อาจใช้พลังจิตวิญญาณพิเศษเช่นนี้ออกมาได้!”
จารึกวิญญาณจ้าวเต๋าคงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง มันเผยแสงพลังจิต
วิญญาณอ่อนจางจนแทบไม่อาจมองเห็นด้วยดวงตา มีแต่ต้องใช้พลัง
จิตอันแข็งแกร่งจึงสัมผัสถึงได้ ฉินหยุนใช้วิชาลับของเคล็ดวิชาขัด
เกลาวิญญาณ ทำการปลดปล่อยพลังของวิญญาณยุทธ์ออกจากไข่มุก
ผนึกวิญญาณ จากนั้นจึงใช้พวกมัน เพื่อเป็นแหล่งพลังให้แก่พลังจิต
วิญญาณของจารึกวิญญาณจ้าวเต๋า
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเวลานี้อยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ พลังจิตของนางก้าวหน้า
ดังนั้น นางจึงสามารถดำเนินงานต่อเนื่องได้โดยไม่ต้องหยุดพักบ่อย
ครั้ง
“พี่ชาย สภาพตอนนี้เหมือนกำลังก่อกำเนิดเมล็ดพันธุ์ขึ้นมา กระนั้น
แม้เป็นเมล็ดพันธุ์ก็ยังไม่ใช่ที่สมบูรณ์!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยมองไข่มุกผนึก
วิญญาณที่ว่างเปล่า นางกล่าวพร้อมเผยยิ้มบาง
“เป็นเช่นนั้น จารึกวิญญาณจ้าวเต๋าย่อมแตกต่าง!”
ฉินหยุนใช้งานวิญญาณยุทธ์ไปกว่าหนึ่งร้อยแล้ว กระนั้น มันก็ยังไม่
อาจควบแน่นเมล็ดพันธุ์จิตวิญญาณแม้เศษเสี้ยวออกมา ตราบเท่าที่
เขาควบแน่นเมล็ดพันธุ์จิตวิญญาณ นั่นหมายความถึงสำเร็จครึ่งทาง
แล้ว ส่วนที่เหลือจะขึ้นอยู่กับเวลา เชี่ยวเย่ว์เหม่ยใช้กระจกของนาง
ปลดปล่อยพลังจิตวิญญาณของจารึกวิญญาณจ้าวเต๋าออกมาต่อเนื่อง
ตอนนี้สีหน้าของนางเคร่งเครียด ทั้งที่ตอนเริ่มงาน นางยังหัวเราะ
พลางสนทนากับฉินหยุนไปเรื่อย
ผ่านไปครึ่งวัน คิ้วน้อยของนางเริ่มขมวด ใบหน้าเริ่มเผยอาการหนัก
อึ้งออกมา ฉินหยุนหาได้ผ่อนคลายเช่นกัน ไม่เพียงแต่เขาต้องขัดเกลา
วิญญาณยุทธ์ เขายังต้องปลดปล่อยพลังจิตปริมาณมหาศาลออกมา
เพื่อรวบรวมพลังของวิญญาณยุทธ์เข้าด้วยกัน ก่อนจะนำส่งให้พลัง
จิตวิญญาณของจารึกวิญญาณจ้าวเต๋าได้ดูดกลืน
สองวันผ่านพ้น ไข่มุกผนึกวิญญาณจำนวนมหาศาลที่ฉินหยุนและ
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยนำออกมา เวลานี้ทั้งหมดสูญเสียสีสันที่มีแต่เดิม นั่น
หมายความถึง วิญญาณยุทธ์ที่บรรจุไว้ถูกใช้งานหมดสิ้นแล้ว!
“ใช้วิญญาณยุทธ์มากมายขนาดนี้ ก็ยังไม่อาจก่อตัวเมล็ดพันธุ์จิต
วิญญาณขึ้นมาได้!” ฉินหยุนกัดฟันแน่น เขาได้แต่นึกเสียใจก่อนจะ
นำเอาวิญญาณยุทธ์ล้ำค่าออกมา
“หากเป็นวิญญาณยุทธ์ในตำนาน หรือวิญญาณยุทธ์แห่งสวรรค์
อย่างนั้นก็อาจทำสำเร็จได้!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว “จารึกวิญญาณ คือ
สิ่งที่ยากสร้างขึ้นมาอย่างแท้จริง!”
ฉินหยุนถอนหายใจยาว เขานำเอาวิญญาณยุทธ์ที่ดีเหล่านี้ออกมาเพื่อ
ขัดเกลา
“พี่ชาย เหตุใดจึงเลือกจารึกวิญญาณจ้าวเต๋า จารึกวิญญาณโทเทมไม่
ดีหรือ?” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเอ่ยถาม
“ข้าเดิมคิด ว่าทรัพยากรในมือจะพอให้สกัดทั้งสองออกมาได้!” ฉิน
หยุนถอนหายใจ “ทว่าเป็นข้าคิดอ่านผิดพลาดไป”
“ความเห็นข้า จารึกวิญญาณโทเทมจะยิ่งยากกว่านี้! ความเข้าใจต่อ
ร่างจิตวิญญาณบอกต่อข้า ว่าจารึกวิญญาณโทเทมนั้นทรงอำนาจยิ่ง
กว่า!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเผยยิ้ม “หากท่านเลือกขัดเกลาจารึกวิญญาณโท
เทม ข้าเกรงว่ามันคงจะต้องใช้ทรัพยากรระดับมหาศาล!”
ฉินหยุนคิดตาม เขาพบว่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก จารึกวิญญาณโทเทม
ไม่ใช่สิ่งปกติทั่วไปแต่แรก ดังนั้นแล้ว คิดสร้างขึ้นมาย่อมยากเย็นยิ่ง
กว่า
“เป็นข้ายังไม่รู้และเข้าใจมันดีพอ” ฉินหยุนเร่งรีบใช้งานวิญญาณ
ยุทธ์ชั้นดีในมือจนหมด
ตอนนี้ ทั้งฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ยต่างไม่มีวิญญาณยุทธ์ใด
หลงเหลือแล้ว
“อา…” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยมองฉินหยุนด้วยรอยยิ้มขื่นขม นางเป็นกังวล
ยิ่ง “พี่ชาย หากพวกเราหยุดที่ตรงนี้ พวกเราจะสูญเสียสิ่งที่ลงทุน
ทั้งหมดไป วิญญาณยุทธ์เหล่านั้นเป็นพวกเราพยายามอย่างหนัก
สะสมตลอดหลายปีมานี้!”
“ก็ได้ คงต้องให้วิญญาณยุทธ์ข้าเสียสละบ้างแล้ว”
ฉินหยุนถอนหายใจยาว พร้อมให้หลิงหยุนเอ๋อควบคุมวิญญาณยุทธ์
ตะวันทมิฬ ปลดปล่อย “จิตวิญญาณโลหิต” ออกมา วิญญาณยุทธ์ของ
ฉินหยุนแข็งแกร่งมากล้ำ นอกจากนี้ เขายังมีอำนาจการรักษาตนเอง
กล้าแกร่ง กระนั้นเขาก็ไม่อาจให้มันต้องแบกรับความเจ็บปวดจน
เกินไปได้ ไม่อย่างนั้น เขาคงถูกวิญญาณยุทธ์ตนเองปฏิเสธ นั่นคือ
สิ่งที่หลิงหยุนเอ๋อบอกกล่าวต่อเขา เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเองก็ไร้ซึ่งความคิด
อื่นใดแล้ว นางเริ่มปลดปล่อยพลังจิตวิญญาณออกจากวิญญาณยุทธ์
ของนาง มันคือสิ่งที่ปลดปล่อยเพิ่มเติมออกจากกระจกของนาง
“เสี่ยวหยุน ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เจ้าจับมังกรมาได้หรือ? วิญญาณมังกร
ของมังกรนั่นสมควรต้องแข็งแกร่งไม่ใช่น้อย” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
“วิญญาณยุทธ์ที่ข้าใช้ พวกมันมากมายล้วนมาจากจักรพรรดิยุทธ์
และครึ่งเซียน ทั้งหมดจารึกวิญญาณจ้าวเต๋ากินไปหมดสิ้น สุดท้ายก็
ยังไม่พอ!” ฉินหยุนกล่าว
“จิตวิญญาณสัตว์และจิตวิญญาณมนุษย์แตกต่างกัน จักรพรรดิยุทธ์
และครึ่งเซียนเหล่านั้น ไม่ใช่ทุ่มเทพลังทั้งหมดใส่ไว้ในวิญญาณยุทธ์
พวกมันคงอยู่ที่แก่นเต๋าและผลึกแก้วชีวิต แต่กับสัตว์ พวกมันจะมี
พลังอันแข็งแกร่งคงอยู่ภายในร่างจิตวิญญาณ” หลิงหยุนเอ๋ออธิบาย
ฉินหยุนนึกขึ้นได้ บรรพบุรุษราชสีห์สวรรค์ได้หลงเหลือจิตวิญญาณ
ราชสีห์สวรรค์ไว้ให้แก่เขา สิ่งนั้นมีความเลิศล้ำอย่างแท้จริง
เช่นนี้ ฉินหยุนจึงส่งเสียงเอ่ยถามต่อเหยาเฟิงที่ภายในไข่มุกเม็ดที่
สามของวิญญาณเทวะเก้าตะวัน “พี่สาวเหยาเฟิง พอจะช่วยข้าจัดการ
ปัญหาเล็กน้อยได้หรือไม่?”
“เร่งรีบกล่าวมา” เหยาเฟิงตอบคำ
“ข้าจับตัวมังกรมาได้ ข้าต้องการไข่มุกมังกรและวิญญาณมังกร มังกร
ตัวนั้นแข็งแกร่ง ถูกขังเอาไว้ในหม้อราชสีห์สวรรค์สะกดมังกร ข้า
คิดปลดปล่อยมังกรนั่นสู่ไข่มุกเม็ดที่สาม จากนั้นท่านช่วยลงมือ
สังหารมัน!” ฉินหยุนกล่าว
“ได้!” เหยาเฟิงรับคำรวดเร็ว
“พี่สาวเหยาเฟิง ข้ายังต้องการเนื้อมังกรเพื่อใช้ป้อนนกกระจอกลึกล้ำ
เก้าสวรรค์ด้วย!” ฉินหยุนกล่าวอีกครั้ง
“ข้ามีทาสเงาให้กลืนกินแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องการเนื้อเน่าพวกนั้น!
ดังนั้นวางใจได้!” เหยาเฟิงฮึมฮัม
ฉินหยุนนำหม้อราชสีห์สวรรค์สะกดมังกรออกมา ใส่มันเข้าไปใน
ไข่มุกเม็ดที่สามของวิญญาณเทวะเก้าตะวัน เพื่อให้เหยาเฟิงได้ปลด
ปล่อยมังกรออกมาจากที่ภายในมิติ
ไม่ช้า เหยาเฟิงจึงกล่าว “ของเล่นที่ดี! ก็เหมือนงูน้อยตัวหนึ่ง! นี่ยัง
ไม่พอให้ข้าต้องใช้ฟันเคี้ยวเลย!”
ฉินหยุนมุมปากกระตุก มังกรตัวนั้นแข็งแกร่งเลิศล้ำ กระนั้น เหยา
เฟิงกลับมองเหยียดต่อมันทุกกระเบียดนิ้ว หากมังกรอสูรได้ทราบ
มันคงต้องตายซ้ำด้วยความโศกา ฉินหยุนรับหม้อราชสีห์สวรรค์
สะกดมังกรคืนกลับ จากนั้นจึงค่อยนำเอาวิญญาณมังกร และไข่มุก
มังกรออกจากด้านใน
“พี่ชาย ไข่มุกมังกรและวิญญาณมังกรนี่ยังสดใหม่! อย่าได้บอกแล้ว
ว่ามังกรของตระกูลหลงที่หายไปเป็นฝีมือท่าน?”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยมองที่ไข่มุกมังกรอย่างนึกทึ่ง ภายในของมันคือวิญญาณ
มังกร
“นี่เจ้าทราบเรื่องตระกูลหลงสูญเสียมังกรได้อย่างไร?” ฉินหยุนขมวด
คิ้วเอ่ยถาม
“มันถือเป็นเรื่องใหญ่! ผู้คนล้วนทราบเรื่อง! ตระกูลหลงกำลังสืบหา
อย่างจริงจัง! พวกนั้นสงสัยว่าหลงเฉียวเฟิงเป็นผู้กระทำ กระนั้นก็ยัง
คิดว่านางไม่อาจทำ กำลังของนางไม่มีทางทำได้ เพียงแต่กล่าวว่านาง
ร่วมมือกับผู้อื่น นอกจากนี้ หลงเฉียวเฟิงในเวลานี้ก็ยังหายสาบสูญ!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเผยยิ้มซุกซน “พี่ชาย ท่านช่วยเหลือหลงเฉียวเฟิงแกะสลัก
อักขระโทเทมมังกรที่วิญญาณยุทธ์ โฮ่โฮ่… ไม่สงสัยเลยว่าพวกท่าน
ร่วมมือกันก่อเรื่องนี้ขึ้น!”

ตอนที่ 760 ตำหนักเจ็ดเซียนดาบ
ฉินหยุนไม่ทราบสถานการณ์แน่ชัดของงานชุมนุมยุทธ์ดาบ เขาเพียง
รู้สึก ว่ามันไม่มีอะไรให้เขาต้องใส่ใจมากมาย อย่างไรแล้ว มันก็
เปรียบดังงานรวมตัวแสดงแสนยานุภาพของกองกำลังชั้นนำ เขาที่
เป็นอาจารย์ยุทธ์ตัวจ้อย จึงไม่คิดอยากหน้ามืดตามัวเข้าร่วมหาความ
สนุก
ด้วยความคิดเช่นนี้ ถือว่าฉินหยุนประเมินตนเองต่ำเกินไป เพราะเจี้ยน
สือเทียนและคณะต่างคาดหวังว่าเขาจะปรากฏตัวขึ้น ในงานประลอง
ยุทธ์ครั้งก่อนหน้า ฉินหยุนเพียงขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับต้น
กระนั้น เขากลับพลิกสถานการณ์ช่วยเหลือทั้งตำหนักเซียนดาบจาก
ความสูญเสียครั้งใหญ่มาได้
แม้ว่าฉินหยุนเดินทางไปยังเกาะแห่งดาบ กระนั้นเขาก็ไม่คิดแสดง
ตัวตนแต่อย่างใด เพราะตัวเขาได้ล้าหลังผู้อื่นไปมาก ทั้งยังกังวลว่า
จะกลายเป็นที่ขบขัน
“เสี่ยวหยุน งานชุมนุมยุทธ์ดาบย่อมต้องมีการประลองยุทธ์ขันแข่ง
เหตุใดเจ้าไม่ไปรับชมเสียหน่อยเล่า?” หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะกล่าวคำ
“ย่อมไม่ ตัวข้าตอนนี้อยู่ห่างไกลจากขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำมากนัก!
งานชุมนุมยุทธ์ดาบเป็นการรวมตัวของอัจฉริยะจากหลายแคว้น ทั้ง
ส่วนใหญ่ยังอยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ ตัวข้าเสนอหน้าออกไปก็มีแต่
จะถูกหยามเหยียด” ฉินหยุนกล่าว
“เจ้าครอบครองร่างเซียนอสูร นั่นมากพอให้มีหน้ามีตาแล้ว!” หลิง
หยุนเอ๋อตอบคำกลับมา
“หากเป็นยอดยุทธ์ชั้นสวะทั่วไป นั่นคงไม่มีปัญหา กระนั้นที่มา
รวมตัวกันมีแต่อัจฉริยะ! พวกเขาทุกคนมีอำนาจใหญ่หนุนหลังกัน
ทั้งสิ้น” ฉินหยุนถอนหายใจ “หากข้าสามารถใช้งานอาวุธ เช่นนั้นจึง
ค่อยไม่หวาดเกรงใด!”
หากฉินหยุนใช้งานอาวุธ ชัยชนะย่อมตกแก่เขาอย่างนอนมา
หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะกลับมา “ก็แค่การท้าทายที่ดูยากขึ้นมาบ้าง!”
ฉินหยุนคิดไปครู่จึงค่อยตอบ “ก็ได้ หากถึงเวลาข้าจะลองดู! ดูเหมือน
พี่หยางเองก็มาเข้าร่วมงานนี้เช่นกัน!”
ฉินหยุนเดินทางลำพัง จึงต้องเดินทางแต่ตอนกลางคืน และไม่นาน
นัก เขาจึงมาถึงเกาะแห่งดาบ ระหว่างทาง เขายังได้พบเจอหลายผู้คน
ที่มุ่งหน้ามาสถานที่เดียวกัน
ฉินหยุนเงยหน้ามองขึ้นท้องฟ้าจากเบื้องล่าง ภายในต้องลอบตระหนก
ตื่นเต้น ด้านบนคือเกาะใหญ่ยักษ์ลอยฟ้าสองแห่ง หนึ่งคือเกาะแห่ง
ดาบดั้งเดิม เวลานี้กลับกลายเป็นเล็กลงมา และเกาะแห่งดาบที่สอง
ซึ่งอยู่เหนือขึ้นไปหนึ่งหมื่นเมตร เวลานี้มันคือเกาะที่ใหญ่ยิ่งกว่าเกาะ
เดิม ทั้งเกาะราวกับถูกสร้างขึ้นจากเหล็กสีดำที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
“กำลังโดยรวมของตระกูลเจี้ยนนี้น่าสะพรึงกลัวนัก! อาจารย์จารึก
เต๋าน้อยคนที่จะสามารถสร้างเกาะลอยฟ้าชวนสะพรึงระดับนี้ได้!”
ฉินหยุนบินขึ้นไปด้วยอาการตระหนกตกใจ
เกาะแห่งดาบเดิมอยู่เบื้องล่าง ทว่าไม่ได้ถูกทิ้งร้าง ยังคงเป็นเมืองที่มี
การใช้งาน สำหรับเกาะแห่งดาบด้านบน มันใช้เพื่อสำหรับทั้งตระกูล
เจี้ยน และเวลานี้เปิ ดประตูอ้ารับต่อบุคคลภายนอกเนื่องจากงานชุมนุม
ยุทธ์ดาบ ฉินหยุนที่ขึ้นมาแล้ว เขาได้ยืนตรงหน้าประตูใหญ่ สัมผัส
ได้ถึงม่านพลังอันแข็งแกร่งเลิศล้ำของเกาะแห่งดาบนี้
“เหมือนว่าเราจะใช้ความสามารถเทวะทะลุทะลวงเข้าไปได้!” ฉิน
หยุนคิดกับตนเอง
เพื่อเข้าสู่เกาะแห่งดาบ หนึ่งคือจำเป็นต้องอยู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ
และจ่ายเงินมากถึงห้าแสนเหรียญม่วง! ฉินหยุนต่อแถวรอเข้าประตู
หลังได้ยืนยันระดับการฝึกฝนและจ่ายเหรียญม่วงเรียบร้อย เขาจึงเข้า
มาได้อย่างราบลื่น
“เย่ว์เหม่ย เย่ว์เหม่ย เร่งรีบออกมาพบพี่ชายผู้นี้ ข้าอยู่ที่ประตูหน้า!”
ฉินหยุนนำเปลือกหอยสื่อสารออกมาส่งถ้อยคำออกไป
เปลือกหอยสื่อสารนี้เซี่ยวเสวียนฉินมอบไว้ให้แก่เขา ในตอนนั้น
เขาไม่ได้คิดเข้าไปยังเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ ดังนั้นเซี่ยวเสวียน
ฉินจึงมอบไว้ให้ เพื่อที่เขาจะได้กลับไปรวมตัวกับเย่ว์เหม่ยและผู้อื่น
ที่เมือง
เพียงไม่นาน น้ำเสียงตื่นเต้นยินดีของเซี่ยวเย่ว์เหม่ยจึงส่งมาผ่าน
เปลือกหอยสื่อสาร
“พี่ชาย รอที่นั่นอย่าได้ไปไหน ข้ากำลังไปแล้ว!”
ฉินหยุนที่เข้าประตูมาแล้ว จึงเดินเล่นรับชมวนรอบ พลางมองที่
ศูนย์กลางของเกาะ ที่ตรงกลางของเกาะแห่งดาบใหม่นี้ มันมีวงล้อม
ที่ตรงกลาง มองเพียงครั้งเดียวย่อมทราบ ว่านั่นคือแกนกลางของ
ตำหนักเซียนดาบ หลายผู้คนต่างเดินเข้าไปและได้พบเห็นเจ็ดดาบ
จากระยะไกล พวกเขาล้วนต้องอึ้งทึ่ง
“ในแดนวิญญาณอ้างว้างมีเจ็ดตระกูลเจี้ยน แต่ละตระกูลต่างครอบ
ครองดาบเซียนทรงอำนาจ เวลานี้ พวกเขาได้จำลองขยายขนาดดาบ
เซียนเพื่อใช้งานตั้งเป็นค่ายอาคม ช่างยอดเยี่ยมนัก!”
“หากเทียบตระกูลเจี้ยนและตระกูลหลง สงสัยนักว่าผู้ใดจึงแข็งแกร่ง
ที่สุด!”
“ได้ยินมาว่าตระกูลหลงมีสิบมังกร และพวกมันล้วนเป็นตัวตนอัน
เหนือล้ำ!”
“คิดว่าอย่างไรตระกูลเจี้ยนก็แข็งแกร่งกว่า เพราะพวกเขาล้วนเป็นผู้
ฝึกตนดาบ! หลังได้ฝึกฝนดาบต้นกำเนิด พวกเขาสามารถสังหาร
ผู้อื่นที่มีระดับเหนือกว่าได้ง่ายดายนัก!”
“นั่นมันก็แล้วแต่สถานการณ์ ส่วนใหญ่จะเป็นในสถานการณ์ที่ผู้อื่น
ไม่อาจใช้งานอาวุธ ทว่าหากอีกฝ่ายใช้งานอาวุธ ความได้เปรียบของ
ผู้ฝึกตนดาบก็หาได้มากล้ำเพียงนั้น!”
กลุ่มคนพูดคุยกัน ว่าหากตระกูลหลงและตระกูลเจี้ยนเปิ ดศึกต่อกัน
ผู้ใดกันที่จะมีชัยเหนือกว่า
ไม่นานนัก ฉินหยุนจึงได้เห็นหญิงสาวสวมใส่ชุดสีน้ำเงินไว้ผมหาง
ม้าคู่ ครึ่งใบหน้าของนางถูกปิดบังเอาไว้ ทั้งยังกระโดดและโบกมือ
ให้แก่เขา เป็นเซี่ยวเย่ว์เหม่ย
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยพอมาถึง นางหุบยิ้มพร้อมดึงมือฉินหยุนเข้าหาตัว เวลา
นี้นางหัวเราะดังพร้อมกล่าว “พี่ชาย ข้าทราบอยู่แล้วว่าท่านต้อง
กลับมา! ฮ่าฮ่าฮ่า ราชันอย่างไรก็ต้องหวนคืน!”
ภายใต้ผ้าคลุมหน้า ฉินหยุนลูบที่ใบหน้างดงามของเซี่ยวเย่ว์เหม่ย
พร้อมกล่าว “ข้ามีเรื่องสำคัญต้องหารือกับเจ้า!”
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยดึงฉินหยุนเดินไปบนถนนเส้นใหญ่ นางกล่าวคำเบา
“พี่ชาย ตั้งแต่ท่านไม่อยู่ เจี้ยนหนันหู่ผู้นั้นมีแต่อหังการอวดดียิ่งขึ้น
เห็นได้ชัดว่าเสือออกจากป่ า ลิงไพร่ต่างขึ้นเป็นราชัน! ท่านต้องไป
สั่งสอนบทเรียนแก่เจ้านั่น!”
“เย่ว์เหม่ย ข้าเพียงเพิ่งถึงขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูงสุด!” ฉิน
หยุนถอนหายใจ
“ย่อมไม่เป็นไร ต่อให้ลิงไพร่เช่นเจี้ยนหนันหู่เป็นราชันยุทธ์ พี่ชายก็
สามารถเอาชนะมันได้!” เซี่ยวเย่ว์เหม่ยแค่นเสียงขึ้นจมูก
ฉินหยุนตามเซี่ยวเย่ว์เหม่ยเดินไปยังหอคอยสูง มองเพียงครั้งเดียว
ย่อมทราบ ว่านั่นคือตำหนักจารึกเทวะ เซี่ยวเย่ว์เหม่ยได้รับเหรียญ
ตราอาจารย์จารึกลึกล้ำ ดังนั้นที่ใดนางไป ย่อมสามารถเข้าใช้งาน
ตำหนักจารึกเทวะโดยไม่มีค่าใช้จ่าย กล่าวได้ว่ามันเป็นเหรียญตราที่
มีค่าแก่นางอย่างมากล้ำ มันทำให้นางสามารถใช้งานห้องชุดสุดหรู
ในตำหนักจารึกเทวะของทุกเมืองได้
“เย่ว์เหม่ย เจี้ยนหนันหู่รังแกเจ้าหรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ลิงโง่เช่นนั้นหรือรังแกข้าได้? มันไม่อาจ!” เซี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว
พร้อมสีหน้าเดียดฉันท์
“อย่างนั้นแล้วเหตุใดเจ้าไม่เข้าร่วมงานแข่งขันและจัดการเขาเสียเล่า?”
ฉินหยุนยิ้มกล่าว
หากเจี้ยนหนันหู่ได้ทราบ ว่าเซี่ยวเย่ว์เหม่ยเรียกหาตนเองเป็นลิง เมื่อ
นั้นเขาคงโกรธจนถึงขั้นคิดโจมตีอย่างไม่สนอื่นใด
“ข้าครอบครองความลับไว้มากมายนัก ดังนั้นจึงไม่อยากเปิดเผยออก
ไป และข้าเองก็ไม่ใช่ถนัดเรื่องต่อสู้ด้วย!” เซี่ยวเย่ว์เหม่ยยิ้มตอบกลับ
มา “พี่ชาย ท่านไปลงทะเบียน จัดการเจี้ยนหนันหู่ผู้นั้น พร้อมบอก
แก่มันว่าท่านคือฉินหยุน!”
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยได้เห็นฉินหยุนเผยท่าทีเฉยชา นางจึงหัวเราะกล่าว
เกลี้ยกล่อม “พี่ชาย ท่านปลอมตัวเป็นคนอื่นยังได้! อย่างเช่นให้ข้าใช้
ความสามารถเทวะ แปรเปลี่ยนท่านเป็นหญิงสาว จากนั้นค่อยใช้ร่าง
หญิงสาวนั้นเอาชนะเจี้ยนหนันหู่ให้มันถูกหยามเหยียดอย่างแรง!”
“เจ้านี่นะ อย่าได้คิดเอาแต่แปรเปลี่ยนข้าเป็นหญิงแล้ว!” ฉินหยุน
หยิกที่แก้มเซี่ยวเย่ว์เหม่ยพลางยิ้มต่อว่า
“พี่ชาย เหตุใดท่านไม่มองว่ามันน่าสนุก? ถึงตอนนั้น แม้กระทั่งพี่
หยางก็ไม่มีทางทราบว่าเป็นท่าน! อย่าได้กังวลไป ข้าจะแปรเปลี่ยน
ท่านให้เป็นท่านป้าผู้ชราภาพ เช่นนี้ท่านจะได้ไม่ถูกชายอื่นจ้องมอง
ด้วยความกลัดมัน!” เซี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะสุขสำราญใจ
ฉินหยุนแทบไม่ทราบว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ต่อสถานการณ์นี้ดี
ที่ทำได้ ก็มีแต่ดึงแก้มนางเพื่อเป็นการสอนสั่ง
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำแล้ว ด้วยพรสวรรค์ของ
นาง มันคงเป็นเรื่องแปลกหากผ่านไปหลายปีแล้วยังไม่อาจเลื่อน
ระดับพลัง
ตำหนักจารึกเทวะแห่งนี้ค่อนข้างอึกทึก ฉินหยุนติดตามเซี่ยวเย่ว์
เหม่ยไปพบคนรู้จัก อีกฝ่ายเป็นชายร่างอ้วน มู่เฟิงพบเห็นเซี่ยวเย่ว์
เหม่ยเช่นกัน แม้ร่างอีกฝ่ายอ้วน กระนั้นก็ไม่ใช่ชายผู้ปล่อยตัว ยาม
ได้เห็นเซี่ยวเย่ว์เหม่ยนำชายผู้หนึ่งมา เขาย่อมเกิดความสงสัย ดังนั้น
จึงเร่งรีบตามนางไป มู่เฟิงทราบ ว่าเซี่ยวเย่ว์เหม่ยครอบครองเหรียญ
ตราอาจารย์จารึกลึกล้ำ ก่อนหน้า เขากระทั่งร่วมมือกับเซี่ยวเย่ว์เหม่ย
เล่นละครปาหี่หลอกลวงผู้คนไปฉากหนึ่ง
“เหล่ามู่ ท่านกำลังลักลอบหาอะไร!” ฉินหยุนทราบว่ามู่เฟิงลอบ
ตามมา
“เจ้าหนู ถึงกับเป็นเจ้า!” มู่เฟิงยินดีเป็นล้นพ้น
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยมาถึงห้องชุดของนาง ประตูเปิดออก นำฉินหยุนและมู่
เฟิงเข้าสู่ภายใน จากนั้นนางจึงหันมองภายนอก เพื่อเป็นการยืนยันว่า
ไม่มีผู้ใดติดตามมาอีก จากนั้นประตูจึงค่อยปิดลง
“เหล่ามู่ ท่านมีธุระอะไรกับข้า?” เซี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าวถาม
“ฉินหยุนเป็นสหายข้า เขาได้เผชิญอันตรายและหลบหนีมีชีวิตรอด
มาได้ ดังนั้นข้าย่อมต้องการพบปะ!” มู่เฟิงกล่าว “ข้านึกว่าเขาตายไป
แล้ว กระทั่งต้องเสียน้ำตาให้!”
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยเบะปากกล่าวคำ “ผู้ใดกันเชื่อคำโป้ปดของท่าน!”
มู่เฟิงมองที่ฉินหยุนพร้อมกล่าวคำ “ฉินหยุน เจ้าคงได้เก็บเกี่ยวจาก
เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬครั้งใหญ่เลยกระมัง! กระทั่งเทือกเขา
นิราศจันทรายังเป็นแดนสมบัติ ข้าแทบไม่กล้าคิดว่าเขตแดนอ้างว้าง
จันทราทมิฬจะเป็นเช่นไร!”
ฉินหยุนยิ้มขื่นตอบกลับไป “เหล่ามู่ หากข้าเก็บเกี่ยวได้ครั้งยิ่งใหญ่
เช่นนั้นข้าคงก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำไปแล้ว!”
มู่เฟิงจึงกล่าวตอบด้วยใบหน้านึกเดียดฉันท์ต่อคำกล่าวอีกฝ่าย “ฉิน
หยุน แม้เจ้ายังไม่ถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ แต่เพียงเจ้าปรากฏตัว ก็ทำ
เอาผู้คนขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำกลัวจนตัวสั่นได้แล้ว อย่าได้ถ่อมตน
ไป ผู้ใดบ้างไม่ทราบกำลังเจ้า?”
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยพยักหน้ารับ “พี่ชาย ท่านต้องเข้าร่วมงานชุมนุมยุทธ์
ดาบ และสั่งสอนบทเรียนแก่ลูกลิงเจี้ยนหนันหู่นั่น!”
ฉินหยุนยิ้มส่ายศีรษะ “เย่ว์เหม่ย กล่าวตามตรง เจ้ามีข้อเบาะแว้งใด
กับเจี้ยนหนันหู่? ข้าจะช่วยเจ้าไกล่เกลี่ย ไม่ใช่การต่อสู้!”
มู่เฟิงหัวเราะดัง “ล่าสุด เด็กน้อยผู้นี้แสร้งทำตัวเป็นคนตระกูลเจี้ยน
คดโกงผู้คนไปมาก และถูกเจี้ยนหนันหู่จับได้! โชคดีที่ข้าอยู่ตรงนั้น
และร่วมมือกับนางได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้น นางคงถูกเปิดโปงไปแล้ว!”
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยจ้องมองมู่เฟิงค้อนกลับ
มู่เฟิงกล่าว “ฉินหยุน งานชุมนุมยุทธ์ดาบไม่ใช่เพียงแต่งานประลอง
ยุทธ์ธรรมดา แต่ยังมีการแข่งขันจารึก! การแข่งขันประลองยุทธ์แบ่ง
ออกเป็นหลายระดับ มีทั้งยอดยุทธ์ ราชันยุทธ์ และจักรพรรดิยุทธ์!
แน่นอนว่าเจ้าสามารถเข้าร่วมในการแข่งขันระดับยอดยุทธ์ได้!”
“การแข่งขันแรกที่เริ่มคือการแข่งขันจารึก ครั้งนี้ตระกูลเจี้ยนได้นำ
ของดีออกมาเผยในช่วงโค้งสุดท้ายพอดี!”
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยจึงถามขึ้น “มันคืออะไร? ตอนนี้ ผู้คนภายนอกต่างคาด
เดากันจนหาความจริงไม่เจอ!”
มู่เฟิงตอบกลับมา “ข้าย่อมมีแหล่งข่าวเชื่อถือได้ กล่าวกันว่าเป็น
อักขระตะวันชั้นเลิศ!”
อักขระตะวันชั้นเลิศ!
หางตาฉินหยุนกระตุกแรง อักขระนี้เป็นสิ่งที่เขาคิดอยากได้รับมา
โดยตลอด แม้โมโมสามารถมองเห็นเส้นมืดและซ่อมแซมอักขระที่
เสียหาย กระนั้นนางกลับไม่อาจคัดลอกอักขระตะวัน บรรทมเซียน
ตะวันจันทราย่อมมีอักขระตะวัน ทว่าโมโมไม่อาจเอื้อมมือได้ถึง
นั่นก็เพราะโมโมยังไม่แข็งแกร่งพอ!
“หากเป็นเพียงอักขระตะวันชั้นเลิศหนึ่งชุด นั่นก็ไร้ค่า!” ฉินหยุน
ส่ายศีรษะ
“ย่อมไม่ใช่หนึ่งชุด กล่าวกันว่ามีถึงหลายชุด!” มู่เฟิงกล่าว “ตัวข้าได้
ลงทะเบียนเข้าร่วมแข่งขันไปแล้วเช่นกัน! แน่นอนว่าความหวังชนะ
ค่อนข้างห่างไกล ตระกูลเจี้ยนและขั้วอำนาจใหญ่ทั้งหลาย ต่างก็ส่ง
อาจารย์จารึกเต๋าเข้าร่วม!”
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าวอย่างไม่ยินดี “แม้มีคนชนะ อักขระตะวันก็ยังอยู่
ในมือตระกูลเจี้ยนอยู่ดี!”
“ข้าจะไปลงทะเบียนเข้าร่วมการแข่งขันจารึก!” ฉินหยุนพลันกล่าว
“พี่ชาย ดีกว่าหากเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ด้วย แข่งขันจารึกยังมี
หวังอันใด? ท่านไม่มีทางเอาชนะอาจารย์จารึกเต๋าเหล่านั้นได้!”
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยเข้ามาเขย่าแขนฉินหยุน
“ข้าจะเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ด้วย เท่านี้ก็พอใจแล้วใช่หรือไม่?”
ฉินหยุนหัวเราะรับ
“ฉินหยุน หากเจ้าคิดเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ ดีที่สุดคืออย่าได้คว้า
อันดับหนึ่งมาครอง!” มู่เฟิงกล่าวออกด้วยสีหน้าจริงจัง
“เพราะอะไร?” ฉินหยุนและเซี่ยวเย่ว์เหม่ยถามเป็นเสียงเดียวกัน
“เพราะอันดับหนึ่ง ย่อมต้องเป็นการประลองระหว่างดาบและมังกร!
มันหมายความถึงการขันแข่งระหว่างตระกูลหลงและตระกูลเจี้ยน
หากเจ้าได้รับอันดับหนึ่ง ข้าเกรงว่า… ข้าเกรงว่าทั้งตระกูลหลงและ
ตระกูลเจี้ยนจะตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อเจ้า!” มู่เฟิงกล่าวความคิดของ
ตนออกมา

ตอนที่ 759 มังกรอสูร
ฉินหยุนหลบซ่อนและรับชม เขาไม่คิดว่าหลงเฉียวเฟิงจะต้องอยู่
อาศัยในสถานที่เช่นนี้ ไม่แปลกใจนัก ที่นางไม่เคยมีความรู้สึกที่ดีใด
ต่อตระกูลหลง
“หลงเฉียวเฟิง พวกเรานึกว่าเจ้าไปแล้วเสียอีก ดังนั้นจึงใช้ห้องเจ้า
เพื่อเป็นเล้าเลี้ยงปศุสัตว์ไปแล้ว! แต่หากเป็นเจ้า มาพักผ่อนห้องข้า
ยังได้ เดี๋ยวข้าจะทำให้เจ้ารับรู้ถึงความสำราญเอง!” ชายวัยกลางคน
หัวเราะดัง
ผู้อื่นที่นี้ต่างระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเช่นเดียวกัน
หลงเฉียวเฟิงพอได้ทราบ นางจึงหันกลับพร้อมคิดไปจากสวนแห่งนี้
แต่แล้วขณะนางคิดหันกลับไป จึงได้เห็นกลุ่มผู้เฒ่าหลายคนที่ทางเข้า
สวน หนึ่งในนั้นคือชายชราในชุดสีดำ ใบหน้าอีกฝ่ายเปี่ ยมด้วยความ
ชั่วร้ายชวนสะพรึงกลัว
“พวกเจ้า…” หลงเฉียวเฟิงพอได้เห็นชายชราในชุดดำ สีหน้าของ
นางกลับกลายเป็นดำมืด
“เฉียวเฟิง ทันทีที่เจ้ากลับมา ก็มีคนแจ้งต่อพวกเรา! ขอแสดงความ
ยินดีแล้ว เจ้าได้รับโอกาสอันหายากล้ำที่จะตอบแทนแก่ตระกูลหลง
แล้ว!” ชายชราชุดดำเผยยิ้มโฉดชั่ว “ด้วยเจ้าเป็นธิดาแห่งตระกูลหลง
กระนั้นกลับปลุกวิญญาณยุทธ์หงส์อมตะขึ้นมาได้ เหอะเหอะ!”
ก่อนหน้านี้ ฉินหยุนได้ยินจากปากคำหลงเฉียวเฟิง ว่าตระกูลหลงคิด
ฉกชิงวิญญาณยุทธ์หงส์อมตะของนาง และตอนนี้ พวกเขาตัดสินใจ
ลงมือแล้ว! ผู้อื่นภายในสวนต่างปิดล้อมหลงเฉียวเฟิงเอาไว้ ป้องกัน
ไม่ให้นางได้หลบหนี ชายชราชุดดำตรงหน้าคือราชันยุทธ์ และที่นี้
ยังมีขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำอีกหลายคน หลังปิดล้อมไว้ได้ หลงเฉียว
เฟิงจึงตกอยู่ในสภาพไร้ทางไป ใบหน้านางเวลานี้เผยออกซึ่งความ
สิ้นหวัง นางอดไม่ได้ที่จะสัมผัสไปที่สร้อยคอพร้อมส่งเสียงบอกต่อ
ฉินหยุน
“ฉินหยุน จงกลับไปเสีย! ตระกูลหลงได้ทิ้งครึ่งเซียนไว้ที่นี่
สถานการณ์อันตรายเกินไป!”
ฉินหยุนได้รับเสียงสื่อสารจากหลงเฉียวเฟิง ทว่าเขารับชมอยู่ที่
ด้านข้างนี้ และหลงเฉียวเฟิงไม่อาจได้ทราบ
สาเหตุที่หลงเฉียวเฟิงโกหกต่อเขา เพราะนางต้องการให้เขาไปจาก
ตระกูลหลง เป็นที่ทราบกันว่าฉินหยุนคือผู้เดียวที่นางสามารถร้อง
เรียกความช่วยเหลือ กระนั้น นางกลับยอมรับต่อเรื่องราว นางกังวล
ว่าจะสร้างความเดือดร้อนแก่ฉินหยุน และการกระทำนี้ ก็ทำให้ฉิน
หยุนต้องลอบประทับใจฝังแน่น!
ผู้คนรายล้อมหลงเฉียวเฟิง สีหน้าแต่ละคนเผยความคิดอย่างเด่นชัด
อาจกล่าวได้ว่าคนกลุ่มนี้เลวร้ายยิ่งกว่าเดรัจฉาน พวกเขาร้องตะโกน
เพื่อต้องการครอบครองร่างหลงเฉียวเฟิงเพื่อให้ได้ใช้ละเล่น
ผู้คนล้วนทราบ ว่าหากวิญญาณยุทธ์ของหลงเฉียวเฟิงถูกนำไป นาง
จะมีสภาพเป็นคนรอความตายผู้หนึ่ง กระนั้น หลงเฉียวเฟิงคือสาว
งาม ชื่อเสียงความงดงามของนางโด่งดังทั่วทั้งแคว้นมหาดวงดาว แม้
นางมีสภาพเป็นผู้รอความตาย ก็ยังมีหลายผู้คนคิดอยากได้เริงรมณ์
กับนาง
“แม้ข้าตาย พวกเจ้าก็ไม่มีวันได้อะไรไปจากข้า!” น้ำเสียงเย็นเยือก
ของหลงเฉียวเฟิงมาพร้อมกับความเศร้าโศก
ได้เห็นหลงเฉียวเฟิงในสภาพไร้ซึ่งทางสู้และสิ้นหวัง ฉินหยุนอด
ไม่ได้ที่จะนึกย้อนถึงเหตุการณ์ครั้งตนเองยังเด็ก เขาเองก็ถูกปิดล้อม
เช่นนี้ ชีพจรวิญญาณถูกนำออกไปให้แก่ผู้อื่น เช่นนี้ โทสะในใจของ
เขาจึงทะลักล้นออกมา!
ท้องฟ้าค่อนข้างมืดแล้ว ฉินหยุนใช้พลังเงาเพื่อหลบซ่อนในความมืด
ชายชราชุดดำเดินเข้าหาหลงเฉียวเฟิง ชัดเจนว่าคนผู้นี้คืออาจารย์ขัด
เกลาวิญญาณ ถึงตอนนี้ ชายวัยกลางคนที่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำได้
คว้าตัวหลงเฉียวเฟิงเอาไว้
ชายชราชุดดำผู้นี้มีสถานะสูงส่ง อย่างไรแล้ว เขาก็คืออาจารย์ขัดเกลา
วิญญาณที่หาตัวได้ยากมากล้ำ ขณะนี้ เขานำเอาไข่มุกออกมาพร้อม
เผยยิ้มชั่วร้าย “วิญญาณยุทธ์หงส์อมตะ เป็นวิญญาณยุทธ์สัตว์สวรรค์
อยู่กับเจ้ามีแต่เสียเปล่า!”
หลงเฉียวเฟิงคิดอยากทำลายตนเอง กระนั้นนางไม่อาจทำสำเร็จ นาง
ทำได้เพียงแต่ดิ้นรนขัดขืน พร้อมสบถก่นด่ากลุ่มคนตรงหน้า ชาย
ชราชุดดำหาได้ยี่หระพร้อมหัวเราะดัง ไข่มุกสีดำถูกยื่นออกมาใกล้
ผู้คนสายตาจับจ้องที่ไข่มุกสีดำ อีกเพียงก้าวเดียว วิญญาณยุทธ์ของ
หลงเฉียวเฟิงจะถูกแยกออกมาแล้ว!
ยามเมื่อความสนใจฝูงชนจับจ้องที่ไข่มุก ฉินหยุนได้ลักลอบเข้าถึง
ด้านหลังชายชราชุดดำเงียบงัน ชายชราเวลานี้จดจ่อกับไข่มุกในมือ
พยายามทำให้ไข่มุกดังกล่าวปลดปล่อยพลังการดึงดูดออกมา
“ตาเฒ่า ลงนรกไปเสีย!” ฉินหยุนนำเอากระบี่ศักด์ิสิทธ์ิวิญญาณ
ปรโลกออกมาพร้อมสับฟันที่ศีรษะชายชรา
ทุกสิ่งเกิดขึ้นเร็วเกินไป! ไม่มีผู้ใดคาดคิด ว่าราชันยุทธ์ผู้ซึ่งทรงพลัง
เหนือล้ำ ทั้งยังมีอุปกรณ์วิเศษป้องกันตนเองกับร่าง กลับต้องถูกแทง
ทะลวงผ่านศีรษะในพริบตา อาวุธดังกล่าวแทงทะลุศีรษะชายชราชุด
ดำ มันเป็นกระบี่ที่มีแต่รอยปริแตก! ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด คือหลังจาก
กระบี่นั้นแทงทะลวงเข้าไป มันได้ตรงเข้าดูดกลืนจิตวิญญาณของ
ชายชรา!
ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ!
ไม่นานจากนั้น มีดบินจำนวนหนึ่งพลันปรากฏพร้อมทิ่มแทงผู้คน
ฉินหยุนได้เสริมศักยภาพแก่มีดบินเหล่านี้โดยมีเหยาเฟิงช่วยเหลือ
นอกจากนี้แล้ว เขายังแกะสลักอักขระดวงดาวและจันทราแก่พวก
มัน
ผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำทั่วไปซึ่งไร้เกราะป้องกันที่ดี ชีวิตพวก
เขาไม่ต่างอะไรกับหญ้าข้างทาง ยอดยุทธ์ส่วนใหญ่ที่นี้ไม่ต่างอะไร
กับชนชั้นสวะ เพราะหากไม่ใช่ พวกเขาคงต้องไปเข้าร่วมงานชุมนุม
ยุทธ์ดาบกันถ้วนหน้าแล้ว
กลางค่ำคืน สวนแห่งนี้เงียบสงัด บนพื้นมีแต่ซากศพกระจัดกระจาย!
ฉินหยุนควบคุมมีดบินให้กลับคืนมา จากนั้นจึงช่วยเหลือหลงเฉียว
เฟิงให้ลุกขึ้น
หลงเฉียวเฟิงที่ได้เห็นมีดบิน นางจึงทราบ ว่าฉินหยุนได้ปรากฏตัวที่นี่
“เจ้าช่างโง่เง่านัก เป็นข้าติดตามเจ้ามาตลอดทาง!” ฉินหยุนหยิกที่
ใบหน้าของนาง “และเจ้าถึงขั้นหลอกลวงต่อข้า!”
ศีรษะของหลงเฉียวเฟิงก้มลงต่ำ ใบหน้านางนองด้วยน้ำตา
“นี่ หยุดร้องไห้ได้แล้ว!” ฉินหยุนช่วยปาดเช็ดคราบน้ำตาจากใบหน้า
ของนาง
“ขอบคุณ!” หลงเฉียวเฟิงสูดลมหายใจหนักขึ้นจมูก จากนั้นจึงปาด
เช็ดคราบน้ำตาที่เหลือ
“ครั้งแรกที่พบกัน เป็นเจ้าหวาดกลัวความเจ็บปวดและความตาย
กระนั้นเวลานี้เจ้ากลับไม่หวาดกลัวอันใด นี่ถือว่าพัฒนาขึ้นมากมาย
นัก!” ฉินหยุนหัวเราะหยอกล้อ จากนั้นจึงนำเอากระเป๋ ามิติเก็บของ
ออกมา นำร่างศพที่นี้เก็บใส่เข้าไปจนหมดสิ้น
หลงเฉียวเฟิงไม่ทราบว่าควรขอบคุณต่อฉินหยุนเช่นไรดี นางเพียงแต่
รู้สึก ว่านางติดค้างเขาไว้มากมายนัก และนางก็จะไม่มีวันตอบแทน
ความเมตตาที่อีกฝ่ายมีให้ได้หมดสิ้น
“ฉินหยุน เจ้าช่างยอดเยี่ยมนัก! ชัดเจนว่าเจ้ายังไม่ก้าวถึงขอบเขตวร
ยุทธ์ลึกล้ำ กระนั้นกลับสังหารผู้คนมากมายเหล่านี้ได้ในพริบตา!”
หลงเฉียวเฟิงถึงตอนนี้ค่อยอุทานกล่าวชื่นชม
“ข้าคืออาจารย์จารึก!” ฉินหยุนยิ้มตอบ “ไปกัน เร่งรีบนำข้าไปเอาตัว
มังกรนั่น!”
เขาดึงหลงเฉียวเฟิงให้ตามมา พร้อมกับใช้พลังเงาเพื่อกลมกลืนใน
ความมืด เขายังบอกต่อหลงเฉียวเฟิง ว่าให้ใช้เส้นทางซึ่งมืดที่สุด
เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ถูกผู้อื่นพบเห็น
สาเหตุที่ฉินหยุนช่วยเหลือหลงเฉียวเฟิงมาตลอด ก็เพื่อวันนี้! ต้อง
ทราบว่ามังกรของตระกูลหลง มันถูกเก็บซ่อนเอาไว้อย่างลึกล้ำและ
มิดชิด กระทั่งศิษย์ทั้งหลายของตระกูลยังไม่ทราบ
หลงเฉียวเฟิงได้สอบถามไปหลายครั้งคราก่อนจะได้ทราบสถานที่
อยู่ของมังกรตัวดังกล่าว และเวลานี้ นางก็กำลังนำฉินหยุนมุ่งหน้า
ไปสถานที่แห่งนั้น
หากหลงเฉียวเฟิงไม่นำทาง ฉินหยุนจะไม่มีทางคาดคิด ว่ามังกรจะ
ถูกซ่อนตัวอยู่ภายในเขตอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ พื้นที่แห่งนี้คล้ายถูก
ทิ้งร้าง หาได้มีผู้ใดใช้ชีวิตอาศัย กลางคืนจึงมืดมิดสนิท
“ที่นี่หรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถามผ่านเสียงสื่อสาร
“มันอยู่เบื้องล่าง!” หลงเฉียวเฟิงกล่าวตอบ “ทว่ายังคงมีม่านพลัง
แข็งแกร่ง มันไม่อาจทะลวงผ่านไปโดยความสามารถเทวะ!”
“อย่างนั้นก็ใช้ทางเข้าหลัก!” ฉินหยุนตอบ
หลงเฉียวเฟิงนำฉินหยุนสู่ตรงกลางหมู่บ้านที่ทรุดโทรม ไม่นาน ทั้ง
สองจึงได้เห็นโคมไฟทั้งสองแขวนไว้ที่หน้าทางเข้าสวน ฉินหยุน
ทราบทันที ว่ามันคือทางเข้าสู่พื้นที่ใต้ดินของสวน กลุ่มบ้านเก่าแก่
เหล่านี้อยู่ทางเหนือสุดของคฤหาสน์ขุนเขารัศมีมังกร พื้นที่ใกล้เคียง
ไร้ซึ่งสิ่งปลูกสร้างใด และที่นี่มีภูเขาจำลองอยู่หลายแห่ง ทว่าไม่มี
ผู้คนอยู่ในละแวกใกล้เคียงแม้สักคน!
“เฉียวเฟิง มังกรนั่นมันจะปรากฏตัวอย่างไร?” ฉินหยุนเอ่ยถามผ่าน
เสียงสื่อสาร
“มังกรตัวนั้นสามารถจำแลงกายเป็นมนุษย์ ดังนั้นที่จะปรากฏตัวจึง
เป็นมนุษย์!” หลงเฉียวเฟิงมองมุ่งตรงไปยังภูเขาจำลองแห่งหนึ่ง
พร้อมกล่าว “ทางเข้าอยู่ที่นี่!”
ฉินหยุนก้าวเดินไปรับชม พบว่าเป็นประตูเหล็กขนาดใหญ่ ตัวประตู
สูงหลายเมตร และมีม่านพลังแข็งแกร่งคุ้มกัน ฉินหยุนไม่อาจใช้
ความสามารถเทวะเพื่อเข้าไป ดังนั้นเขาจึงได้แต่ต้องให้โมโมออกมา
ที่ไข่มุกเม็ดแรกของวิญญาณเทวะเก้าตะวัน มันมีสองต้นกำเนิดเซียน
คงอยู่ หลังจากโมโมได้ดูดกลืนพลังงานที่ภายใน ความสามารถพิเศษ
ของนางจึงเพิ่มขึ้นสูงล้ำ เมื่อร่างงดงามตัวน้อยปรากฏ นางจึงเร่งรีบ
พิจารณาอักขระที่ม่านพลัง ก่อนจะกลับเข้าสู่วิญญาณเทวะเก้าตะวัน
ม่านพลังที่ถูกทำลายแล้ว ฉินหยุนจึงนำหลงเฉียวเฟิงเข้าไป โดยใช้
งานความสามารถเทวะผ่านตัวประตูเหล็กตรงหน้า
ภายใน ทุกหนแห่งดำมืด ไม่นานนักพวกเขาจึงมาถึงที่ชั้นใต้ดิน แม้
ที่นี่มืดมิด กระนั้นก็สามารถทราบได้ว่าเป็นพื้นที่กว้างใหญ่
“เสี่ยวหยุน มังกรตัวนี้แข็งแกร่งนัก กระทั่งจักรพรรดิยุทธ์ก็ไม่น่าจะ
รับมือมันได้ไหว!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “เจ้าจงใช้หม้อราชสีห์สวรรค์
สะกดมังกรให้ดี!”
พลังจิตของฉินหยุนแข็งแกร่งขึ้นตลอดเวลาที่ผ่านมา และเขาสามารถ
ควบคุมพลังราชสีห์สวรรค์ได้ดีมากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ดังนั้นคิดใช้
งานหม้อราชสีห์สวรรค์สะกดมังกรจึงง่ายดายมากขึ้น และหม้อนี้
คือสิ่งที่สามารถใช้รับมือกับคนของตระกูลหลงหรือมังกรที่มีพลัง
เลิศล้ำได้
“ผู้ใด!” อย่างกะทันหัน เสียงคนผู้หนึ่งคำรามร้องดังลึกล้ำ
ลำแสงสีแดงปรากฏที่เบื้องหน้า ชายวัยกลางคนที่เส้นผมสีแดงยุ่ง
เหยิงก้าวเดินเชื่องช้าเข้ามา และเวลานี้ ฉินหยุนกับหลงเฉียวเฟิงจึง
ได้เห็น ว่าลานกว้างใต้ดินแห่งนี้มีแต่ร่างศพกระจัดกระจาย ชายวัย
กลางคนผมแดงตรงหน้า ก็กำลังถือต้นขาคนผู้หนึ่งเอาไว้!
ตระกูลหลงแท้จริงถึงขั้นใช้งานมนุษย์เพื่อเป็นอาหารเลี้ยงแก่มังกร!
หรือก็คือ มังกรตนนี้คือสัตว์อสูร มีแต่สัตว์อสูรและอสูรจึงกินมนุษย์
เป็นอาหาร และยิ่งกินเข้าไปมากเพียงใด ก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น
เท่านั้น!
“วิเศษนัก ข้าคิดอยากหาอะไรกินเพิ่มเติมอยู่พอดี ไม่นึกว่าจะมาส่ง
เองถึงที่ ฮ่าฮ่าฮ่า!” ชายวัยกลางคนเส้นผมแดงหัวเราะเสียงดัง
เห็นได้ชัด ว่าชายวัยกลางคนผมแดงตรงหน้า คือมังกรอสูรที่จำแลง
กายเป็นมนุษย์!
หลงเฉียวเฟิงร้อนรน เพราะนางสัมผัสทราบได้ ว่ามังกรตรงหน้า
ทรงพลังมากล้ำเพียงใด นางกระชับมือฉินหยุนที่เกาะกุมเอาไว้แน่น
ฉินหยุนไม่กล่าวคำใด เขามุ่งตรงโดยการนำเอาหม้อราชสีห์สวรรค์
สะกดมังกรออกมา!
หม้อราชสีห์สวรรค์สะกดมังกรที่ปรากฏเผยตัวขึ้น ชายวัยกลางคน
ผมแดงที่เดินเข้ามาพร้อมหัวเราะดัง ขณะนี้ไร้ซึ่งเสียงหัวเราะแล้ว
หม้อราชสีห์สวรรค์สะกดมังกรฉับพลันเข้าปกคลุมร่างชายวัยกลางคน
ผมแดง หลังปลดปล่อยพลังสะกดข่มออกมารุนแรง อีกฝ่ายไม่อาจ
ขยับร่างได้โดยสมบูรณ์ กระนั้น ยามเมื่อชายวัยกลางคนผมแดง
สัมผัสได้ถึงอันตราย เขาจึงระเบิดเสียงคำรามร้องดังสนั่นออกมา!
มันเป็นคลื่นเสียงทรงอำนาจที่สั่นสะท้านพื้นแผ่นดิน!
ตู้ม!
หม้อราชสีห์สวรรค์สะกดมังกรเข้าปกคลุมร่างชายวัยกลางคนผม
แดงโดยสมบูรณ์ ขณะนี้ ขนาดของมันกำลังหดเล็กลง
“ได้ผล!” ฉินหยุนตื่นเต้นยินดีพลางหัวเราะ จากนั้น เขาจึงดึงหลง
เฉียวเฟิงเร่งรีบออกจากใต้ดินแห่งนี้
ขณะพวกเขาคิดออกจากสวน กลับสัมผัสได้ถึงออร่าจักรพรรดิยุทธ์
และราชันยุทธ์นับสิบคน เสียงคำรามร้องมังกรที่ระเบิดออกเมื่อครู่
มันสั่นสะเทือนต่อทั่วทั้งคฤหาสน์ขุนเขารัศมีมังกร เหล่าผู้แข็งแกร่ง
เหล่านี้ทราบดี ว่าในพื้นที่มีมังกรคงอยู่ และมังกรตัวนั้น ก็เป็น
ตระกูลหลงให้การเลี้ยงดูอย่างดีเป็นเวลาหลายปีแล้ว
ฉินหยุนและหลงเฉียวเฟิงต่างตื่นเต้นและกังวล เพราะพวกเขายังอยู่
ที่ภายในคฤหาสน์ขุนเขารัศมีมังกร แต่ด้วยเพราะเป็นเวลากลางคืน
ฉินหยุนจึงใช้พลังเงานำหลงเฉียวเฟิงหลบหนีพ้นจากม่านพลัง
คฤหาสน์ขุนเขารัศมีมังกร ก่อนจะเร่งรีบบินขึ้นฟ้าจากไป
“ฉินหยุน ผู้คนล้วนทราบว่าข้ากลับมา และอาจารย์ขัดเกลาวิญญาณ
ได้สิ้นชีพไปแล้ว พวกมันต้องสงสัยข้าแน่!” หลงเฉียวเฟิงกล่าว
“ยังหวาดกลัวอันใด? หลังเจ้าแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ ซ่อนตัวในนคร
จันทราอัคคี เก็บตัวที่ภายในนั้น ผู้ใดยังจะทราบเรื่องเจ้า?” ฉินหยุน
ยิ้มกล่าว
“ทว่าข้ายังมีข้อกังวล ว่านครจันทราอัคคีจะคิดเป็นอื่น!” หลงเฉียว
เฟิงถอนหายใจ “หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ไม่ช้าก็เร็ว ผู้คนย่อมต้อง
ทราบแน่!”
ฉินหยุนเข้าใจความกังวลของหลงเฉียวเฟิงดี ด้วยเหตุนี้ เขาจึงนำนาง
กลับสู่พระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์ กล่าวอธิบายถึงสถานการณ์ต่อปิง
ชิง เพื่อให้ปิงชิงได้จัดแจงหาทางออก
หลังฝากฝังเรื่องของหลงเฉียวเฟิงแล้ว ฉินหยุนจึงมุ่งหน้าสู่นครแห่ง
ดาบด้วยอารมณ์ยินดีเปี่ยมล้น เขาต้องการหาตัวเชี่ยวเย่ว์เหม่ยอย่าง
เร่งด่วน เพื่อที่จะได้เริ่มงานการขัดเกลาวิญญาณร่วมกัน!

ตอนที่ 758 คฤหาสน์ขุนเขารัศมีมังกร
เย่ว์โยวและชาติภพก่อนของหยางฉีเย่ว์เป็นพี่น้องฝาแฝดกัน กระทั่ง
ว่าหยางฉีเย่ว์ถือกำเนิดขึ้นใหม่ พวกนางก็ยังมีสัมพันธ์ครอบครัว
อย่างลึกล้ำ เช่นนี้จึงเป็นผลให้เย่ว์โยวไม่กล้าลงมือโหดร้ายต่อฉินหยุ
นครั้งเข้าสู่เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ
“พี่สาวปิงชิง ท่านดีกับเย่ว์โยวหรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ก็ไม่เลว!” ปิงชิงกล่าว
“แล้วเซี่ยวเสวียนฉินเล่า? ในชาติภพก่อน นางมีนามว่าเย่ว์ฉิน!” ฉิน
หยุนเอ่ยถามอีกครั้ง
“ตราบเท่าที่มาจากพระราชวังกวงหาน พวกเราย่อมมีสัมพันธ์อันดี
ต่อกัน!” ปิงชิงกล่าว “เหตุใดเจ้าถามเรื่องนี้?”
ฉินหยุนคล้ายยังไม่กระจ่างจึงถามต่อ “เหตุใดชาติภพก่อนของข้าจึง
ไปรังควานพระราชวังกวงหานของท่าน? หรือจะเป็นแค่เหตุบังเอิญ?”
ปิงชิงแค่นเสียงเย็นเยียบ “เพราะบรรดาศิษย์ของพระราชวังกวงหาน
ล้วนเลิศล้ำ พวกนางมาจากกองกำลังและตระกูลอันแข็งแกร่ง ทั้งยัง
มีสมบัตินานาชนิดไว้ในครอบครอง! ผู้คนล้วนคิดอยากยื่นมือเข้าหา
พวกเรากันทั้งนั้น!”
“นั่นก็จริง” ฉินหยุนยิ้มกล่าวคำ “นอกจากนี้แล้ว พวกท่านยังงดงาม
กันทั้งสิ้น!”
ปิงชิงส่งสายตามองฉินหยุนพร้อมถาม “เจ้ายังไม่คิดไปตำหนักเซียน
ดาบหรือ?”
“ย่อมต้องไป ทว่าข้ายังต้องไปเล่นกับเด็กน้อยจิงเหมิงผู้นั้นก่อน!”
ฉินหยุนเผยยิ้มขี้เล่นกล่าวคำ
“นางเก็บตัวอยู่! นางกำลังฝึกฝนพลังจิตที่ภายในเขตแดนจินตภาพ
เซียนยุทธภัณฑ์!” ปิงชิงกล่าว
ฉินหยุนคิดอยากได้เห็นเห็นเหลียวจิงเหมิงที่งดงามและบริสุทธ์ิผู้นั้น
ทว่าเวลานี้ เขาได้แต่ต้องยอมปล่อยไปก่อน
ปิงชิงกล่าวต่อ “ฉีเย่ว์บอก ว่านางได้มอบจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาว
แก่เจ้าแล้ว ผสานมันเรียบร้อยแล้วหรือ?”
ฉินหยุนพยักหน้ารับ “ข้าผสานมันเรียบร้อยแล้ว!”
“นางถูกจับตาจากหลายกองกำลัง เจ้าสมควรเร่งรีบแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
กว่านี้ อย่าได้ให้นางถูกรังแกได้!” ปิงชิงกล่าวเตือน
“ข้าทำแน่!” ฉินหยุนเผยสีหน้าแน่วแน่เด็ดเดี่ยว
แม้ว่าหยางฉีเย่ว์อยู่อย่างปลอดภัยที่เกาะจันทราปีศาจ ทว่าก็แค่ชั่วคราว
เป็นที่ทราบกัน ว่าทุกผู้คนล้วนคิด ว่าจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวยังอยู่
ในมือของหยางฉีเย่ว์ นอกจากนี้แล้ว หยางฉีเย่ว์ยังครอบครองต้น
กำเนิดเซียนจันทรา มันคือสมบัติที่ล้ำค่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ฉินหยุนเดินทางออกจากพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์เงียบงัน มุ่งหน้า
สู่ตำหนักเซียนดาบ นครแห่งดาบ หลังตำหนักเซียนดาบถูกบุกโจมตี
โดยเขตแดนลึกล้ำอสูรอ้างว้าง รวมถึงสำนักอสูรทรงอำนาจ เกาะ
ลอยฟ้าแห่งดาบจึงถูกสร้างขึ้นใหม่ให้ใหญ่ยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มขึ้น
เป็นสองชั้น ถัดจากนั้น ตำหนักเซียนดาบจึงรวบรวมคนตระกูลเจี้ยน
ทั้งหมดในแดนวิญญาณอ้างว้างเขตแดนนอก พวกเขาจะยิ่งขยับขยาย
เวลานี้ มีแต่ตระกูลเจี้ยนที่รวมตัว และตระกูลหลงจึงกล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่
และแน่นอนว่า ตระกูลหลงย่อมต้องทราบเจตนาของตระกูลเจี้ยน
ฉินหยุนก้าวเดินออกจากประตูเมืองนครเซียนยุทธภัณฑ์ เขาได้เห็น
คนสวมใส่หน้ากากสีดำกำลังขี่อาชาที่แข็งแกร่ง
“ออร่าคุ้นเคยนัก!” ฉินหยุนมองตามไปไกล พบว่าออร่าอีกฝ่าย
แข็งแกร่ง ทว่าคุ้นเคย
“เป็นหลงเฉียวเฟิง!” ฉินหยุนอุทานตระหนกดังภายในใจ
ฉินหยุนมีหนวดเคราที่ใบหน้า เส้นผมยาวขึ้น ครึ่งใบหน้ายังถูกหมวก
ปิดบังเป็นเงาเอาไว้ ทั้งยังสวมใส่ชุดหยาบกร้านสีเทา และไม่ปลด
ปล่อยออร่าใดออก เป็นเรื่องยากที่ผู้คนจะทราบว่าเขาคือฉินหยุน เขา
ที่ผ่านหน้าหลงเฉียวเฟิง นางยังไม่ทราบว่าเป็นเขาด้วยซ้ำ
“เฉียวเฟิง!” ฉินหยุนส่งเสียงสื่อสารไปยังหลงเฉียวเฟิง “ข้าเอง ฉิน
หยุน!”
หลงเฉียวเฟิงที่กำลังควบขี่อาชาในชุดดำพร้อมหน้ากาก นางกล่าวคำ
เบา “ขึ้นมา!”
ฉินหยุนทะยานร่างเล็กน้อยขึ้นบนหลังอาชา นั่งที่ด้านหลังหลงเฉียว
เฟิง
“จับให้แน่น!” หลงเฉียวเฟิงกล่าวคำเบา
ฉินหยุนกอดเอวเพรียวบางของหลงเฉียวเฟิงไว้พร้อมเผยยิ้ม “แน่น
แล้ว ไปเลย!”
หลงเฉียวเฟิงควบขี่อาชาของนาง นำฉินหยุนออกไกลห่างจากนคร
เซียนยุทธภัณฑ์ ทิศทางซึ่งมุ่งไป หาได้ใช่เกาะแห่งดาบ
“เฉียวเฟิง เจ้ารอข้าอยู่ที่นอกเมืองงั้นหรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ใช่!” หลงเฉียวเฟิงกล่าว “ข้าสังหรณ์ไว้ว่าเจ้าจะกลับในช่วงเวลานี้
ดังนั้นจึงมารอที่นอกเมือง!”
“สตรีเช่นพวกเจ้าช่างมีสังหรณ์น่ากลัวนัก!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว
เขากอดเอวหลงเฉียวเฟิงจากทางด้านหลัง คางเกยที่ไหล่ของนาง จึง
ทำให้ได้รับกลิ่นหอมราวต้องมนต์สะกด
หลงเฉียวเฟิงกล่าว “เดิมข้าคิดว่าแค่ความหวังลมแล้ง ไม่นึกว่าเจ้าจะ
กลับมาแล้วจริง! ฉินหยุน ข้าจะพาเจ้าไปยังคฤหาสน์ขุนเขารัศมี
มังกรแห่งตระกูลหลง!”
“เหตุใดจึงไปตระกูลหลง?” ฉินหยุนขมวดคิ้วถาม
“ตระกูลหลงแห่งแคว้นมหาดวงดาวเวลานี้แข็งแกร่งแล้ว ผู้คนต่าง
ไปเข้าร่วมงานชุมนุมยุทธ์ดาบ!” หลงเฉียวเฟิงกล่าว “อำนาจของ
ตระกูลหลงเวลานี้มากล้น ดังนั้นพวกเขาจึงอหังการอวดดี คิดว่าไม่มี
ผู้ใดกล้าเข้าไปปล้นชิงตระกูลหลง!”
“เฉียวเฟิง เจ้ากำลังจะพาข้าไปยังตระกูลหลงเพื่อให้ยกเค้าพวกมัน
หรือ?” ฉินหยุนกลายเป็นตื่นเต้นยินดี
“อย่าได้คิดเรื่องฉกชิงทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้า ไม่ใช่เจ้าหรือที่บอกว่า
ต้องการมังกร?” หลงเฉียวเฟิงกล่าว
ฉินหยุนเกิดนึกเป็นห่วงหลงเฉียวเฟิง “พวกมันไม่สงสัยเจ้าหรือ?”
หลงเฉียวเฟิงตอบกลับ “ข้าย่อมมีทางออก! ข้าตระเตรียมไปยังนคร
จันทราอัคคีแล้ว!”
นครจันทราอัคคีก็เป็นสำนักจันทรา ทั้งยังเป็นสำนักที่มีแต่สตรีล้วน
“ไปที่เกาะจันทราปีศาจ! ข้าจะแนะนำเจ้าให้เอง!” ฉินหยุนวางมือที่
หน้าท้องหลงเฉียวเฟิง เขาสัมผัสได้ถึงแก่นเต๋าลึกล้ำของนาง ตอนนี้
นางอยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำแล้ว
เห็นได้ชัด ว่าดวงดาวทั้งหลายที่ร่วงหล่นในเทือกเขานิราศจันทรา
พวกมันได้สร้างผลประโยชน์แก่ผู้คนมหาศาล
“ตัวข้าเดิมคิดไปยังเกาะจันทราปีศาจ ทว่าครั้งนั้นเย่ว์หลานคือผู้ที่
ออกมาพูดคุย นางกล่าวว่าจะดีกว่าหากข้าไปยังนครจันทราอัคคี
เพื่อให้ข้าช่วยติดต่อกับผู้คนของนครจันทราอัคคี! ภายนอก ความ
สัมพันธ์ระหว่างนครจันทราอัคคีและเกาะจันทราปีศาจไม่ดีเท่าใด
นัก ทว่าในทางลับ พวกเขาเป็นพันธมิตรต่อกัน!” หลงเฉียวเฟิงกล่าว
ฉินหยุนพอได้ทราบเรื่องระหว่างเซี่ยวเย่ว์หลานและหลงเฉียวเฟิง
เขาจึงไม่พบว่าแปลกที่เซี่ยวเย่ว์หลานจะจัดการให้เป็นเช่นนี้
คฤหาสน์ขุนเขารัศมีมังกรของตระกูลหลงไม่ใช่อยู่ในเมือง แต่เป็น
เทือกเขา พื้นที่ราบบนภูเขาขนาดใหญ่คล้ายถูกสร้างขึ้น ก่อนจะ
ก่อสร้างเป็นคฤหาสน์ขึ้นมา ภูเขาที่รายล้อมเอาไว้ พวกมันถูกใช้งาน
เป็นค่ายอาคม
ฉินหยุนและหลงเฉียวเฟิงมาถึงเทือกเขารัศมีมังกรพร้อมเข้าสู่
เส้นทางในป่า
เขามองขึ้นท้องฟ้าซึ่งห่างไกลออกไป เก้าดวงตะวันร้อนแรงยังคง
ปลดปล่อยพลังงานวิญญาณออกมาต่อเนื่อง
“ด้านบนเป็นค่ายอาคมใหญ่ยิ่งนัก!” ฉินหยุนอุทานร้อง
“ใช่ นี่คือที่มั่นของตระกูลหลง!” หลงเฉียวเฟิงพยักหน้ารับ
“เฉียวเฟิง เจ้าฝึกฝนถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำได้อย่างไร?” ฉินหยุน
เอ่ยถาม “เจ้าช่างรวดเร็วนัก! ข้ายังอยู่เพียงแค่ขอบเขตวรยุทธ์
วิญญาณระดับสูงสุดเท่านั้นเอง!”
“นี่เจ้ายังไม่เลื่อนระดับงั้นหรือ?” หลงเฉียวเฟิงพบว่าเรื่องราวน่าทึ่ง
“ข้าถูกรั้งเวลาออกไปหลายปี คิดออกจากเขตแดนอ้างว้างจันทรา
ทมิฬไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย!” ฉินหยุนถอนหายใจ
“เทือกเขานิราศจันทราเวลานี้ ต่างทราบกันว่าเป็นแดนศักด์ิสิทธ์ิมวล
ดาว ดวงดาวทั้งหลายบ่อยครั้งร่วงหล่นมาที่นั่น ข้าไม่ทราบว่ามัน
เกิดอันใดขึ้น กระนั้นทรัพยากรจำนวนมหาศาลเริ่มถูกนำออกมาจาก
เหตุการณ์ดังกล่าว เป็นข้าโชคดีด้วย จึงได้รับหลายสิ่งอย่างมา พวก
มันช่วยให้ข้าเลื่อนระดับได้!” หลงเฉียวเฟิงกล่าว
“ข้านึกว่าตระกูลหลงบำรุงเลี้ยงเจ้าอย่างดีเสียอีก!” ฉินหยุนกล่าว
“เพียงแค่คิดก็ไม่มีทางแล้ว! พวกมันไม่ใช่คนเช่นนั้น! เจ้าไม่ทราบ
พวกมันตอนนี้กำลังวางแผนจัดฉากต่อข้า คิดอยากฉกชิงเอาวิญญาณ
ยุทธ์หงส์อมตะของข้าไปมอบให้แก่อัจฉริยะผู้อื่น!” หลงเฉียวเฟิง
ยามกล่าวถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของนางเผยโทสะอัดแน่นเปี่ยมล้น
ถึงตอนนี้ พวกเขาถูกม่านพลังขวางกั้นเอาไว้ ฉินหยุนทดลองผ่านไป
โดยความสามารถเทวะทะลุทะลวง จากนั้นเขาจึงค่อยนำหลงเฉียว
เฟิงเข้าม่านพลังผ่านไป ที่ตรงหน้ายังคงมีภูเขาใหญ่ขวางกั้น ตั้งแต่ที่
เข้ามาอยู่ในอาณาเขตของคฤหาสน์ขุนเขารัศมีมังกร พวกเขาเวลานี้
ต่างไม่กล้าบินขึ้นฟ้า มีแต่ต้องเดินเท้าด้วยความระแวดระวัง
“ฉินหยุน เจ้าครอบครองจอมราชันดวงดาวอสูร สมควรต้านรับ
ราชันยุทธ์และจักรพรรดิยุทธ์ได้ใช่หรือไม่?” หลงเฉียวเฟิงพลันเอ่ย
ถาม
“เอ่อ… จอมราชันดวงดาวอสูรของข้ายังหลับใหลอยู่!” ฉินหยุนกล่าว
หลงเฉียวเฟิงพอได้ยิน นางจึงเร่งรีบดึงฉินหยุนถอยเท้ากลับ
“เฉียวเฟิง เป็นไรไปแล้ว?” ฉินหยุนเร่งรีบเอ่ยถาม
“ด้วยเจ้าไม่มีจอมราชันดวงดาวอสูร นี่เป็นเรื่องอันตรายเกินไป!”
หลงเฉียวเฟิงคำรามเบา “เหตุใดก่อนหน้าเจ้าไม่กล่าวให้เร็วกว่านี้!
ในคฤหาสน์ขุนเขารัศมีมังกรไม่มีครึ่งเซียนอยู่ก็ใช่ แต่มันยังมีราชัน
ยุทธ์และจักรพรรดิยุทธ์!”
ฉินหยุนยิ้มกล่าว “ไม่ต้องกังวลไป เพียงลักลอบเข้าไปรับชม
สถานการณ์ดูกันก่อน!”
หลงเฉียวเฟิงยืนกรานหนักแน่น นางไม่ให้ฉินหยุนเข้าไปเสี่ยง
“มาจนถึงขนาดนี้แล้ว ข้าจะกลับไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้!” ฉินหยุนร้อง
บอก
“ไม่ได้ นี่อันตรายเกินไป เจ้าเพิ่งออกมาจากเขตแดนอ้างว้างจันทรา
ทมิฬ หากถูกจับตัวได้จะเกิดอะไรขึ้น!?” หลงเฉียวเฟิงกอดแขนฉิน
หยุนเอาไว้แน่นเพื่อห้ามปราม
ฉินหยุนนิ่งคิดไปครู่จึงกล่าว “เฉียวเฟิง ข้ามียันต์ลึกล้ำอยู่จำนวนหนึ่ง
สามารถใช้เพื่อให้อุกกาบาตตกลงมา กระทั่งว่าอาจเป็นดวงดาว!
หากสถานการณ์เลวร้าย ข้าจะใช้ยันต์ลึกล้ำเหล่านั้นสร้างความ
วุ่นวายครั้งใหญ่เพื่อหลบหนี!”
“จริงหรือ?” หลงเฉียวเฟิงนึกย้อนถึงเทือกเขานิราศจันทรา นางได้
เป็นพยานกับตาถึงเหตุการณ์ดวงดาวร่วงหล่น นั่นเป็นภาพสะเทือน
ขวัญจนถึงวันนี้
“ย่อมเป็นความจริง!” ฉินหยุนหัวเราะกล่าว
“เอาอย่างนี้เป็นไร? ข้าเข้าไปสอดแนมก่อน หาว่ามีราชันยุทธ์และ
จักรพรรดิยุทธ์ที่ตระกูลหลงทิ้งไว้อยู่เท่าใด” หลงเฉียวเฟิงแม้เสนอ
ตัว กระนั้นนางก็หวาดกลัวระดับหนึ่ง
“ได้ อย่างนั้นข้าจะรอเจ้าที่นี่” ฉินหยุนรับคำพร้อมส่งสร้อยคอให้แก่
นาง “นี่เป็นสร้อยคอเสียงสื่อสาร สวมใส่ไว้ที่คอเจ้า ใช้พลังจิตใส่
เข้าไป แล้วเจ้าจะสามารถติดต่อหาข้าได้!”
สร้อยคอนี้งดงามอย่างยิ่ง เป็นฉินหยุนสร้างขึ้นครั้งอยู่ในเขตแดน
อ้างว้างจันทราทมิฬ เหยาเฟิงให้ความช่วยเหลือสร้างขึ้นมา หลง
เฉียวเฟิงเร่งรีบรับไว้พร้อมสวมใส่ มันคือสิ่งของระดับสูงล้ำ ต้อง
ทราบว่าหลายคนเพียงติดต่อสื่อสารทางเสียงผ่านเปลือกหอย ไม่
เพียงแต่ขนาดใหญ่ แต่ยังมีรูปลักษณ์ที่ไม่ดี ฉินหยุนได้แกะสลัก
อักขระดวงดาวและจันทราเอาไว้บนตัวสร้อยคอขนาดเล็ก นั่นจึง
เป็นเหตุผลที่เขาสร้างมันด้วยขนาดที่เล็กขึ้นมาได้
หลงเฉียวเฟิงนัดแนะให้ฉินหยุนรอที่นี่จนกว่านางจะกลับมา จากนั้น
จึงเร่งรีบมุ่งหน้าสู่คฤหาสน์ขุนเขารัศมีมังกร
และฉินหยุนย่อมไม่เชื่อฟังหลงเฉียวเฟิง เมื่อได้เห็นนางไปแล้ว เขา
จึงแปรเปลี่ยนร่างเป็นโปร่งแสงพร้อมเร่งรีบติดตามนาง หลังข้าม
ผ่านภูเขาหลายลูก ฉินหยุนจึงยืนอยู่ ณ ยอดเขาแห่งหนึ่ง
เบื้องล่างคือคฤหาสน์ขุนเขารัศมีมังกร มันเปรียบดังเมืองขนาดใหญ่
แห่งหนึ่ง รายล้อมคฤหาสน์ขุนเขารัศมีมังกรประกอบด้วยภูเขาปิด
ล้อมหลายชั้น อาจารย์จารึกที่แข็งแกร่งได้ใช้ภูเขาใหญ่เหล่านี้จัดตั้ง
เป็นค่ายอาคมป้องกันขึ้นมา
“กระทั่งดวงดาวร่วงหล่นลงมาก็ไม่มั่นใจนักว่าจะทำลายอาคมใหญ่
นี้ได้หรือไม่!” ฉินหยุนสัมผัสได้ ว่าคฤหาสน์ขุนเขารัศมีมังกรมี
อำนาจป้องกันมากล้น
หลงเฉียวเฟิงเข้าสู่ด้านในคฤหาสน์ขุนเขารัศมีมังกร ฉินหยุนติดตาม
ด้านหลังระแวดระวัง หลงเฉียวเฟิงไม่พบเห็น นางถอดหน้ากากออก
เผยซึ่งใบหน้างดงามเย็นเยือก
ในตระกูลหลง นางมักรับรู้ถึงอันตรายอันยิ่งใหญ่กดดันอยู่ตลอด
ดังนั้นนางจึงเผยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าใดนัก
หลงเฉียวเฟิงเดินไปตามถนนเส้นหลัก มุ่งหน้าสู่ศูนย์กลางของ
คฤหาสน์ขุนเขารัศมีมังกร ระหว่างทางมีหลายผู้คนสัญจร กระนั้น
กลับไม่มีผู้ใดกล่าวทักทายนาง ชัดเจนว่าสถานะของนางที่นี่ต่ำต้อย
อย่างมหาศาล
ช่วงเย็น นางค่อยมาถึงด้านในสวนขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
“แม่นางเฉียวเฟิง นี่เจ้ายังไม่ไปตำหนักเซียนดาบหรอกหรือ?” บุคคล
ที่เอ่ยถามนี้ยังหนุ่ม สายตาของเขากวาดมองหลงเฉียวเฟิงตั้งแต่หัว
จรดเท้า
“ข้าไม่คิดอยากไป ดังนั้นจึงกลับมา ด้วยเร่งรีบเดินทางตลอดทั้งวัน
ข้าคิดไปพักผ่อนแล้ว!”
หลงเฉียวเฟิงกล่าวคำจบ หลายคนจึงเดินออกมาจากด้านในสวน
พวกเขาเหล่านี้คือคนหนุ่มและวัยกลางคนอหังการอวดดี ทั้งหมดอยู่
ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณและวรยุทธ์ลึกล้ำ

ตอนที่ 757 ความรู้สึกที่เอ่อล้นซ่อนเร้น
ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำกลุ่มศิษย์สำนักหมื่นดวงดาว ไม่ใช่ผู้ที่ใคร
อื่นสามารถตอแยได้
ยามได้เห็นคนหนุ่มเช่นฉินหยุนเผยความคลางแคลงแก่ตัวเขา เสียง
จึงแค่นดังกล่าว “ผู้ใดทราบกันว่าเจ้าคุยโวหรือไม่? ตัวเจ้ายังหนุ่ม
และเป็นอาจารย์จารึก ทั้งยังเป็นจ้าวสำนึกของสำนักจารึกอะไรสัก
อย่าง มีแต่หน้าโง่แล้วจึงเชื่อ ข้ากล้ากล่าว ว่าตัวข้าเป็นอาจารย์จารึก
เต๋า เจ้าเล่าจะเชื่อข้าหรือไม่?”
ฉินหยุนยิ้มบางก่อนนำเอากระดาษยันต์ออกมา พร้อมทั้งมีดแกะสลัก
ที่ดูเรียบง่าย อย่างรวดเร็ว เขาเริ่มวาดอักขระบนแผ่นยันต์ ไม่ช้า แผ่น
ยันต์จึงเสร็จสิ้น
ฉินหยุนควบคุมแผ่นยันต์ลอยขึ้นฟ้าพร้อมกล่าว “ข้าเพียงสร้างยันต์
นี้ หากเจ้าไม่เชื่อว่าข้าคืออาจารย์จารึก เช่นนั้นลองแปะแผ่นยันต์ที่
หลังมือเจ้า!”
“เหอะ เจ้าหรือสร้างยันต์โดยการตวัดเพียงไม่กี่ครั้ง คิดหลอกลวง
เด็กหรือไร?” ชายวัยกลางคนจากสำนักหมื่นดวงดาวหัวเราะดัง
บรรดาศิษย์ผู้น้อยจากสำนักหมื่นดวงดาวล้วนหัวเราะตาม
“หากเจ้าแปะมันลงที่หลังมือเจ้า เมื่อนั้นจะได้ทราบเองว่ามันเป็น
ยันต์หรือไม่ใช่!” ฉินหยุนยิ้ม
กลุ่มศิษย์หญิงของเกาะจันทราปีศาจไม่ทราบว่าฉินหยุนคิดทำอันใด
ดังนั้นพวกนางจึงเพียงรับชม พวกนางทราบดี ว่าฉินหยุนมีพรสวรรค์
ทางวิถีจารึกสูงล้ำในระดับรุ่นเยาว์ด้วยกัน มันถึงขั้นที่กล่าวได้ว่าเขา
คืออันดับหนึ่ง!
ชายวัยกลางคนจากสำนักหมื่นดวงดาวนำยันต์ของฉินหยุนวางที่
หลังมือ จากนั้นจึงยกมือขึ้นสูงพร้อมหัวเราะดัง “ทุกคนจงดู นี่คือ
ยันต์ที่สร้างขึ้นโดยจ้าวสำนักจารึก! ช่างทรงอำนาจยิ่งนัก ฮ่าฮ่าฮ่า
ให้เด็กวาดเล่นยังดีกว่ามันด้วยซ้ำ!”
บรรดาศิษย์สำนักหมื่นดวงดาวต่างหัวเราะดัง ขณะพวกเขาหัวเราะ
ต่อเนื่อง ฉับพลันเสียง “เพี๊ยะ” พลันดังขึ้น! เสียงหัวเราะกลายเป็น
ชะงักงัน! ชายวัยกลางคนจากสำนักหมื่นดวงดาวได้ตบหน้าตนเอง
อย่างรุนแรง! ชายวัยกลางคนมองมือตนเองราวกับพบเห็นภูตผี
เพี๊ยะ!
ชายวัยกลางคนตบหน้าตนเองอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นมือของเขาคล้าย
สูญเสียการควบคุม มันเริ่มตบหน้าตัวเขาเองอย่างต่อเนื่อง
เรื่องนี้ทำเอากลุ่มสตรีด้านหลังฉินหยุนต่างหัวเราะ
“เร่งรีบช่วยเหลือข้านำยันต์นี้ออก!” ชายวัยกลางคนร้องตะโกน เขา
ไม่อาจนำยันต์ออกนี้ด้วยตนเองได้
ศิษย์หลายคนต่างเร่งรีบเข้ามาช่วยนำยันต์ออกจากมือ
“เจ้า… ตัวบัดซบ!” ชายวัยกลางคนใบหน้าแดงก่ำเพราะแรงตบ เขา
โกรธจนถึงขั้นชี้หน้าฉินหยุน
“เป็นเจ้าที่แปะยันต์ไว้หลังมือตนเอง!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว “ผู้ใดใช้ให้
เจ้าไม่เชื่อคำพูดข้า!”
“บัดซบ จงรับความตาย!” ชายวัยกลางคนจากสำนักหมื่นดวงดาว
คำราม
สตรีวัยกลางคนจากเกาะจันทราปีศาจเร่งรีบทะยานมาขวางหน้าฉิน
หยุนไว้ นางกล่าวเสียงลุ่มลึก “คิดอยากโจมตีหรือ เช่นนั้นจงเข้ามา!”
“พวกเราคิดโจมตีแล้วอย่างไร? ก็แค่สตรีอ่อนแอ คิดหรือว่าจะทำอัน
ใดพวกเราได้?” ชายวัยกลางคนหัวเราะโฉดชั่ว “ศิษย์ข้า จงจับสตรี
พวกนี้มาเริงรมณ์กันเสีย!”
“สำนักหมื่นดวงดาว ช่างไม่ต่างอะไรกับกลุ่มเศษสวะ!” สตรีจาก
เกาะจันทราปีศาจเผยความพิโรธ
“บุก!”
“ฆ่า!”
“สตรีเหล่านี้ช่างน่าเริงรมณ์ด้วยนัก!”
กลุ่มศิษย์จากสำนักหมื่นดวงดาวหัวเราะโฉดชั่ว พวกเขานำเอาอาวุธ
ออกมาคิดเข้าปะทะ
เมื่อฉินหยุนพบเห็นกลุ่มศิษย์สำนักหมื่นดวงดาวเข้ามาใกล้ เขาจึง
โยนยันต์สะกดกายออกไปสองแผ่นพร้อมตะโกน “เร่งรีบสังหาร
พวกมัน!”
กลุ่มศิษย์หญิงจากเกาะจันทราปีศาจเหล่านี้ต่างเป็นชนชั้นแนวหน้า
พวกนางตอบสนองรวดเร็ว ในพริบตา พวกนางได้กวัดแกว่งอาวุธ
ในมืออย่างดุดัน เพียงแสงสว่างวูบ ศิษย์นับร้อยคนของสำนักหมื่น
ดวงดาวได้ถูกสังหาร ชิ้นส่วนกระจัดกระจายทั่วพื้นที่โดยฝีมือของ
ศิษย์หญิงเกาะจันทราปีศาจเพียงสิบกว่าคน
บางคนที่รอด เวลานี้กำลังครวญครางกับพื้น ศิษย์หญิงเกาะจันทรา
ปีศาจย่อมไม่อ่อนด้อย ยามต้องสังหารบุคคลโฉดชั่ว พวกนางสามารถ
สังหารโดยไม่แม้กระพริบตา เวลานี้ พวกนางเปรียงดังกลุ่มเทพธิดา
ล้างสังหาร!
“จ้าวสำนักช่างยอดเยี่ยม!” สตรีทรงเสน่ห์งดงามหัวเราะพลางเดิน
เข้ามา
“เอาละ พวกเจ้าสมควรเดินทางไปตำหนักเซียนดาบกันได้แล้ว ระหว่าง
ทางระวังตัวด้วย ไว้พูดกล่าวกันหลังข้ากลับถึงนครเซียนยุทธภัณฑ์
หากเสร็จธุระเร็ว ข้าจะไปยังตำหนักเซียนดาบเพื่อเข้าร่วมหาความ
สนุกด้วย!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว
สุดท้ายแล้ว เขาได้กล่าวย้ำเตือนพวกนางอีกครั้ง บอกต่อพวกนาง ว่า
อย่าได้ปล่อยข่าวเรื่องของเขาออกไป
ฉินหยุนบินผ่านอากาศ เร่งรีบมุ่งหน้าไปยังนครเซียนยุทธภัณฑ์
ระหว่างทาง เขาพบสถานที่ให้ซ่อนตัว จึงนำเอาแผนที่หลุมฝังเซียน
ออกมาและหยดเลือดลงไป กระนั้น เขาก็ยังไม่อาจติดต่อเซี่ยฉีโหรว
เขาคิดอยากทราบ ว่าเซี่ยฉีโหรวพบเจอปัญหาใด เพราะเขาไม่อาจ
ติดต่อหานางได้เป็นเวลานานแล้ว
ที่ประตูเมืองของนครเซียนยุทธภัณฑ์ เวลานี้ยิ่งเข้มงวด ผู้ใดคิดอยาก
ผ่านต้องได้รับการตรวจสอบหลายขั้นตอน ทั้งยังมีอุปกรณ์พิเศษ
สำหรับใช้ตรวจสอบผู้ฝึกตนอสูร นี่ก็เพราะนครเซียนยุทธภัณฑ์เวลา
นี้มีศัตรูหลากหลายกลุ่ม
ตระกูลหลงแห่งแคว้นมังกรทะยานฟ้า ได้ออกคำสั่งรวมสาขาตระกูล
หลงจากหลายแคว้น ก่อตั้งขึ้นเป็นกองกำลังอันยิ่งใหญ่เกรียงไกร
พวกเขาเรียกขานตนเอง เป็นตระกูลอันดับหนึ่งแห่งแดนวิญญาณ
อ้างว้าง
ถัดจากนั้นจึงเป็นตระกูลเจี้ยน! เวลานี้ ตระกูลเจี้ยนจากหลายแคว้น
และสำนักที่อยู่ใต้บัญชา ต่างมุ่งหน้าไปยังตำหนักเซียนดาบ! ตระกูล
เจี้ยนรับรู้ได้ถึงภัยคุกคามของตระกูลหลง ดังนั้นเจี้ยนสือเทียนจึงถือ
โอกาสนี้ เป็นการเรียกชุมนุมคนของตระกูลเจี้ยนจากแคว้นทั้งหลาย
โดยอาศัยงานชุมนุมยุทธ์ดาบ!
ตระกูลเย่ว์ ตระกูลหยาง และตระกูลเทียนต่างคิดรวมตัวเข้าด้วยกัน
กระนั้นเนื่องด้วยปัญหาภายในปะทุ ไม่มีผู้ใดคิดอยากตกอยู่ในการ
ปกครองผู้อื่น นอกจากนี้แล้ว พวกเขายังต้องการเลือกผู้อาวุโสของ
ตนเองนำทัพ ทว่าคนที่เคยยิ่งใหญ่หรือจะยอมก้มหัวต่อหน้าผู้อื่นที่
ทัดเทียม ผลลัพธ์ที่ได้ พวกเขาที่เคยเป็นตระกูลใหญ่ต่างต้องเสื่อม
ถอยลงไป
ฉินหยุนยืนที่ด้านนอกประตูเมืองพลางครุ่นคิด จากนั้น เขาจึงใช้
ความสามารถเทวะทะลุทะลวงผ่านม่านพลัง เพราะเขาฝึกฝนร่าง
เซียนอสูร มีโอกาสสูงมากที่จะถูกตรวจพบว่าเป็นผู้ฝึกตนอสูร
หลังเข้าสู่นครเซียนยุทธภัณฑ์ เขาจึงมุ่งหน้าตรงไปยังพระราชวัง
เซียนยุทธภัณฑ์ ฉินหยุนกลับสู่พระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์เงียบงัน
หาได้มีผู้ใดทราบว่าเขากลับมาแล้วไม่ หลังกลับมาถึง เขาจึงเดินทาง
ไปยังสวนของหอพิทักษ์กฎเพื่อหาแม่เฒ่าหม่า นางกำลังอยู่ระหว่าง
ฝึกฝนให้แก่ศิษย์อื่น ยามสัมผัสได้ถึงออร่าฉินหยุน นางหันมองทาง
ฉินหยุนที่สวมใส่ชุดดำและหมวกปีกยาวปิดบังใบหน้า นางก้าวเดิน
มาด้วยความตื่นเต้นยินดีก่อนนำฉินหยุนไปห้องลับ
“ท่านยายหม่า ข้ากลับมาแล้ว!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว
“เจ้ากลับมาแล้ว วิเศษนัก!” แม่เฒ่าหม่าถอนหายใจยาวพร้อมมอง
ฉินหยุนด้วยรอยยิ้มบาง
“จ้าวสำนักและผู้อื่นล้วนไปงานชุมนุมยุทธ์ดาบหรือ?” ฉินหยุนเอ่ย
ถาม
“ใช่! ครั้งนี้ พวกเราส่งคนเข้าร่วมกว่าสามร้อยคน!” แม่เฒ่าหม่าเผยสี
หน้าจริงจัง “งานชุมนุมยุทธ์ดาบไม่ต่างอะไรกับงานประลองยุทธ์
ครั้งใหญ่ กระนั้นตระกูลเจี้ยนก็ใช้โอกาสนี้เป็นการรวมยอดฝีมือ
ตระกูลเจี้ยนด้วยเช่นกัน!”
“ตั้งแต่ที่สถานการณ์ตึงเครียดในแดนวิญญาณอ้างว้างเขตแดนนอก
มีอำนาจมืดยื่นมือเข้ามาหรือ?” ฉินหยุนคิดได้เช่นนี้จึงเอ่ยถาม
“ถูกต้อง เขตแดนลึกล้ำเวลานี้กำลังปั่นป่ วน กองกำลังอันชอบธรรม
บางส่วนกลายเป็นศัตรู พวกเขาจะเริ่มสู้กันเองในอีกไม่ช้านี้! ทั้งนี้
พวกนั้นยังเป็นกังวลว่ายามเปิดศึก พวกเราฝ่ายที่แข็งแกร่งจากเขต
แดนนอกจะบุกเข้าไปโจมตี!” แม่เฒ่าหม่าพยักหน้ารับพลางอธิบาย
เสริม
“หากเขตแดนลึกล้ำคิดอยากบีบบังคับให้พวกเราตกอยู่ในความ
โกลาหล อย่างนั้นพวกมันก็หาได้น่าหวาดกลัวอันใดไม่!” ฉินหยุน
แค่นเสียงกล่าว
“ถูกต้อง! ดังนั้นแล้ว ตระกูลเจี้ยนจึงวางแผนจัดงานชุมนุมยุทธ์ดาบ
ขึ้นมา เพื่อฉวยโอกาสเป็นการเรียกรวมคนตระกูลเจี้ยน พวกเขา
วางแผนรวมกำลังในแคว้นมหาดวงดาว ร่วมมือกับสำนักของพวก
เราเพื่อคงอำนาจในแคว้นมหาดวงดาวไว้!”
“อย่างนั้น พวกเราย่อมสามารถสร้างความโกลาหลได้ เมื่อใดเขต
แดนลึกล้ำเริ่มเปิดศึกต่อกัน พวกเราจะล้างสังหารทางนี้ และเหยียบ
ย่างเข้าสู่เขตแดนลึกล้ำ!”
“ฉินหยุน เรื่องนี้เป็นความลับ อย่าได้พูดป่ าวประกาศออกไป!” แม่
เฒ่าหม่ากล่าวเตือน
“แล้วตระกูลหลงเล่า? คล้ายว่าพวกนั้นก็มีความคิดเช่นเดียวกัน” ฉิน
หยุนเอ่ยถาม
“เขตแดนลึกล้ำจึงเป็นอำนาจเบื้องหลังตระกูลหลง! สาเหตุที่ตระกูล
หลงรวมตัวกันได้ ก็เพื่อดึงความสนใจของเขตแดนนอกเอาไว้!” แม่
เฒ่าหม่ากล่าวคำ “เฉียวเฟิงถูกเรียกตัวกลับไป นางไม่ใช่ศิษย์ของ
นครเซียนยุทธภัณฑ์อีกต่อไปแล้ว!”
ฉินหยุนและแม่เฒ่าหม่าพูดคุยกันอีกพักหนึ่ง จากนั้นเขาจึงเร่งรีบไป
ยังตำหนักพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์
จากปากคำแม่เฒ่าหม่า เขาได้ทราบ ว่าเจี้ยนหลิงหลง เจี้ยนรั่วหยาน
และเจี้ยนหมาง รวมถึงผู้คนตระกูลเจี้ยนล้วนกลับไปยังตำหนักเซียน
ดาบกันหมดสิ้นแล้ว
ฉินหยุนมาถึงตำหนักพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์ ก็เหมือนดังทุกครั้ง
ปิงชิงกำลังนั่งอย่างเงียบงันข้างสระเซียน
ทันทีที่ฉินหยุนเข้ามายังตำหนักพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์ เขาจึงได้
เห็นร่างงดงามเงียบงัน เป็นเซียนผู้เย็นเยือกนามปิงชิง เวลานี้ เขาค่อย
รู้สึกโล่งใจ
ปิงชิงทราบว่าฉินหยุนกลับมาแล้ว และภายในใจของนาง มันมีความ
รู้สึกที่หลากหลาย กระนั้นภายนอกของนางกลับสงบ นางค่อยลืม
ดวงตางดงามนั้นขึ้น มันเป็นใบหน้างดงามที่สงบนิ่งอย่างยิ่ง
“พี่สาวปิงชิง ข้ากลับมาแล้ว!” ฉินหยุนเผยยิ้มขี้เล่น “คิดถึงข้าหรือไม่?”
“ไม่!” ปิงชิงแค่นเสียงเบา “ข้านึกว่าเจ้าตายไปแล้วเสียอีก!”
“ต้องขออภัย ที่ข้าไม่ได้ฝึกฝนร่วมกับท่านตลอดช่วงเวลาหลายปีที่
ผ่านมา” ฉินหยุนก้าวเดินเข้ามา เขานำเอาขวดน้อยออกมาและส่ง
มอบแก่นาง
“ข้าสามารถฝึกฝนได้อย่างรวดเร็วโดยใช้วิชาร่างศักด์ิสิทธ์ิเซียนอสูร!”
ปิงชิงรับขวดไว้ พบว่ามันเป็นเม็ดยาพลังเซียนเก้าวิวัฒน์จำนวนมาก
ที่ภายใน นางอดไม่ได้ที่จะเกิดความอบอุ่นจากหัวใจ เพราะฉินหยุน
ยังคิดถึงเรื่องของนางตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“หลายปีมานี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ปิงชิงมองที่ฉินหยุน ความรู้สึก
อบอุ่นเผยผ่านดวงตางดงามของนาง
“ยังดี หรืออาจแย่! ข้าได้ฝึกฝนผลึกแก้วเต๋าวิญญาณลึกล้ำที่เขตแดน
อ้างว้างจันทราทมิฬ” ฉินหยุนถอนหายใจยาว จากนั้นจึงนั่งลงพร้อม
อธิบาย ว่าเหตุใดเขาจึงกลับมาถึงหลังผ่านไปหลายปี
เมื่อเล่าได้ครบถ้วน เขาจึงสบถเสียงเบา “ทั้งหมดนี่ก็เพราะช่องว่าง
กาลอวกาศบัดซบนั่น มันทำข้าเสียเวลาไปหลายปี!”
ปิงชิงกล่าว “เจ้ากลับมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว! ฉีเย่ว์มาที่นี่หลายครั้ง
มาพบข้าและหารือเรื่องการเข้าสู่เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬเพื่อ
ช่วยเจ้า กระนั้นพวกเรายังไม่อาจหาแผนการที่ดีพอให้ลงมือได้!”
“พี่หยางช่างห่วงหาข้ายิ่งนัก!” ฉินหยุนยิ้มอย่างสุขใจ
“ไปกัน ข้าจะใช้บรรทมเซียนตะวันจันทรากับเจ้า เข้าสู่เขตแดนกาล
อวกาศตะวันจันทรา ข้าจะส่งต่อความรู้ความเข้าใจต่อวิชาร่าง
ศักด์ิสิทธ์ิเซียนอสูรให้แก่เจ้า มันจะได้ช่วยให้เจ้าเสริมพลังแก่ร่าง
เซียนอสูรได้มากขึ้น!” ปิงชิงคว้ามือฉินหยุนพร้อมดึงลงสระเซียน
ฉินหยุนตอนนี้สามารถนอนในบรรทมเซียนตะวันจันทราร่วมกับปิง
ชิงได้หลายวันในคราวเดียว จิตสำนึกของเขาได้ใช้ช่วงเวลาในนั้น
ยาวนานถึงสี่ปี
ด้วยความรู้และเข้าใจของเขาและปิงชิงเกื้อหนุน เขาได้เพิ่มพูน
ศักยภาพตนเองอย่างมหาศาล ทั้งยังได้ฝึกวิชายุทธ์นานาชนิดตลอด
ช่วงเวลาสี่ปี
“ฉินหยุน เจ้ายังมีเวลาเหลือ ควรย่อยข้อมูลที่ได้เรียนรู้ในช่วงเวลาที่
ผ่านมา!” ปิงชิงกล่าว “ข้าขอตัวออกไปก่อน!”
ปิงชิงออกจากเขตแดนกาลอวกาศตะวันจันทรา กระนั้นก็ยังคงกุม
มือฉินหยุนเอาไว้ โดยปล่อยให้เขาอยู่ที่ภายในนี้
ตอนนี้ ฉินหยุนไม่อาจทราบได้ว่าภายนอกเกิดอันใดขึ้น เขากำลัง
ฝึกฝนวิชายุทธ์อย่างเคร่งเครียด
“เสี่ยวหยุน พี่สาวปิงชิงผู้นี้เอารัดเอาเปรียบเจ้าอีกแล้ว!” หลิงหยุนเอ๋อ
หัวเราะคิกคัก “เจ้าควรเร่งรีบตื่น!”
“เซียนหญิงเยือกแข็งแต่กลับร้อนแรง ข้าตื่นไปก็ทำอันใดนางไม่ได้!”
ฉินหยุนสบถเสียงเบา เขาคิดอยากตื่น กระนั้นกลับไม่อาจ
ไม่นานนัก ฉินหยุนค่อยตื่นขึ้นจากบรรทมเซียนตะวันจันทรา ปิงชิง
ยืนด้านข้างเตียงด้วยสีหน้าอันสงบ
ฉินหยุนไม่ทราบว่าตนเองควรหัวเราะยินดีหรือร้องไห้แล้ว ตัวเขา
ไม่ทราบว่ากล้ามเนื้อส่วนใดของเซียนสาวผู้นี้กระตุกจึงลงมือ นาง
มักจะเอารัดเอาเปรียบต่อเขาเป็นการลับเช่นนี้
“เจ้าคิดไปเข้าร่วมงานชุมนุมยุทธ์ดาบหรือ? ก่อนหน้านี้เย่ว์เหม่ยเอง
ก็มาที่นี่ บอกต่อข้าว่านางจะไปเข้าร่วมหาความสำราญ!” ปิงชิงกล่าว
“ข้าย่อมไม่สนใจงานชุมนุมยุทธ์ดาบ ทว่าคิดอยากไปพบเย่ว์เหม่ย
ข้ายังมีเรื่องต้องหารือกับแม่เด็กน้อยนั่น เพราะเรื่องราววุ่นวาย ทำให้
ต้องเชื่องช้าไปหลายปีนัก!”
ฉินหยุนยังมีแผนการขัดเกลาจารึกวิญญาณ เวลานี้เขาลุกขึ้นจาก
บรรทมเซียนตะวันจันทรา
“ฉินหยุน เย่ว์โยวติดต่อกับฉีเย่ว์ได้ เจ้าลองไปพูดคุยสอบถามกับฉีเย่ว์
ดู!” ปิงชิงกล่าวขึ้น

ตอนที่ 756 งานชุมนุมยุทธ์ดาบ
ฉินหยุนนั่งอยู่ข้างสตรีชุดแดง ด้วยเหตุนี้ ยามที่ลูกธนูยิงเข้าใส่ เขาจึง
ปลดปล่อยม่านพลังขวางกั้น ฉินหยุนหาได้แปลกใจใดไม่กับเหตุการณ์
ที่เกิดขึ้น สัตว์อสูรตัวเมื่อครู่มีคุณภาพที่ดี มูลค่าถึงหลายแสนเหรียญ
ม่วง เป็นปกติที่ผู้อื่นจะจับจ้องพร้อมเข้าปล้นชิง
ฉินหยุนคว้าร่างสตรีชุดแดงไว้พร้อมกล่าว “อย่าเพิ่งแตกตื่น!”
สตรีชุดแดงเวลานี้หลั่งน้ำตาออกเป็นสาย โดยเฉพาะยามที่ได้เห็น
สภาพชวนสังเวชของอาจารย์และศิษย์พี่ของนาง มันยิ่งทำให้นางทั้ง
หวาดกลัวและโศกเศร้า
กลุ่มคนที่โผล่พรวดอย่างกะทันหัน พวกเขาเหล่านี้หลบซ่อนตัว
ด้านหลังโขดหินใหญ่ไกลออกไป จำนวนรวมแล้วมีนับร้อย
“วิเศษนัก! พวกเราไม่ต้องลงแรงใดก็ล่าสัตว์อสูรมูลค่าหลายแสน
เหรียญม่วงมาได้ ทั้งยังได้ปล้นชิงของจากร่างพวกมัน!”
ชายไว้หนวดเคราผิวเข้มหัวเราะดังสนั่น
“ลูกพี่ ยังมีสองคนอยู่ตรงนั้น!” ชายวัยกลางคนหัวเราะชั่วร้าย
“สตรีนั่นไม่คล้ายดูดีเท่าใดนัก ผู้ชายนั่นก็คล้ายสวะตัวหนึ่ง ไปจับ
พวกมันมา สังหารและกินเนื้อพวกมัน อย่างน้อยก็น่าจะพออร่อยได้
บ้าง!” ชายไว้หนวดเครามองฉินหยุนและสตรีชุดแดงด้วยใบหน้านึก
รังเกียจ
ฉินหยุนย่อมสัมผัสได้ ว่ากลุ่มคนที่พุ่งทะยานมามีออร่าอสูร เหล่านี้
คือผู้ฝึกตนอสูร ลูกพี่ของคนกลุ่มนี้คือขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ ฉินหยุน
หาได้หวั่นเกรงอีกฝ่ายแต่อย่างใดไม่ ทว่าสตรีชุดแดงข้างกายเขา เวลา
นี้นางร่างสั่นเทิ้มเพราะทราบ ว่าอีกฝ่ายคือพวกอาชญากรที่กินคน
“พี่ชาย รีบไปเร็วเข้า ข้าจะพยายามต้านพวกมันเอาไว้!” สตรีชุดแดง
เอ่ยคำเสียงเบา น้ำเสียงของนางสั่นเครือ
ฉินหยุนประทับใจไม่น้อย เพราะสตรีชุดแดงเผชิญเรื่องหนักหนา
กระนั้นนางยังมีใจคิดอยากปกป้องตัวเขา
“พวกเราจะไม่เป็นไร!” ฉินหยุนยิ้มให้สตรีชุดแดงพร้อมปล่อยมีด
บินออก
ขณะคิดโจมตี กลุ่มออร่านับสิบพลันเข้ามา! คนอีกกลุ่มหนึ่งได้มายัง
ที่นี่!
“ลูกพี่ นั่นเป็นพวกจากเกาะจันทราปี ศาจ!” ชายวัยกลางคนร้องตะโกน
แน่นอนว่า อีกฝ่ายเป็นกลุ่มสตรีสวมใส่ชุดรัดรูปสีแดง ด้วยอาวุธใน
มือ พวกนางพุ่งทะยานมาดุดันประหนึ่งเปลวเพลิง
พวกนางพุ่งเข้าหากลุ่มคนร้ายพร้อมเริ่มล้างสังหาร ทุกคนล้วนมี
รูปลักษณ์เป็นสตรีผู้งดงาม กระนั้นยามเมื่อลงมือสังหารวายร้ายเหล่านี้
พวกนางหาได้ปรานีใดไม่ แม้ฉินหยุนไม่ต้องลงมือใด เขาก็ยังคง
ระมัดระวังตัวไว้ มีดบินยังอยู่ในการควบคุมเพื่อเตรียมรับมือ
เขาไม่ต้องการได้เห็นสตรีข้างกายต้องได้รับบาดเจ็บ ยามเมื่อสตรีชุด
แดงข้างกายเขาได้เห็นผู้อื่นมาช่วยเหลือ นางค่อยโล่งใจ เพียงไม่นาน
กลุ่มคนร้ายจึงถูกสังหารกันครบถ้วน
ฉินหยุนนั่งอยู่ใกล้เคียงพร้อมพูดกล่าวพลางหัวเราะ “ข้าเดิมคิดอยาก
ได้แสดงกำลังบ้าง แต่คล้ายคงไม่จำเป็นแล้ว!”
“พวกมันเหล่านั้นล้วนเป็นผู้ฝึกตนอสูร พวกเราตามรอยมันมานาน
ยิ่งนักแล้ว! เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” สตรีวัยกลางคนก้าวเดินมา
นางถามพลางมองฉินหยุนและสตรีชุดแดง
“ข้าไม่เป็นไร!” ฉินหยุนตอบ
สตรีชุดแดงปาดเช็ดคราบน้ำตาพร้อมส่ายศีรษะ
สตรีหลายคนก้าวเดินมา สายตามองที่ฉินหยุนและถาม “เจ้าคือ?”
“ข้า… ข้าเพียงผ่านมาแล้วบังเอิญได้รับบาดเจ็บ แล้วก็เป็นสตรีท่าน
นี้ช่วยเหลือไว้!” ฉินหยุนเร่งรีบอธิบาย “และสตรีท่านนี้ก็เป็นคน
ของนักล่ากลุ่มนั้น!”
“พวกเขาเป็นอาจารย์และศิษย์พี่ของข้า กระนั้นตอนนี้กลับตายหมด
สิ้นแล้ว” สตรีชุดแดงพยายามกลั้นน้ำตาจนถึงขนาดที่ร่างกายต้องสั่น
ทันใดนี้เอง สตรีจากเกาะจันทราปีศาจจึงดึงสตรีชุดแดงเข้าไปปลอบ
ประโลม
กระนั้น พวกนางหาได้ปลอบฉินหยุนไม่ แต่ละคนล้วนมองเขาด้วย
ท่าทีสงสัย
“เจ้าเป็นใครกันแน่!” สตรีวัยกลางคนเอ่ยถามย้ำ
“ก็ได้ ข้าไม่ปิดบังแล้วก็ได้ ข้าคือฉินหยุน!” ฉินหยุนประกาศด้วย
เสียงอันดัง สัมพันธ์ที่เขามีกับเกาะจันทราปีศาจกล่าวได้ว่าดีเยี่ยม
“เจ้าคือฉินหยุน?” สตรีวัยกลางคนอดไม่ได้จนหัวเราะออก “แต่จาก
ที่พวกเราเห็น เจ้าไม่คล้ายเขาสักนิด ฉินหยุนหายตัวไปหกปีก่อน
ครานี้จะปรากฏตัวอย่างกะทันหันอย่างนั้นหรือ?”
หกปี?
ฉินหยุนนิ่งอึ้ง!
เขาจำได้ ว่าตนเองอยู่ที่เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬเพียงแค่สองปี!
“บ้าฉิบ ต้องเป็นเพราะช่องว่างกาลอวกาศนั่น!” เขาสบถดังในใจ
เขาไม่ได้เสียเวลาในช่องว่างกาลอวกาศมากมายเท่าใดนัก กระนั้น
มันก็ยังผ่านไปแล้วถึงหลายปี
สตรีผู้อื่นมาถึง พวกนางต่างหัวเราะใส่ฉินหยุน
“ฉินหยุนหล่อเหลา ดูเจ้าไม่ต่างอะไรกับเพิ่งจมบ่อโคลนมา!”
“ถูกต้องแล้ว! นี่ไม่คล้ายหล่อเหลาดังที่ร่ำลือกัน!”
“ดวงตานับว่าดี ทว่าใบหน้าเปรอะเปื้อนไปบ้าง ทั้งยังบาดเจ็บ!”
“หรือจะเป็นคนชื่อแซ่เดียวกัน?”
กลุ่มคนเริ่มพูดคุยกันเองอย่างออกรส
“ข้าคือฉินหยุนที่หายตัวไป!” ฉินหยุนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“เจ้าหรือคือฉินหยุน?” สตรีวัยกลางคนจ้องมองฉินหยุนพร้อมขมวด
คิ้ว “ฉินหยุนครอบครองโทเทมราชสีห์สวรรค์ เขาทราบวิธีใช้วิชา
ยุทธ์โทเทมราชสีห์สวรรค์!”
ฉินหยุนบุ้ยปากพลางใช้กรงเล็บราชสีห์สวรรค์ เขาปลดปล่อยกรง
เล็บราชสีห์ทรงอำนาจออกมา
ได้เห็นเช่นนี้ สตรีของเกาะจันทราปีศาจต่างต้องทึ่ง
“ครานี้เชื่อหรือยังว่าข้าคือฉินหยุน?” ฉินหยุนยิ้มกล่าว “ข้าเพิ่งกลับมา
จากเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ เพราะเหตุนั้นสภาพจึงเป็นเช่นนี้!”
ศิษย์หญิงแต่ละคนของเกาะจันทราปีศาจต่างโห่ร้องดังออกมา
นอกจากนี้ พวกนางยังวนเวียนรอบตัวฉินหยุน ทั้งยังไม่เกรงเรื่องที่
เขาค่อนข้างสกปรกไปบ้าง และยังชี้แนะให้เขาเข้าร่วมเกาะจันทรา
ปีศาจ เพื่อเป็นศิษย์ของเกาะจันทราปีศาจ
ฉินหยุนโดนพวกนางฉุดไปมาอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งก่อนเรื่องราวจะ
สงบลงได้
ถึงตอนนี้ ฉินหยุนค่อยได้ทราบ ว่าหลังเหตุการณ์ที่เขตแดนอ้างว้าง
จันทราทมิฬ โครงสร้างของแดนวิญญาณอ้างว้างได้แปรเปลี่ยนครั้ง
ใหญ่
สำนักและตระกูลใหญ่ของหลายแคว้นได้ก่อตั้งเป็นพันธมิตร หยาง
ฉีเย่ว์ตกเป็นเป้าหมายของคนมากมาย ด้วยเหตุนี้ เกาะจันทราปีศาจ
จึงจัดตั้งพันธมิตรร่วมกับตำหนักเซียนดาบ และนครเซียนยุทธภัณฑ์
เช่นนี้ กองกำลังอื่นจะไม่หาญกล้าแตะต้องเกาะจันทราปีศาจ
เวลานี้ ผู้คนล้วนเชื่อ ว่าจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวคงอยู่ภายในเกาะ
จันทราปีศาจ รวมถึงสิ่งล้ำค่าเลิศล้ำอย่างต้นกำเนิดเซียนจันทรา แต่
ละกองกำลังจากเขตแดนลึกล้ำล้วนส่งคนมาเพื่อเจรจาขอซื้อจารึก
วิญญาณจ้าวดวงดาวด้วยราคาสูงล้ำ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา บรรดาศิษย์เลิศล้ำของแต่ละกองกำลังต่าง
ก้าวหน้าอย่างทะยานฟ้า
สาเหตุก็เพราะ ไม่นานหลังดวงดาวร่วงหล่นจากเหตุการณ์เขตแดน
อ้างว้างจันทราทมิฬ ทรัพยากรมากมายมหาศาล รวมถึงดวงดาวอสูร
ได้ร่วงหล่นลงมา แกนกลางดวงดาวของดวงดาวอสูรเหล่านั้นมี
พลังงานประหลาด ที่ช่วยให้ผู้คนก้าวหน้าได้อย่างทะยานฟ้า
“ฉินหยุน ข้าได้ยินว่าในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬล่มสลาย แล้ว
เจ้าเอาชีวิตรอดจากที่แห่งนั้นได้อย่างไร?” สตรีงดงามผู้หนึ่งเอ่ยถาม
ด้วยความสงสัย
ฉินหยุนดื่มน้ำผลไม้ไปอึกใหญ่พร้อมถอนหายใจ “ข้าอยู่ที่เขตแดน
อ้างว้างจันทราทมิฬถึงสองปีเพื่อค้นหาทางออก! ภายหลังค่อยพบ
ทางออก มันเป็นช่องว่างกาลอวกาศ ข้าอยู่ในช่องว่างกาลอวกาศนั้น
เพียงไม่กี่วัน แต่แล้วที่ภายนอก มันกลับผ่านไปถึงหลายปี!”
“สุดท้ายแล้ว ข้าจึงร่วงหล่นมาจากที่ด้านบนนั้น!”
ผู้นำกลุ่มซึ่งเป็นสตรีวัยกลางคนกล่าว “ฉินหยุน พวกเราจะไปยัง
ตำหนักเซียนดาบ เพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมยุทธ์ดาบ!”
“ตำหนักเซียนดาบได้สร้างแผ่นดินขึ้นอีกชั้นหนึ่งลอยเหนือเกาะ
ตอนนี้ จึงกลายเป็นสองเกาะลอยตัวอยู่ และตำหนักเซียนดาบได้ย้าย
ตัวเองสู่ชั้นด้านบน ดังนั้นพวกเขาจึงเชิญพวกเราไปเข้าร่วมงาน!”
“ตำหนักเซียนดาบได้รับต้นกำเนิดเซียนดวงดาวมาจำนวนหนึ่ง
รายงานกล่าวว่ามันทรงพลังอำนาจยิ่งกว่าต้นกำเนิดเซียน ด้วยเหตุนี้
หลายปีที่ผ่านมาพวกเขาจึงเติบโตรวดเร็ว พวกเขากล่าวขานกัน ว่า
ตนเองเป็นสำนักเซียนซึ่งทรงอำนาจที่สุด!”
“ฉินหยุน ในงานชุมนุมยุทธ์ดาบย่อมมีงานประลองขันแข่ง! หากเจ้า
ไป บางทีอาจ…” สตรีผู้หนึ่งกล่าวจนถึงตรงนี้ นางไม่กล่าวคำอื่นใด
อีก
เพราะฉินหยุนมีกำแพงเป็นช่วงเวลาที่ขาดหายถึงหลายปี
“ตำหนักเซียนดาบ เจี้ยนหนันหู่ผู้นั้นฝึกฝนถึงระดับใดแล้ว?” ฉิน
หยุนเอ่ยถาม
“ยอดยุทธ์ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ ทั้งยังฝึกฝนวิชาดาบเจ็ดดาวที่แข็งแกร่ง
มันคือวิชายุทธ์อันเลิศล้ำ!” สตรีอีกคนหนึ่งตอบคำ
“พวกเขาก้าวหน้ารวดเร็วเพียงนี้ได้อย่างไรกัน?” ใบหน้าฉินหยุนเผย
ความโศก ตัวเขาถูกทิ้งไว้ล้าหลังอย่างมหาศาล
“ฉินหยุน พวกเราจะไปยังตำหนักเซียนดาบ เจ้าคิดร่วมทางไปด้วย
หรือไม่?” สตรีวัยกลางคนกล่าวถาม
“ย่อมไป! ทว่า พวกเจ้ารบกวนเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ อย่าได้ให้
ผู้อื่นทราบว่าข้าคือฉินหยุน! ไม่อย่างนั้นแล้ว พวกมันคงคิดอยากจับ
ตัวข้าไปข่มขู่พี่หยางอีกเป็นแน่!” ฉินหยุนกล่าว
“พี่หยางเองก็ไปเข้าร่วมงานชุมนุมยุทธ์ดาบเช่นกัน นางอยู่ขอบเขต
วรยุทธ์ลึกล้ำแล้ว และยังเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถเอาชนะเจี้ยน
หนันหู่ได้!”
สตรีทั้งหลายที่นี้เริ่มพูดคุยกันถึงงานชุมนุมยุทธ์ดาบ
เพราะงานประลองยุทธ์ครั้งล่าสุด ทำให้เกาะจันทราปีศาจชนะได้รับ
ต้นกำเนิดเซียนมา
“ฉินหยุน สถานะศิษย์ของเกาะจันทราปีศาจเราต้องเก็บเป็นความลับ
มีหลายกองกำลังที่คิดอยากจัดการกับพวกเรา!”
“ได้ อย่างนั้นพวกเราแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มกันชั่วคราว!”
“แล้วเชี่ยวเย่ว์หลานเล่า? นางจะเข้าร่วมงานชุมนุมยุทธ์ดาบด้วย
หรือไม่?” ฉินหยุนเร่งร้อนถาม
“ศิษย์น้องเย่ว์หลานไม่ได้เข้าร่วม นางกำลังเก็บตัวฝึกฝน! ศิษย์น้อง
เย่ว์หลานตั้งใจกับการเก็บตัวฝึกฝนครั้งนี้มาก!” สตรีวัยกลางคน
กล่าวตอบ
“อืม… อย่างนั้นข้ายังไม่ไป ข้าจะกลับนครเซียนยุทธภัณฑ์ก่อน!”
ฉินหยุนกล่าว
ฉินหยุนไม่เข้าร่วม พวกนางล้วนเกิดนึกเสียดาย กระนั้น พวกนางก็
เข้าใจในเหตุผลของอีกฝ่าย
เช้าตรู่วันถัดมา ฉินหยุนชำระกายจนสะอาดสะอ้าน บาดแผลหายดี
หมดสิ้น หลังเปลี่ยนสวมใส่เสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อย เขาจึงกลับมา
หล่อเหลาและมีจิตวิญญาณเปี่ยมล้น เป็นผลให้บรรดาศิษย์หญิงของ
เกาะจันทราปีศาจต่างต้องจับจ้อง ดวงตาพวกนางแทบเผยประกาย
วิบวับออกมา
ฉินหยุนติดตามกลุ่มสตรี มุ่งหน้าไปยังจุดนัดพบ ก่อนจะเตรียมแยก
ย้าย
“ข้าคิดเดินทางกลับนครเซียนยุทธภัณฑ์ ทุกท่าน พี่สาวทั้งหลาย
ต้องลากันที่ตรงนี้แล้ว!” ขณะเขาคิดจากไป อย่างกะทันหัน เขาพลัน
รับรู้ได้ว่ามีคนเร่งรีบบินมา
“แย่แล้ว คนของสำนักหมื่นดวงดาว!” ศิษย์หญิงคนหนึ่งร้องอุทาน
“ช่างเป็นกลุ่มคนที่ตอแยไม่เลิก!”
ศิษย์หญิงเหล่านี้ไม่ยินดีอย่างยิ่ง
กลุ่มศิษย์จากสำนักหมื่นดวงดาวมีคนกว่าร้อย พวกเขาเหล่านี้มาเพื่อ
เข้าร่วมงานชุมนุมยุทธ์ดาบ
ฉินหยุนยังไม่คิดไป เขาต้องการอยู่รับชมก่อน
บรรดาศิษย์สำนักหมื่นดวงดาวต่างเคลื่อนคล้อยลงมาเชื่องช้า
“พวกเจ้าเป็นศิษย์สำนักใด?” ชายวัยกลางคนเอ่ยถาม
ขณะสตรีวัยกลางคนคิดกล่าวตอบ ฉินหยุนพลันกล่าว “พวกเรามา
จากสำนักจารึก แล้วพวกเจ้าเล่ามาจากสำนักใด?”
“สำนักจารึก? นั่นเป็นสำนักชั้นสามกระมัง? เหตุใดจึงมีศิษย์หญิง
มากมายเพียงนี้?” ชายหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มจับจ้องศิษย์หญิงที่งดงาม
ประกายแสงโฉดชั่วปรากฏในดวงตา
“กล่าวผิดแล้ว สำนักจารึกของพวกเราหาได้ใช่สำนักชั้นสาม ทว่า
เป็นสำนักที่ซ่อนตัวและไม่ยุ่งกับเรื่องทางโลก!” ฉินหยุนหัวเราะ
พลางกล่าว “และข้าคือจ้าวสำนักแห่งสำนักจารึก!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดูจากออร่าเจ้าแล้ว ก็เพียงแค่เพิ่งฝึกฝนผลึกแก้วเต๋าวิญญาณ
ลึกล้ำได้ ยังเป็นแค่อาจารย์ยุทธ์ที่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูงสุด
กระนั้นก็ได้เป็นจ้าวสำนักแล้วหรือ?” ชายวัยกลางคนหัวเราะดัง
“สำนักจารึกของพวกเราหาได้ภาคภูมิเรื่องกำลังรบ แต่เป็นการจารึก!”
ฉินหยุนยิ้มตอบ “จากที่เห็น กลุ่มคนพวกเจ้าคงแทบไม่เข้าใจวิถีจารึก
เลยกระมัง?”
วิถีจารึกเป็นสิ่งลึกล้ำ ไม่ต้องกล่าวถึงศิษย์ทั่วไป กระทั่งราชันยุทธ์
และจักรพรรดิยุทธ์ ยังพบว่าเป็นเรื่องยากหากคิดสนทนาเชิง
รายละเอียดลงลึก
ผู้คนจากสำนักหมื่นดวงดาวต่างเงียบงัน เพราะไม่มีผู้ใดในกลุ่มพวก
เขาเข้าใจวิถีจารึก
ฉินหยุนจึงแค่นเสียง “พวกเจ้าล้วนไม่ทราบอันใดในวิถีจารึก กระนั้น
กลับเยาะเย้ยพวกเราเพื่อความสำราญอย่างนั้นหรือ? ข้าขอถาม พวก
เจ้าเป็นผู้คนเช่นไรกัน!”

ตอนที่ 755 ช่องว่างกาลอวกาศ
หลังฉินหยุนได้รับกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิวิญญาณปรโลก โดยทันที เขาได้
บอกกล่าวต่อเหยาเฟิง หลังจากที่ได้รับฟัง นางจึงออกมาจากวิญญาณ
เทวะเก้าตะวัน ยามที่ฉินหยุนได้เห็นนางออกมา เขาจึงส่งกระบี่
ศักด์ิสิทธ์ิวิญญาณปรโลกให้แก่เหยาเฟิง
เหยาเฟิงพิจารณามันและกล่าว “สมกับเป็นอาวุธศักด์ิสิทธ์ิอันทรง
อำนาจ ย้อนกลับไปตอนนั้น จอมจักรพรรดิอสูรเซียนได้ใช้ครึ่งชีวิต
เพื่อสร้างความเสียหายแก่กระบี่เล่มนี้! กระทั่งว่าเสียหายหนักหนา
มันก็ยังดียิ่งกว่าอาวุธทั้งหลาย!”
“ฉินหยุน เจ้ามีวิญญาณเทวะเก้าตะวัน ย่อมสามารถใช้ซ่อมแซมมัน
ได้อย่างรวดเร็ว!”
ฉินหยุนยิ้มกล่าว “กระบี่ศักด์ิสิทธ์ิวิญญาณปรโลกที่เสียหาย เทียบ
กับอุปกรณ์เต๋าและอุปกรณ์ราชันเป็นอย่างไร?”
เหยาเฟิงส่งคืนกระบี่แก่ฉินหยุนและกล่าว “ข้าไม่มั่นใจนัก หากมี
โอกาส เจ้าจงทดลองดู!”
นางหันมองรอบและกล่าว “เพราะกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิวิญญาณปรโลก
ได้รับความเสียหาย จอมจักรพรรดิปรโลกจึงถูกบีบบังคับให้ต้องมา
ที่นี่! ตามความทรงจำของจอมจักรพรรดิอสูรเซียน จอมจักรพรรดิ
ปรโลกถูกสังหารที่นี่โดยการร่วมมือโจมตี!”
“จะบอกว่าจอมจักรพรรดิปรโลกยังมีโอกาสรอดชีวิตหรือ?” ฉินหยุน
ตระหนก เขาเร่งรีบกระชับกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิวิญญาณปรโลกเอาไว้แน่น
“เจ้าทดลองดู ว่ากระบี่ศักด์ิสิทธ์ิวิญญาณปรโลกมีความสามารถสัมผัส
ถึงเจ้านายที่ยังคงอยู่ได้หรือไม่ หากมันมี เช่นนั้นจอมจักรพรรดิปรโลก
ก็ยังมีชีวิตรอด และเจ้าจะไม่อาจทำให้มันยอมรับเป็นเจ้าของได้!”
เหยาเฟิงกล่าว
ฉินหยุนหยดเลือดลงที่กระบี่ศักด์ิสิทธ์ิวิญญาณปรโลก กระนั้นกลับ
ไม่มีการตอบสนองใด
“จอมจักรพรรดิปรโลกยังมีชีวิต!” ดวงตาเหยาเฟิงเผยอาการตื่นตะลึง
“หากเขายังมีชีวิต เช่นนั้นแล้วไปอยู่ที่ใดกัน?”
“หากมันไม่ยอมรับข้าเป็นเจ้าของ หมายความถึงข้าไม่อาจใช้ความ
สามารถพิเศษของมันได้ใช่หรือไม่?”
ฉินหยุนทดลองดู พบว่าสามารถใส่พลังเข้าไปในตัวมันได้อย่างลื่น
ไหล ทว่า เขารู้สึกชัดเจนว่ายังขาดอะไรไป
“อย่างน้อยก็ใช้มันได้ชั่วคราว แม้มีรอยปริแตกบนพื้นผิวอาวุธ ทว่า
ครั้งหนึ่งมันก็เคยเป็นอาวุธศักด์ิสิทธ์ิระดับสุดยอด!”
เหยาเฟิงตบไหล่ฉินหยุน ก่อนจะกลับเข้าสู่วิญญาณเทวะเก้าตะวัน
ฉินหยุนไม่คิดอื่นใดมากความ อย่างไรแล้ว กระบี่ศักด์ิสิทธ์ิวิญญาณ
ปรโลกนี้ก็เป็นสิ่งที่เกินคาดคิดของตัวเขาไปมาก แม้ว่าไม่อาจครอบ
ครองโดยสมบูรณ์ เขาก็ยังสามารถใช้งานมันชั่วคราว เพียงเท่านี้ก็ไม่
แย่แล้ว แต่ขณะเหยาเฟิงกลับเข้าวิญญาณเทวะเก้าตะวันไป ฉินหยุ
นกลับสัมผัสได้ว่ากระบี่ศักด์ิสิทธ์ิวิญญาณปรโลกเริ่มสั่นไหว
“เกิดอะไรขึ้น?” ฉินหยุนกล่าวอย่างตื่นตะลึง
“วิญญาณอุปกรณ์! มันมีวิญญาณอุปกรณ์อยู่ภายในกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ
วิญญาณปรโลก!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “เป็นวิญญาณอุปกรณ์ไม่อาจ
สื่อสารกับเจ้า ให้ข้าได้ทดลองดู”
หลิงหยุนเอ๋อคือวิญญาณเต๋า นางสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับวิญญาณ
นานาชนิดได้
ไม่นานนัก หลิงหยุนเอ๋อจึงบอกอย่างต่อฉินหยุนด้วยอาการตระหนก
“เสี่ยวหยุน จอมจักรพรรดิปรโลกยังไม่ตาย! อย่างน้อยจิตวิญญาณก็
ยังมีชีวิตรอด!”
ฉินหยุนขมวดคิ้ว “จริงหรือ? อย่างนั้นแล้วจอมจักรพรรดิปรโลกอยู่
ที่ใด?”
หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “วิญญาณอุปกรณ์ไม่ทราบ เพราะจอมจักรพรรดิ
ปรโลกไม่ได้อยู่ที่หุบเหวจันทราเงียบงันแห่งนี้! หลังไปที่แดนวิญญาณ
อ้างว้าง ข้าจะลองสอบถามอีกครั้ง บางทีจอมจักรพรรดิปรโลกอาจ
อยู่ที่แดนวิญญาณอ้างว้าง!”
“ได้!” ฉินหยุนคิด ว่าจอมจักรพรรดิปรโลกอย่างน้อยก็เห็นเป็นคนที่
อยู่ฝ่ายเดียวกันได้ อย่างไรแล้ว เขาก็มีความแค้นต่อทั้งจอมจักรพรรดิ
อสูรเซียนและจอมจักรพรรดิเซียนอ้างว้าง
หากเขาสามารถหาตัวจอมจักรพรรดิปรโลก อย่างนั้นแล้ว มันก็
หมายถึงภายหน้าเขาจะมีคนหนุนหลังอันยิ่งใหญ่
หลิงหยุนเอ๋อพูดกล่าวอย่างยินดี “เสี่ยวหยุน วิญญาณอุปกรณ์ทราบ
ว่าจะออกจากเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬอย่างไร มันจะนำเจ้าออก
ไปให้!”
ถัดจากนั้น หลิงหยุนเอ๋อและวิญญาณอุปกรณ์จึงพูดคุยกันชั่วระยะเวลา
หนึ่ง หลังได้ทราบว่าต้องไปที่ใด ภายใต้การชี้นำของวิญญาณอุปกรณ์
ฉินหยุนจึงออกจากหลุมลึกที่ก้นบึ้ง เร่งรีบมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง
ตามที่วิญญาณอุปกรณ์บอกกล่าว คิดออกไปไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ
เส้นทางยาวไกล ทั้งยังมีอันตรายมากมายรอคอย ฉินหยุนย่อมไม่
หวาดเกรง เนื่องด้วยเขายังมีเหยาเฟิง
“เสี่ยวหยุน หากเจ้าต้องการออกจากเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ
เช่นนั้นเจ้าต้องผ่านช่องว่างกาลอวกาศออกไป! ในช่องว่างกาลอวกาศ
พี่สาวเหยาเฟิงจะไม่อาจออกมา ดังนั้นมันจึงอันตรายยิ่ง!” หลิงหยุน
เอ๋อกล่าว
“ไม่เป็นไร มีแต่ต้องไป! ไม่ว่าด้วยอะไร เราก็ต้องออกจากเขตแดน
อ้างว้างจันทราทมิฬให้ได้!” ฉินหยุนยังมีเรื่องสำคัญอีกมากมายต้อง
ทำที่แดนวิญญาณอ้างว้าง
ด้วยการไปยังแดนวิญญาณอ้างว้าง เขาจะสามารถได้รับทรัพยากร
มหาศาลเพื่อก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำอย่างรวดเร็ว เซี่ยฉีโหรวมี
เรื่องสำคัญให้เขาต้องไปทำ กระนั้นมันต้องรอให้เขาก้าวถึงขอบเขต
วรยุทธ์ลึกล้ำเสียก่อน
ตามที่วิญญาณอุปกรณ์ชี้นำ ฉินหยุนบินอยู่กว่าสิบวัน จนในที่สุด
ค่อยถึงสถานที่แห่งหนึ่งภายในหุบเหว มันคือบึงขนาดใหญ่สีดำสนิท
“ทางออกอยู่ด้านล่างบึงแห่งนี้ เจ้าเพียงกระโดดลงไป!” หลิงหยุนเอ๋อ
บอกต่อ “ด้านล่างตรงนี้ไม่น่าจะมีอันตรายใด แต่เป็นช่องว่างกาล
อวกาศที่ยากจะผ่านพ้นไปได้!”
ฉินหยุนบอกเรื่องราวต่อเหยาเฟิง
เหยาเฟิงกล่าวตอบ “ช่องว่างกาลอวกาศเกิดขึ้นจากพลังงานรุนแรง
มหาศาล ดังนั้นภายในจึงมีพลังงานรุนแรงมหาศาล หากเจ้าไม่แข็ง
แกร่งพอ เมื่อเข้าไปจะถูกช่องว่างกาลอวกาศฉีกกระชากออกเป็น
เสี่ยง!”
“ฉินหยุน เจ้าฝึกฝนร่างเซียนอสูร ดังนั้นจึงไม่น่ามีปัญหาใด กระนั้น
ให้จดจำเอาไว้ เมื่อใดคิดผ่านทางไป อย่าได้ใช้อุปกรณ์ใดอย่าง
เด็ดขาด!”
“เพราะหากมีความโกลาหลเกิดขึ้นในช่องว่างกาลอวกาศ เจ้าจะต้อง
ติดอยู่ภายในนั้น!”
ฉินหยุนตระเตรียมมาเป็นอย่างดี ทั้งยังสร้างยันต์ไว้มาก กระนั้น
ตอนนี้ เขาไม่อาจใช้งานพวกมัน เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนกระโดด
ลงบึงสีดำ หลังจมดิ่งลงมา เขารับรู้ได้ถึงพลังแรงดึงดูดมหาศาล เพียง
ไม่นาน เขาพบว่าตนเองอยู่ในเส้นทางที่สว่างไสวด้วยแสงหลากสี
ทุกสิ่งรอบด้าน มันมีแต่ลำแสงเป็นประกายสารพัดอย่าง
“เสี่ยวหยุน เร่งรีบไป! ในช่องว่างกาลอวกาศ เวลาไม่เสถียรมั่นคง
บางครั้งเร็ว บางครั้งช้า! เป็นไปได้ว่าสำหรับเจ้าอาจผ่านไปเพียง
หนึ่งชั่วยาม ทว่าภายนอกอาจผ่านไปนับเดือน!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
“จริงหรือนี่?” ฉินหยุนพอได้ทราบ เขาจึงเร่งรีบมุ่งหน้าไป
เขาเพียงก้าวได้ไม่กี่ก้าว กลับต้องรู้สึกถึงพลังต่อต้านรุนแรง พลัง
ต่อต้านนี้แปลกประหลาดและชวนสะพรึง เขาไม่ทราบว่าเพราะเหตุ
ใด แต่ยิ่งเขาก้าวเดินไปด้านหน้าเพียงใด ร่างกายเขาจะรับรู้ถึงความ
เจ็บปวดจากพลังงานโหดร้ายนานาชนิดที่เจาะเข้าสู่ในร่าง ตัวเขา
แทบไม่มีทางต่อต้านพลังนี้ไว้ได้!
“เสี่ยวหยุน พลังของช่องว่างกาลอวกาศไม่อาจสกัดต้านไว้ ระหว่าง
ที่ไปมาในช่องว่างนี้ มันจะปรากฏขึ้นในร่างกายเจ้า!” หลิงหยุนเอ๋อ
กล่าว “อดทนไว้ และเร่งรีบผ่านมันไป!”
ฉินหยุนกัดฟันแน่น ก้าวเดินออกไปทางด้านหน้า ทุกย่างก้าว เขาจะ
ต้องแบกรับความเจ็บปวดมากล้น นับเป็นโชคดีที่เขาฝึกฝนร่างเซียน
อสูร กระบวนการมันไม่เพียงแต่ทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้น
แต่ยังทำให้เขาได้ครอบครองเจตจิตอันแรงกล้า สำหรับเขาแล้ว
ความเจ็บปวดเหล่านี้แทบไม่นับเป็นอะไร ฉินหยุนกล้ำกลืนอดทน
ขณะเร่งรีบผ่านช่องว่างกาลอวกาศ
เขาไม่อาจทราบว่าวิ่งมาไกลเพียงใดแล้ว เพียงแต่ทราบ ว่าที่สุดปลาย
ของช่องว่างนี้จะทำให้เขากลับสู่แดนวิญญาณอ้างว้างได้
“เจ็บ!” ฉินหยุนที่วิ่งไป มันราวกับมีเข็มนับหมื่นทิ่มแทงร่างกาย ทุก
ย่างก้าว ร่างกายของเขาจะต้องประสบแต่ความเจ็บปวด
ครั้งที่ฝึกฝนร่างเซียนอสูร เขาได้มีประสบการณ์ความเจ็บปวดไม่รู้
จบมาแล้ว กระนั้น ตอนนี้เขาก็ได้แต่เพียงกรีดร้องออกมา
“มันจะยังไกลอีกเพียงใดกัน?” ระหว่างฉินหยุนพุ่งทะยานไป เขาไม่
คล้ายพบเห็นสุดปลาย ตัวเขาเริ่มเกิดความท้อถอย
“อีกไม่นาน!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
ฉินหยุนออกวิ่งอยู่หลายวัน สุดท้ายแล้วเขาค่อยรับรู้ได้ว่าชนอะไร
บางอย่างเข้า จากนั้น ที่ตรงหน้าของเขา มันมีแสงสว่างปรากฏวูบเข้า
มา ไม่ช้า พลังวิญญาณเก้าตะวันอันคุ้นเคยของแดนวิญญาณอ้างว้าง
จึงปรากฏให้เห็น ความยินดีแทบล้นทะลักภายในใจเขา
“ในที่สุดก็ออกมาได้!” ฉินหยุนมองที่เก้าดวงตะวันด้านบนฟากฟ้า
พร้อมรู้สึกว่าพวกมันคล้ายใหญ่กว่าแต่ก่อน
“ตัวเจ้าอยู่บนฟ้าสูง!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
ตอนนี้ พลังกาลอวกาศได้สลายหายจากฉินหยุนหมดสิ้น ฉินหยุนจึง
ร่วงหล่นสู่เบื้องล่างรวดเร็ว ด้วยเพราะบาดเจ็บ ทำให้ฉินหยุนไม่อาจ
เร่งรีบควบคุมการลอยตัวไว้ได้ทัน
ตู้ม!
“โอย!” ฉินหยุนโอดครวญออกมา
สถานที่ซึ่งเขาร่วงหล่น คือดินแดนรกร้าง กระนั้น ที่นี่ก็มีสัตว์อยู่
อาศัยให้เห็น มันเป็นจระเข้หรือสัตว์เลื้อยคลานประเภทหนึ่ง ร่างมัน
มีหนามปกคลุม ฉินหยุนที่ร่วงหล่นลงมา หนามจำนวนหนึ่งบนหลัง
สัตว์อสูรจึงหักออก ผลลัพธ์ที่ได้ สัตว์อสูรร่างใหญ่ยักษ์นี้จึงร่างแนบ
กับพื้นพร้อมร้องออกมา ฉินหยุนครอบครองร่างเซียนอสูร ดังนั้น
ยามร่วงหล่นจากฟ้า เขาจึงสร้างแรงปะทะอย่างมหาศาล
“เร่งรีบขึ้นมา!” ชายวัยกลางคนร้องตะโกน
ไม่นานนัก ฉินหยุนจึงได้ยินเสียงสารพัดการโจมตีพุ่งเข้าใส่
“อาจารย์ อย่าได้โจมตีบุคคลตรงนั้น! เขายังไม่ตาย!” ชายหนุ่มร้อง
ตะโกน
“ข้าหรือจะสน เร่งรีบสังหารสัตว์อสูรนั่นได้แล้ว เจ้านั่นมีมูลค่า
เทียบเท่าห้าแสนเหรียญม่วง!” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งหัวเราะดัง
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
ไม่นานจากนั้น ฉินหยุนรับรู้ได้ ว่าร่างกายโดนโจมตีโดยพลัง
สารพัดชนิด ส่วนใหญ่เป็นพลังเต๋าลึกล้ำของขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ
สุดท้ายแล้ว สัตว์อสูรจึงถูกสังหาร และฉินหยุนที่โดนโจมตีใส่
สภาพตอนนี้จึงย่ำแย่ กลุ่มที่ออกล่าสัตว์อสูรเหล่านี้ล้วนตื่นตะลึง
เพราะฉินหยุนไม่ตาย นอกจากนี้ ระหว่างที่ร่วงหล่น ฉินหยุนยังปะทะ
อย่างหนักหน่วงจนหนามยาวบนตัวจระเข้หักไปมาก กระนั้นแล้ว
ร่างกายกลับไม่ถูกหนามพวกนั้นแทงทะลุ
“ชายผู้นี้สวมใส่ชุดเกราะไว้หรือ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยสายตา
ละโมบ
“เสื้อผ้าสภาพย่ำแย่เพียงนั้น จะนับเป็นชุดเกราะสมบัติวิเศษใดได้?”
สตรีชุดแดงที่ได้เห็นฉินหยุนในสภาพเวทนา นางกล่าวออกด้วย
อาการปวดใจ
ฉินหยุนฟื้นฟูตนเองได้รวดเร็วมากล้ำ อาการบาดเจ็บทั้งภายในและ
ภายนอกสามารถรักษาหายอย่างรวดเร็ว สตรีชุดแดงผู้นี้ไม่งดงาม
เท่าใดนัก ใบหน้าของนางค่อนข้างกลม ดวงตาใหญ่ แม้นางไม่
งดงาม กระนั้นดวงตากลับอ่อนโยนและห่วงหา
“ข้าสบายดี!” ฉินหยุนค่อยลุกยืนขึ้น แต่แล้วเขากลับรู้สึกถึงความ
เจ็บปวดมากมายภายในร่าง
ตอนนี้ ฉินหยุนสภาพดูไม่จืด เส้นผมก็ยุ่งเหยิง แทบไม่ต่างอะไรกับ
ขอทานข้างถนน
“พี่ชาย เหตุใดจึงร่วงหล่นลงมาเช่นนี้เล่า?” สตรีชุดแดงเอ่ยถามเสียง
เบา
“ข้าเองก็ไม่ทราบ เพียงบินอยู่ก็ร่วงหล่นลงมา! ขอบคุณที่ห่วงหา
แล้ว!” ฉินหยุนหัวเราะตอบคำ “จริงด้วย ที่นี่คือที่ใด? และอยู่แคว้น
ใด?”
“แคว้นมหาดวงดาว!” สตรีชุดแดงตอบคำ
“วิเศษนัก!” ฉินหยุนเป็นกังวลว่าจะไปตกยังสถานที่ไกลห่าง
ไม่อย่างนั้น เขาต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าจะกลับสู่แคว้นมหา
ดวงดาวได้
ผู้อื่นกำลังจัดการสัตว์อสูร มีแต่สตรีชุดแดงที่เข้ามาพูดคุยกับฉินหยุน
พวกเขาเหล่านั้นนึกรังเกียจอีกฝ่าย อย่างไรแล้ว ฉินหยุนก็สภาพดู
ไม่ได้ นอกจากนี้ยังดูยากจนข้นแค้น พละกำลังก็ไม่คล้ายมีอันใดดี
เท่าใดนัก เรื่องแปลกคือยามเมื่อร่วงหล่นลงมาปะทะสัตว์อสูร
หนามแหลมคมเหล่านั้นกลับไม่ทะลุทะลวงผ่านร่าง
ฉินหยุนและสตรีชุดแดงนั่งพักอยู่ด้านข้าง อย่างกะทันหัน ห่าฝนลูก
ธนูพลันโบยบินมาจากระยะไกล!
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!
ลูกธนูนับพันร่วงหล่นประหนึ่งสายฝนโปรยปราย ในพริบตา หลาย
คนถูกแทงทะลุผ่านร่าง
ยามเมื่อสตรีชุดแดงได้เห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้น นางหวาดกลัวจนถึงขั้น
พูดกล่าวไม่ออก นางทั้งหวาดกลัวและโศกเศร้า เพราะผู้คนเหล่านั้น
คือศิษย์พี่และอาจารย์ของนาง

ตอนที่ 754 สมรภูมิจอมจักรพรรดิ
ได้ยินคำกล่าวของชายชรา ฉินหยุนค่อยสงบใจลง อย่างน้อยมันก็
เป็นความจริง
“ผู้อาวุโส วัตถุทรงอำนาจใดที่อยู่เบื้องล่างนี้?” ฉินหยุนยืนที่ชายขอบ
เขามองลงไปยังหุบเหวไร้ก้นบึ้ง
“มากมายนัก! มังกรกิ้งก่าที่พวกเราจับมาถือว่าอ่อนแอที่สุดแล้ว!
เบื้องล่าง ยังคงมีสัตว์อสูรประหลาดอีกมากมายนัก!” ชายชราหัวเราะ
“น้องชาย หากเจ้าคิดลงไป เช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย!”
ฉินหยุนกล่าวด้วยคิ้วขมวด “ข้าต้องการออกไปจากเขตแดนอ้างว้าง
จันทราทมิฬแห่งนี้ ดังนั้นจึงมีแต่ต้องออกไปโดยก้นบึ้งเบื้องล่าง”
ชายชราถอนหายใจ “มันก็ใช่ นี่คือเส้นทางเดียว! แต่กระทั่งเป็นพวก
เรา ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังไม่กล้าลงไป ยกตัวอย่างเช่นเซียนจันทรา
เฉียหยิ่งผู้ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดที่นี่ กระทั่งเขาก็ยังไม่กล้าลงไป!”
ฉินหยุนทราบ ว่าเฉียหยิ่งแข็งแกร่งเพียงใด อีกฝ่ายคือยอดฝีมือระดับ
ราชันเซียน
“ผู้อาวุโส เรื่องที่ท่านกล่าวถึงจอมจักรพรรดิปรโลกนั้นจริงหรือ?”
ฉินหยุนพลันเอ่ยถามเรื่องนี้ด้วยความสงสัย
ชายชราลูบหนวดเคราและกล่าวออก “ข้าเองก็ไม่มั่นใจนัก มันเป็น
เพียงแต่ตำนาน ย้อนกลับไปกาลก่อน จอมจักรพรรดิอสูรเซียนและ
จอมจักรพรรดิปรโลกต่างเบาะแว้งต่อกัน พวกเขาล้วนเป็นตัวตน
ทรงพลังอำนาจ กระทั่งว่าก่อเกิดศึกสงครามในแดนเซียนอ้างว้าง
มันก็ยังส่งผลกระทบรุนแรงต่อทั้งแดนเซียนอ้างว้าง!”
“ภายหลัง พวกเขาได้เชิญจอมจักรพรรดิเซียนอ้างว้างมา ทั้งสามจอม
จักรพรรดิได้สร้างสถานที่แห่งนี้ร่วมกัน พวกเขาเรียกขานมันเป็น
สมรภูมิจอมจักรพรรดิ!”
“เช่นนี้ จอมจักรพรรดิปรโลก และจอมจักรพรรดิอสูรเซียนจึงได้
ต่อสู้กันโดยไม่ต้องนึกห่วงใด จากนั้น จอมจักรพรรดิปรโลกได้พ่าย
แพ้และถูกสังหาร”
ฉินหยุนรับฟังตำนานนี้ พบว่าเรื่องราวน่าทึ่ง เขาได้ส่งเสียงถามต่อ
เหยาเฟิง ขอให้นางขุดความทรงจำของจอมจักรพรรดิอสูรเซียนดูว่า
เป็นความจริงหรือไม่ จอมจักรพรรดิอสูรเซียนจะไม่มีทางทราบ ว่า
เหยาเฟิงสามารถอ่านความทรงจำของอีกฝ่าย
“มีอะไรบางอย่างกำลังขึ้นมา!” ชายชราพลันหัวเราะ “นี่ก็ผ่านมา
หลายสิบวันแล้ว ในที่สุดก็เคลื่อนไหวเสียที!”
ชายชราผู้นี้มีกำลังแทบทัดเทียมราชันยุทธ์ เขาใช้กำลังทั้งหมดยกเสา
ยาว ดึงเอามังกรกิ้งก่าที่สยายปีกกว่ายี่สิบเมตรขึ้นมา ขนาดตัวมันไม่
ใหญ่นัก ทว่าชายชรายินดียิ่ง มังกรกิ้งก่าถูกยกขึ้นมาก่อนจะร่วงหล่น
กับพื้นที่โล่งด้านหลัง ผู้อื่นต่างเร่งรีบเข้ามาช่วยรุมสังหารมังกรกิ้งก่า
ผู้ซึ่งมาตกปลาที่นี่ต่างช่วยเหลือซึ่งกันแหละกัน หลังสังหารมังกร
กิ้งก่าได้ พวกเขาจึงค่อยกลับไปตกปลาของตนกันต่อ และก็เป็นชาย
ชราที่เข้าไปเฉือนหั่นเนื้อมังกรกิ้งก่าอย่างสำราญใจ
ฉินหยุนได้ตระหนัก ว่าอุปกรณ์ที่คนกลุ่มนี้ใช้ตกปลานั้นดีเยี่ยม
โดยเฉพาะเบ็ดยาวและเชือก พวกมันดูบาง กระนั้นกลับเหนียวและ
แข็งแกร่ง จนถึงขั้นสามารถตกเอามังกรกิ้งก่าตัวใหญ่ขึ้นมาได้
“ผู้อาวุโส ให้ข้าช่วยหรือไม่?” ฉินหยุนรู้สึกว่าชายชราตรงหน้า
พูดคุยด้วยง่าย
“เรียกข้าเป็นผู้เฒ่าหวัง!” ชายชราหัวเราะ
ฉินหยุนนำเอามีดบินออกมา ส่งพวกมันเข้าเฉือนหั่นเนื้อมังกรกิ้งก่า
รวดเร็ว ความเร็วมันมากล้ำขนาดทำผู้เฒ่าหวังนิ่งค้าง
“น้องชาย เจ้าช่างยอดเยี่ยมนัก!” ผู้เฒ่าหวังเผยรอยยิ้มยินดี
“ผู้เฒ่าหวัง ข้าติดอยู่ที่นี่มาสองปีแล้ว ข้าคิดอยากออกไป ทว่าไม่
ทราบว่าเบื้องล่างนี้มีอันใดกันแน่ ข้าควรทำอย่างไรดี?” ฉินหยุน
ถอนหายใจพลางถาม
ผู้เฒ่าหวังเผยสีหน้าเคร่งเครียด “ทุกชั่วระยะเวลาหนึ่งจะมีปรากฏการณ์
เกิดขึ้น เก้าตะวันบนฟากฟ้าเหนือหุบเหวในเวลานั้น พวกมันจะ
สามารถสะกดวิญญาณร้ายในหุบเหวได้! เจ้าต้องหาทางออกไปให้
พบก่อนที่ดวงตะวันจะเคลื่อนออกพ้นจากเหนือหุบเหว หากเจ้าไม่
อาจหาพบ เช่นนั้นจงเร่งรีบขึ้นมาโดยทันที!”
“หลายคนเคยได้ทดลอง น้อยคนนักที่ทำสำเร็จ! ส่วนใหญ่ล้วนตายที่
เบื้องล่างนั้นเพราะไม่อาจกลับมาได้ทันเวลา!”
“ไม่เคยมีผู้ใดทำสำเร็จเลยอย่างนั้นหรือ?” ฉินหยุนพบว่าเรื่องราว
เกินเชื่อได้
“ย่อมต้องมี นั่นต้องอาศัยโชค! เพราะวิญญาณร้ายและอสูรมากมาย
อยู่เบื้องล่าง พวกมันคือสาเหตุหลักที่นำพาความตายมา!” ผู้เฒ่าหวัง
กล่าว
ฉินหยุนคิดอยู่ครู่ ก่อนจะพบว่าแม้ลงไปก็ไม่น่าเป็นไร อย่างไรแล้ว
เขาก็ยังมีเหยาเฟิง นอกจากนี้ยังมีพลังแห่งความเที่ยงธรรมและพลัง
เงา ด้วยพลังเงา จะทำให้เขาซ่อนเร้นตัวตน และพลังแห่งความเที่ยง
ธรรม จะทำให้วิญญาณร้ายทั้งหลายถอยหนี
“พี่สาวเหยาเฟิง ข้าคิดกระโดดลงหุบเหวนี้!” ฉินหยุนบอกกล่าวต่อ
เหยาเฟิงที่อยู่ในไข่มุกเม็ดที่สาม “ท่านพบเจออะไรในความทรงจำ
ของจอมจักรพรรดิอสูรเซียนบ้างหรือไม่?”
“อย่าเพิ่งรีบลงไป! รอสักพักหนึ่ง เมื่อใดเก้าตะวันอยู่เหนือหุบเหว
เจ้าค่อยลงไป!” เหยาเฟิงกล่าว
“เพราะอะไรกัน?” ฉินหยุนเผยอาการตระหนก เหยาเฟิงไม่อาจได้
ยินคำบอกกล่าวของชายชราที่ภายนอก นางย่อมไม่มีทางทราบว่าเก้า
ตะวันจะอยู่เหนือหุบเหว
“เพราะที่ก้นบึ้งหุบเหวมีอาวุธ! มันคือกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิวิญญาณปรโลก
ของจอมจักรพรรดิปรโลก แม้ได้รับความเสียหาย แต่ด้วยกาลเวลา
ผันผ่าน มันได้ดูดกลืนพลังเก้าตะวันจนซ่อมแซมตัวเอง” เหยาเฟิง
กล่าว
“ท่านต้องการให้ข้าหาอาวุธชิ้นนั้น?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ถูกต้อง! กระบี่ศักด์ิสิทธ์ิวิญญาณปรโลก มันคืออาวุธศักด์ิสิทธ์ิที่มี
ชื่อเสียง ทั้งยังเป็นสิ่งที่จอมจักรพรรดิอสูรเซียนหวาดกลัวเป็นที่สุด!
ครั้งจอมจักรพรรดิอสูรเซียนและจอมจักรพรรดิปรโลกต่อสู้กัน เขา
ต้องพยายามไปอย่างมหาศาลจึงทำความเสียหายแก่อาวุธนั้นได้”
เหยาเฟิงกล่าว
“จอมจักรพรรดิปรโลกช่างไร้ค่านัก มีอาวุธทรงพลังอำนาจเพียงนี้
กระนั้นกลับยังถูกสังหาร!” ฉินหยุนรู้สึกว่าจอมจักรพรรดิปรโลก
เป็นผู้ที่อ่อนด้อย
“หากเป็นการต่อสู้โดยหนึ่งต่อหนึ่ง อย่างนั้นผู้ที่ตายย่อมเป็นจอม
จักรพรรดิอสูรเซียน! หลังจากที่จอมจักรพรรดิอสูรเซียนทำให้กระบี่
ศักด์ิสิทธ์ิวิญญาณปรโลกเสียหาย เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บหนัก เป็น
จอมจักรพรรดิเซียนอ้างว้างที่ลักลอบโจมตี เป็นผลให้จอมจักรพรรดิ
ปรโลกถึงแก่ความตาย!” เหยาเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงนึกรังเกียจยาม
เอ่ยถึงเรื่องนี้
“ไม่ใช่ว่าจอมจักรพรรดิเซียนอ้างว้างคือจักรพรรดิเซียนหรือ? ใน
แดนเซียนอ้างว้าง พวกเขาสมควรต้องเป็นฝ่ายที่ชอบธรรมนี่!” ฉิน
หยุนพลันนึกถึงเรื่องเซี่ยฉีโหรว กล่าวว่าจักรพรรดิเซียนริษยาต่อ
ธิดาของตนเอง ทั้งยังเป็นกังวลว่าจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าตนเอง ดังนั้น
เขาจึงผนึกนางเอาไว้
“พวกมันล้วนเป็นตัวตนบัดซบทั้งสิ้น!” เหยาเฟิงกล่าว “เมื่อใดเจ้าลง
ไป เจ้าอย่าได้หวาดเกรงวิญญาณร้ายพวกนั้น เจ้าเพียงพุ่งเน้นจิตใจ
สัมผัสหาออร่าของกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิวิญญาณปรโลก!”
ฉินหยุนเกิดอาการตื่นเต้นยินดี ตอนนี้เขาไม่มีกระบี่ที่ดีในมือ แม้
สามารถสร้างขึ้นได้ แต่นั่นก็จะเป็นแค่อุปกรณ์ลึกล้ำ หากเขาได้รับ
กระบี่ศักด์ิสิทธ์ิวิญญาณปรโลก เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้ค้อนเทวะเก้า
ตะวันในภายหน้าแล้ว
เวลาผันผ่าน ฉินหยุนใช้เวลาไปกับการอยู่ตามแนวชายขอบหุบเหว
รับชมผู้คนตกปลาขึ้นมา นอกจากนี้แล้ว เขายังได้ช่วยเหลือพวกเขา
เฉือนหั่นเนื้อมังกร ผลลัพธ์คือได้รับกระดูกสัตว์จำนวนมหาศาล ฉิน
หยุนรอคอยจนกระทั่งผ่านไปสองเดือน ในที่สุด วันนี้ช่วงบ่าย เก้า
ตะวันได้ตั้งตรงเรียงรายเหนือหุบเหว วันนี้ ผู้คนหาได้คิดตกปลาไม่
แต่เป็นกระโดดลงไปยังหุบเหวเบื้องล่าง
“น้องชาย จดจำไว้ เจ้ามีเวลาน้อยกว่าครึ่งชั่วยาม! หากเจ้าไม่อาจ
หาทางได้พบ เช่นนั้นจงกลับมาโดยเร็ว!” ผู้เฒ่าหวังกล่าวเตือน
“ทราบแล้ว ลาก่อนท่านผู้เฒ่า!” กล่าวคำจบ ฉินหยุนจึงกระโดดลง
หุบเหวไป
ด้วยเพราะเร่งรีบ ฉินหยุนจึงให้หลิงหยุนเอ๋อช่วยปลดปล่อยแรงโน้ม
ถ่วง ทำให้ตัวเขาหนักอึ้ง ร่วงหล่นสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว เพียงอึด
ใจ เขาร่วงหล่นถึงพื้นเบื้องล่าง ระหว่างทางที่ลงมา เขาได้เห็นว่า
ผนังหน้าผาสองฟากข้างเต็มไปด้วยรู เหล่านั้นคือที่ซ่อนตัวของสัตว์
อสูร แสงสว่างจากเก้าตะวันบนฟากฟ้าได้สาดส่องลงมา เป็นผลให้
สัตว์อสูรพวกนั้นไม่กล้าเสนอหน้า ที่พื้นผิวก้นบึ้งหุบเหว ที่แห่งนี้มี
เสื้อผ้าที่ฉีกกระจายอยู่เต็มไปหมด
“เมื่อสัตว์อสูรกินมนุษย์ พวกมันจะคายเสื้อผ้าออกมา!” ฉินหยุน
ปลดปล่อยพลังจิต สัมผัสถึงออร่าที่เบื้องล่างแห่งนี้
เขาครอบครองวิญญาณเทวะเก้าตะวัน ดังนั้นจึงอ่อนไหวต่อการ
ไหลเวียนของพลังวิญญาณเก้าตะวัน ไม่นาน เขาสัมผัสถึงทิศทางซึ่ง
มีอัตราการดูดกลืนสูงล้ำ เขาเร่งรีบมุ่งหน้าไปยังทิศทางดังกล่าว ฉิน
หยุนหาได้เร่งรีบค้นหาทางออก แต่เขาเลือกที่จะค้นหากระบี่
ศักด์ิสิทธ์ิวิญญาณปรโลก ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หุบเหวเริ่มดำมืดลง เก้า
ตะวันเริ่มเคลื่อนตัวออกห่างจากหุบเหว
“ต้องไปทางนี้ต่อ!” ฉินหยุนคิดว่าตนสามารถค้นหามันได้รวดเร็ว
กระนั้นเวลานี้ เขาค่อยได้ตระหนักว่ามันอยู่ไกลห่างไม่น้อย
หุบเหวนี้กว้างใหญ่ ฉินหยุนมุ่งหน้าไป ผ่านพ้นครึ่งชั่วยาม ก้นบึ้ง
หุบเหวเริ่มดำมืด หมอกสีดำเริ่มปรากฏ มันบดบังแสงไว้โดยสมบูรณ์
ฉินหยุนใช้งานพลังเงาเพื่อซ่อนตัวในความมืด เวลานี้ เขาได้ยินเสียง
กรีดร้องของสัตว์อสูรทั้งหลาย รวมถึงเสียงกระพือปีก ที่ก้นบึ้งหุบ
เหวแห่งนี้ มันมีฝูงสัตว์อสูรดุร้ายเคลื่อนที่อย่างคลุ้มคลั่ง ฉินหยุน
มองฟากฟ้าเบื้องบน ได้เห็นจุดแสงหลากสีสัน เหล่านี้คือดวงตาของ
สัตว์อสูรที่ส่องประกาย ฉินหยุนได้แต่สงบใจและออกบินต่อ หาก
เป็นผู้อื่น พวกเขาคงหวาดกลัวจนตายตกไปเรียบร้อยแล้ว
หลายวันผ่านไป ฉินหยุนผู้ซึ่งบินอยู่ในหุบเหวพลันต้องหยุด เพราะ
มันมีหลุมลึกที่กว้างหลายร้อยเมตรคงอยู่ที่นี่
“เบื้องล่างนี้ คือที่อยู่ของกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิวิญญาณปรโลก?” ฉินหยุน
นำเอายันต์อัคคีออกมา โยนมันลงไป ประกายไฟลุกโชนรุนแรง
ฉินหยุนรับชมยันต์อัคคีที่ร่วงหล่นลงไปจนกระทั่งมอดทับ
“มันยังไปไม่ถึงก้นบึ้ง!”
ฉินหยุนนำเอาลูกปืนใหญ่ออกมาพร้อมโยนลงไป อึดใจถัดมาหลัง
ลูกปืนใหญ่ร่วงหล่น อัคคีเพลิงค่อยพวยพุ่งขึ้นมาด้านบน
“ลึกมาก!” ฉินหยุนสูดลมหายใจเข้าลึก หลังได้ยืนยันว่าเหยาเฟิงยัง
ไม่ได้เก็บตัวฝึกฝน เขาจึงกระโดดลงไป
เขายังได้พบ ว่าที่หลุมลึกแห่งนี้ไม่มีสัตว์อสูรใดซ่อนตัว สัตว์อสูร
เหล่านั้นไม่กล้าเข้ามาใกล้ยังที่แห่งนี้
ผ่านไปไม่นาน ฉินหยุนถึงมาถึงก้นบึ้งของหลุม เขาสัมผัสได้ ว่ามัน
มีอะไรบางอย่างกำลังดูดกลืนเศษเสี้ยวพลังอัคคีเพลิง
“มันอยู่ที่นี่เอง!” ฉินหยุนก้าวเดินระแวดระวังไปยังทิศทางนั้น เขา
นำเอาหินส่องแสงมาส่องสว่างที่เบื้องล่างนี้
ผ่านไปครู่ เขาจึงได้เห็นด้ามกระบี่ ด้วยความยินดีจึงเดินเข้าไป คว้า
เอาด้ามกระบี่นั้นไว้และดึงขึ้นมา หลังกระบี่ถูกดึงขึ้น มันไม่คล้ายมี
ปฏิกิริยาตอบสนองใด
“นี่หรือกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิวิญญาณปรโลก?” ฉินหยุนยามได้เห็นอาวุธ
ศักด์ิสิทธ์ิ ครู่แรกคือพบว่ามันธรรมดาอย่างยิ่ง ตัวกระบี่มีรอยแตก
ทั้งยังไม่มีอักขระ มันเป็นเพียงกระบี่ที่ผุพัง
เขานึก ว่าอย่างน้อยมันก็ต้องคล้ายค้อนเทวะเก้าตะวัน
ค้อนเทวะเก้าตะวันจึงเป็นตัวตนที่งดงามเลิศล้ำ
“เสี่ยวหยุน นี่คือกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิวิญญาณปรโลกที่เสียหาย มันยังอยู่
ระหว่างกระบวนการซ่อมแซมตนเอง!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
ฉินหยุนสัมผัสอย่างถี่ถ้วน พบว่ามีอักขระที่ภายในตัวกระบี่ศักด์ิสิทธ์ิ
วิญญาณปรโลก เขาร้องอุทานแตกตื่นภายในอย่างนึกทึ่ง ด้านในนั้น
มันมีอักขระโทเทมคงอยู่ รวมถึงอักขระอีกหลากหลายที่ทรงพลัง
อำนาจ

ตอนที่ 753 หุบเหวจันทราเงียบงัน
ฉินหยุนยังลังเล ว่าเขาควรนำจอมราชันดวงดาวอสูรไปไว้ในบ่อด้วย
หรือไม่
เขาเป็นกังวล ว่าจะสูญเสียทั้งจอมราชันดวงดาวอสูรและมังกรกระดูก
พวกมันทั้งสองคือหุ่นเชิดที่ดีเยี่ยม หากต้องสูญเสียหนึ่งในพวกมัน
ก็เป็นเรื่องปวดใจมากล้ำแล้ว
นอกจากนี้ หุ่นเชิดทั้งสองยังถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมศักยภาพให้เติบโต
อย่างมหาศาล
ตั้งแต่ที่ฉินหยุนได้รับจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวและนายหญิงจันทรา
ตัวเขาเวลานี้สามารถแกะสลักอักขระดวงดาวและจันทราให้แก่พวก
มัน เมื่อนั้น พวกมันจะยิ่งเป็นหุ่นเชิดที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
“หากหุ่นเชิดทั้งสองนี้ผสานรวมเข้าด้วยกัน พวกมันจะมีแต่แข็งแกร่ง
ยิ่งขึ้น!” ฉินหยุนเกิดความลังเลภายในใจ เขาเอ่ยถาม “หยุนเอ๋อ ข้า
ควรลองหรือ?”
“นั่นขึ้นอยู่กับเจ้า ข้าเพียงเสนอแนะ ครั้งนี้ข้าไม่อาจช่วยเจ้าตัดสินใจ
หากพลาด เจ้าเพียงกล่าวโทษข้าก็ได้!” หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะตอบ
“หากเจ้าคิดเลือกสตรีผู้งดงาม ถึงตอนนั้นข้าค่อยช่วยเจ้าตัดสินใจได้
อย่างดีเยี่ยม!”
“เจ้านี่นะ!” ฉินหยุนสบถออกเสียงเบา
เขามองที่ภายในหลุมซึ่งมีแต่น้ำมันสัตว์ เวลานี้ยิ่งสับสน
“มีแต่ต้องลอง!” ฉินหยุนกัดฟันแน่น เขาควบคุมให้จอมราชันดวงดาว
อสูรกระโดดลงไป
หลังจากที่จอมราชันดวงดาวอสูรลงไปแล้ว มังกรกระดูกที่แช่ใน
น้ำมันสัตว์ เลือดและเนื้อนั้นคล้ายเต้นร่าก่อนจะม้วนวนรัดพันรอบ
จอมราชันดวงดาวอสูร
เพียงไม่นาน ปากกว้างใหญ่ของมังกรจึงกัดเข้าใส่ร่างจอมราชัน
ดวงดาวอสูร
“ไม่ดีแล้ว! มันกำลังกิน!” ฉินหยุนยิ่งวิตกกังวล
มังกรไม่อาจฉีกกระชากร่างจอมราชันดวงดาวอสูร เพราะร่างนั้น
ทนทานแข็งแกร่ง คิดฉีกร่างอีกฝ่ายไม่ใช่เรื่องง่าย
มังกรร่างใหญ่เวลานี้ประหนึ่งงูเหลือมคิดกลืนกินเหยื่อ มันกำลัง
กลืนจอมราชันดวงดาวอสูรเข้าไปทีละนิดจนกระทั่งหายเข้าไปทั้ง
ร่าง
จอมราชันดวงดาวอสูรที่ถูกกินเข้าไป ร่างใหญ่โตของมังกรจึง
ระเบิดเอาแสงสีทองคำออกมา
จากนั้นแสงสีทองคำค่อยเข้าดูดกลืนน้ำมันสัตว์ปริมาณมหาศาลเข้าสู่
ร่างมังกร
ร่างมังกรใหญ่ยักษ์เริ่มบิดเบี้ยวกลายเป็นทรงกลม ทั้งร่างของมันเผย
หมอกสีทองคำออกมา
อย่างคาดไม่ถึง มังกรนั้นเริ่มคายใยออกจากปาก มันก่อเกิดขึ้นเป็น
รังไหม
“สวรรค์! มังกรนั่นคายเอาใยออกมา!” หลิงหยุนเอ๋อร้องอย่างตื่น
ตระหนก
“มังกรนั่นไม่น่าจะใช่มังกรธรรมดาแล้ว!” ฉินหยุนตอนนี้ผ่อนคลาย
ได้มาก นี่หมายความถึงมังกรกำลังวิวัฒนาการ เขาจะไม่สูญเสียมัน
ไป
“เสี่ยวหยุน เจ้าได้รับมังกรตัวนั้นมาจากเทือกเขาเมฆมังกร มันไม่น่า
ใช่มังกรธรรมดาแล้ว!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “เป็ดน้อยหยางหยางได้
เข้าสู่ขั้นตอนวิวัฒนาการก็หลังจากกินเนื้อมังกรนั่นไป!”
“อืม สงสัยนักว่ากว่ามังกรตัวนี้จะออกจากรังไหมต้องใช้เวลาอีก
เพียงใด!” ฉินหยุนมองที่รังไหมยักษ์สีทอง เขาสูดลมหายใจเข้ายาว
ตอนนี้เขาผ่อนคลายได้มากแล้ว
รังไหมทองคำขนาดใหญ่ยักษ์นี้ ยังถือเป็นสัญลักษณ์ในการขยับขยาย
ชนเผ่าของจ้านเฉียง
ชายชราผู้ซึ่งใช้ชีวิตมาอย่างยาวนาน นี่คือครั้งแรกที่เขาได้พบเห็นสิ่ง
เช่นนี้ มันมากพอที่จะให้ขวัญกำลังใจแก่เขาอีกหลายปี
ฉินหยุนเก็บรังไหมทองคำยักษ์ไป พร้อมหันไปยิ้มกล่าวกับจ้านเฉียง
“ผู้อาวุโส นี่นับเป็นข่าวดี! ชนเผ่าท่านปลอดภัยแล้ว!”
“ขอบคุณท่านประมุขแล้ว!” จ้านเฉียงพยักหน้ายิ้มรับ “ท่านประมุข
ช่างมากล้นความสามารถ ถึงขั้นกวาดล้างชนเผ่าหมาป่ าคลั่งได้โดย
ลำพัง!”
ฉินหยุนและจ้านเฉียงเดินกลับเข้าในเมืองของชนเผ่า พวกเขาพูดคุย
กันพลางหัวเราะ
จ้านเฉียงให้คนของชนเผ่าด้านในสวนออกมา พร้อมทั้งให้มากล่าว
ขอบคุณต่อฉินหยุน
หลังได้พูดคุยกับคนของชนเผ่านักรบไปชั่วครู่ ฉินหยุนจึงค่อยเดิน
กลับมายังห้องของจ้านเฉียง
“ผู้อาวุโส ท่านทราบวิธีการออกไปจากเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ
แห่งนี้หรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“เรื่องนี้… ตำนานกล่าวว่าที่แห่งนี้มีหุบเหวจันทราเงียบงัน เบื้องล่าง
มันคือก้นบึ้งไร้สิ้นสุดที่สามารถใช้ออกไปจากโลกแห่งนี้ได้!” จ้าน
เฉียงกล่าว “ทว่าที่แห่งนั้นอันตรายอย่างยิ่ง!”
“อันตรายอันใด?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“หุบเหวแห่งนั้น มีแต่สัตว์ใต้พิภพอันชั่วร้ายและวิญญาณร้าย!” จ้าน
เฉียงขมวดคิ้วกล่าว “ท่านประมุข หากท่านไป เช่นนั้นต้องเตรียมตัว
ให้มาก!”
ฉินหยุนพยักหน้ารับ “ข้าทราบดี!”
ช่วงระยะเวลาที่มี ฉินหยุนได้เตรียมตัว เขาสร้างยันต์ไว้จำนวนหนึ่ง
โชคดีที่เขามีเซียนทรงพลังอำนาจเช่นเหยาเฟิงช่วยเหลือ ดังนั้นจึง
สามารถสร้างยันต์ได้หลากหลาย
นอกจากนี้ เขายังช่วยเหลือจ้านเฉียงขยับขยายอาคมป้องกันให้ปก
คลุมทั่วทั้งเมือง
เช่นนี้ หากถูกโจมตีอีกครั้งหนึ่ง ชนเผ่านักรบจะได้ไม่ตกอยู่ในมือ
ของศัตรู
ศีรษะของผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่ง ได้ถูกแขวนเอาไว้ที่ด้านหน้าทางเข้า
ชนเผ่านักรบ
เพื่อเพิ่มพูนศักยภาพตนเองในการขัดเกลาอุปกรณ์ ฉินหยุนยังได้
สร้างอุปกรณ์ลึกล้ำหลายชิ้นไว้ให้แก่ชนเผ่านักรบ
ตัวเขาตอนนี้ สามารถใช้ค้อนเทวะเก้าตะวันและจารึกวิญญาณได้
อย่างดีเยี่ยม คิดสร้างอุปกรณ์ลึกล้ำที่ดีจึงเป็นเรื่องง่าย มันไม่ต่างอะไร
กับหยิบอาหารเข้าปากด้วยซ้ำ
“เราตอนนี้สามารถสร้างอุปกรณ์ลึกล้ำระดับสูงได้แล้ว!” ในช่วง
หลายเดือนที่ผ่านมา ฉินหยุนได้เตรียมตัวอย่างพร้อมสรรพ
ยามเมื่อทำการหลอม เขาจะใช้ห้องใต้ดินของจ้านเฉียง ที่แห่งนั้นมี
แหล่งพลังงานคงอยู่ มันถูกใช้เพื่อคงสภาพค่ายอาคมใหญ่ของชนเผ่า
และเวลานี้ มันก็ถือเป็นสถานที่เก็บตัวฝึกฝนของฉินหยุน
ชนเผ่านักรบได้ทราบว่าฉินหยุนคิดเดินทางจากไป พวกเขาต่างอาลัย
ยามต้องแยกจาก
พวกเขาล้วนได้รับอุปกรณ์ลึกล้ำทรงพลังอำนาจ รวมถึงกระเป๋ ามิติ
เก็บของ ทุกคนล้วนซาบซึ้งต่อฉินหยุนพร้อมเข้ามากราบไหว้เคารพ
บูชา
แน่นอนว่า จ้านเฉียงก็คิดอยากให้ฉินหยุนอยู่ต่อ ทว่าเขาทราบดี ว่า
ฉินหยุนมีเรื่องอื่นที่สำคัญให้ต้องไปกระทำ
ฉินหยุนตอนนี้กำลังเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญ นั่นก็คือการควบแน่นผลึก
แก้วเต๋าวิญญาณลึกล้ำที่ใกล้สำเร็จแล้ว
เขาใช้หยกผลึกแก้วเต๋า และผลึกแก้วหัวใจลึกล้ำที่ได้รับจากเย่ว์โยว
มาจนหมดสิ้น
เหยาเฟิงยังคอยอยู่ข้างกายฉินหยุนตลอดช่วงหลายวันที่เป็นช่วงเวลา
สำคัญ
ระหว่างฉินหยุนฝึกฝน เขาสัมผัสได้ ว่าภายในแก่นเต๋าตะวันทมิฬ
มันได้หมุนวนอย่างรุนแรงพร้อมรวบรวมพลังงานมหาศาลไว้ที่
ภายใน
พลังงานในเลือดเนื้อและกระดูกของเขา กำลังไหลเวียนเข้าสู่แก่น
เต๋าตะวันทมิฬอย่างบ้าคลั่ง
“มันต้องสำเร็จ!” ฉินหยุนขมวดคิ้วมุ่นพร้อมกำหมัดแน่น
ฟู่!
อย่างกะทันหัน ฉินหยุนสัมผัสได้ถึงไอน้ำรุนแรงทะลักล้นจากร่าง
มันส่งเสียงดังพร้อมหมอกฟุ้ง
ร่างกายฉินหยุนปลดปล่อยคลื่นพลังเก้าสี เรื่องนี้ทำเหยาเฟิงตื่นตะลึง
อย่างถึงที่สุด
“ฉินหยุน เจ้าสามารถดูดกลืนพลังเก้าตะวันผ่านทางวิญญาณเทวะเก้า
ตะวัน! ภายหน้า เจ้าย่อมสามารถฝึกฝนร่างเทวะเก้าตะวันได้แน่!”
เหยาเฟิงอุทานกล่าว
“ร่างเทวะเก้าตะวัน? ตอนนี้ข้าครอบครองร่างเซียนอสูร พื้นที่เติบโต
ยังมีอีกมากมายนัก!”
ฉินหยุนลืมตาขึ้น เขาฝึกฝนผลึกแก้วเต๋าวิญญาณลึกล้ำได้สำเร็จ ตอนนี้
เขาสามารถควบแน่นพลังลึกล้ำที่อ่อนจางขึ้นมาได้แล้ว!
“ขีดสุดของร่างเซียนอสูร ก็เพียงแค่ร่างศักด์ิสิทธ์ิเซียนอสูร! กระนั้น
ร่างเทวะเก้าตะวัน นั่นจึงเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุด! แน่นอนว่าร่างเทวะ
เก้าตะวัน มีอยู่เพียงแค่ในตำนานเท่านั้น” เหยาเฟิงบอกเล่าออกมา
นางรับชมฉินหยุนเลื่อนระดับพลังได้สำเร็จ ก่อนจะกลับเข้าสู่ไข่มุก
เม็ดที่สามของวิญญาณเทวะเก้าตะวัน
ฉินหยุนลองปลดปล่อยพลังลึกล้ำออกมาเล็กน้อย เท่าที่มีตอนนี้ไม่
อาจใช้ในการศึก จุดประสงค์หลักของมันคือใช้เพื่อแปรเปลี่ยนแก่น
เต๋า ให้เป็นแก่นเต๋าลึกล้ำ และกระบวนการจะเป็นไปอย่างยาวนาน
ตราบเท่าที่เขาฝึกฝนแก่นเต๋าลึกล้ำ เขาจะสามารถปลดปล่อยพลังเต๋า
ลึกล้ำอันทรงพลังออกมาได้!
ฉินหยุนก้าวเดินออกจากห้องลับใต้ดิน กลับขึ้นไปด้านบนเพื่อบอก
ลาต่อจ้านเฉียง
จ้านเฉียงและกลุ่มคนได้คุ้มกันเขาออกมาส่งที่ด้านนอกชนเผ่า ทั้งยัง
จัดพิธีอำลาอย่างยิ่งใหญ่
ฉินหยุนไปจากชนเผ่านักรบ มุ่งหน้าสู่ทางตะวันตก! เป้าหมาย คือ
หุบเหวจันทราเงียบงัน
“พี่สาวเหยาเฟิง ท่านพบเจอเรื่องราวจากความทรงจำของจอม
จักรพรรดิอสูรเซียนบ้างหรือยัง?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ความทรงจำของมัน มีพระสูตรโลกาวินาศเก้าตะวันคงอยู่จริง!”
เหยาเฟิงกล่าว “ทว่าความทรงจำนี้กระจัดกระจาย ข้าต้องใช้เวลา
รวบรวม!”
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ฉินหยุนไม่อาจติดต่อหาเซี่ยฉีโหรว เรื่อง
นี้ทำเขากังวลไม่ใช่น้อย
“พี่สาวเหยาเฟิง มีวิญญาณดวงตะวันใดร่วงหล่นสู่แดนวิญญาณ
อ้างว้าง และแดนอสูรอ้างว้างบ้างหรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ย่อมมี ทว่าพวกมันถูกนำไปเมื่อนานมาแล้ว!” เหยาเฟิงกล่าว “ย้อน
กลับไป คนกลุ่มใหญ่จากแดนเซียนอ้างว้าง ได้ลงมายังแดนวิญญาณ
อ้างว้างและแดนอสูรอ้างว้าง เจ้าคิดว่าพวกเขาจะปล่อยวิญญาณดวง
ตะวันให้หลุดมือไปหรือ?”
“น่าเสียดายนัก!” ฉินหยุนถอนหายใจ
“เจ้าครอบครองสองวิญญาณดวงตะวัน ยังมีอันใดให้เสียดาย?” เหยา
เฟิงกล่าว “เจ้าควรใช้งานวิญญาณดวงตะวันทั้งสองที่มีให้ดี!”
“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว!” ฉินหยุนรับชมหยางหยาง เวลานี้ยังคง
เป็นบอลใหญ่ยักษ์หลับใหลอยู่
ฉินหยุนไม่มีอันใดให้ต้องหวาดเกรง หากต้องเผชิญหน้าอันตรายใด
แม้เขาไม่มีจอมราชันดวงดาวอสูรแล้ว กระนั้นก็ยังมีเหยาเฟิง
เหยาเฟิงให้สัญญากับฉินหยุน ว่านางจะยังไม่เก็บตัวในช่วงระยะเวลา
นี้ จนกว่าเขาจะเดินทางถึงแดนวิญญาณอ้างว้างได้อย่างปลอดภัย
เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬกว้างใหญ่ ฉินหยุนบินอยู่หลายสิบวันก็
ยังไม่พบเห็นหุบเหวที่พาดผ่านเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ
“หรือจะเป็นเพียงแค่ตำนาน?” ฉินหยุนเกิดความสงสัย
หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “อดทนอีกสักหน่อย มุ่งหน้าไปต่อ แม้เจ้าไม่พบ
เจอหุบเขาจันทราเงียบงัน อย่างน้อยก็ต้องไปจนถึงสุดขอบของเขต
แดนอ้างว้าง!”
หลังฝึกฝนผลึกแก้วเต๋าวิญญาณลึกล้ำ กำลังกายของเขาเพิ่มพูนขึ้น
มหาศาล มันทำให้เขาสามารถใช้พลังต่อเนื่องบินด้วยความเร็วสูงล้ำ
ได้
หลังจากบินอยู่ทั้งเดือน ฉินหยุนค่อยได้เห็นหุบเหวจันทราเงียบงัน!
หุบเหวจันทราเงียบงันกว้างหลายหมื่นเมตร มองจากด้านบน มัน
เปรียบดังแผลเป็นขนาดใหญ่ยักษ์บนพื้นแผ่นดิน
ฉินหยุนมองมันจากระยะไกลในช่วงเวลากลางวัน กระทั่งเขายังต้อง
อึ้ง
“ไม่ใช่เพียงแค่ตำนาน ดี!” ฉินหยุนที่ตื่นเต้น จึงเร่งรีบบินไปด้วย
ความเร็วสูงล้ำ
หลังจากที่ฉินหยุนบินเข้ามาใกล้ ฉับพลัน เขาได้เห็นกลุ่มคนอยู่ข้าง
หุบเหว
คนกลุ่มนี้ถือแท่งยาวในมือ กำลังนั่งอยู่ข้างหุบเหว แต่ละคนอยู่ห่าง
กันกว่าสิบเมตร ราวกับพวกเขากำลังตกปลา กระนั้น หุบเหวจันทรา
เงียบงันหาได้ใช่แม่น้ำไม่
อย่างกะทันหัน บุคคลที่ดุดันพลันยกแท่งนั้นขึ้น มวลอากาศสีดำจึง
ปรากฏขึ้นจากหุบเหว มังกรกิ้งก่าร่างยักษ์ถึงกับถูกดึงขึ้นมา! ผู้คน
เหล่านี้กำลังตกปลาอยู่จริง ทว่านั่นไม่ใช่ปลา แต่เป็นมังกรกิ้งก่า!
ฉินหยุนยามได้พบเห็นจากระยะไกล เขายังต้องทึ่ง!
มังกรกิ้งก่าที่ถูกดึงตัวขึ้นมา คนกลุ่มนั้นจึงเร่งรีบถอยพร้อมลาก
มังกรกิ้งก่าออกห่างหุบเหว จากนั้น พวกเขาจึงเริ่มรุมโจมตีสังหาร
มังกรกิ้งก่า!
ฉินหยุนยามได้เห็นว่าคนกลุ่มนี้น่าจะพูดคุยด้วยง่าย เขาค่อยโล่งใจ
ก่อนจะเดินเข้าไปหา
คนกลุ่มนี้ ชัดเจนว่าเป็นชนพื้นเมือง เพราะพวกเขาไม่ได้ใช้พลัง
พิเศษใด ทั้งยังดูค่อนข้างเป็นมิตร
ฉินหยุนที่เดินเข้าหา คนกลุ่มนี้จึงเริ่มให้ความสนใจ คราแรก พวก
เขากังวล ทว่าภายหลังค่อยโล่งใจยามได้เห็นว่าไม่มีเจตนาร้าย
ฉินหยุนไม่กล่าวคำใด เขาเพียงแต่สงสัยและรับชมการตกมังกร
กิ้งก่าจากด้านข้าง
“คนหนุ่ม เจ้าคิดอยากออกไปโดยใช้หุบเหวหรือ?” ชายชราที่สวม
ใส่หมวกไม้ไผ่ยิ้มเอ่ยถาม
ฉินหยุนเร่งรีบตอบ “ผู้อาวุโส ข้าสามารถออกจากเขตแดนอ้างว้างนี้
โดยอาศัยก้นบึ้งของหุบเหวจันทราเงียบงันได้หรือไม่?”
“ย่อมได้! ตำนานกล่าวไว้ ว่าที่นี่ได้เกิดศึกครั้งยิ่งใหญ่ และจอมจักรพรรดิ
ปรโลก ได้ใช้กระบี่ศักด์ิสิทธ์ิวิญญาณปรโลกเพื่อสับฟันลงมา และ
ได้ฝากไว้เป็นหุบเหวแห่งนี้!” ชายชรากล่าว

ตอนที่ 752 มังกรกระดูกวิวัฒนาการ
จ้านเฉียงไม่ทราบ ว่าฉินหยุนจะหาทางป้องกันการบุกโจมตีของชน
เผ่าหมาป่าคลั่งได้อย่างไร
กระนั้นเขาก็เชื่อ ว่าฉินหยุนจะต้องมีหนทาง ตอนนี้ เขาได้แต่ต้องยืน
หยัดที่นี่ เพื่อต่อสู้ต้านรับกองทัพหมาป่ าคลั่งพร้อมฉินหยุน
ฉินหยุนทราบกระจ่างชัดดี ว่าเหตุใดในชาติภพก่อน ตัวเขาจึงฝากฝัง
สมบัติอันล้ำค่าไว้กับชนเผ่านักรบ นั่นก็เพราะเขาชื่นชอบและชื่นชม
ตัวตนของพวกเขาเหล่านี้
ผ่านมาหนึ่งหมื่นปี ผู้นำชนเผ่านักรบได้แปรเปลี่ยนกันไปหลายต่อ
หลายรุ่น กระนั้น พวกเขาก็ยังตั้งรับอยู่ที่นี่ พวกเขาไม่เคยยอมแพ้ที่
จะให้การปกปักษ์ต่อจารึกวิญญาณนายหญิงจันทรา
เพียงเรื่องนี้ ฉินหยุนก็ไม่มีวันยอมให้ชนเผ่านักรบต้องถูกทำลาย
อย่างแน่นอน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ชนเผ่านักรบถูกบุกทำลายไปหลายครั้งหลาย
หน ทุกครั้ง พวกเขาจะต้องกล้ำกลืนความโกรธ และยืนหยัดขึ้น
อย่างแข็งแกร่งเพื่อสร้างบ้านเกิดของพวกเขาขึ้นมากันใหม่
พอคิดถึงเรื่องนี้ ฉินหยุนยิ่งรู้สึกโกรธแค้นอยู่ภายในหัวใจ
“ชนเผ่าหมาป่าคลั่ง พวกเจ้าได้สังหารคนของชนเผ่านักรบไปมากมาย
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา วันนี้ ข้าจะให้พวกเจ้าได้ชดใช้หนี้เลือดด้วย
เลือดของพวกเจ้า!”
น้ำเสียงกราดเกรี้ยวของฉินหยุน มันมาพร้อมพลังสั่นไหวที่เข้า
สั่นสะเทือนทั้งผืนดินและฟากฟ้า
พร้อมกันนี้ เขาได้ปลดปล่อยความสามารถเทวะแผ่นดินไหวมุ่งตรง
สู่พื้นที่รกร้างตรงด้านหน้า
กำลังพลนับแสนที่พุ่งเข้ามา เวลานี้ ผืนแผ่นดินกลับปริแตกแยกออก
และยุบตัวพังทลายเป็นแนวยาวหลายร้อยเมตร!
ฉินหยุนในตอนนี้ สามารถควบคุมความสามารถเทวะแผ่นดินไหว
ได้อย่างแม่นยำ
มีแต่พื้นที่ตรงหน้าจึงได้รับผลกระทบ บ้านเมืองของชนเผ่านักรบที่
อยู่เบื้องหลัง หาได้มีความเสียหายใดเกิดขึ้นไม่!
เพียงอึดใจ กองทัพนับแสนของชนเผ่าหมาป่ าคลั่งจึงจมดิ่งลงสู่พื้น
ปฐพี
หมาป่ ายักษ์หลายตัวเริ่มเผ่นหนีอย่างตื่นตระหนก นักรบชนเผ่าหมา
ป่าคลั่งหลายคนต่างต้องสั่นกลัว
จ้านเฉียงและผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่ง พวกเขาทั้งสองต่างแตกตื่น!
พวกเขาทราบดี ว่านี่เป็นพลังที่ฉินหยุนปลดปล่อยออกมา!
“สังหารไอ้เด็กนั่นให้แก่ข้า!” ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งร้องคำราม
จ้านเฉียงพุ่งทะยานพร้อมตะโกนดัง “อย่าได้คิดว่าจะทำได้!”
พร้อมกันนี้ ฉินหยุนจึงปลดปล่อยจอมราชันดวงดาวอสูร!
จอมราชันดวงดาวอสูรของฉินหยุนมีค้อนเทวะเก้าตะวันอยู่ในมือ
มันพุ่งเข้าปะทะใส่ราชันสงครามของชนเผ่าหมาป่าคลั่ง การโจมตี
เป็นไปอย่างดุดัน
จอมราชันดวงดาวอสูรมีสามเศียรหกกร อำนาจการป้องกันของมัน
มากล้ำ กระทั่งว่าถูกผ่าร่าง มันก็จะไม่มีทางตายในทันที
ชนเผ่าหมาป่ าคลั่งมีราชันสงครามเพียงกว่าสิบคน หาได้มีผู้ใดมี
อาวุธในครอบครอง
เป็นที่ทราบกันว่า ครั้งฉินหยุนอยู่ที่ตำหนักเซียนดาบ เขาได้สังหาร
ราชันยุทธ์และจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งไปมากมาย
จ้านเฉียงเดิมคิด ว่าตนเองอาจต้องเสี่ยงชีวิต อย่างไรแล้ว ครั้งนี้คือ
การถูกปิดล้อมโดยราชันสงครามหลายคน เขาพร้อมที่จะอุทิศชีวิต
แต่แล้วยามนี้ หลังได้เห็นจอมราชันดวงดาวอสูรปรากฏ จ้านเฉียงได้
รู้สึกผ่อนคลาย ทั้งยังเกิดความตระหนกภายในใจ
ผู้คนชนเผ่าหมาป่ าคลั่ง ย่อมไม่เคยนึกฝันว่าคนเถื่อนที่ดูอ่อนแอ
แท้จริงกลับมีหลายสิ่งอย่างทรงอำนาจให้ใช้งานได้เพียงนี้
มันถึงขั้นที่ว่าสามารถกำราบกองทัพหมาป่ าคลั่งได้ในอึดใจ ทั้งยังมี
อสูรกายตัวใหญ่ทรงพลัง
แรงกดดันของจ้านเฉียงลดทอนลงไปมาก เพราะเขาแทบไม่ต้องดิ้น
รนอีก เพียงแต่หลบหลังจอมราชันดวงดาวอสูร
อาวุธของผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งถูกทำลายไปแล้ว ตอนนี้ เขาได้แต่
ต้องใช้กระบี่หักของตนเองสับฟันเข้าที่ร่างจอมราชันดวงดาวอสูร
กระนั้น มันกลับไม่อาจสร้างความเสียหายใดได้
กองทัพหมาป่ าคลั่งยังคงแข็งแกร่ง นักรบหลายคนพร้อมสู้โดยเอา
ชีวิตเข้าแลก
กระนั้น ยามเมื่อพวกเขาคลุกคลานออกมาจากธรณีสูบ ฉินหยุนจึงใช้
ความสามารถเทวะแผ่นดินไหวอีกครั้งหนึ่ง!
แผ่นดินไหวรุนแรงบังเกิดขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้ผู้คนนับแสนในหลุม
ยักษ์ต้องจมดิ่งลงไปลึกยิ่งขึ้น!
“ชนเผ่าหมาป่าคลั่ง ข้าจะเปลี่ยนชนเผ่าเจ้าเป็นชนเผ่าหมูตายซาก!”
ฉินหยุนหัวเราะเสียงเย็นพร้อมปลดปล่อยมังกรกระดูกออกมา
ยามเมื่อมังกรกระดูกปรากฏตัว กองกำลังหมาป่าคลั่งนับแสนที่ติด
อยู่ภายในหลุมยักษ์ เวลานี้กลับกลายเป็นบังเกิดความหวาดกลัวและ
สิ้นหวังอย่างไม่มีที่จบสิ้น
โฮก… โฮก…
มังกรกระดูกร้องคำรามเสียงต่ำ มันบินลงจากฟากฟ้าสู่ก้นบึ้งของ
หลุมยักษ์พร้อมเผยการโจมตีดุดัน
จากที่ภายในหลุมยักษ์ เสียงร้องตะโกนโหยหวนดังให้ได้ยินไม่ขาด
กลิ่นเลือดคละคลุ้งลอยฟุ้งอาบไล้ทั้งพื้นดินและฟากฟ้า
มังกรกระดูกสีขาวได้ถูกย้อมเป็นสีเลือด!
ที่ทำฉินหยุนตระหนก คือหลังมังกรกระดูกสังหารกองกำลังหมาป่ า
คลั่ง เลือดและเนื้อที่ร่างของมันคล้ายได้เติบโตขึ้น
ตอนนี้เอง ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งตกอยู่ในห้วงความหวาดกลัว เพราะ
ราชันสงครามหลายคนเคียงข้างที่แข็งแกร่งทัดเทียมเขา เหล่านั้น
สิ้นชีพกันแทบหมดสิ้นแล้ว
ด้วยเพราะอาจตื่นเต้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ จ้านเฉียงจึงทะยานออก
บุกโจมตีรุนแรง ฝูงชนสิ้นชีพประหนึ่งไก่ที่ถูกเชือด
สำหรับชนเผ่านักรบ ชนเผ่าหมาป่าคลั่งคือฝันร้ายอันไม่รู้จบที่เกาะ
กุมหัวใจพวกเขามาแสนนาน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นักรบของพวกเขาหลายคนที่ออกไปล่าต่าง
ถูกสังหาร แม้เป็นการพบหน้าโดยไม่ตั้งใจก็ยังถูกสังหาร
ตั้งแต่ที่จ้านเฉียงขึ้นเป็นผู้นำชนเผ่า เขาแทบไม่อาจจำได้ ว่าชนเผ่า
นักรบถูกทำลายไปกี่ครั้งครา
ทุกครั้งที่เขาได้เห็นชนเผ่าตนเองถูกทำลาย เขาทำได้เพียงแต่เงียบงัน
และอดทนต่อความหยามเหยียด พวกเขาอ่อนแอเกินกว่าจะต่อสู้กับ
ชนเผ่าหมาป่าคลั่งที่ยิ่งใหญ่ได้
และตอนนี้ จ้านเฉียงในที่สุดค่อยมีโอกาสได้สังหารผู้นำชนเผ่าหมา
ป่ าคลั่ง!
ตราบเท่าที่สังหารผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งได้ ชนเผ่านักรบจึงค่อยมี
แสงแห่งความหวังจุดประกายแรงใจ!
ฉินหยุนตอนนี้กำลังพุ่งเน้นไปที่การควบคุมจอมราชันดวงดาวอสูร
โดยการรับมือกับราชันสงครามอยู่หลายคน
แม้จอมราชันดวงดาวอสูรถูกเฉือนหั่นร่างหลายครั้ง มันก็แทบไม่
นับเป็นอะไร รอยแผลที่ผิวหนังภายนอก เพียงไม่นานมันก็ฟื้นคืน
กลับ
“หลังจากที่จอมราชันดวงดาวอสูรได้กลืนกินภูเขาผลึกแก้วเข้าไป
มันจึงแข็งแกร่งยิ่งขึ้น!” หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะซุกซน “เช่นนี้ จง
สังหารพวกวายร้ายเหล่านี้ให้สิ้น!”
ภายในหลุมยักษ์ มันมีแต่กลิ่นเลือดเหม็นคละคลุ้ง มังกรกระดูก
คล้ายอาบไล้ไปด้วยเนื้อและเลือดของผู้คน ทั้งร่างของมันถูกย้อม
เป็นสีเลือดจนดูน่าหวาดกลัว
ต้องทราบว่ากำลังพลหมาป่าคลั่งมีจำนวนนับแสน รวมถึงหมาป่าอีก
นับแสนตัว ทั้งหมดนั้นครอบครองร่างกายอันแข็งแกร่ง
และมังกรกระดูก ก็คล้ายทราบวิธีการดูดกลืนพลังจากเลือดเนื้อ
ตู้ม!
ฉินหยุนควบคุมจอมราชันดวงดาวอสูรเข้าทุบฟาดใส่ราชันสงคราม
จนถึงแก่ความตาย เขายังคงพุ่งตรงเข้าหาเป้าหมายถัดไป
และจ้านเฉียง เวลานี้ได้สังหารราชันสงครามไปอีกสอง
เวลานี้ ชนเผ่าหมาป่ าคลั่งหลงเหลือราชันสงครามเพียงสี่
จอมราชันดวงดาวอสูรร่วมผสานงานกับจ้านเฉียง ลงมือสังหาร
ราชันสงครามอีกสามคนอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ ที่เหลือก็เพียงแต่ผู้นำหมาป่ าคลั่ง
“ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่ง วันนี้คือวันตายของเจ้า!” จ้านเฉียงระเบิด
เสียงหัวเราะดังออกมา
“เจ้าคนเถื่อน…” ผู้นำหมาป่ าคลั่งทราบดี ถึงสาเหตุว่าทำไมชนเผ่า
หมาป่ าคลั่งของเขาจึงถูกกวาดล้าง นั่นก็เพราะพลังอำนาจของฉินหยุน
ก่อนหน้านี้ เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดจ้านเฉียงจึงเรียกฉินหยุนเป็นประมุข
ตอนนี้ เขาค่อยได้ทราบ นั่นก็เพราะฉินหยุนมีความสามารถสมกับ
เป็นประมุข
จ้านเฉียงหัวเราะยินดีออกจากใจ พร้อมเข้าไปบั่นเศียรของผู้นำชน
เผ่าหมาป่าคลั่ง!
“ผู้อาวุโส ขอแสดงความยินดีที่ล้างแค้นสำเร็จ!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว
“ท่านประมุข ทั้งหมดนี้เพราะท่านช่วยเหลือ! ชาติภพก่อนของท่าน
ก็ได้ช่วยชนเผ่าของเราเอาไว้ ข้าไม่นึกเลยว่าในชีวิตนี้ ท่านจะได้มา
ช่วยเหลือพวกเราอีกครั้งหนึ่งเช่นนี้!” จ้านเฉียงที่ตื่นเต้นยินดี เขาแทบ
จะคุกเข่าลงกราบกราน กระนั้นฉินหยุนกลับเร่งรีบห้ามปรามไว้
เวลานี้ ฉินหยุนหันมองไปทางหลุมยักษ์
มังกรกระดูกอยู่ที่ด้านในนั้น เวลานี้ มันกำลังหันร่างไปและบิดมา
“หยุนเอ๋อ เกิดอะไรขึ้นกับมังกรกระดูก? มันกำลังดูดกลืนเลือดเนื้อ
ด้วยตัวของมันเอง!” ฉินหยุนตื่นตะลึงยามได้เห็นเรื่องนี้กับตา
“สมควรเกี่ยวข้องกับโทเทมมังกรที่เจ้าแกะสลักเอาไว้ ทำให้มันมีพลัง
เป็นของตนเอง!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “เจ้าสิ่งนี้หาได้แปลกอันใดไม่…”
ใบหน้าของจ้านเฉียงเผยความตื่นตะลึงยามจับจ้องที่พื้นเบื้องล่าง
“สัตว์เลี้ยงข้าเกิดอาการบางอย่างขึ้นมา ทว่าก็ไม่คล้ายใช่เรื่องใหญ่
อันใด!” ฉินหยุนหัวเราะ “ผู้อาวุโส ท่านให้คนในชนเผ่าอยู่ในสวน
เป็นการชั่วคราว อย่าได้ให้พวกเขาออกมาตอนนี้ ข้าเกรงว่าสัตว์เลี้ยง
ตัวน้อยนั่นจะเสียการควบคุมจนทำร้ายพวกเขาเข้า!”
“เสี่ยวหยุน ไม่ใช่ว่าเจ้าจับตัวมังกรชั่วร้ายที่เมืองซือหลงมาได้หรือ?
หลังผนึกมันเอาไว้ในหม้อราชสีห์สวรรค์สะกดมังกร เจ้าก็ได้นำมัน
ไปเก็บไว้ในกระเป๋ าสัตว์!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
“จริงด้วย!” ฉินหยุนนึกเรื่องมังกรชั่วร้ายขึ้นมาได้ มันเป็นตัวตนที่
หุบเขาเซียนโอสถเลี้ยงดูมา
“เร่งรีบปล่อยมันออกมา ให้มันเป็นอาหารแก่มังกรกระดูก!” หลิงหยุน
เอ๋อกล่าว
อย่างรวดเร็ว เขานำเอากระเป๋ าสัตว์ออกมา จากนั้นจึงปล่อยมังกรชั่ว
ร้ายลงในหลุมลึกตรงหน้า
มังกรชั่วร้ายเพียงถูกผนึกไว้ และอยู่ในห้วงการจำศีล ตอนนี้ ผนึกได้
คลายออก มันคำรามพร้อมบินขึ้นฟากฟ้า
โฮก!
มังกรกระดูกฉับพลันทะยานขึ้นจากพื้น!
ฉินหยุนตื่นตะลึงยามได้เห็นมังกรกระดูกเร่งรีบขึ้นมาด้านบน
ร่างของมังกรกระดูกมีเนื้อสีแดงฉานปกคลุม พวกมันคล้ายโคลนสี
แดง ทั่วทั้งร่างมีรยางค์โยงใยจนดูไปแล้วน่าหวาดกลัวยิ่ง
มังกรกระดูกโบยบินพร้อมกัดมังกรชั่วร้ายอย่างดุดัน!
มังกรชั่วร้ายที่ถูกกัด มังกรกระดูกจึงเร่งรีบใช้กรงเล็บฉีกร่างมันออก
ทันทีที่มังกรชั่วร้ายถูกคลายผนึก มันกลับต้องร่างแหลกสลายเพราะ
มังกรกระดูก
อย่างรวดเร็ว มังกรกระดูกเข้ากลืนกินมังกรชั่วร้าย เลือดและเนื้อตาม
ร่างของมันเริ่มกระตุกไปมา
ฉินหยุนไม่ทราบว่านี่คือเรื่องราวอันใด เขาเพียงทราบ ว่ามังกรกระดูก
กำลังวิวัฒนาการ
“เป็นเวลาที่เลือดเนื้อจะถือกำเนิดขึ้นอย่างนั้นหรือ?” ฉินหยุนเดิม
วางแผนหาเวลาว่าง คิดใช้กระดูกสัตว์สวรรค์จำนวนมากที่มีเพื่อขัด
เกลาเลือดและเนื้อให้แก่มังกรกระดูก
ยามนึกถึงกระดูกสัตว์สวรรค์ เขาจึงบังเกิดความคิดจนเอ่ยถาม “หยุน
เอ๋อ ข้ามีกระดูกสัตว์นับแสนจิน คิดว่ามังกรกระดูกจะกินพวกมันได้
หรือไม่?”
“ลองดู!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
ฉินหยุนนำกระดูกสัตว์สวรรค์กองใหญ่ออกมา มังกรกระดูกพุ่งเข้า
มาพร้อมเข้ากัดกินพวกมัน
“วิเศษนัก!” ถัดจากนั้น ฉินหยุนจึงนำกระดูกสัตว์สวรรค์ออกมาเพิ่ม
ตัวเขาได้เหลือไว้หนึ่งหมื่นจินสำหรับใช้งานภายหน้า
กระดูกสัตว์สวรรค์แข็งแกร่ง พวกมันเป็นราวขนมยามเมื่อมังกรกระดูก
บดเคี้ยว มันกินอย่างสำราญใจ
“น้ำมันสัตว์ น้ำมันสัตว์!” หลิงหยุนเอ๋อตะโกนดัง “น้ำมันสัตว์ประกอบ
ด้วยพลังงานมหาศาล บางทีมังกรกระดูกอาจดูดกลืนมันได้!”
คิดเช่นนี้ได้ ฉินหยุนจึงเร่งรีบบินขึ้นกลางอากาศ นำเอาขวดลึกลับ
ออกมา เขาราดน้ำมันสัตว์ปริมาณมหาศาลจากขวดลงสู่หลุมใหญ่
เบื้องล่าง
จิตของมังกรกระดูกและฉินหยุนเชื่อมถึงกัน มันพร้อมกระโจนร่าง
ลงสู่หลุมยักษ์โดยทันที
ฉินหยุนควบคุมอัตราการไหลออกจากขวด เพื่อให้มังกรกระดูกได้
จมร่างของมันที่ภายในนั้น
ต่อมา จ้านเฉียงจึงกลับเข้าไปในสวน ปลอบประโลมคนในชนเผ่า
เป็นเขาเร่งรีบกลับเข้าไป เนื่องเพราะตัวเขาเองก็หวาดกลัวมังกร
กระดูก
มังกรกระดูกแช่ในน้ำมันสัตว์ ฉินหยุนสัมผัสได้ ว่ามังกรกระดูก
กำลังดูดกลืนพลังงานจากน้ำมันสัตว์
“วิเศษมาก! เจ้าตัวนี้กำลังจะวิวัฒนาการ สงสัยนักว่ามันจะวิวัฒนาการ
ได้ถึงที่เท่าใด!” ฉินหยุนไม่คาดคิด ว่าเรื่องราวจะออกมาเป็นเช่นนี้ได้
“เสี่ยวหยุน ข้ามีความคิด นำจอมราชันดวงดาวอสูรของเจ้าลงไปใน
บ่อ!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “มังกรนี้คล้ายมีความสามารถผสานรวมอัน
แข็งแกร่ง มันน่าจะสามารถผสานรวมกับสิ่งอื่นได้อีก!”
ฉินหยุนยามได้ยินความคิดหลิงหยุนเอ๋อ เขาต้องสูดลมหายใจเย็น
เยือกเข้าปอด
“แน่นอนว่ามันอาจมีความผิดพลาดได้! พวกเราอาจต้องสูญเสียทุก
สิ่งไป!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
“แล้วหากพวกมันผสานรวมกันได้ อย่างนั้นจะเกิดอันใดขึ้น?” หัวใจ
ของฉินหยุนมีความหวาดกลัวเกาะกุม
“ข้าไม่อาจทราบ” หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะเบา “เป็นไปได้เช่นกันว่าอาจ
ไม่มีอันใดเกิดขึ้น!”

ตอนที่ 751 ศึกหมาป่าคลั่ง
สวนของจ้านเฉียงเป็นปราการค่ายอาคมคุ้มกัน เมื่อเข้าไปแล้ว ชนเผ่า
หมาป่าคลั่งจะไม่อาจโจมตีพวกเขาได้
กระนั้น สิ่งปลูกสร้างภายนอกสวนยังสามารถถูกทำลายลง
แม้สามารถสร้างขึ้นใหม่ ถึงอย่างนั้น พวกเขาหากได้เห็นย่อมต้อง
ปวดใจ
นอกจากนี้ ชนเผ่าหมาป่ าคลั่งย่อมทำลายเมืองจนสิ้นซาก
จ้านเฉียงคิดอยากกำจัดชนเผ่าหมาป่าคลั่งเช่นกัน ทว่าด้วยกำลังของ
ชนเผ่านักรบ พวกเขาได้แต่ต้องต้านรับ นอกจากนี้แล้ว ตัวเขาเพียง
ลำพังยังต้องเผชิญหน้ากับกองทัพเรือนแสนของชนเผ่าหมาป่ าคลั่ง
“ท่านประมุข รบกวนกลับเข้าไปด้านในและหลบซ่อน ข้าไม่จำเป็น
ต้องให้ท่านช่วย!”
จ้านเฉียงทราบ ว่าฉินหยุนมีกำลังอย่างจำกัด หากต่อสู้ เขาจะไม่มี
ทางต้านรับการโจมตีของชนเผ่าหมาป่าคลั่งได้
ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งเมื่อได้เห็นฉินหยุน เขาจึงหัวเราะดังกล่าวคำ
“เจ้าคิดอยากเป็นพันธมิตรกับคนเถื่อนงั้นหรือ? ลำพังแค่คนเดียว?
น่าขันยิ่งนัก คนเถื่อนนี้มันก็ได้แต่กินเนื้อไปวัน ๆ ฮ่าฮ่าฮ่า!”
กลุ่มชนเผ่าหมาป่าคลั่งที่ด้านหลังย่อมหัวเราะตามเป็นลูกคลื่น
“จ้านเฉียง เจ้าคิดส่งมอบคนเถื่อนนั้นแก่ข้า และขอร้องข้าให้อภัยงั้น
หรือ?” ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งโพล่งเสียงกล่าว
“หุบปาก!” จ้านเฉียงมีโทสะเป็นล้นพ้น
กระนั้น ฉินหยุนหาได้หวาดกลัวอันใด เขาเพียงยิ้มและตอบคำ “เจ้า
คงเป็นผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งกระมัง? อาวุธเจ้าไม่ต่างอะไรกับขยะ!
ผู้นำสูงสุดยังมีอาวุธชั้นสวะเช่นนี้ ช่างน่าขันยิ่งนัก!”
“อาวุธข้าคือสิ่งตกทอดจากผู้นำรุ่นสู่รุ่นมานับหมื่นปี มันอัดแน่นไว้
ด้วยเลือดของผู้คนมากมาย จนทำให้พวกเราได้กลายเป็นชนเผ่าที่
แข็งแกร่งที่สุด! ลำพังคนเถื่อนเช่นเจ้าไม่มีทางได้ทราบ ว่ากระบี่ใน
มือข้าน่าสะพรึงกลัวเพียงใด!” ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งกลายเป็นมี
โทสะพร้อมแผดเสียงตะโกนดัง
ชนเผ่าหมาป่าคลั่งที่อยู่ด้านหลัง ต่างกราดเกรี้ยวเนื่องจากผู้นำชนเผ่า
ของตนถูกเย้ยหยัน
ฉินหยุนนำเอากระบี่ลึกล้ำออกมาพลางยิ้มกล่าว “ข้าสามารถตัดกระบี่
เจ้าขาดครึ่งได้ เรื่องนี้เชื่อหรือไม่?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งเริ่มหัวเราะเสียงดัง ผู้คนนับแสน
เบื้องหลังต่างหัวเราะดังเช่นเดียวกัน
“คนเถื่อนเอ๋ย ข้ายอมรับว่าเจ้าช่างมีวิธีการเรียกเสียงหัวเราะได้ดีนัก!
กระนั้น ยามเทียบเปรียบด้านอาวุธ พวกเจ้ายังคงห่างไกลนัก!”
ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งกระโดดลงจากหลังหมาป่ าร่างยักษ์ ก่อนจะ
ก้าวเดินเชื่องช้าเข้าหาฉินหยุน
จ้านเฉียงเร่งรีบมายืนที่ด้านหน้าฉินหยุน
ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งดึงกระบี่ตนออก พร้อมยื่นมันมาที่ตรงหน้า
ฉินหยุน เขาแค่นเสียงกล่าวคำ “ตัดมัน!”
ฉินหยุนมองกระบี่ตรงหน้า พบว่าเป็นเพียงอุปกรณ์ลึกล้ำ ทว่า
ท่ามกลางชนเผ่าเหล่านี้ นี่ก็ถือว่าเป็นอาวุธที่ดีแล้ว
วัสดุที่ใช้สร้างยังมีคุณภาพสูง มันผ่านการเสริมบำรุงนับครั้งไม่ถ้วน
กระนั้นในสายตาของฉินหยุน มันก็แค่ร่างต้นของอุปกรณ์ลึกล้ำ
เพราะมันหาได้มีอักขระลึกล้ำใดแกะสลักเอาไว้
“อย่าได้ร้องยามเมื่อกระบี่เจ้าหักก็แล้วกัน!” ฉินหยุนหัวเราะพร้อม
สับฟันกระบี่ในมือตนเองออกไป
ตึง!
เสียงแตกหักดังขึ้น กระบี่ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งหักเป็นสองส่วน!
ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งรับชมกระบี่สองท่อนในมือ ดวงตาของเขา
แทบถลนออก มันทั้งไม่เชื่อและกราดเกรี้ยว กระบี่ของเขาถึงขั้นถูก
ผ่าออกเป็นสองท่อนจริง!
ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งร้องตะโกน กระบี่นี้คือสิ่งสำคัญประหนึ่งชีวิต
ของเขา!
จ้านเฉียงหาได้แปลกใจอันใดไม่ เพราะเขาทราบเรื่องชาติภพก่อน
ของฉินหยุน และยังทราบ ว่าเขาคืออาจารย์ผู้สร้างอุปกรณ์ที่ทรง
อำนาจ
ผู้คนของชนเผ่าหมาป่ าคลั่งตื่นตะลึง ปากต้องอ้าออกกว้าง พวกเขา
ยืนนิ่งราวกับคนโง่งมฝูงหนึ่ง!
กระบี่ที่ผู้นำพวกเขาภาคภูมิ ทั้งยังได้รับการส่งต่อมาจากบรรพบุรุษ
ขณะนี้มันถูกตัดออกเป็นสองเช่นนี้!
“เจ้าคือผู้ที่นำกระบี่ออกมาให้ตัดเอง!” จ้านเฉียงหัวเราะพร้อมดึงฉิน
หยุนถอยกลับ เขากังวลว่าผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งอาจโจมตีอย่าง
กะทันหัน
แม้ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งพิโรธ ทว่าเขาเร่งรีบสงบใจลง
“กระบี่เจ้าคล้ายดีไม่น้อย! ดังนั้นนับแต่นี้มันต้องเป็นของข้า!” คำ
กล่าวจบ ชนเผ่าหมาป่ าคลั่งที่ขี่หมาป่ าร่างยักษ์ด้านหลังจึงเร่งรีบ
ทะยานมา พวกเขาเข้าปิดล้อมฉินหยุนและจ้านเฉียงเอาไว้
ตราบเท่าที่ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งฉกชิงกระบี่ฉินหยุนมาได้ เขาจะ
ได้รับกระบี่ที่ดียิ่งกว่าเดิม
“แม้กระบี่ข้าถูกทำลาย มันก็เป็นโอกาสให้ข้าได้รับกระบี่ที่ดียิ่งกว่า
มาครอง!” ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งหัวเราะเสียงดัง
ได้ยินดังนี้ กองทัพหมาป่ าคลั่งจึงโห่ร้องตะโกนเสียงดังเรียกขวัญ
กำลังใจกลับคืน
ฉินหยุนเผยยิ้มสงบใจเย็น “กระบี่ข้าเก็บไว้ในอุปกรณ์มิติเก็บของ มี
แต่ข้าจึงนำออกมา หากสังหารข้าไป เจ้าก็ไม่มีทางได้รับอันใด!”
ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งย่อมมีประสบการณ์และความรู้ เขาเคยได้ยิน
เรื่องอุปกรณ์มิติเก็บของมาก่อน ดังนั้นจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือ
ก่อนหน้า ผู้คนได้เห็นว่ามันอยู่ในมือฉินหยุน กระนั้นตอนนี้ มัน
เลือนหาย ชัดเจนว่าต้องมีที่เก็บของซ่อนเร้น
“หากสังหารข้า ชนเผ่าเจ้าก็ไม่ได้รับอาวุธใด ภายหน้าพวกเจ้าจะ
ขยับขยายชนเผ่าได้อย่างไร?” ฉินหยุนกล่าวคำถามขึ้น
อาวุธ ย่อมเป็นหัวใจสำคัญของชนเผ่าพื้นเมืองเหล่านี้
ก่อนหน้านี้ ฉินหยุนได้มอบกระบี่แก่จ้านหยง เรื่องนั้นทำเอาอีกฝ่าย
ยินดีจนแทบตาย
ในสายตาผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่ง มูลค่าของกระบี่นั้นมากล้นยิ่งกว่า
ชีวิตของฉินหยุน
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงคิดจับตัวฉินหยุนเพื่อฉกชิงกระบี่ ไม่เช่นนั้นแล้ว
แม้เขาจบชีวิตฉินหยุนไป มันก็มีแต่จะทำให้ฝ่ายเขาสูญเสียโดย
ไม่ได้รับกลับคืน
“ส่งกระบี่นั้นมา แล้วข้าจะยอมถอยทัพ!” ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งลด
เสียงลง เขาไม่คิดอยากให้ผู้ใดในชนเผ่าได้ยินคำกล่าวเหล่านี้
“ข้าได้มอบกระบี่ที่ดีเลิศล้ำยิ่งกว่าให้แก่ผู้อาวุโสจ้านเฉียงแล้ว เจ้าคิด
หรือว่าราชันยุทธ์เพียงจำนวนหนึ่งจะเอาชนะผู้อาวุโสจ้านเฉียงได้?”
ฉินหยุนเผยสีหน้าสงบ การกระทำนี้ ยิ่งทำให้ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่ง
ต้องถอยเท้ากลับ
ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งทราบดี ว่าจ้านเฉียงครอบครองกระเป๋ ามิติ
เก็บของ มันเป็นสิ่งที่เขาคิดอยากฉกชิงมาโดยตลอด
“อย่างนั้นเจ้าต้องการอะไร?” ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งเอ่ยถามเสียงเย็น
เยือก
ฉินหยุนหัวเราะและกล่าวด้วยเสียงอันดัง “มีแต่แข็งแกร่งจึงคู่ควรได้
ถือกระบี่ข้า! ส่งผู้คนที่มีกำลังทัดเทียมข้าออกมา หากสามารถเอาชนะ
กระบี่ข้าก็เป็นของมันผู้นั้น! ยามเมื่อต่อสู้ จะไม่มีการใช้อาวุธใด!”
ผู้คนของชนเผ่าหมาป่ าคลั่งเกิดอาการตื่นเต้นยินดีกันขึ้นมา
หากไม่ใช้อาวุธต่อสู้ เช่นนั้นผู้ที่เรียกขานตนเองเป็นนักรบลึกล้ำ
ล้วนคิดว่าตนมีโอกาสสามารถชนะ
ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งรับรู้ได้ ว่าฉินหยุนหาได้ใช่ธรรมดา เพราะเขา
เข้าใจตัวตนของ “คนเถื่อน” เหล่านั้นเป็นอย่างดี
“เจ้าตัดสินใจส่งผู้ใดออกมา?” ฉินหยุนเอ่ยถาม “หากสามารถเอาชนะ
ข้า ก็เอากระบี่ไปครอง! หากพ่ายแพ้ จงเร่งรีบถอนกำลังกลับไป!”
“สู้กันหนึ่งต่อหนึ่ง นั่นจึงเป็นสิ่งที่นักรบแท้จริงควรกระทำ! ด้วย
จำนวนกำลังพลนับแสนปิดล้อมคนไม่กี่พัน นั่นจึงเป็นคนเถื่อน
กระทำ!”
ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งกัดฟันแน่น เขาปรารถนาทุบตีฉินหยุนจนตาย
ตก กระนั้นเขาก็ยังกังวลเรื่องจ้านเฉียง
จ้านเฉียงต้องลอบนับถือต่อฉินหยุน ลำพังแค่เขา กลับสามารถสะกด
สภาวะของทั้งกองกำลังชนเผ่าหมาป่ าคลั่งเอาไว้ได้
“ดี ข้าจะส่งนักรบลึกล้ำที่เหนือชั้นของชนเผ่าหมาป่ าคลั่งออกมา!
หลางเว่ย จงก้าวเดินออกมา!” ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งร้องตะโกนดัง
ชายหนุ่มร่างกำยำกระโดดลงจากหลังหมาป่ า พร้อมเร่งรีบพุ่งทะยาน
มาด้วยความเร็วสูงล้ำ
การกระทำนี้ ส่งผลให้กลุ่มคนของชนเผ่าหมาป่ าคลั่งต่างโห่ร้องให้
กำลังใจ
ความเร็วของหลางเว่ยเลิศล้ำ กระทั่งจ้านเฉียงยังต้องประทับใจ
กระนั้น ในสายตาของฉินหยุน นี่แทบไม่นับเป็นอะไร
“ท่านผู้นำ ข้าจะเอาชนะคนเถื่อนผู้นี้และคว้าเอากระบี่มันมาครอง
จากนั้นข้าจะมอบมันให้แก่ท่านผู้นำ!”
หลางเว่ยตวัดสายตามองที่ฉินหยุน ยามได้เห็นว่าร่างกายฉินหยุน
ค่อนข้างผอมบาง เขาจึงเผยท่าทีนึกรังเกียจออกมา
“ก็ตามนี้!” ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งหัวเราะเสียงดัง “หลางเว่ย หากเจ้า
ชนะ เช่นนั้นข้าจะรับเจ้าเป็นบุตร!”
เรื่องนี้ทำให้หลายคนของชนเผ่าหมาป่ าคลั่งต่างร้องอุทาน
เพราะผู้คนล้วนทราบ ว่าผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่งไร้ซึ่งบุตร เพราะ
พวกเขาเหล่านั้นอ่อนแอและตายจากระหว่างที่เขามอบการฝึกฝนให้
หากหลางเว่ยได้เป็นบุตรแห่งผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่ง อย่างนั้นก็
หมายความถึงเขาคืออนาคตผู้นำชนเผ่า
หลางเว่ยยิ่งตื่นเต้นยินดี เขามองที่ฉินหยุนพร้อมกล่าวอย่างนึกรังเกียจ
“คนเถื่อน เจ้าอย่าได้กังวลไป ข้าจะไม่สังหารเจ้า! ไม่อย่างนั้นแล้ว
ข้าก็จะไม่อาจได้รับกระบี่เจ้า! ทว่า ข้าจะทำให้ชีวิตเจ้าได้เลวร้ายยิ่ง
กว่าความตาย!”
จ้านเฉียงค่อนข้างกังวล เขาเอ่ยถามด้วยเสียงอันเบา “ท่านประมุข
ท่านเอาชนะเจ้านี่ได้หรือ? มันคือผู้แข็งแกร่งที่สุดของนักรบลึกล้ำ
ระดับต้นแห่งชนเผ่าหมาป่าคลั่ง!”
“ผู้อาวุโสวางใจ รบกวนจับตามองสหายเฒ่าชราเหล่านั้นแก่ข้า เพื่อที่
พวกมันจะได้ไม่เล่นทีเผลอ!” เวลานี้ ฉินหยุนค่อนข้างสงบใจเป็น
อย่างยิ่ง
จ้านเฉียงได้แต่ต้องเชื่อฉินหยุน เขาค่อยก้าวถอยให้
ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่ง รวมถึงยอดฝีมือของชนเผ่าต่างเร่งรีบถอย
ห่าง เพื่อเบิกกว้างออกเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่
ฉินหยุนยอมรับในกำลังกายของหลางเว่ย ชัดเจนว่าอีกฝ่ายไม่ได้ผ่าน
กระบวนการฝึกฝนพิเศษใดมา ทว่ากลับได้รับพลังอันแข็งแกร่งมา
ครอบครอง
ชนเผ่าพื้นเมืองที่นี่ล้วนเป็นเช่นเดียวกัน คือถือกำเนิดมาพร้อม
ร่างกายอันแข็งแกร่ง
“คนเถื่อน เจ้ากล้าดียั่วยุผู้นำชนเผ่าเรา ข้าจะสั่งสอนบทเรียนแก่เจ้า
เสียที่นี่!” หลางเว่ยทะยานร่างเข้ามา ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง
ฉาน ราวกับเป็นหมาป่าคลุ้มคลั่ง
ฉินหยุนยืนนิ่ง เขาพบเห็นการเคลื่อนไหวของหลางเว่ยกระจ่างชัด
เพราะนั่นคือการเลียนแบบการเคลื่อนไหวของหมาป่ า นอกจากนี้
แล้ว มือทั้งสองข้างยังแปรเปลี่ยนเป็นอุ้งเท้าหมาป่ าที่ตระเตรียม
โจมตี
หลางเว่ยเมื่ออยู่ห่างจากฉินหยุนราวสิบเมตร ฉับพลันเขาจึงต่อยซึ่ง
หน้าพร้อมแปรเปลี่ยนร่างเป็นเงาดำ!
ความเร็วนี้ชวนตื่นตะลึง นักรบชนเผ่าหมาป่ าคลั่งหลายคนต้องร้อง
อุทานกันออกมา
กระนั้น หลางเว่ยกลับโจมตีใส่อากาศว่างเปล่า เพราะฉินหยุนหลบ
เลี่ยงได้ในพริบตา
“สั่งสอนข้าหรือ? เจ้ายังไม่คู่ควร!” ฉินหยุนแค่นเสียงกล่าวคำ เขา
ให้หลิงหยุนเอ๋อปลดปล่อยพลังแรงโน้มถ่วงมหาศาล เข้าใส่หลาง
เว่ยที่พุ่งทะยานเข้ามา
หลางเว่ยไม่อาจทราบว่าฉินหยุนใช้วิทยายุทธ์ใด อย่างกะทันหัน แรง
โน้มถ่วงมหาศาลได้สะกดเขาที่ไม่ทันตั้งตัวลงกับพื้น
ฉินหยุนก้าวเดินไป กระทืบรุนแรงที่ร่างของหลางเว่ย เขาใช้พลังสั่น
ไหวแทรกผ่านฝ่าเท้าลงสู่พื้นจนสนั่นหวั่นไหว
ผู้คนใกล้เคียงต่างรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือน!
ด้วยเพราะพลังสั่นไหวแทรกในร่าง หลางเว่ยจึงเริ่มกระอักเลือดออก
พร้อมเสียงร้องอันรวดร้าว
สุดท้ายแล้ว ฉินหยุนจึงส่งร่างหลางเว่ยกระเด็นด้วยการเตะอีกฝ่าย
ให้ไปกองที่แทบเท้าผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่ง
ผู้คนของชนเผ่าหมาป่ าคลั่งล้วนตื่นตะลึงนิ่งอึ้ง!
“เจ้าพ่ายแพ้แล้ว เร่งรีบถอนกำลังไปเสีย!” ฉินหยุนกล่าว
ทันใดนี้ จ้านเฉียงได้เข้ามาเตรียมพร้อมข้างกายฉินหยุน
ผู้คนของชนเผ่าหมาป่ าคลั่งพบว่าเรื่องราวยากเกินเชื่อได้!
พวกเขามาที่นี่กันอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยเพราะต้องการถล่มชนเผ่านักรบ
ให้ราบเตียน
แต่แล้วตอนนี้ ผู้นำชนเผ่าพวกเขาสูญเสียกระบี่ซึ่งแข็งแกร่งที่สุด ทั้ง
ยังมีหลางเว่ยที่พ่ายแพ้อย่างสิ้นรูป มันทำให้พวกเขารู้สึกถึงการ
หยามเหยียดอย่างรุนแรง
“อย่าได้คิดว่าพวกเราจะถอย! เจ้าจงตาย!” ผู้นำชนเผ่าหมาป่ าคลั่ง
คำรามออกด้วยโทสะ “สังหาร! ถล่มชนเผ่านักรบให้ราบเตียนแก่ข้า!”
จ้านเฉียงทราบแต่แรกแล้ว ว่าเรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึง
ตระเตรียมรออยู่ก่อนแล้ว
“ท่านประมุข เร่งรีบเข้าไปหลบด้านในสวน!” จ้านเฉียงกล่าว
“ข้าไม่ไป ตราบเท่าที่ข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกมันทำลายชน
เผ่านี้!” ฉินหยุนจับจ้องไปยังกองทัพหมาป่ าคลั่งที่พุ่งทะยานมา เขา
หาได้มีร่องรอยความหวั่นเกรงแม้เพียงนิด

ตอนที่ 750 เจตนารมณ์จากอดีต
จ้านเฉียงเทียบเปรียบรูปลักษณ์ของฉินหยุนพร้อมอุทานวนซ้ำ “ผ่าน
มาหนึ่งหมื่นปี พวกเรานึกว่าท่านจะไม่กลับมาเสียแล้ว!”
“ผู้อาวุโส สิ่งนั้นอยู่ที่ใด?” ฉินหยุนเอ่ยถาม เขามั่นใจ ว่านั่นจะต้อง
เป็นสิ่งของที่ตัวเขาในชาติภพก่อนหลงเหลือไว้
เพียงแต่เขาไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดตัวเขาในชาติภพก่อนจึงทิ้งสิ่งของไว้
ที่นี่
“เสี่ยวหยุน ตัวเจ้าในชาติภพก่อนจะต้องรู้จักเขตแดนอ้างว้างจันทรา
ทมิฬแห่งนี้เป็นอย่างดี เพราะเหตุนั้นเจ้าจึงตระเตรียมทางออกไว้ให้
เย่ว์โยวได้หลบหนี เห็นได้ชัดว่าเจ้าได้เตรียมการไว้ที่นี่แต่แรก ทว่า
ภายหลังน่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้น ทำให้เจ้าไม่อาจกลับมายังที่แห่งนี้!”
หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
ฉินหยุนเองก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน
ตอนนี้ เขาได้ทราบแล้วว่าผู้ใดสร้างเสาอาคมที่กำแพง นั่นจะต้อง
เป็นตัวเขาในชาติภพก่อน!
วิถีจารึกแห่งเต๋าของตัวเขาในชาติภพก่อน กล่าวได้ว่าเหนือชั้นอย่าง
แท้จริง
จ้านเฉียงกล่าว “แม้ท่านเหมือนดังรูปเหมือนนี้ ข้าก็ยังจำเป็นต้อง
ยืนยันตัวท่านก่อนจะส่งมอบของสิ่งนั้นให้!”
ฉินหยุนคิดอยู่ครู่จึงกล่าว “ผู้อาวุโส ข้าขอกล่าวตามตรง ตัวข้าใน
ชาติภพก่อนได้ตายจากไปแล้ว และข้าได้ถือกำเนิดขึ้นใหม่ ร่างกาย
ข้าไม่ใช่ดังเช่นเมื่อชาติภพก่อนหน้าอีกต่อไปแล้ว!”
จ้านเฉียงขมวดคิ้วกล่าว “ท่านกำลังกล่าว ว่าตัวท่านกลับชาติมาเกิด
ทำให้ความทรงจำเลือนหายอย่างนั้นหรือ?”
ฉินหยุนพยักหน้ารับ
“นั่นไม่สำคัญ ต่อให้กลับชาติมาเกิด ข้าก็ยังยืนยันตัวตนท่านได้!”
จ้านเฉียงนำเอากล่องทองคำออกมา
กล่องนี้งดงามอย่างยิ่ง มันส่องประกายสีทองสว่าง ทั้งยังมีอักขระ
แกะสลักเอาไว้จำนวนมาก
“วางมือท่านลง!” จ้านเฉียงกล่าว
ฉินหยุนวางมือตนเองลง กล่องจึงเผยเสียง “ครึก” ดังขึ้น ฝากล่องได้
เปิดออกแล้ว
ฝาที่เปิดออก มันปรากฏเป็นกุญแจที่ด้านในกล่อง!
“ฮ่าฮ่า วิเศษนัก!” จ้านเฉียงหัวเราะยินดี “ท่านสามารถนำสิ่งนั้นกลับ
ไปได้แล้ว!”
ฉินหยุนประหลาดใจจนต้องเอ่ยถาม “ผู้อาวุโส ข้าสร้างกล่องนี้อย่าง
นั้นหรือ?”
“เป็นเช่นนั้น ท่านสร้างมันขึ้นมา! ทั้งท่านยังได้ติดตั้งค่ายอาคมที่
สวนแห่งนี้ มันได้ช่วยเหลือชนเผ่านักรบของเรามาหลายครั้งครา!”
จ้านเฉียงกล่าว “ทุกครั้งที่เกิดศึกสงคราม หากพวกเราไม่อาจต้านรับ
ได้ไหว คนในชนเผ่าจะเข้ามาภายในสวนค่ายอาคมแห่งนี้เพื่อเอา
ชีวิตรอดจากวิกฤต!”
ฉินหยุนตอนนี้ค่อยเข้าใจ ว่าเหตุใดชนเผ่านักรบมีคนไม่มาก เพราะ
หากมีคนมากเกินไป พวกเขาจะไม่อาจเข้าสู่ด้านในค่ายอาคมได้
ครบถ้วน
“ข้าไม่นึกเลยว่าจะบังเอิญได้ถึงเพียงนี้ ถึงขั้นได้มารับสิ่งที่ตนเองใน
ชาติภพก่อนได้เหลือทิ้งไว้!” ฉินหยุนตื่นเต้นยินดี เขาติดตามจ้านเฉียง
ผ่านบันไดยาวมุ่งลงลึกใต้ดิน
ฉินหยุนคาดการณ์โดยคร่าว มันน่าจะลึกถึงหลายลี้
ด้านล่างเป็นสระน้ำ
จ้านเฉียงคว้าโซ่โลหะพร้อมดึงลูกบอลสีดำขนาดใหญ่ออกจากก้น
สระ
“ท่านประมุข ท่านสามารถเปิดมันด้วยกุญแจนั้นได้ ข้าขอตัวกลับขึ้น
ไปก่อน เพราะยามที่มันเปิดออก จะไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้อยู่
ที่นี่!” จ้านเฉียงกล่าวคำจบ เขาจึงเร่งรีบกลับขึ้นไป
ฉินหยุนถือกุญแจไว้ ภายในใจมีแต่ความสงสัยอัดแน่น เขาจ้องมอง
ที่บอลสีดำตรงหน้า
บอลสีดำนั้นสูงราวครึ่งตัวเขา พื้นผิวราบลื่นราวหินสีดำที่งดงาม ด้วย
มีแสงสาดส่อง ทำให้เขาสามารถพบเห็นพื้นผิวของมัน ที่ประกอบ
ไปด้วยอักขระมากมาย!
“ตัวเราในชาติภพก่อนหลงเหลืออันใดไว้ที่นี่กันแน่ นี่เผื่อเราที่กลับ
ชาติมาเกิดอย่างนั้นหรือ?” ฉินหยุนยิ่งสงสัย ไม่ช้า เขาจึงพบรูกุญแจ
หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “เสี่ยวหยุน มาเดากันว่าอะไรอยู่ข้างใน!”
ฉินหยุนคิดอยู่ครู่จึงกล่าว “น่าจะเป็นวิญญาณยุทธ์ที่ทรงพลังอำนาจ!”
หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะ “ข้าว่ามันต้องเป็นวิญญาณดวงตะวัน!”
ฉินหยุนใส่กุญแจเสียบเข้าไป
แคร้ก!
ทรงกลมเปิดออก ดวงจันทราอันวิจิตรงดงามขนาดเล็กปรากฏที่
ภายใน ความงดงามของมันมากล้ำ
“นี่เป็นจารึกวิญญาณ! จารึกวิญญาณนายหญิงจันทรา!” หลิงหยุนเอ๋อ
ร้องตื่นตระหนก “ตัวเจ้าในชาติภพก่อน ถึงขั้นหลงเหลือจารึกวิญญาณ
อันล้ำค่าเพียงนี้ไว้ที่นี่!”
ฉินหยุนเองก็ตื่นตระหนก ทั้งยังยากจะเชื่อว่าสถานการณ์จะเป็นเยี่ยงนี้
จารึกวิญญาณนายหญิงจันทรา กล่าวกันว่าหาได้ยากยิ่งกว่าจารึก
วิญญาณจ้าวดวงดาว ตัวเขาเองยังต้องการได้รับมันมาโดยตลอด
และตอนนี้ เขากลับได้รับมันมาโดยไม่คาดคิด!
หลิงหยุนเอ๋อยินดีเป็นล้นพ้น นางเร่งรีบดูดกลืนจารึกวิญญาณนายหญิง
จันทราพร้อมผสานรวมเข้ากับมัน
ตอนนี้ เขาได้ครอบครองทั้งราชันสัตว์ อัคคีคลั่ง ราชันอุปกรณ์ จ้าว
ดวงดาว และนายหญิงจันทรา เป็นจารึกวิญญาณถึงห้าประเภทด้วย
กัน!
จารึกวิญญาณ มันเพียงพอให้ผู้คนคลุ้มคลั่งคิดต้องการ ยิ่งไม่ต้อง
กล่าวถึงเขาที่ครอบครองพวกมันมากมายเพียงนี้!
ฉินหยุนยังได้เห็นแผ่นหนังสัตว์ เขาเปิดมันออก พบว่ามีถ้อยคำเขียน
เอาไว้
“หากความทรงจำตื่นขึ้นแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องรับชมมัน! หากความ
ทรงจำตื่นขึ้นไม่สมบูรณ์ เช่นนั้นจงจดจำเนื้อหาที่เขียนไว้เบื้องล่าง
ให้ดี!”
เมื่อฉินหยุนได้เห็นถ้อยคำแรก เขายิ่งกระหายใคร่รู้ นี่คือเบาะแสที่
ตัวเขาในชาติภพก่อนเหลือทิ้งไว้สำหรับการถือกำเนิดขึ้นใหม่
“อันดับแรก หากเจ้าพบเจอศัตรูจากชาติภพก่อน หากเป็นสตรี เช่นนั้น
ดีที่สุดคืออย่าได้หาเรื่องต่อพวกนาง แล้วพวกนางจะเข้าใจตัวเจ้าใน
ไม่ช้าก็เร็ว!”
“สอง หากเจ้ายังไม่ฝึกฝนจนถึงขอบเขตศักด์ิสิทธ์ิ เช่นนั้นอย่าได้
เบาะแว้งกับจอมจักรพรรดิเซียนอ้างว้างและจอมจักรพรรดิอสูรเซียน!”
“สาม จารึกวิญญาณจักรพรรดิสุริยันอยู่ในแดนศักด์ิสิทธ์ิอ้างว้าง
อย่าได้ค้นหามันที่แดนเซียนอ้างว้าง นั่นเป็นการเสียเวลาเปล่า!”
“สี่ ค้นหาสตรีนามเหยาเฟิง หากนางยังมีชีวิตรอด เช่นนั้นให้นางขุด
ค้นนำเอา ‘พระสูตรโลกาวินาศเก้าสุริยัน’ ออกมาจากความทรงจำ
ของจอมจักรพรรดิอสูรเซียน”
“ห้า หากเย่ว์โยวไม่อาจได้รับจันทราทมิฬ เช่นนั้นจงใช้จารึกวิญญาณ
นายหญิงจันทราเพื่อขัดเกลาจันทราทมิฬให้แก่นาง วิธีการขัดเกลา
โดยละเอียดอยู่ภายในเปลือก พิจารณามันอย่างระมัดระวัง”
“หก พยายามอย่าได้ปลุกความทรงจำทั้งหมดขึ้นมาอย่างถึงที่สุด
ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องตายอีกครั้ง!”
หลังอ่านครบถ้วน ฉินหยุนนิ่งค้างอยู่นาน เพราะตัวเขาในชาติภพก่อน
ทราบว่าตนเองต้องตายและกลับชาติมาเกิด
เขายังรู้สึกเรื่องนี้ช่างแยบยล เขาที่ยังไม่ทันตื่นรู้ความทรงจำใดขึ้นมา
แม้เพียงนิด กระนั้นกลับมีโอกาสจนได้มาถึงที่นี่
“หยุนเอ๋อ เหตุใดตัวข้าในชาติภพก่อนจึงไม่อยากให้ข้าตื่นรู้ความ
ทรงจำขึ้นมา?” ฉินหยุนสงสัยต่อเรื่องนี้อย่างยิ่ง
“ตัวเจ้าในชาติภพก่อน น่าจะต้องได้ทราบความลับที่นำหายนะมาสู่
ตัว หากเจ้าตื่นรู้ความทรงจำ เจ้าอาจเดินไปยังเส้นทางเดียวกันกับตัว
เจ้าในชาติภพก่อน!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
ฉินหยุนมองที่ภายในเปลือกทรงกลมสีดำ มันมีหลายถ้อยคำเขียน
เอาไว้ที่ภายใน มองโดยคร่าว เขาไม่คิด ว่าเปลือกนี้จะเป็นสิ่งที่
สามารถให้กำเนิดจันทราทมิฬได้!
อีกทั้ง จันทราทมิฬของเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ ยังได้ถือกำเนิด
ขึ้นมาจากเปลือกนี้
วิธีการโดยละเอียดซับซ้อนอย่างยิ่ง ด้วยกำลังของฉินหยุนตอนนี้
เขาไม่อาจทำมันได้สำเร็จ ดังนั้น เขาจึงได้แต่ต้องเก็บเปลือกนี้เอาไว้
ระหว่างฉินหยุนเดินขึ้นบันไดกลับไป เขาพลันร้องเรียกเหยาเฟิงที่
อยู่ในไข่มุกเม็ดที่สาม
“พี่สาวเหยาเฟิง พี่สาวเหยาเฟิง ข้าจะตายแล้ว!” ฉินหยุนร้องตะโกน
เดิมเขาไม่คิดอยากโกหกต่อเหยาเฟิง ทว่าตอนนี้ เขาไม่มีทางเลือกอื่น
ตลอดสองปีที่ผ่านมา เขาได้พยายามเรียกหาเหยาเฟิงอยู่ทุกวี่วัน
ตอนนี้ ในที่สุดเหยาเฟิงค่อยตอบสนอง ทั้งนี้ นางยังออกมาจาก
ไข่มุกเม็ดที่สอง!
“เกิดอะไรขึ้น?” เหยาเฟิงที่ออกมา พอได้เห็นว่าฉินหยุนไร้ซึ่งปัญหา
ใด ดวงตานางจึงมีเพลิงโทสะผลาญไหม้
เพราะนางเกลียดชังฉินหยุนที่โกหกต่อนางเป็นที่สุด!
“เจ้า… นี่เจ้าหลอกข้าอีกครั้งแล้ว!” เหยาเฟิงกล่าวเกรี้ยวกราด
ฉินหยุนเร่งร้อนส่งแผ่นหนังสัตว์ให้แก่เหยาเฟิง จากนั้นจึงเร่งรีบ
บอกนางเรื่องจารึกวิญญาณนายหญิงจันทรา
เหยาเฟิงพอได้เห็นแผ่นหนังสัตว์ ความโกรธของนางจึงหายวับ ทั้ง
นางยังขมวดคิ้วแน่น
“พระสูตรโลกาวินาศเก้าสุริยัน พระสูตรโลกาวินาศเก้าสุริยัน… มัน
มีอยู่ในความทรงจำของจอมจักรพรรดิอสูรเซียนจริง!” เหยาเฟิง
พึมพำ นางตระหนกตกใจไม่น้อย
“พี่สาวเหยาเฟิง อะไรคือพระสูตรโลกาวินาศเก้าสุริยัน?” ฉินหยุน
เร่งรีบเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้
“เจ้า… เจ้ายังไม่ต้องทราบ! หากข้าพบมันแล้ว ข้าจะส่งมันให้แก่เจ้า
เอง!” เหยาเฟิงกล่าวขณะจับจ้องแผ่นหนังสัตว์ “เจ้าตัวบัดซบ
ความลับอันใดที่เจ้าซุกซ่อนเอาไว้?”
ฉินหยุนเบะปากกล่าวคำ “ข้าเองก็คิดอยากทราบ! พี่สาวเหยาเฟิง ข้า
เป็นสาเหตุให้ท่านถูกคำสาป นี่น่าจะต้องเป็นการจงใจ ไม่ใช่การ
หลอกใช้ท่านกระมัง?”
เหยาเฟิงแค่นเสียง “เหตุใดเจ้าไม่บอกข้าแต่แรก!?”
“ข้า… ข้าไม่รู้! ทั้งหมดเป็นตัวข้าในอดีตที่ทำ!” ฉินหยุนถอนหายใจ
และเอ่ยถาม “อย่างนั้นแล้ว พวกเราควรทำอะไรต่อ?”
“ทำตามเจตนารมณ์ของตัวเจ้าในชาติภพก่อน!” เหยาเฟิงส่งแผ่น
หนังสัตว์กลับคืนฉินหยุน
“พี่สาวเหยาเฟิง อย่างนั้นท่านบอกได้หรือไม่ ว่าไข่มุกเม็ดที่สามมี
อันใด?” ฉินหยุนหัวเราะแห้งกล่าวถาม
“ไม่ได้ เจ้าต้องก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำเสียก่อนแล้วข้าจึงค่อย
บอก!” เหยาเฟิงแค่นเสียง ก่อนจะกลับเข้าวิญญาณเทวะเก้าตะวันไป
“ไม่ว่าจะอะไร อย่างไรแล้ว นายน้อยผู้นี้ก็ได้รับจารึกวิญญาณนาย
หญิงจันทรามาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า!” ฉินหยุนหัวเราะยินดี
ก่อนกระโดดโลดเต้นกลับขึ้นไป
ที่แผ่นหนังสัตว์ มันยังมีถ้อยคำอื่นเขียนเอาไว้
จารึกวิญญาณนายหญิงจันทรา คือสิ่งที่ตัวเขาในชาติภพก่อนแยก
ออกมาและซ่อนมันเอาไว้ที่นี่ เพราะจารึกวิญญาณนายหญิงจันทรา
เป็นสิ่งที่ยากได้รับ ทั้งยังมีประโยชน์อย่างมากล้ำ
“เห็นได้ชัด ว่าตัวข้าในชาติภพก่อน ได้ลงแรงและเวลาไปมากเพื่อ
ค้นหาจารึกวิญญาณจักรพรรดิสุริยัน!” ฉินหยุนยิ้มกล่าวคำ
“จารึกวิญญาณจักรพรรดิสุริยัน มีไว้เพื่อใช้แกะสลักอักขระตะวัน!
ตัวเจ้าตอนนี้ไม่มีอักขระตะวันใดในครอบครอง อย่างนั้นแล้ว มี
จารึกวิญญาณจักรพรรดิสุริยันในตอนนี้ก็ไม่อาจใช้งานได้อยู่ดี!”
หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
“นั่นก็จริง” ฉินหยุนสัมผัสถึงจารึกวิญญาณนายหญิงจันทรา เขายิ่ง
สุขเปี่ยมล้นหัวใจ
ด้วยการใช้จารึกวิญญาณนายหญิงจันทรา มันจะทำให้เขาสามารถ
เชี่ยวชาญอักขระจันทราได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น รวมถึงการเสริมระดับ
และคุณภาพให้แก่มัน
ฉินหยุนก้าวเดินขึ้นบันไดไป เมื่อขึ้นไปจนถึงด้านบน เขาไม่พบเห็น
จ้านเฉียง
เขาเดินออกมาที่สวนของจ้านเฉียง พบว่าภายนอกไม่มีผู้ใด
“ด้านนอกกำแพงใหญ่!” หลิงหยุนเอ๋อร้องตะโกน
ฉินหยุนเองก็สัมผัสได้ ว่าหลายคนอยู่ที่ด้านนอก เขาจึงเร่งรีบทำให้
ร่างโปร่งแสงก่อนพุ่งทะยานออกไป
เขาได้เห็นจ้านเฉียงและกลุ่มศิษย์ของชนเผ่านักรบยืนที่ด้านนอกด้วย
สีหน้าหนักอึ้ง
ชนเผ่านักรบมีกันเพียงไม่กี่พันคน พวกเขากำลังถูกล้อมเอาไว้คน
จำนวนนับแสน
คนจำนวนนับแสนเหล่านี้ คือชนเผ่าพื้นเมืองของที่นี่ พวกเขาต่างขึ้น
ขี่หมาป่ าร่างยักษ์ ออร่าของพวกเขารุนแรงยิ่ง
ฉินหยุนไม่คิด ว่าชนเผ่าพื้นเมืองที่นี่จะมีจำนวนประชากรมากมาย
เพียงนี้
“จ้านเฉียง ตราบเท่าที่เจ้ายอมศิโรราบต่อชนเผ่าหมาป่าคลั่ง พวกเรา
จะไม่ทำลายชนเผ่าพวกเจ้าอีก ไม่อย่างนั้น ต่อให้วันนี้ยืนหยัดอยู่
รอด ก็ยังต้องถูกพวกเราทุบตีชนเผ่าที่เจ้าทุ่มเทสร้างขึ้นมาจนแตก
พ่าย!” ชายชราร่างสูงกำยำจากชนเผ่าหมาป่ าคลั่ง กำลังส่งเสียงร้อง
ตะโกนพร้อมหัวเราะดัง
ชายชราร่างสูงใหญ่กำยำจากอีกชนเผ่า ร่างกายนั้นมีแผลเป็นเต็มอยู่
ทั่วไปหมด ร่างกายของเขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง พลังที่ผันแปรเผยออก
นั่นคือขอบเขตราชันยุทธ์
แม้ชนเผ่านักรบมีจำนวนคนน้อยกว่า กระนั้นพวกเขากลับไม่หวาด
เกรงแม้เพียงนิด
จ้านเฉียงกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “ชนเผ่าหมาป่ าคลั่ง หมื่นปีมาแล้ว
พวกเจ้าไม่เคยรุกรานพวกเรา! ตอนนี้ พวกเจ้าถึงขั้นลืมเลือน ทั้งยัง
คิดให้พวกเรายอมศิโรราบ!”
ตอนนี้เอง กลุ่มผู้เฒ่าของชนเผ่านักรบจึงปรากฏตัวออกมา ส่วนที่
เหลือต่างเร่งรีบถอยกลับเข้าสู่กำแพงยักษ์ เข้าสู่สวนของจ้านเฉียง
ตอนนี้เอง ฉินหยุนจึงปรากฏตัวข้างกายจ้านเฉียง เขากล่าวเสียงเบา
“ผู้อาวุโส ให้ข้าช่วยหรือไม่?”
จ้านเฉียงทราบว่าฉินหยุนหาได้แข็งแกร่ง นอกจากนี้ อีกฝ่ายยังมี
ราชันยุทธ์ที่แข็งแกร่งคงอยู่จำนวนหนึ่ง

ตอนที่ 749 ชนเผ่าโบราณ
ฉินหยุนนิ่งอึ้ง เขาเพิ่งอาบน้ำชำระกายเสร็จ แต่แล้วกะทันหัน กิ้งก่า
ยักษ์มีปีกได้ร่วงหล่นลงมา เดิมเขาคิดว่าจะได้มื้ออาหาร เป็นเขาไม่
คาดคิด ว่าจากอาหารจะกลับกลายเป็นเป้าหมายของกลุ่มคนตรงหน้า
“อย่าได้คิดแตะต้องเหยื่อของพวกเรา มันทำพวกเราเสียเวลานับเดือน
กว่าจะจับตัวได้!” ชายวัยกลางคนกล้ามใหญ่ร้องตะโกนบอกต่อฉิน
หยุน “เร่งรีบถอยห่างจากเหยื่อของเรา!”
ฉินหยุนมองกลุ่มคน พบว่าเรื่องราวชวนประหลาด
เพราะกลุ่มคนที่ปรากฏตัวนี้ ไม่มีผู้ฝึกตนวิถียุทธ์แห่งเต๋า กระนั้น
ร่างกายพวกเขาแข็งแกร่งยิ่ง พิจารณาจากความผันแปรทางพลัง
กล่าวได้ว่าทัดเทียมขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ
“ข้านึกว่ามันหล่นลงมาเอง! ในเมื่อมีเจ้าของ ข้าย่อมไม่แตะต้อง!”
ฉินหยุนยิ้มกล่าว ก่อนจะถอยห่างออกจากมังกรกิ้งก่าตัวนั้น
“ต่อให้เจ้าคิดอยากแตะต้อง เจ้าก็ไม่มีกำลังพอให้ทำ! คนเถื่อนเช่น
เจ้าถือกำเนิดมาอ่อนแอ พวกเราไม่ว่าผู้ใดล้วนเอาชนะเจ้าได้!” ชาย
หนุ่มคนหนึ่งเผยสีหน้านึกรังเกียจแค่นเสียงกล่าวคำ
ฉินหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อย ตัวเขาถึงขั้นถูกเรียกหาเป็นคนเถื่อน!
“พวกเจ้าไล่ล่าเจ้าตัวนี้นานนับเดือนอย่างนั้นหรือ?” ฉินหยุนเบ้ปาก
กล่าวคำ “ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าอ่อนแอกันหรือไร!”
“เจ้าจะทราบอันใด? ข้าและผู้อื่นที่นี้เพียงนักรบลึกล้ำระดับต้นและ
กลาง ทว่ามังกรกิ้งก่าตัวนี้ มีกำลังทัดเทียมนักรบลึกล้ำระดับสูง!”
ชายหนุ่มแค่นเสียงกล่าว “ยืนอยู่ที่ตรงนั้น หยุดกล่าววาจา! ที่เจ้าทำ
ได้คือเพียงรับชม!”
“อย่าได้กังวล พวกเราจะเหลือเศษเดนไว้ให้เจ้า!”
“พวกเราย่อมไม่โหดร้าย จะเหลือเลือดและเนื้อไว้สักหนึ่งร้อยจิน
ให้แก่เจ้า!”
“คนเถื่อน เจ้าคงหวาดกลัวต่อกำลังพวกเราแย่แล้วกระมัง!”
ฉินหยุนไม่ทราบควรกล่าวอันใดดี อันที่จริงเขารู้สึก ว่าคนกลุ่มนี้
เรียบง่ายและซื่อตรง ทว่าไม่น่ารักไปบ้าง เพราะพวกเขายังมีน้ำใจคิด
แบ่งเนื้อส่วนหนึ่งให้แก่เขา
“เสี่ยวหยุน คนกลุ่มนี้ต้องเป็นชนพื้นเมืองที่นี่!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
“ลองดูว่าเจ้าสามารถสนิทสนมกับกลุ่มพวกเขาได้หรือไม่ บางทีเจ้า
อาจได้ทราบวิธีการออกไปจากเขตแดนอ้างว้างนี้จากพวกเขา!”
กลุ่มชนพื้นเมืองเหล่านี้เปลือยกายท่อนบน ท่อนล่างเพียงสวมใส่
หนังสัตว์รัดพันเอาไว้อย่างหยาบกร้าน ทั้งยังมีธนูและกระบี่แบก
หามไว้ด้านหลัง รวมถึงที่เอวมีมีดสั้น
ชั่วขณะนี้ พวกเขาต่างลงมือใช้กระบี่เริ่มหั่นเนื้อหนังมังกรกิ้งก่าร่าง
ยักษ์
กลุ่มชนพื้นเมืองนับสิบเหล่านี้ไม่มีอุปกรณ์วิเศษมิติเก็บของใด
ดังนั้นพวกเขาจึงอาศัยแผ่นไม้ขนาดใหญ่ วางเนื้อสัตว์เอาไว้ด้านบน
พร้อมผูกมัดและลากไป
ฉินหยุนรับชมพวกเขาตัดกันเชื่องช้าใจเย็นถึงกล่าวถาม “มิตรสหาย
พวกท่านเฉือนหั่นมันได้เชื่องช้านัก ให้ข้าช่วยหรือไม่?”
“ย่อมไม่ เจ้าเพียงรอที่ตรงนั้น พวกเราย่อมรักษาสัญญา จะมอบเนื้อ
ส่วนหนึ่งให้แก่เจ้า!” ชนพื้นเมืองวัยกลางคนกล่าวตอบ จากนั้นจึงส่ง
เลือดมาถ้วยหนึ่งและกล่าว “หากเจ้าหิว เช่นนั้นรับไปดื่ม!”
ฉินหยุนยิ้มตอบ “ข้าไม่ดื่มของเช่นนี้!”
ชนพื้นเมืองคนหนุ่มก้าวเดินเข้ามา สายตามองฉินหยุนอย่างนึกสงสัย
เขากล่าวถาม “คนเถื่อน เจ้าดูผอมแห้งนัก หรือเจ้ากลัวพวกเราจนไม่
กล้าเผ่นหนีกัน?”
“ไม่ใช่ ข้าเพียงคิดอยากทดลองเนื้อมังกรกิ้งก่านั่น!” ฉินหยุนยิ้มแย้ม
“เหตุใดจึงเรียกหาข้าเป็นคนเถื่อน? ข้าหาได้มีอันใดผิดแผกจากพวก
ท่านไม่!”
“เจ้าเป็นคนนอก! คนเถื่อนจากภายนอกเช่นเจ้าคือผู้ที่ทำให้โลกของ
เราต้องเสียหาย!” ยามเมื่อคนหนุ่มชนพื้นเมืองกล่าวถึงเรื่องนี้ เขา
กราดเกรี้ยวไม่ใช่น้อย “พวกเราอยู่กันดีแล้ว จากนั้นพวกเจ้าได้
ปรากฏตัวขึ้น ทำให้โลกของพวกเรามีแต่ความโกลาหล!”
ฉินหยุนนำกระบี่ออกมา ฝูงชนแตกตื่นพร้อมตั้งระวัง ชนพื้นเมืองวัย
กลางคนกว่าสิบที่รับหน้าที่คุ้มกัน พลันเร่งรีบนำเอาคันธนูออกมาชี้
ทางฉินหยุน
“มิตรสหาย ข้าหาได้ใช่คนเถื่อน ข้าเพียงเพิ่งมาถึงที่นี่เมื่อไม่นานมา
นี้!” ฉินหยุนโบกมือพร้อมกล่าว “ข้าเพียงรู้สึกว่าความเร็วที่พวกท่าน
เฉือนหั่นเนื้อเชื่องช้าเกินไป เพราะเหตุนั้นข้าจึงคิดให้หยิบยืมกระบี่
นี้ใช้งาน!”
เขาปักกระบี่ไว้กับพื้น
ดวงตาชาวพื้นเมืองวัยกลางคนสว่างวาบยามได้เห็น เขากล่าว “กระบี่
นี้คมยิ่ง!”
เขาเร่งรีบหยิบกระบี่ขึ้นมา พร้อมเข้าไปเฉือนหั่นเนื้อมังกร มันตัด
เนื้อหนังได้ง่ายดายราวเต้าหู้ เป็นผลให้กลุ่มชนพื้นเมืองเหล่านี้ร้อง
ออกอย่างตระหนกตกใจ
ชาวพื้นเมืองวัยกลางคนยินดียิ่ง เขาเร่งรีบตัดเนื้อมังกรกิ้งก่าและ
กล่าวขอบคุณต่อฉินหยุน ทั้งยังสัญญาว่าจะมอบเนื้อหนึ่งพันจินให้
ฉินหยุนทราบแต่แรก ว่ากระบี่ของชาวพื้นเมืองเหล่านี้แทบไร้ซึ่ง
ความคม พวกมันดูคม กระนั้นกลับไม่มีอักขระใดคงอยู่ นอกจากนี้
แล้ว วัสดุที่ใช้สร้างขึ้นก็ไม่ได้ดีเท่าใดนัก
“ชนพื้นเมืองกลุ่มนี้ ปกติคงอาศัยร่างกายที่แข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว
พวกเขาไม่อาจใช้พลังธาตุ ดังนั้นจึงไม่มีไฟเพื่อขัดเกลาวัสดุอุปกรณ์
กระทั่งว่ามีวัสดุที่ดี ก็ยังต้องใช้เวลายาวนานเพื่อหลอมพวกมัน!”
หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
“หากเป็นอย่างนั้น ข้ามอบกระบี่นั่นให้แก่หัวหน้าพวกเขา อย่างนี้จะ
ได้เป็นโอกาสให้ติดตามพวกเขากลับไปได้!”
กระบี่เล่มนั้นเพียงแค่อุปกรณ์ลึกล้ำ มันเป็นสิ่งที่ฉินหยุนหยิบฉวย
จากผู้อื่นที่สังหารมา
ไม่ช้า กลุ่มชนพื้นเมืองเหล่านี้จึงเฉือนเนื้อกันเรียบร้อย พร้อมคิดลาก
พวกมันกลับไป
ผู้นำกลุ่มส่งกระบี่คืนกลับให้แก่ฉินหยุนด้วยสองมือ แม้เป็นเช่นนี้
ทว่าเขาไม่คิดครอบครองสิ่งของของผู้อื่น แม้ว่าจะอยากได้มันเป็น
ล้นพ้นก็ตามที
ตอนนี้ ชนพื้นเมืองเหล่านี้หาได้ปรามาสต่อฉินหยุนดังเช่นก่อนหน้า
เมื่อพวกเขามองฉินหยุน สายตานั้นมีแต่ความนับถือ
อย่างไรแล้ว ฉินหยุนก็กล้าที่จะให้พวกเขาหยิบยืมกระบี่อันล้ำค่า นี่
ถือเป็นการกระทำที่ผ่าเผย ไม่อย่างนั้นแล้ว พวกเขาคงต้องใช้เวลา
ยาวนานเพื่อเฉือนเนื้อ
ฉินหยุนย่อมได้เห็น ว่าบนพื้นมีกระบี่มากมายได้รับความเสียหาย
จากการพยายามหั่นเนื้อมังกรกิ้งก่า หากพวกเขายังทำแบบนั้นต่อ คง
ต้องสิ้นเปลืองกระบี่เพิ่มมากขึ้น
“พี่ชาย เพื่อขอบคุณที่มอบเนื้อให้แก่ข้า กระบี่นั้นข้ามอบให้แก่ท่าน
แล้ว!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว
กลุ่มชนพื้นเมืองถึงกับนิ่งอึ้ง!
“นี่… นี่ล้ำค่าจนเกินไป ข้าเพียงตอบแทนด้วยเนื้อสัตว์หนึ่งพันจิน
เท่านั้น!” ผู้นำกลุ่มวัยกลางคนพบว่าเรื่องราวยากเกินจะเชื่อ
“จริงด้วย พวกท่านไม่ต้องการกระดูกใช่หรือไม่? พวกมันมีประโยชน์
แก่ข้านัก! ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนไปก็แล้วกัน!”
ฉินหยุนเผยยิ้มกล่าวคำ เขาก้าวเดินไปเก็บโครงกระดูกเหล่านั้นมา
สำหรับเขา พวกมันคือวัสดุสำหรับใช้ขัดเกลาอุปกรณ์
ยามเมื่อพวกเขาได้เห็นฉินหยุนเก็บโครงกระดูกใหญ่ยักษ์ในพริบตา
ชนพื้นเมืองเหล่านี้ถึงขั้นพูดกล่าวไม่ออก
“โปรดรับกระบี่นั่นไว้แล้ว!” ฉินหยุนหัวเราะกล่าว
“อย่างนั้น ข้าก็ต้องขอขอบคุณต่อมิตรสหายแล้ว!” ผู้นำกลุ่มวัย
กลางคนเผยรอยยิ้มออกมา
“พี่ชาย ข้าไม่มีที่ไปอยู่พอดี ข้าพอจะไปเป็นแขกของพวกท่านได้
หรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ยินดีต้อนรับแล้ว ผู้นำเผ่าของพวกเราต้องยินดีต้อนรับเช่นเดียวกัน!”
ผู้นำกลุ่มวัยกลางคนกล่าวคำตอบรับ
ชนพื้นเมืองกลุ่มนี้ไม่ได้ไร้อารยะ เมื่อพวกเขาได้เห็นฉินหยุนส่ง
มอบของขวัญ พวกเขาจึงดูแลเขาประหนึ่งเป็นพวกเดียวกัน
ฉินหยุนลอบถอนหายใจโล่งอก หากชนพื้นเมืองกลุ่มนี้ได้พบผู้อื่น
เช่นนั้นอาจถูกล้างสังหาร ยกตัวอย่างก็เช่นกลุ่มคนของเฉียหยิ่ง
ฉินหยุนติดตามชนพื้นเมืองเหล่านี้กลับไป ทั้งยังช่วยพวกเขาเก็บ
เนื้อสัตว์ไว้ในกระเป๋ ามิติเก็บของขนาดใหญ่
ระหว่างทาง ฉินหยุนได้ทราบจากผู้นำกลุ่ม ว่าเผ่านี้คงอยู่มายาวนาน
หลายปีนัก
พวกเขาไม่ทราบว่ามาถึงที่นี่ได้อย่างไร เพียงทราบว่าคงอยู่ที่นี่เพื่อ
ปกปักษ์บางสิ่ง!
สิ่งนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง พวกเขาปกป้องพวกมันเอาไว้เพื่อคนผู้
หนึ่ง
ฉินหยุนเกิดสงสัยว่าสิ่งนั้นคืออะไร เพราะจากช่วงเวลา สิ่งนั้นน่าจะ
เก็บไว้ตั้งแต่ที่จันทราทมิฬปรากฏขึ้น
และชนเผ่านักรบนี้ ก็ครอบครองพลังอันยิ่งใหญ่แต่กำเนิด
ผู้นำกลุ่มขนาดเล็กนี้นามว่าจ้านหยง
จ้านหยงคือนักรบลึกล้ำระดับกลาง ตัวเขามีกำลังทัดเทียมขอบเขต
วรยุทธ์ลึกล้ำระดับกลาง
หากฉินหยุนไม่ใช้งานอาวุธหรืออุปกรณ์ใด มันก็จะไม่ใช่เรื่องง่าย
หากคิดเอาชนะจ้านหยง เพราะอีกฝ่ายครอบครองกำลังกายอัน
แข็งแกร่ง
“คนกลุ่มนี้มีร่างกายแข็งแกร่งแต่กำเนิด สงสัยนักว่ามันเกิดขึ้นได้
อย่างไร!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “จงไปและสอบถามต่อผู้อาวุโสชนเผ่า
พวกเขาน่าจะทราบอะไรบ้าง!”
ฉินหยุนติดตามจ้านหยงอยู่หลายวัน ผ่านเทือกเขาแล้วเทือกเขาเล่า
ท้ายที่สุด เขาค่อยมาถึงที่ตั้งชนเผ่านักรบ มันตั้งอยู่บริเวณข้างแม่น้ำ
ใหญ่
ชนเผ่านักรบถูกล้อมไว้ด้วยกำแพงสูง ตัวกำแพงสร้างขึ้นจากหินที่
มั่นคง กระนั้น ฉินหยุนก็คิด ว่าหากต้องการทำลายมันก็ไม่ใช่เรื่อง
ยาก
เมื่อเข้ามาที่ด้านในชนเผ่า ฉินหยุนจึงนำเอาเนื้อสัตว์ออกมา
เช่นนี้ จ้านหยงและผู้อื่นจึงช่วยกันลากเนื้อสัตว์เข้าไปมอบให้แก่ชน
เผ่า ทำให้พวกเขาได้หน้ากันครั้งใหญ่
เมื่อเข้ามาในชนเผ่าแล้วจึงได้ทราบเพิ่มเติม คนของชนเผ่านักรบ
ประกอบด้วยหลากหลาย ทั้งบุรุษ สตรี คนเฒ่าชรา และเด็ก พวกเขา
เหล่านี้ล้วนยืนอยู่ข้างถนนเส้นหลักพร้อมส่งเสียงโห่ร้อง
ชนเผ่านักรบมีคนอยู่เพียงไม่กี่พัน ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา จำนวน
ประชากรมีแต่ลดลงไปเรื่อย เพราะพวกเขาหลายคนถูกสังหาร
บ้างก็ถูกสังหารโดยชนเผ่าอื่น บ้างก็ถูกสังหารโดยกลุ่มของเฉียหยิ่ง
ฉินหยุนยังได้ถามเรื่องเย่ว์โยว ทราบว่านางเป็นราชินีที่ชื่อเสียงโด่ง
ดัง ทั้งนี้ นางยังไม่เคยกระทำอันใดเป็นปฏิปักษ์ต่อชนเผ่าพื้นเมือง
ชนเผ่านักรบเมื่อได้เห็นคนเถื่อนเช่นฉินหยุน พวกเขามีแต่ความไม่
เชื่อใจปรากฏเด่นชัด
จ้านหยงเร่งรีบอธิบาย ว่าฉินหยุนได้มอบกระบี่ให้แก่เขา ทั้งยังได้
เป็นสหาย เพราะเหตุนั้นเขาจึงเชื้อเชิญฉินหยุนมาเป็นแขก
คนของชนเผ่านักรบย่อมรักชื่นชอบกระบี่ ยามได้เห็นกระบี่ของ
จ้านหยง พวกเขาริษยากันแทบแย่
อาคารด้านในชนเผ่าทั้งหมดสร้างขึ้นจากก้อนหิน พวกมันไม่งดงาม
กระนั้นกลับเรียบง่ายและดูมั่นคง
ฉินหยุนติดตามจ้านหยงสู่พื้นที่ใจกลาง มันถูกล้อมเอาไว้ด้วยกำแพง
อีกชั้นหนึ่ง ทั้งยังมีเสาขนาดใหญ่จำนวนมากในกำแพงนั้น
ฉินหยุนอุทานภายในใจหลังได้พบเห็นเสาเหล่านี้ นั่นก็เพราะพวก
มันคือเสาค่ายอาคม นอกจากนี้แล้ว ยังมีการแกะสลักเอาไว้ด้วย
อักขระที่ซับซ้อน มันดูคล้ายจะเป็นการแกะสลักที่มีต่ออุปกรณ์เซียน
“นี่คือสถานที่พำนักของท่านผู้นำเผ่า!” จ้านหยงกล่าว “น้องชายฉิน
หยุน รอที่นี่สักประเดี๋ยว พวกเราขอพูดคุยกับท่านผู้นำเผ่าก่อน!”
ฉินหยุนพยักหน้ารับ
ผู้นำเผ่าทราบว่าจ้านหยงกลับมา ทั้งยังได้รับกระบี่ ดังนั้นเขาจึงเร่ง
รีบออกมารับชม
ผู้นำชนเผ่าผู้นี้มีผิวสีดำ เป็นชายชราร่างเตี้ย กระนั้น ตัวเขาได้ส่งถ่าย
ความรู้สึกอันแข็งแกร่งออกมาอย่างเด่นชัด เขาคือราชันยุทธ์
“ผู้นำชนเผ่าช่างแข็งแกร่งนัก!” ฉินหยุนอุทานตระหนกตกใจ
“หากเขาไม่แข็งแกร่ง ชนเผ่านักรบนี้คงเลือนหายไปนานแล้ว!” หลิง
หยุนเอ๋อกล่าว “เหมือนว่าทั้งชนเผ่านี้ จะมีเพียงแต่เขาที่แข็งแกร่ง!”
ผู้นำชนเผ่านามจ้านเฉียง เมื่อได้พบฉินหยุน ดวงตาเฒ่าชราของเขา
หรี่เล็กก่อนจะเบิกกว้างอย่างกะทันหัน ในดวงตานั้น มันเผยประกาย
สว่างวาบออกมา
“อาหยง เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะต้อนรับแขกผู้นี้เอง!” จ้านเฉียงยิ้ม
กล่าวพร้อมโบกมือ
จ้านหยงพยักหน้ารับพร้อมเร่งรีบจากไป
ฉินหยุนเมื่อเข้ามาในส่วนพักอาศัย จ้านเฉียงจึงเร่งรีบปิดประตูลง
“ท่านมาที่นี่เพื่อรับสิ่งนั้นไปหรือ?” จ้านเฉียงกล่าวพร้อมนำหนัง
สัตว์ผืนหนึ่งออกมาจากกระเป๋ ามิติเก็บของเรียบง่าย
หลังคลี่กลางหนังสัตว์ออก เขาจึงได้เห็นว่ามันมีรูปคนวาดเอาไว้!
ฉินหยุนที่ได้เห็นภาพเหมือน เขาอดไม่ได้ที่จะต้องเผยอาการตื่น
ตะลึง
บุคคลในภาพวาดบนผืนหนังสัตว์นั้นไม่ใช่ใครอื่น เป็นตัวเขาเอง!

ตอนที่ 748 ครอบครองจ้าวดวงดาว
ทาสเงาถูกจับตัว เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬกลับคืนสู่สภาวะปกติ
ฉินหยุนซ่อนตัวในถ้ำ อาการบาดเจ็บของเขากำลังฟื้นฟู
เมื่อเขาก้าวเดินออกมาจากถ้ำ ก็พบว่าเป็นช่วงบ่ายแล้ว
เวลานี้ ดวงตะวันสาดแสงร้อนแรงสว่างไสว เดิมเขตแดนอ้างว้าง
จันทราทมิฬมีแต่หมอกบดบัง เวลานี้พวกมันเลือนหายจนสิ้น
นั่นก็เพราะจันทราจำแลงถูกทำลายไปแล้ว
หลังทาสเงาปรากฏ มันรับรู้ถึงเฉียหยิ่งที่อยู่บนจันทราจำแลงว่า
แข็งแกร่ง ดังนั้นจึงมุ่งหน้าทำลายทั้งจันทราจำแลงและเฉียหยิ่งไป
พร้อมกัน
“เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ ในที่สุดก็กลับคืนสู่ปกติ” ฉินหยุนมอง
ดวงตะวันร้อนแรงบนฟากฟ้า เขากำลังดูดกลืนพลังงานวิญญาณเก้า
ตะวัน
“เสี่ยวหยุน เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬแห่งนี้คงอยู่มานานนับ ภายใน
นี้สมควรมีหลายผู้คนคงอยู่!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬกว้างใหญ่ นอกจากนี้ พลังวิญญาณยัง
หนาแน่น และทรัพยากรธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์
“เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬแห่งนี้ยังอันตรายยิ่ง อย่างไรแล้ว จันทรา
ทมิฬก็คงอยู่มานานนับ มันปลดปล่อยพลังหยินชั่วร้ายออกไปปริมาณ
มหาศาล ดังนั้นสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ คงมีสภาพเป็นอสูรร้ายกันไปไม่
น้อย” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
“หยุนเอ๋อ พลังหยินชั่วร้ายเป็นผลให้กลายเป็นอสูรร้ายง่ายดายเพียง
นั้นเลยหรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“เป็นเช่นนั้น! มันก็มีบางสถานการณ์ที่สามารถสะกดพลังหยินชั่วร้าย
เอาไว้ได้ กระนั้นก็ยังต้องแปรเปลี่ยนเป็นอสูรร้าย เพราะนั่นคือวิธีการ
ที่จะทำให้แข็งแกร่งได้รวดเร็วและยังควบคุมมันได้ นอกจากนี้แล้ว
มันยังจะทำให้พลังของอสูรร้ายนั้นแข็งแกร่งขึ้นอย่างมหาศาล!”
หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “ผู้คนเช่นนี้มักจะเป็นอสูรร้ายที่ชวนสะพรึง เพราะ
พวกเขาควบคุมตนเองได้ ทำให้จึงสามารถควบคุมพลังอสูรร้ายได้!”
ฉินหยุนนึกย้อนไป ว่ามีอสูรร้ายหลายคนที่เป็นคู่ต่อสู้ซึ่งเขาต้องเผชิญ
หลายคนเกิดคลุ้มคลั่งอย่างกะทันหัน พวกเขาสูญเสียสภาวะจิตใจ
กลับกลายเป็นอสูรร้ายเต็มตัว กระนั้น พลังที่ครอบครองก็ยังแข็งแกร่ง
เขายังได้ประสบพบเจอกับตนเอง ที่เกือบถูกตะวันทมิฬกลืนกิน
พลังนี้กล่าวได้ว่าชวนพรั่นพรึง หากสามารถควบคุมได้ มันจะเป็น
พลังอันเลิศล้ำที่สามารถใช้งาน
หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “ความเลิศล้ำที่สุดของร่างเซียนอสูร นั่นก็คือมัน
สามารถใช้พลังอสูรได้! ส่วนวิธีการใช้ เจ้าคงต้องขอคำชี้แนะจากพี่
ฉีโหรวในภายหน้า”
ฉินหยุนนึกถึงเซี่ยฉีโหรว จึงนำเอาแผนที่หลุมฝังเซียนออกมา
หลังหยดเลือดลงไป มันตอบสนองอย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวหยุน มีเรื่องอะไรหรือ?” เซี่ยฉีโหรวเอ่ยถาม
“ปัญหาใหญ่ขอรับ!” ฉินหยุนบอกเล่าต่อเซี่ยฉีโหรว ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
ในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ ทั้งยังบอกต่อนางว่าได้รับจันทราทมิฬ
มาแล้ว
แน่นอนว่า เขายังบอกกล่าวถึงเรื่องของเหยาเฟิงไปด้วย
เซี่ยฉีโหรวที่ได้รับข่าวคราวมากมาย เป็นธรรมดาที่จะต้องใช้เวลา
ย่อยวิเคราะห์ หลังเงียบไปพักหนึ่ง นางจึงกล่าว “เสี่ยวหยุน เจ้าควร
ก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำก่อน! อย่าได้กังวลถึงเรื่องจันทราทมิฬ
ไป! ด้วยกำลังเจ้าตอนนี้ ทำให้ยังไม่อาจใช้พลังของจันทราทมิฬและ
ตะวันทมิฬไปพร้อมกันได้!”
“พี่สาว จันทราทมิฬคล้ายสำคัญต่อพี่หยางยิ่งนัก” ฉินหยุนถามขึ้นมา
“มันสำคัญจริง ทว่านางย่อมต้องมีวิธีการอื่นแก้ไขปัญหา จันทราทมิฬ
ยังมีอีกมากมาย ดังนั้นด้วยวิญญาณยุทธ์จันทราทมิฬ นางย่อมพบเจอ
เป้าหมายถัดไปได้ไม่ยาก!” เซี่ยฉีโหรวกล่าว
“แล้วเหยาเฟิงเล่า? ท่านพอจะนึกออกหรือไม่ว่านางเป็นใคร?” ฉิน
หยุนเอ่ยถาม “ดูเหมือนนางจะมีสัมพันธ์อันดีกับมารดาท่านด้วย!”
“ข้าคาดเดาได้โดยคร่าวว่านางเป็นผู้ใด และไม่นึกเลยว่าจะเป็นนาง!”
เซี่ยฉีโหรวถอนหายใจยาว “ข้าไม่นึกจริง ๆ ว่าเจ้าในชาติภพก่อนจะ
ถึงขั้นมีสัมพันธ์กับนางด้วย!”
“แล้วนางเป็นผู้ใด? เร่งรีบบอกข้าได้แล้ว!” ฉินหยุนยินดีจนร้องถาม
“ข้าจะยังไม่บอกเจ้าตอนนี้!” เซี่ยฉีโหรวหัวเราะ “อะไรก็ดี ตัวเจ้าไป
ได้ด้วยดีกับนาง นั่นก็ถือว่าดีแล้ว!”
“อย่าได้แล้ว! ข้าอยากทราบจริงว่านางคือผู้ใด!” ฉินหยุนเบะปาก
ร้องกล่าว
“ข้าไม่พูด ข้าจะไม่พูด!” เซี่ยฉีโหรวหัวเราะหยอกล้อ
ฉินหยุนที่ไร้ซึ่งทางเลือก จึงต้องฮึมฮัมออกไป
“พี่ฉีโหรว ข้าจะต้องอยู่ที่เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬต่อไปอีกนาน
เพียงใด?” ฉินหยุนคิดอยากออกไปเสียเดี๋ยวนี้
“อยู่ที่ภายในนั้น ฝึกฝนจนถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ เมื่อใดเจ้ามีกำลัง
เพียงพอ เจ้าจะสามารถใช้อักขระลึกล้ำที่ซับซ้อนได้ ถึงตอนนั้น เจ้า
น่าจะมีวิธีการเปิดทางให้ตนเองได้!” เซี่ยฉีโหรวกล่าว “ตอนนี้อย่าได้
เร่งร้อนเกินไปนัก”
ฉินหยุนได้แต่ยอมรับเรื่องนี้เป็นการชั่วคราว เพราะเขาไม่มีหนทางอื่น
หลังพูดคุยกับเซี่ยฉีโหรวเรียบร้อย เขาจึงออกเดินไปอย่างไร้จุดหมาย
เขาคิดหาสถานที่เหมาะสมเพื่อใช้เก็บตัว
เหยาเฟิงพักอยู่ในไข่มุกเม็ดที่สาม นางกำลังดูดกลืนพลังของทาสเงา
โดยตรงจากไข่มุกเม็ดที่สอง
ค้นหาอยู่หลายวัน ฉินหยุนค่อยพบสถานที่เหมาะสมแห่งหนึ่ง มัน
เป็นช่องเขาขนาดเล็ก ทั้งยังมีน้ำตกน้อยคงอยู่
“สภาพแวดล้อมดี เหมาะแก่การฝึกฝนไม่ใช่น้อย!”
ฉินหยุนมองหาภูเขาหินลูกหนึ่ง ก่อนจะใช้ความสามารถเทวะทะลุ
ทะลวงผ่านเข้าไป จากนั้นจึงเริ่มสร้างห้องหินขึ้นที่ด้านใน
เช่นนี้ ห้องหินแห่งนี้จะไม่มีทางเข้า
คิดเข้าและออกห้อง เขาเพียงใช้ความสามารถเทวะ ดังนี้จะได้ไม่ต้อง
หวาดเกรงถูกผู้อื่นพบเห็น มันมีแต่จะปลอดภัยยิ่งขึ้น
ฉินหยุนนำเอาหยกผลึกแก้วเต๋า และผลึกแก้วหัวใจลึกล้ำออกมา
“สงสัยนักว่านี่จะพอให้ใช้ควบแน่นผลึกแก้วเต๋าวิญญาณลึกล้ำหรือไม่!”
ฉินหยุนมองที่กระเป๋ าทั้งสอง จากนั้นเขาจึงนำไข่มุกออกมาเม็ดหนึ่ง
สิ่งนี้คือไข่มุกผนึกวิญญาณ ภายในของมัน คือจารึกวิญญาณจ้าว
ดวงดาว
“นี่เป็นของขวัญที่พี่หยางมอบให้!” ฉินหยุนยิ้มบาง ด้วยหลิงหยุนเอ๋อ
ช่วยเหลือ เขาจึงผสานรวมเข้ากับจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวได้สำเร็จ
“วิเศษนัก! ภายหน้า เมื่อใดแกะสลักอักขระดวงดาว จะยิ่งเป็นไป
อย่างง่ายดาย!” ฉินหยุนยินดีไม่น้อย
ตั้งแต่ได้เป็นศิษย์เพียงผู้เดียวของประตูจารึก เขาจึงได้รับอักขระโบราณ
และต้องห้ามมาหลากหลาย พวกมันส่วนใหญ่เป็นอักขระดวงดาว
และจันทรา และก็มีจำนวนหนึ่งที่ค่อนข้างลึกล้ำและซับซ้อน
ตอนนี้ เขาได้ผสานรวมเข้ากับจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาว ที่ต้องทำ ก็
เพียงแค่มีกำลังอย่างเพียงพอเพื่อแกะสลักอักขระดวงดาวที่ซับซ้อน
เหล่านั้น
ฉินหยุนฝึกฝนผลึกแก้ววิญญาณดวงดาว จากนั้นจึงแปรเปลี่ยนเป็น
จันทรา พื้นฐานของเขาสูงส่ง เขาสามารถแกะสลักอักขระดวงดาว
และจันทราได้รวดเร็วกว่าผู้อื่น
“เสี่ยวหยุน หากเจ้าควบแน่นผลึกแก้วเต๋าวิญญาณลึกล้ำได้สำเร็จ
เท่ากับเจ้าจะได้ก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำเร็วมากขึ้น!” หลิงหยุนเอ๋อ
ยิ้มกล่าวคำ “เมื่อใดเจ้าออกไป ตอนนั้นเจ้าก็จะได้เป็นขอบเขตวรยุทธ์
ลึกล้ำแล้ว!”
ฉินหยุนไม่ทราบ ว่าตนเองต้องใช้เวลานานเพียงใดกว่าจะก้าวถึง
ระดับนั้น
หากเป็นผู้อื่น ด้วยทรัพยากรมหาศาล ความคืบหน้าต้องเป็นไปอย่าง
รวดเร็ว
ทว่าเขาไม่ใช่ สถานการณ์ทางการฝึกฝนของเขาค่อนข้างซับซ้อน
ฉินหยุนเริ่มดูดกลืนพลังภายในผลึกแก้วหัวใจลึกล้ำ และหยกผลึก
แก้วเต๋า พบว่าพวกมันยากดูดกลืนเป็นอย่างยิ่ง
“หยุนเอ๋อ เจ้าสามารถใช้ความสามารถวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬ ดูดกลืน
ผลึกแก้วหัวใจลึกล้ำ และหยกผลึกแก้วเต๋าพวกนี้ได้หรือไม่?” ฉินหยุน
เอ่ยถาม
“ย่อมต้องได้! ความเร็วการดูดกลืนของเจ้ามากล้ำ และตัวเจ้ายัง
สามารถดูดกลืนพลังทั้งเก้าอย่างได้จากภายใน! หากเป็นผู้อื่น ขั้นตอน
นี้จะเชื่องช้าอย่างมหาศาล!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “ปกติแล้ว ผู้อื่นจะ
ได้ผู้อาวุโสกว่าช่วยเหลือ พวกเขาจะปล่อยพลังออกจากหยกผลึกแก้ว
เต๋า และผลึกแก้วหัวใจลึกล้ำ จากนั้นจึงชักนำพวกมันให้ผู้เยาว์ของ
ตนได้ดูดกลืนเข้าไป วิธีการเช่นนี้จึงค่อยเร่งความเร็วได้!”
ตอนนี้ ก็มีแต่เหยาเฟิงแล้วที่สามารถช่วยเขาได้
กระนั้น หลังร้องตะโกนเรียกอยู่นาน เหยาเฟิงกลับไม่ตอบแม้ครึ่งคำ
“พี่สาวเหยาเฟิงคงกำลังดูดกลืนพลังของทาสเงาอยู่” หลิงหยุนเอ๋อ
บุ้ยปาก “นางคงกำลังเฉลิมฉลองพลังอย่างอิ่มเอมอยู่กระมัง!”
ฉินหยุนนึกขึ้นได้ ว่าก่อนหน้านี้เหยาเฟิงตื่นเต้นยินดีเพียงใด
“ทาสเงาผู้นั้นแข็งแกร่ง นางคงต้องใช้เวลาดูดกลืนนานไม่ใช่น้อย!”
ฉินหยุนถอนหายใจกล่าว “มีแต่ต้องพึ่งตนเองแล้ว”
แม้ความเร็วการดูดกลืนของเขาช้าไปบ้าง กระนั้นฉินหยุนก็ยังตื่นเต้น
ยินดี
โดยเฉพาะยามที่รับรู้ได้ว่าพลังงานทั้งเก้าสายได้ไหลเวียนเข้าสู่แก่น
เต๋าตะวันทมิฬ ร่างกายของเขามันทั้งรู้สึกสบายและอ่อนนุ่ม
“ครอบครองวิญญาณเทวะเก้าตะวันช่างวิเศษนัก! ด้วยอาศัยเรื่องนี้
ทรัพยากรทั้งหลายที่เจ้าได้รับมา น่าจะเพียงพอให้ฝึกฝนผลึกแก้วเต๋า
วิญญาณลึกล้ำได้!” หลิงหยุนเอ๋อยิ้มกล่าว
แม้ความเร็วดูดกลืนฉินหยุนเป็นไปเชื่องช้า กระนั้นก็ยังมีความ
ได้เปรียบที่ตรงนี้ มันทำให้ความคืบหน้าของเขาเป็นไปได้ราบรื่น
ทั้งยังจะไม่เกิดปัญหาใด
ราวพลิกหน้ากระดาษ สองปีได้ผ่านพ้น!
ตามปกติแล้ว ฉินหยุนจะฝึกอยู่หลายวันก่อนออกไปเดินเล่นบ้าง เขา
อาบไล้แสงตะวันและแช่กายในสระน้ำเบื้องล่างน้ำตก
รูปลักษณ์ของเขาหาได้แปรเปลี่ยนใดไม่ ยังคงเป็นความเยาว์วัย หาก
เขาไม่อาบไล้แสงตะวันเจิดจ้าจนปล่อยให้ผิวพรรณกลายเป็นสี
น้ำตาลข้าว ตัวเขาคงดูยังหนุ่มยิ่งกว่านี้
“อา… อยากออกไปยิ่งนัก! ภายนอกแห่งนั้น ยังมีอีกหลายคนที่รอ
คอยเราอยู่!” ฉินหยุนอยู่ภายใต้น้ำ สายตามองไปยังดวงตะวันบน
ฟากฟ้า เขาไม่คิดว่าเวลาสองปีจะผ่านไปรวดเร็วเพียงนี้ และเขาก็
เกือบจะควบแน่นผลึกแก้วเต๋าวิญญาณลึกล้ำได้แล้ว
สองปีก่อน เขาได้วางแผนเดินทางกลับเอาไว้ ว่าหลังออกจากเทือกเขา
นิราศจันทรา จะได้ไปพบพวกเย่ว์เหม่ย และช่วยกันขัดเกลาวิญญาณ
ยุทธ์และจารึกวิญญาณออกมา เพียงนึกถึงเรื่องนี้ก็ทำเขาตื่นเต้นไม่ใช่
น้อยแล้ว
กระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังคิดเช่นเดิม
นอกจากนี้ เขายังต้องการวิญญาณยุทธ์จันทราทมิฬอย่างมากล้ำ
“เย่ว์เหม่ยได้คัดลอกวิญญาณยุทธ์จันทราทมิฬของพี่หยางเอาไว้ หาก
ทุกอย่างราบรื่น ด้วยเย่ว์เหม่ย เราจะสามารถขัดเกลาวิญญาณยุทธ์
จันทราทมิฬขึ้นมาได้ เช่นนี้ จันทราทมิฬของเราจะได้กลายเป็น
วิญญาณยุทธ์ และเราจะได้ควบคุมมันอย่างง่ายดาย!” ฉินหยุนพอนึก
ถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มออก
เหยาเฟิงยังคงเงียบงันตลอดมา หากเขามีเหยาเฟิงอยู่เคียงข้าง เช่นนั้น
คงวางใจได้มากกว่านี้
แม้เขาไม่อาจออกไป กระนั้นก็ยังสามารถติดต่อหาเซี่ยฉีโหรว
เซี่ยฉีโหรวย่อมบอกต่อเชี่ยวเย่ว์หลานและชี่เม่ยเหลียนถึงสถานการณ์
ทางนี้ ดังนั้นพวกนางจึงได้ทราบ ว่าฉินหยุนยังอยู่สบายดี
“เหตุใดเจ้าเป็ดน้อยหยางหยางจึงยังหลับอยู่กัน!” ฉินหยุนกล่าวขึ้น
“โชคดีแล้วที่นางยังไม่ตื่นขึ้น หากนางตื่น เช่นนั้นนางคงได้ร้อง
โวยวายอยากกินเนื้อมังกร เมื่อนั้นเจ้าจะไปหาจากที่ใดมาให้นาง?”
หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะ “เจ้าควรเร่งรีบเลื่อนระดับพลัง ถัดจากนั้น ค่อย
ไปยังตระกูลหลงจับมังกรมาสักตัวหนึ่ง!”
ฉินหยุนย่อมจดจำเรื่องนี้อย่างขึ้นใจ
หลงเฉียวเฟิงคือสายสืบที่เขาซ่อนเร้นไว้ภายในตระกูลหลง และนาง
ก็ซื่อสัตย์ต่อเขาเป็นอย่างยิ่ง
หากทุกสิ่งอย่างราบลื่น เขาจะสามารถตกปลาใหญ่ดังเช่นตระกูล
หลง โดยอาศัยหลงเฉียวเฟิงได้
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เขายังได้ใส่ภูเขาผลึกแก้วเข้าสู่ภายในร่างจอม
ราชันดวงดาวอสูร
จอมราชันดวงดาวอสูรตอนนี้อยู่ระหว่างดูดกลืนพลัง กระบวนการ
ของมันเป็นไปอย่างเชื่องช้า
เขายังไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับปิงชิง กระทั่งว่าไม่อาจฝึกฝนร่วมกับ
ปิงชิง เขาก็ยังคอยสกัดเม็ดยาพลังเซียนเก้าวิวัฒน์เอาไว้มาโดยตลอด!
เมื่อใดออกไปได้และพบปิงชิง เมื่อนั้นเขาจะได้ส่งมอบมันให้แก่นาง
“เริ่มฝึกฝนกันได้แล้ว!”
ฉินหยุนเดินขึ้นจากสระน้ำ ขณะกำลังคิดสวมใส่เสื้อผ้า เขาสัมผัสได้
ว่ามันมีบางสิ่งร่วงหล่นจากฟากฟ้า พุ่งตรงเข้าไปยังพื้นที่โกรกธาร
ซึ่งว่างเปล่า
เสียงกระทบพื้นระเบิดดังสนั่น ทั้งโกรกธารสั่นไหว น้ำตกและป่ า
ไม้ใกล้เคียงถูกทำลายสิ้น!
มันเป็นสัตว์ร่างใหญ่สีดำสนิท มีปีกคู่รูปร่างคล้ายกิ้งก่า ร่างนั้นยาว
หลายสิบเมตร ทั้งยังมีแต่บาดแผลเต็มไปทั่วร่าง!
“นี่อะไร? อาหารส่งตรงถึงที่หรือ?” ฉินหยุนหัวเราะซุกซนพลาง
ตระเตรียมไปเก็บเกี่ยว
ทันใดนี้เอง คนกลุ่มใหญ่ที่สวมใส่ชุดหนังสัตว์ได้ปรากฏตัวจากบน
ฟากฟ้า แต่ละคนล้วนดึงคันธนูหันมองทางฉินหยุน

ตอนที่ 747 ทาสเงา
ขณะรับชมสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปมหาศาล ฉินหยุนเกิดหวาดกลัว
ขึ้นมา
เพราะมันราวกับเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬแห่งนี้กำลังจะพินาศ
ขณะคลุกคลานขึ้นมา เขาได้เห็นเย่ว์โยวที่มีแต่บาดแผลเร่งรีบบินมา
“เจ้าถึงขั้นยังมีชีวิตรอด!” เย่ว์โยวพอได้เห็นฉินหยุน นางเร่งรีบ
ทะยานมาคว้าร่างของเขาเอาไว้ ก่อนจะเร่งรีบบินไปยังทิศทางหนึ่ง
“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น?” ฉินหยุนเร่งร้อนถาม “แล้วพี่หยางกับคนอื่น
เล่า? พวกเขาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
“ออกไปกันหมดแล้ว! วางใจเถอะ ข้าจะพาเจ้าออกไปเช่นเดียวกัน!”
น้ำเสียงเย่ว์โยวหมองหม่น “ข้าไม่ทราบว่าเกิดอะไร โดยสรุป เขต
แดนอ้างว้างจันทราทมิฬกำลังโดนพลังอำนาจยิ่งใหญ่โจมตี! กระทั่ง
เฉียหยิ่งก็ตายไปแล้ว!”
“ถึงขั้นโจมตีกดดันเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬได้ สมควรต้องเป็น
ผู้เชี่ยวชาญด้านโจมตีมิติอย่างเลิศล้ำแล้ว!”
ทันใดนี้ ฉินหยุนพบว่าระหว่างเย่ว์โยวบินไป นางก็ต้องหลบเลี่ยง
อุกกาบาตที่ร่วงหล่นลงมาด้วย
อุกกาบาตเหล่านี้คล้ายสัมผัสถึงออร่าของนาง พวกมันเล็งเป้ามาที่
นางทั้งสิ้น
“เฉียหยิ่งก็ตายแล้ว?” ฉินหยุนตื่นตะลึงยิ่ง เพราะอีกฝ่ายเป็นตัวตนที่
แข็งแกร่งมากล้ำ
“ข้าสัญญากับเย่ว์จีไว้แล้วว่าจะพาเจ้าออกไป ไม่อย่างนั้น ทั้งนาง
และเย่ว์ฉินจะไม่ยอมออกไป!” เย่ว์โยวฮึมฮัม “ในชีวิตนี้ เจ้าเป็นตัว
ปัญหาเสียยิ่งกว่าชีวิตก่อนหน้า! ไม่ทราบว่าเจ้าต้มยามารอันใดให้
พวกนางกิน ถึงได้หลงเจ้าหัวปักหัวปำถึงเพียงนี้!”
“เย่ว์โยว นี่พวกเรากำลังไปที่ใด?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ทางออกลับ ข้าจะพาเจ้าไปที่นั่นเพื่อหนีออกไป!” เย่ว์โยวกล่าว
“ตัวข้าชาติภพก่อนบอกทางออกลับนั้นให้หรือ?” ฉินหยุนถามขึ้น
เย่ว์โยวเงียบไปครู่ “ใช่! เจ้าเป็นคนบอกต่อข้า! ตัวเจ้าในชาติภพก่อน
เคยมาที่นี่ครั้งหนึ่ง บอกข้าว่าเมื่อถึงเวลา ให้ข้าใช้ทางออกนั่นได้!”
ฉินหยุนพบเห็นเรื่องราวเร่งด่วน เขาจึงพยายามสรุปเรื่องราว “เย่ว์
โยว ข้าไม่ได้ตื่นรู้ความทรงจำในชาติภพก่อน! ทว่าข้าได้รู้ ว่าตัวข้า
ในชาติภพก่อนไม่มีเจตนาร้ายต่อเจ้า! สาเหตุที่ข้าให้เจ้าถูกขังที่นี่ ก็
เพื่อให้เจ้าได้รับจันทราทมิฬ และได้ฝึกฝนร่างศักด์ิสิทธ์ิจันทราทมิฬ
กระนั้นเจ้ากลับทำเรื่องที่ตัวข้าฝากฝังไว้ไม่สำเร็จ!”
“หยุดกล่าววาจาไร้สาระ! เจ้าหลอกลวงนำสมบัติล้ำค่าของหลาย
สำนักใหญ่ไปครอง และจัดฉากใส่ร้ายต่อข้า เป็นผลให้ข้าต้องโดน
ปิดล้อม!” เย่ว์โยวมีโทสะ “ข้าย่อมไม่เชื่อคำลวงของเจ้า!”
ฉินหยุนไม่คิดอธิบายใดเพิ่มอีก เขาได้แต่หวัง ว่าความจริงจะเผย
ออกในสักวัน
เย่ว์โยวรวดเร็วมากล้ำ นางนำฉินหยุนมาถึงทะเลสาบแห่งหนึ่งได้ใน
พริบตา
น้ำในทะเลสาบเป็นสีขาวส่องสว่าง
อุกกาบาตหาได้ร่วงหล่นจากฟากฟ้าลงมาอีก
ทั่วทั้งเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬกลายเป็นเงียบงัน
ฉินหยุนหันมองรอบทะเลสาบ พบว่ามีก้อนหินมากมาย
ก้อนหินเหล่านั้นคือค่ายอาคม
และตอนนี้ เย่ว์โยวก็กำลังเปิ ดค่ายอาคมดังกล่าว
“เมื่อค่ายอาคมทำงาน ข้าจะนำเจ้าออกจากที่นี่ไปยังแดนวิญญาณ
อ้างว้าง! ถึงตอนนั้น ข้าจะถูกดูดกลับไปยังแดนเซียนอ้างว้าง!” เย่ว์
โยวกล่าว “เจ้าตัวบัดซบ เมื่อใดเจ้าฟื้นคืนความทรงจำ จงจดจำเอาไว้
ว่าต้องมาหาข้าและสู้กันจนกว่าจะตายไปข้าง!”
ฉินหยุนไม่ฟังคำเย่ว์โยว เขาปล่อยหมูราชันสวรรค์ออกมา
“พี่ชายหมู!” ฉินหยุนตบเพื่อปลุกหมูราชันสวรรค์ให้ตื่นขึ้น “เร่งรีบ
อธิบายเรื่องราวต่อแม่นางคนนี้!”
เย่ว์โยวได้เห็นหมูราชันสวรรค์ นางคิ้วขมวดกล่าวคำ “นี่จักรพรรดิ
สัตว์ราชันสวรรค์ที่หลบหนีมาจากเฉียหยิ่งงั้นหรือ?”
หมูราชันสวรรค์พอได้ยินเสียงเย่ว์โยว เขาจึงตื่นขึ้นพร้อมเผยอาการ
หวาดกลัว “ราชันเซียนเย่ว์โยว ข้อพิพาทและหนี้แค้นเจ้าเป็นของ
ผู้อื่น อย่าได้ลงความเกลียดชังที่ข้า!”
“หมูที่บัดซบ เจ้ากล่าวอันใด!” ฉินหยุนกราดเกรี้ยวก่อนจะตบหน้า
หมูราชันสวรรค์ไป “เร่งรีบบอกต่อเย่ว์โยว ว่าเหตุใดชาติภพก่อนข้า
จึงขังนางไว้ที่นี่!”
หมูราชันสวรรค์ค่อยทราบสถานการณ์ ขณะนี้เร่งร้อนกล่าว “ราชัน
เซียนเย่ว์โยว น้องหยุนของข้าเจตนาให้เจ้าได้เข้ามาที่นี่ เพื่อให้เจ้า
ได้รับจันทราทมิฬ และฝึกฝนร่างศักด์ิสิทธ์ิจันทราทมิฬ! เพราะเขา
ทราบว่าเจ้าจะไม่ให้ความร่วมมือ จึงใช้วิธีการอย่างสุดกู่ไปบ้าง!”
“ข้าย่อมไม่เชื่อ!” เย่ว์โยวกล่าวโกรธเคือง
ทันใดนี้ ค่ายอาคมทำงาน น้ำในทะเลสาบจึงเดือดพล่าน จากนั้น ที่
ตรงกลางทะเลสาบจึงเกิดขึ้นเป็นน้ำวน
หมูราชันสวรรค์หัวเราะดัง “วิเศษนัก ข้าจะได้ออกไปจากเขตแดน
อ้างว้างจันทราทมิฬเสียที!”
กล่าวคำจบ เขาจึงกระโดดลงทะเลสาบไป
ฉินหยุนมองทางเย่ว์โยวที่โกรธเกรี้ยว เขากล่าว “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อ
หรือไม่ แต่ตัวข้าในชีวิตนี้หาได้มีอันใดข้องเกี่ยวกับตัวข้าในชีวิต
ก่อนหน้านี้ไม่!”
“เหอะ ข้าย่อมไม่คิดอยากเห็นหน้าเจ้าอีก!” เย่ว์โยวกล่าวคำ จากนั้น
นางจึงเตรียมกระโดดลงทะเลสาบ
กระนั้น ทันใดนี้เอง ร่างเงาสีดำพลันปรากฏตัวขึ้น!
ร่างเงาสีดำนี้ทรงพลังอำนาจ มันจับตัวเย่ว์โยวเอาไว้!
“นี่ตัวบ้าอะไรอีก?” ฉินหยุนมองทางเงาสีดำด้วยอาการตื่นตะลึง
เงาสีดำนั้นครอบครองพลังอสูรแข็งแกร่งชวนสะพรึง
“ข้าคือทาสเงาแห่งจอมจักรพรรดิอสูรเซียน!” ร่างเงาสีดำแผดเสียง
หัวเราะโฉดชั่ว “ข้าได้รับคำสั่งให้มาที่นี่ เพื่อสังหารผู้ที่ต้องคำสาป
แข่งจอมจักรพรรดิอสูรเซียน!”
ฉินหยุนพลันนึกถึงเหยาเฟิงขึ้นมา
เพื่อช่วยเขาออกจากกรงขัง เหยาเฟิงจึงใช้กำลังเต็มที่ เพราะเหตุนั้น
จอมจักรพรรดิอสูรเซียนจึงตรวจพบเจอตัวนาง!
หรือก็คือ พลังที่เกิดขึ้นจนถล่มเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ มันเป็น
พลังของจอมจักรพรรดิอสูรเซียน!
“จอมจักรพรรดิอสูรเซียน? ข้าไม่เคยต้องถูกคำสาปชายคนนั้น!” เย่ว์
โยวเผยเสียงหวาดกลัว
“เจ้าคือผู้แข็งแกร่งที่สุดในที่แห่งนี้ มีแต่เจ้าจึงเป็นเป้าหมาย! หาก
ไม่ใช่เจ้า แล้วยังจะเป็นผู้ใดได้?” ทาสเงาเอ่ยคำพร้อมต่อยใส่เย่ว์โยว
เย่ว์โยวถูกต่อยรุนแรงจนกรีดร้องชวนสังเวช!
เย่ว์โยวแข็งแกร่ง กระนั้นตอนนี้ นางกลับถูกทาสเงาทำร้ายจนบาดเจ็บ
ในพริบตา!
“บัดซบ เป้าหมายเจ้าคือข้า!” ฉินหยุนตะโกนดัง พร้อมนำเอาค้อน
เทวะเก้าตะวันออกมาพุ่งเข้าหาทาสเงาราวคลุ้มคลั่ง
“ค้อนเทวะเก้าตะวัน? หนึ่งในวิญญาณดวงตะวันถึงกับอยู่ในมือเจ้า!”
ทาสเงาเผยอาการตื่นตะลึง จากนั้นจึงปล่อยเย่ว์โยวที่บาดเจ็บหนัก
เย่ว์โยวผู้ซึ่งยืนข้างทะเลสาบจึงร่วงหล่นลงไป นางได้ทราบ ว่าฉิน
หยุนเพิ่งช่วยชีวิตนางเอาไว้!
ฉินหยุนที่ได้เห็นเย่ว์โยวร่วงหล่นสู่ทะเลสาบ เขาจึงเร่งรีบใช้ความเร็ว
สูงสุดพุ่งทะยานลงทะเลสาบ
แต่แล้ว พลังอำนาจอันแข็งแกร่งกลับผนึกพื้นที่รอบด้านของเขาเอาไว้
“วิญญาณดวงตะวัน! วิญญาณดวงตะวัน! ข้าพบเจอวิญญาณดวงตะวัน
ให้แก่นายท่าน ฮ่าฮ่าฮ่า!” ทาสเงาได้เห็นฉินหยุนไม่อาจเคลื่อนไหว
เวลานี้เขาเผยความยินดีตื่นเต้นออกมา
ตู้ม!
ทาสเงาต่อยหมัดเข้าใส่ทะเลสาบอย่างดุดัน
ทั้งทะเลสาบเลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
ฉินหยุนสบถดังภายใน นั่นคือเส้นทางที่ต้องใช้เพื่อออกจากเขตแดน
อ้างว้างจันทราทมิฬ
“เจ้าหนู เจ้าไปได้รับวิญญาณดวงตะวันมาได้อย่างไร?” ทาสเงาเอ่ย
ถามน้ำเสียงเย็นเยือก
ฉินหยุนไม่ตอบ แต่เขาเร่งรีบติดต่อหาเหยาเฟิง
เหยาเฟิงพอได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากฉินหยุน นางพลัน
ต้องตื่นตะลึง
“ฉินหยุน เจ้ามีสิ่งของสำคัญในไข่มุกเม็ดที่สองหรือไม่?” เหยาเฟิง
เอ่ยถาม
“ไม่!” ฉินหยุนเร่งร้อนตอบ
“ได้ ข้าจะควบคุมไข่มุกเม็ดที่สอง และผนึกมันเอาไว้ที่ภายในนั้น
วิธีการนี้เสี่ยงไปบ้าง ทั้งยังมีโอกาสสูงที่จะทำให้ไข่มุกเม็ดที่สอง
ได้รับความเสียหาย!” เหยาเฟิงกล่าว
“ข้าไม่สนแล้ว ไว้ค่อยว่ากล่าวหลังผนึกมันได้!” ฉินหยุนเร่งร้อน
ตะโกน
ทาสเงาก้าวเดินเข้าหาฉินหยุน มันยื่นมือออกคิดคว้าค้อนเทวะเก้า
ตะวันของฉินหยุน
ทันใดนี้เอง ไข่มุกเม็ดที่สองของวิญญาณเทวะเก้าตะวันพลันเผยพลัง
ดูดกลืนอันมหาศาลออกมา
ทาสเงาตรงหน้ารับรู้ถึงพลังอำนาจจนเกิดความสะพรึงกลัว
“อัก นี่มันบ้าอะไร?!”
ทาสเงาร้องตะโกนเสียงดัง ร่างได้แปรเปลี่ยนเป็นมวลอากาศสีดำทรง
กลม ก่อนจะถูกดูดหายเข้าไปในไข่มุกเม็ดที่สองของวิญญาณเทวะ
เก้าตะวัน
ฉินหยุนหลั่งเหงื่อไหลท่วม ร่างต้องล้มลงกับพื้น
วิญญาณเทวะเก้าตะวันที่ข้อมือของเขาสั่นไหวรุนแรง เป็นผลให้
ข้อมือเขาต้องหลั่งเลือดออก
“ข้ากำลังสะกดมันไว้!” เหยาเฟิงกล่าว
“ขอบคุณพี่สาวเหยาเฟิง!” ฉินหยุนซาบซึ้งเป็นล้นพ้น “หากไม่ใช่
ท่าน ข้าคงต้องตายแน่แล้ว!”
“ข้าทำเพื่อช่วยตนเองด้วยเช่นกัน!” เหยาเฟิงครวญคราง “จอม
จักรพรรดิอสูรเซียนถึงขั้นส่งทาสเงามา ดูเหมือนมันคิดอยากสังหาร
ข้าแล้ว!”
“เหตุใดจอมจักรพรรดิอสูรเซียนคิดเร่งรีบสังหารท่าน?” ฉินหยุนพบ
ว่าเรื่องราวแปลก
“เพราะข้าถูกมันสาป ข้าจึงมีความเชื่อมโยงต่อมันอย่างลึกลับ ทำให้
สามารถพบเห็นความทรงจำส่วนหนึ่งของมันได้! ครั้งที่มันสาปต่อ
ข้า มันคิดอยากควบคุมข้า ทว่ามันไม่คิด ว่าข้าจะหนีหายแล้วเข้าไป
หลบซ่อนตัวในวิญญาณเทวะเก้าตะวัน!”
เหยาเฟิงพลันหัวเราะดัง “ตอนนี้ หากมันคิดอยากตัดการเชื่อมต่อกับ
ข้า ก็มีแต่ต้องถอนคำสาปแล้ว!”
ฉินหยุนผ่อนคลายได้มาก เขานอนลงกับพื้นพร้อมสูดอากาศเข้าเต็ม
ปอด “ข้าคงจบสิ้นแล้ว คงต้องติดอยู่ในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ
จนตายตก สงสัยนักว่าตัวจอมจักรพรรดิอสูรเซียนนั่นจะมาเอง
หรือไม่”
“ทาสเงาสมควรเป็นผู้ใต้บัญชาที่แข็งแกร่งของมันแล้ว ตัวมันไม่ใช่
มีผู้ใต้บัญชาที่ดีในมือให้ใช้สอยมากนัก ดังนั้นชั่วระยะเวลาหนึ่งคง
ไม่ส่งผู้ใดมาอีก!”
“นี่ก็ดี พลังของทาสเงานี้แข็งแกร่งยิ่ง ข้าจะได้ดูดกลืนมันไปทีละ
น้อย ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เหยาเฟิงคล้ายยินดีเป็นล้นพ้น ขณะที่ฉินหยุนมีแต่ความสิ้นหวัง
เขาได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังต้องอยู่ที่นี่เพียงลำพัง เขาไม่มีวิธีการใดเพื่อ
ใช้ออกไปแล้ว
“อย่างน้อยเจ้าก็ยังมีชีวิตรอด!” หลิงหยุนเอ๋อยิ้มกล่าว “ไม่ใช่ว่าเจ้า
ได้รับของจากเย่ว์โยวหรือ? นั่นเพียงพอให้เจ้าใช้เพื่อควบแน่นผลึก
แก้วเต๋าวิญญาณลึกล้ำแล้ว!”
ภายในเทือกเขานิราศจันทรา พระราชวังลับใต้พื้นดิน
ภายในพระราชวังใต้ดินมีสระน้ำขนาดใหญ่
เจี้ยนสือเทียน เปาเฉิงโฉ่ว และผู้อื่นทั้งหลายต่างรอคอยอย่างอดทน
หยางฉีเย่ว์ร้อนรนยิ่งกว่าผู้ใด
อย่างกะทันหัน สระน้ำเริ่มเกิดน้ำวน
คนผู้หนึ่งค่อยปรากฏตัวออกมา
“เย่ว์โยว! ฉินหยุนเล่า?” หยางฉีเย่ว์เร่งรีบไปพาร่างเย่ว์โยวออกจาก
สระน้ำ ได้เห็นเย่ว์โยวบาดเจ็บสาหัส นางตื่นตะลึง “ผู้ใดทำร้ายเจ้า
เพียงนี้?”
“เป็นทาสเงา” มิติรอบด้านของเย่ว์โยวเริ่มบิดเบี้ยวทีละน้อย นาง
กล่าวออกด้วยน้ำเสียงอัดแน่นความรู้สึกผิด “ข้าขออภัย ข้าช่วยฉิน
หยุนออกมาไม่ได้ เขา… เขายังอยู่ที่ข้างในนั้น!”
หยางฉีเย่ว์นิ่งอึ้งพร้อมมองเย่ว์โยวเลือนหายไปทีละน้อย นางกำลัง
ถูกดูดไปยังแดนเซียนอ้างว้าง!
เชี่ยวเสวียนฉินเร่งรีบเดินเข้ามาพร้อมกล่าวเสียงเบา “ฉินหยุนมีดีซุก
ซ่อนไว้มากมายนัก เขาไม่น่าจะเป็นไร!”
หยางฉีเย่ว์เผยใบหน้าซีดเผือดราวคนตาย ใบหน้าของนางมีแต่ความ
โศก หมัดของนางกำเอาไว้แน่น นางไม่ทราบว่าควรกล่าวโทษผู้ใด
ตอนนี้ มันมีแต่ความรู้สึกโศกเศร้าเกินบรรยายภายในใจของนาง
“แม่นางหยาง กลับกันก่อน! ผู้อาวุโสสูงสุดของนครเซียนยุทธภัณฑ์
ย่อมต้องมีทางแก้เรื่องนี้ นางย่อมชี้แนะแก่พวกเราได้!” เปาเฉิงโฉ่ว
กล่าว
หยางฉีเย่ว์พยายามสงบใจลง นางพยักหน้ารับ ก่อนจะนำทุกคนออก
จากพระราชวังใต้ดินแห่งนี้
เจี้ยนสือเทียน เปาเฉิงโฉ่ว และแม่เฒ่าหยุนเหยาให้การคุ้มกัน ตราบ
เท่าที่ไม่ใช่เซียน ผู้ใดก็ไม่อาจทำร้ายหยางฉีเย่ว์ได้
ฉินหยุนอยู่ในห้วงอารมณ์ดำมืดที่เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ เพราะ
เขาไม่ทราบ ว่าตนเองจะต้องติดอยู่ที่นี่ไปอีกนานเพียงใด

ตอนที่ 746 พลังที่เอ่อล้น
เย่ว์โยวเอาจริง กระนั้น ฉินหยุนกลับไม่คิดเป็นจริงเป็นจัง นี่ยิ่งทำให้
นางกราดเกรี้ยวถึงขนาดร่างสั่น เมื่อเย่ว์โยวพยายามระงับจิตสังหาร
นางจึงยิ่งดูน่าหวาดกลัว
“เจ้าตัวบัดซบ อย่าได้คิดว่าทุกสิ่งจะเป็นไปตามเจ้าคาดคิด!” เย่ว์โยว
โพล่งโทสะออกมา
“ข้าก็เพียงกล่าวไปเรื่อย! เจ้าเอาแต่สวมใส่หน้ากากอยู่ทุกวี่วัน เช่นนั้น
คงอัปลักษณ์เป็นแน่แท้ เพราะอย่างนั้นจึงไม่กล้าเผยหน้าต่อ
สาธารณะชน ข้าย่อมไม่คิดสนใจเจ้าแล้ว!” ฉินหยุนกล่าวคำจบ จึง
ก้าวเดินลงจากลานประลอง
“อย่าได้ไปและจงสู้กับข้า ข้าจะทุบตีเจ้าจนสาแก่ใจ!” เย่ว์โยวกัดฟัน
แน่นอย่างโกรธแค้น นางเวลานี้มีความคิดเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือ
ทุบตีฉินหยุนอย่างดุร้ายทารุณ
ฉินหยุนเบะปากกล่าวคำ “ข้าเหนื่อยล้าแล้ว คิดอยากไปอาบน้ำหลับ
สักตื่นหนึ่ง จากนั้น ข้าค่อยไปจากสถานที่บัดซบแห่งนี้กลับไปหา
ภรรยาข้า!”
เขาทราบ ว่าเย่ว์โยวไม่มีทางกล้าลงมือ
หยางฉีเย่ว์เดินเข้ามารั้งเย่ว์โยวเอาไว้ ชัดเจนว่ามีการพูดคุยผ่านเสียง
สื่อสารในทางลับ
เย่ว์โยวสูดลมหายใจเข้าลึก นางกล่าว “ฉินหยุน หากเจ้าไม่อาจเอาชนะ
ข้า เจ้าก็จะไม่มีทางได้ออกไปจากเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ!”
ฉินหยุนยิ้มกล่าว “อย่าได้ข่มขู่ข้าไป! ตราบเท่าที่หาทางออกเจอ ข้า
ย่อมออกไปได้!”
“เจ้าคิดหรือว่าโลงศพสีเงินนั่นจะเปิดไปตลอด? มีแต่ข้าที่สามารถ
เปิดมันได้!” เย่ว์โยวหัวเราะดัง “มีแต่เอาชนะข้าเจ้าจึงจะไปจากที่นี่
ได้!”
ฉินหยุนหันมองทางเปาเฉิงโฉ่วและคณะ “ข้าไปกับผู้อาวุโสของข้า
ก็ไม่ได้?”
เย่ว์โยวถึงตอนนี้กลายเป็นยินดี นางเผยยิ้มเย็นเยือกกล่าวคำ “หากเจ้า
ไม่สู้กับข้า ข้ารับประกันว่าเจ้าและพวกมันจะไม่มีทางออกไปจากที่
แห่งนี้ได้!”
เจี้ยนสือเทียนและคณะกลายเป็นกังวล พวกเขาไม่คิดอยากใช้ชีวิตที่
เหลือในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬแห่งนี้
เย่ว์โยวเมื่อได้เห็นสีหน้าฉินหยุนแปรเปลี่ยน นางจึงรู้สึกลำพองอยู่
ภายใน
“เจ้ากำลังข่มขู่ข้า!” ฉินหยุนเริ่มมีโทสะบ้างแล้ว
“แล้วอย่างไร? เจ้าก็เพียงสู้กับข้า!” เย่ว์โยวยิ้มอหังการ “เจ้ายังเยาว์
เกินไปนัก!”
ฉินหยุนคิดไปครู่จึงกล่าว “หากเอาชนะเจ้าได้ อย่างนั้นข้าจะได้รับ
อันใด?”
เย่ว์โยวจึงกล่าว “ข้าย่อมไม่มอบอันใดให้แก่เจ้า! หากเจ้าชนะข้าได้
รางวัลหนึ่งเดียวที่ข้าจะมอบให้คือการออกไปจากเขตแดนอ้างว้าง
จันทราทมิฬ!”
ฉินหยุนไม่คิดอยากสู้กับเย่ว์โยว เพราะนางมีร่างเซียนอันแข็งแกร่ง
ในครอบครอง และนางเพียงสะกดพลังเอาไว้ที่ขอบเขตวรยุทธ์
วิญญาณ ทั้งพลังจิตและร่างกายของนางย่อมทรงอำนาจ หาได้ใช่
อ่อนด้อยไม่
กระทั่งว่าเป็นราชันยุทธ์ คิดเอาชนะเย่ว์โยวก็ไม่มีทางง่ายดาย!
“ร่างกายเจ้าแข็งแกร่ง พลังจิตของเจ้าเองก็แข็งแกร่ง ทั้งยังเชี่ยวชาญ
วิชายุทธ์มากมาย ข้าย่อมไม่อาจเอาชนะเจ้าได้โดยง่าย!” ฉินหยุนกล่าว
“การต่อสู้เช่นนี้ไร้ความหมาย! ช่างมันปะไร ข้าเพียงให้เจ้าทุบตีข้า
จนน่วม ถึงเวลานั้นต้องให้จ้าวสำนักและผู้อื่นได้ออกไป!”
ฉินหยุนก้าวเดินขึ้นบนลานประลองยุทธ์พร้อมกล่าวด้วยสีหน้า
เหลืออด “เข้ามา เข้ามาทุบตีข้า! อย่างไรข้าก็ไม่อาจเอาชนะเจ้าได้
อย่างนั้นข้าก็จะไม่สู้กลับ!”
เย่ว์โยวคิดตาม พบว่าแม้นางผนึกพลังเอาไว้ การศึกก็ไม่อาจเป็นไป
อย่างเสมอภาค
“เอาอย่างนี้เป็นไร ข้าจะลงมือเพียงสิบกระบวนท่า ทั้งยังจะไม่ใช้
พลังจิต! หากเจ้าไม่พ่ายแพ้ในสิบกระบวนท่า ก็ถือว่าเจ้าชนะไป!”
เย่ว์โยวกล่าว
ฉินหยุนคิดตามอยู่ครู่จึงกล่าว “ได้!”
ความยินดีเป็นล้นพ้นฉายชัดผ่านดวงตาเย่ว์โยว
หยางฉีเย่ว์และเชี่ยวเสวียนฉิน ต่างเดินลงจากลานประลอง พวกนาง
ได้แต่คาดหวัง ว่าฉินหยุนจะไม่บาดเจ็บรุนแรงในศึกครั้งนี้
“สิบกระบวนท่าใช่หรือไม่? ข้าย่อมต้านรับเอาไว้ได้!” ฉินหยุนเผย
ยิ้มซุกซน
“เจ้ามั่นใจในตนเองเกินไปแล้ว!” เย่ว์โยวกล่าวคำจบ นางจึงหลับตา
ลงเพื่อเริ่มผนึกกำลังตนเองเอาไว้
นางต้องการผนึกระดับการฝึกฝน ให้หลงเหลือแค่ขอบเขตวรยุทธ์
วิญญาณระดับสูง
กระทั่งว่าถูกผนึกเอาไว้ ด้วยพลังของร่างเซียนที่นางครอบครอง
ย่อมต้องสามารถเอาชนะฉินหยุนได้ภายในสิบกระบวนท่า
เปาเฉิงโฉ่วกลายเป็นร้อนรน เพราะว่าแม้เป็นเขา ก็ยังจะไม่มีทาง
ต้านรับเย่ว์โยวได้ถึงสิบกระบวนท่า ความแตกต่างทางพลังมัน
มากมายมหาศาลเกินไป!
เจี้ยนสือเทียนกล่าวคำเบา “เหล่าเปา กำลังฉินหยุนเพิ่มขึ้นมาก เขา
แข็งแกร่งขึ้นไม่ใช่น้อย นี่สมควรเป็นเพราะเซียนผู้นั้นชี้แนะ เขาคง
ทนทานรับได้กระมัง?”
เปาเฉิงโฉ่วส่ายศีรษะกล่าวคำ “ข้าไม่อาจทราบ นี่สมควรพอเป็นไป
ได้บ้าง!”
เพียงไม่นาน เย่ว์โยวจึงผนึกพลังของนางเรียบร้อย
ชั่วขณะเวลานี้เอง ฉินหยุนเกิดสำนึกเสียใจขึ้นมา
นั่นก็เพราะแม้เย่ว์โยวผนึกการฝึกฝนเอาไว้ นางเพียงใช้กำลังกายก็
เหลือเฟือแล้ว
“ประกาศเริ่มตามแต่เจ้าสะดวก!” เย่ว์โยวเมื่อเปิดม่านพลังเรียบร้อย
จึงกล่าวคำ
ฉินหยุนคิดอยู่ครู่จึงตะโกน “เริ่มได้!”
เขาเพียงเพิ่งกล่าวคำจบ ความรู้สึกเจ็บปวดได้บังเกิดที่หน้าอกอย่าง
กะทันหัน เย่ว์โยวลงมือโจมตีแล้ว
เขาเร่งรีบใช้ความสามารถเทวะทะลุทะลวงกับทั้งร่างกาย
เช่นนี้ เย่ว์โยวจึงทะลุผ่านร่างฉินหยุนไป
“หนึ่งกระบวนท่า!” ฉินหยุนเกิดความหวาดกลัวเกาะกุม
ฝ่ามือโจมตีของเย่ว์โยวเมื่อครู่ชวนสะพรึงอย่างแท้จริง อย่างไรแล้ว
นางก็คือเซียน
“นี่ไม่เข้าท่าแล้ว สตรีผู้นี้มีกำลังกายมากพอทำร้ายครึ่งเซียนด้วยซ้ำ
เราขาดความระวังเกินไป!” ฉินหยุนประเมินกำลังของเย่ว์โยวผิดไป
“ความสามารถเทวะอย่างนั้นสิ? น่าทึ่งนัก ข้าคิดอยากเห็น ว่าเจ้าจะ
ใช้มันได้อีกสักกี่ครั้ง!” เย่ว์โยวกล่าวคำจบ จึงพุ่งปะทะโจมตีออก
ด้วยฝ่ามือใส่ฉินหยุนอีกครั้งหนึ่ง
ฉินหยุนเร่งรีบใช้ความสามารถเทวะทะลุทะลวงอย่างสุดแรง
แม้ฝ่ามือเย่ว์โยวปะทะกับร่างของฉินหยุน มันก็ราวกับปะทะกับภาพ
มายา
ฉินหยุนเร่งร้อนถอย จากนั้นจึงหยุดใช้ความสามารถเทวะ
หลังใช้ความสามารถเทวะทะลุทะลวง หากโดนโจมตีรุนแรง เท่ากับ
เขาต้องสูญเสียพลังไปอย่างมหาศาล
เขาไม่ทราบว่าตนเองจะต้านรับไว้ได้อีกกี่ครั้ง!
ดวงตาเย่ว์โยวเผยความเดียดฉันท์เด่นชัด นางกล่าว “ฉินหยุน ตราบ
เท่าที่เจ้าทำร้ายข้าได้ มันคงทำให้เจ้ารู้สึกดีขึ้นบ้างกระมัง!”
ฉินหยุนทราบ ว่าเย่ว์โยวจะไม่สังหารตนเอง กระนั้นนางย่อมต้องทำ
ให้เขาบาดเจ็บอย่างสาหัส
เช่นนี้ ทุกครั้งที่เย่ว์โยวโจมตี ฉินหยุนจึงมีแต่ต้องใช้ความสามารถ
เทวะทะลุทะลวง!
เวลานี้ เย่ว์โยวปลดปล่อยกระบวนท่าที่เจ็ดแล้ว!
ครั้งนี้ หลังใช้ความสามารถเทวะทะลุทะลวงรับไว้ ฉินหยุนรู้สึกได้
ว่าพลังในแก่นเต๋าได้แห้งเหือด เวลานี้ เขาได้แต่ต้องอาศัยพลังของ
ร่างเซียนอสูรต้านรับ!
“รับความตาย!” เย่ว์โยวยิ้มอหังการพร้อมพุ่งเร็วรี่เข้าตบใบหน้าฉิน
หยุน
เสียงตบหน้าดังก้องสะท้อนทั้งห้องโถง!
ฉินหยุนร่างกระเด็น ใบหน้าหล่อเหลานั้นบวมปูดแดงก่ำ ได้เห็น
เช่นนี้ หยางฉีเย่ว์ยิ่งปวดใจ
กระนั้น นางไม่อาจทำอะไรได้ เพราะนางทราบดี ว่าเย่ว์โยวเกลียด
ชังฉินหยุนมากมายเพียงใด
โลหิตหลั่งที่มุมปากฉินหยุนเพราะแรงตบ ทั้งยังมีอาการวิงเวียน
“เจ้ากล้าก่อการอหังการอวดดีต่อนายหญิงของสถานที่แห่งนี้ เป็นเจ้า
สมควรได้รับการสั่งสอน!” เย่ว์โยวก้าวเดินเข้าไปยกร่างฉินหยุนขึ้น
จากนั้นจึงตบที่ใบหน้าของเขาอีกครั้งหนึ่ง
ฉินหยุนร่างกระเด็นไกลปะทะกับพื้นไถลไปก่อนจะลุกยืนขึ้นอย่าง
เชื่องช้า
“แค่ก!” ฉินหยุนสำลักโลหิตออกมาพร้อมเผยยิ้ม “เจ้าเหลืออีกหนึ่ง
กระบวนท่า!”
“รับความตาย!”
เย่ว์โยวกัดฟันแน่นพุ่งทะยานมา นางประทับฝ่ามือที่หน้าอกฉินหยุน
คิดพยายามบดขยี้หัวใจของเขาจนแหลกเหลว
ตู้ม!
ฉินหยุนถูกโจมตีปะทะ ร่างกายทะลักออกซึ่งกลุ่มแก๊สสีดำ ผิวหนัง
ของเขาปริแตกเผยโลหิตไหลหลั่ง สภาพดูไปน่าหวาดกลัวยิ่ง
ร่างเมื่อกระเด็น ไม่ช้าจึงหล่นกระทบกับพื้น
บรรดาผู้ใต้บัญชาของเย่ว์โยวต่างโห่ร้องเสียงดัง
“เจ้าประเมินตนเองสูงไป!” เย่ว์โยวค่อยรู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย
ทว่า เมื่อนางรับรู้ถึงความอิ่มเอมอยู่นั้น ฉินหยุนกลับคลุกคลาน
ขึ้นมาเชื่องช้า
“ข้าหาได้พ่ายแพ้ไม่!” ฉินหยุนจึงเผยเสียงหัวเราะดัง
เย่ว์โยวกำหมัดแน่น นางคิดอยากเข้าไปต่อยฉินหยุนอีกสักครั้ง ทว่า
นางได้แต่ต้องอดทนแล้ว
“ข้าได้ทุบตีเจ้า ดังนั้นตอนนี้ค่อยสบายใจขึ้นแล้ว!” เย่ว์โยวแค่นเสียง
ก่อนจะถอนม่านพลังออก
ทันใดนี้เอง ฉินหยุนที่บาดเจ็บจึงล้มลง!
ฉินหยุนเหนื่อยล้าถึงขนาดหลับใหลไปทั้งแบบนั้น
เมื่อตื่นขึ้นมา เขาพบว่าตนเองอยู่ในสระน้ำที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังเซียน
เหลวสีขาว
หยางฉีเย่ว์อยู่ข้างสระน้ำ กระนั้น นางยังคงสวมหน้ากากไว้
“เสี่ยวหยุน เย่ว์โยวก็เป็นเช่นนี้ อย่าได้กล่าวโทษนางเลย” หยางฉีเย่ว์
ถอนหายใจ
“นางเป็นสตรีไร้เหตุผล! เห็นได้ชัดว่านางเกลียดชังตัวข้าในชาติภพ
ก่อน แต่แล้วกลับเอาแต่ทุบตีข้าในชีวิตนี้!” ฉินหยุนเมื่อนึกถึงเรื่องนี้
เขายิ่งไม่ยินดี
“เห็นแก่ข้า ภายหน้าอย่าได้รังควานนางแล้ว!” หยางฉีเย่ว์กล่าว “นาง
แทบไม่อาจทนได้ไหวอีก โชคดีที่นางยังฟังข้า ไม่อย่างนั้น เจ้าคง
ตายไปแล้ว!”
ทันใดนี้ เย่ว์โยวที่มีเส้นผมสีเงินจึงเดินเข้ามาในห้องลับ ทันทีเมื่อ
นางเข้ามา นางจึงถอดหน้ากากออก
ฉินหยุนได้เห็นใบหน้าเย่ว์โยว เขาพลันต้องกายแข็งทื่อ!
เย่ว์โยวงดงามอย่างยิ่ง กระนั้น ใบหน้าของนางกลับซีดขาวและมีแต่
ความเย็นเยือก ภายนอกของนาง คือตัวตนเซียนที่เย็นชาต่อโลกหล้า
ฉินหยุนคุ้นเคยใบหน้านี้เป็นอย่างดี นี่เหมือนกับใบหน้าของหยางฉี
เย่ว์!
“นางเป็นน้องสาวข้า!” หยางฉีเย่ว์ยิ้มบาง
“เจ้าจึงเป็นน้องสาวข้า!” เย่ว์โยวกล่าว “ข้าถือกำเนิดเร็วกว่าเจ้า
เล็กน้อย!”
“ข้าต่างหากจึงมาก่อน เจ้าเป็นน้องสาวข้า!” หยางฉีเย่ว์ประท้วงคำ
เบา
ฉินหยุนค่อยเข้าใจ ว่าชาติภพก่อน หยางฉีเย่ว์และเย่ว์โยวเป็นพี่น้อง
ฝาแฝด!
“ฉินหยุน เห็นแก่น้องสาวข้า ข้าจะให้เจ้าได้รักษาอาการบาดเจ็บที่นี่
เมื่อใดหายดี จงเร่งรีบไสหัวไปให้พ้นโดยทันที!” กล่าวคำจบ เย่ว์
โยวจึงสวมใส่หน้ากากกลับคืน
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
อย่างกะทันหัน เสียงระเบิดรุนแรงดังสนั่นจึงบังเกิด!
แรงสั่นสะเทือนรุนแรง เป็นผลให้เกิดรอยร้าวปรากฏในห้องลับแห่ง
นี้
“หรือจะเป็นตัวบัดซบเฉียหยิ่ง? มันชนะไปแล้ว เหตุใดจึงยังมาสร้าง
ปัญหาแก่ข้า?” เย่ว์โยวกราดเกรี้ยว “คงต้องสังหารมันทิ้งกระมัง!”
เย่ว์โยวที่มีโทสะเร่งรีบออกไปจากห้องลับ หยางฉีเย่ว์ตามติดไป
เช่นกัน
ฉินหยุนลอบกังวล เขาเชื่อว่าเฉียหยิ่งต้องได้ทราบแล้ว ว่าจันทรา
ทมิฬของตนเลือนหาย เพราะเหตุนั้นจึงมีโทสะจนบุกโจมตีที่นี่
“เสี่ยวหยุน เจ้ายังบาดเจ็บ ไว้อาการดีขึ้นแล้วค่อยพูดกล่าวกัน!” หลิง
หยุนเอ๋อกล่าว
แรงสั่นสะเทือนยังคงดำเนินต่อเนื่องไม่หยุด รอยแยกยิ่งมายิ่งใหญ่
ราวกับห้องนี้พร้อมพังทลายลงทุกเมื่อ
ฉินหยุนพอได้เห็น เขาไม่อาจนิ่งเฉยได้อีก
เขาเร่งรีบลากร่างตนเองที่บาดเจ็บออกจากห้องลับ
ตู้ม!
ขณะเขาเดินออกจากห้องลับ อย่างกะทันหัน พลังชวนขนลุกพลัน
สะกดลงที่ร่างของเขา
“พลังที่ยิ่งใหญ่ ทั้งยังเป็นพลังอสูรที่น่าสะพรึงกลัวยิ่ง!” หลิงหยุนเอ๋อ
ร้องหวาดกลัว “นี่ไม่ใช่พลังของเฉียหยิ่งแล้ว!”
สถานที่ซึ่งฉินหยุนอยู่กลับกลายเป็นเศษซาก ตัวเขาถูกซากอาคาร
ถล่มทับ
ครืน!
ฉินหยุนบาดเจ็บ ทั้งยังมึนงงต่อเรื่องราว
หลิงหยุนเอ๋อร้องตะโกน “ภูเขาที่ปราสาทโบราณตั้งอยู่พังทลายแล้ว!
เสี่ยวหยุน เร่งรีบออกไป!”
บุคคลผู้ซึ่งโจมตีปราสาทโบราณ หาได้ใช่เฉียหยิ่ง!
กระนั้น ในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ ก็มีแต่เฉียหยิ่งที่ครอบครอง
พลังระดับนี้!
ฉินหยุนหมดสติไปพักหนึ่ง เขาตื่นขึ้นด้วยอาการวิงเวียน ก่อนจะ
พยายามคลุกคลานจากซากปรักหักพังอย่างยากลำบาก
เขาไม่ทราบว่าตนเองสลบไปนานเพียงใด เมื่อคลานออกมาได้ เขา
จึงได้เห็นท้องฟ้าเป็นสีแดง ทั้งยังมีอุกกาบาตใหญ่ยักษ์ร่วงหล่นลง
มา

ตอนที่ 745 พลังแห่งร่างเซียนอสูร
เย่ว์โยวพิโรธ นางถึงขั้นขนาดแทบพ่นอัคคีเพลิงจากดวงตา น้ำเสียง
เย็นเยียบของนางกล่าวคำ “ฉินหยุน ข้าสามารถขยี้เจ้าจนตายตกได้
ทุกเมื่อ! ด้วยกำลังเจ้า มันไม่ต่างอะไรกับมดปลวกเมื่ออยู่ต่อหน้า
ข้า!”
ฉินหยุนหัวเราะกล่าว “เจ้าอยู่มานานนับหมื่นปี เป็นปกติที่จะมีกำลัง
เช่นนั้น! แต่แล้วมันใช้ทำอะไรได้? ไม่ใช่ว่าเจ้าไร้ความสามารถจน
ไม่อาจได้รับจันทราทมิฬหรือไร?”
เย่ว์โยวคิดอยากตบหน้าอีกฝ่าย กระนั้นนางได้แต่ต้องกล้ำกลืน
“ฉินหยุน จงรับการทดสอบ หากเจ้าเป็นขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ
ระดับสูงจริง ข้าจะยอมพูดคุยกับเจ้าด้วยดี!” เย่ว์โยวกล่าวคำ “เจ้าคือ
ผู้ที่ต้องการแต่ผลประโยชน์หรือไม่ใช่? ไม่อยากได้รับของดีหรือ?
ข้าย่อมมีของดีมากมายที่นี่!”
ฉินหยุนเองย่อมได้ทราบจากก่อนหน้า ว่าทั้งซานเย่ว์และซื่อเย่ว์ ต่าง
ได้รับเม็ดยาลึกล้ำจันทราทมิฬไปไม่ใช่น้อย แม้เขาไม่ทราบว่ามัน
สามารถทำอันใด แต่อย่างน้อยมันก็ต้องมีประโยชน์อย่างมากล้ำ
เย่ว์โยวเวลานี้เพียงต้องการโอกาส เพื่อให้ศิษย์ที่นางฟูมฟักมาได้ชัย
ชนะ
และหลังจากฉินหยุนได้ฝึกฝนร่างเซียนอสูร คิดต่อสู้กับขอบเขต
วรยุทธ์ลึกล้ำ สำหรับเขาไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด
ครุ่นคิดถี่ถ้วนแล้ว ฉินหยุนจึงยอมวางมือที่ไข่มุก
ไข่มุกเริ่มส่องสว่างฉายลำแสงออกมา จากนั้นจึงเริ่มกระพริบ
ผ่านไปครู่ เย่ว์โยวเอ่ยคำอย่างไม่อาจนึกเชื่อ “ตัวบัดซบนี้อยู่ขอบเขต
วรยุทธ์วิญญาณระดับสูงจริง! ทั้งยังไม่ได้ฝึกฝนผลึกแก้วเต๋าวิญญาณ
ลึกล้ำ!”
ฉินหยุนเบะปากกล่าวคำ “คราวนี้เจ้าคงได้ทราบแล้ว ว่าพวกมันที่เจ้า
เลี้ยงดูมาเป็นสวะเช่นไร!”
“เจ้า…” เอ้อเย่ว์กราดเกรี้ยว เขาคิดอยากต่อสู้กับฉินหยุนเสียเดี๋ยวนี้
กระนั้น เขาคือขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ ต่อให้เอาชนะฉินหยุนได้ นั่น
จะไม่มีเกียรติใด ดังนั้นเขาจึงได้ต้องสูดลมหายใจเข้าลึก
เย่ว์โยวมองทางฉินหยุนพร้อมแค่นเสียง “เจ้าต้องการอันใดจงพูด
กล่าวออกมา! เมื่อใดเจ้าเอาชนะเอ้อเย่ว์ เจ้าจะได้มันไป!”
“ข้าต้องการสิ่งที่จะช่วยให้ข้าฝึกฝนผลึกแก้วเต๋าวิญญาณลึกล้ำอย่าง
รวดเร็ว เจ้ามีมันหรือไม่?” ฉินหยุนไม่คิดเผยมารยาทใดในที่แห่งนี้
“ย่อมมี! ข้าจะให้หยกผลึกแก้วเต๋าและผลึกแก้วหัวใจลึกล้ำแก่เจ้า
อย่างละหนึ่งร้อยจิน! นั่นจะเพียงพอให้เจ้าได้ฝึกฝนผลึกแก้วเต๋า
วิญญาณลึกล้ำ!” คำกล่าวของเย่ว์โยว ทำเอาหลายคนที่นี้ต้องอุทาน
อย่างนับถือ
หยกผลึกแก้วเต๋า และผลึกแก้วหัวใจลึกล้ำ กระทั่งว่าน้ำหนักเพียง
หนึ่งจิน ก็กล่าวได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าแล้ว!
“ข้าต้องการอย่างละหนึ่งพันจิน!” ฉินหยุนเผยยิ้มกล่าว
ด้วยร่างกายของเขา หนึ่งร้อยจินไม่มีทางเพียงพอ
“อย่าได้ให้มันมากเกินไปนัก!” เอ้อเย่ว์ตะโกน
“เหตุใดเจ้ากังวลกันเล่า? หรือจะเป็นเจ้าคิดว่าตนเองต้องพ่ายแพ้
แน่นอนแล้ว?” ฉินหยุนกล่าวไปพลางหัวเราะดัง
“ฉินหยุน! หยกผลึกแก้วเต๋าและผลึกแก้วหัวใจลึกล้ำเพียงสามสิบจิน
มันก็เพียงพอให้ใช้ฝึกฝนผลึกแก้วเต๋าวิญญาณลึกล้ำแล้ว! จำนวนที่
ข้ามอบให้แก่เจ้า นับว่ามากกว่าผู้คนทั่วไปถึงสามหรือสี่เท่า!” เย่ว์โยว
กล่าวเสียงเย็น
สามถึงสี่เท่าของคนธรรมดา นั่นไม่อาจเพียงพอให้ฉินหยุนได้ใช้งาน
ฉินหยุนยิ้มกล่าว “อย่างไรเจ้าก็มั่นใจในตัวเอ้อเย่ว์เพียงนั้น แม้สัญญา
ต่อข้าสักหนึ่งพันจิน หากข้าไม่อาจนำมันมาได้ เจ้าก็หาได้ต้องเสีย
มันสักครึ่งเหลี่ยงด้วยซ้ำ!”
“ได้ ตามที่เจ้าว่า!” เย่ว์โยวหรี่ดวงตาลงเล็กพร้อมแค่นเสียง “หากเจ้า
บาดเจ็บสาหัสเพราะศึกนี้ ก็อย่าได้กล่าวโทษพวกเรา!”
“ข้าเพียงกลัวว่าเจ้าจะไม่รักษาคำพูด!” ฉินหยุนกล่าว
เย่ว์โยวนำเอาถุงออกมาสองใบ ส่งมอบมันให้แก่หยางฉีเย่ว์และ
กล่าว “ข้าจะให้นางถือเอาไว้ หากเจ้าชนะ นางก็มอบมันให้แก่เจ้า
คราวนี้เจ้าวางใจได้แล้วหรือยัง?”
หยางฉีเย่ว์พยักหน้าให้ฉินหยุน
ฉินหยุนลอบตระหนก เขาไม่นึกว่าเย่ว์โยวร่ำรวยมหาศาลเพียงนี้
ครานี้เขากำลังคิด ว่าตนจะตกปลาใหญ่ให้คายเอาทรัพยากรมหาศาล
ที่มีออกมาอย่างไรต่อ
ฉินหยุนก้าวเดินขึ้นบนลานประลองยุทธ์ เขายังคงครุ่นคิดว่าขั้นต่อไป
ควรลงมืออย่างไร เขาต้องการให้เย่ว์โยวคายของดีในมือออกมายิ่ง
กว่านี้
“เสี่ยวหยุน เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬเป็นแหล่งสมบัติ ของดี
มากมายได้ถูกซุกซ่อนเอาไว้ในที่แห่งนี้!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “แต่
หลังผ่านมาหลายปี พวกมันล้วนถูกเย่ว์โยวไม่ก็เฉียหยิ่งคว้าเอาไป
กักตุนจนแทบหมดสิ้น!”
ฉินหยุนคิดเห็นเช่นเดียวกัน เพราะเหตุนั้นเขาจึงต้องหากลวิธี เพื่อ
ให้เย่ว์โยวได้นำของดีในมือออกมาให้มากกว่านี้
“เริ่มได้!” เย่ว์โยวพลันตะโกนดัง ฉินหยุนค่อยดึงสติกลับคืนมา
ฉินหยุนไม่คิดว่าการต่อสู้จะเริ่มต้นรวดเร็วเพียงนี้ อันที่จริง ความคิด
ของเขาเตลิดไปจนหลุดความสนใจทางด้านนี้
เมื่อการศึกเริ่มขึ้น ฉินหยุนใจไม่อยู่กับตัว เอ้อเย่ว์พบเห็นโอกาสเหมาะ
ฉินหยุนดึงสติกลับคืนในพริบตา เขาสัมผัสได้ ว่าเอ้อเย่ว์เร่งรีบทะยาน
ร่างมาประหนึ่งสายฟ้า พร้อมต่อยหมัดเข้าใส่หน้าท้องและศีรษะของ
เขาอย่างโหดเหี้ยม
ตู้ม!
เสียงพลังระเบิดออกสนั่นหวั่นไหว มันสั่นสะเทือนทั่วทั้งปราสาท
โบราณ
ฉินหยุนร่างกระเด็นเพราะหมัดทั้งสอง จนร่างต้องปะทะเข้ากับม่าน
พลัง
เอ้อเย่ว์หัวเราะดังก่อนจะต่อยหมัดจากระยะไกล พลังหมัดคลุ้มคลั่ง
ได้แปรเปลี่ยนร่างเป็นหัวมังกรสีทองดำมุ่งเป้ามายังฉินหยุน
ฉินหยุนถูกโจมตีเข้าปะทะ ร่างกายแนบชิดกับม่านพลังพร้อมถูกแรง
ปะทะจนไม่อาจขยับออกพ้น
“ชายผู้นี้ครอบครองวิญญาณยุทธ์มังกรดำ! เหมือนว่าจะเป็นมังกร
อสนีบาต!” หลิงหยุนเอ๋อพลันกล่าว กระนั้นนางหาได้กังวลห่วงหา
ฉินหยุนไม่
ร่างเซียนอสูรของฉินหยุนแข็งแกร่งเลิศล้ำ อำนาจการป้องกันสูงส่ง
ต่อให้โดนการโจมตีรุนแรงยิ่งกว่านี้ เขาก็ยังต้านรับไว้ได้ไหว
ต้องทราบว่าครั้งฉินหยุนฝึกฝนร่างเซียนอสูร ร่างกายของเขาถูก
ทำลายและฟื้นคืนขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่เพียงแต่หล่อเลี้ยงความแข็งแกร่ง
แก่ร่างกายที่ผ่านการขัดเกลา ทว่าความสามารถในการฟื้นฟูของเขา
ยังมากล้นชวนตื่นตะลึง
ฉินหยุนที่ขาดความสนใจโลกภายนอกแต่แรก จึงทำให้โดนโจมตี
จนมีสภาพเช่นตอนนี้
“เอ้อเย่ว์ ทำได้ดี เร่งรีบใช้ความสามารถเทวะของเจ้าจัดการมัน!” เย่ว์
โยวเผยเสียงร้องยินดีเป็นล้นพ้นออกมา
ความสามารถเทวะของเอ้อเย่ว์ปลดปล่อยรวดเร็ว ที่หน้าอกนั้น มัน
ปรากฏเป็นกลุ่มแก๊สสีดำก่อนจะแปรเปลี่ยนร่างเป็นมังกร มันรวดเร็ว
ประหนึ่งสายฟ้า พลังมังกรพุ่งเข้าปะทะใส่ฉินหยุน
มังกรพุ่งทะยานมาด้วยความเร็วสูงล้ำ และฉินหยุนก็คล้ายไม่มีพลัง
ให้ต้านรับมันไว้!
เซี่ยวเสวียนฉินและหยางฉีเย่ว์ต่างเกิดความกังวลขึ้น
แม้เปาเฉิงโฉ่ว เจี้ยนสือเทียน และผู้อื่นทราบว่าฉินหยุนแข็งแกร่ง
กระนั้นนั่นก็เป็นยามที่ต่อสู้กับขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณเช่นเดียวกัน
ครานี้ ความแตกต่างระหว่างฉินหยุน คืออีกฝ่ายอยู่ขอบเขตวรยุทธ์
ลึกล้ำ ครอบครองวิญญาณยุทธ์สีดำ ทั้งยังมีร่างเซียนและโลหิตเซียน
มันแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ร่างกายฉินหยุนกระตุกยามเมื่อได้เห็นมังกรพุ่งทะยานเข้ามา กระดูก
ในร่างของเขาส่งเสียงแตกหักออกดังต่อเนื่อง
เขารวบรวมพลังทั้งหมดในร่าง ปลดปล่อยห้าฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์
ออกไป!
ชั่วพริบตา ห้าฝ่ามือเผยออก พลังฝ่ามือผสานรวมกันเป็นหนึ่ง ส่งผล
ให้เกิดเป็นเสียงร้องของพลังประหนึ่งมังกรพิโรธ
ห้าฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์ของฉินหยุนยังมาพร้อมพลังสั่นไหวและ
อสนีบาตอัคคี ทั้งยังเป็นสีดำ!
อสนีบาตอัคคีและสั่นไหว พลังทั้งสองได้ผสานรวมเข้าด้วยกันอย่าง
สมบูรณ์!
อสนีบาตอัคคีระเบิดออกสนั่นหวั่นไหว พลังสั่นไหวจึงเข้าเสริม
อำนาจเท่าทวีแก่อสนีบาตอัคคี!
ความสามารถเทวะของเอ้อเย่ว์ที่ปล่อยออกมา คือการควบแน่นมังกร
ที่ประหนึ่งเป็นตัวตนไร้เทียมทาน!
และฝ่ามือโจมตีอันดุดันของฉินหยุน มันก็คล้ายนำพามาซึ่งกำลังอัน
ไร้ก้นบึ้ง!
ตู้ม!
ห้าฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์ของฉินหยุน ปะทะเข้ากับมังกรที่ควบแน่น
ขึ้นมาโดยความสามารถเทวะ และมังกรจำแลงนั้น พริบตาได้กลับ
กลายเป็นหมอกสีดำ!
ฝ่ามือโจมตีของฉินหยุน เป็นผลให้จักรพรรดิยุทธ์และครึ่งเซียนที่นี้
ต้องสะท้าน!
ร่างของเย่ว์โยวยังต้องสั่นยามได้เห็นเรื่องราว!
พลังอำนาจฝ่ามือของฉินหยุน นั่นไม่ใช่สิ่งที่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ
ระดับสูงสามารถกระทำได้!
กระทั่งว่าเป็นผู้อยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำระดับต้น ก็ยังไม่มีทางปลด
ปล่อยพลังชวนสะพรึงถึงระดับนั้นได้
เอ้อเย่ว์อยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำระดับต้น เขาครอบครองร่างเซียน
และฝึกฝนโลหิตเซียน
นอกจากนี้แล้ว เขายังมีสองวิญญาณยุทธ์สีดำ พลังความสามารถเทวะ
ที่เขาเผยออกจึงแข็งแกร่งยิ่ง มันเพียงพอให้สามารถสังหารยอดยุทธ์
ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำระดับกลางได้ด้วยซ้ำ
แต่แล้ว หนึ่งฝ่ามือของฉินหยุน กลับสลายพลังความสามารถเทวะ
ของเอ้อเย่ว์!
ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่า คือฉินหยุนถูกสะกดลงตั้งแต่แรกเริ่ม กระนั้นเวลา
นี้ มันคล้ายกับเขาไม่ได้รับผลกระทบใดแม้แต่น้อย
ใบหน้าของเอ้อเย่ว์ที่เดิมเผยความอหังการอวดดี เวลานี้จึงค่อยเผย
ความหวาดกลัวสุดขั้วออกมา!
มีแต่เขาที่รับรู้ได้ว่าฉินหยุนน่าสะพรึงกลัวเพียงใด เพราะเขารู้จัก
ความสามารถเทวะของตนเองเป็นอย่างดี กระทั่งขอบเขตวรยุทธ์ลึก
ล้ำระดับกลาง อย่างดีก็ทำได้แค่หลบเลี่ยง พวกเขาเหล่านั้นจะไม่มี
ทางต้านรับโดยตรงเช่นนี้เป็นอันขาด!
ทว่าไม่เพียงแต่ฉินหยุนต้านรับ เขากระทั่งทำลายพลังความสามารถ
เทวะทั้งสองที่เขาผสานควบแน่นขึ้นมาได้!
ด้านบนลานประลอง หมอกสีดำลอยฟุ้ง พลังความสามารถเทวะ
กระจัดกระจายจนปั่นป่วน
และฉินหยุน ก็ได้เลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
ในพริบตา ร่างเขากลับปรากฏที่ด้านหลังเอ้อเย่ว์
เย่ว์โยวให้ค่าเอ้อเย่ว์ไว้สูงล้ำ นั่นหมายความถึงเขามีความสามารถ
ของจริง เขาย่อมตอบสนองอย่างรวดเร็ว!
ด้วยฝ่ามือดุดัน เขาผลักฝ่ามือออกโจมตีใส่ฉินหยุน!
ฉินหยุนรับมือด้วยความเร็วมากล้ำ สกัดฝ่ามือโจมตีของเอ้อเย่ว์
เอาไว้ได้!
หลิงหยุนเอ๋อผู้ซึ่งตระเตรียมรออยู่ก่อนแล้ว ฉับพลันจึงปลดปล่อย
แรงโน้มถ่วงอันมหาศาลออกมา!
แรงโน้มถ่วงที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน มันสะกดลงที่ร่างเอ้อเย่ว์
กระทั่งขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำเช่นเอ้อเย่ว์ ด้วยเพราะไม่ทันตั้งตัว ถูก
แรงโน้มถ่วงมหาศาลเพียงนี้กดทับ ร่างนั้นต้องล้มลงกับพื้น
พลังนี้เปรียบดังภูเขาที่สะกดลงอย่างกะทันหันสู่ร่างกาย มันไร้สุ้ม
เสียงใด ร่างกายเพียงแต่รับรู้ถึงความหนักอึ้งจนถูกสะกดลง
เอ้อเย่ว์กระอักเลือดคำโตขณะร่างกายถูกกดทับ เขากรีดร้องออก
ขณะนอนนิ่งกับพื้น
“ข้ายอมแพ้!”
เอ้อเย่ว์ได้เห็นฝ่ามือของฉินหยุนที่ปกคลุมด้วยพลังสั่นไหวและ
อสนีบาตอัคคี เขาเร่งร้อนตะโกนดัง
ห้าฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์ของฉินหยุนไม่ทันได้ปลดปล่อยออก เขา
กลับได้รับชัยชนะมาครองแล้ว!
ผู้ซึ่งตื่นตะลึงที่สุดในที่นี้ไม่ใช่ใครอื่น เป็นครึ่งเซียนดังเช่นเปาเฉิง
โฉ่ว เจี้ยนสือเทียนและคณะ! เดิมพวกเขายังคิด ว่าฉินหยุนก้าวถึง
ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูงเร็วจนเกินไป
แต่แล้วเวลานี้ เขากลับมีกำลังถึงขนาดบดขยี้คู่ต่อสู้ที่เก่งกาจเช่นเอ้อ
เย่ว์!
ความคืบหน้าระดับนี้เร็วเกินไปจนยากจะเชื่อได้
เปาเฉิงโฉ่วครุ่นคิด เขาทราบว่าฉินหยุนและเซียนเช่นปิงชิงมีช่วงเวลา
อยู่ด้วยกัน เขาค่อยได้ทราบ ว่าสาเหตุที่ฉินหยุนก้าวหน้ารวดเร็วเพียง
นี้ นั่นต้องเป็นเพราะปิงชิงสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
เย่ว์โยวถอนม่านพลังออก นางไม่โกรธแค้นดังเช่นก่อนหน้า เพราะ
กำลังของฉินหยุนยังสร้างความตื่นตะลึงให้แก่นางไม่หาย!
หยางฉีเย่ว์ก้าวเดินไป ส่งกระเป๋ามิติเก็บของให้แก่ฉินหยุนพร้อมส่ง
เสียงสื่อสารถาม “เสี่ยวหยุน จารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวอยู่ในถุงนั่น
ด้วยแล้ว เก็บมันให้ดี!”
“ขอบคุณพี่หยาง!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว
“เจ้ากระตุ้นโทสะเย่ว์โยวมากมายนัก ทว่านี่ก็ถือว่าดี!” หยางฉีเย่ว์
เพียงส่งเสียงสื่อสารบอกต่อฉินหยุน นางไม่คิดให้เย่ว์โยวได้ทราบ
ความคิด
ฉินหยุนมองทางเย่ว์โยวพร้อมยิ้มกล่าว “คล้ายว่ายังเหลือเจิ้งเย่ว์ ให้
เขาสู้กับข้าเป็นไร?”
เย่ว์โยวลดเสียงเบา “เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า!”
ฉินหยุนส่ายศีรษะถอนหายใจ “อย่างนั้นยอมรับแล้วหรือว่าพวกเขา
เหล่านี้ล้วนเป็นสวะ?”
“ไม่ใช่! เพราะพวกเขาเพียงพ่ายแพ้ต่อเจ้า! นอกเหนือจากเจ้า มีคน
เพียงน้อยนิดที่ระดับพลังเดียวกันจึงสามารถเอาชนะพวกเขาได้!”
เย่ว์โยวย่อมไม่กล้ายอมรับตามตรง
ฉินหยุนเพียงยิ้ม “อย่างนั้นแล้ว ข้าก็ขอขอบคุณต่อของรางวัลนี้จาก
องค์ราชินี!”
เขาที่ไร้ซึ่งทางเลือกใดที่จะรีดเค้นสิ่งของในมือเย่ว์โยว จึงได้แต่เดิน
ลงลานประลองอย่างนึกเสียดาย
“อย่าเพิ่งลงไป ให้ข้าได้สู้กับเจ้า!” เย่ว์โยวเผยเสียงเย็นกล่าวคำ
“เจ้า? เจ้าเป็นเซียนที่ทรงพลังอำนาจ!” ฉินหยุนส่ายศีรษะพร้อมเบะ
ปากกล่าวคำ
“ข้าจะผนึกระดับการฝึกฝนตนเองไว้ ให้อยู่ที่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ
ระดับสูง!” เย่ว์โยวตะโกนดัง “และข้าจะต้องชนะเจ้าให้ได้!”
“หากพ่ายแพ้ต่อข้า เป็นนางสนมน้อยแก่ข้าตกลงหรือไม่?” ฉินหยุน
กล่าวไปพลางแสยะยิ้มซุกซน คำกล่าวของเขา ถือได้ว่ากระตุ้นโทสะ
ของบรรดาผู้ใต้บัญชาเย่ว์โยวได้เป็นอย่างดีเยี่ยม

ตอนที่ 744 ราชินีที่มีโทสะ
ฉินหยุนยิ้มแย้ม เขาม้วนแขนเสื้อขึ้นพร้อมก้าวเดินเชื่องช้าไปยังลาน
ประลอง สายตาของเขาสงบยามมองที่เย่ว์โยว
สีหน้าของเย่ว์โยวภายใต้หน้ากากตื่นตะลึงถึงที่สุด
นางไม่คาดคิด ว่าฉินหยุนจะมาอยู่ที่นี่
ทางด้านหยางฉีเย่ว์ก็เช่นกัน!
ส่วนเจี้ยนสือเทียนและคณะ พวกเขาแทบไม่คล้ายแปลกใจ เพราะ
ฉินหยุนมักทำตัวลึกลับเช่นนี้เสมอ
“เหตุใดเจ้าอยู่ที่นี่?” น้ำเสียงของเย่ว์โยวอัดแน่นด้วยโทสะ
ยามเมื่อนางได้เห็นใบหน้าฉินหยุน ความเกลียดชังจึงท่วมท้นขึ้นมา
“เจ้าไม่ใช่หรือที่เป็นผู้ล่อลวงให้ข้าเข้ามา?” ฉินหยุนหัวเราะ “เย่ว์โยว
เจ้าพบเจอท่านลุงผู้นี้ สมควรต้องเร่งรีบถอดหน้ากากยิ้มแย้มทักทาย
แก่ข้า!”
ซื่อเย่ว์พอได้ยิน เขาเร่งรีบพุ่งทะยานมาพร้อมตะโกนโกรธแค้น “เจ้า
กล้าดีอย่างไรกล่าววาจาสามหาวต่อองค์ราชินี! หน่ายมีชีวิตแล้วหรือ
ไร!?”
ซื่อเย่ว์พุ่งทะยานเข้าพร้อมต่อยหมัดใส่ฉินหยุน ฉับพลันแรงระเบิด
สายฟ้าอสนีบาตรุนแรงบังเกิดจนเป็นผลให้ทั้งห้องโถงสั่นไหว
“สวะ!”
ฉินหยุนลงมือ ใช้ดัชนีทะลวงฟ้า กระบวนท่าดัชนีทะลวงภูผาแยก
ปฐพีทิ่มแทงเข้าใส่หมัดของซื่อเย่ว์
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังสนั่นบังเกิด มวลคลื่นอากาศรุนแรงพัดพาเข้าปกคลุม
ทั้งห้องโถง
ซื่อเย่ว์ต้องถอยไปหลายก้าว ใบหน้านั้นตื่นตะลึง แขนของเขาสั่น
เทิ้มทั้งยังเลือดไหลเจิ่งนอง!
ฉินหยุนยังต้องทึ่ง ก่อนหน้า เขาคิดว่าสมควรบดขยี้แขนของซื่อเย่ว์
ได้ในหนึ่งกระบวนท่า กระนั้นอีกฝ่ายกลับสามารถต้านรับเอาไว้
“ข้าเป็นเพียงขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูง เจ้าอยู่ระดับสูงสุด
ด้วยการถูกข้ากดดันกลับเช่นนี้ หมายความถึงตัวเจ้านั้นอ่อนแอ!”
ฉินหยุนเผยยิ้มบาง
ราชันยุทธ์และจักรพรรดิยุทธ์ผู้ซึ่งคุกเข่าเมื่อครู่ เวลานี้ล้วนตื่นตะลึง
ถึงขั้นมีคนกล่าวว่าซื่อเย่ว์อ่อนแอ!
ต้องทราบ ว่าซื่อเย่ว์และพรรคพวกถือกำเนิดมาพร้อมร่างเซียนและ
วิญญาณยุทธ์สีดำ
หลังผ่านประสบการณ์มากมาย พวกเขาครอบครองพลังอำนาจอัน
แข็งแกร่ง ได้ฝึกฝนร่างเซียนจนลึกล้ำ
กระนั้นเวลานี้ กลับมีคนผู้หนึ่งกล้ากล่าวว่าพวกเขาเหล่านี้อ่อนแอ!
ฉินหยุนย่อมทราบถึงความแข็งแกร่งของอำนาจร่างเซียนอสูร หาก
เขาพบเจอกับคนเช่นซื่อเย่ว์ก่อนหน้า เขาต่างหากจึงต้องเป็นฝ่าย
เผชิญความยากลำบาก
เปาเฉิงโฉ่วและคณะล้วนทราบ ว่าฉินหยุนสามารถเอาชนะผู้ครอบ
ครองโลหิตอสูรและโลหิตเซียนได้ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่ประหลาด
ใจใดต่อพลังที่ฉินหยุนสำแดงออก
“เจ้าและข้า พวกเราขึ้นไปสู้กันบนลานนั่น!” ซื่อเย่ว์เผยเสียงกราด
เกรี้ยวมือไม้สั่น
ฉินหยุนพุ่งทะยานประหนึ่งลำแสงขึ้นบนลานประลอง ยืนหยัดที่
ตรงหน้าเย่ว์โยว
หยางฉีเย่ว์เร่งรีบรั้งเย่ว์โยวเอาไว้!
เย่ว์โยวสะกดข่มความโกรธในหัวใจพร้อมกล่าว “ซื่อเย่ว์ ตราบเท่าที่
เอาชนะตัวบัดซบนี้ได้ ข้าจะมอบเม็ดยาลึกล้ำจันทราทมิฬแก่เจ้าสิบ
เม็ด!”
ฉินหยุนยิ้มกล่าว “ต่อให้เจ้ามอบแก่มันสักร้อยเม็ดก็ไร้ค่า! เย่ว์โยว
เจ้าเองก็เป็นสวะไม่แพ้กัน! ผ่านมาแล้วหมื่นปีเจ้ายังไม่อาจได้รับ
จันทราทมิฬ! ผู้คนที่ยกยอเจ้าก็เป็นสวะไม่ต่างกัน!”
“เจ้าว่าอะไร?” เย่ว์โยวเผยโทสะเปี่ยมล้น นางเงื้อฝ่ามือขึ้นเตรียมตบ
ใบหน้าฉินหยุน
“ข้าพูด ว่าเจ้าคือสวะตัวหนึ่ง!” ฉินหยุนแค่นเสียงกล่าว “อย่าได้บอก
ข้าว่าคำกล่าวนี้ไม่จริง? ผ่านมาหนึ่งหมื่นปี เจ้ายังไม่อาจได้ครอบ
ครองจันทราทมิฬ!”
“ดี! เจ้าจงรอข้า!”
เย่ว์โยวโดนคำกล่าวอย่างหนักหนา เพราะฉินหยุนบดขยี้ที่จุดด้อย
ของนาง
ครั้งที่นางถูกบีบบังคับให้เข้ามายังเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ นาง
ก็ทราบแล้วว่าที่นี่มีจันทราทมิฬ กระนั้น หลังผ่านไปหมื่นปี นางก็ยัง
ไม่อาจได้รับมันมา
นางพยายามอย่างหนักหนา กระนั้นมันก็ยังไม่อาจตกอยู่ในมือนาง
เย่ว์โยวดึงหยางฉีเย่ว์ลงจากลานประลอง พร้อมโบกมือไหววูบเปิด
ม่านพลัง
“เริ่มได้!” เย่ว์โยวตะโกนดัง
ผู้คนล้วนได้เห็น ว่าเย่ว์โยวถูกยั่วโทสะครั้งหนักหนา ความพิโรธใน
ใจนาง ทำเอาหลายคนเกิดนึกหวาดเกรง
ซื่อเย่ว์ยืนด้านบนลานประลอง สายตามองทางฉินหยุนที่ยังเผยยิ้ม
มันทำให้เขายิ่งมีโทสะ
“แขนเจ้าคล้ายไม่อาจใช้งานได้แล้วกระมัง!” ฉินหยุนมองที่ซื่อเย่ว์
ซึ่งมีอาการแขนสั่นก่อนจะเผยยิ้มบาง
“นิ้วเดียวข้าก็เอาชนะเจ้าได้!” ซื่อเย่ว์ตะโกนดังทุ้มลึก อย่างกะทันหัน
คลื่นสายฟ้าอสนีบาตรุนแรงได้ปรากฏทั่วลานประลอง นี่เป็นพลัง
ความสามารถเทวะ
สายฟ้าอสนีบาตสีดำนับไม่ถ้วนเข้าปะทะกับร่างฉินหยุนแล้ว!
สายฟ้าคลุ้มคลั่งสารพัดชนิดมันเกิดขึ้นจำนวนไม่รู้จบทิ่มแทงใส่ร่าง
ฉินหยุน
ที่น่ากลัวยิ่งกว่า คือสีหน้าฉินหยุนยังคงสงบ เขาเพียงยืนตรงนั้นไม่
ไหวติง เขาไม่คล้ายได้รับผลกระทบใดจากสายฟ้าเหล่านี้
ผู้คนต่างต้องทึ่ง เพราะฉินหยุนอยู่เพียงแค่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ
ระดับสูง!
ตัวเขาสามารถต้านรับความสามารถเทวะของขอบเขตวรยุทธ์
วิญญาณระดับสูงสุดไว้ได้!
“เลิกแสร้งทำได้แล้ว!” ซื่อเย่ว์เชื่อ ว่าฉินหยุนอดทนต้านรับไว้อย่าง
ยากลำบาก นั่นก็เพราะทุกคู่ต่อสู้ที่เขาเผชิญหน้ามาก่อน ตราบเท่าที่
อยู่ระดับพลังเดียวกัน พวกเขาเหล่านั้นต้องหวาดเกรงกระบวนท่านี้
“สวะเช่นเจ้า กลับกล้าดีไม่เคารพต่อพี่หยางอย่างนั้นหรือ!” ฉินหยุน
มีโทสะสุมอัดในใจ ร่างกายสว่างไหววูบ เขาปรากฏตัวด้านหลังซื่อ
เย่ว์พร้อมโจมตีออกด้วยห้าฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์!
สายฟ้าอสนีบาตสีดำรอบด้านพลันกลับกลายเป็นราชสีห์สวรรค์
อสนีบาตสีดำ ทั้งนี้ มันยังมาพร้อมอัคคีเพลิงสีดำที่รุนแรง
ฝ่ามือฉินหยุนแปรเปลี่ยนเป็นกรงเล็บราชสีห์สวรรค์ มันฟาดฟันเข้า
ที่ใบหน้าของซื่อเย่ว์!
ตู้ม!
ห้าฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์เคลื่อนคล้อย ราชสีห์สวรรค์คำรามร้องกราด
เกรี้ยว พลังทะลักล้นท่วมท้นราวสวรรค์พังทลาย!
เสียงคำรามร้องราชสีห์สวรรค์ มันเกิดเป็นคลื่นเสียงสั่นไหวรุนแรง
จนผู้คนที่รับฟังต้องเกิดนึกหวาดกลัว
และซื่อเย่ว์ ดวงตาเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นสีขาวกลอกขึ้น ร่างนั้นนอน
นิ่งกับพื้นไร้การเคลื่อนไหวใดราวผู้ตายแล้ว
ใบหน้านั้นบิดเบี้ยวผิดรูป เป็นสภาพชวนเวทนาหากถูกพบเห็น!
ฉินหยุนหันมองทางเย่ว์โยวพร้อมแค่นเสียงกล่าว “เจ้าเห็นหรือไม่?
สวะผู้นี้หรือเจ้าฟูมฟักเลี้ยงดูมันมา? ลูกไก่ยังแข็งแกร่งกว่ามัน!”
“อย่าได้อวดดีไปนัก!” เย่ว์โยวคำรามเสียงดัง “ซื่อเย่ว์อวดดีเกินไป
ทั้งนี้ยังได้รับบาดเจ็บมาก่อน เพราะอย่างนั้นจึงพ่ายแพ้!”
“ซานเย่ว์ เจ้าขึ้นไป!” เย่ว์โยวปลดม่านพลัง
*ซาน หมายถึง สาม ดังนั้นคนผู้นี้จึงอยู่ลำดับที่สาม*
ซานเย่ว์ร่างสูง แม้เขาได้เห็นการประลองของฉินหยุนเมื่อครู่ กระนั้น
ใบหน้าก็ยังเรียบนิ่ง เป็นเขาอหังการอวดดีมองเหยียดต่อทุกผู้คน
ซานเย่ว์ขึ้นมาพร้อมเผยสามนิ้วให้ฉินหยุน!
“คิดเอาชนะข้าในสามกระบวนท่า?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ไม่! ข้าจะนับถึงสาม และเมื่อนั้นเจ้าจะพ่ายแพ้!” ซานเย่ว์เผยยิ้มเย็น
เยือก สายตาจ้องมองฉินหยุนอย่างดุดัน “กำลังเจ้าไม่แย่! กระนั้น
เอาชนะเจ้าในสามกระบวนท่านั้นออกจะเกินไป! พริบตาข้าก็เอา
ชนะเจ้าได้แล้ว!”
เย่ว์โยวหัวเราะภาคภูมิ “ซานเย่ว์ครอบครองสามวิญญาณยุทธ์! เอา
ชนะเจ้าในสามกระบวนท่านั่นเรียกออมมือแล้ว!”
หยางฉีเย่ว์ถอนหายใจเบา “เย่ว์โยว พวกเราพนันกันเป็นอย่างไร?
หากซานเย่ว์แพ้ เจ้าต้องให้ฉินหยุนได้ออกไป!”
“ย่อมได้!” เย่ว์โยวพยักหน้ารับ “หากซานเย่ว์ชนะ ฉินหยุนต้องอยู่
ที่นี่ ทั้งข้าจะยังทรมานมันทุกวี่วัน!”
“ได้!” หยางฉีเย่ว์เชื่อมั่นในกำลังของฉินหยุน เพราะนางรู้จักฉินหยุน
ดียิ่งกว่าผู้ใด
เย่ว์โยวเร่งร้อนตะโกนดังขึ้น “เริ่ม!”
การศึกเมื่อเริ่มขึ้น ฉินหยุนและซานเย่ว์หาได้เคลื่อนไหวใด
น้ำเสียงซานเย่ว์อัดแน่นด้วยความอหังการอวดดี เขาขึ้นเสียงกล่าวคำ
“จงสดับรับฟัง ข้าจะนับถึงสาม และหลังจากสาม เจ้าก็พ่ายแพ้ไป
แล้ว!”
ผู้คนต่างรั้งลมหายใจรับชม พวกเขาคิดอยากได้เห็น ว่าซานเย่ว์ทรง
พลังอย่างที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่!
“เจ้าเด็กอหังการอวดดีนั่นอย่างไรก็ต้องพ่ายแพ้ นายท่านซานเย่ว์
ย่อมตัดศีรษะมันได้ในพริบตา!”
“สงสัยนักว่าเด็กนั่นเป็นใคร? มันกล้าดีอย่างไรเสียมารยาทต่อองค์
ราชินี นายท่านซานเย่ว์ต้องจัดการมันจนสภาพชวนสังเวช!”
“องค์ราชินีเกลียดชังเด็กนั่นมากล้น หากท่านไม่ยั้งโทสะ เช่นนั้นมัน
คงตายไปนานแล้ว!”
ซานเย่ว์เริ่มนับ “หนึ่ง สอง…”
ขณะนับถึงสอง หลิงหยุนเอ๋อจึงปลดปล่อยพลังแรงโน้มถ่วงมหาศาล
กดทับลงที่ร่างซานเย่ว์
ฉินหยุนก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูง ทั้งยังฝึกฝนร่าง
เซียนอสูร แก่นเต๋าตะวันทมิฬของเขาจึงแข็งแกร่งขึ้นอย่างมหาศาล!
หลิงหยุนเอ๋อเวลานี้ใช้งานพลังทั้งหมดที่มี นางไม่หวาดเกรงว่าจะ
เป็นการทำร้ายร่างกายฉินหยุนอีก นางจึงปลดปล่อยพลังอันเลิศล้ำ
ออกจากแก่นเต๋าตะวันทมิฬได้โดยไม่ต้องห่วงหาใด
ตู้ม!
อหังการอวดดีเช่นซานเย่ว์ ยังไม่อาจได้นับ “สาม” ร่างนั้นถูกสะกด
ลงกับพื้นกระอักเลือดออกมาคำโต
ฉินหยุนก้าวเดินไป ราวกับเขามองสุนัขที่ตายข้างทางตัวหนึ่ง ฝ่ามือ
ยกขึ้น เริ่มตบที่ใบหน้ายืดยาวของซานเย่ว์จนมีแต่เลือดเปรอะเปื้อน
เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ…
ผ่านไปชั่วครู่ ใบหน้าซานเย่ว์บวมปูดผิดรูปจนแทบไม่อาจจดจำ ทั้ง
ยังมีบาดแผลถูกความร้อนเผาไหม้
“ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก!”
ฉินหยุนตบหน้าอีกหลายครั้งคราก่อนจะได้เห็นว่าซานเย่ว์หมดสิ้น
สติ เขาจึงโยนอีกฝ่ายเข้าปะทะม่านพลังประหนึ่งโยนขยะเปียกชิ้น
หนึ่ง
เย่ว์โยวจับจ้องอย่างตื่นตะลึงไร้ความคิดอื่นใด!
บรรดาผู้ใต้บัญชาของเย่ว์โยวต่างนิ่งอึ้งเช่นกัน!
ท่ามกลางคนทั้งสี่ ที่เหลืออีกสองคือขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ ใบหน้า
พวกเขาที่อหังการอวดดี เวลานี้ยังต้องเผยร่องรอยความหวาดกลัว
หยางฉีเย่ว์หัวเราะเบา “เย่ว์โยว เจ้าแพ้แล้ว!”
เย่ว์โยวปลดม่านพลังออก หลายผู้คนเร่งรีบเข้าไปหามร่างซานเย่ว์
ออกมา!
“เจ้าใช้วิชามารอันใด?” เย่ว์โยวเอ่ยถามเสียงเย็น
“ประลองแพ้คนไม่แพ้งั้นหรือ?” ฉินหยุนยิ้มกล่าว “ไม่ใช่ว่าเจ้า
แข็งแกร่งหรือไร? จะบอกว่าเจ้าไม่เห็นอันใดเลย?”
“ตัวบัดซบ!” เย่ว์โยวร่างสั่นคิดอยากตบใบหน้าฉินหยุน กระนั้นนาง
ไม่กล้า เพราะหยางฉีเย่ว์อยู่ที่นี่
ทันใดนี้เอง ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งจึงก้าวเดินเข้ามา “องค์ราชินี ให้ข้า
ได้จัดการมัน!”
ฉินหยุนพอได้ฟัง เขาจึงหัวเราะดัง “เจ้า ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ แท้จริง
ถึงขั้นคิดอยากต่อสู้กับข้า ผู้ที่อยู่เพียงขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับ
สูงอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้านี่หน้าไม่อายหรือไร? น่าขันนักที่เมื่อครู่พวกเจ้าสี่คนอหังการ
อวดดี คิดหรือว่าตนเองแข็งแกร่งสุดในโลกหล้าจนมีแต่ผู้อ่อนแอให้
รังแกได้! พวกเจ้าก็แค่คนอวดดีที่หากกล่าวถึงก็คงเป็นเรื่องขบขัน!”
“ให้ข้าทุบตีเจ้าจนตายตก!”
โทสะของชายหนุ่มถูกกระตุ้น เขาคิดยื่นมือออกเพื่อลงมือ กระนั้น
ถูกเย่ว์โยวห้ามปรามไว้
เย่ว์โยวเผยเสียง “เอ้อเย่ว์ หยุดสร้างปัญหา!”
*เอ้อ หมายความถึง สอง*
“เย่ว์โยว ตัวตนที่เจ้าฟูมฟักมามันก็ได้แค่นี้! เจ้านี่มันช่าง… ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ฉินหยุนหัวเราะอย่างเดียดฉันท์เป็นการยั่วยุเย่ว์โยว เขายังนึกถึงครั้ง
ที่ถูกทิ้งไว้ในทะเลทราย นั่นคือเรื่องที่ทำให้เขามีโทสะเป็นล้นพ้น
เซี่ยวเสวียนฉินก้าวเดินเข้ามาและกล่าว “ฉินหยุน ด้วยกำลังเจ้า จัดการ
สวะขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำสองตัวก็ไม่น่ามีปัญหากระมัง?”
“โอ้ ข้าไม่คิดสู้กับพวกมัน! ไม่อย่างนั้นข้าคงโดนผู้คนกล่าวหาว่า
รังแกขยะเปียกเป็นแน่!” ฉินหยุนหัวเราะดัง
เย่ว์โยวมีโทสะสูงล้นฟ้า นางไม่อาจเข้าใจได้ ว่าเหตุใดทั้งหยางฉีเย่ว์
และเซี่ยวเสวียนฉินจึงต้องการช่วยเหลือฉินหยุน
“ฉินหยุนใช่หรือไม่? เจ้าแข็งแกร่งมากมายเพียงนั้น? หากเจ้าเอาชนะ
เอ้อเย่ว์และเจิ้งเย่ว์ ข้อพิพาทระหว่างข้าและเจ้าจะถือว่าหมดสิ้นต่อ
กัน คราวนี้เจ้าจะว่าอย่างไร?” เย่ว์โยวคิดอยากพลิกกระดานในศึก
เดียว ไม่อย่างนั้น นางคงยากกล้ำกลืนเรื่องราวนี้ลงท้อง
“ข้อพิพาทหรือ? ข้าหาได้ติดค้างอันใดต่อเจ้า! กลับกัน เป็นเจ้าหลอก
ให้ข้าเข้ามายังที่นี่ กระทั่งให้เหยี่ยวดำตัวนั้นนำข้าไปทิ้งไว้กลาง
ทะเลทรายที่มีค่ายอาคมใหญ่เขาวงกต!” ฉินหยุนยามเอ่ยถึงเรื่องนี้
เขายิ่งกราดเกรี้ยว
กล่าวคำจบ เขามองทางเอ้อเย่ว์และเจิ้งเย่ว์ น้ำเสียงแค่นดังกล่าวคำ
“ข้าไม่ทราบว่าพวกเจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใด เพียงเห็นว่ามี
คนยอมคุกเข่าโขกศีรษะให้ แล้วจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้าอย่างนั้น
หรือ ช่างไม่รู้จักประมาณตนเอง!”
เย่ว์โยวสูดลมหายใจเข้าลึกและกล่าว “ฉินหยุน ศิษย์ที่ข้า เย่ว์โยวผู้นี้
ฝึกฝนขึ้นมา ย่อมต้องเป็นชนชั้นระดับแนวหน้า!”
“อย่างนั้นเจ้ากำลังบอก ว่าคนที่ข้าเพิ่งตบหน้าจนหมดสติเมื่อครู่เป็น
ชนชั้นแนวหน้าแล้ว?” ฉินหยุนแค่นเสียง
“ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าอยู่เพียงแค่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูง! เจ้าต้อง
อยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำอย่างแน่นอน!” เย่ว์โยวกล่าวคำจบ นางนำเอา
อุปกรณ์ออกมา “หากข้าตรวจพบได้ว่าเจ้าคือขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ
เช่นนั้นเจ้ารับตาย!”
อุปกรณ์นี้ เป็นไข่มุกเม็ดใหญ่
ดวงตาเย่ว์โยวเผยแสงเย็นเยียบ นางกล่าวคำ “วางมือเจ้าลง!”
“ข้าจึงไม่!” ฉินหยุนตะโกนตอบ

ตอนที่ 743 ปราสาท
เซี่ยวเสวียนฉินได้ทราบจากหยางฉีเย่ว์เช่นกัน ว่าฉินหยุนถูกเย่ว์โยว
นำเข้ามาที่ภายในนี้
นางยังโกรธไม่ใช่น้อย เพราะเย่ว์โยวสัญญากับนาง ว่าจะให้ฉินหยุน
ได้ไปพ้นจากที่นี่
ภายหลัง นางค่อยทราบถึงข้อขัดแย้งระหว่างเย่ว์โยวและฉินหยุนใน
อดีต แม้นางเข้าใจสถานการณ์ กระนั้นภายในใจก็ยังต้องห่วงหาต่อ
ฉินหยุน
ทราบว่าฉินหยุนอยู่ใกล้เคียง เซี่ยวเสวียนฉินจึงไม่บอกแก่ผู้ใด
ฉินหยุนไม่ติดต่อหยางฉีเย่ว์ เพราะเขากังวลว่านางอาจตอบสนองจน
เป็นการดึงความสนใจของเย่ว์โยวเข้า จนนางอาจพบเจอว่าเขาลักลอบ
ติดตามไป
เย่ว์โยวมีกำลังเหนือล้ำ ต่อหน้าครึ่งเซียน นางคือตัวตนประหนึ่งราชัน
ตามที่เหยาเฟิงกล่าว พลังส่วนหนึ่งของเย่ว์โยวถูกผนึกเอาไว้ กระนั้น
นางก็ยังแข็งแกร่ง
ฉินหยุนระมัดระวังอย่างยิ่งยามเมื่อติดตามทางด้านหลัง เขาใช้ทั้ง
พลังเงาและความสามารถเทวะทะลุทะลวง เพื่อเคลื่อนผ่านทางใต้
ดินลึกลงไป
เซี่ยวเสวียนฉินย่อมทิ้งเหรียญม่วงไว้ตามรายทางเพื่อให้ฉินหยุนรับรู้
ได้
เวลานี้ เซี่ยวเสวียนฉินรู้สึกร้อนรนอย่างยิ่ง นางเกรงว่าเย่ว์โยวจะพบ
ว่านางกำลังให้การช่วยเหลือต่อฉินหยุน
เย่ว์โยวยังคงบินออกนำรวดเร็ว นำพาเจี้ยนสือเทียนและคณะมุ่งหน้า
ไป
“เย่ว์โยวต้องให้สัญญาจะมอบผลประโยชน์บางอย่างแก่เจี้ยนสือเทียน
และคณะ เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงยินดีออกไปสู้ กระนั้นสุดท้ายแล้ว
ก็ยังพ่ายแพ้!” หลิงหยุนเอ๋อยิ้มกล่าว “เรื่องราวไม่สำคัญอีกต่อไป
แล้ว เจ้าได้รับจันทราทมิฬเป็นที่เรียบร้อย!”
“เสี่ยวหยุน เจ้าวางแผนคิดสั่งสอนบทเรียนแก่เย่ว์โยวอย่างไร? เจ้าจะ
มอบจันทราทมิฬให้แก่นางหรือไม่?”
ฉินหยุนตอบคำ “ข้าย่อมไม่คิดมอบให้นาง! นางและจันทราทมิฬหา
ได้มีโชคชะตาต้องกัน!”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขายิ่งคิด ว่าเย่ว์โยวผู้นี้เป็นสวะไร้ความสามารถ แม้
ผ่านไปแล้วหนึ่งหมื่นปี นางก็ไม่อาจได้รับจันทราทมิฬมาครอบครอง
แน่นอนว่าทางด้านเฉียหยิ่งก็เป็นเช่นเดียวกัน กระนั้น อีกฝ่ายดีกว่า
หากเทียบเปรียบกับเย่ว์โยว อย่างน้อยเขาก็ได้จันทราทมิฬไว้ในการ
ควบคุม
หลังติดตามอยู่ครึ่งวัน ฉินหยุนค่อยมาถึงยอดเขาสูง ที่แห่งนี้ มันมี
ปราสาทโบราณสีดำขนาดใหญ่ยักษ์ตั้งตระหง่าน
นี่คือสถานที่พำนักของเย่ว์โยว
ฉินหยุนหลบซ่อนที่ก้อนหินภายนอก สำรวจมองปราสาทโบราณ
เขากล่าวด้วยคิ้วขมวด “เย่ว์โยวผู้นี้ นางอยู่ที่นี่มานานนับ แท้จริงแล้ว
อาศัยในสถานที่ผีสิงเช่นนี้หรือ?”
ที่นี่คือยอดเขาสูง รายล้อมไปด้วยภูมิประเทศแห้งแล้งไร้ซึ่งสีเขียวใด
ปราสาทโบราณยังเป็นสีดำ มองไปให้ความรู้สึกชั่วร้าย
กลางคืน ทุกสิ่งอย่างจึงกลายเป็นมืดมิด
ฉินหยุนผู้ซึ่งหลบซ่อนในปราสาท ได้ใช้พลังเงาลักลอบเข้าสู่ด้านใน
เมื่อเข้ามาแล้ว เขาพบว่าตนเองอยู่ในห้องโถงสว่างไสว
ที่ตรงกลางห้องโถง มันมีเวทีขนาดใหญ่
เปาเฉิงโฉ่วและกลุ่มคนล้วนอยู่ที่นี่ พวกเขากำลังนั่งพักกันบริเวณ
เบื้องล่างเวที
ไม่เพียงแต่ฉู่ปินอวี้เหนื่อยล้าอย่างยิ่ง เขายังได้รับบาดเจ็บ เขาต้องรับ
ศึกไปหลายครั้งครา
เย่ว์โยวย่อมทราบ ว่าเปาเฉิงโฉ่วและคณะทุ่มสุดตัวแล้ว
นางรู้สึกว่าสายตามองคนถูก กลุ่มคนที่นางชักชวนมาต่างแข็งแกร่ง
มีคนหนึ่งเดินเข้ามา ส่งมอบเม็ดยาให้แก่เปาเฉิงโฉ่วและคณะเพื่อใช้
รักษาอาการบาดเจ็บ
เย่ว์โยวยืนด้านบนเวทีพร้อมกล่าว “ข้าซาบซึ้งนักที่พวกเจ้าทั้งหมด
ร่วมต่อสู้ แม้ข้าไม่อาจชนะ แต่ข้าย่อมต้องรักษาสัญญาที่จะมอบ
รางวัลให้!”
ถึงตอนนี้เอง คนหนุ่มจำนวนหนึ่งพลันเดินเข้ามา
พวกเขาสวมใส่ชุดสีดำที่หรูหราเกินกว่าหลายคนในปราสาทแห่งนี้
ทันทีเมื่อชายหนุ่มสี่คนเข้ามา ผู้คนในปราสาทต่างโค้งกายคำนับให้
ทั้งสี่
ฉินหยุนซ่อนตัวด้านหลังเสา ด้วยเพราะตรงนี้มืด ดังนั้นจะไม่มีผู้ใด
หาตัวเขาได้พบ
ฉินหยุนพอได้เห็นคนหนุ่มทั้งสี่ เขากล่าวอยู่ภายใน “หยุนเอ๋อ คนทั้ง
สี่นั่นไม่แปลกหรือ? ภายนอกดูเหมือนขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำและวร
ยุทธ์วิญญาณ กระนั้นราชันยุทธ์กลับยังต้องคุกเข่าให้!”
แน่นอนว่า ผู้คนที่คุกเข่าให้มีแต่ผู้ใต้บัญชาของเย่ว์โยว
เจี้ยนสือเทียนและคณะ คนกลุ่มนี้ย่อมไม่คุกเข่าให้ผู้อื่นโดยง่าย
“พวกเขาเหล่านั้นฝึกฝนร่างเซียน ทั้งยังฝึกฝนโลหิตเซียน นอกเหนือ
จากนั้นแล้ว ยังมีจิตอันแข็งแกร่ง กล่าวได้ว่าแปรเปลี่ยนจิตสู่จันทรา
แล้วกระมัง?” หลิงหยุนเอ๋อยังต้องทึ่ง
คนหนุ่มทั้งสี่เหล่านี้อหังการอวดดีเป็นล้นพ้น
สองคนคือขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ อีกสองคือขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ
หลังก้าวเดินขึ้นบนเวที ชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งที่สุดจึงจ้องมองเจี้ยนสือ
เทียนและคณะ น้ำเสียงแค่นกล่าวดังออก “องค์ราชินี เหล่านี้ล้วน
พ่ายแพ้ กระนั้นท่านยังคิดตบรางวัลงั้นหรือ?”
“เพียงสังหารพวกมันเรื่องราวก็คลี่คลาย ทั้งยังจะเป็นการประหยัด
ทรัพยากรที่สามารถใช้มอบให้แก่พวกเรา!”
หลังได้ยินคำกล่าวเหล่านี้ เจี้ยนสือเทียนและคณะถึงกับผุดลุกขึ้นยืน
สายตาจ้องไปยังคนหนุ่มทั้งสี่เขม็ง
เย่ว์โยวเอ่ยเสียงเย็นเยือก “พวกเจ้าทั้งสี่อย่าได้กล่าววาจาไร้สาระ!”
ถัดจากนั้น นางจึงขออภัยต่อเจี้ยนสือเทียนและคณะ พร้อมขอให้
พวกเขาสงบใจลง
“องค์ราชินี ท่านเป็นอะไรไปแล้ว? ท่านต้องการใช้ทรัพยากรที่มีแก่
กลุ่มสวะเหล่านี้จริงหรือ?” หนึ่งในชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงเย็น
ได้ยินคำกล่าว เซี่ยวเสวียนฉินยิ่งไม่สบายใจ
เพราะนางเองก็เป็นคนของเกาะจันทราปีศาจ ก่อนหน้านี้ แม่เฒ่า
หยุนเหยาได้ต่อสู้ลงแรงไปมาก
“มีแต่สายตาชั้นสวะ จึงมองทุกสิ่งอย่างเป็นขยะ!”
นางอารมณ์ไม่ดียิ่ง ดังนั้นจึงไม่ไว้หน้าชายหนุ่มทั้งสี่คน
“โห? เจ้าทรงพลังมากอย่างนั้นสิ? ต่อสู้กันสักครั้งเป็นไร?” ชายหนุ่ม
ร่างเตี้ยแค่นเสียงดังขึ้น “แม้ข้าอยู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูงสุด
แต่คิดเอาชนะเจ้าเพียงมือเดียวก็พอแล้ว!”
เย่ว์โยวกล่าวคำ “เย่ว์ฉิน อย่าได้ต่อสู้กับพวกเขา ข้าคัดเลือกและฝึกฝน
พวกเขาขึ้นมาเป็นอย่างดี พวกเขาฝึกฝนร่างเซียนและโลหิตเซียน
นอกจากนี้ จิตยังแปรเปลี่ยนสู่จันทราแล้ว เจ้าไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้แก่
พวกเขา!”
คำกล่าวของเย่ว์โยว ทำเอากลุ่มเปาเฉิงโฉ่วต้องเผยอาการตื่นตะลึง
ขึ้นมา!
ฝึกฝนร่างเซียนและโลหิตเซียนก็กล่าวได้ว่าเลิศล้ำแล้ว ทั้งยังแปรเปลี่ยน
จิตสู่จันทรา นี่หมายความถึงพลังจิตของพวกเขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง!
“ข้าหาได้หวั่นเกรงใดไม่!” เซี่ยวเสวียนฉินพยายามระงับลมหายใจ
ให้ผ่อนลง “ข้าคิดอยากสู้กับพวกมัน ให้พวกมันได้ทราบว่าแท้จริง
สวะเช่นข้าเป็นอย่างไรกันแน่!”
“ก็ได้!” เย่ว์โยวกระพริบตาก่อนจะกล่าว “ซื่อเย่ว์ หากเจ้าเอาชนะ
นาง ข้าจะให้แก่นลึกล้ำจันทราทมิฬ!”
ชายหนุ่มร่างเตี้ยนามซื่อเย่ว์ ตามนามนั้นแล้ว สมควรเป็นลำดับที่สี่
*ซื่อ หมายความถึง สี่ และ เย่ว์ หมายความถึง ดวงจันทรา ชื่อจึง
หมายถึง ดวงจันทราลำดับที่สี่*
“ได้ ข้าย่อมสามารถเอาชนะนาง!” ซื่อเย่ว์เผยสีหน้าเย็นเยือก
หยางฉีเย่ว์สวมใส่หน้ากาก ดวงตาของนางเผยออกซึ่งความกังวล
ทันใดนี้ ฉินหยุนจึงส่งเสียงสื่อสารบอกต่อเซี่ยวเสวียนฉิน “ป้าเซี่ยว
ท่านคิดให้ข้าสอนสั่งบทเรียนแก่พวกมันเหล่านี้หรือไม่?”
“อย่าเพิ่ง! ให้ข้าได้ลงมือก่อน!”
เซี่ยวเสวียนฉินไม่คาดคิดว่าฉินหยุนทรงพลังอำนาจเพียงนี้ เขาอยู่
ภายในห้องโถง กระนั้นเย่ว์โยวกลับไม่อาจแม้พบเห็น
หลังจากฉินหยุนกลืนกินจันทราทมิฬ ความสามารถการซ่อนเร้น
ของเขาจึงยิ่งเลิศล้ำมากขึ้น
“ไม่เป็นไร” เย่ว์โยวหันไปบอกต่อหยางฉีเย่ว์ ก่อนจะดึงนางลงจาก
เวที
นางโบกมือไหววูบ เปิดม่านพลังรอบเวทีให้กลายเป็นลานประลอง
ยุทธ์
ผู้อื่นคิดอยากเห็นเช่นกัน ว่าศิษย์ที่เย่ว์โยวฟูมฟักมาจะแข็งแกร่ง
เพียงใด
ในความเป็นจริง หลายปีที่ผ่านมา เย่ว์โยวได้ฟูมฟักผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่ง
ขึ้นมามาก
อย่างเช่นผู้ใต้บัญชาของนางที่เป็นราชันยุทธ์และจักรพรรดิยุทธ์ ยังมี
กลุ่มคนเถื่อนที่นางเลี้ยงดูไว้
กระนั้น สถานะของคนหนุ่มทั้งสี่เหล่านี้สูงล้ำอย่างที่ไม่มีผู้ใดทราบ
สาเหตุ
การประลองยุทธ์กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!
ซื่อเย่ว์ความเร็วมากล้ำ พริบตาเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นร่างเงาสีดำ
ประหนึ่งเป็นลำแสงพุ่งเข้าหาเซี่ยวเสวียนฉิน!
เซี่ยวเสวียนฉินตอบสนองไม่เชื่องช้า ร่างของนางไหววูบ หลบเลี่ยง
การโจมตีของซื่อเย่ว์
ทันทีถัดจากนั้น ซื่อเย่ว์มีสภาพคล้ายแสงและร่างเงาผสมผสานรวมเข้า
ด้วยกัน ร่างนั้นพุ่งไปมาในลานประลองยุทธ์ ความเร็วนี้มากล้ำ มัน
ทำผู้รับชมถึงขั้นต้องเกิดอาการวิงเวียน
ที่ชวนตื่นตะลึงยิ่งกว่า คือเซี่ยวเสวียนฉินยังสามารถหลบได้!
เซี่ยวเสวียนฉินไม่กล้าเผชิญหน้าโดยตรงกับซื่อเย่ว์ เพราะซื่อเย่ว์
ครอบครองพลังอันเหนือล้ำ
“ป้าเซี่ยวไม่มีทั้งร่างเซียนและโลหิตเซียน ดังนั้นจึงมีแต่เสียเปรียบ!”
ฉินหยุนกล่าวคิ้วขมวด “ซื่อเย่ว์นั่นมีพลังอำนาจไม่ธรรมดาจริง! ทั้ง
ที่มันอยู่เพียงแค่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูงสุด!”
อย่างกะทันหัน ออร่าพลังความสามารถเทวะอ่อนจางได้ปรากฏออก!
ฉินหยุนสะท้าน!
ซื่อเย่ว์กำลังใช้ความสามารถเทวะ!
ครืน!
ด้านบนเวที สายฟ้าอสนีบาตจำนวนมากทะลักล้นระเบิดออก เสียง
ฟ้าผ่าดังสนั่นกระจายทั่วทั้งลานประลอง
หลิงหยุนเอ๋อร้องโพล่งออก “เป็นความสามารถเทวะที่แข็งแกร่งนัก!
มันผู้นั้นครอบครองวิญญาณยุทธ์อสนีบาตสีดำ ดังนั้นจึงได้รับ
ความสามารถเทวะมาครอง!”
ความสามารถเทวะมีสามวิธีการได้รับมา
วิธีธรรมดาที่สุด คือให้อาจารย์ขัดเกลาวิญญาณช่วยผสานวิญญาณ
ยุทธ์ความสามารถเทวะ อีกหนึ่งคือการตื่นรู้ของวิญญาณยุทธ์ความ
สามารถเทวะสีน้ำเงิน
หาได้ยากที่สุดคือครอบครองวิญญาณยุทธ์สีดำ ทุกขั้นตอนที่ก้าว
ผ่าน ความสามารถเทวะจะยิ่งเพิ่มพูน
ซื่อเย่ว์ผู้นี้ครอบครองพลังสีดำ เป็นหลักฐานชัดเจนว่าเขาครอบครอง
วิญญาณยุทธ์สีดำ!
พลังของความสามารถเทวะเช่นนี้ กล่าวได้ว่าแข็งแกร่งเป็นที่สุด!
เซี่ยวเสวียนฉินตกอยู่ภายใต้สายฟ้าอสนีบาตสีดำรุนแรงปกคลุม นาง
ไม่อาจหลบเลี่ยง เพราะลานประลองนี้แม้กว้างใหญ่ ทว่าสายฟ้า
อสนีบาตได้ปกคลุมแทบทุกหัวมุมเอาไว้
และทันใดนี้เอง เสียงของพิณจึงดังก้องขึ้นมา มันมาพร้อมกับคลื่น
เสียงสั่นไหวเข้าสลายสายฟ้าสีดำที่ล้อมรอบเอาไว้
จากนั้น พิณสีดำจึงปรากฏที่ในมือของเซี่ยวเสวียนฉิน!
นางดีดพิณอย่างเบามือ ปลดปล่อยเป็นท่วงทำนองที่ทั้งประหลาด
และลึกลับ
ซื่อเย่ว์ที่คิดโจมตี กระนั้นหลังได้รับฟังเสียง ร่างกายคล้ายสูญเสีย
จิตสำนึกควบคุม
“องค์ราชินี นางใช้อาวุธ!” เบื้องล่างลานประลอง ชายหนุ่มที่เป็น
ผู้นำร้องตะโกน
“นั่นเป็นวิญญาณยุทธ์ของนาง!” เย่ว์โยวไม่แปลกใจแม้เพียงนิด
ครั้งนี้ คนหนุ่มทั้งสามด้านนอกจึงเริ่มตะโกนร้องบอก ให้ซื่อเย่ว์เร่ง
รีบตั้งสติ
“นั่นสมควรเป็นการโจมตีทางจิตกระมัง? พลังจิตของป้าเซี่ยวเอง ก็
สมควรแปรเปลี่ยนสู่จันทราไปเรียบร้อยแล้ว!” ฉินหยุนเกิดความ
ยินดีที่ภายในหัวใจ
“ป้าเซี่ยวต้องครอบครองสองวิญญาณยุทธ์เป็นแน่!” หลิงหยุนเอ๋อ
กล่าว “เรื่องนี้ไม่มั่นใจนัก บางทีนางอาจมีวิญญาณยุทธ์จันทรา!”
ท่วงทำนองที่เซี่ยวเสวียนฉินใช้งานคือพลังกล่อมให้หลับใหล ทุก
อย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เป็นผลให้ซื่อเย่ว์ต้องหลับใหลไป
ขณะเซี่ยวเสวียนฉินคิดผ่อนคลาย ร่างของซื่อเย่ว์พลันขยับพร้อมพุ่ง
ทะยานอย่างดุดัน
“อย่าได้คิดว่ามนต์สะกดเช่นนั้นจะทำอะไรข้าได้!” ซื่อเย่ว์เผยยิ้มชั่ว
ร้ายกล่าวคำ “สวะเช่นเจ้าหาได้ใช่คู่ต่อสู้แก่ข้าไม่!”
ซื่อเย่ว์พุ่งทะยานไป สองหมัดตระเตรียม มันอัดแน่นไว้ด้วยสายลม
สีดำพร้อมสายฟ้าอสนีบาตม้วนวน
ฉินหยุนคุ้นเคยกับสถานการณ์เช่นนี้ดี มันคือพลังอันเหนือล้ำที่
วิญญาณยุทธ์สีดำมอบให้แก่ผู้ครอบครอง!
“ป้าเซี่ยว ท่านต้องระวัง!” ฉินหยุนกำหมัดแน่น เขาห่วงหาต่อเซี่ยว
เสวียนฉิน
เซี่ยวเสวียนฉินยังคงใช้งานพิณ เส้นสายถูกดีดอย่างรุนแรง มันมา
พร้อมคลื่นเสียงจากพิณพุ่งเข้าใส่ซื่อเย่ว์ที่พุ่งทะยานมา!
ซื่อเย่ว์คิดโจมตี ร่างกายกลับกลายต้องมีแต่บาดแผลเพราะคลื่นเสียง
จากพิณโจมตีเข้าใส่
เย่ว์โยวพลันตะโกนดัง “เย่ว์ฉิน ซื่อเย่ว์ พละกำลังพวกเจ้าทัดเทียม
กัน ถือว่าเสมอ อย่างนี้เป็นไร?”
“ได้!” เซี่ยวเสวียนฉินยอมรับ
“ไม่ได้! ข้าไม่ยอมรับ!” ซื่อเย่ว์ตะโกนดัง
กระนั้น ม่านพลังได้เปิดออกแล้ว และเย่ว์โยวก็ยืนหยัดที่ด้านบน
ลานประลองเป็นที่เรียบร้อย
ซื่อเย่ว์มีอารมณ์พุ่งสูง “องค์ราชินี เหตุใดท่านปกป้องนาง? หากพวก
เราต่อสู้กันต่อ ข้าอย่างไรก็ต้องชนะ!”
หยางฉีเย่ว์แค่นเสียงกล่าวคำ “หากสู้กันต่อ ผู้พ่ายแพ้จะกลายเป็นเจ้า!”
“โห? เจ้าเพียงขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูง กล้าดีอย่างไรอหังการ
อวดดีที่นี่? หรือเจ้าเองก็คิดอยากสู้กับข้า?” ซื่อเย่ว์เผยเสียงหัวเราะดัง
“ได้ อย่างนั้นจงเข้ามา! ข้าจะให้เจ้าได้พ่ายแพ้อย่างน่าสังเวช!” หยาง
ฉีเย่ว์กล่าวเสียงเย็นเยือก
“ข้าย่อมเห็นใบหน้าที่ไร้หน้ากากนั่น! เจ้าคือผู้งดงาม เหตุใดไม่เอา
เช่นนี้? หากเจ้าพ่ายแพ้ มอบบุตรหลานให้แก่พวกเราสักจำนวนหนึ่ง
เป็นไร?” ซื่อเย่ว์หัวเราะดังพร้อมเผยยิ้มโฉดชั่ว
“ซื่อเย่ว์ หากเจ้าสู้กับนาง ชะตาเจ้าคือความตาย!” เย่ว์โยวย่อมสัมผัส
ถึงโทสะของหยางฉีเย่ว์ นางจึงหันไปบอกกล่าว “อย่าได้ลดตัวเจ้ามา
เล่นกับคนเช่นซื่อเย่ว์แล้ว!”
ทันใดนี้เอง ฉินหยุนได้ก้าวเดินออกมาพร้อมกล่าว “ให้ข้าต่อสู้แทน
เป็นไร! ชายผู้นี้อหังการอวดดีนัก ด้วยเพราะอยากเห็นใบหน้ามัน
เจ็บช้ำ ทำให้ข้าไม่อาจอดกลั้นทนดูได้ไหวอีกต่อไป!”

ตอนที่ 742 จิตวิญญาณจันทราทมิฬ
ฉินหยุนหลบซ่อนที่ไกลออกไปและรับชม เขาต้องการได้เห็น ว่าถัด
จากนี้จะเกิดอันใดขึ้น ผู้ใดกันที่จะขึ้นไปต่อสู้
แม้หยางฉีเย่ว์ปรากฏตัว กระนั้นไม่มีผู้ใดจดจำนางได้ เพราะนางสวม
ใส่หน้ากากไว้
ฉินหยุนคุ้นเคยกับหยางฉีเย่ว์เป็นอย่างดี ดังนั้นแม้มองจากทาง
ด้านหลังก็สามารถทราบได้ว่าเป็นนาง
อย่างกะทันหัน ทหารชุดเกราะสีทองคำวัยกลางคนจึงพุ่งเข้ามาพูดคุย
กับเฉียหยิ่ง
“เหตุใดจึงเร่งรีบเพียงนี้?” เฉียหยิ่งเอ่ยถามเสียงเย็น
“หมูตัวนั้นหนีออกจากคุกใต้ดินคุมขังสัตว์ขอรับ!” อีกฝ่ายรายงาน
แจ้ง “หมูตัวนั้น คือจักรพรรดิสัตว์ราชันสวรรค์ขอรับ!”
“เป็นไปได้อย่างไร? สัตว์สวรรค์ที่ภายในนั้นไม่มีพลังเซียนแต่อย่าง
ใด พวกมันไม่มีทางหลบหนีออกจากกรงขังได้!” ใบหน้าเฉียหยิ่งเผย
อาการตื่นตะลึงขณะกล่าวเสียงเบา “ไปค้นหาให้ทั่วโดยเร็ว พวกเรา
ต้องจับตัวมันและนำกลับมาให้ได้!”
“พวกเรากำลังออกค้นหาขอรับ ทว่าไร้ซึ่งร่องรอย!” ชายวัยกลางคน
ในชุดเกราะทองคำกล่าวตอบ
ทหารผู้น้อยนายนี้ไม่กล่าวถึงเรื่องจับฉินหยุนคุมขัง เขาเป็นกังวลว่า
จะถูกต่อว่ากล่าวโทษมากขึ้น
“เจ้าจงไปหาหมูตัวนั้นให้เจอ! เมื่อใดถึงเวลาสังเวยต่อจันทราทมิฬ
พวกเราจำเป็นต้องใช้เลือดสัตว์สวรรค์อย่างเพียงพอ จริงด้วย เจ้าหา
แกนกลางดวงดาวเจอหรือยัง? ที่เทือกเขาภายนอกแห่งนั้นสมควรหา
ได้ง่ายดาย!” เฉียหยิ่งกล่าวถาม
เมื่อเรื่องแกนกลางดวงดาวถูกยกขึ้นมา ในใจของทั้งฉินหยุนและ
เซี่ยวเสวียนฉินต่างสะดุ้ง ภูเขาผลึกแก้วนั้น เป็นแกนกลางดวงดาว
ของจริง
และนั่นก็อยู่ในครอบครองของฉินหยุน!
“พวกเรายังไม่พบเจอเบาะแสใดเลยขอรับ!” ชายชุดเกราะสีทองส่าย
ศีรษะ
ถึงตอนนี้ เย่ว์โยวได้ขมวดคิ้วกล่าวคำ “เฉียหยิ่ง ลูกน้องเจ้าช่างไร้ค่า
นัก! แกนกลางดวงดาวขนาดใหญ่โตเท่าภูเขา ทั้งยังมีอุปกรณ์ใช้
ค้นหา เส้นทางก็เปิดไปนานแล้ว กระนั้นกลับยังหาไม่พบอีกอย่าง
นั้นหรือ?”
“ย้อนกลับไปตอนนั้น ข้าต้องลงแรงไปมากเพื่อนำดวงดาวนั่นลงมา
เจ้าสัญญาว่าจะเอาแกนกลางดวงดาวนั่นมาให้ได้ แล้วตอนนี้เล่า?”
“หากไม่มีแกนกลางดวงดาว พวกเราก็ไม่มีทางปลุกจันทราทมิฬ
ขึ้นมาได้!”
เย่ว์โยวโกรธเกรี้ยวแล้ว!
เฉียหยิ่งแค่นเสียงกล่าว “จันทราทมิฬตอนนี้อยู่ภายใต้การควบคุมข้า
หาได้ใช่ของเจ้า ยังมีอันใดให้เจ้าต้องกังวล?”
เย่ว์โยวยิ่งมีโทสะ “ตราบเท่าที่คนของข้าจัดการคนของเจ้าในการ
แข่งขันได้ จันทราทมิฬก็ตกเป็นของข้าแล้ว! ถึงตอนนั้น จะเป็นเพราะ
ลิ่วล้อไร้น้ำยาของเจ้าปล่อยให้สัตว์สวรรค์หนีหาย ทั้งยังไม่อาจหา
แกนกลางดวงดาวมาได้!”
“ข้าย่อมมีสัตว์สวรรค์มากมาย หมูหายไปตัวหนึ่งหาได้มีความหมาย
ใดไม่! ส่วนเรื่องแกนกลางดวงดาว นอกจากพวกเรา ยังจะมีผู้ใดเก็บ
มันไปได้? ด้วยไม่มีอุปกรณ์วิเศษเก็บของระดับอุปกรณ์เซียน มันไม่
มีทางเก็บไปได้ ไม่ช้าอย่างไรก็ต้องถูกพบเจอ!”
เซี่ยวเสวียนฉินพลันต้องลอบหวาดกลัว เพราะฉินหยุนสามารถเก็บ
ภูเขาผลึกแก้วแกนกลางดวงดาวนั้นได้ ตอนนี้นางค่อยได้ทราบ ว่า
อุปกรณ์วิเศษเก็บของของฉินหยุน มันเป็นถึงอุปกรณ์เซียน!
เซี่ยวเสวียนฉินไม่พูดกล่าวคำใดต่อเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้น ฉินหยุนจะตก
กลายเป็นเป้าหมาย
ฉินหยุนพอได้ทราบเรื่อง เขาบังเกิดความยินดีไม่รู้จบ
นั่นก็เพราะจันทราทมิฬยังไม่ได้ถูกครอบครองโดยผู้ใด!
ฉินหยุนติดต่อหาเหยาเฟิง บอกต่อนางถึงเรื่องราว
“ฉินหยุน นี่ถือเป็นข่าวดี! หากข้าคาดเดาไม่ผิด จันทราทมิฬนั้นสมควร
ซ่อนตัวอยู่ที่ใจกลางดวงจันทราจำแลง!” เหยาเฟิงเผยเสียงตื่นเต้น
“หากเจ้าสามารถคว้ามันมา เช่นนั้นมันจะมีบทบาทสำคัญแก่เจ้าอย่าง
มหาศาล!”
ฉินหยุนไม่กล่าวคำใด เขาเร่งรีบใช้งานความสามารถเทวะทะลุ
ทะลวงลงสู่พื้นดิน
เบื้องบน เย่ว์โยวและเฉียหยิ่งกำลังส่งคนขึ้นประลองต่อกัน
“พี่สาวเหยาเฟิง ข้ามีแกนกลางดวงดาวก็ใช่ ทว่าไม่มีโลหิตสัตว์
สวรรค์!” ฉินหยุนกล่าว
“เหตุใดเจ้ายังต้องการโลหิตสัตว์สวรรค์? เจ้าสามารถคว้าจันทรา
ทมิฬมาง่ายดายโดยอาศัยวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬ!” เหยาเฟิงกล่าว
“หากไม่ได้ผล เช่นนั้นให้พี่ชายหมูของเจ้าหลั่งเลือดสักหน่อยจะ
เป็นไรไป!”
ฉินหยุนสำรวจมองทางหมูราชันสวรรค์ในไข่มุกเม็ดที่สอง อีกฝ่าย
หลับไปแล้ว
เขานึกย้อนถึงสิ่งที่หมูราชันสวรรค์กล่าว เขาจงใจให้เย่ว์โยวเข้ามายัง
ที่แห่งนี้ เพื่อให้นางได้ฝึกฝนร่างศักด์ิสิทธ์ิจันทราทมิฬและใช้งาน
จันทราทมิฬ กระนั้น เย่ว์โยวกลับทำพลาดจนไม่อาจได้รับจันทรา
ทมิฬ
ฉินหยุนบอกเรื่องเย่ว์โยวต่อเหยาเฟิง
เหยาเฟิงพอได้ฟัง นางพบว่าเรื่องราวบังเอิญจนเกินไปจึงกล่าวออก
“เจ้าอย่าได้ห่วงหาเรื่องเย่ว์โยวแล้ว! ตัวเจ้าตอนนี้ต่างหากที่ต้องเร่ง
รีบเพิ่มพูนการฝึกฝน และเย่ว์โยวก็เป็นราชันเซียนที่ทรงอำนาจ ต่อ
ให้พลังของนางถูกผนึกเอาไว้ นางก็ยังเป็นเซียนที่ทรงอำนาจ!”
“เจ้าควรไปคว้าเอาจันทราทมิฬนั่นมาก่อนแล้วค่อยพูดกล่าวถึงเรื่อง
อื่น!”
ฉินหยุนใช้งานความสามารถเทวะทะลุทะลวง มุ่งหน้าไปยังใจกลาง
ของดวงจันทราจำแลง
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ในที่สุดฉินหยุนค่อยมาถึงที่ใจกลางของดวง
จันทราจำแลง
ที่แห่งนี้เป็นพื้นที่โล่งกว้าง มันมีไข่มุกสีดำสนิทกว้างกว่าสิบเมตรอยู่
ภายในห้องนี้ และที่พื้นผิวของมัน ก็มีอักขระสีขาวปรากฏคงอยู่
“โทเทมจันทรา? แต่ไม่เห็นคล้าย!” ฉินหยุนอุทาน
“เป็นโทเทมจันทราทมิฬ!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “นี่เป็นของดีล้ำ!”
ฉินหยุนคิดอยากให้เหยาเฟิงออกมา กระนั้นนางเป็นกังวลว่าจะถูก
เย่ว์โยวและเฉียหยิ่งพบเจอ ดังนั้นจึงไม่ออกมา
“เฉียหยิ่งคือผู้ใต้บัญชาของจักรพรรดิเซียน ข้าไม่คิดว่ามันจะมาอยู่
ที่นี่ คาดว่ามันมาที่นี่ก็เพื่อฉกชิงเอาจันทราทมิฬไป!” เหยาเฟิงแค่น
เสียงเย็นเยียบ “เย่ว์โยวช่างโง่เง่า โอกาสได้เข้าสู่เขตแดนอ้างว้าง
จันทราทมิฬหาพบพานได้ยาก ผ่านไปหนึ่งหมื่นปี นางก็ยังไม่อาจ
ยื่นมือเข้าถึงจันทราทมิฬได้!”
“พี่สาวเหยาเฟิง หมายความถึงเพราะข้าจัดฉากใส่ร้ายต่อเย่ว์โยว ทำ
ให้นางมีโอกาสได้ถูกผนึกในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬงั้นหรือ?”
ฉินหยุนกล่าวถาม
“ถูกต้อง! นี่ต้องเป็นการจงใจทำดีแก่นาง กระนั้นนางกลับไม่อาจ
คว้าจันทราทมิฬมาครอบครองได้!” เหยาเฟิงเองก็พบว่าแปลก
เพราะเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬหาได้ถูกผนึกโดยสมบูรณ์ ชัดเจน
ว่าต้องมีคนหลงเหลือเส้นทางเข้าออกเอาไว้
ย้อนกลับไปตอนนั้น ผู้คนที่ทำเรื่องเช่นนั้นได้มีน้อยนิด ฉินหยุนใน
ชาติภพก่อนคือหนึ่งในนั้น เพราะฉินหยุนในชาติภพก่อน คืออาจารย์
จารึกที่ทรงอำนาจ
ฉินหยุนมองทางทรงกลมสีดำทึบใหญ่ยักษ์ เขาเบะปากกล่าวคำ “นี่
คือจันทราทมิฬ? ดูไปเล็กยิ่ง ข้าจะคว้ามันมาได้อย่างไร?”
เหยาเฟิงกล่าว “เจ้าไม่ใช่บอกหรือว่าก่อนหน้านี้ได้รับภูเขาผลึกแก้ว
มา? ไม่ใช่ว่าในภูเขาผลึกแก้วมีไข่มุกอยู่หรอกหรือ? ไข่มุกนั่นคือจิต
วิญญาณจันทราทมิฬ หลังจันทราทมิฬดูดกลืนมันเข้าไป เจ้าก็
สามารถได้รับมันมา!”
หลิงหยุนเอ๋อร้องโพล่งยินดี “เสี่ยวหยุน ข้าจะคว้าเอาจันทราทมิฬนี้
มาให้สำเร็จ!”
ฉินหยุนจึงปลดปล่อยภูเขาผลึกแก้วออกมา
ใจกลางดวงจันทราจำแลงกว้างใหญ่ ปล่อยภูเขาออกมาสักหลายลูก
ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
ภูเขาผลึกแก้วเมื่อออกมาแล้ว ไข่มุกสีขาวภายในภูเขาพลันกะพริบ
ส่องลำแสงทะยานออก มันพุ่งเข้าหาจันทราทมิฬ
จันทราทมิฬที่ก่อนหน้าคล้ายไร้ซึ่งชีวิต หลังได้ดูดกลืนจิตวิญญาณ
จันทราทมิฬ มันเริ่มหมุนวน
ด้วยไม่มีจิตวิญญาณจันทราทมิฬ ฉินหยุนสามารถเก็บภูเขาผลึกแก้ว
ได้อย่างง่ายดาย นั่นคืออาหารอันโอชะแก่จอมราชันดวงดาวอสูร
“ถึงคราวข้าแล้ว!” หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะดัง “จันทราทมิฬน้อยที่รัก
เร่งรีบลงหม้อให้พี่สาวได้ตักกินแล้ว!”
หลิงหยุนเอ๋อควบคุมวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬ ปลดปล่อยพลังออก
จากแก่นเต๋าตะวันทมิฬ
แก่นเต๋าตะวันทมิฬทำงานเต็มที่ มันกำลังปลดปล่อยพลังอำนาจการ
กลืนกินรุนแรงออกมา
จันทราทมิฬเริ่มบิดเบี้ยว จากนั้นจึงแปรสภาพเป็นเส้นสายออร่าพลัง
ก่อนจะไหลเข้าไปยังหน้าท้องของฉินหยุน
จันทราทมิฬขนาดใหญ่ยักษ์ปลดปล่อยหมอกสีดำออกมา หลังถูกฉิน
หยุนดูดกลืนไปเรื่อย ขนาดของมันก็มีแต่จะหดเล็กลง
เช่นนี้ จันทราทมิฬจึงเข้าไปอยู่ในแก่นเต๋าตะวันทมิฬของฉินหยุนที
ละเล็กน้อยด้วยอาการอันสงบ
“หยุนเอ๋อ ไม่ใช่ว่าแก่นเต๋าตะวันทมิฬของข้าเป็นสิ่งท้าทายสวรรค์
ประการหนึ่งหรือไร? สิ่งที่เล็กเช่นนี้ ถึงขั้นดูดกลืนจันทราทมิฬได้
ทั้งดวง!” ฉินหยุนกล่าวอย่างอึ้งทึ่ง
“จันทราทมิฬนี้ต่างหากจึงเล็ก! ยิ่งไปกว่านั้น ตะวันทมิฬสามารถ
กระทั่งกลืนกินเก้าดวงตะวัน ครานี้เจ้าค่อยได้ทราบแล้วกระมัง ว่า
จันทราทมิฬนี้เล็กจ้อยเพียงใด?” หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะอย่างสุขใจ
ฉินหยุนไม่ทราบว่าผลประโยชน์ใดที่จันทราทมิฬจะนำพามาให้
ทั้งหมดที่เขาทราบ ก็เพียงแต่มันเป็นของดี ได้รับมาอย่างไรก็มีแต่
เรื่องดี
ฉินหยุนอยู่อย่างสบายใจที่ใจกลางดวงจันทราจำแลง ขณะที่บน
พื้นผิว เวลานี้เกิดการศึกตึงเครียดกำลังดำเนิน
“ราชันยุทธ์ จักรพรรดิยุทธ์ และครึ่งเซียน แม้ฝ่ายเราแข็งแกร่ง ทว่า
จำนวนน้อยเกินไปนัก! พวกมันจะเล่นสับเปลี่ยนคนไปเรื่อยจนพวก
เราไม่มีแรงเหลือให้ชนะ!” หยางฉีเย่ว์กล่าวเสียงเบา
“หากพวกเราไม่อาจชนะ เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ชนะ แม้ว่าจันทรา
ทมิฬเป็นของเฉียหยิ่ง มันก็ไม่มีจิตวิญญาณจันทราทมิฬที่อยู่ภายใน
แกนกลางดวงดาว อย่างไรมันก็ไม่มีวันได้รับ!” เย่ว์โยวก่ลาวเสียง
เบา “ข้าอยู่ที่นี่มานานหลายปี ทั้งยังได้ควบคุมสถานที่แห่งนี้หลาย
ครั้งครา กระนั้นก็ยังไม่มีวิธีคว้าเอาจันทราทมิฬนั้นมาครอง!”
“เย่ว์โยว เจ้ามีวิญญาณยุทธ์จันทราทมิฬ เจ้าทำอะไรไม่ได้เลยงั้น
หรือ?” หยางฉีเย่ว์เอ่ยถาม
“ข้าไม่อาจกลืนกินจันทราทมิฬ!” เย่ว์โยวกล่าวอย่างโกรธเคือง “ตัว
สารเลวนั่นใส่ร้ายข้า กักขังข้าเอาไว้ในสถานที่บัดซบเช่นนี้ ข้ายอมรับ
ว่าที่นี่มีจันทราทมิฬที่ยอดเยี่ยม กระนั้นข้ากลับไม่อาจทำอันใดกับ
มันได้!”
เซี่ยวเสวียนฉินพอได้ยิน นางขมวดคิ้วเล็กน้อย หากเป็นเช่นนั้นจริง
นั่นก็กระจ่างชัดแล้วว่าฉินหยุนจงใจให้เรื่องราวเป็นเช่นนี้
“ข้าต้องกล่าวโทษความโง่เขลาของท่านแล้ว! หากเป็นเสี่ยวหยุนที่
เข้ามา เขาย่อมสำเร็จไปนานนับแล้ว!” หยางฉีเย่ว์ยิ้มบางกล่าวคำ
“อย่าได้กล่าวถึงตัวบัดซบผู้นั้น! มันคือผู้ที่ทำให้ข้ายั่วยุศัตรูไปทั่ว ทำ
ให้ข้าต้องถูกกักขังไว้ที่นี่นานนับหมื่นปี หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าคง
สังหารมันทิ้งไปแล้ว!” เย่ว์โยวยิ่งกราดเกรี้ยว “ข้ายอมรับ ว่าตัว
บัดซบนั่นมีความสามารถน่าทึ่ง แต่ต่อให้เป็นมัน ก็ไม่มีทางลงมือได้
สำเร็จ!”
เปาเฉิงโฉ่ว แม่เฒ่าหยุนเหยา รวมถึงเจี้ยนสือเทียนและคณะ พวกเขา
ต่างหมดแรงจากการต่อสู้
ไม่มีผู้ใดในฝ่ายเย่ว์โยวที่สามารถขึ้นลานประลอง นางพ่ายแพ้แล้ว!
“เย่ว์โยว ครั้งจักรพรรดิเซียนยินยอมผนึกเจ้าเอาไว้ นั่นก็เป็นการ
กระทำเพื่อให้การส่งข้าเข้ามาเป็นไปอย่างสะดวก เพื่อที่พวกเราจะ
ได้ยึดครองจันทราทมิฬ! ผ่านมานานหลายปี ในที่สุดข้าก็ใกล้จะทำ
ได้สำเร็จแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า!” เฉียหยิ่งหัวเราะดังออกจากใจ
“เฉียหยิ่ง เจ้ามีจันทราทมิฬแล้วอย่างไร? ตัวเจ้าไม่อาจออกไป! ตราบ
เท่าที่ก้าวขึ้นเป็นเซียน ผู้นั้นจะไม่อาจออกไปจากโลงศพสีเงินได้
พ้น! มีแต่ข้าจึงทราบว่าทางออกอื่นนั้นอยู่ที่ใด!” เย่ว์โยวหัวเราะดัง
“หากเจ้าคิดอยากออกไป จงมอบจันทราทมิฬแก่ข้า ไม่เช่นนั้น เจ้าก็
มีแต่ต้องอยู่ที่นี่!”
“ว่าอะไร? โลงศพสีเงินนั่นไม่ใช่ทางออกที่แท้จริงงั้นหรือ?” เฉีย
หยิ่งร้องตะโกน
“นั่นไม่ใช่ทางออกสำหรับเซียนเช่นพวกเรา ฮ่าฮ่าฮ่า!” เย่ว์โยวยิ่ง
หัวเราะดัง
“ทางออกอื่นอยู่ที่ใด?” เฉียหยิ่งมีโทสะ “เจ้าถึงขั้นกล้าลวงหลอกต่อ
ข้า! บอกข้าว่าโลงศพสีเงินนั่นเป็นทางออก!”
“ไม่ใช่ว่าลูกน้องเจ้าก็ออกไปได้หรือ? ข้าหาได้หลอกเจ้าแม้สักนิด!”
เย่ว์โยวแค่นเสียง
“บัดซบ!” เฉียหยิ่งคิดอยากสังหาร กระนั้นเขาทราบ ว่ากำลังตนเอง
แทบทัดเทียมเย่ว์โยว เขาไม่มีทางเอาชนะนางได้โดยไม่สูญเสีย
ถึงตอนนี้เอง ฉินหยุนออกมาจากใจกลาง หลังได้รับฟังบทสนทนา
เขาจึงกล่าวภายใน “ตัวเราในชาติภพก่อนย่อมต้องบอกถึงทางออก
แท้จริงแก่เย่ว์โยว ทว่าเหตุใดสตรีนางนี้เกลียดชังเรานัก?”
“ไปกันได้แล้ว!” เย่ว์โยวเผยยิ้มเย็นนำเจี้ยนสือเทียนและคณะจากไป
เจี้ยนสือเทียน เปาเฉิงโฉ่ว และกลุ่มคนที่ต่อสู้ให้แก่เย่ว์โยวย่อมได้รับ
รางวัลตามที่ตกลงกันเอาไว้
เย่ว์โยวบินไปไกลพร้อมกลุ่มคน เฉียหยิ่งได้แต่รับชมด้วยดวงตาเบิก
กว้าง
ฉินหยุนจึงใช้โอกาสนี้ ส่งเสียงสื่อสารบอกต่อเซี่ยวเสวียนฉิน “ป้า
เซี่ยว ข้าฉินหยุนเอง! เมื่อใดท่านไป รบกวนลอบทิ้งสัญลักษณ์ไว้
ด้วย ข้าคิดอยากไปยังรังของนางเฒ่าเย่ว์โยวนั่น!”
เซี่ยวเสวียนฉินพอได้รับฟัง นางลอบตื่นตะลึง เพราะนางไม่คิด ว่า
ฉินหยุนจะมาถึงที่นี่ได้อย่างเงียบงัน
นางย่อมตอบรับฉินหยุน พร้อมบอกทิศทางแก่เขาโดยคร่าว
“เย่ว์โยวเอ๋ย เย่ว์โยว เจ้าไม่อาจทำเรื่องราวได้สำเร็จแม้ผ่านไปหมื่นปี
กลับต้องให้ข้ามาทำให้สำเร็จในเวลาอันสั้น ด้วยความสามารถอัน
น้อยนิดของเจ้า ยังกล้าดีคิดร้ายต่อข้าอีกอย่างนั้นหรือ!” ฉินหยุนคัน
ที่หัวใจคิดอยากเกา เขาลักลอบออกจากพระราชวังมุ่งหน้าสู่ฐานที่
มั่นของเย่ว์โยว

ตอนที่ 741 จักรพรรดิสัตว์ราชันสวรรค์

ฉินหยุนไม่อาจยอมรับได้ ว่าตนมีหมูตัวหนึ่งเป็นพี่ชาย
“เจ้าหนู เหตุใดยังทำตัวเช่นนี้? น้องหยุน เจ้าไม่อาจจดจำพี่ชายราชัน
สวรรค์ได้แล้วหรือ?”
“ต้องขออภัย ทว่าในความทรงจำข้าไม่มีพี่ชายเช่นนี้!” ฉินหยุนร้อง
โพล่งตอบ “แล้วก็อย่าได้เข้ามาใกล้ด้วย!”
หมูดำพลันร้องตะโกนดัง “น้องหยุน เหตุใดเจ้าอ่อนแอเพียงนี้? เกิด
อะไรขึ้นกับระดับการฝึกฝนราชันเซียนของเจ้า?”
ฉินหยุนนิ่ง เขาไม่คิดว่าจะมีผู้คนที่รู้จักตนเองในชาติภพก่อนคงอยู่
ภายในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ
“นามข้าฉินหยุน หาได้ใช่ราชันเซียนฝูหยุน!” ฉินหยุนตอบกลับ
“เข้าใจแล้ว เจ้าคงตายไปและถือกำเนิดขึ้นใหม่” หมูดำถอนหายใจ
อย่างโศกเศร้า “เจ้าถึงขั้นตายแล้ว เรื่องนี้เกินคาดยิ่งนัก!”
ฉินหยุนกระแอมไอแห้ง “พี่ชายหมู ท่านบอกต่อข้าได้หรือไม่ว่าจะ
ออกจากเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬนี้อย่างไร?”
หมูดำเร่งรีบเอ่ยถาม “อย่างนั้นบอกต่อข้า ภายนอกเกิดเรื่องใดขึ้น?
เจ้าเข้ามาได้อย่างไร?”
ฉินหยุนอธิบายโดยคร่าวถึงเรื่องโลงศพสีเงินขนาดใหญ่ยักษ์ให้แก่
หมูดำได้รับฟัง จากนั้นจึงบอกถึงเรื่องดวงจันทรามีปัญหา เขาขึ้นมา
รับชมดูจนถูกจับตัวได้เช่นนี้
“ขอข้าสงบใจสักประเดี๋ยว… ทางออกของเขตแดนอ้างว้างจันทรา
ทมิฬถึงกับไม่ได้ถูกผนึกเอาไว้!” หมูดำร้องกล่าว
ตอนนี้เอง ฉินหยุนค่อยส่งเสียงสื่อสารบอกต่อเหยาเฟิงในไข่มุกเม็ด
ที่สามของวิญญาณเทวะเก้าตะวัน “พี่สาวเหยาเฟิง ข้าถูกจับตัวคุมขัง
ในกรง จากนั้น ข้าพบเจอหมูตัวหนึ่ง! เขาบอกต่อข้า ว่าข้าคือราชัน
เซียนฝูหยุน และเขาคือราชันสวรรค์ ทั้งยังเป็นพี่ชายข้าในชาติภพ
ก่อน!”
เหยาเฟิงพอได้ฟัง นางถึงขั้นร้องออก “ราชันสวรรค์งั้นหรือ? เจ้ามี
พี่ชายเช่นนั้นจริง ชายผู้นั้นโด่งดังในแดนเซียนอ้างว้างเป็นอย่างยิ่ง!
ตามที่ได้ฟังมา อีกฝ่ายเป็นสัตว์สวรรค์อันแข็งแกร่ง ทว่าไม่เคยมีผู้ใด
พบเห็นร่างจริงของเขามาก่อน!”
“ว่าอะไร! จะบอกว่าเจ้าตัวนี้เป็นพี่ชายข้าจริงหรือ?” ฉินหยุนนั่งลง
กระแทกพื้นขณะจ้องมองหมูดำ
“บอกรายละเอียดให้ข้าฟัง!” เหยาเฟิงกล่าว
ฉินหยุนเริ่มอธิบายถึงสถานการณ์ภายในกรงให้เหยาเฟิงได้ทราบ
“เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬช่างเก็บงำความลับไว้มากมายนัก!
กระทั่งราชันสวรรค์ยังถูกจับตัวมาขังไว้!” น้ำเสียงของเหยาเฟิงเศร้า
หมอง “เจ้าหนู เจ้าตกอยู่ในปัญหาใหญ่แล้ว! ต่อให้เป็นข้า ก็ยังยาก
หากคิดหลบหนีออกไป!”
“อย่างนั้นผู้ใดคือราชันสวรรค์? เขาแข็งแกร่งกว่าท่านหรือ?” ฉินหยุน
เอ่ยถามอย่างตื่นตะลึง
“ย้อนกลับไปตอนนั้น แข็งแกร่งที่สุดคือจอมจักรพรรดิอสูรเซียน
และจอมจักรพรรดิเซียนอ้างว้าง ถัดจากนั้นจึงเป็นแปดราชันสวรรค์!
พี่ชายเจ้าเป็นถึงราชันสวรรค์ ถูกเรียกขานเป็นจักรพรรดิสัตว์ราชัน
สวรรค์!” เหยาเฟิงกล่าว
ฉินหยุนกล่าวอีกครั้ง “พี่สาวเหยาเฟิง หมูตัวนี้ไม่คล้ายมีกำลังอันใด!
เป็นปกติที่เขาจะหลบหนีออกไปไม่ได้!”
เหยาเฟิงตื่นตะลึงจนเร่งร้อนถาม “อย่างนั้นถามต่อเขา ว่ากำลังวังชา
เขาหายไปที่ใดหมดแล้ว!”
ฉินหยุนตบเรียกหมูดำพลางถาม “พี่ชายหมู ท่านสมควรแข็งแกร่ง
แล้วมันหายไปที่ใดหมดแล้ว?”
“ถูกตัวบัดซบนั่นฉกชิงไป เป็นจักรพรรดิเซียนนั่น! จากนั้นมันจึง
โยนข้ามาขังไว้ที่นี่! ย้อนกลับไปตอนนั้นที่ข้าหายตัวไป นับแต่วัน
นั้นข้าก็ถูกขังไว้ที่นี่!” หมูราชันสวรรค์ถอนหายใจกล่าว
ฉินหยุนจึงถ่ายทอดเรื่องราวต่อไปยังเหยาเฟิง
เหยาเฟิงคิดอยู่ครู่จึงค่อยกล่าว “ดูเหมือนจักรพรรดิเซียนกำลังคิดฝึก
ร่างเซียนอสูร!”
หมูราชันสวรรค์เอ่ยคำขึ้น “โชคข้ายังดี จิตวิญญาณข้ายังอยู่ที่นี่!
ส่วนผู้อื่น จิตวิญญาณพวกมันถูกแยกออก ที่หลงเหลือก็เพียงร่างที่
ว่างเปล่า ภายหลังพวกมันเหล่านั้นถูกกัดกิน! นับเป็นโชคดีที่ร่างข้า
เล็กยิ่ง ดังนั้นจึงไม่ถูกกิน!”
“พี่ชายหมู อย่างนั้นแล้วท่านไม่ทราบวิธีออกไปใช่หรือไม่?” ฉิน
หยุนถามย้ำ
“มีคนผู้เดียวที่ทราบวิธีออกไป!” หมูราชันสวรรค์กล่าวตอบ
“ผู้ใดกัน?” ฉินหยุนเร่งร้อนถาม
“เย่ว์โยว!” หมูราชันสวรรค์ตอบกลับ
ฉินหยุนกลอกตา
หมูราชันสวรรค์เอ่ยถามอย่างตระหนกตกใจ “น้องหยุน เจ้ามีความคิด
อย่างนั้นหรือ?”
ฉินหยุนบุ้ยปาก “ไม่มี! กระทั่งว่าข้าไม่ได้ตื่นรู้ความทรงจำจากชาติ
ภพก่อน เย่ว์โยวกลับยังเกลียดชังข้าจนแทบตายตก!”
หมูราชันสวรรค์ขมวดคิ้วกล่าว “นี่ไม่สมเหตุสมผล! หากเจ้าไม่ใช่
สาเหตุที่ทำให้นางถูกผนึกที่นี่ นางหรือจะยังมีชีวิตรอดจนถึงตอนนี้?
ย้อนกลับไปตอนนั้น เจ้าเจตนาก่อเรื่องให้นางถูกปิดล้อมจนถูกขังไว้
ที่นี่ ดังนั้นนางจึงสามารถกลืนกินจันทราทมิฬ และฝึกฝนร่างศักด์ิสิทธ์ิ
จันทราทมิฬขึ้นมาได้!”
“เรื่องราวเป็นเช่นนั้น? อย่างนั้นแล้วเหตุใดข้าไม่เพียงไปบอกให้นาง
ปล่อยข้าออกไปเล่า?” ฉินหยุนลุกขึ้นยืน “นางเกลียดชังข้ายาวนาน
ยิ่งนัก นางกล่าวว่านางต้องทุกข์ทรมานที่นี่มานานนับ! ช่างเป็นสตรี
ที่ร้ายกาจนัก!”
หมูราชันสวรรค์กล่าว “ข้าไม่ทราบเรื่องราวแน่ชัด โดยสรุป ต้นเหตุ
มันคงเกิดจากเรื่องที่เจ้าก่อขึ้น ก่อนไปจากที่นี่ เจ้าบอกนางว่าภายหลัง
จะพาออกไปจากสถานที่บัดซบแห่งนี้! ทั้งเจ้ายังมาพบข้าเป็นการลับ
กล่าวว่าภายหน้าจะมาช่วยข้าออกไป!”
“มีแต่ข้าต้องตื่นรู้ความทรงจำเมื่อชาติภพก่อนจึงค่อยทราบว่ามันเกิด
เรื่องอันใดขึ้น!” ฉินหยุนถอนหายใจยาว
เขาพยายามใช้ความสามารถเทวะทะลุทะลวง กระนั้นก็ไม่อาจทำได้
สำเร็จ
หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “เสี่ยวหยุน เจ้าจงใจใส่ร้ายเย่ว์โยวและกักขังนาง
ไว้ที่นี่ นั่นสมควรเป็นการกระทำเพื่อช่วยให้นางหลบหนีพ้นจาก
อันตราย พร้อมกันนี้ มันยังทำให้นางได้รับจันทราทมิฬ! ทว่าเป็น
นางที่เข้าใจเจ้าผิดไป!”
“เรื่องนี้พอไว้เท่านี้ก่อน เวลานี้สิ่งสำคัญคือจะออกไปจากสถานที่
บัดซบแห่งนี้อย่างไร!” ฉินหยุนเดินไปมาในกรงขัง
หมูราชันสวรรค์ได้เห็นฉินหยุนพยายามทุบตีกรงขังจึงกล่าวคำ
“น้องหยุน นั่นไม่ช่วยอะไร!”
อย่างกะทันหัน ฉินหยุนรับรู้ถึงแรงสั่นไหวเล็กน้อย
“ด้านบนสมควรเกิดการต่อสู้ขึ้นแล้ว!” ฉินหยุนกล่าว
“ดี เอาให้ที่นี่พังพินาศไปเลย ฮ่าฮ่า!” หมูราชันสวรรค์หัวเราะกล่าว
คำ
“จริงด้วย พี่ชายหมู ชาติภพก่อนข้าเป็นคนเลวร้ายจริงหรือ?” ฉิน
หยุนเอ่ยถาม “สตรีผู้นั้น เย่ว์โยว นางเกลียดชังข้าถึงกระดูกดำ!”
“นั่นไม่จริง! ข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนที่ดีเยี่ยมคนหนึ่ง!” หมูราชันสวรรค์
หัวเราะกล่าว “เจ้าก็แค่หยอกล้อสาวงามที่แข็งแกร่งไปทั่ว นั่นไม่ใช่
เรื่องปกติหรือ?”
“ปกติบิดาท่าน!”
ฉินหยุนเมื่อนึกถึงจิตสังหารของเย่ว์โยว เขายังต้องลอบหวาดกลัว
วนซ้ำ
“น้องหยุน เจ้าไม่ทราบ ย้อนกลับไปตอนนั้น หลายคนต่างอิจฉาสตรี
ข้างกายเจ้า เพราะพวกนางล้วนได้รับอุปกรณ์เซียนชั้นเลิศที่เจ้าสร้าง
ให้กันอย่างถ้วนหน้า!”
“ข้าเพียงทราบภายหลัง ว่าเจ้ามีข้อเบาะแว้งกับพวกนาง จากนั้นจึง
เริ่มมีการทะเลาะกันไปบ้าง แต่นั่นก็เรื่องปกติธรรมดา!” หมูราชัน
สวรรค์หัวเราะกล่าว
ฉินหยุนตอบคำ “พี่ชายหมู ข้าจะแหกกรงขังนี่ออกไปได้อย่างไร?”
หมูราชันสวรรค์ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงกล่าวตอบ “ใช้อัคคีเพลิง! มัน
สามารถทำลายลงได้ เพียงใช้อัคคีลึกล้ำเก้าสวรรค์!”
ฉินหยุนย่อมนึกถึงเป็ดน้อยหยางหยาง นั่นคือนกกระจอกลึกล้ำเก้า
สวรรค์ มันเป็นสัตว์เทวะทรงพลังอำนาจ กระนั้นตอนนี้ยังคงอยู่
ระหว่างการหลับใหล
“ฉินหยุน ให้ข้าออกไปทดลองดู!” เหยาเฟิงกล่าว
นางกล่าวคำจบ จึงปรากฏตัวที่ภายในกรงขัง
หมูราชันสวรรค์พอรับรู้ถึงพลังอำนาจรุนแรง เขาร้องออกตระหนก
ตกใจ “วิเศษนัก นี่เจ้าเป็นใคร?”
เหยาเฟิงไม่กล่าวคำใด ที่ทำก็เพียงคำรามเสียงแหบห้าวพร้อมปลด
ปล่อยพลังสีดำชวนขนหัวออกมาขุมหนึ่ง
เหล็กสีดำของกรงขัง เวลานี้มันเริ่มหลอมละลายทีละน้อย!
ทันใดนี้เอง ม่านพลังพลันแตกออก
เหยาเฟิงลงมือเรียบร้อย นางอ่อนแรงลงอย่างมาก จนต้องเร่งรีบกลับ
เข้าสู่ไข่มุกเม็ดที่สามของวิญญาณเทวะเก้าตะวัน
“ฉินหยุน ข้าต้องพักชั่วระยะเวลาหนึ่ง ที่เหลือขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว!”
เหยาเฟิงบอกต่อฉินหยุน
การทำลายกรงขัง ย่อมทำให้เกิดความตระหนกต่อผู้อื่นที่ถูกคุมขังอยู่
ฉินหยุนเร่งรีบคว้าร่างหมูราชันสวรรค์ที่ตื่นเต้นยินดี ใช้พลังเงาหลบ
ซ่อนตัวตนในความมืด
ภายในคุกใต้ดิน มีแต่กรงขังที่สามารถขวางกั้นความสามารถเทวะ
เอาไว้ได้
เมื่อเป็นอิสระจากกรงขัง ฉินหยุนจึงสามารถใช้ความสามารถเทวะ
ทะลุทะลวง
ฉินหยุนแบกร่างหมูราชันสวรรค์ไป พร้อมใช้ความสามารถเทวะ
ทะลุทะลวง หลังทะลุผ่านออกมาได้ เขาจึงปรากฏที่บนพื้นดิน
เพื่อให้ง่ายต่อการลงมือ ฉินหยุนจึงเร่งรีบเก็บหมูราชันสวรรค์ไว้
ภายในไข่มุกเม็ดที่สองของวิญญาณเทวะเก้าตะวัน
หมูราชันสวรรค์ ในที่สุดได้มีโอกาสหลุดพ้นจากกรงขังที่อยู่มา
ยาวนานนับหมื่นปี เวลานี้เขายินดีขนาดร้องออกเสียงดัง ทั้งยังกล่าว
ชื่นชมน้องชายตนเองไม่ขาด
ฉินหยุนละความสนใจจากหมูราชันสวรรค์เป็นการชั่วคราว เวลานี้ที่
เขาต้องทำคือซ่อนตัวตน ในความมืด เขาสามารถใช้พลังเงา
สาเหตุว่าทำไมเขาจึงถูกจับตัวก่อนหน้า ก็เพราะเป็นเพียงร่างโปร่ง
แสงจึงทำให้ถูกพบเจอได้
หากเขาใช้งานพลังเงา อีกฝ่ายก็ยากพบเจอแล้ว
ท้องฟ้ายังคงสว่างไสว เขาไม่กล้าวิ่งเพ่นพ่านไปทั่วเพราะเกรงว่าจะ
ถูกจับตัวอีกครั้งหนึ่ง
ฉินหยุนหลบซ่อนใต้พุ่มไม้ดำมืด ตราบเท่าที่แสงไม่รุนแรงมากพอ
เขายังสามารถหลบซ่อนในความมืดต่อไปได้
ยิ่งมาคนยิ่งมาก พวกเขาเหล่านี้กำลังออกตามหาตัวเขาที่หลบหนี
เพราะไม่เคยมีผู้ใดหลบหนีจากคุกใต้ดินได้มาก่อน
“น้องหยุน บุคคลผิวสีดำผู้นั้นเป็นใคร? อีกฝ่ายแข็งแกร่งน่าประทับใจ
นัก ถึงขั้นทำลายกรงขังนั่นได้!” หมูราชันสวรรค์ร้องตะโกนถามดัง
จากภายในวิญญาณเทวะเก้าตะวัน
“ข้าเองก็ไม่ทราบเรื่องนางเท่าใดนัก! นามของนางคือเหยาเฟิง ท่าน
เคยได้ยินเรื่องของนางหรือไม่? เป็นสตรี!” ฉินหยุนกล่าว “ทั้งนี้ นาง
ยังโดนจอมจักรพรรดิอสูรเซียนสาป!”
“ข้าย่อมไม่ทราบ! จอมจักรพรรดิอสูรเซียนถึงขั้นลงมือสาปผู้คน หา
ได้ยากยิ่งนัก! เหมือนว่าสตรีผู้นี้จะทรงอำนาจยิ่ง!” หมูราชันสวรรค์
หัวเราะ “น้องหยุน เจ้าช่างยอดเยี่ยม ถึงขั้นมีสตรีแข็งแกร่งอยู่ข้าง
กายไม่ขาด!”
“พี่ชายหมู ท่านตัดสินใจหรือยังว่าภายหน้าคิดทำอันใด? การฝึกฝน
ท่านมลายหาย ภายหน้าคิดทำอย่างไรดี?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“อย่าได้ห่วงไปแล้ว! เมื่อใดได้ออกไปพ้นจากเขตแดนอ้างว้างจันทรา
ทมิฬ ข้าจะฝึกฝนเสียใหม่ ทั้งยังจะได้เป็นราชันเซียนที่แข็งแกร่งอย่าง
รวดเร็ว!” หมูราชันสวรรค์หัวเราะยินดี “น้องหยุน แม้เจ้ากลับชาติมา
เกิด และไม่มีความทรงจำในชาติภพก่อน กระนั้นก็ยังรักษาสัญญาที่
จะมาช่วยข้า!”
ฉินหยุนรู้สึก ว่าเรื่องราวคล้ายประจวบบังเอิญเกินไป เพราะเขาถึง
ขั้นได้พบพี่ชายในชาติภพก่อนที่นี่
ฟ้ามืด!
ฉินหยุนกล้าเคลื่อนไหวก็เวลานี้ เขาไปตามทิศทางที่เกิดแผ่นดินสั่น
ไหว ทุกย่างก้าวเป็นไปอย่างระแวดระวัง
แม้หลายคนอยู่ที่นี่ กระนั้นกลับไม่มีผู้ใดพบเห็นเขาแม้เพียงผู้เดียว
“พลังเงาช่างยอดเยี่ยมนัก!” ฉินหยุนชื่นชม
“แหงอยู่แล้ว! อย่างไรแล้วนั่นก็เป็นพลังของวิญญาณยุทธ์ตะวัน
ทมิฬ!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “เพียงทำให้ร่างกายเจ้าโปร่งแสงนั้นไม่
พอซ่อนเร้น!”
คลื่นกระแทกปรากฏครั้งแล้วครั้งเล่า มันมาจากพื้นที่ซึ่งเป็นภายใน
ของพระราชวัง
ฉินหยุนมาถึงพื้นที่ส่วนทางใต้สุด ที่แห่งนั้นเป็นลานกว้างขนาด
ใหญ่ ทันทีเมื่อมาถึง เขาได้เห็นเย่ว์โยว!
เย่ว์โยวสวมใส่ชุดสีดำ เส้นผมสีเงินงดงามของนางพลิ้วไหวกับสาย
ลม ทั้งยังสวมหน้ากาก ใบหน้าไม่อาจพบเห็นได้
นอกจากเย่ว์โยวแล้ว ยังมีอีกหลายคนอยู่ที่นี่
เปาเฉิงโฉ่ว เจี้ยนสือเทียน ทั้งยังมีเชี่ยวเสวียนฉินและหยางฉีเย่ว์!
ฉินหยุนเร่งรีบพิจารณา ว่าที่นี่มีคนแบ่งออกเป็นสองฝ่าย
เปาเฉิงโฉ่ว เจี้ยนสือเทียน แม่เฒ่าหยุนเหยา รวมถึงผู้อื่นอยู่ฝ่ายเย่ว์
โยว จำนวนรวมบุคคลทั้งสิ้นมีน้อยนิดยิ่งนัก
อีกฝ่ายมีจำนวนคนมากกว่า พวกเขาเหล่านั้นเป็นคนของตระกูลหลง
และหุบเขาเซียนโอสถ กล่าวได้ว่าอีกฝ่ายมีพลังอำนาจพอให้สะกด
ข่มคณะของเจี้ยนสือเทียน
ผู้นำอีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มหล่อเหลา เขาครอบครองเส้นผมสีเงินและ
ชุดเกราะดำ
ชายหนุ่มหล่อเหลาผู้นั้นเผยยิ้มอหังการ “เย่ว์โยว แม้ว่าเจ้าคือผู้ที่นำ
กลุ่มคนเหล่านี้เข้ามา กระนั้นเวลานี้ส่วนใหญ่เลือกยืนหยัดเคียงข้าง
ข้า จากที่เห็น ชัดเจนว่าเจ้าไม่อาจซื้อใจผู้คนได้!”
“เฉียหยิ่ง เจ้าก็อาศัยแต่กลลวงต่ำช้าให้พวกนั้นยืนหยัดเคียงข้างเจ้า!
จงเข้ามาและต่อสู้ แม้ฝ่ายข้ามีคนไม่มาก กระนั้นคิดเอาชนะฝ่ายเจ้า
หาได้ใช่ปัญหาไม่!” เย่ว์โยวแค่นเสียงกล่าวคำดังขึ้น

ตอนที่ 740 จันทราจำแลง
หลังจากฉินหยุนบุกฝ่ากลุ่มคนเถื่อนมาได้ เขาจึงเดินเตร่ไปทั่วทั้งป่ า
เขายังไม่ทราบว่าจะออกจากเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬอย่างไร
“หยุนเอ๋อ ก่อนหน้านี้ ข้าใช้พลังของวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬเข้าสู่
เขตแดนอ้างว้างสัตว์สวรรค์ได้สำเร็จ! อย่างนั้นข้าสามารถใช้วิธี
เดียวกันนี้กับสถานที่แห่งนี้ได้หรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ไม่ได้ มิติของเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬแข็งแกร่ง มันแข็งแกร่ง
ยิ่งกว่าเขตแดนอ้างว้างสัตว์สวรรค์!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “ระหว่าง
ที่มา ข้าเข้าสู่สภาพจำศีลเพราะหวาดกลัวต่อเย่ว์โยว ไม่อย่างนั้น ข้า
คงจดจำเส้นทางที่ใช้มาได้แล้ว!”
ฉินหยุนได้แต่ต้องคิดหาทางอื่น
“เสี่ยวหยุน เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬสมควรต้องมีสิ่งอื่นคงอยู่
แน่! เป็นไปไม่ได้ที่เขตแดนอ้างว้างกว้างใหญ่เพียงนี้จะว่างเปล่า!”
หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “บางทีอาจมีผู้อื่นอยู่ที่นี่! หากเจ้าหาผู้อื่นได้พบ
เช่นนั้นเจ้าก็อาจออกไปได้!”
“ข้าสงสัย ว่าจ้าวสำนักและผู้อื่นไปอยู่ที่ใดกันแล้ว” ฉินหยุนถอน
หายใจกล่าวคำ “หวังว่าป้าเซี่ยวจะปลอดภัย”
“เย่ว์โยวไม่สังหารเจ้า ดังนั้นป้าเซี่ยวก็ไม่น่าจะเผชิญอันตรายใด”
หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
ฉินหยุนเดินไปทั่วป่ าอยู่หลายวัน กระนั้นก็ยังไม่พบเจออันใด เขา
เพียงแต่รู้สึกว่าดวงจันทราค่อนข้างแปลก
ฟ้ามืด ฉินหยุนบินขึ้นสูง มองขึ้นไปยังดวงจันทรา เขาใช้พลังจิตเพื่อ
เข้าสู่ไข่มุกเม็ดที่สามของวิญญาณเทวะเก้าตะวัน ส่งเสียงสื่อสารร้อง
บอกด้านใน “พี่สาวเหยาเฟิง ข้ารู้สึกว่าดวงจันทรานี้แปลก ท่าน
ออกมารับชมมันได้หรือไม่?”
ทันทีเมื่อพูดกล่าวจบ หมอกสีดำจึงปรากฏ เหยาเฟิงออกมาสู่ภายนอก
อย่างรวดเร็ว
นางเองก็ต้องการให้ฉินหยุนออกจากที่นี่โดยเร็ว เพื่อที่นางจะได้ช่วย
ให้เขาแข็งแกร่งขึ้น
เหยาเฟิงที่ได้เห็นดวงจันทรา นางขมวดคิ้วกล่าว “นี่แปลกจริง! เจ้า
อยู่ที่นี่หลายวันแล้ว กระนั้นดวงจันทรากลับเต็มดวงอยู่ตลอด นี่
ไม่ใช่ดวงจันทราที่พวกเราคุ้นเคยด้วย!”
ฉินหยุนคิดตาม เขารู้สึกว่าเป็นจริงดังที่ว่า
“อย่างนั้น… ดวงจันทรานี้คืออะไร?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ ก็สมควรต้องมีจันทราทมิฬ! และจันทรา
ทมิฬมักจะมาพร้อมดวงจันทราธรรมดา! ในช่วงกลางวัน จันทรา
ทมิฬจะปรากฏ ขณะที่ช่วงกลางคืน ดวงจันทราปกติจะปรากฏ! ดวง
จันทราปกติจะไม่มีทางเต็มดวงได้ตลอด!”
เหยาเฟิงกล่าว “นี่หมายความถึง… ดวงจันทรานี้เป็นของปลอม!”
ฉินหยุนขมวดคิ้ว “ดวงจันทรานี้มีหมอกโดยตลอด ข้าเพียงคิดว่า
หมอกนี้ไม่ปกติ ไม่นึกว่าจะเป็นของปลอมทั้งดวง!”
เหยาเฟิงกล่าวต่อ “ระหว่างกลางวันนั้นไม่มีจันทราสีดำบนฟากฟ้า
นั่นหมายความถึง จันทราทมิฬได้อยู่ในการควบคุมของใครบางคน
และดวงจันทราจำแลงนี้ สมควรเป็นดวงดาวขนาดใหญ่!”
“เป็นไปได้ว่าเย่ว์โยวควบคุมจันทราทมิฬไว้?” ฉินหยุนพลันรู้สึก ว่า
เย่ว์โยวผู้นี้คล้ายไม่ธรรมดายิ่งขึ้น
“ไม่ใช่ หากนางควบคุมจันทราทมิฬ นางสมควรกลับไปล้างแค้นที่
แดนเซียนอ้างว้างเสียนานแล้ว!” เหยาเฟิงกล่าว “ยังคงมีบุคคลผู้
เหนือล้ำคงอยู่ภายในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬแห่งนี้!”
ฉินหยุนบุ้ยปากกล่าวคำ “นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้ารับมือได้ไหว ข้าเพียงคิด
อยากออกไปจากที่นี่!”
“หากเจ้าต้องการออกไป ตรวจสอบจันทราจำแลงนั่นดู บางทีเจ้าอาจ
ได้ทราบเบาะแสอะไรมาบ้าง!” เหยาเฟิงกล่าวคำจบ นางจึงกลับเข้าสู่
วิญญาณเทวะเก้าตะวัน
ในเมื่อเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬกว้างใหญ่ เขาจึงไม่ทราบว่าควร
ค้นหาทางออกที่ใด ที่ทำได้ ก็มีแต่ทำตามที่เหยาเฟิงกล่าว โดยการ
บินไปสำรวจดวงจันทราจำแลงบนฟากฟ้า
“หยุนเอ๋อ จันทราจำแลงนี้ไม่คล้ายว่าจะเป็นของปลอมสักนิด!”
ฉินหยุนเมื่อเข้าไปใกล้ เขาจึงยิ้มกล่าว “เหมือนว่าจะสัมผัสพลัง
จันทราจากมันได้ด้วยซ้ำ!”
“หากเป็นจริง หมายความถึงจันทราทมิฬต้องคงอยู่ด้านบนฟากฟ้า!”
หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
“จะบอกว่าจันทราทมิฬซ่อนตัวอยู่ภายในดวงจันทราจำแลงงั้น
หรือ?” ฉินหยุนเกิดอาการตื่นเต้นขึ้นมาพลางเร่งความเร็ว
ขณะบินขึ้นสูง เขาสัมผัสได้ถึงออร่าผู้อื่น
“มีคนอยู่แถวนี้!” หลิงหยุนเอ๋อร้องโพล่งออก
ฉินหยุนแปรสภาพร่างกายเป็นโปร่งแสงโดยทันที
เป็นดังคำเตือน ใกล้เคียงนี้มีหลายผู้คน ทั้งยังเป็นกลุ่มใหญ่
กลุ่มคนเหล่านี้ขึ้นขี่พยัคฆ์มีปีกร่างใหญ่โต พวกเขาสวมใส่ชุดเกราะ
สีเงินพร้อมถือหอกยาวในมือ เวลานี้กำลังบินโดยตั้งขบวนอย่างงดงาม
“ฝึกกำลังพลงั้นหรือ?” ฉินหยุนอุทานภายในใจ
“เป็นไปได้! นี่น่าจะข้องเกี่ยวกับจันทราจำแลง!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
อย่างตระหนก “เร่งรีบขึ้นไปรับชมมัน!”
ดวงจันทรานี้เป็นของปลอมอย่างแท้จริง ขนาดของมันไม่ใหญ่
เพราะระยะห่างจากพื้นเพียงน้อยนิด แต่ด้วยเพราะอยู่บนฟากฟ้า ทำ
ให้ผู้คนมองว่ามันใหญ่
พื้นผิวของดวงจันทราจำแลง มีแต่ก้อนหินกระจายอยู่ทั่ว
ฉินหยุนทำให้ร่างตนเองโปร่งแสงขณะรุกคืบอย่างระแวดระวัง
“สงสัยว่ากลุ่มคนที่ลาดตระเวนนั่นจะเป็นคนของเย่ว์โยว!” ฉินหยุน
เดินสำรวจบนดวงจันทราจำแลงอย่างไร้จุดหมาย
ที่บนดวงจันทราจำแลง หลายครั้งครา เขาจะพบกำลังพลสวมใส่ชุด
เกราะสีเงินเดินลาดตระเวน กระนั้นอีกฝ่ายไม่อาจพบเห็นเขาได้
นอกจากนี้ เขายังลักลอบติดตามกลุ่มกำลังพลชุดเกราะสีเงินนี้ไป
เขาติดตามอยู่กว่าครึ่งวัน เมื่อได้เห็นว่ากำลังพลชุดเกราะสีเงินบินไป
ไกล เขาจึงปล่อยวางที่เท่านั้น
ช่วงกลางวัน จันทราจำแลงจะถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา ดังนั้นจึง
เป็นเรื่องยากพบเห็นมัน
ฉินหยุนจึงค่อยเข้าใจ ว่าเหตุใดช่วงกลางวันจึงมีหมอกหนา
“พื้นดินเริ่มสั่นไหว!” ฉินหยุนหยุดชะงักขณะสำรวจตรวจสอบ
อึดใจถัดมา เขาตระหนักได้ว่าแรงสั่นสะเทือนนี้ยังคงดำเนินต่อเนื่อง
“วิเศษนัก! ลองติดตามไปหาแหล่งกำเนิดแรงสั่นสะเทือนคงได้ทราบ
ว่าผู้ใดลงมือ!” ฉินหยุนกำลังเป็นกังวลอยู่พอดี ว่าตนจะไม่อาจพบ
เจอผู้ใด
เขาครอบครองวิญญาณยุทธ์สั่นไหว ดังนั้นจึงเร็วสัมผัสต่อแรงสั่นไหว
แม้เพียงเล็กน้อย เพราะเหตุนั้นเขาจึงสามารถติดตามแรงสั่นไหวเจือ
จางไปยังต้นตอแหล่งกำเนิด
ฉินหยุนแปรเปลี่ยนร่างเป็นโปร่งแสง หลังวิ่งอยู่กว่าครึ่งวัน เขาค่อย
ได้เห็นพระราชวังแห่งหนึ่ง
“นี่สมควรเป็นอาณาเขตของเย่ว์โยวแล้ว!”
ฉินหยุนหวาดกลัวต่อเย่ว์โยว หากเขาถูกจับตัวได้ เย่ว์โยวจะต้องนำ
เขาไปยังสถานที่ซึ่งอันตรายยิ่งกว่าก่อนหน้า
ขณะเข้าไปใกล้พระราชวัง เขาจึงพบเจอกับกำลังพลลาดตระเวน
กลุ่มกำลังพลที่ลาดตระเวนนี้สวมใส่ชุดเกราะสีดำ ออร่าที่เผยออก
แข็งแกร่งยิ่ง พวกเขาเหล่านี้คือราชันยุทธ์!
“ผู้ใด?” ผู้นำขบวนลาดตระเวนร้องตะโกนขึ้น
ฟึ่บ!
พริบตา ตาข่ายขนาดใหญ่ถูกโยนออก
ฉินหยุนคิดใช้ความสามารถเทวะทะลุทะลวง กระนั้นกลับไม่อาจ
ทะลวงผ่านตาข่ายไปได้
“อึก!” เขาร้องเจ็บปวด มันเป็นความเจ็บปวดที่แทรกเข้ามาในร่าง
อย่างไม่อาจต่อต้าน
ฉินหยุนจำต้องเผยตัวออก
“เป็นปลาที่หลุดรอดมาได้นี่เอง! จับตัวมันไปขังในคุกใต้ดิน!”
ผู้นำขบวนทัพนี้แข็งแกร่งยิ่ง จากออร่าอีกฝ่าย สมควรเป็นจักรพรรดิ
ยุทธ์แล้ว
“ชายผู้นี้น่าทึ่งนัก ถึงขั้นหลุดรอดมาจนถึงที่นี่ได้!” ชายวัยกลางคน
ในชุดเกราะดำเดินเข้ามา จับตัวฉินหยุนนำใส่ไว้ในกรงขัง
ฉินหยุนที่ถูกโยนเข้ากรงขัง เขาทำได้แต่จำต้องยอมรับ
เพราะกรงขังนี้ทรงอำนาจยิ่ง มันมีอักขระโบราณก่อตัวเป็นค่าย
อาคมไว้ป้องกันผู้คนหลบหนี
“เสี่ยวหยุน กรงนี้ขังได้แม้กระทั่งเซียน เจ้าไม่อาจหลบหนีได้!” หลิง
หยุนเอ๋อกล่าว “อย่าได้กลัวไป ยังมีเหยาเฟิงให้พึ่งพา!”
ฉินหยุนพอนึกถึงเหยาเฟิง เขาค่อยสงบใจลงได้บ้าง
ไม่นานนัก ฉินหยุนจึงถูกนำไปยังพระราชวังโบราณ สิ่งปลูกสร้าง
ภายในค่อนข้างเรียบง่ายและเก่าแก่
ฉินหยุนถูกนำสู่บ้านหลังใหญ่ทางปีกตะวันตกของพระราชวัง มันมี
หลุมลึกในบ้านที่นำสู่เบื้องล่าง
“ลงไป!” ชายวัยกลางคนโยนทั้งกรงขังลงมา
ตู้ม!
กรงขังร่วงหล่นกระแทกพื้นหนักหน่วง
ฉินหยุนเพียงรู้สึกไม่สบายตัวไปบ้าง เขาไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
เมื่อร่วงหล่นลงมา หลายคนจึงเข้ามาเปิดกรงขัง
ที่ทำฉินหยุนตื่นตะลึงที่สุด คือท่ามกลางคนกลุ่มนี้ มีจักรพรรดิยุทธ์
สองคน ส่วนที่เหลือเป็นราชันยุทธ์
“เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬไม่ใช่ธรรมดาแล้ว!” ฉินหยุนต้องนึก
ทึ่งภายในต่อเรื่องราวนี้
กรงขังถูกเปิด ฉินหยุนถูกตาข่ายปกคลุมร่างเพื่อไม่ให้หลบหนี ก่อน
จะถูกลากไปยังสถานที่แห่งอื่น
คุกใต้ดินมืดอย่างยิ่ง ทว่าฉินหยุนยังสามารถมองเห็นได้กระจ่างชัด
เขานึกไม่ถึง ว่าคุกใต้ดินจะกว้างขวางถึงเพียงนี้
มันเปรียบเสมือนพระราชวังใต้ดิน มีกรงขังน้อยใหญ่หลากหลาย
กรงขังใหญ่บางกรง มันได้คุมขังร่างสัตว์ขนาดใหญ่สูงกว่าหลายสิบ
เมตรเอาไว้
ผู้ซึ่งถูกขังในคุกใต้ดิน ล้วนแต่เป็นสัตว์ร้าย!
หลิงหยุนเอ๋อสามารถเรียงรายนามของสัตว์เหล่านี้ออกมา พวกมัน
เป็นตัวตนจากครั้งโบราณ ปัจจุบันกล่าวได้ว่าหาพบพานยากยิ่ง
“เหตุใดที่นี่มีสัตว์ร้ายมากมายเพียงนี้?” ฉินหยุนเริ่มหวาดกลัว
“พวกมันล้วนถูกจับตัวมา ทั้งยังถูกขังไว้ที่นี่เป็นเวลายาวนานหลายปี
แล้ว!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “ในคุกใต้ดินแห่งนี้ พลังงานพิเศษจะ
สามารถยับยั้งการบริโภคของสัตว์ได้!”
“หรือจะเป็นพลังจากจันทราทมิฬ?” ระหว่างฉินหยุนและหลิงหยุน
เอ๋อหารือต่อกัน เขาถูกโยนใส่เข้าในกรงขนาดเล็ก
กรงนี้แม้กล่าวว่าเล็ก แต่นั่นก็คือขนาดที่เทียบเปรียบกับสัตว์ร้าย
ขนาดยักษ์ สำหรับฉินหยุน มันยังคงใหญ่มาก
ฉินหยุนรู้สึกว่าด้วยเหยาเฟิงอยู่ที่นี่ เขาคงไม่ถูกกักขังเป็นเวลานาน
เกินไปนัก
ที่เขาสงสัยตอนนี้ คือความลับใดที่ซุกซ่อนไว้ในดวงจันทราจำแลง
อุ๊ด อุ๊ด อุ๊ด!
จากด้านในกรงอันมืดมิด ฉับพลันมันมีเสียงร้องดังให้ได้ยิน ตัวตนสี
ดำกำลังนอนอยู่บนพื้นหญ้าที่ปูไว้ด้านล่าง
ฉินหยุนพิจารณาให้ดี พบว่าเป็นหมูดำตัวน้อย
“หมูร้องอย่างนั้นหรือ?” ฉินหยุนมองที่หมูตรงหน้าก่อนจะพบว่า
แปลก เขาส่ายศีรษะและเพียงยิ้มกับตนเอง
“เจ้าสิหมู!” หมูตัวนั้นพลันกล่าวคำขึ้น
ฉินหยุนนิ่งอึ้ง จากนั้นเขาจึงค่อยเผยยิ้ม “พูดได้ด้วย? อย่างนั้นบอก
ต่อข้า หากไม่ใช่หมู แล้วเจ้าคือตัวอะไร?”
“เป็นบิดาเจ้า ราชันสวรรค์!” หมูดำร้องตะโกน
“ราชันสวรรค์อย่างนั้นหรือ? ผู้ใดกันเล่า?” ฉินหยุนส่ายศีรษะยิ้ม
ตอบ
“ปุถุชนผู้โง่เขลา แม้ข้าบอกออกไป เจ้าก็ไม่มีวันได้ทราบเข้าใจ!”
หมูดำพอกล่าวคำจบ มันจึงเดินเข้ามาหาฉินหยุน
แม้ที่นี่มืดมิด กระนั้นสายตาของหมูดำคล้ายดีเยี่ยม มันมองที่ฉินหยุน
ดวงตานั้นไม่คล้ายเป็นหมู ทั้งยังเผยอาการตื่นตะลึงอย่างเด่นชัด
“เป็นเจ้า!” หมูดำร้องตะโกนอย่างนึกหวาดกลัว “เจ้าแท้จริงถูกจับตัว
นำมาที่นี่งั้นหรือ? เป็นไปได้อย่างไร?”
“รู้จักข้าด้วย?” ฉินหยุนขมวดคิ้วถาม
“น้องชาย ข้าเป็นพี่ชายเจ้า! จำข้าไม่ได้หรือไร?” หมูดำร้องออกเสียงดัง
“เจ้าหรือเป็นพี่ชายข้า? อย่าได้กล่าววาจาไร้สาระ!” ฉินหยุนมองที่
หมูดำก่อนจะเผยเสียงหัวเราะดัง
“ราชันเซียนฝูหยุน เป็นข้าเอง! ข้าคือพี่ชายราชันสวรรค์ของเจ้า จำข้า
ไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ?” หมูดำร้องโพล่งถามออก “น้องหยุน ข้า
ย่อมไม่มีทางลืมเลือนหน้าตาอันบึ้งตึงของเจ้า ต่อให้ตาย ข้าก็ยังจำ
ได้ว่าเป็นเจ้า!”
ฉินหยุนขมวดคิ้วแน่น เขานึกขึ้นได้ ว่าสมควรเป็นเรื่องราวในชาติ
ภพก่อนแล้ว
เขาไม่ทราบนามตนเองในชาติภพก่อน ทว่าตอนนี้หมูดำได้เรียกหา
เขาเป็นราชันเซียนฝูหยุน วินาทีนี้เขาจึงรู้สึกว่ามันสมควรเป็นเรื่อง
จริง
“ข้า… ข้ารู้จักเจ้าจริงหรือ?” ฉินหยุนขมวดคิ้ว
“น้องหยุน เป็นเจ้าจริงด้วย! วิเศษนัก ฮ่าฮ่าฮ่า!”
หมูดำแลบลิ้นออกพร้อมกระโจนเข้าใส่ฉินหยุนอย่างยินดี กระนั้น
ร่างน้อยนั่นกลับถูกฉินหยุนเตะกระเด็นลิ่วจนปะทะกับกรงขัง

ตอนที่ 739 ผสานจิตวิญญาณ
เหยาเฟิงที่เงียบไปนาน นางค่อยกล่าวเสียงเย็น “แบ่งปัน? หากเจ้า
แข็งแกร่งขึ้น จะเกิดอันใดหากเจ้าคิดพยายามบีบบังคับข้าออกไป
จากวิญญาณเทวะเก้าตะวัน?”
“หากข้าแข็งแกร่งขึ้น ข้าจะช่วยท่านคลายคำสาป!” ฉินหยุนกล่าว
“ข้าไม่คิดเชื่อ!” เหยาเฟิงไม่เชื่อฉินหยุนแม้แต่น้อย
“อย่างนั้นท่านก็ควรต้องเชื่อพี่ฉีโหรวหรือไม่ใช่?” ฉินหยุนบุ้ยปาก
“ข้าแบกรับภาระหนักหนาทุกชั่วขณะ! ภายหน้า ไม่เพียงแต่จะช่วย
พี่ฉีโหรวต่อสู้กับจักรพรรดิเซียนที่เป็นบิดา แต่ข้ายังต่อสู้กับจอม
จักรพรรดิอสูรเซียนเพื่อท่าน!”
“เหอะ หากเจ้าตื่นรู้ความทรงจำขึ้นมาและหนีหาย เสี่ยวโหรวก็ไม่
อาจทำอะไรเจ้าได้แล้ว!” เหยาเฟิงหัวเราะเสียงเย็น “นับว่าดีที่ข้าอยู่
ควบคุมวิญญาณเทวะเก้าตะวัน หากเจ้าคิดหนีหาย ก็อย่าได้คิดว่าจะ
เก็บมันไว้ได้!”
“ข้าหรือจะหนีหาย? พี่ฉีโหรวดีต่อข้าเป็นล้นพ้นยิ่งนัก!” ฉินหยุน
กล่าวไม่ยินดี “ช่างมัน ข้าไม่พึ่งท่านก็ได้!”
ฉินหยุนยืนขึ้น ปัดฝุ่นทรายสีดำตามตัวออก จากนั้นจึงใช้วิชาอัญเชิญ
ราชสีห์สวรรค์ ทำให้สามารถเรียกราชสีห์สวรรค์ใต้พิภพทั้งสามตัว
ออกมาได้
ความจริงที่ว่าตัวเขายังสามารถอัญเชิญราชสีห์สวรรค์ มันทำให้ฉิน
หยุนอุ่นใจได้ไม่น้อย
ไม่นานนัก เขาจึงปล่อยจอมราชันดวงดาวอสูรออกมาก่อนจะทดลอง
ควบคุมอย่างลื่นไหล
นี่ถือเป็นสมบัติชิ้นสำคัญที่เป็นหลักประกันชีวิตของเขา!
“ฉินหยุน เจ้าทราบหรือไม่ว่าเหตุใดเย่ว์โยวจึงปล่อยคนมากมายเข้า
มา?” เหยาเฟิงเอ่ยถามขึ้น
“สาเหตุหรือ?” ฉินหยุนเองก็สงสัยเรื่องนี้ไม่ใช่น้อย
เย่ว์โยว ระดับการฝึกฝนอย่างไรก็สมควรทัดเทียมเซียน
หากนางออกไปจากเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ นางย่อมต้องเข้าสู่
แดนเซียนอ้างว้าง ด้วยเหตุนั้น นางจึงเพียงพูดคุยผ่านเสียงสื่อสาร
“เพราะนางต้องการสร้างรากฐานกำลังขึ้น! เมื่อใดแข็งแกร่งขึ้น นาง
จะไล่ล้างสังหารไปยังแดนเซียนอ้างว้างเพื่อล้างแค้น!” เหยาเฟิงกล่าว
“ล้างแค้น? ต่อข้าอย่างนั้นหรือ?” ฉินหยุนขมวดคิ้ว
“นั่นไม่ใช่! ย้อนกลับไปตอนนั้น เจ้าเพียงใส่ร้ายต่อนาง เป็นผลให้
นางถูกศัตรูจากหลายกองกำลังบีบเค้นจนต้องถูกผนึกเอาไว้!”
“ครั้งนางหลบซ่อนในพระราชวังกวงหาน ทำให้สถานที่แห่งนั้นถูก
ปิดล้อมเอาไว้โดยหลายกองกำลัง! สุดท้ายแล้ว เย่ว์โยวยอมตกลง
ผนึกตนเองเอาไว้ที่นี่!”
“เหตุการณ์ครั้งนั้น กระทั่งเชิญตัวจักรพรรดิเซียนมาเป็นพยานยืนยัน
ถึงสถานที่แห่งนี้ ว่าจะเป็นการผนึกชั่วนิรันดร์จนกระทั่งตายตก แต่
แล้วตอนนี้ มันกลับเปิดขึ้นอีกครั้ง!” เหยาเฟิงนึกย้อนถึงเรื่องราวครั้ง
อดีต “ตอนนั้นตัวข้าเองก็อยู่ด้วย!”
ฉินหยุนขมวดคิ้วกล่าว “ที่แดนวิญญาณอ้างว้างแห่งนี้? เซียนทรงอำนาจ
หลายต่อหลายคนปรากฏตัวในแดนวิญญาณอ้างว้างได้อย่างไรกัน?”
“ในอดีต ทั้งแดนวิญญาณอ้างว้าง และแดนยุทธ์อ้างว้างต่างเป็นห้วง
มิติที่แข็งแกร่ง ดังนั้นจึงสามารถรองรับการเคลื่อนไหวของเซียน
หลายคนได้ ภายหลัง ทั้งแดนวิญญาณอ้างว้าง และแดนยุทธ์อ้างว้าง
ได้อ่อนกำลังลง พวกมันจึงไม่อาจต้านรับพลังอำนาจทำลายล้างของ
เซียนทั้งหลาย เหล่าเซียนจึงเริ่มถูกชักนำกลับสู่แดนเซียนอ้างว้าง!
ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของเก้าดวงตะวัน!” เหยาเฟิงกล่าว
ฉินหยุนจำได้ ว่าครั้งอยู่แดนเซียนอ้างว้าง เขาบีบบังคับให้ราชันยุทธ์
และขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ ต้องเผ่นหนีมายังแดนวิญญาณอ้างว้าง
แห่งนี้
มันเป็นพลังอันลึกลับ!
ฉินหยุนยังจำได้ ถึงเรื่องราวที่เก้าดวงตะวันจะถูกทำลาย เพราะคำ
ทำนายได้กล่าวขานเอาไว้ ว่าเก้าดวงตะวันจะต้องร่วงหล่นลงมา
ฉินหยุนเวลานี้หันมองรอบ เลือกทิศทางหนึ่ง ก่อนจะวิ่งพุ่งไปอย่าง
เร็วรี่
รองเท้ากำราบมังกรยังคงมีประโยชน์มากล้ำ มันทำให้เขาสามารถใช้
ความเร็วสูง ออกวิ่งไปรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าได้
“เสี่ยวหยุน อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป เจ้าครอบครองวิญญาณยุทธ์ตะวัน
ทมิฬ มันสามารถทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นได้ อย่าได้หวาดเกรงจักรพรรดิ
พวกนั้นไป! พวกมันล้วนเป็นสวะตัวหนึ่ง!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าวให้
กำลังใจแก่เขายกใหญ่ “เจ้ามีข้าอยู่ ข้ารับประกันได้ ว่าเจ้าจะต้อง
แข็งแกร่งจนก้าวเหนือพวกมันได้!”
“หยุนเอ๋อ ไม่ใช่ว่าเจ้าหวาดกลัวเย่ว์โยวหรอกหรือ” ฉินหยุนยิ้มกล่าว
“นั่นเป็นกรณีพิเศษ! หากกำลังเจ้าทัดเทียมเย่ว์โยว เช่นนั้นข้าก็หาได้
หวาดเกรงนางไม่!” หลิงหยุนเอ๋อแค่นเสียงกล่าวตอบ
เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬกว้างใหญ่ โดยเฉพาะกับทะเลทรายสีดำ
ซึ่งฉินหยุนติดอยู่ตอนนี้!
“บัดซบ วิ่งมาหลายวัน แต่แล้วยังไม่อาจหนีพ้นจากเขตทะเลทรายนี้
ได้!” ฉินหยุนนั่งกับพื้นทะเลทรายพลางบ่น
“ฉินหยุน ทะเลทรายนี้เป็นสถานที่อันตราย มันจะต้องมีอาคมวงกต
หรืออะไรทำนองนั้น หรือก็คือ เจ้าไม่อาจเคลื่อนไหวไปตามใจ
ไม่เช่นนั้น เจ้าจะไม่มีทางไปพ้นจากที่นี่!”
กลุ่มก้อนอากาศสีดำพลันปรากฏขึ้นตอนนี้ เหยาเฟิงปรากฏตัว
ฉินหยุนนึกขึ้นได้ ว่าที่นี่คือเขตแดนอ้างว้างที่สามารถกักขังเซียน
เหยาเฟิงเองก็เป็นถึงเซียน เพราะเหตุนั้นนางจึงออกมาได้
“พี่สาวเหยาเฟิง รบกวนท่านช่วยพาข้าออกไปแล้ว!” ฉินหยุนนอน
ทิ้งตัวกับพื้นอย่างหมดแรง “ให้ข้าสัญญาอันใดก็ได้ ข้ายินดีรับไว้!”
“สาเหตุว่าทำไมโม๋จีให้ข้าอยู่ในไข่มุกเม็ดที่สามของวิญญาณเทวะ
เก้าตะวัน นั่นก็เพื่อช่วยเสี่ยวโหรว! แต่วิญญาณเทวะเก้าตะวันกลับ
อยู่ในมือเจ้า!”
แม้ใบหน้าเหยาเฟิงมีแต่รอยแผลเป็น ทว่าดวงตาของนางงดงามอย่าง
ยิ่ง
“แต่วิญญาณเทวะเก้าจันทราอยู่ในมือพี่ฉีโหรวแล้ว…” ฉินหยุนกล่าว
“ข้าได้ยินว่าวิญญาณเทวะเก้าตะวันเป็นของจักรพรรดิเซียน และ
วิญญาณเทวะเก้าจันทราเป็นของโม๋จี!”
“วิญญาณเทวะเก้าตะวัน และวิญญาณเทวะเก้าจันทรา แต่เดิมครอบ
ครองโดยจอมจักรพรรดิเซียนอ้างว้าง และจอมจักรพรรดิอสูรเซียน!
ภายหลังถูกส่งมอบให้แก่โม๋จี สุดท้ายจึงตกอยู่ในมือของเสี่ยวโหรว!”
“ย้อนกลับไปครั้งแดนเซียนอ้างว้าง เสี่ยวโหรวระแวดระวังเจ้ามาก
นางทราบว่าเจ้ามีแต่เล่ห์กลชั่วร้าย แต่แล้วข้าไม่นึกฝัน ว่าเจ้าจะยังคง
คิดลวงหลอกนางจนถึงที่นี่!” เหยาเฟิงกล่าวโกรธเกรี้ยว พร้อมกันนี้
นางยังเอ่ยคำด้วยความสงสัยเปี่ยมล้น
“ข้าหาได้ลวงหลอกต่อพี่สาว เป็นนางจัดแจงให้ข้าทำทั้งสิ้น” ฉินหยุน
บอกเรื่องราวครั้งยังเด็กแก่เหยาเฟิง รวมถึงเรื่องเชี่ยวเย่ว์หลานและ
เชี่ยวเย่ว์เหม่ย
เหยาเฟิงพอได้ฟัง นางค่อยรู้สึก ว่านี่ต้องเป็นเซี่ยฉีโหรวชักใยให้
เกิดขึ้น
กระนั้น นางก็ยังคงไม่เชื่อฉินหยุนเช่นเคย
“ฉินหยุน ข้าสามารถช่วยเจ้าฝึกฝน! แต่เจ้าต้องผสานรวมจิตวิญญาณ
กับข้า!” เหยาเฟิงกล่าว
“ผสานรวมจิตวิญญาณ? นั่นเป็นวิชามารอันใด?” ฉินหยุนรู้สึกสังหรณ์
ถึงลางร้าย
“เป็นการผสานจิตวิญญาณของข้าและเจ้า นี่ก็เพื่อไม่ให้เจ้าก่อการไร้
ยางอายในภายหน้า! มันจะไม่ส่งผลกระทบใดต่อเจ้า และทำให้ข้า
สามารถลงทัณฑ์ต่อจิตวิญญาณเจ้าให้เจ็บปวดได้! และหากเจ้าตาย
ข้าก็จะต้องแบกรับผลย้อนกลับ โดยสรุปแล้วข้อดีส่วนใหญ่เอื้ออำนวย
แก่เจ้า!” เหยาเฟิงกล่าว
“อย่างนั้นท่านจะทราบความทรงจำในจิตสำนึกข้าด้วยหรือ?”
ฉินหยุนค่อนข้างกังวลต่อเรื่องนี้ โดยเฉพาะตั้งแต่ที่ปิงชิงเอารัดเอา
เปรียบต่อเขา เขาไม่คิดอยากให้ผู้อื่นทราบถึงเรื่องนี้
“ข้าไม่อาจทราบ! และข้าก็ไม่คิดอยากเห็นความทรงจำโสมมของเจ้า
ด้วย!” เหยาเฟิงกล่าว “ข้าเพียงทำเพื่อปกป้องตนเอง! เจ้ามีศักยภาพ
ให้เติบโต ตราบเท่าที่ข้าทำให้เจ้ากลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง ข้าจะ
ได้ควบคุมเจ้าให้ถอนคำสาปแก่ข้า!”
หลิงหยุนเอ๋อคิดไปครู่หนึ่ง จากนั้นนางค่อยให้ฉินหยุนตกลงรับ
ข้อเสนอของเหยาเฟิง
“ตกลงตามนั้น!” ฉินหยุนพยักหน้ารับ
“นอนลง อย่าได้ขัดขืน!” เหยาเฟิงกล่าว
เมื่อนอนลงแล้ว ฉินหยุนจึงผ่อนคลายทั้งร่างกาย
อย่างรวดเร็ว เขารับรู้ได้ว่าจิตวิญญาณเกิดการสั่นสะเทือน
เหยาเฟิงวางมือลงที่ศีรษะของเขา ผ่านไปนาน นางค่อยหยุดหลัง
ผ่านพ้นไปสามวัน
“เรียบร้อย!” เหยาเฟิงกล่าว “วางใจ เจ้าก็ยังเป็นเจ้า เป็นเพียงจิต
วิญญาณเจ้ามีข้อจำกัดอยู่บ้าง! ภายหน้า หากเจ้ากล้าทำอะไรต่อข้า
หรือมีความคิดชั่วร้าย ที่เจ้าต้องเผชิญคือความเจ็บปวดมหาศาล!”
“ภายหน้ามันสามารถถอนได้หรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ย่อมทำได้!” เหยาเฟิงกล่าว นางหันมองไปยังทิศทางหนึ่ง “ข้าจะ
ชี้นำให้เจ้าออกไปพ้นจากทะเลทรายแห่งนี้!”
ฉินหยุนตื่นเต้นยินดีขึ้นมา “พี่สาวเหยาเฟิง สิ่งใดอยู่ภายในไข่มุกเม็ด
ที่สามของวิญญาณเทวะเก้าตะวัน?”
เหยาเฟิงมองฉินหยุนและกล่าว “รอจนกระทั่งเจ้าก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์
ลึกล้ำ! หากเจ้าคิดอยากทราบตอนนี้ เช่นนั้นจงก้าวขึ้นสู่ขอบเขต
วรยุทธ์ลึกล้ำเสียเดี๋ยวนี้!”
ฉินหยุนคร่ำครวญพลางเตะทรายระบายอารมณ์ ก่อนหน้า เขาคิดว่า
จะสามารถได้เห็นสิ่งของภายในหลังแปรเปลี่ยนจิตสู่จันทรา ทว่า
แท้จริงแล้วมันไม่อาจทำได้
กล่าวเรียบร้อย เหยาเฟิงจึงกลับเข้าสู่วิญญาณเทวะเก้าตะวันของฉิน
หยุน
ภายใต้นางชี้นำ ฉินหยุนจึงเริ่มออกวิ่งอย่างคลุ้มคลั่งในทะเลทราย
มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ได้รับการชี้บอก
“พี่สาวเหยาเฟิง ภูมิความรู้การฝึกฝนของจอมจักรพรรดิอสูรเซียนจะ
ช่วยข้าได้บ้างหรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“มันสามารถช่วยให้เจ้าฝึกฝนร่างเซียนอสูรที่แข็งแกร่งขึ้นได้!” เหยา
เฟิงกล่าว “แต่ตอนนี้ยังไม่เหมาะพูดกล่าวไป โดยสรุป ข้าจะช่วยให้
เจ้าแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี่ก็เพื่อตัวข้าเอง!”
ฉินหยุนยินดีไม่น้อย เพราะตอนนี้เหยาเฟิงไม่ใช่ดื้อรั้นเช่นแต่ก่อน
“พี่สาวเหยาเฟิง ท่านแข็งแกร่งยิ่ง หากข้าเผชิญหน้าอันตรายที่นี่ ท่าน
พอจะออกมาช่วยข้าได้หรือไม่?” ฉินหยุนพอคิดถึงเรื่องนี้ มันทำให้
เขาผ่อนคลายได้มาก
“ไม่ได้! ข้าไม่อาจใช้พลังจำนวนมากได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว จอมจักรพรรดิ
อสูรเซียนจะรับรู้ถึงตัวข้า มันผู้นั้นหลับใหลเป็นเวลายาวนาน ตอนนี้
สมควรตื่นขึ้นมาแล้ว! ข้าไม่คิดอยากให้มันได้ทราบที่อยู่ข้า!” เหยา
เฟิงกล่าว
ฉินหยุนถอนหายใจภายใน ความยินดีเมื่อครู่สูญเปล่าแล้ว
ภายใต้เหยาเฟิงชี้นำ ฉินหยุนใช้เวลาเพียงหนึ่งวันจึงออกพ้นจาก
ทะเลทรายสีดำ
ภายนอกทะเลทราย มันคือผืนป่าเขียวขจี
เขาฮัมเพลงสุขอารมณ์ขณะเดินเข้าไปในป่า
กระนั้น ไม่นานหลังเข้าป่ า เขากลับได้เห็นบุคคลเส้นผมยุ่งเหยิงสวม
ใส่ชุดขนสัตว์
อีกฝ่ายคล้ายคนเถื่อน ดวงตาแดงก่ำ กล้ามเนื้อดูน่าหวาดกลัว ทั้งยัง
เผยออร่าสัตว์ดุร้าย
“ชายผู้นี้มีกำลังทัดเทียมขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ กระทั่งแปรเปลี่ยนร่าง
เป็นสัตว์!” หลิงหยุนเอ๋อร้องตะโกนดัง “มันเข้ามาแล้ว!”
“ควรสู้หรือ?” ฉินหยุนเร่งรีบถอย
“ไม่! หลบหนีก่อน นี่ต้องเป็นอาณาเขตของชายคนนี้ ใกล้เคียงอาจมี
คนเพิ่มขึ้นอีก!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “อีกฝ่ายไม่ใช่รับมือได้ด้วยง่าย!”
“เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬช่างอันตรายนัก!”
ฉินหยุนกระโดดพรวดขึ้นสู่ยอดไม้ ก่อนจะกระโดดขึ้นฟ้าสูง จากนั้น
จึงเริ่มออกบินไปอย่างรวดเร็ว
คนเถื่อนยังคงไล่ตามหลัง
“บัดซบ หากยังไล่ตามข้าต่อ ข้าจะสังหารเจ้า!” ฉินหยุนหันไปตะโกน
“ผู้ที่จะสังหารเจ้าเป็นพวกเรา!” อย่างกะทันหัน คนเถื่อนอีกหนึ่งได้
ปรากฏตัวต่อหน้าฉินหยุน ที่ไล่หลังมาก็ตามทันแล้ว
เพียงอึดใจ กลุ่มคนเถื่อนนับสิบที่รูปลักษณ์คล้ายได้กันปรากฏตัวขึ้น
จากทั่วทิศ
ฉินหยุนถูกปิดล้อมเอาไว้แล้ว!
“นามเจ้าฉินหยุนใช่หรือไม่? นายท่านราชันอสูรได้บอกกล่าวให้
พวกเราจับตัว หากเจ้าไม่คิดอยากเจ็บตัว เช่นนั้นจงมากับพวกเรา!”
คนเถื่อนตรงหน้ากล่าวคำ
ไม่นานนัก กลุ่มคนเถื่อนนับร้อยชีวิตจึงปรากฏตัวคนแล้วคนเล่า!
“ผู้ใดคือนายท่านราชันอสูร?” ฉินหยุนเอ่ยถามอย่างสงบ
“ย่อมต้องเป็นนายท่านเย่ว์โยว!” คนเถื่อนกล่าวตอบ
“โอ้ เป็นนางนี่เอง! บอกต่อนาง ว่าโฉมงามเช่นนางสมควรต้องมา
เป็นนางสนมแก่ข้า!” หลังกล่าวคำจบ เขาจึงร่อนลงที่พื้นพร้อมใช้
ความสามารถเทวะทะลุทะลวง จมหายลงไปกับพื้นดิน
“เย่ว์โยวผู้นี้ นางคิดอยากเล่นเราจนตกตายเลยหรือยังไง?” ฉินหยุน
สบถเสียงเบา “ในเมื่อติดค้างนางไว้ตั้งแต่ชาติภพก่อน ก็จะไม่ขอรัง
ควานกับเรื่องนี้แล้วกัน!”
ที่บนยอดเขาสูง มันมีพระราชวังตั้งอยู่ เย่ว์โยวสวมใส่หน้ากากนั่ง
บนเก้าอี้ที่ในพระราชวัง
เบื้องล่าง เป็นคนเถื่อนที่ส่งต่อถ้อยคำของฉินหยุนมาให้
เย่ว์โยวไหวเส้นผมสีเงินของนางพลางมองที่หยางฉีเย่ว์ข้างกาย “เย่ว์
จี เจ้าเองก็ได้ยินใช่หรือไม่? ตัวบัดซบนั่นยังคงเป็นสุนัขที่คิดกินขี้
ของมันเองไม่เลิก! มันถึงขั้นคิดให้ข้าเป็นนางสนมอย่างนั้นหรือ?
ช่างฝันเฟื่อง!”
หยางฉีเย่ว์ส่ายศีรษะถอนหายใจ “ท่านไม่ควรพาเขาเข้ามา!”
“อย่าได้ห่วงไป ข้าไม่คิดสังหารมัน ข้าเพียงแต่จะให้มันได้รับทราบ
ถึงความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่ข้าต้องอดทนมานานนับหมื่นปี!” เย่ว์
โยวกล่าว
หยางฉีเย่ว์ถอนหายใจซ้ำอีกครั้ง “เย่ว์โยว ท่านควรหาทางรับมือกับ
ศัตรูท่านที่นี่! มันผู้นั้นคิดต้องการกลืนกินจันทราทมิฬ และจันทรา
ทมิฬนั่นก็เป็นความหวังในการสร้างพระราชวังกวงหานของเรา
ขึ้นมาใหม่!”

ตอนที่ 738 คลังความรู้แห่งจอมจักรพรรดิ
ฉินหยุนไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด กระนั้นเขายังคงสงบใจเอาไว้ได้
“อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตรอด!” ฉินหยุนพูดกล่าวกับตนเอง “ได้พบกับ
ศัตรูเก่าในแดนวิญญาณอ้างว้างถือว่าดี ถือว่าเป็นโอกาสฝึกฝน
เตรียมพร้อมการก้าวไปยังแดนเซียนอ้างว้างไปในตัว!”
ผ่านไปหลายวัน ฟ้าจึงค่อยสาง!
นกเหยี่ยวสีดำบินเร็วรี่อยู่หลายวัน ในที่สุดมันจึงค่อยปล่อยฉินหยุน
ทิ้งเอาไว้
เชือกที่พันธนาการร่างของเขาเอาไว้คลายออกด้วยตัวของมันเอง
“หยุนเอ๋อผู้งดงาม ตอนนี้ข้าปลอดภัยแล้ว!” ฉินหยุนหลับตาร้องบอก
ต่อหลิงหยุนเอ๋อ
“ข้ากลัวจนแทบตายแล้ว!” หลิงหยุนเอ๋อค่อยพูดกล่าวขึ้นก็ตอนนี้
“อสูรจันทรานั่นยังไม่ทราบว่าเจ้ามีวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬ ไม่เช่นนั้น
นางจะไม่มีทางปล่อยเจ้ามาเช่นนี้แน่!”
“หยุนเอ๋อ เหตุใดเจ้าหวาดกลัวนางเพียงนั้น?” ฉินหยุนสงสัยจนต้อง
เอ่ยถาม
“เพราะนางผู้นั้นสามารถกลืนกินข้าได้! อสูรจันทราเช่นนาง สามารถ
พรากเอาวิญญาณเต๋าผู้อื่นได้ง่ายดายนัก! ข้าไม่คิดอยากไปจากเจ้า!”
หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “อีกทั้ง หลังจากที่นางนำข้าไป ข้าจะต้องเผชิญ
กับความเจ็บปวดสารพัดอย่าง!”
“เสี่ยวหยุน อสูรจันทราที่เจ้าพบเจอ กล่าวได้ว่าดียิ่งแล้ว! หากเป็น
ตัวตนอื่นที่ไร้ซึ่งเหตุผล เจ้าคงได้ทราบว่าเหตุใดข้าจึงกลัว!”
ฉินหยุนถูกนำมาทิ้งไว้ในบริเวณทะเลทรายสีดำเปล่าเปลี่ยว
แม้เป็นช่วงกลางวัน เก้าตะวันกลับถูกบดบังไว้โดยชั้นหมอก เก้า
ดวงตะวันที่เห็นเลือนรางจึงมีแต่ความเย็นเยือก
“ความสัมพันธ์ระหว่างอสูรจันทราและพี่หยางกล่าวได้ว่าดี! กระนั้น
นางกลับปล่อยให้คนพวกนั้นจากภายนอกได้เข้ามา!” ฉินหยุนเอ่ย
ถามอย่างสงสัย
“หรือว่านางมีแผนการใหญ่?” ฉินหยุนตกใจยามนึกขึ้นได้
“ข้าไม่ทราบ โดยสรุป อย่าได้คิดอื่นใดให้มากความ! เขตแดนอ้างว้าง
จันทราทมิฬแห่งนี้อันตรายยิ่ง!”
กระทั่งตอนนี้ หลิงหยุนเอ๋อก็ยังคงหวาดกลัว
อารมณ์ฉินหยุนก็ดำมืด เขาเดินไปในทะเลทรายไร้สิ้นสุด
อย่างกะทันหัน เขารับรู้ได้ว่าวิญญาณเทวะเก้าตะวันปรากฏขึ้นที่ข้อมือ
“เจ้าหนู นี่เจ้าอยู่ที่ใด? เหตุใดข้ารับรู้ถึงออร่าของจันทราทมิฬ?” เสียง
ของเหยาเฟิงดังขึ้น
ฉินหยุนพอได้ยินเสียงเหยาเฟิง เขาเร่งร้อนเอ่ยคำด้วยความตื่นเต้น
ยินดี “พี่สาวเหยาเฟิง ข้าอยู่ในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ ข้าจะ
หาทางออกจากสถานที่แห่งนี้อย่างไร?”
“เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ? ฮ่าฮ่าฮ่า!” เหยาเฟิงพอได้ฟัง นางจึง
หัวเราะเสียงดัง
“พี่สาวเหยาเฟิง เหตุใดท่านจึงหัวเราะ? จะบอกข้าว่าท่านไม่รู้วิธี
ออกไปจากเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬอย่างนั้นหรือ?” ฉินหยุน
ร้องโพล่งถาม
“หลายปีมาแล้ว มีสตรีผู้มีพรสวรรค์เป็นล้นพ้นถือกำเนิดขึ้นที่พระราชวัง
กวงหาน นางคือผู้ที่จะได้ขึ้นเป็นนายหญิงใหญ่แห่งพระราชวังกวง
หานในภายหน้า! นางถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมวิญญาณยุทธ์จันทราทมิฬ
และนางกระทั่งฝึกฝนจันทราทมิฬได้สำเร็จ!”
“นามของนางคือเย่ว์โยว หนทางการขึ้นเป็นราชันเซียนของนาง
กล่าวได้ว่าใช้เวลาไปเพียงน้อยนิด!”
“ครั้งนั้นที่แดนเซียนอ้างว้าง นางเป็นราชันเซียนผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง!
ภายหลัง เพราะเจ้าจัดฉากใส่ร้ายแก่นาง ทำให้นางถูกหลายกองกำลัง
ข่มเหงจนสุดท้ายต้องถูกผนึกเอาไว้ภายในเขตแดนอ้างว้างที่แดน
วิญญาณอ้างว้าง! จากนั้นมันจึงถูกเรียกขานเป็นเขตแดนอ้างว้างจันทรา
ทมิฬ!”
ฉินหยุนพอได้ฟังคำของเหยาเฟิง เขาจึงถอนหายใจยาว เขาพลาดที่
ไม่อาจเข้าใจเรื่องราวในชาติภพก่อน แท้จริงแล้วมันถึงขั้นไปยั่วยุ
ผู้คนไว้มากมายเพียงนั้น
“พี่สาวเหยาเฟิง ชาติภพก่อนข้าเพียงแต่ทำร้ายสตรีอย่างนั้นหรือ?”
ฉินหยุนโศกเศร้าเป็นล้นพ้นพร้อมเอ่ยถามออกไป
“ย่อมไม่ใช่! ตราบเท่าที่สร้างผลประโยชน์ให้ได้ เจ้าพร้อมทำร้ายทุก
ผู้คน! ตัวเจ้าแข็งแกร่ง กระทั่งจอมจักรพรรดิอสูรเซียนยังถูกเจ้าลวง
หลอก กระนั้นเจ้ากลับให้ข้าเป็นผู้ที่ร่วงหล่นไปแทน เพราะเจ้าจึงทำ
ให้ข้าต้องถูกสาป!” เหยาเฟิงเอ่ยถึงเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงเกลียดชังเป็น
ล้นพ้น
ฉินหยุนลอบหวาดกลัว เซี่ยฉีโหรว หยางฉีเย่ว์ ปิงชิง เซี่ยวเสวียนฉิน
และเซี่ยวเย่ว์เหม่ย ล้วนกล่าวขานถึงจอมจักรพรรดิอสูรเซียนว่าน่า
สะพรึงกลัวยิ่ง
หากเขามีกำลังเป็นแค่ราชันเซียน อย่างนั้นเขาจะไม่มีทางไปยั่วยุ
บุคคลเช่นจอมจักรพรรดิอสูรเซียน
แต่แล้ว ตัวเขาในชาติภพก่อน ถึงขั้นกล้าดีไปลวงหลอกต่อจอม
จักรพรรดิอสูรเซียน!
“นี่ข้าไปหลอกจอมจักรพรรดิอสูรเซียนได้อย่างไร?” ฉินหยุนสงสัย
อย่างยิ่ง เขาคิดว่าตนเองตอนนั้นคงเบื่อหน่ายการมีชีวิตจึงทำเช่นนั้น
“วัตถุดิบโอสถที่เขารวบมายาวนานนับหมื่นปี พวกมันสำหรับใช้เพื่อ
ปรุงยาเซียนอายุวัฒนะให้แก่เขา! เจ้าแสร้งทำตัวเป็นอาจารย์ปรุงยา
หลอกลวงต่อเขาพร้อมเอาวัตถุดิบโอสถเหล่านั้นออกมา” เหยาเฟิง
กล่าว “ภายหลัง เมื่อพวกมันเหล่านั้นตามรอยมา ด้วยเหตุผลอันใด
ไม่ทราบ พวกมันกลับเจอข้า เป็นผลให้ข้าต้องคำสาป!”
“มีแต่ข้าต้องส่งคืนโอสถเซียนเหล่านั้น มันจึงจะยอมถอนคำสาปข้า
ทั้งยังจะกำจัดเจ้าไปอย่างไร้ซึ่งร่องรอย!”
ฉินหยุนที่ได้รับฟังคำกล่าวของเหยาเฟิงถึงเรื่องนี้ ทำให้เขาได้ทราบ
เบาะแสมาระดับหนึ่ง ครั้งหน้าเมื่อสอบถามต่อเซี่ยฉีโหรวและคณะ
เขาจะได้มีทิศทางการสืบหาต่อไป
“พี่สาวเหยาเฟิง ท่านเกลียดชังข้าเป็นพ้นล้น กระนั้นตัวข้าได้ตายไป
แล้ว! ขอท่านช่วยเหลือข้า พี่ฉีโหรวได้ฝากความหวังทั้งหมดของ
นางเอาไว้กับข้า!”
ฉินหยุนกล่าว “ท่านเองก็ได้เห็น โชคชะตาข้าไม่เลวนัก เป็นข้าได้รับ
วิญญาณดวงตะวันถึงสอง! ในเก้าแดนอ้างว้าง วิญญาณดวงตะวันมี
เพียงเก้า และข้าตอนนี้ได้รับมาแล้วถึงสอง!”
“คิดถึงเรื่องนี้ หากภายหน้าข้าได้เติบโต โอกาสที่ข้าจะแข็งแกร่งย่อม
มีสูงส่ง ถึงตอนนั้น ข้าจะหาทางช่วยท่านถอนคำสาปให้จงได้!”
ฉินหยุนไม่ได้ยินเสียงเหยาเฟิงพูดกล่าวผ่านการสื่อสารใดอีก เขาจึง
กล่าวต่อ “นอกจากเกลียดชังข้าแล้ว ท่านยังมีแต่ต้องฝากความหวัง
ไว้กับข้า เช่นนี้ท่านจะได้หลุดพ้นจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่!”
“จริงด้วย ข้ายังมีวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬ กระทั่งในแดนเซียนอ้างว้าง
ก็คงมีน้อยคนที่จะครอบครองวิญญาณยุทธ์นี้!”
เหยาเฟิงย่อมทราบ ว่าฉินหยุนครอบครองวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬ
นางกล่าวเสียงเย็นเยือก “อย่าได้กล่าวถึงแดนเซียนอ้างว้าง กระทั่ง
แดนศักด์ิสิทธ์ิอ้างว้าง ก็ยังมีน้อยคนที่ครอบครองมัน! ข้าไม่อาจเข้าใจ
ได้จริง เจ้าก่อกรรมทำชั่วเอาไว้มากมายในชาติภพก่อน แต่แล้วใน
ชาติภพนี้ เจ้ากลับมีโชคอันมหาศาลหล่นทับ นี่ช่างไม่สมเหตุสมผล!”
ฉินหยุนยิ้มกล่าว “บางทีอาจเป็นข้าทำดีไว้ในชาติภพก่อนกระมัง?
ภรรยาข้าก็กล่าว ว่าชาติภพก่อนของข้าเป็นคนดีผู้หนึ่ง!”
“เจ้ามีภรรยา? ผู้ใดเป็นภรรยาเจ้า?” เหยาเฟิงเอ่ยถาม
“เย่ว์หลาน ท่านรู้จักนางหรือ?” ฉินหยุนถามขึ้น “ข้าไม่ทราบนามใน
ชาติภพก่อนของนาง เป็นนางไม่ยอมบอกต่อข้า! จริงด้วย นางยังมี
น้องสาวคนหนึ่ง นามคือเย่ว์เหม่ย!”
เหยาเฟิงไม่กล่าวคำใดแล้ว!
“พี่สาวเหยาเฟิง พี่สาวเหยาเฟิง ท่านรู้จักพวกนางหรือไม่?” ฉินหยุน
รู้สึกได้ ว่าเหยาเฟิงต้องรู้จักสองพี่น้อง
“ข้าถามต่อเย่ว์หลานและเย่ว์เหม่ย พวกนางทั้งสองบอกว่าไม่เคยได้
ยินบุคคลนามเหยาเฟิงมาก่อน!” ฉินหยุนกล่าวเสริม
“เย่ว์หลานเป็นภรรยาเจ้า? นี่ไม่มีทางเป็นไปได้!” เหยาเฟิงตะโกน
เสียงดัง
“นั่นคือความเป็นจริง!” ฉินหยุนบุ้ยปากกล่าวคำ
“วิเศษนัก นี่ต้องเป็นเย่ว์หลานคิดแก้แค้น เพราะเหตุนั้นนางจึงแสร้ง
ทำตัวเป็นภรรยาเจ้า เหอะ! เจ้าหนู ชะตาเจ้าต้องขาดในไม่ช้าอย่าง
แน่นอน!” เหยาเฟิงคล้ายเสียสติไปแล้ว
ฉินหยุนไม่คิดยั่วยุอันใดต่อเหยาเฟิง กระนั้น ตอนนี้เขาได้มั่นใจ ว่า
เหยาเฟิงและเย่ว์หลานมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน
“ไว้ถึงวันนั้น ข้าจะพิสูจน์ให้ท่านทราบว่าข้าเป็นคนดี!” ฉินหยุนเดิน
ไปในทะเลทรายสีดำ ด้วยใจอันเด็ดเดี่ยว เขาร้องตะโกนบอกต่ออีก
ฝ่าย
เขาเชื่อในตัวเซี่ยวเย่ว์หลาน ดังนั้นเขาจะไม่สงสัยอันใด
ฉินหยุนเดินมาครึ่งวัน ท้องฟ้าจึงเริ่มมืด เขานั่งลงพร้อมนำเอาหม้อ
ราชสีห์สวรรค์สะกดมังกรออกมาคุ้มกันตนเอง
“เสี่ยวหยุน เจ้าเห็นหรือไม่? ปิงชิง เย่ว์โยว และเหยาเฟิง พวกนางทั้ง
สามต่างถูกผนึกไว้ ดังนั้นพวกนางจึงเกลียดชังต่อเจ้า เซี่ยวเสวียนฉิน
เองก็คล้ายไม่ทราบว่าภายหลังในช่วงชีวิตก่อนของเจ้าไปทำอันใด
ทำให้นางเกิดความเข้าใจผิดต่อเจ้า!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
“ใช่ มีความเป็นไปได้มาก” ฉินหยุนพยักหน้ารับ “พี่หยาง เย่ว์เหม่ย
เย่ว์หลาน รวมถึงเสี่ยวเม่ยเหลียน ทั้งหมดล้วนตายในเวลาใกล้เคียง
กับข้า พวกนางล้วนดีต่อข้ายิ่ง!”
“ย้อนกลับไปตอนนั้น เจ้าจะต้องปิดซ่อนบางอย่างเอาไว้เป็นแน่!”
หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “ส่วนเรื่องระหว่างเจ้าและเหยาเฟิง สมควรเป็น
อุบัติเหตุไม่คาดคิด ดังนั้นพี่ฉีโหรวจึงไม่ทราบเรื่องนาง!”
“ปล่อยไปก่อนแล้วกัน ภายหน้าความจริงย่อมต้องปรากฏออกมา!”
ฉินหยุนนอนลงบนทรายสีดำขณะจ้องมองท้องฟ้าสีแดงฉาน
กลางดึก เมฆหมอกบนฟากฟ้ากระจายหาย จันทราเย็นเยือกได้ปรากฏ
ฉินหยุนตระหนักได้ ว่าภายในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ ในช่วง
เวลากลางวัน มันจะมีหมอกคงอยู่ กระนั้นเมื่อตกกลางคืนจะไร้ซึ่ง
หมอก ราวกับมีคนควบคุมให้มันเป็นเช่นนี้
“เจ้ามารน้อย! เจ้าเข้าสู่เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬได้อย่างไร?”
เหยาเฟิงพลันเอ่ยถาม น้ำเสียงของนางละมุน เขาไม่ทราบว่าเป็นเพราะ
อันใด
ฉินหยุนบอกเล่าต่อเหยาเฟิงเรื่องโลงศพสีเงิน
“มีทางเข้าอย่างนั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้! ข้าได้ยินว่าทางเข้ามันถูกผนึก
เอาไว้!” เหยาเฟิงเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย “แล้วผู้ใดกันที่หลงเหลือ
ทางเข้าเอาไว้?”
“ข้าไม่อาจทราบ ทั้งหมดที่ทราบ คือสถานที่นี้เป็นอาณาเขตของเย่ว์
โยว! นอกจากนี้แล้ว ข้ายังหวาดกลัวต่อนางอย่างยิ่ง ข้ากลัวว่านางจะ
จับวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬของข้ากิน!” ฉินหยุนถอนหายใจ
“เช่นนั้น ก็มีสองวิธีการที่เจ้าสามารถใช้ออกไปจากเขตแดนอ้างว้าง
จันทราทมิฬ! หนึ่งคือหาทางออก อีกหนึ่งคือขอให้เย่ว์โยวนำเจ้า
ออกไป นางถูกผนึกเอาไว้เป็นเวลานาน ดังนั้นสมควรเข้าควบคุม
เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬไปแล้ว” เหยาเฟิงกล่าว
“ทางออก?” ฉินหยุนนึกย้อนถึงบริเวณที่ตนร่วงหล่นลงมาครั้งแรก
กระนั้น เขากลับถูกพันธนาการเอาไว้และถูกเหยี่ยวยักษ์หิ้วมา ดังนั้น
เขาจึงไม่อาจจดจำทางกลับไปได้
“พี่สาวเหยาเฟิง ขอบคุณท่านที่ชี้แนะ!” ฉินหยุนกล่าวอย่างสำนึก
ขอบคุณ
“ตราบเท่าที่เจ้าพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้ทำร้ายข้าในชาติภพก่อน ข้าก็จะยัง
เป็นเช่นเดิมที่ปฏิบัติต่อเจ้า!” เหยาเฟิงกล่าวคำ
“ชาติภพก่อนท่านมีสัมพันธ์อันใดกับข้าหรือขอรับ?” ฉินหยุนเอ่ย
ถามอย่างนึกสงสัย
“ข้าไม่บอก!” เหยาเฟิงตะคอกกลับ “เจ้าเพียงทราบว่าข้านามเหยา
เฟิง ต่อให้ถามเสี่ยวโหรวหรือผู้อื่นไปก็ไร้ค่า!”
“นอกจากนี้ ไม่มีผู้ใดทราบว่าเจ้าและข้ารู้จักต่อกัน!”
ฉินหยุนถาม “อย่างนั้นแล้ว ข้าจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าไม่ได้ทำร้าย
ท่าน?”
“ช่วยข้าถอนคำสาป!”
เหยาเฟิงกล่าว “แม้ข้าถูกคำสาป กระนั้น… กระนั้นมันก็ยังนำมาซึ่ง
ผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ พลังคำสาปที่เหนือล้ำนี้ มันทำให้ต้นกำเนิด
ชีวิตข้าเกิดการเชื่อมต่อ ข้าไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่ข้าสัมผัสได้ถึง
การฝึกฝนที่จอมจักรพรรดิอสูรเซียนรู้และเข้าใจ ผลประโยชน์ที่มัน
มีถือว่ามหาศาลนัก!”
ฉินหยุนสบถภายใน ในเมื่อผลประโยชน์ยอดเยี่ยมเพียงนั้น เหตุใด
จึงเกลียดชังเขาอีก?
“พี่สาวเหยาเฟิง ผู้ใดนำท่านไว้ในวิญญาณเทวะเก้าตะวัน?” ฉินหยุน
เอ่ยถาม
“เป็นน้องสาวของจอมจักรพรรดิอสูรเซียน และยังเป็นผู้ที่ถูกกล่าว
ขานเป็นภรรยาของจอมจักรพรรดิเซียนอ้างว้าง ราชันเซียนโม๋จี นาง
คือมารดาของเสี่ยวโหรว!” เหยาเฟิงกล่าว
ฉินหยุนไม่คาดคิด ก่อนหน้าเขาเพียงคาดเดาโดยคร่าว กระนั้น เขาก็
ไม่คิดว่าโม๋จีจะเป็นน้องสาวของจอมจักรพรรดิอสูรเซียน
“พี่สาวเหยาเฟิง ท่านทราบเรื่องวิชาร่างศักด์ิสิทธ์ิเซียนอสูรเพียงใด?”
ฉินหยุนพลันเอ่ยถามขึ้น “ภูมิความรู้การฝึกฝนของจอมจักรพรรดิ
อสูรเซียน สมควรต้องทราบเรื่องการฝึกฝนร่างเซียนอสูรของข้าบ้าง
กระมัง?”
“มีเพียงสามคนที่ฝึกฝนร่างเซียนอสูรในแดนเซียนอ้างว้าง! ทว่า
เหล่านั้นล้วนตายสิ้น จอมจักรพรรดิอสูรเซียน และจอมจักรพรรดิ
เซียนอ้างว้าง ทั้งสองร่วมมือกันสังหารบุคคลทั้งสาม หนึ่งในนั้นคือ
เสี่ยวโหรว!”
“และเจ้าสมควรเป็นบุคคลที่สี่! น่าขันยิ่งนัก ที่จอมจักรพรรดิอสูร
เซียนและจอมจักรพรรดิเซียนอ้างว้าง ทั้งสองเองก็ฝึกฝนร่างเซียน
อสูร กระนั้นข้าไม่อาจทราบว่าทั้งสองฝึกฝนได้สำเร็จหรือไม่!”
คำกล่าวของเหยาเฟิงทำเอาฉินหยุนถึงกับสะดุ้ง
“แม้ฟังดูน่าหวาดกลัว กระนั้นก็ไม่อาจหยุดยั้งข้าไว้ได้!” ฉินหยุนยิ้ม
ตอบกลับ “พี่สาวเหยาเฟิง ท่านสมควรมีภูมิความรู้การฝึกฝนของ
จอมจักรพรรดิอสูรเซียนหรือไม่ใช่? ท่านพอจะแบ่งปันมันกับข้าได้
บ้างหรือไม่?”

ตอนที่ 737 ตกอยู่ในอันตราย
หลังจากที่โลงศพสีเงินเปิดออก ปรากฏการณ์รอบข้างนับได้ว่าชวน
ตื่นตะลึง รัศมีนับหมื่นลี้จากตัวโลงศพ มันถูกปกคลุมด้วยสายลม
เย็นเยือกที่ไหลออกมาจากภายในโลง
ฉินหยุนยิ่งหวาดกลัวมากขึ้น!
หลิงหยุนเอ๋อที่อยู่ในมิติมายา เวลานี้หวาดกลัวจนถึงขั้นไม่อาจพูด
กล่าวได้อีก
เซี่ยวเสวียนฉินที่ได้เห็นความหวาดกลัวทางสีหน้าของฉินหยุน นาง
ไม่อาจทำความเข้าใจได้ ว่าเหตุใดเขาจึงหวาดกลัวเพียงนี้ นางเชื่อ ว่า
ฉินหยุนนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าตัวนาง กระนั้นเขากลับหวาดกลัว
นางเร่งรีบดึงมือเย็นเยียบของฉินหยุนมาเกาะกุมเอาไว้ มันยิ่งทำให้
นางสัมผัสได้ว่าฉินหยุนหวาดกลัวเพียงใด
“ฉินหยุน นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่? นั่นไม่ใช่อะไรที่เจ้าน่าจะต้อง
หวาดกลัวไปเลยนี่?” เซี่ยวเสวียนฉินรับรู้เพียงแต่สายลมเย็นเยือก
หาได้มีความหวาดกลัวใดแม้แต่น้อย
หน้าผากฉินหยุนมีแต่เหงื่อเย็นไหลหลั่ง เขาเองก็ไม่ทราบว่าตนเอง
หวาดกลัวอันใด
มันเป็นดังที่หลิงหยุนเอ๋อกล่าว เพราะนางหวาดกลัว มันจึงส่งอิทธิพล
ต่อฉินหยุน
สาเหตุว่าทำไมหลิงหยุนเอ๋อหวาดกลัว ก็เพราะนางอ่อนแอยิ่ง นาง
เกรงว่าอสูรจันทราจะเข้ามากลืนกินนาง
“ข้า… ข้าไม่ทราบ เพียงแต่รู้ว่าข้ากลัว!” ฉินหยุนกระชับมือขาวนวล
ของเซี่ยวเสวียนฉินเอาไว้แน่น
เซี่ยวเสวียนฉินดึงฉินหยุนเข้าหา ให้เขาอิงแอบกับกายนาง ทั้งนี้ นาง
ยังส่งถ่ายความอบอุ่นจากร่างกายเพื่อให้ฉินหยุนสบายใจขึ้นด้วย
อย่างกะทันหัน ออร่าอันยิ่งใหญ่ได้มาพร้อมกับสายลมเย็นเยือก
“ครึ่งเซียนกลุ่มนั้นลงมือแล้ว? นอกจากนี้ ยังเป็นการลงมือพร้อมกัน
พวกเขาทำอะไรกันแน่?” เซี่ยวเสวียนฉินเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ข้าไม่ทราบ แต่นี่ยังไม่มีการศึกใดปะทุออก!” ฉินหยุนกุมมือเซี่ยว
เสวียนฉินไว้ทั้งสองมือ เขาพยายามหอบหายใจอย่างหนัก
ฉินหยุนและเซี่ยวเสวียนฉิน เวลานี้อยู่ค่อนข้างห่างไกลจากโลงศพสี
เงิน
หากมีการต่อสู้เปิดฉากขึ้นจริง อย่างนั้นคลื่นพลังต้องส่งผลกระทบ
มาจนถึงที่ตรงนี้
กระนั้นทิศทางดังกล่าวกลับเงียบงัน!
“ไม่มีการต่อสู้หรือ? นี่เรื่องอันใด? หรือพวกนั้นถูกสังหารหมดสิ้น
ในพริบตา?” ฉินหยุนเอ่ยถามเสียงเบา
“พวกเขาจะถูกสังหารในพริบตาได้อย่างไร? ไม่มีทางที่อสูรจันทรา
จะสามารถสังหารครึ่งเซียนมากมายในพริบตาหรอกกระมัง?” เซี่ยว
เสวียนฉินครานี้ค่อยเกิดความหวาดกลัวและกังวลภายในแล้ว
“จ้าวสำนักและผู้อื่นยังอยู่ที่นั่น!” ฉินหยุนยิ่งห่วงหา
ทันใดนี้เอง คลื่นสายลมเย็นเยือกอีกระลอกหนึ่งจึงมาถึง!
ฉินหยุนสัมผัสได้เพียงว่าเป็นออร่าของครึ่งเซียนหลายคน แม้เขาทิ้ง
เนตรวิญญาณไว้ที่นั่น ทว่ากลับสูญเสียการเชื่อมต่อ
“ฉินหยุน เหตุใดไม่ให้ข้าไปรับชมแทน เจ้าเพียงรอที่นี่!” เซี่ยว
เสวียนฉินกล่าว
“นั่นไม่ได้ หากอันตรายเล่า?” ฉินหยุนส่ายศีรษะ “ป้าเซี่ยวอย่าได้
ไป! หากเกิดอะไรขึ้นกับท่าน เย่ว์เหม่ยและเย่ว์หลานได้เกลียดชังข้า
ไปนานนับแน่!”
เซี่ยวเสวียนฉินได้ทราบถึงความห่วงหาที่ฉินหยุนมีให้ นางอดไม่ได้
ที่จะเกิดความรู้สึกอบอุ่นภายในใจ มือของนางยังคงเกาะกุมมือฉิน
หยุนไว้แน่น “ได้ ข้าจะไม่เข้าไป อย่างนั้นรีบไปจากที่นี่!”
ฉินหยุนพยักหน้ารับ
เซี่ยวเสวียนฉินและฉินหยุนตัดสินใจออกจากยอดเขา บินมุ่งหน้า
กลับไปยังนครจันทราโกลาหล
กระนั้นไม่นานหลังเริ่มออกบิน ทั้งสองพลันรับรู้ได้ถึงความเย็น
เยือกเสียดแทงกระดูกที่พุ่งเข้ามา
เซี่ยวเสวียนฉินและฉินหยุนต่างสั่นกลัว มันเป็นเพราะการโจมตีอัน
เย็นเยือกปรากฏที่เบื้องหลัง
“มันมาจากโลงศพนั่น!” ฉินหยุนกระซิบเบา “ข้าไม่ทราบว่ามันเป็น
พลังอันใด ทว่ามันเย็นเยือกอย่างยิ่ง!”
“มันคือวิญญาณร้ายที่แปรสภาพโดยนรกจันทรา พลังนี้อัดแน่นด้วย
หยินชั่วร้าย!” เซี่ยวเสวียนฉินกล่าว
หลังจากที่จิตของฉินหยุนแปรเปลี่ยนสู่จันทรา เขาสามารถดูดกลืน
เส้นสายพลังหยินชั่วร้ายได้ระหว่างการฝึกฝน อย่างไรแล้ว พวกมัน
ก็จะถูกสะกดข่มเอาไว้โดยพลังแห่งความเที่ยงธรรม
เซี่ยวเสวียนฉินและฉินหยุนยังคงบินมุ่งหน้าออกจากสถานที่อันตราย
และเย็นเยือกแห่งนี้ต่อ
วูบ วูบ วูบ!
จากทิศทางโลงศพสีเงิน ในที่สุดก็มีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่บังเกิด
ขึ้น
ออร่านี้ ฉินหยุนคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างยิ่ง
“เป็นจ้าวสำนักดาบเจี้ยนสือเทียน!” ฉินหยุนร้องตระหนกตกใจ
“เหตุใดจึงมีแต่ออร่าของเขาที่เผยออกมา?”
แม้สงสัยอย่างยิ่งว่าเบื้องหลังนั้นเกิดอันใดขึ้น ทว่าทั้งสองไม่คิดไป
ที่ทำได้ มีแต่ต้องบินด้วยความเร็วสูงเพื่อหนีให้พ้นจากที่นี่
ฉินหยุนไม่กล้าใช้พลังเงา เขาเกรงว่าจะเป็นการดึงความสนใจของ
อสูรจันทรา
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม พวกเขาพลันได้เห็นแสงสีเงินกระพริบที่ตรงหน้า!
เมื่อพิจารณาให้ดี จะได้ทราบว่ามันคือโลงศพใหญ่ยักษ์สูงนับร้อย
เมตรตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า!
ได้เห็นมัน โลหิตในกายฉินหยุนและเซี่ยวเสวียนฉินกลายเป็นเย็น
เยียบ!
นั่นก็เพราะทั้งสองแน่ใจแล้วว่าออกมาห่างไกล แต่แล้วเรื่องราวกลับ
ไม่ใช่
นอกจากนี้ ผู้คนที่นี้ล้วนหายไปหมดสิ้น โลงศพสีเงินยังเปิดกว้าง ฝา
โลงศพยืนหยัดปักเอาไว้ประหนึ่งป้ายหลุมศพ
“อันตราย! ฉินหยุน เร่งรีบหนี!” เซี่ยวเสวียนฉินร้อนรน นางนำเอา
ดาบเต๋าที่ฉินหยุนมอบไว้ให้ออกมา
“ข้าไม่ไป!” ฉินหยุนกล่าว
“หากข้าใช้เคล็ดวิชาลับ พละกำลังข้าจะทัดเทียมราชันยุทธ์ ข้าจะรั้ง
มันไว้ได้สักชั่วเวลาหนึ่ง!” เซี่ยวเสวียนฉินร้องตะโกน “เร่งรีบไป!”
ทันใดนี้เอง สายลมเย็นเยือกดุร้ายเสียดแทงกระดูกได้พัดผ่าน มัน
เกิดขึ้นเป็นม่านพลังโอบล้อมฉินหยุนและเซี่ยวเสวียนฉินเอาไว้
“ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ เหตุใดไม่เข้าไปยังเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ?
ข้าย่อมไม่ทำอันตรายเจ้า!”
เสียงดังผ่านชั้นอากาศ มันให้ความรู้สึกอันไร้สิ้นสุด รวมเข้ากับสาย
ลมเย็นเยือกที่โอบล้อม บรรยากาศกลายเป็นหนักอึ้ง นี่ราวกับภูตผี
สตรีกำลังพูดกล่าว
“อสูรจันทราอย่างนั้นหรือ?” เซี่ยวเสวียนฉินเอ่ยถามเสียงดัง
“ถูกต้อง! พอมาคิดดูแล้ว เจ้าและข้าคล้ายมีความเชื่อมโยงต่อกัน
อย่างไรพวกเราครั้งหนึ่งก็เป็นศิษย์ของพระราชวังกวงหานเช่นเดียว
กัน!” อสูรจันทรากล่าว
อสูรจันทรา แท้จริงแล้วเป็นสตรี!
“เจ้ารู้จักข้าหรือ?” เซี่ยวเสวียนฉินเอ่ยถามอย่างตระหนกตกใจ
“ข้ารู้จัก! ทว่าเจ้าไม่รู้จักข้า! เจ้าคิดอยากเข้าเขตแดนอ้างว้างจันทรา
ทมิฬไปรับชมหรือไม่?” น้ำเสียงของอสูรจันทราดังก้องผ่านอากาศ
“ข้าไม่เข้าไป ข้าอ่อนแอยิ่ง ผู้คนส่วนใหญ่ที่ภายในนั้นล้วนเป็น
จักรพรรดิยุทธ์และครึ่งเซียน!” เซี่ยวเสวียนฉินกล่าว “ข้าขอตัวไป
พบมิตรสหายแล้ว!”
“อย่าได้กังวลไป ด้วยข้าคุ้มครองเจ้า พวกมันจะไม่กล้าลงมืออะไร!”
อสูรจันทราหัวเราะนุ่มนวล “เอาอย่างนี้เป็นไร เจ้าเข้าไปด้วยตนเอง
ก่อน แล้วให้สหายเจ้ากลับไป! กล่าวไปแล้ว เย่ว์จีและข้าต่างเป็นพี่
น้องที่ดีต่อกัน ดังนั้นข้าย่อมไม่ทำร้ายเจ้า!”
เซี่ยวเสวียนฉินกล่าว “หากข้าเข้าไปแล้ว เจ้าจะปล่อยให้สหายข้าจาก
ไปจริงหรือ?”
“เขาก็เพียงมิตรสหายตัวน้อย เหตุใดจึงต้องรั้งเอาไว้?” อสูรจันทรา
หัวเราะ “เร่งรีบเข้าไปยังเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ เปิดประตูค้าง
ไว้เช่นนี้มันสิ้นเปลืองพลังงานข้า!”
เซี่ยวเสวียนฉินหันมองทางฉินหยุน นางได้เห็นเขาส่ายศีรษะให้
“ไม่เป็นไร ข้าเพียงเข้าไปดู ฉีเย่ว์เองก็อยู่ที่ด้านใน!” เซี่ยวเสวียนฉิน
ลูบสัมผัสใบหน้าฉินหยุนพร้อมยิ้มบาง “ไม่จำเป็นต้องกลัวอันใด
อสูรจันทรานี้ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด!”
“ข้าย่อมไม่น่ากลัว ทั้งยังงดงามอย่างยิ่ง!” อสูรจันทราหัวเราะเบา
ด้วยเสียงประหลาด มันทำเอาโลหิตในกายฉินหยุนเย็นเยียบ
“อย่างนั้น ป้าเซี่ยว ขอท่านระวังตัวด้วย!” ฉินหยุนกล่าว
เซี่ยวเสวียนฉินบินขึ้นฟ้าพร้อมกล่าว “ข้าคิดอยากเห็นสหายข้าไป
พ้นจากที่นี่ก่อน จากนั้นข้าจึงค่อยเข้าไปได้หรือไม่?”
“ตามแต่เจ้าต้องการ!” อสูรจันทรากล่าวคำ
ไม่ช้า ฉินหยุนจึงเร่งรีบบินจากไป เขาคิดไปจากสถานที่แห่งนี้ซึ่งมี
ตัวตนชวนขนหัวลุก
เซี่ยวเสวียนฉินที่ได้เห็นฉินหยุนไปแล้ว นางจึงค่อยบินไปทางโลง
ศพขนาดใหญ่ยักษ์ ที่เห็นเบื้องล่าง มันเป็นหุบเหวสีดำสนิท
หลังจากที่นางลงไปแล้วจึงปรากฏตัวที่อีกมิติหนึ่ง ราวกับนางร่วง
หล่นจากสวรรค์ นางสามารถพบเห็นพื้นที่ต่าง ๆ ภายในห้วงอวกาศ
ได้!
ฉินหยุนบินหนีออกมาจากสถานที่อย่างไม่คิดชีวิต นับตั้งแต่เริ่ม
จนถึงตอนนี้ หลิงหยุนเอ๋อไม่กล่าวคำใด ชัดเจนว่านางหวาดกลัวเป็น
ล้นพ้น
ขณะยังคงบินไปต่อ อย่างกะทันหัน แสงสว่างสีเงินพลันวาบขึ้น
ตรงหน้า ภายในใจอดไม่ได้จนต้องสบถคำหยาบออกมา
ตอนนี้เขาค่อยตระหนักได้ชัดเจน ว่าตนเองอยู่ภายในม่านพลัง ไม่ว่า
บินอีกเพียงใด เขาจะไม่มีทางไปพ้นจากที่นี่ เขาจะต้องกลับมายัง
บริเวณที่โลงศพตั้งอยู่
“สหายน้อย เจ้าจำข้าไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรือ?” อสูรจันทราเอ่ยถาม
พลางหัวเราะ น้ำเสียงของนางอัดแน่นด้วยความเกลียดชัง
“บัดซบ! หรือจะเป็นอีกคนที่ราชันเซียนไปยั่วยุเอาไว้อีก?”
ฉินหยุนค่อยเข้าใจ ว่าเหตุใดหยางฉีเย่ว์แนะนำให้เขาไม่เข้าไป นี่
จะต้องเป็นสาเหตุอย่างแน่นอน
“ข้า… ข้าไม่รู้จักท่าน!” ฉินหยุนกล่าว
“โอ้? เจ้าคล้ายหวาดกลัวข้าไม่น้อย!” ก่อนหน้า ครั้งที่อสูรจันทราพูด
กล่าวกับเซี่ยวเสวียนฉิน น้ำเสียงของนางอ่อนนุ่มน่ารับฟัง กระนั้น
ตอนนี้ มันกลับเย็นเยียบ
“ท่านแข็งแกร่ง เป็นปกติที่ข้าจะหวาดกลัว!” ฉินหยุนกล่าว “ท่าน
สัญญากับป้าเซี่ยวแล้วว่าจะปล่อยข้าไป หรือจะบอกว่าตอนนี้ท่าน
คิดก่อเรื่องไร้ยางอายขึ้น!”
“เจ้าหวาดกลัวข้า นั่นไม่ใช่เพราะเจ้าก่อเรื่องไร้ยางอายไว้กับข้า
หรอกหรือ? เจ้ายังแสร้งทำเป็นไม่รู้? เจ้าคิดอยากทำเช่นเดิมอีกงั้นรึ!”
อสูรจันทราแค่นเสียงดังครั้งแล้วครั้งเล่า
ฉินหยุนร้อนรน เขาต้องสบถก่นด่าต่อตนเอง นี่เป็นหายนะที่ชาติภพ
ก่อนของเขาทิ้งเอาไว้ให้อีกแล้ว
เขาคิดว่ากว่าจะต้องเผ่นหนีจากศัตรูก็ต่อเมื่อไปยังแดนเซียนอ้างว้าง
ที่ไม่คิดคือกลับต้องมาพบเจอที่นี่
“ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่ตื่นรู้ความทรงจำขึ้นมา! ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดเย่ว์
ฉินจึงดีต่อเจ้าเพียงนั้น”
“คล้ายว่านางถูกเจ้าล่อลวงอีกครั้งหนึ่งในช่วงชีวิตนี้! และข้าจะไม่ให้
นางต้องเจ็บช้ำอีกเป็นครั้งที่สอง!” อสูรจันทรากล่าว
“เย่ว์ฉิน? หมายถึงป้าเซี่ยว?” ฉินหยุนถามกลับ
“ถูกต้อง!” อสูรจันทราตอบกลับมา “เห็นแก่เย่ว์จี ข้าจะไม่ทำอะไร
กับเจ้า! แต่ข้าจะให้เย่ว์ฉินกับเย่ว์จีได้ตาสว่าง ได้ทราบว่าเจ้าในชาติ
ภพนี้ก็ยังเป็นสุนัขที่กินขี้ตนเองไม่หยุดหย่อน!”
ฉินหยุนถอนหายใจโล่งอก “อย่างนั้น ท่านคิดปล่อยข้าไปแล้ว?”
“ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ก็จงเข้าไปยังเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬเพื่อรับชม
ไม่ว่ากรณีใด ข้าจะไม่สังหารเจ้า ไม่เช่นนั้น เจ้าได้ตายไปนานแล้ว!”
อสูรจันทรากล่าวเสียงเย็น
ฉินหยุนมองทางโลงศพพร้อมถอนหายใจยาว “หากข้าทราบแต่แรก
ข้าคงหนีไปให้พ้นนานแล้ว!”
ตอนนี้ เขามีแต่ต้องเข้าไปในโลงศพสีเงิน
ร่างกายเมื่อลงสู่ภายในนั้น เขาจมดิ่งลงสู่มวลหมอกสีดำเบื้องล่าง
โลงศพสีเงิน มันให้ความรู้สึกราวกับห้วงอวกาศที่ผันแปร
หลังผ่านพ้นมา เขาจึงมองไปพบเห็นพื้นที่ราบเบื้องล่าง เวลายังคง
เป็นค่ำคืน ดวงจันทรางดงามยังคงลอยค้างสูงกลางฟากฟ้า
เขามาถึงเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬแล้ว!
“พอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าป้าเซี่ยวอยู่ที่ใด?” ฉินหยุนเงยหน้ามอง
ท้องฟ้าพร้อมเอ่ยถาม
ทันใดนี้เอง ที่ตรงหน้า บุคคลชุดสีดำพลันปรากฏตัวขึ้น
ตัดสินจากรูปร่าง อีกฝ่ายเป็นสตรี
นางสวมใส่หน้ากาก เส้นผมสีเงินงดงามของนางพลิ้วไหวกับสายลม
รอบกายนางมีรัศมีแสงสีเงินโอบล้อม ทั้งหมดทั้งมวลได้ขับเน้น
ความงามของนางจนมากล้น
สตรีเส้นผมสีเงินสวมใส่หน้ากากผู้นี้ ย่อมต้องเป็นอสูรจันทรา!
“ข้าจะไม่ให้เจ้าได้ไปพบนาง! ยินดีด้วยแล้ว เจ้าจะต้องติดอยู่ที่นี่ชั่ว
กัปชั่วกัลป์ ! ข้าให้สัญญาต่อเย่ว์จีไว้ว่าจะไม่สังหารเจ้า กระนั้นข้าไม่
เคยให้สัญญา ว่าจะไม่ขังเจ้าเอาไว้ที่นี่ และพวกนางก็จะไม่มีทางได้
ทราบเรื่องนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า!” อสูรจันทราหัวเราะดัง
ยามเมื่อนางหัวเราะ นางนำเอาเชือกสีดำออกมาพร้อมพันธนาการ
ฉินหยุนเอาไว้
ถัดจากนั้น ด้วยเสียงกรีดร้องดังยาว เหยี่ยวสีดำร่างใหญ่ยักษ์จึงบิน
มาจากที่ไกลออกไป
เหยี่ยวร่างยักษ์สีดำคว้าเอาตัวฉินหยุนบินขึ้นไปยังที่ห่างไกล
“ตัวบัดซบเช่นเจ้า ขอให้สำราญในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ! ข้า
ถูกผนึกเอาไว้ที่นี่นานนับก็เพราะเจ้า ดังนั้นถึงคราวเจ้าได้ลิ้มรสมัน
บ้างแล้ว!”
อสูรจันทราคลุ้มคลั่งจนหัวเราะดังสนั่น มันคือเสียงหัวเราะที่อัดแน่น
ด้วยความแค้นใจที่นางมี

ตอนที่ 736 โลงที่เปิดออก
ฉินหยุนตกใจไม่น้อยที่ทราบว่าขณะนี้สามารถติดต่อหาหยางฉีเย่ว์
เซี่ยวเสวียนฉินใช้เคล็ดวิชาลับ ใช้งานจันทราสีครามเพื่อติดต่อหยาง
ฉีเย่ว์
และตอนนี้ ฉินหยุนกับเซี่ยวเสวียนฉิน ก็อยู่ค่อนข้างห่างไกลจาก
โลงศพสีเงินขนาดยักษ์ ทั้งสองกำลังนั่งบนก้อนหินที่ยอดเขาแห่ง
หนึ่ง
เซี่ยวเสวียนฉินหลับตาลง ไม่มีผู้ใดทราบว่านางพูดคุยอันใดกับหยาง
ฉีเย่ว์
แม้ฉินหยุนอยู่ไกลห่างจากโลงศพสีเงิน กระนั้นเสียงสนั่นหวั่นไหว
จากที่ไกลออกไปก็ดังครั้งแล้วครั้งเล่า
มันเป็นเสียงของฝาโลงศพที่ร่วงหล่นลงมา
แม้อยู่ไกลเพียงนี้ ฉินหยุนยังคงรู้สึกหวาดกลัว
“หยุนเอ๋อ อสูรจันทรานี่มันอะไรกัน?” ฉินหยุนไม่ทราบ ว่าเหตุใด
เขาจึงรู้สึกว่าโลงศพสีเงินนั่นไม่ใช่ธรรมดา
“ข้าไม่ทราบโดยละเอียด โดยสรุปแล้วอสูรจันทรานั่นแข็งแกร่งยิ่ง!
นอกจากนี้แล้ว มันยังสัมผัสไวต่อวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬและจันทรา
ทมิฬ หากเจ้าเข้าไปใกล้ เช่นนั้นเจ้าต้องถูกพบแน่!” หลิงหยุนเอ๋อ
กล่าว
“อสูรจันทรานั่นโดยคร่าวแข็งแกร่งเพียงใด?” ฉินหยุนเอ่ยถาม “จ้าว
สำนักและคณะกลุ่มคนที่นั่นสามารถรับมือไหวหรือไม่?”
“นั่นย่อมไม่มีทางใช่เซียน ไม่เช่นนั้น มันคงถูกดึงดูดเข้าสู่แดนเซียน
อ้างว้างไปแล้ว!” หลิงหยุนเอ๋อตอบ “พวกเราควรรอที่นี่ อย่าได้เข้า
ไปใกล้!”
ไม่นานนัก เซี่ยวเสวียนฉินค่อยลืมตาพร้อมขมวดคิ้ว “ดวงดาวนั้น
ไม่ใช่ฉีเย่ว์อัญเชิญมา!”
ก่อนหน้านี้ ฉินหยุนและเซี่ยวเสวียนฉินได้คาดเดา ว่าหยางฉีเย่ว์ใช้
งานพระราชวังใต้ดินทำอะไรบางอย่าง กระนั้นเวลานี้เพิ่งได้ทราบว่า
ที่คาดเดานั้นผิดเพี้ยน
“อย่างนั้นมันเกิดอันใดขึ้น?” ฉินหยุนเร่งร้อนถาม
“มันก็ยังข้องเกี่ยวกับนาง! นางกล่าวว่ามีอสูรจันทราที่แข็งแกร่งยิ่ง
อยู่ภายในโลงศพสีเงิน และดวงดาวนั่น เป็นอสูรจันทราเรียกมันลง
มา!”
เซี่ยวเสวียนฉินขมวดคิ้วแน่น “ในความทรงจำข้า อสูรจันทราแข็งแกร่ง
ยิ่ง กระนั้นที่นี่คือแดนวิญญาณอ้างว้าง ไม่ว่าอสูรจันทราแข็งแกร่ง
เพียงใด มันจะไม่มีทางสูงล้ำ ครึ่งเซียนเหล่านั้นสมควรรับมือกับมัน
ได้!”
เรื่องนี้เป็นจริงดังที่หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
“ป้าเซี่ยว แล้วพี่หยางอยู่ที่ใด? พวกเราควรไปหานางเสียแต่ตอนนี้!”
ฉินหยุนร้อนใจ เขาเพียงคิดอยากหาตัวหยางฉีเย่ว์และนำนางกลับไป
ยังสถานที่ปลอดภัย
“นางอยู่ในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ!” เซี่ยวเสวียนฉินถอนหายใจ
“นางเข้าไปยังเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬผ่านทางพระราชวังใต้ดิน
แห่งนั้น!”
“อา… แล้วอาการบาดเจ็บของนางเล่า?” ฉินหยุนเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“ไม่มีอะไรแย่! นางกล่าวว่าพวกเราอย่าได้เป็นห่วงนางไป นอกจากนี้
แล้ว อย่าได้เข้าไปยังเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ!” เซี่ยวเสวียนฉิน
มองทางฉินหยุน “พวกเราควรไปเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬเพื่อ
หานางหรือไม่?”
“แน่นอน! แล้วเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬอยู่ที่ใด?” ฉินหยุนเป็น
ห่วงหยางฉีเย่ว์มากล้น
“ฉีเย่ว์บอกว่ามันอยู่ใต้โลงศพสีเงินนั่น เส้นทางถูกอสูรจันทราพิทักษ์
เอาไว้ หากเจ้าคิดอยากเข้าไป เช่นนั้นก็ต้องจัดการอสูรจันทราเสียก่อน”
เซี่ยวเสวียนฉินกล่าว “เจ้าหวาดกลัวต่ออสูรจันทรา พวกเราไม่ควร
เข้าไปข้องเกี่ยว!”
ฉินหยุนหวาดกลัวอสูรจันทราจริง ทว่าเขาเป็นห่วงหยางฉีเย่ว์มากยิ่ง
กว่า
หลิงหยุนเอ๋อเสนอความคิด “เสี่ยวหยุน ไปลองดู หากติดขัดขึ้นมา
จริง ถึงตอนนั้น ปล่อยจอมราชันดวงดาวอสูรออกมาขวางไว้
ชั่วคราวเพื่อหลบหนียังได้!”
ฉินหยุนกล่าว “ป้าเซี่ยว ข้าคิดอยากไปเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ!
ด้วยครึ่งเซียนมากมายที่นั่น อสูรจันทราย่อมไม่อาจต้านรับได้ไหว”
“คืนถัดไป ฝาโลงศพน่าจะเปิดออกโดยสมบูรณ์” เซี่ยวเสวียนฉิน
กล่าวออก “และมันยังเป็นเวลาที่จันทราสีครามเต็มดวง! สงสัยนักว่า
อสูรจันทราจะแข็งแกร่งเพียงใดกัน!”
ไม่นานจากนั้น นางหลับตาลงอีกครั้ง เพื่อสนทนากับหยางฉีเย่ว์ต่อ
ครั้งนี้ นางพูดคุยกับหยางฉีเย่ว์เป็นเวลานาน สมควรราวครึ่งชั่วยาม
ได้
“ป้าเซี่ยว นี่พวกท่านพูดคุยอันใดกัน?” ฉินหยุนเร่งรีบถาม
“พวกเราพูดคุยกันถึงเรื่องที่ควรต้องพูดคุย!” ดวงตาเซี่ยวเสวียนฉิน
หลบมอง นางและหยางฉีเย่ว์มีเรื่องต้องหารือต่อกัน
ฉินหยุนย่อมพบเห็น เขาจึงไม่ซักไซ้ถึงเรื่องนี้ต่อ เพียงแต่รู้สึกคันที่
หัวใจยากจะเกา
“เสี่ยวหยุน จิตของเจ้าแปรเปลี่ยนเป็นจันทราได้สำเร็จ ทดลองดูว่า
สามารถเชื่อมต่อจันทราสีครามผ่านทางพลังจิตได้หรือไม่ ถึงตอน
นั้นจะได้ติดต่อพี่หยางได้!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
ฉินหยุนคิดอยู่ครู่จึงหลับตาลง
เซี่ยวเสวียนฉินเอ่ยถาม “ฉินหยุน นั่นเจ้าทำอะไร?”
“ข้าเองก็คิดอยากสื่อสารเป็นการส่วนตัวกับพี่หยาง!” ฉินหยุนยิ้ม
กล่าว
“หยุดทดลอง เจ้าไม่อาจทำโดยไร้ซึ่งเคล็ดวิชาลับ และมันก็เป็นเคล็ด
วิชาลับที่ฝึกฝนได้เพียงแต่สตรี!” เซี่ยวเสวียนฉินอดไม่ได้จนเผย
หัวเราะดัง
ย้อนกลับไปครั้งฉินหยุนก่อร่างวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬ จิตสำนึก
ของเขาได้เดินทางผ่านมวลหมู่ทะเลดวงดาวกว้างใหญ่ ด้วยเหตุนี้
เขาจึงมีประสบการณ์การสัมผัสถึงร่างแห่งสวรรค์เช่นดวงจันทรา
เขาปลดปล่อยพลังจิตต้นกำเนิด ติดตามแสงจันทราสีครามย้อนกลับ
ไปสู่ดวงจันทรา
อย่างรวดเร็ว เขาสามารถผสานพลังจิตเข้ากับแสงจันทร์ได้
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาค่อยทำสำเร็จได้ราวครึ่งหนึ่ง เพราะผ่านจันทราสี
คราม เขาสามารถสัมผัสถึงผู้คนที่มีวิญญาณยุทธ์จันทราได้ และนั่นก็
มีเพียงบุคคลเดียว นั่นก็คือหยางฉีเย่ว์
“พี่หยาง!” ฉินหยุนร้องตะโกนผ่านทางจิตสื่อสาร
“เสี่ยวหยุน?” หยางฉีเย่ว์ตอบกลับมา น้ำเสียงของนางตระหนกตกใจ
ไม่น้อย
“ฮ่าฮ่า ข้าทำได้! ป้าเซี่ยวกล่าวว่าข้าจะทำได้ก็ต่อเมื่อมีเคล็ดวิชาลับ
นั่นไม่จริงเสมอไป!” ฉินหยุนหัวเราะยินดี “พี่หยาง ท่านเป็นอย่างไร
บ้างแล้ว? อาการบาดเจ็บท่านร้ายแรงหรือไม่?”
หยางฉีเย่ว์ยินดีจนหัวเราะออก “ข้าสบายดี! ครั้งที่ข้าไปเดินสำรวจ
ในเทือกเขานิราศจันทรายังได้ยินเรื่องเจ้า! เสี่ยวหยุน เจ้าช่างเติบโต
รวดเร็วนัก!”
ฉินหยุนหัวเราะยินดีตอบคำ “พี่หยาง ข้าคิดอยากเข้าสู่เขตแดนอ้างว้าง
จันทราทมิฬไปพบท่าน!”
“เจ้าต้องไม่เข้ามาที่นี่ มันอันตรายเกินไป!” หยางฉีเย่ว์เร่งรีบกล่าว
“โดยเฉพาะเจ้าที่มีวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬ ดีที่สุดคือไม่มายังที่แห่งนี้!”
“อันตรายเพียงนั้นเลยหรือ?” ฉินหยุนถามกลับ
“ยากพูดกล่าว โดยสรุป อสูรจันทราจะมาที่นี่เช่นกัน มันผู้นั้นชื่นชอบ
การได้กลืนกินวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬและจันทราทมิฬ ทว่ามีแต่ข้า
ที่ไม่หวาดเกรงใดต่ออสูรจันทรานั่น” หยางฉีเย่ว์กล่าว
“พี่หยาง ผู้คนภายนอกมากมายคิดอยากเข้าไปในนั้นเพื่อจับตัวท่าน!
ข้าคิดอยากไปพาท่านออกมาเพื่อกลับไปพบพี่สาวปิงชิง” ฉินหยุน
กล่าว
“ข้าได้ยินเรื่องราวของปิงชิงจากเสวียนฉินแล้ว ได้ทราบว่านางช่วย
เหลือเจ้า ข้าก็วางใจได้มาก” หยางฉีเย่ว์กล่าวคำ “เสี่ยวหยุน เชื่อฟัง
พี่หยาง อย่าได้เข้ามา เข้าใจใช่ไหม?”
“ขอรับ ข้าจะไม่เข้าไป!” ฉินหยุนถอนหายใจเบา
“ช่วงที่ผ่านมา ข้าทำเจ้าติดร่างแหไปไม่น้อยแล้ว! เพื่อหาตัวข้า พวก
มันคิดจับตัวเจ้าหลายครั้งครา เป็นผลให้เจ้าต้องเผชิญแต่ปัญหา!
เรื่องนี้ข้าต้องขออภัยต่อเจ้าแล้วเสี่ยวหยุน!” หยางฉีเย่ว์กล่าว
“ไม่เป็นไรแม้เพียงนิด!” ฉินหยุนยิ้มตอบ
“เสี่ยวหยุน ผู้คนส่วนใหญ่ทราบเพียงว่าข้าได้รับจารึกวิญญาณจ้าว
ดวงดาว! กระนั้น พวกขั้วอำนาจใหญ่ทั้งหลาย ล้วนได้ทราบว่าข้ายัง
ได้รับของดีมาอีกหนึ่ง!” หยางฉีเย่ว์หัวเราะคิกคักกล่าวคำ “มันคือ
ต้นกำเนิดเซียนจันทรา! สิ่งนี้คือแกนกลางของพระราชวังกวงหาน
ของเรา อย่าได้กล่าวถึงพวกมันที่นี่ กระทั่งผู้อื่นที่แดนเซียนอ้างว้าง
ยังต้องการมัน!”
ฉินหยุนลอบตื่นตะลึง ไม่แปลกใจที่ขั้วอำนาจใหญ่ทั้งหลายจะไร้
ยางอายคิดอยากจับตัวหยางฉีเย่ว์และตัวเขา เพราะไม่ใช่มีแต่จารึก
วิญญาณจ้าวดวงดาว แต่ยังมีต้นกำเนิดเซียนจันทราอันเลิศล้ำ
“เสี่ยวหยุน ไว้เมื่อใดพวกเราได้พบกัน ข้าจะมอบจารึกวิญญาณจ้าว
ดวงดาวให้ เจ้าต้องเผชิญปัญหามากมายเพราะข้า นี่ถือเป็นสิ่งตอบ
แทนแก่เจ้า!” หยางฉีเย่ว์หัวเราะกล่าว
“พี่หยาง ตอนนี้ท่านไม่ต้องการให้ข้าช่วยเหลืออันใดจริงหรือ? ข้า
เป็นห่วงท่านแทบแย่!” ฉินหยุนเอ่ยถาม “ที่ภายนอก มีทั้งจักรพรรดิ
ยุทธ์และครึ่งเซียนมากมายดักรออยู่!”
“อย่าได้ห่วงไป เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬกว้างใหญ่ ข้าเติบโตขึ้น
ที่นี่ตั้งแต่ครั้งยังเด็ก! สถานที่แห่งนี้อันตรายอย่างยิ่ง พวกมันจะไม่มี
ทางจับตัวข้าได้ง่าย!” หยางฉีเย่ว์หัวเราะ “เสี่ยวหยุน วางใจและกลับ
ไปพร้อมเสวียนฉินได้แล้ว!”
“ขอรับ!” ฉินหยุนยอมรามือจากความคิดที่ต้องการเข้าสู่เขตแดน
อ้างว้างจันทราทมิฬ
“เสี่ยวหยุน เจ้าและเสวียนฉินคล้ายคลี่คลายข้อพิพาทต่อกันแล้ว! นี่
ไม่ใช่เรื่องง่าย ภายหน้าเจ้าต้องรักษามันไว้ให้ดี!” หยางฉีเย่ว์กล่าว
พลางหัวเราะ
“ขอรับ!” ฉินหยุนรับคำ
เซี่ยวเสวียนฉินที่อยู่ข้างกายฉินหยุน พบเห็นอีกฝ่ายไม่ขยับเคลื่อนไหว
เป็นเวลานาง นางอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปสัมผัสใบหน้าอีกฝ่าย
ทว่าทันใดนี้เอง ฉินหยุนกลับลืมตาขึ้น
เซี่ยวเสวียนฉินร้อนรนดึงมือตนเองกลับคืนก่อนจะกล่าวด้วยอาการ
สงบ “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าไม่อาจทำได้สำเร็จ หากเจ้ามีอันใดคิดอยาก
ถามฉีเย่ว์ ให้ข้าพูดคุยแทน!”
ฉินหยุนยิ้มตอบ “ป้าเซี่ยว เป็นข้าทำสำเร็จต่างหาก! ข้าได้พูดคุยกับ
พี่หยางหลายเรื่อง! พี่หยางบอกต่อข้า ว่าอย่าได้เข้าไป และข้าก็ให้
สัญญาไปแล้ว!”
“นี่เป็นไปได้อย่างไร? เจ้าไม่มีเคล็ดวิชาลับของพระราชวังกวงหาน
เจ้าจะติดต่อหาฉีเย่ว์ผ่านทางจันทราสีครามได้อย่างไร?” เซี่ยวเสวียน
ฉินเผยสีหน้าไม่นึกเชื่อออกมา นางหลับตาลงเพื่อถามต่อหยางฉีเย่ว์
ไม่ช้า นางค่อยลืมตาพร้อมถามออกด้วยอาการตระหนก “นี่เจ้าทำได้
อย่างไร?”
“ข้าไม่ทราบ เพียงทดลองไปเรื่อยจึงสำเร็จ! นั่นต้องเป็นเพราะข้าและ
พี่หยางฝึกฝนพระสูตรหัวใจตะวันจันทราต่อกันบ่อยครั้งเป็นแน่!”
ฉินหยุนยิ้มตอบ “พี่หยางและข้าเคยฝึกฝนพระสูตรหัวใจตะวันจันทรา
ร่วมกัน!”
“ผู้ใดอีกที่เจ้าฝึกฝนด้วย?” เซี่ยวเสวียนฉินเร่งร้อนเอ่ยถาม
“ยังมีพี่สาวปิงชิง เย่ว์เหม่ย เย่ว์หลาน พวกนางล้วนไปได้ดียิ่ง!” ฉิน
หยุนยิ้มตอบ “ป้าเซี่ยวเล่า ท่านคิดอยากลองด้วยหรือไม่?”
“ยังไม่ สถานที่แห่งนี้ยังไม่แน่นอนเท่าใดนัก!” เซี่ยวเสวียนฉินหัน
มองรอบ จากนั้นจึงมองขึ้นไปยังจันทราสีครามเบื้องบนฟากฟ้า
“ข้าจะรอจนกว่าฝาโลงศพนั่นเปิดออก ถึงตอนนั้นค่อยจากไป นี่ก็ยัง
มีเวลานับวัน! ตอนนี้ข้าคิดอยากสร้างอะไรไว้บ้าง!” ฉินหยุนกล่าว
“ได้ ให้ข้าช่วยหรือไม่?” เซี่ยวเสวียนฉินเอ่ยถาม
“รบกวนท่านแล้ว”
ถัดจากนั้น ฉินหยุนจึงนำเอาวัสดุทั้งหลายออกมา เริ่มทำการสร้าง
ยันต์ลึกล้ำ โดยเฉพาะยันต์สะกดกาย ยันต์ปฐพีหลบลี้ รวมถึงยันต์
อัคคีคลั่ง
ถัดจากนั้น เขาจึงสร้างยันต์โปร่งแสงขึ้นจำนวนหนึ่ง พร้อมยันต์
ผนึกพลัง ยันต์ทั้งสองนี้ให้เซี่ยวเสวียนฉินไว้ใช้งาน
“ป้าเซี่ยว เวลามีอย่างจำกัด ทำให้ข้ายังไม่อาจสร้างอุปกรณ์ให้แก่
ท่านได้” ฉินหยุนกล่าว
“ไว้มีเวลาค่อยว่ากล่าวเรื่องนี้!” เซี่ยวเสวียนฉินยินดีไม่น้อยยามได้
ถือยันต์ทั้งสองไว้
หนึ่งวันผ่านพ้นรวดเร็ว ดวงจันทราขึ้นสู่ฟากฟ้าอีกครั้งหนึ่งแล้ว
เทือกเขานิราศจันทราถูกสาดส่องด้วยแสงสีคราม ดวงจันทราเป็นสี
ครามเต็มดวง จากที่ไกลออกไป เสียงของฝาโลงศพได้ดังครั้งแล้ว
ครั้งเล่า
“ฝาโลงศพใกล้เปิ ดออกแล้ว!” เซี่ยวเสวียนฉินหันมองไปยังทิศทาง
ต้นเสียง
หลิงหยุนเอ๋อกล่าวคำเบา “เสี่ยวหยุน ข้ากลัว!”
“หยุนเอ๋อ ข้าเองก็กลัวเช่นกัน” ฉินหยุนรู้สึกไม่ต่างจากนางเท่าใด
นัก
“เพราะข้ากลัวจึงทำให้เจ้ากลัวไปด้วย! เป็นข้าที่ส่งผลให้เจ้ารู้สึก
เช่นเดียวกัน!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าวย้ำ
“เปิดแล้ว!” เซี่ยวเสวียนฉินพลันร้องตะโกนดัง
สถานที่ซึ่งมีโลงศพสูงนับร้อยเมตรตั้งอยู่ ลำแสงสีเงินได้ระเบิด
ทะลักออกยิงขึ้นสู่จันทราสีครามเบื้องบน
แสงจันทราสีครามถูกย้อนแสงด้วยลำแสงสีเงิน
ดวงจันทราสีครามเพิ่งปรากฏได้ไม่นาน มันต้องกลับคืนสู่สภาพปกติ
แสงจันทราสีครามเหล่านั้น ล้วนถูกอสูรจันทราดูดกลืนไปจนสิ้น
ถัดจากนั้น สายลมเย็นเยือกได้พัดรุนแรงผ่านผืนป่ า ราวกับวิญญาณ
ร้ายสายลมได้ปรากฏจากปรโลก เมื่อมันพัดพาไปทั่วสารทิศ ผู้คน
ล้วนได้ยินเสียงร่ำร้อง กรีดร้อง และโหยหวนของสรรพวิญญาณ

ตอนที่ 735 อสูรจันทรา
ภาพฉากที่ฉินหยุนและเซี่ยวเสวียนฉินได้เห็นถัดจากนั้น มันแปลก
อย่างยิ่ง
บรรดาสัตว์อสูรดวงดาวที่แห่แหนจากทั่วสารทิศ ฉับพลันพวกมัน
หายไปโดยไร้ร่องรอยเมื่อเข้าใกล้ภูเขา
เวลานี้ ทุกผู้คนในเทือกเขานิราศจันทราต่างเร่งรีบมา พวกเขาติดตาม
ฝูงสัตว์อสูรมากันทั้งสิ้น
บางคนคิดอยากโจมตีฝูงสัตว์อสูร กระนั้นกลับถูกหยุดยั้งไว้โดยครึ่ง
เซียนและจักรพรรดิยุทธ์
จักรพรรดิยุทธ์และครึ่งเซียนที่นี้ คือผู้มากประสบการณ์และความรู้
พวกเขาคล้ายคาดเดาได้ว่าจะมีอันใดเกิดขึ้น
“จ้าวสำนัก!” จากที่ไกลออกไป ฉินหยุนได้เห็นเปาเฉิงโฉ่ว
เจี้ยนสือเทียน แม่เฒ่าหยุนเหยา รวมถึงจ้าวสำนักอื่นที่ยิ่งใหญ่ล้วน
รวมตัวกันที่นี่
“จ้าวสำนักนครเซียนยุทธภัณฑ์ก็มาที่นี่ด้วย? วิเศษนัก!” เซี่ยวเสวียน
ฉินค่อยผ่อนคลายได้มาก เพราะนางได้ยินว่านครเซียนยุทธภัณฑ์
ออกหน้าคุ้มครองฉินหยุนเพียงใด
“ป้าเซี่ยว ท่านยายที่ดูดุร้ายตรงนั้น เป็นแม่เฒ่าหยุนเหยา! นางคือจ้าว
เกาะจันทราปีศาจ แม้ว่าดูน่ากลัวไปบ้าง กระนั้นนางเป็นคนดียิ่ง!”
ฉินหยุนยิ้มกล่าว “หากท่านต้องการเข้าร่วมเกาะจันทราปีศาจภายหลัง
ข้าสามารถพาท่านไปได้!”
“ข้า… ข้าต้องเข้าเกาะจันทราปีศาจจริงหรือ?” เซี่ยวเสวียนฉินรู้สึกว่า
ตนเองตอนนี้ค่อนข้างข้นแค้น นางกลัวว่าหากไปแล้วจะกลายเป็น
ตัวตนแปลกแยก
“วางใจ! เกาะจันทราปีศาจและพี่หยางมีสัมพันธ์ต่อกันในทางลับ
พวกนางให้การดูแลข้าเป็นอย่างดี กระทั่งยอมสร้างข้อยกเว้นให้แก่
ข้า เพื่อที่จะได้กลายเป็นศิษย์ชายเพียงหนึ่งเดียวด้วยซ้ำ!” ฉินหยุน
หัวเราะภูมิอกภูมิใจ
เซี่ยวเสวียนฉินกล่าว “ได้ อย่างนั้นก็ไป!”
นางใช้ผ้าบางปกคลุมครึ่งใบหน้าก่อนบินไปพร้อมฉินหยุน
ฉินหยุนปลอมแปลงตนเองเล็กน้อย เพื่อไม่ให้ผู้ฝึกตนอื่นจดจำตนเอง
ได้
ฉินหยุนเมื่อเข้าไปใกล้ เขาจึงส่งเสียงสื่อสารไปยังเปาเฉิงโฉ่ว “จ้าว
สำนัก ข้าเอง ฉินหยุน!”
เปาเฉิงโฉ่วและฉู่ปินอวี้มาถึงพร้อมกัน ขณะที่แม่เฒ่าหยุนเหยามาถึง
พร้อมฮูจิงเซียนและหญิงชราอีกคนหนึ่ง
เจี้ยนสือเทียนนำเจี้ยนหนันหู่และชายวัยกลางคนร่วมทางมาด้วย
เจี้ยนหนันหู่และชายวัยกลางคนค่อนข้างดูคล้ายคลึงกัน ให้คาดเดา ผู้
นี้สมควรเป็นบิดาของเจี้ยนหนันหู่แล้ว
เปาเฉิงโฉ่วหันมองทางฉินหยุนพร้อมกล่าวเสียงเบา “ฉินหยุน เจ้า
ต้องระวังอย่าได้เปิดเผยตัวตน! จักรพรรดิยุทธ์และครึ่งเซียนที่นี้ล้วน
มาจากแคว้นอื่น!”
“ข้าทราบดี!” ฉินหยุนไปถึง เขาส่งเสียงสื่อสารบอกต่อฮูจิงเซียน
“พี่สาวจิ้งจอก ข้าคือเสี่ยวหยุน! ข้ามาที่นี่เพื่อแนะนำศิษย์ใหม่ให้แก่
เกาะจันทราปีศาจของท่าน!”
ฉินหยุนดึงเซี่ยวเสวียนฉินก่อนจะผลักนางออกนำหน้า
เซี่ยวเสวียนฉินมองที่ฮูจิงเซียน ภายในต้องลอบอุทานนับถือ ฮูจิง
เซียนผู้นี้ทรงเสน่ห์อย่างยิ่ง กระนั้นมันกลับเป็นเสน่ห์อันอ่อนช้อยที่
เผยออร่าความเป็นเซียน มันเป็นสิ่งที่ถือกำเนิดขึ้นตามธรรมชาติจน
ให้ความรู้สึกประหลาด
ฮูจิงเซียนและเซี่ยวเสวียนฉินสื่อสารกันผ่านจิตเสียงสื่อสาร พวก
นางสนทนากันอย่างยินดีก่อนจะยิ้มให้แก่กัน
ไม่นานนัก เซี่ยวเสวียนฉินจึงค่อยส่งเสียงสื่อสารบอกต่อฉินหยุน
“ฉินหยุน นางคล้ายทราบเรื่องข้ามานานแล้ว! เป็นเย่ว์หลานงั้นหรือ?”
“อาจเป็นเช่นนั้น” ฉินหยุนยิ้มกล่าว “ตอนนี้ท่านมั่นใจเรื่องเข้าร่วม
เกาะจันทราปีศาจได้แล้วใช่หรือไม่?”
“ได้ ข้ามั่นใจแล้ว! ฉินหยุน ฮูจิงเซียนผู้นี้น่าทึ่งนัก นางเผยออกเป็น
เพียงผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ กระนั้นนางกลับทำให้ข้ารู้สึกถึง
กำลังแท้จริง ว่ามันไม่อ่อนด้อยไปกว่าครึ่งเซียน!” เซี่ยวเสวียนฉินส่ง
เสียงบอกกล่าวต่อฉินหยุน “นี่เจ้ารู้จักนางเพียงใด? เป็นนางให้ความ
รู้สึกประหลาดแก่ข้ายิ่งนัก!”
“จริงหรือนี่? พวกเรารู้จักกันนานพอสมควร กระนั้นข้ากลับไม่ทราบ
เลย”
ฉินหยุนยังต้องทึ่ง เพราะเขาถูกฮูจิงเซียนเอาเปรียบหลายครั้งครา
เวลานี้ค่อยทราบเรื่องราวยิ่งทำให้รู้สึกวางตัวไม่ถูก
ตู้ม!
ภูเขาฉับพลันสั่นไหวรุนแรงพร้อมระเบิดออก!
การสนทนาในทางลับระหว่างฉินหยุนและเซี่ยวเสวียนฉินจึงต้อง
หยุดลงที่ตรงนี้
ฟากฟ้าเบื้องบนภูเขา มีผู้คนรวมกันนับหมื่น เหล่านี้ต่างทรงพลังกัน
ทั้งสิ้น
ได้เห็นเรื่องราว ผู้คนต่างต้องร้องออกอย่างนึกทึ่ง
หลังภูเขาระเบิดออก มันเป่ าสรรพสิ่งภาคพื้นกระจุยกระจายกินรัศมี
เป็นวงกว้างหลายพันเมตร
โลงศพสีเงินขนาดใหญ่กว่าร้อยเมตรได้ปรากฏขึ้นกลางพื้นดินเบื้อง
ล่าง มันกำลังส่องแสงสว่างประหนึ่งแสงจันทร์ออกมา
ฉินหยุนและเซี่ยวเสวียนฉินตื่นตะลึง เพราะพวกเขาต่างคิด ว่าภูเขา
แห่งนี้จะมีการเคลื่อนไหวก็ต่อเมื่อจันทราสีครามปรากฏ
แต่แล้วเวลานี้ สัตว์อสูรทั้งหลายกลับดาหน้าเข้ามาอย่างไร้ซึ่งความ
หวาดกลัว พวกมันพุ่งเข้าหาโลงศพขนาดใหญ่ยักษ์นับร้อยเมตรนั่น!
ยามเมื่อร่างปะทะกับโลงศพยักษ์ พวกมันจึงระเบิดพลังดวงดาวออก
ก่อนที่โลงศพนั่นจะดูดกลืนพลังทั้งหมดเข้าไป
อย่างกะทันหัน ชายชราในชุดสีเขียวได้ตะโกนเสียงดัง “ข้าคือราชัน
แห่งแคว้นวิหคอมตะ เรียกหาข้าเป็นราชันแคว้นวิหคอมตะ! ข้ามา
จากแดนไกล และหาได้สนใจจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวไม่!”
ครึ่งเซียนหลายคนที่นี้พอได้ยิน พวกเขาต่างแค่นเสียงอย่างนึกเดียดฉันท์
หลังจากที่ราชันแคว้นวิหคอมตะได้ยินเสียงแค่นเดียดฉันท์จากบรรดา
ครึ่งเซียนผู้อื่น เขาจึงเผยยิ้มเฉยชา “ข้ามาที่นี่เพื่อเข้าสู่เขตแดนอ้างว้าง
จันทราทมิฬ! เมื่อโลงศพยักษ์นั่นเปิ ดออก พวกเจ้าจะสามารถเข้าไป
ยังเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬได้!”
“พวกเจ้าคงไม่ทราบเรื่องนี้กันกระมัง?”
ครึ่งเซียนหลายคนเผยสีหน้าคล้ายว่าจดจำเรื่องนี้ขึ้นมาได้ พวกเขา
ขุดคุ้ยความทรงจำนานนับที่กักเก็บไว้ภายในจิตใจ กระนั้นกลับไม่
พบอะไรเป็นชิ้นอัน
“ป้าเซี่ยว ท่านเคยได้ยินเรื่องเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬหรือไม่?”
ฉินหยุนเอ่ยถามผ่านทางเสียงสื่อสาร
“ใช่… ข้าย่อมเคยได้ยิน!” ร่องรอยความหวาดกลัวเผยที่ดวงตาเซี่ยว
เสวียนฉิน นางกล่าวบอก “ครั้งข้ายังอยู่ที่พระราชวังกวงหาน ข้า
บังเอิญได้ยินฉีเย่ว์เอ่ยถึงมัน! นางเพียงกล่าว ว่าสถานที่แห่งนั้นน่า
หวาดกลัวยิ่ง เป็นมันที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับที่ตรงกลางของแดน
วิญญาณอ้างว้าง!”
“หรือเทือกเขานิราศจันทราแห่งนี้ มีไว้ก็เพื่อผนึกเขตแดนอ้างว้าง
จันทราทมิฬ? ตอนนี้ผลึกคลายออก สมควรเป็นฝีมือพี่หยางแล้ว!”
ฉินหยุนเอ่ยคำขึ้น
“เป็นไปได้มาก!” เซี่ยวเสวียนฉินคิดเห็นเช่นเดียวกัน
เจี้ยนสือเทียนกล่าวถาม “ราชันแคว้นวิหคอมตะ ขอท่านบอกต่อ
พวกเรา สิ่งใดอยู่ภายในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ?”
ราชันแคว้นวิหคอมตะลูบหนวดเครายาวพร้อมยิ้มกล่าว “ภายในคือ
นรกจันทรา เรียกขานว่าจันทราทมิฬ มันถูกผนึกเอาไว้ภายในเขต
แดนอ้างว้างจันทราทมิฬมาแล้วนานนับ! จันทราทมิฬคือความลึกลับ
อย่างถึงที่สุด ข้าไม่ทราบว่ามันทรงอำนาจเพียงใด กระนั้นมันย่อม
ต้องเป็นของดีอย่างแน่นอน!”
ฉินหยุนลอบสังเกตสีหน้าของฮูจิงเซียนและแม่เฒ่าหยุนเหยา นับตั้งแต่
แรกเริ่ม พวกนางเผยสีหน้าสงบมาโดยตลอด ราวกับพวกนางทราบ
เรื่องราวนี้ดีอยู่แล้ว
ทั้งจันทราทมิฬและตะวันทมิฬ มันคือตัวตนอันลึกลับอย่างถึงที่สุด
กระทั่งแดนเซียนอ้างว้าง ก็มีเพียงตำนานที่กล่าวขานถึง
กระนั้น ฉินหยุนและหยางฉีเย่ว์ได้ครอบครองวิญญาณยุทธ์ตะวัน
ทมิฬและจันทราทมิฬอย่างพอเหมาะพอเจาะ!
ส่วนเรื่องที่ตะวันทมิฬและจันทราทมิฬแท้จริงอยู่ที่ใด ไม่มีผู้ใดทราบ
“หยุนเอ๋อ นี่มันเรื่องอะไร?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“จันทราทมิฬคงอยู่มาโดยตลอด! และก็มีจำนวนไม่น้อยด้วย! นรก
จันทราคือจันทราทมิฬอย่างหนึ่ง!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “เรื่องราวยัง
จะมีอันใดแปลก? มวลหมู่ทะเลดวงดาวกว้างใหญ่ มันย่อมต้องมี
จันทราทมิฬและตะวันทมิฬมากกว่าหนึ่ง!”
“อย่างนั้นแล้ว ภายในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬจะมีอะไร?” ฉิน
หยุนเอ่ยถาม
“มีแต่ความตาย! โดยสรุป เขตแดนนี้ถูกจันทราทมิฬปกคลุมมาเป็น
เวลายาวนาน หากไม่ถูกส่องแสงโดยเก้าตะวัน สถานที่จะกลับกลาย
เป็นอันตราย ให้กำเนิดออกมาแต่มารร้าย!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
“แน่นอนว่า มีความเป็นไปได้อีกทาง คือภายในไม่มีอันใดทั้งสิ้น!”
ผู้คนต่างลอยตัวกลางอากาศ กำลังหารือกันถึงเรื่องเขตแดนอ้างว้าง
จันทราทมิฬ
พวกเขาต่างเห็นพ้องต้องกัน ว่าเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬมีค่าพอ
ให้เข้าไปสำรวจ!
อันดับแรก พวกเขาไม่อาจพูดคุยกันได้ว่าภายในมีอันใดอยู่หรือไม่
เพียงแต่พิจารณาจากเรื่องที่สัตว์อสูรดวงดาวจำนวนมากถูกสังเวย
มันจะต้องเป็นไปเพื่อปลดปล่อยอะไรบางอย่าง
ยามค่ำคืน จำนวนของสัตว์อสูรดวงดาวลดลงไปอย่างมหาศาล!
ถึงตอนนี้เอง ดวงจันทราได้ปรากฏบนฟากฟ้าพร้อมฉายแสงสีน้ำเงิน
อ่อนจางลงมา!
“นี่ยังไม่ใช่จันทราสีครามโดยสมบูรณ์ มันยังไม่ใช่จันทร์เพ็ญ!”
เซี่ยวเสวียนฉินมองดวงจันทราบนฟ้าพร้อมกล่าว “น่าจะต้องเป็น
พรุ่งนี้!”
“ฝาโลงศพนั่นเปิดออกแล้ว!” คนหนึ่งร้องตะโกนดังขึ้น
ผู้คนต่างหันขวับมองทางโลงศพสูงนับร้อยเมตรที่เริ่มทอประกาย
แสงสีเงิน ฝาโลงศพกำลังยกขึ้นทีละน้อย
ตึง!
ฝากโลงศพเพียงเคลื่อนเล็กน้อย มันก็ร่วงหล่นลงที่เดิมเสียงดังสนั่น
ผู้คนต่างต้องตะโกนร้องออกด้วยความหวาดกลัว
ไม่นานจากนั้น ฝาโลงศพได้เริ่มยกตัวขึ้นเชื่องช้าอีกครั้งหนึ่ง
ครานี้ มันยกขึ้นมาได้สูงกว่าเมื่อครู่
ตึง!
กระนั้น ฝาโลงศพก็ไม่อาจเปิดออกโดยสมบูรณ์ มันร่วงหล่นลงอีก
ครั้งพร้อมเสียงดังสนั่น
ฉินหยุนไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่เขารับรู้ถึงความรู้สึกเย็นเยียบที่
แล่นผ่านกระดูกสันหลังจนกระจายทั่วทั้งร่าง
เขาเร่งรีบดึงเซี่ยวเสวียนฉินที่อยู่ข้างกายเข้ามาใกล้ มีแต่รับรู้ถึงความ
รู้สึกอบอุ่นผ่านฝ่ามือของนาง เขาค่อยผ่อนคลายลงได้บ้าง
เซี่ยวเสวียนฉินมองฉินหยุนด้วยสีหน้างงงัน เพราะนางไม่มีความ
จำเป็นใดต้องเกาะกุมมือฉินหยุนไว้ ถึงกระนั้น นางก็ยังรู้สึกว่าเกาะ
กุมไว้ดีกว่า
“ป้าเซี่ยว ข้านึกกลัว!” ฉินหยุนส่งเสียงสื่อสารบอกต่อเซี่ยวเสวียน
ฉิน “ข้าไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่นี่ทำข้าหวาดกลัวจริง!”
“เด็กน้อย เจ้ายังจะมีอันใดให้กลัว? ย้อนกลับไปที่เบื้องล่างสุสาน
ราชวงศ์เทียนเซี่ยว ที่แห่งนั้นมีโลงศพมากมาย ตอนนั้นไม่เห็นเจ้า
กลัวแม้เพียงนิด!” เซี่ยวเสวียนฉินเร่งรีบดึงฉินหยุนให้เข้ามาใกล้
เพื่อที่ร่างกายจะได้อิงแอบต่อกัน
เซี่ยวเสวียนฉินทราบ ฉินหยุนไม่ได้โกหกต่อนาง เพราะนางรับรู้ได้
ถึงอาการสั่นกลัวจากมือของฉินหยุน เรื่องนี้ทำนางตระหนกไม่ใช่
น้อย
นางทราบดีว่าฉินหยุนแทบไม่เคยหวาดเกรงใด กระนั้นตอนนี้อีก
ฝ่ายกลับหวาดกลัวอย่างไม่อาจอธิบาย
เซี่ยวเสวียนฉินลูบหลังมือของเขาเบาพร้อมกล่าว “อย่าได้หวาดกลัว
ไป จะไม่มีอันใดเกิดขึ้น ที่แห่งนี้มีครึ่งเซียนมากมายนัก! รออีกสัก
ประเดี๋ยว ข้าจะพยายามลองติดต่อฉีเย่ว์ดูว่าเกิดอะไรขึ้น!”
ทันใดนี้เอง หลิงหยุนเอ๋อพลันร้องตะโกนบอกต่อฉินหยุน “เสี่ยว
หยุน รีบหนี!”
“วะ… ว่าอะไร?” ฉินหยุนถามกลับ
“อสูรจันทรากำลังจะปรากฏตัวแล้ว! ดวงดาวนั่นไม่ใช่พี่หยางนำลง
มา แต่เป็นอสูรจันทราที่นำมันลงมา!” หลิงหยุนเอ๋อเร่งร้อนตะโกน
“อสูรจันทราถือกำเนิดขึ้นจากนรกจันทรา บางทีมันเคยอยู่ที่นี่ทว่า
ถูกผนึกเอาไว้ในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ!”
“ข้าเดาว่าอสูรจันทรา ครั้งหนึ่งอยู่ในการควบคุมของพระราชวังกวง
หาน ภายหลังจึงค่อยถูกผนึกเอาไว้! หลังจากที่พระราชวังกวงหาน
ถูกทำลายจนสิ้น พลังที่ผนึกร่างอสูรจันทราไว้จึงอ่อนแรงลง!”
ฉินหยุนขมวดคิ้วกล่าวถาม “นี่เป็นต้นกำเนิดความหวาดกลัวของข้า
หรือ?”
“ถูกต้อง! เจ้าครอบครองวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬ นั่นถือเป็นอาหาร
อันโอชะของอสูรจันทรา! ด้วยกำลังเจ้าตอนนี้ เจ้าไม่มีทางต้านทาน
อสูรจันทราเอาไว้ได้! ความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันมันมา
จากข้า ข้าเองก็หวาดกลัวเจ้าสิ่งนั้น!” หลิงหยุนเอ๋อเร่งร้อนกล่าว “เร่ง
รีบหนี!”
ฉินหยุนจึงส่งเสียงบอกต่อฮูจิงเซียนพร้อมถาม “พี่สาวจิ้งจอก ภายใน
โลงศพนั่นคืออะไร? เป็นสิ่งน่าหวาดกลัวหรือ?”
“น้องหยุน เจ้าควรเร่งรีบไปโดยเร็ว! สิ่งนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่ง กระทั่ง
ว่าที่นี่มีครึ่งเซียนมากมาย ข้าก็ไม่อาจมั่นใจว่าจะกำราบมันลงได้
หรือไม่!” ฮูจิงเซียนตอบกลับมา
ฉินหยุนคิดอยู่ครู่ก่อนจะแจ้งเรื่องนี้ต่อเปาเฉิงโฉ่ว
เปาเฉิงโฉ่วพอได้ทราบ เขาจึงบอกให้ฉินหยุนไปก่อน เพราะเขา
ต้องการเห็นสิ่งที่อยู่ภายใน
“ป้าเซี่ยว เร่งรีบไปจากที่นี่!” ฉินหยุนกล่าว
“ได้!” เซี่ยวเสวียนฉินได้ทราบว่าฉินหยุนหวาดกลัว นางจึงบอกต่อฮู
จิงเซียนก่อนจะบินไปไกลห่างพร้อมฉินหยุน
และชั่วขณะนี้เอง นางพลันส่งเสียงสื่อสารบอกต่อฉินหยุนอย่าง
ตระหนกตกใจ “ข้าคล้ายสามารถติดต่อฉีเย่ว์ได้แล้ว ให้ข้าถามนาง
เรื่องโลงศพยักษ์นั่นก่อน!”

ตอนที่ 734 สังเวยสัตว์อสูร
ฉินหยุนเองก็คิด ว่าหยางฉีเย่ว์น่าจะลักลอบก่อการใหญ่อยู่ กระนั้น
เขาไม่อาจทราบว่านางคิดทำอะไร
เซี่ยวเสวียนฉินนำฉินหยุนมุ่งหน้าสู่กลุ่มภูเขาตรงหน้า ออร่าของ
สัตว์อสูรดวงดาวปรากฏจากที่แห่งนั้น
“ป้าเซี่ยว ท่านต้องการแกนกลางดวงดาวหรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ใช่!” เซี่ยวเสวียนฉินพยักหน้ารับ
“ท่านขาดแคลนเหรียญม่วงหรือไม่? ข้ามอบให้ท่านได้บ้าง!” ฉิน
หยุนยิ้มกล่าว
“ไม่ต้อง ข้าย่อมมีของตนเอง! เจ้าเพียงช่วยข้าสร้างอุปกรณ์ลึกล้ำที่
ไม่ต้องดีมากนักให้ก็พอ!” อันที่จริง เซี่ยวเสวียนฉินหาได้มีเหรียญ
ม่วงจำนวนมากแต่อย่างใด เพราะเหตุนั้นนางจึงต้องการเงินโดยการ
ล่าสัตว์อสูรดวงดาว ทว่านางจะไม่มีทางให้ฉินหยุนต้องมอบเหรียญ
ม่วงแก่นาง
ฉินหยุนยิ้มกล่าว “อุปกรณ์ลึกล้ำที่ข้าสร้างย่อมต้องดี! เมื่อใดกลับไป
ข้าจะเร่งรีบสร้างมันขึ้นมา! ป้าเซี่ยว อาวุธและชุดเกราะใดที่ท่าน
ต้องการ? พูดคุยถึงเรื่องนี้กันก่อน ระหว่างทางกลับข้าจะได้คิดอ่าน
ไว้ล่วงหน้าได้!”
“เจ้า… นี่เจ้าไม่ต้องใช้พิมพ์เขียวอุปกรณ์ลึกล้ำเลยหรือไร?” เซี่ยว
เสวียนฉินเอ่ยถาม
“หาได้จำเป็นไม่!” ฉินหยุนยิ้มตอบภาคภูมิ “อาจารย์จารึกที่แข็งแกร่ง
ดังเช่นข้า สามารถสร้างขึ้นโดยใช้พิมพ์เขียวของตนเอง!”
ฉินหยุนไม่ได้คุยโว เขาสามารถทำได้จริง นั่นคือพรสวรรค์ของตัวเขา
เซี่ยวเสวียนฉินต้องลอบนับถือขณะบอกกล่าวถึงอุปกรณ์ลึกล้ำที่นาง
ต้องการ
นางทราบกระจ่างชัดดี ว่าหากได้ครอบครองอาวุธที่ดี เมื่อใดนางพบ
เจอศัตรู มันจะขยับขยายพลังให้แก่นางได้ใช้รับมืออย่างเหมาะสม
ฉินหยุนพบว่าที่เซี่ยวเสวียนฉินต้องการไม่ใช่ยากสร้างเกินไป เขา
จดจำพวกมันอย่างขึ้นใจ เพื่อที่กลับไปเมื่อใดจะได้ลงมือโดยทันที
พวกเขาบินผ่านฟากฟ้ากว่าชั่วยาม ก่อนจะไปถึงยังยอดเทือกเขาซึ่งมี
แต่เมฆและหมอก
ที่เบื้องล่าง ออร่าของสัตว์อสูรดวงดาวแทบเกิดเป็นรัศมีพลัง พวก
มันอัดแน่นด้วยพลังดวงดาว
“ป้าเซี่ยว ด้านล่างมีสัตว์อสูรดวงดาวมหาศาลนัก น่าจะเกินกว่าหนึ่ง
หมื่นตัว และพวกมันทั้งหมดไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว!” ฉินหยุนมอง
ขึ้นไปบนท้องฟ้า ตอนนี้ยังคงเป็นกลางวัน เขาเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย
“หรือสัตว์อสูรดวงดาวเหล่านี้เคลื่อนไหวได้แต่ตอนกลางคืน?”
“ไม่ใช่!” น้ำเสียงเซี่ยวเสวียนฉินกลายเป็นเคร่งเครียด “ที่เบื้องล่าง
ต้องมีอะไรบางอย่างควบคุมสัตว์อสูรดวงดาวเหล่านี้เป็นแน่!”
“หรือจะเป็นพี่หยางที่ลอบเร้นควบคุมพวกมัน? หากเป็นอย่างนั้น
พวกเราก็ไม่ควรสังหารสัตว์อสูรดวงดาวพวกนี้ นี่จะต้องเป็นแผนการ
ที่พี่หยางวางไว้!” ฉินหยุนกล่าว
“อาจเป็นอย่างนั้น พวกเราเข้าไปดูให้ใกล้กว่านี้จะดีกว่า!” เซี่ยวเสวียน
ฉินส่งเสียงสื่อสารบอกต่อฉินหยุน
ฉินหยุนใช้งานวิญญาณยุทธ์โปร่งแสง ทำให้ร่างกายโปร่งแสง ทั้ง
สองรุกคืบผ่านหมู่เมฆจนเข้ามาถึงป่ าเบื้องล่างภูเขา
ทั้งสองย่อมได้เห็นสัตว์อสูรดวงดาว พวกมันเหล่านี้รูปลักษณ์คล้าย
แพะ ทั้งหมดเป็นสีขาว และมีเขาที่บนหัว
ที่แตกต่างจากแพะทั่วไป คือแพะเหล่านี้มีตัวใหญ่กว่า ขนาดตัวยาว
กว่าหลายเมตร ทั้งร่างกายยังมีพลังดวงดาวทอประกายเผยออก
สัตว์อสูรแพะดวงดาวเหล่านี้แทบบดบังภูเขาใหญ่เอาไว้ พวกมันยืน
นิ่งไร้การเคลื่อนไหว ไม่อาจทราบได้ว่าพวกมันคิดทำอันใด
“ภูเขานั่นกำลังดูดกลืนพลังจากสัตว์อสูรดวงดาว!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
ทางด้านเซี่ยวเสวียนฉินเองก็พบเรื่องราวโดยคร่าว นางกล่าวคำเบา
“ฉินหยุน ภูเขาที่ตรงนั้นภายในมีเรื่องแปลก! ความสามารถเทวะ
ทะลุทะลวงของเจ้าสามารถบุกฝ่าเข้าไปได้ใช่หรือไม่?”
“ให้ข้าลอง!” ฉินหยุนดึงเซี่ยวเสวียนฉินมุ่งหน้าไปยังภูเขาลูกดังกล่าว
สัตว์อสูรแพะดวงดาวเหล่านี้ล้วนอยู่ที่ตีนเขา พวกเขาที่ไปสำรวจบน
ยอดเขา จึงไม่อาจพบเห็นสัตว์อสูรแพะดวงดาวได้อีก ดังนั้นจึงไม่
อาจทราบสถานการณ์ทั้งหมดอย่างกระจ่างชัด
“ป้าเซี่ยว ท่านพบอะไรบ้างหรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ยังไม่! เจ้าสามารถใช้ความสามารถเทวะทะลุทะลวงบุกฝ่าไปได้
หรือไม่?” เซี่ยวเสวียนฉินเอ่ยถามหลังร่อนลงมา
“ย่อมต้องได้! ให้ข้าพาท่านไปรับชมด้วยแล้ว!” ฉินหยุนกล่าวพร้อม
ดึงเซี่ยวเสวียนฉินเข้าหาเพื่อใช้ความสามารถเทวะทะลุทะลวง
ในพริบตา ฉินหยุนและเซี่ยวเสวียนฉินจึงทะลวงผ่านมวลหินหนาที่
พื้นผิวภูเขาไปยังเบื้องล่าง
กระนั้น ฉินหยุนกลายเป็นต้องเร่งรีบนำเซี่ยวเสวียนฉินกลับขึ้นมา
เพราะภายในภูเขา มันมีม่านพลังแข็งแกร่งขวางกั้นเขาเอาไว้ มันคือ
สิ่งที่ไม่อาจทะลวงผ่าน ดังนั้นเขาจึงได้แต่ต้องถอยกลับมา
“มีม่านพลังคุ้มกันภูเขาเอาไว้!” ฉินหยุนขมวดคิ้ว “ข้าไม่อาจทะลวง
เข้าไปได้!”
“ภูเขาลูกนี้สมควรเป็นทางเข้าแล้ว!” เซี่ยวเสวียนฉินยิ่งสงสัยตัวภูเขา
ลูกนี้มากขึ้น
อย่างกะทันหัน เสียงแพะร้องพลันดังขึ้นจากก้นบึ้งภูเขา
“มีคนบุกโจมตีสัตว์อสูรดวงดาวพวกนั้น!” เซี่ยวเสวียนฉินสบถเสียง
เบา “พวกมันช่างเป็นตัวบัดซบยิ่งนัก!”
“มากันหลายคนเสียด้วย! ลงไปดูสถานการณ์ก่อน!” ฉินหยุนกล่าว
ฉินหยุนและเซี่ยวเสวียนฉินระแวดระวังเคลื่อนตัวลงจากภูเขา ไม่ช้า
พวกเขาจึงได้เห็นคนกลุ่มใหญ่กำลังโหมโจมตีสัตว์อสูรดวงดาว
“เป็นพวกตัวบัดซบหวังเหลียงเห่า!” เซี่ยวเสวียนฉินพอนึกย้อนถึง
กลุ่มคนของหวังเหลียงเห่า ความรู้สึกโกรธแค้นจึงท่วมท้นหัวใจนาง
“ฉินหยุน พวกเราควรโจมตีพวกมันเลยหรือไม่?” เซี่ยวเสวียนฉิน
เอ่ยถาม
ฉินหยุนส่ายศีรษะ “ยังไม่! พื้นที่นี้กล่าวได้ว่าอันตรายยิ่ง สาเหตุที่
พวกมันมาที่นี่ ชัดว่าเป็นเพราะติดตามผู้อาวุโสพวกมันมา!”
“หากพวกเราบุ่มบ่าม ตาเฒ่าราชันยุทธ์เหล่านั้นได้เสนอหน้ากัน
ออกมา ถึงตอนนั้นพวกเราจะตกอยู่ในปัญหา!”
เซี่ยวเสวียนฉินเอ่ยถาม “อย่างนั้นควรทำอย่างไร? หากพวกมันสังหาร
สัตว์อสูรดวงดาวเหล่านี้จนหมด แผนการของฉีเย่ว์ได้พังแน่!”
ฉินหยุนคิดอยู่ครู่จึงค่อยตอบ “พวกเราจะรอจนฟ้ามืด!”
มีแต่เป็นเวลาค่ำคืน ราชสีห์สวรรค์ใต้พิภพที่เขาอัญเชิญออกมา จึง
จะแข็งแกร่งพอจัดการหวังเหลียงเห่าและคณะได้
เซี่ยวเสวียนฉินนำหน้ากากออกมา “ฉินหยุน ข้าไปก่อน เจ้ารับชมที่
ตรงนี้ หากข้าต้านรับไม่ไหว เจ้าค่อยโจมตี! อย่างนี้เป็นไร?”
“ตกลง!”
ฉินหยุนพยักหน้ารับ พวกเขามีแต่ต้องทำเช่นนี้
แม้สัตว์อสูรแพะดวงดาวมีพลังแข็งแกร่งในร่าง กระนั้นพวกมัน
กลับอ่อนแอยิ่ง
หวังเหลียงเห่าและคณะล้วนอยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ คิดสังหารพวก
มันเป็นไปง่ายดายและรวดเร็ว!
เซี่ยวเสวียนฉินถือดาบเต๋าของฉินหยุน ฉับพลันปรากฏกายเบื้องหลัง
หวังเหลียงเห่า
ยามเมื่อดาบเสียดแทงรุกคืบ พลังงานในตัวดาบจึงสั่นไหวจนเกิด
เสียงคล้ายเครื่องสายดีดดังขึ้น พลังคลื่นเสียงได้แปรเปลี่ยนเป็น
พลังงานแข็งแกร่งทะลักออกมา
“แม่นางเซี่ยว ข้าทราบว่าเป็นเจ้า!” หวังเหลียงเห่าหัวเราะดังขณะกล่าว
“แม้ข้าไม่ทราบว่าเจ้าหลบหนีพ้นจากอาจารย์พวกเราได้อย่างไร แต่
คราวนี้ชะตาเจ้ามีแต่ต้องตายแน่นอนแล้ว!”
เซี่ยวเสวียนฉินกล่าวอย่างนึกโกรธแค้น “พวกเจ้าตัวบัดซบ จงเข้ามา
รับความตายต่อหน้าข้า!”
ฉินหยุนพบว่าสถานการณ์ผิดคาด จึงเร่งรีบนำเอาปืนใหญ่ราชันลึกล้ำ
ออกมา ตัวเขาเวลานี้ยังคงโปร่งแสง มีแต่วิธีการเช่นนี้จึงทำให้เขา
สามารถซ่อนตัวโดยไม่ถูกพบเห็นได้
หวังเหลียงเห่าและคณะอยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ เวลานี้ต่างหยุดมือ
ไม่โจมตีสัตว์อสูรแพะดวงดาว แต่เลือกปิดล้อมเซี่ยวเสวียนฉิน
เอาไว้แทน
“ป้าเซี่ยว เร่งรีบมาทางนี้!” ฉินหยุนร้องโพล่งบอก
เซี่ยวเสวียนฉินถือดาบเต๋าต้านรับการโจมตีหวังเหลียงเห่า ทำลาย
อุปกรณ์ลึกล้ำอีกฝ่าย เรื่องนี้ทำเอาหวังเหลียงเห่าปวดใจพร้อมมี
โทสะ
เซี่ยวเสวียนฉินบุกฝ่าวงล้อมออกมา นางมุ่งตรงไปยังทิศทางที่ฉินหยุน
คงอยู่
“กลุ่มตัวบัดซบ รับปืนใหญ่ข้าไปกิน!” ฉินหยุนควบคุมปืนใหญ่
ราชันลึกล้ำ ยิงกระสุนปืนใหญ่ออกไปชุดหนึ่ง
เมื่อกระสุนปืนใหญ่ที่ขัดเกลาขึ้นจากน้ำมันสัตว์ระเบิดออก อัคคี
เพลิงรุนแรงจึงทะลักล้นทั่วสารทิศ อุณหภูมิและแรงระเบิด ทั้งสอง
ต่างเป็นพลังอำนาจระดับชวนสะพรึง
เมื่อเซี่ยวเสวียนฉินพุ่งมาทางฉินหยุน นางรับรู้ได้ถึงคลื่นความร้อน
รุนแรงที่แผ่นหลัง นางถูกผลักให้พุ่งด้านหน้าด้วยแรงระเบิดก่อนจะ
โผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดฉินหยุน และนางที่ไม่มีทางเลือกอื่น จึงได้
แต่ต้องอยู่ในอ้อมกอดฉินหยุน
ด้วยการกระแทกครั้งหนึ่ง ร่างกายเซี่ยวเสวียนฉินจึงแนบแน่นสัมผัส
กับฉินหยุน นางรับรู้ได้ ว่าหน้าอกของตนเองและฉินหยุนสัมผัสถึง
อัตราการเต้นของหัวใจกันและกัน
ตู้ม!
เมื่อเซี่ยวเสวียนฉินหลงเข้าสู่โลกมายา ฉินหยุนจึงยิงปืนใหญ่ออกอีก
นัดหนึ่ง เสียงดังสนั่นบังเกิด เป็นผลให้เซี่ยวเสวียนฉินดึงสติตนเอง
กลับคืนมาได้
เซี่ยวเสวียนฉินมองทางหวังเหลียงเห่าซึ่งเร่งรีบออกมาจากทะเลเพลิง
นางยินดีไม่น้อย เพราะกลุ่มของหวังเหลียงเห่าเชื่องช้าลงได้มาก ตาม
ร่างมีแต่รอยแผลไฟไหม้
“ฉินหยุน อัคคีเพลิงเจ้าร้อนแรงนัก!”
เซี่ยวเสวียนฉินกล่าวคำชื่นชม จากนั้นร่างจึงทะยานออก เข้าสังหาร
หนึ่งในศิษย์สำนักเซียนด้วยการฟาดฟันดาบเพียงครั้งเดียว
นางเพียงกระโดดไปไม่กี่ครั้ง ศิษย์สำนักเซียนอีกหนึ่งที่เดิมได้รับ
บาดเจ็บจึงถูกสังหารไปอีกคน
“หวังเหลียงเห่า เจ้าคงคาดไม่ถึงใช่หรือไม่? ว่าข้าเองก็มีอาวุธดีให้ใช้
งาน!” เซี่ยวเสวียนฉินกล่าวคำเสียงเย็นเยียบ
หวังเหลียงเห่า ผู้ซึ่งร่างมีแต่บาดแผลไฟไหม้ เขาไม่คาดคิด ว่าอาวุธ
ของเซี่ยวเสวียนฉินจะทรงอำนาจเพียงนี้ มันกระทั่งทำอุปกรณ์ลึกล้ำ
ของเขาเสียหายร้ายแรง
ชุดเกราะของหวังเหลียงเห่า เวลานี้มันถูกเผาไหม้จนเสียหาย เซี่ยว
เสวียนฉินจึงสามารถจ้วงแทงดาบได้ง่ายดาย
“แม่นางเซี่ยว ในเมื่อพวกเราเคยเป็นสหายที่ดีต่อกัน ดังนั้นโปรด
อย่าได้สังหารข้าแล้ว!” หวังเหลียงเห่าเร่งร้อนร้องขอความเมตตา
“ชะตาเจ้าคือต้องตาย!” ดาบของเซี่ยวเสวียนฉินแทงผ่านลำคอของ
หวังเหลียงเห่า จากนั้นจึงค่อยเป็นการสะบั้นเศียรอีกฝ่าย
ฉินหยุนเร่งรีบเข้ามา พร้อมนำวิญญาณยุทธ์อีกฝ่ายออกมาเก็บไว้
“ป้าเซี่ยว พวกเราควรไปจากภูเขาลูกนี้!” ฉินหยุนกล่าวขณะเร่งรีบ
ดึงเซี่ยวเสวียนฉิน
เซี่ยวเสวียนฉินบินนำฉินหยุนขึ้นฟากฟ้าสูง นางเองก็สัมผัสได้ ว่า
ออร่าของราชันยุทธ์กำลังใกล้เข้ามา
“ที่นี่มีสัตว์อสูรดวงดาวมากมายนัก ราชันยุทธ์ที่อยู่ใกล้ย่อมสัมผัสถึง
พวกมันได้ เมื่อครู่เกิดความอึกทึกครั้งใหญ่ พวกมันที่อยู่ใกล้เคียง
ย่อมต้องมาแน่!” ฉินหยุนกล่าวคำ
เขาและเซี่ยวเสวียนฉิน ต่างมองไปยังยอดเขาที่ห่างไกลหลายพัน
เมตร ภูเขาแห่งนั้นกำลังลุกท่วมด้วยอัคคีเพลิงเผาไหม้
ฉินหยุนทิ้งเนตรวิญญาณเอาไว้ที่นั่น เพื่อให้สามารถพบเห็นได้ว่า
เกิดอันใดขึ้น
ละแวกใกล้เคียงมีราชันยุทธ์อยู่หลายคน รวมถึงกลุ่มราชันยุทธ์ซึ่งถูก
พวกเขาลวงหลอกไป เมื่อคนกลุ่มนั้นมาถึงและได้เห็นสัตว์อสูร
ดวงดาว พวกเขาจึงเริ่มลงมือสังหารด้วยความยินดี
ฉินหยุนรู้สึกว่าเรื่องราวน่าเสียดาย แต่แล้ว เขาพลันได้เห็นเรื่องราว
ชวนตื่นตะลึงจากเนตรวิญญาณ
สัตว์อสูรดวงดาวเหล่านั้นพลันถูกธรณีสูบลงไปในพริบตา พวกมัน
ทั้งหมดหายตัวไปจนสิ้น
ฉินหยุนเร่งรีบบอกเรื่องราวต่อเซี่ยวเสวียนฉิน
“นี่ถือว่าดี แผนการของฉีเย่ว์ยังไม่พังทลาย!” เซี่ยวเสวียนฉินถอน
หายใจยาวอย่างโล่งอก
“ป้าเซี่ยว พวกเราควรเข้าไปยังส่วนลึกของเทือกเขานิราศจันทราต่อ
หรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ไม่ต้องแล้ว เพียงรอที่นี่ให้จันทราสีครามปรากฏ น่าจะอีกไม่กี่วัน
เท่านั้น!” เซี่ยวเสวียนฉินเงยหน้ามองฟากฟ้า “ภูเขาแห่งนั้นดูดกลืน
พลังจากสัตว์อสูรดวงดาว มันน่าจะต้องการดึงความสนใจของสัตว์
อสูรดวงดาวจำนวนมหาศาลมา!”
“เมื่อใดจันทราสีครามปรากฏ ภูเขาแห่งนั้นต้องมีความเคลื่อนไหว!”
ฉินหยุนยังคงสงสัยขณะรับชมที่ไกลห่างออกไปร่วมกับเซี่ยวเสวียน
ฉิน
รอคอยอยู่สองวัน อย่างกะทันหัน พวกเขาพลันรับรู้ได้ถึงออร่าที่เข้า
มาจากทั่วทิศ!
“สัตว์อสูรดวงดาวแห่กันมาแล้ว!” เซี่ยวเสวียนฉินบินขึ้นสู่ด้านบน
ฉินหยุนเองก็ลอยสูงกลางอากาศ เขาได้เห็นต้นไม้ล้มตามรายทาง
จากทั่วทิศที่ห่างไกลออกไป พวกมันคือสัตว์อสูรดวงดาวจำนวนนับ
ไม่ถ้วนที่เร่งรีบพุ่งทะยานมา
พร้อมกันนี้เอง ออร่าของจักรพรรดิยุทธ์และครึ่งเซียนได้ปรากฏ
เซี่ยวเสวียนฉินเร่งรีบดึงฉินหยุนลงสู่ยอดเขา
“จักรพรรดิยุทธ์และครึ่งเซียนมาที่นี่แล้ว!” เซี่ยวเสวียนฉินเผยสีหน้า
มืดมน “ภูเขาลูกนั้น เวลานี้กลายเป็นศูนย์รวมความอันตรายแล้ว!”

ตอนที่ 733 พระราชวังจันทราใต้ดิน
ฉินหยุนและเซี่ยวเสวียนฉินออกจากใต้ดินแล้ว
หลังจากพลังของค่ายอาคมถูกใช้หมดสิ้น แสงสว่างที่ปกคลุมภูเขา
ผลึกแก้วเอาไว้จึงเลือนหาย
กลุ่มราชันยุทธ์ซึ่งรับชมภายนอก เวลานี้พวกเขาตื่นเต้นยินดี
แต่แล้ว ความตื่นเต้นยินดีนั้นพริบตาต้องกลับกลายเป็นโทสะ
เพราะภูเขาผลึกแก้วได้เลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
ทั้งยังไม่อาจพบเห็นฉินหยุนและเซี่ยวเสวียนฉิน!
“พวกเราโดนพวกมันหลอกเข้าให้แล้ว!”
“สองตัวบัดซบนั่น ต้องจับตัวพวกมันมาถลกหนัง!”
“เร่งรีบกระจายตัวค้นหา พวกมันไม่น่าจะไปได้ไกล!”
“เร็วเข้า กระจายตัวค้นหาพวกมัน!”
“รีบส่งเปลือกหอยสื่อสารพวกเรากลับคืนแล้ว ไม่อย่างนั้น พวกเรา
จะรายงานสถานการณ์ได้อย่างไร?”
“หากพวกเจ้าไม่ห้ามพวกเราเรียกจักรพรรดิยุทธ์มาที่นี่ ภูเขาผลึก
แก้วนั่นคงไม่โดนลวงหลอกเอาไป!”
“จริงด้วย!”
ราชันยุทธ์หลายคนเริ่มต่อว่า เพราะพวกเขาสูญเสียกันอย่างหนัก
หนาเกินไป
ราชันยุทธ์หลายคนจากสำนักเซียนกราดเกรี้ยวตั้งแต่แรกเริ่ม ตอนนี้
ยิ่งถูกลวงหลอกซึ่งหน้านำสิ่งของไป พวกเขายิ่งโกรธแค้น
“พวกเจ้าล้วนหุบปาก!” ชายชราชุดขาวคำรามดัง
ฉินหยุนและเซี่ยวเสวียนฉินทั้งตื่นเต้นและยินดี ขณะนี้กำลังมุ่งหน้า
ไปยังป่ าสีดำมืด
“ป้าเซี่ยว ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง?” ฉินหยุนหัวเราะ
“เหอะ ชาติภพก่อนเจ้าทำเรื่องราวเช่นนี้ต่อข้าบ่อยครั้งนัก!” เซี่ยว
เสวียนฉินกล่าวอย่างนึกโกรธที่ภายใน นางไม่ทราบว่าเหตุใด ทว่า
ตอนนี้นางมีความรู้สึกตื่นเต้นร่วมอยู่ด้วย
“ข้ายังไม่ดีเพียงนั้น เป็นเย่ว์เหม่ยที่สอนให้แก่ข้า!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว
“เย่ว์เหม่ย แม่เด็กน้อยนั่น นางถึงกับทราบวิธีการลวงโลกเพียงนี้
เป็นชาติภพก่อนของเจ้าที่นำพานางให้หลงผิด!” เซี่ยวเสวียนฉิน
ครวญคราง
ยิ่งนึกถึงเรื่องที่นางอ้างตัวเป็นภรรยาของฉินหยุนเมื่อครู่ เซี่ยวเสวียน
ฉินยิ่งรู้สึกถึงความประหลาดภายในหัวใจ
ไม่ช้า พวกเขาค่อยตามสมทบกับเซี่ยวเย่ว์เหม่ยและคณะ
“พี่ชาย ภายในภูเขาผลึกแก้วนั้นมีอันใด? เป็นต้นกำเนิดเซียนดวงดาว
จริงหรือ?” เซี่ยวเย่ว์เหม่ยเมื่อพบเห็นฉินหยุน นางจึงเร่งเดินเข้ามา
เกาะแขนของเขาเอาไว้ พร้อมเอ่ยถามอย่างคาดหวัง
“นั่นเป็นวาจาไร้สาระที่ข้ากล่าวทั้งสิ้น ตัวข้ายังไม่ทราบด้วยซ้ำว่า
มันคืออะไร!” ฉินหยุนยิ้มตอบคำ กล่าวได้ว่าคำเหล่านั้นไม่ใช่เขากุ
ขึ้นมา แต่เป็นสิ่งที่หลิงหยุนเอ๋อบอกต่อ
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นไปได้ว่าตำนานต้นกำเนิดเซียนดวงดาวจะมีเค้า
ความเป็นจริงอยู่มาก
“พี่ชาย ราวกับข้าได้เห็นตัวท่านเมื่อกาลก่อน เป็นท่านฉ้อโกงโป้ปด
ได้โดยไม่กระพริบตาด้วยซ้ำ!” เซี่ยวเย่ว์เหม่ยหยิกที่ใบหน้าฉินหยุน
พลางยิ้ม “นี่ท่านยังไม่ตื่นรู้ความทรงจำเมื่อชาติภพก่อนจริงหรือ?”
“อย่าได้กล่าววาจาไร้สาระแล้ว!” เซี่ยวเสวียนฉินดุเสียงเบา
ก็เหมือนดังปิงชิง นางไม่ต้องการให้ฉินหยุนตื่นรู้ความทรงจำขึ้นมา
นั่นก็เพราะพวกนางทั้งสองเกลียดชังฉินหยุนในชาติภพก่อน ที่
สำคัญต่อพวกนาง คือตัวเขาในช่วงชีวิตนี้
ไม่นานนัก สุ่ยเทียนสื่อและสื่อชิงเฉิงค่อยเดินเข้ามาลูบใบหน้าฉินหยุน
ก่อนจะเผยยิ้ม
ฉินหยุนไม่อาจเข้าใจ ว่าใบหน้าของเขาน่าสัมผัสเพียงนั้นเลยหรือ
อย่างไร
เซี่ยวเสวียนฉินเกิดปวดใจยามได้เห็น นางคิดอยากสัมผัสใบหน้า
ของฉินหยุน กระนั้นนางอับอายเกินกว่าจะกระทำ
สื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อต่างมีสัมพันธ์อันดีกับฉินหยุนแต่แรก แม้
สวมกอดต่อกันก็ไม่มีอันใดให้เคอะเขิน
ทว่าเซี่ยวเสวียนฉินไม่ใช่ ก่อนหน้านี้ นางยังเกลียดชังฉินหยุนเข้า
กระดูกดำอยู่ด้วยซ้ำ
นอกจากนี้แล้ว ด้วยตำแหน่งของนางที่ไม่เหมาะสม ทำให้นางไม่
กล้าเปิดเผยความรู้สึกต่อฉินหยุน
“ที่นี่ไม่ค่อยเหมาะนำภูเขาผลึกแก้วออกมาเท่าใดนัก!” เซี่ยวเสวียน
ฉินกล่าว “ไว้คุยกันหลังพวกเราออกพ้นจากเทือกเขานิราศจันทรา!”
“เรื่องนั้นช่างมันไปก่อนแล้ว! พี่ชายเพียงเก็บเอาไว้ก็พอ!” เซี่ยวเย่ว์
เหม่ยหัวเราะ “แต่กับท่านป้าที่ร่วมฝ่าฟัน พี่ชายต้องมอบส่วนแบ่งให้
เมื่อกลับไปแล้ว เป็นสร้างอุปกรณ์แก่ท่านป้าสักหน่อยก็น่าจะได้!”
“ไม่มีปัญหา!” ฉินหยุนยิ้มตอบ
“น้องหยุน เจ้าต้องช่วยสร้างอุปกรณ์ให้ข้าด้วย! ตัวข้าได้ตกลงเป็น
สตรีของเจ้าไว้แต่เนิ่นนานแล้ว!”
สุ่ยเทียนสื่อสวมกอดฉินหยุนไว้อย่างหยอกเหย้า ศีรษะของนางอิง
แอบที่ไหล่ของฉินหยุน หากไม่ใช่เพราะสื่อชิงเฉิงดึงนางออกมา
นางคงจูบแก้มนั้นไปหลายครั้งคราแล้ว
“ข้าทราบแล้ว ส่วนแบ่งย่อมมีให้แก่ทุกคน! และท่านต้องสัญญาด้วย
ว่าจะช่วยเป็นลูกมือข้าสร้างของพวกนั้นขึ้น!” ฉินหยุนยิ้มก่อนจะลูบ
ต้นขาสุ่ยเทียนสื่อเป็นการหยอกเย้า
“แน่นอน!” สุ่ยเทียนสื่อยิ้มกระชากวิญญาณตอบรับ
สื่อชิงเฉิงเอ่ยคำขึ้น “เสวียนฉิน เข้าสู่ส่วนลึกยิ่งอันตราย! เอาอย่างนี้
เป็นไร เจ้าเข้าไปกับฉินหยุน พวกเราสามคนจะคอยสนับสนุนจาก
ทางด้านนอก”
เซี่ยวเสวียนฉินพยักหน้ารับ “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น! หากพวกเราเผชิญ
ปัญหาไว้ค่อยติดต่อหากัน! ก่อนอื่นพวกเจ้าไปยังนครจันทราโกลาหล
เพื่อรอพวกเรากลับไปก็แล้วกัน!”
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยเดิมคิดอยากติดตามไปด้วย กระนั้นหลังได้ตระหนักว่า
นี่คือโอกาสที่จะให้ฉินหยุนได้อยู่กับเซี่ยวเสวียนฉิน หากทั้งสองรู้จัก
ต่อกันมากขึ้น เช่นนั้นโอกาสที่ความสัมพันธ์จะก้าวต่อไป รวมถึง
ความขัดแย้งจะคลี่คลายย่อมมีมากขึ้น
แม้นางรู้สึกว่าท่าทีของเซี่ยวเสวียนฉินที่มีต่อฉินหยุนจะเปลี่ยนไป
มากและประหลาดไม่น้อย กระนั้นนางก็ยังไม่อาจทราบ ว่าแท้จริง
แล้วในใจเซี่ยวเสวียนฉินมีความรู้สึกใดต่อฉินหยุน
“ได้ อย่างนั้นพวกเราออกไปกันก่อน! พวกราชันยุทธ์กลุ่มนั้นคงไล่
ล่าท่านทั้งสองแน่ ดังนั้นระวังตัวด้วย!” เซี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าวเตือน
ด้วยเหตุนี้ สื่อชิงเฉิง สุ่ยเทียนสื่อ และเซี่ยวเย่ว์เหม่ยจึงเดินทางกลับ
นครจันทราโกลาหล
ฉินหยุนรับชมทั้งสามคนจากไปอย่างนึกห่วงหา เพราะเขายังคิด
อยากลูบขยี้ใบหน้าซาลาเปาของสื่อชิงเฉิง
“เหอะ เจ้าก็เหมือนดังเช่นกาลก่อน เอาแต่หลอกลวงสตรีงดงามไป
ทั่วให้ทำงานแก่เจ้า รวมถึงช่วยเจ้าสร้างสิ่งของก็ด้วย!” เซี่ยวเสวียน
ฉินส่งสายตาจับจ้องฉินหยุน
“ป้าเซี่ยว ท่านกล่าวไม่ใช่หรือว่าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องชาติภพก่อนข้า
แล้ว? หากความทรงจำข้าตื่นรู้ขึ้นมาจะทำอย่างไร?” ฉินหยุนถามขึ้น
“ก็ได้ ข้าจะพยายามไม่เอ่ยถึงมันอีก!” เซี่ยวเสวียนฉินเองก็กังวลต่อ
เรื่องนี้เช่นกัน
หากฉินหยุนแปรเปลี่ยนเป็นตัวตนจากชาติภพก่อนจริง เช่นนั้นนาง
คงโศกเศร้าเสียใจไม่ใช่น้อย
ต้องทราบว่านางเพิ่งคลี่คลายความขัดแย้งในหัวใจตนเองได้ หากฉิน
หยุนตื่นรู้ความทรงจำชาติภพก่อนขึ้นมาจริง อย่างนั้นความขัดแย้ง
ในใจต้องปะทุอีกครั้งครา มันเป็นผลให้นางนึกโมโหต่อตนเอง
ค่ำคืนผ่านพ้น แสงแรกยามเช้าตรู่ของเก้าตะวันปรากฏ มันสาดส่อง
ต่อทั้งเทือกเขานิราศจันทราที่อันตรายยิ่งแห่งนี้
ฉินหยุนและเซี่ยวเสวียนฉินยังคงกุมมือไว้ต่อกัน ร่างกายทั้งสอง
โปร่งแสง ขณะนี้กำลังเดินทางเข้าสู่ส่วนลึกของเทือกเขานิราศจันทรา
ที่นี่มีเพียงราชันยุทธ์ แต่ลึกเข้าไป ที่แห่งนั้นจะมีระดับจักรพรรดิ
ยุทธ์และครึ่งเซียน!
“ป้าเซี่ยว พวกมันเหล่านั้นพร้อมทุ่มเททุกสิ่งเพื่อจารึกวิญญาณจ้าว
ดวงดาว!” ฉินหยุนสัมผัสได้ถึงร่องรอยออร่าจักรพรรดิยุทธ์ ดังนั้น
จึงส่งเสียงสื่อสารออกไป
“จารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวของฉีเย่ว์ นั่นต้องเป็นนางคิดอยากมอบ
ให้เจ้า!” เซี่ยวเสวียนฉินกล่าว ภายในใจมีแต่ความสงสัย
นั่นก็เพราะนางทราบ ว่าหยางฉีเย่ว์ได้ตื่นรู้ความทรงจำชาติภพก่อน
ของนางขึ้นมาแล้ว
นางยังทราบดี ว่าระหว่างฉินหยุนและหยางฉีเย่ว์มีความเกลียดชังต่อ
กันเพียงใด ทั้งยังเป็นความเกลียดชังอันลึกล้ำ แต่แล้ว หยางฉีเย่ว์
กลับช่วยเหลือฉินหยุนอย่างทุ่มสุดตัวเพียงนี้
นอกจากนี้แล้ว ยังมีปิงชิง เซี่ยวเย่ว์เหม่ย รวมถึงเซี่ยวเย่ว์หลาน เดิม
พวกนางเกลียดชังฉินหยุน กระนั้นเวลานี้ พวกนางต่างช่วยเหลือเขา
และเซี่ยวเย่ว์หลานยังเป็นภรรยาของฉินหยุน ความสัมพันธ์นี้กล่าว
ได้ว่าถลำลึกต่อกัน
“ป้าเซี่ยว ตัวท่านในชาติภพก่อน เคยได้ยินเซียนหญิงนามเหยาเฟิง
บ้างหรือไม่? นางคือผู้ที่ทรงพลังอำนาจยิ่ง!” อย่างกะทันหัน ฉินหยุน
เอ่ยถามขึ้นมา
เวลานี้ คนทั้งสองยืนอยู่ด้านบนยอดเขา สายตาจ้องมองกลุ่มภูเขา
ตรงหน้า ทั้งสองสัมผัสได้ถึงออร่าสัตว์อสูรดวงดาวทรงพลัง ที่ทำอยู่
ตอนนี้ ก็เพื่อยืนยันทิศทางของออร่าดังกล่าว
เซี่ยวเสวียนฉินครุ่นคิดก่อนขมวดคิ้ว ไม่นานนัก นางจึงส่ายศีรษะ
ตอบคำ “ข้าไม่เคยได้ยินบุคคลนามนั้นมาก่อน! เพียงแต่ชื่อ ข้าก็
ทราบว่าเป็นสตรี! กล่าวตามตรง เจ้ายั่วยุสตรีไว้ทั่วทุกแห่งหน
กระนั้นส่วนใหญ่ข้าก็ทราบว่าพวกนางเป็นใคร!”
ฉินหยุนจำได้ ว่าครั้งหนึ่งปิงชิงกล่าวเอาไว้ ว่าชาติภพก่อนของตัว
เขาเอง ได้รวบรวมเซียนหญิงงามทั้งหลายมาช่วยงานจิปาถะ และ
เซี่ยวเสวียนฉินสมควรเป็นหนึ่งในนั้นด้วย
ปิงชิงที่ทรงอำนาจเพียงนั้นยังเป็นเหยื่อคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงคิด ว่า
เซี่ยวเสวียนฉินเองก็สมควรเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ นางจึง
ทราบดีว่าสตรีใดบ้างที่มีข้อพิพาทกับเขาในชาติภพก่อน
“เหตุใดเจ้าจึงถามเรื่องเหยาเฟิงผู้นี้?” เซี่ยวเสวียนฉินเอ่ยถาม
ฉินหยุนบอกเล่ารายละเอียดของเหยาเฟิงออกไป เขาเพียงกล่าวว่า
เหยาเฟิงปรากฏในความฝัน
“เป็นเจ้าฝันร้ายไปเอง! เจ้าเป็นราชันเซียนในชาติภพก่อน ดังนั้นเจ้า
ไม่มีทางกล้าไปยั่วยุจอมจักรพรรดิอสูรเซียน แม้เจ้าคิดอยากลอบทำ
ร้ายต่อเขา เจ้าก็ยังไม่มีความสามารถพอให้ทำได้ ไม่เช่นนั้น จิต
วิญญาณเจ้าได้แตกสลายโดยจอมจักรพรรดิอสูรเซียนจนไม่มีโอกาส
ได้กลับชาติมาเกิดแล้ว!” เซี่ยวเสวียนฉินส่ายศีรษะขณะบอกออกไป
ฉินหยุนครานี้ค่อยมั่นใจ ว่าเหยาเฟิงนี้เป็นนามปลอม
“บางทีฉีเย่ว์อาจรู้จักเหยาเฟิงผู้นี้! เพราะในช่วงเวลาภายหลัง ข้าไม่
ทราบเรื่องราวของเจ้ากระจ่างชัดเท่าใดนัก” เซี่ยวเสวียนฉินกล่าว
“ก่อนอื่นคือต้องหาตัวนาง!”
“ป้าเซี่ยว ท่านสามารถใช้จันทราสีครามค้นหาพี่หยางได้หรือ?” ฉิน
หยุนถามขึ้น
“ย่อมต้องทำได้! เจ้าไม่ทราบ พวกเราที่มาจากพระราชวังกวงหาน
ล้วนมีเคล็ดวิชาลับที่สามารถทำให้ติดต่อสื่อสารหากันผ่านทางดวง
จันทราได้!” เซี่ยวเสวียนฉินกล่าว “เคล็ดวิชาลับนี้ สามารถฝึกฝนได้
เพียงแต่สตรี!”
ฉินหยุนถามอีกเรื่องที่นึกขึ้นได้ “ข้าจำได้ว่าพี่สาวปิงชิงบอกเอาไว้
เทือกเขานิราศจันทราแห่งนี้เป็นอาณาเขตของพระราชวังกวงหาน!
หรือพี่สาวปิงชิงเองก็มาจากพระราชวังกวงหาน?”
“หลายปีมาแล้ว พระราชวังกวงหานของพวกเราได้ถูกทำลายลงโดย
ดวงดาวอันเย็นเยือก โชคยังดี นายหญิงใหญ่และกลุ่มผู้อาวุโสได้
ตอบสนองทันเวลา ทำให้ไม่มีผู้ใดเสียชีวิต หลายปีให้หลัง ดวงดาว
เย็นเยือกนั้นได้ปริแตกออก ปรากฏเป็นทารกหญิงที่ภายใน นั่นก็
คือปิงชิง” เซี่ยวเสวียนฉินเล่าเรื่องราวให้รับฟัง
ฉินหยุนตระหนก เพราะนี่ถือเป็นชาติกำเนิดของปิงชิง
“ข้าบอกเจ้าไปแล้ว ว่าพี่สาวปิงชิงคือภูติวิญญาณดวงดาว! ทว่า เรื่องราว
นี้ยังคงลึกลับไม่ใช่น้อย!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
“ดวงจันทรา บ่อยครั้งมักต้องเผชิญหน้าดวงดาวน้อยใหญ่ พวกมัน
ถูกชักนำลงมาสู่พระราชวังกวงหานของพวกเรา สาเหตุหลักก็เพราะ
ดวงดาวเหล่านั้นมีทรัพยากรคงอยู่ ทว่าการปรากฏตัวของปิงชิง นั่น
ถือเป็นเรื่องที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด!” เซี่ยวเสวียนฉินกล่าว “เรื่องนี้ก็เป็น
ข้าได้ยินมาจากพวกผู้อาวุโส!”
ชัดเจนแล้ว ว่าดวงดาวที่เคลื่อนคล้อยลงมาสู่เทือกเขานิราศจันทรา
ย่อมต้องเป็นฝีมือของหยางฉีเย่ว์
“ฉีเย่ว์สมควรซ่อนตัวอยู่พระราชวังใต้ดินที่นี่! เพราะเหตุนั้นจึงทำ
ให้นางควบคุมดวงดาวเคลื่อนคล้อยลงมาได้!” เซี่ยวเสวียนฉินขมวด
คิ้ว “ข้าได้ยินว่านางบาดเจ็บ บางทีภูเขาผลึกแก้วนั่นอาจใช้เพื่อรักษา
อาการบาดเจ็บของนางได้!”
“พระราชวังใต้ดินหรือ? อย่างนั้นก็สมควรง่ายหาพบแล้ว!” ฉินหยุน
กล่าว
“เรื่องราวไม่ง่าย มันอยู่ลึกลงไปใต้ดินหลายหมื่นเมตร อาจกระทั่ง
นับแสนเมตร เจ้าคิดว่าจะหามันพบได้อย่างไร?” เซี่ยวเสวียนฉินส่าย
ศีรษะ
“กลุ่มสัตว์อสูรดวงดาวที่ตรงนั้น ไปรับชมพวกมัน! หากข้าคาดเดา
ได้ถูกต้อง สัตว์อสูรดวงดาวเหล่านั้นสมควรเป็นฉีเย่ว์ตั้งใจนำพวก
มันลงมา!” เซี่ยวเสวียนฉินเผยสีหน้าเคร่งเครียด “หรือว่านางคิดใช้
สัตว์อสูรดวงดาวพวกนี้สังเวย?”
“สังเวยอันใด?” หางตาฉินหยุนกระตุก เขาพลันเกิดกังวลขึ้น
“ข้าไม่อาจทราบ! พระราชวังใต้ดินที่นี่หาได้ใช่ธรรมดาไม่ มันเป็น
สิ่งที่คงอยู่อย่างลึกลับ! ฉีเย่ว์หาพระราชวังใต้ดินแห่งนั้นพบ นาง
สมควรคิดค้นหาความลับบางอย่างจากมันเป็นแน่!” เซี่ยวเสวียนฉิน
กล่าว
“เดิมพี่หยางและข้ามาถึงแดนวิญญาณอ้างว้างด้วยกัน แต่หลังจาก
จันทราสีแดงปรากฏ นางกลับเร่งรีบแยกทางจากข้า!” ฉินหยุนกล่าว
“คำทำนายโบราณ การปรากฏขึ้นของจันทราสีแดง มันหมายถึง
จารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวถือกำเนิดขึ้น!” เซี่ยวเสวียนฉินนึกย้อนถึง
เรื่องราว “นี่คล้ายว่าฉีเย่ว์กำลังไขความลับอะไรบางอย่างอยู่!”

ตอนที่ 732 ความลับของแกนกลางดวงดาว
เซี่ยวเสวียนฉินค่อนข้างเป็นกังวล เพราะนางเพียงขอบเขตวรยุทธ์ลึก
ล้ำ แม้นางสามารถได้รับพลังมหาศาลชั่วคราว ทว่านั่นก็รับมือกับ
ราชันยุทธ์ได้ไม่กี่คน
ข้างภูเขาผลึกแก้ว ยังคงมีราชันยุทธ์อยู่ราวเกือบสามสิบคน หากเกิด
เรื่องไม่คาดคิดขึ้น พวกนางจะไม่อาจต้านรับไว้ได้
“นี่ได้จริงหรือ?” เซี่ยวเสวียนฉินเอ่ยถามอย่างกังวลใจ
“อย่าได้ห่วงไป ย่อมไม่เป็นไร!” ฉินหยุนตอบคำ “ป้าเซี่ยว ท่านต้อง
มั่นใจว่าแปรเปลี่ยนออร่าตนเองแล้ว เพื่อที่ราชันยุทธ์เหล่านั้นจาก
สำนักเซียนจะได้ไม่อาจจดจำท่าน”
“หวังเหลียงเห่าและพรรคพวกไม่อยู่แถวนี้ ตราบเท่าที่ออร่าพวกเรา
ไม่คล้ายที่พวกมันพบเจอ เช่นนั้นย่อมไม่เป็นไร!”
เซี่ยวเสวียนฉินพิจารณาเรื่องนี้ ก่อนจะส่งข้อความผ่านทางเปลือก
หอยสื่อสารให้เซี่ยวเย่ว์เหม่ยและคณะได้ทราบแผนการ
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยเห็นด้วย กระนั้นก็ยังกล่าวเตือนให้ระมัดระวัง
เซี่ยวเสวียนฉินยังคงกังวล เพราะพวกนางอย่างไรก็อ่อนแอกว่า หาก
พวกนางทั้งหมดเป็นราชันยุทธ์ เช่นนั้นก็ไม่มีอันใดต้องหวาดกลัว
คนกลุ่มนี้
แม้ว่าเรื่องราวที่ฉินหยุนครอบครองจอมราชันดวงดาวอสูรจะถูก
ผู้อื่นทราบ กระนั้นพวกเขาเหล่านั้นก็ช่วยเก็บงำเป็นอย่างดี ทำให้
ตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวใดหลุดรอดออกไป ดังนั้น เซี่ยวเสวียนฉินจึง
ไม่ทราบ ว่าฉินหยุนครอบครองจอมราชันดวงดาวอสูร
“ป้าเซี่ยวไม่ต้องกลัวไปแล้ว ข้าย่อมมีแผนสำรอง!” ฉินหยุนหัวเราะ
คิกคักกล่าว “ท่านเพียงอยู่ที่นี่และรับชม ข้าจะเข้าไปเอง!”
“ไม่ได้ ให้ข้าเข้าไปพร้อมเจ้า!” เซี่ยวเสวียนฉินไม่มีทางวางใจปล่อย
ให้ฉินหยุนไปลำพัง นางกล่าวทักท้วงขึ้นมา
ถึงตอนนี้ กลุ่มราชันยุทธ์กำลังใช้งานอาวุธในมือตนเองโจมตีใส่ภูเขา
ผลึกแก้ว พวกเขาพยายามเพื่อให้เศษเสี้ยวมันหลุดออกมาแม้เพียงนิด
กระนั้นก็ไม่อาจทำได้สำเร็จ
เวลานี้ เซี่ยวเสวียนฉินได้สอบถามผ่านทางเปลือกหอยสื่อสาร เป็น
ปกติที่เซี่ยวเย่ว์เหม่ยจะตอบกลับมา พร้อมชี้แนะวิธีการลวงหลอก
ผู้อื่น
เรื่องนี้มีแต่เซี่ยวเสวียนฉินจึงได้ยิน ฉินหยุนไม่ทราบเนื้อหา
เพราะเซี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว ว่าเมื่อถึงเวลา ฉินหยุนจะให้ความร่วมมือ
เอง
เซี่ยวเสวียนฉินกัดริมฝีปาก นางได้แต่ทำตามแผนของเซี่ยวเย่ว์เหม่ย
แล้ว
ฉับพลันนี้ นางค่อยตระหนักได้ ว่าฉินหยุนและเซี่ยวเย่ว์เหม่ยเป็น
ตัวตนลวงโลกโดยธรรมชาติสรรสร้างขึ้นมา
นางเองยังจำได้ ถึงเรื่องราวที่ฉินหยุนฉ้อโกงผู้คนไปทั่วในชาติภพ
ก่อน ทั้งยังสำเร็จอย่างงดงาม นางอดไม่ได้ที่จะเกิดความวางใจอย่าง
ประหลาดขึ้น
เมื่อฉินหยุนและเซี่ยวเสวียนฉินปรากฏตัว พวกเขาดึงดูดสายตากลุ่ม
ราชันยุทธ์ตรงหน้าง่ายดาย
ราชันยุทธ์หลายคนตะโกนดังมาแต่ไกล “พวกเจ้าเป็นใคร? จงหยุด
ยืนอย่าได้ขยับ อย่าได้นำเอาอุปกรณ์สื่อสารออกมาด้วย!”
เซี่ยวเสวียนฉินตระเตรียมไว้ก่อนแล้ว นางกล่าว “พวกเราเป็นศิษย์
ของตำหนักมหาดวงดาวแห่งแคว้นมหาดวงดาว และนี่คือสามีของ
ข้าเอง!”
ฉินหยุนนิ่งอึ้ง สายตามองทางเซี่ยวเสวียนฉินอย่างไม่นึกเชื่อเรื่องราว
เซี่ยวเสวียนฉินเพียงยิ้มบางกลับมา นี่เป็นแผนการที่เซี่ยวเย่ว์เหม่ยคิด
ให้
ฉินหยุนปลอมแปลงโฉมเล็กน้อย ตอนนี้เปรียบเสมือนชายวัยกลางคน
หล่อเหลาผู้หนึ่ง เขาเผยยิ้มสุกสว่าง “จ้าวสำนักของพวกเรากำลังมอง
หาดวงดาวที่เคลื่อนคล้อยลงมา เขาจึงส่งเรามาที่นี่เพื่อตรวจสอบ!”
ราชันยุทธ์คนหนึ่งตะโกนขึ้นแต่ไกล “ข้ามาจากหุบเขาเซียนโอสถ
แห่งแคว้นมหาดวงดาว ข้าไม่เคยได้ยินชื่อตำหนักมหาดวงดาวมา
ก่อน!”
“ตำหนักมหาดวงดาวของพวกเราคงอยู่บนดวงดาว ทั้งยังปลีกวิเวก
จากโลกหล้า และยังเป็นเพียงสำนักเล็กจ้อย เป็นปกติที่ผู้อาวุโสเช่น
พวกท่านไม่เคยได้ยิน!” ฉินหยุนยิ้มกล่าวตอบ
ถึงตอนนี้ เซี่ยวเสวียนฉินค่อยดึงฉินหยุนเข้ามา
“ชายคนนั้นหาได้ใช่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำไม่ เป็นเพียงขอบเขตวร
ยุทธ์วิญญาณระดับสูง! แม่นางตรงนั้นจึงเป็นขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ
ทั้งยังงดงามยิ่ง ภรรยาของมันงั้นหรือ? ไม่คล้ายเหมาะสมกันสัก
นิด!” ราชันยุทธ์คนหนึ่งกล่าวเสียงเบา
เซี่ยวเสวียนฉินพอได้ฟัง นางจึงเผยยิ้มอ่อน “เพราะสามีข้ามีความ
สามารถเหนือล้ำ! เขาครอบครองวิญญาณยุทธ์ดวงดาว ทำให้เซี่ยว
ชาญพลังในการทำลายดวงดาว!”
ฉินหยุนกล่าว “ตำหนักมหาดวงดาวของพวกเราอาศัยพลังของผลึก
แก้วแกนกลางดวงดาวมายาวนานหลายปีนัก! ผลึกแก้วแกนกลาง
ดวงดาวเช่นนี้ยากตัดทำลาย แต่หากมีเคล็ดวิชาพิเศษ คิดตัดมันถือ
เป็นเรื่องง่ายดาย!”
เมื่อราชันยุทธ์กลุ่มนี้ได้เห็นว่าฉินหยุนและเซี่ยวเสวียนฉินหาได้
แข็งแกร่งใด พวกเขาจึงไม่ตั้งระวังมากมายเช่นที่เคย เพียงคิดอยาก
กันอีกฝ่ายไม่ให้ส่งข้อความผ่านทางเปลือกหอยสื่อสารก็เท่านั้น
“เจ้าทำลายภูเขาผลึกแก้วนี้ได้หรือ?”
ราชันยุทธ์ชุดขาวกล่าวอย่างไม่อาจเชื่อ เพราะพวกเขาคือราชันยุทธ์
กระทั่งใช้อาวุธทรงพลังอำนาจ ก็ยังไม่อาจฝากรอยแผลเอาไว้ที่ภูเขา
ผลึกแก้วนี้ได้
เซี่ยวเสวียนฉินยิ้มบาง “ข้าไม่อาจ ทว่าสามีข้าสามารถ!”
ฉินหยุนแสร้งทำเป็นตื่นเต้นขณะกล่าวคำ “ข้าสามารถทำลายมันได้
ทว่าต้องใช้เวลา! ผลึกแก้วแกนกลางดวงดาวนี้ค่อนข้างใหญ่ เป็นสิ่ง
ยากพบเห็นได้ในรอบหลายหมื่นปี! ดังนั้นแล้ว ต้นกำเนิดเซียน
ดวงดาวสมควรถือกำเนิดที่ภายในของมันเป็นแน่!”
“ผู้อาวุโสล้วนเป็นคนของสำนักเซียน พวกท่านย่อมทราบว่าเมื่อต้น
กำเนิดเซียนถูกผนึกเอาไว้ มันจะไม่มีออร่าใดปลดปล่อยออกมา!”
คำกล่าวทั้งหมดเป็นคำลวงโดยฉินหยุน โดยมีหลิงหยุนเอ๋อคอยชี้แนะ
อีกทีหนึ่ง
แม้เป็นเซี่ยวเสวียนฉินที่มากประสบการณ์และความรู้ ตอนนี้ก็เริ่ม
เชื่อคำกล่าวนี้ขึ้นมาบ้าง
ราชันยุทธ์หลายคนจากสำนักเซียนย่อมยินดี พวกเขาต่างพยักหน้า
รับกันถี่ถ้วน
“ครั้งเขตแดนลึกล้ำส่งมอบต้นกำเนิดเซียน พวกมันเป็นเพียงก้อนสี
ขาวขนาดใหญ่ หาได้มีออร่าใดเผยออก คำกล่าวนี้เป็นจริง!” ราชัน
ยุทธ์ผู้หนึ่งกล่าวขึ้น
“น้องชาย ระหว่างต้นกำเนิดเซียน และต้นกำเนิดเซียนดวงดาวมีอัน
ใดแตกต่างกัน?” ราชันยุทธ์อีกคนหนึ่งเอ่ยถาม
พวกเขาตอนนี้เริ่มคล้อยตาม ว่าฉินหยุนและเซี่ยวเสวียนฉินคือผู้มา
จากตำหนักมหาดวงดาว
“เรื่องนี้ยากพูดกล่าว! จ้าวตำหนักมหาดวงดาวครั้งหนึ่งเคยกล่าว ว่า
ความแปลกประหลาดอย่างถึงที่สุดของต้นกำเนิดเซียนดวงดาว พวก
มันสามารถให้กำเนิดจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวได้! นอกจากนี้แล้ว
พวกมันยังสามารถปล่อยพลังเซียนอันมหาศาลที่อัดแน่นด้วยพลัง
ดวงดาวได้!” ฉินหยุนกล่าวออกไป
ยามผู้คนได้ยินคำจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาว ดวงตาราชันยุทธ์ตรงหน้า
เหล่านี้จึงทอประกาย!
สาเหตุว่าทำไมพวกเขามายังเทือกเขานิราศจันทรา นั่นก็เพื่อจารึก
วิญญาณจ้าวดวงดาว
“แน่นอนว่าคำกล่าวนี้ก็เป็นเพียงตำนาน! กับผลึกแก้วแกนกลาง
ดวงดาวใหญ่โตเพียงนี้ ต่อให้ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ภายใน มันก็ยังสามารถ
ใช้พลังงานอันมหาศาลในผลึกแก้วให้เกิดประโยชน์ได้!”
“ตราบเท่าที่ดวงดาวไม่ร่วงหล่นลงมา มันย่อมมีชีวิตอันยืนยาว! และ
ผลึกแก้วแกนกลางดวงดาวที่โบราณ มันจะอัดแน่นเอาไว้ด้วยพลัง
ในการยืดชีวิตผู้คน!” ฉินหยุนกล่าว
การได้รับอายุขัยเพิ่ม นั่นเป็นสิ่งที่ราชันยุทธ์เหล่านี้ต้องการอย่างถึง
ที่สุด!
เซี่ยวเสวียนฉินกุมมือฉินหยุนเอาไว้แน่น เพราะพวกนางกำลังเข้า
ใกล้ภูเขาผลึกแก้ว กลุ่มราชันยุทธ์ได้ปิดล้อมพวกนางเอาไว้ เรื่องนี้
ยิ่งทำให้นางร้อนรน
และฉินหยุน ยังคงพูดคุยไปพลางยิ้มแย้มเช่นเหมือนเคย
“ขอข้าพิจารณามันหน่อย!” ฉินหยุนกดมือลงที่ภูเขาผลึกแก้ว ปลด
ปล่อยพลังจิตต้นกำเนิดออกไปเพื่อสัมผัสถึงเรื่องราวภายใน
เซี่ยวเสวียนฉินทำเช่นเดียวกัน
“ฉินหยุน มีอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน!” เซี่ยวเสวียนฉินที่พบเจอจึงเร่ง
รีบส่งเสียงสื่อสารบอกต่อฉินหยุน
“เป็นจริง แต่มันคืออะไร?” ฉินหยุนเองก็พบ ทว่า เขาไม่ทราบว่า
สิ่งของภายในคืออันใด
“ข้าไม่ทราบแล้ว! จัดการคนกลุ่มคนก่อนจึงดีกว่า!” เซี่ยวเสวียนฉิน
ส่งเสียงสื่อสารร้องบอก “พวกมันสงสัยพวกเราแล้ว!”
หลิงหยุนเอ๋อพลันควบคุมแก่นเต๋าตะวันทมิฬ ปลดปล่อยพลังงานที่
ฉินหยุนกักเก็บเอาไว้ภายใต้เล็บออกมา
ฉินหยุนเผยความดุร้ายฝากรอยแผลเอาไว้บนภูเขาผลึกแก้ว ได้เห็น
เช่นนี้ บรรดาราชันยุทธ์ตรงหน้าจึงอุทานร้องตระหนกตกใจ
เซี่ยวเสวียนฉินยังต้องนึกทึ่ง นางไม่ทราบว่าฉินหยุนสามารถทำถึง
เพียงนี้ได้อย่างไร
บรรดาราชันยุทธ์ผู้ซึ่งสงสัยต่อฉินหยุนเมื่อครู่ ครานี้ล้วนเชื่อกัน
สนิทใจ
“มีอะไรบางอย่างที่ข้างใน และไม่ใช่ธรรมดาเสียด้วย!” ฉินหยุนกล่าว
ด้วยสีหน้าหนักอึ้ง “ผู้อาวุโส พวกท่านสามารถปลดชั้นปกคลุม
ภายนอกของมันได้ เช่นนั้นย่อมสมควรได้เห็นว่าภายในคืออันใด!”
คำพอกล่าวจบ ราชันยุทธ์นับสิบคนจึงพร้อมใจกันลงมือ เข้าฉีก
กระชากเปลือกนอกสีขาวซึ่งปกคลุมภูเขาผลึกแก้วนี้เอาไว้
ภายในภูเขาผลึกแก้วโปร่งแสง มันคือทรงกลมขนาดใหญ่ยักษ์หลาย
เมตร!
“นี่คล้ายต้นกำเนิดเซียนที่ถูกผนึกเอาไว้ยิ่งนัก!” ราชันยุทธ์คนหนึ่ง
ร้องตะโกน
กลุ่มราชันยุทธ์เหล่านี้กลายเป็นตื่นเต้นยินดี
พวกเขานึกย้อนขึ้นมาได้ ว่าเมื่อครู่ฉินหยุนเพิ่งกล่าว ว่ามันอาจเป็น
ต้นกำเนิดเซียนดวงดาว และต้นกำเนิดเซียนดวงดาวบางชิ้น มัน
สามารถให้กำเนิดจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวได้
“น้องชาย โดยคร่าวแล้วเจ้าต้องใช้เวลาเท่าใดเพื่อฉีกกระชากภูเขา
ผลึกแก้วนี่?” ชายชราชุดขาวเอ่ยถาม ตอนนี้เขาเชื่อในตัวฉินหยุน
อย่างสนิทใจ
เพราะพวกเขาใช้กำลังอันเหนือล้ำ กระทั่งว่าใช้อุปกรณ์เต๋าโจมตี
ภูเขาผลึกแก้ว กระนั้นมันกลับไม่มีรอยใดแม้เพียงนิด
ทว่าฉินหยุนเพียงลงมือเล็กน้อย จึงค่อยฝากฝังรอยแผลเอาไว้บน
ผลึกแก้วที่เรียบเนียนแต่เดิม ชัดเจนว่าเขาครอบครองพลังที่สามารถ
ทำลายภูเขาผลึกแก้วนี้ได้
ฉินหยุนพอคว้าจับที่ผลึกแก้ว เขาสัมผัสถึงพลังข้างในได้ มันคือพลัง
ดวงดาวอันมหาศาล
เขาคิด ว่าหากจอมราชันดวงดาวอสูรได้ดูดกลืนภูเขาผลึกแก้วนี้ พลัง
ของมันจะก้าวทะยานสู่ระดับใหม่
“ข้าต้องการอย่างน้อยหนึ่งชั่วยามเพื่อตั้งค่ายอาคม!” ฉินหยุนนำเอา
อาคมธงออกมา “หลังค่ายอาคมเริ่มปล่อยพลังออกมา มันจะสามารถ
สร้างรอยปริแตกบนภูเขาผลึกแก้ว เมื่อถึงเวลา ให้ทุกคนร่วมมือกัน
ทำลายภูเขาผลึกแก้วนี้ก็พอ”
“หลังเสร็จเรียบร้อย พวกท่านมอบผลึกแก้วแกนกลางดวงดาวแก่
พวกเราสักห้าพันจินก็พอ!”
ผลึกแก้วห้าพันจินไม่ใช่จำนวนที่มาก ราชันยุทธ์เหล่านี้ย่อมตกลง
พวกเขาเพียงปรารถนาฉีกกระชากภูเขาผลึกแก้วนี้โดยเร็ว
เซี่ยวเสวียนฉินไม่ทราบว่าฉินหยุนคิดทำอันใด ดังนั้นจึงได้แต่ให้
ความร่วมมือด้วย
แม้นางร้อนรุ่ม กระนั้นก็ยังตื่นเต้นยินดีไปด้วย
ฉินหยุนมอบอาคมธงแก่นางจำนวนหนึ่ง
ถัดจากนั้น ฉินหยุนและเซี่ยวเสวียนฉินจึงเริ่มทำการปักธงห่างกัน
สิบเมตรรอบตัวภูเขาผลึกแก้ว กลุ่มราชันยุทธ์จับจ้องในทุกขั้นตอน
พวกเขาหาได้หวั่นเกรงฉินหยุนและเซี่ยวเสวียนฉินก่อความวุ่นวาย
ไม่ เพราะอีกฝ่ายเป็นเพียงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ และขอบเขตวรยุทธ์
วิญญาณ พลังของทั้งสองไม่อาจสำแดงต่อหน้าคณะราชันยุทธ์เช่น
พวกเขาได้
“ฉินหยุน เจ้ามีแผนการทำอย่างไรต่อหลังติดตั้งค่ายอาคมแล้ว?”
เซี่ยวเสวียนฉินถามผ่านเสียงสื่อสาร นางมีความมั่นใจระดับหนึ่ง
แล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงผ่อนคลายได้มาก
“หลังติดตั้งค่ายอาคม ข้าจะเก็บภูเขาผลึกแก้วนี้ใส่อุปกรณ์วิเศษเก็บ
ของ!” ฉินหยุนหัวเราะตอบกลับไป
“ว่าอะไร? เจ้ามีอุปกรณ์วิเศษเก็บของใหญ่โตเพียงนี้?” เซี่ยวเสวียน
ฉินเผยอาการตื่นตะลึง
“ข้าย่อมมี!”
ไข่มุกเม็ดแรกของวิญญาณเทวะเก้าตะวัน มันมีมิติภายในที่กว้าง
ใหญ่ ทุกครั้งที่ระดับการฝึกฝนของเขาเพิ่ม ขนาดของมันก็ใหญ่ขึ้น
ทุกครั้ง
ทางด้านไข่มุกเม็ดที่สองก็เป็นเช่นเดียวกัน มิติภายในสามารถเติบโต
ขึ้นได้ทีละน้อย
ตอนนี้ มีแต่ไข่มุกเม็ดที่สามซึ่งถูกเหยาเฟิงผู้ลึกลับครอบครองไว้
ฉินหยุนเองก็คิดถามต่อเซี่ยวเสวียนฉิน ว่านางมีโอกาสได้รู้จักหรือมี
เบาะแสข้องเกี่ยวกับเหยาเฟิงอันใดบ้างหรือไม่หลังจบเรื่องราว
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม อาคมธงจึงติดตั้งแล้วเสร็จ
อาคมธงเหล่านี้ล้วนว่างเปล่า พวกมันหาได้มีอักขระใดแกะสลัก
เอาไว้
บรรดาราชันยุทธ์ตรงหน้าไม่คิดถามอันใด เพราะพวกเขาล้วนเชื่อ
ว่าธงเหล่านี้ไม่ใช่ธรรมดา
ฉินหยุนเมื่อตระเตรียมเรียบร้อย เขาจึงยืนที่ภายในค่ายอาคมพร้อม
เซี่ยวเสวียนฉิน “ผู้อาวุโส โปรดคุ้มกันพวกเรา อย่าได้ให้ผู้อื่นเข้ามา
แทรกแซงได้!”
ฉินหยุนกล่าวคำจบ ค่ายอาคมจึงเริ่มทำงาน
แสงสีทองมวลมหาศาลปรากฏก่อนจะเข้ากลืนกินทั้งภูเขาผลึกแก้ว
เซี่ยวเสวียนฉินร้อนรน กลุ่มคนด้านนอกเวลานี้ไม่อาจมองเห็นได้
แล้วว่าภายในเกิดอันใดขึ้น
ฉินหยุนวางมือที่ภูเขาผลึกแก้ว เขาขมวดคิ้วกล่าว “ป้าเซี่ยว พลังจิต
ของข้าไม่แข็งแกร่งพอกักเก็บมันในอุปกรณ์วิเศษเก็บของ เจ้าสิ่งนี้
ไม่ใช่ธรรมดา!”
หลิงหยุนเอ๋อเองก็มีพลังจิตไม่เป็นรองผู้ใด กระนั้นนางกลับไม่ลงมือ
ใด
“ให้ข้าช่วยเจ้า!”
เซี่ยวเสวียนฉินวางมือของนางที่แผ่นหลังฉินหยุน ทำการถ่ายเทพลัง
จิตมหาศาลผ่านทางแผ่นหลัง ในพริบตา พลังจิตของฉินหยุนจึง
แข็งแกร่งเพิ่มพูนยิ่งขึ้น
ไม่นานนัก มิติรอบด้านของภูเขาผลึกแก้วจึงเริ่มบิดเบี้ยว สุดท้าย
แล้วมันจึงลดขนาดลงด้วยพลังมิติพิเศษของอุปกรณ์วิเศษเก็บของ!
ภูเขาผลึกแก้วในที่สุดก็เลือนหาย เซี่ยวเสวียนฉินแม้พบเห็นก็ยังคงมี
อาการตระหนกตกใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
“ไปกัน!”
ฉินหยุนดึงมือเซี่ยวเสวียนฉิน ใช้ความสามารถเทวะทะลุทะลวง ดำ
ดิ่งลงสู่เบื้องลึกใต้พื้นดิน ก่อนจะออกไปพ้นจากที่นี่
พร้อมกันนี้ เซี่ยวเย่ว์เหม่ยและคณะต่างล่าถอย
ค่ายอาคมยังคงทำงาน มันปลดปล่อยแสงสีทองปกคลุมภูเขาผลึก
แก้วต่อเนื่อง
บรรดาราชันยุทธ์ยังคงอยู่ที่ตรงนั้น สายตายังจับจ้องด้วยความ
คาดหวังเป็นล้นพ้น

ตอนที่ 731 ดวงดาวจักรพรรดิยุทธ์
แน่นอนว่าฉินหยุนย่อมมีวิธีการรับมือกับราชันยุทธ์ ทว่าสถานการณ์
ยังไม่ทราบกระจ่างชัด ดังนั้นเขาจึงยังไม่พร้อมเผยมันออก!
“ป้าเซี่ยว พวกเราไปสมทบกับพวกเย่ว์เหม่ยก่อนจะดีกว่า” ฉินหยุน
กล่าว “พวกเราไว้ค่อยคิดหาทางหลังทราบสถานการณ์แล้ว”
เซี่ยวเสวียนฉินก็ไม่ทราบถึงกำลังของฉินหยุน อีกฝ่ายยังไปไม่ถึง
ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำอย่างแน่ชัด กระนั้นเพราะเป็นอาจารย์จารึกลึก
ล้ำ กำลังที่ซุกซ่อนเอาไว้ย่อมไม่มีทางอ่อนด้อย
“ข้าเองก็ไม่ทราบนักว่าชิงเฉิงกับพรรคพวกจะจดจำคนเหล่านั้นได้
หรือไม่” เซี่ยวเสวียนฉินนำฉินหยุนมุ่งผ่านป่า เพื่อตามไปสมทบกับ
สื่อชิงเฉิงและคณะ
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ฉินหยุนและเซี่ยวเสวียนฉินจึงตามทันพวกสื่อชิง
เฉิงภายในถ้ำภูเขา
สื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อที่ได้เห็นฉินหยุน นางเผยความยินดีออกมา
ก่อนหน้า พวกนางได้ยินจากเซี่ยวเย่ว์เหม่ย ว่าฉินหยุนมาที่นี่
“น้องหยุน!”
สุ่ยเทียนสื่อเมื่อพบเห็นเป็นฉินหยุน นางก้าวเดินเข้ามาเผยรอยยิ้ม
งดงาม ทั้งยังใช้มือลูบสัมผัสที่ใบหน้าฉินหยุน “ข้านึกอยู่แล้วว่าหุ่น
เชิดนั่นเหมือนเจ้านัก มันทำให้ข้าเผลอมือยื่นไปสัมผัส!”
“พี่สุ่ย พี่สาวซาลาเปานึ่ง ไม่พบกันนาน ข้าคิดถึงพวกท่านนัก!” ฉิน
หยุนยิ้มกล่าวก่อนจะถูกมือขาวนวลของสุ่ยเทียนสื่อดึงกระชากตัว
เขาไม่คาดคิด ว่าสุ่ยเทียนสื่อจะมีความรู้สึกแก่เขาถึงเพียงนี้
“เจ้าหนูนี่ ช่างทำตัวเป็นหุ่นเชิดได้ยอดเยี่ยมนัก!”
สื่อชิงเฉิงพอได้เห็นสีหน้าฉินหยุน นางทราบว่าฉินหยุนคิดอยาก
หยิกใบหน้าของนาง
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยเมื่อเห็นว่าเซี่ยวเสวียนฉินแสดงอาการสงบ นางค่อย
โล่งอก ข้อพิพาทระหว่างฉินหยุนและเซี่ยวเสวียนฉินคล้ายคลี่คลาย
แล้ว
ด้วยฐานะสตรีเช่นกัน สื่อชิงเฉิงและคณะย่อมทราบว่าต้องมีเรื่องอัน
ใดเกิดขึ้น
พวกนางทราบกระจ่างชัดดี ว่าเซี่ยวเสวียนฉินเกลียดชังฉินหยุน
เพียงใด กระนั้น ท่าทีจากร้ายกลับกลายเป็นดี นางต้องไม่ใช่เปลี่ยน
ใจเพียงเพราะฉินหยุนช่วยเหลือเอาไว้แน่
“เกิดอะไรขึ้นกับภูเขาผลึกแก้วที่พบ?” เซี่ยวเสวียนฉินเอ่ยถามขณะ
มองทางเซี่ยวเย่ว์เหม่ย
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยเองก็มีชาติภพก่อนเป็นเซียน ดังนั้นนางย่อมทราบ
หลายเรื่องราวดีกว่าสื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อ
“นั่นคือแกนกลางดวงดาว!” เซี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว “ข้าไม่ทราบว่ามัน
คืออะไรกันแน่ แต่ดวงดาวไม่ได้ร่วงหล่นมาที่ตรงนี้ แกนกลางของ
มันสมควรหลุดออกมา ก่อนจะร่วงหล่นที่ตรงนี้ยามเมื่อดวงดาว
ระเบิดออก!”
ฉินหยุนกล่าว “หากเป็นแกนกลางดวงดาว เช่นนั้นมันก็ช่วยเหลือข้า
ได้มหาศาล!”
เขาต้องการใช้แกนกลางดวงดาวนี้ เพื่อเพิ่มพูนกำลังของจอมราชัน
ดวงดาวอสูร
“ตอนนี้พวกเรายังไม่แน่ใจนัก เอาเป็นลักลอบเข้าไปตรวจสอบดูก่อน
เป็นไร?” เซี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว “พวกเราแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม พี่ชาย
กับท่านป้าเป็นกลุ่มหนึ่ง ข้าและพี่สาวทั้งสองเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง!”
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยจงใจสร้างโอกาสให้ฉินหยุนและเซี่ยวเสวียนฉินได้อยู่
ด้วยกัน นี่ก็เพื่อกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองให้ดียิ่งขึ้น
“พวกเจ้าสามคนอยู่ด้วยกัน นี่จะไม่มีปัญหาหรือ?” เซี่ยวเสวียนฉิน
เป็นกังวล เพราะหากพิจารณาแล้ว นางและฉินหยุนถือว่าครอบครอง
กำลังแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มนี้
“ข้าอยู่ด้วยย่อมไม่มีปัญหาใด! ท่านทั้งสองแข็งแกร่ง หากร่วมมือกัน
เช่นนั้นจะยิ่งราบลื่น!” เซี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะพลางกล่าว “ก็ตามนี้
เริ่มทำการสำรวจมันกันได้!”
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยนำสุ่ยเทียนสื่อและสื่อชิงเฉิงออกไปจากถ้ำภูเขา ก่อน
จะวิ่งไปยังทิศทางหนึ่ง
เปลือกหอยสื่อสารของเซี่ยวเสวียนฉินมีตำแหน่งของภูเขาผลึกแก้ว
นางจึงเดินนำฉินหยุนไปอีกด้านหนึ่ง
ด้วยแยกกันลงมือ หากพบเจออันตราย เช่นนี้จะได้สะดวกในการล่า
ถอยอย่างรวดเร็ว
หากถูกจับได้ เช่นนั้นก็ไม่โดนจับต้มหม้อเดียวกัน
“ฉินหยุน ภูเขาผลึกแก้วนี้เจ้าใช้ทำประโยชน์ได้หรือ?” เซี่ยวเสวียน
ฉินเอ่ยถาม “หากมันมีประโยชน์ เช่นนั้นข้าจะพยายามชิงมาให้!”
“พวกเราพิจารณามันก่อนค่อยตัดสินใจดีกว่า” ฉินหยุนกล่าว
“เจ้าสงสัยต่อกำลังข้าหรือ?” เซี่ยวเสวียนฉินเอ่ยคำเสียงเบา
“ย่อมไม่ใช่!” ฉินหยุนหัวเราะ กระนั้นภายในใจ เขารู้สึกว่าเซี่ยว
เสวียนฉินมีกำลังอย่างจำกัดจริง
“อย่าได้หมิ่นกำลังข้าไป ที่แข็งแกร่งที่สุดคือจิตวิญญาณเซียนและ
ความทรงจำจากชาติภพก่อนของข้า!” เซี่ยวเสวียนฉินกล่าว “หากข้า
ทุ่มสุดตัว ราชันยุทธ์หนึ่งหรือสองคนยังรับมือได้!”
“ป้าเซี่ยว ท่านใช้ดาบหรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถามขณะหยุดเดิน
“เป็นเช่นนั้น!” ดวงตางดงามของเซี่ยวเสวียนฉินเผยประกาย นาง
ทราบว่าฉินหยุนตระเตรียมมอบอุปกรณ์ลึกล้ำที่ดีแก่นาง
“นี่ให้ท่าน เป็นการให้หยิบยืมชั่วคราว! ข้าไม่อาจให้ท่านได้เพราะนี่
ไม่ใช่ของข้า!” ฉินหยุนนำเอาดาบเต๋าของเจี้ยนหนันหู่ออกมา
เซี่ยวเสวียนฉินพิจารณาดาบก่อนจะอุทานร้องดังในใจ นางทราบว่า
ฉินหยุนย่อมต้องมีสิ่งของชั้นดีในมือ
“ด้วยดาบนี้ ข้าสมควรรับมือกับราชันยุทธ์ได้สักสามคน!” เซี่ยว
เสวียนฉินถือดาบไว้พลางกล่าวอย่างมาดมั่น “หากผ่านการขัดเกลา
ด้วยเลือด เช่นนั้นคงวิเศษนัก!”
เซี่ยวเสวียนฉินเก็บดาบขณะเดินทางต่อ
“ป้าเซี่ยว ท่านเพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำไม่ใช่หรือ? อย่างนั้น
แล้วท่านคิดรับมือราชันยุทธ์หลายคนอย่างไร?” ฉินหยุนเอ่ยถามอย่าง
นึกสงสัย
“เป็นเคล็ดวิชาลับที่ข้าฝึกฝน มันทำให้ข้าสามารถปลดปล่อยพลังจิต
วิญญาณ เสริมแกร่งให้แก่ร่างกายชั่วคราว มันคือการเพิ่มพูนพลังใน
ทุกสัดส่วน!” เซี่ยวเสวียนฉินกล่าว “แต่หลังใช้งาน ข้าจำเป็นต้อง
หลับไปสักหลายวัน!”
“หากเจ้าไม่ช่วยข้าก่อนหน้านี้ ข้าก็คิดใช้เคล็ดวิชาลับนั้นต้านรับ
ราชันยุทธ์พวกนั้นชั่วระยะเวลาหนึ่ง!”
เพราะเซี่ยวเสวียนฉินต้องการหยิบยืมพลังเงาของฉินหยุนเพื่อซ่อน
ตนเอง นางและฉินหยุนจึงเกาะกุมมือต่อกันเอาไว้
นิ้วของนางและฉินหยุนทั้งสิบผสานกันแน่นด้วยกัน มือขาวนวล
ของนางเริ่มอบอุ่นขึ้นมา นี่ถือเป็นสัมผัสที่แตกต่างจากความเย็น
เยือกเมื่อครั้งก่อน
ความรู้สึกนี้ ทำให้ฉินหยุนนึกถึงปิงชิงขึ้นมา
ปิงชิงภายนอกดูเย็นเยือก ทว่าร่างกายของนางกลับอบอุ่นและอ่อนนุ่ม
ไม่ช้า พวกเขาจึงได้เห็นภูเขาผลึกแก้ว
มันสูงราวยี่สิบถึงสามสิบเมตร ขนาดไม่ใหญ่นัก ทั้งยังปกคลุมด้วย
อะไรบางอย่างสีขาวเป็นชั้น แต่ละชั้นคล้ายหลุดล่วงออกตามเวลาที่
ผ่านไป
จากชิ้นส่วนที่หลุดร่วงลงมา มันทำให้สามารถมองเห็นได้ว่าผลึก
แก้วนี้โปร่งแสง
แม้เป็นยามค่ำคืน หลังแสงลุกโชนจากผลึกแก้ว มันจึงสะท้อนเป็น
แสงอันเข้มข้น
ฉินหยุนและเซี่ยวเสวียนฉินถูกแสงนี้อาบไล้ พลังเงาจึงกลายเป็นไร้
ประโยชน์
เซี่ยวเสวียนฉินเร่งรีบดึงฉินหยุนเข้าหลบซ่อนหลังต้นไม้ใหญ่
ถึงตอนนี้ ฉินหยุนจึงใช้พลังของวิญญาณยุทธ์โปร่งแสง
เบื้องล่างภูเขาผลึกแก้ว มันมีกลุ่มคนหลายสิบ เหล่านั้นส่วนใหญ่
เป็นราชันยุทธ์ ที่เหลือเป็นขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ
“ป้าเซี่ยว นั่นอะไร?” ฉินหยุนเอ่ยถาม “ภูเขาผลึกแก้วหยุดส่งถ่ายออ
ร่าทรงพลังออกมาแล้ว!”
“นั่นเป็นผลึกแก้วพลังงานดวงดาวที่ดีล้ำ! ดวงดาวที่ร่วงหล่นมานี้
ไม่ใช่ธรรมดาแล้ว!” เซี่ยวเสวียนฉินขมวดคิ้วกล่าว
“ท่านว่าอะไร? บอกว่าดวงดาวนี้ไม่ธรรมดาอย่างนั้นหรือ?” ฉินหยุน
พบว่าเรื่องราวชวนทึ่งขณะถามผ่านทางเสียงสื่อสาร
“ดวงดาวเช่นนี้ ถูกเรียกขานเป็นดวงดาวจักรพรรดิยุทธ์ เป็นดวงดาว
ระดับจักรพรรดิยุทธ์ในฟากฟ้าดวงดาวแห่งแดนวิญญาณอ้างว้าง
และแดนอสูรอ้างว้าง!” เซี่ยวเสวียนฉินกล่าว “จักรพรรดิยุทธ์บางคน
เพราะไม่อาจเลื่อนระดับพลัง เมื่อใกล้ถึงช่วงเวลาที่พลังชีวิตเหือด
แห้ง พวกเขาจะบินขึ้นสู่หมู่ดาว จากนั้นจึงฝังร่างตนเองไว้ในดาว
ดวงเล็กสักดวงหนึ่ง!”
ฉินหยุนพอทราบมาบ้าง แม้เป็นแดนยุทธ์อ้างว้าง ราชันยุทธ์ที่เหนือ
ล้ำยังค้นหาดวงดาวขนาดเล็กยามเมื่อใกล้สิ้นชีพ พวกเขาจะซ่อน
ความลับของตนเอาไว้ยังที่แห่งนั้น
แดนวิญญาณอ้างว้างย่อมมีอยู่เช่นเดียวกัน ทว่า เพราะสำนักเซียนตั้ง
รกรากที่ภาคพื้น ทำให้ดวงดาวบนฟากฟ้าเริ่มกลายเป็นสุสานของ
ราชันยุทธ์ จักรพรรดิยุทธ์ และครึ่งเซียน
เซี่ยวเสวียนฉินกล่าวคำต่อ “หลังจักรพรรดิยุทธ์สิ้นชีพ เป็นไปได้ว่า
แก่นเต๋านั้นจะยังคงดูดกลืนพลังงานต่อไป เมื่อเวลาไหลผ่าน ดวงดาว
นั้นจะเริ่มบ่มเพาะตัวมันเองเพราะพลังจากแก่นเต๋า และก็เพราะ
เหตุผลบางประการ สัตว์อสูรดวงดาวจึงถือกำเนิดขึ้นจากเรื่องนี้”
“เช่นนั้น หมายถึงต้องมีอะไรคงอยู่ภายในภูเขาผลึกแก้ว?” ฉินหยุน
กล่าวอย่างนึกทึ่ง
“ดวงดาวร่วงหล่นสู่ที่นี่ไม่ใช่อุบัติเหตุ! ข้าไม่ทราบว่าฉีเย่ว์มีคำอธิบาย
ต่อเรื่องนี้หรือไม่… หากปิ งชิงอยู่ที่นี่ นางย่อมทราบได้แน่ว่าเกิดเรื่อง
อันใดขึ้น!” เซี่ยวเสวียนฉินมองทางภูเขาผลึกแก้ว นางไม่ค่อยมั่นใจ
สถานการณ์ทางด้านนี้เท่าใดนัก
“ป้าเซี่ยว เหตุใดพี่สาวปิงชิงจึงทราบเรื่องในขณะที่ท่านไม่ทราบ?”
ฉินหยุนเอ่ยถาม ก่อนหน้า หลิงหยุนเอ๋อคาดเดาว่าปิงชิงคือร่างที่ผ่าน
การฟูมฟักออกมา
“เพราะนางคือเซียนวิญญาณดวงดาว! นางถือกำเนิดจากดวงดาวขึ้น
เป็นเซียน!” เซี่ยวเสวียนฉินตอบกลับ “แน่นอนว่าเรื่องราวการถือ
กำเนิดของนางกล่าวได้ว่าลึกลับ ตามที่ทราบมา มันเกี่ยวข้องกับ
เหตุการณ์ใหญ่ ภายหลัง นางถูกเจ้าในชาติภพก่อนทำร้ายก่อนถูก
ผนึกเอาไว้!”
ผู้คนที่ยืนเบื้องล่างภูเขาผลึกแก้วต่างนำอาวุธออกมา เริ่มโจมตีใส่
ภูเขาผลึกแก้ว พวกเขาคิดพยายามทำลายมัน!
กระนั้น ภูเขาผลึกแก้วกลับเพียงสั่นไหวทว่ามั่นคง
อาวุธในมือราชันยุทธ์เหล่านั้น ล้วนเป็นอุปกรณ์เต๋า
ทว่า หลังโจมตีใส่ภูเขาผลึกแก้ว มันไม่คล้ายจะมีแม้รอยใด
ผู้อาวุโสชุดสีเทากล่าวคำ “ภายในภูเขาผลึกแก้วนี้ต้องมีบางอย่างถูก
ผนึกเอาไว้แน่! คงดีกว่านี้หากศิษย์พี่จักรพรรดิยุทธ์เดินทางมาเปิด
มันออก!”
“ไม่ได้ หากจักรพรรดิยุทธ์เหล่านั้นมาถึง พวกเรายังจะได้ของที่พวก
เขาคิดหยิบฉวยหรือ? พวกเราสมควรต้องพึ่งพาตนเอง!” ชายชราใน
ชุดขาวกล่าวเสียงเย็นเยือกอย่างละโมบ “อย่าได้ส่งเสียงสื่อสาร
ต่อไปยังจักรพรรดิยุทธ์เหล่านั้น!”
ถึงตอนนี้เอง ชายวัยกลางคนพลันนำเอาเปลือกหอยสื่อสารออกมา!
หลังชายชราชุดขาวพอได้เห็น มือของเขาสะบัดออก ยิงเข็มสีขาว
ยาวเข้าใส่ลำคอและศีรษะของชายวัยกลางคน
ชายวัยกลางคนสำลักเอาของเหลวสีดำออกมา ดวงตาระเบิดออก
ก่อนจะกลับกลายเป็นคนตายในพริบตา
“ผู้ใดกล้าส่งเรื่องแจ้งต่อจักรพรรดิยุทธ์ ถือเป็นจุดจบชีวิตของพวก
มัน!” ชายชราชุดขาวยังเป็นกังวลจนต้องตะโกนดัง “นำเอาเปลือก
หอยสื่อสารพวกเจ้าออกมา ส่งมอบพวกมันแก่ข้าเพื่อเป็นหลักประกัน
หากไม่คิดให้ความร่วมมือ ชะตาคือต้องตาย!”
บรรดาราชันยุทธ์เฒ่าชราหลายคน ให้การสนับสนุนชายชราในชุด
ขาว
พวกเขาทราบดี ว่าหากมีจักรพรรดิยุทธ์มาสักคนหรือสองคน ชะตา
พวกเขาก็มีแต่ต้องตาย!
เมื่อใดถึงเวลา จักรพรรดิยุทธ์จะนำเอาไปทั้งตัวภูเขาผลึกแก้ว!
และพวกเขาที่เป็นเพียงราชันยุทธ์ ถึงเวลานั้นจะไม่ได้รับสิ่งใด
“เหล่านี้ล้วนเป็นราชันยุทธ์จากสำนักเซียน พละกำลังพวกมันไม่
ธรรมดา! หนึ่งในพวกมันสมควรเป็นผู้ที่ไล่ล่าพวกเราเมื่อครู่!” เซี่ยว
เสวียนฉินส่งเสียงสื่อสารบอกต่อฉินหยุน
ชายชราชุดขาวร่วมมือกับราชันยุทธ์หลายคนจากสำนักเซียน รับเอา
เปลือกหอยสื่อสารของผู้อื่น จากนั้นจึงเริ่มหารือถึงวิธีการผ่าภูเขา
ผลึกแก้วลูกนี้
เซี่ยวเสวียนฉินนำเอาเปลือกหอยสื่อสารออกมา นางได้ยินเสียงเซี่ยว
เย่ว์เหม่ยถาม “ท่านป้า ทางฝั่งท่านมีแผนการใด?”
นางมองทางฉินหยุนก่อนจะตอบกลับ “พวกเราจะไม่ทำอะไร รับชม
ต่อไป!”
“ข้ามีแผน! พวกเราไปลวงหลอกพวกมัน บอกพวกมันว่าพวกเรามี
วิธีการผ่าเปิดภูเขาผลึกแก้วนี้ จากนั้นค่อยฉกชิงทรัพย์มา!” เซี่ยวเย่ว์
เหม่ยกล่าว
เซี่ยวเสวียนฉินพอได้ยิน นางจึงบอกต่อแนวคิดของเซี่ยวเย่ว์เหม่ยให้
ฉินหยุนได้ทราบ
“ป้าเซี่ยว ข้าจะร่วมมือกับท่านลวงหลอกพวกมัน อย่าได้ให้เย่ว์เหม่ย
กับผู้อื่นลงมือ ให้พวกนางซ่อนตัวและจับตาดูต่อไป” ดวงตาฉินหยุน
เผยประกายขณะส่งเสียงสื่อสารแจ้งต่อเซี่ยวเสวียนฉิน

ตอนที่ 730 ภูเขาผลึกแก้ว
แม้เซี่ยวเสวียนฉินเคยสิ้นชีวิตมาครั้งหนึ่ง ทั้งยังเป็นถึงเซียนผู้สูง
ศักด์ิในชาติภพก่อน ขณะนี้ต้องเผชิญหน้าต่อความตายที่ใกล้เข้ามา
นางย่อมอดไม่ได้ที่จะมีความร้อนรนและหวาดกลัว
นางไม่ทราบว่าจะสามารถกลับชาติมาเกิดได้อีกครั้งหรือไม่ หากไม่
เช่นนั้นนางก็จะตายโดยสมบูรณ์
ฉินหยุนยืนด้านหลังของนาง แสร้งทำตัวเป็นหุ่นเชิด สัมผัสได้ถึง
ความว้าวุ่นภายในของนาง
“ป้าเซี่ยวคิดเสี่ยงชีวิตจริง!” ฉินหยุนถอนหายใจ
“นางพยายามชดใช้ความผิดพลาดก่อนหน้านี้!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
“เสี่ยวหยุน เตรียมตัวได้แล้ว!”
ฉินหยุนใช้พลังเงาหลบซ่อนในความมืด จากนั้นจึงทะลวงพื้นดินลง
ไป
เซี่ยวเสวียนฉินที่ร้อนรน พลันนึกขึ้นได้ว่ามีหุ่นเชิดซึ่งเซี่ยวเย่ว์เหม่ย
ทิ้งไว้ให้เบื้องหลัง นางหันกลับมองรอบ พบว่าหุ่นเชิดนั้นหายตัวไป
แล้ว
นางนึกขึ้นได้ ว่าเซี่ยวเย่ว์เหม่ยเคยกล่าว หุ่นเชิดตัวนั้นมีความสามารถ
ในการหลบหนีอันเลิศล้ำ
ครานี้มันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ถือเป็นการยืนยันคำของเซี่ยวเย่ว์
เหม่ย
เซี่ยวเสวียนฉินถอนหายใจยาว “จบแค่นี้งั้นหรือ?”
นางไม่อาจหนีได้ ไม่เช่นนั้นราชันยุทธ์กลุ่มนี้จะไล่ล่าสื่อชิงเฉิงและ
คณะ นางไม่มีทางเลือก มีแต่ต้องอยู่ที่นี่เพื่อยืนหยัด
“พวกมันเดินทางในดินแดนยอดฝีมือเช่นนี้ กระนั้นกลับไม่ทราบ
วิธีการปิดผนึกออร่าของตนเอง!” หลิงหยุนเอ๋อแค่นเสียงเบา “หาก
พวกมันกำจัดออร่าตนเองออกไป ยามเมื่อหลบหนี เมื่อนั้นพวกมัน
คงมีโอกาสรอดพ้นบ้าง!”
“พวกมันเป็นผู้ผ่าเผย ดังนั้นสมควรนึกรังเกียจที่จะเรียนรู้เคล็ดวิชา
เหล่านั้น!”
ออร่าของบรรดาราชันยุทธ์เริ่มใกล้เข้ามา
เมื่อสัมผัสถึงออร่าเหล่านั้นได้ ใบหน้ารูปไข่งดงามของเซี่ยวเสวียน
ฉินจึงหลั่งเหงื่อออก นางร้อนรนและหวาดกลัว มือกระชับดาบยาว
ซึ่งเป็นอุปกรณ์วิญญาณระดับราชันไว้แน่น สายตาจับจ้องที่เบื้อง
หน้า
“พวกมันมาแล้ว!” หลิงหยุนเอ๋อร้องบอก
ขณะราชันยุทธ์เหล่านั้นใกล้มาถึง ฉินหยุนพลันใช้เคล็ดวิชาอัญเชิญ
ราชสีห์สวรรค์ เรียกราชสีห์สวรรค์ใต้พิภพทั้งสามตัวออกมา!
หลังอัญเชิญราชสีห์สวรรค์ใต้พิภพที่แข็งแกร่งออกมาแล้ว เขาจึงให้
ราชสีห์สวรรค์เหล่านั้นส่งเสียงร้องคำรามราชสีห์สวรรค์ดังจากสาม
ทิศทาง
ได้ยินเสียงคำราม ผู้ใดล้วนทราบว่าเป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
บรรดาราชันยุทธ์พอได้ยิน พวกเขาหยุดมุ่งเป้ามาที่เซี่ยวเสวียนฉิน
แต่พลันกระจายตัวออก มุ่งหน้าไปยังทิศทางทั้งสามซึ่งราชสีห์
สวรรค์ใต้พิภพคงอยู่
เซี่ยวเสวียนฉิน เมื่อได้ยินเสียงคำรามราชสีห์สวรรค์ นางพบว่ามัน
คุ้นเคยยิ่ง ถึงตอนนี้เอง นางรับรู้ได้ว่าข้อเท้าถูกคว้าเอาไว้ ในพริบตา
ที่นางคิดดิ้นรน นางกลับถูกลากสู่ใต้ดินลงลึก
เมื่อนางคิดตอบสนอง จึงพบว่าถูกอุ้มไว้โดยบุคคลหนึ่ง!
“ป้าเซี่ยว ข้าเอง!” ฉินหยุนส่งเสียงสื่อสารไปยังเซี่ยวเสวียนฉิน
“ผ่อนคลาย ข้าจะใช้พลังเงา!”
ภายในใจเซี่ยวเสวียนฉิน ทั้งตื่นตะลึงและโกรธเกรี้ยวไปพร้อมกัน
ทว่าด้วยสถานการณ์ตอนนี้ นางมีแต่ต้องให้ความร่วมมือกับฉินหยุน
นางสูดลมหายใจเข้าลึก ผ่อนคลายร่างกาย ปล่อยให้พลังเงาของฉิน
หยุนเข้ามาปกปิดออร่าของนางเอาไว้
“เจ้าคือหุ่นเชิดนั่น?” เซี่ยวเสวียนฉินส่งเสียงสื่อสารถามมา
“ใช่! อย่าได้กล่าวโทษเย่ว์เหม่ยเลย ข้าคือคนที่บอกให้นางทำเช่นนั้น”
ฉินหยุนกล่าว
เซี่ยวเสวียนฉินสะบัดพ้นจากอ้อมกอดฉินหยุน คงสภาพไว้เพียงการ
จับมือ
นางเมื่อเกาะกุมมือของฉินหยุนไว้ ความทรงจำครั้งเดินทางไปสุสาน
ราชวงศ์เทียนเซี่ยวจึงปรากฏ ในตอนนั้น นางก็เกาะกุมมือฉินหยุน
เอาไว้เช่นนี้ ทั้งยังถูกเขาดึงไปนั่นมานี่ เป็นผลให้ความรู้สึกยาก
อธิบายภายในใจของนางทะลักท่วมท้นขึ้นมา
และตอนนี้ ที่ส่วนลึกภายในหัวใจของนาง ความรู้สึกซับซ้อนที่นาง
มีต่อฉินหยุน พลันต้องทะยานขึ้นมาอีกครั้ง มันกำลังขัดขืนต่อความ
เกลียดชังที่นางมีให้ฉินหยุน
เซี่ยวเสวียนฉินคล้ายลืมเลือนเรื่องราชันยุทธ์เหล่านั้นจนสิ้น เพราะ
ช่วงเวลานี้ หัวใจของนางมีแต่ความขัดแย้งที่สู้ต่อกัน
นางทราบดี ว่าหากไม่ใช่ฉินหยุนลงมือทันเวลา นางก็คงจบสิ้นชีวิต
ไปแล้ว!
กล่าวได้ว่าฉินหยุนได้ช่วยเหลือนางไว้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยความรู้คุณ
นางไม่อาจเกลียดฉินหยุนลงได้อีก
“ฉินหยุน เจ้าและเย่ว์เหม่ยได้พูดคุยกันหลายเรื่องกระมัง อย่างเช่น
เรื่องชาติภพก่อนของเจ้า?” เซี่ยวเสวียนฉินที่เผชิญความรู้สึกอัน
ยากลำบาก นางพยายามส่งเสียงสื่อสารถามมา
“ใช่ขอรับ! ข้าทราบเรื่องชาติภพก่อน และข้าเองก็ทราบ ว่ากาลก่อน
นั้นท่านเกลียดชังข้าเพียงใด!” ในความมืด ฉินหยุนไม่อาจมองเห็น
เซี่ยวเสวียนฉิน เขาเพียงแต่รับรู้ ว่ามือขาวนวลของนางอ่อนนุ่มทว่า
เย็นเยียบ
“ป้าเซี่ยว ชาติภพก่อนของข้าก็คืออดีต! ตัวข้าตอนนี้ไม่อาจทำอะไร
กับมันได้แล้ว!” ฉินหยุนกล่าวย้ำ “แม้ข้าไม่อาจตื่นรู้ความทรงจำชาติ
ภพก่อนตอนนี้ ทว่าภายหน้าอย่างไรมันก็คงต้องตื่นขึ้นมา! ดังนั้นข้า
จะใช้ความได้เปรียบในข้อเท็จจริง ที่ว่าข้ายังไม่ตื่นรู้ความทรงจำ ทำ
การชดเชยความผิดพลาดที่ตัวข้าเคยสร้างเอาไว้!”
เซี่ยวเสวียนฉินพิจารณาตาม นางถอนหายใจยาว “เจ้าช่วยชีวิตข้า
เอาไว้ ดังนั้นข้อพิพาทระหว่างเราในชาติภพก่อน เอาเป็นว่าลืมเลือน
เรื่องเหล่านั้นไป! ก่อนหน้า เจ้าได้ช่วยข้าขัดเกลาวิญญาณ ให้ข้าได้
เลื่อนระดับ ทั้งยังช่วยให้ผ่านพ้นจากวิกฤต ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่มีทาง
เลื่อนระดับและตื่นรู้ความทรงจำชาติภพก่อนเช่นตอนนี้ขึ้นมาได้”
ฉินหยุนนับถือต่อเซี่ยวเย่ว์เหม่ย นางจงใจให้เขาลงมือในช่วงเวลา
หน้าสิ่วหน้าขวาน มีแต่ทำเช่นนี้ จึงค่อยสั่นคลอนความรู้สึกของ
เซี่ยวเสวียนฉินได้
“ดียิ่งนักขอรับ ข้าจะได้ไม่ถูกท่านถลกหนังเที่ยวไล่แขวนหน้าเมือง
แล้ว!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว
“เหอะ!” เซี่ยวเสวียนฉินหยิกมือฉินหยุนรุนแรงไปทีหนึ่ง “เด็กน้อย
เย่ว์เหม่ยนั่นบอกให้เจ้าทำเช่นนี้หรือ?”
“ใช่ นางเพียงชี้ทางให้ข้า ตัวข้าเองคิดอยากลงมือก่อนหน้านี้แล้ว
ทว่านางห้ามข้าเอาไว้!” ฉินหยุนกล่าว
“เด็กน้อยผู้นั้น! นางกล่าวก่อนหน้า ว่าจะไม่โกหกและคดโกงใดอีก
ต่อไป แต่แล้วกลับลวงหลอกต่อข้าอีก!” เซี่ยวเสวียนฉินสบถออก
เสียงเบา
ฉินหยุนหาได้ห่วงหาเรื่องทางด้านสื่อชิงเฉิงอีก เพราะเซี่ยวเย่ว์เหม่ย
ย่อมมีวิธีการซ่อนตัวตนเอาไว้
“ป้าเซี่ยว ท่านอย่าได้โกรธนางไปเลย” ฉินหยุนกล่าว
“ช่างมัน ตอนนี้ดีก็ดีแล้ว!” เซี่ยวเสวียนฉินไม่อาจมองเห็นใบหน้า
ฉินหยุน นางได้แต่กล่าวไปพร้อมความรู้สึกดีภายในหัวใจที่เข้าแทนที่
“ป้าเซี่ยว อย่างนั้นภายหน้าเมื่อพบท่านข้าควรใส่หน้ากากดีหรือไม่?”
ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ข้าไม่รู้ ไว้ได้เห็นหน้าเจ้าอีกครั้งค่อยว่ากล่าว!” เซี่ยวเสวียนฉินถอน
หายใจเบา “ฉินหยุน ชาติภพก่อนของเจ้าสร้างความเกลียดชังไว้มาก
นัก ข้าไม่อาจปล่อยวางความรู้สึกทั้งหมดอย่างกะทันหันเช่นนี้ได้!”
“ขอรับ พี่สาวปิงชิงเองก็เป็นเช่นกัน ทว่าตอนนี้นางดีต่อข้าแล้ว!”
ฉินหยุนยิ้มกล่าว
“พี่สาวปิงชิง? ปิงชิงงั้นหรือ? นี่นางก็ตายด้วย?” เซี่ยวเสวียนฉินไม่
ค่อยทราบเรื่องของปิงชิงเท่าใดนัก
“นางไม่ตาย ตอนนี้อยู่ที่พระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์” ฉินหยุนบอก
เล่าถึงสถานการณ์ของปิงชิงให้เซี่ยวเสวียนฉินรับรู้
เซี่ยวเสวียนฉินหลังได้ทราบ นางยังคงรู้สึกว่าเรื่องราวเหลือเชื่อ
เกินไป “ปิงชิง เย่ว์เหม่ย เย่ว์หลาน และฉีเย่ว์ พวกนางล้วนปล่อยวาง
ต่อเจ้า อย่างไรแล้วเจ้าก็ยังไม่ได้ตื่นรู้ความทรงจำขึ้นมา ดังนั้นเจ้าจึง
ไม่ใช่ตัวบัดซบนั่น! นอกจากนี้ เจ้ายังช่วยเหลือพวกนางเอาไว้หลาย
ครั้งครา ไม่เช่นนั้น เจ้าคงไม่มีทางสะสางหนี้ที่ก่อไว้ได้หมด!”
“เป็นข้าย่ำแย่นัก ข้าไม่ควรรังควานเจ้าเพราะเป็นตัวบัดซบผู้นั้น ฉิน
หยุน เรื่องนี้ข้าต้องขออภัยต่อเจ้า!”
“ไม่เป็นไรเลยขอรับป้าเซี่ยว” ฉินหยุนยิ้มตอบ
เขายังไม่กล้าพูดกล่าวถึงเรื่องที่ปิงชิงจูบตนเอง ไม่เช่นนั้น เซี่ยว
เสวียนฉินอาจเริ่มคิดหนี้แค้นกับตัวเขาในชาติภพนี้
“อย่างนั้นเจ้าเกลียดข้าหรือไม่?” มือเย็นเยียบของเซี่ยวเสวียนฉินค่อย
อบอุ่นขึ้นมา
“ข้าหรือจะเกลียดท่าน?” ฉินหยุนหัวเราะรับ “ป้าเซี่ยว ท่านยังจำครั้ง
สุสานราชวงศ์เทียนเซี่ยวได้หรือไม่? เรื่องราวที่ใต้โลงศพแห่งนั้น
ความลับอันยิ่งใหญ่เบื้องล่าง ข้ากระทั่งได้รับจารึกวิญญาณราชัน
สัตว์มา รวมถึงปากกาลึกล้ำสะท้อนจิต!”
เซี่ยวเสวียนฉินพยักหน้ารับ “โลงศพนั่นสามารถเคลื่อนย้ายคนตายที่
ภายใน เพราะผู้คนส่วนใหญ่ซึ่งถูกฝังเอาไว้ในภายในนั้น ล้วนเป็น
คนของตระกูลเซี่ยว มีโอกาสสูงว่าพวกเขาจะมีสายเลือดมังกรคงอยู่
ในร่าง! พวกเขาเหล่านั้นล้วนถูกส่งไปยังสุสานเซียน ดังนั้นภายหน้า
จึงยังมีโอกาสได้ฟื้นคืนชีพ!”
“ราชันยุทธ์ที่เบื้องบนพวกนั้นกำลังถูกราชสีห์สวรรค์ใต้พิภพของข้า
ดึงความสนใจไป ตอนนี้พวกเราน่าจะปลอดภัยแล้ว!” ฉินหยุนยิ้ม
“พวกเราขึ้นไปตอนนี้ ตามไปสมทบกับพวกเย่ว์เหม่ยจะดีกว่า”
เซี่ยวเสวียนฉินแค่นเสียงเบา “หากวิญญาณร้ายวารีได้เห็นเจ้า นางคง
ยินดีไม่ใช่น้อย! นางพูดกล่าวถึงเจ้าต่อหน้าข้าทุกวี่วันเพราะทราบว่า
ข้าเกลียดชังเจ้า! กระทั่งว่าเจ้าไม่ตื่นรู้ความทรงจำขึ้นมา ความสามารถ
ในการล่อลวงสตรีของเจ้าก็ยังเป็นเหมือนเช่นเคย!”
“ป้าเซี่ยว ชาติภพก่อนข้าทำท่านไว้เลวร้ายมากเลยหรือ? หากเป็น
เช่นนั้น…” ฉินหยุนกล่าวพลางเกาศีรษะ
“ตัวเจ้ากาลก่อนนั้นละโมบในเงินตราอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ยังชื่นชอบ
เล่นกับความรู้สึกของสตรี ภายหลังเจ้าค่อยละทิ้งพวกนาง แม้เจ้าคด
โกงเงินไป กลับไม่เคยหลอกให้ผู้อื่นร่วมเพศสัมพันธ์กับเจ้า เรื่องนี้
ช่างน่าเกลียดชังนัก!” เซี่ยวเสวียนฉินยังคงมีโทสะอยู่บ้างยาม
กล่าวถึงชาติภพก่อนของฉินหยุน
“ฉินหยุน ข้าไม่ทราบว่าควรบอกเรื่องราวในกาลก่อนของเจ้าเพียงใด
ดี หากเจ้าฟื้นคืนความทรงจำขึ้นมาได้ ตัวเจ้าจะเกิดการผสมปนเป
ทางความทรงจำ ตัวเจ้าในตอนนี้เป็นคนดีอย่างนี้ก็ดีแล้ว!” เซี่ยว
เสวียนฉินกล่าว
“ขึ้นไปข้างบนกันดีกว่า” ฉินหยุนเปลี่ยนร่างตนเองกลับคืนเป็นเช่นเดิม
เขานำเซี่ยวเสวียนฉินกลับสู่พื้นดินเบื้องบน
เซี่ยวเสวียนฉินนำเปลือกหอยสื่อสารออกมา ติดต่อหาสื่อชิงเฉิงและ
คณะ
“เสวียนฉิน! เจ้าอยู่ที่ใดแล้ว? เร่งรีบมา พวกเราเจอสถานที่คุ้มภัยแล้ว
และยังมีแกนกลางดวงดาวที่ร่วงหล่นลงมา เป็นภูเขาผลึกแก้ว! ตอนนี้
หลายคนต่างมุ่งหน้าไปที่นั่นเพื่อฉกชิงกันแล้ว!” น้ำเสียงของสื่อชิง
เฉิงเปี่ยมด้วยความกังวล
เซี่ยวเสวียนฉินและฉินหยุนพอได้ฟัง ทั้งสองต่างมองหน้ากันก่อน
พบว่าเรื่องราวน่ากังวล
“ชิงเฉิง ลงมือไปตามสมควร พวกเรากำลังมุ่งหน้าไป!” เซี่ยวเสวียน
ฉินกล่าวคำจบ นางเก็บเปลือกหอยสื่อสารก่อนจะเร่งรีบพุ่งทะยาน
ไปพร้อมฉินหยุน
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ราชันยุทธ์พบตัว เซี่ยวเสวียนฉินจึงปล่อยให้ฉิน
หยุนใช้พลังเงาเก็บซ่อนตัวตน นอกจากนี้แล้ว ยังเป็นนางที่ต้องการ
เกาะกุมมือฉินหยุนต่อไป
หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะกล่าว “เสี่ยวหยุน ป้าเซี่ยวภายนอกเย็นชา กระนั้น
ภายในเป็นสตรีที่ร้อนแรง! ความรู้สึกของนางที่มีต่อเจ้าเก็บซ่อนไว้
เป็นอย่างดี ดียิ่งกว่าปิงชิงเสียอีก ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“หยุดพูดจาไร้สาระจะได้หรือไม่?” ฉินหยุนกล่าว “ข้าหาได้คิดอัน
ใดเช่นนั้นไม่!”
“หากนางไม่รู้สึกใดต่อเจ้า นางย่อมไม่เปลี่ยนท่าทีต่อเจ้ารวดเร็วเพียง
นี้! นางเกลียดชังเจ้ามากมายเมื่อครู่ แต่แล้วพอได้เห็นเจ้า นางกลับ
กลายเป็นอ่อนระทวย!” หลิงหยุนเอ๋อยังคงหัวเราะไม่หยุด “นางดื้อ
รั้นไล่สังหารเจ้าในชาติภพก่อน ชัดเจนว่าความรักและความเกลียด
ชังบังเกิดในความรู้สึกนางพร้อมกัน เป็นความรู้สึกที่คิดอยากได้ละ
เล่นกับเจ้า!”
“หยุดพูดกล่าววาจาไร้สาระ!” ฉินหยุนตอบกลับ
ฉินหยุนถึงตอนนี้ค่อยให้ราชสีห์สวรรค์ใต้พิภพกลับคืนสู่ปรโลก
เพื่อเป็นการลากถ่วงราชันยุทธ์เหล่านั้น ราชสีห์สวรรค์ทั้งสามจึง
ต้องบาดเจ็บไปไม่ใช่น้อย
ถึงตอนนี้ เซี่ยวเสวียนฉินจึงนำเอาเปลือกหอยสื่อสารออกมา เสียง
สื่อชิงเฉิงดังขึ้น “เสวียนฉิน พวกเราไม่ได้อยู่ตำแหน่งก่อนหน้านี้
แล้ว ให้ใช้เปลือกหอยสื่อสารหาตำแหน่งใหม่พวกเราแทน!”
“เกิดอะไรขึ้น?” เซี่ยวเสวียนฉินถามขึ้น
“แม้พวกเราพบเจอก่อน ทว่ามีกลุ่มคนมุ่งหน้ามายึดครองสมบัติพวก
นั้นไป!” สุ่ยเทียนสื่อเผยเสียงกราดเกรี้ยว “เร่งรีบมาทางด้านนี้! พวก
มันล้วนเป็นราชันยุทธ์ พวกเราไม่มีโอกาสให้ฉกฉวย!”
เซี่ยวเสวียนฉินพอได้ทราบตำแหน่งอีกฝ่ายผ่านทางเปลือกหอย
สื่อสาร นางหันไปกล่าวกับฉินหยุน “เจ้ามีวิธีรับมือกับราชันยุทธ์
เหล่านั้นหรือไม่?”

ตอนที่ 729 ประโยชน์ของอุปกรณ์
สุ่ยเทียนสื่อมีโทสะ นางโพล่งเสียงดังตอบ “พวกเราหาได้ต้องการ
อาวุธใดไม่ ลำพังพวกเราก็จัดการสัตว์อสูรดวงดาวนั่นได้! ไป!”
เชี่ยวเสวียนฉินมีโทสะไม่ต่างกัน “ภายหน้าเมื่อใดพวกมันพัง พวกเจ้า
ยังจะทำอะไรได้? ช่างกล้าอวดดีอย่างไม่รู้จักตน! ลำพังข้ามือเปล่าก็
แข็งแกร่งกว่าพวกเจ้า!”
ต้นไม้ต้องมีเปลือกไม้ ผู้คนก็มีหน้าตาต้องรักษา!
เชี่ยวเสวียนฉินและคณะ ผู้ซึ่งถูกสองสตรีทรงเสน่ห์กล่าวยั่วยุ จนถึง
ตอนนี้จึงระเบิดโทสะออก พวกนางเวลานี้ค่อนข้างข้นแค้นอย่าง
แท้จริง
สุ่ยเทียนสื่อ เชี่ยวเสวียนฉิน และสื่อชิงเฉิงต่างเร่งรีบพุ่งลงพื้นอย่าง
ดุดันในพริบตา
ด้วยพลังอันเหนือล้ำ พวกนางกวาดล้างสัตว์อสูรตัวยักษ์กว่าสามสิบ
เมตรบนพื้นดิน
พละกำลังที่พวกนางเผย ทำเอาพวกหวังเหลียงเห่าจากสำนักเซียน
แห่งแคว้นสวรรค์ดวงตะวันต้องตื่นตะลึง!
สัตว์อสูรดวงดาวตัวนั้นมีแต่เกล็ดเกราะอัดแน่น ขนาดของมันค่อนข้าง
ใหญ่โต นั่นหมายความถึงมันทรงพลังยิ่ง
เผชิญหน้ากับสัตว์อสูรดวงดาวขนาดใหญ่ยักษ์ ทั้งยังเอาชนะมันได้
ด้วยมือเปล่า นี่หมายความถึงพลังอำนาจเป็นล้นพ้น
“น้องเล็ก ลงมา!” เชี่ยวเสวียนฉินตะโกนดังขึ้น
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยนำฉินหยุนลงไป
เชี่ยวเสวียนฉินเรียกเชี่ยวเย่ว์เหม่ยลงมา เพราะพวกนางทั้งสามมีมิติ
เก็บของไม่มากพอ ดังนั้นจึงได้แต่ต้องหยิบยืมของเชี่ยวเย่ว์เหม่ย
“ส่งสัตว์อสูรดวงดาวนั่นมาครึ่งหนึ่ง!” สตรีคางแหลมตะโกนดังขึ้น
“พวกเราพบเจอพวกมันร่วมกัน ดังนั้นย่อมต้องแบ่งอย่างเท่าเทียม!”
“แบ่งให้แก่บรรพบุรุษเจ้า!” เชี่ยวเสวียนฉินสบถออกอย่างมีโทสะ
“หากเจ้ากล้ากล่าวแม้อีกครึ่งคำ เชื่อหรือไม่ ว่าข้าจะตบคางของเจ้าที่
ยื่นออกจนมันเบี้ยวได้!”
“เจ้า… อวดดีนัก!” สตรีคางแหลมมีโทสะ นางตะโกนดัง “หากกล้า
จงเข้ามา! อาจารย์ข้าอยู่เทือกเขานิราศจันทราแห่งนี้ หากเจ้ากล้า
ชะตาเจ้าคือความตาย!”
“ทางที่ดีจงส่งมอบสัตว์อสูรดวงดาวตนนั้น ไม่อย่างนั้นแล้ว เมื่อใด
อาจารย์พวกเรามาถึง ชะตาเจ้าย่อมจบไม่สวย!” สตรีอีกหนึ่งที่เหลือ
แค่นเสียงกล่าวคำดัง
หวังเหลียงเห่ากระแอมไอแห้ง “แม่นางเชี่ยว ท่านสมควรแบ่งสัตว์
อสูรดวงดาวนั้นครึ่งหนึ่ง! อย่างไรแล้วตัวมันก็ใหญ่ยิ่ง แม้แบ่งครึ่ง
กับพวกเราก็ยังเหลืออีกมาก!”
ชายอีกสองคนต่างเผยสีหน้าเด่นชัดว่าต้องการให้แบ่งอย่างเท่าเทียม
ระหว่างทาง ชายทั้งสามจากสำนักเซียนได้ตระหนักแล้ว ว่าพวก
เชี่ยวเสวียนฉินไม่มีเยื่อใยใดให้ อีกฝ่ายไม่ใช่เล่นด้วยง่าย ดังนั้นพวก
เขาจึงยอมปล่อยมือ
กระนั้นตอนนี้ หากมีโอกาสได้แบ่งร่างสัตว์อสูรดวงดาวอย่างเท่า
เทียม พวกเขาจะได้ผลประโยชน์กันก้อนใหญ่
ฉินหยุนพบว่าเรื่องราวแปลกประหลาด เพราะในสายตาของเขา
สัตว์อสูรดวงดาวตัวนี้หาได้มีค่าอันใดไม่
เป็นเขาได้เข้าใจ ว่าเชี่ยวเสวียนฉินและคณะข้นแค้นอย่างแท้จริง
แม้พวกนางกล่าวว่ามาจากเกาะจันทราปีศาจ กระนั้นก็อับอายที่จะ
ไปยังที่นั่น
พวกนางล้วนเป็นยอดยุทธ์ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ หากต้องเผยความ
ข้นแค้นออกไป พวกนางเกรงว่าจะกลายเป็นขบขัน
ด้วยเหตุนี้ เชี่ยวเสวียนฉินจึงคิดสู้เพื่อให้ได้มาด้วยตนเอง!
เชี่ยวเสวียนฉินหัวเราะเสียงเย็น “ข้าย่อมไม่ให้ พวกเจ้าจะทำอันใด
ได้?”
“หากเจ้าไม่ให้ เช่นนั้นจงตาย!” สตรีคางแหลมคำรามกราดเกรี้ยว
ดาบยาวของนางเสียดแทงออกซึ่งหน้า
กระนั้น ขณะนางพุ่งทะยานไป เชี่ยวเสวียนฉินพลันหลบ!
นอกจากนี้แล้ว นางยังเคลื่อนตัวไปข้างกายสตรีคางแหลมพร้อมตบ
หน้ารุนแรง
“สวะ! เจ้าคิดสังหารข้าหรือ? ฝันเฟื่อง!” เชี่ยวเสวียนฉินหัวเราะดัง
ก่อนจะตบอีกฝ่ายหลายครั้งครา
ถึงตอนนี้เอง การศึกจึงปะทุขึ้น
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยไม่ใช่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ ดังนั้นนางจึงได้แต่รับชม
อยู่ไกลห่าง
“หวังเหลียงเห่า ข้าขอเตือนพวกเจ้า อย่าได้หลงมัวเมาในตัวพวกมัน
สังหารพวกมันเหล่านี้เสีย! ไม่เช่นนั้น ข้าจะเปิดโปงว่าพวกเจ้าทำอัน
ใดเอาไว้บ้าง!” สตรีคางแหลมตะโกนอย่างกราดเกรี้ยว “สังหารพวก
มันให้หมด!”
เสียงหัวเราะชั่วร้ายจากอีกฝ่ายจึงดังขึ้น “อย่างนั้นไว้ข้าค่อยเล่นกับ
ศพพวกนางก็ไม่มีปัญหาใดใช่หรือไม่?”
“ย่อมได้!” สตรีคางยาวพอได้ฟังเช่นนี้ นางจึงหัวเราะโฉดชั่วดังขึ้น
เชี่ยวเสวียนฉินยิ่งมีโทสะเป็นล้นพ้น!
สื่อชิงเฉิงและคณะต่างเป็นเพียงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำระดับต้น ทว่า
ทางด้านศิษย์สำนักเซียนของแคว้นสวรรค์ดวงตะวัน ล้วนอยู่ขอบเขต
วรยุทธ์ลึกล้ำระดับกลาง นอกจากนี้แล้ว พวกเขายังมีชุดเกราะลึกล้ำ
พวกนางเพียงสาม คิดรับมือกับคนทั้งห้าถือเป็นเรื่องยากเย็นเกินไป
ฉินหยุนส่งปืนใหญ่ราชันลึกล้ำพร้อมลูกกระสุนปืนใหญ่แก่เชี่ยวเย่ว์
เหม่ยอย่างเงียบงัน
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยย่อมทราบวิธีใช้ปืนใหญ่ราชันลึกล้ำ จากระยะไกล
นางยกปืนใหญ่ราชันลึกล้ำขึ้นเตรียมพร้อมยิงออก
กระนั้น กลุ่มสามคนของสื่อชิงเฉิงกลับเริ่มเปิดศึกต่อหวังเหลียงเห่า
และคณะไปแล้ว
“ให้ข้าบดขยี้นางเด็กน้อยนั่น!” สตรีไว้ผมทรงซาลาเปาหัวเราะชั่ว
ร้ายกล่าวคำ “ข้าต้องการนางนั่นมาเป็นข้าทาส!”
เชี่ยวเสวียนฉินและคณะต่างร้อนใจ กระนั้นพวกนางไม่อาจปลีกตัว
จึงได้แต่หวังให้เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหลบหนีได้เร็วพอ
“เข้ามาเองหรือ วิเศษนัก!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเมื่อครู่ยังเป็นกังวล ว่า
เป้าหมายอยู่เป็นกลุ่มทำให้ไม่อาจเล็งได้
สตรีผมซาลาเปาเมื่อเข้ามาใกล้ เชี่ยวเย่ว์เหม่ยจึงยิงปืนใหญ่ออก
ตู้ม!
กระสุนปืนใหญ่ยิงออกแม่นยำเข้าปะทะร่างอีกฝ่าย อัคคีเพลิงระเบิด
ลุกท่วมกลางอากาศ คลื่นความร้อนรุนแรงแผดเผาแผ่กระจายลงไป
ยังพื้นดิน
ต้นไม้และพื้นดินบริเวณใกล้เคียงมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านลุกท่วม
ด้วยอัคคีเพลิง มันเปรียบดังเทศกาลดอกไม้ไฟที่มีสะเก็ดไฟกระจาย
ทั่วสารทิศ
“พี่ชาย เจ้านี่ใช้งานง่ายนัก!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าวชื่นชมไม่จบไม่สิ้น
“หากท่านมีเวลา ช่วยสร้างให้แก่ข้าสักกระบอกหนึ่งแล้ว!”
ฉินหยุนเดิมมีแก่นเต๋าจำนวนมาก แต่ด้วยเพราะฝึกฝนร่างเซียนอสูร
ทำให้เขาใช้พวกมันไปแทบหมดสิ้น
ตอนนี้ กระสุนปืนใหญ่ที่ใช้งาน เป็นของที่เขาสร้างขึ้นไว้แต่แรก
“เร่งรีบฉีกกระชากนางเด็กนั่นเป็นชิ้นให้ข้า!”
สตรีผมทรงซาลาเปาซึ่งถูกเผาร่างด้วยแรงระเบิด นางคล้ายก้อนถ่าน
ที่ผุดขึ้นจากพื้นพร้อมคำราม!
โทสะของนางเผยผ่านน้ำเสียง ราวกับคิดอยากแยกฟากฟ้าออกจาก
กันเพื่อคิดสังหารอีกฝ่าย
สื่อชิงเฉิงและคณะค่อยวางใจ พวกนางทราบ ว่าอุปกรณ์ลึกล้ำในมือ
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยทรงอำนาจเพียงใด
โดยเฉพาะสื่อชิงเฉิง นางจดจำได้อย่างรวดเร็ว ว่านั่นคือปืนใหญ่
ราชันลึกล้ำที่ฉินหยุนสร้างขึ้น ย้อนกลับไปตอนนั้น เป็นนางที่
ช่วยเหลืออีกฝ่ายสร้างขึ้นมา
สตรีคางแหลมเมื่อพบเห็นปืนใหญ่ราชันลึกล้ำในมือเชี่ยวเย่ว์เหม่ย
ดวงตาของนางเผยความละโมบออกจนเร่งรีบบินทะยานเข้าไป
“เด็กน้อย เจ้าไม่อาจโจมตีข้าโดน!” สตรีคางแหลมหลบเลี่ยง นาง
เผยยิ้มชั่วร้าย “คราวนี้จงมาเป็นนางทาสแก่ข้า!”
ไม่นานหลังนางหลบลูกปืนใหญ่พ้น เชี่ยวเย่ว์เหม่ยจึงโยนยันต์สะกด
กายออกไป!
สตรีคางแหลมนิ่งงัน ยันต์สะกดกายสามารถทำให้ขอบเขตวรยุทธ์
ลึกล้ำชะงักได้หนึ่งหรือสองวินาที ทว่านั่นก็เพียงพอให้เชี่ยวเย่ว์
เหม่ยได้โจมตีแล้ว
ครั้งนี้ เชี่ยวเย่ว์เหม่ยยิงกระสุนปืนใหญ่ต่อเนื่องสองนัด!
สตรีที่บินเข้ามา ไม่เพียงร่างถูกเผาไหม้ดำเป็นเถ้าถ่าน แต่ยังมี
บาดแผลหลายแห่งซึ่งถูกเผาไหม้ตามร่างกาย
“ยันต์สะกดกาย!” หวังเหลียงเห่าเผยความหวาดกลัว “เร่งรีบถอย!”
ชายอีกสองเร่งรีบจากไปพร้อมสตรีทั้งสองที่ร่างดำเป็นก้อนถ่าน
อัคคีเพลิงยังคงปกคลุมรอบ ทั้งหมดเป็นผลจากกระสุนปืนใหญ่
เชี่ยวเสวียนฉินและคณะกลับมาด้วยสภาพย่ำแย่ พวกนางมองปืน
ใหญ่ราชันลึกล้ำในมือเชี่ยวเย่ว์เหม่ยอย่างนึกอิจฉา
“ฉินหยุนมอบให้เจ้าหรือ?” สื่อชิงเฉิงยิ้มถาม “ข้าเป็นคนช่วยเขา
สร้างมันขึ้นมาเอง!”
“ข้าบอกพี่ชายว่าจะมาที่นี่ ด้วยเป็นห่วงเขาจึงให้หยิบยืมสิ่งของมา!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะรับ “นี่ช่างยอดเยี่ยม! ของสิ่งนี้จัดการพวกมัน
ได้อยู่หมัดนัก!”
สุ่ยเทียนสื่อมองอย่างนึกอิจฉา “เมื่อใดกลับไป ข้าคงต้องไปพบเจอ
น้องหยุน ขอให้เขาช่วยสร้างอุปกรณ์ลึกล้ำทรงอำนาจแก่ข้าบ้างแล้ว!”
“หากข้าทราบแต่แรก คงไปพบเขาก่อนมาแล้ว!” สื่อชิงเฉิงถอนหายใจ
เบา
แม้เชี่ยวเสวียนฉินไม่พูดกล่าว ทว่าภายในใจ นางคิดอยากครอบครอง
สิ่งของที่ดีเช่นนี้บ้าง
ก่อนหน้านี้ หากพวกนางมีชุดเกราะและอาวุธที่ดี พวกนางจะสังหาร
คนทั้งห้าได้ในเวลาเพียงอึดใจ
“มุ่งหน้าไปกันต่อ!” เชี่ยวเสวียนฉินกล่าว
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยยินดียิ่ง เพราะฉินหยุนเปรียบดังคลังเก็บยุทโธปกรณ์
เคลื่อนที่ ทั้งยังอยู่ข้างกายนาง ดังนั้นนางไม่มีทางขาดแคลนสิ่งของ
ให้ใช้งาน
“พี่ชาย ท่านป้าต้องการของดีเช่นนี้ยิ่งนัก! ดูเหมือนท่านจะมีโอกาส
ได้ไกล่เกลี่ยกับนางแล้ว!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยส่งเสียงสื่อสารบอกต่อฉิน
หยุนพลางหัวเราะ “พี่สุ่ยเองก็คล้ายต้องการอุทิศชีวิตให้แก่ท่าน การ
ที่ท่านทราบวิธีสร้างสิ่งของนี้ช่างดียิ่งนัก!”
พวกนางไม่ได้บินกันนานนัก เพราะอย่างกะทันหัน มันปรากฏออร่า
ของราชันยุทธ์หลายคนพุ่งมาจากทางด้านหลัง!
“ราชันยุทธ์ หรือเป็นอาจารย์ของเจ้าพวกนั้น?” เชี่ยวเสวียนฉินสบถ
เสียงเบา “ต้องเพิ่มความเร็ว สลัดพวกมันให้พ้น!”
ตอนนี้เป็นเวลาค่ำคืน ฉินหยุนสามารถนำคนกลุ่มนี้หลบซ่อนใน
ความมืด หลบเลี่ยงการไล่ล่าของกลุ่มราชันยุทธ์ได้
กระนั้น เขาเกรงว่าเชี่ยวเสวียนฉินจะทราบเรื่อง ดังนั้นเขาจึงได้แต่
ตามหลังเพื่อรับชมสถานการณ์ต่อไปอย่างเงียบงัน
กลุ่มคนทางด้านหลัง อย่างไรก็แค่ราชันยุทธ์
ฉินหยุนสงบใจได้ เพราะเขายังคงมีไพ่ตายอย่างจอมราชันดวงดาว
อสูร
“เย่ว์เหม่ย หรือข้าควรเผยตัวตนเสียตอนนี้? ข้าสามารถพาพวกนาง
หลบซ่อนตัวได้! พวกเราจะหลบพ้นจากราชันยุทธ์กลุ่มนั้นง่ายดาย!”
ฉินหยุนส่งเสียงสื่อสารถามต่อเชี่ยวเย่ว์เหม่ย
“รอก่อน! สถานการณ์ยังไม่อันตราย เมื่อใดถึงเวลา ท่านค่อยลงมือ!
เช่นนี้ท่านป้าจะได้ไม่กล้าทำอะไรท่าน!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะคิก
คักกล่าว
“เช่นนี้ ภายหลังนางย่อมต้องโกรธ บอกมาว่าทำไมข้าไม่ควรลงมือ
เสียแต่ตอนนี้?” ฉินหยุนกังวล
“เมื่อใดถึงเวลา ข้าจะช่วยให้ท่านยืนเคียงข้างนาง!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ย
กล่าว
ราชันยุทธ์เหล่านั้นรวดเร็วยิ่ง หากเป็นแบบนี้ต่อ พวกเขาจะไล่ตาม
ทันในไม่ช้า
“ลงกันก่อน!” เชี่ยวเสวียนฉินร้อนรนดังไฟเผา นางกังวลว่าจะถูก
ราชันยุทธ์เหล่านั้นจับตัว
นางกล่าวโทษตนเอง หากไม่พบเจอหวังเหลียงเห่า เรื่องราวเหล่านี้
คงไม่เกิดขึ้น
หากพวกนางถูกจับตัวได้ สื่อชิงเฉิง สุ่ยเทียนสื่อ และเชี่ยวเย่ว์เหม่ย
ต้องตกอยู่ในอันตราย
เวลานี้ นางนึกเสียใจ กล่าวโทษตนเองอยู่ภายในเป็นล้นพ้น
แม้ร่อนลงในป่ าหลบซ่อนออร่า กระนั้นก็ต้องหลบเลี่ยงต้นไม้
มากมาย ความเร็วมีแต่จะลดทอนลงไป
ราชันยุทธ์ที่ติดตามมา ย่อมสามารถแกะรอยจากเศษเสี้ยวออร่าที่
พวกนางหลงเหลือไว้
เวลานี้ คนกลุ่มนั้นมีแต่ต้องร่อนลงมาในป่ า เพื่อตามรอยเชี่ยวเสวียน
ฉินและคณะต่อไป
“เย่ว์เหม่ย ชิงเฉิง เทียนสื่อ พวกเจ้าไปก่อน ข้าจะรั้งท้ายจัดการราชัน
ยุทธ์พวกนั้น พวกเราค่อยติดต่อหากันภายหลัง!” เชี่ยวเสวียนฉิน
พลันกล่าวขึ้น
“นี่จะเป็นไปได้อย่างไร? ลำพังท่านไม่อาจรับมือพวกมัน!” สื่อชิง
เฉิงเร่งรีบร้องบอก
“เสวียนฉิน อย่าได้แสร้งเป็นกล้าหาญในเวลาเช่นนี้!” สุ่ยเทียนสื่อ
ทราบถึงกำลังของเชี่ยวเสวียนฉินเป็นอย่างดี
“ข้าจะใช้เคล็ดวิชาลับกระตุ้นพลังขึ้นมา คิดว่าคงถ่วงไว้ได้ชั่วระยะ
หนึ่ง อย่าได้เป็นห่วงข้าไป!” เชี่ยวเสวียนฉินกล่าว “เป็นความผิดข้า
เอง ข้าไม่ควรเข้าไปพูดคุยกับหวังเหลียงเห่า พวกเจ้านำหน้าไปก่อน
ได้แล้ว!”
ทันใดนี้ เชี่ยวเย่ว์เหม่ยจึงส่งเสียงบอกต่อฉินหยุน “พี่ชาย ท่านป้าหา
ได้มีเคล็ดวิชาลับดังที่กล่าวอ้างไม่ เป็นนางคิดเสียสละตนเอง ท่าน
มั่นใจว่าสามารถช่วยนางได้หรือไม่?”
“ไม่มีปัญหา!” ฉินหยุนตอบรับ
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยจึงหันไปกล่าวต่อเชี่ยวเสวียนฉิน “ท่านป้า ข้าจะทิ้งหุ่น
เชิดนี้ไว้ช่วยท่าน!”
“ดี!” เชี่ยวเสวียนฉินพยักหน้ารับ
สื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อ มีแต่ต้องเชื่อมั่นในเชี่ยวเสวียนฉิน เพราะ
พวกนางทราบ เชี่ยวเสวียนฉินคือเซียนในชาติภพก่อนหน้า
เชี่ยวเสวียนฉินหยุดฝีเท้า สายตามองไปยังทิศทางซึ่งราชันยุทธ์
เหล่านั้นกำลังบินมา ราวกับนางคิดเผชิญหน้าต่อความตาย

ตอนที่ 728 ผู้มาจากแคว้นสวรรค์ดวงตะวัน
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยชี้แนะฉินหยุนให้ไม่ต้องทำอะไร นี่ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการ
ถูกเชี่ยวเสวียนฉินจับพิรุธพบเห็น
เช่นนี้ ฉินหยุนก็แทบไม่จำเป็นต้องทำอันใด เขาเพียงแต่รับชมอยู่
ด้านข้าง
เชี่ยวเสวียนฉิน สื่อชิงเฉิง และสุ่ยเทียนซื่อล้วนอยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึก
ล้ำ ด้วยพวกนางร่วมมือกันต้านรับสัตว์อสูรดวงดาว เรื่องนี้หาได้
สร้างแรงกดดันใดแก่พวกนางไม่
“พี่สาวซาลาเปานึ่งกับภูติวารีคล้ายมีลักษณะทางพลังแตกต่างไปจาก
ก่อนหน้า หรือพวกนางได้รับวิญญาณยุทธ์ใหม่เข้ามาเพิ่มกัน?” ฉิน
หยุนเกิดความสงสัยเข้าเกาะกุม
*สุ่ยเทียนสื่อ มีการกล่าวถึงสองชื่อ วิญญาณร้ายวารี ใช้ในการกล่าว
ไปทางไม่ดี และภูติวารี จึงเป็นฉายาที่ยกย่องต่อนาง*
วิญญาณยุทธ์ของสื่อชิงเฉิง เดิมเป็นนกร็อคทองม่วง กระนั้นตอนนี้
นางกำลังใช้อสนีบาตอัคคีที่รุนแรง!
ทางด้านสุ่ยเทียนสื่อก็คล้ายคลึงกัน เป็นน้ำแข็งหรือมวลน้ำ นาง
สามารถควบแน่นน้ำปริมาณมหาศาลได้รวดเร็ว จากนั้นจึงใช้พวก
มันปกคลุมใส่สัตว์อสูรดวงดาวที่เบื้องล่าง ก่อนจะแช่แข็งพวกมัน
จนสิ้น หรือบางครั้ง สื่อชิงเฉิงจะใช้อสนีบาตอัคคีของนางทำการ
ปล่อยกระแสสายฟ้ารุนแรงออก
พวกนางทั้งสองร่วมมือกันเพียงไม่กี่ครั้งครา จึงกำจัดสัตว์อสูร
ดวงดาวฝูงใหญ่ลงไปได้
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเองก็รับชมอยู่ นางไม่เคลื่อนไหว เพราะภายใต้
สถานการณ์เช่นตอนนี้ นางไม่มีความจำเป็นใดต้องลงมือ
เชี่ยวเสวียนฉินแข็งแกร่งที่สุด นางตื่นรู้ความทรงจำจากชาติภพก่อน
ทั้งนางยังฝึกฝนวิญญาณยุทธ์ที่เหมาะสมเช่นเดิม พละกำลังของนาง
จึงเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล
สัตว์อสูรดวงดาวนับพันถูกทำลายสิ้นในพริบตา โดยสตรีทั้งสาม
ตรงหน้าร่วมมือกันกำจัด
“เหล่านี้ล้วนเป็นสัตว์อสูรดวงดาวชั้นสวะ!” เชี่ยวเสวียนฉินมองทาง
ร่างสัตว์อสูรดวงดาวบนพื้น นางแค่นเสียงนึกรังเกียจกล่าวคำ
“เปลืองพลังข้ายิ่งนัก ไปต่อ!”
“ท่านป้า เหตุใดที่นี่จึงมีสัตว์อสูรดวงดาวมากมาย? ทั้งพวกมันยัง
ซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยขมวดคิ้วกล่าวถาม “สัตว์อสูร
ดวงดาวพวกนี้ค่อนข้างอ่อนแอ กระนั้นก็ยังบุกโจมตีออกมา ชัดเจน
ว่าเป็นการส่งตัวพวกมันเองออกมารับความตาย!”
“สัตว์อสูรดวงดาวพวกนี้หาได้มีสมองไม่!” เชี่ยวเสวียนฉินบินออก
นำหน้า
ทันใดนี้ หลิงหยุนเอ๋อพลันกล่าวต่อฉินหยุน “เสี่ยวหยุน แม้สัตว์อสูร
ดวงดาวที่นี่จะโง่งมไปบ้าง แต่ในความเป็นจริง พวกมันมีผู้บัญชาการ!
ก่อนหน้านี้ ดวงดาวขนาดใหญ่ร่วงหล่นลงมา ย่อมต้องหัวหน้าอสูร
ดวงดาวอยู่ภายในดวงดาว”
“จะบอกว่าราชันสัตว์อสูรดวงดาว เป็นผู้ออกคำสั่งต่อสัตว์อสูร
ดวงดาวจำนวนมากเหล่านี้งั้นหรือ? เหมือนอย่างจอมราชันดวงดาว
อสูร?” ฉินหยุนนึกย้อนถึงเรื่องราวครั้งเกาะยุทธ์อสูร
“เข้าใจได้ถูกต้อง! ด้วยเหตุนี้ สัตว์อสูรดวงดาวชั้นสวะเมื่อก่อนหน้า
นี้ เมื่อใดพบเห็น ราชันสัตว์อสูรดวงดาวย่อมต้องพบว่าพวกเรามา
เยือน!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “เจ้านั่นสมควรยังอยู่ที่ขอบเขตราชันยุทธ์
เจ้าต้องระวัง!”
ฉินหยุนกลายเป็นกดดัน เชี่ยวเสวียนฉินและคณะต่างอยู่กันที่
ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ หากมีสัตว์อสูรระดับราชันยุทธ์ปรากฏอย่าง
กะทันหัน เขาต้องหาทางรับมืออย่างเหมาะสม
“ท่านป้า ท่านคิดว่าเหตุใดดวงดาวจึงเคลื่อนคล้อยลงมาอย่าง
กะทันหัน?” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเอ่ยถาม “มันจะเกี่ยวข้องกับพี่หยาง
หรือไม่?”
“เป็นไปได้มาก ว่านางชักนำมันลงมาเพื่อพลิกสถานการณ์ล่อความ
สนใจผู้อื่น!” เชี่ยวเสวียนฉินมองขึ้นบนฟ้า คิ้วนางขมวดเล็กน้อย
“โดยสรุป เรื่องนี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่!”
สื่อชิงเฉิงกล่าว “พื้นที่รอบนอกก็ประมาณนี้ หากพวกเราเข้าไปลึก
ยิ่งขึ้น ที่ต้องพบเจอก็จะยิ่งดุร้ายมากขึ้น!”
สุ่ยเทียนสื่อผู้ซึ่งบินด้วยความเร็วสูง พลันหันกลับมองทางด้านหลัง
นางยิ้มงดงามกล่าวคำ “เย่ว์เหม่ย หุ่นเชิดน้อยของเจ้าคล้ายความเร็ว
ไม่แย่นัก! เจ้าคิดนำเขาไปยังส่วนลึกด้วยหรือ? หากเขาตาย จะไม่
รู้สึกเสียใจอันใดใช่หรือไม่?”
“พี่สุ่ยอย่าได้กังวล หุ่นเชิดของข้าย่อมยอดเยี่ยม! แน่นอนว่าไม่ใช่
เพราะเขาแข็งแกร่ง ทว่าเขาหลบหนีได้รวดเร็วยิ่ง!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ย
หัวเราะคักคิก “หากต้องเผชิญหน้าอันตราย เขาก็มีวิธีการมากมายไว้
ให้ใช้หลบหนี!”
“อย่างนั้นก็ดี บางทีพวกเราอาจให้เขาคว้าตัวช่วงหนีก็ฟังดูไม่แย่!”
สุ่ยเทียนสื่อหัวเราะ
ฉินหยุนยังคงเงียบ เขาเพียงแต่เดินทางติดตามสตรีเหล่านี้
เขาเป็นกังวลอย่างยิ่ง เพราะส่วนลึกของเทือกเขานิราศจันทราย่อม
ต้องอันตราย หากระหว่างทางมีเรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เขา
จำเป็นต้องตระเตรียมของเพื่อรับมือ
กลางคืน ฉินหยุนที่ระแวดระวังตลอดค่อยผ่อนคลายได้ เขาหาได้
รู้สึกกดดันใดอีก เพราะกลางคืนคือช่วงเวลาที่เขาทราบว่าปลอดภัย
ที่สุด
ชั่วขณะนี้ พวกเขากำลังเข้าไปใกล้พื้นที่อันตรายที่สุดในบริเวณ
กึ่งกลาง
ระหว่างทาง พวกเขาได้พบสัตว์อสูรดวงดาวทรงพลังไม่ใช่น้อย
ท่ามกลางพวกมัน มีตนหนึ่งที่ต้องใช้พวกสุ่ยเทียนสื่อทั้งสามคน
ร่วมมือกันกำจัดลง
สัตว์อสูรดวงดาวเหล่านี้ครอบครองแก่นดวงดาวที่ดีภายในร่าง พวก
มันจึงถูกพวกสุ่ยเทียนสื่อทั้งสามคนแยกร่าง
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยและฉินหยุนไม่ได้เคลื่อนไหวใด ดังนั้นทั้งสองจึงไม่ได้
รับอันใด
แก่นดวงดาวมีประโยชน์ต่อฉินหยุนอย่างมหาศาล กระนั้นที่เขา
ต้องการคือจำนวนมาก เพราะหากจอมราชันดวงดาวอสูรของเขาได้
ดูดกลืนแก่นดวงดาวจำนวนมาก มันก็มีแต่จะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
จอมราชันดวงดาวอสูรยังมีพื้นที่ให้เติบโตอีกมาก ปิงชิงได้กล่าวไว้
แล้ว ว่าจอมราชันดวงดาวอสูรสามารถวิวัฒนาการจนแข็งแกร่ง
ดังเช่นเซียนได้
กระนั้น นั่นก็ต้องใช้พลังงานปริมาณมหาศาล
แก่นดวงดาวของสัตว์อสูรดวงดาวที่แข็งแกร่ง ถือเป็นแหล่งบำรุง
เลี้ยงจอมราชันดวงดาวอสูรอย่างดีเยี่ยม
ตกดึก เชี่ยวเสวียนฉินพลันหยุดพร้อมกล่าวคำเบา “พวกเราจะลงพื้น
ซ่อนตัว ใกล้เคียงนี้มีคนอยู่!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยบินไปพลางดึงฉินหยุนลงสู่พื้นเบื้องล่าง
หลังร่อนลงที่พื้นแล้ว หลายคนจึงปรากฏบนฟากฟ้า พวกเขาเหล่านั้น
ยังคงลอยตัวค้างกลางอากาศ
“นายหญิงน้อยเชี่ยว? ข้านายน้อยหวังจากแคว้นสวรรค์ดวงตะวัน
หวังเหลียงเห่า พวกเราเคยพบกันมาก่อน!” ชายบนฟากฟ้ากล่าว
ตะโกนดัง
“เป็นข้าเอง!” เชี่ยวเสวียนฉินตอบรับ
สื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อต่างมองหน้ากันเอง ชัดเจนว่าพวกนาง
จดจำนายน้อยหวังผู้นี้ได้
“พี่สาว ผู้ใดคือนายน้อยหวัง? คนรักท่านป้าหรือ?” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยยิ้ม
เอ่ยถาม
“เด็กน้อย เจ้าอย่าได้กล่าววาจาไร้สาระ ข้าหาได้มีคนรักใดไม่!” เชี่ยว
เสวียนฉินพอได้ยิน นางโพล่งโทสะออก
อย่างรวดเร็ว คนทั้งหลายเหล่านั้นเคลื่อนคล้อยลงจากฟ้า
เป็นชายสามหญิงสอง ชายทั้งสามต่างสวมใส่ชุดเกราะลึกล้ำงดงาม
วิจิตร รูปลักษณ์พวกมันกล่าวได้ว่าเป็นของชั้นเลิศ ทั้งตัวคนสวมใส่
ยังหน้าตาหล่อเหลา
ทางด้านสองสตรีนั้นผอมสูง แม้พวกนางงดงาม กระนั้นเสน่ห์ดึงดูด
ที่พวกนางเผยออก มันแทบกระชากจิตวิญญาณผู้คนผ่านอากาศ ทั้ง
สองล้วนสวมใส่ชุดเสื้อผ้าที่เป็นอุปกรณ์ระดับลึกล้ำเช่นกัน
ชุดเสื้อผ้าที่ซึ่งเป็นอุปกรณ์ลึกล้ำ มันจะทั้งเบาและสะดวกสบายแก่
การสวมใส่ กระนั้นอำนาจการป้องกันจะลดทอนลงกว่าชุดเกราะ
ด้วยเหตุนี้ เสื้อผ้าซึ่งเป็นอุปกรณ์ลึกล้ำจะมีความสามารถแอบแฝง
มากกว่า ยกตัวอย่าง มันสามารถกักเก็บพลังงาน หรือมีความสามารถ
ในการรักษาบาดแผล ทั้งยังใช้เพื่อต้านรับการโจมตีทางจิต
ความแตกต่าง คือประโยชน์ใช้สอย
ดังนั้นพวกมันจึงมีราคาแพงยิ่ง!
เชี่ยวเสวียนฉิน สุ่ยเทียนสื่อ และสื่อชิงเฉิง แม้พวกนางทั้งสามเป็น
ยอดยุทธ์ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ กระนั้นก็เพียงเพิ่งเลื่อนระดับเมื่อไม่
นานมานี้ แม้ว่าพวกนางมีชุดเสื้อผ้าอุปกรณ์ลึกล้ำ ก็ยังเป็นของที่ด้อย
คุณภาพ
พวกนางมีรูปลักษณ์และเสน่ห์ดึงดูดยิ่งกว่าสองสตรีผู้นั้น ทว่าทาง
ด้านอุปกรณ์สวมใส่และกำลังออกจะพ่ายแพ้แล้ว
สตรีทรงเสน่ห์ทั้งสองเมื่อเห็นสื่อชิงเฉิงและคณะหาได้สวมใส่
เสื้อผ้าดีอันใดไม่ สายตานั้นเผยความนึกรังเกียจออกมา นี่คือการ
แสดงออกของผู้ร่ำรวยมองเหยียดต่อคนยากจน
เรื่องนี้ทำเอาสื่อชิงเฉิงและคณะรู้สึกย่ำแย่อยู่ภายใน
“ข้าไม่คิดว่าแม่นางทั้งสามจะอยู่ที่นี่ คิดเข้าสู่ส่วนลึกอย่างนั้นหรือ?
พวกเราก็เช่นกัน นี่ร่วมทางไปด้วยกันได้!”
บุคคลผู้กล่าวคำ คือหวังเหลียงเห่า เขามีใบหน้ายาว ทั้งยังเผยรอยยิ้ม
จอมปลอมอย่างเด่นชัด
มือหนึ่งถือพัดเอาไว้ ในยามค่ำคืนเช่นนี้ ตัวพัดกำลังส่องประกาย
แสงสีทองออกมา มันเป็นแสงสุกสว่าง มองเพียงครั้งเดียวย่อมทราบ
ว่าเป็นของดี
ชายหนุ่มอีกสองเร่งรีบเอ่ยแนะนำตนเอง พวกเขาทั้งสองเป็นศิษย์
สำนักเซียนจากแคว้นสวรรค์ดวงตะวัน
เมื่อพวกเขาร่อนลงมา สายตานั้นจับจ้องกวาดมองสื่อชิงเฉิงและคณะ
และตอนนี้ สายตาพวกเขาก็กำลังจับจ้องเชี่ยวเย่ว์เหม่ยและพรรคพวก
อย่างไม่นึกว่าเป็นมารยาทอันเลวร้ายใด
สตรีผู้งดงามทั้งสอง ก็เป็นศิษย์ของสำนักเซียนจากแคว้นสวรรค์ดวง
ตะวันเช่นเดียวกัน
ยามเมื่อเอ่ยถึงสำนักเซียนของตนเอง พวกเขาล้วนเผยความอหังการ
อวดดี กระทั่งถามต่อเชี่ยวเสวียนฉินและคณะว่ามาจากสำนักใด
“พวกเรามาจากเกาะจันทราปีศาจ!” เชี่ยวเสวียนฉินกล่าว
“เกาะจันทราปีศาจ? เกาะจันทราปีศาจที่เพิ่งได้รับต้นกำเนิดเซียน
หรือ? สำนักชั้นรอง!” สตรีผู้ซึ่งมีคางยาวกล่าวเย้ยหยันอย่างเด่นชัด
“แล้วเด็กสาวกับเด็กหนุ่มตรงนั้นเล่า?” หวังเหลียงเห่าเร่งรีบเปลี่ยน
หัวข้อ สายตาหันมองทางเชี่ยวเย่ว์เหม่ยและฉินหยุน
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยยิ้มกล่าว “ข้าหลงเซียงเย่ว์ เป็นน้องเล็กของพี่สาวทั้ง
สาม และนี่คือหุ่นเชิดของข้าที่ไร้นาม ดังนั้นอย่าได้สนใจเขาไป!”
แม้เป็นตอนนี้ เชี่ยวเย่ว์เหม่ยก็ยังมีผ้าบางปกคลุมใบหน้า
หวังเหลียงเห่าเคยได้ยินนามนี้มาก่อน เขาพยักหน้ารับ
“เร่งรีบเข้าไปยังพื้นที่ส่วนลึกกันได้แล้ว!” เชี่ยวเสวียนฉินไม่คิด
เสวนาอื่นใดกับสองสตรีตรงหน้าอีก นางจึงกล่าวเสียงเย็น
“จริงด้วย เจ้ามีอุปกรณ์ลึกล้ำที่ดีอันใดหรือไม่? อย่างเช่นอาวุธและ
เครื่องสวมใส่ป้องกัน หรือมีแค่เท่าที่เห็น มองแล้วคงข้นแค้นกัน
ไม่ใช่น้อย หากพบเจออันตรายใดเข้า เมื่อนั้นจงดูแลตนเองให้มาก!”
สตรีที่ไว้ผมทรงซาลาเปาบนศีรษะกลอกดวงตาพร้อมกล่าวอย่างนึก
รังเกียจ
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยย่อมมีชุดเกราะเต๋าที่ฉินหยุนมอบไว้ให้ กระนั้นนางไม่
คิดนำมันออกมา เพราะนางทราบ ว่าสามชายสองหญิงตรงหน้าไม่ใช่
รับมือได้ด้วยง่าย
เชี่ยวเสวียนฉินแทบระเบิดโทสะออก นางใส่ใจต่อเรื่องนี้หาได้
ดังเช่นที่เห็นภายนอกไม่ นางแทบอยากพุ่งเข้าไปตบใบหน้าสอง
สตรีตรงหน้าเป็นล้นพ้น
สุ่ยเทียนสื่อคิดเห็นเช่นเดียวกัน มีแต่สื่อชิงเฉิงจึงมีสภาวะทางจิต
มั่นคง นางไม่ใส่ใจเรื่องราวเหล่านี้
“เร่งรีบไปกันได้แล้ว!” ชายคนหนึ่งในกลุ่มคนเอ่ยคำ “รีบเข้าไปล่า
แก่นดวงดาว พวกเราจะได้นำไปแลกเปลี่ยนเป็นของดีมากมาย!”
“แม่นางทั้งสี่ พวกท่านไม่มีอาวุธหรือชุดเกราะที่ดีย่อมไม่เป็นไร
พวกเราย่อมปกป้องพวกท่านได้!” ชายร่างฉุคนที่เหลือเผยยิ้มชั่วร้าย
เชี่ยวเสวียนฉินแค่นเสียงก่อนทะยานขึ้นฟ้าโบยบินสู่เบื้องหน้า
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยส่งเสียงสื่อสารบอกต่อฉินหยุน นางหัวเราะกล่าวคำ
“พี่ชาย พวกท่านป้าช่างข้นแค้นนัก!”
“พวกนางสมควรมีเหรียญม่วงกับอุปกรณ์ลึกล้ำใช่หรือไม่?” ฉินหยุน
เอ่ยถามด้วยความสงสัย ก่อนหน้านี้ สื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อต่าง
ได้รับเหรียญม่วงไปมหาศาลด้วยเพราะติดตามเขา
“ท่านป้ากล่าวว่าพวกนางจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรเร่งด่วน ดังนั้นจึง
หว่านโปรยอุปกรณ์ลึกล้ำและของอื่น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมทั้ง
สามก้าวหน้ารวดเร็วเพียงนั้น! พวกท่านป้าคล้ายฝึกฝนเคล็ดวิชาลับ
บางอย่าง นั่นจึงทำให้ต้องใช้ทรัพยากรปริมาณมหาศาล!” เชี่ยวเย่ว์
เหม่ยกล่าว
ระหว่างบินไป กลุ่มชายสามของหวังเหลียงเห่าจะพยายามเข้ามา
ใกล้ชิดเชี่ยวเสวียนฉินและคณะ เป้าหมายพวกเขากระจ่างชัด ว่า
ต้องการมีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อพวกเชี่ยวเสวียนฉิน
เชี่ยวเสวียนฉินก่อนหน้าถูกสองสตรีเย้าเสน่ห์กล่าวยั่วยุ ตลอดทาง
นางจึงเผยแต่ท่าทีเย็นชา
ต้องทราบว่านางตื่นรู้ความทรงจำจากชาติภพก่อนแล้ว ประสบการณ์
อันยาวนานของนางย่อมตื่นรู้ขึ้นตาม นางย่อมสามารถพบเห็นเจตนา
ของชายทั้งสามอย่างเด่นชัด
ฉินหยุนกล้ากล่าว ว่าสื่อชิงเฉิงและคณะคิดเข้ามาสังหารสัตว์อสูร
ดวงดาว คว้าเอาแก่นดวงดาวไปเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราและ
สิ่งของ
“สัตว์อสูรดวงดาวเผยตัวแล้ว ทั้งยังแข็งแกร่งยิ่ง! พวกยากจนที่ไร้ซึ่ง
อาวุธและชุดเกราะอย่าได้ข้องแวะ ที่แห่งนี้หาได้มีส่วนแบ่งใดแก่
พวกเจ้าไม่!” สตรีที่มีคางแหลมตะโกนเสียงเย็นเยือกดังขึ้น

ตอนที่ 727 พลังเหนือธรรมชาติ
ฉินหยุนรู้สึกว่าตนเองอย่างไรก็ต้องเผชิญหน้ากับเชี่ยวเสวียนฉินไม่
ช้าก็เร็ว ดังนั้นพบแต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยขมวดคิ้วกล่าว “พี่ชาย ท่านยังไม่อาจพบท่านป้า หลัง
นางตื่นรู้ความทรงจำขึ้นมา นางกลับกลายเป็นคนน่ากลัวยิ่งขึ้น!
ท่านไม่ทราบว่าในชาติภพก่อนนั้น นางเป็นสตรีที่ร้ายกาจเพียงใด!”
ฉินหยุนนึกย้อนถึงครั้งที่เขาและเชี่ยวเสวียนฉินเข้าสู่สุสานราชวงศ์
เทียนเชี่ยว ทั้งยังไปด้วยกันได้ดี เขาไม่คิดว่าเชี่ยวเสวียนฉินจะกลับ
กลายเป็นปฏิปักษ์ต่อเขาได้ถึงเพียงนั้น
“นั่นไม่น่าเป็นไร! ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าก็ไปด้วยดีกับข้าเหมือนเคยก่อน
จะตื่นรู้ความทรงจำหรือไร? กระทั่งพี่สาวปิงชิงตอนนี้ก็ยังดีต่อข้า!”
ฉินหยุนยิ้มกล่าว “เย่ว์เหม่ย เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ตราบเท่าที่ข้าได้
พบเจอนาง ปัญหาย่อมคลี่คลายได้โดยง่าย!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยแค่นเสียงตอบกลับ “พี่ชาย! ท่านป้านั้นแตกต่างจาก
พวกเรา! ครั้งนางอยู่แดนเซียนอ้างว้าง นางคือเซียนทรงอำนาจสูงล้ำ
ท่านหลอกลวงนางไปหลายสิ่งอย่าง กระทั่งขโมยของส่วนตัวของ
นางไปประมูลขาย นั่นทำให้นางเกลียดชังท่านถึงกระดูกดำ!”
“เหตุใดตัวข้าชาติภพก่อนกระทำต่อนางเพียงนั้น?” ฉินหยุนไม่เข้าใจ
จนต้องร้องถามออกมา
“ผู้ใดกันทราบว่าท่านคิดอะไร? โดยสรุป ชาติภพก่อนท่านเป็นคน
ต่ำตมอย่างยิ่ง! ครั้งท่านป้าพบเจอข้าล่าสุด นางกล่าวว่าเมื่อใดพบ
ท่านนางจะสังหารโดยไม่ลังเล!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเผยสีหน้าเป็นกังวล
“กระทั่งว่าไม่สังหารท่าน อย่างน้อยก็ต้องสั่งสอนบทเรียนครั้งใหญ่!”
ฉินหยุนบุ้ยปากกล่าวคำ “อย่างนั้นพวกเราควรทำอย่างไร? จะบอก
ให้ข้าไม่ต้องพบหน้านางอีกอย่างนั้นหรือ? ก็ได้ ครั้งนี้ข้าซ่อนตัวจาก
นางก่อน ไว้ข้าลอบติดตามเจ้าไป!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกลอกตาพลางหัวเราะซุกซน “พี่ชาย ข้ามีวิธีการดีกว่า
นั้น ทั้งท่านยังจะอยู่ที่ตรงนี้ต่อได้!”
“กล่าวมา!” ฉินหยุนพบเห็นรอยยิ้มซุกซนของเชี่ยวเย่ว์เหม่ย ภายใน
เวลานี้รู้สึกถึงลางร้าย
“ข้าได้เชี่ยวชาญความสามารถเทวะที่เรียกว่าความสามารถเทวะหุ่น
เชิด มันจะแปรเปลี่ยนคนเป็นหุ่นเชิดได้! หุ่นเชิดนั้นจะแปรสภาพไป
ตามที่ข้าต้องการ กระนั้นก็จะคงอยู่ได้เพียงชั่วครู่ชั่วคราว” เชี่ยวเย่ว์
เหม่ยยิ้มเผยฟันขาวหัวเราะดัง “พี่ชาย ให้ข้าเปลี่ยนท่านเป็นสตรีผู้
งดงามสักคราหนึ่ง จากนั้นค่อยบอกท่านป้าว่าท่านเป็นมิตรสหายข้า!”
“บ้าบอ!” ฉินหยุนทราบอยู่แล้วว่าความคิดนางไม่เคยมีอันใดดีเป็นชิ้น
อัน มืออดไม่ได้ที่จะยื่นไปหยิกใบหน้าเชี่ยวเย่ว์เหม่ย “หยุดล้อเล่น
แล้วจริงจังได้แล้ว!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยยังคงกล่าวซุกซน “ข้าเพียงเปลี่ยนท่านเป็นสตรีผู้งดงาม
เช่นนี้ท่านป้าจะได้ไม่สงสัยอันใด หากข้าอยู่กับชายหนุ่ม เช่นนั้น
นางคงสงสัยและเริ่มตรวจสอบท่านเป็นแน่ ถึงตอนนั้นท่านคิดปิด
อย่างไรก็ไม่อาจมิดแล้ว!”
“ข้าไม่อยากเป็นผู้หญิง!” ฉินหยุนปฏิเสธหนักแน่น
“พี่ชาย ข้าก็แค่เปลี่ยนหน้าท่านเป็นสตรี แล้วค่อยเปลี่ยนรูปร่างสัก
เล็กน้อย ทั้งยังเป็นชั่วคราว หาได้ใช่ถาวร อย่างมากก็อยู่ได้ไม่กี่วัน
เท่านั้น!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยจงใจหัวเราะดัง
“เจ้าก็แค่เปลี่ยนรูปลักษณ์ข้า ตราบเท่าที่เป็นบุรุษย่อมไม่เป็นไร ข้าก็
เพียงแสร้งทำตัวเป็นหุ่นเชิดหรือไม่ใช่?” ฉินหยุนสัมผัสได้ ว่าเชี่ยว
เสวียนฉินและคณะใกล้เข้ามาแล้ว เขาเร่งร้อนกล่าว “ไม่มีเวลาแล้ว
รีบลงมือเข้า!”
“อย่างนั้นก็ขอความร่วมมือด้วยแล้ว!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยบุ้ยปากจิ้มลิ้ม
อย่างผิดหวัง นางกระทืบเท้าเบาก่อนจะแปรเปลี่ยนฉินหยุนเป็นชาย
หนุ่มหล่อเหลาคนหนึ่ง
ที่ทำฉินหยุนตระหนก คือความสามารถเทวะที่เข้าสู่ร่างกายของเขา
นี้ มันแปรเปลี่ยนโครงร่างพื้นฐาน ความสูงและสัดส่วนทั้งหลายใน
ร่างกายล้วนแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
ไม่ช้า ฉินหยุนค่อยเป็นชายหนุ่มอ่อนโยนผู้หนึ่งซึ่งเผยสายตารักใคร่
ต่อเชี่ยวเย่ว์เหม่ย
“พี่ชาย ท่านอยู่สภาพนี้ตลอดไปคล้ายดูดีไม่น้อย!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ย
หัวเราะก่อนจะลูบใบหน้าราวรูปสลักของฉินหยุน
ฉินหยุนพลันนำเอาชุดที่เหมาะสมออกมาสวมใส่ สายตาหันกลับไป
จับจ้องนางอย่างหนักแน่น
ไม่นานนัก สามสตรีผู้งดงามพลันบินเข้ามา พวกนางทั้งสามเปรียบ
ดังภูติผู้ซึ่งเหยียบย่างลงสู่แดนมนุษย์
เชี่ยวเสวียนฉินสวมใส่ชุดสีขาว ท่าทีสง่างามและสูงศักด์ิ ใบหน้ารูป
ไข่ของนางอัดแน่นไว้ด้วยสีหน้าอันเย็นเยือก
ข้างกายทางด้านซ้ายคือสื่อชิงเฉิงในชุดสีม่วง นางคืออีกตัวตนหนึ่งที่
มีเอกลักษณ์ ยามเมื่อลอยตัวเชื่องช้า ความงดงามของนางประหนึ่ง
เทพธิดาแห่งเหล่าภูติ
ทางด้านขวาของเชี่ยวเสวียนฉิน ย่อมเป็นสุ่ยเทียนสื่อผู้ซึ่งงดงามและ
มีใบหน้าเผยเสน่ห์ที่อัดแน่น ราวกับนางถือกำเนิดมาพร้อมเสน่ห์
ดึงดูดนี้ ดวงตางดงามของนางอัดแน่นด้วยเสน่ห์มากล้น ใบหน้าเย้า
ยวนเผยยิ้มบาง ทุกการเคลื่อนไหวของนาง มันจะแอบแฝงมาด้วย
ท่าทีเร้าอารมณ์จนถึงจิตวิญญาณผู้คน
ฉินหยุนเมื่อได้พบสตรีทั้งสามอีกครั้งหนึ่ง ใจพลันต้องเต้นแรง เขา
ไม่คาดคิด ว่าหลังไม่ได้พบเจอกันนาน เขาแทบไม่อาจจดจำอีกฝ่าย
ได้ ไม่เพียงแต่พวกนางงดงามขึ้น ทว่ายังทรงพลังอำนาจมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นสื่อชิงเฉิง เขาคิดอยากเข้าไปหยิกใบหน้างดงาม
ของนาง นั่นคือสิ่งที่เขาเฝ้านึกถึงมาโดยตลอด
“เสี่ยวหยุน เข้าไปคว้าพวกนางมาเสียให้หมดเลยเป็นไร ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ผู้ใดกันทราบ ว่าหลิงหยุนเอ๋อจะโพล่งร้องตะโกนออกมาเช่นนี้
“เย่ว์เหม่ย นั่นคือใคร?” เชี่ยวเสวียนฉินมองทางฉินหยุน
ฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ยต่างลอบถอนหายใจโล่งอก เพราะเชี่ยว
เสวียนฉินจดจำฉินหยุนไม่ได้
“เป็นหุ่นเชิดที่ข้าเพิ่งได้รับมา วิเศษไปเลยจริงไหม!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ย
หัวเราะคิกคักพลางหยิกแก้มฉินหยุน “นอกจากนี้แล้ว ยามสัมผัส
ยังให้ความรู้สึกดียิ่ง หากสนใจพวกท่านลองเข้ามาสัมผัสดู!”
“เป็นน้องชายที่หล่อเหลายิ่งนัก!” สุ่ยเทียนสื่อเป็นสตรีที่ไม่ถือตัว
นางเผยยิ้มซุกซนบินเข้ามา ใช้มือขาวนวลอ่อนนุ่มของนางลูบสัมผัส
ใบหน้าฉินหยุน
ถัดจากนั้น นางค่อยยื่นมือเข้าไปในเสื้อของฉินหยุน สัมผัสเข้ากับ
หน้าอก “หุ่นเชิดนี้วิเศษนัก ถึงขั้นมีหัวใจให้เต้น!”
ฉินหยุนแม้โดนสัมผัส เขาก็ยังคงสายตาไร้ชีวิต ตัวเขาต้องทำประหนึ่ง
เป็นท่อนซุง ภายในเวลานี้ต้องสบถต่อวิญญาณร้ายวารีตรงหน้าขณะ
คิดอยากต่อว่านาง
“แล้วเจ้าไปหาหุ่นเชิดนี้มาจากที่ใดกัน? ใบหน้านั้นสามารถเปลี่ยน
ได้ตามต้องการเลยหรือ? ให้ข้าสักตัวหนึ่ง ข้าต้องการที่หน้าเหมือน
ฉินหยุน ข้าจะได้เล่นกับเขาได้ทุกวี่วัน!” สุ่ยเทียนสื่อเผยยิ้มซุกซน
มือขาวนวลของนางสัมผัสกับกายท่อนล่างของฉินหยุน และขณะ
เกือบจะสัมผัสนั้นเอง
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพลันกระโดดพรวดเข้าไปคว้ามือสุ่ยเทียนสื่อเอาไว้
“พี่สุ่ยอย่าได้ทำโดยไม่ยั้งคิดแล้ว! ข้าใช้ความสามารถเทวะแปรเปลี่ยน
มนุษย์เป็นหุ่นเชิด มันคงอยู่ได้ไม่นาน หากท่านยังเอาแต่เย้ายวนเขา
ต่อไป เวลาที่เขาจะมีสภาพเป็นหุ่นเชิดของข้ายิ่งลดน้อยลง!”
“เป็นเช่นนี้!” สุ่ยเทียนสื่อหัวเราะเบา จากนั้นจึงลูบมือเบาที่ใบหน้า
ฉินหยุนก่อนจะพิจารณามอง “ดวงตานี้ช่างคล้ายฉินหยุนยิ่งนัก!”
“หยุดกล่าวถึงตัวบัดซบนั่นได้แล้ว!” เชี่ยวเสวียนฉินแค่นเสียง “หาก
ข้าได้พบมันอีกครั้ง เมื่อนั้นจะถลกหนังมันพร้อมไล่ตระเวนแขวน
ทุกหน้าเมืองสักหนึ่งวันวนทั่วแดนวิญญาณอ้างว้าง!”
ฉินหยุนใจดิ่งฮวบ เขาค่อยเข้าใจถึงความกังวลของเชี่ยวเย่ว์เหม่ยก็
ตอนนี้ เชี่ยวเสวียนฉินและชาติภพก่อนของเขา มีความเกลียดชังเข้า
กระดูกดำต่อกันอย่างแท้จริง
“เสวียนฉิน ที่เจ้าเกลียดชังนั้นเป็นชาติภพก่อนของเสี่ยวหยุน!” สื่อ
ชิงเฉิงถอนหายใจเบา ดวงตาของนางเผยความคะนึงหา นางไม่ทราบ
ว่าเหตุใดตนเองจึงคิดถึงฉินหยุนมากมายเพียงนี้
“ข้าหาได้สนใจไม่ พบเจอมันเมื่อใดข้าจะสอนสั่งบทเรียนแก่มัน มี
แต่ทำเช่นนั้นข้าค่อยลบเลือนความหยามเหยียดที่มีในใจออกไปได้!”
เชี่ยวเสวียนฉินพอเอ่ยถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของนางจึงเผยความโกรธสุม
อัดแน่น
“อย่าได้กล่าวถึงเรื่องนี้แล้ว! พวกท่านมาที่นี่เพราะพี่หยางใช่หรือไม่?”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเอ่ยถาม
“ใช่! พวกเราคิดอยากมาที่นี่นานแล้ว ทว่าเสวียนฉินบอกว่าพวกเรา
จะพบฉีเย่ว์ก็ต่อเมื่อจันทราสีครามปรากฏ” สื่อชิงเฉิงกล่าวอธิบาย
สุ่ยเทียนสื่อถอนหายใจเบา “สงสัยนักว่าฉินหยุนจะมาด้วยหรือไม่
ได้ยินว่าเขาสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่ที่งานประลองยุทธ์ เขาคงไม่
กล้าออกมาเพ่นพ่านไปทั่วแล้วกระมัง?”
“เมื่อพบเจอฉีเย่ว์ ข้าคิดเดินทางไปยังนครเซียนยุทธภัณฑ์! เขาช่วย
เหลือข้าเอาไว้หลายครั้งไม่ใช่น้อย!” สื่อชิงเฉิงกล่าวคำเบา
“ไปหาสัตว์อสูรดวงดาวกันก่อน!” เชี่ยวเสวียนฉินกล่าว
นางไม่คิดพูดคุยถึงเรื่องของฉินหยุนเพิ่มเติมอีก อันที่จริง นางก็มี
ความคิดขั้วตรงข้ามอยู่ภายใน นางห่วงหาต่อเขา เพราะเขาได้ช่วยเหลือ
นางขัดเกลาวิญญาณ ช่วยให้นางได้เลื่อนระดับพลังมาได้ ครั้งเข้าไป
ยังสุสานราชวงศ์เทียนเชี่ยวด้วยกัน ก็เป็นฉินหยุนช่วยนางเอาไว้
ไม่ใช่น้อย
แต่ก็เป็นเพราะช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันในสุสานราชวงศ์เทียนเชี่ยว
ทำให้นางตกหลุมรักต่อฉินหยุน นางรักต่ออีกฝ่ายที่เป็นชาติภพนี้
กระนั้นชาติภพก่อนนางกลับเกลียดอีกฝ่ายเข้ากระดูกดำ ความขัดแย้ง
นี้มันต่อต้านกันเองภายในใจนางอยู่บ่อยครั้ง
นางได้รับความทรงจำจากชาติภพก่อนอย่างมหาศาล โดยเฉพาะ
เรื่องราวความเกลียดชังต่อฉินหยุนในชาติภพก่อน อย่างไรแล้ว เพื่อ
ไล่ล่าฉินหยุนในชาติภพก่อน นางต้องสละเวลาไปหลายพันถึงหมื่นปี
เชี่ยวเสวียนฉินมีความรู้สึกต่อฉินหยุนในช่วงชีวิตนี้ กระนั้นมันก็เป็น
เวลาเพียงไม่นาน เช่นกัน มีแต่นางที่แอบรักต่อฉินหยุน ดังนั้นเรื่องราว
จึงยังไม่ถลำลึกลงไป ด้วยเหตุนี้ นางจึงยิ่งเกลียดชังต่อฉินหยุน ทว่า
มันจะไม่ใช่ดังชาติภพก่อนของนาง นางไม่คิดอยากสังหารฉินหยุน
ในตอนนี้ เพียงต้องการหาทางได้ระบายโทสะออกไปบ้าง
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเข้าใจความขัดแย้งภายในใจเชี่ยวเสวียนฉิน ดังนั้นนาง
จึงยังไม่คิดอยากให้ฉินหยุนได้พบเชี่ยวเสวียนฉิน
ฉินหยุนแสร้งทำตัวเป็นหุ่นเชิด ติดตามสตรีทั้งสี่จากด้านหลังบิน
ผ่านอากาศ
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพลันถาม “ท่านป้า ข้าจำได้ว่าท่านเคยกล่าวเอาไว้ ว่า
พี่ชายช่วยท่านขัดเกลาวิญญาณขึ้นมา ท่านไม่ควรโกรธเขา ชีวิตใน
ชาติภพนี้ของพี่ชายเป็นคนดียิ่ง!”
“ข้า… จะเกลียดชังเขาก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้! เอาเถอะ อย่างไรตอนนี้
ไม่ได้เห็นหน้าเจ้านั่นก็พอแล้ว!” ภายในใจเชี่ยวเสวียนฉิน ความรู้สึก
ที่ขัดแย้งกันเองปรากฏขึ้นอีกครั้ง นางพบว่าความรู้สึกนี้ตนเองไม่
อาจจัดการได้ถูก
“เย่ว์เหม่ย ไม่ใช่ว่าเจ้าไปพบพี่ชายของเจ้าบ่อยครั้งหรอกหรือ?” สุ่ย
เทียนสื่อหัวเราะซุกซนกล่าวถาม “ข้าสัญญาต่อเขาเอาไว้ว่าจะเป็น
สตรีของเขา ข้าจะอุทิศตนเป็นผู้ช่วยเขาตลอดชั่วชีวิตนี้ ตอนนี้ข้ายัง
ไม่ได้เติมเต็มสัญญานั้นเลย!”
“ไปนครเซียนยุทธภัณฑ์ย่อมได้พบเขา!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว “หาก
ท่านมีเวลา เช่นนั้นก็ไปนครเซียนยุทธภัณฑ์เพื่อพบตัวเขาได้!”
“สงสัยนักว่าระดับจารึกของเขาก้าวหน้าเพียงใดแล้ว” สื่อชิงเชิง
หัวเราะกล่าว “ข้ากำลังขาดแคลนสิ่งของพอดี ไว้มีเวลาคงต้องไป
พบปะเขาเพื่อให้ช่วยสร้างบ้างแล้ว!”
มุมปากฉินหยุนกระตุก เขากล่าวภายในใจ “พี่สาวซาลาเปานึ่ง ท่าน
หากไม่มีอันใดต้องการก็ไม่มาหาข้าอย่างนั้นหรือ ถึงตอนนั้นข้าจะ
นวดหน้าซาลาเปานึ่งให้แบน!”
เชี่ยวเสวียนฉินที่บินนำหน้า พลันหันกลับมองมาและถาม “เย่ว์เหม่ย
หุ่นเชิดของเจ้าแข็งแกร่งเพียงใด? คงไม่ได้มีดีแค่หน้าตากระมัง?”
“กำลังถือว่าพอได้ โดยสรุปก็เป็นเพียงหุ่นเชิด หากตาย เช่นนั้นก็
ตาย!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยแสร้งทำเป็นไม่สนใจใยดีนัก
“เย่ว์เหม่ย นี่เจ้ายังเที่ยวหลอกลวงผู้คนไปเรื่อยอีกหรือ?” เชี่ยวเสวียน
ฉินเอ่ยถาม
“ย่อมไม่ใช่! ข้าเพียงพบเจอคนเลวบ้าง จึงสอนสั่งบทเรียนแก่พวก
มัน!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะ นางเวลานี้เป็นคนลวงหลอกผู้อื่นอย่าง
เต็มตัว ยิ่งเวลาผ่านไป เหยื่อของนางก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น
“เย่ว์เหม่ย ชาติภพก่อนของเจ้าและตัวบัดซบนั่นฉ้อฉลคนไปทั่วทุก
หนแห่ง ชีวิตนี้เจ้ามีเค้าว่าจะกลับเป็นเช่นนั้นอีก!” เชี่ยวเสวียนฉิน
กล่าวอย่างนึกห่วง
“ข้าทราบดี!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยรับคำตามจริง
สื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อเองก็ทราบ ว่าเชี่ยวเย่ว์เหม่ยและเชี่ยวเสวียน
ฉินต่างมีชาติภพก่อน นั่นคือสิ่งที่เชี่ยวเสวียนฉินบอกต่อพวกนาง
เพราะเหตุนี้พวกนางคล้ายเปิดใจต่อกัน จึงทำให้มีสัมพันธ์อันดีต่อ
กันเช่นตอนนี้
อย่างกะทันหัน ร่างเงาสีดำพลันปรากฏจากพื้นขึ้นสู่บนฟากฟ้า
“บัดซบ!” เชี่ยวเสวียนฉินไหววูบฝ่ามือ เสียงเครื่องสายดีดผ่านอากาศ
ยิงออกซึ่งอัคคีเพลิงสีน้ำเงิน มันพุ่งเข้าปะทะกับร่างเงาสีดำนั้น
ร่างเงาสีดำร่วงหล่นกับพื้น เรื่องราวชวนตื่นตะลึง เมื่อครู่คือสัตว์
อสูรดวงดาวรูปลักษณ์พยัคฆ์ตัวขนาดใหญ่ที่ดุร้ายยิ่ง
ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า คือที่พื้นเบื้องล่าง มันมีสัตว์อสูรดวงดาว
รูปลักษณ์พยัคฆ์เหล่านั้นจำนวนมากกำลังบินพุ่งขึ้นมา!

ตอนที่ 726 สอนสั่งบทเรียน
ฉินหยุนไม่หวาดเกรงใดต่อคนกลุ่มคน เขาแค่นเสียงตอบกลับ “เหตุ
ใดข้าจึงต้องไสหัวไป? เพียงกลุ่มชนชั้นสวะเช่นพวกเจ้า คิดหรือว่า
จะพอให้ข้าต้องไป?”
“เจ้ามันเพียงลำพัง ขณะพวกเราอยู่กันมากมาย หากติดตามเราไป
นั่นไม่ใช่การเอาเปรียบต่อพวกเราหรืออย่างไร?” น้องชายคนหนึ่ง
ของนายน้อยตระกูลเยี่ยตะโกนดัง “พวกเราบอกเจ้าให้จากไปอย่างมี
มารยาทแล้ว เพราะพวกเราต้องการไว้หน้าแก่นายหญิงน้อยหลง
ไม่เช่นนั้น ขาเจ้าคงหักนอนนิ่งที่นี่ไปแล้ว!”
เพื่อแสดงความอหังการต่อหน้าลูกพี่ มิตรสหายน้องชายเหล่านี้จึง
เผยความอวดดีได้เพียงนี้
“เหอะ จะบอกว่าพวกเจ้ามีมากแล้วแข็งแกร่งอย่างนั้นหรือ? น่าขัน!”
ฉินหยุนหัวเราะดัง “กลุ่มสวะเช่นพวกเจ้า แม้มีสักสิบคน ก็ไม่อาจ
เอาชนะข้าได้!”
“สิบงั้นหรือ? เจ้าให้ค่าตนเองสูงเกินไปแล้ว เพียงมือเดียวข้าก็เอาชนะ
เจ้าได้!” น้องชายคนหนึ่งของนายน้อยตระกูลเยี่ยนำหอกยาวออกมา
พุ่งแทงใส่ฉินหยุน คลื่นอากาศทะลักล้นจากกายเขาเกิดเป็นสายลม
รุนแรงวูบหนึ่ง
สายลมพัดเข้าหาทั้งฉินหยุน เชี่ยวเย่ว์เหม่ยที่อยู่ใกล้เคียงเผยอาการ
ร้อนใจกล่าวเกลี้ยกล่อมไม่ให้ต่อสู้
ผู้คนที่นี้ล้วนไม่สนคำเกลี้ยกล่อมของเชี่ยวเย่ว์เหม่ย พวกเขาเพียงแต่
เชื่อฟังลูกพี่ของตนเองเท่านั้น
“นายหญิงน้อยหลง ชายผู้นี้อหังการอวดดีเกินไป ให้ข้าสอนสั่งแก่
มันสักบทเรียนจะได้หลาบจำ ภายหน้าจะได้ไม่สร้างปัญหาให้แก่
ผู้อื่น!” นายน้อยเยี่ยหัวเราะกล่าว “ท่านเพียงรับชม มันก็แค่ไก่อ่อน
ตัวหนึ่ง คิดเอาชนะน้องชายข้านั้นไม่อาจทำได้แน่!”
ขณะน้องชายของนายน้อยเยี่ยพุ่งทะยานออก หอกในมือเล็งเป้าที่
ลำคอของฉินหยุน การลงมือครั้งนี้เจตนาสังหารอย่างชัดเจน
เขากล้าอวดดีได้เพียงนี้ ทางหนึ่งก็เพราะเป็นที่ชื่นชอบของนายน้อย
เยี่ย และอีกทางหนึ่ง เขาอยู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับต้น ด้วย
สัมผัสถึงออร่าของฉินหยุน เขาพบว่าตนสามารถเอาชนะอีกฝ่ายแม้มี
ระดับการฝึกฝนสูงกว่าได้
ผู้คนล้วนทราบถึงความแข็งแกร่งของน้องชายนายน้อยเยี่ยผู้นี้อย่างดี
พวกเขาล้วนคิด ว่าถึงคราวฉินหยุนจบสิ้นแล้ว!
ยามเมื่อหอกเสียดแทงออกด้านหน้า ฉินหยุนพลันคว้าปลายหอก
เอาไว้ เปลวเพลิงทะลักล้นออกจากฝ่ามือทำการหลอมละลายปลาย
หอกในพริบตา
“ข้าบอกไปแล้ว พวกเจ้าล้วนเป็นสวะ กระนั้นก็ยังไม่เชื่อข้าอย่างนั้น
หรือ? ดูเหมือนข้าคงมีแต่ต้องให้ได้เห็นกับตา!” ฉินหยุนแค่นเสียง
ดังขึ้น หลังคว้าปลายหอกเอาไว้ได้ หมัดเขาต่อยพุ่งตรง หมัดนี้ไม่แม้
สัมผัสกับชายหนุ่ม กลับเป็นพลังปะทุจากหมัดที่เบิกผ่านร่างชาย
หนุ่ม ทำการบดขยี้ป่ นแก่นเต๋าอีกฝ่ายออกเป็นชิ้น
ตึง!
น้องชายนายน้อยเยี่ยร่างกระเด็นปะทะต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะร่วงหล่น
ร่างกองกับพื้นกระอักเลือดออกคำโต
ชายวัยกลางคนเร่งรีบพุ่งเข้าไปตรวจสอบอาการ สีหน้านั้นกลับ
กลายเป็นน่าเกลียด!
“แก่นเต๋าแตกสลาย!”
ยามผู้คนได้รับฟัง เสียงอึกทึกจึงบังเกิด
นี่ไม่ใช่เพราะพวกเขาตื่นตะลึงต่อกำลังของฉินหยุน แต่เป็นเพราะ
พวกเขามองว่าอีกฝ่ายหาญกล้าจนเกินไป ถึงขั้นทำร้ายน้องชายนาย
น้อยเยี่ยจนพิการต่อหน้า!
“เจ้าผู้แซ่มู่หรง เจ้าโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!” นายน้อยเยี่ยคำรามด้วย
โทสะ เดิมเขาคิดอยากร่วมมือกับนายน้อยผู้อื่นสอนสั่งบุตรหลาน
ตระกูลมู่หรง หวังจะได้หยามเหยียดอีกฝ่ายสักฉากหนึ่ง
ทว่าพวกเขาไม่คาดคิด ว่าเรื่องราวใหญ่โตจะบังเกิดขึ้นเช่นนี้
“โหดเหี้ยมหรือ? เป็นมันคิดแทงใส่ลำคอข้า!” ฉินหยุนแค่นเสียง
กล่าว “นายน้อยเยี่ยใช่หรือไม่? เจ้าจึงเป็นคนที่ปฏิเสธไม่มองถึง
ความเป็นจริง ตัวเจ้ามีกำลัง กระนั้นกลับส่งน้องชายขอบเขตวรยุทธ์
วิญญาณระดับต้นมาจัดการข้า เป็นเจ้าที่ส่งมันมาตาย!”
ฉินหยุนกล่าวจนเป็นผลให้นายน้อยเยี่ยตกสถานการณ์ยากลำบาก
หากเขาไม่ทำอะไรเสียเดี๋ยวนี้ ผู้ใต้บัญชาทั้งหลายย่อมสงสัยในกำลัง
ของเขา
“ผู้แซ่มู่หรง จงเร่งรีบคุกเข่าขอขมาต่ออาหยวนหนึ่งร้อยครั้ง! จากนั้น
คิดไสหัวไปที่ใดจงไป มีแต่ทำเช่นนี้พวกเราจึงจะปล่อยเจ้ารอดพ้น!
หากไม่ใช่เพราะไว้หน้าแก่นายหญิงน้อยหลง ชะตาเจ้าคือต้องเป็น
คนตายอยู่ที่นี่!” นายน้อยเยี่ยกล่าวคำเสียงเย็นเยือก
“ลูกพี่เยี่ยของเราครอบครองวิญญาณยุทธ์หมีทองม่วง ในนครจันทรา
โกลาหล เขาคืออาจารย์ยุทธ์ผู้เลิศล้ำแห่งขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ
ระดับกลาง!”
“ผู้แซ่มู่หรง เร่งรีบโขกหัวขอขมาต่ออาหยวน ยอมรับความผิดของ
เจ้า ไม่เช่นนั้น เจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้มีชีวิตรอด!”
“หากไม่ใช่เพราะเมตตาจากนายหญิงน้อยหลงที่ไม่ชื่นชอบการเห็น
ผู้คนตกตาย เจ้าสมควรถูกลูกพี่เยี่ยสังหารไปแล้ว!”
“ยังยืนเฉยทำบ้าอะไร? เร่งรีบม้วนตัวโขกหัวแก่อาหยวนแล้วไสหัว
ไปได้แล้ว!”
บรรดาผู้ใต้บัญชาของนายน้อยเยี่ยต่างตะโกนอย่างเดือดแค้น
กลุ่มของนายน้อยผู้อื่นเพียงแต่รับชมจากด้านข้าง แม้พวกเขาไม่ยินดี
กับคนของตระกูลมู่หรงผู้นี้เท่าใดนัก กระนั้นพวกเขาไม่ใช่โง่ พวก
เขารับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่ล้อเล่นด้วยได้
“กลุ่มสุนัขที่ดีแต่เห่าหอน หากหาญกล้าจงเข้ามาสังหารข้าเสียที่นี่!
กลุ่มชนชั้นสุนัขสวะเช่นพวกเจ้า ก็ดีแต่เห่าหอนผายลมออกมา!” ฉิน
หยุนหัวเราะดัง “กลุ่มสวะเช่นพวกเจ้าไม่อาจทำอื่นใด เพียงแต่ยกตน
ข่มท่านโดยที่ไม่มีดีอะไรให้ยก!”
นายน้อยเยี่ยยิ่งมีโทสะ เขาตะโกนดัง “อย่าได้ว่าร้ายผู้ใต้บัญชาข้า!
ให้ข้าลงมือสังหารเจ้าเสียเดี๋ยวนี้!”
พูดกล่าวจบ ร่างนายน้อยเยี่ยจึงเผยร่างมายาหมีทองม่วงขนาดใหญ่
ขึ้น ราวกับเขาเป็นหมีพิโรธคลุ้มคลั่ง ร่างนั้นพุ่งทะยานมา พื้นดิน
สั่นสะเทือน เสียงคำรามดังจนเป็นผลให้เส้นขนผู้คนชี้ตั้ง
นายน้อยเยี่ยพุ่งทะยานใส่ มือนั้นเปรียบดังอุ้งตีนหมีขนาดใหญ่ยักษ์
คิดเข้าตะปบใส่ฉินหยุน พละกำลังอีกฝ่ายถึงขนาดทำพื้นดินจมลึก
หลายเมตรเกิดเป็นหลุมมากมาย
“ด้วยกำลังอันน้อยนิดของเจ้า ยังกล้ากล่าวว่าจะสังหารข้าอีกหรือ?”
ฉินหยุนมองฝ่ามือที่เข้ามาอย่างเชื่องช้า เขาเพียงผลักฝ่ามือออก พลัง
สั่นไหวภายในหมัดส่งผลให้แขนที่พุ่งเข้ามาใกล้ต้องระเบิดจนเลือด
ทะลัก
ต้องทราบว่าฉินหยุนตอนนี้คือขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูง
ทว่าที่ผู้คนหมิ่นประมาทต่อเขา ก็เพราะเขาจงใจเผยออร่าออกมา
เพียงแค่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับกลาง
ที่นี่หาได้มีขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูงไม่ ดังนั้นฉินหยุนถือว่า
ไร้เทียมทานที่นี่!
แขนนายน้อยเยี่ยระเบิดออกเป็นหมอกโลหิตกลุ่มก้อนหนึ่งกระจาย
ทั่วทิศ หยาดเลือดที่สาดกระเซ็นออกเป็นผลให้บรรดาน้องชายผู้ใต้
บัญชาต้องสั่นกลัวสันหลังเย็นเยือก
ลูกพี่เยี่ยซึ่งพวกเขานับถือบูชา แท้จริงอ่อนแอถึงเพียงนี้ แขนข้างหนึ่ง
ถึงกับสิ้นสภาพได้ในพริบตา!
นายน้อยเยี่ยผู้นี้เดิมคิดอยากสำแดงกำลัง แต่แล้วเมื่อรับรู้ถึงออร่าทรง
อำนาจตอบโต้สวนกลับคืน เขากลับกลายเป็นหวาดกลัวจนขาสั่น
“นายน้อยเยี่ย ไม่ใช่ท่านแข็งแกร่งนักหรอกหรือ?” ฉินหยุนแค่น
เสียงเย้ยหยัน
“ข้า… ข้า… ท่านลุงมู่หรงโปรดละเว้นข้า!” นายน้อยเยี่ยคุกเข่ากับ
พื้นโขกคำนับอีกฝ่าย
ผู้คนต่างตื่นตะลึง นายน้อยเหล่านี้ปกติทำตัวอหังการอวดดี กระนั้น
เวลานี้กลับคุกเข่าขอเมตตาจากอีกฝ่าย!
“ข้า ด้วยเพราะเป็นคนมีคุณธรรม ย่อมไม่เอาความกับคนหลงผิด
ดังนั้นครั้งนี้ข้าจะยอมเห็นแก่หน้านายหญิงน้อยหลงปล่อยเจ้าไป!”
ฉินหยุนหัวเราะเสียงดังก่อนจะเดินไปทางเชี่ยวเย่ว์เหม่ย
ทันใดนี้ นายน้อยเยี่ยผู้มีโทสะเปี่ยมล้น ฉับพลันนำกระบอกออกมา
บ้องหนึ่งพ่นเข็มพิษออก ทันทีเมื่อเข็มสีดำปรากฏ ผู้คนต่างรับรู้ว่า
ฉินหยุนย่อมต้องตายแน่นอนแล้ว
เพราะฉินหยุนกำลังหันหลังให้แก่นายน้อยเยี่ย!
“ระวัง!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว ร่างงดงามของนางเผยแสงวูบปรากฏ
ตัวด้านหลังฉินหยุน นางสะบัดแขนเสื้อส่งเข็มพิษเหล่านั้นลอย
กลับไปปักเข้าที่ลำคอของนายน้อยเยี่ย
นายน้อยเยี่ยเมื่อต้องถูกพิษ ผิวหนังจึงเริ่มเน่าเปื่อยจนทำให้ผู้พบเห็น
หวาดกลัว
ผู้คนล้วนกายแข็งทื่อ พวกเขาไม่คาดคิด ว่าสตรีผู้งดงามตรงหน้า จะ
ถึงขั้นครอบครองเคล็ดวิชาเคลื่อนไหวอันเลิศล้ำ นางถึงขั้นสามารถ
ปัดป้องอาวุธลับได้อย่างง่ายดาย
นายน้อยเยี่ยตายตก ผู้คนต่างหวาดกลัวกันถ้วนหน้า!
โดยเฉพาะกับบรรดานายน้อยผู้อื่น ก่อนหน้าพวกเขาเพิ่งสนทนากัน
อย่างสนุกสนานร่วมกับสตรีในตำหนักจารึกเทวะ พวกเขาย่อมไม่
คาดคิด ว่าสตรีผู้มากมารยาทงดงามตรงหน้าจะแข็งแกร่งได้เพียงนี้
นายน้อยจีขมวดคิ้วกล่าว “นายหญิงน้อยหลง ท่านสังหารนายน้อย
เยี่ย ตระกูลเยี่ยย่อมไม่ปล่อยท่านไป! หากตบแต่งกับข้า เช่นนั้นจึง
ค่อยอยู่รอดปลอดภัยได้!”
ฉินหยุนพลันหัวเราะ “นายน้อยจี เจ้าคล้ายให้ค่าตนเองไว้สูงล้ำยิ่งนัก
เจ้าหรือจะคู่ควรกับนายหญิงน้อยหลง? นายหญิงน้อยหลงคืออาจารย์
จารึกลึกล้ำ เป็นอัจฉริยะแห่งตระกูลหลง กระทั่งว่านางสังหารพวกเจ้า
ประหนึ่งมดปลวก ผู้อาวุโสเบื้องหลังพวกเจ้าก็ไม่คิดกล้าทำอันตราย
ใดแก่นาง!”
นายน้อยจีแค่นเสียงตอบกลับ “นายหญิงน้อยหลงอย่าได้ฟังคำของ
มัน! หากบรรดาผู้อาวุโสตระกูลเยี่ยทราบเรื่อง พวกเขาเหล่านั้นย่อม
คิดจับตัวท่าน! ขอท่านกลับไปยังตระกูลจีร่วมกับข้า ตราบเท่าที่ตบ
แต่งกับข้า ตระกูลเยี่ยย่อมไม่กล้าทำอันตรายท่าน!”
“นายหญิงน้อยหลง เป็นเพียงท่านพลาดพลั้งสังหารนายน้อยเยี่ยไป!
เพียงติดตามข้าไปหลบซ่อนที่ตระกูลเจียงก็พอแล้ว!” นายน้อยเจียง
ก้าวเดินเข้ามา ทั้งยังคว้ามือเชี่ยวเย่ว์เหม่ย กระนั้นเชี่ยวเย่ว์เหม่ยกลับ
หลบลี้
“เหอะ! ไม่นึกว่าจะดื้อรั้นเพียงนี้! เอาเถอะ อย่างไรวันนี้เจ้าก็หนีไม่
รอดพ้น! ทุกคนล้อมสองคนนี้เอาไว้!” นายน้อยเจียงเผยรอยยิ้มชั่ว
ร้าย “ นายหญิงน้อยหลง ในเมื่อเจ้าได้รับสิ่งของล้ำค่าจากพวกเราไป
มาก เช่นนั้นจงมาหลับนอนกับพวกเราสักหลายคืน นี่เป็นคำสั่ง หา
ได้ใช่คำบอกกล่าว!”
บรรดาผู้ใต้บัญชานายน้อยทั้งหลายต่างตั้งวงล้อม พวกเขาเหล่านี้เผย
ความคิดดุร้ายโฉดชั่วออกอย่างไม่ปิดบัง
นายน้อยเซียพลันหัวเราะชั่วร้ายขึ้นตอนนี้ “กับข้านั้นหลับนอนที่นี่
ยังได้! ข้าชื่นชอบมีอะไรที่ภายนอกยิ่งนัก!”
ด้วยการกระทำของนายน้อยเหล่านี้พร้อมผู้ใต้บัญชา ฉินหยุนค่อย
ทราบว่าพวกเขาร่วมมือกันก่อเรื่องเช่นนี้บ่อยครั้งเพียงใด! เรื่องนี้ยิ่ง
ทำเขาโกรธแค้นยามได้ยิน เพราะอีกฝ่ายถึงขั้นร่วมมือกันคิดจับเชี่ยว
เย่ว์เหม่ยเอาไว้!
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะเบา “ในเมื่อพวกเจ้าชื่นชอบการหลับนอนมาก
นัก อย่างนั้นข้าจะส่งพวกเจ้าไปหลับนอนชั่วนิรันดร์!”
หลังกล่าวคำจบ ดาบยาวจึงปรากฏในมือขาวงดงามของนาง พร้อม
จ้วงแทงเข้าใส่ศีรษะของนายน้อยเจียง
พร้อมกันนี้ ฉินหยุนได้ปลดปล่อยมีดบินออกมา!
วูบ วูบ วูบ!
มีดบินร่ายรำไปทั่ว พวกมันทิ่มแทงใส่ร่างและศีรษะของกลุ่มคน
พรากเอาชีวิตเหล่านั้นไปอย่างรวดเร็ว
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยย่อมใช้พลังจิตควบคุมดาบยาวเช่นกัน พวกมันแปรเปลี่ยน
เป็นลำแสงอันเย็นเยือก มาพร้อมกับพลังอันแข็งแกร่ง เข้าแทงทะลวง
ใส่ร่างของหลายผู้คน
ฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ยยืนที่ตรงกลาง ใช้วิชาวิญญาณควบคุม ส่ง
อาวุธบินไปมาพรากชีวิตเศษเดนของกลุ่มคนเหล่านี้
นายน้อยจี นายน้อยเจียง และนายน้อยเซีย ทั้งหมดนอนกับพื้นร้อง
โอดครวญอย่างรวดร้าว
“ไม่ใช่พวกเจ้าบอกหรือว่าอยากหลับนอนกับข้า? ทั้งยังเป็นการหลับ
นอนที่ภายนอกเช่นนี้!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยควบคุมดาบของนางพลาง
หัวเราะยินดี “คราวนี้พวกเจ้าค่อยได้นอนหลับไปชั่วนิรันดร์แล้ว!”
นางกล่าวคำจบ ดาบในมือสะบัดออกเข้าบั่นเศียรนายน้อยเหล่านี้จน
กลิ้งกับพื้น!
ฉินหยุนบุ้ยปากกล่าวคำ “พวกมันเหล่านี้ล้วนเป็นสวะกันทั้งสิ้น!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยนำเอาอสรพิษดูดกลืนวิญญาณออกมา นางหัวเราะ
กล่าว “พวกมันก็อวดดีได้เพียงแต่ที่นครจันทราโกลาหล!”
ไม่นานจากนั้น ฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ยจึงเริ่มพูดคุยพลางหัวเราะ
ขณะนำวิญญาณยุทธ์คนเหล่านี้ออกมา
“พี่ชาย ข้ามอบพวกนี้ให้แก่ท่าน ข้าเพียงต้องการแต่ผลไม้!” เชี่ยวเย่ว์
เหม่ยรับผลไม้ลึกล้ำระดับราชันไว้ นางกัดเข้าปากก่อนมันจะหายวับ
ทั้งลูกในพริบตา
อักขระลึกล้ำอัคคีพยัคฆ์ หยกผลึกแก้วเต๋า รวมถึงผลึกแก้วหัวใจลึก
ล้ำ ทั้งหมดล้วนมอบให้แก่ฉินหยุน
ฉินหยุนทราบ ว่าเชี่ยวเย่ว์เหม่ยหาได้ต้องการสิ่งเหล่านี้ไม่ เพราะ
วิญญาณยุทธ์กระจกของนาง ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ระดับการฝึกฝนของ
นางพุ่งทะยานอยู่แล้ว
กวาดล้างที่แห่งนี้เรียบร้อย พวกเขาจึงมุ่งหน้าเข้าสู่ส่วนลึกของ
เทือกเขานิราศจันทรา
ไม่นานหลังเริ่มเดินทาง พวกเขาพลันพบเจอออร่าที่ทรงพลังตามมา
จากทางด้านหลัง เหล่านี้คือยอดยุทธ์ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ!
“พวกมันมาถึงเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?” ฉินหยุนตื่นตะลึงหลังสัมผัส
ถึงออร่าที่ใกล้เข้ามาได้
“นี่ไม่ใช่คนของตระกูลพวกมัน แต่เป็นพวกท่านป้า! นางรับรู้ถึง
ตำแหน่งข้า เพราะเหตุนั้นจึงมุ่งหน้ามาทางนี้!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว
คำเบา “พี่ชาย ท่านคิดอยากพบท่านป้าตอนนี้หรือไม่?”
ฉินหยุนจำได้ ว่าเชี่ยวเสวียนฉิน สื่อชิงเฉิง และสุ่ยเทียนสื่ออยู่ร่วม
ด้วยกัน ทั้งสามมาที่นี่ก็เพราะต้องการหาตัวหยางฉีเย่ว์ กระนั้นเวลา
นี้กลับพบเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเสียก่อน!
“แน่นอนว่าต้องคิดอยากพบเจอนาง พวกเรามีเรื่องต้องคุยกัน ทั้งยัง
ต้องทำความเข้าใจต่อกันเสียใหม่ด้วย!” ฉินหยุนไม่คิดหวั่นเกรงการ
พบหน้า

ตอนที่ 725 เข้าสู่เทือกเขา
สาเหตุว่าทำไมนายน้อยเหล่านี้นำผู้อาวุโสตนเองมาด้วย ก็เพราะผู้
อาวุโสเหล่านี้กังวลว่าพวกเขาจะหน้ามืดส่งของล้ำค่าออกไป เพราะ
เหตุนั้นพวกเขาจึงต้องการมาเห็นด้วยตาตนเอง ว่าอีกฝ่ายเป็นบุตร
หลานตระกูลหลงจริงหรือไม่
ตอนนี้ หลังจากที่ผู้อาวุโสเหล่านั้นมาถึง พวกเขาได้เห็นกับตาว่าเป็น
บุตรหลานตระกูลหลง อีกทั้งนางยังเป็นเด็กสาวที่ครอบครอง
พรสวรรค์อันเหนือล้ำ
หากพวกเขาสามารถสร้างพันธะการตบแต่งกับตระกูลใหญ่ได้ อย่าง
นั้นสถานะของพวกเขาในตระกูลจะมีแต่พุ่งทะยาน
นครจันทราโกลาหลหาได้ใช่สถานที่ดี บรรดาผู้มาที่นี่ แม้เป็นคนของ
ตระกูลใหญ่ ก็เป็นตัวตนธรรมดาภายในตระกูล
ดังนั้นตอนนี้ พวกเขาจึงคิดอยากคว้าเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเอาไว้
บรรดาชายชราต่างเผยยิ้ม ตราบเท่าที่ทำให้นายน้อยของพวกตนไป
ได้ด้วยดีกับนายหญิงน้อยแห่งตระกูลใหญ่ มันก็เปรียบเสมือน “ไข่
แดงที่ถูกเจาะแล้วอย่างไรก็ต้องกินเข้าไป” นั่นถือเป็นความสำเร็จ
ของพวกเขาประการหนึ่ง
เพราะพวกเขาต่างได้เห็น ว่าหลงเซียงเย่ว์บริสุทธ์ิผุดผ่อง ทั้งยังเห็น
ว่านางโอนอ่อนได้ง่าย คิดรับมือไม่น่าใช่เรื่องยาก
ผู้อาวุโสตระกูลจีเผยยิ้มกล่าวคำ “นายหญิงน้อยหลง นี่เป็นของขวัญ
เล็กน้อยจากตระกูลจีของเรา เป็นผลไม้ลึกล้ำระดับราชัน มีทั้งสิ้น
สามผล แต่ละผลล้วนเติบโตมาเป็นเวลากว่าสองหมื่นปี!”
ผลไม้สีแดงทั้งสามปรากฏหมอกสีแดงอ่อนจางปกคลุม เพียงมอง
ครั้งเดียวก็ทราบว่าเป็นของดีเพียงใด
“สิ่งนี้…” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยขมวดคิ้วพลางส่ายศีรษะ “ข้าไม่อาจรับของขวัญ
ได้ไหวแล้ว ขอผู้อาวุโสโปรดเข้าใจ!”
“นายหญิงน้อยหลง ท่านไม่อาจไม่รับ! ของขวัญเหล่านี้ของพวกเรา
ย่อมไม่แย่ไปกว่าอุปกรณ์เต๋า ท่านจะรับของจากเขาทว่าไม่รับของ
พวกเรานั้นไม่ได้!” ผู้อาวุโสตระกูลจีกล่าว
“อย่างนั้นก็ได้! ข้าจะถือว่าเป็นของขวัญจากตระกูลจีสู่ตระกูลหลง
สิ่งนี้ข้าจะส่งต่อให้แก่ผู้อาวุโสของข้า!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพยักหน้าแสร้ง
ทำเป็นฝืนรับเอาไว้
ผลไม้ลึกล้ำระดับราชันเหล่านี้ กล่าวได้ว่าดีอย่างยิ่ง กระนั้นพวกมัน
ก็ยังห่างไกลนักหากคิดเทียบกับอุปกรณ์เต๋าของฉินหยุน ผู้จัดการหลี่
และอาจารย์จารึกลึกล้ำล้วนทราบ กระนั้นพวกเขาไม่กล้าพูดกล่าวคำ
ใด
บรรดาผู้เฒ่าชราเหล่านี้ก็เพียงแค่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ สิ่งของที่พวก
เขาสามารถนำออกมาได้มีอย่างจำกัด
ไม่นานจากนั้น ตระกูลเซียจึงค่อยมอบหยกผลึกแก้วเต๋าน้ำหนักถึง
ห้าเหลี่ยงให้!
*หนึ่งเหลี่ยง มีค่าเท่ากับ หนึ่งในสิบจิน หรือห้าสิบกรัม*
แม้น้ำหนักเพียงห้าเหลี่ยง ทว่ามันก็ทำให้บรรดาผู้เฒ่าชราหลายคน
ที่นี้ต้องสะท้าน
“ผลไม้ที่ตระกูลจีมอบให้ย่อมไม่อาจทัดเทียมหยกผลึกแก้วเต๋าจาก
ตระกูลเซียของเรา! นายหญิงน้อยหลง ท่านเองก็อยู่ขอบเขตวรยุทธ์
วิญญาณ หากคิดเข้าถึงระดับสูงสุด เช่นนั้นท่านก็จำเป็นต้องฝึกฝน
ผลึกแก้วเต๋าวิญญาณลึกล้ำ และหยกผลึกแก้วเต๋าชิ้นเล็กนี้ มันจะเป็น
สิ่งที่ทำให้ท่านฝึกฝนสู่จุดสูงสุดได้ภายในเวลาไม่กี่ปี” ผู้อาวุโส
ตระกูลเซียหัวเราะกล่าว
ผู้อาวุโสตระกูลจีเผยสีหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียด เพราะพวกเขามีหยก
ผลึกแก้วเต๋าน้อยนิด โดยเฉพาะกับผู้ที่อยู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ
ระดับสูง มันถือเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างถึงที่สุด
ผู้อาวุโสตระกูลเจียงนำเอาชิ้นผลึกแก้วออกมาพร้อมกล่าว “นายหญิง
น้อยหลง นี่คือผลึกแก้วหัวใจลึกล้ำ มันถือเป็นสิ่งดีเยี่ยมที่จะช่วยฝึกฝน
ผลึกแก้วเต๋าวิญญาณลึกล้ำ!”
ผู้จัดการหลี่เผยความตื่นตะลึง “ตราบเท่าที่มีผลึกแก้วหัวใจลึกล้ำ
เมื่อนั้นคิดฝึกฝนผลึกแก้วเต๋าวิญญาณลึกล้ำถือเป็นเรื่องง่ายดาย!
นอกจากนี้แล้ว มันจะยังไม่หายไปหลังใช้งาน แต่จะยังใช้งานต่อไป
ได้อีกเป็นระยะเวลาไม่น้อย!”
ของขวัญชิ้นสุดท้ายจากกลุ่มคนย่อมต้องดีที่สุด!
แม้ว่าพวกเขามาเพื่อดูแลสถานการณ์ที่นี่ แต่อย่างไรพวกเขาก็เป็น
คนของตระกูลใหญ่ ในมือย่อมมีสิ่งของให้หยิบจับใช้สอย
เชี่ยวเย่ว์เหม่ย เพื่อปัดข้อครหา นางจึงรับของขวัญเหล่านั้นทั้งหมด
พร้อมเผยความซาบซึ้งอออกมา
ฉินหยุนรับชมจากด้านข้าง ภายในเกิดความยินดี เขาคิดอยากทราบ
ว่าก่อนหน้านี้เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกับหงเมิ่งจูร่วมกับลวงหลอกผู้คนได้
อะไรมาบ้าง
สุดท้ายแล้ว ผู้อาวุโสตระกูลเยี่ยจึงเคลื่อนไหว ชัดเจนว่าเขารอคอย
เวลานี้เพื่อตระเตรียมมอบของดี ใบหน้าขณะนี้เผยรอยยิ้มมาดมั่น
หลังจากคลี่กางผืนหนังสัตว์ เขาจึงกล่าว “นายหญิงน้อยหลง ท่านเป็น
อาจารย์จารึกลึกล้ำที่มีพรสวรรค์หาตัวจับได้ยาก ให้ข้ามอบอักขระ
ลึกล้ำระดับราชันแก่ท่าน ข้าหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์แก่ท่านได้!”
ผู้จัดการหลี่ถึงขั้นอุทานร้องตื่นตระหนก “หรือนั่นจะเป็นอักขระลึกล้ำ
โบราณที่ยากเข้าใจซึ่งเจ้าเพิ่งได้รับมา เป็นอักขระลึกล้ำพยัคฆ์อัคคี?
ตามรายงานที่ได้รับมา มันถูกดัดแปลงมาจากโทเทมพยัคฆ์ พลังผ่าน
การขัดเกลาสู่ยันต์ลึกล้ำ มันจะปลดปล่อยอัคคีพยัคฆ์ร้อนแรงออกมา
ได้!”
ผู้อาวุโสและนายน้อยแห่งตระกูลเยี่ยต่างเผยรอยยิ้มภาคภูมิกันออกมา
เรื่องนี้ทำเอาทั้งสามตระกูลก่อนหน้าต้องกัดฟันแน่นอย่างโกรธแค้น
พวกเขายอมรับ ว่าอักขระลึกล้ำระดับราชันที่ตระกูลเยี่ยส่งมอบให้
ดีกว่าของขวัญซึ่งพวกเขามอบให้อย่างเห็นได้ชัด
ที่สำคัญยิ่งกว่า ตระกูลเยี่ยยังไม่สูญเสียใด เพราะพวกเขาย่อมมีอักขระ
ลึกล้ำพยัคฆ์อัคคีฉบับคัดลอกไว้อยู่แล้ว ไม่เพียงแต่ไม่สูญเสียใด ทว่า
ยังได้เป็นการส่งมอบของขวัญอันล้ำค่า
แน่นอนว่า ของขวัญซึ่งพวกเขาทั้งหมดมอบให้แก่เชี่ยวเย่ว์เหม่ย
มองไปแล้วก็ยังด้อยกว่าอุปกรณ์เต๋าที่ฉินหยุนมอบให้ระดับหนึ่ง
“ขอบคุณพวกท่านต่อของขวัญเหล่านี้แล้ว ข้าย่อมส่งพวกมันให้แก่ผู้
อาวุโสข้า และจะแจ้งต่อพวกเขาให้ทราบอย่างชัดแจ้ง!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ย
กล่าว
“นายหญิงน้อยหลงเดินทางมาไกลสมควรเหนื่อยล้าแล้ว อย่างนั้น
พวกเราไม่ขอรบกวนเวลาพักของท่านอีก!” ผู้อาวุโสตระกูลเยี่ยเผย
ยิ้มกล่าวคำ
ทันใดนี้ อย่างกะทันหัน มันกลับเกิดแรงสั่นสะเทือนจนรู้สึกได้!
ผู้จัดการหลี่ขมวดคิ้วกล่าว “บางทีอาจเป็นการต่อสู้ที่รุนแรงในเทือกเขา
นิราศจันทรา! มันกระทั่งส่งผลกระทบมาถึงที่นี่!”
พร้อมกันนี้ ประตูห้องจึงถูกเคาะดังขึ้น
ผู้จัดการหลี่เดินไปเปิดประตู อีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคนที่เผยสีหน้า
ร้อนรน
ชายวัยกลางคนกล่าว “ผู้จัดการอาวุโส เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ! ที่
ส่วนลึกของเทือกเขานิราศจันทรา มันมีดวงดาวขนาดใหญ่ตกลงมา!
ข่าวคราวจากแนวหน้า กล่าวว่าเป็นดวงดาวอสูร มีสัตว์อสูรดวงดาว
ที่แข็งแกร่งจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นในเทือกเขานิราศจันทรา!”
ผู้อาวุโสตระกูลเยี่ยเร่งรีบกล่าว “ถือเป็นเรื่องดี สัตว์อสูรดวงดาว แก่น
ดวงดาวของพวกมันถือเป็นประโยชน์แก่พวกเรายิ่ง! พวกเราควรเร่ง
รีบจัดตั้งกลุ่มบุกเข้าไป หากไปถึงก่อน พวกเราก็จะได้สังหารสัตว์
อสูรดวงดาวได้มากกว่า!”
นายน้อยเยี่ยหันไปยิ้มให้แก่เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพลางถาม “นายหญิงน้อย
หลง ท่านคิดร่วมทางกับพวกเราหรือไม่? แน่นอนว่าข้าก็เชิญนายน้อย
มู่หรงด้วย!”
“ท่านอาจารย์ข้ากล่าวไว้ ว่าแกนกลางดวงดาวของสัตว์อสูรดวงดาว
เหล่านั้น ถือเป็นวัสดุจากร่างของสัตว์ดวงดาว ทั้งยังมีประโยชน์ยิ่ง
เพื่อใช้ในการหลอมสร้าง! ให้ข้าร่วมทางไปรับชมด้วยแล้ว!” เชี่ยว
เย่ว์เหม่ยกล่าว นางตอนนี้ลวงหลอกได้เพียงพอแล้ว ขณะนี้คิดอยาก
เข้าไปรับชมเรื่องราว
“สัตว์อสูรดวงดาวกล่าวได้ว่าเป็นสมบัติ หากจับเป็นพวกมันได้ พวก
มันจะสามารถนำขายเป็นเหรียญผลึกม่วงได้มหาศาล!” ฉินหยุนกล่าว
“ข้าย่อมคิดอยากร่วมทางไปรับชมด้วยแล้ว!”
“ได้ อย่างนั้นก็ไปรับชมด้วยกัน!” ผู้อาวุโสตระกูลเจียงหัวเราะรับ
พวกเขาเหล่านี้บอกกล่าวให้เชี่ยวเย่ว์เหม่ยได้พักผ่อนก่อน กระนั้น
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าวว่าไม่จำเป็น ดังนั้นจึงร่วมเดินทางด้วยกันเสีย
ตอนนี้
ฉินหยุนยังทราบ ว่ามิตรสหายเหล่านี้เจตนาให้เขาร่วมทางไปด้วย
เขาคิดอยากได้เห็น ว่าผู้คนเหล่านี้มีแผนการร้ายอันใด
เมื่อออกพ้นจากตำหนักจารึกเทวะ พวกเขาค่อยเห็นขั้วอำนาจใหญ่
แห่งนครจันทราโกลาหลทั้งหลาย ต่างบินกันว่อนท้องฟ้าร่วมกับ
ผู้เยาว์ มุ่งหน้าไปยังเทือกเขานิราศจันทรา
ฉินหยุนย่อมคุ้นเคยกับการที่ดวงดาวร่วงหล่น ย้อนกลับไปครั้งเกาะ
ยุทธ์อสูร ก็มีดวงดาวร่วงหล่นลงมา
เขาพลันเกิดความสงสัยขึ้น ว่าหยางฉีเย่ว์อาจเป็นผู้ทำให้ดวงดาวร่วง
หล่นลงมา
ฉินหยุนบินขึ้นบนฟ้า ติดตามกลุ่มคนมุ่งหน้าสู่เทือกเขานิราศจันทรา
“เย่ว์เหม่ย เอาอย่างไรต่อ?” ฉินหยุนถามผ่านเสียงสื่อสาร
“รอจนกระทั่งพวกเราเข้าสู่ด้านใน จากนั้นพวกเราจะหาโอกาสแยกตัว
ออกมา ถึงตอนนั้นพวกเราจะร่วมมือกันสังหารสัตว์อสูรดวงดาว!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว “ผู้คนเหล่านี้หาได้มีสิ่งของดีอันใดไม่ ดังนั้นไม่
มีพวกมันร่วมทางก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ!”
ฉินหยุนคิดเห็นเช่นเดียวกัน มีแต่ราชันยุทธ์อยู่ร่วมจึงค่อยทำให้พวก
เขาวางใจได้
เทือกเขานิราศจันทรา จากภายนอกเสมือนเกิดขึ้นจากภูเขาธรรมดา
แต่ละลูกล้วนเป็นภูเขาสูงกว่าหนึ่งหรือสองหมื่นจ้าง พื้นที่โดยรอบ
ต่างปกคลุมด้วยแนวภูเขาน้อยใหญ่
*หนึ่งจ้าง มีค่าเท่ากับ สามเมตรสามสิบเซนติเมตร*
ภูเขาสูงทั้งหลายที่นี้มีแต่หิมะสะสมหนาแน่นบนยอดเขา แต่ด้วย
เพราะบางเหตุผล พวกมันเริ่มละลายลงมา เพราะมันเกิดเป็นสายน้ำ
มวลใหญ่ไหลลงประหนึ่งน้ำตกอันวิจิตรงดงาม ทั้งยังเป็นผลให้เกิด
สายลมแรงจากการเคลื่อนตัวของอากาศ
เทือกเขานิราศจันทรางดงามอย่างยิ่ง มันประกอบด้วยแม่น้ำและช่อง
เขา
กระนั้น มันก็ยังประกอบด้วยอันตรายซ่อนเร้นภายในเทือกเขา
ฉินหยุนและคณะออกเดินทางจากนครจันทราโกลาหล มุ่งหน้าสู่
เทือกเขานิราศจันทรา
“ผู้น้อยเช่นพวกเจ้า อยู่ตรงพื้นที่รอบนอก ภายในอันตรายเกินไป
อย่าได้เข้าไปแล้ว! หากพบว่าน่าเบื่อ เช่นนั้นจงกลับไป!” ผู้อาวุโส
ตระกูลเยี่ยกล่าว
บรรดานายน้อยต่างเข้าใจ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าเวลานี้มีสัตว์อสูร
ดวงดาวปรากฏตัวจำนวนมาก แม้เป็นก่อนหน้า พวกเขาก็หาได้กล้า
เข้าสู่พื้นที่ส่วนในอย่างบุ่มบ่าม เพราะที่นั่นมีแต่อันตรายรอบด้าน
เพราะเหตุนี้หลายคนจึงเกิดเป็นความนับถือต่อหยางฉีเย่ว์ นางเพียง
แค่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ กระนั้นกลับกล้าเข้ามายังที่นี่ กระทั่งถูก
ราชันยุทธ์และจักรพรรดิยุทธ์ไล่ล่า ทั้งยังผ่านไปเป็นเวลานาน นางก็
ยังไม่ถูกจับตัว
ฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ย ต่างอยู่กับนายน้อยทั้งสี่คนบริเวณพื้นที่
รอบนอก
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยภายในไม่ยินดี นางเชื่อว่าตัวนางมีความสามารถพอให้
ติดตามยอดยุทธ์เหล่านั้นเข้าสู่ส่วนลึก กระนั้นกลับต้องถูกทิ้งไว้
ด้านหลังเช่นนี้
ชั่วขณะนี้ นายน้อยตระกูลเยี่ยพลันนำเอาท่อกลมยาวออกมา ก่อนจะ
ยิงบอลแสงขึ้นฟ้า มันระเบิดกลางอากาศเกิดเป็นเสียงดังสนั่นพร้อม
ประกายแสงเจิดจ้า
นายน้อยตระกูลจี ตระกูลเซีย และตระกูลเจียงล้วนทำเช่นเดียวกัน
“นายหญิงน้อยหลง พวกเราจะเรียกรวมพรรคพวก! พวกเขาย่อมต้อง
คิดอยากเข้าสู่ภายในเทือกเขาเช่นกัน พวกเราจะรวมตัวพวกเขาทั้งหมด
มาที่นี่!” นายน้อยตระกูลเยี่ยกล่าวอธิบายเมื่อได้เห็นสายตาสงสัยของ
เชี่ยวเย่ว์เหม่ย
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยมีผ้าคลุมหน้าบดบัง เผยออกเพียงครึ่งหน้า กระนั้นก็ยัง
เห็นได้ชัด ว่าตัวนางมีความงดงามมากล้ำเพียงใด
“นายน้อยมู่หรง เจ้าไม่เรียกรวมมิตรสหายบ้างหรือไร?” นายน้อย
ตระกูลจีได้เห็นฉินหยุนยืนนิ่ง เขาแค่นเสียงกล่าวเย้ยหยันออกมา
“หรือเจ้าเพียงลำพังไม่มีมิตรสหาย?”
“ข้าหรือลำพัง? ข้าย่อมมีนายหญิงน้อยหลงร่วมทางไปกับข้า!” ฉิน
หยุนยิ้มกล่าว
“นายน้อยมู่หรง นี่เจ้าเป็นบุตรแห่งตระกูลชนชั้นสูงจริงหรือ? เจ้าถึง
ขั้นไม่มีผู้ใต้บัญชาเช่นนี้!” นายน้อยเยี่ยแค่นเสียงกล่าว “เจ้าลงมือ
เพียงลำพัง หากตกอยู่ในอันตราย ก็อย่าหวังว่าพวกเราจะว่างหยิบยื่น
มือช่วยเหลือ!”
ฉินหยุนแค่นเสียงรับก่อนจะเลิกสนใจนายน้อยเหล่านี้
“นายหญิงน้อยหลง พวกเขาใกล้มาถึงแล้ว ถึงตอนนั้น พวกเราจะ
สามารถเข้าสู่ส่วนลึกได้อย่างปลอดภัย! พื้นที่รอบนอกเหล่านี้หาได้
มีอันใดให้หยิบฉวยไม่!” นายน้อยเยี่ยยิ้มกล่าว
“อย่างนี้ไม่โดนผู้อาวุโสลงโทษหรือ?” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยแสร้งถามอย่าง
นึกเป็นห่วง
“อย่าได้กังวลไป! เรื่องนั้นย่อมไม่เป็นไร! พวกเราก็แค่เข้าไปอีกสัก
เล็กน้อย!” นายน้อยเยี่ยหัวเราะดัง “ข้าเข้าไปด้านในค่อนข้างบ่อย
และก็ไม่เคยมีเรื่องร้ายใดเกิดขึ้น!”
ไม่นานจากนั้น กลุ่มคนมาถึง พวกเขาได้เห็นนายน้อยทั้งหลาย
เหล่านี้ ต่างเรียกคำ ‘ลูกพี่’ กันออกมา
นายน้อยเหล่านี้จัดตั้งกลุ่มคนของตนเอง และตั้งตนเป็นลูกพี่
ยามเมื่อถูกเรียกหาเป็นลูกพี่จากกลุ่มน้องชายทั้งหลาย มันยิ่งทำให้
นายน้อยเหล่านี้ยืดอกภาคภูมิ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าเชี่ยวเย่ว์เหม่ย
ถัดจากนั้น กลุ่มคนจึงเริ่มตระหนักได้ว่ามีสตรีจากตระกูลหลง ทั้งนี้
นางยังเป็นถึงอาจารย์จารึกลึกล้ำ พวกเขาเคยได้ยินมาก่อน ทว่าเพิ่ง
ได้พบนางกันตอนนี้
“เจ้าคือผู้มาจากตระกูลมู่หรง? ไสหัวไปได้แล้ว!” หนึ่งในผู้ใต้บัญชา
ของนายน้อยแห่งตระกูลเยี่ย ถึงขั้นชี้หน้าขับไล่ฉินหยุนอย่างโจ่งแจ้ง

ตอนที่ 724 แมวมังกร
“เย่ว์เหม่ย ยันต์ลึกล้ำอันใดที่เจ้าต้องการให้ข้าทำ?” ฉินหยุนถามขึ้น
“ตามแต่ท่าน ทว่าอย่าได้ดีหรือแย่เกินไป ดีที่สุดคือเอาไว้ใช้เพื่อแสดง
ระดับการจารึก!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว “ยันต์ลึกล้ำระดับต้นอะไรทำนอง
นั้นก็ได้!”
ฉินหยุนคิดอยู่ครู่ ก่อนจะตัดสินใจว่าควรสร้างยันต์ลึกล้ำใดให้ดี
เขานำเอากระดาษยันต์ชั้นดีที่สร้างไว้เมื่อนานมาแล้วออกมา
กระดาษยันต์ลึกล้ำเหล่านี้สร้างขึ้นจากหนังสัตว์ที่มีคุณภาพสูง เป็น
เหลียวจิงเหมิงกับเจี้ยนหลิงหลงช่วยกันสร้างขึ้น ล่าสุดตอนฉินหยุน
ไปพบทั้งสอง เขาขอแบ่งมาส่วนหนึ่ง
ฉินหยุนเลือกสร้างยันต์อัคคีคลั่งที่ดูดีขึ้นมาแผ่นหนึ่ง
ด้วยครอบครองจารึกวิญญาณอัคคีคลั่ง ระดับความวิจิตรของธาตุไฟ
นี้จึงสูงล้ำ กระบวนการเป็นไปอย่างรวดเร็ว ยันต์อัคคีที่เขาขัดเกลา
ตอนนี้ ทั้งหมดล้วนใช้อักขระลึกล้ำอัคคี
ฉินหยุนใช้ปากกาลึกล้ำสะท้อนจิต ทำการแกะสลักอักขระลึกล้ำอัคคี
อย่างรวดเร็ว อักขระที่เขาแกะสลัก คุณภาพย่อมไม่แย่ ทว่าเขาก็ไม่
คิดทำให้จนถึงระดับสูงสุด เพราะนี่ก็เพียงไว้ใช้เพื่อหลอกลวงผู้คน
ฉินหยุนได้รับอักขระลึกล้ำจำนวนหนึ่งจากไข่มุกเม็ดที่สองของ
วิญญาณเทวะเก้าตะวัน ทั้งเขายังได้รับอักขระลึกล้ำมาจากอีกหลาย
แหล่ง อย่างเช่นที่โมโมถอดออกมาจากอุปกรณ์ลึกล้ำ และส่วนที่มู่
เฟิงกับฉู่ปินอวี้มอบให้มา
ก่อนหน้า เจี้ยนหลิงหลงก็มอบอักขระลึกล้ำให้แก่เขาไม่ใช่น้อย
เช่นกัน
“พี่ชาย ระดับการจารึกของท่านอยู่ที่เท่าใดแล้ว?” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยมอง
ฉินหยุนด้วยดวงตาเบิกกว้าง นางเอ่ยถามเสียงเบา
“ข้าเองก็ไม่มั่นใจเท่าใดนัก โดยสรุปก็คือยังไปไม่ถึงอาจารย์จารึกเต๋า!
บางทีอาจดีกว่าอาจารย์จารึกลึกล้ำระดับกลางสักหน่อยกระมัง!” ฉิน
หยุนยิ้มตอบ
“พี่ชาย ชาติภพก่อนท่านเองก็เป็นอาจารย์จารึก และท่านยังทราบ
กระทั่งวิธีการสร้างอุปกรณ์เซียน! หากท่านฟื้นคืนความทรงจำชาติ
ภพก่อน นั่นจะยิ่งช่วยเสริมเรื่องนี้เป็นเท่าทวี!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยยืน
ด้านหลังฉินหยุน นางม้วนเส้นผมของเขาเล่นพลางพูดไปเรื่อย
“หากความทรงจำชาติภพก่อนของข้าฟื้นกลับคืน พี่สาวปิงชิงได้เอา
ข้าตายแน่!” ฉินหยุนห่วงเรื่องนี้เป็นที่สุด แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่ทราบ
เช่นกัน ว่าจะฟื้นคืนความทรงจำในชาติภพก่อนขึ้นมาได้อย่างไร
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพยักหน้ารับ “พี่ชาย ดีที่สุดคือท่านไม่ฟื้นคืนความทรง
จำในช่วงเวลานี้! พวกเราฟื้นคืนความทรงจำได้ก่อนก็ใช่ ทว่ายิ่งเวลา
ผ่านไป พวกเราจะต้องสะกดจิตวิญญาณเอาไว้ให้มากขึ้น นี่จึงกลาย
เป็นเรื่องไม่ค่อยสะดวกเท่าใดนัก”
สาเหตุว่าทำไมเชี่ยวเย่ว์หลานและชี่เม่ยเหลียนเร่งรีบจากไป ก็เพราะ
ทั้งสองต้องรีบไปสะกดพลังส่วนนี้เอาไว้
“เย่ว์เหม่ย เจ้าต้องการยันต์กี่แผ่น?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ยิ่งมากยิ่งดี ข้าย่อมอยากเก็บไว้ใช้เองด้วย!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว
“เย่ว์เหม่ย หากพวกมันขอให้เจ้าสร้างที่ตรงนั้น เจ้าจะทำอย่างไร?”
ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ข้าย่อมไม่คิดทำตามคำกล่าวพวกมัน หากไม่มีทางเลี่ยง ท่านก็แค่
ออกหน้าแทนข้า!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะคิกคัก
ฉินหยุนพบเห็นลางสังหรณ์ไม่ดีเท่าใดนัก เขาขมวดคิ้วกล่าว “ข้าคือ
บุรุษ คิดให้ข้าปลอมตัวเป็นเจ้าก็ได้หรือ?”
“หากจำเป็น ย่อมทำได้ไม่มีปัญหา!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยยิ้มหวานตอบกลับ
ฉินหยุนเบะปากก่อนจะแกะสลักอักขระต่อเนื่อง
ผ่านไปสามชั่วยาม คนผู้หนึ่งมาเคาะประตู
“พวกมันมาแล้ว!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าวคำเบา
ฉินหยุนเร่งรีบเก็บอุปกรณ์
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยได้รับยันต์ลึกล้ำอัคคีทั้งสิ้นเกือบสามสิบแผ่น ขณะนี้
นางเดินไปเปิดประตู
ฉินหยุนลอบนับถือต่อเชี่ยวเย่ว์เหม่ย เพราะนายน้อยเหล่านั้น นำเอา
ผู้อาวุโสตนเองร่วมทางมาด้วยจริง เหล่านั้นคือขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ
นอกจากพวกเขาแล้ว ผู้จัดการหลี่และอาจารย์จารึกลึกล้ำเฒ่าชราอีก
หลายคนต่างร่วมทางมา
ฉินหยุนเร่งรีบลุกยืนขึ้น
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยแสร้งเผยมารยาท กล่าวทักทายผู้คนเหล่านี้ เชื้อเชิญให้
พวกเขานั่งลง เป็นผลให้ผู้อาวุโสเหล่านี้ต่างหัวเราะรับ ราวกับพวก
เขาคิดกันไปแล้ว ว่าเชี่ยวเย่ว์เหม่ยตัดสินใจตบแต่งเข้าร่วมตระกูล
ของตน
“เสี่ยวหยุน กลุ่มคนเหล่านี้ละโมบยิ่งนัก พวกมันมาด้วยใจที่มีความ
ละโมบเปี่ยมล้น พวกมันคิดจะหยิบจับนายหญิงน้อยจากตระกูลใหญ่
ที่เลิศล้ำนี้สร้างพันธะเอาไว้ ดังนั้นผู้อาวุโสของตระกูลชั้นสวะพวก
นี้จึงออกหน้าเคลื่อนไหว” หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะเบา “เย่ว์เหม่ยใช้
ความโลภของพวกมัน พร้อมความใสซื่อหลอกหน้าโง่พวกนี้ได้อยู่
หมัดยิ่งนัก!”
ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างมองฉินหยุนอย่างนึกรังเกียจ
“ตระกูลมู่หรง? ช่างเป็นตระกูลไร้นามนัก! กล้าดีอย่างไรมายืนอหังการ
อวดดีต่อหน้าพวกเรา!” ชายชราจากตระกูลจีแค่นเสียงดังขึ้น
“ตระกูลมู่หรงของข้าไร้นามแล้วอย่างไร? ข้าต่างหากจึงทำตัวเป็นผู้
ที่มีอารยะ ไม่เหมือนดังเช่นพวกเจ้าที่ไม่แม้นำของขวัญชั้นดีติดไม้
ติดมือมา!” ฉินหยุนกล่าวเย้ยหยัน “ผู้เยาว์พวกเจ้าเหล่านั้นต่างหากที่
ดูหมิ่นข้า กระนั้นพอข้าจะมอบหนึ่งพันล้านเหรียญม่วงเพื่อให้นาย
หญิงน้อยได้ซื้อหาเสื้อผ้า พวกมันทำอะไรได้?”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยแอบอ้างตนเป็นหลงเซียงเย่ว์ นางดูอ่อนหวานและมาก
มารยาท ทั้งยังเผยความใสซื่อออกมา เป็นนางแสร้งเกรงว่าจะเกิด
ปัญหาขึ้น จึงแสร้งเข้ามาไกล่เกลี่ย เรื่องนี้ยิ่งทำผู้อาวุโสเหล่านั้นยินดี
“เด็กน้อยตระกูลมู่หรง เจ้ากล่าวว่าได้มอบโสมโลหิตอายุห้าหมื่นปี
แก่นายหญิงน้อยอย่างนั้นหรือ? นั่นเป็นความจริง? เท่าที่ข้าทราบ
ตระกูลมู่หรงของเจ้าย่อมไม่มีทางครอบครองสมบัติเช่นนั้น!” ผู้
อาวุโสตระกูลเยี่ยเอ่ยถามดังขึ้น
บรรดาผู้อาวุโสอื่นต่างมองทางเชี่ยวเย่ว์เหม่ย ชายชราตระกูลเยี่ยเอ่ย
ถามขึ้น “นายหญิงน้อยหลง ท่านนำโสมโลหิตนั้นออกมาได้หรือไม่?
พวกเราจะได้ช่วยตรวจสอบมัน!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าวออกอย่างนึกลำบากใจ “ผู้อาวุโส ข้าใช้โสม
โลหิตนั้นป้อนแก่สัตว์เลี้ยงข้าไปแล้ว!”
กล่าวถึงตรงนี้ นางปล่อยสัตว์ตัวน้อยออกมา เป็นแมวสีขาว กระนั้น
ทั้งร่างกลับเผยออร่ามังกรทองคำอ่อนจาง
“นี่… แมวมังกร!” ผู้อาวุโสตระกูลเซียโพล่งตะโกนตื่นตะลึงลุกพรวด
จากที่นั่ง
เด็กสาวตรงหน้าถึงขั้นได้ครอบครองสัตว์ล้ำค่า เรื่องนี้สร้างความตื่น
ตะลึงเกินไป เวลานี้ บรรดาผู้อาวุโสล้วนเชื่อ ว่านายหญิงน้อยหลง
ตรงหน้าพวกตนผู้นี้ เป็นคนของตระกูลหลงจากแคว้นมังกรทะยาน
ฟ้า
เพราะมีแต่ตระกูลหลงแห่งแคว้นมังกรทะยานฟ้า จึงมีสัตว์เลี้ยง
สายเลือดมังกรแปลกประหลาดในครอบครอง
“กล่าวกันว่าแมวเช่นนี้สามารถเติบโตเป็นมังกรที่แข็งแกร่งยิ่งในภาย
หน้า!” นายน้อยเยี่ยมองแมวมังกรตรงหน้าอย่างนึกอิจฉา
“ข้าเองก็ไม่ทราบนัก เป็นทางตระกูลมอบให้เป็นของขวัญแก่ข้า!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยลูบหัวแมวน้อยก่อนจะเก็บมันลงกระเป๋าสัตว์
ถึงตรงนี้ บรรดาผู้อาวุโสก็ไม่มีทางได้เห็นโสมโลหิตกันอีกต่อไป
แล้ว
ฉินหยุนถึงขั้นลอบนับถือต่อกลยุทธ์ของเชี่ยวเย่ว์เหม่ย
“ผู้อาวุโส โสมโลหิตนั่นเป็นของจริง! แมวน้อยคือผู้บอกแก่ข้า!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าวอีกครั้ง “ทุกท่านขอจงหยุดพูดกล่าวถึงเรื่องนี้ ถือ
ว่าเป็นมิตรสหายต่อกัน อย่าได้มอบของขวัญใดแก่ข้าแล้ว เอาอย่างนี้
เป็นไร ข้าน้อยผู้นี้จะเป็นคนมอบของขวัญเล็กน้อยแก่พวกท่านเอง!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยนำเอายันต์ลึกล้ำอัคคีจำนวนหนึ่งออกมา ก่อนจะมอบ
ให้คนละแผ่น
ผู้จัดการหลี่ตื่นตะลึงเป็นที่สุด กับเขาที่เป็นผู้จัดการที่นี่ นั่นหมายความ
ถึงระดับจารึกย่อมไม่แย่ หลังได้เห็นยันต์ลึกล้ำ เขาต้องร้องโพล่งออก
“ความวิจิตรที่สูงล้ำ!”
บรรดาอาจารย์จารึกผู้อื่นต่างอุทานอึ้งทึ่งเช่นกัน
“กระทั่งพวกเรายังไม่อาจก้าวถึงความวิจิตรระดับนี้!” อาจารย์จารึก
ลึกล้ำมองทางเชี่ยวเย่ว์เหม่ยอย่างไม่อาจเชื่อสายตา
“นายหญิงน้อยหลง ท่านสร้างพวกมันขึ้นเองหรือ?”
“มีแต่อาจารย์จารึกเต๋าจึงสามารถแกะสลักความวิจิตรระดับนี้ได้!”
“นายหญิงน้อยหลง นี่ไม่ใช่ข้าสงสัยต่อท่าน ทว่า… เรื่องนี้มันผิด
หลักการจนเกินไป ขอท่านโปรดเข้าใจ!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะเบา “ผู้อาวุโส นี่ย่อมเป็นข้าสร้างขึ้นเอง และข้า
เข้าใจในความสงสัยที่ท่านมี”
ยามเมื่อบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลทั้งหลายได้เห็นอาการตอบสนอง
จากอาจารย์จารึก พวกเขาค่อยตระหนักได้ ว่ายันต์ลึกล้ำอัคคีนี่ไม่ใช่
เรียบง่าย หากมันสร้างโดยเด็กสาวตรงหน้าพวกตนขึ้นจริง เช่นนั้น
เด็กสาวผู้นี้ก็เป็นยอดอัจฉริยะอาจารย์จารึกที่หาตัวจับได้ยากแล้ว
“นายหญิงน้อยหลง ผู้อาวุโสท่านอยู่ที่ใดแล้ว?” ผู้จัดการหลี่เร่งรีบ
เอ่ยถาม
“พวกเขาเหล่านั้นเข้าไปยังเทือกเขานิราศจันทรา กล่าวว่าภายใน
อันตราย จึงให้ข้ามาที่ตำหนักจารึกเทวะรอคอยพวกเขาที่นี่!” เชี่ยว
เย่ว์เหม่ยกล่าว “ผู้อาวุโสทั้งหลาย เหตุการณ์ในเทือกเขานิราศจันทรา
ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว? ภายในอันตรายมากหรือไม่?”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพอถามคำถามออกไป บรรดาผู้อาวุโสเหล่านี้จึงตอบ
ถึงข้อสงสัยที่นางมีต่อเทือกเขา พวกเขาแทบไม่คิดอยากให้ผู้อื่นตัด
หน้าแย่งตอบแม้เพียงนิด
ฉินหยุนลอบตระหนกยามได้รับฟัง เขาไม่คิดว่าจะมียอดฝีมือมากมาย
มารวมตัวกันที่เทือกเขานิราศจันทราถึงเพียงนี้
เทือกเขานิราศจันทราอันตรายอย่างแท้จริง สัตว์ที่แข็งแกร่งมักปรากฏ
ในเทือกเขา พวกมันถูกเรียกขานเป็นสัตว์ภูตผีนิราศจันทรา พวกมัน
จะปรากฏตัวเพียงยามค่ำคืน ทั้งยังสามารถสังหารขอบเขตวรยุทธ์ลึก
ล้ำได้อย่างง่ายดาย
นอกจากนี้แล้ว กองกำลังจากแคว้นอื่นต่างส่งราชันยุทธ์และจักรพรรดิ
ยุทธ์เข้าสู่เทือกเขานิราศจันทรา พวกนั้นจับกลุ่มกันเพื่อออกค้นหา
หยางฉีเย่ว์
หยางฉีเย่ว์เคยปรากฏตัวขึ้นก่อนหน้านี้ และถูกราชันยุทธ์จากตระกูล
หลงทำร้ายบาดเจ็บ ถึงตอนนี้ หลายคนต่างได้ทราบว่าราชันยุทธ์ผู้
นั้นได้ไล่ตามรอยเลือดหยางฉีเย่ว์ไป
พอได้ทราบ ในใจของทั้งเชี่ยวเย่ว์เหม่ยและฉินหยุนแทบถูกเผาไหม้
เป็นเถ้าถ่านด้วยโทสะ
ขณะฉินหยุนกังวลต่อหยางฉีเย่ว์ เชี่ยวเย่ว์เหม่ยจึงส่งเสียงสื่อสารมา
“พี่ชาย ได้เวลากระตุ้นพวกมันแล้ว!”
ฉินหยุนนึกอยู่ครู่จึงค่อยกล่าว “นายหญิงน้อยหลง แมวมังกรน้อย
ของท่านคล้ายต้องการกินวัตถุดิบโอสถกระมัง? ข้ายังคงมีอีกมากมาย
นัก! ถือว่าให้แมวน้อยของท่านก็แล้วกัน!”
ผู้คนต่างได้เห็นเด็กน้อยตระกูลมู่หรงตรงหน้าพยายามสร้างความดี
ต่อหน้าหลงเซียงเย่ว์
ผู้คนจากตระกูลใหญ่เหล่านี้ไม่ยินดี เพราะหากพวกเขาไม่ลงมือทำ
อะไรสักอย่าง ก็เท่ากับพวกเขาแพ้พ่าย เมื่อถึงตอนนั้น พวกเขายังจะ
สร้างความสัมพันธ์อันดีกับอีกฝ่ายไปทำอะไร?
พวกเขาต่างนำเอาของขวัญออกมามากมาย เหล่านี้ล้วนเป็นวัสดุ
สร้างอุปกรณ์ลึกล้ำชั้นเลิศ ส่วนใหญ่เป็นกระดูกสัตว์หรือไม่ก็แร่
“ในเมื่อนายหญิงน้อยหลงเป็นอาจารย์จารึก เหล่านี้ต่างหากจึงเป็น
ประโยชน์!” ผู้อาวุโสตระกูลเยี่ยหัวเราะดัง
“ในเมื่อผู้อาวุโสมีเมตตา เซียงเย่ว์ก็ไม่ขอปฏิเสธน้ำใจท่าน!” เชี่ยว
เย่ว์เหม่ยรับของขวัญมาชิ้นแล้วชิ้นเล่า เป็นผลให้บรรดาผู้อาวุโสต่าง
ต้องเผยยิ้มยินดี
แม้เหล่านี้ไม่แย่ กระนั้นฉินหยุนพบว่ายังไม่พอ เขาครุ่นคิดอยู่พัก
หนึ่งก่อนจะนำเอาชุดเกราะเต๋าออกมาและกล่าว “นายหญิงน้อยหลง
แม้ท่านเป็นอาจารย์จารึกลึกล้ำที่พรสวรรค์เลิศล้ำ กระนั้นตัวท่าน
ตอนนี้ยังไม่อาจสร้างอุปกรณ์เต๋า และข้าก็มีชุดเกราะเต๋าอยู่พอดี ให้
ข้าได้มอบมันแก่ท่านเพื่อหยิบยืม เมื่อใดท่านสร้างอุปกรณ์เต๋าได้
ค่อยส่งมันคืนกลับแก่ข้า”
“ท่านเป็นสตรี ด้วยชุดเกราะเต๋าที่ดี ท่านจะยิ่งปลอดภัย!”
การกระทำนี้ถึงขั้นทำบรรดาผู้อาวุโสตระกูลใหญ่ทั้งหลายนิ่งอึ้ง!
ผู้จัดการหลี่ รวมถึงอาจารย์จารึกลึกล้ำทั้งหลายต่างต้องยืดคอเข้าไป
รับชมชุดเกราะเต๋าดังกล่าว พวกเขาต่างเผยสีหน้าตื่นตะลึงกันออกมา
“นายน้อยมู่หรง นี่ล้ำค่าเกินไปแล้ว ข้าไม่อาจรับไว้!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ย
เผยดวงตาตื่นตะลึง เห็นได้ชัดว่านางคิดอยากรับไว้ กระนั้นนางก็ยัง
ปฏิเสธ
“นี่เป็นเพียงการให้หยิบยืม!” ฉินหยุนหัวเราะ “พวกเรานับเป็นมิตร
สหายที่ดีต่อกัน ข้าย่อมห่วงหาต่อมิตรสหาย ดังนั้นนี่เป็นเรื่องปกติ
โปรดรับเอาไว้แล้ว!”
“อย่างนั้น… ต้องขอบคุณนายน้อยมู่หรงเป็นอย่างยิ่งแล้ว!” ใบหน้า
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเผยรอยยิ้มยินดี “ภายหน้า เมื่อใดข้าสร้างอุปกรณ์เต๋า
ได้ ข้าจะมาสร้างอุปกรณ์เต๋าให้แก่นายน้อยมู่หรงอย่างแน่นอน!”
บรรดาผู้อาวุโสจากตระกูลทั้งหลายต่างได้เห็นความน่ารักน่าชังของ
เชี่ยวเย่ว์เหม่ย พวกเขาไม่คาดคิด ว่าตระกูลมู่หรงที่ไร้นามจะถึงขั้น
ยอมสูญเสียเพียงนี้
ด้วยฐานะตระกูลใหญ่ พวกเขาไม่อาจยอมรับการพ่ายแพ้ที่ตรงนี้
นอกจากนี้แล้ว เพื่อประโยชน์แก่บุตรหลานตนเอง พวกเขาย่อมคิด
อยากชักจูงเด็กสาวมากพรสวรรค์ผู้นี้เอาไว้ เพื่อให้ภายหน้าสามารถ
เรียกลมเรียกฝนได้ตามต้องการ

ตอนที่ 723 คู่หู
เหรียญตราของเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเป็นของจริง เนื่องด้วยมันสามารถส่อง
แสง
บรรดาคนหนุ่มที่ชั้นแรกในห้องโถงของตำหนักจารึกเทวะ ล้วนอึ้ง
ทึ่งกันถ้วนหน้ายามได้เห็นเหรียญตราดังกล่าว
เมื่อคนของตำหนักจารึกเทวะได้เห็นเหรียญตรา พวกเขาเร่งรีบไป
บอกกล่าวต่อผู้จัดการอาวุโส
อาจารย์จารึกลึกล้ำระดับกลางด้วยอายุยังเยาว์เพียงนี้ ทั้งยังเป็นคนของ
ตระกูลหลงแห่งแคว้นมังกรทะยานฟ้า เป็นปกติที่ผู้จัดการอาวุโส
ประจำสาขาจะต้องออกมาต้อนรับด้วยตนเอง
ไม่นานจากนั้น นายน้อยทั้งหลายแห่งตระกูลอันมั่งคั่งต่างเดินเข้ามา
ทักทายเชี่ยวเย่ว์เหม่ย
ชั่วเวลานี้ เชี่ยวเย่ว์เหม่ยได้ส่งเสียงสื่อสารบอกต่อฉินหยุน บอกต่อ
เขาให้แสร้งทำเป็นมอบของขวัญล้ำค่าแก่นาง
ฉินหยุนอึ้งไปวูบก่อนจะเร่งรีบสนองให้ เขานำเอากล่องเปล่าออกมา
ส่งมอบแก่นางพร้อมกล่าว “นายหญิงน้อยขอรับ นี่คือของขวัญจาก
ข้า เป็นโสมโลหิตอายุกว่าห้าหมื่นปี!”
“ขอบคุณนายน้อยมากแล้ว ข้าเซียงเย่ว์ยินดีรับไว้ ข้าย่อมต้องตอบแทน
ต่อนายน้อยในภายหน้าอย่างแน่นอน!” เสียงของเชี่ยวเย่ว์เหม่ยทั้ง
อ่อนนุ่มและมากมารยาท ราวกับนางเป็นสตรีผู้สูงศักด์ิมาเอง
ฉินหยุนสบถต่อเด็กสาวจอมลวงโลกตรงหน้าหลายครั้งคราภายใน
กระนั้นภายนอกก็ยังให้ความร่วมมือกับเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเป็นอย่างดี
“ตราบเท่าที่ทำให้นายหญิงน้อยพอใจ นี่ย่อมไม่นับเป็นอะไร โปรด
รับมันไว้ ไม่เช่นนั้นจะถือเป็นการหมิ่นน้ำใจข้า!”
“ข้าเกือบลืม นามข้ามู่หรงต้าเหริน เป็นคนของตระกูลมู่หรง!”
“ขอบคุณนายน้อยมู่หรงแล้ว!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยรับกล่องจากฉินหยุนไว้
นางฮัมเพลงพลางกล่าวคำ “ตระกูลหลงของเราคิดซื้อหาสมุนไพร
โอสถล้ำค่าในอีกไม่ช้านี้ นายน้อยมู่หรง ตระกูลมู่หรงของท่านย่อม
ต้องมีวัตถุดิบโอสถชั้นเลิศในครอบครองเป็นแน่ ข้าจะเป็นตัวแทน
ตระกูลซื้อหาพวกมันเอาไว้เอง!”
“ยินดีแล้วขอรับ!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว
บรรดานายน้อยผู้อื่นยามได้เห็นเช่นนี้ พวกเขาต่างเริ่มเข้ามาส่งมอบ
ของขวัญแก่เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกันคนแล้วคนเล่า แต่ละคนล้วนอยากสร้าง
สัมพันธ์อันดีกับนางเอาไว้
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าวคำสุภาพอ่อนหวานขณะรับของขวัญไว้จนเต็มไม้
เต็มมือ กล่าวขอบคุณเรียบร้อย นางจึงให้สัญญาว่าจะจัดงานเลี้ยงใน
ค่ำคืนนี้ที่ชั้นสองตำหนักจารึกเทวะ และถึงตอนนั้น นางจะยอมหาคู่
เต้นรำด้วย
ฉินหยุนต้องลอบนับถือต่อเชี่ยวเย่ว์เหม่ย เพียงอึดใจเดียวนางสามารถ
ล่อลวงของขวัญจากผู้อื่นไปได้เพียงนี้
บรรดานายน้อยเหล่านี้ที่ต้องการสร้างบุญคุณต่ออาจารย์จารึกลึกล้ำ
เยาว์วัยจากตระกูลหลง โดยเฉพาะเมื่อผู้จัดการอาวุโสแห่งตำหนัก
จารึกเทวะได้ยืนยันแล้วว่าเหรียญตราเป็นของจริง มันยิ่งทำพวกเขา
ต้องร้องอุทานด้วยความนับถือกันออกมา
การปรากฏตัวของอาจารย์จารึกลึกล้ำที่เป็นสตรีเยาว์วัย ส่งผลให้นาย
น้อยทั้งหลายที่นี้ต่างคลุ้มคลั่ง
และด้วยฐานะที่เป็นบุคคลแรกซึ่งมอบของขวัญให้ ฉินหยุนจึงได้
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเชิญไปพูดคุย เรื่องนี้ทำเอาหลายต่อหลายคนริษยากัน
ไม่จบไม่สิ้น
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยคืออาจารย์จารึกลึกล้ำ นางย่อมสามารถพักอาศัยใน
ห้องชุดได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ฉินหยุนเข้ามาในห้องนั่งเล่นก่อนจะถามเสียงเบา “เย่ว์เหม่ย นี่เจ้าไป
หาเหรียญตรานั่นมาได้อย่าง่ไร?”
“ข้าโกงมา!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยรับคำอย่างไม่ยี่หระใด
“โกงหรือ? เจ้าโกงมาได้อย่างไร? กระบวนการสร้างเหรียญตรานั้น
เข้มงวดอย่างยิ่ง หากสร้างเหรียญตราโดยการคดโกง เช่นนั้นย่อม
ต้องส่งผลเสียย้อนกลับผ่านพันธะโลหิต!”
ฉินหยุนเคยได้รับเหรียญตรามาก่อน เขาทราบดีว่ากระบวนการ
เข้มงวดเพียงใด
“ข้าโกงระหว่างการทดสอบ ดังนั้นผู้ที่สร้างเหรียญตราจึงไม่ทราบ
เรื่อง!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเผยออกอย่างภาคภูมิ “พี่ชาย ข้าเก่งใช่หรือไม่?”
ฉินหยุนยิ้มรับ “ย่อมต้องเก่ง! เร่งรีบรับชมกันว่าได้อันใดมาบ้าง!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเร่งรีบนำเอาของขวัญกองใหญ่ออกมา หลังจากเปิด
พวกมันรับชมเรียบร้อย นางจึงบุ้ยปากกล่าวคำ “ขยะทั้งนั้น!”
“เหตุใดจึงเป็นขยะ? เหล่านี้ล้วนเป็นโอสถลึกล้ำ!” ฉินหยุนมองที่
โอสถลึกล้ำพลางคิด ว่าเหล่านี้ถือว่าดีไม่ใช่น้อยแล้ว
“ข้าหาได้ต้องการมันไม่! ที่ข้าต้องการคือวิญญาณยุทธ์ของพวกมัน
กระนั้นพวกมันล้วนมีแต่วิญญาณยุทธ์สวะ หาได้มีอันใดดึงดูดข้า
ไม่!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยถอนหายใจ “กับสถานที่เช่นนี้ คิดพบเจอผู้ที่
ครอบครองวิญญาณยุทธ์ที่ดีหน่อยช่างยากนัก!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยนั่งบนเก้าอี้พร้อมแกว่งขาไปมา นางนำเอาผลไม้ออกมา
จากกองของขวัญก่อนจะกัดกิน พร้อมโยนให้ฉินหยุนได้รับประทาน
ด้วย
ฉินหยุนคว้ารับเอาไว้ ก่อนจะเดินเข้ามารับชมเพื่อหาผลไม้ให้โมโม
และกระต่ายหยกได้กิน
ตึก ตึก ตึก!
อย่างกะทันหัน มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“นายหญิงหลงพอจะมีเวลาหรือไม่? มีนายน้อยหลายท่านจากตระกูล
ที่ทรงอำนาจต้องการพบเจอท่าน!” บุคคลที่กล่าวนี้ คือผู้จัดการอาวุโส
แห่งตำหนักจารึกเทวะ นามผู้จัดการหลี่
“ย่อมได้ ให้พวกเขาเข้ามา!” ดวงตางดงามเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเผยประกาย
ขณะเร่งรีบตอบรับ
จากนั้น นางจึงกล่าวกับฉินหยุนเสียงเบา “พี่ชาย ท่านต้องให้ความ
ร่วมมือกับข้าแล้ว! ถัดจากนี้ ข้าจะมองเหยียดต่อท่าน ทำให้นายน้อย
เหล่านั้นรู้สึกว่าตนเหนือกว่า จากนั้น ท่านค่อยแสร้งทำเป็นโกรธ
บีบบังคับให้พวกมันเหล่านั้นต้องขันแข่ง เมื่อใดถึงเวลา พวกเราจะ
ได้รับผลประโยชน์ก้อนงาม!”
ฉินหยุนจำเอาไว้พร้อมพยักหน้ารับ
“พี่ชาย เรื่องนี้ชวนสนุกหรือไม่ใช่? ชาติภพก่อนหน้า ท่านมักจะนำ
ข้าไปลวงหลอกเช่นนี้ประจำ กระนั้นตอนนี้ กลับเป็นข้าพาท่านไป
ลวงหลอกผู้อื่นเสียแทน เวลานี้ถือว่าข้าเชี่ยวชาญกว่าท่านแล้ว!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะคิกคัก
“เจ้านี่นะ!” ฉินหยุนยิ้มพลางส่ายหน้า
ไม่นานนัก ผู้จัดการหลี่จึงเคาะประตูอีกครั้งหนึ่ง
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเร่งรีบไปเปิดประตู
ฉินหยุนนั่งอยู่ข้างโต๊ะกลมในห้องโถงรับรอง
หลายคนที่มา ต่างเป็นนายน้อยจากตระกูลทรงอำนาจ เสื้อผ้าพวกเขา
ประกอบด้วยสีสันหลากหลายสุกสว่าง
ผู้จัดการหลี่ที่ส่งแขกเรียบร้อยจึงเร่งรีบไปทำกิจธุระต่อ
เหตุผลว่าทำไมเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเห็นว่ากลุ่มคนเหล่านี้เป็นปลาใหญ่ นั่น
ก็เพราะพวกเขาเหล่านี้สามารถทำให้ผู้จัดการอาวุโสแห่งตำหนัก
จารึกเทวะออกหน้าแทนพวกตนได้
บรรดาผู้ที่มา มีจากทั้งตระกูลเจียง ตระกูลเยี่ย ตระกูลเซีย และตระกูล
จี รวมทั้งหมดแล้วเป็นนายน้อยสี่คนที่หล่อเหลาสวมใส่ชุดหรูหรา
เหล่านี้เป็นนายน้อยจากตระกูลชั้นรอง หากใช้คำของเจี้ยนรั่วหยานก็
เห็นจะเป็น “ตระกูลชั้นสวะ!”
ตระกูลชั้นสวะเหล่านี้ คิดก้าวขึ้นสู่ระดับที่สูงกว่าถือเป็นเรื่องยาก
ดังนั้นนายน้อยเหล่านี้จึงไม่ค่อยมีโอกาสได้พบปะทำความรู้จักกับ
ชนชั้นนำของตระกูลใหญ่
โดยเฉพาะเมื่อได้พบเจอสตรีที่งดงาม ทั้งยังมีพรสวรรค์มากล้นตั้งแต่
ยังเยาว์ พวกเขาไม่คิดอยากปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอย
ฉินหยุนยังได้ทราบอีกเรื่อง ว่ายามเชี่ยวเย่ว์เหม่ยแอบอ้าง นางมักจะ
แอบอ้างเป็นผู้คนจากสถานที่อันห่างไกล วิธีการนี้ จะทำให้ผู้อื่นไม่
อาจจับพิรุธนางได้เร็วจนเกินไป
ตอนนี้นางอยู่ที่แคว้นมหาดวงดาว แสร้งทำเป็นคนจากแคว้นมังกร
ทะยานฟ้า กระทั่งว่าส่งคนไปตรวจสอบ กว่าจะพบเบาะแสก็ไม่มี
ทางสำเร็จในเวลาอันสั้น
เช่นกัน ด้วยนางครอบครองเหรียญตราอาจารย์จารึกลึกล้ำและเป็นผู้
งดงาม นางจึงสามารถลวงหลอกผู้อื่นได้ไปทั่ว
“นายน้อยมู่หรง แม้ท่านมอบสิ่งของล้ำค่าให้แก่ข้า กระนั้น… กระนั้น
เสื้อผ้าที่ท่านใส่คล้ายเรียบง่ายและดูทรุดโทรมไปบ้าง นี่ไม่คล้ายว่า
ท่านจะเป็นคนของตระกูลอันสูงศักด์ิแต่อย่างใด รับชมนายน้อย
เหล่านี้ พวกเขาต่างสวมใส่ชุดหรูหรา หาได้ใช่ผู้ที่ท่านสามารถเทียบ
เคียงได้แม้เพียงนิด!” ดวงตาของเชี่ยวเย่ว์เหม่ยมีแต่ความสงสัยอัดแน่น
ขณะมองที่ฉินหยุน
บรรดานายน้อยจากตระกูลใหญ่ต่างพยักหน้าเห็นด้วย
นายน้อยเยี่ยมองที่ฉินหยุนพร้อมแค่นเสียงกล่าว “ด้วยรูปลักษณ์เจ้า
ยังกล้าเรียกว่าเป็นบุตรหลานตระกูลชนชั้นสูงงั้นหรือ? ไม่แปลกใจ
ที่นายหญิงน้อยหลงจะสงสัยต่อเจ้า! เป็นเจ้าลวงหลอกฐานะตัวตน!”
นายน้อยตระกูลจีเร่งรีบกล่าวคำตามพร้อมแค่นเสียง “นายหญิงน้อย
หลง โสมที่เขามอบให้แก่ท่าน นั่นสมควรเป็นของปลอมแน่แล้ว!”
นายน้อยเจียงกล่าวคำขึ้นตามติด “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบตัวตน
มันผู้นี้ภายหลัง หากมันลวงหลอก เช่นนั้นก็มีโทษต้องตาย!”
นายน้อยเซียเผยยิ้มให้แก่เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพร้อมกล่าว “นายหญิงน้อย
หลงอย่าได้กังวลไป หากผู้ใดกล้าลวงหลอกต่อท่าน มันย่อมไม่มี
โอกาสได้รอดชีวิต! ด้วยข้านายน้อยแห่งตระกูลเซียอยู่ที่นี่ จะไม่มี
ผู้ใดหาญกล้าลวงหลอกต่อท่าน!”
ภายในมิติมายาของฉินหยุน หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังแล้ว
ฉินหยุนสวมใส่ชุดทรุดโทรมไปบ้างจริง และตัววัสดุของชุดยังเป็น
หนังสัตว์ที่หยาบกร้าน
แม้เขาถูกมองเหยียดเพียงนี้ ฉินหยุนก็ยังสามารถสงบใจ เพราะนี่คือ
แผนการที่เชี่ยวเย่ว์เหม่ยได้วางเอาไว้แล้ว
ฉินหยุนแสร้งทำเป็นโกรธพร้อมกล่าว “อย่าได้กล่าววาจาหมิ่นผู้อื่น
ไป แม้ตระกูลมู่หรงของข้าหาได้ใหญ่โต ทว่าพวกเราไม่ใช่ผู้ที่ไม่
อาจแม้มีเสื้อผ้าที่ดีใส่! ข้าเพียงไม่ชื่นชอบใส่พวกมันก็เท่านั้น!”
“สามหาว! เจ้ากำลังจะบอกว่านายหญิงน้อยหลงมีตาหามีแววไม่
อย่างนั้นหรือ?” นายน้อยเยี่ยโพล่งออกด้วยความโกรธพร้อมเผยออร่า
รุนแรง นี่เป็นขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับกลาง
นายน้อยเหล่านี้ดูยังเยาว์ กระนั้นกลับอยู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ
ระดับกลางกันแล้ว สำหรับที่นี่ พวกเขากล่าวได้ว่าแข็งแกร่งระดับ
หนึ่ง
ฉินหยุนย่อมไม่หวาดเกรง หากคิดสังหาร เขาตบหน้าเพียงไม่กี่ครั้ง
เหล่านี้ล้วนสามารถจบชีวิต
“นายหญิงน้อยหลงเพียงสงสัยต่อข้า พวกเจ้าต่างหากที่ยืนกรานว่าข้า
ลวงหลอก! ผู้ที่มีตาหามีแววไม่กลับเป็นพวกเจ้า!”
ฉินหยุนแสร้งทำเป็นโกรธยิ่งขึ้นพร้อมเผยออร่า ตัวเขาได้เผยออร่า
ของขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับกลางออกมา
แน่นอนว่านี่เป็นออร่าที่ผ่านการสะกดข่มเอาไว้ เพราะเขาเกรงว่าจะ
ทำอีกฝ่ายตื่นตระหนกจนเกินไป
“ทุกท่านอย่าได้โต้เถียงแล้ว สงบใจลงกันก่อน!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยโพล่งคำเบา กระนั้นภายใน นางยินดีราวดอกไม้บาน
สะพรั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางรู้สึกว่าได้ฉินหยุนมาช่วยเล่นละคร
กลับกลายเป็นเรื่องสนุกอีกอย่างหนึ่ง
ก่อนหน้า นางจะมีหงเมิ่งจูเป็นคู่หูคอยร่วมมือ
“นายหญิงน้อยหลงอย่าได้กังวล ข้าย่อมยืนยันได้ ว่าข้าหาได้ลวง
หลอกใดต่อท่าน!” ฉินหยุนเผยเสียงกราดเกรี้ยว
จากนั้น เขาจึงนำเอาบัตรผลึกแก้วสีม่วงออกมาและกล่าว “นายหญิง
น้อยหลง ข้าจะมอบให้แก่ท่านหนึ่งพันล้านเหรียญม่วงเพื่อเป็นค่า
เสื้อผ้าอันงดงามที่คู่ควรกับท่าน! แม้ว่าข้าไม่สนรูปลักษณ์ตนเอง
กระนั้นสตรีเช่นท่านต้องมีเสื้อผ้าที่ดีสวมใส่!”
การปล่อยมือจากเงินหนึ่งพันล้านเหรียญม่วงหาได้ใช่เรื่องง่ายดาย
เรื่องนี้ทำเอาบรรดานายน้อยที่นี้ต่างตื่นตะลึง
“นายน้อยมู่หรง ข้าน้อยเดินทางเพียงลำพังเสมอมา ดังนั้นจึงต้องผ่าน
ช่วงเวลายากลำบากไม่ใช่น้อย ข้าย่อมพบเจอบุคคลน่าสงสัยมากมาย
ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ข้าต้องขออภัยต่อท่านแล้ว!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเร่ง
รีบกล่าว “ครานี้ข้าเชื่อแล้วว่าท่านเป็นคนของตระกูลมู่หรงจริงแท้
และข้าก็ไม่กล้ารับหนึ่งพันล้านเหรียญม่วงของท่านไว้ นั่นย่อมต้อง
เป็นตระกูลท่านมอบไว้ให้ท่านดำเนินธุรกิจ เป็นข้าไม่อาจรับ!”
ขณะเชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว นางได้ใช้มือขาวนวลงดงามนั้นกุมมือฉิน
หยุนเอาไว้พร้อมดันบัตรผลึกม่วงกลับ “นายน้อยมู่หรง ท่านจำเป็น
ต้องสงบใจลงสักนิด ธุรกิจของท่านย่อมเป็นสิ่งสำคัญ ในเมื่อตระกูล
มู่หรงมอบเหรียญม่วงมากมายเพียงนี้แก่ท่าน ก็ชัดเจนแล้วว่าทางนั้น
เชื่อใจท่านเพียงใด ดังนั้นอย่าได้ให้อารมณ์ครอบงำการตัดสินใจของ
ท่าน!”
หลังเก็บบัตรผลึกม่วงไปแล้ว ฉินหยุนค่อยรู้สึกวางใจได้เปราะหนึ่ง
บรรดานายน้อยอื่นที่นี้ต่างชื่นชมนายหญิงน้อยหลงจากหัวใจ พวก
เขาต่างคิดว่านี่เป็นโอกาสหาคู่ที่ดี เพราะนางถึงขั้นกล้าปฏิเสธหนึ่ง
พันล้านเหรียญม่วงอย่างไม่มีวี่แววเสียดายใด
ต้องทราบว่ากระทั่งพบเจอสตรีงดงามเพียงใด กระนั้นแต่ละคนล้วน
คิดสูบเงินตรากันทั้งสิ้น
ฉินหยุนหันมองทางนายน้อยทั้งหลายก่อนจะแค่นเสียง “พวกเจ้าที่
อัตคัด มองเพียงครั้งเดียวก็ทราบว่ามากันมือเปล่า! เสื้อผ้าพวกเจ้า
ล้วนดี มีสถานะสูงส่ง แต่กลับพยายามสร้างความประทับใจแก่ผู้อื่น
ผ่านทางรูปลักษณ์แทนที่จะเป็นความสามารถ! ผู้ที่มีพื้นเพย่อมต้อง
เก็บงำตนเองดังเช่นข้า!”
“พวกเจ้านำอันใดมาเป็นของกำนัลแก่นายหญิงน้อยหลง? อย่าได้
บอกว่าล้วนเป็นขยะทั้งสิ้น?”
เย้ยหยันเรียบร้อย นายน้อยเหล่านี้แทบไม่อาจตอบกลับใด เพราะ
พวกเขาไม่มีของดีติดมือมาจริง
“หากไม่ใช่เพราะผู้จัดการหลี่ไว้หน้า พวกเจ้าหรือจะมาที่นี่ได้? กลุ่ม
คนชวนเวทนาเช่นพวกเจ้าคิดอยากสร้างบุญคุณแก่นายหญิงน้อยหลง
แต่กลับไม่มีอันใดที่ไว้ใช้สร้างความประทับใจแม้เพียงนิด น่าขัน!”
ฉินหยุนยังคงกล่าวยั่วยุอีกฝ่ายต่อเนื่อง
นายน้อยจีกล่าวคำ “นายหญิงน้อยหลง ตระกูลจีของเรามีรากฐาน
ใหญ่โตในนครจันทราโกลาหลแห่งนี้ และได้คงอยู่มาเป็นเวลา
ยาวนานยิ่ง! รากฐานพวกเราแข็งแกร่งเลิศล้ำ เป็นข้าเร่งรีบเดินทาง
มา ดังนั้นจึงไม่ได้ตระเตรียมมาอย่างเพียงพอ ข้าขอตัวก่อนแล้ว!”
บรรดานายน้อยผู้อื่นต่างกล่าวลากันไปพร้อมสีหน้าใคร่คิดหาของขวัญ
มากลบคำกล่าวหาของอีกฝ่าย เชี่ยวเย่ว์เหม่ยแสร้งทำเป็นเกลี้ยกล่อม
ให้พวกเขาอยู่ต่อ ทั้งยังบอกว่าไม่ต้องนำของขวัญล้ำค่าใดมา เพียงแต่
สงบใจและพูดคุยก่อนกันก็พอ ทว่านั่นล้วนเป็นการแสดงทั้งสิ้น
คำกล่าวเหล่านั้น ยิ่งเป็นการยั่วยุบรรดานายน้อยให้มากขึ้นไปอีก
“กลับไปแล้วก็อย่าได้เสนอหน้ามากันอีก!” ฉินหยุนหัวเราะดังกล่าวคำ
“บัดซบ เจ้าจงรอ! ข้าจะแสดงให้เห็นว่าตระกูลใหญ่แท้จริงมีดีอย่างไร!”
นายน้อยตระกูลจีเผยคำดุดันก่อนจากไป
นายน้อยผู้อื่นต่างไปกันหมดสิ้น!
ประตูพอปิดลง ฉินหยุนจึงส่ายศีรษะยิ้มกล่าว “ข้ากังวลว่าพวกมัน
คงไม่กลับมากันอีกแล้ว!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะซุกซนกล่าวคำ “พี่ชาย ฝีมือท่านช่างยอดเยี่ยม
นัก! รัศมีคนโกงของท่านในชาติภพก่อนก็เป็นเช่นนี้ รอสักประเดี๋ยว
พวกมันย่อมต้องกลับมาแน่! ทั้งยังจะนำผู้อาวุโสพวกมันร่วมทางมา!”
“พี่ชาย ท่านควรสร้างยันต์ลึกล้ำที่ดีไว้จำนวนหนึ่ง หรือสิ่งของที่
ทัดเทียม ภายหลังข้าจะแสร้งทำเป็นมอบของขวัญตอบแทนกลับคืน
ข้าจะได้ไปลวงหลอกพวกมันให้หมดทั้งตระกูล!”

ตอนที่ 722 นครจันทราโกลาหล
“ข้าน่าจะทราบแต่แรกแล้วว่าเป็นเจ้า!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว
มีแต่เชี่ยวเย่ว์เหม่ยที่กล้าสร้างปัญหาไปทั่วทุกที่เช่นนี้
“พี่ชาย นี่ข้าทำก็เพื่อท่านเลยนะ! นี่ถือเป็นการทดสอบความสามารถ
ของท่าน และคล้ายว่าท่านทำพลาดเสียด้วย! ท่านถูกข้าพบเห็นโดยง่าย
กระทั่งถูกข้าลอบติดตาม ความเร็วของท่านยังด้อยกว่าข้าอีก!” เชี่ยว
เย่ว์เหม่ยแลบลิ้นออกมาพลางหัวเราะ
ฉินหยุนหยิกที่ใบหน้าของนางพลางยิ้มต่อว่า “เย่ว์เหม่ย ไม่ใช่ว่าเจ้า
อาศัยวิญญาณยุทธ์กระจกตามรอยข้าหรือไร? ไม่เช่นนั้น ข้าย่อม
สลัดเจ้าหลุดพ้นไปนานแล้ว!”
วิญญาณยุทธ์กระจกของเชี่ยวเย่ว์เหม่ย มันสามารถใช้รับรู้ถึงวิญญาณ
ยุทธ์ที่เคลื่อนไหวได้ และฉินหยุนครอบครองวิญญาณยุทธ์ถึงสาม
จึงเป็นเรื่องง่ายที่เชี่ยวเย่ว์เหม่ยจะพบเจอเข้า
เช่นกัน กำลังของเชี่ยวเย่ว์เหม่ยได้เพิ่มขึ้นไม่ใช่น้อย นางสามารถ
สัมผัสถึงวิญญาณยุทธ์อื่นได้จากระยะไกล เพราะเหตุนั้นนางจึง
สามารถไล่ตามฉินหยุนได้ทัน
“พี่ชาย ท่านไม่ใช่ว่าหาตัวข้าเพราะมีเรื่องด่วนหรือ? ทันทีเมื่อได้ข่าว
ข้าจึงเร่งรีบมาที่นี่! นอกจากนี้แล้ว ข้ายังต้องรออยู่ที่หน้าพระราชวัง
เซียนยุทธภัณฑ์นานไม่ใช่น้อย!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว
“รอข้าที่ด้านนอกอย่างนั้นหรือ? เหตุใดจึงไม่เข้ามา?” ฉินหยุนคิ้ว
ขมวดกล่าวคำ “ก่อนหน้าเจ้าให้คำชี้แนะแก่จ้าวสำนักไปคราหนึ่ง
เขาสมควรเชิญตัวเจ้าเข้ามาได้!”
“ข้าไม่คิดอยากให้ผู้อื่นทราบว่ามีสัมพันธ์กับท่าน! ตัวท่านตอนนี้
กล่าวได้ว่ามีแต่อันตรายรายล้อม หากผู้อื่นทราบเข้า พวกมันได้เข้า
มาจับตัวข้าเพื่อใช้ข่มขู่ท่านเป็นแน่!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยทันใดนี้จึงกล่าว
คำเบา “อันที่จริง ข้าเกรงว่าจะต้องพบเจอพี่สาวปิงชิง เพราะ…
เพราะข้ารู้สึกละอายที่ต้องพบเจอนาง!”
ฉินหยุนถอนหายใจเบาพลางลูบศีรษะของนาง เขาเผยยิ้มกล่าวคำ
“เย่ว์เหม่ย ข้าได้พบวิญญาณยุทธ์ความสามารถเทวะใหม่แล้วด้วย!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพอได้ทราบ นางจึงนำกระจกน้อยของตนออกมา ก่อน
จะส่องที่หน้าท้องของฉินหยุน
ฉินหยุนปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ความสามารถเทวะทรมาน รวมถึง
วิญญาณยุทธ์ความสามารถเทวะแม่น้ำ
อย่างรวดเร็ว กระจกน้อยในมือของเชี่ยวเย่ว์เหม่ยจึงสัมผัสถึงวิญญาณ
ยุทธ์ความสามารถเทวะทั้งสอง นางกระโดดโลดเต้นไปมาเผยความ
ยินดี “พี่ชายช่างยอดเยี่ยมนัก! ท่านถึงขั้นหาวิญญาณยุทธ์
ความสามารถเทวะทรมานมาได้! ข้านึกว่ามีเพียงแต่วิญญาณยุทธ์
ความสามารถเทวะแม่น้ำเสียอีก!”
ฉินหยุนได้เห็นเชี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะอย่างชอบใจ จึงหยิกที่ใบหน้า
ของนางไปทีหนึ่ง เขายิ้มกล่าว “เย่ว์เหม่ย เจ้าจำได้หรือไม่ว่าครั้งหนึ่ง
ข้าเคยใช้วิญญาณยุทธ์กระจกสร้างวิญญาณยุทธ์กล้วยไม้แดงขึ้นมา?”
“ข้าย่อมต้องจำได้!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพยักหน้ารับพร้อมถามอย่างนึก
สงสัย “พี่ชาย ท่านคิดอยากหยิบยืมวิญญาณยุทธ์กระจกของข้าเพื่อ
สร้างจารึกวิญญาณงั้นหรือ?”
“ฉลาดนัก!” ฉินหยุนเผยยิ้ม
“ก็ตามนั้น! แต่เรื่องนี้ก็ออกจะยากไปบ้าง เพราะจารึกวิญญาณจำเป็น
ต้องใช้พลังเยอะมาก ดังนั้นแล้วมันหมายความถึงต้องใช้วิญญาณ
ยุทธ์ปริมาณมหาศาล!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยคล้ายทราบเรื่องของวิญญาณ
เหล่านี้เป็นอย่างดี
“อย่าได้กังวลไป ข้าได้รวบรวมวิญญาณยุทธ์ที่ดีเอาไว้จำนวนหนึ่ง
แล้ว!”
ฉินหยุนกล่าวพลางหัวเราะ เขารวบรวมวิญญาณยุทธ์ชั้นยอดมาได้
จากครั้งเหตุการณ์ตำหนักเซียนดาบ พวกมันเหล่านั้นต่างถูกผนึก
เอาไว้ที่ภายในวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬ
“พี่ชาย ท่านคิดไปหาพี่หยางใช่หรือไม่? ให้ข้าร่วมทางด้วยแล้ว ข้า
เองก็อยากไป!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยดึงแขนฉินหยุนพลางตะโกน นางกลัว
ว่าฉินหยุนจะไม่พานางร่วมทางไปด้วย
“เจ้ารวดเร็วเพียงนั้น ข้าต่างหากควรลากเจ้าไปด้วย!” ฉินหยุนยิ้ม
กล่าว
“วิเศษนัก สมแล้วที่เป็นพี่ชายแสนดีของข้า!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยยืดเท้า
ก่อนจะเข้าจูบที่แก้มฉินหยุน
ฉินหยุนจูบแก้มของนางตอบกลับพร้อมหยิกที่แก้มอีกฝ่าย เขายิ้ม
พลางต่อว่า “เย่ว์เหม่ย เจ้าปล่อยให้เสี่ยวเม่ยเหลียนเข้าไปในตระกูล
หลง นั่นเป็นเรื่องอันตรายยิ่ง! เสี่ยวเม่ยเหลียนไม่เหมาะกับเรื่องราว
เช่นนี้ ครั้งหน้าอย่าได้สร้างปัญหาเช่นเดิมแก่นางอีก!”
“ข้าทราบแล้ว! ข้ากระทั่งไปยังเกาะจันทราปีศาจโดยเฉพาะเพื่อขอ
อภัยต่อเสี่ยวเม่ยเหลียนแล้ว และนางก็ให้อภัยข้าเรียบร้อย ข้าเป็น
พี่สาวที่ดีของนาง ดังนั้นย่อมไม่คิดอยากให้เกิดเรื่องอันตรายใดแก่
นางอีก!”
“เดิมข้าคิดให้นางอยู่แทนที่ข้าชั่วคราว แต่แล้วข้ากลับเผชิญปัญหา
บางอย่างเข้า ทำให้กว่าจะกลับไปก็สายเกินแก้”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยยามเอ่ยถึงเรื่องนี้ ในดวงตานั้นเผยความสำนึกผิดออกมา
ฉินหยุนลูบใบหน้านางเบามือเป็นการปลอบ “ดี เสี่ยวเม่ยเหลียนไม่
เหมาะที่จะออกไปสู้เช่นนั้น!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะซุกซนกล่าว “ไม่ว่าจะชาติภพก่อนหน้าหรือ
ตอนนี้ เสี่ยวเม่ยเหลียนก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ทั้งบริสุทธ์ิและงดงาม
เป็นน้องสาวที่ดีเสมอมา!”
“จริงด้วย เย่ว์เหม่ย ชาติภพก่อนหน้าเจ้าเคยได้ยินผู้ใดนามเหยาเฟิง
หรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถามขณะบินขึ้นฟ้า
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยตามอยู่ด้านข้าง นางครุ่นคิดพลางขมวดคิ้ว จากนั้นจึง
ค่อยส่ายศีรษะตอบกลับ “ข้าไม่เคยได้ยินนามนั้น มีอันใดหรือ?”
“ไม่มีใด เป็นเพียงสตรีผู้ซึ่งปรากฏในความฝันข้า! นางต้องคำสาป
กล่าวว่าเป็นเพราะข้า…” ฉินหยุนบอกเล่าเรื่องคำสาปของเหยาเฟิง
ให้แก่เชี่ยวเย่ว์เหม่ยได้รับฟัง
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพอได้ยิน นางเผยอาการตื่นตะลึง “ผู้ที่สามารถต้องคำ
สาปโดยจอมจักรพรรดิอสูรเซียนได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา! นางจะ
ต้องแข็งแกร่งอย่างยิ่ง กระทั่งว่าตัวท่านในชาติภพก่อนจะมีกำลังอยู่
บ้างในแดนเซียนอ้างว้าง กระนั้นหากเทียบกับจอมจักรพรรดิอสูร
เซียนยังห่างไกลกันมากมายนัก!”
“ข้าไม่คิดว่าท่านจะมีส่วนรับผิดชอบในเรื่องเช่นนั้น บางทีอาจเป็น
เพียงฝันร้าย ท่านอยู่ร่วมกับพี่สาวปิงชิงนานไม่ใช่น้อย และในใจ
ท่านยังรู้สึกผิดต่อนางโดยเสมอมา เพราะเหตุนั้นจึงปรากฏเป็นฝัน
ร้าย ดังนั้นอย่าได้ใส่ใจเกินไปแล้ว!”
กล่าวถึงปิงชิง ฉินหยุนจึงเผยยิ้มอ่อน “กับปิงชิงข้าก็ไปได้ด้วยดี
ตอนนี้ฝึกฝนพระสูตรตะวันจันทราร่วมกับนางได้แล้ว!”
“ว่าอะไร?” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยไม่คล้ายเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “พี่ชาย หากที่
ท่านกล่าวเป็นจริง นั่นหมายความถึงนางยังมีใจให้แก่ท่าน!”
ปิงชิงกระทั่งฉวยโอกาสครั้งใหญ่ต่อฉินหยุน ทว่าเรื่องนี้เขาไม่คิด
บอกต่อเชี่ยวเย่ว์เหม่ย ด้วยเขาเป็นกังวลว่าวันหนึ่งนางจะเผลอพลั้ง
โพล่งกล่าวออกไปทั่ว
“เย่ว์เหม่ย สตรีทุกคนที่ข้ารู้จัก ผู้ใดบ้างมีชาติภพก่อน?” ฉินหยุนเอ่ย
ถาม
“ถ้าจะมี… ก็เป็นท่านป้า!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว
“หา!” ฉินหยุนตื่นตะลึง เขาไม่คิดว่าเชี่ยวเสวียนฉินจะมีชาติภพก่อน
เช่นกัน
“แล้วความสัมพันธ์ระหว่างนางกับข้าเล่า?” ฉินหยุนเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ความสัมพันธ์ค่อนข้างซับซ้อน ท่านเป็นศัตรูของนาง! และนางยัง
ไล่ล่าสังหารท่านไปทั่วทุกแห่งหน! เพราะท่านหลอกเอาอุปกรณ์
เซียนที่ดีเลิศล้ำของนางไป เช่นกัน นางคือภูติสาวงดงามที่มีชื่อเสียง
ในแดนเซียนอ้างว้าง ท่านได้ฉกชิงชุดชั้นในของนางไปประมูลขาย
จนสร้างผลกำไรครั้งใหญ่” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเผยเสียงหัวเราะซุกซน
กล่าวคำ
ฉินหยุนนึกถึงเรื่องนี้ จึงค่อยได้ทราบ ว่าเหตุใดเชี่ยวเสวียนฉินคิดไล่
ล่าสังหารตัวเขาในชาติภพก่อนถึงเพียงนั้น
“พี่ชาย ชาติภพก่อนของท่านก็ไม่ได้ชั่วร้ายเพียงนั้น เพียงแต่ทำตัวแย่
ไปบ้าง ท่านชอบหยอกเย้าสตรีไปทั่ว และท่านยังลวงหลอกต่อพวก
นาง!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะ “ชาติภพก่อนข้าติดตามท่านอยู่นานไม่ใช่
น้อย ดังนั้น… หึหึหึ!”
ฉินหยุนพบเห็นร่างเงาแห่งอดีตของตนเองผ่านทางเชี่ยวเย่ว์เหม่ย เป็น
ตัวนางเวลานี้ที่หยอกเหย้าผู้อื่นไปทั่วและยังมีเรื่องลวงหลอกฉ้อฉล
“เย่ว์เหม่ย ครั้งที่ให้เสี่ยวเม่ยเหลียนเข้าแทนที่ ตอนนั้นเจ้าไปทำอะไร?”
ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ข้าได้ยินว่ามีอัจฉริยะผู้ครอบครองวิญญาณยุทธ์อวกาศ ดังนั้นข้าจึง
เร่งรีบไป ข้าล่อลวงจนมันไม่อาจเคลื่อนไหวได้ แต่ก็ต้องใช้ความ
พยายามไม่ใช่น้อยกว่ากระจกของข้าจะส่องวิญญาณยุทธ์ของมันได้
จากนั้นข้าจึงค่อยปล้นเอาอุปกรณ์เต๋าของมันมา” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว
“วิญญาณยุทธ์อวกาศ นั่นสมควรเป็นของดีไม่ใช่หรือ?” ฉินหยุนเผย
ดวงตาเป็นประกาย
“ย่อมต้องเป็นของดี! บุคคลผู้ซึ่งครอบครองวิญญาณยุทธ์นี้ ตราบเท่า
ที่ผสานรวมมันเข้ากับค่ายอาคม เมื่อนั้นจะกลายเป็นอาจารย์เคลื่อนย้าย
สามารถเคลื่อนย้ายในพริบตาไปยังที่อันแสนห่างไกลได้!” เชี่ยวเย่ว์
เหม่ยหัวเราะ “ตอนนี้ข้าครอบครองวิญญาณยุทธ์อวกาศ ดังนั้นภาย
หน้าข้าย่อมได้เป็นอาจารย์เคลื่อนย้ายแน่นอนแล้ว!”
“เจ้านี่นะ!” ระหว่างฉินหยุนบินไป เขาที่ได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะหยิก
ใบหน้าของนาง
ฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ยต่างเดินทางด้วยกัน ดังนั้นระหว่างทางจึง
หาได้มีเรื่องอันใดให้นึกเบื่อ เขายังได้ทราบอีกว่าช่วงหลายปีมานี้
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยไปทำอะไรมาบ้าง
สาเหตุว่าทำไมเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเพ่นพ่านไปทั่วทิศ และลวงหลอกผู้คน
ไปมหาศาล นั่นก็เพราะนางต้องการวิญญาณยุทธ์ที่มากขึ้น และนี่ก็
ถือว่ากลายเป็นงานอดิเรกของนางไปแล้ว
ไม่เพียงแต่วิญญาณยุทธ์ แต่ยังรวมถึงวิญญาณยุทธ์ความสามารถเทวะ
จารึกวิญญาณ และวิญญาณยุทธ์สีแดงแปรสภาพ เป็นนางรวบรวม
พวกมันเอาไว้อย่างหมดสิ้น
“จริงด้วย เย่ว์เหม่ย ข้าครอบครองวิญญาณยุทธ์เที่ยงธรรม ก่อนหน้า
นี้เจ้าไม่คล้ายพบเห็นหรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“พี่ชาย นี่ท่านถึงขั้นมีวิญญาณยุทธ์นั่น เหตุใดไม่กล่าวให้เร็วกว่านี้!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหยุดชะงักกลางอากาศ
ฉินหยุนหยุดตาม พร้อมกันนี้จึงยิ้มกล่าว “นึกว่าเจ้าพบเห็นแล้วเสีย
อีก”
“เร่งรีบปล่อยมันออกมา วิญญาณยุทธ์นั่นท่านต้องนำออกมาก่อนข้า
จึงพบเจอได้!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเร่งรีบกล่าวพลางถือกระจกน้อยในมือ
นางเผยอาการตื่นเต้นจนร่างสั่น
ฉินหยุนปล่อยวิญญาณยุทธ์สีขาวออกมา
วิญญาณยุทธ์กระจกของเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเผยแสงสีขาว ถัดจากนั้น นาง
ยื่นมือที่ถือกระจกส่องมันเอาไว้ ก่อนจะเผยยิ้มพึงใจกล่าวคำ
“เรียบร้อย!”
“เอาละ เร่งรีบเดินทางกันต่อได้แล้ว!” ฉินหยุนกล่าว
ผ่านการเร่งเดินทางหลายวัน ฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ยค่อยมาถึง
เมืองแห่งหนึ่ง
มันเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่ไร้ซึ่งกำแพงเมือง มองจากฟากฟ้าด้านบน
ผังเมืองค่อนข้างยุ่งเหยิง นอกจากนี้แล้ว ยังมีอุปกรณ์บินได้สารพัด
ชนิด รวมถึงผู้คนบินว่อนกลางอากาศ
เมืองใหญ่ตามปกติ การบินเหนือเมืองต้องมีการจำกัดควบคุม ดังนั้น
ผู้คนที่จะบินได้ต้องทำตามกฎอย่างเคร่งครัด
แต่เมืองแห่งนี้ ไม่คล้ายมีการจัดระเบียบ จึงทำให้มีสภาพยุ่งเหยิงเช่น
ที่เห็น
“พี่ชาย เมืองนี้อยู่ใกล้เทือกเขานิราศจันทราที่สุด เดิมเป็นเมืองใหญ่
แต่เพราะมีเรื่องเกิดขึ้นบ่อย มันจึงกลายเป็นเช่นนี้ นี่ก็ถูกสร้างวนซ้ำ
ขึ้นมาหลายครั้งแล้ว!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยคล้ายคุ้นเคยกับเรื่องราวต่าง
สถานที่เช่นนี้เป็นอย่างดี
“พวกเราจะตรงเข้าเทือกเขานิราศจันทรา หรือว่าเข้าเมืองนี้ก่อน?”
ฉินหยุนเอ่ยถาม
“เมื่อจันทราสีครามปรากฏ ข้าจะใช้จันทราสีครามนั้นสัมผัสถึง
วิญญาณยุทธ์จันทราทมิฬของพี่หยาง ถึงตอนนั้นพวกเราจะหาตัว
นางพบได้!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว “หากวิญญาณยุทธ์จันทราทมิฬ
ซ่อนเร้นตัวตน เช่นนั้นจะยิ่งเป็นเรื่องยากค้นหาขึ้นไปอีก!”
ฉินหยุนพยักหน้ารับ “อย่างนั้นเข้าเมืองไปหาข่าวคราวกันก่อน!”
ไม่นานถัดจากนั้น เชี่ยวเย่ว์เหม่ยและฉินหยุนจึงเข้าสู่นครจันทรา
โกลาหล
พวกเขามุ่งหน้าตรงไปยังพื้นที่ตรงกลาง ที่แห่งนั้นดูค่อนข้างสะอาด
ตา กล่าวเช่นนั้นแต่ก็เป็นเพียงมีความสกปรกและยุ่งเหยิงน้อยที่สุดก็
เท่านั้น
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยที่มาถึงบริเวณตรงกลางเมือง นางจึงมองทางหอคอย
พร้อมกล่าว “พี่ชาย นั่นตำหนักจารึกเทวะ!”
ที่ใดมีเมืองใหญ่ ที่นั่นย่อมมีตำหนักจารึกเทวะ และเมืองนี้ ก็กล่าวได้
ว่าเป็นเมืองใหญ่
“จะเข้าตำหนักจารึกเทวะหรือ? เจ้าคิดเข้าไปทำอะไร?” ฉินหยุนคิ้ว
ขมวดเอ่ยถาม
“ย่อมต้องเข้าไปตรวจสอบ! ไปกัน ข้าจะพาท่านเข้าไปเอง ตามข้า
มา!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว เวลานี้นางสวมใส่ชุดสีดำ ใบหน้ามีผ้าคลุม
สีดำบดบัง ฝีเท้ามาดมั่นก้าวเดินมุ่งหน้าไปยังตำหนักจารึกเทวะ
ฉินหยุนได้แต่ติดตามด้านหลังนาง
ไม่นานนัก ฉินหยุนค่อยตามเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเข้าจนถึงด้านในตำหนัก
จารึกเทวะ
ที่ทำเขาประหลาดใจ คือเชี่ยวเย่ว์เหม่ยที่ข้างกายผู้นี้เริ่มลวงหลอกอีก
ฉากแล้ว
“ผู้จัดการอาวุโสอยู่ที่นี่หรือไม่? ข้าหลงเซียงเย่ว์จากแคว้นมังกรทะยาน
ฟ้า เป็นอาจารย์จารึกลึกล้ำ ผู้น้อยมาเยือนสถานที่แห่งนี้ หวังว่าจะได้
การต้อนรับเป็นอย่างดี!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเผยเสียงอ่อนนุ่ม ดวงตาเผย
ประกายแสงบริสุทธ์ิสดใส
ที่ทำฉินหยุนตื่นตะลึงกว่าอื่นใด คือเหรียญตราที่เชี่ยวเย่ว์เหม่ยนำ
ออกมา เหรียญตรานั้นมีคำว่า “ลึกล้ำ” แกะสลักเอาไว้ตรงหน้า และ
มี “ระดับ” ระบุเอาไว้
ภายในแดนวิญญาณอ้างว้าง เหรียญตรามีหลากหลายรูปแบบต่างกัน
ไปตามแต่ละแคว้น กระนั้น พวกมันทั้งหมดก็คือสิ่งยืนยันถึงตัวตน
อาจารย์จารึก

ตอนที่ 721 สู่เทือกเขานิราศจันทรา
ฉินหยุนยิ่งผิดหวัง เดิมเขาคิดว่าจะได้ทราบตัวตนของเหยาเฟิงจาก
ทางปิงชิงและเซี่ยฉีโหรว และจะได้หาหนทางแก้ไขข้อขัดแย้งที่มี
ต่อนาง
แต่ตอนนี้ ทั้งปิงชิงและเซี่ยฉีโหรวคล้ายไม่อาจจดจำเหยาเฟิงได้
อย่างไรแล้ว ฉินหยุนก็มั่นใจ ว่าเหยาเฟิงต้องเป็นคนคุ้นเคยต่อทั้งเซี่ย
ฉีโหรวและปิงชิง
“พี่ฉีโหรว เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านและพี่สาวปิงชิงถูกพรากความ
ทรงจำไปส่วนหนึ่ง ทำให้ลืมเลือนเรื่องของเหยาเฟิงผู้นั้น?” ฉินหยุน
เอ่ยถามขึ้น “เสี่ยวเม่ยเหลียนสามารถทำเช่นนั้นได้!”
เซี่ยฉีโหรวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงตอบ “ไม่น่าเป็นไปได้! ข้าสามารถ
สัมผัสได้อย่างชัดเจน ว่าความทรงจำที่มีนั้นสมบูรณ์ หากส่วนหนึ่ง
ถูกพรากหายไป ข้าย่อมต้องรับรู้ถึงมันได้!”
ฉินหยุนพลันนึกขึ้นได้ ว่าเซี่ยอู๋เฟิงและคณะ ต่างทราบกันอย่างชัดเจน
ว่าความทรงจำขาดหาย
“อย่างนั้นแล้วเหยาเฟิงคือผู้ใด? แล้วพวกเราควรทำอย่างไรดีหาก
นางยังเอาแต่รั้งสิ่งของภายในไข่มุกเม็ดที่สามเอาไว้?”
ฉินหยุนพอคิดถึงเรื่องนี้ เขายิ่งร้อนใจและรู้สึกโกรธเคืองไม่ใช่น้อย
ทั้งยังปรากฏเป็นความอับจน
“เสี่ยวหยุน หากเจ้ามีโอกาส ลองพยายามสนทนาต่อนาง หาทางแก้ไข
ข้อเบาะแว้งระหว่างเจ้าทั้งสอง!” เซี่ยฉีโหรวกล่าวปลอบ “ข้อพิพาท
ระหว่างเจ้าและปิงชิงยังเลือนหายได้ บางทีระหว่างเหยาเฟิงและเจ้าก็
ย่อมต้องคลี่คลายได้เช่นกัน”
“สาเหตุว่าทำไมระหว่างข้าและพี่สาวปิงชิงคลี่คลายต่อกันได้ นั่นก็
เพราะเป็นข้อพิพาทเล็กน้อย รวมถึง… เป็นนางที่ยังมีความรู้สึกต่อ
ข้า” ฉินหยุนบุ้ยปากกล่าว “ทว่าเหยาเฟิงผู้นี้ คล้ายเกลียดชังข้าจาก
ก้นบึ้ง!”
ฉินหยุนนึกย้อนถึงท่าทีซึ่งเหยาเฟิงมีต่อเขา ความรู้สึกสิ้นหวังปรากฏ
เด่นชัด
เซี่ยฉีโหรวหัวเราะเบา “เสี่ยวหยุน เจ้าต้องอดทนเข้าไว้! อย่างไรแล้ว
เหยาเฟิงก็จมดิ่งอยู่ในสภาพเช่นนั้น นอกจากนี้ นางยังอยู่ภายในไข่มุก
เม็ดที่สามของวิญญาณเทวะเก้าตะวันมายาวนาน เป็นไปได้ว่าสภาพ
จิตใจของนางอาจเกิดความบิดเบี้ยวขึ้นมาบ้าง”
“อย่างไรแล้ว นางก็ยังจดจำข้าได้อยู่ ทั้งยังทำเพื่อข้า ที่ไม่พรากวิญญาณ
เทวะเก้าตะวันไปจากเจ้าเสียเดี๋ยวนี้”
“หรือก็คือ ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเจรจากับนาง ขอให้นางมอบ
สิ่งของภายในไข่มุกเม็ดที่สามของวิญญาณเทวะเก้าตะวันให้แก่เจ้า”
“พี่ฉีโหรว ท่านรู้จักสตรีที่ร่างเล็กและงดงามประดุจรูปสลักหรือไม่?”
ฉินหยุนถามขึ้น
“ย่อมต้องรู้จัก ทั้งยังมีมากมายนัก! เสี่ยวหยุน ข้าอาศัยในพระราชวัง
เซียนตั้งแต่ยังเยาว์ สตรีทั้งหลายล้วนเรียกหาข้าเป็นเสี่ยวโหรว!” เซี่ย
ฉีโหรวถอนหายใจ “บางทีนามเหยาเฟิง นั่นอาจไม่ใช่นามแท้จริง
ของนาง”
“และเสียงนางยังแหบห้าว!” ฉินหยุนกล่าว
“ท่ามกลางสตรีที่ข้าจำได้ ล้วนมีเสียงอันน่ารับฟัง หาได้มีผู้ใดมีเสียง
แหบห้าว!” เซี่ยฉีโหรวตอบกลับ “เสี่ยวหยุน นางต้องคำสาป เป็นไป
ได้ว่าลำคอของนางอาจได้รับผลกระทบ ทำให้นางไม่อาจใช้เสียง
เดิมที่มีได้”
“หากเจ้าสามารถติดต่อกับนาง ให้ถามถึงตัวตนของนางให้มากขึ้น
หรืออาจจะทำให้นางเปิดเผยนามแท้จริงออกมา เช่นนั้นข้าจะได้
ทราบว่านางคือผู้ใด!”
ฉินหยุนได้แต่ต้องปล่อยวางเรื่องนี้เอาไว้ชั่วคราว เพราะเขายังมีเรื่อง
สำคัญอย่างการไปตามหาหยางฉีเย่ว์
เขายังเชื่อ ว่าหยางฉีเย่ว์ต้องรู้จักเหยาเฟิงผู้นี้
“พี่ฉีโหรว คำสาปจิตวิญญาณนั้นไม่มีทางคลายได้เลยหรือ?”
ฉินหยุนเชื่อว่าตราบเท่าที่เขาช่วยเหลือเหยาเฟิงคลายคำสาปได้ ไม่
เพียงแต่จะคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างพวกเขา บางทีมันอาจให้
นางได้ช่วยเหลือทั้งเซี่ยฉีโหรวและปิงชิง
“มีแต่จอมจักรพรรดิอสูรเซียนจึงสามารถถอนคำสาป ข้าเองก็ไม่คิด
ว่าจะมีผู้ใดสามารถทำให้จอมจักรพรรดิอสูรเซียน ถึงกับยอมจ่าย
ราคาอันสูงล้ำเพียงนี้เพื่อใช้คำสาปนี้ได้! จอมจักรพรรดิอสูรเซียน
ย่อมต้องเกลียดชังเหยาเฟิงเป็นล้นพ้น เพราะเหตุนั้นจึงร่ายคำสาป
ดังกล่าวต่อนาง!” เซี่ยฉีโหรวกล่าว
“นางกล่าวว่าเพราะตัวข้าในชาติภพก่อนเป็นต้นเหตุ และตัวข้าใน
ชาติภพก่อนถึงขั้นทรงอำนาจ ขนาดส่งนางไปมีเรื่องกับจอมจักรพรรดิ
อสูรเซียนได้เลยอย่างนั้นหรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“นี่จะเป็นไปได้อย่างไร? เจ้าก็เป็นแค่ราชันเซียนในชาติภพก่อน จอม
จักรพรรดิอสูรเซียนขยับนิ้วมือก็สังหารเจ้าได้แล้ว!” เซี่ยฉีโหรว
หัวเราะ “เสี่ยวหยุน เรื่องนี้อย่าได้คิดมากจนเกินไป เพียงทำไปตาม
เรื่องราวก็พอ!”
ฉินหยุนเพียงทราบว่าเหยาเฟิงแข็งแกร่ง นางคือผู้ที่มีความสามารถ
มากพอจะสร้างความเกลียดชังแก่จอมจักรพรรดิอสูรเซียนจนถึง
กระดูกดำได้
เขาที่สนทนากับเซี่ยฉีโหรวเรียบร้อย จึงออกไปพบเจอแม่เฒ่าหม่าที่
หอพิทักษ์กฎ แจ้งต่อนางถึงเรื่องที่เขาคิดเดินทางไปยังเทือกเขานิราศ
จันทรา
แม่เฒ่าหม่าทราบ ว่าฉินหยุนครอบครองหุ่นเชิดจอมราชันดวงดาว
อสูร ดังนั้นจึงยอมให้เขาไปได้โดยไร้ซึ่งกังวลใด นางเพียงแต่กล่าว
เตือนให้ระวังอย่าได้ถูกจับตัว
ฉินหยุนยังได้ทราบจากแม่เฒ่าหม่า ว่ามีราชันยุทธ์ รวมถึงจักรพรรดิ
ยุทธ์หลายคนอยู่ที่เทือกเขานิราศจันทรา พวกเขาเหล่านั้นล้วนมาจาก
แคว้นอื่นของแดนวิญญาณอ้างว้าง
“พี่หยาง ท่านถึงกับต้องเผชิญความยากลำบากมากมายเพียงนี้ที่เทือกเขา
นิราศจันทรา ข้าจะรีบไปพาท่านออกมาโดยเร็ว!”
ฉินหยุนไม่ทราบสภาพการณ์ของเทือกเขานิราศจันทราในเวลานี้ เขา
มีแต่ต้องไปตรวจสอบให้ทราบก่อน
เขาเลือกสวมใส่ชุดเรียบง่ายสีดำ ก่อนจะรอจนกระทั่งฟ้ามืด จึงค่อย
ออกเดินทางจากพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์โดยลำพัง
ตกดึก ฉินหยุนออกพ้นจากทางเข้าพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์ ก่อน
จะพบว่ามียอดยุทธ์และราชันยุทธ์ผนึกออร่าตนเองเอาไว้นับร้อย
ชีวิต
เมื่อพวกเขาเหล่านั้นพบเห็นว่ามีผู้ใดออกมา ยอดยุทธ์และราชันยุทธ์
จะลอบเร้นในเงามืดออกไปตรวจสอบ เมื่อพบว่าเป็นชายวัยกลางคน
พวกเขาจึงไม่คิดตามต่อ
ฉินหยุนพบว่าเรื่องราวน่าขัน ขั้วอำนาจใหญ่ทั้งหลายต่างส่งสายลับ
มาที่นี่เพื่อจับตามองเขา กระนั้นตอนนี้ พวกเขากลับต้องมาตรวจสอบ
ทุกผู้คนที่เดินทางออกมา
ฉินหยุนผ่านกลุ่มราชันยุทธ์เหล่านั้นมาได้โดยไม่ถูกพบเห็น เป็นเขา
ออกจากเมืองได้ง่ายดาย
เมื่อออกพ้นจากเมืองแล้ว เขาค่อยเก็บงำตัวตนก่อนจะพุ่งทะยานผ่าน
อากาศ มุ่งหน้าสู่เทือกเขานิราศจันทรา
เทือกเขานิราศจันทราค่อนข้างไกลห่าง กระนั้นหากรวดเร็วพอ เพียง
ไม่กี่วันก็สมควรเดินทางไปถึง
เส้นเขตแดนระหว่างแดนวิญญาณอ้างว้างและแดนอสูรอ้างว้างนั้น
กว้างใหญ่ เทือกเขานิราศจันทราอยู่ตรงบริเวณเส้นชายแดน และแต่
ละครึ่งของเทือกเขานิราศจันทราต่างตั้งอยู่ระหว่างสองแดนอ้างว้าง
ฉินหยุนหาได้ใช้อุปกรณ์วิเศษบินได้ เพราะเขาหาได้ครอบครองอัน
ใดแม้เพียงชิ้น ดังนั้นจึงได้แต่ต้องออกบินด้วยตนเองผ่านท้องฟ้ายาม
ค่ำคืน
ผ่านไปหลายชั่วโมงจึงเป็นช่วงดึกใกล้รุ่งสาง
ฉินหยุนยังคงบินอยู่เหนือภูเขาที่แห้งแล้ง แต่แล้วอย่างกะทันหัน เขา
กลับสัมผัสได้ถึงออร่าเจือจางที่ด้านหลัง มันอยู่ห่างออกไประดับ
หนึ่ง!
“มีคนตามมา!”
ฉินหยุนตื่นตะลึงภายในใจ เขาเร่งรีบเคลื่อนคล้อยลงสู่พื้น ก่อนจะ
ใช้ความสามารถเทวะทะลุทะลวงหลบซ่อนตัวใต้พื้นดิน
เขาได้ปล่อยเนตรวิญญาณไว้ที่บนพื้น ทำให้สามารถพบเห็นเรื่องราว
ด้านบนกระจ่างชัดผ่านพลังจิต
“เสี่ยวหยุน หลังจากที่จิตของเจ้าแปรเปลี่ยนเป็นจันทรา พลังจิตของ
เจ้าได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก กระนั้น เจ้ากลับเพิ่งพบว่ามีคนติดตามเจ้ามา!
อีกฝ่ายย่อมไม่ใช่ตัวตนเล็กจ้อยแน่!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “ผู้เดียวที่
ทราบว่าเจ้าเดินทางออกจากพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์ ก็มีแต่แม่เฒ่า
หม่า!”
“บางที อีกฝ่ายอาจไม่ได้ตามเราตั้งแต่ที่พระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์ก็
เป็นได้!” ฉินหยุนไม่คิดเชื่อว่าอีกฝ่ายติดตามเขามายาวนานเพียงนั้น
เพราะมองเขาแต่ภายนอกเพียงครั้งเดียวย่อมไม่มีทางทราบได้ นอกจากนี้
ตัวเขายังเก็บงำออร่าเอาไว้เป็นอย่างดีเยี่ยม
ก่อนหน้านี้ ครั้งที่ออกจากพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์ ราชันยุทธ์
หลายคนที่ทางเข้าไม่อาจจดจำเขาได้แม้เป็นในระยะประชิด
“จะบอกว่านั่นคือครึ่งเซียนอย่างนั้นหรือ?” ฉินหยุนคิ้วขมวด
หลังรอคอยในพื้นดินอยู่ครู่หนึ่ง เนตรวิญญาณจึงค่อยพบเห็นบุคคล
ผู้หนึ่งกลางท้องฟ้า
เขาเพียงเห็นเป็นร่างเงาที่ลอยกลางอากาศ
จันทราครึ่งดวงบนฟากฟ้ายามราตรีส่องแสงสีน้ำเงินอ่อนจาง หาก
ไม่ใช่เพราะกลุ่มเมฆหนาบดบังหลายต่อหลายครั้ง ฉินหยุนจึงไม่มี
ทางใช้งานพลังเงาได้อย่างแน่นอน
และตอนนี้ มวลเมฆหนาได้เลือนหายไปแล้ว หากฉินหยุนออกไป
เขาต้องถูกพบเห็นอย่างแน่นอน
“นี่มันเป็นผู้ใดกัน? ถึงขั้นหยุดไล่ตามเราได้ตรงตำแหน่งด้านบนพอ
ดิบพอดีเช่นนี้ จะบอกว่ารู้อยู่แล้วงั้นหรือว่าเราอยู่ที่ตรงใด?” ฉินหยุน
โอดครวญภายใน
ตู้ม!
ขณะเขาครุ่นคิด พื้นดินกลับเริ่มสั่นไหว
“ยันต์วิญญาณระดับราชัน? ทั้งยังเป็นธาตุไฟ! ตัวตนที่โง่งม คิดหรือ
ว่าข้าจะกลัวสิ่งของเช่นนั้น!” ฉินหยุนพบว่าเรื่องราวน่าขันขณะยังคง
ซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน
ฉินหยุนทราบ ว่าที่บนพื้นมีอัคคีพิโรธ เขาหาได้คิดออกไปแต่อย่าง
ใดไม่
ตู้ม ตู้ม ตู้ม…
ภายหลัง บุคคลกลางอากาศค่อยขว้างยันต์วิญญาณลงมาเพิ่ม เป็นผล
ให้พื้นดินต้องเกิดการยุบตัว
และนี่ ก็เป็นผลให้ฉินหยุนต้องเผ่นหนี
ที่ทำเขาประหลาดใจ คืออีกฝ่ายซึ่งอยู่บนอากาศทราบตำแหน่งของ
เขาอย่างแม่นยำ ที่ใดซึ่งเขาหลบหนีไปใต้ดิน ยันต์ระเบิดจะร่วงหล่น
มาที่ตรงนั้น
“เสี่ยวหยุน อีกฝ่ายพยายามบังคับให้เจ้าออกไป จากที่เห็น ระดับการ
ฝึกฝนไม่น่าจะสูงส่ง ไม่เช่นนั้นคงลงมือด้วยตนเองไปเรียบร้อยแล้ว!”
หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
ฉินหยุนไม่อาจใช้ความสามารถเทวะทะลุทะลวงเป็นเวลานานได้
ด้วยอยู่ใต้ดินเช่นนี้ พลังที่เขาต้องจ่ายออกไปถือว่ามหาศาล
“ได้ อย่างนั้นออกไปพบหน้ามัน!” ฉินหยุนตัดสินใจทะยานร่างจาก
พื้นขึ้นกลางฟากฟ้า
อย่างรวดเร็ว เขาทะยานพรวดขึ้นพร้อมพบเห็นอีกฝ่ายที่อยู่กลาง
ฟากฟ้าในชุดดำ ร่างนั้นถูกปกปิดเอาไว้อย่างมิดชิด กระทั่งดวงตาก็
ไม่อาจพบเห็นได้
“รับมือ!”
ฉินหยุนตะโกนดัง หมัดต่อยผ่านอากาศ ปลดปล่อยออกซึ่งพลังสั่น
ไหวรุนแรงจนพื้นเบื้องล่างสั่นสะเทือน
เขาคิดว่าหลังปลดปล่อยหมัดออกไป บุคคลในชุดดำนั้นจะต่อสู้ตอบ
โต้กลับมา
ผู้ใดกันคาดคิด ว่าบุคคลในดำผู้นั้นจะเร่งรีบเผ่นหนีหาย!
ทิศทางที่บุคคลในชุดดำมุ่งหน้าไป คือเส้นทางไปยังเทือกเขานิราศ
จันทรา ดังนั้นฉินหยุนจึงไล่ตามไปได้โดยไม่ติดขัดใด
“เจ้าวายร้าย อย่าได้หนีแล้ว!”
ฉินหยุนตะโกนไล่หลังพร้อมปล่อยคลื่นพลังผ่านหมัด กระนั้นเขา
กลับไม่อาจรั้งบุคคลในชุดดำเอาไว้ได้
“เสี่ยวหยุน อีกฝ่ายเจตนาล่อลวงเจ้าไปหรือไม่?” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
“อย่าได้หลงกลมัน!”
ฉินหยุนคิดตาม เขาเลือกไม่ไล่ตามไป กลับกัน เขาเปลี่ยนทิศทาง
เล็กน้อยที่ใช้มุ่งหน้าไปยังเทือกเขานิราศจันทราแทน
ที่ทำเขายิ่งโกรธแค้น คือบุคคลในชุดดำผู้นั้นกลับมาบินอยู่ตรงหน้า
เขา ทั้งยังเจตนารักษาระดับความเร็วผันแปรตามเขาด้วย
ฉินหยุนมีโทสะ เขาตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางอีกครั้งหนึ่ง
และก็เป็นเช่นเดิม บุคคลในชุดดำนั้นเร่งรีบเข้ามาบินอยู่ที่ตรงหน้า
“ตัวบัดซบผู้นี้มันจงใจหาเรื่องเกินไปแล้ว!”
ฉินหยุนมีโทสะสุมอัดแน่น เขาใช้เงาปลิดชีพลมหายใจสมบูรณ์
เคลื่อนตัวพร้อมหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
กระนั้น บุคคลในชุดดำที่เบื้องหน้ากลับตอบสนองรวดเร็ว อีกฝ่าย
คล้ายตระหนักได้พร้อมไล่ตามมาราวกับรู้ทิศทาง
“มันผู้นี้เป็นใครกันแน่? เหตุใดรวดเร็วได้เพียงนี้?” ฉินหยุนไม่อาจ
ลงมือใดได้ การโจมตีทั้งหมดล้วนพลาด ทั้งยังไม่อาจไล่ตามอีกฝ่าย
ได้ทัน
เขาคิดอยู่ครู่ก่อนจะร่อนลงกลางพื้นที่ทะเลทรายเบื้องล่าง
ฉินหยุนไม่คิดบินไปต่อ แต่กลับเลือกที่จะวิ่งทางภาคพื้น
และก็เป็นดังที่คาด บุคคลชุดดำร่อนลงที่พื้นพร้อมเริ่มออกวิ่งที่
ตรงหน้าของเขา
“เหอะ คราวนี้เป็นเจ้าที่ติดกับข้าแล้ว!” ฉินหยุนเกิดความยินดีขึ้น
ภายใน เขาปลดปล่อยวิชายุทธ์โทเทมต้นไม้ออกมา เป็นกรงเล็บ
พฤกษา
อย่างกะทันหัน รากไม้จำนวนมากพลันปรากฏที่เบื้องหน้าบุคคลใน
ชุดดำเป็นแนวยาวนับร้อยเมตร และอีกฝ่ายตอบสนองช้าเกินไป เท้า
ของเขานั้นได้ก้าวเข้าสู่กรงเล็บพฤกษาจนถูกจับตัวเอาไว้ได้
ฉินหยุนไม่คิดพลาดโอกาสนี้ เร่งรีบใช้งานร่างเงาประกายแสงสมบูรณ์
ใช้ความเร็วระดับสูงสุดพุ่งทะยานออก ในพริบตาเดียว เขาก็มาถึง
เบื้องหน้าอีกฝ่ายแล้ว
บุคคลชุดดำผู้นี้ย่อมมีฝีมือ เขาเร่งรีบสลัดพ้นพันธนาการของกรง
เล็บพฤกษา แต่ขณะคิดบินหนีหาย กลับต้องพบว่าถูกหม้อราชสีห์
สวรรค์สะกดมังกรเข้าจับกุมเอาไว้แล้ว
“พี่ชาย นี่ข้าเอง เย่ว์เหม่ย ข้าผิดไปแล้ว!” เสียงอ่อนหวานดังขึ้นจาก
ภายในหม้อราชสีห์สวรรค์สะกดมังกร
“เด็กน้อยผู้นี้อีกแล้ว!”
ฉินหยุนไม่ทราบว่าควรหัวเราะหรือหลั่งน้ำตาออกดี เขาสบถเสียง
เบาก่อนจะปล่อยเชี่ยวเย่ว์เหม่ยออกจากหม้อราชสีห์สวรรค์สะกด
มังกร
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยถอดเครื่องปลอมแปลงออก เผยซึ่งใบหน้างดงามมี
เสน่ห์ดึงดูด
ฉินหยุนยืดมือเข้าไปลูบถูใบหน้าของนางอย่างแรงเป็นการระบาย
“เย่ว์เหม่ย นี่เจ้าไม่มีอื่นใดให้ทำแล้วหรือ!” ฉินหยุนต่อว่านางพลาง
ลูบใบหน้านั้นไปด้วย
“พี่ชาย ไม่ใช่ว่าท่านคิดหาตัวข้าอยู่หรอกหรือ?” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยปัดมือ
ซุกซนของฉินหยุนออก พร้อมกล่าวด้วยท่าทีเสแสร้งโกรธเคือง
ฉินหยุนย่อมหาตัวเชี่ยวเย่ว์เหม่ยอยู่จริง ทั้งยังต้องการให้นางร่วมมือ
เพื่อทำการคัดลอกจารึกวิญญาณ!

ตอนที่ 720 จันทราสีคราม
ฉู่ปินอวี้และเจี้ยนหมางออกไปจากห้องโถง
ฉินหยุนคว้ามือขาวนวลของเย่ว์อู่หลันเอาไว้พร้อมเผยยิ้ม “พี่สาว
รอง ที่เกาะจันทราปีศาจเป็นอย่างไรบ้าง?”
เทียนรั่วเหลิงกล่าวตอบ “เป็นไปได้ด้วยดี เรื่องนี้เจ้าวางใจอย่าได้
ห่วงอันใดไป!”
“น้องหยุน พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อบอกข่าวคราว! หยางฉีเย่ว์ยังคงอยู่ที่
เทือกเขานิราศจันทรา มีคนพบเห็นนาง และกระทั่งทำนางบาดเจ็บ
ได้!” เย่ว์อู่หลันกล่าว
ฉินหยุนพอได้รับฟัง เขายิ่งร้อนรนกล่าวถาม “แล้วอย่างไรต่อ? นาง
เล่า?”
“พวกเราไม่อาจทราบ หลังได้รับบาดเจ็บนางก็หนีหายไปแล้ว!”
เทียนรั่วเหลิงส่ายศีรษะ
“เย่ว์หลานต้องการให้พวกเรามาแจ้งเรื่องนี้ต่อเจ้า ว่าอย่าได้กังวลไป
อีกเดือนหนึ่ง เมื่อนั้นจะเป็นคืนจันทราสีคราม ดวงจันทราจะแปรเปลี่ยน
เป็นสีคราม และเมื่อนั้น อาการบาดเจ็บของหยางฉีเย่ว์จะฟื้นคืน
สมบูรณ์!” เย่ว์อู่หลันกล่าว
ฉินหยุนคิดตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังเทือกเขานิราศจันทราในทันที
“พี่สาวใหญ่ พี่สาวรอง ข้าคิดอยากพาพวกท่านไปพบคนผู้หนึ่ง!”
ฉินหยุนยังจำคำย้ำเตือนของปิงชิงได้ เขาตัดสินใจนำเย่ว์อู่หลันและ
เทียนรั่วเหลิง มุ่งหน้าไปยังตำหนักพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์
นี่ก็เพราะตัวเขาต้องการทราบเช่นกัน ว่าเย่ว์อู่หลันและเทียนรั่วเหลิง
มีชาติภพก่อนหรือไม่
เพียงไม่นาน เขานำทั้งสองไปยังตำหนักพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์
เพื่อเข้าพบกับปิงชิง
ฉินหยุนได้บอกต่อเรื่องราวที่ตนรู้จักเทียนรั่วเหลิงและเย่ว์อู่หลัน
ตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว
ทันทีเมื่อเย่ว์อู่หลันและเทียนรั่วเหลิงมาถึง ทั้งสองต่างรับรู้ได้ถึง
ความน่าสะพรึงอันเลิศล้ำของปิงชิง พวกนางย่อมทราบ ว่าพระราชวัง
เซียนยุทธภัณฑ์มีเซียนหลบซ่อนอยู่ ดังนั้นพวกนางจึงเผยความเคารพ
เป็นอย่างยิ่งออกมา
“ฉินหยุน การฝึกฝนของทั้งสองคล้ายประสบปัญหาอยู่บ้าง ให้ข้า
ช่วยพวกนางจัดการ น่าจะสักหลายวัน!” ปิงชิงกล่าว
“เข้าใจแล้ว!” ฉินหยุนพยักหน้ารับ
“ข้าจะเข้าไปยังต้นกำเนิดเซียนพร้อมพวกนางทั้งสอง ช่วงเวลานี้
อย่าได้เข้ามารบกวนพวกเรา!” ปิงชิงกล่าวย้ำ
ไม่นานจากนั้น ฉินหยุนจึงขอให้เย่ว์อู่หลันและเทียนรั่วเหลิงนำกระบี่
ออกมา
กระบี่ทั้งสองเป็นฉินหยุนสร้างขึ้นก่อนหน้านี้ และพวกมันก็เป็น
เพียงอาวุธวิญญาณระดับราชัน
เวลานี้ ฉินหยุนคิดอยากเสริมศักยภาพแก่พวกมันให้ขึ้นเป็นอาวุธลึกล้ำ
ปิงชิงที่นำสองสาวเข้าไปในสระเซียน ฉินหยุนจึงเริ่มทำการเสริม
กำลังแก่กระบี่ทั้งสอง
“หยุนเอ๋อ พี่สาวปิงชิงคิดทำอะไร?” ฉินหยุนเอ่ยถาม “ความรู้สึกข้า
บอกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมนัย!”
“ข้าไม่อาจทราบ เซียนผู้นั้นภายนอกเย็นชา ทว่านางจะไม่มีทาง
คิดร้ายต่อเจ้า!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
ฉินหยุนเร่งรีบขัดเกลากระบี่ทั้งสองขึ้นเป็นอาวุธลึกล้ำ พร้อมแกะสลัก
อักขระโทเทมที่ตัวอาวุธ
กระบวนการขัดเกลาอุปกรณ์ของเขารวดเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะยาม
เมื่อแกะสลักโทเทม ระดับความวิจิตรกล่าวได้ว่าสูงล้ำ
เพียงสองวัน ปิงชิงนำเทียนรั่วเหลิงและเย่ว์อู่หลันกลับออกมาจาก
สระเซียน
เมื่อขึ้นมากันแล้ว ฉินหยุนจึงกวาดตามองทางเทียนรั่วเหลิงและเย่ว์
อู่หลัน เพื่อมองหาว่าสีหน้าพวกนางจะเผยอาการผิดปกติใดหรือไม่
เย่ว์อู่หลันและเทียนรั่วเหลิง ต่างเดินเข้ามากอดฉินหยุน ก่อนจะเอ่ย
คำลาตระเตรียมจากไป พวกนางมาพร้อมฮูจิงเซียน และตอนนี้ก็ใกล้
ถึงเวลาเดินทางกลับแล้ว
ฉินหยุนนำทั้งสองส่งที่นอกตำหนักพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์ ก่อน
จะเร่งรีบเดินกลับเข้ามา
“พี่สาวปิงชิง พวกนางเป็นอย่างไรบ้าง?” ฉินหยุนถามขึ้น
“ก็ไม่มีอันใด! ทั้งสองต่างเป็นเด็กดี!” ปิงชิงมองทางที่ฉินหยุนพร้อม
กล่าว “ข้าเพียงช่วยพวกนางชี้นำความผิดพลาดในการฝึกฝน ทำให้
มันถูกต้อง และยังใช้บรรทมเซียนตะวันจันทราช่วยเหลือพวกนาง
เพิ่มพูนวิชายุทธ์!”
“ขอบคุณท่านแล้ว พวกนางต่างเป็นพี่สาวใหญ่และพี่สาวรองของ
ข้า!” ฉินหยุนกล่าวออกอย่างซาบซึ้ง
“ว่าอะไร? เจ้ากังวลว่าข้าจะทำร้ายพวกนางหรือไร?” ปิงชิงแค่นเสียง
กล่าวคำเย็นเยือก
“นั่นย่อมไม่ใช่!” ฉินหยุนหัวเราะก่อนจะเผยสีหน้าร้อนใจ “พี่สาว
ปิงชิง ข้าคิดไปยังเทือกเขานิราศจันทรา เพราะพี่หยางถูกพบตัว ทั้ง
นางยังได้รับบาดเจ็บ!”
“หากเจ้าไปตอนนี้ เจ้าก็ไม่อาจหาตัวนางได้พบ! ในวันที่จันทราสีคราม
ปรากฏขึ้น เจ้าจะสามารถสัมผัสถึงการเชื่อมต่อระหว่างจันทราโดย
อาศัยจิตแปรสภาพจันทราของเจ้าได้ จากนั้นเจ้าจึงค่อยสามารถ
สัมผัสถึงวิญญาณยุทธ์จันทราทมิฬของนาง!”
ปิงชิงกล่าวต่อ “ระหว่างช่วงเวลานี้ เจ้าก็ควรทำความคุ้นชินกับวิชา
ยุทธ์ที่มี รวมถึงพลังของขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับกลางเสียให้
ดี!”
ฉินหยุนร้อนใจไม่ใช่น้อย กระนั้นคิดไปก็ไม่ได้อะไร เขามีแต่ต้อง
ก้าวเดินต่อไป ดังนั้นตอนนี้ที่สมควรทำคือไปฝึกฝนร่วมกับปิงชิง
หลังจากที่เข้าสู่เขตแดนจินตภาพเซียนยุทธภัณฑ์อีกครั้งหนึ่งแล้ว
เขาต้องประมือกับปิงชิงที่ภายในนั้นหลายครั้งครา
ผ่านการฝึกฝนอยู่หลายวัน ฉินหยุนค่อยคุ้นชินกับตนเองที่ขอบเขต
วรยุทธ์วิญญาณระดับกลาง
การฝึกฝนกระดูกวิญญาณคือขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับต้น และ
กระดูกวิญญาณ มันจะทำให้ตัวกระดูกสามารถกักเก็บพลังงานเอาไว้
ที่ภายในได้!
การฝึกฝนวิญญาณต้นกำเนิดจึงเป็นขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับ
กลาง วิญญาณต้นกำเนิดสามารถทำให้พลังจิตของผู้คนแข็งแกร่งขึ้น
ถัดจากนั้น จึงเป็นการฝึกฝนโลหิตจิตวิญญาณ
โลหิตจิตวิญญาณ คือสิ่งที่จะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น!
หากร่างเซียนและร่างอสูรมีความพากเพียร พวกเขาจะติดอยู่ที่ขั้นตอน
นี้อยู่หลายปีก่อนจะฝึกฝนโลหิตเซียนและโลหิตอสูรได้
ฉินหยุนในเวลานี้ได้ฝึกฝนร่างเซียนอสูร และเช่นกัน เขาได้ครอบครอง
โลหิตเซียนอสูรที่ทรงอำนาจ!
ด้วยเหตุนี้ ตัวเขาเวลานี้กล่าวได้ว่าอยู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับ
สูงแล้ว
“พี่สาวปิงชิง ข้าในเวลานี้กล่าวได้ว่าเป็นขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ
ระดับสูงแล้วหรือยัง?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“เป็นเช่นนั้น! เพราะถัดจากนี้ คือการก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ
ระดับสูงสุด! นั่นก็คือการฝึกฝนผลึกแก้วเต๋าวิญญาณลึกล้ำ สิ่งนี้
กล่าวได้ว่ามันคือแก่นเต๋า ตราบเท่าที่เจ้าฝึกฝนผลึกแก้วเต๋าวิญญาณ
ลึกล้ำได้สำเร็จ เท่ากับเจ้าได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับ
สูงสุดแล้ว!”
“แล้วผลึกแก้วเต๋าวิญญาณลึกล้ำเอาไว้ทำอันใด?” ฉินหยุนคิดอยู่ครู่
พบว่าเรื่องราวนี้ตนไม่คล้ายเข้าใจเท่าใดนัก
“ประโยชน์มีมากมาย มันสามารถแปรเปลี่ยนพลังวิญญาณสู่พลังลึก
ล้ำโดยตรง พลังลึกล้ำจะช่วยแปรเปลี่ยนแก่นเต๋าของเจ้า ให้กลายเป็น
แก่นลึกล้ำ!”
“เท่ากับวิญญาณยุทธ์ของเจ้าจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในทุกสัดส่วน หลังจาก
ที่ควบแน่นแก่นลึกล้ำขึ้นได้ เจ้าจึงจะได้เป็นยอดยุทธ์ขอบเขตวรยุทธ์
ลึกล้ำ ถึงตอนนั้น เจ้าจะสามารถใช้พลังเต๋าลึกล้ำออกมาได้”
ปิงชิงพอกล่าวคำจบ นางจึงออกไปจากเขตแดนจินตภาพเซียน
ยุทธภัณฑ์
ฉินหยุนจึงตื่นขึ้นในห้องตนเอง พร้อมเร่งรีบเดินทางไปยังตำหนัก
พระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เขาพยายามติดต่อหาเหยาเฟิง กระนั้นคล้าย
นางหลับใหลในห้วงลึก จึงไม่มีการตอบสนองใดกลับมา
เดิมฉินหยุนไม่คิดถามถึงเรื่องนี้ต่อปิงชิง ทว่าเขาเป็นกังวลว่าเหยาเฟิง
อาจก่อเรื่องที่นำเภทภัยมาสู่ตัวเขาได้
ด้วยเพราะต้องการทราบตัวตนของเหยาเฟิง เขาที่ไร้ซึ่งทางเลือกจึง
ต้องถามต่อปิงชิง
ก่อนฉินหยุนจะไปยังตำหนักพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์ เขาได้ทดลอง
หยดเลือดลงที่แผนที่หลุมฝังเซียน
กระนั้นเซี่ยฉีโหรวก็หาได้มีการตอบสนองใด
ด้วยไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว ฉินหยุนจึงมีแต่ต้องไปยังตำหนัก
พระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์
ภายในตำหนักใหญ่ ปิงชิงสวมใส่ชุดเบาบาง เป็นผ้าต่วนสีขาวรัดพัน
รอบหน้าอกของนางเอาไว้ ทั้งยังมีกางเกงขาสั้นได้รูป พวกมันเปรียบ
ดังชุดโปร่งแสงที่ปกปิดเรือนร่างของนางเอาไว้
เซียนที่เย็นเยือก ด้วยสวมใส่ชุดเช่นนี้ มันกลับดึงดูดล่อลวงผู้พบเห็น
ได้เป็นล้นพ้น
นางพอพบฉินหยุนมาถึง จึงเร่งรีบนำเอาชุดคลุมสีขาวมาสวมใส่ปิด
ทับ
“พี่สาวปิงชิง ท่านเคยได้ยินสตรีนามเหยาเฟิงมาก่อนหรือไม่?” ฉิน
หยุนเอ่ยถาม
“ไม่เคยได้ยิน” ปิงชิงคิดอยู่ครู่จึงส่ายศีรษะตอบคำ นางถามกลับ
“ผู้ใดกันหรือ?”
“ก็เป็นเพียงชื่อ!” นี่ถือว่าเกินกว่าที่ฉินหยุนคาดคิดไว้ เขานึกว่าปิงชิง
จะรู้จักนางเสียอีก
“นางเป็นสตรีที่เจ้ารู้จักอย่างนั้นหรือ?” ปิงชิงเอ่ยถาม เห็นได้ชัดว่า
นางใส่ใจเรื่องนี้
“กล่าวว่าเป็นคนรู้จักของข้าก็ได้ นางต้องคำสาป ผิวหนังทั้งร่างของ
นางได้กลับกลายเป็นสีดำ นอกจากนี้แล้ว นางยังมีแต่แผลเป็นถูกเผา
ไหม้ นางกล่าวว่าแม้กลับชาติมาเกิดได้สำเร็จ ตัวนางก็จะไม่มีวันหลุด
พ้นจากคำสาปนั่น!” ฉินหยุนกล่าวออกด้วยท่าทีเรียบเฉย กระนั้น
ภายในก็มีความรู้สึกผิดสุมอยู่เต็มอกแล้ว
เพราะคำสาปนั่น เห็นได้ชัดว่าเป็นผลจากตัวตนในชาติภพก่อนของ
เขา
ปิงชิงคิ้วขมวดเล็กน้อย นางก้าวเดินไปมาราวกับนึกย้อนถึงอะไร
บางอย่าง
“ข้าเคยเห็นคำสาปเช่นนี้เพียงแต่ในตำรา มันเป็นสิ่งที่มีแต่จอม
จักรพรรดิอสูรเซียนแห่งเขตแดนอสูรเซียนที่ทราบ! เหยาเฟิงผู้นี้ที่
เจ้ากล่าวถึง หากนางถูกคำสาปนั่นโจมตี อย่างนั้นก็ต้องไม่มีทางใช่
คนธรรมดาแน่แล้ว!”
“เพราะหากต้องการใช้คำสาปนี้ จอมจักรพรรดิอสูรเซียนจะต้องจ่าย
ด้วยราคาอันหนักหนา เขาจะต้องอยู่ในสภาพหลับใหลยาวนานนับ
หมื่นปีหากคิดลงมือถึงระดับนั้น!” ปิงชิงกล่าว
ฉินหยุนค่อยตระหนักได้ ว่าคำสาปนี้รุนแรงเพียงใด
“ไม่มีทางกำจัดมันเลยหรือ?” ฉินหยุนถามขึ้น
“ย่อมมี หากจอมจักรพรรดิอสูรเซียนถูกสังหาร คำสาปจะถูกคลาย
ออก กระนั้นนั่นไม่อาจเป็นไปได้! กระทั่งจอมจักรพรรดิเซียนอ้างว้าง
ก็ยังไม่อาจสังหารจอมจักรพรรดิอสูรเซียน ทั้งสองต่างเป็นตัวตนที่
ยากสังหารอย่างยิ่ง!” ปิงชิงกล่าว “นี่เจ้าไปพบบุคคลเช่นนั้นที่ใดกัน?
นางเป็นเซียนหรือ?”
“เป็นข้าพบนางในห้วงความฝัน!” ฉินหยุนเลือกที่จะกล่าวคำลวง
ออกไป
เซี่ยฉีโหรวและเหยาเฟิงต่างย้ำเตือนต่อเขา ว่าอย่าได้บอกปิงชิงถึง
เรื่องวิญญาณเทวะเก้าตะวัน
“หากเจ้าคิดอยากช่วยเหลือนาง ทางเดียวก็คือกำจัดจอมจักรพรรดิ
อสูรเซียน… ซึ่งนั่นคือเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้!” ปิงชิงกล่าว
ฉินหยุนยิ่งผิดหวัง ปิงชิงไม่อาจจดจำเหยาเฟิงได้ ทว่าเหยาเฟิงราว
กับคุ้นเคยต่อปิงชิงเป็นอย่างดี
“เอาละ มาฝึกฝนร่วมกับข้าได้แล้ว!” ปิงชิงเอ่ยคำ พร้อมปล่อยพลัง
เซียนออกมาและฉุดฉินหยุนลงสู่สระเซียน
ฉินหยุนเวลานี้ฝึกฝนร่างเซียนอสูรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงต้อง
เป็นฝ่ายช่วยเหลือปิงชิงฝึกฝนบ้าง
ปิงชิงได้ทราบวิชาร่างศักด์ิสิทธ์ิเซียนอสูร ทั้งยังเข้าใจถึงการฝึกฝน
พลังเซียนเก้าวิวัฒน์ กระนั้น เพื่อเพิ่มความเร็วการฝึกฝน นางมีแต่
ต้องดึงฉินหยุนเข้าร่วมการฝึกฝนด้วยกัน
หลังจากปิงชิงและฉินหยุนฝึกฝนร่วมกันอยู่หลายวัน ปิงชิงค่อย
กล่าว “ฉินหยุน นี่เป็นเวลาเหมาะสมที่เจ้าจะเดินทางไปยังเทือกเขา
นิราศจันทราแล้ว อีกราวสิบวัน จันทราสีครามจะปรากฏ!”
ฉินหยุนปล่อยวางความสงสัยเรื่องเหยาเฟิงเอาไว้ ก่อนจะกลับไป
ตระเตรียมตัวสำหรับเดินทาง
เขายังคงมีจอมราชันดวงดาวอสูร พละกำลังของมันทัดเทียมราชัน
ยุทธ์ ดังนั้นปิงชิงจึงผ่อนคลายยามให้เขาเดินทางไป
ฉินหยุนมุ่งหน้าไปยังหอพิทักษ์กฎ พูดคุยกับเจี้ยนหลิงหลงและเหลียว
จิงเหมิง ผ่านไปครู่หนึ่งเขาค่อยกลับไปที่ห้องตนเอง
ฉินหยุนเมื่อกลับมาแล้ว เขาจึงนำเอาแผนที่หลุมฝังเซียนออกมาพร้อม
หยดเลือดลงไป เขาคิดอยากติดต่อเซี่ยฉีโหรว กระนั้นก็ไม่อาจทำได้
เขาได้แต่ต้องนอนทอดกายบนเตียง ควบคุมวิญญาณเทวะเก้าตะวัน
ให้ปรากฏออกมา “พี่สาวเหยาเฟิง ท่านหลับใหลจริงหรือ? ข้ามีเรื่อง
คิดหารือกับท่าน!”
เหยาเฟิงผู้ซึ่งอยู่ในไข่มุกเม็ดที่สามหาได้ตอบสนองใดกลับมา
ฉินหยุนได้แต่ต้องส่งเสียงสื่อสารไปยังเหยาเฟิงหลายครั้งครา กระนั้น
ผลลัพธ์ก็เป็นเช่นเดิม
ครึ่งวันให้หลัง แผนที่หลุมฝังเซียนค่อยมีปฏิกิริยาตอบสนอง!
ฉินหยุนลุกพรวดจากที่นอน นำเอาแผนที่หลุมฝังเซียนออกมาวาง
กางบนโต๊ะ
“พี่ฉีโหรว หลายวันมานี้สภาพท่านไม่ดีหรือ?” ฉินหยุนถามอย่าง
ห่วงหา
“หลายวันที่ผ่านมาข้าได้เก็บตัวเข้าฝึกฝน! ว่าไปเจ้ามีเรื่องอันใด?”
เซี่ยฉีโหรวหัวเราะกล่าว “เสี่ยวหยุน ด้วยปิงชิงอยู่ข้างกายเจ้า ไม่ว่ามี
เรื่องอันใดล้วนปรึกษานางได้หรือไม่ใช่?”
“พี่ฉีโหรว ข้าได้เปิดไข่มุกเม็ดที่สามของวิญญาณเทวะเก้าตะวันแล้ว
กระนั้นภายในกลับมีคน…” ฉินหยุนบอกเล่าเรื่องราวของเหยาเฟิง
ให้เซี่ยฉีโหรวได้ฟัง
ได้ยินเช่นนี้ เซี่ยฉีโหรวเผยอาการตระหนกตกใจ นางเองก็คล้ายไม่
ทราบว่าจะถึงขั้นมีคนอยู่ภายในไข่มุกเม็ดที่สาม
“ข้าไม่ทราบว่านางคือผู้ใด ข้าไม่เคยได้ยินนามเหยาเฟิงมาก่อน!”
เซี่ยฉีโหรวครุ่นคิดไปพักหนึ่งจึงค่อยตอบคำกลับมา
“พี่ฉีโหรว ท่านเองก็ไม่ทราบหรือว่านางเป็นใคร?” ฉินหยุนถึงกับ
อึ้ง เขานึกว่าเซี่ยฉีโหรวจะทราบว่าอีกฝ่ายคือผู้ใดกันแน่
เพียงไม่นาน เซี่ยฉีโหรวจึงพูดถึงคำสาปเช่นเดียวกับที่ปิงชิงกล่าว
ก่อนหน้านี้
“พี่ฉีโหรว คงมีคนไม่มากที่เรียกหาท่านเป็นเสี่ยวโหรวกระมัง?” ฉิน
หยุนเอ่ยถาม “ในความทรงจำท่าน มีผู้ใดเรียกหาท่านเช่นนี้หรือไม่?”
“พี่สาวทั้งหลายของข้าล้วนเรียกข้าเช่นนั้นกันทั้งสิ้น กระนั้นเท่าที่ข้า
จำได้ ก็ไม่คล้ายจะมีผู้ที่โดนคำสาปของจอมจักรพรรดิอสูรเซียน
นอกจากนี้แล้ว ยังเป็นไปไม่ได้ด้วยที่นางจะเข้าไปอยู่ในวิญญาณเทวะ
เก้าตะวัน!” เซี่ยฉีโหรวกล่าว

ตอนที่ 719 คำสาปจิตวิญญาณ
ฉินหยุนและหลิงหยุนเอ๋อต่างหวาดกลัว เพราะวิญญาณเทวะเก้าตะวัน
ถือเป็นวัตถุโบราณ หากมีบุคคลอยู่ภายในนั้นจริง เช่นนั้นย่อมต้อง
ไม่ใช่บุคคลทั่วไปอย่างแน่นอน
“ท่านคือใคร และเหตุใดท่านจึงอยู่ในนั้น?”
ฉินหยุนเร่งร้อนถาม เขาไม่อาจพบเห็นได้ว่าในไข่มุกเม็ดที่สามมีอัน
ใด ที่สัมผัสได้ก็เพียงแต่พบว่ามันมีสิ่งของอยู่ภายใน
บุคคลด้านในคือสตรี น้ำเสียงของนางแหบห้าวและเย็นเยือก มันเผย
ออกซึ่งความระแวดระวัง
“จงบอกต่อข้า เจ้าคือผู้ใด? หากเจ้าไม่ใช่เสี่ยวโหรว ข้าก็รับประกัน
ว่าเจ้าจะไม่ใช่เพียงพลาดได้รับสิ่งของภายในไข่มุกเม็ดที่สาม แต่จะ
เป็นเจ้าสูญเสียวิญญาณเทวะเก้าตะวัน!” สตรีผู้นั้นเอ่ยคำ
ฉินหยุนสบถต่อหญิงสาวภายในใจ วิญญาณเทวะเก้าตะวันถือเป็น
ชีวิตของเขา
“นามข้าคือฉินหยุน! และเสี่ยวโหรวที่ท่านกล่าวนั่นหมายถึงเซี่ยฉี
โหรวหรือ?” ฉินหยุนถามขึ้น
“เซี่ยฉีโหรว? ย่อมไม่ใช่ชื่อนาง! เป็นเซียนฉีโหรว!” สตรีด้านในเผย
ความโกรธเกรี้ยวเล็กน้อย “คล้ายว่าเจ้าฉกชิงวิญญาณเทวะเก้าตะวัน
นี้มาจากเสี่ยวโหรว อย่างนั้น เจ้าก็ควรบอกลาวิญญาณเทวะเก้าตะวัน
ได้แล้ว!”
“พี่สาว… รอสักประเดี๋ยว หากท่านคิดอยากนำวิญญาณเทวะเก้าตะวัน
ไป เช่นนั้นรอให้ข้านำสิ่งของออกมาก่อน!”
ฉินหยุนร้องตะโกน เขาถึงขั้นกายแข็งทื่อพร้อมเกิดนึกเสียใจที่เปิด
ไข่มุกเม็ดที่สาม
“เจ้ายังจะมีอันใดดีในครอบครอง? ไม่ใช่ขยะทั้งสิ้นหรือไร?” สตรีผู้
นั้นแค่นเสียง นางคล้ายสามารถพบเห็นภายในวิญญาณเทวะเก้า
ตะวันได้ว่ามีอะไรคงอยู่
แต่เพียงไม่นาน สตรีผู้นั้นกลับตะโกนดังขึ้น “นี่เจ้าเป็นผู้ใด? ไข่มุก
เม็ดแรกถึงขั้นมีต้นกำเนิดเซียนถึงสอง ทั้ง… ทั้งยังมีกระทั่งนกกระจอก
ลึกล้ำเก้าสวรรค์ นั่นเป็นวิญญาณดวงตะวัน!”
“ข้าคือฉินหยุน ท่านไม่น่ารู้จักข้า! เซียนฉีโหรวที่ท่านกล่าวถึงคือ
เซี่ยฉีโหรว นางกลับชาติมาเกิดจึงเปลี่ยนนาม! และนางคือราชครู
ของข้า!”
ฉินหยุนปวดหัวไม่ใช่น้อย เพราะสตรีภายในนั้นยากพูดจาสื่อสาร
ด้วยได้
“ก็ได้ เช่นนั้นจงบอกต่อข้า เจ้าได้รับวิญญาณเทวะเก้าตะวันมาได้
อย่างไร?” อีกฝ่ายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงบลงบ้าง
แม้ว่าฉินหยุนไม่รู้จักสตรีผู้นี้ กระนั้นเขาก็ได้บอกนางไปหลายเรื่อง
นั่นรวมถึงแผนที่หลุมฝังเซียน และเรื่องการที่เขาได้รับการชี้นำให้
ฝึกฝนร่างเซียนอสูร
“หากเจ้าฝึกฝนร่างเซียนอสูรจริง เช่นนั้นข้าจะยอมเชื่อ!” สตรีด้าน
ในเอ่ยคำขึ้น
“ข้าจะยืนยันได้อย่างไร?”
ฉินหยุนต้องทำให้สตรีผู้นี้เชื่อใจตนเองให้ได้ ไม่เช่นนั้น ไม่เพียงแต่
จะสูญเสียวิญญาณเทวะเก้าตะวัน เขายังจะต้องสูญเสียสิ่งของภายใน
ไปด้วย
“เดิมข้าออกไปได้ ทว่าเจ้าอยู่ในแดนวิญญาณอ้างว้าง เมื่อใดข้าออกไป
เมื่อนั้นย่อมถูกดูดกลับไปยังแดนเซียนอ้างว้าง และตอนนี้ข้าก็ยังไม่
คิดเข้าสู่แดนเซียนอ้างว้าง!” สตรีผู้นั้นกล่าวออก
“ข้าอยู่ที่พระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์ มันมีอาคมพิเศษที่ช่วยคุ้มกันการ
หยุดยั้งการรับรู้จากแดนเซียนอ้างว้างได้! ว่าไปแล้ว ท่านรู้จักปิงชิง
หรือไม่? นางเองก็อยู่ที่นี่!” ฉินหยุนพลันกล่าว
“ปิงชิงก็อยู่ที่นี่หรือ?” อีกฝ่ายเอ่ยถามอย่างตื่นตะลึง
“ใช่ ท่านคิดพบนางหรือไม่?” ฉินหยุนเกิดความยินดี หากเป็นเช่นนี้
เรื่องราวก็คงง่ายพูดคุยมากขึ้น
“ข้ายังไม่คิดอยากพบนาง! เจ้าอย่าได้บอกถึงเรื่องนี้เช่นกัน! และเจ้า
ต้องติดตั้งม่านพลังที่ดีเยี่ยม เมื่อใดข้าออกไป ปิงชิงย่อมรับรู้ถึงข้า
ได้! หากนางพบว่าเป็นข้า เจ้าและวิญญาณเทวะเก้าตะวันได้จบสิ้น
แน่!” สตรีในไข่มุกเม็ดที่สามกล่าว
ฉินหยุนจึงติดตั้งม่านพลังขึ้น
ห้องของเขาเดิมมีห้องลับ หลังติดตั้งค่ายอาคมม่านพลัง มันจึงยิ่ง
รัดกุมมากขึ้น
“พี่สาว ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว ท่านออกมาได้!” ฉินหยุนกล่าว
เขาไม่ทราบว่าเทพเจ้าองค์ใดที่ตนเองตอนนี้พูดคุยอยู่ บ่อยครั้งที่เขา
ต้องพบเจอแต่สตรีรุนแรงและมีนิสัยแปลกประหลาด
วิญญาณเทวะเก้าตะวันพลันปรากฏที่ข้อมือของฉินหยุน ไข่มุกเม็ดที่
สามมันกำลังปรากฏหมอกสีดำ
วูบ!
สตรีเส้นผมยาวสวมใส่ชุดสีดำปรากฏตัวยืนต่อหน้าฉินหยุน
พละกำลังของสตรีผู้นี้เลิศล้ำ และนางยังร่างกระทัดได้รูป กล่าวได้
ว่าเป็นสตรีผู้งดงามคนหนึ่ง!
ฉินหยุนมองที่ใบหน้าของนางก่อนจะเกิดความตื่นตะลึง ใบหน้า
ของสตรีผู้นี้มีแต่รอยแผลเป็นสีดำปกคลุม ราวกับมันถูกเผาไหม้มา
สภาพดูไปแล้วชวนให้ผู้คนหวาดกลัวยิ่ง
เพราะสตรีผู้นี้เสียรูปโฉมจนแทบกลับกลายเป็นอัปลักษณ์และชวน
หวาดกลัว กระนั้นดวงตาของนางที่เผย มันกลับงดงามอย่างยิ่ง
นางพอได้เห็นฉินหยุน น้ำเสียงกราดเกรี้ยวจึงดังขึ้น “ถึงกับเป็นตัว
บัดซบเช่นเจ้า!”
“ฉิบ! คิดไว้ไม่ผิดว่าเรื่องชาติภพก่อนจะนำปัญหามาให้อีกแล้ว!”
ฉินหยุนสบถภายใน
สตรีผู้นี้มองเขาเป็นตัวตนในชาติภพก่อน!
“พี่สาว ท่านอย่าได้โกรธไปแล้ว! ผู้ที่ท่านรู้จักเป็นข้าในชาติภพก่อน!”
ฉินหยุนเร่งร้อนกล่าว “ข้าไม่ทราบว่าชาติภพก่อนข้าไปทำอันใดไว้
ดังนั้นข้าถือว่าไม่ใช่เขา”
“เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวโหรว? นางถึงขั้นมอบวิญญาณเทวะเก้าตะวัน
อันแสนสำคัญให้แก่ตัวตนบัดซบไร้ยางอายเช่นเจ้า!”
สตรีผู้นี้ยืดแขนออกมาวางประทับที่กายฉินหยุน ไม่ช้า นางค่อย
สัมผัสได้ถึงพลังของร่างเซียนอสูร
“เจ้าฝึกฝนร่างเซียนอสูรได้จริง! บุคคลเช่นเจ้าหาได้คู่ควรกับร่าง
เซียนอสูรไม่!”
ชัดเจนว่าสตรีผู้นี้เกลียดชังฉินหยุนเพียงใด กระนั้น เพราะความ
สัมพันธ์ระหว่างฉินหยุนและเซี่ยฉีโหรว นางจึงยังไม่มีอาการ
ต่อต้านรุนแรง
“พี่สาว นั่นเป็นตัวข้าในชาติภพก่อน! โปรดอย่าได้มองข้าเป็นเขา!”
ฉินหยุนกล่าวออกอย่างไม่ยินดี
“สุนัขที่กินอุจจาระตนเองย่อมไม่มีวันลืมว่ารสชาตินั้นเป็นเช่นไร
ตราบเท่าที่เจ้ามีใบหน้านี้ เจ้าก็ยังเป็นมันผู้นั้น!” อีกฝ่ายส่งเสียงแค่น
ดังออกมา
“หากเป็นอย่างนั้น ตอนนี้อย่างไรดี? ข้าสามารถนำสิ่งของภายใน
ไข่มุกเม็ดที่สามออกมาได้หรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถาม เขาห่วงหาถึง
เรื่องนี้ไม่ใช่น้อย
“ไม่มีวัน!”
สตรีชุดดำยืดแขนของนางออกพร้อมกำที่ข้อมือฉินหยุน นาง
พิจารณาวิญญาณเทวะเก้าตะวัน
ฉินหยุนย่อมได้เห็นเช่นกัน ว่ามือของสตรีชุดดำผู้นี้มีแต่รอยแผลเป็น
สีดำถูกเผาไหม้ปกคลุม สภาพของมันดูน่าหวาดกลัวยิ่ง
“พี่สาว ระดับการฝึกฝนของท่านสูงส่ง ท่านน่าจะรักษาอาการบาดเจ็บ
ตามร่างกายได้กระมัง?” ฉินหยุนเกิดความเห็นอกเห็นใจขึ้นมา
“มันไม่อาจรักษา ข้าจะเป็นเช่นนี้ไปตลอดกาลนาน กระทั่งว่ากลับ
ชาติมาเกิด ร่างกายของข้าก็ยังต้องเป็นเช่นนี้ เพราะมันคือตราประทับ
ที่จิตวิญญาณข้า!” สตรีชุดดำเผยเสียงที่ทั้งโกรธเกรี้ยวและสิ้นหวัง
น้ำเสียงของนางมีความดุดัน “และนี่ก็เป็นความผิดของเจ้า!”
ฉินหยุนนิ่งอึ้ง เขาพิจารณาใบหน้าของสตรีผู้นี้ซึ่งถูกเผาไหม้ ภายใน
หัวใจกลับกลายเป็นเกิดความรู้สึกสำนึกผิดขั้นรุนแรงจากก้นบึ้ง
“ข้า… ข้าต้องขออภัย!” ฉินหยุนได้แต่กล่าวคำนี้ออกไป
“ก็ได้ ข้าจะไม่นำวิญญาณเทวะเก้าตะวันไปจากเจ้าเป็นการชั่วคราว
ข้าจะรอดูว่าภายหน้าเกิดเรื่องอันใดขึ้น จากนั้นข้าจะมอบสิ่งของใน
ไข่มุกเม็ดที่สามให้! ไม่เช่นนั้น ข้าจะผนึกทั้งเม็ดแรกและเม็ดที่สอง!”
สตรีชุดดำพบเห็นความรู้สึกผิดในดวงตาฉินหยุน นางตัดสินใจกลับ
เข้าวิญญาณเทวะเก้าตะวันไป
“พี่สาว นามท่านเล่า?” ฉินหยุนถามขึ้น
“เรียกหาข้าเป็นพี่สาวโฉ่ว!” อีกฝ่ายตอบกลับมา
*โฉ่ว หมายความถึง อัปลักษณ์*
“นี่… นามนี้ไม่คล้ายดีเท่าใดแล้ว!” ฉินหยุนไม่กล้าเรียกหาด้วยนามนี้
“ว่าอะไร… เจ้าคิดเรียกหาข้าเป็นผู้งดงามงั้นหรือ? อย่างนั้นไม่ใช่เป็น
การเยาะเย้ยข้ายิ่งขึ้นไปอีกหรือไร?” สตรีชุดดำกล่าวคำจบ น้ำเสียง
นางค่อยอ่อนโยนลงก่อนจะกล่าว “เรียกข้าเป็นเหยาเฟิง!”
*เหยา หมายความถึง หินล้ำค่า, เฟิง หมายความถึง เศษเสี้ยว หรือ
ชิ้นส่วน นามนี้จึงหมายถึง เศษหินล้ำค่า*
ฉินหยุนคิดสอบถามถึงปิงชิงว่าเคยได้ยินนามสตรีผู้นี้มาบ้างหรือไม่
เขาคิดอยากทราบว่านางคือผู้ใด
“พี่สาวเหยาเฟิง ท่านคงอยู่ในวิญญาณเทวะเก้าตะวันมานานเพียงใด
กันแล้ว?”
ฉินหยุนต้องผิดหวัง เดิมเขาคิดว่าจะได้รับของดีจากภายในนั้น ทว่า
อีกฝ่ายกลับยึดครองไว้ไม่ส่งมอบ
“ข้าไม่อาจจำได้แล้ว! ตั้งแต่ข้าเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่คิดอยากมีชีวิตต่อไป
อีก ภายหลังข้าจึงซ่อนตัวที่นี่และหลับใหลจนกระทั่งถึงเมื่อครู่!”
เหยาเฟิงกล่าว
ถัดจากนั้น นางได้สอบถามต่อฉินหยุนอีกหลายเรื่องราวของโลก
ภายนอก
ไม่ว่านางถามอันใด ฉินหยุนล้วนตอบไปหมดสิ้น
ที่ทำฉินหยุนโล่งใจก็คือ เหยาเฟิงที่อยู่ในวิญญาณเทวะเก้าตะวัน นาง
ไม่ทราบว่าโลกภายนอกเกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง
“พี่สาวเหยาเฟิง ในไข่มุกเม็ดที่สามมีอันใดกันหรือ?”
ฉินหยุนสงสัยอย่างยิ่ง แม้ว่าตอนนี้ยังไม่อาจได้รับ เขาก็ยังต้องการ
ทราบว่าของภายในดีเยี่ยมเพียงใด
“ข้าไม่บอก! ไข่มุกเม็ดที่สามอยู่ภายใต้อำนาจข้าควบคุม ดังนั้น
อย่าได้นำของของเจ้าใส่เข้ามา ไม่เช่นนั้น ข้ารับประกันว่าพวกมัน
จะหายไปหมดอย่างแน่นอน!” เหยาเฟิงกล่าว
“พี่สาวเหยาเฟิง ตอบข้าหน่อยเถอะ!” ฉินหยุนร้องขอ
“เลิกนึกถึงเรื่องนี้ได้แล้ว!” เหยาเฟิงสบถ “ข้าไม่เชื่อใจเจ้า ข้าจะไม่
ส่งมอบของล้ำค่าให้แก่ตัวบัดซบเช่นเจ้า! ลืมมันไปเสีย ข้าจะไป
นอนแล้ว!”
ฉินหยุนสบถภายในใจ ตอนนี้เขาได้แต่ต้องยอมปล่อยวาง
หยุนเอ๋อกล่าวขึ้นภายในมิติมายา “เสี่ยวหยุน สิ่งของภายในไข่มุก
เม็ดที่สามของวิญญาณเทวะเก้าตะวัน สมควรเป็นสิ่งที่มารดาของ
พี่ฉีโหรวนำใส่เอาไว้! กระทั่งว่าพี่สาวเหยาเฟิงผู้นี้เต็มใจเข้าไปเอง
ทว่าพละกำลังของนางเลิศล้ำ อาจกระทั่งเหนือกว่าปิงชิง!”
ถัดจากนั้น ฉินหยุนจึงพยายามเกลี้ยกล่อมเหยาเฟิงให้บอกว่าสิ่งใด
อยู่ภายในไข่มุกเม็ดที่สาม
เหยาเฟิงไม่กล่าวตอบคำ กระทั่งสุดท้ายแล้วนางรำคาญจึงต่อว่าไป
ฉากหนึ่ง “หากเจ้ายังไม่หุบปาก ก็จงบอกลาวิญญาณเทวะเก้าตะวัน!”
ฉินหยุนไร้ซึ่งทางเลือกอื่นแล้ว
เขาเร่งรีบนำแผนที่หลุมฝังเซียนออกมา หยดเลือดลงไป เขาคิดอยาก
ถามต่อเซี่ยฉีโหรวถึงเรื่องนี้ กระนั้นแผนที่หลุมฝังเซียนกลับไม่มี
ปฏิกิริยาตอบสนองใด
“บ้าอะไรกันเนี่ย! ชาติภพก่อนข้ามีแต่ทำให้เรื่องราวพังพินาศ!” ฉิน
หยุนนั่งบนที่นอนก่อนจะสบถต่อชาติภพก่อนของตนเอง
“เสี่ยวหยุน ตัวเจ้าในชาติภพก่อนตายไปแล้ว!” หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะ
พร้อมปลอบ “เจ้ามีแต่ต้องก้าวเดินต่อไป!”
“ข้าคาดหวังยิ่งนักที่จะได้เห็นว่าในไข่มุกเม็ดที่สามมีอันใด กระนั้น
สิ่งที่ได้รับ… ข้าไม่ได้เห็นอะไรแม้เพียงนิด!” ฉินหยุนกลิ้งไปมาบน
ที่นอนพร้อมโอดครวญ
เพราะตอนนี้ ต่อให้เขาคิดอยากเปิดไข่มุกเม็ดที่สี่ มันก็ยังไม่มีทาง
เป็นไปได้
นอกจากนี้แล้ว เขายังอาจต้องโดนการข่มขู่จากเหยาเฟิงอีก
“มันต้องมีทางสิ!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าวคำ “จิตวิญญาณของเหยาเฟิงผู้
นี้โดนคำสาป เพราะเหตุนั้นนางจึงมีรูปโฉมเช่นนี้! พวกเราก็เพียง
ต้องหาทางถอนคำสาปให้แก่นาง!”
“นางคือเซียนที่ทรงอำนาจ ข้าหรือจะช่วยปัญหาที่กระทั่งตัวนางก็ไม่
อาจแก้ได้?”
ฉินหยุนยังคงกลิ้งไปมาพร้อมพล่ามบ่นไปเรื่อย ภายในใจของเขาทั้ง
ว้าวุ่นและไม่ยินดี
หลิงหยุนเอ๋อได้แต่ต้องกล่าวปลอบฉินหยุนไปเรื่อย
หลังพล่ามบ่นในห้องอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ฉินหยุนที่สงบใจลงได้จึงค่อย
เดินออกจากห้อง
เพราะเขายังมีเรื่องสำคัญอื่นรอคอยอยู่ นั่นก็คือการไปยังเทือกเขา
นิราศจันทราเพื่อหาตัวหยางฉีเย่ว์
เมื่อเดินออกจากห้อง เขาจึงได้เห็นฉู่ปินอวี้ในห้องโถง อีกฝ่ายนำ
สตรีสองคนร่วมทางมาพร้อมเจี้ยนหมาง
สองสตรี หนึ่งสวมใส่ชุดกระโปรงสั้นสีแดงสด อีกหนึ่งสวมใส่ชุด
กระโปรงยาวสีดำ
สตรีกระโปรงสั้นสีแดงครอบครองเสน่ห์ดึงดูดเลิศล้ำ ยามเมื่อนาง
มองที่ฉินหยุน ดวงตาชุ่มชื้นของนางเผยความยินดีออก ผู้นี้คือเย่ว์
อู่หลัน นางก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สตรีผู้สวมใส่ชุดดำสีดำมีผิวพรรณสีน้ำตาลข้าว ร่างนั้นเผยออกซึ่ง
มัดกล้ามงดงามดังสตรีผู้อาจหาญ รอยยิ้มงดงามปรากฏชัด โฉมงาม
ที่เผยประกายกลางความมืดอันเย็นเยือกผู้นี้คือเทียนรั่วเหลิง
“พี่สาวใหญ่ พี่สาวรอง!” ฉินหยุนยินดีที่ได้พบพวกนาง เขาเร่งรีบ
เดินเข้าไปทักทายพลางหัวเราะ
“น้องชาย แม้ไม่ได้พบเจอกันนาน พวกเรากลับได้ยินเรื่องราวเจ้าไม่
ขาด!”
เย่ว์อู่หลันหัวเราะเบาก่อนจะก้าวเดินเข้ามาลูบสัมผัสที่ใบหน้าของ
ฉินหยุน

ตอนที่ 718 ไข่มุกเม็ดที่สาม
เจี้ยนหลิงหลงย่อมได้เห็น ว่าฉินหยุนเองก็ยืนอยู่ใกล้เคียง กระนั้น
นางหาได้กล่าวทักทายใด เป็นเพราะนางยามอยู่ต่อหน้าปิงชิงมีอาการ
เกร็งไม่ใช่น้อย
ทันใดนี้ นางคล้ายรู้สึกได้ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างปิงชิงและฉินหยุน
คล้ายไม่ใช่เรียบง่ายดังที่คิด
ก่อนหน้านี้ นางได้ยินว่าฉินหยุนได้รับการดูแลโดยเซียนเป็นพิเศษ
แต่แล้วตอนนี้ ด้วยนางอยู่ที่นี่ ด้วยเพราะสัญชาตญาณแห่งสตรีเพศ
นางรับรู้ได้ถึงอาการอิจฉาบางอย่างที่เจือปน
ฉินหยุนเดินไปส่งเจี้ยนหลิงหลงออกจากตำหนักพระราชวังเซียน
ยุทธภัณฑ์โดยไม่ได้กล่าวคำใดมากนัก เขาเพียงกล่าวว่าจะไปพบ
นางในวันหลังเพื่อหารือเรื่องวิถีจารึกแห่งเต๋า
ฉินหยุนปิดประตูลง พร้อมก้าวเดินกลับมาพบปิงชิง น้ำเสียงใคร่
สงสัยเอ่ยถามออก “พี่สาวปิงชิง ผู้อาวุโสหลิงหลงมีชาติภพก่อนงั้น
หรือ?”
“ไม่มี!” ปิงชิงตอบคำ “หากภายหน้าเจ้ามีเวลา จงนำสตรีทุกผู้ที่รู้จัก
มาพบข้าที่นี่ ข้าคิดอยากรู้จักพวกนางให้ครบถ้วนเพื่อทราบว่าพวก
นางมีชาติภพก่อนหรือไม่!”
“เรื่องนี้… ส่วนใหญ่เหล่านั้นล้วนพบเจอเย่ว์หลานและพี่หยางไปกัน
ถ้วนหน้า หากเหล่านั้นมีชาติภพก่อน เย่ว์หลานย่อมต้องทราบอย่าง
แน่นอน!” ฉินหยุนกล่าว
“รอบตัวเจ้ามีสตรีมากมายเพียงนั้น?” ปิงชิงจับจ้องฉินหยุนพร้อม
เอ่ยถามเสียงเย็น
“เรื่องนั้น… พวกนางล้วนเป็นมิตรสหายที่ดีต่อข้า!” ฉินหยุนบุ้ยปาก
กล่าวคำ “กล่าวถึงเรื่องนี้ ข้าไม่ทราบว่าเหตุใดโชตชะตาที่มีต่อสตรี
คล้ายดีเยี่ยมเพียงนั้น ทุกอย่างมันคล้ายราบลื่นไม่มีอุปสรรคใด!”
“ภายในเจ้าหาได้มีอันใดเปลี่ยนไม่!” ปิงชิงแค่นเสียงเย็นเยือก “ใน
ชาติภพก่อน เจ้ามีคนรักไปทั่ว ส่วนเรื่องว่าเจ้าทำอะไรต่อพวกนาง
เอาไว้บ้าง ข้าก็ไม่อาจทราบแล้ว!”
ฉินหยุนอึ้งไปไม่น้อย เขายิ้มกล่าวอย่างเคอะเขิน “จริงงั้นหรือ? อย่าง
นั้นแล้ว… เหล่านั้นสู้กันแย่งชิงข้า?”
“ย่อมไม่! ข้าไม่ทราบว่าด้วยเจ้าทำซุปมารอันใดให้พวกนางเหล่านั้น
ดื่ม พวกนางล้วนเชื่อฟังเจ้า นอกจากนี้แล้ว บ่อยครั้งยังถูกเจ้าเรียกตัว
ไปช่วยเหลืองาน สภาพแทบไม่ต่างอะไรกับผู้ใต้บัญชา!”
กล่าวถึงเรื่องนี้ สีหน้าปิงชิงกลายเป็นมืดมน “ข้าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น!”
ฉินหยุนไม่ทราบว่าควรกล่าวคำใด เพราะนั่นคล้ายจะเป็นนิสัยของ
เขาตอนนี้เช่นกัน อย่างเช่นเขาต้องการตัวสุ่ยเทียนสื่อและสื่อชิงเฉิง
ให้มาเป็นลูกมือช่วยเหลือ
ความรู้สึกของเขา คือการมองว่าได้สตรีผู้งดงามมาช่วยเหลืองาน ทำ
ให้งานนั้นน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
“หากสตรีทั้งหมดที่เจ้ารู้จักในชาติภพก่อนกลับชาติมาเกิดกันทั้งสิ้น
แม้ความทรงจำยังไม่ตื่นรู้ พวกนางก็ยังจะถูกเจ้าดึงดูดเข้าหา! ด้วย
เหตุนี้ จงนำสตรีทั้งหมดที่เจ้ารู้จักมาให้ข้าได้พบหน้า!”
“แม้พวกนางพบเจอเย่ว์หลานมาก่อน บางทีก็อาจไม่รู้จักนาง! ใน
ชาติภพก่อนของเจ้า สตรีมากมายล้วนอยู่ข้างกายเจ้า เรื่องนี้เป็นข้า
ทราบดียิ่งกว่าเย่ว์หลานและผู้อื่น!”
ปิงชิงกล่าวย้ำเตือนต่อฉินหยุนว่าอย่าได้ลืมเรื่องนี้
ฉินหยุนพยักหน้ารับ “ข้าคิดออกไปภายนอกสักพักหนึ่ง ไปพบเจอ
มิตรสหาย”
“ได้ ภายหน้าเจ้ามีเวลา ให้เร่งรีบกลับมาฝึกฝนกับข้าโดยทันที!” ปิง
ชิงกล่าว
ฉินหยุนเร่งรีบออกจากตำหนักพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์
ระหว่างทาง ภายในใจของเขามีความสับสน จนต้องกล่าวกับหลิงหยุน
เอ๋อ “หยุนเอ๋อ เหตุใดปิงชิงมีท่าทีแปลกเช่นนี้? นางคิดอยากพบเจอ
สตรีทั้งหมดที่ข้ารู้จักจริงงั้นหรือ?”
“มีสองเหตุผล หนึ่งคือนางคิดอยากได้เห็นว่าสตรีเหล่านั้นกลับชาติ
มาเกิดหรือไม่! ส่วนอย่างที่สอง เหอะเหอะ นางคิดอยากควบคุมสตรี
ที่เจ้ารู้จัก เพื่อที่นางจะได้กลายเป็นนายหญิงแห่งปวงสตรีของเจ้า!”
หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะคิกคัก “ปิงชิงผู้นี้คิดอยากผูกมัดตัวนางเอาไว้กับ
เจ้าแล้ว!”
“นั่นเป็นไปไม่ได้ นางคือเซียนที่ภาคภูมิเพียงนั้น เรื่องราวเช่นนี้ยอม
รับได้อย่างไร? และข้าก็มีภรรยาเป็นเย่ว์หลานอยู่แล้ว!” ฉินหยุนเบะ
ปากกล่าวคำ
“กระนั้นชาติภพก่อนของเจ้าก็คือราชันเซียน! ราชันเซียนถือเป็นเซียน
ที่แข็งแกร่ง อยู่ภายใต้ก็เพียงแต่จักรพรรดิเซียน ในชาติภพก่อน นาง
ย่อมต้องอ่อนแอยิ่งกว่าเจ้า!”
“นางกล่าวชัดเจนแล้ว ว่าชาติภพก่อนของเจ้าคือราชันเซียน และยัง
ล่อลวงเซียนสาวมากหน้าหลายตามาช่วยทำงาน หากเจ้าไม่มีความ
สามารถ เช่นนั้นคิดหรือว่าจะทำได้สำเร็จ?” หลิงหยุนเอ๋อยิ้ม “ทั้ง
ตอนนี้เจ้ายังฝึกฝนร่างเซียนอสูร นั่นหมายความถึงชีวิตนี้เจ้าจะ
แข็งแกร่งยิ่งกว่าตัวตนในชาติภพก่อน!”
ฉินหยุนพลันเกิดความสบายใจขึ้นมาบ้าง เขากังวลว่าปิงชิงจะหาทาง
จัดการหรือกีดกันมิตรสหายที่เป็นสตรีของเขา
ตอนนี้ จิตของฉินหยุนได้แปรสภาพเป็นจันทราแล้ว เขาพบว่าพลัง
จิตต้นกำเนิดที่ตนปลดปล่อยออกมาได้ มันแข็งแกร่งยิ่งกว่าก่อนหน้า
ไม่ใช่น้อย!
เรื่องนี้มันยิ่งเสริมอำนาจให้แก่เขา ทำให้เขาสามารถควบคุมวัตถุเพื่อ
ใช้โจมตีได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้แล้ว ยังมีหยกจิตวิญญาณต้นกำเนิดที่ฮั่วจงมอบให้ มันคือ
สิ่งที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพให้มากยิ่งขึ้น
เวลานี้ สิ่งที่เขาคาดหวังที่สุดไม่ใช่การรับรู้ถึงอำนาจของร่างเซียน
แต่เป็นการเปิดไข่มุกเม็ดที่สามของวิญญาณเทวะเก้าตะวัน
ขณะเร่งรีบเดินทางกลับ แผนที่หลุมฝังเซียนภายในมิติเก็บของมี
ปฏิกิริยา ทำให้เขาไม่มีทางนอกยิ่งเร่งรีบเดินทาง
แม้ฉินหยุนยังอยู่ที่สำนักนอก กระนั้นผู้คนล้วนทราบ ว่าความดี
ความชอบของเขาต่อนครเซียนยุทธภัณฑ์มากมายเป็นล้นพ้นเช่นไร
กระทั่งว่าเขาขัดคำสั่งเบื้องบน ก็หาได้มีผู้ใดกล้ากล่าวโทษต่อเขาอัน
ใดไม่
เมื่อกลับถึงห้อง เขาจึงเร่งรีบนำแผนที่หลุมฝังเซียนออกมา
“พี่สาว ข้าฝึกฝนร่างเซียนอสูรได้แล้วขอรับ!” ฉินหยุนเผยยิ้มยินดี
กล่าวคำออก
“ยอดเยี่ยมนัก!”
เซี่ยฉีโหรวเผยเสียงถอนหายใจเบาดังให้ได้ยิน ชัดเจนว่านางก็มี
ความกังวลไม่น้อยว่าฉินหยุนอาจเดินผิดเส้นทาง
“พี่สาว ข้าบอกต่อพี่สาวปิงชิงถึงเรื่องท่าน นางคล้ายห่วงหาท่านไม่ใช่
น้อย! โชคยังดีที่ข้าไม่ได้พูดถึงท่านมากมายนัก ไม่เช่นนั้นนางคงคิด
ใช้ทุกวิธีเพื่อบุกไปยังหลุมฝังเซียนเป็นแน่!”
“ข้าช่วยเหลือทั้งนางและเย่ว์จี หรือก็คือพี่หยางของเจ้า พวกเรานับว่า
เป็นมิตรสหายต่อกันในยามยาก!”
เซี่ยฉีโหรวถอนหายใจเบา “ข้าเองก็คิดอยากพูดคุยกับนาง กระนั้น
สภาพข้าตอนนี้ไม่อำนวยให้ทำเช่นนั้น!”
“ภายหน้าย่อมมีโอกาสแน่นอนขอรับ!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว
“เสี่ยวหยุน กระบวนการฝึกฝนร่างเซียนอสูรเจ็บปวดมากใช่หรือไม่?
ผลประโยชน์ที่ได้รับหลังรอดพ้นกระบวนการนั้น มันไม่ได้มีแต่ร่าง
เซียนอสูร ส่วนสำคัญที่สุดคือมันจะทำให้เจ้ายากร่วงหล่นสู่เต๋าอสูร!”
เซี่ยฉีโหรวกล่าว
ฉินหยุนนึกย้อนถึงกระบวนการก่อนหน้านี้ แม้ภายในใจยังคงหวาด
กลัว กระนั้นเขาคิด ว่าหากต้องพบเจอสถานการณ์เช่นนั้นอีกครั้งหนึ่ง
ก็ไม่คล้ายว่าเขาจะร่วงหล่นได้ง่ายดายดังเช่นครั้งนี้
“ครั้งข้ายังเด็ก เป็นข้าไม่ทราบเลยว่ามันเกิดเรื่องราวขึ้น!” ฉินหยุน
นึกย้อนถึงเรื่องของมารดา น้ำเสียงของยิ่งเศร้าโศก “ข้าคือผู้ที่ทำให้
เสด็จแม่สิ้นพระชนม์!”
“อย่างนั้นสมควรเป็นข้าที่เป็นต้นเหตุ! หากนางไม่ได้รับแผนที่หลุม
ฝังเซียน หลายเรื่องราวก็คงไม่เกิดขึ้น! นับว่าโชคยังดี ที่จิตวิญญาณ
ของพวกนางยังคงอยู่ ดังนั้นพวกเราจึงยังมีโอกาสฟื้นคืนชีพแก่พวก
นางได้!” เซี่ยฉีโหรวถอนหายใจกล่าว
“อย่างนั้นเรื่องนี้อย่าได้พูดถึงกันอีกแล้ว!” ฉินหยุนเองก็ไม่คิดพูดคุย
ถึงเรื่องหนักหนาเช่นนี้ ดังนั้นจึงเปลี่ยนเรื่อง “พี่สาว ภายหน้าข้ายัง
ต้องฝึกฝนวิชาร่างศักด์ิสิทธ์ิเซียนอสูรต่อเนื่องหรือขอรับ?”
“เป็นเช่นนั้น หรือภายหน้าเจ้าไม่คิดฝึกฝนร่างศักด์ิสิทธ์ิงั้นหรือ?
กระบวนการฝึกฝนร่างเซียนนั้นมีหลายขั้นตอนนัก!” เซี่ยฉีโหรว
หัวเราะเบากล่าวคำ “ปิงชิงจะสอนให้แก่เจ้าเอง!”
“พี่สาวปิงชิงเย็นชาเกินไป… นอกจากนี้แล้วท่าทีของนางยังแปลก!”
ฉินหยุนไม่อาจกล่าวได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับปิงชิง
“เสี่ยวหยุน ระหว่างที่เจ้าฝึกฝนร่างเซียนอสูร ปิงชิงก็คอยอยู่ข้างกาย
รับชมโดยตลอดไม่ใช่หรือ? นั่นถือเป็นนางช่วยให้เจ้าผ่านมันมาได้
ไม่เช่นนั้นลำพังตัวเจ้า คิดสำเร็จถือเป็นเรื่องยากเย็นมหาศาลนัก!”
เซี่ยฉีโหรวยิ้มตอบ “ระหว่างเจ้าทั้งสองย่อมต้องมีเรื่องเกิดขึ้นแน่
แล้ว เร่งรีบบอกต่อข้ามาว่าเกิดเรื่องอันใด!”
เซี่ยฉีโหรวกลายเป็นสนใจเรื่องนี้ขึ้นมา นางเร่งรีบบอกให้ฉินหยุน
เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ฉินหยุนกลายเป็นกระดากอาย สุดท้ายแล้วก็ต้องจำยอมบอกต่อเซี่ยฉี
โหรวถึงทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น เขายังย้ำเตือนนางอย่างร้อนใจ “พี่สาว
ท่านต้องไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้แก่พี่สาวปิงชิงในภายหน้า ไม่เช่นนั้นนาง
ได้สังหารข้าทิ้งแน่!”
ระหว่างเซี่ยฉีโหรวรับฟัง นางก็หัวเราะรับคำอยู่ตลอด ชัดเจนว่านาง
ยินดีไม่ใช่น้อยยามได้ยินถึงเรื่องราว
“เสี่ยวหยุน ปิงชิงก็เพียงแค่คิดล้างแค้นบ้าง! เจ้าไม่ทราบ ว่าตัวเจ้าใน
ชาติภพก่อนเย็นชาต่อนางเพียงใด เจ้ามักจะให้นางทำโน่นทำนี่ เจ้า
ต้องไม่เชื่อแน่ ว่าครั้งหนึ่งนางใสซื่อบริสุทธ์ิดังเช่นเสี่ยวเม่ยเหลียน!”
“ตอนนี้นางได้พบเจอโอกาส ดังนั้นย่อมต้องคว้าเอาไว้ดีกว่าต้อง
เสียใจภายหลัง!”
“ในอดีต บ่อยครั้งนางจะมาตัดพ้อต่อข้า บอกว่าเจ้าหาได้รักนางไม่
เป็นเจ้าคล้ายไม่รู้สึกอันใดต่อนางด้วยซ้ำ ทำให้นางทุกข์ใจมาโดย
ตลอด!”
คำกล่าวของเซี่ยฉีโหรว ยิ่งทำให้ฉินหยุนตื่นตะลึงมากขึ้น
เขายากจะเชื่อ ว่าปิงชิงผู้นั้นจะถึงขั้นเคยใสซื่อดังเช่นชี่เม่ยเหลียน
“เรื่องนี้เอาไว้เท่านี้ก่อน นางยอมรับต่อเจ้าอีกครั้งหนึ่ง นี่ถือเป็นเรื่อง
ดียิ่ง!” เซี่ยฉีโหรวยิ้มกล่าว
“พี่สาว ข้าได้ยินว่านามเดิมของท่านคือเซียนฉีโหรว! ท่านสมควร
โด่งดังในแดนเซียนอ้างว้างกระมัง?” ฉินหยุนถามขึ้น
“นับจากนี้เรียกหาข้าเป็นพี่ฉีโหรว! และก็ใช่ ข้าย่อมมีชื่อเสียงใน
แดนเซียนอ้างว้าง ทั้งยังมีชื่อเสียงด้านเลวร้าย!”
“เจ้าบอกต่อข้าก่อนหน้านี้ ว่าเจ้าสร้างปัญหาไปทั่วแดนวิญญาณ
อ้างว้าง รวมถึงแดนอสูรอ้างว้าง ตัวข้าครั้งที่อยู่แดนเซียนอ้างว้างก็
เช่นกัน ผู้คนต่างไล่ล่าคิดสังหารตัวข้า พวกมันคิดอยากได้รับสิ่งที่ข้า
ครอบครอง!” เซี่ยฉีโหรวกล่าว
ฉินหยุนรู้สึก ว่าเมื่อใดไปยังแดนเซียนอ้างว้าง มันจะต้องมีหลาย
เรื่องราวรอคอยเขาอยู่เป็นแน่
“พี่สาวฉีโหรว ท่านคิดอยากให้ข้าเข้าร่วมสำนักเซียนและฝึกฝนร่าง
เซียน ตอนนี้ข้าฝึกฝนร่างเซียนอสูรได้แล้ว อย่างนั้นต่อไปข้าควรทำ
อะไรดี?” ฉินหยุนถามขึ้น
“ครั้งนี้เจ้าทำสำเร็จรวดเร็วเกินข้าคาดคิดมากนัก ข้าไม่คิดเลยว่าจะ
รวดเร็วได้เพียงนี้! นอกจากนี้แล้ว เจ้ายังมีต้นกำเนิดเซียนอยู่กับตัว
อีกถึงสอง!” ไม่ว่าเซี่ยฉีโหรวจะคิดเผื่อเพียงใด นางย่อมไม่มีทาง
คาดคิดถึงผลลัพธ์ตอนนี้ที่เกิดขึ้น
“จริงด้วย พี่สาวฉีโหรว ข้ายังได้รับวิญญาณดวงตะวันมาอีกสอง!
หนึ่งนั้นเป็นค้อน อีกหนึ่งเป็นลูกเป็ดน้อย!” ฉินหยุนลืมเลือนเรื่องนี้
ไป ตอนนี้นึกขึ้นได้จึงบอกต่อเซี่ยฉีโหรว
เซี่ยฉีโหรวพอได้รับ นางอึ้งไปวูบ เพราะเรื่องนี้ถือว่าเกินความคาดคิด
ของนางอย่างแท้จริง
ต้องทราบว่าแม้เป็นแดนศักด์ิสิทธ์ิอ้างว้าง หรือกระทั่งแดนเทพ
อ้างว้าง วิญญาณดวงตะวันก็เป็นตัวตนที่พร้อมจะทำให้ยอดฝีมือชั้น
แนวหน้าพร้อมคลุ้มคลั่งต่อสู้แย่งชิง
กระนั้นฉินหยุนกลับมีพวกมันถึงสอง!
“อย่าได้ให้เรื่องนี้เผยแพร่ออกไปเป็นอันขาด หากสำนักเก้าตะวัน
ทราบ เมื่อนั้นปัญหาได้มาเยือนแน่!” เซี่ยฉีโหรวกล่าว “เจ้าพยายาม
ไปให้ถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ จากนั้นข้าจะจัดแจงให้ไปทำเรื่องอื่น
เพิ่มเติม!”
“ขอรับ!” ฉินหยุนพยักหน้ารับ
“สำหรับเรื่องปิงชิง อย่าได้กล่าวโทษนางไปเลย นางหาได้มีเจตนา
ร้ายใดต่อเจ้า และเจ้าก็ไม่ได้สูญเสียใดไปหรือไม่ใช่?” เซี่ยฉีโหรว
หัวเราะดัง “เสี่ยวหยุน แม้เป็นเจ้าได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ แต่ก็อย่าได้
ลืมว่าเหตุการณ์นี้เจ้าคือผู้เป็นเหยื่อ!”
ฉินหยุนบุ้ยปากกล่าวคำ “พี่สาวฉีโหรว เหตุใดท่านจึงคาดหวังในตัว
ข้าเพียงนี้? พี่สาวปิงชิงเองก็อยากทราบเรื่องนี้เช่นกัน!”
“นั่นก็เพราะเจ้ายอดเยี่ยม! อย่าได้ถามมากไปแล้ว สนใจเรื่องของตัว
เจ้าจะดีกว่า!” เซี่ยฉีโหรวกล่าวคำจบถึงตรงนี้ นางก็ไม่ได้กล่าวคำอื่น
ใดอีก
“เสี่ยวหยุน ชาติภพก่อนของเจ้าและพี่สาวฉีโหรวนี้ต้องมีสัมพันธ์
ทางกายกันแน่แล้ว!” หลิงหยุนเอ๋อยิ้มโพล่งกล่าวคำขึ้นมา
“วาจาไร้สาระ!” ฉินหยุนไม่มีทางเชื่อเรื่องนี้เป็นอันขาด
เขาเก็บแผนที่หลุมฝังเซียน พร้อมสำรวจหยางหยางที่ไข่มุกเม็ดแรก
ของวิญญาณเทวะเก้าตะวัน มันยังถูกปกคลุมเอาไว้ภายในทรงกลม
ขนาดใหญ่ เขาไม่ทราบว่าเมื่อใดกว่าอีกฝ่ายจะออกมาได้
โมโมและกระต่ายหยกยังคงเล่นกันสนุกสนานทุกวี่วัน เวลานี้ด้วยมี
สองต้นกำเนิดเซียนอยู่ภายใน นางจึงสามารถดูดกลืนพลังงานเซียน
ได้ และแทบไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องความหิวโหยใดอีกต่อไป
และตอนนี้ ฉินหยุนค่อยมีโอกาสได้เปิดไข่มุกเม็ดที่สามของวิญญาณ
เทวะเก้าตะวัน
หลังจากจิตแปรเปลี่ยนสู่จันทรา พลังจิตต้นกำเนิดของเขาจึงแข็งแกร่ง
ยิ่งกว่าก่อนหน้าหลายเท่าตัว
เพียงชั่วครู่ ฉินหยุนได้ทำลายผนึกของไข่มุกเม็ดที่สามของวิญญาณ
เทวะเก้าตะวันได้สำเร็จ!
ทันใดนี้เอง เสียงของสตรีที่เย็นเยือกพลันปรากฏในจิตของฉินหยุน
“เจ้าไม่ใช่เสี่ยวโหรว? เจ้าเป็นใคร?”
ฉินหยุนนิ่งอึ้ง ไข่มุกเม็ดที่สามถึงขั้นมีมนุษย์อยู่! นอกจากนี้แล้ว
นางยังเป็นผู้ที่มีพลังชวนพรั่นพรึง!
เขายังได้ทราบอีกเรื่อง ว่าสิ่งของภายในมีอยู่ ทว่าไม่อาจนำออก
ชัดเจนว่าเป็นบุคคลที่กล่าวคำเมื่อครู่ควบคุมเอาไว้อย่างหมดสิ้น

ตอนที่ 717 ตะวันและจันทราทมิฬ
หลิงหยุนเอ๋อผู้ซึ่งอยู่ภายในมิติมายานิ่งอึ้งไปครู่ จากนั้นนางค่อย
ตอบรับ “คาดการณ์โดยคร่าว อีกสักพักหนึ่งกว่าเขาจะตื่น!”
“โอกาสนี้ควรรีบตักตวงเอาไว้ นี่ถือเป็นโอกาสหายากที่จะได้ล่วงเกิน
ต่อเขา ไม่เช่นนั้นแล้ว ด้วยตัวตนอย่างท่าน ภายหน้าก็คงไม่มีโอกาส
แล้ว!”
“หากข้าต้องการจริง ล่วงเกินต่อเขาเมื่อใดข้าย่อมทำได้!” ปิงชิงกล่าว
คำออกอย่างภาคภูมิ
“พี่สาวปิงชิง ข้าคิดอยากเป็นวิญญาณเต๋าของท่านแทนยิ่งนัก!” หลิง
หยุนเอ๋อเผยความคิดภายในออกมา นี่ก็เพราะนางบอกต่อฉินหยุนให้
ฉวยโอกาสต่อปิงชิงหลายครั้งครา กระนั้นฉินหยุนกลับดื้อรั้นปฏิเสธ
มาโดยตลอด
ทว่าปิงชิงไม่ใช่ เป็นพวกนางพูดคุยด้วยภาษาเดียวกัน!
ปิงชิงย่อมเชื่อมั่นในหลิงหยุนเอ๋อ กระนั้น นางก็ไม่ทราบว่าทุกการ
กระทำของนางจะเป็นหลิงหยุนเอ๋อบอกต่อไปยังฉินหยุน เป็นนาง
โดนหลิงหยุนเอ๋อหักหลังอย่างแสนสาหัสยิ่งนัก
“หยุนเอ๋อ ข้าตื่นได้หรือยัง?” ฉินหยุนถามหลิงหยุนเอ๋อภายในมิติมายา
คำถามพอกล่าวจบ เขาพลันรับรู้ได้ถึงจูบของปิงชิง
“หยุนเอ๋อ นี่เรื่องอะไร! เจ้ากล่าวอะไรต่อนาง? เหตุใดนางจึงยังไม่
หยุด!” ฉินหยุนสบถออกมา
“นางถามข้าว่าอีกนานหรือไม่กว่าเจ้าจะตื่นขึ้นมา ข้าจึงบอกไปว่าอีก
สักพักหนึ่ง จากนั้น… จากนั้นนางจึงทำเช่นนี้!”
หลิงหยุนเอ๋อกล่าวอย่างไม่ยินดี “ข้าบอกต่อเจ้าไปแล้ว ว่าพี่สาวปิงชิง
ผู้นี้คิดอยากล่วงเกินต่อเจ้าเพียงใด! หากเจ้าไม่กินนาง ก็จะเป็นนาง
กลืนกินเจ้า! เรื่องนี้อย่าได้กล่าวโทษข้า เป็นนางทำเองทั้งสิ้น!”
“พี่สาวปิงชิงคือเซียนที่เย็นเยือกดุจน้ำแข็ง ทว่านั่นก็แค่ภายนอก ภายใน
ของนางร้อนรุ่มยิ่งกว่าสิ่งใด!”
ฉินหยุนค่อยเข้าใจคำกล่าวนี้ของหลิงหยุนเอ๋อ
ปิงชิงฉวยโอกาสต่อฉินหยุน ราวกับความเกลียดชังของนางที่มีถูก
ถ่ายเทลงที่ร่างของเขาแทน นางกระทั่งจูบที่ลำคอ ดวงตาของนางเผย
ความปรารถนาถึงรักอันลึกล้ำ
ปิงชิงที่ลุกขึ้นจากเตียง นางค่อยนำเอาชุดสีขาวบริสุทธ์ิออกมา หลัง
สวมใส่เรียบร้อย นางค่อยยืนเคียงข้างและรับชม นางไม่กล้าคิดจาก
ไปตอนนี้ นางเกรงว่าฉินหยุนจะมีคำถามในภายหลัง
“เสี่ยวหยุน นางแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
“แต่ข้าหาได้สวมใส่อันใดไม่ บอกให้นางช่วยข้าใส่เสื้อผ้าไม่ได้หรือ?”
ฉินหยุนถามขึ้น
“ก็ได้!” หลิงหยุนเอ๋อถอนหายใจ
หลิงหยุนเอ๋อพบว่าเรื่องราวน่าขัน เพราะตอนนี้นางกลับกลายเป็น
คนกลางระหว่างทั้งสอง
นางรับหน้าที่สื่อสารต่อทั้งสอง ทว่าปิงชิงและฉินหยุนหาได้ทราบ
เรื่องราวเบื้องหลัง ทั้งสองเพียงแต่เชื่อหลิงหยุนเอ๋อ
และหลิงหยุนเอ๋อคือผู้สร้างความผิดเพี้ยนที่สุด ถ้อยคำที่นางกล่าวได้
ชักพาไปสู่เรื่องราวอีกแบบหนึ่ง
“พี่สาวปิงชิง ช่วยเขาสวมใส่เสื้อผ้าแล้ว! นี่จะได้มีโอกาสล่วงเกินเขา
อีกสักรอบ!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าวคำ
ไม่ช้า ฉินหยุนค่อยนึกเสียใจที่ปล่อยให้หลิงหยุนเอ๋อขอร้องต่อปิงชิง
ให้ช่วยเขาสวมใส่เสื้อผ้า เพราะปิงชิงได้จูบลงที่กายเขาอีกครั้ง ทั้งยัง
ล่วงเกินต่อร่างกายของเขาที่แสร้งทำเป็นหลับใหล
“เสี่ยวหยุน พี่สาวปิงชิงผู้นี้ไม่ต่างอะไรกับเด็กสาวแรกรุ่น! ชาติภพ
ก่อนนางถูกเจ้าลวงหลอกอย่างหนักหนา กระนั้นตอนนี้กลับตกหลุม
รักต่อเจ้าอีกครั้งหนึ่ง น่าเวทนานัก เป็นหญิงสาวบริสุทธ์ิที่อ่อนหวาน
อะไรเยี่ยงนี้!” หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะไปพลางกล่าว
“บริสุทธ์ิและอ่อนหวานที่ตรงใด! หากนางอ่อนหวานจริง เช่นนั้นจะ
ยังกล้าล่วงเกินต่อบุรุษเช่นข้าอย่างนั้นหรือ?” ฉินหยุนสบถออก
ร่างกายของเขาถูกล่วงเกินหลายต่อหลายครั้งจนเกินไปแล้ว
ในที่สุดฉินหยุนค่อยตื่นขึ้น
เมื่อลืมตาตื่นขึ้น สายตาของเขามองไปทางปิงชิงพร้อมเผยยิ้ม “พี่สาว
ปิงชิง คล้ายว่าข้าฝึกฝนร่างเซียนอสูรได้สำเร็จแล้ว! ขอบคุณท่านที่
ช่วยข้าผ่านความเจ็บปวด ตอนนั้นเป็นข้านึกว่าจะตายเสียแล้ว มัน
เปรียบดังฝันร้ายที่สุดในชีวิตข้า!”
“อย่าได้กล่าวถึงมันแล้ว ข้าก็เพียงแต่ช่วยเหลือพี่ฉีโหรว!” ปิงชิงเผย
เสียงเย็น
ฉินหยุนไม่ยินดีอย่างยิ่ง ปิ งชิงฉวยโอกาสต่อเขาหลายครั้งครา กระนั้น
ตอนนี้กลับทำทีเสมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้น ทั้งยังเย็นชายิ่งกว่าเก่าก่อน
“เรื่องก่อนหน้านี้ เพียงคิดว่ามันเป็นฝันร้ายฉากหนึ่ง! อย่าได้กล่าวต่อ
เย่ว์หลาน ไม่เช่นนั้น… ไม่เช่นนั้นข้าจะปลิดชีพเจ้าซะ!” น้ำเสียงของ
ปิงชิงเผยความคุกคามอันเย็นเยือก
“คิดอยากสังหารข้าจริงหรือ? หากสังหารข้า ภายหน้าท่านจะไปจูบ
ผู้ใดกันเล่า?” ฉินหยุนคิดกล่าว ทว่าก็ได้แต่คิดอยู่ภายในใจ
ปิงชิงนึกอยากติดต่อหลิงหยุนเอ๋อ กล่าวย้ำเตือนต่อนางสักหลายเรื่อง
กระนั้นฉินหยุนตื่นขึ้นมาแล้ว ทำให้นางเป็นกังวล ว่าเสียงสื่อสารของ
นางจะถูกฉินหยุนได้ยินเข้า
“ฉินหยุน เจ้ามีวิญญาณยุทธ์จันทราทองม่วงไม่ใช่หรือ? ตอนนี้เจ้า
ฝึกฝนร่างเซียนอสูรที่เลิศล้ำได้แล้ว กระทั่งว่าไม่มีวิญญาณยุทธ์เที่ยง
ธรรม เจ้าก็ยังสามารถใช้จิตของตนเองต้านทานพลังหยินชั่วร้ายได้
ดังนั้นวางใจ จิตของเจ้าจะแปรเปลี่ยนเป็นดวงจันทราได้อย่างแน่นอน”
ปิงชิงกล่าว
ฉินหยุนรู้สึกคันไม้คันมือ คิดอยากแปรเปลี่ยนจิตของตนสู่ดวงจันทรา
เสียเดี๋ยวนี้ เพื่อที่จะได้ก้าวขึ้นเป็นขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับกลาง
เช่นนี้ เขาจะได้สามารถเปิดไข่มุกเม็ดที่สามของวิญญาณเทวะเก้า
ตะวัน!
“จริงด้วย ข้าคิดอยากเลื่อนระดับโดยเร็ว จะได้ไปรับตัวพี่หยาง
กลับมาเสียที!” ฉินหยุนกล่าว
“ฉินหยุน เมื่อใดเจ้าพบเย่ว์จี อย่าได้บอกต่อนางว่าระหว่างเรามีเรื่อง
อันใดเกิดขึ้น!” ปิงชิงกล่าวย้ำเตือน
“วางใจ ข้าเป็นคนปากหนัก จริงด้วย แล้วระหว่างเรามีเรื่องอันใด
เกิดขึ้นงั้นหรือ?” ฉินหยุนกล่าวคำพลางนำเอาไข่มุกผนึกวิญญาณสี
ทองม่วงออกมา
“ไม่มีใดทั้งสิ้น เจ้าก็เพียงฝันไป!” ปิงชิงรับไข่มุกผนึกวิญญาณไป
พิจารณา จากนั้นจึงค่อยส่งกลับคืนแก่ฉินหยุนพร้อมกล่าว “เจ้าทำ
ให้วิญญาณยุทธ์จันทราปกคลุมรอบผลึกแก้ววิญญาณดวงดาวด้วย
ตนเองได้หรือไม่?”
“ย่อมได้!” กล่าวคำจบ ฉินหยุนจึงนำไข่มุกผนึกวิญญาณวางไว้ที่
หน้าผาก
ก่อนหน้า เขาได้ดูดกลืนแก่นเต๋าดวงดาวไปมากมาย ทั้งยังได้กินเม็ด
ยาลึกล้ำวิญญาณต้นกำเนิด ตอนนี้ อีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่เขาจะ
ก่อวิญญาณต้นกำเนิดขึ้นมา
และวิญญาณยุทธ์จันทราทองม่วงที่มีตอนนี้ ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่
จะได้ใช้งาน
จิตของฉินหยุนได้แปรเปลี่ยนสู่จันทรา นั่นเทียบเท่ากับการฝึกฝน
วิญญาณต้นกำเนิด และเขาจะแตกต่างจากผู้อื่นที่ระดับพลังเดียวกัน
ไม่ช้า ฉินหยุนได้ปล่อยวิญญาณยุทธ์จันทราทองม่วงให้เข้าสู่ภายใน
จิต มันกำลังจะเข้าผสานรวมกับผลึกแก้วดวงดาว
ทันใดนี้เอง ปิงชิงพลันกล่าวคำขึ้นมา “ฉินหยุน ข้าจะปล่อยจิตของ
ข้าเข้าสู่ผลึกแก้วดวงดาวของเจ้า นี่ก็เพื่อช่วยให้เจ้าเลื่อนระดับได้!”
“พี่สาวปิงชิง ด้วยมีคนช่วยเหลือฝึกฝนเช่นนี้ ภายหน้าจะมีผลกระทบ
ใดตามมาหรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“หาได้มีไม่! ในฝักฝ่ายใหญ่ทั้งหลาย รุ่นก่อนบ่อยครั้งมักจะช่วยเหลือ
ผู้เยาว์ของตนเองฝึกฝนเช่นนี้!” ปิงชิงกล่าว “ผ่อนคลายจิต ให้ข้าชี้นำ
จิตของเจ้าเพื่อไปสู่ขั้นถัดไป!”
ฉินหยุนทำตามคำแนะนำของปิงชิง เขาเริ่มผ่อนคลายจิตของตน
เพียงไม่นาน เขาสัมผัสได้ถึงพลังจิตของปิงชิงที่ไหลเวียนเข้ามา มัน
ควบคุมวิญญาณยุทธ์จันทราทองม่วง ให้ทำการผสานรวมเข้ากับ
ผลึกแก้วดวงดาว
ผลึกแก้วดวงดาวได้ดูดกลืนวิญญาณยุทธ์จันทราทองม่วง พลังของ
มันเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว
ด้วยปิงชิงควบคุมดูแล กระบวนการทั้งหมดเป็นไปอย่างราบรื่นและ
รวดเร็ว
ฉินหยุนหลับตาลง เขาสัมผัสได้ถึงดวงจันทราทองม่วงสุกสว่างที่
เริ่มปรากฏภายในจิต มันเป็นความงดงามที่ทำให้เขานึกถึงหยางฉีเย่ว์
ก่อนหน้านี้ หยางฉีเย่ว์เองก็ครอบครองวิญญาณยุทธ์จันทราทองม่วง
อันงดงามเช่นเดียวกันนี้
ช่วงบ่าย เก้าดวงตะวันร้อนแรงกลางฟากฟ้าที่เผยออกซึ่งรัศมีดวง
ตะวันร้อนแรง
อย่างกะทันหัน หนึ่งในดวงตะวันเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ
ปิงชิงคล้ายพบเห็นเรื่องราวที่ภายนอก นางออกไปพ้นจากต้นกำเนิด
เซียน พร้อมออกมารับชมที่ภายนอกของตำหนักพระราชวังเซียน
ยุทธภัณฑ์
นางเมื่อเห็นปรากฏการณ์บนฟากฟ้า นางค่อยตระหนักได้ ว่านี่เป็น
ผลของการที่จิตของฉินหยุนแปรเปลี่ยนเป็นจันทรา
ปรากฏการณ์นี้ ทุกผู้คนในแดนวิญญาณอ้างว้างล้วนสามารถพบเห็น
ฉินหยุนเดินออกมาที่ด้านหน้าตำหนักพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์
เช่นกัน เขายังได้เห็นดวงตะวันแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ นอกจากนี้แล้ว
มันยังมีรัศมีแสงเป็นทองม่วง เขากล่าวถาม “พี่สาวปิงชิง นี่เกี่ยวข้อง
กับข้าหรือ?”
เวลาเดียวกันนี้เอง ที่ดวงตะวันค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาพปกติ
“อย่าได้ใส่ใจไป รีบไปกันดีกว่า!” ปิงชิงกล่าว
ตำหนักเซียนดาบ เจี้ยนสือเทียนกำลังรับชมดวงตะวันที่ฟื้นกลับคืน
ด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
เจี้ยนหนันหู่กล่าวถาม “ท่านปู่ นี่คือเรื่องอันใด? ปรากฏการณ์นี้
คล้ายยากพบเห็นยิ่งนัก!”
“ดวงตะวันและจันทรากำลังประชันต่อกัน! ผู้ฝึกตนจันทราที่ทรง
อำนาจได้ถือกำเนิดขึ้น เป็นผลให้จันทราทมิฬขึ้นมาบดบังดวงตะวัน!”
เจี้ยนสือเทียนกล่าวด้วยคิ้วขมวด “เรื่องนี้ต้องเป็นคนของสามสำนัก
จันทราเป็นแน่!”
“ท่านปู่ หนึ่งเดือนผ่านพ้น คนของเขตแดนลึกล้ำยังไม่มาที่นี่อีกหรือ?
ราชันแคว้นถึงสองคนสิ้นชีพ! ทั้งยังมีจ้าวสำนักอสูรทั้งหลายที่ตาย
ตก และยังมีพวกอสูรจากเขตแดนลึกล้ำอสูรอ้างว้าง พวกนั้นไม่มี
การตอบสนองใดเลยอย่างนั้นหรือ?” เจี้ยนหนันหู่เอ่ยถามด้วยความ
สงสัย
“บางทีอาจเป็นพวกเขาเหล่านั้นไม่มีกำลังพอให้เข้ามาแทรกแซง
เรื่องราวได้แล้ว!” เจี้ยนหนันหู่หัวเราะ “ต่อให้มา ข้าก็คาดเดาว่าคง
จะเป็นการมุ่งตรงไปยังเทือกเขานิราศจันทรา เพื่อตรงไปจับตัวหยาง
ฉีเย่ว์! แม้พวกเขาคิดอยากไปหาทางลัดต่อฉินหยุน แต่ด้วยฉินหยุน
กระทำไปมากมายเพียงนั้น พวกเขาจะยังกล้าอีกอย่างนั้นหรือ?”
เจี้ยนหนันหู่กล่าว “ฉินหยุนแข็งแกร่ง ทั้งยังมีเซียนหนุนหลัง นคร
เซียนยุทธภัณฑ์ได้รับต้นกำเนิดเซียนไปมาก ข้ายิ่งมายิ่งอยากฝึกฝน
พลังที่มากขึ้น ข้าต้องเอาชนะเขาให้ได้!”
หาได้มีผู้ใดหาญกล้ามายังนครเซียนยุทธภัณฑ์เพื่อสร้างปัญหาแก่ฉิน
หยุน เพราะนั่น ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย
ผู้คนล้วนทราบ ว่ามีเซียนที่ทั้งแข็งแกร่งและลึกล้ำซ่อนตัวอยู่ใน
พระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์ นอกจากนี้ ฉินหยุนยังเป็นที่รักใคร่ของ
เซียนดังกล่าว ผู้ใดคิดอยากสร้างปัญหาแก่ฉินหยุน เมื่ออยู่ที่นี่ ย่อมมี
สภาพไม่ต่างอะไรกับคนตาย
ฉินหยุนกลับเข้าตำหนักพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์พร้อมยืดเส้น เขา
ยิ้มกล่าว “พี่สาวปิงชิง จิงเหมิงคงไม่มาสักพักหนึ่ง นางน่าจะรับการ
สอนสั่งเต๋าจารึกจากผู้อาวุโสหลิงหลงอยู่!”
“ผู้อาวุโสหลิงหลง? จากนามนั่น สตรีงั้นหรือ? เมื่อใดกันที่พระราชวัง
เซียนยุทธภัณฑ์ของเรามีผู้อาวุโสคนนั้น?” ปิงชิงคิ้วขมวดเอ่ยถาม
“นามของนางคือเจี้ยนหลิงหลง เป็นจักรพรรดิยุทธ์จากตำหนักเซียน
ดาบ ทั้งยังเป็นอาจารย์จารึกเต๋า นางครอบครองจารึกวิญญาณจ้าวเต๋า
ด้วย! เป็นข้าดึงตัวนางมาจากตำหนักเซียนดาบ!” ฉินหยุนยิ้มภาคภูมิ
“นางเป็นอาจารย์จารึกเต๋าที่งดงามผู้นั้น?” น้ำเสียงปิงชิงพลันเย็นเยือก
ราวกับนี่เจือปนมาด้วยอาการริษยา
“นั่นก็ใช่ ทว่านางหาได้อ่อนโยนใดไม่!” ฉินหยุนพบว่าเมื่อครู่ตน
คล้ายเหยียบลงนรกไปครึ่งก้าว
“ให้ข้าพบนาง!” ปิงชิงกล่าวเสียงเย็นเยือก
ฉินหยุนยิ่งกังวล เขากล่าว “พี่สาวปิงชิง อย่าได้ขับไล่นางไป นางจะ
เป็นอาจารย์ที่ดีให้แก่เสี่ยวจิงเหมิง!”
ปิงชิงกล่าว “นางเข้าร่วมนครเซียนยุทธภัณฑ์ของเรา ย่อมเป็นหนึ่ง
ในพวกเรา ทั้งยังเป็นผู้อาวุโสอาจารย์จารึกเต๋า ข้าย่อมคิดอยากพบ
นางถือเป็นเรื่องปกติ!”
เพียงไม่นาน ปิงชิงจึงเรียกตัวเปาเฉิงโฉ่วและแม่เฒ่าหม่าเข้าพบ ทั้ง
สองเร่งรีบไปนำตัวเจี้ยนหลิงหลงมายังที่นี่
“ข้าควรอยู่ด้วยหรือไม่?” ฉินหยุนถามขึ้น
“อยู่!” ปิงชิงกล่าว “ข้าคิดอยากเห็นว่านางเป็นคนที่ข้ารู้จักหรือไม่!
เพราะผู้คนที่ข้องเกี่ยวกับเจ้าในชาติภพก่อน คล้ายเวลานี้จะถูกดึงดูด
เข้าหาเจ้าไม่ใช่น้อย!”
“ผู้อาวุโสหลิงหลงอายุไม่น้อยแล้ว อย่างน้อยก็สมควรสักหนึ่งพันปี
หรือบางทีอาจถึงขั้นอายุหนึ่งหมื่นปีด้วยซ้ำ!” ฉินหยุนกล่าว
“ได้เห็นเมื่อใดย่อมได้ทราบ กระทั่งว่านางไม่อาจจดจำอันใดได้ แต่
หากข้าได้เห็นหน้าของนาง ข้าก็จะทราบว่านางเป็นคนที่ข้ารู้จัก
หรือไม่!” ปิงชิงกล่าว
ไม่นานเท่าใดนัก เจี้ยนหลิงหลงจึงมาถึง
ทันทีเมื่อนางมาถึงและได้พบเห็นปิงชิง นางสัมผัสได้ถึงพลังเซียน
อันรุนแรง มันทำเอานางต้องอึ้งทึ่งจนเร่งร้อนโค้งกายให้แก่ปิงชิง
“เจี้ยนหลิงหลงคารวะผู้อาวุโสสูงสุด!”
เจี้ยนหลิงหลงนึกขึ้นได้ ฉินหยุนบอกต่อนางแล้ว ว่าเซียนผู้นั้นงดงาม
เป็นอย่างยิ่ง ครานี้นางได้เห็นกับตาตนเอง จึงค่อยได้ทราบว่าเป็น
ความจริง
“หลิงหลง ยินดีต้อนรับสู่นครเซียนยุทธภัณฑ์ของเรา! จิงเหมิงครอบ
ครองร่างเซียนโดยธรรมชาติ ทั้งนางยังครอบครองจารึกวิญญาณ
โทเทม หวังว่าเจ้าจะช่วยสอนสั่งแก่นางเป็นอย่างดี!”
“นี่คือเปลือกหอยสื่อสาร หากเจ้ามีส่วนใดที่ไม่เข้าใจในการฝึกฝน
จงส่งข้อความถึงข้า หากข้าสะดวก ย่อมช่วยเจ้าชี้แนะเป็นการส่วนตัว
ให้!” ปิงชิงกล่าว
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสสูงสุด!” เจี้ยนหลิงหลงรับเปลือกหอยสื่อสาร
มา ภายในยังต้องตื่นตะลึง เป็นนางไม่ทราบว่าเหลียวจิงเหมิงจะถึง
ขั้นมีจารึกวิญญาณโทเทมในครอบครอง
“ความลับเรื่องจิงเหมิงครอบครองจารึกวิญญาณ จงรักษาเอาไว้ให้ดี
เยี่ยงชีวิต!” ปิงชิงกล่าวคำเตือน

ตอนที่ 716 ความรู้สึกผิดที่อัดแน่นอยู่ภายใน
ฉินหยุนอยู่ในอ้อมกอดของปิงชิง ร่างกายของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็น
สีดำสนิท กล้ามเนื้อทั้งหลายเริ่มปล่อยกระแสออร่าชั่วร้ายออกมา
สถานการณ์ยิ่งมายิ่งเลวร้ายลง
“หากข้าจูบ มันจะได้ผลจริงหรือ?” ปิงชิงเผยสีหน้าปั้นยาก นางมอง
ที่ฉินหยุนซึ่งนอนหนุนหน้าตักตนเองอยู่
หลิงหยุนเอ๋อถึงกับสบถต่อฉินหยุนภายใน!
เพราะฉินหยุนตอนนี้มีอิทธิพลทางใจต่อปิงชิง นอกจากนี้แล้ว ด้วย
สภาพนอนหนุนหน้าตักในสภาพอาการย่ำแย่ เขายังไม่ทราบว่านี่คือ
ช่วงเวลาอันงดงามเพียงใด
“ย่อมต้องได้ผล อย่างไรก็ดีกว่าไม่ได้ทดลอง! ไม่ว่าจะอะไร ท่านก็
ชอบเขา และนี่ก็เพียงจูบ ไม่ได้บอกให้ร่วมทำลูก!” หลิงหยุนเอ๋อเร่ง
ร้อนกล่าว
“ข้าไม่ได้ชอบเขา! สาเหตุเดียวที่ข้าช่วยเหลือก็เพื่อเป็นการช่วยพี่ฉี
โหรว!” ปิงชิงโพล่งเสียงดัง
หลิงหยุนเอ๋อที่ได้เห็นปฏิกิริยา นางจึงทราบว่าปิงชิงกล่าวคำลวง
“ก็ได้ แล้วแต่เลย อย่างไรก็แค่ทดลองดู ต่อให้… มีค่ำคืนดื่มด่ำร่วม
สองด้วยกัน แต่หากไร้ซึ่งความรู้สึกใดก็คงไม่อาจช่วยเหลือเขา
เอาไว้ได้!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
“วิญญาณเต๋าเอ๋ย เหตุใดเจ้าจึงมีแต่ความคิดโสมมเช่นนี้! ข้าแทบไม่
นึกอยากเข้าใจ ฉินหยุนเป็นปุถุชนที่ดี ทว่าเจ้ากลับเป็นเช่นนี้” ปิงชิง
แค่นเสียงเย็นกล่าวคำออก
“พี่สาวปิงชิงหยุดกล่าววาจาไร้สาระ และเร่งรีบลงมือได้แล้ว!” หลิง
หยุนเอ๋อโพล่งกล่าวเร่ง
“จูบก็พอใช่ไหม! แล้วเรื่องนี้ก็จงอย่าได้บอกต่อเขา หากเขาทราบ
ภายหลัง จงบอกว่ามันเป็นภาพมายา หากเขาไม่เชื่อ เช่นนั้นก็บอกว่า
เป็นมายาที่เจ้าสร้างขึ้น!” ปิงชิงกล่าว “ข้าไม่คิดให้เขาได้ทราบเรื่อง!”
“ก็ได้ ข้าให้สัญญา ตอนนี้เลิกพิรี้พิไรได้แล้ว อีกไม่นานฉินหยุนจะ
ตายตกอยู่แล้ว!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าวอย่างเร่งร้อน
ปิงชิงสูดลมหายใจเบา จากนั้นจึงก้มศีรษะลงจูบที่ฉินหยุน จากที่
เห็น นี่สมควรเป็นนางเพิ่งกระทำครั้งแรก เป็นนางขาดประสบการณ์
อย่างเห็นได้ชัด
หลิงหยุนเอ๋อเวลานี้จึงใช้พลังจิตสื่อสารต่อปิงชิง ชี้แนะว่านางควร
ต้องทำอย่างไรต่อ
ปิงชิงย่อมสื่อสารทางจิตกับหลิงหยุนเอ๋อได้เช่นกัน “ฉินหยุนทราบ
หรือไม่ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น”
“เขาไม่อาจทราบ แต่นี่น่าจะได้ผล!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
ฉินหยุนผู้ซึ่งร่วงหล่นสู่ก้นบึ้งแห่งเต๋าอสูร ขณะนี้รับรู้ถึงริมฝีปากที่
ได้รับการเติมเต็ม เขาหยุดร้องตะโกน เพราะปิงชิงได้ควบคุมพลัง
ของนางเอาไว้ทำให้เขาไม่อาจดิ้นรนอื่นใดได้อีก
“หลิงหยุนเอ๋อ นางวิญญาณสวะ จงออกไปให้พ้นจากที่นี่ เจ้าคิดทำ
อะไรข้า? ข้าจะฉีกนางมารร้ายเช่นเจ้าออกเป็นชิ้น!” ฉินหยุนคำราม
กราดเกรี้ยวดังในจิตใจ
ความคิดของเขาเวลานี้ คือตนถูกหลิงหยุนเอ๋อลวงหลอก!
หลิงหยุนเอ๋อร้องตะโกนภายในโลกจิตวิญญาณของฉินหยุน “ฉินหยุน
ปิงชิงกำลังจูบเจ้า นางช่วยเหลือเจ้าเพื่อให้พ้นจากสภาพนี้! จงเร่งรีบ
รู้สึกตัวได้แล้ว ชาติภพก่อนเจ้าทำร้ายนางอย่างสาหัส ดังนั้นชีวิตนี้
เจ้าต้องชดใช้ต่อนาง!”
“เป็นนางเลือกเสียสละอย่างมหาศาลเพื่อช่วยเหลือเจ้า!”
ฉินหยุนพอได้ฟัง เขาอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้น ห้วงความคิดของเขา
คล้ายกระจ่างขึ้น ทั้งยังสัมผัสได้ถึงบางอย่าง
“ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ดี เจ้าควรอิ่มเอมกับมันไว้เสีย!”
หลิงหยุนเอ๋อได้เห็นความทรงจำดำมืดของฉินหยุนค่อยกลับกลาย
เป็นสว่าง นางค่อยถอนหายใจโล่งอกได้
ฉินหยุนรับรู้ถึงโลกภายนอกที่ยิ่งมายิ่งสว่างและกระจ่างชัด
อย่างรวดเร็ว เขาฟื้นกลับคืนจิตสำนึก รับรู้ได้ถึงปิงชิงที่สวมกอด
ตนเองเอาไว้ ในอ้อมกอดนี้ มันทำให้เขารับรู้เพียงแต่ความอ่อนโยน
และโอบอ้อม
ด้วยอะไรไม่ทราบ จิตใจฉินหยุนที่มีแต่ความรู้สึกด้านลบ ขณะนี้
ค่อยถูกสะกดลงไปมาก เวลานี้มันราวกับเขาเดินเล่นในโลกแห่ง
ความฝัน พร้อมรับรู้ถึงความอ่อนโยนที่ปิงชิงส่งมอบให้
กล้ามเนื้อฉินหยุนที่แปรเปลี่ยนเป็นสีดำ เวลานี้ค่อยกลับคืนปกติ
กลุ่มพลังงานสีดำที่ฟุ้งอยู่เริ่มเลือนหาย
เพราะจูบของปิงชิง มันยิ่งทำเขารู้สึกผิด เพราะเขาทำให้ปิงชิงต้อง
ผิดหวังอีกครั้งคราหนึ่งแล้ว!
พร้อมกันนี้ เขายังรับรู้ได้ถึงความรักที่เจือปนมา
มันทำให้เขาเริ่มนึกย้อนถึงช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดรวดร้าว ปิงชิง
อยู่ข้างกายเขามาโดยตลอด พยายามใช้สารพัดวิธีเพื่ออุ้มชูและบรรเทา
ความเจ็บปวด
กระนั้น เขากลับลืมเลือนทุกสิ่งอย่าง กลับกลายเป็นรู้สึกราวกับตน
ถูกทอดทิ้ง ตอนนี้เขายิ่งรู้สึกผิดที่ทำให้ปิงชิงต้องผิดหวัง ความรู้สึก
ผิดที่ก่อเกิดยิ่งมายิ่งมากขึ้น
ความรู้สึกผิดที่บังเกิด มันคือแหล่งกำเนิดพลังงานด้านบวกแก่จิตใจ
ของฉินหยุน!
ตราบเท่าที่ยังคงมีจิตสำนึกแม้เศษเสี้ยว หลังก่อเรื่องที่ผิดพลาด มัน
ย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นความรู้สึกผิด!
จิตใจและความทรงจำที่บิดเบี้ยว มันเป็นเพราะความมืดเข้าปกคลุม
เวลานี้มันถูกชี้นำกลับคืนสู่ความกระจ่างชัดทีละน้อย
“เสี่ยวหยุน ปิงชิงช่วยเหลือเจ้ามาโดยตลอด! นางเกลียดชังเจ้าในชาติ
ภพก่อนเป็นล้นพ้น กระนั้นตอนนี้นางกลับยอมปล่อยวางเรื่องราว และ
เจ้า… หันดูตัวเจ้า เป็นเจ้าที่ทอดทิ้งความเชื่อมั่นซึ่งนางมีมอบให้!”
“หากเจ้าตาย ผู้ใดกันจะปกป้องนางในภายหน้า? ไม่มี! นอกจากนี้
แล้ว ยังคงมีเย่ว์หลาน เสี่ยวเม่ยเหลียน เหล่านั้นล้วนเป็นครอบครัว
ของเจ้า!”
“ความทรงจำวัยเด็กของเจ้ากลับคืนมา เจ้าสมควรทราบแล้วว่า
มารดาเจ้าสิ้นพระชนม์อย่างไรใช่หรือไม่?”
หลิงหยุนเอ๋อยินดีไม่น้อยที่ได้เห็นฉินหยุนกลับคืนสู่อาการสงบอีก
ครั้งหนึ่ง ก่อนหน้า เป็นนางที่กระตุ้นให้ฉินหยุนต้องปกป้องครอบครัว
อันสำคัญของตนเอง ต้องมีความหาญกล้าที่จะก้าวเดินออกไป เพื่อ
ต่อสู้กับมารร้ายที่พร้อมจะย่างกรายเข้ามา
“เสด็จแม่เป็นข้าสังหาร ข้าย่อมต้องช่วยให้ท่านได้ถือกำเนิดขึ้นใหม่
อีกครั้ง!” ฉินหยุนกล่าวต่อหลิงหยุนเอ๋อ
“อย่าได้กล่าวเช่นนั้น เสด็จแม่ของเจ้าเพราะได้รับแผนที่หลุมฝังเซียน
ภายหลังจึงให้กำเนิดเจ้า และเป็นนางที่ตัดสินใจถ่ายโอนพลังมาร
จากตัวเจ้ามาด้วยตนเอง!”
“เสด็จแม่ของเจ้าได้เสียสละตนเองเพื่อปกป้อง! ไม่เพียงแต่นาง ยังมี
มารดาของเสี่ยวเม่ยเหลียนและเย่ว์หลาน ทั้งสองเพื่อปกป้องทายาท
พวกนางต่างต้องประสบพบเจอเรื่องราวเช่นเดียวกัน!”
“พวกนางเหล่านั้นถูกสังหารโดยพลังของวิญญาณร้าย ดังนั้นเจ้าต้อง
ดึงตนเองไว้อย่าได้ร่วงหล่นสู่เต๋าแห่งอสูร ไม่เช่นนั้น การเสียสละที่
เสด็จแม่ของเจ้ามอบไว้จะกลายเป็นสูญเปล่า!”
หลิงหยุนเอ๋อพูดกล่าวบอกต่อฉินหยุน นี่เองจึงเป็นสาเหตุที่นางถือ
กำเนิดขึ้น
การครอบครองวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬ มันยิ่งทำให้ร่วงหล่นสู่เต๋า
อสูรโดยง่าย เขาจำเป็นต้องมีภูติเช่นนางเพื่อคอยย้ำเตือน
“หยุนเอ๋อ ขอบคุณเจ้าแล้ว! ก่อนหน้าข้าต้องขออภัยที่กล่าววาจา
เหล่านั้นออกไป เป็นข้าทำเจ้าผิดหวัง!” ฉินหยุนกล่าวออกอย่าง
สำนึกผิด
“ไม่เป็นไร พวกเราล้วนเป็นสหายที่ชิดใกล้ ข้าย่อมช่วยเหลือเจ้า!”
หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะกล่าว “เสี่ยวหยุน หากเจ้าคิดอยากจูบให้มากกว่า
นี้ จงแสร้งทำเป็นไม่ได้สติไปอีกพักหนึ่ง! หรือไม่ก็พยายามดิ้นรน
คลุ้มคลั่ง ใช้โอกาสนี้ดึงเอาความรู้สึกของนางออกมา… หึหึหึ ก่อน
หน้าเป็นนางฉวยโอกาสต่อเจ้า ครานี้ค่อยเป็นโอกาสดีให้เจ้าได้ทวง
หนี้!”
ก่อนหน้านี้ ปิงชิงกล่าวย้ำต่อหลิงหยุนเอ๋อว่าอย่าได้บอกต่อฉินหยุน
ถึงเรื่องนี้
แต่แล้ว หลิงหยุนเอ๋อไม่เพียงบอกต่อฉินหยุนว่าเกิดอันใดขึ้น กลับ
ยังชี้นำให้เขาฉวยโอกาสต่อนาง
หากปิงชิงทราบ โทสะที่นางมีคงระเบิดปะทุออก!
ฉินหยุนดึงสติกลับคืนมาได้แล้ว กระนั้นเขาก็หาได้คิดทำตามคำ
กล่าวของหลิงหยุนเอ๋อ
แขนของเขาขยับไปโดยไม่คล้ายตั้งใจ มันสัมผัสกับบางอย่าง เป็น
ผลให้ปิงชิงถึงกับสะท้านตั้งแต่หัวจรดเท้า
ปิงชิงค่อยตระหนักได้ตอนนี้ ว่าฉินหยุนพยายามลงมือต่อนาง…
นางที่มีโทสะจึงติดต่อไปทางหลิงหยุนเอ๋อ กระนั้นกลับไม่ได้รับการ
ตอบสนองใด…
ฉินหยุนซาบซึ้งต่อปิงชิงเป็นล้นพ้น เขาไม่คิดอยากใช้โอกาสนี้
ล่วงเกินต่อนาง กระนั้นหากเขาตื่นขึ้นอย่างกะทันหัน มันจะกลับ
กลายเป็นสถานการณ์ชวนกระดากใจ เขาจึงแสร้งทำเป็นได้สติ
เพื่อที่จะได้ทำเสมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้น
“หยุนเอ๋อ บอกต่อพี่สาวปิงชิง ว่าตัวข้าตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว ให้นาง
หยุดการกระทำได้!” ฉินหยุนบอกกล่าว
“ไม่มีทาง นี่เป็นโอกาสชั้นเลิศ!” หลิงหยุนเอ๋อแค่นเสียงสะบัดหน้า
“หยุนเอ๋อ เชื่อข้า หากสตรีผู้นั้นชื่นชอบข้าจริง เช่นนั้นก็ไม่มีความ
จำเป็นต้องใช้กลลวงเช่นนี้!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว “ทำเช่นนี้ มีแต่จะ
นำพาผลลัพธ์อีกด้านกลับคืนมา!”
“ก็ได้!” หลิงหยุนเอ๋อได้แต่ต้องจำยอม
นางส่งเสียงสื่อสารไปยังปิงชิงพร้อมกล่าว “พี่สาวปิงชิง ขอบคุณ
ท่านแล้ว! อาการเสี่ยวหยุนดีขึ้นมาก นี่ถือว่าได้ผลดีเยี่ยมนัก!”
“จริงหรือ? ข้าหยุดได้แล้ว?” ปิงชิงเผยความยินดีจากใจปรากฏออก
“เขากำลังอยู่ในห้วงความฝัน หากท่านคิดอยากทำต่อ เช่นนั้นก็จงทำ!
ข้าจะไม่บอกต่อเขาถึงเรื่องนี้อย่างแน่นอน!” หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะดัง
คิกคัก
“จะไม่บอกเขาจริงหรือ?” ปิงชิงกล่าวถาม
“ต่อให้ข้าบอก เขาก็ไม่เชื่อข้า! ท่านไม่ทราบ เสี่ยวหยุนหาได้มี
เจตนาคิดร้ายใดต่อท่านไม่! เขามีเพียงแต่ความรู้สึกผิดและนับถือต่อ
ท่าน! แม้ข้าพยายามชี้นำ ทว่าเด็กน้อยผู้นี้กลับใสซื่อจนเกินไป!”
“ท่านต้องไม่เชื่อแน่ ว่าชายผู้นี้ยังครองความบริสุทธ์ิเอาไว้!”
หลิงหยุนเอ๋อค่อยตระหนักได้ตอนนี้ ว่าความรู้สึกที่ปิงชิงมีให้แก่ฉิน
หยุนค่อนข้างลึกล้ำ
เพราะนางสามารถหยุดมือที่ตรงนี้ กระนั้นกลับมีความคิดอยากไป
ต่อ
ฉินหยุน ผู้ซึ่งแสร้งทำเป็นไม่ได้สติ ขณะนี้รู้สึกราวกับเป็นตัวโง่งม
เพราะมือของปิงชิงกำลังลูบไล้สัมผัสกายเขาอย่างเบามือ
ปิงชิงยังคงล่วงเกินต่อเขาอีกพักหนึ่งจึงค่อยหยุดมือ
สายตาของนางมองที่ฉินหยุนผู้ไร้ซึ่งสีหน้าใด ใบหน้างดงามเย็น
เยือกศูนย์องศาสมบูรณ์ของนาง ในที่สุดค่อยเผยยิ้มงดงามออกมา
“เสี่ยวหยุน เจ้ารับรู้ว่าอย่างไรบ้าง? ข้าบอกต่อพี่สาวปิงชิงให้หยุด
กระนั้นนางคล้ายคิดอยากไปต่อ ทั้งยังจับตัวเจ้าตรงนั้นตรงนี้ไป
ทั่ว… หึหึหึ… พี่สาวปิงชิงผู้นี้ช่างลามกเกินกว่าที่ข้าคิดไว้ยิ่งนัก!”
หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะกล่าวคำ
ฉินหยุนยิ่งไม่ทราบว่าควรทำอย่างไรต่อดี
ปิงชิงยังคงมีความกังวล นางจะไม่ทิ้งฉินหยุนจากไปเช่นนี้ ทว่านาง
กลับกอดเขาเอาไว้ในสภาพที่ยังคงการฝึกฝนร่วม นางใช้พลังเซียน
ของนางชักนำ ให้ฉินหยุนได้ฝึกฝนร่างเซียนอสูรตามวิชาร่าง
ศักด์ิสิทธ์ิเซียนอสูร
ฉินหยุนเพียงเพิ่งรอดพ้นจากสภาวะร่วงหล่นสู่ก้นบึ้ง เวลานี้มันเป็น
เพียงขั้นตอนที่ทำให้เขาสามารถได้ครอบครองโลหิตอสูร ทว่าจิต
วิญญาณยังไม่ได้ทำการกำราบพลังมารอย่างหมดสิ้น
และเวลานี้ คือขั้นตอนของการฝึกฝนโลหิตเซียน
เรื่องราวดำเนินไปลื่นไหล ฉินหยุนเริ่มสัมผัสได้ทีละน้อยถึงพลังงาน
เซียนที่ไหลเวียนภายในกาย
เขาเองก็ยังไม่อาจทราบ ว่าการฝึกฝนร่างเซียนอสูรตั้งแต่ขอบเขต
วรยุทธ์วิญญาณระดับต้นนี้ดีหรือแย่
โดยเฉพาะยามนึกถึงช่วงที่ร่วงหล่นสู่ก้นบึ้งแห่งมารร้าย มันทำให้
เขามีแต่ความกังวล
ร่างกายฉินหยุนค่อยซึมซับโลหิตเซียนอสูร มันกลับกลายเป็นโลหิต
เซียนอสูรของเขาเอง มันคือพลังโลหิตที่เขาสามารถควบคุมได้อย่าง
สมบูรณ์
“หยุนเอ๋อ ร่างราชสีห์สวรรค์ลึกล้ำของข้าหายไปแล้วหรือ?” ฉินหยุน
ถามขึ้น
“เจ้าครอบครองร่างเซียนอสูร เหตุใดยังต้องการร่างราชสีห์สวรรค์
ลึกล้ำ? อะไรก็ดี พลังของจิตวิญญาณราชสีห์สวรรค์ยังคงอยู่ใน
กระดูกวิญญาณของเจ้า!” หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะร่วน “เจ้าเวลานี้ไม่มี
ร่างลึกล้ำอีกต่อไป แต่เป็นร่างเซียนอสูร! แน่นอนว่าร่างเซียนอสูร
ของเจ้า ยังเป็นเพียงระยะเริ่มต้น!”
“และระยะที่ทรงอำนาจที่สุด ก็คือเมื่อมันวิวัฒน์จนเกิดขึ้นเป็นร่าง
ศักด์ิสิทธ์ิเซียนอสูร!”
ฉินหยุนพบว่าน่าเสียดาย เขาเพิ่งทราบเมื่อไม่นานด้วยซ้ำว่าเลือดใน
ร่างราชสีห์สวรรค์ลึกล้ำสามารถเผาไหม้
“อย่าได้กังวลเกินไปแล้ว! เอกลักษณ์ของร่างราชสีห์สวรรค์ลึกล้ำได้
ถูกร่างเซียนอสูรดูดกลืนไป ภายหลังเจ้าค่อยใช้ร่างเซียนอสูรจุดไฟ
ขึ้นมายังได้!” หลิงหยุนเอ๋อยิ้มกล่าว
“หยุนเอ๋อ ข้าฝึกฝนร่างเซียนอสูรได้สำเร็จแล้ว บอกให้พี่สาวปิงชิง
คลายอ้อมกอดได้หรือไม่? ข้าไม่คิดอยากกระอักกระอ่วนยามตื่น
ขึ้น!” ฉินหยุนร้องขอ
“ย่อมได้!”
หลิงหยุนเอ๋อเบะปากเล็กน้อย นางคาดหวังให้ฉินหยุนตื่นมาสบ
สายตากับปิงชิงด้วยซ้ำไป ถึงตอนนั้น สีหน้าของทั้งสองคงน่าดูชม
ไม่ใช่น้อย
กระนั้น นางก็ทำดังเช่นที่ฉินหยุนบอกกล่าว “พี่สาวปิงชิง เขาอาการ
ดีขึ้นมากแล้ว เวลานี้ท่านปล่อยมือจากเขาได้ หากเขาตื่นขึ้นอย่าง
กะทันหัน พวกท่านทั้งสองจะกลายเป็นลำบากใจต่อกันเสียแทน!”
“เขาจะตื่นขึ้นแล้วอย่างนั้นหรือ? ข้ายังคิดอยากจูบเขาอีกสักครั้ง!”
ปิงชิงร้องบอกความต้องการต่อหลิงหยุนเอ๋ออย่างไม่สงวนถ้อยคำ

ตอนที่ 715 อสูรร้ายจากก้นบึ้งความมืด
ความเจ็บปวดในร่างของฉินหยุนบรรเทาลง บางทีอาจเป็นเพราะ
ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับปิงชิง อย่างไรแล้วมันก็ช่วยให้เขาสงบ
ใจลงและรู้สึกสบายขึ้นได้
เขารับรู้ถึงร่างกายอบอุ่นของปิงชิง มันให้ความรู้สึกอ่อนนุ่มราวปุย
เมฆ
เขายากที่จะเชื่อได้ลง ว่าสตรีเย็นเยือกจะถึงขั้นอ่อนโยนต่อเขาได้
เช่นนี้ นอกจากนี้แล้ว ทั้งร่างกายของเขายังรู้เพียงแต่ความอบอุ่น
ปิงชิงกอดฉินหยุนจากทางด้านหลังเอาไว้แน่น ร่างกายทั้งสองต่าง
แนบชิดติดกัน เมื่อนางใช้พระสูตรหัวใจตะวันจันทรา นางจะสามารถ
ชี้นำให้ร่างกายฉินหยุนดูดกลืนโลหิตเซียนอสูรได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ปิงชิงยังมีความเข้าใจอย่างสูงล้ำ นางโคจรพลังของกาย
นาง ให้เข้าสู่กายของฉินหยุนเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด
กระนั้นแม้เป็นเช่นนี้ ฉินหยุนก็ยังรับรู้ถึงความเจ็บปวดมากล้น แต่
ทุกครั้งที่เขาดิ้นรนเพราะความเจ็บปวดที่รับรู้ได้ว่ายากทานทน เขา
จะรับรู้ถึงพลังอันอบอุ่น อ่อนโยน และโอบอ้อมเปรียบดังสายน้ำ
จากทางด้านหลัง พวกมันไหลเข้าสู่ทั้งกายของเขา ช่วยให้เขาคลาย
ความเจ็บปวดได้ชั่วครู่
ฉินหยุนเกิดซาบซึ้งต่อปิงชิงเป็นล้นพ้น หาได้มีจิตใจคิดอกุศลไม่
“ฉินหยุน ในเมื่อพี่ฉีโหรวเลือกเจ้า นางย่อมต้องผ่านการตัดสินใจ
ครั้งใหญ่มาแล้ว!” น้ำเสียงของปิงชิงดังขึ้นภายในจิตใจของฉินหยุน
“ใช่ ข้าจะทำให้นางผิดหวังไม่ได้!” ฉินหยุนคิดอยากช่วยเซี่ยฉีโหรว
ไม่แพ้ผู้ใด เขาต้องการให้นางเป็นอิสระจากหลุมฝังเซียน
ปิงชิงทราบเช่นกัน ว่าฉินหยุนพยายามหนักหนาเพียงใด อย่างเมื่อครู่
ที่จิตใจของเขาแทบแหลกสลายและดิ้นรน แต่เมื่อตั้งจิตได้อีกครั้ง
เขาก็ไม่ร้องตะโกนคิดอยากยอมแพ้อีก
กระบวนการนี้ยากลำบากจนถึงขนาดทำปิงชิงหวาดกลัวขึ้นมา
นางย่อมได้เห็นถึงสีหน้ารวดร้าวของฉินหยุน และนางยังทราบ ว่า
ไม่ว่าเป็นผู้ใด ความเจ็บปวดระดับนี้ก็ยากทานทนได้
กระทั่งเป็นนางก็อาจไม่สำเร็จด้วยซ้ำ!
อีกหลายวันได้ผ่านพ้นราวพลิกหน้ากระดาษ
โลหิตเซียนอสูรภายในไหเริ่มลดทอนลง ตอนนี้ฉินหยุนเริ่มมีสภาพ
แช่กายคล้ายคนไม่ได้สติไปครึ่งหนึ่งแล้ว
โดยเฉพาะช่วงหลายวันที่ผ่านมา เขาอดทนต่อความเจ็บปวดกว่าสิบ
ชั่วยาม ก่อนที่ร่างกายจะเริ่มกระบวนการสร้างขึ้นใหม่ และเข้าสู่
กระบวนการทำลายอีกครั้งหนึ่ง
โลหิตเซียนอสูรครานี้จำเป็นต้องใช้เวลากว่าสิบชั่วยามเพื่อเข้าสู่
ร่างกาย ทำลายกล้ามเนื้อ กระดูก เลือด และอวัยวะภายใน
ความเจ็บปวดเหล่านี้ชวนสะพรึงเกินบรรยาย กระนั้นก็โชคดีที่เขา
อดทนมันมาได้
ตอนนี้ จิตใจของฉินหยุนเริ่มถูกทำลาย หลังได้ผ่อนคลาย เขาจะเข้า
สู่สภาวะฟื้นฟูตัวตน
ปิงชิงพาร่างฉินหยุนออกจากในไห จากนั้นจึงทะยานลงสู่สระเซียน
จมดิ่งเข้าสู่เบื้องลึกพร้อมนำฉินหยุนลงสู่ด้านล่าง ที่ซึ่งมีต้นกำเนิด
เซียนตั้งอยู่
นางนำฉินหยุนไป วางร่างนั้นไว้ที่บรรทมเซียนตะวันจันทรา พร้อม
เริ่มทำการฝึกฝนต่อ นางปลดปล่อยคลื่นพลังงานเซียนเพื่อบำรุงเลี้ยง
กายฉินหยุน
ตอนนี้ ร่างกายของฉินหยุนอยู่ในระหว่างการแปรสภาพ กระบวนการ
นี้ราวกับปาฏิหาริย์
ปิงชิงยังคงโอบอุ้มฉินหยุนเอาไว้ นางรับรู้ได้ถึงความรู้สึกประหลาด
กระนั้นพลังอันเกินใดเทียบกลับทะลักจากในกายฉินหยุน
ไม่ช้า นางค่อยนำจิตสำนึกของฉินหยุนเข้าสู่ห้วงมิติกาลอวกาศตะวัน
จันทรา
จิตสำนึกของฉินหยุนที่เข้ามา เขากลับกลายเป็นตกสู่ห้วงการหลับใหล
ปิงชิงถอนหายใจเบา “การทดสอบด่านสุดท้าย หวังว่าจะผ่านไปได้!”
การทดสอบสุดท้าย คือสถานที่ซึ่งเป็นห้วงลึกแห่งความเจ็บปวดใน
กายของฉินหยุน
หลังทรมานอยู่ทั้งเดือน จิตใจของฉินหยุนเรียกได้ว่าถูกทำลายไป
หลายครั้งครา
ความเจ็บปวดที่เขาได้รับ มันได้ทำลายความทรงจำอันดีงามในใจเขา
หมดสิ้น มันฉีกกระชากความทรงจำอันดีงามเหล่านั้นออก
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ฝึกตนอสูรจึงโหดเหี้ยม พวกเขาใช้วิธีการ
ฝึกฝนร่างกายเช่นนี้เพื่อได้รับพลัง เป็นผลให้ตัวตนด้านความดีงาม
และชอบธรรมต้องเลือนหาย
และยังคงมีแนวคิดอันบิดเบี้ยวของความดีงาม เพราะผู้ฝึกตนอสูร
คือผู้ที่พร้อมสังหารและกัดกินมนุษย์ รวมถึงสรรพชีวิตอื่น นี่คือ
หนทางที่จะทำให้จิตวิญญาณพวกเขาเกิดความพึงใจได้
หากฉินหยุนไม่อาจสร้างสภาวะทางจิตใจขึ้นมาได้ใหม่ เขาจะถูก
ความชั่วร้ายเข้าครอบงำ เมื่อนั้น มันคือจุดเริ่มต้นของการร่วงหล่นสู่
เต๋าอสูร!
ความเจ็บปวดที่ทำฉินหยุนเกิดสิ้นหวัง มันคือการพรากเอาทุกสิ่งอย่าง
ที่ดีงามจากโลกนี้ของเขาไปหมดสิ้น!
กระทั่งความคิดที่ต้องการช่วยเซี่ยฉีโหรว ยังต้องถูกกระชากจากจิตใจ
แม้แต่เชี่ยวเย่ว์หลานและชี่เม่ยเหลียนที่ฝังแน่นในความทรงจำ ก็ยัง
ต้องเลือนหาย
เพราะสภาพจิตใจอันบิดเบี้ยว หลายผู้คนจึงก่อให้เกิดตัวตนอันชั่วร้าย
ขึ้นมา ทำให้พวกเขามีเพียงแต่ความคิดอยากทำลาย
มันยังส่งผล ถึงตัวตนเช่นชี่เม่ยเหลียนและเหลียวจิงเหมิงที่ปรากฏใน
ความทรงจำของเขา ทั้งสองได้กลับกลายเป็นผู้ชั่วร้ายในความคิด
ของเขา
ความทรงจำนึกย้อนถึงช่วงครั้งยังเยาว์ ที่ชีพจรวิญญาณถูกพราก
นำเอาไป สีหน้าของผู้คนโฉดชั่วเหล่านั้นที่มองเขาอย่างโอบอ้อม
โดยเฉพาะจักรพรรดินีผู้นั้น มันกลับกลายเป็นเขามองว่านางงดงาม
ขึ้นมาเสียแทน!
นี่หมายความถึง มุมมองต่อโลกทั้งใบของเขาได้บิดเบี้ยวแล้ว!
“เสี่ยวหยุน เร่งรีบดึงสติตนเอง!” หลิงหยุนเอ๋อตะโกน
“หุบปาก เจ้ามันหนอนโสโครกที่ช่วงชิงจิตวิญญาณข้า ขโมยความ
ทรงจำของข้าทุกวี่วัน ทำเอาข้ารำคาญจนแทบตาย ข้าคิดอยากสังหาร
เจ้ายิ่งกว่าผู้ใด!”
ก่อนหน้า ฉินหยุนเคยมีความรู้สึกนึกรังเกียจต่อหลิงหยุนเอ๋อที่
ปรากฏตัวขึ้น
กระนั้น ภายหลังเขาได้ทราบ ว่าหลิงหยุนเอ๋อทั้งน่าสนใจ และเป็น
มิตรสหายที่แน่นแฟ้นต่อตัวเขา
กระนั้นเวลานี้ ความรู้สึกอันดิ่งลึกที่มีให้แก่หลิงหยุนเอ๋อ มันถูกฉีก
กระชากออก กลับกลายเป็นความชั่วร้ายนับไม่สิ้น
เพราะครั้งที่เขาอดทนต่อความทรมาน เขาคิดว่านี่เป็นโชคชะตาที่ตน
ไม่อาจหลีกเลี่ยง ทำให้เขาเริ่มเกลียดชังมิตรสหายทั้งหมดที่มี กลับ
กลายเป็นเขาเกลียดชังทุกผู้คน!
“หากข้าตาย แก่นเต๋าของเจ้าก็จบสิ้น! หน้าโง่ เจ้าถึงขั้นปล่อยให้
ความคิดชั่วร้ายเข้าแทรกแซงจิตวิญญาณได้!” หลิงหยุนเอ๋อเผยเสียง
โกรธเคือง
แน่นอน ว่านางทราบดีถึงโลหิตอสูรที่เดิมอัดแน่นไว้ด้วยพลังวิญญาณ
อันชั่วร้าย
กระทั่งว่าฉินหยุนมีวิญญาณยุทธ์แห่งความเที่ยงธรรม เขาก็ยังไม่อาจ
กวาดล้างจิตสำนึกชั่วร้ายเหล่านั้นอย่างหมดสิ้น
ขั้นตอนนี้ เขามีแต่ต้องพึ่งพาตนเอง!
“อย่างนั้นก็เร่งรีบไปตายได้แล้ว ข้าจะได้เห็นด้วยว่าตนเองตายอย่างไร
ฮ่าฮ่าฮ่า!” ฉินหยุนเริ่มหัวเราะออกอย่างคลุ้มคลั่ง
ปิงชิงได้ยินสิ่งที่เขากล่าว
ฉินหยุน ผู้ซึ่งหลับใหล ใบหน้าหล่อเหลากลับกลายเป็นอัดแน่นด้วย
ความชั่วร้าย ภายในของนางต้องหนักอึ้งยามได้เห็น
ปิงชิงไม่เคยรับมือกับเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน เพียงคิดว่าหากเป็นนาง
ที่ต้องสูญเสียจิตใจไปก็หวาดกลัวแทบแย่แล้ว เพราะการตอบสนอง
ของฉินหยุนเวลานี้ มันคล้ายกับผู้ที่ร่วงหล่นสู่เต๋าอสูร!
เมื่อร่วงหล่นสู่เต๋าอสูร คิดปีนป่ ายขึ้นจากก้นบึ้งแห่งนั้นเป็นเรื่อง
ยากเย็น!
แม้หลิงหยุนเอ๋อมีทั้งประสบการณ์และความรอบรู้ นางก็ไม่อาจทำ
อะไรได้ ที่สามารถ คือควบคุมความทรงจำของฉินหยุน ปล่อยความ
ทรงจำอันงดงามออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า
“บ้าจริง เหตุใดเจ้านี่มีความทรงจำของมารดาน้อยนัก?”
หลิงหยุนเอ๋ออดไม่อยู่จนสบถออกมา เพราะนางเพิ่งตระหนักได้ ว่า
ฉินหยุนมีความทรงจำของมารดาน้อยนิด มีแต่ช่วงเวลาอันงดงาม
เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ต้องเกิดอะไรขึ้นกับมารดาของเสี่ยวหยุนเป็นแน่ เซี่ยฉีโหรวจึงไม่
อยากให้เสี่ยวหยุนได้ทราบ นางจึงพรากความทรงจำส่วนนั้นไป!”
หลิงหยุนเอ๋อยิ่งมั่นใจ!
หลิงหยุนเอ๋อที่ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ นางพลันพบความทรงจำมวลมหึมา
ที่ทะลักขึ้นจากจิตใจของฉินหยุน พวกมันคือความทรงจำที่เขาสูญ
ไปครั้งยังเด็ก
หลิงหยุนเอ๋อค่อยได้เห็นตอนนี้ ว่าฉินหยุนช่วยเชี่ยวเย่ว์หลานไว้
อย่างไร!
มันถึงขั้นทำนางตื่นตะลึง!
ที่พระราชวังหลวงจักรวรรดิเทียนเชี่ยว เชี่ยวเย่ว์หลานถูกรังแกโดย
กลุ่มองค์ชายน้อยอหังการ การรังแกนี้ไม่สมควรเรียกกล่าวเป็นการ
รังแก แต่เป็นการทำร้ายอย่างโหดเหี้ยม!
ครั้งนั้นที่ได้เห็นเชี่ยวเย่ว์หลานบาดเจ็บ ฉินหยุนได้เข้าไปช่วยเหลือ
นาง ให้นางได้หลบหนีออกมา
จากนั้น ฉินหยุนจึงโดนกลุ่มองค์ชายอายุกว่าสิบปีของจักรวรรดิ
เทียนเชี่ยวร่วมกันทำร้าย เป็นผลให้เขาโดนทรมานอย่างโหดเหี้ยม
สารพัดชนิดกว่าชั่วยาม!
ฉินหยุนที่ยังเด็กหาได้หมดสติไม่ เขาอดทนต่อความเจ็บปวดกว่าชั่ว
ยามนั้นเอาไว้ จนกระทั่งเกือบร่วงหล่นสู่เต๋าอสูร!
ภายหลัง เซี่ยฉีโหรวได้เข้ามาช่วยเหลือเขาเอาไว้ และนำกลับไปทำ
การรักษา
สิ่งที่ทำหลิงหยุนเอ๋อตื่นตะลึงยิ่งกว่า มันเป็นเพราะสถานการณ์ที่ฉิน
หยุนสร้างพลังมารขึ้นมาอย่างลึกลับ กระทั่งว่าปกคลุมทั้งร่าง
ทางด้านมารดาของฉินหยุน เพื่อปกป้องไม่ให้บุตรชายร่วงหล่นสู่เต๋า
อสูร นางได้นำเอาความชั่วร้ายและพลังมารเหล่านั้นสู่กายของนาง
แทน จนกระทั่งเป็นผลให้นางต้องสิ้นชีวิต!
ก่อนหน้านี้ทั้งสองเพียงคาดเดา ว่าเซี่ยฉีโหรวขอให้ชี่เม่ยเหลียนนำ
ความทรงจำส่วนนั้นของฉินหยุนออกไป!
ด้วยเหตุนี้ ฉินหยุนวัยเด็กจึงลืมเลือนเรื่องที่ช่วยเหลือเชี่ยวเย่ว์หลาน
เอาไว้!
หลิงหยุนเอ๋อในที่สุดค่อยได้ทราบ ว่าเหตุใดเชี่ยวเย่ว์หลานจึงภักดี
ต่อฉินหยุนเพียงนี้ เพราะหากฉินหยุนไม่ช่วยเหลือนางไว้ ครั้งนั้น
เชี่ยวเย่ว์หลานคงถูกทรมานจนถึงแก่ความตาย
ในตอนนั้น เชี่ยวเย่ว์หลานยังได้เห็นฉินหยุนที่ถูกทรมานแทนตน
ด้วยซ้ำ
“น่ากลัวนัก ความทรงจำส่วนนี้จะยิ่งทำให้เสี่ยวหยุนร่วงหล่นสู่เต๋า
อสูร!”
หลิงหยุนเอ๋อยิ่งร้อนรน ย้อนกลับไปตอนนั้น เซี่ยฉีโหรวไม่ต้องการ
ให้ฉินหยุนได้เห็นแม้ร่างเงาของความทรงจำ จึงได้ทำการผนึกพวก
มันเอาไว้
กระนั้นเวลานี้ ฉินหยุนกลับขุดคุ้ยพวกมันขึ้นมา
และก็เป็นดังที่คิด หลังจากความทรงจำถูกขุดขึ้น เขายิ่งคลุ้มคลั่ง เขา
ร้องตะโกนด้วยเสียงอันดัง “ข้าจะสังหารพวกเจ้าให้หมด… ตายให้
หมด!”
น้ำเสียงนี้ ทั้งดุดันและหยาบกร้านประหนึ่งสัตว์ร้าย
ปิงชิงที่ได้เห็นเช่นนี้ นางจึงดึงจิตสำนึกของฉินหยุนออกจากห้วงมิติ
กาลอวกาศตะวันจันทรา
นางได้เห็น ว่าร่างของฉินหยุนเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ ทั้งยังเริ่มมี
เกล็ดสีดำขึ้นปกคลุมทีละน้อย
“เกล็ดอสูร?”
ปิงชิงยิ่งหวาดกลัว นางใช้ทุกวิธีซึ่งนึกออก กระนั้นพวกมันกลับไม่
อาจสะกดพลังมารร้ายที่ขยายตัวในร่างของฉินหยุนเอาไว้ได้
ปิงชิงแตกตื่นถึงขั้นทำอะไรไม่ถูก แต่แล้วขณะนี้เอง เสียงงดงาม
และอ่อนหวานได้ดังในจิตใจของนาง
“พี่สาวปิงชิง อย่าได้แตกตื่นไป หากท่านทำตามที่ข้ากล่าว ย่อมช่วย
เหลือเสี่ยวหยุนให้พ้นจากวิกฤตนี้ไปได้!” เสียงของหลิงหยุนเอ๋อดัง
ขึ้น
“เจ้า… นี่เจ้าเป็นใคร?” ปิงชิงมองทางฉินหยุนพร้อมถามขึ้นด้วย
อาการตื่นตะลึง
“ข้าคือวิญญาณเต๋าของเสี่ยวหยุน หากท่านต้องการช่วยเหลือเสี่ยว
หยุน เช่นนั้นทำตามที่ข้ากล่าว!” หลิงหยุนเอ๋อเร่งร้อนเอ่ยคำ “หาก
เป็นแบบนี้ต่อไป เขาได้จบสิ้นแน่!”
“บอกมา ว่าข้าควรทำอย่างไร?” ปิงชิงเอ่ยถาม ภายในใจของนางตื่น
ตะลึงเป็นอย่างยิ่ง นางไม่นึกว่าฉินหยุนจะฝึกฝนจนถึงขั้นมีวิญญาณ
เต๋าเช่นนี้
“เร่งรีบจูบเขา!” หลิงหยุนเอ๋อกระแอมไอเสียงแห้งสองครั้ง “พี่สาว
ปิงชิง ข้าคือวิญญาณเต๋าของเขา ความทรงจำล้วนแบ่งปันร่วมกัน!
เวลานี้ ความทรงจำอันดีงามภายในเขาทั้งหมดบิดเบี้ยวจนสิ้นแล้ว!”
“ทว่าก็ยังมีสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือความรู้สึกผิดของเขาที่มีต่อท่าน กระทั่ง
ถึงตอนนี้ เขาก็ยังรู้สึกผิดต่อท่านมาโดยตลอด!”
“เพราะเขามักจะคิด ว่าชาติภพก่อนได้ทำร้ายท่าน และตัวเขาตอนนี้ก็
ไม่อาจชดใช้อะไรให้แก่ท่านได้” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
ปิงชิงกลายเป็นเงียบลง นางเข้าไปกอดร่างฉินหยุนเอาไว้แน่นพร้อม
กล่าวเสียงเบา “อย่างนั้นแล้วจูบเขาจะได้ผลหรือ?”
“หากท่านจูบเขา หมายความถึงท่านยอมรับเขา! นี่จะเป็นการขับไล่
ความรู้สึกผิดในใจของเขาออกไป ทำให้เขาได้มีเศษเสี้ยวความทรง
จำอันดีงามขึ้นมา ตราบเท่าที่ชักนำแสงสว่างแม้เล็กน้อยสู่ความทรง
จำอันมืดมิด มันจะกลายเป็นโชติช่วงในโลกความทรงจำอันมืดมิด
ของเขา!”
หลิงหยุนเอ๋อพบเห็นปิงชิงลังเล นางครวญครางเบา “พี่สาวปิงชิง ข้า
ย่อมได้เห็นถึงความรู้สึกท่านที่มีต่อเสี่ยวหยุน มันยิ่งผ่านไปยิ่งลึกล้ำ
จูบเขาสักครั้งก็ไม่น่ามีปัญหาใช่หรือไม่?”
หลิงหยุนเอ๋อกล่าวต่อ “พี่สาวปิงชิง ความทรงจำชาติภพก่อนของ
เสี่ยวหยุนถูกผนึกเอาไว้ในจิตวิญญาณ! ข้าคาดเดา ว่าในชาติภพก่อน
ท่านมีอิทธิพลทางใจต่อเขาลึกล้ำนัก เพราะเหตุนั้นเขาจึงรู้สึกผิดต่อ
ท่านมาโดยตลอด!”

ตอนที่ 714 ทำลายและถือกำเนิดขึ้นใหม่
ฉินหยุนเกือบจะกระโดดแช่กายในโลหิตเซียนและอสูรอยู่แล้ว ทว่า
กลับถูกปิ งชิงรั้งเอาไว้!
“พี่สาวปิงชิง มีอะไรหรือ?” ฉินหยุนถามขึ้น
“ถอดเสื้อผ้าเจ้าออกแล้วค่อยแช่!” ปิงชิงกล่าวเสียงเย็น “นี่คือโลหิต
เซียนและอสูรที่ขัดเกลาจนเกิดสภาวะบริสุทธ์ิ เสื้อผ้าเจ้าจะโดน
โลหิตเหล่านี้ส่งผลกระทบ!”
ฉินหยุนพลันเขินอายขึ้นมา เขากล่าวอย่างกระดากใจ “พี่สาวปิงชิง
หันไปทางโน้นได้หรือไม่?”
“ไม่! เจ้าเห็นข้าครั้งหนึ่งแล้ว! คราวนี้เป็นคราข้าบ้าง!” น้ำเสียงของ
ปิงชิงเผยความเย็นเยียบ “รีบถอด!”
ฉินหยุนอ้าปากเหวอ มันกว้างขนาดที่แทบจะยัดกำปั้นลงไปได้!
ปิงชิงถึงขั้นกล้าพูดกล่าวเพียงนี้!
ฉินหยุนกระแอมไอแห้งสองครั้ง จากนั้นจึงได้แต่ต้องจำยอมถอดชุด
ออก
ปิงชิงจ้องมองหลายครั้งคราและจึงกล่าว “เข้าไปได้แล้ว!”
ไหนี้ใหญ่ขนาดครึ่งตัวคน ฉินหยุนเพียงนั่งภายในก็แช่กายได้ทั้งร่าง
เขากล่าว “พี่สาวปิงชิง ข้าให้ท่านได้เห็นแล้ว ถือว่าแล้วต่อกัน!”
“ได้ และเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้บอกต่อเย่ว์หลานถึงเรื่องนี้!” ปิงชิง
กล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา “เจ้าหยดเลือดลงไปต่อเนื่อง ให้มันเดือดกว่า
นี้!”
ฉินหยุนหยดเลือดของตนต่อเนื่อง เป็นผลให้โลหิตเซียนและอสูร
ภายในไหเริ่มเดือดรุนแรง
หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “เสี่ยวหยุน เจ้าช่างไร้ค่านัก ถึงขั้นโดนสตรีอื่น
รังแกเช่นนี้ได้!”
“หยุนเอ๋อ ปิงชิงผู้นี้หาได้ใช่สตรีธรรมดา นางเป็นเซียน ข้าอ่อนแอ
เพียงนี้ เป็นปกติแล้วที่นางจะกลั่นแกล้งข้า!” ฉินหยุนเผยความไม่
ยินดี
“เจ้าควรฉวยโอกาสต่อนางบ้าง ไม่อย่างนั้นก็ต้องทนต่อไปเช่นนี้!”
หลิงหยุนเอ๋อฮึมฮัมเบากล่าวคำ
“ให้ข้าหรือฉวยโอกาสต่อนาง? นั่นไม่ถือเป็นการหาที่ตายหรือไร?
หากนางควักหัวใจข้าออกมา นั่นก็แย่แล้ว!” ฉินหยุนไม่กล้าแม้จะมี
ความคิดเช่นนั้น
“เจ้ายังเยาว์นัก ให้ข้า พี่สาวผู้นี้ของเจ้าสอนสั่งแทนแล้วกัน!” หลิง
หยุนเอ๋อยิ้มกล่าว “เจ้าแสร้งเป็นเจ็บปวด ให้นางจูบที่ริมฝีปากเจ้า
อย่างนี้ฟังดูเข้าท่าหรือไม่?”
ฉินหยุนพลันมองทางปิงชิงที่ยืนข้างไห
มือของปิงชิงยังคงกอดไว้ที่หน้าอกของนางเอง ดวงตางดงามนั้นเผย
ประกายพร้อมจับจ้องที่ฉินหยุน
ฉินหยุนมองที่เซียนสาวเย็นเยือกตรงหน้า รับรู้ถึงความรู้สึกภายใน
ใจตนเองที่ปั่นป่ วน เขาพลันนึกอยากจูบนาง กระนั้นก็นึกได้ทัน
ควันว่านั่นเป็นการรนหาที่ตายแก่ตนเอง
“ช่างมัน ไว้รอจนกระทั่งถึงเวลาและโอกาสเหมาะค่อยคิด!” ฉิน
หยุนสลายความคิด เขาไม่คิดอยากทำตามคำชี้นำของหลิงหยุนเอ๋อ
หลิงหยุนเอ๋อย่อมทราบความคิดฉินหยุน นางบุ้ยปากกล่าวคำ “เจ้า
ช่างน่าเบื่อนัก ทำข้าผิดหวังไม่น้อย!”
“หากข้าทำพลาด ผู้ที่โดนปิงชิงทรมานไม่ใช่เจ้า แต่เป็นข้า!” ฉินหยุน
กล่าวไม่ยินดี “อย่าได้เสนอความคิดโง่งมเหล่านั้นแก่ข้าแล้ว!”
“อย่างน้อยเจ้าก็ยังคิด ถือว่าพัฒนา ไม่เลว ไม่เลว!” หลิงหยุนเอ๋อเผย
ยิ้ม
“ข้าเพียงรู้สึกว่านางฉวยโอกาสต่อข้า ข้าจึงคิดอยากเอาคืนก็เท่านั้น!”
ฉินหยุนกล่าวไม่ยินดี
“ก็ไม่เลว ถือว่าเจ้าพัฒนาขึ้นบ้าง!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
ทันใดนี้เอง มือของปิงชิงพลันยืดเข้าสู่ภายในไห พร้อมประทับไว้
ตรงหน้าอกของฉินหยุน
“อีกแล้วหรือ?”
ฉินหยุนสบถภายใน เวลานี้เขาไม่อาจทราบว่านางมีเจตนาในการเอา
รัดเอาเปรียบต่อเขาหรือไม่
ฉินหยุนที่นั่งอยู่ภายในไหนั้นแผ่นหลังพิงตัวไห ปิงชิงยืนอยู่ด้านหลัง
ก่อนจะโค้งลงมาเล็กน้อย มือของนางเคลื่อนต่ำลงไปยังหน้าอกของ
ฉินหยุน
“ข้าคิดฝึกฝนคู่กับเจ้า เตรียมใจเอาไว้หรือยัง?” ปิงชิงเอ่ยถาม
“เตรียมใจ? เตรียมใจอันใดกัน?”
ฉินหยุนรู้สึกว่าการแช่กายในโลหิตเซียนและอสูรนี้ค่อนข้างเรียบง่าย
ครานี้เขาค่อยได้ตระหนัก ว่าปิงชิงยังไม่ได้เริ่มการฝึกฝนร่วมกับเขา
ขั้นตอนสุดท้าย คือการให้ปิงชิงช่วยชี้นำการดูดกลืนโลหิตเซียนและ
อสูรเหล่านี้แก่เขา
“ขั้นตอนนี้จะเจ็บปวดยิ่ง!” ปิงชิงกล่าว
“ว่าอย่างไร เจ็บปวดหรือ? คำว่าเจ็บปวดไม่เคยมีอยู่ในใจข้าแม้สัก
นิด!” ฉินหยุนหัวเราะกล่าว
“เช่นนั้นอย่าได้ร้องเป็นทารกก็แล้วกัน!”
ปิงชิงเผยยิ้มเย็นเยือก จากนั้น นางจึงเริ่มฝึกฝนพระสูตรหัวใจตะวัน
จันทราร่วมกับฉินหยุน
พระสูตรหัวใจตะวันจันทราที่เริ่มทำงาน นางใช้วิชาร่างศักด์ิสิทธ์ิ
เซียนอสูร เพื่อชักนำให้โลหิตเซียนและอสูรเหล่านั้นไหลเข้าสู่กาย
ฉินหยุน
เพียงไม่นาน โลหิตเซียนและอสูรจึงเริ่มทะลักล้นเข้าในกายฉินหยุน!
“อึก!”
ฉินหยุนสะอึกคำร้อง โลหิตเซียนและอสูรที่เดือดพล่านไหลหลั่งสู่
กายเขาประหนึ่งคิดฉีกกระชากร่างกายเพื่อเข้าไป
ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า คือโลหิตเซียนและอสูร พวกมันเข้ามาแล้ว
ยังเกิดการคลุ้มคลั่งภายในร่าง กระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเลือด ราวกับ
พวกมันคิดฉีกกระชากทุกสิ่งอย่างออก
อวัยวะภายในทั้งหมดของเขา ล้วนถูกโลหิตเซียนและอสูรบดขยี้กัน
ถ้วนหน้า
ขั้นตอนนี้เจ็บปวดอย่างยิ่ง ฉินหยุนได้แต่ต้องกรีดร้องออกมา!
ปิงชิงอยู่ข้างกาย นางช่วยปลดปล่อยพลังให้ร่างกายอยู่ในสภาวะการ
ควบคุม เพื่อไม่ให้เกิดอะไรที่เกินกว่าจะควบคุมเอาไว้ได้
สภาพภายนอก ฉินหยุนยังไม่มีอะไรเปลี่ยน ทว่าภายในร่าง มันอ่อน
ยวบราวก้อนโคลนก็ไม่ปานแล้ว
“โลหิตเซียนและอสูรแข็งแกร่งยิ่ง ภายใต้การชี้นำของวิชาร่างศักด์ิสิทธ์ิ
เซียนอสูร พวกมันจะยิ่งรุนแรง พร้อมเข้าทำลายทุกส่วนในร่างกาย
เจ้า!”
“ถัดจากนั้น วิชาร่างศักด์ิสิทธ์ิเซียนอสูรจะเริ่มควบคุมโลหิตเซียน
อสูร และสร้างทุกสิ่งอย่างในร่างเจ้าขึ้นมาใหม่! จากนั้นกระบวนการ
ทำลายและสร้างใหม่จะเกิดวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า!”
ปิงชิงที่อยู่ด้านหลังฉินหยุน ย่อมทราบว่าฉินหยุนเจ็บปวดเพียงใด
นางไม่ทราบว่าเหตุใดภายในใจของนางจึงรู้สึกรวดร้าวตามไปด้วย
“ฉินหยุน หากเจ้าอดทนมันได้ เจ้าก็สำเร็จการฝึกฝนร่างเซียนอสูร
หากพลาด เจ้าก็พิการ!”
น้ำเสียงปิงชิงส่งต่อมายังจิตของฉินหยุน “พี่ฉีโหรวทราบว่าข้าอยู่
ข้างกายเจ้า ดังนั้นนางจึงให้ข้าช่วยเหลือเจ้าฝึกฝนได้อย่างไร้ซึ่ง
กังวล”
“พี่ฉีโหรวฝากฝังหน้าที่อันสำคัญนี้แก่ข้า ถือเป็นการกดดันข้ามหาศาล
นัก เจ้าเองก็ต้องอดทนให้ดีด้วย!”
“พี่สาวปิงชิง ข้าจะต้องผ่านมันไปให้ได้!” ฉินหยุนกล้ำกลืนความ
เจ็บปวดตอบคำกลับไป
หนึ่งวันผ่านพ้น!
ความเจ็บปวดหาได้ลดน้อยลง ฉินหยุนรับรู้ได้ถึงร่างกายที่เริ่มแข็งแกร่ง
ขึ้น!
ก่อนหน้านี้ ครั้งที่โลหิตเซียนอสูรไหลเข้าสู่ร่าง พวกมันแปรเปลี่ยน
ภายในร่างของเขาแทบกลายเป็นก้อนโคลน
ทว่าตอนนี้ โลหิตเซียนอสูรจำนวนมากที่ไหลเข้าในกาย พวกมันได้
สร้างกล้ามเนื้อ เลือด และกระดูกขึ้นมาใหม่ ตัวเขาจึงสามารถอดทน
ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
กระนั้นความเจ็บปวดไม่นานก็จะเข้ามาแทรก
ตอนแรกเริ่ม เขาเพียงแค่อดทนต่อความเจ็บปวดชั่วครู่ ก่อนที่อวัยวะ
ภายในจะเริ่มถูกทำลาย และถูกสร้างขึ้นใหม่
หลังจากที่อวัยวะภายในเริ่มแข็งแกร่งมากขึ้น กระบวนการที่อวัยวะ
ภายในถูกทำลายจึงเริ่มยาวนานมากขึ้น ความเจ็บปวดจึงคงอยู่ยาวนาน
มากขึ้น
สองวัน… สามวัน… สี่วัน… และห้าวันได้ผ่านไป…
ความเจ็บปวดที่ฉินหยุนแบกรับทุกวัน มันเริ่มเพิ่มมากขึ้น ภายในใจ
ของเขา ความคิดอยากยอมแพ้เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง
หากไม่ใช่เพราะปิงชิงคอยปลอบประโลม เขาคงยอมแพ้พร้อมร้อง
ตะโกนดังออกมาแล้ว
ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก อวัยวะภายในทั้งหมด รวมถึง
กระดูก ต่างต้องใช้เวลานานนับชั่วยามจึงถูกทำลายโดยสมบูรณ์ได้
และนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมความเจ็บปวดจึงเกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนาน
ฉินหยุนตะโกนและกรีดร้อง น้ำเสียงของเขามีแต่ความสิ้นหวัง
ปิงชิงรับชมอยู่ตลอด นางยังรู้สึกว่าเรื่องราวยากทานทน
เพียงพริบตา สิบวันได้ผ่านพ้น!
อวัยวะภายในของฉินหยุนตอนนี้ จำเป็นต้องใช้เวลาถึงสามชั่วยาม
กว่าจะถูกทำลาย และค่อยเข้าสู่กระบวนการสร้างใหม่
“ตราบเท่าที่โลหิตเหล่านั้นไม่ทำลายอวัยวะภายในเจ้าอีก เท่ากับเจ้า
ทำได้สำเร็จ!” ปิงชิงกล่าว “อีกไม่นานเจ้าก็จะทำได้สำเร็จแล้ว!”
“พี่สาวปิงชิง ข้าไม่คิดทนแล้ว!” ทันใดนี้ที่ฉินหยุนเข้าสู่กระบวนการ
สร้างใหม่ ทุกสิ่งอย่างในร่างกายของเขามันให้ความรู้สึกราวแหลก
เหลว
“เจ้าไม่อาจไม่ทน! เพราะเมื่อใดกระบวนการถูกหยุดลง เมื่อนั้น
ผลกระทบใหญ่หลวงจะบังเกิดกับตัวเจ้า!” ปิงชิงส่ายศีรษะ
โลหิตเซียนอสูรยังมีอีกมากซึ่งยังไม่ถูกใช้งานในไหใหญ่ มันทำเอา
ฉินหยุนรู้สึกสิ้นหวัง เขาคิดว่าความรู้สึกนี้คงเกิดไม่จบไม่สิ้น
เขายังคิด ว่าเพียงโลหิตเซียนอสูรในไหแห้งเหือด เมื่อนั้นเท่ากับเขา
ทำได้สำเร็จ!
ปิงชิงทราบความคิดของฉินหยุน นางได้แต่คอยเกลี้ยกล่อม
“ข้ารู้สึกว่าจะไม่อาจทนได้ไหวอีกต่อไปแล้ว!” ฉินหยุนไม่เคยมี
ประสบการณ์เลวร้ายเพียงนี้มาก่อน จากที่เห็น กระบวนการนี้
เจ็บปวดเกินใดบรรยายได้
เขาอดทนมาสิบวัน และนี่ก็เพียงแค่เริ่มต้น เมื่อคิดว่ายังต้องอดทน
ไปอีกหลายวัน เขายิ่งมีแต่ความสิ้นหวังเกาะกุมไม่รู้จบ
“ทนไม่ได้แล้ว? อย่างนั้นเหตุใดเจ้าคิดฝึกฝนร่างเซียนอสูรแต่แรก?”
ปิงชิงกล่าวเสียงเย็น “พี่สาวฉีโหรวสมควรบอกต่อเจ้าแล้วว่ามัน
อันตรายยิ่ง!”
“หากเจ้าไม่อาจทนต่อความทรมานนี้ อย่างนั้นเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นได้
อย่างไร? พี่ฉีโหรวครอบครองร่างเซียนอสูรอันเหนือล้ำ กระนั้นนาง
ก็ยังไม่อาจต้านทานพลังของจักรพรรดิเซียนได้!”
“หากเจ้าคิดอยากช่วยพี่ฉีโหรว การไร้ซึ่งพลังไม่อาจทำอะไรได้ ด้วย
กำลังของเจ้าตอนนี้ คิดหรือว่าจะต่อต้านจักรพรรดิเซียนที่มีอำนาจ
อันล้นพ้นได้?”
ฉินหยุนที่ได้ฟังคำของปิงชิง เขาค่อยเรียกความกล้าพร้อมกัดฟัน
ต้านรับความเจ็บปวด
เพียงไม่นาน ความเจ็บปวดครั้งใหม่ได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง!
ฉินหยุนแช่กายมาครึ่งเดือนแล้ว ทว่าภายในไห โลหิตเซียนอสูรกลับ
ลดทอนลงไปไม่มาก
“ฉินหยุน! ร่างกายเจ้าตอนนี้ยังไม่แข็งแกร่ง ดังนั้นเจ้าจึงยังไม่อาจ
ดูดกลืนโลหิตเซียนอสูรจำนวนมากได้!”
“เจ้าต้องขัดเกลาร่างกายจนแข็งแกร่ง เมื่อนั้นโลหิตเซียนอสูรจะถูก
เจ้าดูดกลืนอย่างรวดเร็ว!” ปิงชิงเพียงแค่คาดเดาเท่านั้น รายละเอียด
นางไม่มีทางทราบได้ เพียงทราบว่านางต้องช่วยให้กระบวนการนี้
ผ่านพ้นไป
ฉินหยุนไม่คิดโพล่งคำกล่าวคิดยอมแพ้อีก เขาได้แต่อดทนต่อความ
เจ็บปวดอันมากล้นเหล่านี้
กระบวนการของมัน ราวกับร่างกายของเขาต้องถูกทำลายซ้ำแล้วซ้ำ
เล่า ยิ่งไปกว่านั้น เขายังรับรู้ถึงมันได้อย่างกระจ่างชัด กระบวนการที่
เกิดวนซ้ำต่อเนื่อง มันราวกับมีแต่ความตายที่สุดปลายทาง
หากไม่ใช่เพราะฉินหยุนมีเจตจิตอันแข็งแกร่ง เขาคงถูกความทรมาน
ทำร้ายจนสิ้นจิตใจแปรเปลี่ยนกลายเป็นถูกครอบงำแทนแล้ว
อีกสิบห้าวันได้ผ่านพ้น!
ฉินหยุนแช่กายในไหมาแล้วทั้งสิ้นหนึ่งเดือน!
เสียงคำรามร้องของฉินหยุนสามารถได้ยินทุกวี่วัน!
และปิงชิงเองก็ได้พบว่าเรื่องราวยากรับได้ เพราะระหว่างถูกทรมาน
นางพลันเกิดนึกห่วงหาฉินหยุนยิ่งมายิ่งมากขึ้น
ตอนนี้ กระบวนการต้องใช้เวลาทั้งสิ้นสิบชั่วยามกว่าอวัยวะภายใน
ของฉินหยุนจะถูกทำลาย นั่นหมายความถึง เขาแทบไม่มีโอกาสได้
พักหายใจแล้ว
เพราะเขาต้องทนความเจ็บปวดถึงสิบชั่วยาม ก่อนที่ร่างกายจะเข้าสู่
กระบวนการสร้างขึ้นใหม่
ปิงชิงเมื่อได้เห็นดวงตาฉินหยุนแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง จากนั้นจึงเป็น
สีดำ ภายในนางพลันเกิดความหวาดกลัวขึ้น เพราะนี่คือสัญญาณที่
บ่งบอกถึงความล้มเหลว
ฉินหยุนไม่คิดยอมแพ้ กระนั้นความทรมานต่อเนื่อง มันสามารถ
ทำลายจิตใจได้ และมันจะยังส่งผลให้จิตวิญญาณของเขาแหลกสลาย
นี่คือความเสี่ยงหากคิดฝึกฝนร่างเซียนอสูร!
ปิงชิงกัดริมฝีปาก ถอดชุดของนางออก พร้อมกระโดดพรวดลงไป
ในไห นางกอดฉินหยุนที่เจ็บปวดและดิ้นรนเอาไว้จากทางด้านหลัง
ฉินหยุนตอนนี้ รู้สึกราวกับตนเองตกสู่ห้วงลึกแห่งความเจ็บปวด
กระนั้นเขาพลันรับรู้ถึงพลังประหลาดที่ถ่ายเทสู่ร่างกาย มันช่วยให้
เขาบรรเทาความเจ็บปวด ค่อยชักนำจิตสำนึกของเขากลับคืนมา
อย่างรวดเร็ว เขาจึงค่อยทราบว่าปิงชิงกอดตนเองไว้!
“เจ้าต้องทำสำเร็จ!” ปิงชิงเรียกใช้พระสูตรหัวใจตะวันจันทรา ทำ
การชี้นำโลหิตเซียนอสูรเข้าสู่ร่างกายของฉินหยุน
หน้าอกของปิงชิงกดประทับที่แผ่นหลังกว้างของฉินหยุน มันทำให้
เขารับรู้ถึงความอ่อนนุ่ม ราวกับมันช่วยบรรเทาความเจ็บปวดแก่เขา
ได้
“พี่สาวปิงชิง ขอบคุณ!” ฉินหยุนกล่าว
“ข้าเพียงช่วยพี่ฉีโหรว นางฝากความหวังทั้งหมดเอาไว้กับเจ้า!” ปิง
ชิงถอนหายใจกล่าว “อย่าได้ทำให้นางผิดหวัง!”

ตอนที่ 713 ขัดเกลาโลหิต
ฉินหยุนก็ไม่ได้คิดอยู่นิ่งเฉย เขานำเอาไหออกมาสองใบ
ไหทั้งสองกล่าวได้ว่าสร้างขึ้นเป็นพิเศษ พวกมันสูงราวครึ่งตัวคน
ดังนั้นคิดให้สองคนลงไปนั่งจึงไม่ใช่ปัญหา
สิ่งนี้เดิมใช้งานเพื่อเอาไว้เก็บน้ำมันสัตว์ระดับราชัน กระนั้นตอนนี้
มันจะถูกนำมาใช้งานเพื่อเก็บโลหิตอสูรและโลหิตเซียน
ตามคำแนะนำของเซี่ยฉีโหรว เขานำใส่โลหิตอสูรและโลหิตเซียน
แยกไหจากกัน
โลหิตเหล่านั้นเดิมเขาเก็บไว้ในแก่นเต๋าตะวันทมิฬ ทว่าไม่ได้ทำการ
ดูดกลืนหรือขัดเกลาพวกมัน ดังนั้นตอนนี้จึงปล่อยออกมาได้
ภายในแก่นเต๋าตะวันทมิฬ มันเป็นพื้นที่ซึ่งพิเศษยิ่ง สิ่งใดที่ถูกดูดกลืน
เข้าไป จะเพียงลอยตัวอยู่ภายในนั้น รวมเข้ากับพื้นที่ของหลิงหยุนเอ๋อ
มันจึงสามารถเก็บหลายสิ่งอย่างที่พิเศษเอาไว้ได้ภายใน
หลังจากโลหิตเหล่านั้นถูกสูบเข้ามา หลิงหยุนเอ๋อได้ช่วยผนึกพวก
มันเอาไว้ให้
ไม่นานนัก ไหทั้งสองจึงอัดแน่นด้วยโลหิต
โลหิตอสูรเป็นสีดำ ขณะที่โลหิตเซียนเป็นการผสมกันระหว่างสี
ทองและสีแดง
หลังจากที่แก่นเต๋าราชันยุทธ์และจักรพรรดิยุทธ์ รวมถึงผลึกแก้ว
ชีวิตครึ่งเซียนถูกนำใส่ลงไป พวกมันที่อัดแน่นด้วยพลังงานมหาศาล
จึงยิ่งทำให้โลหิตเหล่านี้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ไหที่มีโลหิตเซียนถูกเติมเต็มด้วยแก่นเต๋าและผลึกแก้วชีวิตของผู้ฝึก
ตนอสูร
ที่ลานกว้างตำหนักเซียนดาบ มีครึ่งเซียนหลายคนจากเขตแดนลึกล้ำ
อสูรอ้างว้าง รวมถึงสำนักอสูรอันยิ่งใหญ่มารวมตัว เป็นผลให้ฉิน
หยุนสามารถรวบรวมผลึกแก้วชีวิตได้มากมายเพียงนี้
“หยุนเอ๋อ ในแดนเซียนอ้างว้างมีอสูรอยู่หรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“อสูรเมื่อแปรเปลี่ยนเป็นเซียน เมื่อนั้นจะถูกเรียกขานเป็นอสูรเซียน
พวกนั้นคงอยู่ในแดนเซียนอ้างว้าง ทั้งยังแข็งแกร่ง! บางส่วนก็เป็น
เซียนที่ฝึกฝนจนกลับกลายเป็นอสูรเซียน!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
“เมื่อใดเจ้าไปยังแดนเซียนอ้างว้าง เจ้าจะได้ทราบว่าพวกมันเหล่านี้
ยังมีอีกมากมายนัก!”
“วิธีการฝึกฝนของผู้ฝึกตนอสูรค่อนข้างสุดกู่ พวกมันสามารถฝึกฝน
จนก้าวขึ้นเป็นเซียนได้” ฉินหยุนเบ้ปากกล่าวคำ
“พวกมันหาได้ใช่เซียนไม่ แต่เป็นเพียงแต่อสูรที่มีกำลังทัดเทียมกับ
เซียน เพราะเหตุนั้นจึงเรียกหาเป็นอสูรเซียน!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
โลหิตอสูรมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว มันเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสี
ทอง ขณะที่โลหิตเซียนเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นโปร่งแสง!
หลังจากไหโลหิตทั้งสองแปรเปลี่ยน พวกมันคล้ายหายไปไม่น้อย
เดิมมีเต็มไห กระนั้นตอนนี้เหลือน้อยกว่าครึ่ง
กระบวนการค่อนข้างลื่นไหล เป็นไปดังที่เซี่ยฉีโหรวชี้แนะมา!
ฉินหยุนมองไหโลหิตทั้งสองพร้อมคิ้วขมวดกล่าวคำ “ถัดไป คือใช้
เลือดของข้าทำให้โลหิตเหล่านี้ร้อนแรงขึ้น เลือดข้าทำแบบนั้นได้
ด้วยหรือ?”
“เจ้ามีสายเลือดราชสีห์สวรรค์ เลือดของเจ้าอัดแน่นไว้ด้วยพลังอัคคี
อันแข็งแกร่ง ลองจุดประกายเพลิงด้วยเลือดของเจ้าดู!” หลิงหยุนเอ๋อ
กล่าว
ฉินหยุนเทโลหิตในไหทั้งสองรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่ง พวกมัน
แปรเปลี่ยนเป็นสีทอง นอกจากนี้แล้ว ยังคงมีประกายแสงสีทองและ
ออร่าโลหิตรุนแรงเผยออกมา
เขาเริ่มหยดเลือดตนเองลงในไห
ฉินหยุนฝึกฝนร่างราชสีห์สวรรค์ลึกล้ำ ไม่เพียงแต่มีเลือดมาก เขายัง
ทดแทนที่เสียไปได้อย่างรวดเร็ว
ไหเดิมบรรจุอยู่เต็ม กระนั้นยามเมื่อฉินหยุนหยดเลือดลงไป มันก็ไม่
คล้ายว่าจะมีส่วนใดเกินออกมา
“ดูเหมือนโลหิตราชสีห์สวรรค์ จะสามารถผสานรวมเข้ากับโลหิต
อสูรและโลหิตเซียนได้!” ฉินหยุนกล่าวพลางขมวดคิ้ว
“ถูกต้องแล้ว ลองจุดประกายเพลิงมันดู บางทีพวกเราอาจจุดเพลิง
สำเร็จได้!” หลิงหยุนเอ๋อยิ้มกล่าว
ฉินหยุนพอคิดเช่นนี้ โลหิตเซียนและอสูรภายในไหจึงเริ่มหมุนวน
เกิดขึ้นเป็นกลุ่มก้อนอัคคีเพลิงขึ้นมา
“แปลกจริง เพียงนึกว่าจะจุดประกายเพลิงในเลือด แล้วมันก็จุดติด
จริง!”
ฉินหยุนเร่งรีบหยดเลือดลงบนพื้น พยายามควบคุมจิต
อย่างรวดเร็ว เลือดบนพื้นพลันจุดประกายเพลิงเกิดขึ้นเป็นอัคคีสี
ทอง
“นี่ตัวเราจุดเพลิงของตนเองได้เลยหรือ? ไม่ใช่หมายความว่าเลือดใน
กายตอนนี้ปะทุเป็นเปลวเพลิงได้?” ฉินหยุนไม่เคยคิดเช่นนี้มาก่อน
ตอนนี้ ภายใต้จิตของเขาที่ควบคุม เขารับรู้ได้ถึงเลือดในกายที่ปะทุ
ออกเป็นสายพลัง!
เขาควบคุมให้เลือดในกายจุดประกายไฟลุกโชน นำพามาซึ่งมวล
อากาศร้อนออกจากร่างพร้อมโจมตีออกด้านหน้า!
ตู้ม!
คลื่นอากาศโจมตีพุ่งทะยานไกลออกไปพร้อมระเบิดออกเป็นอัคคี
เพลิง!
ภายใต้จิตควบคุม เลือดที่ผลาญไหม้ในร่างจึงหยุดลง!
ฉินหยุนครอบครองร่างราชสีห์สวรรค์อันเหนือล้ำ ดังนั้นแม้เลือด
ราชสีห์สวรรค์ถูกแผดเผา มันก็หาได้ส่งผลอันตรายใดต่อเขาไม่
“ดูเหมือนความเข้าใจต่อเลือดราชสีห์สวรรค์ของเรายังไม่ดีพอ!” ฉิน
หยุนกล่าวชื่นชมพลางอึ้งทึ่ง เขาหัวเราะออกเสียงดัง “เมื่อใดภายหน้า
ต่อสู้ เพียงเผาเลือดในกายก็จะได้มาซึ่งพลังงานอันแข็งแกร่ง เมื่อรวม
เข้ากับพลังเต๋า มันมีแต่จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น!”
ฉินหยุนที่รู้สึกยินดีอยู่ภายใน กำลังหยดเลือดลงไปพร้อมควบคุมให้
มันเผาไหม้โลหิตเซียนและอสูรภายในไห
กระบวนการเผาเลือดนี้ค่อนข้างยากเย็น โลหิตเซียนและอสูรไม่มี
ทางเดือดโดยง่าย
“หยดเลือดไปกว่าครึ่งวันแล้ว แต่นี่ทำได้เพียงแค่เริ่มอุ่น!” ฉินหยุน
ขมวดคิ้วกล่าว “หากยังเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่ ต้องหาทางเติมเต็ม
เลือดโดยเร็วกว่านี้!”
“อย่าได้เร่งรีบไปแล้ว เจ้าค่อยทำมันไป!” หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะกล่าว
“เมื่อใดปิงชิงออกมา นางจะช่วยเจ้าเติมเต็มเลือดที่เสียไปได้อย่าง
รวดเร็วแน่!”
ฉินหยุนยังคงหยดเลือดต่อไป ทั้งวันผ่านพ้น กระนั้น ไหโลหิตเซียน
และอสูรกลับยังไม่เดือด
ทันใดนี้เอง ปิงชิงออกมาจากสระเซียน จากนั้นนางจึงลอยตัวมาใกล้
ฉินหยุน
นางสามารถใช้บรรทมเซียนตะวันจันทราส่งจิตสำนึกเข้าสู่มิติกาล
อวกาศตะวันจันทราได้
หลังนอนอยู่ทั้งวัน ภายในผ่านไปหนึ่งปี นางขณะนี้เชี่ยวชาญวิชา
ร่างศักด์ิสิทธ์ิเซียนอสูรขั้นต้นแล้ว เท่านี้ถือว่าเพียงพอให้ฉินหยุน
สามารถขัดเกลาร่างเซียนอสูรขึ้นมาได้
“เหตุใดเจ้าดูอ่อนแรงนัก?” ทันทีที่ปิงชิงปรากฏตัว นางย่อมได้เห็น
ฉินหยุนนั่งกับพื้น
“ข้าใช้เลือดตนเองเผาโลหิตเซียนและอสูรเหล่านี้ และเลือดข้าไม่
อาจฟื้นฟูทันอัตราที่เสีย สภาพจึงเป็นเช่นนี้!”
หลังหลั่งเลือดตลอดทั้งวัน นับว่าดีมากแล้วที่ฉินหยุนยังคงมีแรงให้
พูดคุยได้
ปิงชิงพอได้เห็นฉินหยุนสภาพอิดโรย นางจึงรู้สึกปวดภายในใจอย่าง
ยากบรรยาย
นางเดินไปนั่งลงข้างฉินหยุน จากนั้นจึงส่งมือเข้าไปในเสื้อของเขา
พร้อมเริ่มสัมผัสที่หน้าอก
ฉินหยุนตื่นตะลึง เขานึกว่าปิงชิงคิดอยากฉวยโอกาสต่อเขาที่อ่อน
แรง
ปิงชิงยังคงลูบคลึงหน้าอกฉินหยุนต่อ ไม่ทราบว่านางคิดอันใดอยู่
ขณะยังคงลูบต่อไป
ฉินหยุนที่สมองอื้ออึง เขาไม่อาจตั้งสมาธิอื่นใดได้จนต้องเผยใบหน้า
แดงก่ำ
เขาหันมองทางปิงชิงผู้งดงามซึ่งไร้สีหน้าใดขณะกล่าวถามเสียงเบา
“พี่สาวปิงชิง นี่ท่านทำอะไร? สัมผัสข้าแล้วท่านรู้สึกชอบพอหรือ?”
หน้าอกฉินหยุนยังคงได้มือขาวนวลของปิงชิงนวดคลึงจนเกิดความ
รู้สึกสบายกายขึ้นมา
คำพอกล่าวจบ ปิงชิงจึงฉีกกระชากเสื้อผ้าของเขาอย่างดุดัน
จิตใต้สำนักของฉินหยุนร้อง ‘เชี่ย!’ ดังออกมาลั่น ดวงตานั้นเบิก
กว้างพร้อมตะโกนออก “พี่สาวปิงชิง… นี่ท่านคิดทำอะไร?”
หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะกล่าว “ย่อมเป็นนางอยากขึ้นขี่เจ้าแล้ว! นอนลง
และดื่มด่ำเสีย!”
ปิงชิงมองร่างท่อนบนกำยำของฉินหยุนพร้อมแค่นเสียงเบา พลังงาน
สีขาวเป็นประกายพลันปรากฏจากมือขาวนวลของนาง พร้อมกันนี้
ปลายนิ้วได้จ้วงแทงใส่หน้าอกของฉินหยุนจนทะลวงลงไป
“อย่าขยับ!” ปิงชิงคำรามเบา
ฉินหยุนนั่งกับพื้น ปากอ้าเหวอกว้าง เพราะหัวใจของเขากำลังถูกมือ
ขาวนวลนุ่มนิ่มของปิงชิงสัมผัส มันเป็นความรู้สึกพิเศษยากจะ
บรรยายออกได้
ทันใดนี้เอง เขาพลันรู้สึกถึงพลังอันอบอุ่นและอ่อนโยนเริ่มไหลหลั่ง
สู่หัวใจ
“รีบควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ใช้เลือดที่ข้าส่งให้ ถ่ายเทพวก
มันไปทั้งร่างกายเจ้า!” ปิงชิงร้องบอก เพราะอัตราหัวใจเต้นของฉิน
หยุนมันพลันหยุดลง
“โอ้!” ฉินหยุนเร่งรีบควบคุมหัวใจให้เต้นโดยทันที
เพียงไม่นาน เขาค่อยรู้สึกว่าเลือดในกายค่อยฟื้นคืน
“เผาไหม้โลหิตเซียนและอสูรเหล่านั้นต่อไป!” ปิงชิงพอได้เห็นฉิน
หยุนฟื้นคืนกลับมา นางค่อยถอนมือกลับ
ฉินหยุนไม่ได้นำเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมาสวมใส่แต่อย่างใด เขาเพียง
รู้สึกสับสน ว่าเหตุใดปิงชิงไม่ให้เขาถอดเสื้อเองแต่โดยดี แต่กลับ
เลือกที่จะฉีกกระชากเสื้อผ้าของเขาเสียอย่างนั้น
หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะ “เสี่ยวหยุน ดูเหมือนภูติดวงดาวโฉมงามเย็น
เยือกตรงหน้าเจ้า จะรอคอยโอกาสได้ฉีกกระชากเสื้อเจ้าด้วยตนเอง
มานานไม่น้อยแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“อย่าได้พูดเหลวไหล!” ฉินหยุนเริ่มทำการเผาไหม้โลหิตเซียนและ
อสูรต่อเนื่อง
ด้วยปิงชิงอยู่ข้างกาย ฉินหยุนจึงกล้าที่จะปล่อยเลือดตนเองออกมา
อย่างไม่คิดเก็บออม
ด้วยปิงชิงช่วยเหลือ ฉินหยุนจึงสามารถฟื้นคืนเลือดที่เสียไปกลับมา
ได้โดยง่าย มีแต่ผิวหนังบริเวณรอบหัวใจที่ถูกลูบคลึงอย่างต่อเนื่อง
เช่นนี้ ปิงชิงจึงได้ฉวยโอกาสต่อเขาหลายครั้งครา
“ทุกครั้งที่ข้าลูบบริเวณหัวใจของเจ้า ข้าจะปลดปล่อยพลังพิเศษที่
ช่วยคลายกล้ามเนื้อ เพื่อให้ข้าสามารถใช้เคล็ดวิชาพิเศษส่งมือข้า
เข้าถึงหัวใจของเจ้าได้!” ปิงชิงกล่าว
มือของนางทะลวงผ่านชั้นผิวหนังของฉินหยุน และคว้าเอาไว้ที่
หัวใจของเขา กระนั้นผิวหนังฉินหยุนกลับไม่มีอาการบาดเจ็บใด
เรียกได้ว่าเป็นวิชาปาฏิหาริย์ประการหนึ่ง
ฉินหยุนยิ้มกล่าวคำ “พี่สาวปิงชิง อย่าได้กังวลไป ข้าจะไม่พูดว่าท่าน
ฉวยโอกาสต่อข้า!”
“ฉวยโอกาสต่อเจ้าแล้วข้าได้อันใดขึ้นมา?” ปิงชิงเอ่ยถามเสียงเย็น
“เหตุใดฉวยโอกาสต่อข้าจึงไม่มีดีเลยเล่า? อย่างเช่นความรู้สึกภายใน
ของท่านที่…” ฉินหยุนกล่าวคำไม่ทันจับกลับกลายต้องถูกปิดปาก
เงียบไว้
“หากเจ้ายังกล้ามีความคิดเช่นนั้นอีก ข้าจะนำหัวใจเจ้าออกมาแล้วส่ง
มันให้แก่เย่ว์หลาน!”
มือของปิงชิงเกาะกุมไว้ที่หัวใจของฉินหยุน ฉับพลันมันเย็นเยือก
ส่งผลให้ทั้งร่างฉินหยุนเกิดอาการหนาวเย็นขึ้นมา
ฉินหยุนหัวเราะแห้ง “ข้าเพียงกล่าวไปเรื่อย…”
ทันใดนี้เอง ภายในจิตของฉินหยุน หลิงหยุนเอ๋อจึงหัวเราะร่วนดัง
ออกมา “เสี่ยวหยุน เจ้ากำลังจะโดนผู้อื่นกินแต่กลับไม่อาจทำอะไร
ได้เช่นนี้หรือ? อย่าได้บอกต่อข้า ว่าเจ้าคิดยอมแพ้ที่ตรงนี้? เจ้าเป็น
ชายชาตรี กระนั้นกลับปล่อยให้นางฉวยโอกาสต่อเจ้าเช่นนี้ ไม่ต่าง
อะไรกับเจ้าเป็นสุนัขขลาดเขลาตัวหนึ่งแล้ว!”
ถูกหลิงหยุนเอ๋อเย้ยหยัน ฉินหยุนคิดอยากยื่นมือในจิตเข้าไปคว้า
ปากนางให้หุบเสียให้ได้!
“ฉินหยุน อย่าได้พูดถึงเรื่องนี้ต่อเย่ว์หลาน ไม่เช่นนั้นนางได้คิดมาก
แน่!” ปิงชิงพลันกล่าว
“นางเป็นสตรีใจเอื้อเฟื้อ เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ย่อมไม่ใส่ใจ!” ฉินหยุน
ยิ้มกล่าว
“นี่เจ้าไม่กลัวนางโกรธบ้างหรือไร?” ปิงชิงแค่นเสียง
“ก่อนหน้านี้ ข้าได้ช่วยรั่วหยานเสริมสร้างร่างกาย ครานั้นเป็นเรื่อง
น่าอับอายยิ่งกว่าครั้งนี้ ทว่าข้าล้วนบอกเย่ว์หลานอย่างหมดสิ้น!” ฉิน
หยุนส่ายศีรษะพลางยิ้ม “พี่สาวปิงชิง ท่านคล้ายไม่รู้จักเย่ว์หลานนัก!”
“เสริมสร้างร่างกาย? เกิดอะไรขึ้นกับร่างของรั่วหยาน?”
ปิงชิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะในเขตแดนจินตภาพเซียน
ยุทธภัณฑ์ นางได้ช่วยดูแลและชี้แนะแก่เจี้ยนรั่วหยานไม่น้อย
ฉินหยุนอธิบายเรื่องราวโดยคร่าว ปิงชิงถึงขั้นตะลึงงันไป
“แม้เย่ว์หลานไม่ใส่ใจ ก็อย่าได้บอกต่อนางว่าในพื้นที่ต้องห้ามนั้น
เกิดอันใดขึ้น!” ปิงชิงหรี่ตาลงเล็กน้อยเอ่ยคำ “หากเจ้าบอกต่อนาง
ชะตาเจ้าคือตาย!”
ฉินหยุนรับรู้ถึงความเย็นแทรกซึมเข้าเกาะกุมหัวใจ เขาจึงเร่งรีบพยัก
หน้ารับ
เพราะเรื่องราวที่สระเซียนในพื้นที่ต้องห้าม เป็นฉินหยุนได้เห็นกาย
เปลือยเปล่าของปิงชิง
ในที่สุด ฉินหยุนที่หยดเลือดลงไปเรื่อย โลหิตเซียนและอสูรในไห
จึงค่อยเริ่มเดือดขึ้นมา
“เร่งรีบเข้าไปแช่!” ปิงชิงใช้มือของนางสัมผัสถึงโลหิตเซียนและ
อสูรสีทอง พร้อมเร่งรีบกล่าว
ฉินหยุนตื่นเต้นยินดี เพราะมีโอกาสสูงล้ำที่อีกไม่ช้าเขาจะได้ร่าง
เซียนอสูรมาครอบครอง

ตอนที่ 712 วิชาร่างศักด์ิสิทธ์ิเซียนอสูร
ฉินหยุนรับฟังและจดจำบทร่ายที่เซี่ยฉีโหรวส่งมอบมาให้ ขณะรับฟัง
เขายังต้องลอบตื่นตะลึง เพราะมันคล้ายเป็นส่วนที่เขาคุ้นเคยอย่างยิ่ง
บทร่ายนี้ คือสิ่งที่ทำให้เขาสามารถฝึกฝนพลังเซียนเก้าวิวัฒน์ได้
นอกจากนี้แล้ว หลังได้รับฟัง เขาพลันพบว่าบทร่ายนี้คล้ายวิธีการ
ฝึกฝนอีกสองอย่างที่เขามีไว้ในครอบครอง
“นี่ค่อนข้างคล้ายกับพระสูตรเก้าสมบูรณ์และวิถีหัวใจตะวันดารา!”
แม้ฉินหยุนตื่นตะลึงภายใน เขาไม่ได้ถามออก กลับกัน เขาเพียงแต่
รับฟังต่อ
เซี่ยฉีโหรวเอ่ยคำเชื่องช้า เพื่อให้ฉินหยุนสามารถจดจำทุกสิ่งอย่าง
ได้กระจ่างชัด
นางได้ทวนซ้ำอยู่หลายครั้ง จากนั้นจึงค่อยให้ฉินหยุนทบทวนให้
นางฟัง ด้วยวิธีนี้ก็เพื่อให้นางมั่นใจ ว่าฉินหยุนสามารถจดจำทุกสิ่ง
อย่างได้แล้ว
และแม้ฉินหยุนไม่อาจจดจำ หลิงหยุนเอ๋อก็ยังสามารถจดจำได้ทั้งหมด
ตัวนางมีพลังการจดจำอันเลิศล้ำ และตัวนางยังถือเป็นผู้จัดการความ
ทรงจำของฉินหยุน รวมถึงการจัดเรียงและคัดแยกความทรงจำนานา
ชนิด
“เมื่อเจ้าไปพบปิงชิง ส่งต่อเคล็ดวิชาฝึกฝนนี้แก่นาง หากเจ้าไม่อาจ
เข้าใจอย่างครบถ้วน ก็อย่าได้เร่งรีบฝึกฝนมันไป ให้ปิงชิงคอยชี้แนะ
แก่เจ้าแทน!” เซี่ยฉีโหรวกล่าว
“พี่สาว ข้าเคยฝึกฝนวิถีหัวใจตะวันดาราและพระสูตรหัวใจเก้าสมบูรณ์
มาก่อน ดังนั้นเลยอดไม่ได้ที่จะคิด ว่าวิชาร่างศักด์ิสิทธ์ิเซียนอสูรนี้
ค่อนข้างคล้ายคลึงกับทั้งสองนั่น!” ฉินหยุนบอกกล่าวความสงสัยที่
มีออกไป
“พระสูตรหัวใจเก้าสมบูรณ์? นั่นเป็นวิชาศักด์ิสิทธ์ิ!” เซี่ยฉีโหรวกล่าว
“ในเมื่อเจ้าฝึกฝนพระสูตรหัวใจเก้าสมบูรณ์ ข้าก็คล้ายไม่ต้องกังวล
อันใดมากแล้ว เจ้าน่าจะเชี่ยวชาญวิชาร่างศักด์ิสิทธ์ิเซียนอสูรได้ใน
ไม่ช้า!”
ฉินหยุนพอได้ยินดังนี้ เขาค่อยเกิดความยินดีก่อนจะถามออก “เคล็ด
วิชาเหล่านี้ มันมีความเชื่อมโยงใดถึงกันหรือไม่?”
“ย่อมมี! เพราะเคล็ดวิชาฝึกฝนเหล่านี้ถูกดัดแปลงมาจากเคล็ดวิชา
ฝึกฝนเทวะ! ย้อนกลับไปเมื่อกาลก่อน ที่เคล็ดวิชาฝึกฝนเทวะได้
ปรากฏขึ้น กลุ่มยอดฝีมือต่างต่อสู้แย่งชิงกันคลุ้มคลั่ง ทุกคนต่างได้รับ
กันไปส่วนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ จากหนึ่งเคล็ดวิชาฝึกฝนเทวะ จึงกลับ
กลายเป็นเกิดขึ้นซึ่งวิชายุทธ์มากมายที่วิวัฒนาการสืบทอดต่อมา!”
“พระสูตรหัวใจตะวันจันทรา ก็เป็นวิชายุทธ์ที่มีต้นกำเนิดเดียวกันนี้!
และวิชาร่างศักด์ิสิทธ์ิเซียนอสูรถือเป็นวิชายุทธ์ซึ่งแกร่งกล้าที่สุด
ท่ามกลางพวกมัน เพราะผู้สร้างวิชาร่างศักด์ิสิทธ์ิเซียนอสูร คือผู้ได้รับ
จำนวนหน้าของวิชาเทวะมามากที่สุด!”
เซี่ยฉีโหรวอธิบายถึงต้นกำเนิดอันลึกล้ำของวิชายุทธ์เหล่านี้
ฉินหยุนรับฟังอย่างตั้งใจ เขาแทบคิดอยากได้รับวิชาเทวะฉบับสมบูรณ์
มาครอง
“พี่สาวปราดเปรื่องทราบเรื่องราวมากมายนัก!” ฉินหยุนถอนหายใจ
กล่าว
“ภายหน้าข้าจะบอกเล่าถึงเรื่องเก้าแดนอ้างว้างให้มากกว่านี้! อย่างไร
แล้ว ข้าก็เป็นพี่สาวซึ่งเคยเป็นอาจารย์ของเจ้านี่นะ!” เซี่ยฉีโหรว
หัวเราะเบา
ฉินหยุนกลายเป็นยินดี ขณะเขาคิดตัดการสื่อสาร บางสิ่งพลันผุด
ภายในใจของเขาจนต้องเอ่ยถามออก “พี่สาว หากปิงชิงถามต่อข้าว่า
ได้รับเคล็ดวิชานี้มาอย่างไร ให้ข้าตอบนางว่าอย่างไรดี?”
“บอกต่อนางไปตามตรง บอกนางว่าข้าสามารถติดต่อกับเจ้าผ่าน
ความฝัน อย่าได้บอกนางเรื่องแผนที่หลุมฝังเซียน! ข้าเกรงว่านางจะ
พยายามมาหาตัวข้า” เซี่ยฉีโหรวเร่งร้อนกล่าว “เสี่ยวหยุน อย่าได้
บอกเย่ว์จีและปิงชิงถึงเรื่องแผนที่หลุมฝังเซียน รวมถึงเรื่องตัวข้าที่
อยู่ก้นบึ้งทะเลสาบหมื่นดารา!”
“ผู้ใดคือเย่ว์จี?” ฉินหยุนถามขึ้น
“นายหญิงน้อยแห่งพระราชวังกวงหาน เป็นหยางฉีเย่ว์! นางมีชื่อเสียง
โด่งดังในแดนเซียนอ้างว้างไม่ใช่น้อย!” เซี่ยฉีโหรวยิ้มกล่าว “นางมี
สัมพันธ์อันดีกับเจ้า ดังนั้นข้าคงไม่ต้องห่วงอะไรอีก!”
ฉินหยุนไม่คาดคิด ว่าหยางฉีเย่ว์มีนามว่าเย่ว์จี มันทำให้เขาอดนึกไม่ได้
ว่าตัวนางมีความข้องเกี่ยวกับจารึกวิญญาณนายหญิงจันทรา
*เย่ว์จี หมายความถึง สตรีจันทรา*
“จริงด้วย ข้าได้ยินจากปิงชิง ว่าเย่ว์หลานและเสี่ยวเม่ยเหลียนมีความ
เสียหายทางจิตวิญญาณ พวกนางจำเป็นต้องซ่อมแซมจิตวิญญาณ
หรือ?” ฉินหยุนถามด้วยความห่วงหาต่อพวกนาง
“ไม่ได้เสียหายอันใด แต่เป็นการสะกดการเติบโตของจิตวิญญาณ!
หากมันเติบโตเร็วเกินไป ด้วยร่างกายที่ไม่สัมพันธ์ มันจะทำให้เกิด
ปัญหาขึ้นภายหลังอย่างมหาศาล อย่างเช่นข้าที่ทำผิดพลาด ดังนั้นข้า
จึงได้แต่ต้องอยู่ที่นี่ เพื่อรอคอยให้ร่างกายและจิตวิญญาณสัมพันธ์
ต่อกันก่อนจะไปทำเรื่องอื่นได้!” เซี่ยฉีโหรวถอนหายใจเอ่ยคำเสียง
เบา
“อย่างนั้นท่านจะบอกว่า เย่ว์เหม่ยและพี่หยางเองก็จำเป็นต้องจำกัด
การเติบโตของจิตวิญญาณด้วยหรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“จำกัดการเติบโตของจิตวิญญาณมีแต่เป็นผลดีต่อพวกนาง ยิ่งไปกว่า
นั้น เมื่อพวกนางฝึกฝน ที่ต้องทำก็เพียงแต่ฝึกฝนกายเนื้อ ทางด้าน
ฝึกฝนจิตวิญญาณหาได้มีอันใดต้องกังวลไม่!” น้ำเสียงของเซี่ยฉีโหรว
เริ่มอ่อนแรงลง
นี่ถือเป็นการสนทนาครั้งยาวนานที่สุดระหว่างฉินหยุนและเซี่ยฉี
โหรวในรอบหลายปี
“พี่สาวเหนื่อยแล้วหรือ? เช่นนั้นท่านไปพัก ครั้งหน้าพวกเราค่อย
พูดคุยกันใหม่!” ฉินหยุนกล่าว
“อืม ข้าต้องไปสะกดจิตวิญญาณต่อแล้ว ไม่อย่างนั้นร่างกายข้าได้ฉีก
กระชากออกแน่!” เซี่ยฉีโหรวยิ้มตอบกลับมา “อยู่กับปิงชิงให้ดี นาง
สามารถฝึกฝนพระสูตรหัวใจตะวันจันทรากับเจ้า นี่แสดงให้เห็นว่า
นางเชื่อใจเจ้าอีกครั้งหนึ่งแล้ว ถือเป็นโอกาสอันยากได้รับ!”
หลังตัดการสื่อสาร ออร่าโลหิตที่ลอยออกจากแผนที่หลุมฝังเซียนจึง
ค่อยเลือนหายไป
ฉินหยุนเก็บแผนที่หลุมฝังเซียนและหลับตาลง เขาคิดทำความเข้าใจ
ต่อวิชาร่างศักด์ิสิทธ์ิเซียนอสูรที่เพิ่งได้รับมา
“พี่สาวของเจ้าถึงกับทรงพลังกว่าที่คาดคิดไว้มากนัก นึกว่าเรื่องราว
ที่ผ่านมาจะเกี่ยวข้องแต่แดนเซียนอ้างว้าง แต่ตอนนี้ คล้ายว่ามันจะ
เกี่ยวโยงไปถึงแดนศักด์ิสิทธ์ิอ้างว้างเสียด้วย!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
“แดนศักด์ิสิทธ์ิอ้างว้างห่างไกลเกินไป! แม้เป็นแดนเซียนอ้างว้าง ข้า
ก็ยังไม่ทราบเลยว่าเมื่อใดจะสามารถไปยังที่แห่งนั้น!” ฉินหยุนถอน
หายใจ
“มันอาจเร็วกว่าที่คาดคิดไว้ก็ได้! หากเจ้าฝึกฝนร่างเซียนอสูร และมี
โลหิตเซียนอสูรภายในกาย เมื่อนั้นเจ้าจะคืบหน้าอย่างก้าวทะยาน!”
หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะกล่าว “วางใจเถอะ อย่างไรเจ้าก็ต้องทำสำเร็จ!
เจ้าได้ผสานรวมเข้ากับวิญญาณยุทธ์แห่งความเที่ยงธรรม มันจะเป็น
ตัวช่วยเหลือเจ้าสะกดผลด้านลบของโลหิตอสูรเอง!”
“ไม่เช่นนั้น หากโลหิตอสูรคงอยู่ในกายเจ้า มันจะพร้อมแปรเปลี่ยน
เจ้าเป็นอสูรได้ทุกเมื่อ มันพร้อมที่จะทำให้เจ้าสูญเสียจิตใจ! และใน
เมื่อเจ้าครอบครองพลังเที่ยงธรรม อย่างนั้นก็ไม่มีอันใดให้ต้องหวาด
เกรงพวกมันไป!”
ฉินหยุนเองก็ค่อนข้างตื่นเต้นยินดี หลังสงบใจลงได้ เขาค่อยนอนหลับ
บนเตียงไปวูบหนึ่ง จากนั้นค่อยเดินทางไปยังตำหนักพระราชวัง
เซียนยุทธภัณฑ์
ปิงชิงรอคอยฉินหยุนอยู่ที่สระเซียน นางกำลังตระเตรียมการฝึกฝน
ร่วมกันอยู่
“ฉินหยุน ต้นกำเนิดเซียนอีกสองได้ทำการติดตั้งเรียบร้อยแล้ว ในไม่
ช้า พวกมันทั้งสามจะทำให้พลังงานเซียนภายในนครเซียนยุทธภัณฑ์
หนาแน่นยิ่งขึ้น!” ปิงชิงกล่าว “ความเร็วการฝึกฝนร่างเซียนของเจ้า
ย่อมต้องก้าวหน้ารวดเร็วแน่!”
“พี่สาวปิงชิง ข้าคิดอยากฝึกฝนร่างเซียนอสูร!” ฉินหยุนยิ้มตื่นเต้น
กล่าวคำ
“เจ้าจะฝึกมันได้อย่างไร?” ปิงชิงคิ้วขมวดกล่าวถาม “เรื่องนี้ยากเกิน
ไป! นอกจากนี้แล้ว นี่ยังถือเป็นเรื่องต้องห้ามในแดนเซียนอ้างว้าง
เมื่อใดผู้อื่นพบว่าเจ้ามีร่างเซียนอสูร เมื่อนั้นทุกผู้คนจะต้องการสังหาร
เจ้า!”
ฉินหยุนพลันถามออกด้วยความสงสัย “พี่สาวปิงชิง ท่านเคยได้ยิน
วิชาร่างศักด์ิสิทธ์ิเซียนอสูรบ้างหรือไม่?”
ปิงชิงพอได้ฟังคำกล่าวฉินหยุน ร่างนางถึงกับสั่นเทิ้ม ใบหน้าเย็นเยือก
ของนางเผยออกซึ่งความตื่นตะลึง “นี่เจ้าไปได้ยินถึงเคล็ดวิชาฝึกฝน
นั่นมาจากที่ใด? อย่าได้บอกว่าเจ้าฟื้นคืนความทรงจำกลับมาแล้ว?”
“พี่สาวปิงชิง เหตุใดท่านจึงกังวลว่าข้าจะได้ความทรงจำกลับคืนถึง
เพียงนั้น?” ฉินหยุนบุ้ยปากกล่าวถาม
“เพราะ… เพราะข้ายอมรับตัวเจ้าในชาติภพก่อนไม่ได้! ตัวเจ้าตอนนี้
ในใจข้าถือเป็นคนดีอย่างแท้จริง แต่หากเจ้าฟื้นคืนความทรงจำกลับมา
เช่นนั้นความเชื่อใจระหว่างพวกเราจะพังทลาย!”
ทุกครั้งที่ปิงชิงคิดถึงเรื่องนี้ อารมณ์ของนางจะเกิดความซับซ้อน เพราะ
นางมีความรู้สึกอันซับซ้อนต่อฉินหยุนในตอนนี้และชาติภพก่อน
“พี่สาวราชครูของข้าได้บอกต่อมา ถึงวิชาร่างศักด์ิสิทธ์ิเซียนอสูร และ
ยังส่งต่อมันมาให้แก่ข้า!” ฉินหยุนกล่าว
“ผู้ใดคือพี่สาวราชครูของเจ้า?” ปิงชิงเอ่ยถามอย่างตื่นตะลึง
“นามของนางคือเซี่ยฉีโหรว…” ก่อนฉินหยุนจะทันกล่าวคำต่อ ปิง
ชิงพลันเอ่ยคำขัดขึ้น
“ธิดาแห่งโม๋จี เซียนฉีโหรว!” ปิงชิงเผยดวงตางดงามเบิกออกกว้าง
พร้อมเร่งร้อนเอ่ยถาม “นางอยู่ที่ใด? ในพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์
แห่งนี้หรือ?”
“นาง… นางอยู่ในความฝันของข้า บางครั้งนางจะปรากฏตัวและ
ชี้แนะการฝึกฝนให้แก่ข้า!” ฉินหยุนมีแต่ต้องเผยคำโป้ปดออกไป
ต่อปิงชิง
ปิงชิงเหม่อมองฉินหยุน นางไม่ทราบว่าคิดพูดอันใด เพราะนางมัก
คิดว่าเซี่ยฉีโหรวสิ้นชีพไปแล้ว มีแต่ร่างเซียนอสูรอันทรงอำนาจของ
นางที่ยังไม่ตายจาก
ฉินหยุนทราบ ว่าเขาได้ลวงหลอกต่อปิงชิงในชาติภพก่อน ดังนั้นเขา
จึงไม่คิดอยากโกหกต่อนางอีกในชีวิตนี้
กระนั้นที่เขาโกหกออกไปก็เพราะมีเจตนาดี เขาเข้าใจถึงความกังวล
ของเซี่ยฉีโหรว เพราะปิงชิงคล้ายห่วงหาต่อเซี่ยฉีโหรวอย่างแท้จริง
ฉินหยุนไม่คาดคิด ว่าชาติภพก่อนของเซี่ยฉีโหรวจะมีนามว่าเซียนฉี
โหรว!
“หลังจากพี่หยางตื่นรู้ความทรงจำ พี่หยางต้องทราบแน่ว่าเซี่ยฉีโหรว
คือเซียนฉีโหรว ทั้งยังทราบว่าพี่สาวราชครูของเจ้าผู้นั้น ได้เก็บซ่อน
ความลับเอาไว้ ทว่านางไม่กล่าวออกมาให้เจ้าได้ทราบ เป็นนางกลัว
ว่าจะไปกระตุ้นความทรงจำของเจ้าขึ้นมา!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
“พี่สาวปิงชิง พี่สาวราชครูได้บอกต่อข้าถึงวิธีการฝึกฝนร่างเซียนอสูร
แต่ข้าจำเป็นต้องให้ท่านช่วย ท่านยินดีช่วยข้าหรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ย
ถามเสียงเบา
“บอกต่อข้ามา ตราบเท่าที่ทำได้ ข้าย่อมช่วย!”
ปิงชิงสูดลมหายใจเข้าลึก นางไม่คาดคิด ว่าธิดาแห่งหมัวจีจะถึงขั้นมี
สัมพันธ์อันดีกับฉินหยุนด้วย
เป็นอีกครั้งที่นางคล้ายไม่เข้าใจต่อฉินหยุน นางรู้สึกว่าตัวตนในชาติ
ภพก่อนฉินหยุนจะต้องมีปัญหาที่ไม่อาจบอกกล่าว เพราะเหตุนั้นเขา
จึงโกหกต่อตัวนาง
“เจ้ารู้จักพี่ฉีโหรวมานานเพียงใดแล้ว? เหตุใดนางจึงเข้าถึงความฝัน
ของเจ้าได้?” ปิงชิงเอ่ยถาม
“ข้ารู้จักนางตั้งแต่ยังเยาว์นัก ข้าบอกต่อท่านก่อนหน้านี้ถึงเรื่องราวที่
เกิดขึ้นในพระราชวังหลวง หลังพี่สาวหายตัวไป ข้าก็ไม่เคยได้พบ
นางอีก ภายหลัง เป็นนางปรากฏขึ้นเพื่อสื่อสารกับข้าในความฝัน!”
ฉินหยุนเริ่มตระหนักได้ ว่าสัมพันธ์ระหว่างปิงชิงและเซี่ยฉีโหรว
ค่อนข้างดี เพราะยามปิงชิงเอ่ยถึงเซี่ยฉีโหรว นางเรียกหาเป็นพี่ฉีโหรว
“หากนางคือผู้ชี้นำให้เจ้าฝึกฝนร่างเซียนอสูร เช่นนั้นข้าก็เชื่อว่าเจ้า
สามารถฝึกฝนมันได้!” ปิงชิงกล่าว
ถัดจากนั้น ฉินหยุนจึงเริ่มบอกเล่าถึงเรื่องราวและส่งต่อวิชาร่าง
ศักด์ิสิทธ์ิเซียนอสูรต่อไปยังปิงชิง
ปิงชิงครอบครองพลังจิตและจิตวิญญาณแก่กล้า เพียงได้รับฟังครั้ง
หนึ่งนางย่อมจดจำได้ครบถ้วน กระนั้น ฉินหยุนก็ยังให้เวลานางได้
ทบทวน
“พี่สาวปิงชิง ในอดีต พี่ฉีโหรวได้ฝึกฝนวิชาร่างศักด์ิสิทธ์ิเซียนอสูร
อย่างนั้นหรือ?” ฉินหยุนถามออกด้วยความสงสัย
“ไม่ใช่ เป็นนางได้รับมาภายหลัง และถูกผนึกเอาไว้ก็เพราะเรื่องนี้
เดิมข้าคิดว่าจิตวิญญาณของนางสลายไปแล้ว ไม่นึกว่านางจะมาเกิด
ใหม่เช่นนี้!” ดวงตาของปิงชิงเผยประกาย นางคิดอยากทราบว่าเซี่ยฉี
โหรวผ่านหนทางดังกล่าวมาได้อย่างไร
“พี่ฉีโหรวและข้าต่างถูกผนึกเอาไว้แทบพร้อมกัน แต่แล้วนางทราบ
อดีตของเจ้าได้อย่างไร? ระหว่างที่นางถูกผนึกเอาไว้ ตัวเจ้าในชาติ
ภพก่อนไปทำอะไรไว้? นี่ต้องเป็นเหตุผลที่เย่ว์จีและเด็กสาวทั้งหลาย
เหล่านั้นสนิทชิดเชื้อต่อเจ้า!”
ปิงชิงพลันคิดอยากทราบเรื่องราวในชาติภพก่อนของฉินหยุนขึ้นมา
และนั่นก็มีความเป็นไปได้หนึ่งเดียวคือฉินหยุนต้องตื่นรู้ความทรง
จำ กระนั้น นางไม่ปรารถนาให้ฉินหยุนได้ตื่นรู้มันขึ้นมา นางกังวล
ว่าฉินหยุนจะกลับกลายเป็นคนผู้นั้นอีก
“ข้าขอตัวไปใช้บรรทมเซียนตะวันจันทราเพื่อทำความเข้าใจต่อวิชา
ร่างศักด์ิสิทธ์ิเซียนอสูรเสียก่อน เจ้าจงรอข้า!” กล่าวคำจบ นางจึงเร่ง
รีบกระโดดลงสู่สระเซียน
ฉินหยุนเคยใช้มาก่อนหน้า และเวลาที่ผ่านไปยังไม่ครบหนึ่งเดือน
ดังนั้น ครั้งนี้เขาจึงไม่อาจร่วมใช้งานด้วยได้ ภายในย่อมเกิดความนึก
เสียดาย

ตอนที่ 711 มิตรสหายเก่าพบปะ
ปิงชิงมองที่ต้นกำเนิดเซียนและกล่าว “ต้นกำเนิดเซียนมีมากพอแล้ว!
เจ้าเก็บต้นกำเนิดเซียนนี้เอาไว้!”
นางไม่ทราบว่าฉินหยุนทำอะไรกับราชันแคว้นเยี่ยมาบ้าง ดังนั้นจึง
คิดมอบสิ่งนี้ให้
“พี่สาวปิงชิง ท่านควรเก็บมันไว้ มันจะช่วยให้ท่านแข็งแกร่งขึ้น
โดยเร็ว เพื่อที่จะได้กลับไปยังแดนเซียนอ้างว้าง!” ฉินหยุนกล่าว
“เปาเฉิงโฉ่วมีอีกสอง รวมเข้ากับที่อยู่เบื้องล่างสระเซียนแห่งนี้จึง
เป็นสาม หากพวกมันเชื่อมต่อกัน พลังงานเซียนที่ควบแน่นออกมา
จะยิ่งเพิ่มพูน สำหรับข้า เท่านั้นก็เกินพอแล้ว!” ปิงชิงถือต้นกำเนิด
เซียนไว้พลางส่งมาให้ฉินหยุน
“อย่างนั้นข้าก็ไม่ขอมากมารยาทไป!” ฉินหยุนยิ้มพร้อมรับต้นกำเนิด
เซียนกลับคืนมา เพราะเขามีเจ้าตัวน้อยทั้งสามให้ต้องเลี้ยงดู
หากโมโม หยางหยาง และกระต่ายหยกเติบโตขึ้น พวกมันจะต้อง
ครอบครองพลังอันเลิศล้ำ
ปิงชิงถามขึ้น “แล้วชายคนเมื่อครู่เจ้าคิดนำไปทำอันใด? ข้ารับรู้ได้ว่า
ร่างเซียนของมันอ่อนแรงยิ่งนัก!”
กล่าวถึงเรื่องนี้ ฉินหยุนเองก็มีหลายเรื่องที่คิดหารือกับปิงชิง
“พี่สาวปิงชิง ข้าได้รับโลหิตเซียนและโลหิตอสูรมามากมายนัก ข้า
สามารถใช้โลหิตทั้งสองนี้ฝึกร่างเซียนอสูรได้หรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ย
ถามออกตามตรง
“ข้าไม่ทราบ!” ร่องรอยความหวาดกลัวเผยผ่านดวงตางดงามของปิง
ชิง นางส่ายศีรษะ “ร่างเซียนอสูรไม่ใช่ง่ายฝึกฝน! ไม่เช่นนั้น ทุกคน
คงฝึกฝนมันได้ไปแล้ว!”
ฉินหยุนคิดว่าเรื่องนี้ตนควรถามเซี่ยฉีโหรว เพราะนางคือผู้ฝึกฝน
ร่างเซียนอสูร
อย่างกะทันหัน เสียงของแม่เฒ่าหม่าพลันดังจากภายนอก “ผู้อาวุโส
สูงสุด ฉินหยุนอยู่ด้านในหรือไม่?”
ฉินหยุนเร่งรีบเปิดประตู จึงได้เห็นแม่เฒ่าหม่าพาสองสาวร่วมทาง
มา พวกนางสวมใส่ชุดขาวพร้อมมีผ้าปิดปกคลุมใบหน้า
ฉินหยุนย่อมทราบ ว่าทั้งสองคือเชี่ยวเย่ว์หลานและชี่เม่ยเหลียน
“ฉินหยุน ทั้งสองคนมาพบเจ้า!” แม่เฒ่าหม่ากล่าวคำเบา “คงไม่
สะดวกนักที่เจ้าจะต้อนรับพวกนางในตำหนักพระราชวังเซียน
ยุทธภัณฑ์กระมัง?”
“ย่อมต้องสะดวก! ท่านยายหม่า ท่านต้องการร่วมวงด้วยหรือไม่?”
ฉินหยุนยิ้มพลางเดินออกไป พร้อมคว้ามือของทั้งเชี่ยวเย่ว์หลานและ
ชี่เม่ยเหลียนไว้ ก่อนจะดึงพวกนางเดินร่วมทางกลับเข้าไปในตำหนัก
พระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์
“ย่อมไม่ ข้ายังมีเรื่องให้ทำอีกมากนัก!”
แม่เฒ่าหม่าตื่นตะลึง กระนั้น พอคิดว่าฉินหยุนคือผู้นำต้นกำเนิดเซียน
จำนวนมากมาสู่นครเซียนยุทธภัณฑ์ นางจึงคิดว่าผู้อาวุโสสูงสุดย่อม
ไว้หน้าเขาบ้าง
แม่เฒ่าหม่าจากไป ฉินหยุนจึงปิดประตู
ชี่เม่ยเหลียนถอดผ้าคลุมหน้าออก ใบหน้าสดใสอ่อนโยนของนาง
เผยยิ้มหวานอย่างสุขใจ
ฉินหยุนพอได้เห็นใบหน้าที่คลาดจากกันไปนาน เขารู้สึกยินดี มือ
ขณะนี้ยื่นเข้าไปลูบใบหน้านั้นอย่างอ่อนโยนแล้ว
“พี่ชาย ในที่สุดก็ได้พบท่าน!” ชี่เม่ยเหลียนโผเข้ากอดฉินหยุน น้ำตา
แห่งความยินดีไหลหลั่งผ่านแก้มของนาง
“เสี่ยวเม่ยเหลียน ตอนนี้เจ้าแข็งแกร่งกว่าข้าแล้ว!” ฉินหยุนหัวเราะ
พลางกอดนางไว้อย่างเบามือ จากนั้น เขาจึงช่วยปาดเช็ดคราบน้ำตา
ที่ใบหน้างดงามของนาง
ชี่เม่ยเหลียนยิ้มบาง “พี่ชาย ท่านต่างหากจึงแข็งแกร่งกว่าข้า! หาก
ไม่ใช่ท่าน พวกเราคงถูกอสูรพวกนั้นสังหารกันไปแล้ว! ท่านยาย
หยุนเหยาเองก็กล่าวว่าท่านเป็นวีรบุรุษผู้หนึ่ง!”
เชี่ยวเย่ว์หลานมองทางปิงชิงที่เดินเข้ามาใกล้จึงหัวเราะออก “ปิงชิง
นี่เจ้าสมควรเป็นผู้โชคดีที่สุดแล้ว เพราะเจ้านั้นยังมีชีวิตอยู่!”
“ปิง… พี่สาวปิงชิง!” เมื่อชี่เม่ยเหลียนได้เห็นความเย็นเยือกของปิง
ชิง ภายในจึงรู้สึกหวาดกลัวพร้อมหลบด้านหลังฉินหยุน
ปิงชิงหันมองทางฉินหยุนพร้อมกล่าว “ทั้งหมดก็เพราะชาติภพก่อน
ของฉินหยุนแล้ว เป็นเขาที่ทำให้ข้าถูกผนึกไว้!”
“ปิงชิง นอกจากเจ้าแล้ว พวกเราล้วนตายกันหมดสิ้น!” เชี่ยวเย่ว์หลาน
มองทางชี่เม่ยเหลียน นางถอนหายใจเบา “เจ้าสมควรต้องขอบคุณต่อ
ฉินหยุนแล้ว!”
ชี่เม่ยเหลียนเอ่ยคำเบา “พี่สาวปิงชิง เหตุใดข้ารู้สึกว่าท่านเปลี่ยนไป
มากนัก? ท่านไม่เหมือนดังเช่นเมื่อก่อน เป็นท่านน่ากลัวยิ่งกว่า!”
ฉินหยุนคาดเดาได้นานแล้ว ว่าชี่เม่ยเหลียนย่อมมีชาติภพก่อนเช่นกัน
“หลังประสบหลายเรื่องราว ข้าย่อมเปลี่ยนแปลง นับว่าดีแล้วที่ข้ายัง
ไม่คลุ้มคลั่งไปเสียก่อน!” ปิงชิงเดินไปพร้อมลูบใบหน้าชี่เม่ยเหลียน
เบามือ “เจ้าก็ยังคงเป็นเช่นเดิม งดงามและบริสุทธ์ิ หาได้เปลี่ยนไป
แม้สักนิด!”
“ปิงชิง เรื่องราวในอดีตล้วนปล่อยให้มันผ่านไป! ตอนนี้ข้าคือเชี่ยว
เย่ว์หลาน! และนางคือชี่เม่ยเหลียน!” เชี่ยวเย่ว์หลานกล่าว
“ได้ อดีตก็เป็นอดีต ตอนนี้ถือว่าได้เริ่มกันใหม่! หวังว่าพวกเรายังคง
เป็นสหายที่ดีต่อกันได้!” ปิงชิงมองทางฉินหยุนด้วยสีหน้าอันซับซ้อน
“พวกเราย่อมเป็นสหายที่ดีต่อกันเสมอ!” ฉับพลันนี้ ชี่เม่ยเหลียน
ค่อยเผยความยินดีพร้อมโผเข้ากอดปิงชิงเอาไว้แน่น
เชี่ยวเย่ว์หลานเดินไป ทั้งสามต่างยิ้มให้กัน ดวงตานั้นปริ่มน้ำตา
พลางสวมกอดกันไว้แน่น
แม้ฉินหยุนยินดี แต่เขาก็รู้สึกหมองหม่น เพราะมีแต่เขาที่ไม่ทราบว่า
ในอดีตเกิดเรื่องใดขึ้น
“เอาละ เช่นนั้นพวกเราคิดไปแล้ว!” เชี่ยวเย่ว์หลานกล่าว
“เย่ว์หลาน ไม่ใช่เจ้าบอกหรือว่าจะอยู่กับข้าสักเดือนหนึ่ง?” ฉินหยุน
เร่งร้อนเอ่ยถาม
“ข้าคิดไปเก็บตัวฝึกฝนกับเสี่ยวเม่ยเหลียน!” เชี่ยวเย่ว์หลานหัวเราะ
รับพร้อมกล่าว “ข้าจะให้รั่วหยานอยู่กับเจ้าแทนแล้วกัน อย่างไรแล้ว
นางก็เป็นภรรยาข้า!”
“พี่ชาย นับจากนี้ข้าจะไปอยู่ที่เกาะจันทราปีศาจ ภายหน้าพวกเรา
ย่อมได้พบกันบ่อยครั้งกว่านี้!” ชี่เม่ยเหลียนยิ้มกล่าว
“อืม ทางนี้เองก็ยินดีนักที่ได้พบหน้ากันอีกครั้ง!” ฉินหยุนหยิกที่
ใบหน้าของนางพลางกล่าว “ภายหน้าอย่าได้แอบลักลอบเข้าไปใน
กองกำลังที่แข็งแกร่งอีก มันอันตรายเกินไป!”
“เป็นเย่ว์เหม่ยที่ให้ข้าไปแทนที่…” ชี่เม่ยเหลียนบอกเล่าต่อฉินหยุน
เรื่องที่เชี่ยวเย่ว์เหม่ยฝากฝังให้นางทำ
“แม่เด็กน้อยนั่น เมื่อใดเจอกันอีกครั้ง บอกให้นางมาพบข้าโดยทันที
เรื่องนี้ต้องพูดคุยกับนางให้จริงจังแล้ว!” ฉินหยุนยิ้มพลางบ่นอุบ
“เห็นด้วย!” เชี่ยวเย่ว์หลานกล่าวก่อนจะดึงชี่เม่ยเหลียนไปทางประตู
ฉินหยุนและปิงชิงต่างออกไปส่งทั้งสองคนจากตำหนักพระราชวัง
เซียนยุทธภัณฑ์
“ปิงชิง ฝากดูแลเสี่ยวหยุนให้ดีด้วย! ได้เห็นพวกเจ้าไปกันได้ด้วยดี
ข้าก็ไม่คิดพูดถึงเรื่องราวในชาติภพก่อนแล้ว!” ก่อนเชี่ยวเย่ว์หลาน
จากไป นางได้กล่าวย้ำคำ
ฉินหยุนมองส่งเชี่ยวเย่ว์หลานและชี่เม่ยเหลียนไปจากตำหนักพระราชวัง
เซียนยุทธภัณฑ์
เมื่อทั้งสองจากไป ฉินหยุนจึงพึมพำ “เย่ว์หลานถึงกับไม่ยอมอยู่ต่อ!”
ปิงชิงกล่าว “ฉินหยุน ทั้งสองคนมีเรื่องให้ต้องทำยิ่งกว่า ดังนั้นจึงเร่ง
รีบเดินทางกลับ”
“เรื่องอันใดกัน?” ฉินหยุนถามกลับอย่างนึกสงสัย
“รักษาจิตวิญญาณ!” ปิงชิงกล่าว “ก่อนหน้านี้ ข้าสัมผัสได้ว่าจิตวิญญาณ
ของทั้งสองมีการตอบสนองแปลกประหลาด! คาดเดาว่าหลังกำเนิด
ขึ้นใหม่ จิตวิญญาณจึงได้รับผลกระทบ ในเมื่อทั้งสองผ่านการกลับ
ชาติมาเกิด ความทรงจำยังตื่นขึ้นก่อนกำหนด นี่จะต้องมีคนแอบ
ช่วยเหลือพวกนางอยู่แน่!”
ก่อนหน้านี้ฉินหยุนได้คาดเดา ว่าเซี่ยฉีโหรวได้ติดต่อหาชี่เม่ยเหลียน
เชี่ยวเย่ว์หลาน และเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเพื่อชี้นำพวกนางในการฝึกฝน
“พี่สาวปิงชิง วิญญาณยุทธ์ของเสี่ยวเม่ยเหลียนในชาติภพก่อนก็เป็น
วิญญาณยุทธ์กาลอวกาศหรือ?” ฉินหยุนถามออกด้วยความสงสัย
“นางครอบครองสองวิญญาณยุทธ์ เป็นวิญญาณยุทธ์กาลอวกาศ และ
วิญญาณยุทธ์ความทรงจำ!” ปิงชิงกลับไปนั่งข้างสระเซียนพลางกล่าว
ต่อ “วิญญาณยุทธ์ความทรงจำของนางทรงอำนาจยิ่ง มันสามารถ
ผนึกความทรงจำเลวร้ายยามที่นางเกิดความโศกเศร้าเอาไว้ได้!”
ฉินหยุนตระหนักถึงบางอย่างได้ ย้อนกลับไปตอนนั้น เซี่ยอู๋เฟิง มู่หรง
ต้าเหริน และฮั่วจงต่างได้เห็นวิญญาณยุทธ์ของชี่เม่ยเหลียน กระนั้น
ภายหลังพวกเขาไม่อาจจดจำได้ว่ามันคืออะไร
หลิงหยุนเอ๋อพลันกล่าว “เสี่ยวหยุน ไม่ใช่เย่ว์หลานบอกหรือว่าเจ้า
สูญเสียความทรงจำวัยเด็กส่วนหนึ่งไป? ข้าเองก็ไม่อาจพบความทรง
จำนั้นในจิตใจเจ้าได้ เห็นได้ชัดว่าต้องถูกนำออกไปด้วยพลังพิเศษ!”
“หากเป็นอย่างนั้น ก็มีแต่เสี่ยวเม่ยเหลียนที่ทำได้! ข้าสงสัยว่าพี่สาว
ของเจ้า จะเป็นคนบอกให้เสี่ยวเม่ยเหลียนนำเอาความทรงจำตอนนั้น
ของเจ้าออกไป!”
เรื่องราวกลับกลายเป็นซับซ้อนขึ้นมา ฉินหยุนรู้สึกว่าเซี่ยฉีโหรว
คล้ายจงใจเก็บซ่อนหลายเรื่องราวของตัวเขาเอาไว้
“พี่สาวปิงชิง ชาติภพก่อนหน้า ข้ามีสัมพันธ์อันดีกับพวกเม่ยเหลียน
หรือ?” ฉินหยุนถามขึ้น
“พวกเจ้าหาได้มีสัมพันธ์อันดีต่อกันไม่ เพราะพวกเราล้วนถูกเจ้าลวง
หลอก แต่หลังจากข้าถูกผนึก หลายปีผันผ่าน ข้าไม่ทราบแล้วว่าช่วง
นั้นได้เกิดเรื่องอันใดขึ้น! โดยสรุป มันต้องมีสาเหตุว่าทำไมตอนนี้
พวกเจ้าถึงดีต่อกันได้!”
ปิงชิงมองทางสระเซียนด้วยสีหน้าอันซับซ้อน “ข้าเองก็อยากทราบ
ให้กระจ่างชัด ว่าหลังข้าถูกผนึกมันเกิดเรื่องอันใดขึ้น!”
“ข้าขอตัวกลับไปพบมิตรสหายก่อน จากนั้นข้าค่อยกลับมาฝึกฝน
ร่วมกับท่าน!” ฉินหยุนไม่ต้องการนึกถึงเรื่องนี้อีก เพราะเขาไม่มี
เบาะแสใดในมือเลย
ปิงชิงพยักหน้ารับเบา
ฉินหยุนออกจากตำหนักพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์ เดินทางกลับ
บ้านพักของตนเอง เขานำเอาแผนที่หลุมฝังเซียนออกมาพร้อมหยด
เลือดลงไป
“เสี่ยวหยุน มีเรื่องอะไรหรือ? พบเจอเสี่ยวเม่ยเหลียนหรือยัง?” เซี่ยฉี
โหรวเอ่ยถาม
“ข้าพบนางแล้ว! นางและเย่ว์หลานได้ไปพบปิงชิง และได้กลายเป็น
มิตรสหายที่ดีต่อกันอีกครั้งหนึ่ง!” ฉินหยุนบุ้ยปากกล่าวคำ “พี่สาว
ข้ามีความรู้สึกว่าท่านกำลังปิดซ่อนหลายเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับชาติ
ภพก่อนของข้าเอาไว้!”
“ถูกต้อง เป็นข้าซ่อนไว้หลายเรื่องราวจริง! พวกมันเหล่านั้นส่งผล
กระทบต่อเจ้าได้ง่าย ดังนั้นข้าจึงไม่คิดอยากพูดถึงในเวลานี้! เย่ว์
หลานและผู้อื่นต่างทราบ เหตุผลที่พวกนางไม่บอกอันใดต่อเจ้า ก็
เพราะพวกนางมีความเห็นเช่นเดียวกันกับข้า!” เซี่ยฉีโหรวกล่าว
หยางฉีเย่ว์สามารถกลับชาติมาเกิด เรื่องนี้ทำเซี่ยฉีโหรวประหลาดใจ
ไม่น้อย เพราะนางไม่ได้ร่วมมือทางใดกับหยางฉีเย่ว์
และหยางฉีเย่ว์ ก็เก็บงำหลายเรื่องราวในชาติภพก่อนของฉินหยุน
เอาไว้
ฉินหยุนพอนึกถึงเรื่องนี้ เขาค่อยเชื่อว่าเซี่ยฉีโหรวมีเจตนาดี
“พี่สาว ข้าฝึกฝนร่วมกับปิงชิงแล้ว ครั้งพวกเราฝึกฝนพลังเซียนเก้า
วิวัฒน์ร่วมกัน ความเร็วฝึกฝนของพวกเราได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล!”
ฉินหยุนยิ้มกล่าว
“เสี่ยวหยุน เจ้าช่างน่าทึ่ง ปิงชิงถึงขั้นปล่อยวางต่อเจ้า กระทั่งใช้พระ
สูตรหัวใจตะวันจันทรากับเจ้าได้!” เซี่ยฉีโหรวหัวเราะกล่าว “สม
แล้ว เสน่ห์ของเจ้าก็ยังคงมีดังเช่นชาติภพก่อน!”
“พี่สาว ข้าคิดอยากฝึกฝนร่างเซียนอสูร ข้าได้รับต้นกำเนิดเซียนมา
จำนวนหนึ่ง”
ถัดจากนั้น ฉินหยุนจึงบอกต่อเซี่ยฉีโหรวถึงเรื่องราวที่เขาได้รับ
โลหิตเซียนและโลหิตอสูรมาจำนวนมาก เขายังกล่าวโดยสรุปถึง
เรื่องราวที่ได้รับต้นกำเนิดเซียนมา
หลังได้รับฟัง เซี่ยฉีโหรวยังคงเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นนางค่อย
กล่าว “เสี่ยวหยุน เจ้ามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะฝึกฝนร่างเซียนแล้ว
กระนั้นที่เจ้าต้องการก็ยังอันตรายเกินไป! แต่เมื่อใดเจ้าฝึกฝนได้ ภาย
หน้ามันจะเป็นตัวส่งเสริมต่อเจ้าอย่างมหาศาล!”
“เป็นเรื่องดีที่ระดับการฝึกฝนเจ้ายังไม่สูงล้ำ และข้างกายยังมีเซียน
หญิงที่สนิทกัน หากเจ้าคิดฝึกฝนร่างเซียนอสูรข้าก็ค่อยวางใจได้!”
“ปิงชิงคือสตรีที่สามารถฝึกฝนร่วมกับเจ้าได้ อย่างนั้นนี่คงหมายความ
ถึงเจตนาแห่งสวรรค์! ด้วยนางช่วยเหลือ เจ้าน่าจะฝึกฝนร่างเซียนอสูร
ขึ้นมาได้!”
ฉินหยุนภายในตื่นเต้นยินดี ปากกล่าวถามออก “พี่สาว ข้าต้องทำ
อย่างไรบ้าง?”
“นำโลหิตเซียนและโลหิตอสูรแยกบรรจุไว้ จากนั้นค่อยนำแก่นเต๋าผู้
ฝึกตนอสูร หรือผลึกแก้วชีวิตอสูรครึ่งเซียนใส่ในโลหิตเซียน! สำหรับ
โลหิตอสูร ให้นำแก่นเต๋าหรือผลึกแก้วชีวิตครึ่งเซียนใส่เข้าไป!”
“รอจนกว่าเลือดในภาชนะจะมีการตอบสนอง หากเป็นไปได้ด้วยดี
โลหิตอสูรจะกลายเป็นสีทอง และโลหิตเซียนจะกลายเป็นโปร่งแสง!”
“ถึงตอนนั้น เจ้าค่อยผสมโลหิตทั้งสองเข้าด้วยกัน จากนั้นโลหิตทั้ง
สองจะทำปฏิกิริยาต่อกันจนร้อนขึ้นมา แล้วเจ้าค่อยแช่กายในนั้น!”
“สุดท้ายแล้ว ให้ปิงชิงอยู่เคียงข้างภาชนะ ให้นางฝึกฝนร่วมกับเจ้า
และใช้พลังเซียนอันแกร่งกล้า ชักนำโลหิตเซียนอสูรเพื่อขัดเกลา
ร่างกายเจ้า! แน่นอนว่ามันจำเป็นต้องให้เจ้าและปิงชิงต้องเรียนรู้วิชา
ร่างศักด์ิสิทธ์ิเซียนอสูร ข้าจะสอนวิธีการฝึกฝนมันให้แก่เจ้าเอง!”
หลังนางกล่าวคำจบ จึงเริ่มทำการส่งถ่ายวิชาร่างศักด์ิสิทธ์ิเซียนอสูร
ให้แก่ฉินหยุน

ตอนที่ 710 เดินทางกลับ
ห้องโถงโดยสารเรือบินของเปาเฉิงโฉ่ว คณะครึ่งเซียนได้เห็นฉินหยุน
พาเจี้ยนหลิงหลงขึ้นมาด้วย พวกเขาเกิดคำถามกันขึ้นมา
เจี้ยนรั่วหยานพอได้เห็นเจี้ยนหลิงหลง นางอึ้งไปวูบพร้อมถาม “ผู้
อาวุโสหลิงหลง!”
ฉู่ปินอวี้และแม่เฒ่าหม่าเร่งรีบเข้ามาทักทายเจี้ยนหลิงหลง เพราะนาง
ถือเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง โดยเฉพาะขอบเขตจักรพรรดิยุทธ์ นางคือ
อาจารย์จารึกเต๋าที่มีพรสวรรค์
เปาเฉิงโฉ่วยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสหลิงหลง ขอบคุณแล้วที่นำฉินหยุนมา
ส่งขึ้นเรือบิน!”
ผู้คนต่างคิด ว่าเจี้ยนหลิงหลงมาที่นี่ก็เพื่อบอกลาฉินหยุนและเจี้ยน
รั่วหยาน
“ไม่ต้องมากมารยาทไป พวกเราล้วนเป็นพวกเดียวกัน!” เจี้ยนหลิง
หลงกล่าว
“เป็นเช่นนั้น!”
เปาเฉิงโฉ่วไม่ได้เก็บคำพูดมาคิดอะไรมากนัก เขารู้สึกว่าในเมื่อเป็น
พันธมิตรร่วมกัน ก็เป็นปกติที่จะเรียกผู้อื่นดังเช่นคนของตนเอง
เจี้ยนรั่วหยานกล่าวเสียงเบา “ผู้อาวุโสหลิงหลง พวกเราจะออกเรือ
ในไม่ช้า ท่านยังมีเรื่องอื่นหรือ?”
เจี้ยนหลิงหลงนั่งบนเก้าอี้พลางกล่าว “ข้าจะตามเจ้ากลับไปนครเซียน
ยุทธภัณฑ์!”
“โอ… ท่านคิดไปเป็นแขกของนครเซียนยุทธภัณฑ์หรือ?” เจี้ยนรั่ว
หยานเอ่ยถามอย่างตระหนกตกใจ
“ยินดีแล้ว ยินดี!” เปาเฉิงโฉ่วยิ้มกล่าว
ฉินหยุนเอ่ยคำขึ้น “จ้าวสำนัก ผู้อาวุโสหลิงหลงตัดสินในออกจาก
ตำหนักเซียนดาบ และมาเข้าร่วมนครเซียนยุทธภัณฑ์ของพวกเรา!
ภายหน้า นางจะเป็นคนของนครเซียนยุทธภัณฑ์เราขอรับ!”
เปาเฉิงโฉ่วที่ยังคงยิ้ม ขณะนี้มองทางฉินหยุนอย่างงุนงง เขาเอ่ยถาม
ด้วยน้ำเสียงตระหนก “นี่เรื่องจริง? ได้อย่างไรกัน?”
ฉู่ปินอวี้ แม่เฒ่าหม่า และผู้อื่นต่างมองหน้ากันเองอย่างไม่อาจนึกเชื่อ
ว่าเรื่องที่ฟังเป็นความจริง
“เป็นความจริง ข้าคิดเข้าร่วมนครเซียนยุทธภัณฑ์ ยินดีต้อนรับข้า
หรือไม่?” เจี้ยนหลิงหลงยิ้มกล่าวต่อเปาเฉิงโฉ่ว
“นี่… เรื่องนี้… ก็ต้องยินดีอยู่แล้ว!” เปาเฉิงโฉ่วหันมองทางฉินหยุน
“เป็นฉินหยุนเชิญข้าให้เข้าร่วมนครเซียนยุทธภัณฑ์ และนครเซียน
ยุทธภัณฑ์ก็ได้รับต้นกำเนิดเซียนไปไม่น้อย กล่าวได้ว่าสภาพแวดล้อม
ย่อมดีกว่าตำหนักเซียนดาบเป็นไหน!” เจี้ยนหลิงหลงยิ้มกล่าว “คง
ไม่แปลกที่ข้าจะเข้าร่วมนครเซียนยุทธภัณฑ์กระมัง?!”
แม้เจี้ยนหลิงหลงกล่าวเช่นนี้ ทว่าเปาเฉิงโฉ่วและคณะต่างยังคิดว่า
เรื่องราวกะทันหันเกินไป ที่เจี้ยนหลิงหลงจะเข้าร่วมนครเซียน
ยุทธภัณฑ์ในเวลาเช่นนี้
เป็นที่ทราบกันว่าเจี้ยนหลิงหลงมีชื่อเสียงเลิศล้ำในตำหนักเซียนดาบ
นางคืออาจารย์จารึกเต๋าเยาว์วัย และยังครองพรสวรรค์สูงส่ง อีกทั้ง
ยังมีจารึกวิญญาณจ้าวเต๋า
“นี่เจี้ยนสือเทียนทราบเรื่องนี้หรือไม่?” เปาเฉิงโฉ่วเอ่ยถาม
“เขาย่อมทราบ!” เจี้ยนหลิงหลงมองทางฉินหยุนพร้อมยิ้มกล่าว “เขา
เองก็เห็นด้วยที่ให้ข้าเข้าร่วมนครเซียนยุทธภัณฑ์ อย่าได้กังวลว่า
เรื่องนี้จะเป็นการยั่วยุเขาแต่อย่างใด!”
เปาเฉิงโฉ่วพอได้ยินเช่นนี้ เขาค่อยสงบใจลงได้ ใบหน้าเวลานี้กลาย
เป็นเปื้อนยิ้มยินดี “เช่นนั้นก็วิเศษ นับว่าดี! เมื่อใดพวกเรากลับไป ข้า
จะจัดแจงตำแหน่งผู้อาวุโสให้ แน่นอนว่าย่อมได้รับการดูแลเป็น
อย่างดีเยี่ยม!”
“เช่นนั้นก็ตามนี้!” เจี้ยนหลิงหลงทราบ ว่านครเซียนยุทธภัณฑ์อย่างไร
แล้วก็ต้องต้อนรับนาง
ถัดจากนั้น เจี้ยนหลิงหลงและเจี้ยนรั่วหยานจึงออกจากโถงโดยสาร
แยกย้ายไปยังห้องของพวกนาง
ผู้อื่นเองก็เดินกลับไปยังห้องพักตนเอง
ฉินหยุนและเปาเฉิงโฉ่วยังอยู่ที่ห้องโถง เพราะเขายังมีเรื่องที่คิดอยาก
หารือกับฉินหยุนเป็นการลำพัง
“ฉินหยุน งานประลองยุทธ์ครั้งนี้เจ้าแสดงศักยภาพได้ยอดเยี่ยมยิ่ง
นัก ทั้งยังชนะได้รับต้นกำเนิดเซียนมาถึงสาม!”
เปาเฉิงโฉ่วยามกล่าวถึงเรื่องนี้ค่อนข้างยินดีไม่น้อย
เขายิ้มพลางตบไหล่ฉินหยุน เขากล่าว “ดังที่เคยกล่าวไว้ ในเมื่อได้รับ
อันดับหนึ่ง นครเซียนยุทธภัณฑ์ย่อมมอบรางวัลอันล้ำค่าและลึกลับ
ให้แก่เจ้า!”
“จ้าวสำนัก ท่านพอจะมอบต้นกำเนิดเซียนให้แก่ข้าได้หรือไม่
ขอรับ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ย่อมต้องได้!” เปาเฉิงโฉ่วกล่าวคำจบจึงนำเอาบอลสีขาวขนาดครึ่ง
ตัวคนออกมา “นี่เป็นต้นกำเนิดเซียนที่ถูกผนึกเอาไว้ เมื่อใดที่กะเทาะ
เปลือกนอกออก ผนึกจะคลาย และมันจะควบแน่นออกมาเป็นพลังงาน
เซียน!”
ฉินหยุนวางต้นกำเนิดเซียนเอาไว้ในไข่มุกเม็ดแรกของวิญญาณเทวะ
เก้าตะวัน นี่ก็เพื่อให้โมโมและกระต่ายหยกสามารถดูดกลืนพลังงาน
เซียน เมื่อใดหยางหยางตื่นขึ้น เมื่อนั้นนางจะได้ดูดกลืนพลังงานเซียน
เช่นกัน
“อย่าได้ให้ผู้อื่นทราบเรื่องนี้!” เปาเฉิงโฉ่วกล่าวเตือน “ข้าเองก็จะ
เก็บเป็นความลับ!”
ฉินหยุนพยักหน้ารับพร้อมยิ้มถาม “จ้าวสำนัก แล้วรางวัลลึกลับคือ
อันใดกันขอรับ?”
เปาเฉิงโฉ่วหัวเราะกล่าว “นี่รางวัล เจ้าต้องชอบมันแน่ เป็นจารึก
วิญญาณ!”
“จริงหรือขอรับ? จ้าวสำนัก นี่ท่านได้จารึกวิญญาณนี้มาอย่างไร
กัน?” ฉินหยุนเอ่ยถามพลางตื่นเต้นยินดี
“เรื่องจริงแท้! จารึกวิญญาณนี้หลงเหลือไว้โดยกลุ่มเซียน! ครั้งนาน
มาแล้ว กองทัพเซียนจากแดนเซียนอ้างว้าง พวกเขาเหล่านั้นมีอาจารย์
จารึกที่แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งที่รับผิดชอบสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์”
“อาจารย์จารึกเหล่านั้นต่างครอบครองจารึกวิญญาณราชันอุปกรณ์
ภายหลังจึงหลงเหลือทิ้งไว้หนึ่ง จนกระทั่งถึงตอนนี้ ข่าวคราวเรื่องนี้
ก็ไม่เคยเผยแพร่สู่ภายนอก!” เปาเฉิงโฉ่วนำเอาไข่มุกสีขาวออกมาส่ง
มอบให้แก่ฉินหยุน
ภายในไข่มุกสีขาว คือจารึกวิญญาณราชันอุปกรณ์ซึ่งถูกผนึกไว้
“จารึกวิญญาณราชันอุปกรณ์สามารถช่วยเหลือเจ้ายามแกะสลัก
อักขระที่อาวุธหรือชุดเกราะ ทั้งนี้ยังรวมถึงอุปกรณ์โทเทม มันจะ
ช่วยเสริมความเร็วและความวิจิตรแก่เจ้าได้อย่างมหาศาลนัก! ตอนนี้
เจ้ามีจารึกวิญญาณถึงสอง และทั้งคู่ต่างทรงพลังยิ่ง!” เปาเฉิงโฉ่ว
หัวเราะกล่าว
ก่อนหน้านี้ เปาเฉิงโฉ่วได้ขับไล่ฉินหยุนออกจากสำนัก ความรู้สึก
ผิดได้เกาะกุมหัวใจเขาเอาไว้ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น
ตอนนี้ฉินหยุนได้ช่วยเหลือให้ได้รับต้นกำเนิดเซียนมาจำนวนหนึ่ง
ดังนั้นแล้ว เปาเฉิงโฉ่วจึงตัดสินใจยอมส่งมอบจารึกวิญญาณอันล้ำ
ค่าให้แก่ฉินหยุน
“ขอบคุณจ้าวสำนักขอรับ!” ฉินหยุนยิ้มรับพร้อมคำนับอีกฝ่าย
“ฉินหยุน เจ้าช่างยอดเยี่ยมนัก นี่เจ้าชักชวนเจี้ยนหลิงหลงมาได้
อย่างไรกัน? สตรีผู้นั้นเลื่องลือกันว่าดุร้ายไม่น้อย!” เปาเฉิงโฉ่วลด
เสียงเบาเอ่ยถาม
“ข้าบอกต่อนาง ว่าจิงเหมิงต้องการอาจารย์เพื่อชี้แนะ นางรู้สึกว่า
ตนเองค่อนข้างเหมาะสม เช่นนั้นจึงยอมตกลง! ยิ่งไปกว่านั้น นคร
เซียนยุทธภัณฑ์ของเราก็มีความอุดมสมบูรณ์พร้อม ด้วยต้นกำเนิด
เซียนมากมายที่พวกเราถือครอง!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว
“เป็นเช่นนั้น!” เปาเฉิงโฉ่วพยักหน้ายิ้มรับ
ฉินหยุนเดินไปยังห้องว่างหนึ่งบนเรือบิน ก่อนจะนอนบนเตียง
“เมื่อใดกลับไป ก่อนอื่นคือการฝึกฝนร่างเซียนอสูร และก้าวสู่
ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับกลาง!”
“เสี่ยวหยุน ไม่ใช่ว่าเจ้าได้ความสามารถเทวะแม่น้ำมาหรือ? เร่งรีบ
ผสานรวมกับมันเร็วเข้า!” หลิงหยุนเอ๋อพลันเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
“วิญญาณยุทธ์ขยะ!” ฉินหยุนนำเอาไข่มุกผนึกวิญญาณสีน้ำเงินที่มี
วิญญาณยุทธ์ความสามารถเทวะออกมา
“หยุดพล่ามบ่นได้แล้ว เร่งรีบผนวกรวมกับมัน! ความสามารถเทวะ
ล้วนไม่มีใดด้อยค่า!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าวเร่ง “มันย่อมต้องมีวิธีการใช้
อันชาญฉลาดอยู่แน่!”
หากผู้อื่นต้องการผสานรวมกับวิญญาณยุทธ์ความสามารถเทวะ
เช่นนั้นก็ต้องไปหาตัวอาจารย์ขัดเกลาวิญญาณให้ช่วยเหลือ
กระนั้น ฉินหยุนครอบครองวิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬ เขาสามารถ
ดูดกลืนวิญญาณยุทธ์และความสามารถเทวะอย่างง่ายดาย
ก่อนหน้านี้ ฉินหยุนยังได้ดูดกลืนวิญญาณยุทธ์ความสามารถเทวะ
ทรมาน ตอนนี้เขาสามารถปลดปล่อยพลังทำให้ผู้อื่นเจ็บปวดรวด
ร้าวได้ ทว่าเป็นเขายังไม่ค่อยมีโอกาสให้ใช้งานได้มากนัก
หลังผนวกรวม ฉินหยุนจึงทดสอบโดยการควบแน่นมวลน้ำในมือ
“ไร้ค่าอย่างแท้จริง แม้ไม่มีความสามารถเทวะนี้ ข้าก็ยังใช้งานยันต์
ควบแน่นน้ำให้เกิดผลลัพธ์เดียวกันขึ้นมาได้!” ฉินหยุนบุ้ยปากกล่าว
“เสี่ยวหยุน วิญญาณยุทธ์ความสามารถเทวะบางอย่างอาจดูไร้ค่า
กระนั้นมันเป็นเพราะไม่มีวิญญาณยุทธ์ความสามารถเทวะที่จะใช้
งานร่วมด้วยอย่างเหมาะสมต่างหาก! เจ้าควรทราบ ว่าเมื่อใดสอง
ความสามารถเทวะผนวกรวมกัน เมื่อนั้นพลังที่พวกมันปลดปล่อย
ออกจะรุนแรงยิ่ง!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
ฉินหยุนคิดว่าอย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ได้รับอันใด
“ทั้งหมดนี่เป็นเพราะราชันแคว้นเยี่ยตัวบัดซบนั่น เป็นมันที่มอบ
วิญญาณยุทธ์สวะเช่นนี้ให้แก่ข้า!” ฉินหยุนสบถเสียงเบา
“มันผู้นั้นยังมีชีวิต!” หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะซุกซนออกมา
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ หลังจากราชันแคว้นเยี่ยบาดเจ็บหนัก เขายัง
มีชีวิตรอดและถูกเก็บเอาไว้ในหม้อราชสีห์สวรรค์สะกดมังกร
สาเหตุว่าทำไมฉินหยุนยังไม่สังหารราชันแคว้นเยี่ย ก็เพราะอีกฝ่าย
ยังมีต้นกำเนิดเซียนในครอบครอง
แน่นอนว่าทุกคนต่างคิด ว่าราชันแคว้นเยี่ยสิ้นชีพไปแล้ว
เรือบินลำใหญ่ของเปาเฉิงโฉ่ว ในที่สุดค่อยกลับถึงนครเซียนยุทธภัณฑ์
มันร่อนลงจอดที่ภายในพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์
ฉินหยุนเมื่อกลับมาถึง เขาจึงเร่งรีบมุ่งหน้าไปยังตำหนักพระราชวัง
เซียนยุทธภัณฑ์
ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งฉินหยุนไม่อยู่ ปิงชิงคล้ายรู้สึกเปล่าเปลี่ยว ก่อน
หน้า เป็นฉินหยุนแวะเวียนมาพูดคุยกับนางบ่อยครั้งจนเกินไป
ฉินหยุนพอเข้ามาในตำหนัก เขาจึงได้เห็นปิงชิงที่สวมใส่ชุดกระโปรง
สีขาว กำลังนั่งอยู่ข้างสระเซียนหันหลังมาให้
“ผลการแข่งขันประลองยุทธ์เป็นอย่างไร? เจ้าได้อันดับหนึ่งหรือไม่?”
น้ำเสียงเย็นชาของปิงชิงเอ่ยถามขึ้น
“พี่สาวปิงชิง หากข้าไม่ได้อันดับหนึ่งก็คงไม่มีหน้ามาพบท่านแล้ว!”
ฉินหยุนยิ้มกล่าว เขาเดินเข้าไปเชื่องช้าพร้อมเอ่ยคำ “ครั้งนี้ผลการ
เก็บเกี่ยวกล่าวได้ว่าดีเยี่ยม นอกจากนี้แล้วยังเกิดหลายเรื่องราว…
พวกคนของเขตแดนลึกล้ำอสูรอ้างว้างคิดมาจับตัวข้า จนกลายเป็น
เกิดศึกครั้งใหญ่ที่ตำหนักเซียนดาบ!”
ปิงชิงหันกลับมาเชื่องช้าพร้อมคิ้วขมวดเอ่ยถาม “อย่างนั้นแล้วเกิด
อะไรขึ้นอีก?”
ฉินหยุนนั่งลงกับพื้น เขามองที่รูปลักษณ์ของปิงชิงซึ่งอยู่ไกลออกไป
อย่างกระจ่างชัด พร้อมเริ่มบอกเล่ารายละเอียดของเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ปิงชิงพอได้ยินว่าฉินหยุนได้รับต้นกำเนิดเซียนมาจำนวนหนึ่ง นาง
ค่อยเผยรอยยิ้มที่ยากพบเห็น ชัดเจนว่าต้นกำเนิดเซียนก็มีประโยชน์
แก่นางอย่างมหาศาลเช่นกัน
“หากเจ้าได้รับต้นกำเนิดเซียน อย่างนั้นแล้วก็จงใช้มันให้ดี!” ปิงชิง
กล่าว “ข้าจะไปหารือกับเปาเฉิงโฉ่ว ว่าจะนำต้นกำเนิดเซียนอีกสอง
มาใช้อย่างไรดี เป็นข้าคิดเชื่อมต่อพวกมันเข้าด้วยกัน ทำให้พลังงาน
เซียนทั่วทั้งนครเซียนยุทธภัณฑ์หนาแน่นยิ่งขึ้น!”
“ตามแต่ท่าน!”
ฉินหยุนไม่คิดยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ เขานำเอาไข่มุกผนึกวิญญาณสีทองม่วง
ออกมาพร้อมกล่าว “พี่สาวปิงชิง นี่คือวิญญาณยุทธ์จันทราระดับทอง
ม่วง หากข้าคิดอยากแปรเปลี่ยนจิตสู่จันทรา ใช้สิ่งนี้ได้ใช่หรือไม่?”
ปิงชิงรับไข่มุกไป พิจารณามันก่อนพยักหน้า “หากเจ้าใช้งานวิญญาณ
ยุทธ์จันทรา คิดเลื่อนระดับน่าจะเป็นเรื่องง่ายมากขึ้น ให้ข้าคิดหา
หนทางที่ช่วยเจ้าเลื่อนระดับโดยราบรื่นเสียก่อน!”
“พี่สาวปิงชิง ข้ายังจับตัวชายคนหนึ่งได้ เป็นราชันแคว้นเยี่ย ภายใน
อุปกรณ์มิติเก็บของของมันมีต้นกำเนิดเซียน ท่านมีวิธีทำให้มันส่ง
มอบมาหรือไม่?” ฉินหยุนนำเอาหม้อราชสีห์สวรรค์สะกดมังกร
ออกมา
“นำตัวมันออกมา ข้ามีวิธี!” ดวงตาของปิงชิงเผยแสงดุร้ายออกมาวูบ
ทำเอาฉินหยุนต้องขนลุก
เขาเร่งรีบนำเอาราชันแคว้นเยี่ยออกจากหม้อราชสีห์สวรรค์สะกด
มังกร
ราชันแคว้นเยี่ยนอนกับพื้น แขนขาทั้งหมดสิ้นสภาพ ร่างกายมีแต่
บาดแผลสาหัส
เขาคือครึ่งเซียน ชีวิตย่อมทนทายาด ดังนั้นจึงไม่มีทางตายโดยง่าย
ยามได้เห็นฉินหยุน ราชันแคว้นเยี่ยจึงสบถออกอย่างกราดเกรี้ยว
“ฉินหยุน ไอ้ตัวบัดซบ เจ้าต้องไม่ได้ตาย…”
ก่อนจะกล่าวคำจบสิ้น คลื่นอากาศเย็นเยือกที่อัดแน่นด้วยโทสะจึง
ทะลักล้นออก ปากของราชันแคว้นเยี่ยแข็งค้างเกิดสะเก็ดน้ำแข็ง ไอ
น้ำเย็นเยือกรุนแรงเผยออก นี่คืออากาศเย็นเยือกที่ปิงชิงปล่อยออกมา
ราชันแคว้นเยี่ยหันมองทางปิงชิงอย่างยากลำบาก ความหวาดกลัวไร้
สิ้นสุดปรากฏในดวงตา เขาคือครึ่งเซียน แม้ได้รับบาดเจ็บ ก็ยัง
สัมผัสได้ถึงพลังเซียนชวนสะพรึงของปิงชิง
มีแต่เซียนที่แท้จริงจึงมีพลังเซียนอันเหนือล้ำเช่นนี้ได้!
ราชันแคว้นเยี่ยไม่คาดคิด ว่าเซียนที่อยู่ในนครเซียนยุทธภัณฑ์
แท้จริงจะยังเยาว์และงดงามได้เพียงนี้
ปิงชิงกดมือของนางลงที่ศีรษะราชันแคว้นเยี่ย เสียงแค่นเย็นเยือกดัง
ออก ราชันแคว้นเยี่ยร้องออกอย่างเจ็บปวด ศีรษะนั้นปริแตกแยก
ออกโดยพลังจิตทรงพลัง
พลังจิตซึ่งถูกปลดปล่อย สิ่งของภายในอุปกรณ์มิติเก็บของของ
ราชันแคว้นเยี่ยจึงกระจายออกมา
ปิงชิงพบเห็นต้นกำเนิดเซียนจึงเผยเสียงหัวเราะเย็น ถึงตอนนี้ ราชัน
แคว้นเยี่ยได้ตายจากไปแล้วโดยสภาพดวงตาเบิกกว้างแข็งค้าง
“ตายเช่นนี้? ตัวบัดซบผู้นี้มีอุปกรณ์เซียน เหตุใดมันจึงไม่ออกมา?”
ฉินหยุนรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าเสียดาย
เขาเดินเข้าไปเตะร่างราชันแคว้นเยี่ยหลายครั้ง ก่อนจะใช้พลังของ
วิญญาณยุทธ์ตะวันทมิฬ ทำการดูดกลืนโลหิตเซียนของราชันแคว้น
เยี่ยเข้าสู่แก่นเต๋าตะวันทมิฬ

ตอนที่ 709 เก็บงำความลับ
เจี้ยนหนันหู่ได้เห็นฉินหยุนเข้ามาในลานประลองยุทธ์เช่นกัน เขาจึง
เร่งรีบเดินเข้ามากล่าวถาม “ฉินหยุน นี่เจ้าควบคุมจอมราชันดวงดาว
อสูรจริงงั้นหรือ? เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกว่าควบคุมมันได้? ข้าคิดอยาก
แก้มือต่อมันมาโดยตลอด!”
“ตอนนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องไปแก้มืออะไรนั่นแล้ว!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว
เขาเองก็เหนื่อยล้าไปไม่น้อย ดังนั้นจึงนั่งกับพื้นเพื่อทำการพักฟื้น
ผู้คนที่นี่ล้วนนับถือต่อเขาไม่มากก็น้อย เพราะเขาถึงขั้นสามารถ
แปรเปลี่ยนกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากมาได้
ทุกคนที่นี้ต่างทราบกันดี ว่าครั้งถูกพิษเล่นงาน พวกเขาเกิดความสิ้น
หวังเกาะกุมกันเพียงใด
เชี่ยวเย่ว์หลานใช้กระต่ายหยกช่วยถอนพิษให้แก่ทุกคน
ด้วยจำนวนคนมากมายที่ติดพิษ ดังนั้นจึงได้แต่ต้องอาศัยกระต่าย
หยกช่วยรักษาทีละคน กระบวนการดำเนินไปอย่างเชื่องช้า
ที่ภายนอกลานประลองยุทธ์ ฉู่ปินอวี้และคณะได้ร่วมมือกันเข้า
กวาดล้างคนของตระกูลหลงที่หลงเหลือจนสิ้นซาก
ในการศึกครั้งนี้ หุบเขาเซียนโอสถ ขุนเขาเซียนอัคคีคราม และ
ตระกูลใหญ่ทั้งหลายต่างประสบพบเจอหายนะสูญเสียกันไปไม่น้อย
ครึ่งเซียน ราชันยุทธ์ และจักรพรรดิยุทธ์จำนวนมากต้องสิ้นชีวิตใน
ศึกครั้งนี้
สำหรับยอดฝีมืออสูรจากเขตแดนลึกล้ำอสูรอ้างว้างที่บุกจู่โจมอย่าง
กะทันหัน พวกเขาก็ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้นเช่นกัน
แม้ไม่มีผู้ใดจากตำหนักเซียนดาบถูกสังหาร กระนั้นหายนะที่ตำหนัก
เซียนดาบแห่งนี้เผชิญ ก็ยังกล่าวได้ว่าหนักหนา
การศึกจบสิ้น เจี้ยนสือเทียนและพลพรรคต่างเหนื่อยล้ากันสุดแรง
พวกเขาแทบล้มนอนลงกับพื้น กล่าวได้ว่าเป็นพวกเขาทุ่มสุดตัวกัน
แล้วจริง ๆ
ครึ่งเซียนตระกูลเจี้ยนมาถึงในภายหลัง ทว่านี่ก็ยิ่งช่วยให้ผู้คนที่นี่
ต่างวางใจได้มากขึ้น
“ทุกคนวางใจได้ ตำหนักเซียนดาบของเรามีวิธีการพิเศษ สามารถ
รักษาพิษให้แก่ทุกคนได้ในคราวเดียว ตามข้ามา!” ผู้อาวุโสจาก
ตำหนักเซียนดาบบอกกล่าวต่อทุกคน
หลังจากที่ม่านพลังลานประลองยุทธ์ปิดตัวลง ผู้คนจึงค่อยเดินตามผู้
อาวุโสออกไป พวกเขาต้องไปยังสระแห่งการชำระล้าง
พิษในกายแม่เฒ่าหยุนเหยาสลายหายไปนานแล้ว พลังที่ถูกจำกัด
ตอนนี้ก็ไม่มีอีกต่อไป อาการบาดเจ็บของนางสามารถฟื้นฟูได้รวดเร็ว
นางไม่จำเป็นต้องร่วมทางไป ดังนั้นจึงมาช่วยดูแลชี่เม่ยเหลียนแทนได้
ทุกคนที่เข้าร่วมศึก ต่างพักกันอยู่สามวันในเศษซากตำหนักเซียนดาบ
เวลานี้พวกเขาต่างฟื้นฟูกันได้ไม่น้อยแล้ว
ผู้คนของนครแห่งดาบต่างทราบว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในตำหนักเซียน
ดาบ กระนั้นพวกเขาไม่ทราบเรื่องราวที่กระจ่างชัด
ในช่วงสามวันมานี้ ผู้คนของตำหนักเซียนดาบได้จงใจเปิดเผยแค่
เฉพาะบางเรื่อง
ข้อมูลโดยทั่วไปเช่น สำนักอสูรจากเขตแดนลึกล้ำอสูรอ้างว้างได้บุก
รุกรานตำหนักเซียนดาบ กลุ่มคนร้ายได้ร่วมมือกับหุบเขาเซียนโอสถ
ขุนเขาเซียนอัคคีคราม และขั้วอำนาจอีกจำนวนหนึ่งคิดฉกชิงต้น
กำเนิดเซียน และจากนั้นจึงเป็นตำหนักเซียนดาบ นครเซียนยุทธภัณฑ์
และวิมานเซียนปีศาจที่ร่วมมือกันกวาดล้างอีกฝ่าย
เรื่องราวนี้ได้รู้กระจายทั่วทั้งแคว้นมหาดวงดาว
ผู้คนของแคว้นมังกรทะยานฟ้าต่างได้ทราบข่าวคราวนี้ เพราะตระกูล
หลงและราชันแคว้นมู่ได้สิ้นชีพในการศึกครั้งนี้
ผู้คนที่รู้เรื่องราว ทั้งหมดถูกขอให้เก็บเป็นความลับโดยการสาบาน
เลือด เรื่องราวบางอย่างที่เกิดขึ้นจะไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยออกไป
ยกตัวอย่างเช่น พวกเขาไม่อาจเปิดเผยเรื่องที่ฉินหยุนควบคุมจอมราชัน
ดวงดาวอสูรแก่ผู้อื่น
ครั้งนี้ฉินหยุนได้ช่วยเหลือตำหนักเซียนดาบอย่างใหญ่หลวง ด้วย
เหตุนี้ ตำหนักเซียนดาบจึงช่วยเขารักษาความลับเอาไว้
หากเรื่องราวที่เขาควบคุมจอมราชันดวงดาวอสูรกระจายออกไป
ผู้คนจากแคว้นอื่นย่อมต้องมาเพื่อฉกชิงอย่างแน่นอน
ตำหนักจารึกเทวะแห่งเขตแดนลึกล้ำย่อมเป็นผู้แรกที่มาเยือน
พื้นที่ตรงกลางของตำหนักเซียนดาบ ตัวตำหนักหลักหลังใหญ่ยังไม่
ถูกทำลาย
มันคือบ้านพักของเจี้ยนสือเทียน
ในห้องโถงของตำหนักหลัก ผู้นำของขั้วอำนาจทั้งหลายต่างอยู่ที่นี่
นอกจากพวกเขาแล้ว ฉินหยุนและเจี้ยนหลิงหลงยังถูกเชิญตัวมา
เจี้ยนสือเทียนยืนที่ตรงกลางห้องโถงกล่าวคำ “พวกเราสามสำนัก
เซียนที่นี่ รวมถึงตระกูลเจี้ยนและเกาะจันทราปีศาจ พวกเรากล่าวได้
ว่าเป็นห้าขั้วอำนาจใหญ่ในเวลานี้ พวกเราต้องรวมกำลังกัน!”
“ตอนนี้หุบเขาเซียนโอสถและขุนเขาเซียนอัคคีคราม รวมถึงตระกูล
ใหญ่ทั้งหลายไม่ใช่ศัตรูหลักของเราอีกต่อไป!”
ขั้วอำนาจใหญ่เหล่านี้ต่างได้ทราบเรื่องราวไม่น้อย ตอนนี้พวกเขาจึง
ฉวยโอกาสจัดตั้งพันธมิตรกันขึ้นมา
ฉินหยุนทราบ ว่าการประชุมครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเท่านี้ สำหรับเขา ก็มี
แต่มารับฟังอย่างเงียบงัน
แม่เฒ่าหยุนเหยากล่าว “ข้าได้รับข่าวคราวมา สำนักเก้าตะวันที่เขต
แดนลึกล้ำคิดต้องการควบคุมแคว้นทั้งห้า นอกจากนี้แล้ว พวกเขายัง
คิดควบคุมพวกเราโดยตรง เพื่อให้พวกเรารับใช้ต่อพวกเขาโดยตรง!”
“ถูกต้องแล้ว ด้วยเหตุนี้ เขตแดนลึกล้ำอสูรอ้างว้าง สำนักอสูรใหญ่
ทั้งหลายจึงไม่อาจอดกลั้น เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงบุกโจมตีอย่าง
กะทันหันทันทีที่การประลองจบสิ้นลง!” สีหน้าของเจี้ยนสือเทียน
หนักอึ้ง เขาพยักศีรษะรับพร้อมกล่าว “เขตแดนลึกล้ำอสูรอ้างว้างคิด
อยากทำลายพวกเรา และเขตแดนลึกล้ำวิญญาณอ้างว้างก็คิดอยาก
ควบคุมพวกเรา!”
ฉินหยุนเอ่ยถาม “เหตุใดเขตแดนลึกล้ำวิญญาณอ้างว้างจึงต้องการ
ควบคุมพวกเราขอรับ?”
เปาเฉิงโฉ่วกล่าวตอบ “นานมาแล้ว ห้าสำนักเซียนอันยิ่งใหญ่ ห้า
ตระกูลใหญ่ และสำนักเล็กน้อยทั้งหลายต่างมีความเชื่อมโยงถึง
สำนักเก้าตะวัน กล่าวได้ว่าพวกเราเป็นกองกำลังใต้บัญชาพวกเขา!”
“ภายหลัง พวกนั้นล้มเลิกคิดเจ้ากี้เจ้าการต่อพวกเรา ลดจำนวนทรัพยากร
ที่ส่งมอบให้แก่พวกเรา ท้ายที่สุดพวกนั้นยกสิทธ์ิให้พวกเราตัดสินใจ
ทำอันใดตามต้องการ ภายหลัง ไม่เพียงแต่ปล่อยให้พวกเราเป็นไป
พวกเราแข็งแกร่งกันมากยิ่งขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงคิดอยากเข้าควบคุม
พวกเราอีกครั้งหนึ่ง!”
เจี้ยนสือเทียนกล่าว “พวกเรายอมรับ ว่าสาเหตุที่พวกเราแข็งแกร่ง
ขึ้นได้ก็เป็นเพราะการสนับสนุนแต่เดิมของสำนักเก้าตะวัน กระนั้น
พวกเราก็รับใช้พวกเขามาหลายปี บรรณาการหลายสิ่งอย่าง กล่าวได้
ว่าพวกเราชดใช้กันไปหมดสิ้นต่อกันแล้ว”
“ภายหลัง พวกเขาเลือกเย็นชาและเฉยชาต่อพวกเรา เพียงแต่จัดตั้ง
ตำหนักจารึกเทวะขึ้นให้พวกเราเข้าร่วมเพื่อคอยจับตา”
“อย่างนั้นแล้ว ในเมื่อพวกเขาส่งต้นกำเนิดเซียนออกมามากมายเพียง
นี้ พวกเขาจะไม่ต้องการได้รับกลับคืนอย่างนั้นหรือ?”
ฉินหยุนเอ่ยถามอย่างนึกร้อนใจ เพราะนครเซียนยุทธภัณฑ์ถือว่า
ได้รับต้นกำเนิดเซียนไปครองมากที่สุด
“นั่นเป็นพวกเขาส่งมอบให้แก่ราชันแคว้น! แม้ว่าราชันแคว้นเยี่ยตาย
ไปแล้ว แต่ตำหนักจารึกเทวะยังคงมีฝักฝ่ายอื่น ดังนั้นราชันแคว้น
ย่อมต้องมีการจัดตั้งกันใหม่อีกครั้ง!” เจี้ยนสือเทียนกล่าว
เปาเฉิงโฉ่วขมวดคิ้วกล่าว “ที่เขตแดนลึกล้ำต้องมีเรื่องเกิดขึ้นแน่
เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงเร่งรีบต้องการทรัพยากรจากแคว้นชั้นรอง
กระทั่งยินดีใช้ต้นกำเนิดเซียนเป็นของกำนัล!”
ครึ่งเซียนจากวิมานเซียนปีศาจเอ่ยคำ “พวกนั้นไม่กล้าปกครองพวก
เราโดยตรง และคล้ายว่าพวกเขาจะไม่มีอำนาจเพียงนั้นอีก ไม่เช่นนั้น
พวกนั้นได้พุ่งตรงเข้ามาไล่เข่นฆ่าสังหารพวกเรากันไปแล้ว!”
“พวกนั้นย่อมยังมีกำลัง แต่หากคิดจัดการพวกเรา เช่นนั้นก็ต้องจ่าย
ด้วยราคาอันสมน้ำสมเนื้อ! ภายในเขตแดนลึกล้ำต้องมีเรื่องพิพาท
ระดับขั้วอำนาจภายในเป็นแน่ ดังนั้นพวกเขาเหล่านั้นจึงยังไม่อาจ
โจมตีพวกเรา!” แม่เฒ่าหยุนเหยากล่าว
เจี้ยนสือเทียนพยักหน้ารับ “เวลานี้ พวกเราควรกังวลเรื่องผู้คนของ
เขตแดนลึกล้ำอสูรอ้างว้างก่อน! ในเมื่อพวกนั้นกล้าบุ่มบ่ามโจมตี
สำนักเซียนในแดนวิญญาณอ้างว้าง ย่อมต้องหมายความถึงพวกมัน
ทราบ ว่าเขตแดนลึกล้ำจะไม่ช่วยเหลือพวกเรา!”
“เรื่องราวเช่นนี้ภายหน้าคงได้เกิดขึ้นอีกบ่อยครั้งเป็นแน่!” เปาเฉิงโฉ่ว
กล่าว “พวกเราต้องเร่งรีบกลับไป ตระเตรียมเสริมกำลังให้แก่ม่าน
พลัง!”
ตำหนักจารึกเทวะก็มีส่วนร่วมในเรื่องการจัดตั้งม่านพลังของสำนัก
เซียนด้วยเช่นกัน
ฝ่ายของหานเฝิงหู่ในตำหนักจารึกเทวะ กล่าวได้ว่าเป็นกลางที่สุด
แล้ว ตอนนี้ราชันแคว้นเยี่ยสิ้นชีพ อีกฝ่ายย่อมรับหน้าที่จัดการดูแล
เรื่องราวของตำหนักจารึกเทวะ
เพราะฉินหยุนชนะได้อันดับหนึ่งในงานประลองยุทธ์ นครเซียน
ยุทธภัณฑ์จึงได้รับสิทธ์ิและเสียงในตำหนักจารึกเทวะมาไม่ใช่น้อย
ตัวตนระดับสูงของกองกำลังเหล่านี้ต่างหารือกันถึงการร่วมมือใน
ภายหน้า รวมถึงการจัดตั้งพันธมิตร พวกเขารู้สึกว่าสถานการณ์ตอนนี้
จำเป็นต้องอยู่รวมกันไว้
พวกเขานำฉินหยุนมาที่นี่ด้วย ก็เพื่อให้ทราบว่าพวกตนอยู่ฝั่งเดียวกัน
นับแต่นี้ พวกเขายังหวังว่าเมื่อใดฉินหยุนออกสู่ภายนอก หากเผชิญ
ข้อพิพาทกับผู้อื่น ก็ยังมีมิตรสหายภายในพันธมิตรให้ไว้พึ่งพาได้
หลังหารือกันอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายพวกเขาจึงค่อยแยกย้าย ผู้คน
จากหลายกองกำลังต่างไปจากตำหนักเซียนดาบกันทีละฝ่าย
ด้านนอกตำหนักเซียนดาบคือนครแห่งดาบขนาดใหญ่ ตำหนักเซียน
ดาบได้เรียกรวมผู้คนจำนวนหนึ่งจากในเมือง เพื่อให้พวกเขามารับ
หน้าที่ก่อสร้างตำหนักเซียนดาบกันเสียใหม่
หานเฝิงหู่จากตำหนักจารึกเทวะเองก็มาเยือน สอบถามหลายคำถึง
เรื่องราวที่เกิดขึ้น จากนั้นจึงค่อยกลับไปรายงาน
เชี่ยวเย่ว์หลานและชี่เม่ยเหลียนต่างไปพร้อมแม่เฒ่าหยุนเหยา พวก
นางจะมุ่งหน้าไปยังนครเซียนยุทธภัณฑ์ก่อน เพราะเชี่ยวเย่ว์หลาน
กล่าวว่าต้องการไปเป็นแขกเยี่ยมชมนครเซียนยุทธภัณฑ์
ฉินหยุน เจี้ยนสือเทียน และเจี้ยนหนันหู่ ขณะนี้ต่างยืนกันอยู่ตรงหน้า
ประตูหอคอยเจดีย์ของเจี้ยนหลิงหลง
เจี้ยนหนันหู่กล่าวคำเบา “ฉินหยุน ก่อนหน้าเจ้าเคยเข้าไปในหอคอย
ได้ยั่วยุผู้อาวุโสเจี้ยนหลิงหลงจนมีโทสะหรือไม่?”
“ย่อมไม่!” ฉินหยุนยิ้มตอบ
เจี้ยนสือเทียนหัวเราะกล่าว “หลิงหลงเป็นคนที่แยกแยะบุญคุณกับ
ความแค้นออกจากกันได้ ฉินหยุนช่วยชีวิตนางเอาไว้ นางย่อมต้อง
จดจำความดีนี้ไว้!”
ประตูพลันเปิดออก เจี้ยนหลิงหลงสวมใส่ชุดผ้าป่ านเรียบง่ายสีขาว
ผมเปียของนางได้ลากยาวจนถึงหน้าอก ดวงตากลมโตคู่นั้นเผย
ความอ่อนโยน ความงดงามของนางครานี้มาพร้อมกับใบหน้าเปื้อน
ยิ้ม
ได้เห็นเช่นนี้จึงทำเจี้ยนหนันหู่หวาดเกรง เพราะเขาไม่เคยเห็นผู้
อาวุโสหลิงหลงมีด้านอ่อนโยนเช่นนี้เผยออก
“จ้าวสำนัก เพื่อตอบแทนต่อฉินหยุน ข้าจึงตัดสินใจไปเข้าร่วมนคร
เซียนยุทธภัณฑ์!” เจี้ยนหลิงหลงยิ้มกล่าว “ข้าจะเดินทางไปพร้อม
พวกเขาเลย!”
“นี่… เรื่องนี้…”
เจี้ยนสือเทียนนิ่งอึ้ง เดิมเขานึกว่าจะมาพบเจี้ยนหลิงหลง สอบถาม
นางเรื่องโทเทมมังกร กระนั้นไม่คาดคิด ว่าเจี้ยนหลิงหลงจะคิดสละ
เรือตนเองไปยังเรือลำอื่นเช่นนี้
“อย่าได้กังวล ข้ายังเป็นคนของตระกูลเจี้ยนตลอดไป!” เจี้ยนหลิง
หลงนำแผ่นหนังสัตว์ออกมา ส่งมอบมันให้แก่เจี้ยนสือเทียนและ
กล่าว “นี่เป็นโทเทมมังกรของฉินหยุน เจ้าส่งต่อมันให้อาจารย์จารึก
เต๋าผู้อื่นก็แล้วกัน!”
เจี้ยนสือเทียนหันมองทางฉินหยุนพร้อมเผยประกายคมกล้าในดวงตา
เขาโพล่งออก “เจ้าปีศาจน้อย นี่เจ้าชิงตัวนางไปเข้าร่วมนครเซียน
ยุทธภัณฑ์หรือ?”
ฉินหยุนเกาศีรษะกล่าวออกด้วยสีหน้ายิ้มลำบากใจ “เรื่องนี้… ไม่ใช่
ผู้อาวุโสหลิงหลงบอกหรือว่าต้องการตอบแทน? นางอาสาไปเอง
หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับข้า!”
“เป็นฉินหยุนที่ขอให้ข้าเข้าร่วมนครเซียนยุทธภัณฑ์! และเขายังได้
มอบอักขระเต๋าชั้นเลิศแก่ข้าถึงสอง! เช่นกัน นครเซียนยุทธภัณฑ์
เดิมมีเพียงหนึ่งต้นกำเนิดเซียน ครานี้ได้ไปอีกสาม รวมแล้วจึงเป็นสี่
พวกเขาย่อมต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าตำหนักเซียนดาบเป็นแน่!” เจี้ยน
หลิงหลงหัวเราะกล่าว
แม้เจี้ยนหนันหู่พ่ายแพ้ต่อฉินหยุนสามครั้งครา เขาก็ยังไม่คิดนับถือ
ฉินหยุนแต่อย่างใด
กระนั้นตอนนี้ ฉินหยุนได้ชิงตัวสตรีดุร้ายอันดับหนึ่งแห่งตระกูล
เจี้ยนดังเช่นเจี้ยนหลิงหลง เจี้ยนหนันหู่แทบต้องกล่าวชมด้วยความ
นับถือแล้ว
เจี้ยนสือเทียนรับโทเทมมังกรมาพร้อมต่อว่าฉินหยุนเสียงเบา “เจ้า
ปีศาจน้อย แท้จริงเจ้าถึงขั้นกล้าดึงตัวคนของเรา เจ้ามันชั่วช้านัก!”
“จ้าวสำนักดาบ เรื่องนี้กล่าวโทษเพียงแต่ข้าไม่ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะ
ตำหนักเซียนดาบท่านดูแลนางไม่ดี ไม่เช่นนั้น นางคงไม่ถูกข้าดึงตัว
มาเข้าร่วมได้ง่ายดายเพียงนี้!” ฉินหยุนกล่าวพร้อมเผยรอยยิ้มลำบากใจ
เจี้ยนหลิงหลงเก็บหอคอยที่เบื้องหลังของนาง มันคืออุปกรณ์เต๋าที่
นางสร้างขึ้น หลังผ่านการแปรเปลี่ยนมาหลายปี ขณะนี้มันจึงเป็น
สิ่งก่อสร้างวิเศษที่ทรงพลังอำนาจ
เจี้ยนสือเทียนถอนหายใจยาว “หลิงหลง ข้าทราบว่าเจ้าคิดครอบครอง
อักขระเต๋าชั้นเลิศมานานแล้ว ตลอดมา ข้าทำเจ้าผิดหวังจริง ในภาย
หน้า ข้าจะพยายามหาอักขระเต๋าชั้นเลิศที่ดีมาให้ เมื่อถึงตอนนั้น เจ้า
สามารถกลับมาที่นี่ได้โดยไม่ต้องสนอื่นใด ประตูตำหนักเซียนดาบ
ของเราจะเปิดต้อนรับเจ้าเสมอ!”
“ข้าย่อมไม่คิดกลับมา!” เจี้ยนหลิงหลงยิ้มกล่าว “จ้าวสำนักดูแล
ตนเองด้วย!”
กล่าวคำจบ เจี้ยนหลิงหลงจึงจากไปพร้อมฉินหยุน
เจี้ยนหนันหู่รับชมทั้งสองคนเดินจากไป จากนั้น เขาจึงค่อยมองไป
ยังตำแหน่งที่ซึ่งเคยมีหอคอยเจดีย์ตั้งตระหง่าน เขายังอดไม่ได้ที่จะ
อุทานชื่นชมกล่าวคำ “ผู้อาวุโสหลิงหลงไปแล้วจริงหรือนี่? กลาย
เป็นรู้สึกไม่คุ้นชินเอาเสียเลย! นับแต่นี้พวกเราก็ไม่ได้ยินเสียงนาง
ตะโกนใส่พวกท่านแล้วสิ!”
เจี้ยนสือเทียนพลันหัวเราะดังกล่าวคำ “นางจากไปก็ไม่ใช่เรื่องแย่
อย่างน้อยภายหน้า ก็ไม่มีผู้ใดที่กล้าตะคอกใส่ข้าที่เป็นจ้าวสำนักอีก
แล้ว! สตรีเถื่อนดุร้ายผู้นั้น เรียกหาพวกเราผู้แก่เฒ่าเป็นหน้าโง่ตลอด
มา พวกเราได้จบเส้นทางที่ตรงนี้ก็ถือว่าดี! เปาเฉิงโฉ่วและคณะ
สมควรได้รับรู้ฤทธ์ิของนางเสียบ้าง… ฮ่าฮ่าฮ่า”
“ท่านปู่ เมื่อครู่นี้ท่านแสดงละครหรือ?” เจี้ยนหนันหู่กล่าวเสียงเบา
“เป็นข้านึกว่าท่านคิดอยากรั้งตัวผู้อาวุโสหลิงหลงไว้”
“ข้าคิดอยากบอกให้นางไปเสียนานแล้ว! เหอะเหอะ หากภายหน้ามี
โอกาส พวกเราสมควรต้องไปขอบคุณเจ้าปีศาจน้อยฉินหยุนนั่นเสีย
หน่อย!” เจี้ยนสือเทียนหัวเราะยินดี พร้อมบินจากไปพลางฮัมเพลง
อย่างสุขสันต์

ตอนที่ 708 พลิกสถานการณ์
ระดับการฝึกฝนครึ่งเซียนที่นี่ ล้วนถูกสะกดพลังเอาไว้เหลือที่ราชัน
ยุทธ์
ขณะที่จอมราชันดวงดาวอสูรก็อยู่ขอบเขตราชันยุทธ์ ไม่เพียงเท่านั้น
ร่างกายภาพยังมีอำนาจเลิศล้ำ ทั้งยังมีถึงสามเศียรหกกร
จอมราชันดวงดาวอสูรที่ปรากฏอย่างกะทันหัน ได้ร่อนลงต่อหน้า
ครึ่งเซียนของหุบเขาเซียนโอสถ
แขนทั้งหกพลันตบเร็วรี่ เกิดเป็นเสียง “เพี๊ยะ เพี๊ยะ” ดังขึ้นต่อเนื่อง
ทำการโจมตีใส่ร่างครึ่งเซียนนั้นจนถอยร่น
ขณะเดียวกันนี้ เชี่ยวเย่ว์หลานได้ใช้ความสามารถเทวะแผ่นดินไหว
ทะลวงผ่านม่านพลังลานประลองยุทธ์ออกสู่ภายนอก นางขยับเข้า
ไปใกล้แม่เฒ่าหยุนเหยาที่อยู่ใกล้ลานประลอง
ผู้คนของหุบเขาเซียนโอสถต่างเร่งรีบโหมบุกเข้ามา
จอมราชันดวงดาวอสูรทรงพลังเลิศล้ำ ความเร็วก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า
มันสามารถรั้งกลุ่มผู้โจมตีเอาไว้
ฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์หลาน เร่งรีบเคลื่อนย้ายเปาเฉิงโฉ่ว เจี้ยนสือ
เทียน และคนกลุ่มใหญ่เข้าไปในม่านพลังของลานประลอง
นอกจากนี้แล้ว ฉินหยุนยังนำกระต่ายหยกออกมาส่งให้แก่เชี่ยวเย่ว์
หลาน
แม่เฒ่าหยุนเหยาที่ได้เห็นกระต่ายหยก นางพลันตื่นเต้นยินดี เพราะ
นางจดจำได้ ว่ากระต่ายหยกน้อยตัวนี้ครั้งหนึ่งเคยอยู่ที่พระราชวัง
กวงหาน และครอบครองพลังการถอนพิษอันเป็นเลิศ
ผู้ตื่นตะลึงที่สุดยามได้เห็นจอมราชันดวงดาวอสูร ย่อมเป็นเจี้ยนหนัน
หู่และราชันแคว้นเยี่ยแห่งตำหนักจารึกเทวะแล้ว
จอมราชันดวงดาวอสูรปรากฏตัวอย่างกะทันหัน บุกโจมตีใส่ผู้คน
ของหุบเขาเซียนโอสถ ชัดเจนว่าเป็นฉินหยุนลงมือ!
หุ่นเชิดระดับเลิศล้ำตัวนี้ แท้จริงเป็นของฉินหยุน!
ย้อนกลับไปครั้งนั้น ราชันแคว้นเยี่ยได้ลงแรงไปมากเพื่อคิดกำราบ
จอมราชันดวงดาวอสูร ครานี้พอได้เห็นมันอยู่ในมือฉินหยุน เขายิ่ง
โกรธเกรี้ยว
“ฉินหยุน ข้าน่าจะทราบแต่แรกว่าเจ้าเป็นผู้ครองจอมราชันดวงดาว
อสูรไว้! เจ้าตัวบัดซบ เป็นเจ้าที่ควบคุมมันเมื่อครั้งนั้น และสังหาร
ผู้ใช้วิชาปกครองอสูรของเราไป!”
ราชันแคว้นเยี่ยคำรามด้วยโทสะพร้อมพุ่งเข้าหมายปะทะกับจอม
ราชันดวงดาวอสูรด้วยการโจมตีซึ่งหน้า
แม้จอมราชันดวงดาวอสูรแข็งแกร่ง กระนั้นราชันแคว้นเยี่ย ราชัน
แคว้นมู่ และผู้อื่นต่างอยู่ระดับครึ่งเซียน พวกเขาไม่หวั่นเกรง นอกจากนี้
แล้ว ข้างกายพวกเขายังมีจักรพรรดิยุทธ์รายล้อม
กระทั่งว่าระดับการฝึกฝนถูกสะกดลงที่ราชันยุทธ์ ด้วยพวกเขา
ร่วมมือ คิดจัดการจอมราชันดวงดาวอสูรก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ฉินหยุนพลันทะยานร่างออกจากม่านพลัง เข้าสู่ในร่างของจอมราชัน
ดวงดาวอสูร
ด้วยวิธีการนี้ เขาจะได้ควบคุมจอมราชันดวงดาวอสูรโดยตรง
จอมราชันดวงดาวอสูรก่อนหน้านี้ไม่ใช้อาวุธ กระนั้นเวลานี้ กลับ
ปรากฏดาบและค้อนในมือของมัน
ทั้งสองคือค้อนเทวะเก้าตะวัน และดาบเต๋าของเจี้ยนหนันหู่
“ตัวบัดซบเช่นพวกเจ้า ล้วนลงนรกไปเสีย!”
ฉินหยุนควบคุมจอมราชันดวงดาวอสูรเริ่มโหมบุกโจมตี
ด้วยสองอาวุธเกื้อหนุน เขาสังหารราชันยุทธ์และจักรพรรดิยุทธ์ได้
ในเวลาเพียงอึดใจ
ผู้คนภายในม่านพลังลานประลองยุทธ์ต่างรับชมนิ่งอึ้งและริษยา
เพราะหุ่นเชิดดังเช่นจอมราชันดวงดาวอสูรเป็นตัวตนระดับชวน
พรั่นพรึง แม้ว่าเป็นครึ่งเซียนที่ถูกสะกดพลังเหลือขอบเขตราชัน
ยุทธ์ พละกำลังพวกเขาก็ยังเลิศล้ำ กระนั้นเวลานี้ หลายคนร่วมมือ
กันก็ยังไม่อาจจัดการจอมราชันดวงดาวอสูรได้!
ที่ชวนสะพรึงยิ่งกว่า คือหลังจากที่จอมราชันดวงดาวอสูรใช้งาน
อาวุธทั้งสอง มันยิ่งครอบครองพลังอำนาจเลิศล้ำ
ค้อนเทวะเก้าตะวัน สามารถเพิ่มกำลังให้แก่ผู้ใช้ และเวลานี้พลังที่
มันปลดปล่อยออก ทั้งเหนือล้ำและชวนพรั่นพรึง
ทุกครั้งที่ค้อนฟาดหวดลงกับพื้น พลังรุนแรงจะก่อให้เกิดหลุมขนาด
ใหญ่ยักษ์
บรรดาครึ่งเซียนต่างได้แต่ต้องหลบเลี่ยงซ้ายขวา ไม่เช่นนั้นพวกเขา
อาจถูกสังหารตายคาที่!
“ตัวบัดซบเช่นพวกเจ้า คิดอยากจับข้าทั้งเป็นเพื่อไปแลกเป็นจารึก
วิญญาณจ้าวดวงดาวอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งหมดสมควร
ตาย!”
ฉินหยุนคิดอยากกวาดล้างคนกลุ่มนี้มานานยิ่งแล้ว เป็นกลุ่มคน
เหล่านี้คิดวางแผนใช้เขาเพื่อกดดันหยางฉีเย่ว์
พอนึกถึงเรื่องที่หยางฉีเย่ว์ถูกกดดันให้ต้องหลบซ่อนแต่ในเทือกเขา
นิราศจันทรา ความโกรธภายในใจฉินหยุนจึงยิ่งสุมอัดแน่นพร้อม
ปะทุ
จอมราชันดวงดาวอสูรเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา!
ตู้ม!
ค้อนเทวะเก้าตะวันในที่สุดจึงฟาดโดนครึ่งเซียนผู้หนึ่ง เป็นผลให้
ศีรษะอีกฝ่ายต้องปริแตกเปิดออก ครึ่งเซียนผู้นั้นต้องคำรามร้องอย่าง
รวดร้าว
ฉัวะ!
หลังจากครึ่งเซียนผู้นั้นถูกค้อนเทวะเก้าตะวันฟาดทุบใส่ ดาบเต๋าจึง
ฟาดฟันลงมา
“คิดอยากฆ่าข้างั้นหรือ? ฝันเฟื่อง!” ครึ่งเซียนผู้นั้นได้โบกกระบี่ใน
มือต้านรับดาบเอาไว้
จอมราชันดวงดาวอสูรมีหกแขน พวกมันล้วนเพ่งเล็งโจมตีแต่ร่าง
ครึ่งเซียนผู้นี้ สองมือได้สะกดหัวไหล่อีกฝ่ายลง อีกสองมือคว้าแขน
ทั้งสองอีกฝ่ายเอาไว้
ส่วนแขนที่เหลือทั้งสอง ได้ถือค้อนเทวะเก้าตะวันและดาบเต๋า มัน
ระดมการโจมตีออกอย่างคลุ้มคลั่ง!
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ค้อนเทวะเก้าตะวันระดมโจมตีใส่ร่างครึ่งเซียนผู้นั้นต่อเนื่อง เป็นผล
ให้ศีรษะนั้นต้องกระจายออกเป็นชิ้น ส่วนร่างกายต้องเกิดแผลถูก
แทงด้วยดาบหลายสิบแห่ง
ทันใดนี้เอง ผู้อื่นจึงค่อยได้ตระหนักถึงอำนาจทำลายล้างของจอม
ราชันดวงดาวอสูร
อย่างไรแล้ว ผิวหนังของจอมราชันดวงดาวอสูรค่อนข้างหนา ทั้งเนื้อ
ภายใต้ผิวหนังยังหนายิ่ง อีกทั้งยังไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดใด หลังถูก
ระดมโจมตีจากด้านหลังอยู่ครู่หนึ่ง มันหลงเหลือเพียงบาดแผล
เล็กน้อย ทั้งยังสามารถยืนหยัดได้เช่นเดิม
หลังจากที่ฉินหยุนควบคุมจอมราชันดวงดาวอสูรเข้าสังหารครึ่ง
เซียนเรียบร้อย จอมราชันดวงดาวอสูรพลันทะยานพิโรธขึ้นฟากฟ้า
มวลอากาศเย็นเยือกพลันระเบิดทะลักออกจากร่างจอมราชันดวงดาว
อสูร!
ผู้คนซึ่งปิ ดล้อมโจมตี ต่างกลายเป็นถูกแช่แข็งในพริบตา
แกนกลางดวงดาวที่ปิงชิงดัดแปลงให้ ขณะนี้มันเผยออกซึ่งพลัง
เยือกแข็ง!
เวลานี้ ฉินหยุนได้ควบคุมแกนกลางดวงดาว ปลดปล่อยพลังส่วน
ใหญ่ที่กักเก็บเอาไว้ออกมา ทำการแช่แข็งผู้คนที่คิดปิดล้อมจอม
ราชันดวงดาวอสูร
กลุ่มคนที่ลงมือโจมตีเมื่อครู่ถูกอากาศเย็นเยือกจู่โจม พวกเขาต่าง
เชื่องช้าลง
ค้อนเทวะเก้าตะวันในมือจอมราชันดวงดาวอสูรไม่คิดอยู่นิ่งเฉย มัน
ฟาดหวดออกด้วยพลังอันคลุ้มคลั่ง เป้าหมายคือกลุ่มคนเหล่านั้นที่
อยู่ใกล้ นี่เปรียบดังใช้ค้อนทุบมดปลวกจนแหลกสลาย!
ค้อนเทวะเก้าตะวันฟาดหวดลง หนึ่งค้อนสามารถทำลายได้หนึ่ง
ร่าง!
โดยเฉพาะขอบเขตราชันยุทธ์และจักรพรรดิยุทธ์ ร่างกายพวกเขาไม่
แข็งแกร่งมากพอ หลังโดนฟาดทุบ ความตายย่อมมาเยือนอย่างไม่
อาจรั้งรอ มีแต่ครึ่งเซียนจึงสามารถต้านรับค้อนที่ทุบฟาดได้สอง
หรือสามครั้ง
ที่ลานกว้างแห่งนี้ การศึกอันขื่นขมได้ปะทุบังเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง!
ตระกูลหลงยืนล้อมเป็นวงอยู่ริมขอบ รับชมด้วยความหวาดกลัวถึง
แก่น หากพวกเขาเข้าร่วมการศึก เช่นนั้นกว่าครึ่งของพวกเขาคง
สิ้นชีพกันไปแล้ว
ราชันแคว้นเยี่ยนอนกับพื้น ครวญครางออกด้วยความเจ็บปวด ขาทั้ง
สองถูกตัดออก ไหล่ทั้งสองถูกทุบตีจนไม่อาจใช้งาน ร่างกายบอบ
ช้ำอย่างถึงที่สุด ความจริงที่ว่ายังรอดชีวิตได้จนถึงตอนนี้ แทบกล่าว
ได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว
“พวกเจ้าคิดอยากขโมยของของข้าไม่ใช่หรือ? จงเข้ามา!” น้ำเสียง
ของฉินหยุนอัดแน่นด้วยโทสะเกินใดเทียบ “พวกเจ้าคิดอยากขโมย
ของข้า เช่นนั้นข้าก็จะขโมยกลับคืนจากพวกเจ้า!”
ฉินหยุนคำรามเกรี้ยวกราด ควบคุมจอมราชันดวงดาวอสูรบุกโจมตี
กลุ่มคนราวคลุ้มคลั่ง
ตึง!
ค้อนเทวะเก้าตะวันสังหารราชันยุทธ์ไปอีกหนึ่ง เพียงหนึ่งค้อน มัน
เพียงพอทำให้ร่างนั้นต้องแหลกเละเป็นชิ้นเนื้อกระจาย
“ฉินหยุน เจ้าตัวบัดซบ! เจ้าต้องถูกลงทัณฑ์!” ราชันแคว้นมู่ตะโกน
ด้วยความพิโรธ “เจ้าลงมือทำถึงเพียงนี้ ผู้คนของเขตแดนลึกล้ำจะไม่
ละเว้นเจ้า!” ราชันแคว้นมู่สบถสาปแช่ง
ราชันแคว้นมู่มีสภาพแขนข้างหนึ่งถูกตัดออก ยามสบถสาปแช่ง เขา
ถูกทุบฟาดด้วยค้อน ศีรษะกระจายออกเป็นชิ้น ร่างกายกระเด็นออก
ไปไกล
เจี้ยนสือเทียนนิ่งอึ้ง เขาไม่คาดคิด ว่าฉินหยุนจะสามารถพลิก
สถานการณ์ จัดการกลุ่มคนเหล่านั้นได้ก่อนที่กำลังเสริมจะมาถึง
ยังเหลือครึ่งเซียนอยู่สาม ส่วนบรรดาราชันยุทธ์และจักรพรรดิยุทธ์
เวลานี้ไม่ตายก็สิ้นสภาพกันถ้วนหน้า
จอมราชันดวงดาวอสูรที่ฉินหยุนควบคุม ความเร็วและกำลังเริ่มอ่อน
ลงไม่น้อย
“บัดซบ! พลังงานภายในแกนกลางดวงดาวใช้งานเกือบหมดสิ้นแล้ว!”
ฉินหยุนถือแกนกลางดวงดาวไว้ ควบคุมจอมราชันดวงดาวอสูรให้
ถอยร่น
ทันใดนี้เอง แม่เฒ่าหยุนเหยาที่ติดพิษได้ถูกล้างพิษออกจนหมดสิ้น
ตราบเท่าที่นางไม่ต้องแบ่งพลังไปสะกดพิษ แม้นางบาดเจ็บ ก็ยัง
สามารถเผยพลังอันแกร่งกล้า ด้วยเหตุนี้ เชี่ยวเย่ว์หลานจึงส่งนาง
ออกจากม่านพลังได้โดยไร้กังวล
“พวกคนทรยศ จงตายเสียให้หมด!”
แม่เฒ่าหยุนเหยาที่ออกมาได้ นางคำรามออกอย่างโกรธเกรี้ยว มวล
เมฆขนาดใหญ่พร้อมหมอกหนาจึงปรากฏออกจากร่างของนาง
มวลเมฆและหมอกนี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นสัตว์ร้าย พวกมันถือ
กำเนิดขึ้นด้วยพลังงานที่อัดแน่น
สัตว์ร้ายถือกำเนิดขึ้นห้อตะบึงเข้าใส่ลานกว้าง ทุกย่างก้าวจะเกิด
เสียงดังสนั่น พวกมันเข้ากลืนกินครึ่งเซียนทั้งสามในพริบตา
สัตว์ร้ายเมฆหมอกระเบิดออกตัวแล้วตัวเล่า เป็นผลให้ครึ่งเซียนทั้ง
สามที่เหลือต้องกรีดร้องอย่างรวดร้าว
ได้เห็นครึ่งเซียนทั้งสามบาดเจ็บหนักร่วงโรยกับพื้น ผู้คนในลาน
กว้างจึงส่งเสียงโห่ร้องกันออกมา!
พวกเขาชนะแล้ว!
ทั้งกลุ่มผู้ทรยศและชาวอสูรล้วนถูกสังหารสิ้น
“บุก!” ผู้คนตระกูลหลงพลันร้องตะโกนดัง
“ไม่อยากได้ตัวหลงเชี่ยนกลับแล้วหรือไร?” ฉินหยุนพอได้เห็นอีก
ฝ่ายบุกเข้ามา เขาจึงตะโกน
“จับตัวเจ้าได้ผลประโยชน์เกินกว่าชีวิตหลงเชี่ยน!” ผู้อาวุโสตระกูล
หลงหัวเราะดัง “พวกเราจะได้ทั้งต้นกำเนิดเซียนและจารึกวิญญาณ
จ้าวดวงดาว!”
แม่เฒ่าหยุนเหยาแค่นเสียง ฉับพลัน เต่ายักษ์พลันปรากฏจากเมฆ
หมอกร่วงโรยจากฟากฟ้า ร่างนั้นร่วงหล่นเข้าปะทะกับคนของ
ตระกูลหลงที่พุ่งเข้ามาจนแน่นิ่งกับพื้น
ฉินหยุนออกจากร่างจอมราชันดวงดาวอสูรพร้อมเก็บมันกลับ
จากนั้น เขาค่อยแปรเปลี่ยนเป็นโปร่งแสง พร้อมเร่งรีบวิ่งผ่านลาน
กว้าง เข้าเก็บร่างครึ่งเซียน ราชันยุทธ์ และจักรพรรดิยุทธ์ที่ล้มตาย
หรือบาดเจ็บหนักเข้าสู่หม้อราชสีห์สวรรค์สะกดมังกร
กำลังของแม่เฒ่าหยุนเหยาเลิศล้ำ นางสามารถต้านรับคนหมู่มาก
เอาไว้ได้
ฉินหยุนหลบซ่อนในเหงามืด นำเอามีดสั้นอุปกรณ์ยันต์ที่สร้างไว้
ก่อนหน้านี้ออกมา เขาสามารถใช้พวกมันก่อกวนและสร้างอาการ
บาดเจ็บแก่ฝ่ายศัตรูได้
หากมีดสั้นอุปกรณ์ยันต์ทะยานออก เปลวเพลิงรุนแรงจะลุกท่วม
ส่งผลให้ผู้คนต้องตกอยู่ในสภาพย่ำแย่เลวร้าย
ฉินหยุนย่อมเล็งไปยังพื้นที่ซึ่งคุกคามชีวิตได้มากที่สุด แม้หลบเลี่ยง
หรือสกัดต้านรับ มีดสั้นอุปกรณ์ยันต์เหล่านี้ก็พร้อมจะระเบิดออก
แม่เฒ่าหยุนเหยาปลดปล่อยเมฆหมอกจำนวนมากเข้าโจมตี หลังจาก
มีดสั้นอุปกรณ์ยันต์ของฉินหยุนระเบิดออก อัคคีเพลิงปรากฏ พวก
มันแปรเปลี่ยนเมฆหมอกเหล่านี้กลายเป็นเมฆหมอกอัคคี
“ข้าอยู่ที่นี่แล้ว!”
พิษในร่างเจี้ยนสือเทียนยังไม่หายไปหมดสิ้น กระนั้นเขาก็ดีขึ้นมาก
แล้ว เขารู้สึกว่ามีกำลังเพียงพอจึงออกมาต้านรับศึก
หลังเชี่ยวเย่ว์หลานนำเขาออกสู่ภายนอก เขาจึงถือดาบต้นกำเนิดบุก
เข้าใส่เมฆหมอกอัคคีประดุจลำแสง
เมื่อเข้าไป เขาจึงทิ่มแทงดุดันใส่ครึ่งเซียนตระกูลหลงหลายครั้งครา
อีกฝ่ายถูกแทงจนพรุนแทบกลายเป็นรังผึ้ง
ครึ่งเซียนผู้นั้นที่บาดเจ็บ ร่างต้องล้มนอนกับพื้น ฉินหยุนจึงใช้กรง
เล็บพฤกษาของโทเทมต้นไม้คว้าจับร่างอีกฝ่าย พร้อมโยนเข้าใส่
หม้อราชสีห์สวรรค์สะกดมังกร
โฮก! โฮก! โฮก!
ผู้คนของตระกูลหลงต่างปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์มังกรของตนออกมา
ทั้งนี้ยังเป็นเคล็ดวิชาลับมังกรสวรรค์ ทำให้ทั้งลานกว้างสนั่นกึกก้อง
ด้วยเสียงคำรามร้องของเหล่ามังกร
ผู้คนตระกูลหลงไม่คาดคิด ว่าเจี้ยนสือเทียนฟื้นตัวได้รวดเร็วเพียงนี้
พิษในร่างอีกฝ่ายอ่อนลงไปมาก ทำให้เขาสามารถบุกโจมตีได้โดย
ไม่ต้องห่วงพะวงใด
เจี้ยนสือเทียนที่คลุ้มคลั่ง มันยิ่งเท่าทวีความน่าสะพรึงกลัวของเขา
พลังดาบชวนขนลุกยังทำให้ฉินหยุนต้องหวาดกลัว มันปกคลุมทั้ง
ร่างของเขา ให้ความรู้สึกราวกับดาบได้ทิ่มแทง เป็นความรู้สึกที่ชวน
ไม่สบายกายและใจอย่างยิ่ง
ทันใดนี้เอง ออร่าคุ้นเคยกลุ่มใหญ่พลันปรากฏจากที่ไกลออกไป!
แม่เฒ่าหม่า ฉู่ปินอวี้ รวมถึงครึ่งเซียนผู้อื่นของนครเซียนยุทธภัณฑ์
ต่างเร่งรีบเดินทางมาถึงแล้ว!
ทันทีเมื่อพวกเขามาถึง จึงเข้าปิดล้อมคนของตระกูลหลงในพริบตา
ที่ลานกว้าง ความวุ่นวายครั้งใหญ่บังเกิด อัคคีร้อนแรงได้ปกคลุมทั่ว
ทิศ ครึ่งเซียนสามคนของนครเซียนยุทธภัณฑ์ต่างเป็นผู้ใช้อัคคีเพลิง
ลานกว้างกลายเป็นทะเลเพลิง เพียงไม่นาน คลื่นสายฟ้าอสนีบาต
รุนแรงจึงเคลื่อนคล้อยลงมา
อัคคีเพลิงร้อนแรง สายฟ้าอสนีบาตดุดัน เมฆหมอกมวลมหาศาล
รวมกับออร่าดาบอันเลิศล้ำได้ปกคลุมกว่าครึ่งของตำหนักเซียนดาบ
พื้นดินได้ปริแตกแยกออกเกิดเป็นรอยแยก!
ฉินหยุนไม่อาจทนต่อพลังชวนสะพรึงระดับนี้ได้ไหว เขาไร้ซึ่ง
ทางเลือก มีแต่ต้องกลับเข้าม่านพลังของลานประลองเพื่อลี้ภัย
อย่างไรแล้ว เขาก็เก็บกลุ่มคนไว้ในหม้อราชสีห์สวรรค์ไม่น้อย เหล่า
นั้นเป็นครึ่งเซียนที่มีโลหิตเซียนทรงพลัง!
“จับครึ่งเซียนได้มากมายขนาดนี้ หากยังไม่อาจฝึกฝนร่างเซียนได้อีก
ก็ไม่รู้จะฝึกได้ตอนไหนแล้ว!”
ฉินหยุนตื่นเต้นยินดี แม้เขาต้องเปิดเผยจอมราชันดวงดาวอสูร กระนั้น
ผลการเก็บเกี่ยวครั้งนี้ถือว่าใหญ่หลวงและคุ้มค่า

ตอนที่ 707 เผยตัวจอมราชัน
ฉินหยุนที่ออกจากหอคอยของเจี้ยนหลิงหลง เขามาถึงพื้นที่รอบนอก
ของลานกว้าง จึงได้เห็นว่ามันถูกขวางกั้นเอาไว้ด้วยหมอกสีดำ
หมอกสีดำนี้มาพร้อมพลังคุกคามและกลิ่นแปลกประหลาด ทำให้ผู้
เข้าใกล้ต่างต้องรู้สึกไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง
“พิษ!”
ฉินหยุนพอดมกลิ่นมัน เขาสัมผัสได้ถึงพลังพิษที่รุกล้ำสู่ร่างกายใน
ทันที พลังพิษเหล่านี้สามารถดูดกลืนได้โดยวิญญาณยุทธ์อสรพิษ
เขามองไปยังที่ไกลออกไป ตอนนี้บอลสีดำขนาดใหญ่ไม่มีอีกต่อไป
เขาจึงสงสัย ว่าบอลสีดำขนาดใหญ่นั้นจะระเบิดออกเป็นการปล่อย
แก๊สพิษเหล่านี้ออกมา
“พวกอสูรของเขตแดนลึกล้ำอสูรอ้างว้างต้องเตรียมบุกโจมตีมาเป็น
เวลานานแล้วแน่ เพราะเหตุนั้นพวกมันจึงสร้างบอลสีดำลูกใหญ่นั่น
ขึ้นมา!”
หลิงหยุนเอ๋อกล่าวเตือน “เสี่ยวหยุน เมื่อใดเข้าไปแล้ว เจ้าต้องมอง
สถานการณ์ให้กระจ่างก่อนค่อยลงมือ!”
“ข้าจะระวัง!”
ฉินหยุนที่อยู่ในสภาพโปร่งแสง เวลานี้เร่งรีบรุกคืบสู่ลานกว้าง
ตำหนักเซียนดาบกลับกลายเป็นสถานที่เย็นเยียบและเงียบงัน
บรรดาศิษย์ของตำหนักเซียนดาบต่างรวมตัวกันที่ลานกว้าง หลังจาก
แก๊สพิษปรากฏ ตำหนักเซียนดาบจึงกลายเป็นสถานที่รกร้างโดย
ปริยาย
ฉินหยุนเร่งรีบมุ่งหน้าไปที่ลานกว้าง
ทันทีเมื่อมาถึง เขาได้เห็นเจี้ยนสือเทียนถือดาบคลุกคลานอยู่กับพื้น
ครึ่งตัว ดาบนั้นปักไว้กับพื้น เขาคว้าด้ามดาบเอาไว้คิดพยายามยัน
กายยืนขึ้น
ทั้งร่างกายเจี้ยนสือเทียนมีแต่บาดแผลโชกเลือด อาการบาดเจ็บนั้น
สาหัสไม่น้อย
เจี้ยนหลิงหลงอยู่ทางด้านหลัง นางนั่งอยู่กับพื้น ใบหน้าซีดเผือดราว
คนตาย เสื้อผ้าของนางฉีกขาด ชัดเจนว่าเพิ่งรับศึกครั้งใหญ่มา
ชายชราเส้นผมสีทองยืนหยัดที่ตรงหน้าเจี้ยนสือเทียน ดูจากตำแหน่ง
การยืน ชายชราสมควรเป็นผู้นำเหล่าอสูรแล้ว
เจี้ยนหลิงหลงคำรามเกรี้ยวกราด “พวกเจ้าบอกไม่ใช่หรือ ว่าจะให้
เวลาข้าหนึ่งชั่วยาม? เหตุใดจึงลงมือ?”
ชายชราเส้นผมสีทองหัวเราะเสียงเย็น “เป็นเจี้ยนสือเทียนที่ลงมือ
ก่อน! ตาเฒ่านี่มีความสามารถไม่น้อย แม้ถูกพิษก็ยังสามารถใช้ดาบ
แทงข้าได้!”
“แต่ก็แลกด้วยการที่มันเกือบตาย! ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เบื้องหลังชายชราเส้นผมสีทอง เป็นครึ่งเซียนของหุบเขาเซียนโอสถ
และขุนเขาเซียนอัคคีครามยืนอยู่ พวกเขาถูกถอนพิษเรียบร้อยแล้ว
ขณะนี้ให้ความร่วมมือกับเหล่าอสูร
“พวกเจ้ามันตัวบัดซบ!” เจี้ยนสือเทียนสบถเสียงเบา
กระทั่งราชันแคว้นมู่แห่งแคว้นมังกรทะยานฟ้ายังยืนด้านหลังชาย
ชราเส้นผมสีทอง
ฉินหยุนหลบซ่อนตัวไกลออกไป นำเอาปืนใหญ่ราชันลึกล้ำออกมา
“ไม่ทราบแล้วว่าปืนใหญ่ราชันลึกล้ำครั้งนี้จะแสดงอำนาจได้เพียงใด
หากผู้อาวุโสหลิงหลงไม่บาดเจ็บ เมื่อเรายิงปืนใหญ่ นางย่อมต้องลง
มือ นางจะสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้!”
ฉินหยุนถือปืนใหญ่ราชันลึกล้ำในมือ เป้าหมายที่เล็งไปย่อมเป็น
อสูรซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในที่นี้
“อย่างน้อยระดับครึ่งเซียนยังลงมือได้! วางใจและโจมตี หาก
สถานการณ์พลิกกลับ บรรดาครึ่งเซียนเหล่านั้นย่อมต้องลงมือแน่!”
หลิงหยุนเอ๋อกล่าวต่อ “เจี้ยนสือเทียนถูกพิษ กระนั้นก็ยังโจมตีได้
เป็นพลังของเขาถูกจำกัดเอาไว้ระดับหนึ่งเท่านั้น!”
ฉินหยุนสูดลมหายใจเข้าลึก ควบคุมปืนใหญ่ราชันลึกล้ำยิงกระสุน
ปืนใหญ่ออกไป
ลูกปืนใหญ่สีดำขลับทะยานออกพร้อมร่อนลงที่ตรงกลางกลุ่มคณะ
ชาวอสูร!
ตู้ม!
อัคคีเพลิงระเบิดออก มาพร้อมกับพลังทำลายล้างและพลังผลาญอสูร!
ที่น่าสะพรึงที่สุด ยังคงเป็นพลังแห่งความเที่ยงธรรมที่ฉินหยุนถ่ายเท
เข้าใส่ลูกปืนใหญ่ พวกมันผสานรวมเข้ากับพลังของอักขระเต๋าทำลาย
ล้าง และอักขระเต๋าผลาญอสูรได้สมบูรณ์แบบ พลังอำนาจยิ่งเท่าทวี
ส่งผลรุนแรงทำร้ายต่ออสูรเหล่านั้น
บริเวณพื้นที่ซึ่งกลุ่มคณะชาวอสูรยืนอยู่ กลับกลายเป็นทะเลเพลิง
อสูรใดที่อ่อนด้อย พลันต้องเร่งรีบร้องตะโกนเจ็บปวด
โดยเฉพาะที่ระดับขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ เพียงอึดใจร่างเหล่านั้นก็
ถูกผลาญไหม้จนตายตก
เจี้ยนหลิงหลงผู้ซึ่งนั่งกับพื้น ขณะนี้ค่อยเผยอาการตื่นตะลึง
นางย่อมตระหนักได้ว่าการโจมตีนี้เป็นฉินหยุนลงมือ นางจึงตะโกน
ดัง “พวกเจ้าที่ยังเคลื่อนไหวได้ บุกโจมตี! กวาดล้างพวกมัน!”
ตู้ม ตู้ม! ตู้ม ตู้ม!
ฉินหยุนยิงลูกปืนใหญ่ต่อเนื่อง ทำให้บรรดาอสูรที่ยังเหลือรอดต้อง
ถอยร่นเพราะแรงระเบิด เช่นกัน พลังแห่งความเที่ยงธรรมได้ส่งผล
ให้พวกมันร้อนรน
แน่นอนว่าอสูรที่แข็งแกร่งเพียงรู้สึกไม่ใคร่สบายเท่าใดนัก ลูกปืน
ใหญ่ของฉินหยุนสร้างความเสียหายแก่พวกมันเหล่านั้นได้จำกัด
หลังเกิดแรงระเบิดปะทุหลายครั้งต่อเนื่อง ผู้ที่ต้องบาดเจ็บรุนแรง
ส่วนใหญ่คืออสูรขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ และขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ
โดยเฉพาะขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ เหล่านั้นแทบถูกสังหารตายคาที่
กันจนสิ้น
และขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ ก็แทบไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงให้ต่อสู้กลับ
แล้ว
ลูกปืนใหญ่ของฉินหยุนดูดกลืนพลังจากผลึกแก้วชีวิตไปมหาศาล
ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาดีเยี่ยม พวกมันยังส่งผลกระทบต่อขอบเขตราชัน
ยุทธ์และจักรพรรดิยุทธ์ไม่น้อยเช่นกัน
เจี้ยนหลิงหลงทะยานนำหน้า นางเริ่มเข่นฆ่าสังหารกลุ่มอสูรโฉดชั่ว
ครึ่งเซียนกว่าสิบคนของตำหนักเซียนดาบต่างร้องตะโกนดัง ดาบ
ต้นกำเนิดเผยออก พวกเขาบุกซึ่งหน้าเข้าปะทะฝูงชนฝ่ายศัตรูเข่นฆ่า
สังหาร
มีแต่บรรดาชาวอสูรที่ได้รับผลกระทบ ผู้ทรยศเช่นหุบเขาเซียนโอสถ
หาได้รับผลกระทบใดไม่
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเพียงรับชมไม่ยุ่งเกี่ยว เลือกถอยห่างและรับชม
คนของตำหนักเซียนดาบปะทะกับกลุ่มชนชาวอสูร
เพื่อกวาดล้างเหล่าอสูร เจี้ยนหลิงหลงแทบไม่คิดหยุดพัก นางนำเอา
แก่นเต๋าราชันยุทธ์อสูรเหล่านั้นออกมาก่อนจะเริ่มขว้างปา!
เพียงอึดใจ แรงระเบิดรุนแรงจึงปะทุออก
โชคดี ที่บรรดาศิษย์ระดับการฝึกฝนต่ำต่างอยู่ในม่านพลังของลาน
ประลอง และม่านพลังนั้นแข็งแกร่งยิ่ง
และระดับครึ่งเซียน จักรพรรดิยุทธ์ รวมถึงราชันยุทธ์ ต่างอยู่นอก
ม่านพลังเพื่อคุ้มกัน
แม้พวกเขาบาดเจ็บกันไปไม่ใช่น้อย ขณะนี้ปากไม่คิดพล่ามบ่น
เพราะพวกเขาบาดเจ็บ ทว่าอสูรเหล่านั้นตายตก!
ที่ลานกว้างในตำหนักเซียนดาบ ครึ่งเซียนกว่าสิบคนที่ติดพิษต่าง
กล้ำกลืนความขื่นขมต่อสู้กับชาวอสูร ทั้งลานกว้างตกสู่สถานการณ์
ทางการศึกรุนแรง
กว่าครึ่งของสิ่งปลูกสร้างในตำหนักเซียนดาบพังทลาย คลื่นพลังงาน
รุนแรงได้กวาดให้พื้นราบเตียน
และนี่ยังเป็นสำนักเซียนเดียวในประวัติศาสตร์ ที่ต้องประสบเหตุ
ร้ายแรงถึงเพียงนี้!
ไม่นานจากนั้น ทั้งลานกว้างค่อยกลับกลายเป็นสงบลง
เจี้ยนสือเทียนและครึ่งเซียนผู้อื่นต่างบาดเจ็บกันไปไม่ใช่น้อย
นอกจากนี้แล้ว พวกเขายังติดพิษ ดังนั้นจึงทำได้แต่ต้องเร่งรีบนั่งกับ
พื้นสะกดฤทธ์ิของพิษร้ายลงไป
ขอบเขตครึ่งเซียนถูกผนึกพลังส่วนใหญ่เอาไว้ พวกเขาตอนนี้อยู่
เพียงขอบเขตราชันยุทธ์ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะสะกด
พิษเหล่านี้เอาไว้ได้
หากพวกเขาปิดค่ายอาคม ฟื้นคืนพลังระดับครึ่งเซียน เช่นนั้น
สถานการณ์จะกลับกลาย
ทว่าเรื่องราวจะกลายเป็นอันตรายยิ่ง
เพราะยังมีกลุ่มคนทรยศเช่นหุบเขาเซียนโอสถและคณะทำตัวเป็น
พยัคฆ์ร้ายรอกลืนกินเหยื่อ พิษของพวกเขาถูกถอนกันไปแล้ว หาก
ทำให้ได้รับพลังระดับครึ่งเซียนกลับมา เช่นนั้นตำหนักเซียนดาบ
อาจถูกกวาดล้าง
เจี้ยนหลิงหลงมีแต่บาดแผลทั่วทั้งร่าง นางนั่งกับพื้นขณะเริ่มฟื้นคืน
พลัง
หลังฝุ่นควันเลือนหาย พื้นที่จึงค่อยกลับมามองเห็น ที่นั่น มีแต่ร่าง
ไร้ชีวิตของบรรดาผู้ฝึกตนอสูร ตูเทียนตี้ก็สิ้นชีพในการศึกตึงเครียด
เมื่อครู่นี้เช่นกัน
ผู้ฝึกตนดาบกล่าวได้ว่าเป็นตัวตนต่อต้านสวรรค์อย่างแท้จริง แม้ถูก
พิษ พวกเขาก็ยังสามารถใช้ดาบต้นกำเนิดเข้าทำการสังหารเข่นฆ่าผู้
ฝึกตนอสูรจำนวนมากได้
กระทั่งเจี้ยนหลิงหลง ยังสังหารผู้ฝึกตนอสูรครึ่งเซียนไปถึงสอง
ครึ่งเซียนหุบเขาเซียนโอสถเวลานี้ค่อยหัวเราะกล่าวคำออก “ฉินหยุน
เจ้าคงเป็นผู้ที่ลอบโจมตีเมื่อครู่ใช่หรือไม่? ช่างยอดเยี่ยมนัก เจ้าถึง
ขั้นพลิกกลับสถานการณ์ เป็นฝ่ายสังหารผู้แข็งแกร่งจากเขตแดนลึก
ล้ำอสูรอ้างว้าง!”
เจี้ยนสือเทียนและเปาเฉิงโฉ่วตื่นตะลึง พวกเขาไม่คาดคิด ว่าการระเบิด
ครั้งนั้นจะเกิดขึ้นเพราะฉินหยุน
พลังเหล่านั้นยอดเยี่ยม ทำร้ายบรรดาอสูรไปได้ไม่น้อย กระทั่งครึ่ง
เซียนอสูรยังต้องได้รับผลกระทบ
พวกเขายอมรับ ว่าการโจมตีอย่างกะทันหันของฉินหยุนเป็นการเปิด
โอกาสให้ตอบโต้ ทำให้พวกเขาสามารถกวาดล้างผู้ฝึกตนเต๋าอสูรได้
ในคราวเดียว
กระนั้น หุบเขาเซียนโอสถและราชันแคว้นมู่พร้อมคณะผู้ทรยศยังคง
อยู่!
ราชันแคว้นมู่หันมองทางเปาเฉิงโฉ่วพร้อมเผยยิ้มโฉดชั่ว “เจ้าผู้แซ่
เปา เจ้าครอบครองต้นกำเนิดเซียนถึงสาม สมควรทราบใช่หรือไม่ว่า
ขณะนี้ควรทำอะไร?”
ผู้คนของตระกูลหลงแห่งแคว้นมังกรทะยานฟ้าเริ่มตะโกน “ฉินหยุน
จงเร่งรีบปล่อยหลงเชี่ยนออกมา!”
หลงเชี่ยน เป็นเจี้ยนหลิงหลงลงมือสังหารไปเรียบร้อยแล้ว
ฉินหยุนยังคงหลบซ่อนในเงามืด เขาไม่คิดเผยตัวออกมา
หุบเขาเซียนโอสถ ขุนเขาเซียนอัคคีคราม ราชันแคว้นมู่ รวมถึงครึ่ง
เซียนผู้อื่นต่างยืนหยัดตรงหน้าเจี้ยนสือเทียนและคณะ พวกเขา
กระจายตัวสร้างเป็นวงล้อม
ครึ่งเซียนหุบเขาเซียนโอสถเผยเสียงเย็นเยือก “ฉินหยุน หากเจ้าคิด
อยากเห็นเปาเฉิงโฉ่วและครึ่งเซียนตำหนักเซียนดาบสิ้นชีพที่นี่
เช่นนั้นจงหลบซ่อนตัวต่อไป!”
“ฉินหยุน เร่งรีบไสหัวออกมา ไม่เช่นนั้นพวกเราจะสังหารตาเฒ่า
ครึ่งเซียนพวกนี้! เมื่อใดถึงเวลานั้น บาปกรรมของเจ้าจะดำเนินไป
อย่างไม่มีสิ้นสุด!” ราชันแคว้นมู่ตะโกนดัง
เจี้ยนสือเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมตะโกน “ฉินหยุน ไม่ว่าเกิด
อันใดขึ้นต่อพวกเรา เจ้าจงหลบซ่อนตัวต่อไป!”
“ตราบเท่าที่กำลังเสริมมาถึง พวกมันก็มีชะตาแต่ต้องตาย! พวกมัน
จากหุบเขาเซียนโอสถต่างเกลียดชังตำหนักเซียนดาบและนครเซียน
ยุทธภัณฑ์มาเนิ่นนาน นี่เป็นโอกาสดีที่พวกมันจะได้ใช้สะสางแค้น
และสังหารต่อพวกเรา!”
“ดังนั้นพวกมันย่อมไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย หากพวกมันไม่
สังหารพวกเรา เช่นนั้นภายหน้าพวกเราย่อมล้างแค้น จะอย่างไร
พวกเราก็ต้องตาย!”
เปาเฉิงโฉ่วถอนหายใจกล่าว “ฉินหยุน หากเจ้าเผยตัว จะไม่มีผู้ใด
ช่วยเหลือเจ้าได้อีก จงหลบซ่อนตัวต่อไป รอคอยจนกำลังเสริม
มาถึง! พวกเราจะหาทางถ่วงเวลาไว้!”
ครึ่งเซียนหุบเขาเซียนโอสถตะโกนเกรี้ยวกราด “หยุดพูดจาไร้สาระ!
ฉินหยุน จงเร่งรีบเสนอหน้าออกมา ไม่เช่นนั้นข้าจะสังหารเปาเฉิง
โฉ่วเป็นผู้แรก!”
“ตระกูลหลงจงฟัง หากเจ้ายังคิดอยากเห็นหน้าหลงเชี่ยน เช่นนั้นจง
ออกไปจากสถานที่แห่งนี้ ไม่เช่นนั้น มันตาย!” เสียงฉินหยุนดังก้อง
เหนือฟากฟ้าลานกว้าง
ภายในม่านพลังลานประลองยุทธ์ ชี่เม่ยเหลียนที่ได้ยิน นางตื่นเต้น
ยินดี กระนั้นก็ยิ่งเป็นกังวล
ตระกูลหลงแคว้นมังกรทะยานฟ้าและแคว้นมหาดวงดาว ต่างยังมี
ราชันยุทธ์และจักรพรรดิยุทธ์มากมาย พวกเขาเป็นขั้วอำนาจใหญ่
หากพวกเขาจากไป เช่นนั้นจะเป็นการลดแรงกดดันของฉินหยุน
อย่างมหาศาล
ผู้คนตระกูลหลงทราบดีแก่ใจ ฉินหยุนเป็นตัวตนที่กล้าสังหารหลง
เชี่ยน เพราะก่อนหน้านี้เขาได้เคยทำเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน หลัง
หารือกันครู่หนึ่ง พวกเขาจึงค่อยตอบรับ
“พวกเราจะไม่มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ และจะเพียงนิ่งเฉยรับชม!” ชาย
ชราตระกูลหลงกล่าวคำ
จากนั้น พวกเขาจึงสลายตัวกันไปตามมุมขอบของลานกว้าง
หลิงหยุนเอ๋อสบถเบา “พวกมันเหล่านี้คิดรับชมเรื่องราว หากเจี้ยน
สือเทียนและคนของหุบเขาเซียนโอสถสู้กันจนตาย เช่นนั้นตระกูล
หลงจะกลายเป็นผู้คว้าชิ้นปลามันที่สุดในตอนท้าย!”
“สังเวยครึ่งเซียนผู้หนึ่งแลกกับสามต้นกำเนิดเซียน พวกมันกล้าทำ
แน่!”
ขั้วอำนาจใหญ่ที่เหลือต่างคิดเช่นเดียวกันนี้
อำนาจที่หุบเขาเซียนโอสถถือครองตอนนี้มีไม่น้อย หากต้องแบ่งสัน
ปันส่วน พวกเขาจะกลายเป็นถูกบั่นทอนเหลือเล็กจ้อย โดยเฉพาะ
กับชิ้นปลามันที่สุดอย่างต้นกำเนิดเซียน และฉินหยุนที่ยังมีชีวิต
ครึ่งเซียนหุบเขาเซียนโอสถกลับกลายเป็นยอมอดกลั้น เดินเชื่องช้า
เข้าหาเปาเฉิงโฉ่ว เขาแค่นเสียงกล่าว “ฉินหยุน หากเจ้าไม่ออกมา
เช่นนั้นเปาเฉิงโฉ่วก็มีชะตาต้องตายที่นี่!”
“ข้ากำลังจะออกไปแล้ว!” ฉินหยุนกล่าวคำจบ ฉับพลันจึงปรากฏตัว
ด้านหลังเปาเฉิงโฉ่ว
ขณะเดียวกัน วัตถุขนาดใหญ่ยักษ์พลันเคลื่อนคล้อยลงจากฟากฟ้า
วัตถุชิ้นใหญ่นี้ คือจอมราชันดวงดาวอสูร!

ตอนที่ 706 อสูรร้ายมอดไหม้
เจี้ยนหลิงหลงนำฉินหยุนมายังชั้นที่สาม
ที่ตรงกลางชั้น มันมีเสาอาคมติดตั้งเอาไว้
เจี้ยนหลิงหลงที่เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วจึงกล่าว “นำครึ่งเซียนนั่นไป
ใส่ไว้ในค่ายอาคม ข้าจะใช้ค่ายอาคมสะกดมันเอาไว้ จากนั่นค่อยเข้า
ไปสังหารมัน!”
ฉินหยุนถือหม้อราชสีห์สวรรค์สะกดมังกรพลางยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโส
หลิงหลง ท่านคล้ายชื่นชอบกระทำเรื่องนี้ไม่น้อย!”
“อย่าได้พูดมาก เร่งรีบเข้า!”
เจี้ยนหลิงหลงกล่าวเร่งพร้อมนำเอามีดขนาดใหญ่คล้ายมีดเชือดสัตว์
ออกมา เป็นนางสร้างขึ้นเป็นพิเศษ มันมีความแหลมคมยิ่ง
ฉินหยุนปล่อยครึ่งเซียนออกจากหม้อราชสีห์สวรรค์สะกดมังกร
ครึ่งเซียนวัยกลางคนตระกูลหลงก่อนหน้านี้ทำร้ายชี่เม่ยเหลียน เป็น
ฉินหยุนต้องการสังหารมันยิ่งกว่าผู้ใด
เมื่อครึ่งเซียนติดอยู่ภายในค่ายอาคม เขาพลันร้องตะโกนออกด้วย
ความหวาดกลัว “ฉินหยุน เจ้าตัวบัดซบสารเลว เจ้าทำอันใดกับข้า?
เหตุใดพลังข้าอ่อนด้อยลงเช่นนี้?”
“หน้าโง่ ไม่ใช่พลังเจ้าอ่อนด้อยลง แต่เป็นพลังเจ้าถูกสะกดไว้ที่
ขอบเขตราชันยุทธ์!”
เจี้ยนหลิงหลงกล่าวคำจบ นางพลันเปิดค่ายอาคมยิงสายฟ้าเข้าใส่ร่าง
อีกฝ่าย!
มวลสายฟ้าแลบแปลบปลาบจากเสาค่ายอาคม โจมตีใส่ร่างครึ่งเซียน
วัยกลางคนจึงเกิดเสียง เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ ดังขึ้น
ครึ่งเซียนวัยกลางคนตะโกนร้องอย่างเจ็บปวด
“นี่เจ้าคิดทำอะไร? หากคิดสังหารข้า ตระกูลหลงในแดนวิญญาณ
อ้างว้างจะไม่มีทางละเว้นเจ้า!” ครึ่งเซียนวัยกลางคนตะโกนร้อง
อย่างรวดร้าว
เจี้ยนหลิงหลงย่อมไม่คิดหวั่นเกรงใด นางเพียงยิ้ม “ฉินหยุน หม้อ
ราชสีห์สวรรค์สะกดมังกรของเจ้าช่างเลิศล้ำ น่าจะเป็นเจ้ายังไม่อาจ
ใช้งานพลังเต็มที่ของหม้อนี้ได้กระมัง? กระนั้นก็ยังสามารถขังครึ่ง
เซียนเช่นมันเอาไว้ได้!”
“เพราะเป็นคนตระกูลหลง ดังนั้นจึงง่ายรับมือ หากเป็นครึ่งเซียน
ผู้อื่น คิดทำเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย!”
ฉินหยุนมองที่หม้อราชสีห์สวรรค์สะกดมังกรในมือพร้อมกล่าว
“หม้อนี้สร้างขึ้นเพื่อยับยั้งสายเลือดมังกรโดยเฉพาะ!”
เจี้ยนหลิงหลงควบคุมค่ายอาคม หากไม่ใช่สายฟ้าโจมตี ก็จะเป็น
อัคคีเพลิงร้อนแรงเข้าทำการทรมานครึ่งเซียนวัยกลางคน
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ช่างวิเศษนัก! ข้าคิดอยากจับตัวครึ่งเซียนมาทดสอบค่าย
อาคมสังหารของข้ามานานแล้ว!” เจี้ยนหลิงหลงเผยเสียงยินดี
“ผู้อาวุโสหลิงหลง เร่งรีบจัดการมัน! ข้ายังต้องการผลึกแก้วชีวิต!”
ฉินหยุนกล่าวเร่ง
หากฉินหยุนไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ เจี้ยนหลิงหลงคงหลงลืมไปแล้ว
ค่ายอาคมสังหารพลันหยุด ครึ่งเซียนวัยกลางคนจึงคำรามร้อง
ตะโกนกราดเกี้ยวต่อฉินหยุน
เจี้ยนหลิงหลงก้าวเดินเข้าไป นางใช้มีดเชือดสัตว์ขนาดใหญ่ในมือ
ทำการบั่นเศียรครึ่งเซียนวัยกลางคนร่วงหล่นกลิ้ง
“ผู้อาวุโสหลิงหลง มีดเชือดสัตว์นี้คล้ายดีเลิศไม่น้อย อย่างน้อยมันก็
ต้องเป็นร่างเซียน และน่าจะมีโลหิตเซียนด้วยกระมัง? แต่แล้วมีดนั่น
ก็ยังเฉือนหั่นร่างได้ง่ายดายนัก!” ฉินหยุนอุทานร้องชื่นชม
“มีดนี้คืออาวุธราชัน ยังจะมีใดให้ไม่ทรงพลัง?” เจี้ยนหลิงหลงเดิน
เข้าไป คว้าเอาผลึกแก้วชีวิตจากครึ่งเซียนออกมา พร้อมโยนมัน
ให้แก่ฉินหยุน “รับไป ว่าแต่เจ้าต้องการมันไปทำอะไร?”
“มันมีประโยชน์ไม่น้อย!”
หลังได้รับ ฉินหยุนจึงรับรู้ได้ถึงพลังงานภายในของมันอัดแน่นชวน
สะพรึง
ทันใดนี้เอง เสียงระฆังพลันดังอีกครั้งจากตำหนักเซียนดาบ!
“ระฆังนั่นกับหัวใจของเจี้ยนสือเทียนเชื่อมถึงกัน สมควรมีเรื่องด่วน
เกิดขึ้นอีกครั้งแล้ว ข้าขอออกไปดูสถานการณ์ก่อน!” เจี้ยนหลิงหลง
กล่าวออกด้วยอารมณ์ไม่ค่อยดีนักก่อนจะออกไปจากหอคอย
ฉินหยุนเร่งรีบดูดกลืนโลหิตเซียนจากร่างเซียนอีกฝ่าย จากนั้นเขา
ค่อยเผาศพนั้นจนมอดไหม้
“เสี่ยวหยุน เร่งรีบสร้างลูกปืนใหญ่!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าวเร่ง
ฉินหยุนพยักหน้ารับ นำเอาหม้อราชสีห์สวรรค์สะกดมังกรออกมา
สั่งให้มันขยายขนาด ก่อนจะเทน้ำมันสัตว์ปริมานมหาศาลลงไป
เขาคิดอยากสร้างลูกปืนใหญ่ชนิดพิเศษ มันคือการผสมผสานระหว่าง
น้ำมันสัตว์ปริมาณมหาศาล พร้อมกับพลังงานจากผลึกแก้วชีวิตครึ่ง
เซียน จากนั้นจึงค่อยขัดเกลาด้วยพลังแห่งความเที่ยงธรรม
“พวกอสูรเหล่านี้ยังไม่กล้าลงมือต่อเจี้ยนสือเทียนและคณะ พวกมัน
จะรอคอยให้พิษหยั่งรากลึกลงไป ถึงตอนนั้นพวกมันคิดจับตัวอีก
ฝ่ายก็เป็นเรื่องง่ายดายแล้ว!” ฉินหยุนกล่าว “กลุ่มของเจี้ยนสือเทียน
สมควรรั้งรอได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ทันทีเมื่อข้าสร้างกระสุนปืนใหญ่
นี้ได้เรียบร้อย ข้าจะออกไปจัดการพวกมัน!”
ฉินหยุนเวลานี้ร้อนใจไม่น้อยขณะสร้างกระสุนปืนใหญ่
เขาแทบคิดอยากโบยบินออกไปเสียเดี๋ยวนี้ พร้อมใช้จอมราชัน
ดวงดาวอสูรเข้าสังหารกลุ่มคนโฉดชั่ว
แต่ด้วยความจริงที่ว่าอสูรเหล่านั้นแข็งแกร่งยิ่ง หากเขาไม่ตระเตรียม
จอมราชันดวงดาวอสูรให้พอทำลายล้างอสูรเหล่านั้น เขาก็จะไม่มี
โอกาสได้พลิกสถานการณ์
แม้ฉินหยุนร้อนใจ กระนั้นเขาก็ยังสามารถสงบใจขณะสร้างกระสุน
ปืนใหญ่อย่างคร่ำเคร่งต่อไปได้
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เจี้ยนหลิงหลงค่อยกลับมา
“ผู้อาวุโสหลิงหลง เรื่องราวเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?” ฉินหยุนเร่งร้อน
ถาม
“ไม่ดีมาก! หุบเขาเซียนโอสถ ขุนเขาเซียนอัคคีคราม ตระกูลหลง
ตระกูลหยาง ตระกูลเทียน รวมถึงสำนักและตระกูลเล็กทั้งหลายต่าง
ให้ความร่วมมือกับอสูรพวกนั้น พวกมันต่างถูกล้างพิษกันหมดแล้ว”
“พวกมันเรียกขานตนเองเป็นสำนักอันชอบธรรม กระนั้นกลับให้
ความร่วมมือกับพวกอสูรร้าย!”
“พวกมันแต่เดิมก็หาได้ต่างอันใดกับอสูร!” ฉินหยุนสบถเสียงเบา
“ด้วยพวกมันร่วมมือกับพวกอสูร กำลังโดยรวมของฝ่ายนั้นจึงมาก
กว่า ตราบเท่าที่พวกมันคิดเคลื่อนไหว คนของเราจะกลายเป็นถูกจับ
ตัวไว้!”
เจี้ยนหลิงหลงร้อนรนเดินไปเดินมา “พวกมันให้เวลาข้าหนึ่งชั่วยาม
เพื่อส่งตัวเจ้าไป ไม่เช่นนั้นพวกมันจะเริ่มลงมือสังหารผู้คน!”
“หนึ่งชั่วยาม? นั่นเพียงพอแล้ว! ผู้อาวุโสหลิงหลง ท่านช่วยข้าขัด
เกลาสิ่งนี้!” ฉินหยุนเร่งรีบกล่าว
“ขัดเกลาอันใด?” เจี้ยนหลิงหลงพบเห็นว่าฉินหยุนกำลังยุ่งไม่ใช่น้อย
“อัดแน่นน้ำมันสัตว์ปริมาณมหาศาล คัดแยกเอาพลังงานออกจาก
ผลึกแก้วชีวิต จากนั้นแกะสลักอักขระเต๋าที่ตัวพวกมัน นี่จึงถือเป็นดี
ที่สุด ข้าขัดเกลามันต่อ ท่านแกะสลักอักขระเต๋า!” ฉินหยุนกล่าว
เจี้ยนหลิงหลงย่อมเห็นว่าฉินหยุนกำลังขัดเกลาไข่มุกสีดำขึ้นลูกหนึ่ง
มันเป็นกระสุนปืนใหญ่
“กระสุนปืนใหญ่นี้ยังไม่มีอักขระเต๋าใดแกะสลักไว้ เดิมข้าคิดแกะสลัก
โทเทมอัคคี แต่หากเป็นท่านแกะสลักอักขระเต๋าที่ตัวมัน สมควร
แข็งแกร่งกว่าข้าทำเพียงลำพังนัก!” ฉินหยุนกล่าว
“อักขระเต๋าหรือ? ให้ข้าแกะสลักอักขระเต๋าใด?” เจี้ยนหลิงหลงนำ
มีดแกะสลักออกมาพร้อมเร่งร้อนกล่าวถาม
“ขอที่ทรงอำนาจที่สุด เป็นอักขระเต๋าชั้นเลิศ นั่นสมควรผสานแรง
ระเบิดรุนแรงออกมาได้!” ฉินหยุนคล้ายคิดขึ้นมาได้ว่าคำถามของ
นางแปลก “อย่าได้บอกว่าท่านไม่มีอักขระเต๋า?”
“อักขระเต๋าชั้นเลิศ? ข้ามีอยู่หนึ่ง ทว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง นอกจากนี้
แล้ว ข้าก็มีอักขระเต๋าชั้นเลิศอยู่เพียงหนึ่ง! ที่เหลือล้วนเป็นอักขระเต๋า
ระดับต้นที่ไม่ต่างอะไรกับเศษขยะ!”
เจี้ยนหลิงหลงเผยความขื่นขมออกมา “ข้ามีจารึกวิญญาณจ้าวเต๋า
กระนั้นในมือกลับมีอักขระเต๋าเพียงน้อยนิดยิ่งนัก อาจารย์จารึกเต๋า
ผู้อื่นไม่ยินดีมอบอักขระเต๋าที่พวกมันมีให้แก่ข้า”
“พวกมันล้วนแกะสลักเส้นมืด หลงเหลือเพียงเส้นสว่างให้ข้าแกะสลัก
สานต่อ!”
สถานการณ์ของเจี้ยนหลิงหลงนี้กล่าวได้ว่าธรรมดายิ่ง อักขระเต๋าที่ดี
ถือเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับอาจารย์จารึกเต๋า
เส้นมืด พวกเขาจะเก็บงำเอาไว้กับตนเอง และส่งต่องานเส้นสว่าง
ให้แก่ผู้อื่นลงแรงแทน
เช่นนี้ พวกเขาจะได้มีอาจารย์จารึกเต๋าเยาว์วัยช่วยเหลือแกะสลักเส้น
สว่าง ถือเป็นการแบ่งเบาภาระพวกเขาได้ไม่ใช่น้อย
“ท่านมีจารึกวิญญาณจ้าวเต๋า จะบอกข้าว่าไม่เคยได้รับการดูแลใด
เลยงั้นหรือ? ทั้งที่ท่านสมควรเป็นผู้ครอบครองอักขระเต๋ามากมาย
ด้วยซ้ำ!” ฉินหยุนพบว่าเรื่องนี้เกินจะเชื่อได้
เจี้ยนหลิงหลงแค่นเสียงเบา “เพราะข้ามีจารึกวิญญาณจ้าวเต๋า พวก
มันจึงไม่คิดมอบอักขระเต๋าให้แก่ข้า! หากข้าเชี่ยวชาญอักขระเต๋า
จำนวนมาก อย่างนั้นอาจารย์จารึกเต๋าเฒ่าชราเหล่านั้นก็ไม่จำเป็นต้อง
มีตัวตนอยู่ต่อไปอีก! อักขระเต๋าที่ข้าแกะสลัก ความวิจิตรนั้นสูงล้ำ
และความเร็วยังมากล้น ข้าขันแข่งกับพวกมันนับสิบคนพร้อมกันยัง
ได้!”
“ครานี้เจ้าทราบหรือยังว่าจารึกวิญญาณจ้าวเต๋านี้เป็นขยะประเภท
ใด?”
ฉินหยุนพลันเกิดความนึกคิดในใจพร้อมยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสหลิง
หลง เข้าร่วมนครเซียนยุทธภัณฑ์! ข้าจะมอบอักขระเต๋าชั้นเลิศแก่
ท่านสองอย่าง ท่านสนใจหรือไม่?”
“นี่เจ้าถึงขั้นมีอักขระเต๋าชั้นเลิศ?” ดวงตากลมโตงดงามของเจี้ยน
หลิงหลงพลันทอประกายขึ้นมา
ฉินหยุนนำอักขระเต๋าออกมา ภายในวิญญาณเทวะเก้าตะวัน มันมี
อักขระเต๋าอยู่เก้า ด้วยกำลังของเขาตอนนี้ เขายังไม่อาจใช้งานพวก
มัน
และเขาก็เลือกนำออกมาเพียงสอง
“นี่อักขระเต๋าทั้งสอง หนึ่งคืออักขระเต๋าทำลายล้าง และอีกหนึ่งคือ
อักขระเต๋าผลาญอสูร!”
สองอักขระเต๋าที่ฉินหยุนนำออกมา ทั้งเส้นมืดและเส้นสว่างล้วนชัด
แจ้งกระจ่าง
เจี้ยนหลิงหลงผู้ซึ่งครอบครองจารึกวิญญาณจ้าวเต๋า มองเพียงครั้ง
เดียวย่อมจดจำได้ทุกสิ่ง นางขณะนี้ตื่นเต้นยินดีเป็นล้นพ้น
ฉินหยุนยิ้มกล่าว “หลังจบเรื่องราวนี้ ท่านติดตามข้ากลับนครเซียน
ยุทธภัณฑ์! ท่านไม่มีความจำเป็นต้องจมปลักอยู่ที่นี่!”
“ท่านน่าจะเคยได้ยินเรื่องเหลียวจิงเหมิงใช่หรือไม่? นางเป็นอาจารย์
จารึกลึกล้ำวัยเยาว์ และยังต้องการอาจารย์เพื่อชี้แนะแก่นาง หากท่าน
ไปยังนครเซียนยุทธภัณฑ์ ท่านจะได้ช่วยชี้แนะแก่นางได้!”
เจี้ยนหลิงหลงพอได้เห็นสองอักขระเต๋า นางจึงกล่าว “ได้ ข้าจะตาม
เจ้ากลับไป!”
ฉินหยุนกลายเป็นยินดี ตอนนี้เขาเพียงแค่รอให้เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกลับมา
จากนั้นค่อยให้นางใช้กระจกคัดลอกจารึกวิญญาณจ้าวเต๋าของเจี้ยน
หลิงหลง เมื่อใดมีเวลา เขาจะได้สกัดมันออกมาเป็นของตนเอง
ที่ลานกว้าง เจี้ยนสือเทียนร้อนรนยิ่ง เวลานี้ เขามีแต่ต้องใช้วิธีการ
ลากถ่วงเวลา
จนถึงตอนนั้น ทัพครึ่งเซียนจากวิมานเซียนปีศาจและนครเซียน
ยุทธภัณฑ์จะมาถึง ยังจะมีจักรพรรดิยุทธ์และราชันยุทธ์อีกมากมาย
ติดตามมาเพื่อพลิกสถานการณ์
แน่นอนว่าเขาไม่ทราบ ถึงเรื่องที่ฉินหยุนตอนนี้คิดขุดเอากำแพง
ตำหนักเซียนดาบข้างหนึ่งเป็นของตนเอง โดยการชักชวนเจี้ยนหลิง
หลงให้เข้าร่วมกับฝ่ายตน
หากเจี้ยนสือเทียนทราบ คาดว่าเขาต้องกระอักเลือดออกด้วยโทสะ
เป็นแน่แท้
ฉินหยุนและเจี้ยนหลิงหลงเริ่มงานช่วยกันขัดเกลากระสุนปืนใหญ่
“ผู้อาวุโสหลิงหลง นี่ท่านไม่ผูกพันใดกับตำหนักเซียนดาบเลยหรือ?”
ฉินหยุนเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย “เหตุใดจึงไปกับข้าได้โดยตัดสินใจ
ง่ายดายเพียงนี้?”
“พวกมันรั้งข้าไว้ประหนึ่งเพชรน้ำเอก กระนั้นกลับใช้ข้าทำแต่งาน
ไร้สาระ!”
“เจ้าทราบหรือไม่? พวกมันให้ข้าสร้างอุปกรณ์เต๋าและลึกล้ำ ทว่ามี
แต่ร่างต้นและเส้นสว่างที่ทำสำเร็จโดยข้า ส่วนแกนกลางอย่างเส้น
มืด พวกมันไม่เคยให้ข้าได้ทำเลยสักชิ้นงาน!”
“ข้าคิดอยากไปจากที่นี่มานานไม่น้อยแล้ว!”
เรื่องราวนี้พอถูกพูดกล่าวออก เจี้ยนหลิงหลงจึงเผยโทสะเจือปนไม่
น้อย
“ก่อนจากไป ส่งมอบอักขระโทเทมมังกรแก่พวกเขา เช่นนี้ ข้าจะได้
ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ด้วย ส่วนเรื่องที่ดึงตัวท่านไป เจี้ยนสือเทียนคง
เกลียดชังข้าไม่น้อย!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว
“เป็นมันสมควรแก่การกระทำแล้ว มันสัญญาว่าจะช่วยเหลือหาอักขระ
เต๋าชั้นเลิศแก่ข้า แต่ทุกครั้งก็แค่ลมปาก! เป็นเจ้าที่มอบอักขระเต๋า
ให้แก่ข้า ดังนั้นข้าจึงไปกับเจ้า ยังมีเรื่องใดให้มันต้องเกลียดชังเจ้า?”
ภายในใจของนาง เจี้ยนหลิงหลงเวลานี้มีความรู้สึกประหนึ่งดอกไม้
เพิ่งเบิกบาน เพราะฉินหยุนเพิ่งส่งมอบอักขระเต๋าชั้นเลิศให้แก่นาง
ถึงสอง
เรื่องนี้ เป็นสิ่งที่แม้กระทั่งอาจารย์จารึกเต๋าเฒ่าชราของตำหนักเซียน
ดาบยังไม่อาจให้นางได้
“ผู้อาวุโสหลิงหลง ภายหลังหากท่านมีโอกาสได้รับโทเทมเต๋า
เช่นนั้นโทเทมเต๋าที่ท่านแกะสลักย่อมต้องมีความวิจิตรสูงล้ำ!” ฉิน
หยุนยิ้มกล่าว “จารึกวิญญาณจ้าวเต๋าของท่านจะมีประโยชน์ในตอน
นั้นอย่างยิ่ง!”
ฉินหยุนมองที่ลูกปืนใหญ่ซึ่งมีอักขระเต๋าจารึกเอาไว้โดยเจี้ยนหลิง
หลง เขาพิจารณาพลางต้องอุทานชื่นชม อักขระเต๋าซับซ้อน กระนั้น
เจี้ยนหลิงหลงใช้เวลาเพียงน้อยนิดก็แกะสลักพวกมันได้จนเสร็จ
“ฉินหยุน เจ้ามอบอักขระเต๋าชั้นเลิศให้แก่ข้าถึงสอง ข้าจึงคิดอยาก
ตอบแทน เพราะเหตุนั้นจึงเข้าร่วมนครเซียนยุทธภัณฑ์และเป็น
อาจารย์ให้แก่เหลียวจิงเหมิง! ดังนั้นเจ้าอย่าได้ขออย่างอื่นเพิ่มเติม
แล้ว!” เจี้ยนหลิงหลงเร่งรีบกล่าวออกมา
“ท่านกังวลว่าข้าจะขออะไรจากท่านหรือ?” ฉินหยุนยังคงขัดเกลา
กระสุนปืนใหญ่ต่อเนื่อง
“ไม่มีใด!” เจี้ยนหลิงหลงรับคำเบายามเมื่อเห็นฉินหยุนเผยสีหน้า
ฉงน
ทั้งสองต่างร่วมมือกันขัดเกลากระสุนปืนใหญ่แปดลูก แต่แล้ว
ขณะนี้เองที่ระฆังได้ดังขึ้นอีกครั้ง
“บัดซบนัก… ไม่รู้จักจบสิ้น! หนึ่งชั่วยามยังไม่ทันผ่านพ้นด้วยซ้ำ!”
เจี้ยนหลิงหลงตะโกนโกรธเคือง นางละงานในมือพร้อมเร่งรีบ
ออกไป
ไม่นานหลังเจี้ยนหลิงหลงออกไป เสียงระฆังจึงหยุด แต่ไม่นานนัก
มันกลับดังขึ้นอีกครั้ง
“หรือผู้อาวุโสหลิงหลงโดนโจมตีไล่ต้อนมา?”
ฉินหยุนเร่งรีบเก็บหม้อราชสีห์สวรรค์สะกดมังกร พร้อมบรรจุกระสุน
ปืนใหญ่ทั้งแปดลูกเข้าสู่ปืนใหญ่ราชันลึกล้ำ
จากนั้นเขาจึงเร่งรีบออกจากหอคอย แปรเปลี่ยนตนเองให้โปร่งแสง
และจึงเร่งรีบมุ่งหน้าไปที่ลานกว้าง

ตอนที่ 705 ผลึกชีวิตครึ่งเซียน
ฉินหยุนนึกถึงเชี่ยวเย่ว์หลานและชี่เม่ยเหลียน ทั้งสองยังอยู่ที่ลาน
กว้าง เวลานี้เขายิ่งร้อนรน
“ไว้ค่อยว่ากันหลังเจี้ยนหลิงหลงกลับมา! ด้วยกำลังระดับนาง สมควร
รับมือเรื่องราวได้ไม่ใช่น้อย!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
เจี้ยนหลิงหลงเร่งรีบบินไปยังลานกว้าง เมื่อนางอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก
นางได้เห็นหมอกสีดำอ่อนจางคละคลุ้งกลางอากาศ หลังเข้าไปใกล้
สีหน้านางต้องแปรเปลี่ยนกะทันหัน “พิษ!”
นางเร่งรีบนำเอาผ้าคลุมศีรษะโปร่งแสงออกมา ปกคลุมศีรษะตนเอง
ไว้มิดชิด จากนั้นจึงค่อยบินเข้าไปในลานกว้างต่อ
ขณะนางบินเข้าไป นางได้เห็นกลุ่มคนกำลังนั่งขัดสมาธิกันอยู่เบื้อง
ล่าง
ซากศพและชิ้นส่วนจำนวนมากของบุคคลในชุดดำกระจัดกระจาย
ทั่วพื้น พวกมันกำลังส่งออร่าอสูรอันชั่วร้ายแผ่ออกมา
และเจี้ยนสือเทียน ก็อยู่ในกลุ่มคนที่นั่งขัดสมาธิกับพื้น ใบหน้าพวก
เขาเหล่านั้นกลายเป็นสีดำ มีหยาดโลหิตไหลหลั่งจากมุมปาก
สถานการณ์ที่เห็นตอนนี้กล่าวได้ว่าเลวร้ายยิ่ง
เมื่อเจี้ยนหลิงหลงบินลงมา ผู้คนในลานกว้างต่างอุทาน
“หลิงหลง พวกเราติดพิษ เป็นพิษร้ายแรงยิ่ง!” เจี้ยนสือเทียนกล่าว
ด้วยน้ำเสียงเบา
“พวกเจ้ามันพึ่งพาไม่ได้!” เจี้ยนหลิงหลงที่ได้รับฟัง นางพ่นคำสบถ
พร้อมนำดาบออกมาคิดบุกเข้าหากลุ่มผู้ฝึกตนอสูร
ชายชราเส้นผมสีทองก็มีสภาพย่ำแย่ไม่ต่างกันนัก กระนั้นเขาไม่ได้
รับบาดเจ็บสาหัสใด เขาหัวเราะด้วยเสียงอันดัง “หากเจ้ามีความกล้า
เช่นนั้นจงมาสังหารพวกเรา! พิษพวกนั้นไม่อาจรักษาหากไม่มีพวก
เรา!”
เมื่อตูเทียนตี้ได้เห็นเจี้ยนหลิงหลง ดวงตานั้นลุกโชนเป็นประกาย
เขาเผยเสียงหัวเราะชั่วร้ายดังขึ้น “สตรีผู้นี้คือเจี้ยนหลิงหลง นาง
ครอบครองจารึกวิญญาณจ้าวเต๋า ขอบเขตจักรพรรดิยุทธ์ และยังเป็น
โฉมงามยังเยาว์!”
เจี้ยนหลิงหลงที่มาถึง นางรู้สึกไม่ใคร่สบายใจเท่าใดนักที่ถูกมอง
โดยเหล่าอสูรมากมายเพียงนี้ น้ำเสียงลุ่มลึกของนางกล่าวคำออก
“ให้ข้าทิ่มแทงดวงตาสุนัขพวกเจ้าให้มืดบอด!”
กล่าวคำจบ นางคิดทะยานตัวพุ่งออก กระนั้นเจี้ยนสือเทียนกลับ
ตะโกนห้ามปรามนางไว้
“หลิงหลง อย่าได้เข้าไป พวกมันล้วนรอให้เจ้าปรากฏตัว!” เจี้ยนสือ
เทียนตะโกนดัง “เร่งรีบกลับมาที่ตรงนี้! ด้วยพวกเราอยู่ที่นี่ พวกมัน
จะไม่กล้าเข้ามาใกล้ แม้พวกเราติดพิษ แต่หากพวกเรายอมเอาชีวิต
เข้าเสี่ยง คิดลากพวกมันตายตกไปยังทำได้!”
เจี้ยนหลิงหลงไร้ซึ่งทางเลือก นางมีแต่ต้องถอยกลับ พร้อมช่วยโคจร
พลังของนางใส่เข้าร่างเจี้ยนสือเทียนช่วยสะกดพิษเอาไว้ นางสบถ
ออกเสียงเบา “หน้าโง่ พวกเจ้าเหตุใดติดพิษกันหมดเช่นนี้?”
“พวกเจ้าต่างเป็นครึ่งเซียน! ใช้ชีวิตกันมายาวนานนับหมื่นปี ล้วน
เป็นจิ้งจอกเฒ่า กระนั้นกลับถูกผู้อื่นใช้พิษใส่เช่นนี้หรือ!”
นอกจากบรรดาผู้ฝึกตนอสูร แทบทุกคนในที่นี้ล้วนติดพิษกันหมดสิ้น
“หยุดต่อว่าพวกเราได้แล้ว ไม่ใช่พวกคนของหุบเขาเซียนโอสถก็ย่ำแย่
เช่นพวกเราหรือไร?” เจี้ยนสือเทียนรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าใดนัก เขาสบถ
เสียงเบา “นั่นก็เพราะพวกอสูรนั่น!”
เปาเฉิงโฉ่วเอ่ยถามเสียงเบา “ฉินหยุนเล่า? เขาอยู่ที่ใด?”
“อยู่ในหอคอยของข้า ที่นั่นปลอดภัย! แล้วตอนนี้พวกเราควรทำ
อย่างไรต่อดี?” เจี้ยนหลิงหลงเอ่ยถาม
“รอ! รอจนกว่าพวกเราจะล้างพิษได้สมบูรณ์ รอจนกำลังเสริมมาถึง!”
เจี้ยนสือเทียนกล่าว “เจ้าต้องช่วยคุ้มกันฉินหยุนให้ดี!”
ที่ลานกว้าง เปาเฉิงโฉ่ว เจี้ยนสือเทียน และอีกหลายคนต่างรวมตัว
ล้อมเป็นวง ภายในวงกลมขนาดใหญ่ เป็นบรรดาศิษย์ผู้เยาว์เช่น
เจี้ยนหนันหู่และเจี้ยนรั่วหยาน
ด้านนอกวงกลม ทั้งหมดเป็นจักรพรรดิยุทธ์และครึ่งเซียน แน่นอน
ว่าภายใต้ผลของค่ายอาคมใหญ่ของนครแห่งดาบ จักรพรรดิยุทธ์
และครึ่งเซียนจึงเหลือระดับการฝึกฝนเพียงที่ราชันยุทธ์
ครึ่งเซียนจากหุบเขาเซียนโอสถตะโกนดังขึ้น “เร่งรีบส่งตัวฉินหยุน
เพื่อแลกกับยาถอนพิษได้แล้ว! พิษเช่นนี้แม้พวกเราครึ่งเซียนก็ไม่
อาจต้านทานเอาไว้ได้นาน คิดฟื้นตัวเป็นเรื่องยาก ความจริงที่ว่าต้าน
พิษได้จนถึงตอนนี้ก็ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว!”
ผู้คนของขุนเขาเซียนอัคคีคราม ขั้วอำนาจอื่น รวมถึงตระกูลและ
สำนักทั้งหลายต่างร้องตะโกนให้ส่งตัวฉินหยุนไป
ชายชราเส้นผมสีทองแค่นเสียงกล่าว “ข้าไม่ได้ต้องการเพียงแต่ฉิน
หยุน! ข้ายังต้องการต้นกำเนิดเซียน! สิ่งใดข้าชื่นชอบในตำหนัก
เซียนดาบ พวกเจ้าล้วนต้องส่งมอบให้แก่ข้าเพื่อแลกยาถอนพิษ!”
“กลุ่มคนสารเลวเช่นพวกเจ้าถึงขั้นกล้าดีก่อการเช่นนี้ในพื้นที่
ตำหนักเซียนดาบเราอย่างนั้นหรือ?” เจี้ยนหลิงหลงมีโทสะ นาง
ปล่อยดาบต้นกำเนิดออกมาควบคุมมันลอยลิ่ว
ชายชราเส้นผมสีทองเร่งรีบต้านรับไว้ด้วยฝ่ามือพร้อมกล่าวโกรธ
เกรี้ยว “มีแต่พวกเราจึงสามารถถอนพิษตาเฒ่าพวกนั้นได้! หากเจ้า
ไม่ส่งมอบตัวฉินหยุน เช่นนั้นพวกมันตาย แคว้นมหาดวงดาวของ
พวกเจ้าก็จบสิ้น!”
เจี้ยนหลิงหลงยิ่งมีโทสะ นางมองที่เจี้ยนสือเทียนพร้อมถามเสียงเบา
“พวกเจ้าคิดยืนขึ้นยังทำไม่ได้?”
“พวกมันล้วนมาจากเขตแดนลึกล้ำอสูรอ้างว้าง พวกเราไม่เคยพบ
เจอพิษเช่นนี้มาก่อน จะกล่าวโทษพวกเราด้วยเรื่องนี้ไม่ได้!”
“พวกเจ้ามันอ่อนแอ ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้นก็สมควรแล้ว!” เจี้ยน
หลิงหลงสบถคำจบ นางจึงเร่งรีบบินออกไปจากลานกว้าง
เชี่ยวเย่ว์หลานนั่งอยู่ที่พื้นที่ภายในวงล้อม ชี่เม่ยเหลียนนอนอยู่บน
หน้าตักของนาง แม้ว่านางบาดเจ็บ กระนั้นตอนนี้หาได้ถูกพิษไม่
มีแต่นางและเชี่ยวเย่ว์หลานที่สามารถต้านหมอกพิษ ส่วนผู้อื่น ล้วน
ติดพิษกันทั้งสิ้น
“พี่เย่ว์หลาน พี่ชายต้องถูกแลกตัวกับยาถอนพิษหรือ?” ชี่เม่ยเหลียน
เป็นกังวล นางส่งเสียงสื่อสารต่อเชี่ยวเย่ว์หลานที่ยังคงใส่หน้ากาก
“อย่าได้กังวลไป! เสี่ยวหยุนย่อมไม่เป็นไร! เด็กสาวหน้าโง่ เหตุใด
เจ้าจึงปิดซ่อนตัวตนจากข้าและเสี่ยวหยุนกัน?” เชี่ยวเย่ว์หลานเอ่ยต่อ
ว่าอย่างไม่จริงจังนัก ทั้งยังหยิกมือน้อยของชี่เม่ยเหลียน
“ข้าเป็นกังวลว่าระหว่างงานประลองยุทธ์ พี่ชายจะต่อว่าข้า เป็นข้า
ต้องการให้เขาชนะ!” ชี่เม่ยเหลียนกล่าวคำ
“ก็ได้! ข้าเองก็ยินดีนักที่พบเจ้า! เสี่ยวหยุนจะยิ่งยินดีกว่าข้า อีกไม่ช้า
เขาสมควรมาที่นี่!” เชี่ยวเย่ว์หลานยิ้มกล่าว
“ไม่ได้ หากพี่ชายมา เขาต้องถูกจับตัวแน่! ทุกคนที่นี่ต่างติดพิษ ท่าน
และข้าไม่อาจเอาชนะกลุ่มคนเลวจากแดนอสูรอ้างว้างเหล่านั้นได้
ไหว!” ชี่เม่ยเหลียนพลันเผยความกังวล
“อย่าได้กลัวไป เสี่ยวหยุนเก่งกาจ เขาย่อมต้องจัดการตัวบัดซบ
เหล่านี้ได้!”
“จริงด้วย เสี่ยวเม่ยเหลียน เจ้าลักลอบเข้าไปตระกูลหลงได้อย่างไร?”
เชี่ยวเย่ว์หลานนึกขึ้นได้จึงเอ่ยถาม
“เดิม… เดิมเป็นเย่ว์เหม่ยที่ปลอมตัวเป็นหลงเย่ว์ ทว่านางได้พบข้า
เข้า นางจึงบอกต่อข้าว่ามีเรื่องอื่นต้องไปทำ ดังนั้นนางจึงให้ข้าไป
แทนที่ หลังจากนั้นนางก็ไม่กลับมาอีกเลย” ชี่เม่ยเหลียนกล่าว
“เย่ว์เหม่ยกระทำเกินเลยไปแล้ว นางถึงขั้นลากเจ้ามายุ่งเกี่ยวเรื่อง
เช่นนี้ เจอกันครั้งหน้าข้าต้องสั่งสอนนาง!” เชี่ยวเย่ว์หลานโกรธไม่
น้อย
“พี่เย่ว์หลาน อย่าได้ทำร้ายเย่ว์เหม่ยไป! เย่ว์เหม่ยกล่าวต่อข้า ว่าหาก
ชนะ ข้าจะทำให้ตระกูลหลงได้รับต้นกำเนิดเซียน จากนั้นเมื่อถึงเวลา
นางจะลักลอบขโมยมันไปให้แก่พี่ชาย แต่หลังจากนั้น ไม่ทราบว่า
เพราะเหตุอันใดนางจึงไม่กลับมา สุดท้ายแล้ว ข้าจึงได้แต่ตามคน
ของตระกูลหลงมายังที่นี่”
ชี่เม่ยเหลียนเป็นกังวลถึงเชี่ยวเย่ว์เหม่ยไม่ใช่น้อย
“อย่าได้ห่วงนางปีศาจน้อยนั่นแล้ว!”
เชี่ยวเย่ว์หลานทราบกระจ่างชัดดี ว่าน้องสาวของตนมักสร้างปัญหา
ไปทั่วทุกที่ นางแทบไม่มีอะไรให้ต้องกังวลห่วงหาถึงด้วยซ้ำ
พวกนางทั้งสองส่งเสียงสื่อสารพูดคุยกัน ถึงเรื่องราวตลอดช่วง
หลายปีที่ผ่านมานี้
ฉินหยุนกำลังแกะสลักโทเทมมังกรอยู่ภายในหอคอย เวลานี้แทบ
ใกล้เสร็จสิ้นแล้ว
เขาเพียงแต่วาดโทเทมมังกร หาได้ใช่การแกะสลักลงบนอุปกรณ์ใด
ดังนั้นจึงสามารถสำเร็จได้รวดเร็ว
เจี้ยนหลิงหลงกลับมาพร้อมใบหน้าสุมอัดด้วยโทสะ
“ผู้อาวุโสหลิงหลงท่านเป็นอะไร? ผู้ใดทำท่านมีโทสะเพียงนี้?” ฉิน
หยุนเอ่ยถาม
“ตัวบัดซบเจี้ยนสือเทียนและผู้อื่น เป็นพวกหน้าโง่ที่จัดการสวะ
เช่นนั้นยังทำกันไม่ได้!” เจี้ยนหลิงหลงกระทืบเท้าอย่างโกรธแค้น
นางนั่งเก้าอี้อย่างรุนแรงพลางหอบหายใจ “ข้าไม่ทราบแล้วว่าตอนนี้
ควรทำอย่างไรดี!”
ฉินหยุนสีหน้าแปรเปลี่ยน สายตาของเขาเหม่อไปครู่ ก่อนจะเอ่ยถาม
ด้วยความกังวล “ท่านหมายความว่าอะไร? ที่ลานกว้างเกิดเรื่องใดขึ้น?”
“กลุ่มคนหน้าโง่ของเจี้ยนสือเทียนล้วนติดพิษกันหมดสิ้น พวกมัน
ได้แต่นั่งกับพื้นนิ่งเฉยสะกดพิษไปเรื่อย! แน่นอนว่ากลุ่มตัวบัดซบ
จากเขตแดนลึกล้ำอสูรอ้างว้างพวกนั้นก็หวาดเกรงพวกเจี้ยนสือ
เทียนทุ่มสุดตัว ดังนั้นพวกมันจึงยังไม่บุกโจมตีอย่างเต็มที่!”
เจี้ยนหลิงหลงหันมองทางฉินหยุนและกล่าว “วาดโทเทมมังกรของ
เจ้าต่อไป เมื่อใดเสร็จ ข้าจะหนีไปพร้อมกับเจ้า! เจ้าและข้าต่างเป็น
เป้าหมายหลักของพวกมัน!”
ฉินหยุนกลายเป็นร้อนใจ นั่นก็เพราะเชี่ยวเย่ว์หลานและชี่เม่ยเหลียน
ยังอยู่ที่ลานกว้างแห่งนั้น ทั้งสองถือเป็นคนที่เขาห่วงหาถึงที่สุด พวก
นางไม่ต่างอะไรกับคนในครอบครัวของเขา
“สงบใจลงก่อน! เมื่อใดโทเทมมังกรเสร็จสิ้น ข้าจะไปพร้อมเจ้า!”
เจี้ยนหลิงหลงพบเห็นความกังวลผ่านสีหน้าฉินหยุน น้ำเสียงของ
นางนุ่มนวลพยายามปลอบประโลม
“ไม่ได้ ข้าไม่อาจไป! ที่ลานกว้างแห่งนั้น มีคนที่สำคัญต่อข้า ข้าต้อง
ช่วยพวกนางไว้ให้ได้!” ฉินหยุนกล่าว
“ผู้ใด? หรือแม่เด็กรั่วหยาน? ได้ยินว่านางมีใจให้เจ้านี่นะ!” เจี้ยน
หลิงหลงกล่าว
“ภรรยาข้าอยู่ที่ลานกว้างนั่น! แล้วก็ใช่ ข้าห่วงน้องหยานด้วย
เช่นกัน!” ฉินหยุนเผยเสียงร้อนรน
“เจ้ามีภรรยาแล้ว? ผู้ใดกัน? สงสัยนักว่าตัวตนเช่นใดเป็นภรรยาเจ้า
ได้?” ดวงตางดงามของเจี้ยนหลิงหลงเป็นประกายพร้อมเอ่ยถาม
อย่างนึกสงสัย
“นี่ไม่ใช่เวลาพูดกล่าวถึงเรื่องนั้น!” ฉินหยุนยิ่งร้อนรุ่มดังอัคคีแผด
เผา เขาได้แต่ต้องพยายามฝืนสงบใจแกะสลักโทเทมมังกรต่อไป
เจี้ยนหลิงหลงมองทางฉินหยุนพร้อมถาม “ฉินหยุน ที่พระราชวัง
เซียนยุทธภัณฑ์มีเซียนคงอยู่ ทั้งนางยังเป็นสตรี นางชราแล้วหรือไม่?”
“ไม่ชรา ทว่ายังสาว และงดงามยิ่ง! นางคือเซียน เหตุใดท่านจึงถาม?”
ฉินหยุนถามกลับ
“ให้นางออกมา!” เจี้ยนหลิงหลงยิ้มกล่าว “ในเมื่อนางแข็งแกร่งเพียง
นั้น นางเพียงพลิกฝ่ามือย่อมแก้ไขสถานการณ์ตอนนี้ได้! กล่าวถึง
เรื่องนี้ รูปลักษณ์นางเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับข้า? นางงดงามกว่าข้า
งั้นหรือ?”
“พวกท่านต่างงดงามในแบบของตน สีหน้าของนางเย็นเยือก หาได้
อ่อนโยนและมีเมตตาเช่นท่าน! แน่นอนว่าพวกท่านสองคนล้วน
เหมือนกัน นั่นก็คือความดุร้ายที่ซุกซ่อน!” ฉินหยุนถอนหายใจ
“บ่อยครั้งนางจะเก็บตัวฝึกฝน เรียกให้นางออกมาไม่ใช่เรื่องง่าย!”
ฉินหยุนในที่สุดจึงแกะสลักโทเทมมังกรเสร็จสิ้น “ให้ข้าออกไป
จัดการตัวบัดซบเหล่านั้น พวกมันถึงขั้นกล้าคุกคามภรรยาข้า ต้องส่ง
พวกมันลงนรกเสียให้หมด!”
เจี้ยนหลิงหลงมองที่แผ่นหนังสัตว์พร้อมอุทานชื่นชม นางกล่าวต่อ
ฉินหยุน “ลำพังเพียงเจ้า? คิดไปสั่งสอนบทเรียนต่อพวกมันที่มาจาก
เขตแดนลึกล้ำอสูรอ้างว้าง? ข้าเกรงว่าเมื่อใดเจ้าไปถึงที่นั่น เจ้าก็ติด
พิษไปก่อนแล้ว! ติดตามข้าออกไปสู่ภายนอก เรียกหากำลังเสริมยังดี
เสียกว่า!”
“ข้า ฉินหยุนผู้นี้ผ่านทะเลคลั่งมาก็มาก ยังมีอันใดที่ข้าไม่เคยพบเห็น
และเผชิญ?”
ฉินหยุนมีวิธีรับมือกับอสูรจากเขตแดนลึกล้ำอสูรอ้างว้างมากมายนัก
ยกตัวอย่าง เขาสามารถปล่อยจอมราชันดวงดาวอสูรออกมาพลิก
กลับสถานการณ์ได้
เจี้ยนหลิงหลงพบว่าไม่อาจเกลี้ยกล่อมฉินหยุน นางจึงกล่าว “หาก
เจ้าออกไป ก็มีแต่จะถูกพวกมันจับตัว! ตราบเท่าที่พวกมันจับตัวเจ้า
ได้ เมื่อนั้นพวกมันก็บีบบังคับให้หยางฉีเย่ว์ปรากฏตัวได้!”
“จารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวเย้ายวนต่อผู้คนจนเกินไป อสูรเหล่านั้น
ล้วนเดินทางมาจากเขตแดนลึกล้ำอสูรอ้างว้าง พวกมันตระเตรียมมา
เป็นอย่างดี เป้าหมายก็เพื่อชิงตัวเจ้า!”
“ผู้อาวุโสหลิงหลง ในหม้อราชสีห์สวรรค์สะกดมังกรของข้ามีครึ่ง
เซียนตระกูลหลงอยู่! หากข้าปล่อยมันออกมา มันย่อมถูกสะกดพลัง
เหลือเพียงราชันยุทธ์ ท่านมีวิธีนำเอาแก่นเต๋าครึ่งเซียนของมัน
ออกมาหรือไม่?” ฉินหยุนกล่าวถาม
“ครึ่งเซียนไม่มีแก่นเต๋า ที่มีคือผลึกแก้วชีวิต! ผลึกแก้วชีวิตของครึ่ง
เซียนมีอำนาจเลิศล้ำ เจ้าคิดทำอะไร? ระเบิดใส่พวกมันอย่างนั้น
หรือ?”
“อย่าได้คิดแล้ว ข้ามั่นใจว่าผลึกแก้วชีวิตนั่นสามารถถล่มเกาะนี้
สังหารผู้คนแทบทั้งหมดจนตายตกได้!” เจี้ยนหลิงหลงกล่าว
“อย่าได้ห่วงเรื่องนั้น เพียงนำมันออกมาให้แก่ข้า!” ฉินหยุนนำเอา
หม้อราชสีห์สวรรค์สะกดมังกรออกมา
“ได้ วางใจข้าได้! สับฟันผู้คนออกเป็นชิ้นเนื้อ ข้าย่อมทำมาไม่น้อย
แล้ว รับประกันได้ว่าผลงานย่อมทำให้เจ้าพึงพอใจ!”
เจี้ยนหลิงหลงกลายเป็นยินดีขึ้นมา เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่นางจะได้
ทำอะไรอย่างการลงมือสังหารครึ่งเซียนด้วยตนเอง

ตอนที่ 704 ร่วมต้านรับศัตรู
“ผู้อาวุโสหลิงหลง หากท่านรู้สึกว่าจารึกวิญญาณจ้าวเต๋าไม่ดี เช่นนั้น
สามารถมอบให้แก่ข้า!”
ฉินหยุนปรารถนาอย่างแรงกล้า หากเขาได้รับจารึกวิญญาณจ้าวเต๋า
เขาจะสามารถแกะสลักอักขระเต๋าได้ง่ายดายทันทีเมื่อมีระดับการ
ฝึกฝนสูงส่งพอ
เจี้ยนหลิงหลงหัวเราะกล่าว “เจ้าต้องการจารึกวิญญาณจ้าวเต๋าหรือ?
เจ้ามีวิธีนำมันออกมา? ต่อให้มีวิธีนำมันออกมา เจ้าก็ยังต้องใช้จารึก
วิญญาณอื่นเพื่อนำมาแลกเปลี่ยนกับข้า! จารึกวิญญาณอัคคีคลั่งและ
ราชันสัตว์ของเจ้า หากมอบหนึ่งในนั้นแก่ข้า ข้าก็ยินดีแลกด้วย!”
ฉินหยุนพอได้ฟังเรื่องแลกเปลี่ยนกับที่ตนเองมี เขารู้สึกว่านี่ไม่คุ้มค่า
ได้เห็นสีหน้าของเขา เจี้ยนหลิงหลงจึงแค่นเสียงเบา “เจ้า… ถึงกับมี
จารึกวิญญาณสองอย่าง กล่าวได้ว่าเป็นโชคสะท้านสวรรค์แล้ว ข้ามี
ชีวิตมานานนับ เหตุใดจึงไม่มีโชคเช่นนี้ตกหล่นมาบ้าง?”
“ผู้อาวุโสหลิงหลง ท่านอยู่มานานเพียงใดกันแล้วขอรับ?” ฉินหยุน
เอ่ยถามออกอย่างนึกสงสัย
“อย่าได้ถามอายุข้า!” เจี้ยนหลิงหลงตอบกลับอย่างดุร้าย
ฉินหยุนบุ้ยปากพลางตั้งใจแกะสลักโทเทมมังกรต่อ
ระหว่างแกะสลัก เขายังเผยออกซึ่งเส้นมืด เป็นผลให้เจี้ยนหลิงหลง
สามารถพิจารณามันได้อย่างถี่ถ้วน นางตอนนี้ย่อมอยู่ระหว่างการ
จดจำอักขระโทเทม
บอลสีดำขนาดใหญ่ยักษ์ที่ร่วงหล่นสู่ลานกว้างตำหนักเซียนดาบ
อย่างกะทันหัน เป็นอุปกรณ์บินได้จริง กลุ่มคนชุดดำจำนวนหนึ่งที่
ออกมาจากด้านใน ทั้งหมดเป็นคนจากเขตแดนลึกล้ำอสูรอ้างว้าง
ตำหนักโทเทมและสำนักแห่งแดนอสูรอ้างว้างกลับกลายเป็นยินดี
ผู้คนของเขตแดนลึกล้ำจากแดนอสูรอ้างว้างเริ่มออกมาจากลูกบอล
ยักษ์กันทีละคน รวมทั้งสิ้นแล้วมีกว่าร้อยคน พวกเขาเผยออร่าอสูร
ออกจากร่างจนทำเอาศิษย์ผู้เยาว์หลายคนต้องตกอยู่ในห้วงความ
หวาดกลัว
เจี้ยนสือเทียนเผยสายตาเย็นเยียบมองทางกลุ่มคน น้ำเสียงนี้อัดแน่น
ด้วยโทสะ “พวกเจ้ากำลังรุกรานพวกเรา! หากยอมกล่าวขออภัยจาก
ใจจริง เช่นนั้นพวกเราจะยอมปล่อยวาง ไม่เช่นนั้น อย่าได้คิดว่าพวก
เจ้าจะมีชีวิตรอดกลับไป!”
บรรดาอสูรจากเขตแดนลึกล้ำอสูรอ้างว้างเหล่านี้แข็งแกร่งยิ่ง
ไม่เช่นนั้น กลุ่มคนของสำนักอสูรจะไม่มีทางเผยความตื่นเต้นยินดี
กันเพียงนี้อย่างแน่นอน
“ตำหนักเซียนดาบและตระกูลเจี้ยน ที่นี่คือสถานที่ซึ่งผู้ฝึกตนดาบมา
รวมตัวกัน! พวกเจ้าตัวตนต่อต้านสวรรค์สมควรตายหมดสิ้น เหตุใด
จึงยังมีชีวิตอยู่รอดมากมายเพียงนี้?” ชายชราเส้นผมสีทองชุดดำแค่น
เสียงกล่าวคำ
“พวกเราผู้ฝึกตนดาบสามารถต่อต้านสวรรค์! หากสวรรค์คิดต้องการ
ให้พวกเราตาย พวกเราย่อมต่อต้าน!” เจี้ยนสือเทียนหัวเราะรับ “กับ
อสูรเช่นพวกเจ้าที่ก่อกรรมชั่วมากมายแต่กลับยังรอดชีวิต ข้ายังคิด
ว่าเรื่องราวนี้แปลกยิ่งกว่า!”
“ข้าได้ยินว่าผู้ฝึกตนดาบแข็งแกร่งเลิศล้ำ ด้วยระดับการฝึกฝน
ทัดเทียมกันถึงขั้นแข็งแกร่งกว่าผู้อื่นหลายเท่านัก! วันนี้ข้าคิดอยาก
ประสบกับตนเองนักว่ามันจะแข็งแกร่งเพียงใด!”
ชายชราเส้นผมสีทองใบหน้าซีดเผือดพลันกลับกลายเป็นสีดำและจึง
เป็นแดง ร่างกายนั้นสั่นรุนแรงระเบิดเอาหมอกโลหิตทะลักล้นออกมา
“อสูรเช่นเจ้าหน่ายเหนื่อยมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?” เจี้ยนสือเทียนตะโกน
ดังด้วยโทสะพร้อมปลดปล่อยดาบต้นกำเนิด
ขณะเดียวกัน ภายในตำหนักเซียนดาบ เสียงระฆังพลันดังขึ้น
ไม่นานจากนั้น บรรดาครึ่งเซียนที่แข็งแกร่งต่างทะยานกันออกมา
จากตำหนักเซียนดาบ
ชายชราชุดขาวจำนวนหนึ่งมาถึงราวกับแหวกมวลเมฆ พวกเขา
เหล่านี้เปรียบดังเซียนที่เคลื่อนคล้อยลงสู่โลก
ชายชราชุดขาวเหล่านี้มีท่าทีประหนึ่งเซียน พวกเขาต่างถือดาบคม
กริบในมือพร้อมไปหยุดกันที่ตรงหน้าเจี้ยนสือเทียน
เมื่อขั้วอำนาจอื่นได้เห็นครึ่งเซียนจากตำหนักเซียนดาบ พวกเขาต่าง
ตื่นตะลึงกันสุดหัวใจ นั่นก็เพราะตัวตนเหล่านี้ใกล้ถึงขอบเขตเซียน
กันแล้ว
“สมกับเป็นตำหนักเซียนดาบ ขุมพลังที่มีช่างเลิศล้ำนัก!” เปาเฉิงโฉ่ว
เผยเสียงตื่นตะลึง
“ตัวบัดซบจากเขตแดนลึกล้ำอสูร พวกเจ้ารุกรานนครแห่งดาบ ก่อ
การอุกอาจต่อตำหนักเซียนดาบ อย่าได้คิดว่าจะไปจากที่นี่โดยมีชีวิต
รอด!” เจี้ยนสือเทียนคำรามด้วยโทสะ “สังหารอสูรเหล่านี้ให้หมด!
ไม่เว้นแม้กระทั่งตูเทียนตี้จากตำหนักโทเทม!”
“นครเซียนยุทธภัณฑ์จะเข้าช่วยเหลือตำหนักเซียนดาบขับไล่อสูร
ร้ายเหล่านี้เช่นกัน!” เปาเฉิงโฉ่วตะโกนดัง
“เกาะจันทราปีศาจยินดีช่วยเหลือ!” แม่เฒ่าหยุนเหยาส่งเสียงกล่าว
“วิมานเซียนปีศาจก็ไม่คิดนิ่งดูดาย!” ครึ่งเซียนจากวิมานเซียนปีศาจ
เผยท่าทีเด่นชัด
มีแต่ครึ่งเซียนของหุบเขาเซียนโอสถและขุนเขาเซียนอัคคีครามที่ไม่
คิดเข้าร่วม พวกเขาถอยหนีห่างไกลออกไป
ตระกูลอื่นทั้งหลายยกเว้นตระกูลเจี้ยน ขณะนี้ต่างถอยหนีห่าง
“พวกเจ้าไม่คล้ายร่วมมือกันได้!” ชายชราเส้นผมสีทองหัวเราะดัง
กล่าวคำ “พวกเราคิดอยากยึดครองเกาะนี้นัก มาดูกันว่าพวกเจ้าจะ
หยุดยั้งพวกเราได้อย่างไร!”
“ราชันแคว้นเยี่ย เจ้าคือราชันแคว้นมหาดวงดาวแห่งแดนวิญญาณ
อ้างว้าง ตัวเจ้าเองก็มีต้นกำเนิดเซียน คิดหรือว่าจะนิ่งเฉยรับชมได้
จนถึงที่สุด?” เจี้ยนสือเทียนเอ่ยคำเสียงเย็น “หากเจ้าไม่ลงมือ ข้า
รับประกันได้ว่าเจ้าจะไม่มีต้นกำเนิดเซียนไว้เสวยสุขอีก!”
ราชันแคว้นเยี่ยกัดฟันแน่นนำคนของตนเข้าร่วม
เขาทราบดี หากไม่ใช่เจี้ยนสือเทียนกับเปาเฉิงโฉ่วหนุนหลัง ตัวเขา
จะไม่มีทางได้เป็นราชันแคว้น
เพื่อต้นกำเนิดเซียน เขาสามารถปล่อยวางความแค้นต่อนครเซียน
ยุทธภัณฑ์เอาไว้ชั่วคราวได้
ราชันแคว้นมู่เผยเสียงดังขึ้น “นี่เป็นเรื่องของแคว้นมหาดวงดาว ข้า
ไม่คิดแทรกแซง!”
เจี้ยนสือเทียนแค่นเสียงเย็น “เจ้าไร้ซึ่งต้นกำเนิดเซียน ข้าจะปล่อยเจ้า
เสนอหน้าที่นี่ต่อทำเพื่ออะไร?!”
บรรดาอสูรจากเขตแดนลึกล้ำอสูรอ้างว้างมีมากมาย กระนั้นราชัน
ยุทธ์หรือจักรพรรดิยุทธ์มีไม่มากนัก มีเพียงแต่ระดับครึ่งเซียนที่
จำเป็นต้องระแวดระวัง
เจี้ยนสือเทียนพยักหน้าส่งสัญญาณ บรรดาครึ่งเซียนแห่งตำหนัก
เซียนดาบต่างตอบรับเป็นเชิงเข้าใจ อย่างกะทันหัน พลังประหลาด
ได้ทะลักล้นจากพื้นดินเบื้องล่าง
ผู้อื่นนอกจากคนของตำหนักเซียนดาบ ทั้งครึ่งเซียนและจักรพรรดิ
ยุทธ์ต่างเผยสีหน้าตื่นตะลึง
นี่ก็เพราะ บรรดาครึ่งเซียนและจักรพรรดิยุทธ์เหล่านั้นต่างรู้สึก ว่า
พลังของตนได้ถูกผนึกเอาไว้
ระดับการฝึกฝนของพวกเขาทั้งหมด ได้ร่วงหล่นลงสู่ระดับราชัน
ยุทธ์!
เจี้ยนสือเทียนเอ่ยเสียงลุ่มลึกดังขึ้น “ทุกคนอย่าได้ตระหนกไป นี่คือ
ค่ายอาคมใหญ่ของนครแห่งดาบ มันจะผนึกระดับการฝึกฝนของ
จักรพรรดิยุทธ์และครึ่งเซียน สะกดลงเอาไว้ที่ขอบเขตราชันยุทธ์!
หากออกพ้นจากนครแห่งดาบ ระดับการฝึกฝนจะฟื้นคืนกลับมา!”
ผู้คนต่างเข้าใจ นี่ถือเป็นค่ายอาคมใหญ่อันปราดเปรื่อง!
เพราะด้วยระดับการฝึกฝนทัดเทียมกัน ผู้ฝึกตนดาบจะมีพลังเหนือกว่า
อย่างเลิศล้ำ เช่นนี้ แม้เป็นผู้ฝึกตนดาบที่อยู่ขอบเขตราชันยุทธ์แต่เดิม
พวกเขาก็อาจเอาชนะครึ่งเซียนจากเขตแดนลึกล้ำอสูรอ้างว้างได้!
ตำหนักเซียนดาบมีค่ายอาคมใหญ่เช่นนี้ นับเป็นการเพิ่มอำนาจการ
คุ้มกันภายในอย่างมหาศาล กระทั่งว่าเป็นครึ่งเซียนที่แข็งแกร่งบุก
โจมตีเป็นกองทัพ กำลังของพวกเขาจะถูกทำให้ถดถอยเหลือที่ราชัน
ยุทธ์
ในเมื่อนี่เป็นสำนักเซียน ย่อมต้องมีราชันยุทธ์อยู่มากมายในสังกัด
ตอนนี้ ตำหนักเซียนดาบคือผู้ที่สามารถสำแดงพลังอำนาจแห่งดาบ
อันเลิศล้ำออกมาได้!
ฉินหยุนกำลังวาดโทเทมมังกร ยามเมื่อได้ยินเสียงระฆังดังขึ้น เจี้ยน
หลิงหลงจึงเผยสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย จากนั้น หลังจากค่ายอาคม
ใหญ่ทำงาน เจี้ยนหลิงหลงแทบไม่อาจคงอาการสงบใจไว้ได้อีก
“ผู้อาวุโสหลิงหลง เกิดเรื่องขึ้นหรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“เกิดเรื่องใหญ่! ค่ายอาคมใหญ่ของนครแห่งดาบไม่เคยถูกเปิดใช้
งานมาเป็นเวลานานยิ่งแล้ว ทว่าตอนนี้กลับถูกเรียกใช้งาน ย่อมต้อง
มีการรุกรานโดยศัตรูที่แข็งแกร่งเป็นกองทัพ!” เจี้ยนหลิงหลงเผย
น้ำเสียงหนักอึ้ง “แต่เดิมจักรพรรดิยุทธ์และราชันยุทธ์ทั้งหมดต้อง
ออกไปต่อสู้ต้านรับศัตรู แต่ตัวข้านั้นพิเศษจึงไม่จำเป็นต้องออกไป!”
“นี่เป็นค่ายอาคมใหญ่อันใดกัน?” ฉินหยุนเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย
“มันสามารถผนึกพลังของครึ่งเซียนและจักรพรรดิยุทธ์ ให้ลดทอน
ลงเหลือที่ขอบเขตราชันยุทธ์!” เจี้ยนหลิงหลงกล่าว “ข้าคือจักรพรรดิ
ยุทธ์ แต่ด้วยค่ายอาคม พลังส่วนหนึ่งของข้าจึงถูกผนึกเอาไว้!”
“วิธีการนี้ ก็เพื่อจำกัดพลังของครึ่งเซียนและจักรพรรดิยุทธ์ให้ถดถอย
เหลือที่ราชันยุทธ์! จากนั้น ผู้ฝึกตนดาบขอบเขตราชันยุทธ์จะสามารถ
เข้าห้ำหั่นอริศัตรูได้!” เจี้ยนหลิงหลงหัวเราะกล่าว “เจ้าวางใจ ตำหนัก
เซียนดาบของเราสามารถต้านรับกองทัพศัตรูที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้!”
“นั่นไม่อาจวางใจ! ข้าสามารถเอาชนะผู้ฝึกตนดาบที่ระดับสูงกว่า
ตนเองด้วยซ้ำ” ฉินหยุนยิ้มกล่าว “เรื่องนี้ท่านอย่าเพิ่งวางใจ!”
“แกะสลักโทเทมมังกรต่อไป ตำหนักเซียนดาบของเราจะเป็นผู้จัดการ
เรื่องนี้เอง!”
เจี้ยนหลิงหลงมองที่โทเทมมังกรพร้อมเอ่ยถาม “ข้าใช้เวลาสร้างหอคอย
เจดีย์แห่งนี้นานยิ่ง แม้ว่าเกาะลอยฟ้านี้ต้องถูกทำลาย หอคอยเจดีย์
ของข้าก็ยังสามารถใช้บินหลบหนี!”
“ภายในหอคอยแห่งนี้เต็มไปด้วยกลไกและกับดัก กระทั่งว่าเป็นครึ่ง
เซียนบุกเข้ามา พวกมันจะถูกปั่นหัวไปมาจนกระทั่งมีสภาพครึ่งตาย!”
“วิเศษนัก!” ฉินหยุนกล่าวชื่นชม เขานึกถึงสระสุสานดาบ นั่นถือ
เป็นสิ่งชวนสะพรึงยิ่ง
ภายในหอคอยแห่งนี้เงียบงัน เขาไม่อาจได้ยินเสียงความวุ่นวายที่
ภายนอก กระนั้น ฉินหยุนก็ยังสัมผัสออร่าที่มาจากภายนอกได้ หาก
ไม่มีอะไรผิดพลาด สถานการณ์ด้านนอกตอนนี้คงดุดันตึงเครียด
อย่างยิ่งยวด
ทว่าเขาก็ยังวางใจได้ระดับหนึ่ง อย่างไรแล้วที่นี่ก็เป็นอาณาเขตของ
ตำหนักเซียนดาบ หากไม่ใช่เซียน ย่อมไม่มีทางทำลายสถานที่แห่งนี้
ลงได้โดยง่าย
หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “เสี่ยวหยุน เจ้าต้องหาทางจับตัวสตรีนางนี้เอาไว้
จารึกวิญญาณจ้าวเต๋าของนางสำคัญยิ่ง หากเจ้าได้รับ มันจะช่วยเหลือ
เจ้าได้อย่างมหาศาล!”
“จริงหรือ? เหตุใดนางจึงปรามาสต่อมันขนาดนั้นกันเล่า?” ฉินหยุน
ถามกลับ
“นั่นก็เพราะนางมีวิสัยทัศน์ที่แคบนัก! อักขระโทเทมที่เจ้าแกะสลัก
ตอนนี้ อย่างเต็มที่ก็เป็นได้แค่อักขระโทเทมลึกล้ำ! หากพวกมัน
วิวัฒนาการสู่อักขระโทเทมเต๋าในภายหน้า เมื่อนั้นเจ้าคิดแกะสลัก
พวกมันจะไม่ใช่ง่ายดายอีกต่อไป” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “ดังนั้นเจ้า
ต้องหาทางจับตัวนางไว้ให้ได้!”
“จับตัวนางหรือ? ข้าจะทำได้อย่างไรกัน?”
ฉินหยุนมีโมโม ภูติน้อยระดับพระแม่ หลังจากที่นางเชี่ยวชาญโทเทม
นางจะสามารถวิวัฒนาการมันขึ้นสู่โทเทมเต๋าได้
ถึงตอนนั้น เมื่อเขาต้องแกะสลักโทเทมเต๋าที่ซับซ้อน ความผ่อนคลาย
เช่นที่มีตอนนี้จะไม่อาจมีได้อีก เมื่อแกะสลักอักขระโทเทมเต๋า ระดับ
ความวิจิตรจะลดน้อยลงอย่างมหาศาล
แต่หากเขาได้รับจารึกวิญญาณจ้าวเต๋า ระดับความวิจิตรที่ทำได้จะ
ยังคงสภาพหรืออาจดีขึ้น!
“อย่างไรงั้นหรือ? กดนางลงกับพื้นแล้วให้นางบำเรอต่อเจ้า! เช่นนั้น
ในภายหน้าเมื่อมีโอกาส ค่อยใช้วาจาล่อลวงให้นางส่งมอบจารึก
วิญญาณจ้าวเต๋าแก่เจ้า!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าวคำ
ฉินหยุนกลายเป็นไม่ยินดี “ข้าไม่คิดทำ ข้าย่อมมีวิธีการที่ดีกว่านั้น”
“ยังจะมีวิธีการอื่นใด? เจ้าไม่เห็นหรือว่าสตรีนางนี้ก็เหมือนดังเจี้ยน
รั่วหยาน ภายนอกเย็นชา ทว่าภายในอ่อนนุ่มเป็นปุยนุ่น เพียงหยอด
คำหวานต่อนางก็คว้าใจนางเอาไว้ได้แล้ว! กระทั่งปิงชิง เซียนหญิง
ยังต้องร้อนรุ่มก็เพราะเจ้า! เจ้าสมควรต้องเชื่อในเสน่ห์ของตนเอง!”
หลิงหยุนเอ๋อไม่ทราบโกรธมาแต่ใด นางรู้สึกว่าโอกาสนี้ไม่สมควร
พลาด เพราะนี่จะทำให้ฉินหยุนได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด
“ข้ายังมีเย่ว์เหม่ย! เมื่อใดวิญญาณยุทธ์กระจกของนางส่องที่จารึก
วิญญาณหรือวิญญาณยุทธ์ ข้าจะสามารถคัดแยกพวกมันออกมาและ
สร้างขึ้นได้! ย้อนกลับไปตอนนั้น ข้ายังขัดเกลาวิญญาณยุทธ์ของ
หงหลันได้สำเร็จด้วยซ้ำ!”
ฉินหยุนพอคิดถึงเรื่องนี้ เขายิ่งรู้สึกตื่นเต้น ขณะเดียวกัน เขาก็ต้อง
ลอบสบถต่อเชี่ยวเย่ว์เหม่ย เป็นนางวิ่งเล่นไปทั่วจนตัวเขาไม่อาจหา
ตัวได้พบ
“หากเจ้าฟังข้าแต่โดยดี โฉมงามเหล่านั้นก็พร้อมโค้งกายให้เจ้ากัน
ถ้วนหน้าแล้ว!” หลิงหยุนเอ๋อถอนหายใจเหนื่อยหน่าย นางกล่าว
“เจ้ามันไม้ผุที่ไม่อาจนำมาใช้อะไรได้!”
ฉินหยุนไม่คิดฟังหลิงหยุนเอ๋ออีก ขณะนี้เขาเลือกที่จะตั้งใจแกะสลัก
โทเทมมังกร
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เสียงระฆังของตำหนักเซียนดาบพลันดังขึ้นอีก
ครั้ง ครั้งนี้ เสียงมันดังยิ่งกว่า และยังคงเสียงสะท้อนดังต่อเนื่อง
“เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว เจ้าอยู่ที่นี่อย่าได้ไปที่ใด ข้าจะออกไปดู
สถานการณ์!”
เจี้ยนหลิงหลงสีหน้าแปรเปลี่ยน นางกล่าวย้ำเตือนฉินหยุนก่อนเร่ง
รีบออกไป
ฉินหยุนกลายเป็นร้อนใจครุ่นคิดกับตนเอง “หรือว่าตำหนักเซียน
ดาบจะพลาดท่า? หรือเกาะแห่งนี้กำลังร่วงหล่น?”
หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “เสี่ยวหยุน สถานการณ์ภายนอกไม่คล้ายดีเท่าใด
นัก เจ้าต้องเตรียมรับศึก!”

ตอนที่ 703 ผู้อาวุโสโฉมงาม
บอลสีดำขนาดใหญ่ยักษ์ได้ลงจอดที่ลานกว้างของตำหนักเซียนดาบ
มันคล้ายกับดวงดาวสีดำขนาดเล็ก
เจี้ยนหนันหู่นำฉินหยุนมุ่งหน้าสู่ปีกตะวันตกของตำหนักเซียนดาบ
สายตาหันกลับไป เขาย่อมพบเห็นบอลสีดำขนาดใหญ่ยักษ์
“นั่นมันอะไรกัน?” เจี้ยนหนันหู่เผยอาการตื่นตะลึง
“สมควรเป็นอุปกรณ์บินได้ที่ทรงพลังยิ่ง มันถึงขั้นสามารถทะลวง
ผ่านม่านพลังของเกาะและตำหนักเซียนดาบเข้ามาได้!” ฉินหยุน
สัมผัสได้ถึงออร่าอสูร สังหรณ์ลางร้ายปรากฏเด่นชัดภายใน
เจี้ยนหนันหู่กล่าว “อย่าได้สนใจ ให้ข้านำเจ้าไปพบผู้อาวุโส เพื่อที่
เจ้าจะได้ถ่ายทอดโทเทมมังกรแก่นาง!”
ฉินหยุนไม่อาจทราบว่าที่ลานกว้างเกิดเรื่องอันใด ความสงสัยขณะนี้
อัดแน่นอยู่เต็มอก
เจี้ยนหนันหู่นำฉินหยุนไปสู่ทางปีกตะวันตกของตำหนักเซียนดาบ
ที่แห่งนั้นมีเนินเขาลูกเล็กซึ่งมีทุ่งดอกไม้นานาชนิดปรากฏอยู่ นับว่า
เป็นสถานที่งดงามแห่งหนึ่ง
สภาพแวดล้อมนี้เป็นหลิงหยุนเอ๋อชื่นชอบเป็นที่สุด ภายในมิติมายา
ของฉินหยุน หลิงหยุนเอ๋อถึงขั้นร้องขอสถานที่งดงามเช่นนี้บ้าง
“เจี้ยนหนันหู่ นามของอาจารย์จารึกโฉมงามแห่งตำหนักเซียนดาบ
เจ้าคือ?” ฉินหยุนพอได้เห็นสภาพแวดล้อมนี้ เขาค่อยตระหนักได้ว่า
สตรีที่อาศัยอยู่ที่นี่คงชื่นชอบดอกไม้
“เจี้ยนหลิงหลง หากเจ้าอยู่ในแวดวงอาจารย์จารึก อย่างนั้นย่อมต้อง
สมควรคุ้นเคยนามนี้!” เจี้ยนหนันหู่มองที่สีหน้าของฉินหยุนพร้อม
กล่าว “ดูจากสีหน้าเจ้า คงไม่เคยได้ยินนามนี้กระมัง!”
“เป็นเช่นนั้น ข้าไม่เคยได้ยินนามนี้มาก่อน!” ฉินหยุนยักไหล่ตอบ
กลับอย่างเสียมิได้
ฉินหยุนตามเจี้ยนหนันหู่ไปทางเนินเขาลูกน้อย ไม่นานจึงได้เห็น
หอคอยเจดีย์ไม้สูงถึงหกชั้นตั้งตระหง่าน
“เจี้ยนหลิงหลงผู้นี้เป็นบุคคลเช่นไร? ปู่เจ้าบอกต่อข้า ว่านางอ่อนโยน
และโอบอ้อมอารี!”
ย้อนกลับไปตอนนั้น ครั้งฉินหยุนถูกขับไล่ออกจากนครเซียนยุทธภัณฑ์
เจี้ยนสือเทียนเดินทางมาเพื่อคิดดึงตัวเขา ทั้งยังสาธยายถึงอาจารย์
จารึกเต๋าโฉมงามไว้มากมาย
“อ่อนโยนและโอบอ้อมอารีหรือ? จะบอกว่าเจ้าได้ยินนามของนาง
แล้วจึงคิดเช่นนั้น?” เจี้ยนหนันหู่เผยสีหน้ามึนงง “ฉินหยุน ข้าต้อง
ขอย้ำเตือนต่อเจ้า ตระกูลเจี้ยนของเราไม่เคยมีสตรีใดอ่อนโยนและ
โอบอ้อมอารี!”
*เจี้ยนหลิงหลง หมายความถึง ดาบอันวิจิตรงดงาม
“อ่อนโยนและโอบอ้อมอารี ยามเมื่อพูดกล่าวถึงสตรีจากตระกูล
เจี้ยน นั่นล้วนเป็นภาพลวง! เจ้าเองก็น่าจะได้ประสบกับตนเองแล้ว
ว่าน้องหยานนั้นดุดันเพียงใดหรือไม่ใช่? ผู้อาวุโสหลิงหลงจะยิ่งกว่า
นางหลายเท่านัก!”
ฉินหยุนย่อมเคยประสบกับอารมณ์ร้อนแรงของเจี้ยนรั่วหยานมา
ก่อน กระนั้นเขาก็ยังได้เป็นผู้แรกที่มีประสบการณ์อีกด้านกับนาง
“ปู่เจ้าแท้จริงคิดลวงหลอกต่อข้า เขากล่าวว่าตำหนักเซียนดาบเจ้ามี
อาจารย์จารึกเต๋าโฉมงามที่อ่อนโยนและโอบอ้อมอารีเปรียบดังสายน้ำ
และนางก็เป็นผู้อาวุโสด้วย!” ฉินหยุนบุ้ยปากกล่าวคำ
“ผู้อาวุโสหลิงหลง ถือเป็นผู้มากพรสวรรค์ทางวิถีจารึกของตระกูล
เจี้ยนในรอบหลายปีมานี้ ด้วยเหตุนี้ แม้นางมีอารมณ์ร้ายไปบ้าง ทว่า
บรรดาผู้อาวุโสของตระกูลเจี้ยนและตำหนักเซียนดาบก็ทำได้เพียงแต่
อดทน!” เจี้ยนหนันหู่เมื่อใกล้ถึงหอคอยเจดีย์หกชั้น เขาค่อยก้าวเดิน
เข้าไปด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
“ผู้อาวุโสหลิงหลงนี้อายุเท่าใดกันแล้ว?” ฉินหยุนพลันเอ่ยถามอย่าง
นึกสงสัย
กล่าวคำจบ เจี้ยนหนันหู่เร่งรีบเข้าตะครุบปากเขาเอาไว้พร้อมเอ่ย
เสียงเบา “ฉินหยุน นี่เจ้าหน่ายจะมีชีวิตอยู่แล้วงั้นหรือ? หากผู้อาวุโส
หลิงหลงได้ยิน ชีวิตพวกเราทั้งคู่ได้จบสิ้นที่ตรงนี้แน่!”
จากนั้น เจี้ยนหนันหู่จึงส่งเสียงสื่อสารบอกต่อฉินหยุนเป็นการกล่าว
เตือน “ฉินหยุน เมื่อใดพบผู้อาวุโสหลิงหลง เจ้าต้องสำรวมให้ดี
นอกจากนี้แล้ว อย่าได้มองใบหน้าของนาง! ยิ่งไปกว่านั้น อย่าได้เอ่ย
ถามถึงอายุ นางเกลียดผู้ที่เอ่ยถามถึงอายุของนางเป็นที่สุด!”
“เจี้ยนหนันหู่ ยังมีเรื่องอื่นใดที่ห้ามทำต่อหน้าผู้อาวุโสหลิงหลงนี้อีก
หรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถามเพื่อให้รู้เสียแต่แรก
“เมื่อใดเจ้าพูด เสียงอย่าได้ยกตนเหนือกว่านาง น้ำเสียงการพูดจาต้อง
ดี พูดกล่าวด้วยรอยยิ้ม ดีที่สุดคือก้มหัวยามพูดคุย อย่าได้คิดมอง
ใบหน้าของนาง นอกจากนี้แล้ว จงฟังคำของนางอย่างเคร่งครัด อย่า
ได้ถามวาจาไร้สาระ โดยสรุป ทำเสมือนเจ้าเป็นหลานชายตัวน้อย
เข้าพบบรรพบุรุษ!”
เจี้ยนหนันหู่ค่อนข้างหวาดเกรงผู้อาวุโสหลิงหลงอย่างเห็นได้ชัด
ฉินหยุนพอได้รับฟัง เขาอดไม่อยู่จนต้องขมวดคิ้วมุ่น ภายในเวลานี้
ต้องสบถก่นด่าต่อจิ้งจอกเฒ่าเจี้ยนสือเทียน อีกฝ่ายถึงขั้นลวงหลอก
ต่อเขา กล่าวว่าจะได้พบเจออาจารย์จารึกเต๋าที่งดงามและอ่อนโยน
“ผู้น้อยเจี้ยนหนันหู่แสดงความนับถือต่อผู้อาวุโสหลิงหลง!”
เจี้ยนหนันหู่ไปถึงตรงหน้าหอคอยเจดีย์พร้อมโค้งกายอย่างสุภาพ
เขากล่าวออกด้วยรอยยิ้มเปื้อนใบหน้า
จากนั้นเขาจึงเร่งรีบส่งเสียงบอกต่อฉินหยุน “เร่งรีบโค้งกายเจ้า!”
ฉินหยุนจึงได้แต่ทำตาม โค้งกายตั้งแต่ช่วงเอวขึ้นมาให้กับประตู
บานเลื่อน
“มีธุระใดจงรีบพูดออกมา!” เสียงของเจี้ยนหลิงหลงดังขึ้น เสียงนี้
ธรรมดา กระนั้นมันมาพร้อมโทสะอันเย็นเยือก
เจี้ยนหนันหู่เผยอาการสั่นกลัวทั้งร่าง เขาเร่งร้อนกล่าว “ศิษย์ของนคร
เซียนยุทธภัณฑ์ได้เชี่ยวชาญโทเทมมังกร เขาต้องการมอบโทเทม
มังกรแก่ตำหนักเซียนดาบเป็นของกำนัล จ้าวสำนักกำลังรับมือกับ
ผู้อื่นอยู่ ดังนั้นข้าจึงนำพาเขามาที่นี่ขอรับ!”
คำพูดเพียงกล่าวจบ ประตูบานเลื่อนจึงเปิดออก
“พวกเจ้าทั้งสอง เข้ามา!” น้ำเสียงของเจี้ยนหลิงหลงยังคงเป็นดังเคย
เย็นเยือกและเฉยชา
“ผู้อาวุโสหลิงหลง ศิษย์ยังมีเรื่องต้องกระทำ ดังนั้นข้าขอตัวก่อน
ขอรับ!” เจี้ยนหนันหู่กล่าวคำจบ จึงเร่งรีบเผ่นหนีหายด้วยความเร็ว
มากล้ำ
ฉินหยุนก้าวเดินผ่านประตูไปด้วยอาการสงบ
เมื่อเขาเข้ามา ประตูจึงค่อยปิดลง
ฉินหยุนที่เข้ามาในหอคอย เขารับรู้ถึงพลังงานร้อนแรงแผดเผา
ตรงหน้าเป็นสระน้ำ มันอัดแน่นไว้ด้วยของเหลวสีแดงเดือดพล่าน
ประหนึ่งโลหะหลอมเหลว
“ข้าฉินหยุนจากนครเซียนยุทธภัณฑ์ มาที่นี่เพื่อส่งมอบโทเทมมังกร
เป็นของกำนัล!” ฉินหยุนหันมองรอบ พบว่าที่นี่ไม่มีเจี้ยนหลิงหลง
“เหตุใดเจ้าจึงมอบโทเทมมังกรอันล้ำค่าให้แก่ตำหนักเซียนดาบของ
เรา? เจ้ามีแผนการอื่นใด?” เจี้ยนหลิงหลงเอ่ยถามเสียงเย็น
“เพื่อให้ตำหนักเซียนดาบของท่านคุ้มกันแก่ข้า…” ฉินหยุนเริ่ม
อธิบายเรื่องราวให้แก่เจี้ยนหลิงหลงได้รับฟัง
หลังได้รับฟัง เจี้ยนหลิงหลงจึงกล่าว “ข้าได้ยินว่าเจ้ามีจารึกวิญญาณ
อัคคีคลั่ง!”
“ถูกต้องขอรับ!” ฉินหยุนรับคำ
“หากต้องการพบเจอข้า เช่นนั้นจงกระโดดลงสระสุสานดาบ!”
น้ำเสียงของเจี้ยนหลิงหลงดังขึ้น
ฉินหยุนไม่คิดถามยังทราบ ว่าสระของเหลวสีแดงเดือดพล่านตรงหน้า
คือสระสุสานดาบ
“ผู้อาวุโส ข้าจะแกะสลักโทเทมมังกรลงบนแผ่นหนังสัตว์และวางไว้
ที่ตรงนี้ ข้าหาได้ต้องการพบท่านไม่!” ขณะมองที่สระน้ำ ฉินหยุน
พบว่ามันไม่ใช่อะไรที่ตนควรเข้าไปยุ่ง
“เจ้าหวาดกลัวสระสุสานดาบหรือ?” เจี้ยนหลิงหลงหัวเราะเดียดฉันท์
ดังขึ้น
“ข้าย่อมต้องกลัว!”
ฉินหยุนไม่คิดลงไปอย่างแน่นอน เขาเพียงคิดแต่ไปจากที่ตรงนี้
โดยเร็ว เมื่อใดส่งมอบโทเทมมังกรแก่เจี้ยนหลิงหลง เขาย่อมเผ่นหนี
จากที่นี่โดยเร็วที่สุด
“ไร้สาระ เร่งรีบลงมาได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเจ้าอย่าได้หวังว่าจะออกไป
ได้! เจ้าไม่คิดพบเจอข้า แต่ข้าคิดพบเจอเจ้า!” เจี้ยนหลิงหลงเผย
น้ำเสียงคุกคาม
ฉินหยุนถอนหายใจ เขานำเอาไข่มุกไล่น้ำออกมาพร้อมกระโดดลง
ไป
ที่ทำเขารู้สึกแปลกประหลาด คือยามที่กระโดดลงไป มันกลับมีพลัง
ดูดเขาขึ้นไปด้านบน!
เขาไม่ได้ร่วงหล่นสู่สระสุสานดาบ แต่กลับกลายเป็นพุ่งทะยานถึง
ด้านบนเหนือสระสุสานดาบ
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงขึ้นมาถึงที่ชั้นสองพร้อมอาการตระหนกตกใจ!
ที่ปรากฏตรงหน้า เป็นห้องโถงเรียบง่าย สว่างไสว ทว่าพื้นและเก้าอี้
ที่นี่ล้วนเป็นสีดำ ราวกับมันสร้างขึ้นจากโลหะสีดำอันเย็นเยียบ
ตอนนี้เอง เขาค่อยได้เห็นเจี้ยนหลิงหลง นางสวมใส่ชุดธรรมดา
เพียงแต่เป็นสีเขียวสุกสว่าง
รูปลักษณ์ของนางงดงาม ใบหน้ารูปไข่นวลขาวผ่องอัดแน่นด้วย
เสน่ห์ ผมหางม้าที่มัดรวบเอาไว้ปล่อยยาวถึงหน้าอกของนาง ดวงตา
อ่อนโยนกลมโตงดงามคู่นั้นเผยประกายความโอบอ้อมอารี
แม้ชื่อนางหมายความถึงดาบอันวิจิตร กระนั้นร่างกายนางไม่วิจิตร
เช่นนั้น นางถึงขั้นสูงทัดเทียมฉินหยุนที่เกือบเมตรแปดสิบ!
ฉินหยุนรู้สึกว่าเจี้ยนหลิงหลงผู้นี้ประหลาด จากรายละเอียดที่ฟังมา
นางเป็นสตรีที่ดุดัน กระนั้น นางกลับดูอ่อนโยนและงดงาม นอกจากนี้
แล้ว ยังเป็นโฉมงามที่แท้จริงคนหนึ่ง
“เจ้าปีศาจน้อยเจี้ยนหนันหู่นั่นสมควรตักเตือนเจ้าแล้ว เจ้าไม่อาจ
มองข้าเช่นนี้ได้!” เจี้ยนหลิงหลงนั่งที่เก้าอี้ สายตานางมองที่ฉินหยุน
พร้อมยิ้มกล่าว
“ผู้อาวุโสเจี้ยนสือเทียนครั้งหนึ่งเคยคิดดึงตัวข้าให้เข้าร่วมตำหนัก
เซียนดาบเป็นศิษย์ท่าน ในตอนนั้น เขาได้กล่าวว่าท่านเป็นสตรีที่
อ่อนโยนเปรียบดังสายน้ำอันสงบ!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว “แต่แล้ว
ระหว่างทางมาที่นี่ เป็นเจี้ยนหนันหู่บอกต่อข้า ว่าท่านหาได้
อ่อนโยนแม้เพียงนิด!”
“มันยังพูดอันใดอีก!?” เจี้ยนหลิงหลงเอ่ยถามพร้อมยิ้มอ่อนทว่า
ร้อนแรงดังอัคคีเพลิง
“เขากล่าว ว่าตระกูลเจี้ยนหาได้มีสตรีที่อ่อนโยนและโอบอ้อมอารี!”
ฉินหยุนตอบกลับ
เจี้ยนหลิงหลงหัวเราะดัง “นั่นก็ถูก ตระกูลเจี้ยนไม่เคยมีสตรีใดที่
อ่อนโยน! จงนั่ง!”
ฉินหยุนพอนั่งลงแล้ว เขาจึงถาม “ให้ข้าเริ่มแกะสลักโทเทมมังกร
เลยหรือไม่?”
เจี้ยนหลิงหลงเดินมา หยุดยืนตรงหน้าฉินหยุน ด้วยท่วงท่ายืนกอดอก
นางมองที่ฉินหยุนราวกับผู้สูงส่งมองต่อผู้น้อย น้ำเสียงเย็นเยือกพลัน
กล่าวถาม “ในตอนนั้นที่เจี้ยนสือเทียนชักชวนเจ้า เหตุใดจึงไม่มา?”
“ข้าคิดอยากมา! ทว่าผู้อาวุโสสูงสุดของนครเซียนยุทธภัณฑ์ของเรา
ขวางข้าเอาไว้ นางเป็นถึงเซียน ท่านสมควรได้ยินเรื่องนางบ้าง
กระมัง?” ฉินหยุนพบแรงกดดันจากเจี้ยนหลิงหลง เขาจึงต้องกล่าว
ออกเช่นนี้
“ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ เช่นนี้ก็ไม่ต้องกลับไป!” เจี้ยนหลิงหลงกล่าว
“เรื่องนี้ เป็นข้าสัญญาต่อผู้อาวุโสสูงสุด ว่าข้าจะอยู่ที่นครเซียนยุทธภัณฑ์
ไม่จากไป ข้าไม่อาจกลับคืนคำพูด!” ฉินหยุนเพิ่งชนะได้รับต้นกำเนิด
เซียนมาจำนวนหนึ่ง เขาจะไม่กลับไปได้อย่างไร?
เจี้ยนหลิงหลงคล้ายสนใจในตัวฉินหยุนยิ่ง นางวางมือขาวนวลที่
ศีรษะฉินหยุนพร้อมยิ้มกล่าว “หากเจ้าอยู่ ข้ารับปากว่าเจ้าจะได้เห็น
ด้านที่อ่อนโยนโอบอ้อมอารีของสตรีตระกูลเจี้ยน!”
ฉินหยุนสะท้าน เจี้ยนหลิงหลงถึงขั้นคิดอยากเก็บตัวเขาไว้ที่นี่
นางพอได้เห็นสีหน้าตื่นตะลึงของฉินหยุน รอยยิ้มหวานจึงเผยออก
กล่าวคำ “ข้าทำให้ผู้อื่นหวาดกลัว ก็เพราะข้าและพวกมันไม่อาจ
สื่อสารกันได้รู้เรื่อง ทว่าไม่ใช่กับเจ้า เจ้าเป็นอาจารย์จารึกที่มี
พรสวรรค์!”
ฉินหยุนพลันรู้สึก ว่าเจี้ยนหลิงหลงตรงหน้าผู้นี้กลับกลายเป็นแปร
เปลี่ยน แสดงความอ่อนโยนออกมาอย่างแท้จริงเสียอย่างนั้น
“ผู้อาวุโสหลิงหลง ภายนอกสมควรเกิดเรื่องขึ้น ข้าคิดอยากมอบ
โทเทมมังกรแก่ท่านเสียเดี๋ยวนี้เพื่อกลับไป!” ฉินหยุนห่วงหาชี่เม่ย
เหลียนไม่ใช่น้อย
“พวกเราอาจารย์จารึกไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องสู้รบหรือสังหาร
ผู้อื่น!” เจี้ยนหลิงหลงยิ้มอ่อนกล่าวคำ “เจ้าอยู่ที่นี่ กับข้า!”
“ผู้อาวุโสหลิงหลง ข้ายังมีอีกหลายเรื่องราวให้ต้องไปทำขอรับ!”
ฉินหยุนกล่าวออกด้วยสีหน้าหนักแน่น
“ได้ อย่างนั้นข้าก็ไม่คิดทำให้เจ้าลำบากใจ!” เจี้ยนหลิงหลงเผยความ
ผิดหวังออกเล็กน้อย นางถอนหายใจกล่าว “แกะสลักโทเทมมังกร
ให้แก่ข้า ข้าคิดอยากเห็นเจ้าแกะสลักมันด้วยตาของข้าเอง!”
“ขอรับ!”
ฉินหยุนเร่งรีบเอาแผ่นหนังสัตว์ออกมาวางบนโต๊ะ จากนั้นจึงเริ่ม
แกะสลักอย่างรวดเร็ว
ขณะนี้เอง ดวงตาเจี้ยนหลิงหลงกลับเบิกกว้าง มันเผยประกายออก
นางหัวเราะดัง “เจ้าปีศาจน้อย เจ้าถึงขั้นมีจารึกวิญญาณราชันสัตว์!
โทเทมมังกรมีความซับซ้อนยิ่ง กระนั้นความเร็วที่เจ้าเผยออกนี้มัน
มากล้ำเกินไป!”
ฉินหยุนนิ่งอึ้ง เขาค่อยทราบว่าเผลอเปิดโปงตนเองเข้าให้แล้ว
“ข้าเองก็มีจารึกวิญญาณ ทว่ามันหาได้ดีดังเช่นของเจ้าไม่! จารึก
วิญญาณของข้า คือจารึกวิญญาณจ้าวเต๋า!” เจี้ยนหลิงหลงกล่าว
“จารึกวิญญาณจ้าวเต๋าย่อมดีเลิศ!” ฉินหยุนอุทานร้อง
เมื่ออาจารย์จารึกแกะสลักอักขระเต๋า จารึกวิญญาณจ้าวเต๋าจะทำให้
สามารถสำเร็จผลลัพธ์เป็นสองเท่าด้วยความพยายามเพียงครึ่งหนึ่ง!
“แต่ยามใช้มันแกะสลักโทเทมหาได้มีประโยชน์อันใดไม่!” ใบหน้า
ของเจี้ยนหลิงหลงเผยแต่ความนึกเสียดาย นางกล่าว “แกะสลักอักขระ
เต๋าไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อใดเงื่อนไขครบย่อมสำเร็จได้! จารึกวิญญาณ
อัคคีคลั่ง และจารึกวิญญาณราชันสัตว์ของเจ้าจึงครอบคลุมเป็นวง
กว้างกว่า พวกมันสามารถใช้ได้กับทั้งอักขระและโทเทม”

ตอนที่ 702 ไฉนจึงเป็นนาง?
หลงเย่ว์ยอมแพ้ เรื่องนี้ทำเอาทั้งราชันแคว้นมู่และครึ่งเซียนตระกูล
หลงต่างตื่นตะลึงยืนนิ่งตาค้าง!
นี่หมายความถึง พวกเขาต้องสูญเสียสิ่งของล้ำค่ายิ่ง!
โดยเฉพาะกับราชันแคว้นมู่ เมื่อครู่เขาสูญเสียต้นกำเนิดเซียน และ
ตอนนี้ ยังต้องสูญเสียวิญญาณยุทธ์จันทราทองม่วง
เรื่องราวที่เขายอมรับไม่ได้ที่สุดยังคงเป็นฉินหยุน อีกฝ่ายสังหาร
ศิษย์ของเขาไป ทั้งขณะนี้ยังจะชนะได้รับของไปเพิ่ม!
หลังจากเจี้ยนสือเทียนถอนม่านพลัง เขาจึงลงมาที่ข้างกายฉินหยุน
ผู้คนของตระกูลหลงต่างเร่งร้อนขึ้นมาบนลานประลองยุทธ์
โดยเฉพาะครึ่งเซียนวัยกลางคนของตระกูลหลง ทันทีเมื่อขึ้นมา ฝ่า
มือนั้นตบฉาดอย่างรุนแรง
หลงเย่ว์ผู้ซึ่งเพิ่งลุกขึ้นยืน ขณะนี้ร่างกระเด็นพ้นลานประลองยุทธ์
โดยครึ่งเซียนวัยกลางคน
ผู้คนตระกูลหลงต่างคิดอยากไล่ตามนางเพื่อทุบตีซ้ำเติมต่อ ทว่าพวก
เขาไม่คาดคิด ว่าหลงเย่ว์จะถูกเชี่ยวเย่ว์หลานรับตัวเอาไว้
ยิ่งไปกว่านั้น แม่เฒ่าหยุนเหยายังเป็นฝ่ายออกหน้าขวางพวกเขา ทั้ง
ยังตบหน้าจักรพรรดิยุทธ์ผู้หนึ่งจนร่างกระเด็น!
“พวกเจ้าคิดทำอะไร?” ครึ่งเซียนตระกูลหลงร้องคำราม
“หลงเย่ว์คือศิษย์ของเกาะจันทราปีศาจเรา!” ได้เห็นหลงเย่ว์ถูกทำร้าย
แม่เฒ่าหยุนเหยาจึงตัดสินใจออกหน้าเข้าคุ้มครองหลงเย่ว์อย่างสุดตัว
ที่บนลานประลองยุทธ์ ผู้คนของตระกูลหลงต่างเอ่ยถามต่อฉินหยุน
อย่างกราดเกรี้ยว ว่าเขาไปเรียนรู้วิชาลับมังกรสวรรค์จากที่ใด
ฉินหยุนมองทางหลงเย่ว์ที่อยู่กับเชี่ยวเย่ว์หลาน หัวใจพลันต้องเต้น
รัวเร็ว เพราะก่อนหน้านี้หลงเย่ว์ไม่ได้บาดเจ็บใดแม้เพียงนิด เป็น
นางจงใจยอมแพ้ต่อเขา
ตัวเขาเองรู้ดีกว่าผู้ใด ว่าหลังจากออกสองกระบวนท่านั้น เขาไม่มี
แรงให้สู้ต่อได้แล้ว
สำหรับหลงเย่ว์ แม้นางเหมือนล้มลงกับพื้น ทว่านางยังมีกำลังเปี่ยม
ล้น คิดเอาชนะฉินหยุนไม่ใช่เรื่องยาก!
ฉินหยุนยิ่งมั่นใจ ว่าหลงเย่ว์คือคนใกล้ชิดที่คุ้นเคยด้วย เพราะเหตุนั้น
นางจึงยอมให้เขาได้รับชัยชนะ
สำหรับผู้อื่น เรื่องราวเช่นนี้พวกเขามีแต่จะยินดีที่ได้เป็นผู้รับชม
พวกเขาชื่นชอบได้พบเห็นเภทภัยผู้อื่นเป็นล้นพ้น
ครึ่งเซียนวัยกลางคนจากแคว้นมังกรทะยานฟ้าผู้นี้ เป็นเบื้องสูงแห่ง
ตระกูลหลง สายตาของเขามองทางแม่เฒ่าหยุนเหยาพร้อมเอ่ยเสียง
เย็น “พวกเจ้าเหล่าสตรีจงรอคอย ไม่นานข้าจะไปกวาดล้างพวกเจ้า
จนหมดสิ้น!”
ราชันแคว้นมู่เร่งร้อนทะยานเข้ามาเอ่ยคำกราดเกรี้ยวต่อฉินหยุน
“ฉินหยุน เจ้าได้ลักลอบเรียนรู้วิชาลับของตระกูลหลง เป็นเจ้าทำผิด
ร้ายแรงต่อมหาวิถียุทธ์แห่งเต๋า จงเร่งรีบจบสิ้นชีวิตตนเองเสียที่นี่
และวันนี้!”
เปาเฉิงโฉ่วยืนต่อหน้าฉินหยุน เขาเพิ่งได้รับต้นกำเนิดเซียนทั้งสาม
จากเจี้ยนสือเทียน ฉินหยุนชนะได้พวกมันมาทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ แม้
ต้องแลกด้วยชีวิต เขาก็ต้องปกป้องฉินหยุนไว้ให้จงได้
ฉินหยุนนั่งกับพื้น พร้อมรับเอาวิญญาณยุทธ์จันทราทองม่วงมา
เจี้ยนรั่วหยานและเย่ว์ผูเฟิงต่างเข้ามา ทั้งสองช่วยส่งถ่ายพลังให้แก่
ฉินหยุนเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟู
แม้ฉินหยุนไร้เรี่ยวแรง ทว่าเขาหาได้กังวลใดไม่ นั่นก็เพราะเปาเฉิง
โฉ่วย่อมต้องออกหน้าปกป้องเขา
“พวกเจ้าคิดสังหารฉินหยุนหรือ? คิดว่าข้าเป็นคนตายหรือไร?” เปา
เฉิงโฉ่วขึ้นเสียงกล่าวคำ
“เปาเฉิงโฉ่ว นำต้นกำเนิดเซียนทั้งสามนั่นไสหัวกลับนครเซียน
ยุทธภัณฑ์ของเจ้าไป! นี่ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้าอีก!” ราชัน
แคว้นมู่นำดาบยาวออกมา พลังเซียนอัดแน่นเต็มที่ เพียงมองย่อม
ทราบ ว่านั่นคืออุปกรณ์เซียน
เปาเฉิงโฉ่วเผยเสียงหัวเราะดัง “ฉินหยุนเป็นศิษย์ของนครเซียน
ยุทธภัณฑ์ของข้า นี่จะไม่ใช่เรื่องของข้าได้อย่างไร? หากเจ้าคิดอยาก
สังหารฉินหยุน เช่นนั้นก็ข้ามศพข้าไปก่อน!”
ครึ่งเซียนวัยกลางคนจากตระกูลหลงเผยเสียงเย็น “ข้าคือจ้าวตระกูล
ลำดับที่สองแห่งตระกูลหลงในแคว้นมังกรทะยานฟ้า หลงเชี่ยน! เจ้า
สมควรเคยได้ยินนามข้าหรือไม่ใช่? คิดหรือว่าเจ้าสามารถเอาชนะข้า
ได้?”
“ข้าย่อมไม่เคยได้ยินนามเจ้า! ข้าไม่คิดว่าสามารถเอาชนะ แต่อย่าง
น้อยคิดลากพวกเจ้าตายร่วมด้วยก็ไม่ใช่เรื่องยาก!” เปาเฉิงโฉ่วแค่น
เสียงกล่าว “ข้ากล้าสู้กับเจ้าโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน แล้วพวกเจ้าเล่า
กล้าสู้กับข้าหรือไม่?”
“ได้ อย่างนั้นถอยกันคนละก้าว ข้าเพียงต้องการทำลายการฝึกฝน
ของฉินหยุน! มันลักลอบเรียนรู้วิชาลับมังกรสวรรค์แห่งตระกูลหลง
เรื่องนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจเถียง!” หลงเชี่ยนกล่าวคำ
ฉินหยุนฟื้นฟูจนมีกำลังระดับหนึ่ง เขาจึงกล่าวออกด้วยเสียงโกรธ
แค้น “ตัวข้าหาได้ลักลอบเรียนวิชาลับมังกรสวรรค์พวกเจ้าไม่! นี่
เป็นวิชายุทธ์โทเทมที่ข้าได้เรียนรู้จากโทเทมมังกร!”
“พวกเจ้าเรียกขานมันเป็นวิชาลับมังกรสวรรค์ ทว่าแท้จริงแล้วดัด
แปลงมาจากวิชายุทธ์โทเทมมังกร! และที่พวกเจ้ามี มันหาได้ลึกล้ำ
ดังเช่นวิชายุทธ์โทเทมมังกรที่ข้าเชี่ยวชาญ!”
คำของฉินหยุนทำเอาฝูงชนระเบิดเสียงฮือฮาดังก้อง!
แท้จริงมันคือวิชายุทธ์โทเทมมังกร!
ผู้คนของตระกูลหลงต่างพูดกล่าวกันไม่ถูก นี่ก็เพราะวิชาลับมังกร
สวรรค์ แท้จริงแล้วมันดัดแปลงมาจากวิชายุทธ์โทเทมมังกรจริง
เปาเฉิงโฉ่วหัวเราะกล่าว “พวกเจ้าล้วนได้ยินแล้วหรือไม่ใช่? นี่คือ
วิชายุทธ์โทเทมมังกร! และโทเทมมังกรหาได้ใช่มีแต่เฉพาะตระกูล
หลงของพวกเจ้า ฉินหยุนเรียนรู้เข้าใจวิชายุทธ์โทเทมและได้รับสืบ
ทอดมา นี่ถือเป็นเรื่องธรรมดา!”
“มันโกหก! ตัวมันมีโทเทมราชสีห์สวรรค์อยู่แล้ว ดังนั้นย่อมไม่มี
ทางครอบครองโทเทมมังกรได้อีกแน่ ทั้งสองอย่างนี้ถือเป็นปฏิปักษ์
ซึ่งกันและกัน! นี่ต้องเป็นเรื่องที่มันอุปโลกน์ขึ้น!” หลงเชี่ยนเผย
เสียงเย็น
ฉินหยุนยืนขึ้นพร้อมแค่นเสียงกล่าวคำ “เจ้าต้องการให้ข้าแกะสลัก
โทเทมมังกรที่ตรงนี้เลยหรือไม่เล่า?”
“เจ้า… นี่เจ้าเชี่ยวชาญโทเทมมังกรจริง?” ราชันแคว้นมู่ตื่นตะลึง
กระทั่งเขายังไม่อาจเชี่ยวชาญโทเทมมังกรที่สมบูรณ์ได้ ที่ทำได้ก็
เพียงแค่ส่วนหนึ่งของมันเท่านั้น
กระทั่งในตระกูลหลง ก็มีอาจารย์จารึกเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่สามารถ
แกะสลักโทเทมมังกร!
หลงเชี่ยนเผยอาการตื่นตะลึง “ฉินหยุน นี่เจ้าเชี่ยวชาญโทเทมมังกร
จริง?”
ฉินหยุนยิ้มกล่าว “ถูกต้อง! ให้ข้าแกะสลักที่นี่และตอนนี้ยังได้! ทั้งนี้
ข้าจะยังจะแจกจ่ายเผยแพร่พวกมัน ถือเป็นของขวัญจากข้าแด่
อาจารย์จารึกทั้งหลายในแดนวิญญาณอ้างว้าง!”
“พวกเจ้าเชื่อหรือไม่ ว่าข้าสามารถทำให้โทเทมมังกรกลายเป็นขยะ
ข้างทางได้?”
คำกล่าวของฉินหยุน ทำเอาผู้คนของทั้งตระกูลหลงและตำหนัก
จารึกเทวะเกิดความหวาดกลัว
หากโทเทมมังกรถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ อย่างนั้นมันจะส่งผลต่อ
พวกเขาอย่างมหาศาล
นั่นก็เพราะพวกเขาเชี่ยวชาญโทเทมมังกรอันล้ำค่า ดังนั้นพวกเขาจึง
สามารถดึงดูดอาจารย์จารึกที่พร้อมยอมแลกชีวิตมาเข้าร่วมได้
“ตอนนี้พวกเจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้ามีโทเทมมังกร?” ฉินหยุนหันมอง
ทางหลงเชี่ยนพร้อมกล่าว “วิชายุทธ์ของข้า เป็นข้ารู้และเข้าใจเอง
จากโทเทมมังกร!”
หลงเชี่ยนและราชันแคว้นมู่ ขณะนี้ต่างไม่ทราบว่าควรลงมืออย่างไร
ต่อ!
พวกเขาคิดอยากจับตัวฉินหยุน เพราะฉินหยุนชนะได้รับต้นกำเนิด
เซียนของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงคิดใช้โอกาสนี้จัดการอีกฝ่าย
กระนั้นตอนนี้ พวกเขากลับต้องโดนคำกล่าวของฉินหยุนสกัดการ
กระทำเอาไว้
ฉินหยุนมองทางเจี้ยนสือเทียนพร้อมเผยยิ้ม “จ้าวสำนักดาบ ขอขอบคุณ
ท่านที่ช่วยเหลือ! เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ และถือเป็นการ
กระชับความสัมพันธ์ระหว่างนครเซียนยุทธภัณฑ์และตำหนักเซียน
ดาบ ให้ข้ามอบโทเทมมังกรเป็นสิ่งตอบแทนเป็นไร!”
มอบโทเทมมังกรตามใจชอบ เรื่องราวเช่นนี้กล่าวได้ว่ามีอิทธิพล
อย่างยิ่ง ผู้อื่นต่างได้แต่ต้องร้องออกอย่างไม่อาจอดกลั้น
โดยเฉพาะขั้วอำนาจใหญ่ดังเช่นตระกูลหลงและตำหนักโทเทม พวก
เขาถือได้ว่าเจ็บปวดและกราดเกรี้ยวที่สุด เพราะพวกเขาได้ควบคุม
เรื่องราวเหล่านี้ไว้ ทว่าตอนนี้ ฉินหยุนคิดส่งมอบพวกมันได้ง่ายดาย
ดังใจนึก
คำกล่าวของฉินหยุน ทำให้ครึ่งเซียนของตำหนักเซียนดาบหลายคน
ต่างพร้อมใจนำดาบของตนออกมา จากที่เห็น พวกเขาพร้อมปกป้อง
ฉินหยุนอย่างเต็มที่แล้ว
“ฉินหยุน เพื่อเป็นการตอบแทนต่อของขวัญนั้น พวกเราขอรับประกัน
ว่าจะไม่ให้เจ้าต้องได้รับบาดเจ็บใด!” เจี้ยนสือเทียนหัวเราะกล่าว
“หากจำเป็น พวกเราจะเชิญผู้อาวุโสทั้งหมดของตำหนักเซียนดาบมา
เพื่อออกหน้าให้แก่เจ้า!”
โทเทมมังกรที่ฉินหยุนคิดส่งมอบ มันเพียงพอให้ตำหนักเซียนดาบ
เรียกขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา
หลงเชี่ยนและราชันแคว้นมู่ เวลานี้ต่างคล้ายคนไร้วิญญาณ
พวกเขาอยู่ในพื้นที่ของตำหนักเซียนดาบ และตำหนักเซียนดาบออก
โรงให้การคุ้มกันแก่ฉินหยุน พวกเขาเวลานี้แม้ปลายผมฉินหยุนก็ไม่
อาจแตะต้องได้แล้ว
“ฉินหยุน เจ้าจงระวังเงาหัวเอาไว้ให้ดี!” หลงเชี่ยนกล่าวคำเสียงสั่น
เขาหันกลับมองทางแม่เฒ่าหยุนเหยาพร้อมตะโกน “นางเฒ่า เร่งรีบ
ส่งหลงเย่ว์มา! ให้ข้าได้ลงทัณฑ์นางที่ตรงนี้!”
ตอนนี้เอง เชี่ยวเย่ว์หลานพลันส่งเสียงสื่อสารบอกต่อฉินหยุน “เสี่ยว
หยุน หลงเย่ว์คือเสี่ยวเม่ยเหลียน นางเมื่อครู่โดนตบ อาการบาดเจ็บ
ร้ายแรงนัก!”
ฉินหยุนอึ้งไปวูบ ก้นบึ้งภายในจิตใจคล้ายภูเขาไฟพร้อมปะทุ
ชี่เม่ยเหลียน แท้จริงคือผู้ปลอมตัวเป็นหลงเย่ว์!
เขาไม่ทราบว่าเหตุใดชี่เม่ยเหลียนต้องการแทรกซึมสู่ตระกูลหลง เขา
เพียงทราบว่าชี่เม่ยเหลียนอยู่ตรงหน้า และนางถูกหลงเชี่ยนตบหน้า
อย่างรุนแรง
“บัดซบ!” ฉินหยุนหันกลับมองทางหลงเชี่ยนที่ด้านหลัง โทสะไร้
ก้นบึ้งภายในใจปะทุออกในชั่ววินาทีนี้ “เจ้าบังอาจทำร้ายเสี่ยวเม่ย
เหลียน ข้าจะให้ชีวิตเจ้าเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย!”
ยามเมื่อผู้คนหันมองทางแม่เฒ่าหยุนเหยา หม้อราชสีห์สวรรค์สะกด
มังกรพลันปรากฏเบื้องบนศีรษะของหลงเชี่ยน!
หม้อราชสีห์สวรรค์สะกดมังกรปรากฏ ปลดปล่อยพลังสะกดมังกร
อันเลิศล้ำออกมา เป็นผลให้หลงเชี่ยนที่ร่างปกคลุมด้วยพลังมังกร
กลับกลายเป็นนิ่งแข็งค้าง และขณะเขาเพียงรู้สึกโดยยังไม่ทัน
ตอบสนองนั้นเอง…
ตู้ม!
หม้อราชสีห์สวรรค์สะกดมังกรพลันสะกดลงที่ร่างหลงเชี่ยน!
หม้อสามขาเริ่มหดขนาดเล็กลงก่อนจะบินกลับเข้าสู่มือของฉินหยุน
ผู้คนเรือนหมื่นในลานกว้างต่างนิ่งอึ้ง พวกเขามองทางฉินหยุนด้วย
ดวงตาเบิกกว้างแทบถลนออกมา!
ครึ่งเซียนถึงขั้นถูกฉินหยุนจับตัวเอาไว้!
กระทั่งเจี้ยนสือเทียนและเปาเฉิงโฉ่วยังไม่คาดคิด ว่าฉินหยุนถึงขั้น
สามารถทำได้เพียงนี้
หลงเชี่ยนที่เมื่อครู่ครอบครองอำนาจชวนสะพรึง ขณะนี้อีกฝ่ายไม่
อาจแม้รับมือต่อฉินหยุน
และฉินหยุนในเวลานี้ แทบไม่น่าเหลือแรงจูงใจใดให้ลงมือต่อหลง
เชี่ยน
กระนั้น เขาก็ยังลงมือ!
มีแต่เชี่ยวเย่ว์หลานที่หาได้ประหลาดใจใดไม่
“ฉินหยุน… นั่นเจ้าทำอะไร!” ผู้อื่นของตระกูลหลงต่างตะโกน
คำรามโกรธแค้น
“จับตัวบรรพบุรุษพวกเจ้าไว้อย่างไรเล่า! แล้วยังไง พวกเจ้าจะทำ
อะไรได้?” ฉินหยุนตอบกลับอย่างมีโทสะ เขายังจดจำได้ว่าหลง
เชี่ยนทำร้ายชี่เม่ยเหลียนอย่างไร ภายในใจของเขายังมีโทสะที่ยังไม่
อาจดับมอด
ผู้คนต่างไม่ทราบ ว่าเหตุใดฉินหยุนที่เพิ่งหลบหนีพ้นจากเภทภัยของ
ตระกูลหลง ขณะนี้กลับปะทุเอาโทสะรุนแรงออกมา
เจี้ยนหนันหู่เอ่ยคำเสียงเบา “ฉินหยุน เร่งรีบปล่อยมันออกมา ไม่
อย่างนั้นตระกูลหลงไม่เอาเจ้าไว้แน่!”
“อย่าได้ห่วงไป ข้าสัญญากับตำหนักเซียนดาบเอาไว้แล้วว่าจะส่ง
มอบโทเทมมังกรให้ ข้าย่อมทำตามสัญญา! แต่หากไม่คิดอยากได้รับ
โทเทมมังกรแล้ว เช่นนั้นก็เลิกให้การคุ้มกันแก่ข้า!”
“ข้ามีข้อพิพาทกับตระกูลหลงเป็นล้นพ้น โอกาสได้จับตัวครึ่งเซียน
พวกมันไว้หาได้ยากนัก ข้าย่อมไม่คิดพลาดโอกาส!”
ฉินหยุนย่อมไม่มีทางปล่อยหลงเชี่ยนที่ทำร้ายชี่เม่ยเหลียน
เจี้ยนสือเทียนผู้ซึ่งอึ้งอยู่ครู่ ขณะนี้ภายในต้องสาปแช่งต่อฉินหยุน
เขาทราบแน่ชัดอยู่แก่ใจแล้ว ว่าโทเทมมังกรไม่มีทางได้รับมาโดย
ง่ายดาย
แม้ครึ่งเซียนดาบจากตำหนักเซียนดาบสาปแช่งฉินหยุนที่ภายในใจ
พวกเขาก็ไร้ซึ่งทางเลือก มีแต่ต้องปกป้องฉินหยุน เพราะโทเทม
มังกรเป็นสิ่งล้ำค่าและสำคัญแก่พวกเขายิ่ง
“พวกเราตำหนักเซียนดาบไม่สนเรื่องข้อพิพาทระหว่างฉินหยุนและ
ตระกูลหลง!”
“แต่หากพวกเจ้าคิดอยากลงมือต่อเขาในตำหนักเซียนดาบ เช่นนั้น
พวกเราจะไม่นิ่งเฉยดูดาย!” เจี้ยนสือเทียนมองทางกลุ่มคนตระกูล
หลงที่ใกล้ระเบิดโทสะออก
เจี้ยนหนันหู่พลันลากฉินหยุนออกมาไกลพร้อมกล่าว “ให้ข้าพาเจ้า
ไปพบผู้อาวุโสสาวงามของพวกเรา!”
ตำหนักเซียนดาบมีอาจารย์จารึกเต๋าที่งดงามและมากพรสวรรค์อยู่ผู้
หนึ่ง นางคือผู้อาวุโสของตำหนักเซียนดาบ สาเหตุว่าทำไมเจี้ยนหนัน
หู่คิดพาฉินหยุนไปพบผู้อาวุโสสาวงามผู้นี้ย่อมแน่ชัด
นั่นก็เพื่อให้ฉินหยุนส่งมอบโทเทมมังกรแก่ผู้อาวุโสสาวงาม และก็
เพื่อไม่ให้คนของตระกูลหลงพุ่งมาระเบิดโทสะเข้าใส่
ฉินหยุนยังคิดอยากพูดกล่าวกับชี่เม่ยเหลียน กระนั้นก็ถูกเจี้ยนหนัน
หู่กระชากลากตัวไป
ไม่นานหลังเจี้ยนหนันหู่นำฉินหยุนออกมาพ้นลานกว้าง บอลสีดำ
ขนาดใหญ่ยักษ์พลันเคลื่อนคล้อยลงจากฟากฟ้า มันทะลวงผ่านม่าน
พลังหลายชั้นจนกระทั่งลงจอดนิ่งที่ลานกว้าง
เจี้ยนสือเทียนและครึ่งเซียนดาบผู้อื่นต่างเผยสีหน้าแปรเปลี่ยน
บอลสีดำลูกใหญ่นี้มีขนาดกว้างกว่าร้อยเมตร หลังลงจอดที่ลาน
กว้าง กลุ่มคนชุดดำจึงทะยานออกพร้อมออร่าอสูรหนาแน่น
ตูเทียนตี้ครานี้ค่อยเผยเสียงหัวเราะดัง “คนของเขตแดนลึกล้ำแห่ง
แดนอสูรอ้างว้างมาถึงแล้ว พวกเจ้าทั้งหมดจบสิ้นที่เท่านี้!”
แดนวิญญาณอ้างว้างมีเขตแดนลึกล้ำ แดนอสูรอ้างว้างก็มีเช่นกัน!
จุดประสงค์ของกลุ่มคนจากเขตแดนลึกล้ำอสูรอ้างว้าง เป้าหมาย
ย่อมชัดเจน นั่นก็คือมาเพื่อฉกชิงต้นกำเนิดเซียน
เจี้ยนสือเทียนสบถภายใน นี่ก็เพราะพายุลูกแรกยังเข้าไม่ทันไร
ขณะนี้กลับมีพายุอีกลูกกระหน่ำซัดเข้าซ้ำเติม
ที่พวกกังวลยิ่งกว่า คือสำนักเซียนอื่นจะร่วมมือกับคนของเขตแดน
ลึกล้ำจากแดนอสูรอ้างว้าง
ยกตัวอย่างเช่นราชันแคว้นเยี่ย หรือหุบเขาเซียนโอสถ หากพวกเขา
ใช้โอกาสนี้บุกโจมตี ตำหนักเซียนดาบย่อมต้องพินาศย่อยยับ

ตอนที่ 701 มังกรสวรรค์ล้างโลกา
หลงเย่ว์ยังไม่ได้เปิดการโจมตีใดแม้เพียงครั้งต่อฉินหยุน กลับกัน
นางเพียงแต่ยืนนิ่งเฉยบนลานประลองยุทธ์อย่างเงียบงัน ออร่าใด
ล้วนไม่มีหลุดออกจากร่าง
ฉินหยุนไม่อาจทราบว่าหลงเย่ว์ผู้นี้คิดทำอะไร
“นี่นางใช่เย่ว์เหม่ยหรือไม่ใช่กันนี่?” ฉินหยุนยิ่งมายิ่งไม่มั่นใจ ทั้งยัง
ทำให้เขาไม่สะดวกใจที่จะออกกระบวนท่า
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยมักซุกซนและก่อปัญหาไปทั่ว นางต้องจงใจสร้าง
เรื่องราวยุ่งยากแก่ฉินหยุนที่นี่เป็นแน่
“เสี่ยวหยุน หากเจ้าไม่เอาชนะนาง เจ้าก็ต้องสูญเสียสองต้นกำเนิด
เซียนนะ” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “พลังกาลอวกาศของนางเป็นพลังที่
ลึกลับยิ่ง”
ฉินหยุนอยู่ห่างจากหลงเย่ว์กว่าสิบเมตร ฉับพลันเขาจึงใช้งานดัชนี
ทะลวงขุนเขาแยกปฐพี ลำแสงสีดำปะทุออกจากปลายนิ้วพร้อมพุ่ง
ตรงเข้าทะลวงทุกสิ่งอย่าง ความเร็วของมันมากล้น
กระนั้น เมื่อพลังดัชนีรุนแรงปะทะกับร่างหลงเย่ว์ ราวกับมันจมดิ่งสู่
ห้วงลึก มันไม่มีแม้เสียงใดปรากฏ
“ดัชนีทะลวงฟ้าที่เป็นวิชายุทธ์สวรรค์ชั้นเลิศ หลงเย่ว์ผู้นั้นยังต้านรับ
ไว้ได้ง่ายดายเพียงนี้!” เจี้ยนรั่วหยานตื่นตะลึง นางสูดลมหายใจเข้า
ลึก “ฉินหยุนเผชิญคู่ต่อสู้อันตรายเข้าให้แล้ว!”
เชี่ยวเย่ว์หลานพยักหน้ารับ “หลงเย่ว์ผู้นี้ นางใช้พลังอันใดกันแน่?
นางถึงขั้นต้านรับการโจมตีทรงพลังของฉินหยุนไว้ได้ง่ายดาย!”
ขณะนางกล่าวคำจบ หลงเย่ว์จึงโบกแขนเสื้อเบามือพร้อมปล่อย
ลำแสงสีดำออกมา!
นี่คือดัชนีทะลวงขุนเขาแยกปฐพีที่ฉินหยุนเพิ่งใช้โจมตีไปเมื่อครู่!
ฉินหยุนเตรียมตัวอยู่ก่อนแล้ว เขาจึงหลบเลี่ยงไปด้านข้าง ลำแสงสี
ดำเคลื่อนผ่านเชือดปลายเสื้อของเขา เผาไหม้ผิวหนังไปเล็กน้อย
หลงเหลือไว้เป็นรอยแดง
ที่หน้าอกของฉินหยุน มันหลงเหลือรอยแผลไหม้สีแดงก่ำเอาไว้
ควันสีดำยังคงลอยออกมา หากเขาหลบไม่ทันเวลา เช่นนั้นคงโดน
ทะลวงผ่านหัวใจเป็นแน่
“นี่นางดูดกลืนพลังอะไรเข้าไปก็ได้?”
ฉินหยุนแทบไม่อาจเชื่อ เขาตัดสินใจโจมตีออกด้วยห้าฝ่ามือมังกร
สัมบูรณ์ ฝ่ามือวูบไหวพลันกรีดร้องคำรามเข้าปกคลุมร่างหลงเย่ว์
ลานประลองสั่นสะท้าน พลังฝ่ามือนี้ทะลักล้นทั่วทุกแห่งหนราว
คำรามอย่างเกรี้ยวกราด เป็นผลให้ทั้งลานประลองยุทธ์ต้องสั่นไหว
ไม่หยุด
กระนั้น เพียงฝ่ามือโบกสะบัด มันไหลเข้าไปในร่างของหลงเย่ว์
ก่อนจะหายวับ
ลานประลองกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้งหนึ่ง
ห้าฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์ของฉินหยุน ไม่อาจทำอันตรายใดแก่หลงเย่ว์
ชุดคลุมของหลงเย่ว์เพียงพลิ้วไหว จากนั้นมวลพลังฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์
จึงปรากฏพร้อมโหมโจมตีใส่ฉินหยุน
ฉินหยุนย่อมเตรียมรอรับอยู่ก่อน ร่างกายทะลักล้นด้วยออร่าสีดำ เขา
ให้วิญญาณยุทธ์สั่นไหวผนวกรวมกับร่างกายตนเอง ใช้งานความ
สามารถเทวะแผ่นดินไหวเข้าสลายพลังฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์
เขากลายเป็นรู้สึกราวกับไร้พลัง หากคู่ต่อสู้เพียงแค่หลบหรือสกัด
ต้านรับเอาไว้ อย่างนั้นก็ถือเป็นเรื่องปกติ
ทว่าหลงเย่ว์ผู้นี้ นางดูดกลืนพลังทุกชนิดที่เขาปลดปล่อยออกไป
จากนั้นจึงปล่อยมันกลับคืนมาทำร้ายตัวผู้ใช้วิชา
“เสี่ยวหยุน เป็นนางใช้พลังกาลอวกาศหยุดพลังโจมตีของเจ้าเอาไว้
จากนั้นนางจึงผนึกเอาไว้ในห้วงมิติ แล้วค่อยย้อนการไหลของกาล
อวกาศ ปลดปล่อยพลังของเจ้าออกไปยังทิศทางที่มันพุ่งมา!”
หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “กล่าวได้ว่านางใช้พลังนี้ได้เชี่ยวชาญอย่างดี!”
ผู้คนต่างมองหลงเย่ว์บนลานประลองยุทธ์ พวกเขาหารือกันด้วย
เสียงที่ไม่อาจเชื่อต่อเรื่องราว
หลงเย่ว์ยังไม่ได้โจมตีใดออก นางเพียงแค่ส่งคืนการโจมตีของฉิน
หยุนกลับไปก็เท่านั้น
กระนั้น ขั้นตอนกลับประหลาดและลึกลับจนเกินไป ทำให้ผู้คนยาก
จะทราบว่าเรื่องราวนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกันแน่
“หลงเย่ว์ไม่โจมตี เห็นได้ชัดว่านางปรามาสต่อฉินหยุน และให้เขา
เป็นฝ่ายที่ใช้พลังออกมา!”
“ฉินหยุนที่แข็งแกร่ง แต่อยู่ต่อหน้าหลงเย่ว์กลับไร้ซึ่งพลัง หลงเย่ว์ผู้
นี้น่าสะพรึงกลัวนัก! เหมือนว่าแคว้นมหาดวงดาวคงไม่มีทางเอาชนะ
แคว้นมังกรทะยานฟ้าได้!”
“หากฉินหยุนไม่อาจหาทางแก้ไข เขาย่อมต้องพ่ายแพ้! ต้นกำเนิดเซียน
ทั้งสองที่เขาเพิ่งได้รับมาจะถูกส่งต่อ นี่ถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่!”
“ต้นกำเนิดเซียนเป็นเรื่องภายนอก ตราบเท่าที่เขายังมีชีวิตรอด นั่น
ต่างหากจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่า!”
ผู้คนด้านนอกลานประลองยุทธ์ล้วนเชื่อ ว่าฉินหยุนเผชิญสถานการณ์
เลวร้ายยิ่งเข้าให้แล้ว
ราชันแคว้นมู่ตะโกนดัง “หลงเย่ว์ โจมตีมันอย่าได้ลังเล สังหารฉิน
หยุนเสีย!”
หลงเย่ว์คล้ายไม่รับฟังคำของราชันแคว้นมู่ นางเอาแต่ยืนนิ่ง ไม่ทราบ
ว่านางได้มองที่ฉินหยุนหรือไม่ กระนั้นเวลานี้ผู้คนต่างเกิดความสงสัย
ว่าภายใต้หน้ากากนั้นปิดซ่อนใบหน้าใดเอาไว้กันแน่
ราชันแคว้นมู่ยิ่งมายิ่งร้อนใจจนตะโกนซ้ำ “หลงเย่ว์ นี่ไม่ใช่เวลามา
แสดงความอ่อนโยนใจดีของเจ้า เร่งรีบสังหารมันได้แล้ว!”
ครึ่งเซียนตระกูลหลงตะโกนดัง “หลงเย่ว์ เร่งรีบลงมือ!”
เจี้ยนหนันหู่ขมวดคิ้วกล่าว “ผู้ที่เคยสู้กับหลงเย่ว์ไม่มีผู้ใดเสียชีวิต
กระทั่งได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ไม่!”
เจี้ยนรั่วหยานเอ่ยคำ “อย่างนั้นหมายความถึงนางจะไม่สังหารฉินหยุน?”
ด้านบนลานประลอง ฉินหยุนพยายามโจมตีหลงเย่ว์ด้วยพลังหลาก
หลายอย่าง ทว่าผลลัพธ์ที่ได้ก็เป็นศูนย์ เขากระทั่งบาดเจ็บเพราะพลัง
ของตนเองด้วยซ้ำ
กรงเล็บราชสีห์สวรรค์สับฟันทะยานออก เมื่อมันปะทะผ่านอากาศ
เข้าปะทะกับร่างของหลงเย่ว์ อย่างกะทันหัน ที่ด้านหลังของเขากลับ
ปรากฏกรงเล็บขึ้นมา ฝากรอยแผลเอาไว้ที่แผ่นหลังอย่างไม่ทันที่เขา
จะรู้ตัว
หลงเย่ว์ควบคุมมิติสับเปลี่ยนกรงเล็บราชสีห์สวรรค์ให้ย้อนกลับไป
ปรากฏที่เบื้องหลังของเขา
ฉินหยุนถึงขั้นเกิดความสะพรึงกลัว เขารู้สึกว่าราวกับหลงเย่ว์กำลัง
หยอกล้อต่อตนเองอยู่
ไม่เช่นนั้น หากการโจมตีก่อนหน้านี้ของเขาปรากฏที่ด้านหลังใน
ระยะใกล้ เขาจะไม่มีทางต้านรับพวกมันเอาไว้ได้อย่างแน่นอน
ผู้คนของตระกูลหลงแห่งแคว้นมังกรทะยานฟ้าต่างร้อนรน พวกเขา
โกรธเกรี้ยวไม่น้อยเพราะหลงเย่ว์ไม่ยอมโจมตีปลิดชีพฉินหยุน
ตอนนี้ ผู้คนของแคว้นมหาดวงดาวต่างได้ตระหนัก ว่าที่หลงเย่ว์ไม่
โจมตีก็เพราะนางถนัดการต่อสู้เช่นนี้
เพียงยืนบนลานประลอง ส่งการโจมตีของคู่ต่อสู้กลับคืนไป ทำให้
พวกเขาหมดสิ้นสภาพจนไม่อาจสู้ต่อได้โดยพลังของตนเอง จน
สุดท้ายก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้
“คิดบังคับให้ข้ายอมรับความพ่ายแพ้หรือ?” ฉินหยุนสูดลมหายใจ
ลึกพร้อมหลับตา
เมื่อครู่ เขาได้ยินเสียงสนทนาด้านนอกลานประลองยุทธ์ ครั้งงาน
ประลองยุทธ์ที่แคว้นมังกรทะยานฟ้า หลงเย่ว์ผู้นี้ใช้วิธีการเช่นเดียวกัน
นี้เอาชนะคู่ต่อสู้ ดังนั้นเขาจึงค่อยได้ตระหนัก ว่าหลงเย่ว์ไม่มีทางใช่
เซี่ยวเย่ว์เหม่ย
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าหลงเย่ว์คิดปล่อยให้เขาชนะ แต่เรื่องราวคล้าย
ไม่ใช่ เพราะหลงเย่ว์ถนัดการต่อสู้เช่นนี้ต่างหาก
ฉินหยุนหลับตา นึกย้อนถึงวิชายุทธ์โทเทมภายในจิตใจ
เขาไม่เคยใช้วิชายุทธ์โทเทมนี้มาก่อน เนื่องด้วยมันเป็นสิ่งที่เขาเพิ่ง
ได้รับมา
สิ่งนี้คือวิชายุทธ์โทเทมมังกรที่หลงเฉียวเฟิงส่งมอบต่อมาให้ รู้จัก
กันในนามวิชาลับมังกรสวรรค์
“ในอดีต เผ่าพันธุ์มังกรได้ถูกราชสีห์สวรรค์มีชัยเหนือกว่า กระนั้น
ความพ่ายแพ้นั้นก็เป็นเพียงต่อราชสีห์สวรรค์กลุ่มเล็ก เผ่าพันธุ์มังกร
อย่างไรแล้วก็มีพลังอำนาจโดยรวมอันแข็งแกร่งคงอยู่”
“ด้วยเหตุนี้ แม้ผ่านกาลเวลายาวนานหลายปี พวกเขาก็ยังคงมีตัวตน
ในเก้าแดนอ้างว้าง หากเผ่าพันธุ์มังกรไม่มีกำลังถึงระดับหนึ่ง พวก
เขาก็คงต้องสูญพันธุ์ไปเฉกเช่นเผ่าพันธุ์ราชสีห์สวรรค์!”
ตอนนี้ ฉินหยุนคิดใช้วิชายุทธ์โทเทมมังกร
ขณะลืมตาขึ้น นัยน์ตาของเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นสีทอง อักขระโท
เทมสีทองเจิดจ้าส่องสว่าง มันคือโทเทมมังกร!
ฉินหยุนคำรามเสียงทุ้มลึกพร้อมยกฝ่ามือขึ้นฟ้า เสียงมังกรคำรามดัง
สนั่น ราวกับฟากฟ้ายังต้องยอมเบิกกว้างแยกออกก่อนจะถล่มลงมา
สู่เบื้องล่าง!
มังกรทองคำโปร่งแสงฉับพลันได้ทะยานลงจากเบื้องบน เป้าหมาย
คือศีรษะของหลงเย่ว์
วิชายุทธ์โทเทมมังกรนี้มีนามว่า มังกรสวรรค์ล้างโลกา
ร่างจำแลงมังกรทองคำแผดเสียงคำรามร้องเคลื่อนคล้อยจากฟากฟ้า
มันเข้าปะทะกับร่างหลงเย่ว์ ส่งผลให้ทั้งลานประลองยุทธ์ต้อง
สั่นสะเทือนไม่อาจหยุด เสียงระเบิดปะทุดังกึกก้องสนั่นทั่ว
พลังอำนาจการโจมตีระดับนี้ เป็นผลให้เข่าของหลงเย่ว์ต้องงอลง
เล็กน้อย มันแทบให้นางต้องคุกเข่าลงกับพื้น
มือทั้งสองของนางผลักออก ส่งถ่ายพลังล้างโลกาอันชวนสะพรึงนั้น
ไปยังสถานที่อื่นในลานประลองยุทธ์
ได้เห็นฉินหยุนเผยกระบวนท่านี้ ผู้คนของตระกูลหลงต่างต้องตระหนก
“นั่นคือมังกรสวรรค์ล้างโลกา ฉินหยุนมันไปเรียนมาจากที่ใดกัน?”
ราชันยุทธ์จากตระกูลหลงอุทานร้องดัง
“นี่เป็นวิชาลับอันเป็นที่สุดของพวกเราตระกูลหลง มันไม่เคยมีการ
ส่งต่อสู่บุคคลภายนอก เพียงส่งต่อแต่บุรุษ สตรีไม่อาจได้รับวิชานี้ มี
แต่ตำราสวรรค์จึงบันทึกวิชาลับมังกรสวรรค์นี้เอาไว้ และเป็นไปไม่ได้
ที่จะเรียนรู้มันเว้นแต่จะก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ!” ครึ่งเซียนตระกูล
หลงเผยสีหน้าเคร่งเครียด “ผู้ใดเผยแพร่วิชาลับมังกรสวรรค์ออกสู่
ภายนอก!?”
“ฉินหยุนหาได้ใช่บุตรหลานตระกูลหลงของเราไม่ กระนั้นกลับ
เชี่ยวชาญวิชาลับมังกรสวรรค์ พวกเราต้องอย่าปล่อยให้มันได้รอด
ชีวิต!” ผู้อาวุโสตระกูลหลงแห่งแคว้นมังกรทะยานฟ้าเผยเสียงเย็น
เยือก
หลงเย่ว์ในที่สุดค่อยเผยท่าทีของความกดดัน นี่ก็เพราะพลังล้างโลกา
สามารถบิดเบือนมิติ มันทำลายม่านพลังกาลอวกาศของนางได้
โดยตรง ส่งผลให้นางไร้ซึ่งทางเลือก มีแต่ต้องปลดปล่อยพลังกาล
อวกาศที่แข็งแกร่งมากขึ้น
พลังล้างโลกาปะทะกับพื้นลานประลองยุทธ์จนเกิดขึ้นเป็นหลุม
ขนาดใหญ่ยักษ์
ลานประลองยุทธ์มีม่านพลังที่แข็งแกร่ง มันสามารถดูดกลืนและ
สลายพลังอันแกร่งกล้านานาชนิดเอาไว้ได้
กระนั้น พลังล้างโลกานี้ถึงขั้นสามารถทะลวงผ่านม่านพลัง ทำการ
บดขยี้พื้นที่ภายนอกของลานประลองยุทธ์
ฉินหยุนใช้พลังมหาศาลเพื่อปลดปล่อยวิชายุทธ์นี้ออก กล่าวได้ว่า
เขาแทบใช้พลังงานในแก่นเต๋าทั้งสองจนแห้งเหือด ทว่าเขาก็ยังมี
พลังงานในแก่นเต๋าที่สามและภายในกระดูกคงอยู่ โดยรวมแล้ว มัน
มีพลังมากมายทัดเทียมสี่แก่นเต๋า!
การใช้พลังงานมหาศาลออกในครั้งนี้ แม้เป็นเขาก็ถือเป็นภาระครั้ง
ใหญ่
“หลงเย่ว์ บุคคลภายนอกเช่นฉินหยุนผู้นี้ มันได้เชี่ยวชาญวิชาลับของ
ตระกูลหลง มันต้องถูกสังหาร เจ้าจงเลิกเมตตาต่อมันแล้วสังหารมัน
เสีย!”
“ฉินหยุน เจ้าไปฉกชิงเรียนรู้วิชาลับมังกรสวรรค์นี้มาจากที่ใด? เจ้า
ทราบหรือไม่ว่าการได้เรียนรู้วิชาลับมังกรสวรรค์นี้ ตัวเจ้าจะมี
สถานะเป็นศัตรูต่อพวกเราทั้งตระกูลหลง?!”
“หลงเย่ว์ สังหารฉินหยุนเสีย!”
ผู้คนของตระกูลหลงด้านนอกลานประลองยุทธ์เริ่มร้องตะโกน
เปาเฉิงโฉ่วและเจี้ยนสือเทียนต่างทราบ ว่าวิชาลับมังกรสวรรค์ของ
ตระกูลหลงเลิศล้ำเพียงใด ทว่าที่พวกเขาไม่อาจเข้าใจ คือฉินหยุนไป
เรียนรู้มันมาได้อย่างไร
แม้เป็นยอดยุทธ์ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำของตระกูลหลง คิดเรียนรู้วิชา
ลับมังกรสวรรค์ยังไม่ใช่เรื่องง่าย
“มังกรสวรรค์ล้างโลกาก็ยังไม่พอ!” ฉินหยุนเพียงแต่รู้สึกว่าคนของ
ตระกูลหลงเหล่านี้น่ารำคาญไม่น้อย
หลงเย่ว์เมินเฉยผู้คนของตระกูลหลงด้านนอกลานประลองยุทธ์ นาง
ยังเอาแต่ยืนนิ่งรอให้ฉินหยุนเปิดฉากโจมตี
ฉินหยุนสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมคำราม ฝ่ามือผลักออก บอล
พลังงานโปร่งแสงพลันทะยานออกจากฝ่ามือ
บอลพลังงานได้แปรเปลี่ยนเป็นร่างเงามังกรโปร่งแสง เป้าหมายคือ
หลงเย่ว์
ในพริบตา มันเข้าปกคลุมหลงเย่ว์ กาลอวกาศรอบกายนางฉับพลัน
ต้องบิดเบี้ยวเกิดขึ้นเป็นรอยแยกสีดำปรากฏ
“มังกรล้างกาลอวกาศ!” ครึ่งเซียนตระกูลหลงพลันร้องออกด้วย
ความสะพรึงกลัว
หลังปลดปล่อยกระบวนท่านี้ ฉินหยุนจึงใช้งานมังกรสวรรค์ล้าง
โลกาอีกครั้งหนึ่ง ร่างมังกรสีทองร่วงโรยจากฟากฟ้าเข้าปะทะกับ
ร่างของหลงเย่ว์
พื้นที่มิติรอบกายหลงเย่ว์บิดเบี้ยวไปเรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้นางไม่
อาจใช้พลังกาลอวกาศไปชั่วครู่ ดังนั้น ร่างของนางจึงต้องโดนปะทะ
ด้วยพลังล้างโลกา
ตู้ม!
เสียงดังสนั่นบังเกิด มวลเมฆแสงสีทองเป็นรัศมีกระจายทั่วทิศ หลง
เย่ว์ในที่สุดก็ถูกโจมตีเข้าจนได้
ฉินหยุนนั่งกับพื้นคล้ายเป็นอัมพาต สีหน้านั้นซีดเซียวราวคนตาย
มังกรล้างกาลอวกาศเมื่อครู่แทบผลาญพลังในกายเขาจนหมดสิ้น
ผู้อื่นได้แต่จับจ้องอย่างตื่นตะลึง โดยเฉพาะบรรดาครึ่งเซียน พวกเขา
พบว่าเป็นเรื่องราวยากเกินจะเชื่อที่ฉินหยุนสามารถเชี่ยวชาญเคล็ด
วิชาลับของตระกูลหลงได้!
ผู้คนของตระกูลหลงยิ่งมีโทสะ พวกเขาคิดปรารถนาขึ้นบนลาน
ประลองยุทธ์ประหารฉินหยุนเสียที่นี่
หมอกสีทองบนลานประลองยุทธ์ค่อยกระจายตัว
หลงเย่ว์นอนกับพื้น ขณะที่ฉินหยุนยังคงนั่ง!
“ข้ายอมแพ้!” น้ำเสียงหยาบกร้านเล็กน้อยของหลงเย่ว์เผยออก
กระนั้น ฉินหยุนก็ยังคิดว่าตนเองค่อนข้างคุ้นเคย แม้ตัวเขาไม่ทราบ
ว่าเพราะสาเหตุใดก็ตาม

ราชันเทพเก้าสุริยัน Nine Sun God King

ราชันเทพเก้าสุริยัน Nine Sun God King

Status: Ongoing
ถูกจัดฉาก! ถูกใส่ร้าย! กล่าวหาว่าฝึกฝนวิชายุทธ์ของปีศาจอันชั่วร้าย!
เหล่านี้ล้วนเป็นแผนการเขี่ยเขาทิ้งพ้นจากตำแหน่งที่ได้รับโดยกำเนิด
ก่อนจะแต่งตั้งจักรพรรดินีพระองค์ใหม่ขึ้นโดยเหล่าข้าราชบริพารเฒ่า
อีกทั้งยังพรากเอาพรสวรรค์ที่เขามีแต่กำเนิดไปจนสิ้น! ฉินหยุน อดีตองค์ชายรัชทายาทแห่งจักรวรรดิเทียนฉิน
เขาสืบทอดเคล็ดวิชายุทธ์ของโลกเก้าตะวัน มรดกเคล็ดวิชายุทธ์อันล้ำค่าคือคลังอาวุธของเขา
ทั้งเขายังคลั่งที่จะแกะสลักความลึกล้ำของโลกด้วยปลายนิ้ว กระทั่งว่ามีศัตรูรายล้อมและหญิงงามมากมาย
แต่ฉินหยุนก็ยังไม่พอใจ เขาต้องการไปให้เหนือยิ่งกว่าเก้าตะวันเพื่อเข้าสู่ความยิ่งใหญ่แห่งดาราจักร เพื่อให้ได้กลายเป็น ราชันเทพ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท