เมื่อท่านปู่ลี่หมดสติไป เจียงหยุนเอ๋อและลี่จุนซินที่ทราบข่าว ก็รีบหยุดงานในมือแล้วกลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลลี่อย่างรวดเร็ว
ตอนที่มาถึงคฤหาสน์ ลี่เจี้ยนเย่ โม่เสี่ยวฮุ่ย ลี่หยูนห่วนและลี่หุยต่างก็อยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลลี่กันหมดแล้ว
ลี่จุนซินวิ่งอย่างรีบร้อนเข้าไปในห้องท่านปู่ลี่ โดยไม่ได้สนใจคนพวกนั้น
เห็นคนรายล้อมอยู่รอบหัวเตียงท่านปู่ลี่ ส่วนท่านปู่ลี่กำลังนอนหลับตาอยู่ ใบหน้าซีดเซียว
“คุณปู่!” ลี่จุนซินเอ่ยเรียกเบา ๆ
โม่เสี่ยวฮุ่ยหันไปเห็นลี่จุนซินและเจียงหยุนเอ๋อเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเป็นกังวล : “จุนซิน หยุนเอ๋อ พวกเธอมาแล้วเหรอ”
“คุณปู่เป็นอะไรไปคะ?” ลี่จุนซินมุดเข้าไปตรงด้านหน้าเตียงของท่านปู่ลี่
“ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ดี ๆ ก็หมดสติไป” โม่เสี่ยวฮุ่ยเอ่ยพูดด้วยความสงสัย
“เรียกหมอหรือยังคะ?” เจียงหยุนเอ๋อเอ่ยถาม ตอนนี้ต้องหาคนมารักษาท่านปู่ลี่
“ฉีเฉิงกำลังมาแล้ว” ลี่เจี้ยนเย่ตอบ
ไม่นานฉีเฉิงก็มาถึง ทุกคนถอยออกมา เปิดทางให้ฉีเฉิงเข้าไปตรวจดูอาการ
หลังจากฉีเฉิงตรวจดูอาการแล้ว สีหน้าก็ดูแย่ลง
“คุณปู่เป็นยังไงบ้าง?” ลี่หยูนห่วนสีหน้าดูเป็นกังวล
ฉีเฉิงส่ายหน้า : “เฮ้อ อาการของท่านปู่ลี่เกรงว่าผมจะหมดทางรักษาแล้วครับ ต้องหาหมอเฉพาะทางตามโรงพยาบาลขนาดใหญ่แล้วล่ะครับ”
ฉีเฉิงรู้ดีอยู่แก่ใจว่าท่านปู่ลี่เป็นอะไรไป เพียงแต่ตอนนี้เขาทำได้แค่เสแสร้งว่าตัวเองรักษาไม่ได้
ปัญหายิ่งน้อยยิ่งดี ตอนนี้ตัวเองถูกดึงเข้ามาในวังวนนี้ด้วย ไม่รู้ว่าจะถอยออกมาได้ไหม ตอนนี้เขาไม่อยากเผชิญหน้ากับพวกคนตระกูลลี่ ไม่อย่างนั้นคนในครอบครัวของตัวเองก็จะถูกคุกคามไปด้วย
“อาการป่วยของคุณปู่รุนแรงมากเหรอ?” ลี่จุนซินดึงแขนคุณหมอ
ตอนนี้ท่านปู่ลี่จะเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด บริษัทยังต้องพึ่งพาเขาให้เขาเป็นเสาหลัก
“อาการของท่านปู่ลี่กลัวว่าจะเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ผมคิดว่าจำเป็นต้องพาไปตรวจที่โรงพยาบาล” ฉีเฉิงเสนอแนะ
“อะไรนะ!” ลี่เจี้ยนเย่แทบไม่อยากเชื่อ “คุณพ่ออยู่ดี ๆ ทำไมถึงได้เป็นโรคหลอดเลือดสมองได้ล่ะ?”
“สาเหตุของโรคนั้นคงต้องตรวจก่อนถึงจะรู้ได้ ของอย่างนี้มันมีหลายปัจจัย ผมก็ไม่สามารถฟังธงได้” สำหรับสถานการณ์อย่างนี้ ฉีเฉิงก็หมดหนทางเช่นกัน
“คุณปู่เป็นโรคหลอดเลือดสมองเหรอ? ฉันรู้จักหมอที่รักษาโรคนี้โดยเฉพาะอยู่คนหนึ่ง เดี๋ยวจะลองติดต่อเขาดู” ลี่หุยเอ่ยพูดด้วยสีหน้าเป็นกังวล
โม่เสี่ยวฮุ่ยแสยะยิ้ม : “แกเป็นใคร มีสิทธิ์ออกความเห็นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? แกมีสิทธิ์เรียกคุณปู่งั้นเหรอ?”
โม่เสี่ยวฮุ่ยเห็นลี่หุยก็นึกถึงจ้าวเฟยเฟยที่สร้างความอัปยศให้กับตัวเอง
อีกอย่างลี่หุยก็ร้ายกาจมาก ถึงขนาดแอบกว้านซื้อหุ้นบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปลับหลังคนอื่น ตอนนี้ยังเสแสร้งทำเป็นจะช่วยหาหมอให้
“ผมมีสิทธิ์เรียกพ่อ ฉะนั้นผมก็มีสิทธิ์เรียกปู่เหมือนกัน” ลี่หุยเชิดหน้าขึ้น สีหน้าท่าทางโอหังมาก
โม่เสี่ยวฮุ่ยโมโหเขามาก เธอรู้ดีว่าที่ลี่หุยพูดหมายถึงลี่เจี้ยนหวายอมรับเขาเป็นลูก
โม่เสี่ยวฮุ่ยจึงไม่พูดอะไรอีก
“คุณป้าครับ ผมก็มีโรงพยาบาลที่รู้จักอยู่ หรือว่าผมช่วยติดต่อดูครับ” ลี่หยูนห่วนแสดงความมีน้ำใจ
ท่านปู่ลี่หมดสติไปอย่างกะทันหัน ลี่หยูนห่วนและลี่หุยต่างก็รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แสร้งทำเป็นร้อนอกร้อนใจ แสดงละครได้ยอดเยี่ยมจริง ๆ
“พวกเราพาคุณปู่ไปโรงพยาบาลก่อนเถอะค่ะ” เจียงหยุนเอ๋อพยุงท้องลุกขึ้นยืน
ตอนนี้พวกเขามัวแต่พูดว่าจะติดต่อใครก็ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้น สิ่งที่ควรทำคือต้องไปโรงพยาบาลเพื่อหาสาเหตุของอาการป่วย ถ้าอยู่บ้านแล้วเสียโอกาสในการรักษาอย่างทันท่วงทีไปคงแย่แน่
“หยุนเอ๋อพูดถูก” ลี่จุนซินเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง “พ่อบ้าน รีบพาคุณปู่ไปส่งโรงพยาบาลเถอะค่ะ”
พ่อบ้านรับคำสั่ง รีบเรียกคนมาพาท่านปู่ลี่ไปขึ้นรถ
ลี่หยูนห่วนและลี่หุยต่างก็บอกว่าตัวเองจะไปติดต่อหมอที่รู้จักเอาไว้
ส่วนเจียงหยุนเอ๋อ ลี่จุนซินและโม่เสี่ยวฮุ่ยก็ขึ้นรถไปด้วย
“เหล่าเฉิน ไปโรงพยาบาลที่หมอหลันอยู่” เจียงหยุนเอ๋อให้คนขับรถขับไปยังโรงพยาบาลที่หลันเยว่เฉินทำงานอยู่
ตอนนี้สถานการณ์คับขัน พาไปส่งโรงพยาบาลที่มีคนรู้จักอยู่ เจียงหยุนเอ๋อถึงจะวางใจ
“ไปที่หลันเยว่เฉิน?” ลี่จุนซินเอ่ยถาม
“ค่ะ เยว่เฉินเป็นคนที่ลี่จุนถิงไว้ใจ ฉันคิดว่าตอนนี้มีเพียงเขาเท่านั้นที่พวกเราไว้ใจได้” สายตาเจียงหยุนเอ๋อดูร้อนใจ มองไปยังด้านหน้ารถ “จริงสิ ตอนนี้ฉันโทรหาเขาก่อนดีกว่า บอกเขาไว้ล่วงหน้า”
เจียงหยุนเอ๋อก็ไม่รู้ว่าตอนนี้หลันเยว่เฉินจะยุ่งอยู่หรือเปล่าเลยอยากบอกเขาไว้ล่วงหน้า ถ้าหลันเยว่เฉินมีเวลาให้เขาช่วยจัดการธุระให้พวกเธอหน่อย
โม่เสี่ยวฮุ่ยไม่พูดอะไรสักคำ แต่รู้สึกประทับใจเจียงหยุนเอ๋อมากขึ้นไปอีก
ในเวลาอย่างนี้เจียงหยุนเอ๋อยังมีความละเอียดรอบคอบ คำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม นี่เป็นสิ่งที่ตัวเองคิดไม่ถึงเลย
เหล่าเฉินได้รับคำสั่งก็เหยียบคันเร่งตรงไปยังโรงพยาบาลที่หลันเยว่เฉินทำงานอยู่
วันนี้หลันเยว่เฉินทำงานพอดี และที่โรงพยาบาลก็ไม่ได้ยุ่งมากนัก เมื่อพวกเจียงหยุนเอ๋อมาถึง หลันเยว่เฉินก็ได้ให้คนเตรียมห้องผู้ป่วยที่ดีที่สุดไว้ให้ท่านปู่ลี่เรียบร้อยแล้ว และเตรียมหมอเฉพาะทางไว้ด้วย ทำให้ลดภาระพวกเจียงหยุนเอ๋อไปไม่น้อยเลยทีเดียว
“วันนี้ขอบคุณนายมากจริง ๆ” ท่านปู่ลี่ยังอยู่ในระหว่างการตรวจร่างกาย เจียงหยุนเอ๋อก็ได้เดินไปข้าง ๆ หลันเยว่เฉินแล้วขอบคุณเขา
“ เธอเกรงใจเกินไปแล้ว เพื่อนกันทั้งนั้น อีกอย่างท่านปู่ลี่ก็เป็นปู่ของจุนถิง ฉันก็ใกล้ชิดกับท่านปู่ลี่อยู่พอสมควร ยังไงก็คนกันเองทั้งนั้น”
“อืม”
“อยู่ดี ๆ ทำไมท่านปู่ลี่ถึงได้หมดสติไปล่ะ?”
เจียงหยุนเอ๋อส่ายหน้า : “ไม่รู้สิ หมอประจำครอบครัวสงสัยว่าจะเป็นโรคหลอดเลือดสมอง คงต้องรอผลตรวจออกมาก่อน”
แต่ละคนต่างรออยู่นอกห้องผู้ป่วยด้วยความร้อนใจ ผ่านไปสักพักใหญ่ คุณหมอถึงได้เดินออกมาจากในห้อง
หลันเยว่เฉินเดินไปข้างหน้า แล้วเอ่ยถาม : “คุณหมอหลิว ท่านปู่ลี่เป็นอะไร?”
คุณหมอหลิวถอดหน้ากากอนามัยออก : “ท่านปู่ลี่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง”
เจียงหยุนเอ๋อและคนอื่น ๆ ต่างพากันช็อก ถึงแม้ก่อนหน้านี้หมอประจำครอบครัวได้เกริ่นเอาไว้แล้ว แต่เมื่อได้ฟังคุณหมอหลิวยืนยัน ในใจก็รู้สึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูก
“สาเหตุเกิดจากอะไรคะ?” โม่เสี่ยวฮุ่ยถามด้วยความกังวล
คุณหมอหลิวส่ายหน้าอย่างจนปัญญา : “สาเหตุที่แท้จริงผมเองก็ยังไม่ทราบครับ แต่ผมจะพยายามหาสาเหตุให้ได้ เพื่อง่ายต่อการรักษา ตอนนี้ท่านปู่ลี่คงต้องอยู่ดูอาการที่โรงพยาบาลก่อน”
“ค่ะ รบกวนคุณหมอหลิวด้วยนะคะ”
“ยินดีครับ”
หลังจากที่ยืนยันอาการป่วยของท่านปู่แล้ว คนทั้งตระกูลลี่ต่างก็พากันโศกเศร้าทันที
การป่วยของท่านปู่ลี่ไม่มีอาการให้รู้ก่อนเลยสักนิด
ก่อนหน้านี้ พวกเขาสูญเสียเสาหลักของครอบครัวไปแล้วคนหนึ่ง ตอนนี้เสาหลักคนสุดท้ายของครอบครัวก็มาล้มป่วยไปอีก
“แม่คะ ไม่ต้องกังวลไปนะคะ คุณปู่จะต้องดีขึ้นค่ะ” ลี่จุนซินเห็นสีหน้าของโม่เสี่ยวฮุ่ยไม่สู้ดีนัก เลยพูดปลอบใจ
ถึงแม้ตอนนี้ตัวเองก็อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
“ฉันรู้ ฉันเชื่อว่าพ่อจะต้องดีขึ้น ตอนนี้สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือปิดเรื่องนี้เอาไว้ ตอนนี้บริษัทวุ่นวายขนาดนี้ ถ้าตอนนี้ให้พวกผู้ถือหุ้นรู้ว่าพ่อป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองละก็ ทั้งบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปจะต้องวุ่นวายกันไปหมดแน่นอน” โม่เสี่ยวฮุ่ยทั้งเป็นห่วงสุขภาพของท่านปู่ลี่ และเป็นห่วงเรื่องบริษัท ช่วงนี้มีแต่เรื่องให้ปวดหัว สีหน้าของเธอดูห่อเหี่ยวเลยเกิน