“ค่ะ เรื่องนี้ถ้าแพร่งพรายออกมายังไงก็ไม่เป็นผลดีต่อหลี่ซื่อกรุ๊ป” เจียงหยุนเอ๋อพยักหน้า เห็นด้วยกับโม่เสี่ยวฮุ่ย
“เรื่องนี้ฉันจะส่งจี้งยี้ไปจัดการ แม่เองก็เหนื่อยมากแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะค่ะ” ลี่จุนซินเป็นห่วงโม่เสี่ยวฮุ่ยจะเป็นอะไรไปอีกคน “หยุนเอ๋อก็ด้วย เธอเองก็ต้องระวังสุขภาพให้ดี เทียวไปเทียวมาอยู่”
เจียงหยุนเอ๋อส่ายหน้า พูดพลางยิ้ม : “ไม่เป็นไรค่ะพี่ ฉันแข็งแรงดี”
“เธอต้องระวังหลานตัวเล็กของฉันด้วย ไม่อย่างนั้นฉันเอาเรื่องเธอแน่” ถึงแม้โม่เสี่ยวฮุ่ยจะพูดเตือน แต่ที่จริงกำลังพูดเล่นกับเจียงหยุนเอ๋อ
เมื่อได้ยินโม่เสี่ยวฮุ่ยหยอกล้อตัวเอง เจียงหยุนเอ๋อก็รู้สึกดีใจและประทับใจ ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับโม่เสี่ยวฮุ่ยดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่รู้เรียกว่ายามตกทุกข์ได้ยากจะเห็นความจริงใจได้หรือเปล่า
“หนูทราบแล้วค่ะ แม่”
โม่เสี่ยวฮุ่ยไม่ยอมกลับไป บอกว่าจะเข้าไปเยี่ยมท่านปู่ลี่ในห้องผู้ป่วย
ลี่จุนซินให้เวลากับโม่เสี่ยวฮุ่ย ส่วนเธอและเจียงหยุนเอ๋อก็เริ่มหาวิธีรับมือกับปัญหา
บนรถเก๋งสี่ประตูสีดำคันหนึ่งที่จอดอยู่ในลานจอดรถของโรงพยาบาล ลี่หยูนห่วนกำลังหยิบกล่องใบหนึ่งออกมา ยื่นให้ผู้ชายคนหนึ่งที่ถือกล้องถ่ายรูปอยู่ข้าง ๆ
“นี่ให้แก จำไว้ว่าต้องถ่ายสภาพของท่านปู่ลี่ในตอนนี้ออกมาให้ได้” ลี่หยูนห่วนกำชับนักข่าว
นักข่าวรับกล่องหนัก ๆ นั้นมา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในกล่องนั้นคือเงิน
“นี่แค่ส่วนหนึ่ง ถ้าทำสำเร็จ ฉันจะเอาเงินส่วนที่เหลือให้แก” ลี่หยูนห่วนยิ้มออกมา
“ครับ ขอบคุณครับคุณชายรองลี่” นักข่าวเมื่อรับเงินมาแล้วก็ลงไปจากรถ
เห็นนักข่าวเข้าไปในโรงพยาบาลแล้ว ลี่หยูนห่วนก็โทรศัพท์ไปหาลี่หุย
“จัดการเรียบร้อยแล้ว”
“ดีมาก ตอนนี้ก็รอลงหนังสือพิมพ์แล้วกัน” ลี่หุยหัวเราะเสียงดัง
เรื่องที่ท่านปู่ลี่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง ลี่หยูนห่วนและลี่หุยดีใจกับข่าวนี้มาก ถ้าทำให้บริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปวุ่นวายได้ พวกเขาก็จะฉวยโอกาสนี้ลงหลักปักฐาน ถึงตอนนั้นบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปก็ต้องตกเป็นของพวกเขา
ดังนั้นพวกเขาจึงได้ส่งนักข่าวคนหนึ่งไปแอบถ่ายรูป
ผ่านไปไม่ถึงสองวัน นักข่าวคนนั้นก็ได้เอารูปที่ท่านปู่ลี่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาลส่งออกไป ไม่นาน ตามหน้าหนังสือพิมพ์ก็ได้พาดหัวข่าวเรื่องท่านปู่ลี่ของบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปป่วยหนักจนลุกไม่ได้เต็มไปหมด
และเป็นเพราะข่าวเรื่องนี้ ทำให้หุ้นของบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปที่เดิมทีก็มีแนวโน้มร่วงลงอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งร่วงหนักเข้าไปอีก
เจียงหยุนเอ๋อและลี่จุนซินที่ทำงานอยู่ในบริษัทก็ยิ่งยากที่จะรับมือ พันธมิตรมากมายมาโวยวายที่บริษัทขอหยุดความร่วมมือ
คราวนี้ไม่มีท่านปู่ลี่คอยปกป้องแล้ว ลี่จุนซินกับเจียงหยุนเอ๋อต่างรู้สึกหมดหนทาง
ส่วนอีกฝ่าย ลี่หุยและลี่หยูนห่วนต่างก็รู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะราดน้ำมันลงบนกองไฟ
พวกเขาปรึกษาหารือกันว่า ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำก็คือกำจัดผู้ช่วยคนเก่ง ๆ ของท่านปู่ลี่ไปให้หมด ทำแบบนี้แล้วพวกลี่จุนซินก็จะไม่มีทางลืมตาอ้าปากได้อีก
ลี่หยูนห่วนและลี่หุยได้เรียกผู้ช่วยคนเก่ง ๆ ของท่านปู่ลี่ในเมื่อก่อนมา แล้ววิเคราะห์ผลดีผลเสียของบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปในตอนนี้ให้พวกเขาฟัง
ผู้ช่วยคนเก่ง ๆ ของท่านปู่ลี่ต่างก็ไม่เห็นด้วย แต่พวกเขาก็มารวมตัวกัน
“พวกนายลองแสดงความคิดเห็นพวกนายมาสิ ตอนนี้ควรทำยังไง?” กัวฉางเฟิงเป็นผู้ช่วยที่ท่านปู่ลี่ชื่นชอบและไว้ใจมากที่สุด การประชุมกลุ่มในครั้งนี้ก็เป็นเขาที่เรียกทุกคนมา
สวีตงเฉิงเอ่ยพูด : “บริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมท่านปู่ลี่ถึงได้ให้เด็กผู้หญิงสองคนมาดูแลบริษัท”
สวีตงเฉิงเป็นพวกหัวโบราณที่เห็นผู้ชายเป็นใหญ่ ใจจริงของเขาคือดูถูกผู้หญิง คิดว่าผู้หญิงควรจะซักผ้าทำกับข้าวอยู่ที่บ้าน
ท่านปู่ลี่ให้ผู้หญิงสองคนมาดูแลบริษัท เดิมทีเขาก็ไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว ตอนแรกก็ไม่อยากกลับมายุ่งเรื่องนี้ แต่ท่าทีของท่านปู่ลี่ทำให้เขายอมใจอ่อน
“ฉันคิดว่า สถานการณ์ในตอนนี้พวกเราคงกู้กลับมาไม่ได้แล้ว” พานฉวนถอนหายใจ
แก่แล้ว ไม่มีใจฮึดสู้อีกแล้ว
“ฉันคิดว่าลี่หยูนห่วนกับลี่หุยน่าจะติดต่อพวกนายไปใช่ไหม” กัวฉางเฟิงมองไปยังคนที่นั่งอยู่
ทุกคนต่างก็พยักหน้า
“ถึงแม้ท่านปู่ลี่จะมีบุญคุณกับพวกเรา แต่ฉันคิดว่าที่พวกเราพูดก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล” ขณะที่หลี่อันอวี้พูดประโยคนี้ก็ได้หันไปมองกัวฉางเฟิงแวบหนึ่ง
กัวฉางเฟิงไม่ได้พูดอะไร ก็เท่ากับว่ายอมรับเช่นกัน
“พวกเราต่างก็อายุมากแล้ว ตอนนี้เป็นยุคที่พวกคนหนุ่มสาวแย่งชิงกันไปมา ดูท่าตระกูลลี่ต้องเปลี่ยนผู้ปกครองแล้ว” หลังจากที่พานฉวนแก่ตัวลง ก็เชื่อมาตลอดว่าทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
“ไม่รู้ว่าตอนนี้คุณชายลี่ไปอยู่ที่ไหน ถ้าเขายังอยู่คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” สวีตงเฉิงยังคงยกย่องลี่จุนถิงมาก
เขาชื่นชมวิธีการจัดการที่รวดเร็วและเด็ดขาดของลี่จุนถิงมากเช่นกัน
“ช่างเถอะ ตอนนี้พวกเราตัดสินใจเองไม่ได้หรอก พวกนายอยากทำอะไรก็ทำเถอะ” กัวฉางเฟิงถอนหายใจ เขาเองก็มีแผนในใจแล้ว
เขาไม่มีทางเห็นด้วยกับข้อเสนอของลี่หยูนห่วนและลี่หุย แต่เขาก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับปัญหาตอนนี้ของบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ป เขากับท่านปู่ลี่ต่างก็อายุมากกันแล้ว อยากจัดการแต่ก็จัดการอะไรไม่ไหวอีกแล้ว
อีกอย่าง บริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปในตอนนี้ยังจะมีคนยอมเชื่อฟังอีกเหรอ?
การประชุมในครั้งนี้ก็เลิกรากันไปอย่างไม่ค่อยสุขใจนัก
หลังจากที่กลับไปพานฉวนก็รู้สึกไม่สบายใจ สุดท้ายพานฉวนจึงโทรศัพท์ไปหาเจียงหยุนเอ๋อ
เจียงหยุนเอ๋อแปลกใจมากที่พานฉวนโทรหาตัวเอง เธอรู้ดีว่าพานฉวนเคยเป็นผู้ช่วยของท่านปู่ลี่ จึงรู้สึกดีใจมาก ถ้ามีผู้อาวุโสเหล่านี้ช่วยเหลือ บริษัทต้องค่อย ๆ ฟื้นตัวได้แน่นอน
เจียงหยุนเอ๋อจึงรู้สึกมีความหวังขึ้นมา เมื่อได้พบพานฉวนกลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นข่าวร้าย
“คุณนายน้อย ผมคิดว่าผมคงไม่อยู่ช่วยบริษัทต่อไปแล้ว” พานฉวนมองเจียงหยุนเอ๋อ ในแววตามีความรู้สึกผิดปนอยู่
“ทำไมล่ะคะ?” เจียงหยุนเอ๋อตาโต ใบหน้าเต็มด้วยความไม่คาดคิด “ฉันคิดว่าคุณ……”
เธอคิดว่าพานฉวนมาหาตัวเองเพื่อเสนอวิธีรับมือแก้ไขปัญหาเสียอีก
“คุณนายน้อยก็รู้ดี ตอนนี้ท่านปู่ลี่ป่วยจนเข้าโรงพยาบาลแล้ว”
“ใช่ค่ะ” ในเมื่อหนังสือพิมพ์ตีพิมพ์ไปหมดแล้ว เจียงหยุนเอ๋อก็ไม่ปิดบังอะไรอีก “แต่ว่าคุณปู่ต้องดีขึ้นค่ะ”
“ในเมื่อท่านปู่ลี่ไม่ได้อยู่ดูแลบริษัทแล้ว ผมคิดว่าผมก็ควรออกไปดีกว่า ยังไงตอนแรกก็เป็นเพราะท่านปู่ลี่ถึงได้กลับมา” พานฉวนพูดความคิดของตัวเองออกมา
เจียงหยุนเอ๋อรีบเอ่ยพูด : “คุณพาน คุณห้ามไปนะคะ ตอนนี้บริษัทกำลังอยู่ในช่วงวิกฤติ ถ้าคุณปู่ฟื้นขึ้นมาแล้วรู้ว่าคุณออกไป เขาต้องเสียใจมากแน่นอน”
เจียงหยุนเอ๋อพยายามโน้มน้าวสุดชีวิต ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถปล่อยให้คนที่มีประโยชน์พวกนี้ไปจากบริษัทได้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผลเลยสักนิด