รถยนต์คันหนึ่งกำลังขับช้าๆ บนถนนบนภูเขาที่ชานเมือง S ในประเทศ H จุดหมายคืออาคารโรงงานร้างที่ตั้งของโรงงานเคมี บริเวณนี้ตั้งอยู่ในบริเวณที่รกร้างที่สุดในเมือง S ไม่มีใครปรากฏอยู่บริเวณนี้มาหลายปีแล้ว
เจียงหยุนเอ๋ออยู่ในรถคันนี้
ตอนที่เธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอพบว่าตัวเองถูกปิดตาไว้ และมือของเธอก็ถูกมัดไว้ด้านหลัง
เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นรอบตัวเธอ และเธอไม่รู้ว่าถวนจื่ออยู่ที่ไหน
“จริงด้วย! ถวนจื่อ! ถวนจื่ออยู่ที่ไหน?” เจียงหยุนเอ๋อตื่นตกใจทันที
เธอตั้งใจจะอ้าปากและตะโกนเรียกหาถวนจื่อ แต่พบว่าปากของเธอถูกปิดไว้ด้วย เธอคิดว่า เธอคงถูกลักพาตัวแล้ว และน่าจะมีคนอยู่ข้างๆ ดังนั้นเธอจึงส่งเสียง “อื้ออื้อ” ไม่หยุด เพื่อพยายามดึงความสนใจจากคนรอบข้าง
โจรลักพาตัวที่นั่งด้านหน้าได้ยินเจียงหยุนเอ๋อที่ร้อง “อื้ออื้อ”ไม่หยุด เขาเริ่มหมดความอดทน จึงดึงเทปสีดำออกจากปากของเจียงหยุนเอ๋ออย่างแรง
“ผู้หญิงน่ารำคาญ ทางที่ดีก็บอกพวกเรามาดีกว่า ไม่อย่างนั้น คอยดูว่าพวกเราจะจัดการกับแกยังไง”
ตอนที่เทปสีดำถูกดึงออก เจียงหยุนเอ๋อเจ็บจนสูญเสียความรู้สึกของริมฝีปากไปเลย แต่ความกังวลที่มีต่อถวนจื่อ ทำให้เธอไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ริมฝีปากของเธอเลย
“พวกนายเป็นใคร พวกนายจับถวนจื่อไปไว้ที่ไหน”
ทันทีที่เจียงหยุนเอ๋อพูดจบ เธอจึงสัมผัสได้ว่ามีร่างเล็ก ๆ ที่อ่อนนุ่มนอนพิงเธออยู่ จากนั้นก็มีเสียงเล็กๆดังขึ้นมาด้วยเสียงงุนงง
“แม่ครับ ผมอยู่นี่ แต่ว่ามันมืดมากเลย ผมกลัวจังเลยครับ”
เจียงหยุนเอ๋อกำลังจะปลอบถวนจื่อ แต่ปากของเธอก็ถูกปิดลงอีกครั้ง เธอได้ยิน “แปะ” อีกครั้งจึงรู้ว่าปากของถวนจื่อถูกปิดแล้วด้วย
หลังจากถูกปิดปาก ถวนจื่อก็ดิ้นรนอย่างร้อนใจ จึงรีบส่งเสียงประท้วง “อื้อ” อย่างรวดเร็ว
“ก็นึกว่ามีเรื่องด่วน พูดมากอยู่ได้ น่ารำคาญจริงๆ” โจรลักพาตัวได้ยินบทสนทนาของเจียงหยุนเอ๋อและถวนจื่อจึงอารมณ์เสียมาก ดังนั้นเขาจึงปิดปากของพวกเธออีกครั้ง
รถขับเคลื่อนได้ไม่นาน ก็หยุดจอด หลังจากนั้นเจียงหยุนเอ๋อและถวนจื่อก็ถูกผลักลงจากรถ และถูกพาไปในโรงงานร้างที่ค่อนข้างสะอาด
หลังจากที่เธอถูกพวกเขาพาเข้าไปขังไว้ ผ้าปิดตาและเทปสีดำก็ถูกถอดออก ถึงแม้ว่าแสงสว่างในอาคารโรงงานแห่งนี้จะไม่ค่อยดีนัก แต่ตอนที่เจียงหยุนเอ๋อถูกถอดผ้าปิดตาออกก็ต้องหรี่ตาลงเพราะสู้แสงแดดไม่ได้
เมื่อเธอชินกับแสงสว่างแล้ว เธอรีบหันกลับไปมองหาถวนจื่อ แล้วถามอย่างร้อนรนว่า
“ถวนจื่อ เป็นยังไงบ้างลูก ไม่เป็นไรใช่ไหม”
ถวนจื่อเห็นดวงตาที่เป็นกังวลของเจียงหยุนเอ๋อ เพื่อให้หายกังวล เขาจึงรีบกลั้นน้ำตาตัวเองไว้ แล้วกระซิบพูดกับเธอ
“แม่ครับ ผมไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมเข้มแข็งมาก”
เมื่อเจียงหยุนเอ๋อเห็นถวนจื่อกลั้นน้ำตาจนขอบตาแดง เธอยิ่งรู้สึกปวดใจและรู้สึกผิดต่อถวนจื่อมากยิ่งขึ้น
เจียงหยุนเอ๋อเห็นอาการของถวนจื่อค่อยๆผ่อนคลายลง เธอจึงเงยหน้าขึ้นเพื่อสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างละเอียด
อาคารโรงงานนี้มีพื้นที่ไม่ใหญ่มาก แต่ว่า สถานที่ที่พวกเธอนั่งยังคงอยู่ห่างจากประตูไประยะหนึ่ง มือและเท้าของเธอกับถวนจื่อถูกมัดไว้ ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะหลบหนีไปได้
อีกทั้งโจรลักพาตัวบางส่วนยังนั่งอยู่ที่ประตูทางเข้า และมองมาทางพวกเธอเป็นบางครั้งบางคราว มีโจรลักพาตัวอยู่ในโรงงานสี่คน และไม่รู้ว่ามีอยู่ข้างนอกอีกกี่คน
ในเวลานี้ เจียงหยุนเอ๋อได้แต่อธิษฐานให้โม่เสี่ยวฮุ่ยและคนอื่น ๆ รู้ว่า เจียงหยุนเอ๋อหายตัวไป
ในขณะที่เจียงหยุนเอ๋อกำลังขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ เธอก็ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงดังเข้ามาในหู เธอรู้สึกงุนงงมาก ดังนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้นมอง
เจียงหยุนเอ๋อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นสาวสวยต่างชาติผมสีบลอนด์และดวงตาสีฟ้า แต่งกายอย่างประณีต และเปล่งประกายออร่าที่งดงามและน่าหลงใหลออกมา
ถูกต้องแล้ว คนที่เดินเข้ามาก็คือซูซานนั่นเอง
ในขณะที่ เจียงหยุนเอ๋อมองไปที่ซูซานอย่างระวังตัว ซูซานเองก็เฝ้าดูเจียงหยุนเอ๋ออย่างระวังตัวเช่นกัน ซูซานยิ้มเยาะเย้ยในใจ คิดว่าเจียงหยุนเอ๋อไม่ได้เก่งกาจอะไรอย่างที่คิดไว้
สายตาที่ไม่หวังดีของซูซานทำให้เจียงหยุนเอ๋อรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ในขณะที่เจียงหยุนเอ๋อกำลังจะถามว่าเธอเป็นใคร
หนึ่งในกลุ่มโจรลักพาตัวก็วิ่งเข้ามาจากข้างนอก ก่อนจะเอ่ยพูดกับซูซานด้วยเสียงหอบเหนื่อย
“เจ้านายครับ ข้างนอกมีคนมาแล้ว เจ้านายรีบหนีเร็ว ๆเข้าครับ”
พอได้ยิน สีหน้าของซูซานก็นิ่งขรึม เธอหันกลับไปจ้องที่เจียงหยุนเอ๋อเล็กน้อย ก่อนจะพูดทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยคแล้วเดินจากไป
“เจียงหยุนเอ๋อ รอก่อนเถอะ คราวหน้าฉันจัดการเธอแน่”
เจียงหยุนเอ๋อได้ยินแบบนี้ จึงรู้สึกงงมาก เธอจำไม่ได้ว่าตัวเองเคยไปมีปัญหากับคนคนนี้ไว้ตอนไหน แต่ว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องนี้ เธอได้ยินโจรลักพาตัวบอกว่ามีคนกำลังมา เป็นคนที่มาช่วยเธอและถวนจื่อใช่ไหม
เจียงหยุนเอ๋อรู้สึกดีใจมากเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอมองไปรอบ ๆ ตัวเธอกับถวนจื่อ เพื่อดูว่ามีอะไร ที่พอจะใช้ในการแก้เชือกที่มัดพวกเธอไว้ออกไปไหม
ทันใดนั้น เธอก็พบว่ามีเศษขวดเบียร์ที่ตกแตกอยู่ไม่ไกลจากเธอ เธอพยายามขยับตัวด้วยความยากลำบาก ก่อนจะเอาเศษแก้วค่อยๆขูดเชือกที่มัดแขนเธอไปมา
หลังจากที่เจียงหยุนเอ๋อแก้เชือกบนตัวของเธอแล้ว เธอก็รีบเดินกลับไปที่เดิม แล้วช่วยถวนจื่อแก้เชือกบนตัวออก
คนที่ซูซานพามาด้วยนั้นฝีมือไม่ธรรมดา แต่คนที่ชิงโม่พามาฝีมือดีกว่ามาก ในขณะที่เจียงหยุนเอ๋อแก้เชือกให้ถวนจื่ออยู่ ชิงโม่และลูกน้องที่พามาด้วยก็จัดการพวกโจรลักพาตัวเรียบร้อยแล้ว
ทันทีที่เจียงหยุนเอ๋อแก้เชือกให้ถวนจื่อเสร็จ เธอก็เห็นถวนจื่อยิ้มออกมาอย่างมีความสุข และในวินาทีต่อมาเด็กน้อยก็พุ่งตัวออกไปราวกับลูกธนูพร้อมกับตะโกนว่า “แด๊ดดี้ครับ”
เมื่อได้ยินสองคำนี้ เจียงหยุนเอ๋อก็ชะงักไป เธอยืนอยู่ที่เดิมด้วยท่าทางตกตะลึงไม่อยากจะเชื่อ เธอได้ยินถวนจื่อร้องเรียก “แด๊ดดี้” ไม่หยุด เธอจึงค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วหันกลับไปมอง
ทันทีที่เธอหันกลับไป แล้วเห็นถวนจื่อกอดขาของลี่จุนถิงไว้ โดยที่สายตาของลี่จุนถิงยังคงจ้องไปที่เจียงหยุนเอ๋อ
เจียงหยุนเอ๋อร้องไห้ออกมาทันที น้ำตาไหลอาบแก้มของเธอทั้งสองข้าง แล้วน้ำตาอุ่นก็หยดลงบนมือของเธอ
ทันทีที่เธอเห็นลี่จุนถิง ความเป็นห่วง ความกังวลและความน้อยใจทั้งหมดก็พุ่งเข้ามาในใจของเธอ เธอเริ่มคัดจมูก และเสียงของเธอก็เริ่มสะอึกสะอื้น จนพูดออกมาจนเป็นประโยคไม่ได้
หลังจากร้องไห้อยู่สักพัก เจียงหยุนเอ๋อถึงจะเริ่มขยับตัว เธอค่อยๆเดินไปทางลี่จุนถิงทีละอย่างมั่นคง พอมาหยุดยืนตรงหน้าลี่จุนถิง แล้วยกมือลูบแก้มของลี่จุนถิงอย่างอ่อนโยน
ลี่จุนถิงยืนมองเจียงหยุนเอ๋อลูบไล้ใบหน้าของเขานิ่ง ถึงแม้สีหน้าของเขายังคงไร้ความรู้สึก แต่ดวงตาที่อ่อนโยนของเขาก็ยังทรยศเขาอยู่ดี
ชิงโม่เสียดายมาก เดิมทีเขาหวังว่าลี่จุนถิงจะซ่อนตัวได้นานกว่านี้ แต่นี่เป็นสถานการณ์เร่งด่วน เขาจึงไม่สามารถซ่อนได้อีกต่อไป
หลังจากที่เจียงหยุนเอ๋อสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิของร่างกายลี่จุนถิง เธอก็ดึงเขามากอดไว้แน่น
เจียงหยุนเอ๋อกอดลี่จุนถิงไว้แน่นราวกับอยากจะรวมลี่จุนถิงเข้ากับร่างกายของเธอ ก่อนจะพูดพึมพำอย่างเหม่อลอย “จุนถิง จุนถิง ฉันเชื่อว่าคุณจะต้องกลับมา”
ในตอนที่เจียงหยุนเอ๋อกอดตัวเองไว้ เขาก็เกิดความรู้สึกอบอุ่นคุ้นเคยที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อนตั้งแต่เขาสูญเสียความทรงจำ
ลี่จุนถิงเห็นเจียงหยุนเอ๋อมีท่าทางแบบนี้ เขาจึงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะกอดเจียงหยุนเอ๋อกลับ และพูดกับเจียงหยุนเอ๋อเบาๆว่า “ขอโทษด้วยหยุนเอ๋อ ผมมาช้าเกินไป”