หลังจากอินเสี่ยวเสี่ยวรับปากอี้อวิ๋นฉังว่าจะแสดงบทนางเอกแล้ว ผ่านไปอีกสองสามวัน อินเสี่ยวเสี่ยวก็สลับตัวกับอี้อวิ๋นฉัง เธอปรากฏตัวในกองถ่ายด้วยสถานะ ‘หลินหว่าน’
อินเสี่ยวเสี่ยวกับ ‘หลินหว่าน’ หน้าเหมือนกันเป๊ะ ทุกคนจึงไม่สงสัย เข้าใจว่าเธอคืออี้อวิ๋นฉัง ซึ่งก็คือ ‘หลินหว่าน’
วันนั้นเอง ลูกน้องของเซียวจิ่งสือรายงานเรื่องนี้ให้เขาทราบ
ตั้งแต่เซียวจิ่งสือรู้ว่าหลินหว่านที่อยู่กับเขาเป็นตัวปลอม เขาก็สั่งกำกับมาเป็นพิเศษ เพราะเขาไม่ต้องการให้อินเสี่ยวเสี่ยวเกิดเหตุอันตรายอีก และไม่ต้องการให้คนอื่นสวมรอยแอบอ้างใช้ตัวตนของเธออีก
“ท่านประธานเซียว วันนี้คุณอินเข้ากองถ่ายไปเข้ากล้องในฐานะของหลินหว่าน ส่วนคุณหลินตัวปลอมนั่นไม่ได้ไปปรากฏตัว” คนของเซียวจิ่งสือรายงาน
เซียวจิ่งสือฟังแล้ว คิดอยู่ครู่หนึ่ง อินเสี่ยวเสี่ยวใช้ตัวตนหลินหว่านมาปรากฏตัวในกองถ่ายได้ หลินหว่านตัวปลอมต้องรู้และเห็นด้วยแล้วอย่างแน่นอน
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมหลินหว่านตัวปลอมถึงให้อินเสี่ยวเสี่ยวแสดงแทนเธอ เกรงว่าจะมีแผนการร้ายอะไรอีก จึงถามว่า “งั้นหลินหว่านตัวปลอมนั่นไปไหนแล้ว? พวกนายสืบได้รึยัง?”
“ท่านประธานเซียว พวกเราส่งคนตามรอยเธอไปแล้วครับ ตอนนี้เธอยังไม่ได้ทำอะไรครับ” ลูกน้องพูด
เซียวจิ่งสือสั่งการว่า “พวกนายส่งคนไปตามรอยเธอมาให้ได้นะ ดูว่าเธอไปที่ไหนเป็นประจำ แล้วคอยสังเกตดูว่าเธอมีแผนอะไรอีก”
“ครับ ท่านประธานเซียว” ลูกน้องตอบรับแล้วถามว่า “ท่านประธานเซียวครับ งั้นคุณอินเข้ากองถ่ายไปแล้ว พวกเรายังต้องส่งคนไปคอยจับตาดูเธอต่อไหมครับ?”
เซียวจิ่งสือคิดดูแล้ว ฉุกคิดขึ้นได้ว่า บางทีอาจเป็นเพราะหลินหว่านตัวปลอมแสดงไม่ได้จึงให้อินเสี่ยวเสี่ยวมาแทนเธอ ถ้าเป็นเช่นนี้ ทุกอย่างก็สมเหตุสมผล
เขานึกดูอีกว่า อินเสี่ยวเสี่ยวไปแสดงหนัง ไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายคนที่ได้รับประโยชน์ก็คือหลินหว่าน ไม่ใช่คนอื่น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ลงมือขัดขวาง และพูดว่า “ส่งคนไปจับตาดูไว้ ห้ามไม่ให้เกิดเรื่องเหมือนคราวที่ตกลงมาจากลวดสลิงค์อีกเด็ดขาด!”
คราวที่แล้วพอรู้ว่าอินเสี่ยวเสี่ยวตกจากลวดสลิงค์ เซียวจิ่งสือก็อาละวาดด้วยความโมโหไปชุดใหญ่ ทั้งแอบให้คนไล่ช่างที่ดูแลเส้นลวดสลิงค์ออกไปแล้ว
“ทราบแล้วครับ ท่านประธานเซียว ผมจะให้คนดูแลรักษาความปลอดภัยให้คุณอินอย่างดีแน่ครับ” คนของเซียวจิ่งสือฟังแล้ว นึกถึงอาการปรอทแตกของเซียวจิ่งสือเมื่อคราวก่อน รีบรับรองแข็งขัน
อินเสี่ยวเสี่ยวมาถึงกองถ่ายแล้ว ฉากแรกก็คือฉากต่อสู้นั่นอีกแล้ว และยังห้อยลวดสลิงค์อีกด้วย
พอนึกถึงคราวที่แล้วตอนเธอตกลงมาจากลวดสลิงค์ อินเสี่ยวเสี่ยวก็อดเครียดขึ้นมาบ้างไม่ได้ แต่เธอยังกัดฟันทำไป
แต่ที่ต่างไปคือ คราวนี้เธอไม่ได้เป็นเพียงสตั๊นท์ที่ถ่ายแค่เงาหลังกับภาพถ่ายระยะไกลเท่านั้น แต่แสดงในบทบาทของนางเอกอย่างเต็มตัว ดังนั้น ในฉากนี้เธอจึงมีการแสดงอารมณ์ มีบทพูด
ฉากนี้เป็นการปะทะบทบาทของนางเอกกับพระรองและฉากการต่อสู้ ตอนที่คนงานเข้ามาติดลวดสลิงค์ให้อินเสี่ยวเสี่ยวกับพระรอง ช่างดูแลอุปกรณ์คอยสั่งการอยู่ด้านข้าง อินเสี่ยวเสี่ยวพบว่าช่างคราวนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่คนเดียวกันกับคราวที่แล้ว
ทั้งสองยึดลวดสลิงค์แล้ว เมื่อทุกอย่างพร้อม ผู้กำกับสั่ง “แอ๊กชั่น” กล้องเริ่มเดินแล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวกับพระรองก็ถูกดึงตัวขึ้นไปกลางอากาศ
แต่พออินเสี่ยวเสี่ยวถูกดึงขึ้นไปกลางอากาศแล้ว เธอนึกถึงภาพที่ร่วงลงมาจากลวดสลิงค์คราวก่อนแล้วเกิดรู้สึกหวาดกลัววูบขึ้นมา สมองเธอกลายเป็นว่างเปล่าไปทันที
จู่ๆ อินเสี่ยวเสี่ยวก็หลงลืมบทพูดและท่าทางการเคลื่อนไหวที่เธอเตรียมไว้อย่างดีทั้งหมด เธอไม่รู้ว่าต่อไปตัวเองควรจะทำอะไร จิตใจมีแต่ความกลัวว่าเธอจะร่วงลงมาจากลวดสลิงค์อีกครั้ง
ดังนั้น ผู้กำกับมองผ่านจอมอนิเตอร์พอเห็นหลินหว่านท่าทางตัวเกร็งแววตาแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ ไม่ขยับตัวเลยสักนิด บทพูดสักคำก็พูดไม่ออก ก็รู้สึกโมโหมาก พร้อมกันนั้นก็สงสัยมากด้วย
ไหนว่ากันว่าหลินหว่านแสดงดีนักหนาไม่ใช่รึไง? ทำไมหลายวันที่เขาทำงานกับหลินหว่าน ไม่เห็นเลยว่าหลินหว่านแสดงได้ดีที่ตรงไหน?
โดยเฉพาะตอนเข้ากล้องเมื่อหลายวันก่อน ขนาดเป็นฉากง่ายมากๆ ‘หลินหว่าน’ ยังต้องเทคไปสามสี่รอบ ทำให้การถ่ายทำล่าช้า ตอนนี้ พอขึ้นห้อยสลิงค์ก็ยิ่งแข็งทื่อเป็นหุ่นไม้อย่างนั้นเลย แสดงไม่เป็นแล้ว บทพูดก็พูดไม่เป็นอีก
กลับกลายเป็นว่าพระรองแสดงได้ดีหน่อย ในฉากบทของเขาได้รู้จักกับนางเอกจากการต่อสู้ นี่จึงเป็นฉากที่พวกเขาได้พบกันเป็นครั้งแรก พระรองแสดงท่าต่อสู้ที่แผ่วพลิ้วชุดหนึ่งอย่างสบายๆ จากนั้นถึงคราวของหลินหว่าน
แต่ว่าหลินหว่านไม่รู้ทำไม นิ่งไม่ขยับสักนิด ไม่มีท่าทีจะต่อคิวการแสดงเลย
ตอนนั้นเอง ผู้กำกับรีบตะโกนว่า “คัท! หลินหว่าน คุณทำอะไรนะ? รวบรวมสมาธิหน่อย เอาใหม่!”
หลังเสียงตีสเลททีหนึ่ง เริ่มถ่ายฉากนี้อีกครั้ง แต่ที่ไหนได้ หลินหว่านยังคงทำท่าแข็งทื่อดวงตาไร้แววอยู่ดี ไม่เหมือนกับคนที่สวมบทบาทของตัวละครนั้นได้เลย
ผู้กำกับเห็นแล้ว ตะโกนลั่นอย่างโมโหว่า “คัท! คัท!”
ผู้กำกับร้องคัทแล้ว ก็ส่งสัญญาณให้คนงานปล่อยสลิงค์ลงมา
อินเสี่ยวเสี่ยวกับพระรองลงมาแล้ว ผู้กำกับก็ตวาดอย่างเดือดจัดเข้าใส่หลินหว่าน “หลินหว่าน คุณทำอะไรน่ะ การเคลื่อนไหวของคุณล่ะ? บทพูดล่ะ? เมื่อครู่คุณไม่ได้ทำอะไรเลย นี่จงใจจะถ่วงเวลาคนอื่นงั้นรึ?”
อินเสี่ยวเสี่ยวฟังคำของผู้กำกับแล้ว ตอบกลับตะกุกตะกักว่า “ม…ไม่ใช่ค่ะผู้กำกับ ฉันไม่ได้ตั้งใจถ่วงเวลานะคะ”
“งั้นคุณทำอะไร? นิ่งไม่ขยับสักนิด บทพูดก็พูดไม่เป็น คุณไม่ได้ถ่วงเวลาแล้วกำลังทำอะไร?”
ก่อนหน้านี้ ผู้กำกับยังเห็นแก่กองหนุนของหลินหว่านจึงเกรงอกเกรงใจอยู่บ้าง ตอนนี้ เขาโพล่งออกมาอย่างเดือดดาลว่า “ถ้าคุณแสดงไม่เป็นก็ไม่ต้องแสดงแล้ว คนที่อยากแสดงและมีฝีมือแสดงหนังเรื่องนี้ยังเข้าคิวรอกันอยู่นะ!”
อินเสี่ยวเสี่ยวรีบพูดว่า “ขอโทษค่ะ ผู้กำกับ เมื่อครู่ฉันตื่นเต้นเกินไปเลยลืมบทพูดกับท่าทางการเคลื่อนไหว ผู้กำกับคะ คุณให้โอกาสฉันอีกสักครั้งนะคะ!”
พระรองที่ด้านข้างไม่ได้ช่วยหลินหว่านพูดสักคำ เพราะเขาไม่ชอบหน้า ‘หลินหว่าน’ ที่เหวี่ยงวีนไปทั่วและวางก้ามอหังการ์ในกองถ่ายเมื่อหลายวันก่อน
ผู้กำกับฟังคำพูดของหลินหว่านแล้ว ยังสวดต่อไปว่า “บทพูดกับท่าทางการเคลื่อนไหวยังจำไม่ได้ พื้นฐานอาชีพนักแสดงคุณอยู่ตรงไหนกัน?”
“ขอโทษค่ะ ผู้กำกับ ฉันสำนึกผิดแล้ว คราวหน้าฉันจะไม่ทำอีกแล้วค่ะ” อินเสี่ยวเสี่ยวรีบพูดแสดงความเสียใจ
พอเห็นว่าท่าทีหลินหว่านยังนับว่าจริงใจ ผู้กำกับก็หายโกรธไปไม่น้อย เขาพูดอีกว่า “ช่างเถอะ ทั้งกองพักสิบนาที หลินหว่าน คุณไปฝึกบทพูดกับการเคลื่อนไหวให้แม่น จำไว้นะ อย่าให้คนทั้งกองถ่ายต้องเสียเวลาเพราะคุณคนเดียว ทำให้ตารางการถ่ายทำล่าช้า!”
เสียงผู้กำกับเพิ่งเงียบไป จู่ๆ ก็มีเสียงทุ้มลึกของชายคนหนึ่งดังใกล้เข้ามา “หว่านหว่าน พักนี้คุณอยู่ในกองถ่ายเป็นไงบ้าง?”
ไม่แค่อินเสี่ยวเสี่ยว แม้แต่ผู้กำกับและคนทำงานในกองถ่ายทั้งหมดพากันหันไปทางต้นเสียง แล้วก็เห็นเซียวจิ่งสือที่จู่ๆ ก็โผล่มากองถ่าย