บทที่ 164 จูนหยูนเสวี่ยไสหัวออกไปจากสำนักเทียนโจ้ง
ตอนที่จูนหยูนเสวี่ยทราบเรื่องที่ตระกูลจูนถูกโค่นล้มนั้น เวลาได้ล่วงไปแล้วสามวัน ในแคว้นเทียนโจ้งข่าวลือนี้ถูกเล่าขานกันอย่างร้อนแรง ในที่สุดข่าวลือก็ถูกส่งต่อไปถึงสำนักเทียนโจ้งจากปากของศิษย์สำนักเทียนโจ้งที่กลับมาจากการออกไปข้างนอก ทันใดนั้นทั้งสำนักเทียนโจ้งก็คึกคักขึ้นมาอีกครั้ง
ตอนที่เมื่อรู้ว่าตระกูลจูนถูกโค่นล้มโดยจูนจิ่วนั้น ได้เกิดความเงียบสงบขึ้นชั่วขณะหนึ่ง มีคนหนึ่งที่ใบหน้าขาวซีด พูดทั้งตัวสั่น “โชคดีที่จูนจิ่วไม่ต้องเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ มิฉะนั้นพวกเราได้ตายแน่”
“ก็จริงแหละ? จูนจิ่วน่ากลัวเกินไปแล้ว ตระกูลจูนเป็นหนึ่งในสองตระกูลใหญ่ของแคว้นเทียนโจ้ง นางพูดว่าโค่นล้มก็ล้มได้เลยรึทำได้อย่างไร?”
“ชู่ว ห้ามพูด ศิษย์พี่จูนหยูนเสวี่ยได้ยินแล้ว” มีคนส่งสายตา ให้สัญญาณเป็นเชิงว่าจูนหยูนเสวี่ยอยู่ตรงนั้น
ศิษย์สำนักเทียนโจ้งยังไม่รู้เรื่องที่จูนหยูนเสวี่ยร่วมมือกับเหอจง ทว่าพวกเขารู้ว่าจูนหยูนเสวี่ยแต่งงานกับเฟิ่งเทียนฉี่แล้ว ทันใดนั้นทุกคนตีตัวออกห่างจากจูนหยูนเสวี่น เพราะเห็นว่าเป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว ไม่ควรมีสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันเกินไป
จูนหยูนเสวี่ยยืนอยู่ตรงมุมนั้นด้วยอาการเหม่อลอย นางกำหมัดแน่นร่างกายสั่นสะท้าน จูนหยูนเสวี่ยไม่อยากจะเชื่อว่าตระกูลจูนจะถูกโค่นล้มได้อย่างไร? นางเพิ่งจะได้พบมารดาเมื่อหลายวันก่อนเอง จะเป็นไปได้อย่างไรเพียงระยะเวลาสั้นๆไม่กี่วัน ไม่ใช่สิ ถ้าพูดให้ถูกต้องก็คือตระกูลจูนถูกโค่นล้มภายในวันเดียว
จูนหยูนเสวี่ยไม่อยากจะเชื่อ นางอยากกลับไปให้เห็นกับตาแต่นางก็ไม่กล้า ยกมือขึ้นมากุมป้ายคำสั่งที่อยู่ตรงอกไว้ จูนหยูนเสวี่ยกัดฟันแน่น ถ้าหากจูนจิ่วโค่นล้มตระกูลจูนแล้ว แสดงว่านางจะต้องไม่ปล่อยนางไว้แน่ อยู่ที่สำนักเทียนโจ้งนางถึงจะปลอดภัยที่สุด
นางต้องรอ
นางต้องรอการมาของกองทัพเย่สิง ซั่งกวนอี่หรงเคยพูดไว้ว่า นางได้ส่งข่าวให้กองทัพเย่สิงแล้ว ใช้เวลาไม่นาน เมื่อกองทัพเย่สิงมาถึง นางจะมีกำลังต่อสู้กับจูนจิ่วได้ ตอนนี้ไม่ได้ ตอนนี้นางต้องหาที่ซ่อนตัวก่อน อดทนไว้
ท่ามกลางความเคว้งคว้าง หวาดกลัว และโกรธแค้น จู่ๆจูนหยูนเสวี่ยก็ได้ยินเสียงของหรูมั่นพูดประกาศว่า “การคัดเลือกศิษย์จะจัดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า คนที่จะลงทะเบียนสมัครรีบสมัครเร็วเข้า มีเพียงลูกศิษย์สิบอันดับแรกเท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมรอบการคัดเลือกศิษย์ดีเด่นได้”
สายตาของจูนหยูนเสวี่ยสะท้อนประกายแวววาว การคัดเลือกศิษย์
นางพูดบ่นพึมพำกับตัวเอง “ข้าจะรอแต่กองทัพเย่สิงอย่างเดียวไม่ได้ ข้าจะเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ พวกเศษสวะพวกนั้นเทียบข้าไม่ติดหรอก ขอเพียงข้าผ่านการคัดเลือกศิษย์เข้าสู่รอบการคัดเลือกศิษย์ดีเด่น ข้าจะต้องได้รับสิทธิโควตาแน่นอน พอถึงตอนนั้นต่อให้ไม่มีกองทัพเย่สิง ข้าก็สามารถเข้าอู๋อจงและสั่งสอนจูนจิ่วได้”
จูนหยูนเสวี่ยยิ่งพูดก็ยิ่งเชื่อมั่นในตัวเอง สีหน้าของนางดูดีอกดีใจ “ใช่ ไม่ผิด คนของอู๋อจงจะต้องสังเกตเห็นว่า ข้าจูนหยูนเสวี่ยเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ จูนจิ่วไม่ใช่อะไรทั้งนั้น ข้าสามารถล้มนางได้ด้วยตัวของข้าเอง”
เมื่อครู่ยังมีอาการหวาดกลัวอยู่เลย ตอนนี้ไม่รู้ว่าได้ความมั่นใจมากจากไหน
จูนหยูนเสวี่ยรีบพุ่งไปสมัคร กลับคิดไม่ถึงว่าหรูมั่นที่เห็นนางปุ๊บขมวดคิ้วแน่นพร้อมคำด่าว่า “จูนหยูนเสวี่ย เจ้ายังกล้าปรากฏตัวที่นี่อีกหรือ? ไอ้คนทรยศ ผู้อำนวยการเห็นแก่ว่าเจ้าเป็นสนมอ๋องฉี่จึงไม่ฆ่าเจ้า เจ้ารีบไสหัวออกไป ซะ ใครให้เจ้ากลับมาสำนักเทียนโจ้ง?”
บูม
ท่ามกลางลูกศิษย์เหมือนผึ้งแตกรัง ทุกคนตกใจ คนทรยศ? จูนหยูนสวี่ยเป็นคนทรยศ
“ไม่” จูนหยูนเสวี่ยกรีดร้อง นางรีบอธิบาย “ข้าไม่ใช่สนมอ๋องฉี่ และข้าก็ไม่ใช่คนทรยศ รองผู้อำนวยการ ไม่ใช่สิ เรื่องเหอจงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้า ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วทำไมข้าต้องไปจากสำนักเทียนโจ้งด้วย?”
หรูมั่นพูด “จูนหยูนเสวี่ยเจ้าอย่าแก้ตัวอีกเลย ไม่เพียงแต่ข้าคนเดียวเท่านั้นรวมถึงอาจารย์สำนักเทียนโจ้ง แล้วก็ยังมีปู่ของข้า ทุกคนล้วนเห็นกับตาว่าเจ้าอยู่กับเหอจง อีกทั้งจูนจิ่วเคยพูดไว้ว่า แผนการวางยาปู่ของข้า ก็คือเจ้าจูนหยูนเสวี่ยที่เป็นคนคิดแผน เจ้ามันเป็นคนทรยศที่จิตใจอำมหิต รีบไสหัวออกไปจากสำนักเทียนโจ้ง ”
คำพูดของหรูมั่น เหมือนเทน้ำหนึ่งกะละมังลงไปในกระทะน้ำมันเดือดทันที เสียงน้ำมันกระเด็นดังสนั่น
ลูกศิษย์ทุกคนหันหน้าจ้องมองไปทางจูนหยูนเสวี่ย สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยการปฏิปักษ์ เรื่องของเหอจงเพิ่งผ่านไปแค่ไม่กี่วันเอง ทุกคนยังอยู่ในอารมณ์โกรธ จะปล่อยจูนหยูนเสวี่ยไปได้อย่างไร? ความเคารพนับถือและความชื่นชมในอดีตทั้งหมดกลายเป็นเรื่องไร้สาระในขณะนี้
“ไสหัวออกไป จูนหยูนเสวี่ยออกไป”
“ไล่จูนหยูนเสวี่ยออกไป สำนักเทียนโจ้งของพวกเราไม่ต้องการคนทรยศต่ำทรามแบบนี้ จูนหยูนเสวี่ยออกไป หากยังไม่รีบไสหัวออกไปอย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือน”
“ไม่ มันต้องไม่ใช่แบบนี้……” คำอธิบายของจูนหยูนเสวี่ยอยู่ภายใต้บันดาลโทสะของทุกคน ใบหน้าซีดเซียวอ่อนแรงผิดแปลก
นางเคยวางแผนใส่ร้ายชื่อเสียงของจูนจิ่ว อยากให้ศิษย์สำนักเทียนโจ้งขับไล่จูนจิ่วออกไป ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนตอบสนองกลับมาที่ตัวนาง ศิษย์สำนักเทียนโจ้งรวมตัวกันเข้ามายิ่งอยู่ยิ่งเยอะ พวกเขาใช้มือใช้เท้าเตะตลอดทาง จนขับไล่จูนหยูนเสวี่ยออกไปถึงนอกประตูสำนักเทียนโจ้ง
เห็นประตูสำนักเทียนโจ้งปิดลงต่อหน้าต่อตาตัวเอง จูนหยูนเสวี่ยกรีดร้องเสียงแหลมดังสนั่นหนวกหู
ขณะที่นางกรีดร้อง ยังเอ่ยวาจาว่าร้าย “ข้าไม่ปล่อยพวกเจ้าไว้แน่ จูนจิ่ว ข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้ ข้าจะฆ่าเจ้าเพื่อล้างแค้นในไม่ช้า พวกเจ้าทุกคนข้าล้วนจำไว้แล้ว เสียงกรีดร้อง ”
“หมาบ้า” จูนจิ่วเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด นางยิ้มหยันดูถูก
หลังงานเลี้ยงอาหารที่หอว่างเจียง พวกเขาก็เดินทางกลับสำนักเทียนโจ้งเลย เดิมที่คิดว่าจูนหยูนเสวี่ยจะหลบซ่อนตัวไว้เพื่อรอให้เรื่องมันซาไปก่อนเสียอีก กลับคิดไม่ถึงว่านางจะอดใจรอไม่ไหวถึงเพียงนี้ ถึงขั้นอยากสมัครเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ด้วย
จูนหยูนเสวี่ยนางคิดว่าศิษย์สำนักเทียนโจ้งเป็นคนตาบอดตาหรือไง การไม่เป่าประกาศเปิดเผยความผิด นางคงคิดว่ายังสามารถกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อนได้ยังงั้นหรือ? คิดเพ้อเจ้อ ฝันไปเถอะ
จูนหยูนเสวี่ยจะต้องชดใช้กับสิ่งที่นางกระทำทีละอย่าง
นางถูกขับไล่ออกจากสำนักเทียนโจ้ง ไร้ซึ่งหนทางไปต่อ อาจจะกลับไปเป็นสนมอ๋องฉี่ อยู่ร่วมกับเฟิ่งเทียนฉี่ที่น่ารังเกียจยิ่ง หรืออยู่อย่างคนเร่ร่อนพเนจร ไม่มีเงินทอง ไม่มีสถานภาพ จูนหยูนเสวี่ยแย่ยิ่งกว่าขอทานเสียอีก จูนหยูนเสวี่ยเองเข้าใจดี ฉะนั้นนางจึงเลือกกลับจวนอ๋องฉี่
จากสายข่าวที่รายงานกลับมา เฟิ่งเทียนฉี่ตื่นแล้ว เขากับจูนหยูนเสวี่ยทะเลาะตีกันทั้งคืนทั้งวัน ยังไม่ถึงขั้นหมายเอาชีวิต ทหารลับของฮ่องเต้ก็จะไม่ออกมาห้ามปราม ละครเด็ดประจำวันในจวนอ๋องฉี่ ฉายซ้ำวนเวียนอยู่แบบนี้
ส่วนสำนักเทียนโจ้งเมื่อเวลาผ่านไป หลังจากการคัดเลือกจบลง ในไม่ช้าจะมีตัวแทนทูตจากอู๋อจงมาและการคัดเลือกศิษย์ดีเด่นที่สำคัญที่สุด ในวังหลวงก็มีข่าวดีแพร่ออกมา ฮ่องเฮาตั้งครรภ์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง
ฮ่องเต้รู้สึกโล่งใจสักที และยิ่งไม่สนเฟิ่งเทียนฉี่ว่าจะเป็นหรือตาย
ปลายฤดูใบไม้ร่วง สำนักเทียนโจ้งได้รับข่าวดีว่าตัวแทนทูตจากอู๋อจงจะเดินทางมาถึงสำนักเทียนโจ้งในวันพรุ่งนี้
ในขณะเดียวกัน ในที่สุดจูนหยูนเสวี่ยก็รอคอยการมาถึงของกองทัพเย่สิงในตำนาน เขาเป็นชายชราที่มีคิ้วและตาที่เงียบขรึมและหลังงอ เมื่อเขาเห็นจูนหยูนเสวี่ยในครั้งแรกเกิดความสงสัยและไม่เชื่อจึงพินิจพิจารณาอยู่นาน จนกระทั่งจูนหยูนเสวี่ยหยิบป้ายคำสั่งออกมาเพื่อเป็นพยานหลักฐาน ผู้เฒ่าก็ยังไม่เชื่ออยู่บ้าง “เจ้าเป็นลูกสาวของแม่ทัพจริงๆหรือ?”
“ใช่ ข้าเป็นลูกสาวของจูนหมิงเย่ ป้ายคำสั่งนี้เป็นประจักษ์พยานได้ไม่ใช่หรือ?” จูนหยูนเสวี่ยกำหมัดไว้แน่น พยายามข่มใจให้เย็นและทำใจดีสู้เสือ เพื่อไม่ให้ผู้เฒ่าดูคำโกหกของนางออก
“เอาล่ะ เจ้าเป็นแม่นาย? เจ้าส่งจดหมายด่วนถึงข้ามีรับสั่งอันใดหรือ?”
“ข้าต้องการสิทธิลูกศิษย์ดีเด่นของอู๋อจง และข้าต้องการให้จูนจิ่วตาย”