บทที่ 211 ทำไมถึงจูบอีกแล้ว
โม่อู๋เยว่ก้มศรีษะลงไปมองหน้าแมวตัวกลมที่มีขนปุกปุย เขาและเสี่ยวอู่เงียบลงในชั่วพริบตา คนหนึ่งคนกับแมวหนึ่งตัว
เพียงแค่จะบีบคอแมวตัวหนึ่ง กลับต้องมานั่งลังเลใจ
จูนจิ่วสอดมือไปใต้ขาหน้าของเสี่ยวอู่ นางเพิ่งตระหนักได้ว่าอยู่ใกล้กันเกินไป จึงอุ้มเสี่ยวอู่พลางถอยหลังและแสดงสีหน้าไม่พอใจ โม่อู๋เยว่ไม่แม้แต่จะมองไปที่แมวตัวนั้น เพราะสายตาของเขานั้นมีแต่ใบหน้าของจูนจิ่ว “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์?”
“โม่อู๋เยว่ ข้าไม่อยากไปร่วมงานเลี้ยง มีผู้คนมากเกินไป เราสองคนไปดื่มเหล้ากันดีกว่า คิดว่าไง?” ความกระปรี้กระเปร่าของจูนจิ่วขี้เหล้า
ชาติปางก่อนมิได้เคยกล่าวไว้ว่าเหล้าแดงช่วยในการฟื้นฟูหรอกรึ? ในทุกๆวันจูนจิ่วมักจะดื่มวันละแก้วจนเคยชิน เมื่อมาถึงที่นี่ แม้ว่าในโลกแห่งนี้ไม่มีเหล้าแดง แต่ในกำไลข้อมือของนางยังคงมีอยู่ เหล้าแดงมิอาจทำให้ผู้ใดมึนเมา มันไม่ส่งผลใดต่อการดื่มของนาง จึงดื่มได้อย่างสบายใจ
เมื่อเอาเสี่ยวอู่ไปไว้ในอ้อมแขนของโม่อู๋เยว่ จูนจิ่วก็หันหลัง และวิ่งลงเขาไปอย่างมีความสุขในทันที “ไหนๆก็ตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นข้าจักลงเขาไปเอาเหล้าก่อน!”
โม่อู๋เยว่: “……”
เสี่ยวอู่: “เหมียว” เจ้าของทิ้งข้าไปเสียแล้ว! โม่อู๋เยว่ก็เหมือนจะฆ่าข้าอยู่แล้ว
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ชอบดื่มมากๆเช่นนั้นรึ?” โม่อู๋เยว่จับหลังคอของเสี่ยวอู่ยกขึ้นมาถาม
เสี่ยวอู่เตะขาดิ้นๆไปมา เมื่อรู้ว่าเตะให้ตายก็ไม่โดนจึงยอมแพ้ไป แต่มันก็ไม่ได้อยากที่จะบอกโม่อู๋เยว่อยู่ดี จึงปิดปากเงียบทันควัน เหมียวเหมียวเหมียว ไม่บอกเจ้าหรอก!
โม่อู๋เยว่นั้นผ่านการทรมานอันแสนโหดร้ายมานับไม่ถ้วน อย่างไรก็ตามหากเอาแมวตัวนี้คืนแก่เสี่ยวจิ๋วเอ๋อร์ในสภาพที่ดูไม่ได้ เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์จักต้องโกรธเป็นแน่ เช่นนั้นก็ปล่อยมันไปก่อน เพราะเขาก็เองสามารถถามจูนจิ่วได้
โม่อู๋เยว่ปล่อยมือ เสี่ยวอู่ก็รีบพลิกตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะได้ไม่ตกลงไปบนพื้น
“เหมียว เหมียว เหมียว!”
“ไปเอง” โม่อู๋เยว่ทิ้งท้ายอย่างไร้ความปรานี พร้อมก้าวขาพลางหมุนตัวหายไปในทันที เสี่ยวอู่กระโดดไปมาด้วยความเกรี้ยวกราด ไม่นานจากนั้นก็ได้แซงโม่อู๋เยว่ไปอย่างว่องไวดั่งกระสุนปืนเล็ก
ขณะที่โม่อู๋เยว่และเสี่ยวอู่กลับมา จูนจิ่วนั้นหยิบเหล้าแดงและเหล้าองุ่นออกมากว่าสิบขวด พร้อมวางเรียงไว้บนโต๊ะ นางเปลี่ยนชุดเป็นสีพลอยไพลิน และนั่งลงบนฟูกยาวริมหน้าต่าง สายลมพริ้วสไวพัดเส้นผมกระทบที่ใบหน้า ดวงตาที่ประกายแวววาว กับสีหน้าอ่อนโยนไร้ซึ่งที่ติ
การบรรจบกันของความจองหองและความเย็นชา จูนจิ่วนั้นทำให้นึกถึงความงดงามดั่งภาพวาดที่ทำให้ร้อนลุ่ม ความหยดย้อยดั่งไพลิน ก็มิอาจทำให้นางจองหองลดน้อยลงแต่อย่างใด
โม่อู๋เยว่จ้องมองดวงตาของจูนจิ่วที่ประณีตละเอียดอ่อน พลางเผยรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์ ริมฝีปากอันยั่วยวนของจูนจิ่วกล่าวขึ้น: “โม่อู๋เยว่มาๆ นั่งลงๆ ขอเชิญท่านลิ้มลองเหล้าข้าได้หมักเอง ไม่รู้ว่าท่านจักดื่มได้หรือไม่”
มือที่งดงามอ่อนช้อยแกว่งแก้วเซรามิกในมือ ท่าทางการรินเหล้าของจูนจิ่วนั้น ทุกอิริยาบถนั้นเผยให้เห็นความน่าเบื่อหน่ายและความเกียจคร้าน โม่อู๋เยว่นึกถึงสิ่งที่จูนจิ่วพูดว่านางเป็นวิญญาณร้าย ซึ่งในตอนนี้โม่อู๋เยว่รู้สึกว่าวิญญาณร้ายนั้นยังดูสูงส่งกว่าจูนจิ่วเสียอีก
เพราะวิญญาณร้ายเช่นนางนั้น มักคอยล่อลวงเขาให้มีความปรารถนาอันแรงกล้าอยู่ตลอด
“นี่ จะบอกให้” จูนจิ่ววางแก้วเหล้าแดงลงตรงหน้าโม่อู๋เยว่ มือทั้งสองข้างหนุนคาง จ้องมองเขาด้วยแววตาเจ้าเล่ห์
นางชอบเหล้ามาตั้งแต่ชาติปางก่อน นอกจากจะเป็นพวกเหล้าที่มีชื่อเสียงแล้ว นางยังเรียนรู้การหมักเหล้ามาโดยเฉพาะ ซึ่งเหล้าโบราณชั้นดีอย่างนารีแดงของหัวเซี่ย จะเหมาะกับโลกนี้เสียมากกว่า น่าเสียดายที่จูนจิ่วนั้นหยิบเหล้าฝรั่งออกมา เพราะอยากจะดูปฏิกิริยาของโม่อู๋เยว่ที่ได้ลิ้มลอง
หารู้ไม่ว่าจูนจิ่วต้องผิดหวัง เมื่อเหล้าลงคอ โม่อู๋เยว่กลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ จูนจิ่วถามอย่างไม่ค่อยเต็มใจ: “เป็นเช่นไรบ้าง?”
“ก็ไม่เลว” โม่อู๋เยว่ตอบเสียงเรียบ
“งั้นรึ?”
จูนจิ่วขมวดคิ้วด้วยความไม่เชื่อ คนทั่วไปที่ได้ดื่มเหล้าฝรั่งเป็นครั้งแรก พวกเขาต่างไม่รู้สึกเคยชิน ทำไมนางถึงไม่เชื่อในปฏิกิริยาของโม่อู๋เยว่ขนาดนี้
เมื่อเขยิบเข้าไปด้านหน้าอีก จูนจิ่วก็จ้องตาโม่อู๋เยว่ไม่วางตา “ท่านลองดื่มอีกสักอึก!”
ริมฝีปากของโม่อู๋เยว่เผยรอยยิ้มอันชั่วร้าย เขาขยิบตาด้วยความยั่วยวน จ้องมองไปที่จูนจิ่ว โม่อู๋เยว่กระดกเหล้าไปรวดเดียว จูนจิ่วจ้องลูกกระเดือกของเขาเพื่อให้แน่ใจว่าเขาดื่มลงไปจริงๆ
ขณะที่ตกตะลึง ก็ถูกจับคางเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าหล่อเหลาอันร้ายกาจที่หาใครเทียบมิได้ก็ปรากฏขึ้น ริมฝีปากเริ่มรู้สึกถึงความซาบซ่าน ปลายลิ้นกระทบเข้ากับฟัน กลิ่นหอมหวานของเหล้าอันกลมกล่อมอบอวลอยู่ทั่วปาก
จิตใต้สำนึกถูกกลืนกิน ลิ้นชาไปทั่ว เมื่อจูนจิ่วรับรู้ถึงสิ่งนางจักต้องรับมือ และกำลังจะถอยห่าง ก็มีมือมาโอบล้อมรอบเอวของนางด้วยความร้อนแรง โม๋อู๋เยว่จุมพิตนางอย่างลึกซึ้ง
เหมียวที่อยู่เบื้องหลังเหมือนดั่งกำแพงได้เฝ้ามองอยู่สักพัก ในใจมีแต่ความเจ็บปวดจึงคว้าแก้วไวน์ออกไปอีกทาง มีแต่อาหารหมา มันเป็นแมวไม่กินข้าวหมาหรอก! เจ้าของกับโม่บ้ากันไปแล้ว ท่านหยอดมานางก็หยอดกลับไป เจ้าเหมียวยังเด็กนัก จึงทำสิ่งใดไม่ได้
ผละห่างจากการจูบ จูนจิ่วก็ผลักโม่อู๋เยว่ออกด้วยหน้าแดงระเรื่อ ถอยกรู่นั่งอยู่ที่ขอบไกลสุดของโต๊ะพลางสงบสติอารมณ์
ความบ้าคลั่งในใจ: พอเหล้าเข้าปาก ก็มาจูบอีกแล้ว!
เบิกตากว้างและกัดฟันกรอกด้วยความโกรธมุ่งไปทางโม่ เพลานี้ได้เห็นโม่อู๋เยว่พึงพอใจในการเลียริมฝีปากบางเขาอย่างเจ้าเล่ห์ ผู้ใดจักหล่อเหลาเอาการได้ปานนี้? และโม่อู๋เยว่ก็คือคำตอบที่ดีที่สุด
ม่านตาประกายทองนั้นกลบความเป็นสีดำ พลางจ้องมองมาที่จูนจิ่วอย่างป่านเถื่อน โม่อู๋เยว่เม้มริมฝีปาก “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เองก็ได้ลิ้มรสแล้วนี่ เหล้านี้ก็ไม่ได้แย่อะไรมิใช่รึ?”
“เงียบปากซะ ดื่มเหล้าไป! ไม่ดื่มก็ไปซะ!” จูนจิ่วสูดลมหายใจเข้าเพราะความรู้สึกเต็มไปด้วยโมโห นางจะไม่ขยับไปข้างหน้าอีก โม่อู๋เยว่ก็มิอาจลวนลามนางได้
ทำถูกแล้ว!
……
ณ บนตำหนักยอดเขา งานเลี้ยงรวมตัวอันยิ่งใหญ่ นี่คือการเฉลิมฉลองความสำเร็จแก่สาวกในการได้รับเลื่อนตำแหน่งแห่งอู๋จง
หยูนเฉียวพาจูนเสี่ยวเหล่ยฝ่าคนอื่นๆเข้าไป กู่ซงผู้ที่กำลังรับรองแขกผู้มีเกียรติอยู่ พวกเขาต่างถอนหายใจเฮือกใหญ่ที่จูนจิ่วไม่มา เพราะนั่นทำให้งานกร่อยลงไปเยอะ ในบรรดาพวกเขานั้นมีกู่ซงที่ดูซับซ้อนมากที่สุด เขากล่าวว่า: “เหตุใดจูนจิ่วถึงไปเข้ากับสำนักเทียนอู่กงเสีย?”
“ไม่ดีรึ? แม่นางจูนก็จะเป็นท่านจูน เช่นนั้นก็จักกดหัวจูนหยูนเสวี่ยได้ นางยโสโอหังเช่นนั้น ทำตัวเป็นดั่งแม่ดอกบัวขาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง เสแสร้งสิ้นดี!” แววตาของหยูนเฉียวดูมืดมน พร้อมกับน้ำเสียงรังเกียจเดียดฉันท์
จูนหยูนเสวี่ยเพียงมาเสนอหน้าแก่พวกอู๋จงนี้เท่านั้น หามีผู้ใดในแคว้นเทียนโจ้งรู้ไม่ ว่าเนื้อในของนางนั้นเป็นดั่งอสรพิษ มันชั่วร้ายจนมิอาจมีผู้ใดเทียบเคียงได้
จูนเสี่ยวเหล่ยพึมพำเบาๆ นางกล่าวว่า: “พี่กู่ซงไม่ได้เคยกล่าวว่า สำนักเทียนอู่จงมีแต่คนหยาบคายหรอกรึ? เมื่อพี่จิ่วเข้าไปสำนักเทียนอู่จงแล้ว ก็หมายความว่านางจักต้องเศร้าโศกเสียใจใช่หรือไม่!”
หยูนเฉียวผงะ เมื่อเขาก็นึกขึ้นมาได้เหมือนกัน ทั้งสองคนจึงหันหน้าไปที่กู่ซงในทันใด จึงได้เห็นสีหน้าที่ดูอธิบายได้ยากอันมืดมนของเขา
“สำนักเทียนอู่จงนั้นเป็นมากกว่าที่ส่องสุมของพวกคนหยาบคาย มันเป็นที่ของพวกคนบ้าคลั่ง สุดท้ายเหอซ่านและท่านเหอก็ใช้ไม่ได้! และที่ยิ่งไปกว่านั้น ณ สำนักเทียนอู่จงมีผู้อาวุโสหญิงแต่เพียงผู้เดียว เช่นนั้นสำนักเทียนอู่จงจักมีแม่หญิงเพียงสองคน!”
“อะไรนะ?”
“พู่—” หยุนเฉียวและจูนเสี่ยวเหล่ยตกตะลึง
เพิ่มจูนจิ่วเข้าไปจักมีแม่หญิงเพียงสองคนเช่นนั้นหรือ? สำนักเทียนอู่จงเป็นที่ที่แปลกประหลาดกระไรเช่นนี้! อีกทั้งยังไม่เหมือนชางไห่จงที่มีแต่หญิงมากฝีมือในสำนัก ลองคิดๆดู สำนักนี้ก็เหมือนเป็นของพวกผู้ชาย หยูนเฉียวและจูนเสี่ยวเหล่ยตกตะลึง
จูนเสี่ยวเหล่ย: “พี่จิ่วสวยสดงดงามเยี่ยงนั้น จักมิเป็นการยื่นเนื้อเข้าปากเสือรึ!”