บทที่ 337 หาเรื่องให้ถูกตบ
สำนักไท่ชู ชั้นในสำนักกับชั้นนอกสำนักแตกต่างกันลิบลับ หากจะพูดว่าชั้นนอกสำนักเป็นพื้นดิน เช่นนั้นชั้นในสำนักก็คงเป็นเหมือนสวรรค์ที่อยู่เบื้องบน !
มู่จิ่งหยวนพูดว่า : “ภายในชั้นในสำนักมีหลักสูตรการเรียนอยู่ ส่วนผู้ที่สอนล้วนแล้วแต่เป็นผู้อาวุโสที่อยู่ชั้นในสำนัก ผู้ที่มีความสามารถน้อยที่สุดก็ยังอยู่ในระดับนักจิตใหญ่ชั้นสอง ถ้าเจ้าว่างๆ ก็สามารถไปฟังการสอนได้ ซึ่งจะได้รับประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล !”
โห ! ชิงหยู่สูดหายใจเข้าหนึ่งครั้ง เขาทำสีหน้าตกใจ
นักจิตใหญ่ที่ปรากฏอยู่ในตำนานของสองสำนักสิบแคว้น ที่สำนักไท่ชูกลับเป็นเพียงแค่ผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่สอนหนังสือ ! หากมีสำนักไท่ชูที่ใหญ่กว่านี้อีกสักเท่าหนึ่ง จะมีนักจิตใหญ่สักกี่คนกัน ? แล้วครูใหญ่ที่มีความสามารถมากที่สุดจะขนาดไหนกัน ?
ชิงหยู่เหมือนได้เปิดโลกทัศน์ อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที เลือดในร่างกายที่ร้อนฉ่ากำลังสูบฉีด น้ำไหลลงเบื้องล่าง ส่วนคนนั้นก้าวขึ้นสู้เบื้องบน ไม่มีใครยินดีที่จะหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม การก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดคือเป้าหมายของนักจิตทุกคน !
มู่จิ่งหยวนพูดต่อ : “พวกเจ้าเข้ามาชั้นในสำนักผ่านการแข่งขันลูกศิษย์ ดังนั้นยังต้องทดสอบพรสวรรค์ของพวกเจ้าอีก จากนั้นก็จะคัดเลือกว่าควรจะส่งพวกเจ้าไปที่สำนักใดดี ตามพรสวรรค์ของพวกเจ้า แน่นอนว่ายิ่งมีพรสวรรค์ที่ดีมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งไปในที่ดีๆ ได้มากเท่านั้น”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชิงหยู่ก็ขมวดคิ้ว ในสำนักเทียนอู่จง ชิงหยู่เคยเป็นห่วงเรื่องที่พรสวรรค์ของจุนจิ่วจะถูกเปิดเผยออกมา แต่ตอนนั้นยังไม่ต้องเป็นกังวลมากนัก ! แต่ตอนนี้อยู่ในสำนักไท่ชู ถ้าหากพรสวรรค์ชั้นที่เจ็ดสีม่วงของจุนจิ่วถูกเปิดเผยออกมาแล้วล่ะก็ จะเป็นผลร้ายหรือเป็นผลดีกันแน่ ? ชิงหยู่คิดว่าน่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่า
จุนจิ่วไม่มีปฏิกิริยาใดๆ นางฟังมู่จิ่งหยวนพูดต่ออย่างเงียบๆ : “ชั้นในสำนักของสำนักไท่ชูแบ่งออกเป็นสิบสามสาขา โดยแบ่งตามความรับผิดชอบของครูใหญ่กับผู้อาวุโสอีกสิบสองท่าน ซึงในนั้นจะมีการจัดอันดับตั้งแต่อันดับที่หนึ่งไปจนถึงอันดับที่สิบสาม อันดับที่หนึ่งแข็งแกร่งที่สุด ส่วนอันดับที่สิบสามนั้นอ่อนแอที่สุด”
“แข็งแกร่งที่สุดกับอ่อนแอที่สุดแตกต่างกันอย่างไร ?” จุนจิ่วถามมู่จิ่งหยวนอย่างตรงไปตรงมา
“รอให้พวกเจ้าเข้าไปชั้นในสำนักก่อนแล้วจะรู้เอง กฎเกณฑ์ของชั้นในสำนักไม่ได้เข้มงวดที่สุด แต่ที่เข้มงวดก็คือเรื่องลำดับขั้น ยิ่งมีความสามารถที่แข็งแกร่งเท่าไหร่ ก็จะมีข้อจำกัดที่กว้างมากขึ้นเท่านั้น หากมีความสามารถที่อ่อนแอ ไม่เพียงแต่มีข้อจำกัดมาก แต่ยังง่ายต่อการที่จะถูกคนอื่นทำร้ายเอาอีกด้วย” มู่จิ่งหยวนหุบยิ้ม แล้วแสดงสีหน้าเคร่งขรึม
เขามองจุนจิ่วและชิงหยู่อย่างจริงจัง “พวกเจ้าเพิ่งเข้าชั้นในสำนัก จึงจำเป็นจะต้องไปอยู่ที่สาขาที่สิบสามก่อน รอพวกเจ้าผ่านการทดสอบพรสวรรค์แล้ว ลำดับขั้นก็จะเปลี่ยนแปลงขึ้นลงตามพรสวรรค์ที่มี ถ้าหากพวกเจ้าโชคดีมีความสามารถที่เข้าตาผู้อาวุโสหรืออาจารย์ของข้า เจ้าก็จะสามารถก้าวขึ้นไปเป็นที่หนึ่งได้อย่างง่ายดายโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตนเองเพียงอย่างเดียว”
คำพูดของมู่จิ่งหยวนฟังดูโหดร้ายนัก แต่มันคือเรื่องจริง !
ไม่เฉพาะในสำนักไท่ชูเท่านั้น ไม่ว่าจะที่ไหนก็เป็นเหมือนกันหมด ผู้ที่อ่อนแอจะต้องตกเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง ผู้ที่อ่อนแอจะต้องตาย ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะอยู่รอดได้ นี่เป็นความจริงที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น มู่จิ่งหยวนก็พาจุนจิ่วและชิงหยู่เดินเข้าชั้นในสำนักเรียบร้อยแล้ว ชั้นนอกสำนักเป็นเหมือนภูเขาครึ่งวงกลมที่โอบล้อมชั้นในสำนักเอาไว้
ส่วนชั้นในสำนักนั้นกว้างใหญ่ไพศาล มีภูเขาหลายร้อยลูกและมีป่าที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด มีวัตถุต่างๆ มากมายอุดมสมบูรณ์ รวมถึงมีสัตว์ทิพย์อยู่มากมายเช่นกัน สามารถใช้สำหรับเป็นที่ฝึกฝนการประลองยุทธ์สำหรับลูกศิษย์
เมื่อเข้าไปถึงชั้นในสำนัก ก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณของที่นี่ทันที เป็นระดับที่บริสุทธิ์กว่าชั้นนอกสำนักเป็นสองเท่า !
อย่างที่สองที่เห็นก็คือลูกศิษย์ของชั้นในสำนักที่เข้ามายืนห้อมล้อมอยู่ระหว่างทางอย่างสนอกสนใจ แต่ละคนจ้องมองไปที่จุนจิ่วกัยชิงหยู่แล้วพิจารณา ถ้าไม่ใช่เพราะมู่จิ่งหยวนยืนอยู่ตรงนี้แล้วล่ะก็ เกรงว่าพวกเขาคงจะเข้ามาลงไม้ลงมืออย่างแน่นอน
จุนจิ่วได้ยินเสียงพูดคุยของพวกเขา “นางก็คือจุนจิ่ว ? ช่างงดงามสมคำร่ำลือจริงๆ !”
“ได้ยินมาว่าจุนจิ่วเป็นนักจิตชั้นสาม ส่วนศิษย์พี่ของนางนั้นยอดเยี่ยมยิ่งกว่า เป็นถึงนักจิตชั้นแปด อีกทั้งยังเป็นเจ้าสำนักของสำนักเทียนอู่จงอีกด้วย” คนที่พูดไม่รู้เลยว่าจุนจิ่วใช้เวลาฝึกวิชาเพียงแค่ช่วงสั้นๆ เพียงหนึ่งปีเท่านั้น ไม่เช่นนั้นคงจะทำให้ทั้งสำนักไท่ชูต้องตกใจจนตัวสั่นแน่นอน
มีคนพูดขึ้นอีกว่า : “พวกเขาถือดียังไงให้นายน้อยไปต้อนรับ ? ทำไมตอนพวกเราไม่เห็นมีการปฏิบัติเช่นนี้เลย” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา แววตาก็เริ่มแสดงออกถึงความไม่ประสงค์ดี
ยิ่งเดินลึกเข้าไปข้างใน สายตาที่มองพิจารณาอย่างสนอกสนใจก็ค่อยๆ น้อยลง แต่กลายเป็นความประสงค์ร้ายกับเสียงที่เสียดสีเย้อหยันเพิ่มขึ้นมาแทน พวกเขาไม่สนใจฐานะของจุนจิ่วและชิงหยู่ จะสูงส่งแค่ไหนก็อยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน มู่จิ่งหยวนพูดว่า : “นี่คือเหตุการณ์ที่พบเห็นได้ปกติ เดี๋ยวพวกเจ้าก็จะชินไปเอง”
ชินไปเอง ? ชิงหยู่หัวเราะเยาะ ในมือกำหมัดเอาไว้แน่น
เป็นเพราะพวกเขามาจากสองสำนักสิบแคว้น ดังนั้นจึงต่ำต้อยกว่าพวกเขาอย่างนั้นหรือ ? ชิงหยู่เชื่อมั่นและเคารพในความสามารถเท่านั้น เกิดมาสูงส่งแค่ไหนกัน พวกเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นลูกชายของครูใหญ่ หรือมีฐานะเทียบเท่ากับมู่จิ่งหยวนหรืออย่างไร ? ก็เป็นเพียงแค่ลูกศิษย์ธรรมดาๆ เท่านั้น แต่มีอะไรที่น่าภูมิใจนักหนา ?
ชิงหยู่จดจำพวกที่ประสงค์ร้ายเอาไว้ในสมอง รอก่อนเถอะ เขาจะใช้หมัดของเขาสั่งสอนพวกนั้นให้เป็นคนเอง !
ขณะที่ชิงหยู่กำลังคิดอยู่นั้น ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงจุนจิ่ว เมื่อเห็นจุนจิ่วยังคงมีสีหน้าที่เรียบเฉย เหมือนกับไม่ได้รับผลกระทบจากเจตนาร้ายของคนเหล่านั้นเลยสักนิด ชิงหยู่ก็รู้สึกโล่งใจ เรื่องอะไรก็ไม่สำคัญเท่าศิษย์น้องของเขา !
ขณะที่เดินอยู่นั้น ก็มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเดินมารวมตัวกันแล้วขวางทางเอาไว้ หญิงสาวในชุดสีฟ้าที่เป็นผู้นำ เดินก้าวขึ้นมาแล้วพูดว่า : sหลานจูคารวะศิษย์พี่มู่ พวกเขาคือผู้ชนะในการแข่งครั้งลูกศิษย์ในครั้งนี้ใช่หรือไม่ ? นางคงจะเป็นจุนจิ่วใช่หรือไม่ ?”
มู่จิ่งหยวนพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี “ใช่”
“อ้อ !” จู่ๆ ผู้หญิงที่ชื่อว่าหลานจูก็มีน้ำเสียงที่ฟังดูผิดปกติขึ้นมา นางมองจุนจิ่วด้วยสายตาเย้อหยัน ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา หลานจูพูดขึ้นว่า : “ได้ยินมาว่าเป็นสาวงามที่น่าทึ่งยิ่งนัก แต่ตอนนี้ดูๆ ไปแล้ว ก็เทียบไม่ได้กับศิษย์พี่หยุนหนีเลยสักนิด ไม่รู้ว่าคนตาบอดที่ไหนที่ที่ประเมินออกมาสูงขนาดนี้”
“หลานจู !” มู่จิ่งหยวนขมวดคิ้ว
“ศิษย์พี่มู่ ที่ข้าพูดคือความจริง ! จุนจิ่วเจ้าลองบอกเองสิว่า คนอื่นตาบอดใช่หรือไม่ที่ได้ประเมินออกมาเช่นนี้ ? ตรงไหนของเจ้าที่บอกว่าเป็นความงามที่น่าทึ่งกัน ? อย่างมากก็เป็นได้แค่สาวงามในครอบครัวเล็กๆ เท่านั้น!”
บรรยากาศโดยรอบแปลกไปทันที คนนับไม่ถ้วนหันมาจ้องมองที่หลานจู สาวงามในครอบครัวเล็กๆ ? ความงดงามที่น่าทึ่งเช่นนี้ แต่เจ้ากลับเปรียบเทียบเป็นสาวงามในครอบครัวเล็กๆ ? เมื่อเห็นว่าหลานจูเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา ไม่รู้ว่านางกล้าพูดออกมาเช่นนี้ได้อย่างไร
จุนจิ่วยิ้ม “ที่เจ้าพูดมานั้นไม่ผิด ตาบอดจริงๆ ! ตาบอดถึงขั้นที่แม้แต่สาวงามในครอบครัวเล็กๆ ก็ไม่รู้จัก”
หลานจูยังรู้สึกภูมิใจไปกับคำพูดท่อนแรกของจุนจิ่ว รู้สึกว่าจุนจิ่วอยู่เป็น แต่คำพูดท่อนหลังนั้น กลับทำให้หลานจูโมโหเป็นอย่างมาก นี่ไม่ใช่กำลังด่านางว่าตาบอดหรอกหรือ ? หลานจูจ้องตาเขม็งด้วยความโกรธ “กล้าดีมากนะจุนจิ่ว ! กล้าว่าข้าตาบอดอย่างนั้นหรือ ? หึ เจ้าเองก็ไม่รู้จักไปส่องกระจกให้ดีๆ ดูซิว่ามีตรงไหนที่เทียบกับศิษย์พี่หยุนหนีของพวกเราได้บ้าง ศิษย์พี่หยุนหนีเป็นหญิงสาวที่งดงามที่สุดในสำนักไท่ชู ส่วนเจ้าเป็นหญ้าต้นไหนกัน ?”
ประจวบเหมาะกับที่จู่ๆ มีใครไม่รู้ตะโกนขึ้นมา : “ศิษย์พี่หยุนหนี ?”
ทุกคนค่อยๆ หันไปมอง ถึงจะหันไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็เห็นเพียงแค่ร่างๆ หนึ่งเหาะลอยข้ามกำแพงหายไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะเร็วมาก แต่สายตาอันแหลมคมของพวกเขาก็สามารถมองเห็นคนได้อย่างชัดเจน คนคนนั้นคือหยุนหนีไม่ผิดแน่นอน ! แต่ทว่าทุกคนกลับแสดงออกมาว่าไม่อยากจะเชื่อในสายตาของตนเอง ผู้หญิงที่เห็นเมื่อครู่ที่เนื้อตัวสกปรก สวมใส่กระโปรงหนังสัตว์คือหยุนหนีจริงหรือ ?
“ถุย !” ชิงหยู่ถ่มน้ำลาย
หยุนหนีคิดหาวิธีเพื่อจะกลับมา นางไม่มีกระโปรง เดิมทีคิดจะฆ่าสัตว์ทิพย์เพื่อถลกหนังออกมาทำกระโปรงหนังใส่กลับมา แต่ไม่ต้องเดาก็พอจะคิดออกว่าหยุนหนีรู้สึกอับอายแค่ไหน คิดที่จะแอบกลับมาเงียบๆ แต่กลับมาพบพวกเขาเข้า มิหนำซ้ำยังถูกมองเห็นทั้งหมดอีกด้วย ! เกรงว่าตอนนี้แม้แต่ความคิดที่อยากจะตายก็คงปรากฏขึ้นในหัว
จุนจิ้วเลิกคิ้วแล้วหัวเราะ “หญิงสาวที่งดงามที่สุดของสำนักไท่ชูสวมใส่กระโปรงหนังสัตว์เช่นนี้นี่เอง ถ้าเช่นนั้นข้าคงเทียบไม่ได้จริงๆ”
หลานจูโกรธจนหน้าเขียวตัวสั่น หาคำพูดที่จะมาพูดหักล้างไม่ได้ จะอธิบายเช่นไรดี ? ความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้า หยุนหนีสวมกระโปรงหนังสัตว์จริงๆ !