บทที่ 364 เกี่ยวอะไรกับเจ้า
ทุกคนต่างอึ้งตะลึง พระจันทร์สีเลือดก็คือกุญแจของประตู
หลังจากที่จูนจิ่วพูดคำนี้ แสงจันทร์สีเลือดก็สาดส่องลงไปบนค่ายกลอักษรยันต์ที่ประตู อักษรยันต์แต่ละตัวระยิบระยับเปล่งประกายขึ้นมา พวกมันกำลังเคลื่อนไหว จนเต็มไปทั่วทั้งประตู จากนั้นฉากที่น่าอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น
ประตูเปล่งแสง ก้อนหินที่แข็งกระด้างกลับค่อยๆโปร่งแสงและบางลงใต้อักษรยันต์ ไม่กี่อึดใจ ก้อนหินได้หายไปเผยให้เห็นบันไดหินคดเคี้ยวที่อยู่ด้านล่าง ทุกคนต่างมองอย่างมึนงงยังไม่ได้สติคืนมา นี่มันจริงหรือ
เสี่ยวอู่กระโดดลงจากบ่าของจูนจิ่ว มันยื่นกรงเล็บออกไปทดสอบ จากนั้นทั้งตัวของมันก็ทะลุเข้าไปในม่านโปร่งแสง
ก้อนหินหายไปแล้ว นี่คือเรื่องจริง
ฟิ้ว มีเสียงดังขึ้นกลางอากาศ หงยิงใช้ความเร็วดุจสายฟ้าฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนยังไม่ได้สติพุ่งเข้าไปข้างใน จากนั้นก็มีเสียงของนางส่งมาจากข้างใน “ลูกศิษย์ของสำนักศึกษาเทียนซูทั้งหมด มากับข้า ”
“ต่ำช้า”ฝู้หลินจ้านขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจ้องเขม็ง
จูนจิ่วกวาดมองทุกคนอย่างเย็นชา สุดท้ายก็หยุดมองที่ชิงหยู่ นางยิ้มบางๆ เอ่ยขึ้น ”พวกเราก็ไปกันเถอะ”
นางส่งสัญญาณเสียงให้ชิงหยู่อย่างลับๆ “ศิษย์พี่ เข้าไปข้างในไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็อย่าให้คลาดกันเด็ดขาด เกรงว่าหงยิงยังมีหมารับใช้คอยลอบโจมตีอยู่ ”
“ได้ ข้ารู้แล้ว เจ้าก็ต้องระวังเหมือนกัน เป้าหมายสำคัญของหงยิงคือเจ้า เรื่องมรดกคือเรื่องรอง ความปลอดภัยของเจ้าสำคัญที่สุด”คำพูดของชิงหยู่เต็มไปด้วยความห่วงใย มรดกของอ๋องเซ่หยิ่งอะไรนั้น จะสำคัญกว่าศิษย์น้องได้อย่างไร ยิ้มมุมปาก จูนจิ่วก็ก้าวเท้าผ่านม่านแสงเข้าไป เสี่ยวอู่เดินนำอยู่ข้างหน้า เดินตามบันไดลงไปเรื่อยๆ
หงยิงเดินอยู่ข้างหน้าสุด เรื่องนี้จูนจิ่วไม่ร้อนใจเลยสักนิด วิ่งได้เร็ว ไม่ได้แสดงว่ามรดกของอ๋องเซ่หยิ่งจะเป็นของนาง จูนจิ่วมีลางสังหรณ์ มรดกนี้คงจะได้มาอย่างยากเย็นนัก หลุมฝังศพต้องเต็มไปด้วยกับดัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมรดกที่อ๋องเซ่หยิ่งทิ้งไว้แล้วยังมีวิชาจิตของดาบเซ่หยิ่งอีก นี่ไม่ใช่การพึ่งพลัง แต่ต้องพึ่งดวง
ที่สุดก็เดินไปจนสุดบันไดหิน ก็เห็นหงยินยืนหน้าดำคร่ำเคร่งอยู่หน้าประตูหินบานหนึ่ง ลูกศิษย์เทียนซูที่อยู่ด้านหลังต่างตัวสั่นงันงก ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง หลังจากที่เห็นพวกเขาเดินลงมา ลูกศิษย์ของเทียนซูเหมือนจะผ่อนคลายได้ บ้าง
หลี่อี้หมิงแบะปาก “ประตูอีกบาน”
“หึ”หงยิงหึเสียงหนัก สีหน้าเคร่งขรึมโมโหสุดๆ ก่อนที่พวกจูนจิ่วจะลงมาถึง หงยิงได้ลองใช้สิบกว่าวิธีในการเปิดประตู นางยังลองใช้วิธีเดียวกับจูนจิ่วในการใช้แสงจันทร์ แต่ในนี้มันมืดสนิทไร้แสง ต้องถือคบเพลิงจึงจะมองเห็นได้
กลอกตาไปมา หงยิงจ้องมองจูนจิ่วอย่างเย็นชาแฝงรอยยิ้มชั่วร้าย “จูนจิ่ว เจ้าเดาวิธีการเปิดประตูบานแรกออกมิใช่หรือ ข้าเห็นเจ้าฉลาดนัก ไม่สู้เจ้าลองมาเดาดูว่าประตูบานนี้จะเปิดอย่างไร ”
“นี่เจ้ายอมรับว่าตัวเองโง่อย่างนั้นหรือ”จูนจิ่วมองไปทางนาง
หงยิงตัวสั่น พวกฝู้หลินจ้านหัวเราะเสียงดังไม่หยุด จูนจิ่วฝีปากกล้าและลื่นไหล เอาคืนได้อย่างสาสมพร้อมทำให้เสียหน้าในนัดเดียว แม้แต่ฝู้หลินซวงที่เย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งยังอดไม่ได้ที่จะหันไปมองจูนจิ่ว สายตามีแววประหลาดใจและสนใจ
ไร้ข้อกังขา หงยิงใบหน้าบิดเบี้ยว จิตใจที่คิดจะฆ่าจูนจิ่วยิ่งทวีความร้อนรุ่ม
ทำให้หงยิงเสียหน้าแล้ว จูนจิ่วก็ยังต้องดูก่อนว่าจะเปิดประตูอย่างไร นางเดินไปตรงหน้าประตูหินบานใหญ่ พิจารณาอย่างละเอียด นี่เป็นประตูที่สร้างขึ้นจากหินทั้งบาน แต่ว่าข้างบนมีการวางประกบแผ่นหินสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ขนาดเท่ากัน อีกทั้งข้างบนยังสลักลวดลายที่แตกต่างกันออกไป ดูภายนอกแล้ว ดูไม่ออกว่าเป็นการซ้อนแผ่นหิน หรือว่าสลักมาจากก้อนหินก้อนเดียวกัน
จึก
เสี่ยวอู่ใช้กรงเล็บข่วนไปที่ประตูหิน มันเงยหน้าขึ้นมองจูนจิ่วร้องเหมียวๆ เสี่ยวอู่ “เหมียว ประตูหินบานนี้แข็งมาก”
กรงเล็บของเสี่ยวอู่สามารถข่วนกระดองของสัตว์ทิพย์ชั้นห้าเต่าเพลิงให้แตกได้ กระดองที่แข็งที่สุด หินทั่วไปยิ่งไม่เป็นปัญหาสำหรับเสี่ยวอู่ แต่ประตูหินนี้ เสี่ยวอู่ไม่แม้แต่จะสามารถทิ้งรอยข่วนเอาไว้ได้ นางมองสีหน้าหงยิงก็เดาได้ว่าก่อนหน้านี้หงยิงก็คงเคยใช้วิธีการที่ใช้กำลังในการเปิดประตู แต่ก็ไม่มีร่องรอยหลงเหลือให้เห็น หินชนิดนี้จูนจิ่วไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็รู้ว่ามันไม่ธรรมดาแน่ๆ
ยกมือขึ้นลูบไปบนประตูหิน สัมผัสที่ได้คือความเย็นดุจน้ำแข็ง
“เป็นอย่างไรบ้าง เจ้ารู้ว่าเปิดอย่างไรหรือไม่ หรือว่าแค่แกล้งทำเพื่อหลอกพวกข้า ”ใบหน้าของหงยิงมีแววบีบคั้นที่ไม่มีเจตนาดี เหมือนกับว่าจูนจิ่วเปิดประตูไม่ได้ นางก็จะชนะอย่างไรอย่างนั้น
นางเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ จูนจิ่วเหลือบมองหงยิงแล้วยิ้มเย็น “ข้าเปิดได้หรือไม่ เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
“เจ้า”
“ใช่แล้ว จูนจิ่วจะเปิดได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องของนาง เกี่ยวอะไรกับเจ้าหงยิง นี่ไม่ใช่การพนันนี่นาถึงต้องรู้แพ้ชนะ”ฝู้หลินจ้านเค้นยิ้ม “เจ้ามีปัญญาก็มาเปิดเองสิ ไม่เช่นนั้นก็อย่าเอะอะรบกวนจูนจิ่ว”
สีหน้าหงยิงยิ่งไม่น่าดูเข้าไปใหญ่ รอบตัวเต็มไปด้วยไอแห่งความโกรธเกรี้ยว ทำให้เหล่าลูกศิษย์เทียนซูที่อยู่ข้างหลังตัวสั่นกันเป็นแถว เกรงว่านางจะโกรธแล้วมาลงที่พวกเขา
แต่ว่าไม่นานก็มีความเปลี่ยนแปลง ทำให้ความโมโหของหงยิงสลายไป
ได้ยินเพียงเสียงดังครึกโครมขึ้น จากนั้นก็ตามด้วยเสียงครืดคราดไม่หยุด จูนจิ่วพาเสี่ยวอู่ถอยหลังสามก้าว นางเงยหน้าขึ้นมองประตูหิน เห็นเพียงแผ่นหินจัตุรัสบนประตูเหมือนมีชีวิตขึ้นมา อีกทั้งยังสลับสับเปลี่ยนไปมาซ้ายขวาไม่หยุด
ประตูหินนี้มีชีวิต ประตูกล
ในใจได้ข้อสรุป จูนจิ่วก็ขมวดคิ้ว หากเป็นประตูกล ก็ต้องหาวิธีเปิด แต่นางยังคงรู้สึกว่าคงไม่ง่ายดายเพียงประตูกลเท่านั้น
ปัง
เสียงดังทำให้คนตกใจ จู่ๆก็มีเสียงลูกศิษย์รองขึ้นด้วยความหวาดกลัว ทุกคนต่างหันไปมอง พอเห็นแล้วก็ต้องสูดลมหายใจลึก เส้นขนตามแนวสันหลังก็ลุกซู่ พื้นที่พวกเขาเหยียบไม่รู้ว่าเกิดประกายแสงขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ และก็ถูกตัดออกเป็นแผ่นสี่เหลี่ยม ทีได้ยินเสียงกรีดร้อง เพราะแผ่นหินข้างๆลูกศิษย์คนนั้นได้ร่วงหล่นลงไป
พอหันไปมอง ก็เกิดเสียงดังขึ้นแผ่นหินแผ่นที่สองตกลงไป พวกเขามองลงไปยังรูโหว่ที่แผ่นหินหล่นลงไป มืดมิดไม่รู้ว่าลึกเท่าไหร่
มู่จิ่งหยวนขมวดคิ้วมุ่น เอ่ยขึ้น “ทุกคนรีบช่วยกันคิดวิธีออกจากประตูเร็วเข้า ไม่อย่างนั้นพวกเราทุกคนก็อย่าคิดว่าจะได้เข้าไปเลย ”
เข้าไปไม่ได้ยังเป็นเรื่องรอง แต่อาจจะเสียชีวิตเอาได้ จูนจิ่วมองไปยังประตูที่พวกเขาเข้ามา ที่นั่นมีก้อนหินตกลงมาชั้นหนึ่ง หากหนีตอนนี้ยังหนีทัน แต่จะออกจากที่นี่หรือจะเปิดประตู จูนจิ่วมองกวาดไปรอบๆ ไม่มีใครคิดจะถอยหนีสักคน ทุกคนต่างจ้องประตูหินเขม็ง ระดมสมองคิดหาวิธีเปิดประตู คนตายเพราะความโลภ นกตายเพราะอาหาร พวกเขาไม่หนี
“เหมียว”เจ้านาย เสี่ยวอู่ดึงรั้งชายกระโปรงของจูนจิ่ว ในแววตามีคำถาม
พวกเขาจะหนีหรือไม่
แววตาเยือกเย็น จูนจิ่วเงยหน้าขึ้นมองประตูหินที่ยังคงเปลี่ยนแปลงไม่หยุด ตอนนี้มู่จิ่งหยวนกับชิงหยู่รับรู้ได้ว่า แผ่นหินเหลี่ยมบนประตูสามารถเคลื่อนไหวได้ สามารถประกอบเป็นภาพ แต่ไม่มีใครรู้ว่าต้องประกอบอย่างไร ก็ทำให้รู้สึกร้อนใจจนเหงื่อไหลท่วมหัว
จูนจิ่วหลับตาลง ความจำในสมองถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว
เพียงอึดใจเดียว จูนจิ่วลืมตานำเสียงเย็น นางเอ่ยว่า “ข้าเอง” นางยังจำได้ดีถึงรูปลักษณ์เก่าของประตูหิน แต่นั่นไม่ใช่คำตอบ จูนจิ่วพลางขยับแผ่นหิน พลางคิดอย่างรวดเร็วถึงความเปลี่ยนแปลงในการประกอบภาพ เวลาคับขันมาก