บทที่ 390 น่าอายเกินไป
คู่ นักฝึกคู่หรือ
จูนจิ่วดวงตาเบิกกว้าง อึ้งไปนานกว่าสามวินาทีจึงเปิดปากถามกลับไปว่า “เจ้าพูดเรื่องอะไร ข้าฟังไม่เข้าใจ ”
“ข้าบอกว่า ”มุมปากของโม่อู๋เยว่มีรอยยิ้มยั่วยวน นิ้วมือของเขาเลื่อนผ่านฝ่ามือของจูนจิ่วจิ่วทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนถูกไฟดูด น้ำเสียงทุ้มต่ำแหบพร่า แม้แต่ดวงตาสีทองคู่นั้นก็ลึกซึ้งขึ้น ความปรารถนาพวยพุ่งดุจหลุมดำในทะเลแห่งดวงดาว แวบเดียวก็ดูดกลืนจูนจิ่วเข้าไปข้างใน
ทุกคำพูดล้วนแฝงแววลึกซึ้ง น้ำเสียงที่ส่งผ่านเข้าหูไม่อาจละความสนใจได้ เขาพูดว่า “นักฝึกคู่กันดีหรือไม่”
“ท่านกำลังล้อเล่นหรืออย่างไร ”สีหน้าเย็นชา จูนจิ่วกัดฟันจ้องโม่อู๋เยว่ ฝึกคู่ ทำไมโม่อู๋เยว่จึงกล้าชวนนางฝึกคู่ เชื่อหรือไม่ว่านางจะแทงเขาให้พรุนไปทั้งร่างก่อนแน่
โม่อู๋เยว่ยิ้มร้าย “ข้าไม่ได้ล้อเล่น ข้ากลับไปให้ยินหันหาเพลงวิทยุทธฝึกคู่มาหลายพันเล่ม สุดท้ายก็เลือกมาสามเล่ม ตอนนี้ดูแล้ว มีเล่มหนึ่งที่เหมาะกับเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ สนใจจะลองดูหรือไม่ ”
ในใจของจูนจิ่ว จดชื่อยินหันไว้ทันที เพลงวิทยายุทธฝึกคู่เป็นพันเล่ม ล้อเล่นหรือไม่
นางดึงมือออกคิดจะถอยหลัง และก็ไม่รู้ว่าโม่อู๋เยว่นั้นไม่สังเกตหรือว่าจงใจ ถูกนางลากลงไปในน้ำด้วย ขณะที่เสียงน้ำแตกกระจาย จูนจิ่วสุดลมหายใจจะดึงระยะห่างออกมา แต่ที่เอวกลับมีแขนมาคล้องเอาไว้ก่อนแล้ว ดึงไปข้างหน้าเข้าสู่อ้อมกอด
โม่อู๋เยว่ต้องจงใจแน่ๆ
จูนจิ่วเงยหน้าขึ้นทั้งอายทั้งโกรธ แววตาเย็นชาไม่พอใจสบเข้ากับสายตาของโม่อู๋เยว่พอดี
ในแววตาสีทองเป็นประกายคู่นั้น ตอนนี้มีแววลึกซึ้งแฝงความชั่วร้ายเอาแต่ใจ โม่อู๋เยว่ยิ้มมุมปาก “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ไม่อยากลองหรือ”
จูนจิ่วสูดลมหายใจเข้าไม่ตอบ แต่ยื่นมือออกไปบังดวงตาของโม่อู๋เยว่คู่นั้นที่กำลังส่งประกายไฟออกมา ประกายไฟแลบแปลบปลาบ นางยากจะต้านทานได้ แต่ว่าหลังจากที่บังตาของโม่อู๋เยว่เอาไว้ หลุดจากภวังค์ดึงดูดของปีศาจจูนจิ่วก็รู้สึกตื่นตัวเต็มที่
นางคิดอย่างถี่ถ้วน ไม่ถูกต้อง
การฝึกคู่นี้ไม่ได้หมายถึงการฝึกคู่อย่างว่า แม้ว่าน้ำเสียงของโม่อู๋เยว่นั้นจะแฝงความนัยดึงดูดคน แต่จูนจิ่วรู้ว่าโม่อู๋เยว่จงใจแหย่นางเท่านั้น อย่าคิดว่านางจะไม่รู้อุบายที่โม่อู๋เยว่ ถ้าหากนี่คืออุบาย เช่นนั้นการฝึกคู่ที่เขาพูดคงหมายถึงความหมายที่ลึกขึ้นอีกขั้นหนึ่ง เกิดความเข้าใจขึ้นท่ามกลางประกายวิบวับของเปลวไฟ ความอายแฝงความโมโหและความตกใจถูกเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสดใสและอวดดีขึ้นมาทันที นางยิ้ม และหรี่ตาลงมองโม่อู๋เยว่อย่างพิจารณา มือที่บังดวงตาของโม่อู๋เยว่ยังคงไม่ขยับ เท้าที่อยู่ในน้ำของจูนจิ่วเขย่งอยู่บนหลังเท้าของโม่อู๋เยว่และเงยหน้าขึ้น นางจงใจเข้าไปพูดใกล้หูของโม่อู๋เยว่
“ลองดูก็ได้ ข้ากล้าแล้วท้านกล้าหรือไม่”
“กล้า”ตอบกลับเพียงคำเดียว ปากบางก็ยิ้มอย่างชั่วร้าย จูนจิ่วมองปากบางที่แสนจะดึงดูดนั้น ก็เกิดความรู้สึกอยากจะพุ่งเข้าไปกัดสักคำ
ปีศาจบางตนคอยแต่จะปล่อยฮอร์โมนอยู่ตลอดเวลา คนที่สามารถทนได้คงเป็นหลิ่วเซี่ยฮุ่ย(ผู้ชายที่สวมกอดลูกสาวของอ้ายต้ง แต่ก็มิได้ล่วงเกินหรือแสดงกิริยาลวนลามในตำนาน) หรือไม่ก็เป็นหินแกะสลัก จูนจิ่วรู้สึกว่า ตอนนี้ตัวเองเป็นหินแกะสลัก แต่กำลังจะถูกโม่อู่เยว่ทำให้แตกออกเป็นเสี่ยง
เอามือที่บังดวงตาของโม่อู่เยว่ออก จูนจิ่วฮึเสียงเย็น“เอาเพลงวิทยายุทธฝึกคู่มาให้ข้าดูก่อน ถ้าข้ารู้สึกว่าไม่เลว ค่อยพิจารณาอีกทีว่าจะฝึกคู่กับท่านดีหรือไม่ ”โม่อู๋เยว่ได้ยิน มุมก็โค้งขึ้น มือข้างหนึ่งของนางยังคงกอดเอวจูนจิ่วเอาไว้ มืออีกข้างเชยคางของจูนจิ่วขึ้นก้มหน้าลงหัวคิ้วของทั้งสองคนชนกัน ประกายตาสีทองวิบวับ ในสมองของจูนจิ่วมีหนังสือวิทยายุทธโผล่ขึ้นมาหนึ่งเล่ม จูนจิ่วรู้ว่า นี่คือเพลงวิทยายุทธฝึกคู่ที่โม่อู๋เยว่เอ่ยถึง
จูนจิ่วรวบรวมสมาธิเปิดอ่านเพลงวิทยายุทธฝึกคู่อย่างรวดเร็ว แม้แต่กิริยาที่โม่อู๋เยว่เอาหัวชนหัวก็ยังไม่สามารถดึงดูดความสนใจนางได้ บางครั้งแหย่ไปแหย่มาก็กลายเป็นความเคยชิน
หลังจากอ่านเพลงวิทยายุทธฝึกคู่จนหมด จูนจิ่วลืมตาอย่างประหลาดใจ มองโม่อู๋เยว่อย่างตะลึง “ท่านแน่ใจหรือว่าเป็นเล่มนี้”
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ไม่เชื่อหรือ”
“ข้า”จูนจิ่วรู้สึกไร้คำพูดไปชั่วขณะ ไม่ใช่เรื่องที่นางชอบหรือไม่ชอบ แต่เพลงวิทยายุทธฝึกคู่เล่มนี้เกือบจะใช้คนเป็นเตาหลอมในการฝึกฝน และเตาหลอมนี้ไม่ใช่นาง แต่เป็นโม่อู๋เยว่
ใจความสำคัญของเพลงวิทยายุทธฝึกคู่นี้คือการฝึกคู่หล่อเลี้ยงวิญญาณ ในหนังสือภาพที่ต่างกันล้วนเป็นภาพวิธีการฝึกฝนที่ต้องเข้าด้ายเข้าเข็มทั้งนั้น แต่การฝึกคู่เช่นนี้ใช้แค่มีประสานกันเท่านั้น ก็จะสามารถฝึกฝนวิญญาณได้แล้ว แต่นี่ เป็นการใช้วิญญาณของคนหนึ่งมาหล่อเลี้ยงวิญญาณของอีกคน
คำพูดที่แหย่นางก่อนหน้านี้ของโม่อู๋เยว่ การกระทำอย่างเอาแต่ใจ ก็ยังให้ความรู้สึกหวั่นไหวกับจูนจิ่วไม่เท่ากับเพลงวิทยายุทธเล่มนี้
จูนจิ่วผลักใบหน้าที่ยังคงอิงแอบอยู่ที่หน้าผากของนางออกไป มือที่สัมผัสลงไปทำให้จูนจิ่วรู้สึกเสียดายไม่อยากผละมือ น้ำเสียงนางซับซ้อน “เพลงวิทยายุทธฝึกคู่เล่มนี้ จะช่วยข้าได้จริงหรือ”
“ไม่เพียงแต่จะแก้ปัญหาเรื่องถีหูก้วนติ่ง ยังสามารถแก้ปัญหาเรื่องวิญญาณกับร่างกายที่มันเข้ากันไม่ได้ด้วย หลังจากนี้ไม่ว่าวิญญาณของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์จะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็จะไม่ถูกร่างกายกีดกันจนทำให้ได้รับบาดเจ็บอีก ฉะนั้นเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เจ้ายังลังเลอะไรอีก”
“แต่นี่ต้องใช้วิญญาณท่านหล่อเลี้ยงวิญญาณ ท่านไม่รู้หรือ ผิดพลาดเพียงนิดวิญญาณท่านก็จะเสียหาย ถ้าหนักกว่านั้นอาจถึงแก่ชีวิตได้มิใช่หรือ”จูนจิ่วสีหน้าเคร่งขรึม
“คุ้มค่า”
สองคำสั้นๆทำเอาจูนจิ่วรู้สึกหวั่นไหว คุ้มค่า โม่อู๋เยว่ชอบนางขนาดนั้นเชียว
จูนจิ่วยอมรับว่านางเองก็ชื่นชอบโม่อู๋เยว่ ไม่เคยพบเจอใครที่ทำให้นางเบิกบานใจ แล้วก็เป็นบุรุษที่นางสามารถหยอกเย้าได้ตลอด พลังก็แข็งแกร่ง แม้สถานะจะยังคลุมเครือแต่ก็ดูออกว่าสูงส่งไม่ธรรมดา ยิ่งมีหน้าตาที่งดงามดึงดูดเป็นอย่างยิ่ง บนโลกนี้คงไม่มีคนที่สองให้เปรียบเทียบกับเขาอีกแล้ว
นางเชื่อว่าตนเองคงต้องจ่มดิ่งสักวัน แต่ขณะที่นางยังอยู่ในความชื่นชอบเท่านั้น แต่โม่อู๋เยว่กลับไม่เหมือนกันเสียแล้ว ยากจะเปรียบเปรย ว่าตอนนี้จูนจิ่วมีอารมณ์อย่างไร ซาบซึ้งหรือ ไม่ ซับซ้อนมากกว่า
มองดูสีหน้าจูนจิ่วที่เกิดคลื่นอารมณ์เป็นระลอก โม่อู๋เยว่ยิ้มมุมปาก กล่าวอย่างมีเลศนัยว่า “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เป็นห่วงข้าหรือ ห่วงข้า ไม่สู้ห่วงตัวเจ้าเองดีกว่า”
“??”
“ใช้วิญญาณหล่อเลี้ยงวิญญาณ ต้องเป็นคู่วิญญาณจึงจะทำได้ ฝึกฝนเพลงวิทยายุทธฝึกคู่เล่มนี้ ไม่ว่าจะค้นหาทั่วสวรรค์หรือนรก เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ก็ไม่มีวันหนีไปจากข้าได้”โม่อู๋เยว่พูด จูนจิ่วนิ่งขรึมไม่ตอบ
ดูเพลงวิทยายุทธฝึกคู่จนจบแล้ว จูนจิ่วรู้ว่าคำพูดของโม่อู๋เยว่นั้นคือความจริง แต่นั่นมันหลังจากที่การฝึกคู่สำเร็จแล้ว จึงจะเป็นเช่นนั้น แต่ก่อนหน้านั้น วิญญาณของจูนจิ่วจะคอยดูดกลืนวิญญาณของโม่อู๋เยว่เพื่อหล่อเลี้ยงตัวเอง เพื่อความมั่นคงในการประสานกับกายเนื้อ
พูดง่ายๆคือ ชีวิตของโม่อู๋เยว่จะมัดรวมไว้กับนาง สำหรับการฝึกฝนของโม่อู๋เยว่ ก็เหมือนเขาเพิ่มจุดอ่อนที่สามารถถึงแก่ชีวิตให้กับตนเอง ก็เพื่อให้สามารถเป็นคู่วิญญาณกันในอนาคต คุ้มค่าหรือ
“คุ้มค่า ”โม่อู๋เยว่ตอบอีกครั้ง จูนจิ่วได้ยินก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าความคิดเมื่อครู่นั้นนางได้พูดออกไปจนหมดแล้ว หน้าแดงขึ้นมาอย่างกะทันหัน จูนจิ่วไอแห้งๆสองเสียงแล้วหลบตา คู่วิญญาณอะไรกัน พูดออกไปช่างน่าอายยิ่งนัก
โม่อู๋เยว่เห็นจูนจิ่วหลบตา ดวงตาสีทองก็คลุมเครือขึ้นมา เขาจ้องทุกอากัปกิริยาของจูนจิ่วอย่างไม่คลาดสายตา โม่อู๋เยว่ถาม “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ไม่เต็มใจหรือ”
“ไม่เต็มใจแน่นอน ”ปฏิเสธขึ้นทันควัน แต่ที่เปิดปากพูดไม่ใช่จูนจิ่ว
จูนจิ่วกับโม่อู๋เยว่ต่างก็ชะงักไปพร้อมๆกัน พวกเขาหันไปมองข้างน้ำพุหลิงซูพร้อมกัน เป็นแมวสีขาวที่คอยแยกเขี้ยวอยู่ เสี่ยวอู่ อย่าคิดชักนำเจ้านายข้า ข้าไม่เห็นด้วย