น่าจะตื่นแล้ว ได้ยินคำนี้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางมู่จิ่งหยวนอย่างรอและตื่นเต้น แต่มู่จิ่วหยวนยังคงหลับตาอยู่เช่นเดิม หน้าอกกระเพื่อมช้าๆ ไม่มีวี่แววที่จะตื่นขึ้นมาเลยสักนิด
ชิงหยู่ขมวดคิ้วแน่น เขามองไปทางจูนจิ่ว “ศิษย์น้อง ข้าจะไปกับเจ้า”
ฝากความหวังไว้ที่มู่จิ่งหยวน มันเลื่อนลอยเกินไป ชิงหยู่ยืนหยัดจะอยู่สู้เคียงข้างจูนจิ่ว ถึงเวลาที่ต้องออกแรงเพื่อศิษย์น้องแล้ว
ยิ้มมุมปาก จูนจิ่วไม่ได้บอกว่านางไปคนเดียวก็พอ ถ้าทำอย่างนี้จะเป็นการทำร้ายจิตใจชิงหยู่เกินไป นางพูดยิ้มๆว่า “ข้าต้องการให้ศิษย์พี่ช่วยเหลือข้าสองเรื่อง งานนี้ต้องอาศัยทำพี่มาช่วยทำเท่านั้น ”
“ได้ เรื่องอะไร ศิษย์น้องพูดมาเถอะ”ดวงตาของชิงหยู่แวววับขึ้น
“เรื่องที่หนึ่ง รบกวนศิษย์พี่ดูแลเสี่ยวอู่ให้ด้วย ข้าพามันไปด้วยไม่ได้ เรื่องที่สอง ขอศิษย์พี่ดูแลมู่จิ่งหยวนให้ดี หลังจากข้าไปแล้ว ห้ามให้ใครเข้าใกล้เขาเด็ดขาด รอให้เขาฟื้นแล้ว ยังจะรบกวนศิษย์พี่ช่วยพาเขาไปยังตำหนักด้านหน้าด้วย”
เห็นชิงหยู่เหมือนต้องการจะพูดบางอย่าง จูนจิ่วก็เสริมขึ้นว่า “ต้องเป็นศิษย์พี่เท่านั้น ศิษย์พี่คงไม่ทำให้ข้าผิดหวังใช่หรือไม่ ”
“ได้”ชิงหยู่พยักหน้า ความรู้สึกล้มเหลวและหงุดหงิดในใจได้หายไปจนสิ้น ชิงหยู่ยืดอกยิ้มออก เขาภูมิใจในตัวเองมากที่สามารถช่วยเหลือศิษย์น้องได้
“แล้วพวกเราล่ะ”ฝู้หลินจ้านถาม
หันไปมองทางพวกเขา จูนจิ่วเลิกคิ้วถามว่า “เชิญไปดูอะไรดีๆข้างหน้า”
ดวงตาเยือกเย็น สาวน้อยแสนสวยขี้เล่น แววตาของนั้นเต็มไปด้วยความทระนงอย่างไม่มีใครเทียบได้ มุมปากมีรอยยิ้มอวดดี ราวกับกำชัยชนะในกำมือ ดูนางเบ่งบานสดใส ยอดเยี่ยมที่สุดไม่มีใครเทียม ชั่วขณะนั้นทำให้คนที่อยู่ในเรือนมองแล้วต่างก็ตะลึง ตอนนี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องพูดอะไร ในใจมีเพียงความคิดเดียว นั่นก็คือเชื่อใจจูนจิ่ว
พวกเขาเชื่อ ขอแค่จูนจิ่วคิดไม่มีเรื่องอะไรที่นางทำไม่ได้
อย่างว่าแต่ต้องต่อกรกับสำนักศึกษาเทียนซู ขอเพียงเป็นจูนจิ่ว ต้องทำได้แน่ พวกเขารู้สึกอดไม่ได้ที่จะรอคอย ว่าจูนจิ่วจะตบหน้าพวกเขาต่อเนื่องกันอย่างไร
การสอบสวนกำหนดเวลาไว้พรุ่งนี้เช้า จูนจิ่วต้องเตรียมตัวแล้ว เจ้าสำนักศึกษาจื่อเซียวได้คัดเลือก“ห้องขัง”พิเศษให้นางหนึ่งห้อง ทำอย่างนี้พรุ่งนี้เช้าจะได้นำนางออกไปได้อย่างสมเหตุสมผล
เพื่อการแสร้งได้สมจริงขึ้น เมื่อประตูใหญ่ปิดลงแล้วยังลงกลอนด้วย ฝู้หลินจ้านยืนอยู่นอกประตูมีความกังวลเล็กน้อย “จูนจิ่วเจ้าพักพ่อนเถอะ พรุ่งนี้ต้องเป็นศึกหนักแน่”เชื่อในตัวจูนจิ่วกับห่วงใยนางนั้นไม่ได้ขัดแย้งกัน
“หลินจ้าน ไปเถอะ”ฝู้หลินซวงเรียกเขา
หูได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกเขาห่างออกไป จูนจิ่วกอดอกเก็บสายตา มองไปในห้องมีปีศาจตนหนึ่งโผล่ขึ้นมากลางอากาศ ปากมีรอยยิ้มบางๆ “ท่านมาแล้ว”
“ข้าอยู่ด้วยตลอด”โม่อู๋เยว่พูด ฉะนั้นจึงไม่ใช่ เขามาแล้ว
จูนจิ่วยักไหล่ไม่ปฏิเสธ นางผ่อนคลายร่างกายพิงอยู่ที่ข้างหน้าต่าง ผ่านช่องหน้าต่างมองออกไปยังท้องฟ้าที่มืดสนิท ไม่เห็นพระจันทร์และไม่มีดวงดาว ราวกับกำลังทำนายว่าพรุ่งนี้ จะแฝงไอแห่งความหม่นหมองและหดหู่
นางไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้ จูนจิ่วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโส “พรุ่งนี้ ข้าจะตบหน้าเทียงฉิวให้บวมไปเลย”
“ข้าเชื่อ ”
“ท่านจะไม่ถามข้าหรือ ว่าจะรับมือพวกเขาอย่างไร ”จูนจิ่วเดินไปหยุดตรงหน้าโม่อู๋เยว่ หรี่ตายิ้มมองเขา นางไม่เชื่อว่าโม่อู๋เยว่จะไม่อยากรู้เลยแม้แต่นิดเดียว
ใบหน้าของโม่อู๋เยว่ที่เปล่งประกายคำว่า รีบมาชิมรสชาติของข้าสิ ตลอดเวลา ริมฝีปากบางค่อยๆโค้งขึ้น ยิ้มอย่างชั่วร้าย หยอกเย้าจนเข้ากระดูกแล้ว รอยยิ้มนั้นราวกับเหล้าที่มอมเมาคน ดึงดูดจนวิญญาณจะปลิดปลิว
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ไม่ต้องถาม ข้ารู้ใจเจ้า”
รอยยิ้มที่มุมปากของจูนจิ่วลึกขึ้นอีกหลายส่วน เธอกางมือออก “ถ้าอย่างนั้น ก็เท่ากับว่าไม่สนุก ไม่ประหลาดใจแล้วสิ”
มือที่เพิ่งจะกางออก ก็ถูกโม่อู๋เยว่คว้าเอาไว้ ผิวบริเวณที่ถูกสัมผัสมีความอุ่นแผ่ซ่าน ความรู้สึกชาชาก็กระจายไปทั่วร่าง ขณะที่จูนจิ่วกำลังสงสัยในการกระทำของโม่อู๋เยว่ เขาก็พูดขึ้นว่า “สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดบนโลกนี้ ก็คือสวรรค์ส่งเจ้ามาอยู่ตรงหน้าข้า ”
ปัง
ทันใดนั้นในใจของจูนจิ่วเหมือนจะมีพลุดอกไม้ไฟระเบิดขึ้น ถูกหยอกเย้าจนขาอ่อนไปหมดแล้ว ไม่พูดไม่ได้ว่า ครั้งนี้โม่อู๋เยว่ชนะแล้ว นางยอมรับความพ่ายแพ้อย่างเต็มใจ หึ รอให้นางเตรียมการเสร็จแล้ว ครั้งหน้าค่อยโต้กลับ
……
แสงอรุณปัดเป่าความมืดให้สลายไป ทั้งสำนักศึกษาจื่อเซียวราวกับน้ำมันร้อนๆเจอกับน้ำ ทำให้ระเบิดขึ้น
การสอบสวนต่อหน้าผู้คน นี่คือเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสำนักศึกษาทั้งสาม ยังมีคนที่ฆ่าผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักศึกษาไท่ชู กับศิษย์รักของเจ้าสำนักศึกษาไท่ชู ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นใครในสำนักศึกษาทั้งสาม ขอเพียงอยู่ในสำนักศึกษาจื่อเซียว ต่างก็กรูกันไปล้อมรอบนอกตำหนักใหญ่เอาไว้
ตอนที่ฝู้หลินจ้านมาถึงแล้วเห็นภาพนี้ อดไม่ได้ที่จะหันไปถามฝู้หลินซวง “หลินซวง พวกเราไม่ต้องไปส่งจูนจิ่วจริงหรือ ข้าเกรงว่าจะมีลูกศิษย์ของสำนักศึกษาไท่ชูกับคนของเทียงฉิวโจมตีนาง”
“ที่นี่คือสำนักศึกษาจื่อเซียว พวกเขาไม่กล้า”ฝู้หลินซวงขมวดคิ้วพูดขึ้น
หยุดไปสักครู่ เขากวาดมองไปรอบๆด้วยสายตาเย็นชา กดเสียงให้ต่ำลง ฝู้หลินซวงพูดว่า “หากพวกเราไป แล้วถูกพบเข้า จะกระทบต่อแผนการที่นางวางไว้”
ฝู้หลินซวงเตือนฝู้หลินจ้าน หากถูกพบเข้า ภายหลังไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คงต้องบอกว่าพวกเขาที่เป็นคนของสำนักศึกษาจื่อเซียวเป็นพวกเดียวกับจูนจิ่วแน่ ถึงตอนนั้นคงไม่เป็นผลดีต่อจูนจิ่ว และก็เหมือนเป็นแพะรับไปด้วย ฝู้หลินจ้านจึงได้แต่หมุนตัวเดินเข้าไปในตำหนัก
ในตำหนักใหญ่ เจ้าสำนักศึกษาจื่อเซียวนั่งอยู่ตรงกลาง ข้างๆคือจี้อีหมิง ทางซ้ายและขวา แบ่งเป็นเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูกับเจ้าสำนักศึกษาไท่ชู
พวกเขามองเห็นหงยิง หยุนหนี แต่ไม่มีซิงโล่เฉิน ต่างก็รีบมองหน้ากัน ทั้งสองหัวใจกระตุก ซิงโล่เฉินไม่อยู่ที่นี่ เขาไปไหน
สภาพการณ์ต้องเต็มที่ มีลูกศิษย์ของสำนักศึกษาจื่อเซียวสิบคนล้อมรอบ ส่งนางมาที่ตำหนักเพื่อสอบสวน แต่เท้าหน้าเพิ่งจะก้าวออกจากห้องขัง ก็ถูกซิงโล่เฉินขวางเอาไว้แล้ว ลูกศิษย์ของสำนักศึกษาจื่อเซียวเหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจ จ้องมองซิงโล่เฉินทั้งตื่นเต้นทั้งไม่สบายใจ “ศิษย์พี่ซิงท่านจะทำอะไร”
“ไม่ทำอะไร แค่จะคุยกับนาง”สายตาร้ายกาจมองจูนจิ่วอย่างไม่เป็นมิตร ใบหน้าของซิงโล่เฉินแขวนไว้ด้วยความแค้น
เห็นเขาแล้ว จูนจิ่วไม่รู้สึกประหลาดใจเลยสักนิด
ยิ้มมุมปาก จูนจิ่วเลิกคิ้วถามเขาอย่างขำขัน “ซิงโล่เฉิน เจ้ากำลังจะมาบอกว่ารสชาติของความพ่ายแพ้เป็นอย่างไรใช่หรือไม่ ”
ป้าบ
ฝ่ามือที่ไร้รูปร่างตบไปที่หน้าอย่างจัง ซิงโล่เฉินสีหน้าเขียวคล้ำ ไอสังหารพวยพุ่งอย่างบ้าคลั่ง ทำเอาเหล่าลูกศิษย์ของสำนักศึกษาจื่อเซียวตกใจจนเกือบจะชักดาบออกมาแล้ว
ซิงโล่เฉินโกรธจนกัดฟันกรอด “จูนจิ่ว เจ้าไม่มีโอกาสในการหนีครั้งที่สองอีกแล้ว แม้ว่าเจ้าจะมีปีกก็บินหนีไปไม่ได้ ”จูนจิ่วยิ้ม มองเขาอย่างล้อเลียน “ยินดีกับเจ้าด้วย เจ้าจะได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้เป็นครั้งที่สอง”
“เจ้า”ซิงโล่เฉินโกรธจนเกือบจะระเบิดแล้ว ไฟแค้นสุมทรวง เกือบจะทนไม่ไหวจะหักคอสาวน้อยที่ปากคอเราะรายนัก แต่ชั่วพริบตาสีหน้าก็เปลี่ยนไป ซิงโล่เฉินยิ้มอำมหิตเดินเข้าใกล้จูนจิ่ว
ลูกศิษย์ของสำนักศึกษาจื่อเซียวอยากจะขวางเขา แต่ภายใต้สายตาอันน่ากลัวของซิงโล่เฉินต่างก็ได้แต่ถอยออกไปอย่างตัวสั่น เห็นจูนจิ่วยังคงนิ่งไม่เคลื่อนไหว มองซิงโล่เฉินเดินเข้ามาอย่างสงบเยือกเย็น ในใจของเหล่าลูกศิษย์สำนักศึกษาจื่อเซียวต่างก็รู้สึกชื่นชมมาก
ไม่ว่าจูนจิ่วจะเป็นศิษย์ทรยศของสำนักศึกษาไท่ชูหรือไม่ แต่สามารถเผชิญหน้ากับซิงโล่เฉินอย่างไม่หวาดกลัว พวกเขาชื่นชมยิ่งนัก
เดินไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าจูนจิ่ง ซิงโล่เฉินยิ้มเย็นอันตราย เขาค่อยๆโน้มตัวพูดว่า “จูนจิ่ว ลูกศิษย์ของสำนักเทียนอู่จงอยู่ในมือข้า ยังมีวิชาฝึกตนชั้นที่สี่อีก ถ้าข้าไม่พอใจขึ้นมา ไม่แน่อาจจะเผามันทิ้งก็ได้ ”
จูนจิ่วแววตาเยือกเย็น “เจ้ากำลังข่มขู่ข้าหรือ”