บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ – บทที่ 451 เจ้าบ้าไปแล้ว ฝันกลางวันชัดๆ

บทที่ 451 เจ้าบ้าไปแล้ว ฝันกลางวันชัดๆ

“เฮือก ศิษย์พี่ซิง”หงยิงสูดลมหายใจเข้าหนึ่งเฮือก ตกใจจนไม่กล้าเชื่อว่านี่จะเป็นซิงโล่เฉิน

ซิงโล่เฉินนั้นเข้าสู่สำนักศึกษาหลังจากนาง แต่เป็นเพราะสถานะ และพลัง หงยิงจึงยินดีและเต็มใจที่จะเรียกซิงโล่เฉินว่าศิษย์พี่ อีกทั้งยังเลื่อมใสเอาใจเขามาก โดยตั้งความหวังไว้ว่าสักวันหนึ่งนางจะได้เข้าสู่ตำหนักไท่หวงโดยใช้ความสัมพันธ์ที่มีกับซิงโล่เฉิน

แต่ซิงโล่เฉินที่นางเลื่อมใส ตอนนี้ได้ตายแล้วอย่างน่าอนาถและสังเวชใจยิ่งนัก ใครกันที่ทำเช่นนี้

กร๊อบๆๆ

เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูกำหมัดแน่นจนดังกร๊อบ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว สีหน้าดุดัน มีทั้งความตกตะลึง ทั้งไม่อยากจะเชื่อ แต่ที่มีมากกว่านั้นคือความร้อนใจและโมโห ซิงโล่เฉินตายที่นี่ ตำหนักไท่หวงไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่ มีเพียงการส่งมอบตัวฆาตกรที่ฆ่าซิงโล่เฉินเท่านั้น เขาจึงจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้

แต่เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ว่าใครกันที่ฆ่าซิงโล่เฉิน แรงจูงใจ พลัง คนที่เข้ารู้จักแทบไม่กล้าทั้งสิ้น ก็เพราะว่าเบื้องหลังของซิงโล่เฉินนั้นมีตำหนักไท่หวงคอยหนุน พวกเขาจึงไม่กล้า

“เฮือก ”ป้าฟางก็เร่งฝีเท้ามาถึงแล้ว สีหน้านางขาวซีดมองไปทางซิงโล่เฉิน “ซิงโล่เฉินอยู่ที่นี่ แล้วจูนจิ่วเล่า”

“จูนจิ่ว?”สายตาของหงยิงมีแววอำมหิตวาบผ่าน “ไม่เห็นท่าทางของพี่ซิงหรืออย่างไร ไม่แน่จูนจิ่วกับชิงหยู่คนนั้นก็อาจจะอยู่ข้างใน แล้วก็ตายได้น่าอนาถกว่านี้อีก ไม่แน่ว่าอาจจะถูกแหวกอกผ่าท้อง ควักเครื่องในไปต้มแล้ว หัวก็ถูกตัดลงมาเอาไปเป็นรูปปั้นแกะสลัก ”

หงยิงใช้คำพูดที่อุบาทว์ชั่วร้ายเท่าที่มีทั้งหมด ราวกับทำเช่นนี้แล้ว จะสามารถทำให้นางผ่อนคลายลงจากการตายของซิงโล่เฉินได้บ้าง

ป้าฟางจ้องหงยิงด้วยความโมโหอยู่แวบหนึ่ง จากนั้นก็พุ่งตัวเข้าไปในตำหนักใหญ่ทันทีอย่างรวดเร็ว นางเป็นห่วงจูนจิ่ว ถ้าหากหงยิงพูดได้ถูกต้อง ถุยๆ ไม่ใช่คำพูดท้ายๆของนาง แต่เป็นเรื่องที่นางบอกว่าพวกจูนจิ่วอาจจะอยู่ข้างใน

ไม่เพียงแต่ป้าฟาง เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูและหงยิง พวกเจ้าสำนักจื่อเซียวต่างก็พุ่งตรงเข้าไปยังด้านในของตำหนักข้างทั้งหมด ผู้คนที่มุงดู ต่างก็ถูกหน่วยกล้าตายของเทียงฉิวขวางเอาไว้ให้อยู่แต่ด้านนอก

หลังจากที่พวกเขาเข้าไปแล้ว ทั้งที่เป็นช่วงกลางวันกลับมีหมอกสีม่วงจางๆปกคลุมเต็มไปหมดอย่างกะทันหัน เงาสีดำหลายสายซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางผู้คนค่อยๆถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครรู้ สำนักศึกษาเทียนซูจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้ว

พวกเขาเข้าไปแล้วจึงได้รู้ว่า หงยิงพูดไม่ผิด

จูนจิ่วกับชิงหยู่อยู่ข้างในนั้นจริงๆ แต่ไม่เหมือนกับที่พวกเขาคิดเลยแม้แต่นิดเดียว ตำหนักข้างแห่งนี้ว่างเปล่า เป็นที่ที่ถูกทิ้งร้างไร้คนกล้ำกราย ตอนนี้ จูนจิ่วกับชิงหยู่ยืนอยู่ในตำหนักใหญ่ จูนจิ่วมองพวกเขาด้วยความเย็นชา

“จูนจิ่วเจ้าไม่เป็นไร”ป้าฟางเห็นจูนจิ่วยืนอยู่ที่นี่ทั้งที่ยังดีๆอยู่ ก็รู้สึกคลายใจขึ้นมาทันที

พวกมู่จิ่งหยวนกับฝู้หลินจ้านกำลังจะเดินไปทางจูนจิ่วกับชิงหยู่ เพื่อถามพวกเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมจึงได้หายตัวไปตั้งสามวัน ไม่มีข่าวคราวเลยแม้แต่น้อย แต่เพิ่งจะก้าวเท้าออกไปได้ครึ่งก้าว ก็ถูกเจ้าสำนักศึกษาจื่อเซียวกับเจ้าสำนักศึกษาไท่ชูรั้งเอาไว้

พวกเขาต่างหันไปมองอาจารย์/ท่านปู่ของตัวเองด้วยความสงสัย เจ้าสำนักศึกษาจื่อเซียวกับเจ้าสำนักศึกษาไท่ชูต่างหันมาสบตากัน ต่างก็ส่ายหน้าให้แก่กันและยังคงรั้งเหล่าผู้น้อยเอาไว้เช่นเดิม

พวกเขามีชีวิตอยู่มานานสายตาในการมองเรื่องราวก็ได้รับการฝึกฝนไม่น้อย สัญชาตญาณรับรู้ไว พวกเขารับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ธรรมดา ทำให้อดที่จะนึกถึงคำพูดของจูนจิ่วไม่ได้ เกรงว่าตอนนี้จะเป็นสถานการณ์ในคำพูดของจูนจิ่วที่เคยพูดไว้

จูนจิ่วยิ้มมุมปาก “ในที่สุดพวกท่านก็มา”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร จูนจิ่ว เกิดอะไรขึ้นกับซิงโล่เฉินกันแน่ ใครเป็นคนฆ่าเขา ”เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูกำหมัดไว้แน่น ถามจูนจิ่วด้วยสีหน้าเขียวคล้ำสายตาก็จ้องเขม็ง

จูนจิ่วเลิกคิ้ว เหลือบไปมองเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูอย่างเย็นชา นางพูดว่า “พูดให้ถูกต้องคือ ซิงโล่เฉินระเบิดตัวเองตาย”

“พูดจาเหลวไหล กระดูกขาของซิงโล่เฉินหักไปแล้ว ยังมีบริเวณอกที่มีรอยยุบลงไป เห็นได้ชัดว่าถูกคนทำร้าย ยังมีที่หัวของเขาด้วย”หงยิงถนัดและชื่นชอบการทรมานเป็นที่สุด นางดูแวบเดียวก็รู้ว่าซิงโล่เฉินเคยผ่านการทรมานรูปแบบไหนมาบ้าง

หงยิงเข้ามาอย่างเร่งรีบ ไม่ได้ตรวจดูศีรษะของซิงโล่เฉินอย่างละเอียด และนางก็ไม่กล้า แต่หงยิงไม่เชื่อเด็ดขาด ว่าซิงโล่เฉินจะตายเพราะการระเบิดตัวเอง

จูนจิ่วแบมือออก “เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่พวกเจ้า”

“เป็นพวกเจ้าที่ฆ่าเขา”เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูกัดฟันกรอด เอ่ยอย่างมั่นใจ

เขาต้องส่งตัวฆาตกรออกไปให้ได้ จูนจิ่วกับชิงหยู่พอดีเลย เขาไม่เชื่อว่าจูนจิ่วกับชิงหยู่จะฆ่าซิงโล่เฉินได้ แต่ในใจของเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูนั้นรู้สึกกลัว จึงต้องเร่งรีบส่งมอบตัวฆาตกรเพื่อคลี่คลายปัญหายุ่งยาก เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูตะโกนขึ้นทันที “เด็กๆ จับตัวจูนจิ่วกับชิงหยู่เอาไว้”

“ช้าก่อน ”ป้าฟางรีบขัดขวางทันที

นางมองไปที่จูนจิ่วแวบหนึ่ง รีบพูดขึ้นว่า “เป็นไปไม่ได้ที่จูนจิ่วจะฆ่าซิงโล่เฉิน ฆาตกรต้องเป็นคนอื่นแน่ เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูท่านจะกล่าวโทษและจับคนโดยที่ไม่ค้นหาความจริงเสียก่อนไม่ได้ ”

“ที่นี่คือสำนักศึกษาเทียนซู ข้าเป็นเจ้าสำนักศึกษาทุกคนต้องเชื่อฟังคำพูดข้า อีกอย่างป้าฟางท่านก็แค่รับผิดชอบการประเมิน ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องภายในสำนักศึกษาเทียนซู เด็กๆ เด็กๆโว้ย พวกเจ้าหูหนวกกันหมดแล้วหรืออย่างไร ”เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูรออยู่นานก็ไม่เห็นมีใครเข้ามา ก็หมุนตัวกลับไปอย่างโมโห

ผ่านไปนานแต่ก็ยังไม่มีใครเข้ามาอยู่ดี ตอนนี้เอง ทุกคนต่างก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลแล้ว

หงยิงหยิบแส้ขึ้นมา น้ำเสียงโหดเหี้ยม “อาจารย์ ข้าจะออกไปดู”เจ้าพวกไร้ประโยชน์สมควรตายทั้งหลาย ไม่ยอมฟังคำสั่งสงสัยคงอยากจะถูกถลกหนังดึงเส้นเอ็นกระมัง

ปรากฏว่าหงยิงเพิ่งจะเดินออกไป ก็ต้องรีบหันหน้าพุ่งกลับเข้ามาอย่างรีบร้อนตกใจ สีหน้านางไม่น่าดูเอาเสียเลย ตะโกนต่อเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูว่า “ไม่ได้การแล้ว อาจารย์ คนที่อยู่ข้างนอกต่างก็ล้มลงไปกองกับพื้นหมดแล้ว พวกเขาขยับตัวไม่ได้ ”

“อะไรนะ”เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูตกใจมาก

พวกเขารีบเดินออกไปด้านนอกทันที ผ่านประตูของตำหนักข้าง พวกเขามองเห็นหมอกสีม่วงบริเวณด้านนอก ในหมอก ไม่ว่าจะเป็นหน่วยกล้าตายของเทียงฉิวหรือลูกศิษย์ของสำนักศึกษาเทียนซูต่างก็ล้มอยู่กับพื้นขยับตัวไม่ได้ เห็นหมอกสีม่วงนี้ไม่ได้ลอยเข้าไปในตำหนักข้าง พวกเขาไม่กล้าจะก้าวเท้าออกไปแม้แต่ก้าวเดียว

นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

น้ำเสียงเย็นชา แฝงแววหยอกล้อของจูนจิ่วดังมาจากทางด้านหลัง นางพูดว่า “เจ้าสำนักศึกษาเทียนซู ไม่เพียงแต่พวกเขา ตอนนี้ทั้งสำนักศึกษาเทียนซูล้วนถูกห่อหุ้มอยู่ในม่านหมอกสีม่วง ท่านเรียกก็ไม่มีใครมา หน่วยกล้าตายของเทียงฉิวที่อยู่ด้านนอก พวกเขามาแล้วก็เพียงแค่ให้ข้าได้ใช้ประโยชน์เท่านั้น ”

หมุนตัวกลับมาทันใด ความเร็วของเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูทำเอาทุกคนต่างเป็นห่วงว่าลำคอของเขาจะบิดจนหักหรือไม่ เสื้อผ้าเกิดเสียงกระทบดังขึ้นขณะหมุนตัวกลับมา

เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูทั้งตกใจทั้งโกรธ ไม่อยากจะเชื่อ “จูนจิ่ว เจ้าเป็นคนทำหรือ”

“ใช่”จูนจิ่วยิ้ม แล้วนางก็มองไปทางกลุ่มคนของพวกเจ้าสำนักศึกษาจื่อเซียว จูนจิ่วถาม “เจ้าสำนักศึกษาจื่อเซียว เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูพวกท่านต่างก็อยู่กันพร้อมหน้าที่นี่ ขอถามว่าพวกท่านจะยืนอยู่ฝ่ายไหน ”

“จูนจิ่วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่”เจ้าสำนักศึกษาจื่อเซียวตกใจเป็นอย่างยิ่ง

เขาคิดว่าเรื่องใหญ่ที่จูนจิ่วเคยพูดเอาไว้ มากสุดก็เป็นแค่การต่อสู้ แต่นี่วางยาพิษไปทั้งสำนักศึกษาเทียนซู นี่มันแผนการใหญ่ขนาดไหนกัน ที่จูนจิ่ววางแผนการไว้ทั้งหมด เกินกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้ เด็กสาวคนนี้ใจกล้าบ้าบิ่นต้องการทำลายสำนักศึกษาเทียนซูทั้งหมดเชียว

เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูก็มึนงงไปหมด เขานิ่งอึ้ง “ยืนอยู่ฝ่ายไหนอย่างไร”

“ข้าไม่ต้องการให้พวกท่านช่วยเหลือข้า ฉะนั้นพวกท่านมีสองทางเลือก ทางเลือกที่หนึ่ง ยืนอยู่ตรงกลาง ยืนมองดูอยู่ข้างๆก็พอ เรื่องราวจบสิ้นลงแล้วพวกท่านควรทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ทางเลือกที่สอง ช่วยเหลือเจ้าสำนักศึกษาเทียนซู เช่นนั้นพวกท่านก็จะกลายเป็นศัตรูของข้า ”

สายตาของนางไปหยุดอยู่ที่ร่างมู่จิ่งหยวน ฝู้หลินจ้านและฝู้หลินซวงอยู่ชั่วครู่ นางหรี่ตาลง “ข้าไม่ค่อยอยากจะเป็นศัตรูกับพวกเจ้า ฉะนั้นหวังว่าพวกเจ้าจะเลือกดีๆ ”

“ฮ่า จูนจิ่วเจ้าบ้าไปแล้ว ฝันกลางวันหรืออย่างไร ควบคุมสำนักศึกษาเทียนซูของข้าทั้งหมด เป็นไปไม่ได้ นักกลั่นยาพิษเฟยชิงก็อยู่ในสำนักศึกษานี้ด้วย หมอกพิษของเจ้าไม่ช้าก็จะถูกเขาสลายไปได้ หน่วยกล้าตายของเทียงฉิวฟังคำสั่งเจ้าอย่างนั้นหรือ ไม่จริง ไม่เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น เจ้ากำลังเพ้อฝัน ”เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูอดทนต่อไปไม่ไหว ตะโกนขึ้นอย่างเสียงดัง

บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ

บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ

Status: Ongoing
None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท