จูนจิ่วไม่ได้เชื่อเขา แต่ไหนแต่ไรมาจูนจิ่วเชื่อแต่สัมผัสที่หกของตนเอง และตอนนี้สัมผัสที่หกของนางบอกกับนางว่า คำพูดที่ออกจากปากของชายคนนี้เชื่อไม่ได้เลยแม้แต่คำเดียว เพียงแต่ใบหน้าของจูนจิ่วไม่ได้เผยแววสงสัยออกมาเลยสักนิด
นางเหลือบตาขึ้น กะพริบตาและพูดเสียงเย็นว่า “เจ้าจับตัวหงยิงแล้วไม่ใช่หรือ เจ้าสามารถค่อยๆสอบสวนนางได้ แล้วก็จะรู้เรื่องเอง”
“ได้”ตู๋กูชิงพยักหน้ายิ้มรับ ไม่ได้รู้สึกถอดใจหรืออารมณ์เสียจนโมโหที่จูนจิ่วเย็นชาจนเกินไปเลยสักนิด เขายังคงมองนางนิ่ง ราวกับลมอุ่นในฤดูใบไม้ผลิกำลังผัดผ่านผิวน้ำ
ตู๋กูชิงพูดต่อไปว่า “จูนจิ่ว เจ้าค่อยๆคิดดูก่อนก็ได้ ตอนนี้เจ้าก็ยังไม่ได้ปักปิ่น ไม่เร่งรีบ แต่ข้าจะรอเจ้าเสมอ ตำแหน่งฮูหยินของเจ้าตำหนักแห่งตำหนักไท่หวงข้าจะเก็บไว้เพื่อรอเจ้าเสมอ รอเจ้าตอบตกลง ”
เฮือก
ในตำหนักมีเสียงสูดลมหายใจเป็นระลอกดังขึ้นมา ฮูหยินของเจ้าตำหนัก ชายคนนี้คือเจ้าตำหนักแห่งตำหนักไท่หวงหรือ
ไม่ใช่กระมัง เช่นนั้นก็เท่ากับว่าจูนจิ่วสามารถเป็นฮูหยินของเจ้าตำหนักแห่งตำหนักไท่หวงในชั่วพริบตา ทุกคนต่างตกใจจนอ้าปากค้าง สถานะนี้เท่ากับก้าวเดียวก็ขึ้นสวรรค์ได้แล้ว ภายหน้าจะมีสถานะราศีที่สูงส่งสง่างามเป็นที่เคารพอย่างสูงสุดในบรรดาชั้นต่ำทั้งสามชั้น
ตู๋กูชิงยิ้มอ่อนๆมองไปยังจูนจิ่ว เขากำลังรอดูปฏิกิริยาของจูนจิ่ว
เปลี่ยนเป็นหญิงคนอื่นที่พอได้ยินสถานะของเขาแล้ว ต่างก็ควบคุมตัวเองไม่อยู่ พุ่งเข้ามามอบใจถวายกายให้แล้ว แต่อยู่ต่อหน้าจูนจิ่ว แม้เขาจะบอกสถานะของตนเองออกไปแล้ว นางก็ยังคงไม่หวั่นไหวใดๆ แค่พูดเสียงเรียบๆคำหนึ่งว่า “อ้อ ”เท่านั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของตู๋กูชิงแข็งค้างไปชั่วครู่ ไม่ช้าก็กลับคืนสู่ความสงบ
เขาเห็นจูนจิ่วเปิดปากพูด ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความคาดหวังขึ้นมาชั่วขณะ จากนั้นสิ่งที่จูนจิ่วพูด ก็ทิ่มแทงใจของตู๋กูชิงขึ้นมาในชั่วพริบตา
จูนจิ่วเปิดปากพูดว่า “เจ้าพูดจบหรือยัง พูดจบแล้วก็หลีกไป ข้ายังมีเรื่องต้องทำ”
ตู๋กูชิง:……
เขามองจูนจิ่วด้วยสายตาลึกล้ำ ริมฝีปากขยับเคลื่อนไหว ตู๋กูชิงไม่อยากจะเชื่อ จูนจิ่วให้เขาหลีกทาง ราวกับว่าสิ่งเขาพูด นอกจากเรื่องสัญญาแต่งงานกับของยืนยันคำมั่นสัญญาที่ทำให้จูนจิ่วตกใจอยู่ชั่วครู่แล้ว ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรอีก จูนจิ่วก็ยังคงเย็นชาไร้ปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่นิดเดียว
ตู๋กูชิงได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก แต่ก็ตามติดมาด้วยความรู้สึกน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ใบหน้ายังคงรักษารอยยิ้มเอาไว้ ตู๋กูชิงถอยไปอยู่ข้างๆและมองจูนจิ่วยิ้มๆ
สายตาที่เอาแต่จดจ้องด้วยอารมณ์ลึกซึ้งอย่างเสแสร้งนั้น ทำเอาเหลิ่งยวนรู้สึกโมโหจนแทบจะอดใจไม่ได้ที่จะพุ่งเข้าไปควักลูกตาของเขาออกมา นายหญิงของเขา ใครใช้ให้เจ้าจ้องอยู่ได้ เหลิ่งยวนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่เงียบๆ สะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้เดินตามอยู่หลังจูนจิ่ว ที่สุดก็สามารถใช้องศาน่าอัศจรรย์ต่างๆนาๆบดบังสายตาของตู๋กูชิงไว้ได้
ไม่ให้เจ้ามอง
จูนจิ่วหมุนตัวไปไม่สนใจตู๋กูชิง นางพูดกับพวกเฟิ่งเซียวว่า “ทำตามแผนการเดิม ควบคุมหน่วยกล้าตายเทียงฉิว ลูกศิษย์ของสำนักศึกษาเทียนซูที่เหลือฆ่าให้หมด”
“ได้”พวกเขาพยักหน้า กินยาที่พกติดตัวตลอดเวลาแล้วก็จากไป ขณะที่ไป แต่ละคนยังหันกลับไปมองตู๋กูชิงด้วยสายตารังเกียจอยู่แวบหนึ่ง พวกเขาไม่ต้องการยาจากตู๋กูชิง มียาที่จูนจิ่วกลั่นให้ก็เพียงพอแล้ว
จูนจิ่วเดินไปทางพวกฝู้หลินจ้าน เอ่ยขึ้นว่า “เรื่องราวคลี่คลายแล้ว พวกเจ้าอยู่พักรักษาตัวต่อที่นี่ก่อน ไม่ต้องรีบร้อนจากไป”
สีหน้าของพวกฝู้หลินจ้านยังคงนิ่งอึ้งอยู่ในความตกตะลึง จูนจิ่วควบคุมสำนักศึกษาเทียนซูได้ง่ายดายเช่นนี้เองหรือ ก้มลงมองศพของเจ้าสำนักศึกษาเทียนซู พวกเขายังรู้สึกตะลึงอยู่บ้าง รู้สึกไม่ใช่ความจริง
เดิมคิดว่าชายหนุ่มลึกลับคนนี้จะเป็นผู้ช่วยของเจ้าสำนักศึกษาเทียนซู แต่สุดท้ายกลับตาลปัตร กลายเป็น “ว่าที่สามี”ของจูนจิ่ว
ฝู้หลินจ้านมองตู๋กูชิงแวบหนึ่ง ค่อยๆไปกระซิบถามที่ข้างหูของจูนจิ่ว“นี่เป็นว่าที่สามีของเจ้าจริงหรือ”
“ศิษย์น้องจูน แม้ว่าเขาจะมีของยืนยันคำมั่นสัญญา อีกทั้งสถานะก็ไม่ธรรมดา แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวพันถึงการแต่งงาน เป็นความสุขชั่วชีวิต เจ้าต้องคิดให้รอบคอบ”มู่จิ่งหยวนพูด
จูนจิ่วยิ้มเย็น แล้วฟังฝู้หลินซวงที่พูดขึ้นว่า “จูนจิ่วต้องการความเงียบสงบ พวกเราอย่ารบกวนนางเลย”
ใช่แล้ว
จู่ๆก็ได้รับรู้ว่ามีว่าที่สามีโผล่ขึ้นมาหนึ่งคน ความตกใจของจูนจิ่วย่อมมีมากกว่าพวกเขามาก ภายนอกสงบนิ่ง ในใจไม่รู้ว่าจะวุ่นวายแค่ไหน พวกฝู้หลินจ้านต่างหุบปากลงทันที ออกไปพร้อมกับพวกเจ้าสำนักศึกษาจื่อเซียว
ในเมื่อไม่ต้องรีบจากไป ไว้พวกเขาค่อยถามเรื่องราวทีหลังก็ได้
“ศิษย์น้อง ”ชิงหยู่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าซับซ้อน เขามองไปทางเหลิ่งยวนที่เดินตามจูนจิ่ว คอยบดบังสายตาของตู๋กูชิงอยู่ด้านหลัง แล้วก็มองไปทางตู๋กูชิง “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
“ข้าก็ไม่รู้”จูนจิ่วส่ายหน้า
หางตาของนางเหลือบมองไปที่ตู๋กูชิงอย่างเย็นชา ขมวดคิ้ว ว่าที่สามีที่โผล่ขึ้นมาอย่างกะทันหันคนนี้ ทำให้แผนการของจูนจิ่ววุ่นวาย นักจิตใหญ่ชั้นเก้า เจ้าตำหนักแห่งตำหนักไท่หวง ในมือยังมีลูกบอลสีทองที่มาจากแหล่งกำเนิดเดียวกันเป็น “ของแทนคำมั่นสัญญา”
ถ้าเป็นคนอื่น คงรู้สึกว่าเป็นกันเอง และก็คงเชื่อตู๋กูชิงอย่างสนิทใจง่ายดาย แต่ไม่ว่าอย่างไรจูนจิ่วก็รู้สึก ไม่ชอบมาพากล
คงไม่ใช่เรื่องที่จะทำความเข้าใจได้ในเวลาอันสั้น จูนจิ่วจึงทิ้งปัญหาไว้ก่อน มีเวลาว่างแล้วค่อยมาจัดการ แต่การที่นางคิดเช่นนี้ ตู๋กูชิงกลับไม่อยากจะปล่อยนางให้จากไป เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ตู๋กูชิงมายืนขวางอยู่ตรงหน้าจูนจิ่ว สายตาอ่อนโยนมองมาที่นาง “จูนจิ่ว ข้าสามารถเรียกเจ้าว่าน้องจิ่วได้หรือไม่ ”
น้องจิ่วบ้าบออะไรกัน เหลิ่งยวนกำหมัดแน่นจนเกิดเสียงดังกร๊อบขึ้นมา
เหลือบมองตู๋กูชิง จูนจิ่วตอบกลับเสียงเย็นว่า “พวกเราไม่คุ้นเคยกัน เรียกชื่อข้าก็พอแล้ว ”
“ได้ ข้าเข้าใจตอนนี้สำหรับเจ้าแล้วข้ายังถือว่าเป็นคนแปลกหน้า แต่ว่าพวกเราจะคุ้นเคยกันมากขึ้นในไม่ช้า”ตู๋กูชิงพูด
จูนจิ่วได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้ว ตู๋กูชิงพูดต่อไปว่า “ข้าจะพักอยู่ที่สำนักศึกษาเทียนซูเป็นการชั่วคราว ข้าบอกแล้วว่าข้าจะชดใช้ให้เจ้าอย่างดี ยังมีเพื่อนๆของเจ้าด้วย แม้ว่าเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูจะตายไปแล้ว แต่คนที่มีอำนาจและพื้นฐานแน่นหนาย่อมต้องมีพลังหรือมรดกหลงเหลืออยู่ หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือ เรียกหาข้าได้ทุกเมื่อ”
“ส่วนทางด้านตำหนักไท่หวง เจ้าวางใจได้ มีข้าอยู่ ตำหนักไท่หวงจะไม่ถามถึงเรื่องนี้ เจ้าอยากจะเก็บสำนักศึกษาเทียนซูเอาไว้เป็นของเล่นก็ไม่มีปัญหา ”
น้ำเสียงของตู๋กูชิงสามารถพูดได้ว่าเป็นห่วงและอ่อนโยนมากแล้ว ราวกับแอ่งน้ำในฤดูใบไม้ผลิที่ทำให้คนหวั่นไหวได้ แต่ละคำพูดล้วนปลอบประโลมจิตใจ ทำให้ละวางการป้องกันเชื่อเขาอย่างสนิทใจ
จูนจิ่วยิ้ม มองตู๋กูชิงอย่างลึกล้ำนิ่งนานขึ้น อบอุ่นขนาดนี้ ที่หัวเซี่ยมีคำคำหนึ่งใช้เรียกผู้ชายประเภทนี้ว่า “ผู้ชายอบอุ่น”
เพียงแต่ ตู๋กูชิงนั้นถ้าได้ผ่าออกคงจะเป็นสีดำซ้ำยังฉาบไปด้วยพิษ
จูนจิ่วไม่ได้พูดอะไรกับตู๋กูชิง นางเดินอ้อมตัวเขาจากไป “ศิษย์พี่ เหลิ่งยวนพวกเราไปกันเถอะ”
“ได้”ชิงหยู่ตอบรับ เขาลังเลอยู่ชั่วครู่มองไปทางตู๋กูชิง พิจารณาแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเกี่ยวข้องกับศิษย์น้องอย่างไร ก็ต้องขอบคุณความช่วยเหลือของเจ้า”
ตู๋กูชิง “ไม่ต้องขอบคุณ”
“พูดไปตามมารยาทเท่านั้น เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องจริงหรือ หึหึหึ ”เหลิ่งยวนพลักชิงหยู่ให้รีบเดินออกไป เขาหยุดลงจ้องมองตู๋กูชิงด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร
ก็แค่นักจิตใหญ่ชั้นเก้าแล้วอย่างไร สู้กับเขายังไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้านายแล้ว
เจ้าตำหนักแห่งตำหนักไท่หวงแล้วอย่างไร สถานะของเขาในชั้นกลางสามชั้น แค่จามทีเดียวก็สามารถเป่าสวะอย่างเขาให้ตายได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้านายของเขา
มีพลังหรือก็ไม่ มีสถานะหรือก็ไม่ ยังบังอาจคิดจะคว้าแม่นางจูน ขยะ กระต่ายหมายจันทร์ชัดๆ
เผชิญหน้ากับเหลิ่งยวน รอยยิ้มที่อบอุ่นบนใบหน้าของตู๋กูชิงได้สลายหายไปแล้ว เขามองเหลิ่งยวนด้วยสายตาเย็นชาเย้ยหยัน “เจ้าเป็นองครักษ์ที่ม่านตงเก็บเอาไว้ใช่หรือไม่ ”
เหลิ่งหยวนใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว “ใช่”
ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาก็เดาสถานะของเหลิ่งยวนถูกแล้ว
แต่เหลิ่งยวนกลับพูดต่อไปอีกว่า “ข้าเป็นคนที่ฮูหยินให้อยู่ดูแลคุณหนู แต่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีคางคกตัวไหนที่มีสัญญาแต่งงานกับคุณหนูของข้า”
สีหน้าของตู๋กูชิงเปลี่ยนไป