บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ – บทที่ 452 นักจิตใหญ่ชั้นเก้าผู้ลึกลับ

บทที่ 452 นักจิตใหญ่ชั้นเก้าผู้ลึกลับ

ทุกคำพูดของจูนจิ่วล้วนทำให้เขารู้สึกตื่นกลัวไม่เป็นสุข สัญชาตญาณลึกๆของเขากำลังแจ้งเตือนว่า สถานการณ์ไม่ดีแล้ว เขาจำเป็นต้องยับยั้งจูนจิ่วให้ได้

ทันใดนั้นเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูก็หันไปจ้องหน้าเจ้าสำนักศึกษาจื่อเซียวกับไท่ชู เขายิ้มชั่วร้ายอย่างดูแคลน พูดเสียงดังว่า“พวกเจ้าคงไม่ได้หลงเชื่อคำพูดเหลวไหลของนางเข้าจริงๆหรอกนะ อาศัยแค่นางคนเดียวเนี่ยนะ”

“ไม่ ไม่ใช่ข้าคนเดียว”จูนจิ่วดีดนิ้ว เฟิ่งเซียวกับหยูนเฉียวสวมชุดสีดำ ปิดบังใบหน้าเอาไว้เดินออกมา พวกเขาโยนคนที่ลากมาด้วยทิ้งไปบนพื้น จากนั้นก็ถอยไปยืนอยู่ข้างหลังจูนจิ่วเป็นแถวเดียวกับชิงหยู่

ม่านตาของเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูหดแน่นขึ้น จ้องมองพวกเฟิ่งเซียวอยู่นาน แล้วก็มองไปรอบๆทั้งสี่ทิศที่ค่อยๆมีคนชุดดำเดินมาล้อมรอบพวกเขาเอาไว้ คนพวกนี้เป็นใครกัน แทรกซึมเข้าสู่สำนักศึกษาเทียนซูได้อย่างไร

เขาไม่ใช่คนโง่ เห็นได้ชัดว่างานนี้จูนจิ่วได้เตรียมการไว้ล่วงหน้านานแล้ว แต่ทำไมเขาจึงไม่รับรู้ถึงความผิดปกติเลยสักนิด หน่วยกล้าตายของเทียงฉิวซ่อนตัวอยู่ในสำนักศึกษาเทียนซูเต็มไปหมด ทำไมจึงไม่สังเกตเห็นคนเหล่านี้ แล้วก็มองไปยังชายหนุ่มที่ถูกโยนไว้บนพื้น หัวใจของเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูเต้นตุบตับ “นี่เป็นใคร”

“นี่ไม่ใช่คนที่เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูรออยู่หรอกหรือ นักกลั่นยาพิษเฟยชิง ทำไม เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูท่านจำไม่ได้แล้วหรือ ”จูนจิ่วยิ้มเยาะเย้ย

เป็นไปไม่ได้

เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูไม่เชื่อ สีหน้าหงยิงผิดปกติจนไม่น่าดูเดินเข้าไป จิกผมดึงศีรษะขึ้นมาเพื่อให้เผยใบหน้า หงยิงสูดลมหายใจหนึ่งเฮือก หันหน้ากลับไปมองยังเจ้าสำนักศึกษาเทียนซู “อาจารย์ เป็นเฟยชิงจริงๆ ”

พวกเขาฝากความหวังไว้ที่ตัวเฟยชิง หวังว่าเฟยชิงจะสามารถแก้หมอกพิษแล้วพาคนมาช่วยพวกเขา แต่ตอนนี้ เฟยชิงก็อยู่ที่นี่แล้ว อีกทั้งยังสลบไม่ฟื้น

จูนจิ่วยิ้มเย็น มองไปที่พวกเจ้าสำนักศึกษาจื่อเซียวอีกครั้ง “ท่านเจ้าสำนักศึกษาทั้งสองคิดออกหรือยัง”

เจ้าสำนักศึกษาจื่อเซียวกับเจ้าสำนักศึกษาไท่ชูต่างหันมาสบตากัน เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูหันไปมองพวกเขาทันที อ้าปากร้องเรียกชื่อของทั้งสองคนเสียงดัง แต่เจ้าสำนักศึกษาจื่อเซียวและเจ้าสำนักศึกษาไท่ชูกลับไม่มองมาทางเขาเลยแม้แต่แวบเดียว

เจ้าสำนักศึกษาจื่อเซียวลูบหนวดเครา เอ่ยด้วยน้ำเสียงซับซ้อนว่า “ข้าเลือกจะยืนอยู่ตรงกลางมองดูอยู่ข้างๆ”

“ดี”จูนจิ่วใช้สายตาหันไปถามเจ้าสำนักศึกษาไท่ชู เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูพยักหน้าเช่นเดียวกัน เลือกคำตอบเดียวกันกับเจ้าสำนักศึกษาจื่อเซียว

เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูโมโหมาก “จื่อเซียว ไท่ชู ข้าจะจดจำสิ่งที่พวกเจ้าทำเอาไว้ แค่จูนจิ่ว กับพวกชั้นต่ำไม่กี่คนคิดจะควบคุมสำนักศึกษาเทียนซูของข้าอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ นิ้วเดียวของข้าก็สามารถบดขยี้พวกเขาให้ตายได้แล้ว”

พูดจบ เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูพุ่งตรงไปยังจูนจิ่ว

จูนจิ่วเป็นคนวางแผน จับตัวนางได้ก็แก้ไขทุกสิ่งได้ หงยิงจับแส้ยาวไว้แน่น ตามหลังของเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูไปติดๆ

สวบๆๆ

จูนจิ่วไม่เคลื่อนไหว ด้านหลังนาง พวกชิงหยู่กับเฟิ่งเซียวพุ่งตัวออกไปขวางเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูไว้พร้อมกัน ทุกคนต่างก็เป็นนักจิตใหญ่ชั้นหนึ่ง ถ้าพูดถึงพลังพวกเขานั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าสำนักศึกษาเทียนซู แต่ถ้าพูดถึงการร่วมมือจัดค่ายกล เพื่อล้อมสกัดเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก

หงยิงหลบหลีกได้อย่างรวดเร็ว จึงหลบพ้นค่ายวงล้อมไปได้ นางสบตาของเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูแวบหนึ่ง พุ่งเข้าไปหาจูนจิ่วด้วยไอสังหารที่พวยพุ่ง “จูนจิ่วรับมือ”

“ขวางนางเอาไว้”เสียงหนึ่งตะโกนขึ้น ฝู้หลินจ้านพุ่งเข้าไปขวางหงยิงเอาไว้

หงยิงทั้งตกใจทั้งโมโห ดวงตาแดงก่ำจ้องฝู้หลินจ้านเขม็ง “ฝู้หลินจ้านเจ้าทำอะไร ไสหัวไป”

“หลินจ้าน”เจ้าสำนักศึกษาจื่อเสียวรีบร้องตะโกนขึ้น ฝู้หลินจ้านจะทำอะไร บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าจะยืนอยู่ตรงกลาง ขณะเดียวกัน เขาก็มองเห็นฝู้หลินซวงดึงดาบออกมาเดินไปทางฝู้หลินจ้าน

ฝู้หลินซวงพูดว่า “ที่ยืนเป็นกลางนั้นมีอาจารย์กับสำนักศึกษาจื่อเซียว ข้ากับหลินจ้านเป็นเพื่อนของจูนจิ่ว”

“คนเป็นเพื่อนย่อมเสี่ยงอันตรายและเสียสละเพื่อเพื่อนได้”มู่จิ่งหยวนหันไปคำนับให้กับเจ้าสำนักศึกษาไท่ชู และเดินเข้าไป สามคนสามทิศทาง ล้อมหงยิงเอาไว้ เห็นดังนั้น เจ้าสำนักศึกษาจื่อเซียวและเจ้าสำนักศึกษาไท่ชูก็ได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายอย่างจนใจ ถอนหายใจหนึ่งเฮือก

ลูกศิษย์เติบใหญ่แล้ว ขวางเอาไว้ไม่อยู่แล้ว

เห็นการกระทำของพวกเขา ดวงตาของจูนจิ่วสั่นระริก มุมปากที่โค้งขึ้นมีแววแห่งความปิติยินดีอย่างจริงใจเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน

มือนางกำลังหมุนมีดโยวยิ่งเล่น เสี่ยวอู่นั่งอยู่ข้างเท้านางทำท่าขู่ฟ่อราวกับเจ้าเสือน้อยตัวหนึ่ง จ้องมองเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูและหงยิงที่ถูกล้อมเอาไว้อย่างเย็นชา จูนจิ่วเปิดปากเอ่ยขึ้นว่า “ฆ่าเจ้าสำนักศึกษาเทียนซู”

ค่ายวงล้อมเปลี่ยนเป็นค่ายสังหารทันที สีหน้าของเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูเปลี่ยนไป เขารับรู้ได้ถึงอันตราย พลังของนักจิตใหญ่ชั้นหกถูกแสดงออกมาจนถึงขีดสุด เปิดตันเถียนปล่อยพลังทั้งหมดออกมา จากนั้นเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูแทบจะด่าคำหยาบออกมาแล้ว

ค่ายกลสมควรตายนี้ ไม่รู้ว่ามาจากไหน ตรงหน้ามีคนอยู่ห้าคน ยืนสลับฟันปลาทั้งห้าคนในและห้าคนนอกล้อมเขาไว้อย่างแน่นหนา ร่วมมือกันโจมตีอย่างเงียบๆ เขาไม่มีวิธีตอบโต้ได้เลยสักนิดเดียว

กลับกลายเป็นว่าทุกครั้งที่มีการปะทะกัน บนร่างก็มีบาดแผลเพิ่มขึ้นหนึ่งจุด เขาไม่รู้ว่านี่คือค่ายกลที่กองทัพเย่ส้าร่วมมือกันฝึกฝนอย่างตั้งใจเป็นเวลานานสำนักเทียนอู่จง บวกกับพวกเขาได้กินยาทิพย์ใหญ่เพื่อช่วยให้บรรลุนักจิตใหญ่ พลังจึงยิ่งแข็งแกร่งขึ้น

แล้วมองไปทางหงยิง ภายใต้การโจมตีจากพวกมู่จิ่งหยวนทั้งสามคน พ่ายแพ้ก็ถอยร่นไปเรื่อยๆ สีหน้าขาวซีดดุจกระดาษ

สถานการณ์หมดสิ้นความหวัง ใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

จูนจิ่วกำมือ โยวยิ่งเปลี่ยนเป็นป๋ายเย่ นางถือดาบเดินเข้าไปทางเจ้าสำนักศึกษาเทียนซู เสี่ยวอู่ก้าวเท้าเดินตามนางไป แยกเขี้ยวกางกรงเล็บเตรียมพร้อมโจมตีตลอดเวลา ในขณะที่จูนจิ่วค่อยๆก้าวเข้าไปนั้น ก็มีสัญญาณเตือนถึงอันตรายสายหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ

นี่มันเรื่องอะไรกัน

หรือว่าเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูยังสามารถพลิกสถานการณ์ได้ เป็นไปไม่ได้ เขาไม่มีโอกาสนั้น

ขณะที่จูนจิ่วกำลังครุ่นคิด ทันใดนั้นก็มีพลังสายหนึ่งพุ่งเข้ามาดึงตัวนางถอยกลับไปด้านหลัง ด้านหน้ามีม่านกั้นกางขึ้น เงาดำสายหนึ่งมายืนบังนางไว้ตรงหน้า ตามติดด้วยการมาถึงของพลังสายหนึ่งที่น่ากลัวอย่างไม่คาดคิด พลังนี้ทั้งแข็งแกร่งและน่ากลัวเป็นที่สุด ทันใดนั้นก็เกิดการปะทะจนทำให้ตื่นตระหนกตกใจ

ปัง

ฟู่

เสียงที่เกิดขึ้นเหมือนมีบางสิ่งพุ่งมาปะทะกับร่างเนื้อ คนที่ล้อมรอบเจ้าสำนักเทียนซู และพวกชิงหยู่ต่างก็กระอักเลือดตัวปลิวออกไป

เหลิ่งยวน “แม่นางจูน ถอย”

พลังสายนี้มีที่มาทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ไม่แบ่งมิตรหรือศัตรู พลังแผ่ซ่านไปทั่วทุกทิศ พุ่งปะทะร่างของเหล่าเจ้าสำนักเทียนซู เจ้าสำนักจื่อเซียวต่างต้องถอยหลังไปหลายก้าวติดๆกัน รู้สึกอัดอั้นในอกจนต้องกระอักเลือดออกมา เหลิ่งยวนยืนขวางอยู่ตรงหน้าจูนจิ่ว ทำลายพลังสายนั้นทิ้งไป

“เอ๋”น้ำเสียงประหลาดใจส่งผ่านเข้ามา “เจ้าเป็นใคร”

เสียงที่แทรกขึ้นมาอย่างกะทันหัน จูนจิ่วขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นเพียงที่นอกประตูตำหนักข้างมีชายคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา

เขายืนย้อนแสงจึงทำให้มองเห็นใบหน้าไม่ชัด แต่เงาร่างเขาสูงใหญ่มาก และมีความสง่างามสูงส่งไม่ธรรมดา พอเดินเข้ามาใกล้แล้ว แสงย้อนที่ทำให้เกิดเงาหายไปจึงมองใบหน้าเขาได้ชัดเจน ให้ความรู้สึกว่าในความสง่าและอบอุ่นจางๆนั้นมีความสูงส่งแฝงอยู่ ใช้สายตาเรียบเฉยมองพวกเขาอย่างวิเคราะห์ ราวกับกำลังประเมินสิ่งของ

ชายหนุ่มจ้องมองไปที่เหลิ่งยวน “เจ้าเป็นใคร”

เขารู้สึกประหลาดใจมาก สามารถทนรับพลังจากฝ่ามือของเขาโดยไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย คงต้องมีพลังอยู่เหนือเขา หรือไม่ก็ต้องสูสีพอๆกับเขา ด้วยศักดิ์ศรีของตนแล้ว ชายหนุ่มยินดีที่จะเชื่อความคาดเดาที่สองของตนเอง

เหลิ่งยวนหันไปมองแวบหนึ่ง แน่ใจแล้วว่าจูนจิ่วถูกปกป้องไว้อย่างดี แม้แต่เส้นผมเส้นเดียวก็ไม่ได้ถูกแตะต้องให้ร่วงหล่น จึงคลายใจได้เปลาะหนึ่ง แม่นางจูนปลอดภัยเช่นนั้นก็ดี สุดท้ายก็ได้ยินที่ชายคนนั้นถามเขาขึ้นมาเป็นครั้งที่สอง จึงมองไปทางเขาดูถูกและไม่พอใจ

เหลิ่งยวนกอดอก “ก็แค่องครักษ์คนหนึ่งเท่านั้น”

“องครักษ์”ชายหนุ่มไม่เชื่อ สำนักศึกษาเล็กๆทั้งสาม มีองครักษ์ที่มีพลังแข็งแกร่งเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้

เหลิ่งยวน “แล้วเจ้าเป็นใคร”เหลิ่งยวนกำลังถามแทนจูนจิ่ว ในเมื่อตอนนี้เขามีสถานะเป็นองครักษ์ของจูนจิ่ว เช่นนั้นก็ควรจะให้บริการดุจ “นายหญิง”คนหนึ่ง ฝั่งหนึ่งก็ส่งสัญญานเสียงอย่างลับๆ ให้กับจูนจิ่วว่า “แม่นางจูน คนคนนี้เป็นนักจิตใหญ่ชั้นเก้า เจ้านายให้ข้ามาเป็นองครักษ์ของท่าน”

นักจิตใหญ่ชั้นเก้า

จูนจิ่วไม่สนใจคำสุดท้ายของเหลิ่งยวน นางหรี่ตาลงจ้องมองชายคนนั้น เขาเป็นใคร

บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ

บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ

Status: Ongoing
None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท