“ตอนนี้ข้ามีสติตื่นตัวมาก ”ยกมือขึ้นพาดผ่านไหล่ของโม่อู๋เยว่ไปกดไว้บนเสาของเตียง ในที่สุดก็อยู่ในท่าคร่อมร่างบนเตียงสำเร็จ จูนจิ่วจ้องมองโม่อู๋เยว่ “ข้าจะขึ้นคร่อมเจ้าตอนนี้เลย”
โม่อู๋เยว่ดันที่หน้าผากของจูนจิ่วเอาไว้ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ดันนางออกไป เกรงว่าจูนจิ่วจะทำการก่อกวนหยอกเย้าเร้าอารมณ์เขาอีก โม่อู๋เยว่สูดลมหายใจเข้าลึกๆพร้อมกับเพิ่มการสกัดจุดให้กับจูนจิ่ว ให้นางไม่สามารถขยับตัวได้
เคลื่อนไหวไม่ได้ จูนจิ่วก็ไม่พอใจ “โม่อู๋เยว่ท่านทำอะไร”
เอาสิ แม้แต่ฉายาที่เสี่ยวอู่ตั้งให้เขาก็ถูกเรียกขานออกมาแล้ว
ตอนนี้พลังทั้งหมดที่มีอยู่ในร่างกายของโม่อู๋เยว่ถูกหมุนเวียนออกไปนอกร่างกายจนหมด เพื่อควบคุมความปรารถนาและแรงกระตุ้น เขายกมือขึ้นจัดเสื้อผ้าของจูนจิ่วให้เข้าที่เรียบร้อย ปิดบังร่องรอยแต่ละจุดที่สามารถทำให้รู้สึกอายจนหน้าแดงได้ ได้ลองลิ้มชิมรสเพียงนิดเดียวก็หยุดลง ก็นับว่าพอใจแล้ว เพียงแต่เสียดายที่ปีศาจน้อยบางตนไม่ค่อยชอบใจนัก
เหลือบตาขึ้นมอง สายตาสีทองจ้องมองจูนจิ่วอย่างลึกล้ำ คลื่นอารมณ์หมุนวนแปรปรวนอยู่หลายตลบก่อนจะสงบลงได้ โม่อู๋เยว่ลูบที่ใบหน้าของจูนจิ่ว
เขาพูดว่า “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ข้ากลัวข้าจะทนไม่ได้ แม้แต่คนกับวิญญาณก็กลืนกินเข้าไปหมด ”
สัญชาตญาณทำให้รับรู้ได้ถึงความอันตรายที่แฝงอยู่ในคำพูดของโม่อู๋เยว่ ร่างของจูนจิ่วสั่นเทาอยู่ชั่วครู่ในที่สุดก็ไม่ทำเรื่องหยอกเย้าอีก นางยังคงจ้องมองโม่อู๋เยว่เขม็ง “แล้วพวกเราจะทำอะไรกันดี ข้าทรมาน”
“ฝึกฝนสามารถแก้ปัญหาได้ พอดีกับที่จะสามารถลองเพลงวิทยายุทธฝึกคู่ที่เลือกเอาไว้เมื่อครั้งก่อน”โม่อู๋เยว่พูด
เขากุมมือของจูนจิ่วเอาไว้ ค่อยๆนวดเคล้นจนฝ่ามือของนางกางออก จากนั้นก็ประกบฝ่ามือลงไป พิษกู่หลงรักได้ถูกเขาควบคุมเอาไว้แล้ว จูนจิ่วจะค่อยๆได้สติขึ้นมา แต่ผลร้ายที่เกิดจากพิษกู่หลงรัก ยังต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูเยียวยา
จ้องมองที่ดวงตาคู่นั้น แค่แววตาเดียวก็สามารถทำให้เขาหัวใจเต้นระส่ำ ความปรารถนาผุดขึ้นเป็นระลอก
รอยยิ้มชั่วร้ายของโม่อู๋เยว่แฝงไปด้วยแววจนใจ เขาเอ่ยขึ้นว่า “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์หลับตา”
จูนจิ่วหลับตาลง สองมือของพวกเขาเกี่ยวกันแน่น ร่างของโม่อู๋เยว่มีแสงสีเงินเปล่งประกายอ่อนๆ ประกายแสงเงินนี้ยิ่งอยู่ก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้นจนครอบตัวจูนจิ่วให้อยู่ด้านในด้วย ถ้าหากมีคนคอยเฝ้าดูอยู่อย่างละเอียด ต้องสังเกตพบเห็นแน่นอนว่าในประกายแสงสีเงินนั้นมีเส้นสีทองเล็กๆวิ่งวนอยู่ ราวกับมังกรตัวน้อยๆ ……
……
พระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า วันแล้ววันเล่า
เวลาสามวันผ่านไป ตู๋กูชิงยังจับตัวจูนจิ่วไม่ได้ เขากำลังโมโหอยู่ในตำหนักใหญ่ ด้านหน้าของเขามีองครักษ์ที่สวมชุดลายปักสีเงินสามคนได้ถูกเขาระเบิดอารมณ์ลงโทษประหารไปแล้ว ตู๋กูชิงคำราม “สามวันผ่านไปแล้ว แม้แต่สาวน้อยที่ถูกพิษกู่ควบคุมเอาไว้แล้วก็จับตัวมาไม่ได้ ไร้ประโยชน์ เป็นพวกไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น”
หงยิงวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน ได้ยินเสียงคำรามของตู๋กูชิงแล้วก็ชะงักฝีเท้าลง ใบหน้ามีแววหวาดกลัววาบผ่านไป
หงยิงอยากจะถอยกลับไป แต่ตู๋กูชิงมองเห็นนางแล้ว ตู๋กูชิงจ้องมองมือคู่นั้นที่ว่างเปล่าของนางด้วยสายตาเคร่งขรึม “แมวล่ะ”
ฟุบ
หงยิงคุกเข่าลง ก้มศีรษะลงต่ำด้วยความหวาดกลัวไม่เป็นสุข นิ้วมือของนางกำเป็นหมัดแน่น สูดหายใจลึกๆและพูดว่า “เจ้าตำหนัก ห้องที่ใช้คุมขังเจ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นถูกรื้อแล้ว แมวก็หายไปด้วย”
“อะไรนะ”
ใบหน้าของตู๋กูชิงบิดเบี้ยวไปชั่วครู่ เขาเสียโอกาสที่จะจับตัวจูนจิ่วแล้ว ตอนนี้แม้แต่เจ้าเดรัจฉานตัวน้อยที่จะใช้ข่มขู่จูนจิ่วก็หายไปด้วย เจ้าพวกโง่เอ๊ย
ทันใดนั้นก็หรี่ตาลง ตู๋กูชิงก้าวเท้าก้าวใหญ่ๆเดินไปทางหงยิงแล้วคว้าตัวนางขึ้นมา กัดฟันกรอด ตู๋กูชิงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน“คงไม่ใช่เพราะเจ้าทำแมวตัวนั้นหาย หรือฆ่ามันไปแล้ว ตอนนี้ก็มาปั้นเรื่องโกหกหลอกลวงข้าหรอกนะ ”
“หงยิงไม่กล้า”
หงยิงเองก็มึนงงและหวาดกลัว เขาขังเสี่ยวอู่เอาไว้แล้วจริงๆ ยังเป็นกรงเหล็กหน้าถึงสามชั้นอีกด้วย ช่องของกรงเหล็กเล็กมากแม้กระทั่งกรงเล็บของแมวก็ยื่นออกมาไม่ได้ ก็แค่สัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งเท่านั้น ทำไมจึงหนีออกไปได้
แต่หงยิงเห็นห้องที่ถูกฉีกทึ้งรื้อทิ้งเป็นซากปรักหักพังกับตาตนเอง กรงเหล็กที่เดิมทีให้สำหรับคุมขังเสี่ยวอู่ก็กลายเป็นแค่กองเศษเหล็ก
หงยิงใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว รีบอธิบายทันทีว่า “เจ้าตำหนัก ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นจูนจิ่วที่หนีมาช่วยเจ้าเดรัจฉานตัวนั้นไป”
สีหน้าของตู๋กูชิงขรึมลง ยกมือขึ้นปล่อยตัวหงยิงโยนลงไปกับพื้น เป็นไปไม่ได้ ตู๋กูชิงปฏิเสธอย่างมั่นใจ จูนจิ่วถูกพิษกู่หลงรักจะมีพลังอะไรมาช่วยเจ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นได้อีก แต่พอนึกถึงความใส่ใจที่จูนจิ่วมีต่อเสี่ยวอู่ ตู๋กูชิงก็รู้สึกลังเลไม่แน่ใจขึ้นมา
ขณะเดียวกัน ตู๋กูชิงก็ยิ่งรู้สึกโกรธแค้นโมโหมาก
ถ้าหากจูนจิ่วเป็นคนมาช่วยเสี่ยวอู่ออกไปจริง เข้าออกตำหนักของเขาราวกับเป็นสถานที่ที่ไม่มีคนอยู่ ศักดิ์ศรีของคนที่เป็นถึงเจ้าตำหนักอย่างเขาจะเอาไปวางไว้ที่ไหน
“ค้น ไปไล่จับจูนจิ่วต่อ ตอนนี้ตำหนักไท่หวงกำลังไล่ตามจับตัวคนทำลายสวนป่า พวกเจ้าแทรกซึมเข้าไป ต้องจับตัวจูนจิ่วมาให้ได้”
ตู๋กูชิงสั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม เขานึกถึงเรื่องวันนั้นที่สวนป่าถูกทำลาย ไม่ไกลกันนักก็เป็นศพของเมี่ยวยู่เอ๋อ
แต่ตู๋กูชิงไม่อยากจะเชื่อว่า เป็นองครักษ์ของจูนจิ่วที่ทำลายสวนป่า
นั่นมันเป็นค่ายกลที่แม้แต่ราชาทิพย์ก็ถูกคุมขังเอาไว้ได้ สลายค่ายกลยังเป็นไปไม่ได้ แล้วทำไมจึงได้ถูกองครักษ์ตัวเล็กๆคนหนึ่งทำลายลงไปได้ เขายินดีที่จะเชื่อมากกว่าว่ามีศัตรูแทรกซึมเข้ามาในตำหนักไท่หวง ไม่ช้าก็ทิ้งปัญหานี้ไว้ด้านหลัง ตู๋กูชิงรู้สึกกระวนกระวายใจไม่เป็นสุข
จูนจิ่วหลบไปอยู่ที่ไหนกันแน่
“เจ้าตำหนัก”หงยิงมองเขาอย่างระมัดระวังที่สุด ในสายตามมีฉายแววโหดเหี้ยมหมุนวนอยู่ เขาเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าตำหนัก พวกเราไม่สามารถจับเจ้าสัตว์เดรัจฉานตัวน้อยนั้นมาบีบให้จูนจิ่วออกมาได้ แต่พวกเราสามารถใช้คนมาบีบบังคับได้นี่นา ชิงหยู่ มู่จิ่งหยวน ฝู้หลินจ้านกับฝู้หลินซวงพวกเขาล้วนเป็นสหายของจูนจิ่ว”
ดวงตาสว่างวาบ ตู๋กูชิงหมุนตัวกลับมาทางหงยิงอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเขาเปลี่ยนจากสีหน้าอึมครึมเป็นสดใสขึ้นมาในทันที “ความคิดดี”
“ใกล้ถึงการแข่งขันสัตว์ทิพย์แล้ว เดิมทีพวกเขาก็เป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมการแข่งขันสัตว์ทิพย์ พอดีกับที่ให้พวกเขามาที่ตำหนักไท่หวง ก็แค่พวกชั้นต่ำอ่อนแอตัวเล็กๆ แต่ถ้าหากพวกเขาสามารถทำประโยชน์ให้เราได้ บีบให้จูนจิ่วเผยตัวออกมา ก็นับว่าตายอย่างคุ้มค่าแล้ว ”
ให้สำนักศึกษาทั้งสามเข้าร่วมการแข่งขันสัตว์ทิพย์ นั่นเท่ากับมาตาย
เดิมทีที่เห็นด้วยกับแผนการร้ายนี้ของซิงโล่เฉิน ก็เพื่อที่จะจับตัวจูนจิ่ว ตอนนี้ ก็เพื่อที่จะจับตัวจูนจิ่วเช่นเดียวกัน ขอเพียงสามารถจับตัวจูนจิ่วได้ ไม่ว่าจะเป็นความเป็นความตายของใครตู๋กูชิงก็ไม่สนใจทั้งนั้น
ตู๋กูชิงหันไปสั่งการกับหงยิง “เจ้าไปพร้อมกับผางเจียเยว่ ต้องพาพวกเขามาที่ตำหนักไท่หวงให้ได้ ”
“หงยิงจะไม่ทำให้เจ้าตำหนักผิดหวัง”หงยิงคุกเข่ารับคำบัญชา ก้มหน้าลงดวงตามีแววอำมหิตวาบผ่าน
คิดไม่ถึงเลยว่าจูนจิ่วนังคนชั่วช้าจะหนีไปได้ นางไม่มีทางปล่อยไปเด็ดขาด แผนหนึ่งไม่สำเร็จก็ใช้อีกแผน ครั้งนี้ก็ให้จูนจิ่วมีคนที่ถูกฝังไปกับนางด้วยหลายคนหน่อย ฮ่าๆๆๆ หงยิงหัวเราะออกมาด้วยเสียงต่ำแฝงไปด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต คนที่ล่วงเกินนาง นางจะไม่ปล่อยไปแม้แต่คนเดียว
ช่วงพลบค่ำของวันที่สาม เหลิ่งยวนร้อนใจจนผมเผ้ายุ่งเหยิงราวกับรังนก
ลี่หยุนซูถูกควบคุมเอาไว้ แต่ก็ต้องการกินข้าวพักผ่อน แต่เหลิ่งยวนไม่ต้อง เขาเฝ้าอยู่ที่นี่ไม่ห่างหายไปไหนเลยทั้งวันทั้งคืน เป็นอีกครั้งที่เห็นลี่หยุนซูกินข้าวเสร็จแล้วกลับมา เหลิ่งยวนมองนางที่พูดกับตัวเอง “ข้ารู้สึกว่าข้าคงต้องใช้ความตายชดใช้ความผิดแล้ว”
ห๊ะ
ลี่หยุนซูดึงมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาจากเอว ยื่นไปตรงหน้าเหลิ่งยวน
เหลิ่งยวนเบิกตากว้าง เหมือนมีอะไรติดอยู่ที่คอจะสำลักแล้ว แม่นางจูนควบคุมแม่นางคนนี้ แล้วยังจะทำให้สมองของนางงี่เง่าตามไปด้วยหรือ
ตอนนี้เอง ประตูใหญ่เปิดออก กลิ่นอายแห่งความน่าเกรงขามแผ่ซ่านออกมา เหลิ่งยวนคุกเข่าลงทันทีไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา “เจ้านาย ข้าน้อยยอมรับโทษทัณฑ์”
“สมควรถูกลงโทษ”น้ำเสียงเย็นชาของโม่อู๋เยว่แฝงแววโหดเหี้ยม เขามองลงไปที่เหลิ่งยวนอย่างเย็นชา แววตามีแสงสีทองวาบผ่านไป เหลิ่งยวนหดร่างกายม้วนตัวลงในทันที ในลำคอมีเสียงต่ำที่คำรามออกมาอย่างเจ็บปวดราวกับจะขาดใจ เงยหน้าขึ้น เหลิ่งยวนเผยให้เห็นดวงตาคู่หนึ่งที่เต็มไปด้วยสีเลือด