TB: บทที่ 261 ฮู อี้เต๋า
“กเวน นายพูดกับเด็กคนนั้นแบบนั้นได้อย่างไร หรือว่าเขาก็….” ผู้ที่มากับกเวนคนหนึ่งถามเขาอย่างสงสัยใคร่รู้
“ใช่ ฉันรู้สึกได้ ฉันว่าเราจะมีพวกพ้องดีๆอีกคนในอีกไม่นาน” ว่าด้วยรอยยิ้มที่งดงาม กเวนรู้เรื่องที่เพื่อนเขาพูด
“ฉันจะตั้งตารอเลย” ชายที่สูงและดูกำย่ำกล่าวกเวนที่พยักหน้าและมองไปทางที่ข่านและอลันออกไป
“ไปกันเถอะ ไปจัดการกับที่เกิดเหตุนี้กัน ช่วงนี้ที่พวกมนุษย์หมาป่ากล้าจะทำอะไรเช่นนี้ในเขตของพวกเรานี่ช่างบาดตาเสียจริง หากว่าพบเจอพวกมันนะ ฉันจะถลกหนังพวกมันออก” เมื่อกเวนกล่าวถึงเรื่องมนุษย์หมาป่า รอยยิ้มสง่างามบนใบหน้าเขาหายไป หลงเหลือเพียงความรังเกียจ
เป็นเวลานานมาแล้วที่หนังมนุษย์หมาป่าเป็นที่นิยมทั้งในหมู่โบสถ์แห่งแสงและอัศวินชั้นสูงเก่าแก่ หนังหมาป่าไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์แห่งพลัง แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งสถานะของพลังที่จะแขวนหนังมนุษย์หมาป่าในปราสาทหรือตกแต่งบนพื้นเบื้องหน้าบัลลังก์ได้
“การปรากฏของ “นิวเวิร์ล” ได้สร้างความวุ่นวายแก่ทุกสิ่ง กล่าวกันว่า “นิวเวิร์ล” ของประเทศจีนสามารถเพิ่มพลังกายให้ผู้คนได้ ในช่วงปีมานี้พลังของคนบางคนที่เคยเป็นคนธรรมดาได้กลายมาเป็นระดับปรมาจารย์ได้จริงๆ ฉันได้คำยืนยันมาจากทุกที่ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แม้ว่าจำนวนของคนเหล่านี้จะมีไม่มาก แต่เทียบจากประชากรของจีนแล้วก็ถือว่ามีอยู่ ถ้าเราให้เวลาคนพวกนั้นพัฒนา คงจะร้ายกาจเลยทีเดียว หากจำเป็นเราควรจะหยุดยั้งพวกเขาดีกว่า ไม่เช่นนั้น ด้วยความช่วยเหลือบริษัทเว่ยหลงและยอดมนุษย์ระดับชาติ ในไม่กี่ปีนี้ จีนคงเหยียบย่ำโลกนี้ได้” ในหมู่คนทั้งสี่ คนที่มีรูปลักษณ์เจ้าเสน่ห์ มีส่วนเว้าส่วนโค้ง และเป็นเหมือนหุ่นขี้ผึ้ง เขาอายุยี่สิบเอ็ดถึงยี่สิบสองปี สีหน้าเคร่งขรึม
“ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นไป พลังของเราจัดการพวกมนุษย์หมาป่าและแวมไพร์อ่อนแอพวกนั้นได้อยู่แล้ว หากว่าเราไปยังจีน พวกเราฆ่าพวกนั้นง่ายๆได้ตั้งมากมาย เพราะพวกเราจะมีคำอวยพรจากจอกศักดิ์สิทธิ พลังของเราสามารถไปถึงระดับที่แข็งแรงมากๆได้ถึงพลังของเราเองจะไม่แข็งแกร่งก็เถอะ ดังนั้นในตอนนี้เราคงยังไม่ต้องไปยุ่งให้มากความ ฉันเชื่อว่าอาเธอร์คงคิดเหมือนกัน ในตอนนี้เราแค่ต้องปกป้องอังกฤษไว้ อีกอย่างนะในสายตาของโบสถ์แห่งแสง พวกนั้นเป็นสิ่งอัปมงคล พวกโบสถ์แห่งแสงคงพยายามจะหยุดยั้งพวกนั้นไว้ ในตอนนี้พวกเราคงต้องดูละครกันไป คงเป็นเรื่องดีหากเราเอา “นิวเวิร์ล” มาจากจีนได้” กเวนครุ่นคิดแล้วจึงพูดออกมา
แม้เขาจะไม่เคยไปจีนก็ตาม แต่เขาได้รู้ข้อมูลบางอย่างมาจากเบาะแส อย่างเรื่องที่นิวเวิร์ลเพิ่งปล่อยออกมาขาย คนที่แข็งแกร่งผู้โด่งดังหลายคนไปจีนและไม่กลับมาอีก นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่ได้บรรลุจุดหมาย เมื่อได้ยินคำของกเวน พวกพ้องเขาทั้งสามไม่มีใครพูดสิ่งใดอีก
จากนั้น คนทั้งสี่จึงเข้าตรอกไป
ตอนที่ได้เห็นความเสียหายของสถานที่ตรงหน้า ใบหน้าของทั้งสี่เปลี่ยนไป
ต่อมา ชายตัวสูงเดินเข้าไปในตรอกและตรวจค้นอย่างระมัดระวัง
“มนุษย์หมาป่าฆ่าคนเหล่านี้ หัวใจของพวกวัยรุ่นคนหนึ่งโดนเอาไปด้วย อีกอย่างหนึ่งคือมีร่องรอยของความศักดิ์สิทธิแห่งโบสถ์แห่งแสง หากตัดสินจากกลิ่นอายที่ตกค้างอยู่ของแสงศักดิ์สิทธิ น่าจะเป็นความศักดิ์สิทธิระดับกลาง พระเจ้ายิงพลังออกไปจากตรงนั้น แล้วมนุษย์หมาป่าก็บาดเจ็บและล้มพับลงตรงนี้ จากนั้นคนของสภาแห่งความมืดก็ออกมาช่วยมนุษย์หมาป่าไป” จากนั้นแล้ว ถ้าว่าตามเบาะแสเล็กๆน้อยในตรอกที่คงไม่พบหากไม่มองดูอย่างรอบคอบ ชายคนนั้นคล้ายกับได้มองดูสถานที่เกิดเหตุ ณ เวลาที่เกิดขึ้น เขาบอกสิ่งที่เกิดขึ้นได้เป็นฉากๆ
“เยี่ยม จัดการสถานที่เกิดเหตุไปละแล้วเราจะกลับมา” เนื่องจากเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับสภาแห่งความมืดและโบสถ์แห่งแสง เรื่องนี้คงทำได้เพียงปัดไปก่อน เพราะเกินการควบคุมของพวกเขาไป
ในตอนนั้นเอง เขาไม่ได้กล่าวอะไร ชายที่มีผมสีแดงพลันดีดนิ้ว แล้วเปลวไฟก็โหมขึ้นมา ชิ้นส่วนศพโดนเผาไปในทันที ต่อมาเลือดเนื้อในตรอกนั้นก็เผาไหม้ไปจนหมด รอยสีดำเป็นเพียงสิ่งเดียวที่หลงเหลือไว้
จากนั้น พวกกเวนทั้งสี่คนก็ขึ้นเบนท์ลีย์และออกไป
แล้วความสงบสุขจึงคืนกลับมาสู้เมืองเก่านี้อีกครั้ง
วันต่อมา เฉินหลงตื่นขึ้น เขานอนหลับที่โลกเป็นครั้งแรกในเวลามากกว่าสองปี นั่นทำให้เขารู้สึกสบายเสียจริง
สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้น เฉินหลงได้ลืมไปแล้ว
เมื่ออาบน้ำเสร็จ เฉินหลงออกจากโรงแรมไปและไปยังสนามบิน นี่เป็นเวลากลับบ้านแล้ว
สองสามชั่วโมงต่อมา เสียงประกาศเรียกเฉินหลงให้ขึ้นเครื่องกลับไปยังประเทศจีน
ด้วยความสามารถของระบบอัจฉริยะ เฉินหลงจึงไม่มีปัญหาในการขึ้นเครื่อง
เมื่อขึ้นเครื่องไปแล้ว เฉินหลงพบว่าผู้โดยสารแทบทั้งหมดบนเครื่องสวมอุปกรณ์สวมหัวของ “นิวเวิร์ล” ดูเหมือนว่า “นิวเวิร์ล” จะกลายมาเป็นโลกอีกใบจริงๆเสียแล้ว แต่อย่างไรเสียเมื่อเฉินหลงขึ้นเครื่องไป ผู้โดยสารต่างชาติบางคนก็มองเฉินหลงด้วยสายตาสงสัย
มีคนหกคนในที่นั่งชั้นหนึ่ง
“สวัสดีพี่ชาย นายมาจากจีนหรือ” ในหมู่คนเหล่านั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ใบหน้าเอเชียถามเฉินหลงในภาษาจีนสำเนียงทางใต้
“ใช่แล้ว” เฉินหลงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินภาษาจีนในเวลามากกว่าสองปี แม้ว่าจะไม่ใช่ภาษากลาง แต่นี่ก็ทำให้เฉินหลงรู้สึกมีชีวิตชีวา
ในตอนนั้นเองที่ผู้โดยสารต่างชาติหลายคนได้ยินว่าเฉินหลงเป็นคนจีน ใบหน้าของพวกเขาพลันเผยความอิจฉาริษยาออกมา ตอนนี้จีนแผ่นดินใหญ่กลายมาเป็นจุดสนใจของทั้งโลก ผู้คนยังไม่รู้จักภาษาจีนแบบหนึ่งหรือสองประโยค โดยเฉพาะคำง่ายๆอย่างสวัสดีหรืออะไรแบบนั้น หากว่าไม่ได้เป็นคนที่มาจากจีน
“พี่ชาย ตอนนี้พี่ชายมีพลังถึงระดับไหนแล้ว” ชายคนนั้นเห็นว่าเฉินหลงยอมรับว่าเขามาจากเมืองจีนแล้ว จึงถามออกไปอย่างตื่นเต้น
ในเวลานั้นเอง “นิวเวิร์ล” ของทั้งโลก มีเพียง “นิวเวิร์ล” ของประเทศจีนที่สามารถจะพัฒนาพละกำลังของผู้ใช้ได้ “นิวเวิร์ล” แบ่งระดับพลังกายเป็นระดับหนึ่งถึงระดับสิบสอง เช่นเดียวกับระดับหัวกะทิไปจนถึงระดับปรมาจารย์แห่งดวงดาว ทำให้เมื่อคนจากจีนมาเจอกันแล้ว พวกเขาจะถามถึงระดับพลังที่มี พวกชาวต่างชาติจึงได้แต่อิจฉาริษยาคนจากจีน
“ระดับสาม” เฉินหลงไม่อยากจะทำให้เขากลัว เขาเลยบอกว่าเขามีพลังระดับไม่สูง
“โห้ พี่ชาย พี่เล่นเกมนี่เก่งเสียจริง ผมเป็นแค่ระดับสองเอง จะว่าไปแล้ว ผมชื่อฮูอี้เต๋านะ นี่ไม่ใช่ชื่อในอินเทอร์เน็ต ชื่อผมคือฮูอี้เต๋าจริงๆ พ่อของผมเป็นแฟนคลับพวกนักศิลปะการต่อสู้ และชื่อตระกูลผมคือฮู เขาเลยตั้งชื่อผมว่าฮูอี้เต๋า” เมื่อฮูอี้เต๋าบอกชื่อเขา เขากลัวว่าเฉินหลงจะไม่เชื่อเขา เขาจึงอธิบายไปให้เฉินหลงฟัง และกล่าวจนสีหน้าเฉินหลงดูงุนงง