ต่งรั่งหลินดีใจเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “ขอบคุณมากนะ เย่เฉิน!”
เย่เฉินรีบกล่าวว่า “รอเดี๋ยวก่อน ผมไม่ให้เขากลืนอัญมณีลงไปน่ะได้ แต่เขายังคงต้องได้รับโทษอย่างอื่น ไม่อย่างนั้นผมกลัวว่าเขาจะจดจำได้ไม่นาน”
ต่งรั่งหลินถามอย่างร้อนใจว่า “เย่เฉิน คุณคิดจะให้เขารับโทษอะไรคะ? คงจะไม่หนักหนากว่ากลืนอัญมณีหรอกนะ?”
“ไม่หรอก” เย่เฉินยิ้มบางๆ พลางเอ่ยว่า “เรื่องนี้คุณวางใจ การลงโทษของผมสำหรับเขาแล้ว ถือเป็นเรื่องดี”
เช่นนี้ต่งรั่งหลินถึงค่อยวางใจลงได้ เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ารักใคร่ว่า “เย่เฉิน ขอบใจนะ คุณยกโทษให้พี่ชายฉันเพื่อฉัน อย่างนั้นก็ให้โอกาสฉันสักครั้ง ให้ฉันได้ตอบแทนคุณบ้างเถอะ…”
เย่เฉินถามด้วยความแปลกใจ “คุณคิดจะตอบแทนผมยังไง?”
ต่งรั่งหลินจงใจกะพริบตาแล้วยิ้ม “แน่นอนว่าพลีกายตอบแทน จากนั้นก็จะคลอดลูกชายตัวอ้วนๆ ให้คุณคนหนึ่ง คุณคิดว่ายังไงคะ?”
เย่เฉินกล่าวอย่างเคร่งขรึมจริงจังว่า “ต่อไปอย่าพูดจาแบบนี้อีก ผมเป็นสามีเพื่อนสนิทคุณนะ!”
ต่งรั่งหลินพยักหน้า พลางกล่าวขึ้นอย่างจริงจังว่า “ฉันรู้ค่ะ พวกคุณสองคนก็แค่แต่งงานกันหลอกๆ! ไม่ได้แต่งงานกันจริงๆ สักหน่อย อันที่จริงสำหรับพวกคุณสองคนแล้ว การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดต่อเรื่องนี้ก็คือต่างฝ่ายต่างให้อิสระกันและกัน”
เย่เฉินส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา แล้วกล่าวขึ้นว่า “ผมไม่พูดเรื่องนี้กับคุณแล้ว พูดไปก็เหมือนสีซอให้ควายฟัง”
กล่าวจบ เขาก็หมุนตัวกลับไปยังผู้คน
ทุกคนเห็นเขากลับมา ก็รีบร้อนแหวกทางให้อย่างรู้งาน
ขงเต๋อหลงคุกเข่าอยู่บนพื้น รอคอยการตัดสินจากเย่เฉิน
เย่เฉินกล่าวเสียงเรียบว่า “ขงเต๋อหลง เห็นแก่ที่นายเป็นญาติผู้พี่ของรั่งหลิน เรื่องในครั้งนี้ ฉันจะให้โอกาสนายสักครั้งก็ได้ แต่ต้องดูว่านายจะสามารถคว้ามันไว้ได้ไหม”
พอขงเต๋อหลงได้ยินเช่นนี้ ก็พูดติดๆ กันด้วยความเศร้าสลดทันทีว่า “คุณเย่ ขอบคุณในความกรุณาของคุณ คุณวางใจ ผมจะต้องคว้ามันไว้อย่างดี ไม่อวดเบ่งไปทั่วอีก!”
เย่เฉินกล่าวว่า “แค่พูดไม่มีประโยชน์ หนนี้ฉันไม่ให้นายกลืนก้อนหยกได้ แต่นายต้องใช้การกระทำมาพิสูจน์ว่านายกลับตัวกลับใจแล้วจริงๆ!”
ขงเต๋อหลงพยักหน้าราวกับทุบกระเทียม “คุณเย่คุณมีอะไรอยากจะสั่งก็สั่งมาได้เลย ผมจะต้องทำมันได้แน่!”
เย่เฉินมองต่งรั่งหลินแวบหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “รั่งหลินอยู่จินหลิงคนเดียวลำบากมาก เอาอย่างนี้แล้วกัน นายน่ะ ไปเป็นคนขับรถให้รั่งหลินที่จินหลิงเป็นเวลาหนึ่งปี ปีนี้ต้องนายต้องทำตัวดีๆ อยู่ที่จินหลิง หากกล้าหนีหรือกล้าอู้งาน หรือกล้าทำตัวอวดเบ่งอยู่ที่จินหลิงอีก ฉันจะเอาอิฐก้อนหนึ่งกรอกปากนายด้วยตัวเอง!”
พอขงเต๋อหลงได้ยินเช่นนี้ ในใจก็ขื่นขมหาใดเปรียบ
การใช้ชีวิตในเย่นจิงเต็มไปด้วยความกระชุ่มกระชวย สถานที่เล็กๆ อย่างจินหลิงนั่นจะเข้าตาตัวเองได้ที่ไหนกัน?
อีกทั้งยังให้ตนเองไปเป็นคนขับรถให้ญาติผู้น้องที่นั่นตั้งหนึ่งปี นั่นเท่ากับเป็นการอยู่ใต้สายตาของเย่เฉิน หากตนเองไปจริงๆ ปีนี้เกรงว่าแม้แต่จะอวดเบ่งไม่ได้แล้ว สาวก็คงไม่ได้แตะ…
แต่พอคิดว่าหากตนเองไม่รับปาก ก็ต้องกลืนก้อนหยกลงไป ยิ่งไปกว่านั้นกู้เหว่ยเลี่ยงก็ไม่มีทางปล่อยตัวเองไปแน่ เขาจึงได้แต่กัดฟันรับปากว่า “คุณเย่ผู้แสนดี ผมต้องทำตามที่คุณสั่งแน่นอน…”
เย่เฉินพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เอาล่ะ ฉันเห็นว่านายกินข้าวมื้อนี้เสร็จก็เตรียมตัวเดินทางได้เลย การเดินทางบนเส้นทางนี้ยังอีกยาวไกลอย่างน้อยก็ต้องทรมานไปอีกสิบกว่าวัน”
“หา?” ขงเต๋อหลงถามอย่างประหลาดใจ “คุณเย่ จากเย่นจิงถึงจินหลิง นั่งเครื่องบินแค่สองชั่วโมงเองนะ…”
“นั่งเครื่องบิน?” เย่เฉินกล่าวขึ้นอย่างเหยียดหยามว่า “อย่างนายเนี่ยนะ ยังคู่ควรจะนั่งเครื่องบินอีกเหรอ? นายจงปั่นจักรยานไปให้ฉัน อนุญาตให้แค่กางเต็นท์นอนตามทางเท่านั้น ห้ามพักโรงแรม ในระหว่างนั้นหากกล้านั่งยานพาหนะอย่างอื่น ฉันจะตีขานายให้หัก!”