กลางดึก เย่เฉินขับรถยนต์พาอิโตะ นานาโกะ มุ่งหน้าวิ่งไประหว่างทางกลับสู่โตเกียว
ผ่านไปครึ่งทาง เฉินจื๋อข่ายโทรหาเย่เฉิน สอบถามเขาว่าเขาทำงานเสร็จหรือยังและจะกลับโอซาก้าเมื่อไหร่
เย่เฉินบอกเขาว่าตนไม่สามารถย้อนกลับไปได้ชั่วขณะ คาดว่าน่าจะกลับไปในตอนกลางวันของวันพรุ่งนี้
เฉินจื๋อข่ายไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเย่เฉิน แต่เขารู้ว่าเย่เฉินทรงพลังอย่างมาก ในญี่ปุ่นไม่สมควรที่จะมีใครสามารถข่มขู่เขาได้ ดังนั้นเขาจึงวางใจขึ้นมา
อิโตะ นานาโกะที่นั่งอยู่ข้างคนขับ ตอนตลอดทางมีท่าทีร้อนรนอย่างมาก ถึงแม้นางาฮิโกะ อิโตะจะพูดทางโทรศัพท์ว่าเขาไม่เป็นอันตรายแล้ว แต่อิโตะ นานาโกะก็ยังคงกังวลอยู่บ้าง
กว่าสามชั่วโมงต่อมา เย่เฉินก็ขับรถกลับมาที่โตเกียวและหยุดที่หน้าประตูของโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโตเกียว โรงพยาบาลในเครือของมหาวิทยาลัยโตเกียว
โรงพยาบาลแห่งนี้ เป็นโรงพยาบาลอันดับสูงสุดในโลกของญี่ปุ่น เป็นตัวแทนในการแสดงถึงระดับการแพทย์ที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น
หลังจากที่รถหยุดนิ่ง อิโตะ นานาโกะก็แทบรอไม่ไหวที่จะเปิดประตูลงจากรถ แต่ก่อนจะลงจากรถ เธอก็หันมามองที่เย่เฉิน และเอ่ยปากถามว่า “เย่เฉินซัง คุณอยากจะขึ้นไปกับฉันไหมคะ?”
เย่เฉินเอ่ยอย่างอึดอัดอยู่บ้าง “พ่อของเธออาจจะไม่อยากเจอฉันหรอกมั้ง?”
อิโตะ นานาโกะพูดอย่างจริงจังว่า “เย่เฉินซัง คุณช่วยชีวิตฉันไว้ ต่อให้เป็นเรื่องเข้าใจผิดและขัดแย้งครั้งใหญ่กว่านี้ ฉันเชื่อว่าพ่อของฉันจะต้องไม่ถือสาเอาความแน่!”
เย่เฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ได้ อย่างนั้นฉันไปเธอก็แล้วกัน”
อันที่จริง ความคิดของเย่เฉินนั้นเรียบง่ายอย่างมาก ยังไงเสียนางาฮิโกะ อิโตะก็เป็นพ่อของอิโตะ นานาโกะ หากสภาพร่างกายของเขามีปัญหาใหญ่จริงๆ บางทีตัวเขาเองอาจจะพอช่วยได้บ้าง
เมื่อทั้งสองมาที่ชั้นผู้ป่วยหนักพิเศษ ก็พบว่าตั้งแต่ลิฟต์เปิดออกจนกระทั่งถึงโถงพักผ่อน ทางเดิน ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยคนยืนอยู่
ในหมู่คน ส่วนใหญ่เกินกว่าครึ่งเป็นสมาชิกของตระกูลอิโตะ ส่วนกลุ่มที่เหลือคือสมาชิกของทีมปฏิบัติการพิเศษที่ถูกส่งมาโดยกรมตำรวจนครบาลโตเกียว
ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก ทุกคนด้านนอกก็มองไปที่ลิฟต์อย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าเป็นอิโตะ นานาโกะ และชายแปลกหน้าคนหนึ่ง ทุกคนก็ตื่นตะลึงประหลาดใจ
ในเวลานี้ หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วและถามด้วยความประหลาดใจ “นานาโกะ เธอมาที่นี่ได้ยังไง?!
คนที่เอ่ยขึ้นคือ เอมิ นานาโกะ เธอเป็นน้องสาวแท้ๆของนางาฮิโกะ อิโตะ และเป็นป้าของ อิโตะ นานาโกะ
ทันทีที่อิโตะ นานาโกะ เห็นเธอก็รีบโค้งคำนับอย่างรวดเร็วและพูดว่า “คุณป้า คุณพ่อเป็นยังไงบ้างคะ?”
เอมิ นานาโกะ ดวงตาฉายแววความเศร้าโศก เธอเอ่ยถอนหายใจ “พี่ชายชีพจรของเขาคงที่อย่างมาก แพทย์บอกว่าเขาพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ว่า…”
อิโตะ นานาโกะรีบเอ่ยปากถามขึ้นทันที “แต่อะไรคะ?!”
“เฮ้อ…” เอมิ นานาโกะถอนหายใจและพูดอย่างจริงจัง “ขาของพี่ชายได้รับบาดเจ็บสาหัส เพื่อที่จะรักษาชีวิตของเขา แพทย์จึงตัดขาตั้งแต่ใต้เข่าลงไปของเขาทิ้ง เกรงว่าครึ่งชีวิตที่เหลือ เขาคงได้แต่ต้องนั่งเก้าอี้รถเข็นหรือใช้ขาเทียมแล้ว…”
“หา?!” อิโตะ นานาโกะน้ำตาไหลออกมา
เมื่อได้ยินว่าพ่อของเธอถูกตัดขาทั้งสองข้าง ในใจของเธอก็เกิดความเจ็บปวดขึ้นมาทันที
เธอรู้จักอุปนิสัยของพ่อเป็นอย่างดี ตลอดมาแข็งแกร่ง มั่นคงและหนักแน่น ให้คนเช่นหากชีวิตที่เหลือได้แต่ต้องนั่งอยู่บนรถเข็นนี่ถือเป็นโจมตีอันหนักหน่วงอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง
นี่ก็เหมือนกับอาจารย์ผู้มีพระคุณของตนยามาโมโตะ คาซึกิ ที่เรียนศิลปะการต่อสู้มาตลอดทั้งชีวิต แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่า เขาจะต้องกลายมาเป็นคนพิการเพราะประเมินความแข็งแกร่งของเย่เฉินต่ำไป จากเดิมที่เป็นปรมาจารย์ด้านศิลปะการต่อสู้ ได้แต่ต้องนอนอยู่บนเตียงข้ามผ่านคืนวันไปอย่างยากลำบาก การโจมตีแบบนี้ เรียกได้ว่าถึงชีวิต
ในเวลานี้เย่เฉินอดขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้
โชคแบบนี้ของนางาฮิโกะ อิโตะนี้ ไม่รู้จะถือว่าดีหรือร้ายกันแน่
ถ้าบอกว่าเขาโชคร้าย แต่เขาก็ยังโชคดีที่รอดชีวิตมาได้ ไม่อย่างนั้น ตอนนี้เกรงว่าคงได้อยู่คนละโลกกับอิโตะ นานาโกะไปแล้ว