ในเวลานี้เองเย่เฉินก็มองเห็นเฉียนหงเย่น
เมื่อเห็นเฉียนหงเย่นสวมเสื้อกั๊กสีเขียวของซูเปอร์มารเก็ต เย่เฉินก็รู้สึกตลกขึ้นมาในทันที
ภาพในสมองที่เขาเห็นก็คือ เฉียนหงเย่นกำลังทำงานตรากตรำในเหมืองถ่านหินดำ
ไม่รู้ว่าเหมืองถ่านหินดำในตอนนั้นได้แจกชุดทำงานให้เฉียนหงเย่นไหม?
ยิ่งไม่รู้ว่าเฉียนหงเย่นในสภาพที่ใส่ชุดทำงานของเหมืองถ่านหินดำมีสภาพอย่างไร
ตอนนี้เฉียนหงเย่นรู้สึกอัดอั้นตันใจมาก
เธอมีความเกลียดชัง เย่เฉินเป็นอย่างมาก
ตอนนั้นเธอวางแผนหลอกหม่าหลัน แต่ถูกเย่เฉินทำลายแผนการของเธอจนยับ
นี่ยังไม่นับประสาอะไร
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือ เย่เฉินเอาเงินของเธอบริจาคให้องค์กรการกุศลทั้งหมด หลังจากนั้นก็ส่งเธอไปเหมืองถ่านหินดำ
พอนึกถึงช่วงที่อยู่ในเหมืองถ่านหินดำ หัวใจของเฉียนหงเย่นก็รู้สึกอึดอัดจนอยากตาย ในใจของเธออดที่โกรธและก่นด่าไม่ได้“ไอ้เย่เฉิน!เป็นเขาที่ส่งฉันเข้าไปในเหมืองถ่านหินดำ อยู่ในเหมือนถ่านหินดำมานานหลายวัน ฉันต้องเสียอะไรไปมากมาย แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือกามโรคและลูกหนึ่งคน ถ้าไม่ใช้เพราะเขา ฉันจะทุกข์ทรมานขนาดนี้ได้อย่างไร……”
ยิ่งคิด เธอก็ยิ่งเกลียดเย่เฉินจนกัดฟันกรอด
ดังนั้น เมื่อเห็นเย่เฉินมาซื้อของ เธอจึงพูดอย่างเย็นชา“รบกวนเปลี่ยนเคาน์เตอร์แคชเชียร์ค่ะ เคาน์เตอร์ของฉันหยุดให้บริการชั่วคราวค่ะ!”
เย่เฉินไม่โกรธ แต่หัวเราะพลางพูดขึ้นมาว่า“คุณป้าครับ นี่มันคือการรังแกคนดีไม่ใช่หรอครับ?เราเข้าแถวมานานขนาดนี้ จนมาถึงข้างหน้า ก่อนหน้านี้ก็มีคนเยอะแยะที่คิดเงินแล้วจากไป ทำไมพอถึงตาเราถึงหยุดให้บริการชั่วคราวล่ะครับ?”
เฉียนหงเย่นพูดอย่างรำคาญ“ฉันจะพักผ่อน หยุดให้บริการชั่วคราวไม่ได้รึไง?นายคิดว่าซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นของบ้านไหนรึไง?ถึงได้มาพูดฉอดๆตรงนี้กับฉันน่ะ!ฉันจะบอกอะไรให้นะ วันนี้ฉันจะไม่คิดเงินให้นาย!นายอยากให้ใครคิดเงินให้ก็เชิญเลย เคาน์เตอร์นี้ฉันไม่บริการ!”
เซียวฉางควนรู้สึกไม่พอใจ เขาพูดด้วยความโกรธว่า“ผมว่าพี่สะใภ้ นี่มันมากเกินไปหน่อยมั้งครับ เราเป็นลูกค้าของที่นี่ ลูกค้าคือพระเจ้า พี่เป็นพนักงานแคชเชียร์ของที่นี่ ก็ต้องบริการพระเจ้าให้ดี ทำไมถึงวางท่ากับเราแบบนี้?”
พอเฉียนหงเย่นได้ฟังที่เขาพูด ว่าตนเองจะต้องบริการพระเจ้าอย่างเขา ทั้งโกรธและอับอาย จึงพูดตะคอกออกไปว่า“เซียวฉางควน ถึงยังไงฉันก็เป็นพี่สะใภ้ คำโบราณกล่าวไว้ว่าให้เคารพพี่สะใภ้เหมือนแม่ น้องชายสามีเป็นลูก กลับยังจะให้ฉันบริการนายอีก นายมีความเคารพต่อคนชราแวละเด็กบ้างไหม?รีบไสหัวไปซะ!อย่ามาวุ่นวายกับฉัน!”
เซียวฉางควนระเบิดขึ้นมาในทันที จึงพูดออกไปว่า“ยังจะมาให้ผมเคารพพี่สะใภ้เหมือนแม่อีก นังแพศยาอย่างเธอเนี่ยนะ คู่ควรกับสี่คำนี้หรอ?”
เฉียนหงเย่นขว้างเครื่องสแกนรหัสในมือของเธออย่างรุนแรง และตะโกนอย่างโกรธเคือง“เซียวฉางควนแกว่าใครนังแพศยาห้ะ?!”
เซียวฉางควนเบะปาก“ว่าเธอไง ทำไม?ไม่ได้รึไง?”
เฉียนหงเย่นพูดอย่างขมขื่น“กะ……กะ……แก……แกลองพูดอีกทีสิ ฉันจะข่วนหน้าแก่ๆของแกให้เละเลย!”
ในเวลานี้เอง ชายในชุดเครื่องแบบเต็มยศตะโกนออกมาว่า“เคาน์เตอร์ที่แปด ทำอะไรน่ะ?!ทำไมน่ะ?ทำไมถึงพูดจาตะโกนโหวกเหวกโวยวายกับลูกค้าอย่างนี้!”
หงเฉียนเย่นตกใจตัวโยน!
เงยหน้าขึ้นมาดู ก็เห็นผู้จัดการแคชเชียร์!
เธอกลัวว่าจะผิดใจล่วงเกินหัวหน้าซูเปอร์มาร์เก็ต แล้วถูกไล่ออกจากงาน จึงรีบยิ้มพลางอธิบายว่า“ขอโทษค่ะผู้จัดการ ฉันเจอญาติน่ะค่ะ เลยพูดล้อเล่นไปสองสามคำ”
พูดจบ เธอก็ชี้ไปที่เซียวฉางควน แล้วพูดว่า“นี่คือเซียวฉางควน เป็นน้องชายแท้ๆของสามีฉันค่ะ นี่คือน้องชายสามีของฉัน คุณอย่าถือสาเลยนะคะ!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของผู้จัดการแคชเชียร์ก็ผ่อนคลายลงมาเล็กน้อย
ช่วงนี้พนักงานแคชเชียร์ของซูเปอร์มาร์เก็ตค่อนข้างขาดแคลน ผู้จัดการแคชเชียร์มักจะมองเห็นลูกค้าต่อแถวรอชำระเงิน และมีลูกค้าจำนวนไม่น้อยโทรศัพท์หาบริษัทเพื่อร้องเรียนเรื่องต้องรอต่อแถวชำระเงินนาน จนเขารู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก