สีหน้าของนายท่านใหญ่ซูเปลี่ยนเป็นหน้าเสีย
คำพูดของซูโสว่เต๋อ ทำให้เขารู้ชัดว่า ถ้าหากตัวเองตัดสินใจลงมือกับตู้ไห่ชิง ถ้าอย่างนั้น ทั้งครอบครัวของลูกชายคนโตอย่างซูโสว่เต้า จะต้องหันมาเกลียดตัวเอง!
แต่ว่า ในใจของเขารู้ดี ถ้าหากตัวเองไม่ลงมือกับตู้ไห่ชิง ศักดิ์ศรีของตระกูลซูจะต้องหายใจ!
ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร จะไม่มีทางปล่อยให้ตู้ไห่ชิงบังอาจอย่างนี้ต่อไป
เมื่อไรที่ศักดิ์ศรีของตระกูลซู สามารถถูกคนหญิงอย่างนี้บังอาจเหยียบย่ำ ตระกูลจะรักษาตำแหน่งและศักดิ์ศรีของตัวเองอย่างไร?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็พูดอย่างเย็นชาออกไปว่า“รอเรื่องนี้สิ้นสุดลง ก็ให้จือเฟยไปพบพี่ใหญ่ของแกที่อยู่ออสเตรเลีย หลังจากนี้ไปอย่าให้เขากลับมาอีก!”
ซูโสว่เต๋อที่ได้ยินอย่างนั้น เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก!
“พ่อจะให้จือเฟยไปเจอพี่ใหญ่ที่ออสเตรเลีย นั่นก็เท่ากับว่าถูกเนรเทศน่ะสิครับ พ่อลูกคู่นี้จะไม่สามารถแย่งชิงการสืบทอดของตระกูลซูได้อีกต่อไป จะต้องใช้ชีวิตอย่างรอวันตายที่ออสเตรเลีย!”
“ด้วยวิธีนี้ ฉันจะเป็นตัวเลือกของผู้สืบทอดที่ดีที่สุดในสายตาของคุณพ่อ มีความสุขจริงๆเลย!มีความสุขจริงๆ!”
……
ในขณะเดียวกัน
ใกล้ถึงเวลาสิบโมงตรงแล้ว
ณ งานประมูล มีคนนั่งอยู่ประมาณสิบกว่าคนแล้ว
ผู้ประมูลที่เข้าร่วมการประมูลของสำนักอัยการในวันนี้
สิ่งที่พวกเขาต้องตา ส่วนใหญ่เป็นพวกบ้านมือสองและรถยนต์
เพราะทรัพย์สินที่สำนักอัยการเอามา แทบจะทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกับคดีความ และความสัมพันธ์ซับซ้อน ดังนั้นคนธรรมดาส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยสนใจมากนัก
เมื่อก่อนมีคดีจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่นบ้านที่สำนักอัยการนำมาประมูล แต่เจ้าของบ้านเก่าปฏิเสธที่จะย้ายออกไป สุดท้ายทำให้คนที่ซื้อไปถึงกับปวดหัว คิดว่าจะสร้างกำไรอะไรได้สุดท้ายก็รักษาไว้ไม่ได้จนต้องทิ้งไป
ด้วยเหตุนี้ บ้านที่ยึดมาแล้วประมูล จะมีราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดเล็กน้อย ถ้าหากไม่กลัวมีปัญหา สามารถประหยัดเงินได้อยู่บ้าง
ดังนั้นทุกคนจึงมาเพื่อเก็บลาภ เพราะฉะนั้นการประมูลด้วยสำนักอัยการจึงไม่ได้มีความคึกคักเหมือนกับการประมูลทั่วไป
การประมูลภายนอกนั้น ในบางครั้งจะมีสองฝ่ายหรือหลายฝ่ายพากันแย่งของชิ้นเดียว จากของไม่กี่แสน สุดท้ายเพราะพากันทำราคาให้สูงขึ้น ต่อสู้กัน จนสุดท้ายตัวอย่างที่จบลงที่ราคาหลายล้านก็มีให้เห็นทั่วไป
การร่วมประมูลในงานประมูลของสำนักอัยการ ทุกคนต่างอยากประหยัดเงินแล้วเก็บลาภ บ้านที่ราคาตามท้องตลาดหนึ่งล้าน ทุกคนต่างอยากต่อราคาลดยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่ยกป้ายยังไงก็ต้องลดสิบเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว ถ้าหากต่ำกว่าสิบเปอร์เซ็นต์ ความสนใจจะถูกลดลงทันที
ดังนั้น การประมูลแบบนี้จึงไม่มีความหมายอะไรมากนัก
เวลาสิบโมงตรง พิธีกรประมูลเข้าสู่งาน
เนื่องจากทุกอย่างง่ายและรวดเร็ว ดังนั้นจึงไม่มีพิธีรีตองอะไรที่เพิ่มเข้ามา ทันทีที่พิธีกรประมูลขึ้นเวที ก็ตรงเข้าสู่ประเด็น พูดขึ้นมาว่า“ขอบพระคุณทุกท่านที่เข้าร่วมการประมูลของสำนักอัยการ วันนี้ของสิ่งแรกที่เราจะทำการประมูลคือ รถออดี้A6ภายใต้ชื่อของบริษัทป๋อเวยของเมืองจินหลิง ป้ายทะเบียนอายุสามปี เลขไมล์คือ113,000ไมล์ ราคาเริ่มประมูล150,000หยวน การเสนอราคาขั้นต่ำหนึ่งพันหยวน เริ่มได้ครับ”
ราคาซื้อขายรถมือสองแบบนี้และรถมือสองในสภาพเดียวกันในตลาดปกติโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 210,000หยวน
เพราะเพดานของมันคือ210,000หยวน ดังนั้นทุกคนจึงเสนอราคาอย่างสมเหตุสมผล
หลังจากที่เสนอราคาไปหลายครั้ง ราคาถูกเสนอจนถึงหนึ่งแสนแปดหมื่นหยวน คนที่เสนอราคาต่างค่อยๆพากันยอมแพ้ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัด
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ราคาใกล้บีบจนถึงเพดานแล้ว คนที่เหลือทั้งสองคนจึงเสนอราคาอย่างระมัดระวัง หลังจากผ่านไปหลายนาที หนึ่งในนั้นจึงเสนอราคาถึง195,000หยวน อีกคนหนึ่งก็ไม่ได้ตามไปอีก
พิธีกรประมูลประกาศ ของชิ้นแรกที่ประมูล ตกลงกันในราคา195,000หยวน
ในห้องวีไอพี เฉินจื๋อข่ายพลิกเปิดดูทรัพย์สินในการประมูลอย่างไม่ใส่ใจ แล้วพูดกับเย่เฉินว่า“คุณชายครับ วันนี้มีรถเข้าร่วมการประมูลทั้งหมดสิบเอ็ดคัน หลังจากที่ประมูลรถหมดก็จะเริ่มประมูลอสังหาริมทรัพย์ครับ อสังหาริมทรัพย์จะถูกประมูลเป็นชิ้นแรก จะเริ่มประมูลในราคา880,000หยวน”
“ผมได้บอกกับคนขับรถแล้ว ไม่ว่าราคาจะเสนอไปถึงเท่าไร เขาจะต้องตามให้ถึงที่สุด จะต้องช่วยคุณประมูลบ้านหลังนี้ให้ได้!”