“เย่เฉิน?!”เมื่อจงเทียนหยู่ได้ยินสองคำนี้ ปฏิกิริยาแรกในสมองของเขาก็คือ“เชี่ย ไอ้หมอนี่แซ่เย่ เขาจะเป็นคนของตระกูลเย่รึเปล่านะ?!”
แต่พอเขาได้ครุ่นคิดถึงคนรุ่นหลานของตระกูลเย่อย่างละเอียดแล้ว แล้วคิดทบทวนในสมองอีกครั้ง หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าไม่มีคนชื่อเย่เฉิน เขาจึงพูดด้วยสีหน้าระแวดระวังว่า“คนตระกูลเย่ที่อายุไล่เลี่ยกับฉัน ฉันรู้จักหมดทุกคน แต่ไม่เคยเจอแกมาก่อน หรือแกจะเป็นญาติห่างๆของตระกูลเย่?”
ตระกูลเย่ไม่ได้มีญาติห่างๆอะไรเยอะ ญาติห่างๆพวกนี้อยู่ทุกที่ทั่วทุกมุมโลก ถึงแม้พวกเขาจะแซ่เย่ แต่ฐานะของพวกเขา เมื่อเทียบกับตระกูลเย่ในเย่นจิง กลับแตกต่างกันลิบลิ่ว
ดังนั้น ถ้าเป็นคนของตระกูลเย่ในเย่นจิง จงเทียนหยู่ต้องไม่กล้ายุ่งด้วยแน่ แต่ถ้าเป็นญาติห่างๆของตระกูลเย่ จงเทียนหยู่ไม่ประหม่าหรอก
เนื่องจากตระกูลจงเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาในสังคม อีกทั้งตระกูลของเขากับตระกูลเย่ก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลว จะให้ญาติห่างขึ้นขี่คอตัวเองได้อย่างไร?
ในเวลานี้เอง เย่เฉินถามเขา อย่างล้อเล่นว่า“เมื่อกี้คุณบอกว่ารู้จักเย่ฉางหมิ่น สนิทกับเธอมากไหม?”
“แน่นอนอยู่แล้ว!”จงเทียนหยู่โพล่งออกไป“น้าเย่กับพ่อของฉันสนิทกันมาก หลายวันก่อนเรายังนั่งกินข้างด้วยกันอยู่เลย!”
เย่เฉินถามอย่างสนใจ“ในเมื่อรู้จักกับเย่ฉางหมิ่นขนาดนี้ หรือเย่ฉางหมิ่นไม่เคยพูดถึงผมต่อหน้าคุณหรอ?”
จงเทียนหยู่เบะปาก แล้วพูดอย่างดูถูก“แกก็แค่ญาติห่างๆของตระกูลเย่เท่านั้นเอง จากที่ฉันรู้ในบรรดาญาติห่างๆของตระกูลเย่ คนที่อายุน้อยอย่างแก ไม่มีหนึ่งพันก็ต้องมีเป็นร้อย น้าเย่จะพูดถึงแกต่อหน้าฉันได้ยังไง?”
เย่เฉินถึงกับหัวเราะ“เอาแบบนี้ไหมล่ะ ผมจะให้คนเอามือถือให้คุณ แล้วคุณโทรถามเธอสิ?”
เมื่อจงเทียนหยู่เห็นใบหน้าชั่วร้ายของเย่เฉิน เขาจึงอดกระวนกระวายใจไม่ได้ แอบคิดในใจว่า“หรือไอ้หมอนี่จะมีที่มาเป็นคนใหญ่คนโตจริงๆ?”
แต่พอลองคิดดูดีๆแล้ว ได้โทรหาเย่ฉางหมิ่นก็ไม่เลวเหมือนกัน อย่างน้อยก็มีโอกาสส่งสัญญาณให้มาช่วยเขาออกไป!
ดังนั้น เขาจึงรีบพยักหน้าแล้วพูดว่า“ได้สิ!เอามือถือคืนให้ฉัน ฉันจะโทรถามน้าเย่ว่าตกลงแกเป็นใครมาจากไหนกันแน่!”
เย่เฉินส่งสายตาให้เฉินจื๋อข่าย แล้วพูดว่า“เหล่าเฉิน ให้คนเอามือถือของเขามา”
……
ในเวลาเดียวกัน คนตระกูลจงก็ได้ให้คนช่วยหาข่าว
ข่าวรายงานกลับมาบอกว่า จงเทียนหยู่ถูกชายฉกรรจ์พวกนั้นจับตัวไปที่โรงแรมป๋ายจินฮ่านกง!
ทันใดนั้นคนในตระกูลจงถึงกับหน้าถอดสี ใครๆก็รู้ โรงแรมป๋ายจินฮ่านกงเป็นกิจการของตระกูลเย่ ตอนนี้จงเทียนหยู่ถูกจับตัวไปที่โรงแรมป๋ายจินฮ่านกง หรือว่าจะเป็นฝีมือของคนในตระกูลเย่?
แต่ว่า พวกเขากับตระกูลเย่ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน ความสัมพันธ์ก็ถือได้ว่าค่อนข้างละเอียดอ่อน ทำไมตระกูลเย่ต้องลักพาตัวจงเทียนหยู่ด้วย?
ดังนั้น จงเจิ้งทาวพ่อของจงเทียนหยู่ จึงล้วงมือถือออกมาโดยไม่ต้องคิด แล้วโทรหาเย่ฉางหมิ่นทันที
ในมือของจงเจิ้งทาว ชื่อของเย่ฉางหมิ่นบันทึก“ฉางหมิ่น”ตัวอักษรสองตัว จากเรื่องนี้พบว่า ทั้งสองคนความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา
เป็นไปตามคาด เมื่อสายโทรติด จงเจิ้งทาวที่ร้อนใจมาก ใช้น้ำเสียงอ่อนโยนถามว่า“ฉางหมิ่น คุณกำลังทำอะไรอยู่หรอ?”
เย่ฉางหมิ่นที่ได้รับสายของเขาก็เหมือนจะดีใจมาก จึงพูดอย่างมีความสุขว่า“ฉันหรอคะ ฉันกำลังดูแลผิวอยู่ค่ะ”
จงเจิ้งทาวถามอย่างแปลกใจ“ทำไมถึงดูแลผิวอีกแล้วล่ะ?เมื่อวานทำไปแล้วไม่ใช่หรอ?”
เย่ฉางหมิ่นหัวเราะ แล้วกล่าวว่า“เห้อ ก่อนหน้านั้นเดินทางออกไปทำงานไง ไม่มีเวลาดูแลผิว ช่วงนี้เลยต้องรีบดูแลด่วนน่ะ”
พูดจบ เธอเหยียดตัวแล้วหาวหวอด พลางหัวเราะและถามว่า“คุณโทรหาฉันมีเรื่องอะไรหรอคะ?คิดถึงฉันหรอ?”
จงเจิ้งทาวรีบพูดขึ้นมาว่า“ผมต้องคิดถึงคุณอยู่แล้ว ไม่มีเวลาไหนที่ไม่คิดถึง ที่ผมโทรหาคุณเพราะมีเรื่องอยากจะถามหน่อยน่ะครับ”
เย่ฉางหมิ่นหัวเราะ และถามว่า“มีเรื่องอะไรหรอคะ?”
จงเจิ้งทาวโพล่งออกไปว่า“เทียนหยู่ถูกคนจับไป ตอนที่กำลังออกไปเตรียมเรื่องงานคอนเสิร์ต”
“จริงหรอคะ?”เย่ฉางหมิ่นพูดอย่างตกใจว่า“เทียนหยู่เป็นคนของสาธารณะหนิ กลางวันแสกๆแบบนั้น ใครกล้าลักพาตัวเขาไปกัน?”
จงเจิ้งทาวถอนหายใจ“อย่าพูดถึงเลย มีข่าวบอกว่าเขาถูกลักพาตัวไปที่โรงแรมป๋ายจินฮ่านกงของจินหลิง ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับคนของตระกูลเย่ของพวกคุณคนไหนรึเปล่า?”
เย้ฉางหมิ่นตกใจมาก เธอถามโพล่งออกไปว่า“คุณว่าไงนะ?!จินหลิง?!