ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 133

ตอนที่ 133

ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 133 คำแนะนำ
“ผูหลิว ออกมา!” ในขณะที่เขากำลังจะเปิดประตูเข้ามานั้น ซูเหลียนอวิ้นก็ออกคำสั่งอย่างทันท่วงที

ผูหลิวเตรียมตัวพร้อมอย่างดีมาตั้งนานแล้ว ด้วยเหตุนี้หลังสิ้นเสียงของซูเหลียนอวิ้น นางก็พุ่งตัวออกมาราวกับลูกธนูที่ถูกยิง

ต้วนเฉินเซวียนไม่ระแคะระคายว่าในห้องของซูเหลียนอวิ้นมีคนอยู่ข้างในด้วยเลยสักนิด! เนื่องจากคนเป็นองครักษ์ สิ่งที่สำคัญอันดับแรกก็คือการแอบตัวอยู่ในที่ลับตา ดังนั้นสำหรับผูหลิวแล้วไม่มีอะไรจะง่ายไปกว่าการซ่อนตัวเองเช่นนี้อีก

ผูหลิวควักแซ่ที่พกติดตัวไว้ออกมา คนยังไม่ทันเข้ามาถึง แต่เสียงแส้กลับมาถึงก่อนแล้ว

เสียงแซ่ฟาดไปที่ขอบประตูดัง “พัวะ” ราวกับว่าพลังความรุนแรงนี้สามารถทำให้ประตูบานนี้แตกเป็นเสี่ยงๆ ได้!

ผูหลิวเดินตาขวางออกไปนอกห้องไป คนที่อยู่ด้านนอกผู้นั้นตีลังกาหลบแส้ของนางได้ จากนั้นนางจึงใช้สายตากะเอาคร่าวๆ ถึงระยะห่างของตัวเองกับคนผู้นั้น

หากตอนนี้ร่างกายของต้วนเฉินเซวียนสมบูรณ์พร้อม ผูหลิวกล้าพูดได้เลยว่าตัวนางมิอาจสู้เขาได้แน่ ทว่า…ช่วงเวลาเพียงเสี้ยวเดียวที่ต้วนเฉินเซวียนหลบแส้ของนางนั้น ความระแวดระวังบริเวณหัวไหล่ของเขาได้ตกอยู่ในสายตาของผูหลิวเรียบร้อยแล้ว

ซูเหลียนอวิ้นกำลังจดจ่อฟังความเคลื่อนไหวที่มาจากด้านนอก หลังจากที่นางได้ยินเสียงนั้นดังขึ้น นางก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรตามมาจากนั้นอีก ตอนนั้นนางจึงรู้สึกว่าใจของนางกำลังเต้นระส่ำขึ้นมา!

เชอะ! ผูหลิวของนางต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน! มิฉะนั้นแล้วจากนิสัยของต้วนเฉินเซวียน เมื่อถูกซุ่มโจมตีเช่นนี้ หากเขาเอาชนะไม่ได้ก็คงต้องโวยวายขึ้นมาทันทีแน่ มิเช่นนั้นก็คงจะไม่ใช่ต้วนเฉินเซวียนตัวจริงอย่างแน่นอน!

ตอนนั้นนางพลันสวมรองเท้าแล้วหยิบเสื้อคลุมมาหนึ่งตัววิ่งออกไปยังปากประตู เพราะสถานการณ์ที่ต้วนเฉินเซวียนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เช่นนี้ สิบปีอาจจะมีเพียงหนเดียว! จึงไม่ง่ายนักกว่านางจะหาโอกาสเช่นนี้ได้ นางจะต้องไปดูให้เห็นกับตาตัวเองให้ได้!

จะเอาเรื่องนี้ไปเขียนไว้ในหน้าบันทึกประวัติศาสตร์ยังได้เลย

ต้วนเฉินเซวียนอดกลั้นความเจ็บปวดบริเวณหัวไหล่ที่แปลบเข้าไปถึงหัวใจ และยังคงรักษาอาการนิ่งสงบไว้ได้เช่นเดิม

แต่ชั่วขณะที่เขาเห็นซูเหลียนอวิ้นตอนนั้น เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นอีกพลันโพล่งออกมาว่า “อวิ้นเอ๋อร์ นี่คือองครักษ์ใหม่ของเจ้าหรือ? ลงมือหนักยิ่ง แผลที่ไหล่ของข้าเมื่อวาน เจ้าคงมิได้ตั้งใจจะ…”

“ผูหลิว! ลงมือเร็วเข้า จัดการปีศาจตนนี้ซะ! ให้มันกลับสู่ร่างเดิมโดยไว!” ซูเหลียนอวิ้นเบิกตากว้างแล้วชี้ไปที่ต้วนเฉินเซวียนด้วยร่างสั่นเทา

การพูดออดอ้อนเช่นนี้? การออเซาะเช่นนี้? ต้วนเฉินเซวียนออดอ้อนเป็นหรือ?! นี่ต้องเป็นปีศาจอย่างแน่นอน!

แต่ว่านี่เป็นปีศาจมาจากที่ไหนกัน! ถึงขั้นแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้! อีกอย่างเจ้าแปลงกายเป็นคนอื่นไม่ดีกว่าหรือ เหตุใดต้องแปลงกายเป็นต้วนเฉินเซวียนด้วย? แถมยังกล้าบุกเข้ามายังเรือนของนางอีก หากไม่เรียกว่าอยากเจ็บตัวแล้วจะเรียกว่าอะไรได้อีก?

“ซูเหลียนอวิ้น! เจ้า!” ต้วนเฉินเซวียนหลบความรุนแรงของแส้ที่พุ่งเข้าใส่โจมตีอย่างหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ พลางเอามือบังบาดแผลของตัวเองบริเวณหัวไหล่เอาไว้เพื่อไม่ให้แผลปริออก จากนั้นจึงก่นด่าออกมาว่า “นี่เจ้าคิดจะฆ่าข้ารึ?”

แม้ว่าเขาจะเคยเห็นหน้าแม่นางคนนี้เป็นครั้งแรก ทว่าซูเหลียนอวิ้นดูเชื่อใจนางอย่างมาก ต้วนเฉินเซวียนจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือ

อีกอย่างเจ้านายแสดงความขยะแขยงในตัวเขาชัดเจนขนาดนี้ หากทำให้คนของนางต้องได้รับบาดเจ็บด้วยเล่า? เขาคงซวยมากทีเดียว!

เพราะพวกบ่าวรับใช้เหล่านี้ไม่รู้ว่าวันหนึ่งๆ พูดเป่าหูซูเหลียนอวิ้นเกี่ยวกับเขาว่าอะไรบ้าง ต่อให้เมื่อก่อนพูดดี แต่ถึงตอนนี้หากจับเอาเรื่องทุกอย่างมาผสมปนเปกันมั่วๆ คงทำให้ทุกอย่างเละเทะไปหมด!

อีกอย่างต่อให้เขาสามารถยื่นมือออกไปยาวได้มากเท่าไหร่ ก็คงไม่สามารถจัดการปากของใครต่อใครได้

เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นว่าตนใกล้จะจนมุมอยู่ที่มุมกำแพงเต็มที ตอนนั้นเขาจึงไม่คิดหน้าคิดหลังอะไรมากนัก พลางใช้ฝ่ามือของตัวเองอัดเข้าใส่บริเวณหน้าอกของผูหลิว

เขามิได้อยากทำเช่นนี้…แต่เพราะ…กระบวนท่าแต่ละท่าของผูหลิวนั้นเต็มไปด้วยความอาฆาตคิดจะปลิดชีพแต่อย่างเดียว หากเขายังคงยั้งมืออยู่เช่นนี้เกรงว่าคงจะโดนแส้ของผูหลิวตัดร่างออกเป็นท่อนๆ อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ใช้ฝ่ามืออัดออกไปเต็มแรง แต่เป็นเพียงการผลักผูหลิวออกไปเท่านั้น นางไม่มีทางบาดเจ็บอย่างแน่นอน

ซูเหลียนอวิ้นยืนอยู่บนระเบียงตรงปากประตู เดิมทีนางคิดว่าตนจะแทะเมล็ดทานตะวันไปพลางชมเหตุการณ์ไปอย่างเพลิดเพลินใจ ทว่านางกลับเห็นฝ่ามือพิฆาตอันคุ้นเคยของต้วนเฉินเซวียน ตอนนั้นเองสีหน้าของซูเหลียนอวิ้นจึงก็ค่อยๆ หมองหม่นลงไป

ต้วนเฉินเซวียน ท่านไม่เคยเปลี่ยนเลยสักนิด

“คุณหนูใหญ่! บ่าวมาช้าไป!” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่หลานเย่ว์ปรากฏตัวขึ้นด้านข้าง

“หลานเย่ว์? เจ้ามาได้อย่างไร?” ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้ว พูดตามตรงแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้นางมิได้คาดหวังจะให้คนรู้เยอะนัก

“เดิมทีบ่าวแค่สงสัย” เช้าวันนี้หลานเย่ว์บังเอิญค้นพบฝุ่นเล็กๆ บริเวณขอบหน้าต่างของเขา แม้จะบอกว่าการพบฝุ่นบริเวณหน้าต่างถือเป็นเรื่องธรรมดามาก แต่เมื่อหลานเย่ว์ลองเอามือจิ้มฝุ่นพวกนั้นดู เขาก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง

ดินแบบนั้น…ให้ความรู้สึกละเอียดมากเกินไปหน่อย ราวกับมิใช่ละอองฝุ่นที่ถูกลมพัดมา แต่คล้ายเป็นรอยขี้เถ้าที่เหลือจากการเผาของบางอย่างมากกว่า

หลายๆ ครั้งที่การค้นพบความจริงของเรื่องราวบางเรื่อง มิได้ต้องการร่องรอยอะไรมากมาย เพียงแค่มีข้อสังเกตเล็กๆ เพียงข้อเดียวก็เพียงพอแล้ว เมื่อเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจแล้ว หลานเย่ว์จึงนั่งลงตรงหน้าต่างนั้น แล้วลองคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อวานนี้

สุดท้ายหลานเย่ว์จึงนึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อคืนวานเขาหลับลึกมาก! เนื่องจากตั้งแต่ที่เขามาอยู่ที่เรือนของซูเหลียนอวิ้นเป็นต้นมา เขาก็ไม่มีอะไรให้ทำเท่าไหร่นักในแต่ละวัน ดังนั้นเรื่องราวกวนใจต่างๆ จึงลดลงมาก ทำให้เขานอนหลับลึกกว่าเมื่อก่อนมากเป็นเหตุให้เขาจับสังเกตได้ช้าเกินไป

ทว่าหากจะตกงานก็ต้องตก เพราะไม่มีเหตุผลใดที่เพียงพอจะใช้มาเป็นข้ออ้างได้

ดังนั้นหลานเย่ว์จึงคิดว่า มีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สองกระมัง นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหลานเย่ว์จึงปรากฏตัวคนเดียว โดยไม่มีคนอื่นๆ ตามมาด้วย

“คุณหนูใหญ่” สีหน้าของหลานเย่ว์ตื่นตระหนก เนื่องจากเขาปรากฏตัวช้าเกินไปหน่อย…

“อื้ม” ซูเหลียนอวิ้นตอบรับด้วยสีหน้าเฉยชา “คนอื่นๆ ไม่มาด้วยใช่หรือไม่”

“ไม่มาขอรับ” หลานเย่ว์ส่ายหน้า “มีบ่าวตื่นเพียงคนเดียว”

“เช่นนั้นก็ดี” ซูเหลียนอวิ้นชี้นิ้วไปยังคนด้านล่างที่กำลังต่อสู้กันอยู่แล้วเอ่ยว่า “เจ้าจัดการเอาคนผู้นั้นออกไปซะ จะเอาให้บาดเจ็บหรือพิการก็แล้วแต่เจ้า แต่อย่าให้ถึงตายก็พอ เพราะหากเขาตาย พวกเราคงรับผิดชอบไม่ไหว”

หลานเย่ว์หรี่ตามองไปตามทิศทางที่นิ้วมือของซูเหลียนอวิ้นชี้ไป “คุณ คุณชายต้วน?”

ทำไมผู้มาเยือนจึงเป็นเขาได้? เมื่อเห็นชัดๆ แล้ว หลานเย่ว์พลันตื่นตะลึง คุณชายต้วนกับคุณหนูใหญ่ของตนมีความสัมพันธ์กันด้วยหรือ

หากพิจารณาดูแล้ว… ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองดูไม่ธรรมดาทีเดียว

“เจ้ากลัวหรือ” ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้ว “หากกลัวก็กลับไปซะ!” อย่ามายืนเกะกะสายตาของนางอีก เนื่องจากตอนนี้นางอารมณ์ไม่ดี ไม่ว่าผู้ใดอยู่ในสายตาของนางล้วนต้องกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของนางทั้งสิ้น

ดังนั้นเพื่อเห็นแก่ผู้อื่น คำแนะนำนี้ของซูเหลียนอวิ้นจึงออกมาจากใจจริงของนาง หากหลานเย่ว์ไม่กล้าลงมือก็รีบไปให้พ้นๆ สายตาของนางเสีย

ลิขิตกลกาล

ลิขิตกลกาล

Status: Ongoing
  ฉู่ชาติที่แล้วบุตรีแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ซูเหลียนอวิ้น มอบใจทั้งดวงให้คุณชายสืบทอดแห่งจวนโหว ต้วนเฉินเซวียน ผู้เป็นที่เลื่องลือด้านความเลือดเย็นไร้หัวใจมาตั้งแต่แรกพบเมื่อครั้งเยาว์วัย เพียรพยายามทำทุกวิถีทางให้เขารู้ว่านางมีใจ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท