ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 140 มืดสลัว
“พี่ใหญ่ ท่านตามข้ามาด้วยเรื่องใด” อวี่ซางเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแต่กลับไม่ยอมทำความเคารพซูเหลียนอวิ้น เพราะเขาแอบหวังให้ซูเหลียนอวิ้นเหม็นขี้หน้าเขาแล้วไล่เขากลับไป
“ข้าเรียกเจ้ามาประลองฝีมือ” หลานเย่ว์เอ่ย “เอาอาวุธของเจ้าออกมา”
อวี่ซางตะลึงไปครู่หนึ่ง ทว่าไม่นานก็พยักหน้าอย่างตื่นเต้น ประลองกันก็ดี เขาไม่ได้ประลองกับพี่ใหญ่มานานแล้ว!
“พี่ใหญ่รอข้าสักครู่ เดี๋ยวข้าจะกลับมา!”
หลานเย่ว์มองหลังของอวี่ซางที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขากำลังตื่นเต้นก็ไร้คำพูดใด จึงได้แต่ก้มหน้าแล้วเอ่ยว่า
“คุณหนูใหญ่…อวี่ซางเขา…” เขาเป็นองครักษ์รุ่นเดียวกับตนและเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด ปกติแล้วเวลาที่อวี่ซางฝึกวรยุทธ์จะคล่องแคล่วว่องไวมาก ใบหน้าก็เป็นที่โปรดปราณแก่ผู้พบเห็น ผ่านไปนานวันเข้าก็ถูกพวกเขาตามใจจนนิสัยกลายเป็นเช่นนี้
“ไม่มีปัญหา” ซูเหลียนอวิ้นยิ้มอย่างมีเลศนัย “อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน”
‘เป็นปรปักษ์กับนางหรือ อย่างนี้ก็ดีน่ะสิ? ‘
เนื่องจากท่านอาจารย์บอกว่า กระบี่เล่มนี้มีจิตวิญญาณอยู่ ซึ่งจิตวิญญาณนั้นจะช่วยปกป้องเจ้าของ หากเป็นหลานเย่ว์เขาต้องไม่กล้าลงมือกับนางอย่างเต็มที่แน่นอน แต่อวี่ซางไม่ค่อยชอบนางเท่าไหร่นัก จึงมีความเป็นไปได้ที่จะลงมือกับนางอย่างเต็มที่ ไม่มีคู่ต่อสู้คนไหนที่เหมาะสมไปกว่าเขาอีกแล้ว!
“พี่ใหญ่ ข้ามาแล้ว!” อวี่ซางวิ่งออกมาอย่างสบายอารมณ์ ในมือของเขาถือมีดสั้นเล่มหนึ่ง
ออกมาด้วย
“อื้ม” หลานเย่ว์พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไปประลองกับคุณหนูสักสองสามกระบวนท่าเถอะ”
“กับคุณหนู?” อวี่ซางหันหน้าไปมองที่หลานเย่ว์อย่างไม่เชื่อสายตา “แต่ข้า…ข้าลงมือไม่หนักไม่เบา ถ้าเกิด…”
‘เขารับผิดชอบหน้าที่นี้ไม่ไหวแน่’
“หากเจ้าทำร้ายคุณหนูใหญ่แม้เพียงปลายขน!” หลายเย่ว์เอากำปั้นทุบไปที่หน้าอกของตัวเองดัง ตึ้ง
“อย่ามัวแต่พูดไร้สาระ จะลงมือก็ต้องมีขอบเขต ไม่ต้องให้ข้าพูดมากเจ้าก็คงเข้าใจกระมัง ข้าจะไม่พูดอีกเป็นรอบที่สอง เร็วเข้า”
ซูเหลียนอวิ้นยิ้มแล้วเอ่ยว่า “หากเตรียมตัวพร้อมแล้วก็เริ่มลงมือได้ ข้าพร้อมแล้ว”
สิ้นคำพูดกระบี่ที่อยู่ในมือของซูเหลียนอวิ้นก็หลุดออกจากปลอก
อวี่ซางสูดหายใจเข้าลึก เพื่อข่มความกลัดกลุ้มในอกเอาไว้ เขานึกว่าเขาจะได้ประลองกับพี่ใหญ่สักสนาม สุดท้ายกกลับลายเป็นคุณหนูใหญ่ไปได้?
“อย่างนั้นคุณหนูก็เตรียมรับมือได้เลย!” สิ้นเสียง มีดสั้นก็พุ่งทะยานเข้าใส่ซูเหลียนอวิ้นทันที
“ไม่มีอะไรให้รับมือ” ซูเหลียนอวิ้นใช้กระบี่ที่อยู่ในมือขวารับการโจมตี จากนั้นจึงใช้ปลอกกระบี่ฟาดเข้าไปที่ท้องของอวี่ซางด้วยปฏิกิริยาต่อเนื่องว่องไว ทำเอาอวี่ซางต้องกล้ำกลืนการโจมตีครั้งนี้ลงไป
ทว่าซูเหลียนอวิ้นมิใช่คนที่ฝึกฝนฝีมือทุกวัน ดังนั้นพละกำลังของนางจึงไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกับอวี่ซางได้
หลานเย่ว์ยืนอยู่ด้านข้างเฝ้าสังเกตท่าทางและปฏิกิริยาของซูเหลียนอวิ้นจึงถอนใจออกมา “ฝีมือกระบี่ของคุณหนูพัฒนาขึ้นมากทีเดียว”
ไม่รู้จริงๆ ว่าคุณหนูว่าไปฝึกฝนมาได้อย่างไร เพราะซูมั่วเยี่ยเองก็ไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนัก คงไม่มีเวลาสอนวิชากระบี่ให้ซูเหลียนอวิ้นอย่างละเอียดได้
ทว่า…ทันใดนั้นเองหลานเย่ว์ก็เริ่มเข้าใจ ดูท่าแล้วครั้งก่อนที่คุณหนูขึ้นเขาไปเยี่ยมคนผู้นั้น เขาคงจะเป็นผู้ที่มีฝีมือแก่กล้าอย่างหาตัวจับได้ยาก แม้ว่าไม่สามารถสอนคุณหนูทุกวันได้ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้คุณหนูใหญ่เติบโตได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้
เมื่ออวี่ซางถูกตีเข้าที่ท้อง เขาก็เกิดความอับอายและรู้สึกขายหน้ามาก! เพราะหลานเย่ว์ยังคงยืนดูอยู่ด้านข้าง ทันใดนั้นเองในหัวของอวี่ซางจึงไม่มีความคิดที่จะออมมืออีกต่อไป พอลงมืออีกครั้งก็ออกแรงอย่างไม่ยั้งมือ
หลานเย่ว์กับอวี่ซางเติบโตขึ้นมาด้วยกัน เมื่อหลานเย่ว์เห็นฝีเท้าของอวี่ซางก็เข้าใจทันทีจึงรีบตะโกนห้ามออกไป “อวี่ซาง! ยั้งมือเดี๋ยวนี้!”
ซูเหลียนอวิ้นได้ยินเสียงร้องตกใจของหลานเย่ว์ แววตาของนางจึงดุดันขึ้น จากนั้นจึงยกกระบี่ชี้ไปที่อวี่ซาง พลางเฝ้าดูว่าจะเกิดเรื่องราวแปลกประหลาดขึ้นหรือไม่
‘กระบี่จ๋ากระบี่ จะมีคนมาฟันข้าแล้วนะ! ข้าจะรอดจากภัยครั้งนี้ได้หรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วล่ะ! ‘
ซูเหลียนอวิ้นคิดในใจ หลังจากที่นางขยับฝีเท้าในตอนนั้น นางก็ไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายของนางอีก
“อ๊าก!”
ในจังหวะที่อวี่ซางอยู่ห่างจากซูเหลียนอวิ้นไปเพียงไม่กี่ก้าวนั้น ในขณะนั้นเองที่เขารู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดผ่าน ความแรงของลมทำเอาร่างทั้งร่างของเขาพลิกหงายท้องไปด้านหลัง
เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลานเย่ว์เองก็ไม่ทันสังเกตเห็นการโจมตีอย่างรวดเร็วนั้น ด้วยเหตุนี้หลังจากจังหวะความวุ่นวายจบลง ร่างกายของหลานเย่ว์พลันชะงักแล้วมองไปยังซูเหลียนอวิ้นด้วยความตกใจ
“โอ๊ย พี่ใหญ่! คุณหนูใหญ่ นี่ นี่มันเพลงกระบี่ใดกัน!” อวี่ซางเอามือของตัวเองกุมไว้บริเวณท้อง เขานอนตัวงออยู่บนพื้นอย่างเจ็บปวดพลางร้องเรียก
“คุณหนูใหญ่ คุณหนู…เป็นคมในฝักโดยแท้ คุณหนูใหญ่ บ่าวผิดไปแล้ว!” เขาไม่เคยรู้จักเพลงกระบี่เช่นนี้เลย! เพลงกระบี่ที่มีพละกำลังรุนแรงจนหอบเอาร่างทั้งร่างของเขาหงายท้อง แถมพลังนั้นยังปรากฏออกมาช้าราวสองถึงสามวินาที ทำให้เขาไม่ทันได้รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว!
ซูเหลียนอวิ้นไม่สนใจอวี่ซางที่กำลังตะโกนร้องและนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้น ความสนใจของนางในตอนนี้ยังคงพุ่งตรงไปที่กระบี่ที่อยู่ในมือของตน
เนื่องจากนางเพิ่งค้นพบว่า ลวดลายบนคมกระบี่มืดสลัวลง
“คุณหนูใหญ่ คุณหนูไม่เป็นไรใช่หรือไม่!” หลานเย่ว์เพิ่งจะได้สติกลับมาจากจังหวะที่น่าตกตะลึงนั้น
เขาสำรวจซูเหลียนอวิ้นซ้ายทีขวาที และมองตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่หลายรอบ เมื่อเห็นว่าไม่มีร่องรอยบาดเจ็บปรากฏอยู่บนตัวซูเหลียนอวิ้นจึงเบาใจลงแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่ คุณหนูเจ็บตรงไหนหรือไม่ บางครั้งการมองด้วยตาเปล่าเพียงอย่างเดียวอาจจะมองไม่เห็นความผิดปกติที่อยู่ภายในนะขอรับ”
“เอ่อ ข้าไม่เป็นไร” ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้าแล้วค่อยๆ นำกระบี่เก็บเข้าปลอก “แต่ดูเหมือนว่าอวี่ซางจะเจ็บหนักนะ หลานเย่ว์เจ้าไปดูเขาหน่อยเถิด…”
“ใช่แล้วท่านพี่…” เมื่อความเจ็บปวดบริเวณท้องทุเลาลงเล็กน้อย อวี่ซางจึงลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนระทวย “ศิษย์พี่…ข้าต่างหากที่เจ็บ”
‘การโจมตีเมื่อครู่ของคุณหนูโหดร้ายเกินไปแล้ว! เขาผิดเอง…! ‘
หลานเย่ว์จ้องเขม็งไปยังอวี่ซาง
“สมน้ำหน้าเจ้านัก!” คุณหนูเมตตานักที่โจมตีเขาเพียงครั้งเดียว! นิสัยอย่างอวี่ซางถ้าไม่จัดการให้หนักก็คงจะไม่รู้สำนึก!
“ไปๆๆ!” หลานเย่ว์ดึงคอเสื้อด้านหลังของอวี่ซาง “รีบกลับไปซะ! อย่าทำให้พวกเราต้องขายหน้าอีก!”
แค่คิดจะลงมือจะทำร้ายคุณหนู เขาก็ไม่อยากจะเอ่ยถึงแล้ว ตอนนี้ยังมาส่งเสียงร้องโอดครวญอย่างนี้อีก? ดูแล้วการโจมตีเมื่อครู่คงเบามือเกินไปด้วยซ้ำ! ถึงยังมีเรี่ยวแรงร้องโอดครวญได้!
“คุณหนูใหญ่ ข้าขอพาเขากลับก่อน”
“ไปเถิดๆ” ซูเหลียนอวิ้นโบกมืออย่างใจลอย “หลานเย่ว์วันหลังข้าจะให้เจ้ามาประลองกับข้าอีกนะ”
“บ่าวพร้อมทุกเมื่อ!” หลานเย่ว์ตอบรับ
“อื้ม” ซูเหลียนอวิ้นรับคำ จากนั้นรีบเดินเข้าไปในเรือนแล้วใส่กลอนประตู
หากมีการประลอง นางก็อยากจะลองดูอีกสักตั้ง โชคดีที่ตอนนี้หลีมู่ไม่อยู่ มิเช่นนั้นหากหลีมู่รู้เข้าจะทำอย่างไร…