ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 141 ขวางกั้น
ยาและผ้าพันแผลถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ขาดเพียง…
ซูเหลียนอวิ้นหลับตา มือขวายกกระบี่ขึ้นมาแล้วจิ้มลงไปบนนิ้วชี้ซ้ายเบาๆ
“ซี๊ด..” แค่แผลบนนิ้วๆ เดียวนางก็เจ็บจนถึงหัวใจแล้ว แต่นี่เป็นแผนบริเวณปลายนิ้ว…ดังนั้นนางจึงยิ่งเจ็บมาก!
ทว่าตอนนี้ไม่มีเวลาคิดมากนัก ซูเหลียนอวิ้นถือโอกาสตอนที่โลหิตกำลังไหลพรั่งพรูออกมาหยดลงไปบนกระบี่
“จริงด้วย” ซูเหลียนอวิ้นมองโลหิตของตัวเองที่กำลังถูกกระบี่ดูดซึมเข้าไปอย่างช้าๆ ก็เริ่มเข้าใจขึ้นมา ดูท่าแล้ว…ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีที่มาที่ไป
ประกายระยิบระยับบนกระบี่ค่อยๆ คืนกลับมาอย่างช้าๆ สุดท้ายแล้วเมื่อกระบี่ส่องประกายระยิบระยับเหมือนอย่างเก่าแล้ว โลหิตก็ไม่ซึมเข้าไปในกระบี่อีกต่อไป แต่ค่อยๆ หยดช้าๆ ลงสู่เบื้องล่างเท่านั้น
“ดูท่าแล้วกระบี่เล่มนี้คงผิดปกติจริงๆ” ซูเหลียนอวิ้นเก็บกระบี่ดังเดิมแล้วรีบใส่ยาบนแผลที่นิ้วมือของตน
ใช้โลหิตเป็นตัวกระตุ้น? มีเพียงโลหิตเท่านั้นที่ช่วยกระตุ้นพลังซ่อนเร้นของมันออกมา?
เรื่องๆ นี้ไม่ปรากฏอยู่ในเรื่องที่ท่านอาจารย์เล่าให้นางฟัง
ทว่าตั้งแต่โบราณมาสิ่งของที่จะใช้งานได้ในยามที่ต้องฆ่าคนเท่านั้น หากไม่ใช่ของของภูตผีก็คงเป็นของปีศาจ แม้ว่ากระบี่เล่มนี้จะยอดเยี่ยม แต่นางเกรงว่า…อาจต้องเก็บมันไว้ก่อนชั่วคราวเสียแล้ว
ไว้ไปถามอาจารย์ให้แน่ชัดก่อนแล้วค่อยลองใช้ใหม่ก็แล้วกัน
……
“พี่ใหญ่…” อวี่ซางนอนตัวงอเป็นกุ้งอยู่บนเตียง น้ำเสียงของเขาฟังดูแล้วน่าสงสารจับใจ “พี่ใหญ่ ข้าเจ็บท้องมาก…และทำไมข้าจึงรู้สึกหนาวเช่นนี้”
เขารู้สึกหนาวบริเวณท้องมาก! หรือว่าคุณหนูใหญ่จะฝึกวิชาฝ่ามือเหมันต์ที่ถูกกล่าวถึงในตำนาน? โอ้โห…นี่เขาเตะถูกแผ่นน้ำแข็ง[1]เข้าให้แล้วหรือ
“เจ้าก็น่าสมน้ำหนักแล้วนี่” ผูหลิวดึงหูของเขา “มิต้องโอดครวญอีกแล้ว ดูท่าแล้วเจ้ายังมีแรงคร่ำครวญ เช่นนั้นเจ้าก็คงมิเป็นไรแล้ว” เมื่อพวกเขาทั้งสี่คนได้ยินว่าซูเหลียนอวิ้นทำการประลองกับอวี่ซาง พวกเขาก็รีบวางงานในมือลงแล้วรีบวิ่งไปยังที่เกิดเหตุทันที!
นี่เป็นเรื่องที่ฟังแล้วน่าตื่นเต้นนัก! ผลที่ตามมาก็คือ…ผูหลิวถึงกับกล้าท้าพนันเรื่องนี้!
เมื่อคืนวานนางเริ่มรับรู้แล้วว่าคุณหนูใหญ่ไม่ได้เป็นเหมือนอย่างในข่าวลือที่เขาว่ากันเลยแม้แต่น้อย! ดังนั้นนางจึงพนันว่าคุณหนูจะเป็นฝ่ายชนะ มันก็สมเหตุสมผลมิใช่หรือ!
และคุณหนูใหญ่ก็ไม่ทำให้นางผิดหวังจริงๆ !
“เฮ้อ อวี่ซาง ข้ามิได้ว่าเจ้านะ” หยาเอ่อร์ส่งน้ำร้อนให้อวี่ซาง “เจ้าทำให้องครักษ์อย่างพวกเราขายหน้ามาก! แพ้ก็ไม่รู้จะว่าว่าอย่างไรแล้ว แต่นี่เจ้ากลับโดนโจมตีจนน่าอนาถถึงขั้นนี้อีก?! น่าขายหน้าจริงๆ!” ตอนนี้หยาเอ่อร์รู้สึกหัวเสียมาก เพราะว่านางต้องเสียเงินไปหนึ่งร้อยตำลึงเต็มๆ! ทั้งหมดเป็นหายนะที่เกิดจากเจ้าอวี่ซางที่ไม่เอาไหนนี่คนเดียว!
“เอาล่ะ ไม่ต้องโวยวายแล้ว” อั้นอิ่งตะโกนขึ้น “ลุกขึ้นสิ ข้าจะดูให้ว่าแผลเป็นอย่างไรบ้าง”
“อืม” อวี่ซางลุกขึ้นยืนแล้วเปิดชุดของตัวเองออก จากนั้นจึงชี้ไปบริเวณท้องของตน “เจ็บตรงนี้ แถมยังรู้สึกหนาวเย็นอีกด้วย!”
อั้นอิ่งพิจารณาอยู่นาน สุดท้ายจึงถอนใจ แสดงให้เห็นว่าเขาก็ดูไม่ออกเช่นกันจึงหันหน้ากลับไปแล้วเอ่ยว่า “ผูหลิว เจ้าดูออกหรือไม่”
ผูหลิวส่ายหน้า “ไม่เคยเห็นแผลแบบนี้มาก่อน อีกอย่างข้าลองตรวจชีพจรของอวี่ซางดูแล้วก็ปกติดี อย่างน้อยๆ ก็ไม่มีอะไรแปลกประหลาด แต่เขากลับร้องโอดครวญเช่นนี้…อวี่ซาง ข้าคิดว่าเจ้าต้องดื่มน้ำอุ่นให้มากหน่อย และอีกเรื่องหนึ่งคือ ต่อไปอย่าหาเรื่องคุณหนูอีก” ผูหลิวจับอวี่ซางนอนลงบนเตียงอีกครั้ง แล้วคิดอยู่พักหนึ่งค่อยเอ่ยว่า “หากเจ้าหนาวจริงๆ …จริงสิอวี่ซาง เมื่อเช้าเจ้ากินอะไรเข้าไป”
“กินน้ำแข็งใสที่หยาเอ่อร์ทำ”
“กินไปกี่ถ้วย”
“สาม สามถ้วย”
“เช่นนั้นเจ้ายังไม่รู้สาเหตุอีกหรือ!” ระหว่างที่ผูหลิวพูดก็เอามือฟาดไปที่ศีรษะของเขาทีหนึ่ง “หาเรื่องไม่ดูตาม้าตาเรือ! หยาเอ่อร์ ต่อไปเจ้าห้ามทำให้เขากินอีก! เขาจะได้หลาบจำเสียบ้าง!”
“ตกลง!” หยาเอ่อร์พยักหน้า เพราะหลังจากที่เสียเงินร้อยตำลึงไป นางก็ไม่มีปัญญาทำให้อวี่ซางกินอีกแล้ว!
ณ วังหลวง
เกาอู่เตี๋ยมองจดหมายที่ขันทีส่งให้ในมือ จากนั้นใบหน้าของนางจึงปรากฏรอยยิ้มขึ้น
“ซิ่งหยวน เจ้าดูนี่สิ เด็กคนนี้…” ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการที่ผู้อื่นได้รับน้ำใจจากตนแล้วรู้จักให้ความสำคัญตอบ
เมื่อซิ่งหยวนเห็นว่าเกาอู่เตี๋ยดีใจเช่นนี้ก็รีบเอ่ยชื่นชมด้วยความยินดี “คุณหนูซูเป็นเด็กดีจริงๆ รู้จักเข้าอกเข้าใจในน้ำใจของฮองเฮา”
“ใช่แล้ว” เกาอู่เตี๋ยเก็บจดหมาย นางยิ้มแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ทว่าในสายตาคล้ายมีหลายเรื่องราวที่ซิ่งหยวนมองไม่เห็น
“ฮ่องเต้เสด็จ!”
เมื่อได้ยินเสียงเล็กแหลมร้องขานขึ้น เกาอู่เตี๋ยก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความเคยชิน จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วทำความเคารพ “ฝ่าบาทมาแล้วหรือเพคะ”
“ลุกขึ้นเถิด” ลี่หยวนตี้ยื่นพระหัตถ์ออกไปหวังจะพยุงเกาอู่เตี๋ยขึ้นมา “เหตุใดต้องมากพิธีกับข้าด้วย”
เกาอู่เตี๋ยเบี่ยงตัวหลบการพยุงของลี่หยวนตี้แล้วถอยหลังไปก้าวหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงมีอารมณ์ขันแล้ว มารยาทในวัง หม่อมฉันมิอาจลืม”
ในตอนนี้พระหัตถ์ของลี่หยวนตี้จึงยังลอยค้างอยู่กลางอากาศ กลายเป็นท่าทางเก้ๆ กังๆ ทว่าเพียงชั่วครู่ ลี่หยวนตี้ก็โบกพระหัตถ์แล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี จากนั้นจึงหันไปทางขันทีที่ยืนก้มหน้าอยู่ด้านหลัง “คนอื่นๆ ออกไปก่อนเถิด”
“ขอรับ” คนที่อยู่รอบๆ นี้ไม่กล้ารอช้า พวกเขารีบก้มหน้าแล้วถอยออกไป เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น พวกเขายังไม่ทันได้รู้เรื่องอะไรสักเรื่อง
“เตี๋ยเอ๋อร์” ในขณะที่รอบด้านไม่มีคนเหลืออยู่แล้วนั้น ลี่หยวนตี้ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น “เจ้ายังโกรธข้าอยู่อีกหรือ?”
“ฝ่าบาททรงมีอารมณ์ขันอีกแล้ว” เกาอู่เตี๋ยนั่งอยู่บนเบาะอีกด้านหนึ่ง ใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มเยือกเย็น “ฝ่าบาททรงเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน เป็นฮ่องเต้ของต้าชั่ว หม่อมฉันจะกล้าโกรธได้อย่างไร? พระองค์ทรงอย่าคิดมากเพคะ”
“อู่เตี๋ย!” เมื่อลี่หยวนตี้ได้ยินคำพูดประชดประชันของเกาอู่เตี๋ยเช่นนี้ น้ำเสียงของเขาพลันเย็นเฉียบขึ้น “เจ้าจะหาเรื่องข้าไปถึงเมื่อไหร่ เจ้าควรจะหยุดได้แล้ว!”
“ฝ่าบาท พระองค์บอกว่าหม่อมฉันหาเรื่องพระองค์หรือ!” น้ำเสียงของเกาอู่เตี๋ยสูงขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับหม่อมฉันมากเกินไปแล้วเพคะ! หม่อมฉันอายุมากแล้ว ไม่มีความคิดและพละกำลังดั่งเช่นในสมัยยังสาวอีกแล้ว ดังนั้นหม่อมฉันขอแนะนำให้ฝ่าบาทรงพักผ่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน”
นางเหนื่อยมากจริงๆ ในวังหลวงอันใหญ่โตนี้เปรียบดั่งมีดทื่อๆ ที่ลับเหลี่ยมคมของนางจนราบเรียบ นางไม่ใช่พระสนมคนโปรดของของลี่หยวนตี้ที่จะรู้สึกเสียใจและขี้หึงหวงมาตั้งนานแล้ว
ตอนนี้นางอยากจะอยู่อย่างเงียบๆ และหายไปอย่างช้าๆ ณ วังหลังแห่งนี้
เงียบสงบ ไม่มีผู้ใดรบกวน
“อู่เตี๋ย ข้ามิได้หมายความว่าอย่างนั้น” เมื่อลี่หยวนตี้เห็นอากัปกิริยาของเกาอู่เตี๋ยก็รู้สึกผิดที่ตนหลุดปากพูดออกไปเมื่อครู่นี้ เขา…ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้เลย
สุดท้ายแล้วมันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใดกันที่เกาอู่เตี๋ยกับเขาไม่เป็นเหมือนอย่างวันวาน ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนคล้ายมีหลายสิ่งขวางกั้นเอาไว้ ไม่ว่าจะอยากเข้าใกล้มากเท่าไหร่ แต่ผลสุดท้ายกลับยิ่งผลักไสทั้งสองให้ยิ่งห่างไกลออกจากกันมากขึ้นเท่านั้น
——
[1] เตะไปถูกแผ่นน้ำแข็ง ( 踢到铁板上面) หมายถึงตัวเองคิดว่าคนๆ หนึ่งไร้ความสามารถ แต่จริงๆ แล้วตัวเองกลับสู้เขาไม่ได้