ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 184 ตำรับยา
“น้องหญิงส่งคนมาหาพี่หรือ” หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ซูมั่วเยี่ยก็มาถึง “ว่าแต่มีเรื่องด่วนหรือ” ทั้งตอนนี้ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้วด้วย
“พอสมควรเจ้าค่ะ ท่านพี่เข้ามาเถิด” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นแล้วดึงซูมั่วเยี่ยเข้ามาในห้องพร้อมกับปิดประตูถ้าว่ากันตามหลักความถูกต้องแล้ว การที่ซูมั่วเยี่ยออกมาพบนางตอนนี้ออกจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่นัก!
เพราะแม้ว่าจะเป็นพี่น้องกันแท้ๆ แต่บางครั้งก็ต้องพยายามไม่ให้เกิดความไม่พอใจต่อกัน ทว่า…ซูเหลียนอวิ้นกลับรู้สึกว่านางไม่สามารถรอให้ถึงวันพรุ่งนี้แล้วค่อยคุยกับซูมั่วเยี่ยได้ทีเดียวได้!
นั่นเป็นเพราะว่านางหลับไปตลอดทั้งบ่าย ดังนั้นยิ่งนางรอ นางก็ยิ่งตื่นตัวขึ้นเรื่อยๆ !
“ท่านพี่” ซูเหลียนอวิ้นกดซูมั่วเยี่ยนั่งลงบนเก้าอี้อีกด้านหนึ่งแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “น้องได้ยินมาว่าวันนี้ช่วงบ่ายต้วนเฉินเซวียนมาที่จวนของพวกเรา? ทั้งยังขอพบท่านพี่กับท่านแม่ด้วย!”
เมื่อซูมั่วเยี่ยถูกซูเหลียนอวิ้นจ้องเช่นนี้ก็เริ่มรู้สึกผิดจึงไม่ยอมหันหน้ามาและกระแอมสองที “มีเรื่องเช่นนั้นจริง…แต่ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไรมากนัก ตอนนี้คุณชายต้วนก็กลับไปแล้วด้วย”
พูดเหลวไหลอะไรกัน! ซูเหลียนอวิ้นเริ่มสติแตก ตอนนี้มันกี่โมงกี่ยามแล้ว หากต้วนเฉินเซวียนยังไม่กลับไปเขาก็คงเตรียมจะค้างคืนที่นี่แล้วกระมัง?!
“สรุปแล้วเขาพูดอะไรกันแน่เจ้าคะ!”
“ไม่มีเรื่องสำคัญอะไร…” สายตาของซูมั่วเยี่ยล่องลอย สีหน้าของเขาเริ่มกระดากกระเดื่อง “แค่…มาประกาศเรื่องในใจเท่านั้น?”
“เอ๊ะ?” ซูเหลียนอวิ้นเลิกคิ้ว
ประกาศเรื่องในใจ? เรื่องในใจอะไร? จะประกาศสงครามหรือ?
ท่าทางของซูมั่วเยี่ยที่พูดอึกๆ อักๆ ไม่ชัดเจนเช่นนี้ ทำเอาจินตนาการของซูเหลียนอวิ้นเตลิดไปต่างๆ นานา
เมื่อซูมั่วเยี่ยเห็นน้องสาวตนมีทีท่าทางคล้ายคนละเมอเช่นนี้ เขาก็เริ่มเข้าใจว่านางไม่ได้เข้าใจความหมายที่เขาเอ่ยไปเมื่อครู่นี้? ด้วยเหตุนี้หลังจากที่เขานิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ซูมั่วเยี่ยจึงตัดสินใจว่าเขาจะเอ่ยกับนางไปตามตรงดีกว่าว่าวันนี้ต้วนเฉินเซวียนมาด้วยจุดประสงค์อะไร
“ต้วนเฉินเซวียนมาสู่ขอเจ้า”
“……”
“……”
“……”
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ซูเหลียนอวิ้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างสงบว่า “แล้วอย่างไรต่อเจ้าคะ” ห้ามบอกนางเด็ดขาดว่าพวกเขาตกลงไปแล้ว เพราะแม้ว่าตอนนี้อายุนางจะยังน้อยแต่อายุหัวใจของนางก็ถือว่าอยู่มาหลายสิบปีแล้ว! ดังนั้น…นางมิอาจทนรับเรื่องสะเทือนใจอย่างเช่นปัญหาหัวใจนี้ได้
“พวกเรามิได้ตกลง”
อย่างนั้นก็ดี ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ คลายมือของตัวเองที่กำไว้ออกแล้วถอนใจ
“แต่ท่านแม่บอกว่าจะลองคิดดูอีกที”
“ทำไมล่ะเจ้าคะ!”
ทนไม่ไหวแล้ว นางทนไม่ไหวแล้ว! ซูเหลียนอวิ้นถอยหลังไปหลายก้าวแล้วร้องออกมาด้วยความตกใจ”ไม่ใช่สิเจ้าคะท่านพี่ตอนเช้าวันนี้ ท่านมิได้บอกว่าไม่ให้น้อง ไม่ให้น้องกับต้วนเฉินเซวียนเป็นอะไรกัน! แล้วทำไม ทำไมตอนนี้กลับ…”
จะทรยศกันหรือ
ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นอยากจะหยิกตัวเองแรงๆ สักที ตอนนี้นางยังนอนไม่ตื่นหรือว่านางอยู่ในฝันกันแน่เพราะแม้ว่านางจะหลับไปนานแต่ก็หลับไปแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้นมิใช่หรือนางไม่ได้หลับไปเป็นปีๆ สักหน่อย!
นี่ นี่พี่ชายและมารดาของนางทรยศนางเร็วไปหน่อยหรือไม่
“น้องหญิง อันที่จริงแล้ว” ซูมั่วเยี่ยพ่นลมหายใจอย่างแรง “ท่านแม่กับข้าได้คุยกันมาบ้างแล้ว”
“อืม” สรุปแล้วคุยอะไรกันไปบ้างถึงได้ล้างความคิดไปได้หมดจดเสียขนาดนี้!
“น้องหญิงถึงวัยที่ต้องออกเรือนแล้ว ดังนั้นการที่พี่ไม่ยอมให้เจ้าไปสานสัมพันธ์กับผู้ใดนั้น อันที่จริงก็ถือว่าพี่เห็นแก่ตัว อีกอย่างหากพิจารณาต้วนเฉินเซวียนแล้ว…ถ้าไม่พูดถึงเรื่องสารเลวที่เมื่อก่อนเขาไม่เคยเห็นหัวเจ้าแล้ว อันที่จริง…ข้าว่าเขาก็พอมีใจให้เจ้าอยู่กระมัง”
“ข้าไม่รู้สึกอย่างนั้น” ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้าอย่างไร้อารมณ์
ถ้าเขาคิดแทนนางจริงคงไม่ยอมให้เยียลี่ว์เยียนมาหักหน้านางถึงที่ของนาง? เพราะซูเหลียนอวิ้นไม่เชื่อว่าเรื่องของเยียลี่ว์เยียนต้วนเฉินเซวียนจะไม่มีส่วนรู้เห็นอะไรด้วยเลยและหากเขาคิดแทนนางจริงก็คงไม่บุกมาที่ห้องของนางกลางดึก แถมยังจูบนางโดยที่ไม่ถามความยินยอมของนางด้วย?
นี่หรือคือการกระทำต่อคนที่มีใจให้กัน! เพราะหากหยิบแต่ละเรื่องแยกออกมาก็ถือว่าสารเลวมากพอตัว ดังนั้นเมื่อนำมารวมกันแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงเข้าไปใหญ่!
“น้องหญิง มีหลายเรื่องราวที่เจ้าไม่รู้” ซูมั่วเยี่ยยกมือดึงซูเหลียนอวิ้นมานั่งลงตรงเก้าอี้ด้านข้างพร้อมมองนางด้วยความเอ็นดู”อวิ้นเอ๋อร์ เจ้ารู้อาการป่วยของท่านแม่หรือไม่”
“รู้เจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า
อันเพ่ยอิงเป็นโรคภูมิแพ้อากาศ ดังนั้นทุกครั้งที่เข้าสู่ช่วงเปลี่ยนฤดูหากนางรู้สึกไม่ปกติแม้เพียงเล็กน้อย นางก็จะไอทั้งวันไม่หยุด
ทว่าโรคนี้ไม่ถือว่าเป็นโรคร้ายแรง แต่จะถือว่าไม่ร้ายแรงเลยก็ไม่ใช่? เพราะมีเพียงอาการไอเท่านั้นไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยอะไรอย่างอื่น และผู้ป่วยจะรู้สึกรำคาญและไม่สบายตัวเท่านั้น
แม้ว่าหมอหลวงจะมาดูอาการให้หลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งที่เปลี่ยนหมอหลวงคนใหม่มาก็มักจะวินิจฉัยโรคไม่แตกต่างกันโดยจะแนะนำการรักษาที่ไม่ตรงจุดกับอาการป่วย เช่นไม่ให้ออกไปโดนลมมากนักและดื่มน้ำอุ่นเยอะๆ
เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าเรื่อยๆ อันเพ่ยอิงก็เริ่มรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องวุ่นวาย ดังนั้นนางจึงปล่อยเลยตามเลยไม่สนใจอีก ตัวเองจะไอเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรก็เป็นการไอเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น อดทนเพียงช่วงสั้นๆ ก็ผ่านไปแล้ว
“อาการป่วยของท่านแม่รุนแรงขึ้นหรือเจ้าคะ” เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินต้วนเฉินเซวียนเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาใจของนางพลันกระตุกวูบ “แต่หลายปีที่ผ่านมานี้ก็มิได้เป็นอะไรมิใช่หรือเจ้าคะอีกอย่างหมอหลวงก็เคยบอกเอาไว้ว่านี่มิใช่อาการร้ายแรงอะไร ดังนั้นตอนนี้เกิดอะไรขึ้นอีก”
“น้องหญิงเจ้านั่งลงก่อนเถิด อย่าร้อนใจขนาดนั้น” ซูมั่วเยี่ยกดซูเหลียนอวิ้นให้นั่งลงบนเก้าอี้แล้วพูดต่อไปว่า “อาการป่วยของท่านแม่ คราวนี้มีวิธีที่จะรักษาให้หายขาดได้แล้ว”
“วิธีอะไรเจ้าคะ”
“เมื่อสองสามวันก่อนหน้านี้ที่เจ้าไม่ได้ออกไปไหน ท่านแม่ได้ดื่มยาตำรับหนึ่งเข้าไป ดังนั้นตอนนี้อาการไอจึงสามารถรักษาให้หายได้แล้ว”
“ตำรับใดหรือ” ได้ผลดีขนาดนั้นเชียว? ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกสงสัย เนื่องจากอาการป่วยของท่านแม่เป็นอาการป่วยที่เป็นมาเนิ่นนานแล้ว! พอมาถึงตอนนี้ดื่มยาไปเพียงไม่กี่วันกลับทำให้มีหวังว่าจะหายขาดได้แล้วหรือ?
แม้ว่านางจะรู้สึกดีใจ แต่นางกลับรู้สึกว่าจิตใจของนางไม่ค่อยสงบนัก! เพราะจู่ๆ ก็ได้ตำรับยามาง่ายๆ อย่างนี้…คงจะมิได้มีผลกระทบข้างเคียงร้ายแรงอะไรกระมัง
หากต้องการเพียงรักษาอาการไอ แต่กลับส่งผลทำลายส่วนอื่นแทน นั่นถือว่าชดเชยกันไม่ได้เลยราวกับทิ้งแตงโมแล้วคว้าเมล็ดงาแทน![1]
“น้องหญิงวางใจได้พวกเราจะกล้าใช้ตำรับยาที่ไม่มีที่มาที่ไปกับท่านแม่ได้อย่างไร ยาเหล่านั้นพวกเราได้ให้หมอหลวงตรวจสอบเรียบร้อยและยืนยันแล้วว่าไม่มีอะไรที่ผิดปกติ”
“แล้วอย่างไรเจ้าคะหมอหลวงไม่รู้มาก่อนหรือว่านี่เป็นตำรับยาที่สามารถรักษาอาการไอของท่านแม่ได้” มีเรื่องอย่างนั้นจริงหรือ…ซูเหลียนอวิ้นเบะปาก ตำรับยาอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่กลับไม่รู้ว่าเอาไว้รักษาอะไร?
“ยังไม่มีผู้ใดรู้ เพราะตำรับยานี้มีสมุนไพรบางอย่างที่เป็นของล้ำค่าหายากที่สามารถหามาได้จากต้ามั่วเท่านั้น ที่เมืองต้าชั่วของพวกเรามีคนรู้และครอบครองอยู่น้อยมาก ดังนั้นหากไม่เป็นที่รู้จักของหมอหลวงโดยส่วนใหญ่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้”
——
[1] ทิ้งแตงโมแล้วคว้าเมล็ดงาแทน หมายถึง ทิ้งสิ่งมีค่าเพื่อคว้าเอาสิ่งไม่สำคัญแทน คล้ายสำนวนเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ