ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 175 ผลแพ้ชนะ
“เพคะ…เสด็จพี่” เยียลี่ว์เยียนลุกขึ้นยืน ชุดที่นางสวมใส่อยู่ยังเป็นชุดนกยูงที่ยังไม่ได้เปลี่ยน
“เอ๊ะ องค์หญิงเยียลี่ว์ไม่เปลี่ยนชุดรึหรือว่าจะร่ายรำระบำนกยูงอีก”
“จริงด้วย ข้านึกว่าจะได้ดูการแสดงอื่นเสียอีก ผลสุดท้ายยังคงแสดงการแสดงชุดเดิมหรือ”
“อย่าพูดเหลวไหล! การแสดงระบำนกยูงมีตั้งหลายแบบ พวกเราตั้งใจดูก็พอแล้ว นางขึ้นชื่อว่าเป็นนางรำอันดับหนึ่งเชียวนะ! ผู้เป็นที่หนึ่งจะต้องไม่ทำให้พวกเราผิดหวังอย่างแน่นอนถูกหรือไม่”
เยียลี่ว์เยียนค่อยๆ ก้าวออกมาจนถึงกลางโถง เสียงอื้ออึงรอบกายดังเข้าหูนางประกอบกับสายตาต่างๆ ที่จ้องมองมา ไม่ว่าจะเป็นสายตาแห่งความขบขัน สายตาแห่งความเย็นชาแฝงข่มขู่ สายตาลามกหยาบช้า ไม่มีสิ่งใดที่หลุดลอดสายตานางไปแม้แต่อย่างเดียว
เยียลี่ว์เยียนก้มหน้าแล้วสูดลมหายใจเข้าพลางคิดในใจว่า เมื่อครู่นี้ซูเหลียนอวิ้นยังทนกับสายตาเช่นนี้ได้เลยแล้วนางจะต้องกลัวอะไรเล่า
ทว่าเยียลี่ว์เยียนรู้ดีว่า แม้ว่าสายตาโดยส่วนใหญ่จะแสดงออกคล้ายกัน แต่ว่าคล้ายมีบางสิ่งที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก
ภายใต้การจับจ้องมากมายเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีสายตาใดเลยที่แสดงออกถึง…ความอ่อนโยนและสายตาที่มองนางด้วยความจริงใจโดยไม่มีเจตนาอื่นใดแอบแฝง
เมื่อเสียงดนตรีดังขึ้น เยียลี่ว์เยียนถึงหลุดออกจากภวังค์ เรื่องพวกนั้นมีความสำคัญอะไรกันเล่าตอนนี้สิ่งที่นางสามารถทำได้คงมีเพียงการพยายามแสดงการร่ายรำอย่างสุดความสามารถ
“อวิ้นเอ๋อร์ ฝีมือร่ายรำของเจ้าเยี่ยมมาก!” หลินเหวินเสี่ยวยกนิ้วโป้งให้นาง “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องทำได้! หากเทียบกันแล้วเจ้าทำได้ดีกว่าระบำนกยูงของเยียลี่ว์เยียนในครั้งแรกเสียอีก!”
“ขอบคุณ” ซูเหลียนอวิ้นยิ้ม นางทำสำเร็จก็ถือว่าดีมากแล้ว ตอนนี้นาง…ทำได้แค่ภาวนาให้เยียลี่ว์เยียนทำพลาดจนปรากฏข้อบกพร่องออกมาให้เห็นก็พอ!
“น้องหญิง เช็ดเหงื่อหน่อยเถิด” ไม่รู้ว่าซูมั่วเยี่ยเปลี่ยนที่นั่งกับอันเพ่ยอิงตั้งแต่เมื่อใดตอนนี้เขาจึงนั่งอยู่ข้างกายซูเหลียนอวิ้นแล้ว เขากำลังยื่นผ้าขาวผืนสี่เหลี่ยมส่งมาให้นาง
“ท่านพี่” ซูเหลียนอวิ้นยิ้มอย่างเบิกบานใจตอนที่รับผ้าผืนนั้นมา หลังจากที่เช็ดเหงื่อเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยว่า “ท่านพี่ เมื่อครู่น้องร่ายรำเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
ซูมั่วเยี่ยเม้มปากไม่กล่าวสิ่งใด ตาสีดำคู่นั้นของเขาจ้องมองซูเหลียนอวิ้นนิ่งราวกับกำลังรอให้ใบหน้าของนางมีอะไรงอกออกมา จากนั้นจึงถอนใจเขายื่นมือออกไปลูบผมของซูเหลียนอวิ้นสองสามทีแล้วเอ่ยว่า “น้องหญิง เจ้าแสดงดีมาก”
“แหะๆ …” ซูเหลียนอวิ้นยิ้มแห้งๆ ซูเหลียนอวิ้นรู้อยู่แก่ใจว่า พี่ชายของนางต้องไม่พอใจการกระทำโดยพลการเช่นนี้ของนางอย่างแน่นอน?
“แม้ว่าเจ้าจะร่ายรำได้ดีมาก แต่…”
“แต่การกระทำของเจ้านั้นเลือดร้อนเกินไปมาก! ไม่ได้คิดถึงผลที่จะตามมาเลยแม้แต่น้อย! ทำให้พวกเราเป็นห่วงเจ้ามาก! ท่านพี่ตั้งใจจะพูดอย่างนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ” ซูเหลียนอวิ้นชายตามองซูมั่วเยี่ยคราหนึ่งจากนั้นจึงค่อยๆ หดศีรษะของตัวเองถอยออกมาจากมือของซูมั่วเยี่ย “ท่านพี่เจ้าคะ น้องแค่อยากเอาชนะเยียลี่ว์เยียนนั่นบ้าง มิเช่นนั้นน้องคงอึดอัดใจ”
ซูเหลียนอวิ้นหันทั้งตัวไปทางซูมั่วเยี่ยแล้วเอามือทั้งสองข้างเท้าคางตัวเองเอาไว้ สายตาจ้องตรงไปที่ซูมั่วเยี่ยแล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ถึงอย่างไรท่านพี่ก็คงรู้เรื่องแล้วว่าวันนั้นเยียลี่ว์เยียนพูดกับน้องว่าอย่างไรบ้าง! ถึงตอนนี้น้องนึกย้อนกลับไปยังรู้สึกอกแทบจะระเบิด!
“ดังนั้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา น้องจึงเดาว่าเยียลี่ว์เยียนจะต้องแสดงการร่ายรำของตัวเองในงานวันนี้อย่างแน่นอน โอกาสเช่นนี้ น้องไม่มีทางปล่อยผ่านไปได้ นางร่ายรำได้แล้วทำไมน้องจะทำไม่ได้อีกอย่างครั้งนี้มีผู้คนตั้งมากมายเฝ้ามองอยู่น้องจะได้ล้างมลทินให้ตัวเองไปด้วย!”
เมื่อซูมั่วเยี่ยเห็นสายตาซุกซนของน้องสาวตนเช่นนี้ก็กลัดกลุ้ม สายตาของเขายังคงเย็นชาพลางถอนใจ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงจะเอ่ยออกมาว่า “พี่รู้อยู่แล้ว แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น…พวกเราซุ่มทำก็ได้นี่นา วิธีการนี้ของเจ้าอวดดีและเสี่ยงเกินไป!
“อีกอย่าง นิสัยของเจ้านั้นยังเด็กมากนัก!” แม้ว่าในน้ำเสียงของซูมั่วเยี่ยจะแสดงความหมายถึงการตำหนิ ทว่าในแววตาของเขากลับแสดงออกอย่างชัดเจนว่าพร้อมส่งเสริมกระทำของซูเหลียนอวิ้นนั่นหมายถึงการสนับสนุนนางอยู่อย่างเงียบๆ ที่นางสามารถรับรู้ได้
“เวลาที่ข้าอยู่กับท่านพี่ ข้าก็เป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง มีอะไรไม่ดีหรือเจ้าคะ”
“แน่นอนว่าไม่มี” ซูมั่วเยี่ยยิ้มอย่างอ่อนโยน “หากอวิ้นเอ๋อร์หยุดการเติบโตไว้เช่นนี้ได้ตลอดไป นั่นคงดีมากแน่”
หยุดการเติบโตเพียงเท่านี้ ไม่ต้องแต่งงานกับผู้ใดตลอดไป เฮ้อเมื่อนึกถึงตรงนี้ในใจของซูมั่วเยี่ยพลันเกิดความรู้สึกราวกับกินน้ำส้มเข้าไป[1] รสชาติของมันทั้งเปรี้ยวทั้งขม! ภาพของน้องสาวตนที่ต้องแต่งงานกับหนุ่มหน้าเหม็นที่ยังไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดในภายภาคหน้าทำเอาเขาโมโหจนอกแทบแตก!
“ในเมื่อน้องหญิงตัดสินใจเช่นนี้ เช่นนั้นแผนที่พี่เตรียมไว้…”
“อะไรนะเจ้าคะ” ซูเหลียนอวิ้นหันหน้ากลับไปมองแล้วถามซ้ำอีกครั้ง เพื่อให้รู้ว่าเมื่อครู่นางได้ยินไม่ชัดเพราะนางกำลังตักอาหารอยู่ ก่อนที่นางจะร่ายรำอาหารแทบจะตกไม่ถึงท้องนางเลย! เพราะหากนางกินมากเกินไปอาจทำให้นางดูอ้วนขึ้นได้!
“ไม่มีอะไร น้องหญิงกินข้าวไปก่อนเถิด” ซูมั่วเยี่ยคีบขนมโก๋ขึ้นมา “เมื่อกี้ข้าไม่เห็นเจ้ากินอะไรสักเท่าไหร่เลย ตอนนี้เจ้าต้องหิวมากแน่ๆ ใช่หรือไม่อีกอย่างเมื่อกี้เหงื่อเจ้าก็ออกตั้งมากมาย ตอนนี้รีบกินเข้าเถิด”
เดิมทีเขาเตรียมแผนที่สามารถทำให้เยียลี่ว์เยียนอับอายเอาไว้ ทว่าไม่ใช่ที่นี่ แต่เป็นตอนที่…มีสายตาของชาวต้าชั่วจับจ้อง ทว่าตอนนี้น้องสาวของเขาได้ชิงลงมือก่อนเขาไปก้าวหนึ่งแล้ว ดังนั้นการเดินหมากนั้นของเขาคงต้องล้มเลิกไปก่อน
เพราะไม่ว่าจะอย่างไรเยียลี่ว์เยียนก็เป็นถึงองค์หญิงทั้งยังเป็นฑูตจากต่างเมือง ฐานะของนางจึงไม่ธรรมดาหากต้องขายขี้หน้าต่อหน้าชาวต้าชั่วครั้งแล้วครั้งเล่า…ชื่อเสียงของต้าชั่วจะต้องไม่ดีแก่สายตาคนภายนอกแน่
“อุ๊ย…!”
ขณะที่ซูเหลียนอวิ้นกำลังง่วนอยู่กับอาหารเลิศรสตรงหน้าตัวเองนางก็ได้ยินเสียงซุบซิบที่ดังขึ้นรอบๆ ด้านถึงเริ่มรู้สึกได้ถึงบรรยากาศความแปลกประหลาด จึงเงยหน้าขึ้นมอง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเยียลี่ว์เยียน ถึงได้…ข้อเท้าพลิก?
ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้ว คงจะข้อเท้าพลิกกระมังท่าทางเจ็บปวดขนาดนั้นคงจะบาดเจ็บไม่น้อย แถมตอนนี้นางยังคงกุมข้อเท้าไว้ไม่ยอมปล่อย
เยียลี่ว์เยียนเจ็บจนหน้านิ่วคิ้วขมวดแววตาสับสนของนางมองไปยังเยียลี่ว์เยี่ยนที่อยู่ไกลออกไป ทว่าแววตาที่เยียลี่ว์เยี่ยนมองนางนั้นเป็นแววตาแสนเย็นชาที่มีนัยความหมายว่าจะไม่ให้นางหยุดแสดงหัวใจของนางในตอนนั้นรู้สึกราวกับว่าตนได้ตกลงสู่อุโมงค์น้ำแข็งที่หนาวยะเยือกอย่างสุดแสน
เขาต้องการให้นางกลับไปร่ายรำต่อ…เยียลี่ว์เยียนกัดริมฝีปากล่างของตนและพยายามที่จะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ทว่านางเพียงขยับเท้าขวาเบาๆ …ความเจ็บปวดก็พุ่งตรงเข้าเต็มหัวใจของนาง…ตอนนี้ นางลุกขึ้นยืนไม่ไหวจริงๆ
ลี่หยวนตี้มองไปที่เยียลี่ว์เยียนที่พยายามจะลุกขึ้นยืนหลายครั้งแต่ไม่เป็นผลจึงเอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “พอเถิด วันนี้พอแค่นี้ก่อน ทหาร มาช่วยพยุงองค์หญิงเยียลี่ว์ขึ้น แล้วตามหมอหลวงมาดูอาการว่าเป็นอย่างไร
“องค์ชายเยียลี่ว์ ข้าคิดว่าการประกาศผลแพ้ชนะคงต้องหยุดเอาไว้เท่านี้ก่อนดีหรือไม่เพราะ…องค์หญิงได้รับบาดเจ็บ หากฝืนให้นางร่ายรำต่อคงจะเป็นความผิดของข้า”
——
[1] กินน้ำส้มเข้าไป หมายถึง ความรู้สึกเศร้าขมขื่น