ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 181 ดอกสาลี่
“หลีมู่…” ซูเหลียนอวิ้นเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้นุ่มด้วยกำลังครุ่นคิดพิจารณาบางอย่างอยู่ลำพัง “ข้าอยากนอนสักตื่นหนึ่ง ไม่ว่าผู้ใดจะมาพบข้า ข้าก็ไม่ขอพบทั้งนั้น” เพราะวันนี้ถือว่านางดึงดูดความสนใจของผู้อื่นไปมากพอแล้ว ดังนั้นวันนี้ไม่ว่าจะเป็นลี่หยวนตี้ที่อาจจะมาพบนางด้วยเหตุผลที่นางพอจะรู้อยู่แล้วหรือว่าจะเป็นบิดาของนางเองที่จะมาเยี่ยมนาง นางคิดว่าคงมีจำนวนไม่น้อยแน่ๆ ทว่าให้อภัยนางด้วย ตอนนี้นาง…อยากอยู่เงียบๆ เพียงลำพัง
“เจ้าค่ะ คุณหนู” หลีมู่เดินไปข้างหน้า “คุณหนูง่วงแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ ถ้าง่วงแล้วคุณหนูอย่านอนบนเก้าอี้อยู่เลยเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะโดนลมโกรกเอา” เนื่องด้วยเก้าอี้นิ่มตัวนี้ตั้งอยู่ชิดหน้าต่าง
“อืม…” ซูเหลียนอวิ้นถอนใจ “ข้าง่วงนอนแล้ว” ตอนนี้นางทั้งเหนื่อยและง่วง แต่แน่นอนว่าสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เหนื่อยมาจากปัญหาใจ
เพราะคำพูดของต้วนเฉินเซวียนที่พูดกับนางในศาลาตอนนั้น เมื่อนางตกตะกอนทางความคิดได้แล้ว นางไม่เพียงไม่จมดิ่งอีกต่อไป แต่ความคิดของนางกลับเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ! ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่าไม่ว่านางจะทำอย่างไร เสียงวนเวียนที่สะท้อนก้องอยู่ในหูและความคิดของนางนั้น มีแค่ต้วนเฉินเซวียนกับต้วนเฉินเซวียน!
นางใกล้จะเป็นบ้าเต็มทีแล้ว!
หลีมู่สงบปากสงบคำไม่ยอมเอ่ยคำพูดใดๆ พลางถอดเสื้อผ้าและรองเท้าให้ซูเหลียนอวิ้นอย่างใส่ใจ นางคิดว่านางเข้าใจดีว่าตอนนี้คุณหนูคงจะละเอียดอ่อนกับเสียงจุกจิกรอบกายแม้เพียงน้อยนิดอย่างมาก! เฮ้อ ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นคุณชายต้วนพูดอะไรกับคุณหนูบ้าง…
ตั้งแต่วันนั้นคุณหนูของนางก็เพิ่งจะดีขึ้นมาได้เพียงไม่กี่วันเองกระมัง แต่เมื่อเห็นรูปการณ์เช่นนี้ คงมิต้องจะ…
“คุณหนู” ในขณะที่ซูเหลียนอวิ้นนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลาครู่ใหญ่และกำลังจะหลับตาลงนั้นเอง
หลีมู่ก็ทนไม่ไหวและเอ่ยปากออกมาว่า “คุณหนูเจ้าคะ เครื่องประดับพวกนี้ล่ะเจ้าคะ คุณหนูจะให้บ่าวเอาไปเก็บให้หรือไม่เจ้าคะ หรือว่าจะวางทิ้งไว้ตรงโต๊ะเครื่องแป้งดีเจ้าคะ” ตอนนี้กล่องใส่เครื่องสำอางของซูเหลียนอวิ้นเต็มปริ่มแล้ว! เกรงว่าคงไม่สามารถใส่ของอะไรลงไปได้อีก
นั่นเป็นเพราะซูปั๋วชวนเพิ่งจะปราบกบฏตระกูลหยางลงได้ ดังนั้นของที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้ด้วยความโปรดปราณจึงมีไม่น้อย ส่งผลให้เครื่องประดับของซูเหลียนอวิ้นกองอยู่เต็มห้องเก็บของของนางจนแทบไม่มีที่ไว้แล้ว!
แต่ผู้ใดเล่าจะรังเกียจของพวกนี้? แน่นอนว่าต้องเยอะเอาไว้ก่อน ยิ่งเยอะมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น
ซูเหลียนอวิ้นนอนอยู่บนเตียงพลางยกมือซ้ายขึ้นกุมศีรษะตัวเองเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “ข้าจะเลือกที่ข้าชอบไว้สักสองสามอันก็แล้วกัน ส่วนที่เหลือเจ้าช่วยเอาไปเก็บที่ห้องเก็บของหน่อย” ของที่ซูมั่วเยี่ยพานางไปซื้อในวันนี้โดยส่วนใหญ่ก็ซื้อเพื่อต้องการระบายอารมณ์ทั้งนั้น
ด้วยเหตุนี้ตอนที่นางไปซื้อของเหล่านั้น เมื่อนางเห็นอะไรที่เข้าตานางก็จะซื้อ แต่พอเวลาผ่านไปแล้วเล่า? นางกลับไม่ชอบของพวกนั้นเอามากๆ และเสียใจที่ทำไมตอนนั้นถึงซื้อมาอย่างไม่คิด
“อ่อ เจ้าค่ะ!” หลีมู่พยักหน้าและแอบถอนใจ เมื่อคุณหนูแสดงความสนใจออกมาบ้างก็ถือว่าเงินพวกนั้นที่ใช้ซื้อของไปไม่ศูนย์เปล่าแล้ว!
เนื่องจากเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้าซูเหลียนอวิ้นไม่ได้มีความสนใจต่อสิ่งของที่ถูกพระราชทานมาเป็นรางวัลเหล่านั้นเลย
ดังนั้นตอนนี้เมื่อนางบอกว่าจะลองเลือกดูว่ามีอันไหนที่นางถูกใจไว้ สำหรับหลีมู่แล้วนี่ถือเป็นสัญญาณที่ดีมากแล้ว
ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือขาวๆ ของนางรับกล่องมาจากหลีมู่แล้วเบะปากอย่างไร้อารมณ์ เพราะพอนางกลับมาดูตอนนี้ ของมากกว่าครึ่งกลายเป็นของที่นางไม่ต้องตาเสียแล้ว!
เฮ้อ จะทำอย่างไรดี ตอนนี้จู่ๆ เริ่มเสียดายเงินของท่านพี่ที่ใช้ไปวันนั้นเสียแล้ว
นางสุรุ่ยสุร่ายเกินไปแล้ว! ซื้อมาตั้งมากมายขนาดนั้นผลสุดท้ายพอกลับมาถึงเรือนแล้วลองพิจารณาดูดีๆ อีกครั้งหนึ่งกลับไม่มีอันไหนถูกใจนางเสียแล้ว! คงทำได้เพียงวางมันทิ้งไว้ในห้องเก็บของแล้วปล่อยให้มันสูญสลายไปเอง…แย่จริงๆ!
“ช่างเถิด ข้า…” หลังจากซูเหลียนอวิ้นจับๆ ดูอยู่สองสามอันก็ไม่พบว่ามีอันไหนเลยที่นางชอบ ตอนนั้นนางจึงหมดอารมณ์ “เอาไปเก็บทั้งหมดนี่เลยแล้วกัน ไม่มีอันไหนที่ข้าชอบเลย”
“คุณหนูไม่ลองดูอีกทีหรือเจ้าคะ ข้างในยังมีอีกตั้งหลายอัน คุณหนูยังล้วงลงไปไม่ถึงเลย!” หลีมู่ร้อนใจจนเริ่มขมวดคิ้ว จู่ๆ ก็ไม่สนใจได้อย่างไร หากปล่อยให้ซูเหลียนอวิ้นอยู่ในห้องคนเดียวเฉยๆ เช่นนี้ คุณหนูจะต้องคิดเพ้อเจ้ออีกแน่นอน!
“ข้าบอกแล้วไงว่าไม่มีอันไหนที่ข้าชอบเลย! รีบเอาออกไปได้แล้ว!” ซูเหลียอวิ้นมองไปที่พานนั้นอย่างไม่สบอารมณ์เพราะยิ่งนางมองเห็นมันบ่อยเท่าไหร่ นั่นก็เท่ากับเป็นการเตือนตัวนางเองถึงความฟุ่มเฟือยของตนในครั้งนี้มากขึ้นเท่านั้น!
“อ้อ…” หลีมู่ตอบรับ ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก
“เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนๆ!” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้น “ให้ข้าดูอีกรอบหนึ่งดีกว่า!” เมื่อครู่ตอนที่นางล้มตัวลงนอนแล้วเหลือบมามองนั้น นางรู้สึกเหมือนตัวเองเห็น…ของชิ้นหนึ่งที่คุ้นตา?
“เจ้าค่ะ คุณหนู”
ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือไปสัมผัสปิ่นด้านล่างสุดที่โผล่พ้นขึ้นมาให้เห็นเพียงลายดอกไม้แล้วออกแรงดึงขึ้นมา
“หลีมู่ เจ้าดูอันนี้สิ…คุ้นตาบ้างหรือไม่” ซูเหลียนอวิ้นแกว่งปิ่นในมือไปมา จากนั้นจึงส่งให้หลีมู่ “ทำไมข้าถึงรู้สึกคุ้นตาของสิ่งนี้นัก เหมือนว่าข้าเคยเห็นมันที่ใดมาก่อนและมีความทรงจำที่ลึกซึ้งกับมันด้วย! แต่ตอนนี้ข้านึกไม่ออกแล้ว”
หลีมู่รับมาแล้วพิจารณาดูปิ่นอันนี้อย่างละเอียด หากพูดตามตรงแล้ว…นางกลับรู้สึกไม่คุ้นเคยกับปิ่นอันนี้เลย!
ทว่าในเมื่อคุณหนูของนางเอ่ยเช่นนี้ นั่นแสดงว่าปิ่นอันนี้ต้องมีสิ่งใดแตกต่างจากของทั่วๆ ไปแน่นอน? แต่…ไม่ว่านางจะพลิกดูปิ่นอันนี้ซ้ำไปซ้ำมาตั้งแต่ด้านบนลงล่างกี่รอบก็ตาม ปิ่นอันนี้ก็ยังคงเป็นปิ่นธรรมดาที่ปักดอกสาลี่อยู่ด้านบนในสายตาของนางเท่านั้น
“เอ่อ…” หลังจากที่หลีมู่เงียบไปพักใหญ่ก็เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าด้านบนมี…ดอกสาลี่ และคุณหนูก็ชอบดอกสาลี่มาก…ดังนั้น ดังนั้นจึงรู้สึกคุ้นตากระมังเจ้าคะ” หลีมู่พยายามคิดอย่างเต็มที่แล้ว แต่จะอย่างไรผลสุดท้ายที่นางคิดได้ก็ยังไม่ได้เรื่อง…เพราะว่าเหตุผลนี้ถือว่าตื้นเกินไปนัก
“ใช่หรือ” ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้ว “ก็อาจจะเป็นไปได้…” แต่กล่าวตามตรงแล้ว นางเองก็ไม่ได้ชอบดอกสาลี่เท่าไหร่นัก อาจกล่าวได้ว่า นางไม่ได้มีดอกไม้อะไรที่นางชอบเป็นพิเศษเลย!
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ดอกไม้อย่างดอกสาลี่ก็อยู่เป็นเพื่อนนางมาแล้วเกือบสิบปี เพราะต้นดอกสาลี่ที่อยู่ในลานบ้านของนางก็มีอายุมากว่าสิบปีแล้ว! ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไรของสิ่งนี้ก็ถือว่าเป็นของที่ค่อนข้างมีความหมายสำหรับนาง
สิบปีหรือ?
ในตอนนั้นเองที่ซูเหลียนอวิ้นพลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้
เมื่อสิบปีก่อน…ทำไมจู่ๆ นางถึงตัดสินใจปลูกต้นดอกสาลี่?
“คุณหนูเจ้าคะ?” เมื่อหลีมู่เห็นสีหน้าบิดเบี้ยวของซูเหลียนอวิ้นราวกับกำลังตกอยู่ในห้วงความทรงจำบางอย่าง นางจึงยื่นมือไปสะกิดซูเหลียนอวิ้น “คุณหนูใหญ่ เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ คิดเรื่องอะไรอยู่หรือ”
“อ้อ…” ซูเหลียนอวิ้นเอามือลูบหว่างคิ้วพยายามให้ตัวเองรู้สึกผ่อนคลายลง “ก็ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไร เพียงแค่จู่ๆ …ช่างเถิด อย่าไปคิดอะไรมากก็พอ”
ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องเก่าเมื่อสิบปีที่แล้ว อีกอย่างตอนนี้นางก็มีเรื่องให้คิดมากพออยู่แล้ว นางยังไม่อยากหาเรื่องกลัดกลุ้มใจให้ตัวเองเพิ่มอีก