ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 180 ไฟแรงลวกหมู
“ซูเหลียนอวิ้น” เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ท่าทางของต้วนเฉินเซวียนก็กลับไปมีท่าทีทีเล่นทีจริงเหมือนเช่นเคย “ซูเหลียนอวิ้น หากข้าบอกว่า ข้าชอบเจ้าเข้าแล้ว ไม่สิ หากข้าบอกว่าข้ารักเจ้า? เจ้าจะคิดอย่างไร”
“ฮะ?” ซูเหลียนอวิ้นเอียงคอแล้วใช้สายตามองใบหน้าของต้วนเฉินเซวียนไปทีละกระเบียดนิ้ว นางพยายามที่จะสำรวจว่าคำพูดของเขานั้นเป็นความจริงหรือไม่ “ท่านว่าอะไรนะ”
“ข้าบอกว่า ซูเหลียนอวิ้น ข้าว่าข้าชอบเจ้าเข้าแล้ว เจ้าจะทำอย่างไร” เจ้าเอาหัวใจของข้าไปแล้ว แต่กลับไม่เอาตัวข้าไปด้วย จะให้ข้าทำอย่างไร
ซูเหลียนอวิ้นเหม่อลอยไปพักหนึ่ง จากนั้นจึงระเบิดหัวเราะออกมา มือของนางกุมอยู่ที่ท้อง เสียงหัวเราะของนางสะท้อนก้องดังไปทั่วทั้งในและนอกศาลา เสียงหัวเราะอันดังนี้ทำให้สัตว์น้อยใหญ่รอบๆ ตกใจจนหนีกระเจิงไปหมด
“ฮ่าๆๆๆๆๆ ต้วนเฉินเซวียน ท่านว่าอะไรนะ ท่านชอบข้า?” ซูเหลียนอวิ้นหัวเราะจนพอ มือของนางยังกุมท้องเอาไว้แล้วค่อยๆ ยืดตัวขึ้นช้าๆ “ข้าฟังผิดไปหรือไม่ คนอย่างคุณชายต้วนมีวันจะบอกว่าชอบใครด้วยหรือ”
นี่เป็นเรื่องน่าตลกที่สุดแล้วเท่าที่นางเคยฟังมา ซูเหลียนอวิ้นคิดในใจ เรื่องนี้ทำเอานางขำแทบตายแล้ว! เพราะตอนนี้นางหัวเราะจนน้ำตาไหลออกมาหมด
เมื่อชาติก่อนนางทำเพื่อต้วนเฉินเซวียนไปตั้งเท่าไหร่ แต่จนแล้วจนเล่านางได้อะไรกลับมาบ้าง ขอเพียงแค่การเหลียวมองของท่านสักครา รอยยิ้มเพียงสักครั้งหรือบางครั้งก็หวังเพียงคำพูดแค่คำเดียวก็ได้! ทั้งหมดล้วนทำให้นางชื่นชอบเขามานานขนาดนี้ได้
จนกระทั่งถึงวาระที่นางตาย นางก็ยังไม่ได้ยินคำพูดประโยคนั้น
‘ซูเหลียนอวิ้น ข้าว่าข้าชอบเจ้าเข้าแล้ว’
ซูเหลียนอวิ้นเช็ดน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา “ต้วนเฉินเซวียน ท่านคิดว่าการที่ท่านกล่าวประโยคนี้ออกมาจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้”
“ข้าไม่ได้ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง” ต้วนเฉินเซวียนส่ายหน้า “ข้าแค่อยากพูดประโยคนี้เท่านั้น เมื่อก่อนข้าเอาแต่ตำหนิเจ้ามาตลอด ดังนั้นตอนนี้เมื่อข้าเอ่ยจบแล้วและพูดออกมาแล้ว เจ้าจะยอม…”
“ท่านพูดช้าเกินไปแล้ว ต้วนเฉินเซวียน” ซูเหลียนอวิ้นยิ้ม “คำพูดนี้ของท่าน เอ่ยช้าเกินไปแล้ว” ช้าไปหนึ่งชาติเต็มๆ ช้าไปหนึ่งชาติของชีวิตนาง!
“ต้วนเฉินเซียน คำพูดของท่านข้าได้ยินหมดแล้ว คำตอบของข้า ข้าก็ได้ให้ท่านไปแล้ว ดังนั้นท่านยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่” หากไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็รีบหายตัวไปให้พ้นสายตานางเถอะ! นางเองก็…คุมตัวเองไม่ไหวแล้ว
“ไม่มีแล้ว คำตอบของเจ้า ข้าก็รู้แล้วเช่นกัน”
“อือ” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าตอบและเตรียมจะจากไป
ต้วนเฉินเซวียนรู้แผนการของนางจึงก้าวเท้าตามไปติดๆ แล้วขวางเอาไว้ “แต่เจ้ายังไม่ได้ฟังคำตอบของข้า”
“เช่นนั้นท่านก็รีบพูดมาเถอะ” ซูเหลียนอวิ้นถอยหลังไปครึ่งก้าว พยายามรักษาระยะห่างเงียบๆ เพราะนางรู้สึกถึงล้มหายใจของต้วนเฉินเซวียนที่พุ่งเข้าใส่นาง เมื่อนางได้กลิ่นมัน ทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยดีนัก
“ในเมื่อเจ้าบอกว่าอภัยให้ข้าแล้ว เช่นนั้นทุกอย่างก็คงจะง่ายขึ้น”
“แล้วอย่างไร?”
“ดังนั้นเราก็สามารถพลิกเริ่มต้นเรื่องราวบทใหม่ได้แล้ว” ต้วนเฉินเซวียนบิดขี้เกียจแล้วเนียนยื่นมือไปลูบผมซูเหลียนอวิ้นพร้อมเขยิบเข้าไปใกล้ๆ ใบหูของซูเหลียนอวิ้น จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยแววตาขี้เล่น “ซูเหลียนอวิ้น เช่นนั้นก็สลับให้ข้าเป็นฝ่ายตามจีบเจ้าในชาตินี้ก็แล้วกัน ดีหรือไม่”
ซูเหลียนอวิ้นเอี้ยวตัวมองแล้วแอบกลืนน้ำลายเงียบๆ คนที่ปากมากมาโดยตลอดอย่างนาง เวลาเช่นนี้กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี เพราะหากบอกว่านางไม่รู้สึกอะไรในใจเลยแม้แต่น้อยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะนางเองก็ไม่ใช่เทพเซียนเช่นกัน!
แต่….ใจของนางเต้นระรัว?
ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้าในใจ เรื่องโง่ๆ เช่นนั้น นางทำเพียงครั้งเดียวก็พอแล้ว! ล้มเหลวเพียงครั้งเดียวก็มากพอแล้ว! หากยังยอมล้มเหลวและยอมให้เกิดขึ้นอีก? คงต้องบอกว่าสมองและหัวใจของนางผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิดแล้ว!
“อ้อ!” ซูเหลียนอวิ้นยกมือลูบแก้มที่ร้อนจนเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำของตน “ข้าเชื่อท่าน”
เพราะต้วนเฉินเซวียนคือผู้ใด นางจะไม่รู้จักเขาเชียวหรือ คำพูดของเขาฟังๆ ไปไม่ต้องใส่ใจมากนักก็ได้ อีกอย่างเรื่องที่ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาแย่ลงเช่นนี้…เหอะๆ เขาจะทำรึ นางจะยอมเชื่อเขาก็ได้!
“ตอนนี้หมดเรื่องแล้ว เจ้าไปได้แล้ว!” ต้วนเฉินเซวียนยืดตัวขึ้นแล้วลูบผมของซูเหลียนอวิ้นที่เขาทำยุ่งเมื่อครู่ให้เข้าที่เข้าทาง “เพราะเห็นท่าพี่ซูแล้ว…คงใกล้จะทนไม่ไหวเต็มที! หากเจ้ายังไม่ยอมไป อีกเดี๋ยวพี่ซูคงเข้ามาตัดคอข้าเป็นแน่”
ยังมีอารมณ์มาล้อเล่นอีก! ซูเหลียนอวิ้นบอกไม่ถูกว่าตอนนี้ในใจของนางรู้สึกอย่างไร นางมั่นใจเพียงเรื่องเดียวว่า เมื่อครู่ต้วนเฉินเซวียนต้องหลอกนางอย่างแน่นอน!
“ท่านพี่!”
“อวิ้นเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงคุยกับเขานานนัก!” เขาร้อนใจแทบตายแล้ว! คุยอยู่ตั้งนานไม่ยอมออกมาเสียที เขาร้อนใจจนแทบจะบุกเข้าไปอยู่แล้ว!
“ท่านพี่ ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นเกาะแขนซูมั่วเยี่ยไว้พลางเอ่ยขึ้น “พวกเรากลับเรือนกันเถิด” นางอยากจะกลับบ้านไปนอนสักตื่นเสียเดี๋ยวนี้ เพราะแม้ว่าเมื่อครู่นี้นางจะดูสงบนิ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว…นางเพียงพยายามฝืนกลั้นเอาไว้เท่านั้น!
“อืม พวกเรากลับเรือนกันเถิด” เมื่อซูมั่วเยี่ยเห็นว่าไม่ว่าจะถามอย่างไรซูเหลียนอวิ้นก็ไม่ยอมบอกอะไร เขาจึงทำได้เพียงรู้สึกสงสัยเท่านั้น
คนทุกคนล้วนมีความลับด้วยกันทั้งนั้น ซูเหลียนอวิ้นเองก็เช่นกัน ดังนั้นหากซูมั่วเยี่ยพยายามจะบีบคั้นเอาความทุกเรื่องที่เป็นความลับของซูเหลียนอวิ้นล่ะก็ ซูมั่วเยี่ยเกรงว่าเขาคงอึดอัดใจตายไปนานแล้ว
มนุษย์ทุกคนต้องรู้จักความพอเพียง ตอนนี้ได้เท่านี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว ซูมั่วเยี่ยพยายามปลอบใจตัวเอง อย่างน้อยๆ ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นก็ปฏิบัติกับเขาอย่างสนิทสนมมากพอแล้วแถมยังชอบออดอ้อนเขาอยู่บ่อยๆ ด้วย!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ซูมั่วเยี่ยก็ก้มหน้าลงเพื่อจะได้มองใบหน้าของซูเหลียนอวิ้นอย่างละเอียดอีกครั้ง ทว่าเมื่อมองจากมุมสูงลงไปเช่นนี้…ซูมั่วเยี่ยก็พบว่าขอบตาของน้องสาวตนกลายเป็นสีแดงเสียแล้ว!
“อวิ้นเอ๋อร์ เมื่อครู่นี้เจ้าร้องไห้หรือ!” เจ้าต้วนเฉินเซวียนบังอาจรังแกน้องสาวของเขาเชียวรึ ตอนนี้ซูมั่วเยี่ยกำมือแน่นจนเสียงกระดูกลั่น
“เปล่าเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นขยี้ตา “เมื่อกี้มีลมพัดมานี่เจ้าคะ ลมแรงมากน้องเลยต้องหรี่ตาเจ้าค่ะ”
ซูมั่วเยี่ย “…”
เฮ้อ! ช่างเถิด…
“ถ้าอย่างนั้นตอนเราเดินทางกลับ น้องหญิงอยากจะแวะไปที่ร้านอัญมณีหน่อยหรือไม่ เผื่ออวิ้นเอ๋อร์จะมีของที่เข้าตา? “
“ดีเจ้าค่ะ! ท่านพี่จะเป็นคนจ่ายตังค์ใช่หรือไม่” เมื่อได้ยินว่าจะได้เครื่องประดับชิ้นใหม่ ซูเหลียนอวิ้นพลันดีใจขึ้นมา สุดท้ายรอยยิ้มจากใจที่หายไปนานก็กลับมาปรากฎบนใบหน้านางอีกครั้ง
“ไม่ต้องห่วง” ซูมั่วเยี่ยยิ้ม “พี่ต้องออกตังค์ให้เจ้าแน่ วันนี้อวิ้นเอ๋อร์เลือกได้ตามใจเลย”
“ดีๆๆ เจ้าค่ะ!” ครั้งนี้คงต้องเชือดโหดๆ เสียหน่อยกระมัง เพราะพี่ชายของนางเป็นแกะตัวอ้วนและก็ไม่ใช่ว่าจะยอมให้นางเชือดได้ง่ายๆ เช่นนี้ด้วย? อย่างน้อยวันนี้ก็มีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้นแล้ว!
ต้วนเฉินเซวียนหรี่ตามองไปยังซูเหลียนอวิ้นและพี่ชายที่เดินไกลออกไปเรื่อยๆ และเผลอตัวเลียริมฝีปากตัวเอง
เขาเห็นท่าทางของซูเหลียนอวิ้นที่ใจเต้นระล่ำในตอนนั้นอย่างชัดเจน ดังนั้น…ตอนนี้เขาจึงไม่สามารถใช้วิธีใช้ไฟอ่อนลวกหมู[1]ได้อย่างเดิมแล้วกระมัง เขารอไม่ไหวแล้ว คงต้องใช้ไฟแรงกระตุ้นหน่อยเสียแล้ว แต่จะเริ่มต้นจากผู้ใดก่อนดี?
——
[1] ใช้ไฟอ่อนค่อยๆ ต้มหมู ก็คือการดำเนินงานอย่างใจเย็นเชื่องช้า