ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 196 พระชายา
“องค์ชายเยียลี่ว์?” อันเพ่ยอิงถอนใจเบาๆ “วันนี้ทั้งวันข้ามิได้ออกไปไหนเลย ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”
อันเพ่ยอิงไม่อยากดื่มน้ำที่อยู่ในมือของตนแล้วจึงเอาวางลงไปอีกด้านหนึ่ง จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วเดินอย่างครุ่นคิดไปรอบๆ “เหตุใดจึงไม่ได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อนเลย แต่พอมาตอนนี้…นี่มันกระทันหันเกินไปหรือไม่”
“ก็ใช่น่ะสิ…” ซูปั๋วชวนถอนใจ
“นายท่าน ฮูหยิน มีคนขอเข้าพบขอรับ” ในตอนที่อันเพ่ยอิงกำลังถกกับซูปั๋วชวนว่าเรื่องนี้จริงแท้เป็นอย่างไรอยู่นั้น เสียงรายงานของเด็กรับใช้ทำเอาพวกเขาไม่ต้องสงสัยอะไรอีกต่อไป เพราะนี่ถือเป็นคำตอบให้พวกเขาได้อย่างดีแล้ว
“เป็นผู้ใดมารึ”
“เห็นว่าเป็นองค์ชายเยียลี่ว์ขอรับ” บรรยากาศในห้องตอนนี้หนักอึ้งยิ่งนัก แม้แต่เด็กรับใช้ผู้นี้ยังรู้สึกได้ ดังนั้นเสียงที่เขาเปล่งออกไปจึงเบาลงกว่าตอนที่เขารายงานประโยคแรกไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
ทว่าต่อให้เสียงเบามากเพียงใด ก็ยังได้ยินชัดเจนอยู่ดี
“นี่มัน…” อันเพ่ยอิงเริ่มร้อนรน “เร็วขนาดนี้เชียว ช่างเถิด ข้าไม่เปลี่ยนชุดแล้ว ออกไปทั้งอย่างนี้เลยก็แล้วกัน พาเขาไปที่เรือนหน้า อีกประเดี๋ยวข้าจะตามไป”
“ไปทำไม!” ซูปั๋วชวนกำหมัดแน่น “ส่งคนไปไล่มันกลับไปเสียก็สิ้นเรื่อง จะออกไปพบทำไมกัน!”
เด็กรับใช้มองคนทั้งสองตรงหน้าด้วยสีหน้าสับสน อีกผู้หนึ่งบอกว่าจะไปพบ อีกผู้หนึ่งบอกว่าไม่พบแถมยังบอกว่าให้ไล่เขากลับไปเสียด้วย
แล้วเขาต้องฟังผู้ใดกันแน่
“ท่านพี่” เสียงอันเพ่ยอิงเรียบเฉย “ท่านมิต้องไป ข้าไปคนเดียวก็พอ” เนื่องจากพวกเขาเป็นสามีภรรยากันมาเนิ่นนานแล้ว ดังนั้นอันเพ่ยอิงจึงคุ้นเคยกับนิสัยของซูปั๋วชวนมากเสียจนไม่รู้จะมากอย่างไรแล้ว
เรื่องนี้หากไม่เกี่ยวข้องกับซูเหลียนอวิ้นก็แล้วไป แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับซูเหลียนอวิ้น ดังนั้นไม่ว่าซูปั๋วชวนพยายามจะใจเย็นมากแค่ไหนก็คงจะใจเย็นไม่ไหว
“อย่างน้อยๆ ก็ออกไปฟังเขาให้รู้เรื่องว่าเขาอยากจะพูดอะไร รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งมิใช่หรือ” อันเพ่ยอิงสูดหายใจลึกพลางยิ้ม คำพูดที่ท่านพูดอยู่เป็นประจำเหตุใดกลับลืมไปได้”
“ข้า…” ซูปั๋วชวนอับจนถ้อยคำ “อย่างนั้นก็ได้ ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” เยียลี่ว์เยี่ยนผู้นี้เขาเคยพบมาก่อน เขาเป็นผู้ที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม! คนประเภทนี้ต่อให้ไม่ได้บอกว่าจะมาสู่ขออวิ้นเอ๋อร์ และเป็นเพียงคนแปลกหน้าธรรมดาคนหนึ่ง เขาก็แอบไม่ชอบขี้หน้าอยู่ดี
โดยเฉพาะเวลาที่เยียลี่ว์เยี่ยนยิ้ม ซูปั๋วชวนเห็นแล้วยิ่งรู้สึกขวางหูขวางตา สำหรับเขาแล้วนั่นเป็นรอยยิ้มจอมปลอมหาผู้ใดเปรียบได้!
“ท่านจะออกไปทำไมเล่า!” อันเพ่ยอิงเอ่ยอย่างเสียอารมณ์ “ท่านดูท่านสิ เสื้อผ้าก็ยังมิได้เปลี่ยน อีกอย่างหากท่านควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า ท่านรออยู่เฉยๆ เถิด ข้าไปคนเดียวก็พอแล้ว”
อันเพ่ยอิงหันตัวกลับไปแล้วไม่เหลียวมองซูปั๋วชวนอีก จากนั้นเดินตรงไปที่เด็กรับใช้ผู้นั้นที่ยิ้มเลื่อนลอยอยู่ที่เดิม “ไปกันเถิด ไปเรือนหน้า”
ภายในเรือนหน้า
“ฮูหยินซู” อันเพ่ยอิงยังไม่ทันได้เข้าไปในห้อง เพียงแค่มีเงาสะท้อนเข้าไปในห้องเท่านั้น เยียลี่ว์เยี่ยนก็ลุกขึ้นมาแล้วประสานมือคารวะให้อันเพ่ยอิงพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนุ่มนวล “ฮูหยินซู ข้าบุกมาเยือนกะทันหัน เป็นการเสียมารยาทแล้วกระมัง”
เมื่ออันเพ่ยอิงเผชิญกับท่าทางเช่นนี้โดยที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ไม่รู้จะวางตัวอย่างไร เนื่องจากท่าทางของเยียลี่ว์เยี่ยนในตอนนี้ หากเทียบกับท่าทางห้าวหาญวางโตในคืนงานเลี้ยงวันนั้น ถือว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเกินไป แต่แม้ว่าอันเพ่ยอิงจะรู้สึกสงสัยและเคลือบแคลงใจแต่กลับพยักหน้ารับพร้อมเอ่ยว่า “มิเป็นไร…มีแขกผู้มีเกียรติมาเยือน ถือว่ามาเป็นแขกไม่ถือว่าเสียมารยาทสักนิด”
“เช่นนั้นก็ดี” เยียลี่ว์เยี่ยนอมยิ้ม แล้วกลับไปนั่งที่เดิมโดยไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
“ยกชามา เหตุใดจึงไม่มีใครยกชาออกมาเล่า” ผ่านไปพักใหญ่ เดิมทีอันเพ่ยอิงหวังจะให้เยียลี่ว์เยี่ยนเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเยี่ยลี่ว์เยี่ยนควบคุมสติได้ดีกว่านาง
นางไม่ทันรอจนเยียลี่ว์เยี่ยนทนไม่ได้ เพราะนางเป็นฝ่ายทนไม่ได้เสียก่อนภายใต้สถานการณ์กระอักกระอ่วนน่าอึดอัดใจเช่นนี้
สาวรับใช้ที่อยู่ด้านหลังอันเพ่ยอิงต้มชาให้อย่างคล่องแคล่วแล้วยกมาวางไว้ใกล้ๆ มือของเยียลี่ว์เยี่ยน เยียลี่ว์เยี่ยนจึงยกขึ้นมาดมอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ชาชั้นดี มาครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่าไม่น้อยที่ได้สัมผัสกับของชั้นดีเช่นนี้”
“อย่างนั้นหรือ…” อันเพ่ยอิงฝืนหัวเราะสองสามที เพราะคุณภาพชาเป็นอย่างไร นางเป็นเจ้าของบ้าน ย่อมรู้ดีแก่ใจมากที่สุด
นี่เป็นเพียงชาธรรมดาๆ เท่านั้น หากจะบอกว่าคุณภาพดีก็คงพูดได้เพียงว่าดีกว่าชาที่วางกันทั่วๆ ไปเล็กน้อย อย่างไรก็ไม่มีทางเหมาะสมกับคำว่าชาชั้นดีคำนี้ได้
อันเพ่ยอิงกระแอมลำคอ เนื่องจากนางเริ่มมองออกแล้ว เยียลี่ว์เยี่ยนผู้นี้คงรอให้นางเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อนกระมัง อย่างนั้นก็รีบพูดให้มันจบๆ ไปเสียดีกว่า เพราะนางไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะมานั่งชมนั่นทีชมนี่กับคนจอมปลอมเช่นเขา
“มิทราบว่าองค์ชายเยียลี่ว์มาที่จวนของพวกเราในครั้งนี้มีธุระใดหรือไม่ ท่านคงมิได้มาเพื่อดื่มชาเพียงอย่างเดียวแล้วก็กลับกระมัง”
“แน่นอนว่ามิได้มาเพื่อใบชาของต้าชั่วเพียงอย่างเดียว” เยียลี่ว์เยี่ยนวางถ้วยน้ำชาลงแล้วยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “การมาของข้าในครั้งนี้อันที่จริงแล้วมีเรื่องอยากจะขอร้องฮูหยิน”
“อ้อ เรื่องใดหรือ” หากมองจากภายนอกคล้ายว่าอันเพ่ยอิงไม่ได้แสดงอาการอะไรออกไป แต่ในใจของนางกลับด่าเยียลี่ว์เยี่ยนเป็นร้อยเป็นพันครั้งไปแล้ว สาเหตุก็ไม่ได้เป็นเพราะเรื่องอื่นใดแต่เป็นเพราะ จะมาขอร้องรึ ขอร้องนาง เช่นนั้นอย่างน้อยๆ เจ้าก็ควรมีทีท่าเหมือนคนที่อยากจะขอร้องคนอื่นสักหน่อยดีหรือไม่
ท่าทางยิ่งยโสของเจ้าในตอนนี้แถมยังรอให้นางเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยปากก่อนอีก นี่มันเรื่องอะไรกัน ใช่การขอร้องคนอื่นหรือ
“ตลอดมานี้ตำหนักหลังของข้าขาดผู้ที่จัดการบ้านให้สงบเรียบร้อย” เยียลี่ว์เยี่ยนอมยิ้มอีก
“อ้อ ที่แท้องค์ชายเยียลี่ว์ต้องการจอมเวทย์ลมหรือ” อันเพ่ยอิงแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “เช่นนั้นองค์ชายก็มาหาผิดคนแล้วกระมัง เรื่องราวด้านนี้พวกเราไม่ค่อยมีความเข้าใจนัก เพราะครอบครัวของเราไม่เชื่อเรื่องราวประเภทนี้”
นั่นเป็นเพราะตระกูลซูคือจวนแม่ทัพ ซูปั๋วชวนก็เป็นผู้ที่ต่อสู้ในศึกสงครามและฆ่าคนด้วยอาวุธจริงๆ ดังนั้นหากกังวลเรื่องนี้…นี่ถือเป็นการหาเรื่องไม่เป็นเรื่องใส่ตัวแท้ๆ
“ฮึๆ ” เยียลี่ว์เยี่ยนก้มหน้าหัวเราะสองคราแล้วเอ่ยว่า “ข้าคิดว่าฮูหยินเข้าใจผิดแล้ว ความหมายของข้าคือ ตอนนี้ข้ายังขาดชายาอยู่”
“พระชายา?” อันเพ่ยอิงเลิกคิ้ว “มิรู้ว่าสตรีผู้ที่เข้าตาองค์ชายเยียลี่ว์จะต้องเป็นโฉมสะคราญถึงเพียงใดในเมื่อองค์ชายเยียลี่ว์ออกจะเพรียบพร้อมเช่นนี้ ดูท่าแล้วสตรีที่เหมาะสมจะต้องมิใช่สตรีธรรมดาๆ เช่นลูกสาวของข้าที่ห้าวทโมนอย่างแน่นอน”
“เหตุใดฮูหยินต้องลดค่าบุตรีของตัวเองด้วยเล่า การร่ายรำของบุตรีของท่านในงานเลี้ยงวันนั้น ทุกคนล้วนเห็นความเยี่ยมยอด อีกอย่างหากจะกล่าวถึงรูปโฉม รูปโฉมของคุณหนูใหญ่ซูก็นับว่าเป็นอันดับต้นๆ ได้เลยเชียว”
อันเพ่ยอิงไม่ใส่ใจแล้วเอ่ยตัดบทต่อไปว่า “มิถูก นั่นเป็นเพียงข่าวที่พูดต่อๆ กันของคนอื่นเท่านั้น นิสัยที่แท้จริงของอวิ้นเอ๋อร์ดื้อรั้นกว่านั้นมากนัก”