ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 216 ต่างเพียงคำเดียว
“ฝนหยุดตกไปสักพักหนึ่งแล้วเจ้าค่ะ” หลีมู่เอ่ย “ตกลงมาแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น แม้ว่าตอนนั้นจะตกกระหน่ำลงมาจนเข้าใจว่าจะตกทั้งคืน สุดท้ายคิดไม่ถึงว่าจะตกเพียงครู่เดียวเท่านั้น”
“ไปกันเถิด” ซูเหลียนอวิ้นเก็บของทุกอย่างเรียบร้อย เมื่อพร้อมแล้วจึงเดินมุ่งหน้าไปยังเรือนของหวังฉือหวน
บนโต๊ะอาหารในครั้งนี้พวกเขาปฏิบัติตัวราวกับนัดกันไว้เรียบร้อยแล้วจึงไม่พูดอะไรกันแม้แต่คำเดียว ยิ่งเรื่องการหมั้นหมายของซูเหลียนอวิ้น ยิ่งไม่กล้าพูดหลุดออกมาจากปาก
นั่นเป็นเพราะหวังฉือหวนเองก็อายุมากแล้ว หากมีเรื่องให้ต้องคิดมากทุกๆ วัน คงจะไม่ดีต่อสุขภาพได้
บรรยากาศโดยรวมของอาหารมื้อนี้ดูแล้วเป็นไปด้วยความกลมเกลียวและคึกครื้น แต่ในความเป็นจริงแล้วความคิดในใจของแต่ละคนเป็นอย่างไรมีเพียงตัวพวกเขาเท่านั้นที่รู้
“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้าอยู่คุยเป็นเพื่อนกับย่าหน่อยเถิด” หลังจากมื้ออาหารจบ โดยปกติแล้วถึงเวลาที่ซูเหลียนอวิ้นต้องกลับแล้ว ทว่าครั้งนี้หวังฉือหวนเอ่ยปากออกมาเองดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนคุยกับหวังฉือหวนก่อนแล้วค่อยกลับ”ลูกพี่ ลูกพี่หญิง แล้วก็พี่เยี่ย” หวังฉือหวนยื่นมือออกมาชี้แต่ละคน “ข้าอยากจะคุยกับอวิ้นเอ๋อร์ไม่ใช่พวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าก็ควรจะรีบกลับไปได้แล้ว อย่ามานั่งหมุนไปหมุนมาอยู่ตรงนี้ ข้ามองแล้วเวียนหัว!”
อันเพ่ยอิงและซูปั๋วชวนสบตากันคราหนึ่งจึงพบว่าทั้งสองต่างไม่เข้าใจว่าครั้งนี้หวังฉือหวนมีเจตนาอะไร แต่ก็…ช่างเถิด อวิ้นเอ๋อร์อายุไม่น้อยแล้ว เรื่องราวทั้งหมดต่อจากนี้คงไม่อาจให้พวกเขาคอยรับผิดชอบแทนได้ไปตลอด บางครั้งการปล่อยให้นางคิดเองก็คงจะเป็นเรื่องดีเหมือนกัน
“ท่านแม่ อย่างนั้นพวกเราขอตัวกลับก่อน””ไปเถิดๆ !” หวังฉือหวนโบกมือด้วยอารมณ์สุดทนอีกมุมหนึ่งนิ้วมือของซูเหลียนอวิ้นกำลังจิกอยู่ในกระโปรง แล้วมองไปยังหวังฉือหวนอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เนื่องจาก…ท่าทางของท่านย่าในตอนนี้ทำให้นางรู้สึกว่านางถูกมองทุกอย่างอย่างทะลุปรุโปร่ง
ไม่ว่าความลับอะไรก็คงซ่อนเอาไว้ไม่ได้!
“อวิ้นเอ๋อร์ มานี่ มานั่งตรงนี้” หวังฉือหวนเอามือตบลงไปที่เบาะข้างๆ ตัว
“เจ้าค่ะ…” ซูเหลียนอวิ้นนั่งลงแล้วหันไปพูดว่า “ท่านย่า ท่านมีอะไรจะพูดกับหลานหรือเจ้าคะ””อันที่จริงก็ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร” เมื่อหวังฉือหวนเห็นว่าดวงตาของซูเหลียนอวิ้นยิ่งเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ ก็ยื่นมือออกไปลูบหน้าผากให้ “ข้าเพียงรู้สึกว่าช่วงนี้อวิ้นเอ๋อร์ไม่ค่อยสบายใจนัก? คิ้วของเจ้าถึงเลิกสูงเช่นนี้บ่อยๆ อันที่จริงเจ้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจ พูดให้ย่าฟังก็ได้เหมือนกัน
“เพราะย่าเองก็เคยผ่านวัยเช่นเจ้ามาก่อน” หวังฉือหวนยิ้มอย่างเบิกบาน “ดังนั้นอวิ้นเอ๋อร์สบายใจได้เลย ย่าไม่มีทางหัวเราะเยาะเจ้าอย่างแน่นอน”
“ไม่มีเจ้าค่ะ…” ซูเหลียนอวิ้นแอบส่าหน้าในใจ ต่อให้ท่านย่าผ่านเรื่องราวมามากมายเพียงใดก็ไม่มีทางเจอกับเรื่องราววุ่นวายเช่นเดียวกับนางอย่างแน่นอน! เพราะสิ่งที่นางกำลังประสบอยู่นั้นถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่ไม่เคยมีในรอบพันปีหรือหมื่นปีมาแล้วกระมัง
เรื่องนี้หากมีผู้ใดเป็นเหมือนอย่างนางคือต้องประสบพบเจอกับเหตุการณ์แบบเดียวกันเช่นนี้ นางคงจะต้องถลาเข้าไปสวมกอดคนผู้นั้นด้วยความขมขื่นแล้วกรีดร้องเพื่อแสดงถึงความรู้สึกขมขื่นรื้นน้ำตาของตัวเอง
เมื่อหวังฉือหวนเห็นซูเหลียนอวิ้นไม่เอ่ยอะไรกลับไม่โกรธอะไร นางเพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่เป็นไร ย่าเพียงอยากบอกเจ้าว่า ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ก็ตามขอเพียงอวิ้นเอ๋อร์หันหลังกลับมาเจ้าจะเห็นพวกเราอยู่เสมอ เจ้าจะไม่มีทางอยู่เพียงลำพัง”
“หลานรู้เจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าเพื่อหลบสายตาของหวังฉือหวน นางรู้แต่นาง…ยังอยากให้ตัวเองได้คิดหาวิธีแก้ปัญหานี้ให้ได้ด้วยตัวเองก่อน!
“เช่นนั้นก็กลับเถิด” หวังฉือหวนหยิบไม้เท้าขึ้นมาเพื่อใช้พยุงตัวเองยืนขึ้น “เวลานนี้ย่าเองก็ควรเข้านอนได้แล้ว อวิ้นเอ๋อร์เองก็ควรรีบกลับ ตอนนี้เจ้ายังอยู่ในวัยเจริญเติบโตอยู่นะ หากเวลานอนของเจ้าไม่พอคงไม่ดีแน่”
“เจ้าค่ะ ท่านย่า” ……”ท่านพี่ว่าอะไรนะ!” เสียงเล็กแหลมของอันเพ่ยอิงแผดเสียงดังขึ้นมาจากด้านในห้อง “ท่านว่าเยียลี่ว์เยี่ยนผู้นั้นยังไม่ยอมถอดใจอีกหรือ” เขาถึงขั้นกลับไปหาลี่หยวนตี้อีกครั้งเพื่อขอพระราชทานการแต่งงาน
อีกทั้งท่าทางของเขาในครั้งนี้ หากฟังจากคำพูดของลี่หยวนตี้แล้ว คำพูดของเขาแสดงความเด็ดขาดมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ!
“ดูรูปการณ์แล้วพวกเราคงช้าต่อไปอีกไม่ได้” ซูปั๋วชวนถอนใจ “พวกเราคงต้องรีบจัดการเรื่องการหมั้นหมายของซูเหลียนอวิ้นให้เร็วที่สุด”
“ก็ได้ๆ” อันเพ่ยอิงเอามือทาบอกไว้ “ข้าจะรีบไปเขียนจดหมายถึงจวนจิ้งอันโหวเดี๋ยวนี้ เพื่อจะได้นัดหารือเรื่องราวต่างๆ เพิ่มเติม” เพราะแม้ว่าเมื่อหลายวันก่อนจะเขียนจดหมายไปถึงพวกเขาแล้ว ทางฝั่งจวนจิ้งอันโหวเองก็ตอบจดหมายกลับมาแล้ว ทว่าเรื่องราวเช่นนี้…ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาฤกษ์งามยามดีให้ได้ ไม่เช่นนั้นก็ยังถือว่าเป็นการผลัดเวลาออกไป
ทว่าตอนนี้ท่าทางของเยียลี่ว์เยี่ยนทำให้พวกเขารู้ว่าไม่สามารถช้าได้อีกแม้แต่เพียงเสี้ยวนาที! ดังนั้นต้องรีบหาฤกษ์งามยามดีให้ได้! ไม่เหลือเวลาอีกต่อไป ต้องรีบจัดการเรื่องหมั้นหมายนี้ให้เรียบร้อยโดยเร็ว
“เพ่ยอิง” ซูปั๋วชวนลุกขึ้นยืนแล้วเอื้อมมือออกไปคว้าแขนเสื้อของอันเพ่ยอิงเอาไว้เพือรั้งนางเอาไว้ก่อน
“มีอะไรหรือ” อันเพ่ยอิงหันกลับมา แล้วพินิจพิจารณามองซูปั๋วชวน
ทว่าหลังจากพิจารณาดูดีๆ แล้วจึงพบว่า ท่าทางของซูปั๋วชวนในตอนนี้ แม้ว่าเพิ่งจะผ่านมาเพียงไม่กี่วันแต่สภาพของเขาเมื่อเทียบกับหลายวันก่อนถือว่าดูมีอายุขึ้นมากกว่าเดิมหลายปี
“เกรงว่าการหมั้นหมายอย่างเดียวคงจะไม่ได้แล้ว” ซูปั๋วชวนเอ่ยขึ้น “ฮ่องเต้บอกกับข้าว่า ท่าทางของเยียลี่ว์เยี่ยนคราวนี้ยืนกรานและเด็ดขาดผิดธรรมดา หากเป็นเพียงการหมั้นหมายแต่เพียงอย่างเดียว…อาจจะไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะใช้เหตุผลการหมั้นหมายนี้ช่วยเอาไว้ได้ ดังนั้นตอนนี้การหมั้นหมาย…อาจจะใช้ไม่ได้แล้ว”
“เช่นนั้นจะต้องทำอย่างไร” เห็นได้อย่างชัดเจนว่าอันเพ่ยอิงคิดไม่ถึงมาก่อนว่าปัญหาจะดำเนินมาถึงขั้นนี้ได้ ราวกับว่าช่วงเวลาที่พวกเขากำลังคิดหาทางแก้ปัญหากลับทำให้ทุกอย่างพังทลายลงอย่างไรอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นแล้ว…
“ต้องแต่งงาน” ซูปั๋วชวนจ้องตาอันเพ่ยอิงแล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่ “เช่นนี้มิสู้ให้อวิ้นเอ๋อร์…แต่งงานดีกว่า”
“แต่งงาน?” อันเพ่ยอิงเอียงคอ “ท่านพี่การแต่งงานไม่เหมือนการหมั้นหมายนะ” ต่างกันเพียงคำเดียวทว่าความหมายกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว
หมั้นหมายแล้วยังสามารถถอนได้ แต่การแต่งงานเล่า…? จะยกเลิกได้อย่างไร อีกอย่างหากต้องให้อวิ้นเอ๋อร์แต่งงานด้วยสาเหตุนี้แล้วจะไม่ถือเป็นความมักง่ายเกินไปหรือ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตทั้งชีวิตต่อจากนี้
“หากไม่อยากให้อวิ้นเอ๋อร์แต่งไปอยู่ที่เมืองเยียลี่ว์ วิธีนี้ก็จะเป็นเพียงวิธีการเดียวแล้ว” เมื่อซูปั๋วชวนถูกอันเพ่ยอิงจ้องมองเช่นนั้นก็เริ่มควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่อีกจึงปล่อยมือที่คว้าอันเพ่ยอิงเอาไว้แล้วหันกลับไปพูดต่อ “ประเทศต้องมาก่อน ลี่หยวนตี้…ถือว่าไว้หน้าพวกเรามากแล้ว ดังนั้นพวกเรา…””ดังนั้นพวกเราต้องเสียสละอวิ้นเอ๋อร์ใช่หรือไม่” อันเพ่ยอิงร้อนใจ “ใช่ ข้ารู้ว่าระหว่างประเทศกับคนเพียงคนเดียว หากชั่งน้ำหนักดูแล้วอะไรสำคัญ แต่…” ทุกคนย่อมเข้าใจเหตุผลดี ทุกคนล้วนพูดได้ แต่ที่ทุกคนสามารถพูดออกมาได้ง่ายๆ นั่นก็เป็นเพราะว่า…เรื่องไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเองก็เท่านั้น