ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 202 คัดเลือก
“คุณหนูเจ้าคะ” หลีมู่ทำหน้าบึ้งตึง มือไม้วุ่นอยู่กับการเก็บหนังสือที่ซูเหลียนอวิ้นรื้อออกมา
เพราะแม้ว่าคุณหนูของนางกำลังอ่านหนังสืออยู่ แต่หนังสือที่อ่านนั้นคือหนังสือนิยาย! แม้ว่านายท่านกับฮูหยินจะไม่ค่อยเข้มงวดในเรื่องนี้นัก บางทีถึงขั้นหละหลวมด้วยความรักใคร่ แต่จะอย่างไรก็ไม่ควรปล่อยให้โจ่งแจ้งเช่นนี้!
“อวิ้นเอ๋อร์” อันเพ่ยอิงเคาะประตูให้สัญญานสองสามครั้ง “แม่เข้าไปแล้วนะ”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านแม่ ท่านเข้ามาได้เลย” ซูเหลียนอวิ้นเลื่อนเก้าอี้มาพลางนั่งเผชิญหน้าออกไป
“ท่านแม่ ท่านพ่อล่ะเจ้าคะ” ซูเหลียนอวิ้นชะโงกมองไปทางด้านหลังของอันเพ่ยอิง ท่านพ่อมากับท่านแม่มิใช่หรือ เหตุใดตอนนี้ถึงมีแม่ของนางเข้ามาคนเดียว
“ท่านพ่อของเจ้า…” ตาของอันเพ่ยอิงลอกแลกก่อนเอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้ จู่ๆ ท่านพ่อของเจ้าก็นึกธุระเรื่องหนึ่งออกจึงขอตัวไปก่อน แต่ก็ไม่เป็นไร แม่พูดกับเจ้าเองก็เหมือนกัน”
“อ่อ เจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นเลิกคิ้ว ตอนนี้นางพอเดาออกคร่าวๆ แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
นางพอเดาได้ว่า…ท่านพ่อของนางคงจะเขินอีกแล้วกระมัง เฮ้อ ว่ากันตามตรงแล้วตั้งแต่วันที่นางกลับมาเกิดใหม่ วันนั้นถือเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ซูปั๋วชวนเข้ามาในห้องของนาง! ดูท่าแล้วครั้งนั้นคงรีบจนหน้ามืดตามัวกระมัง
เพราะโดยปกติแล้วไม่ว่าซูปั๋วชวนจะรีบหรือมีเรื่องด่วนมากเพียงใด เขาล้วนเรียกนางออกมาคุยด้านนอกห้องทุกครั้ง ดังนั้นครั้งนี้ก็….เอาล่ะ ให้ท่านแม่มาคุยกับนางเองก็ดีเหมือนกัน
“อวิ้นเอ๋อร์” อันเพ่ยอิงดึงมือซูเหลียนอวิ้นมานั่งลงบนเก้าอี้ที่ซูเหลียนอวิ้นเตรียมเอาไว้เมื่อครู่นี้แล้วเอ่ยว่า “อวิ้นเอ๋อร์ เจ้านั่งลงก่อนเถิด แม่มีเรื่องอยากคุยกับเจ้า…”
“เจ้าค่ะๆ” ซูเหลียนอวิ้นดึงมือกลับมาอย่างรวดเร็วแล้วนั่งลงเรียบร้อยอยู่บนเก้าอี้ “ท่านแม่ ท่านมิต้องรอช้าอะไรอีกแล้ว พูดมาได้เลยเจ้าค่ะ” นางพอเตรียมใจไว้บ้างแล้ว!
แม้ว่านางจะเดาไม่ออกว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่…ทว่าเรื่องที่ทำให้ทั้งอันเพ่ยอิงกับซูปั๋วชวนมาหานางถึงห้องพร้อมกันเพื่อคุยเรื่องนี้ได้นั้น นางคิดว่า… เรื่องนี้คงจะไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างแน่นอน!
“อวิ้นเอ๋อร์ อย่างนั้นแม่ขอพูดเข้าเรื่องเลยแล้วกัน” อันเพ่ยอิงเงยหน้าขึ้นแล้วกระแอมครั้งหนึ่ง “อวิ้นเอ๋อร์ เจ้าอยากหมั้นหมายเอาไว้ก่อนหรือไม่”
บรรยากาศเงียบสงัด
ผ่านไปครู่ใหญ่ ดวงตาของซูเหลียนอวิ้นจึงเบิกกว้างขึ้นแล้วเอ่ยอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “หมั้น หมาย?”
นางไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่
“ท่านแม่ เมื่อครู่นี้ท่านเพิ่งบอกว่าให้ข้าหมั้นหมายหรือเจ้าคะ” ทำไมอยู่ดีๆ ถึงมีความคิดอยากให้นางหมั้นหมายขึ้นมาได้เล่า เรื่องนี้มัน…เหนือการคาดเดาเกินไปจนทำเอานางตั้งตัวไม่ทัน
“อวิ้นเอ๋อร์ เรื่องนี้มันมีต้นสายปลายเหตุ” อันเพ่ยอิงฝืนยิ้ม “มิเช่นนั้นแล้ว เจ้าว่าแม่จะเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาทำไมกัน”
“เช่นนั้นก็รบกวนท่านแม่ ช่วยบอกเหตุผลกับลูกทีเถิด!”
เป็นเหตุผลและเรื่องราวใดกันที่ทำให้ท่านแม่ถึงตัดสินใจเรื่องสำคัญเช่นนี้!
“นี่คือพระราชโองการของฮ่องเต้”
“พระราชโองการของฮ่องเต้รึ” เสียงของซูเหลียนอวิ้นแหลมขึ้น “ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้ลูกหมั้นหรือเจ้าคะ” ฮ่องเต้ทรงมีเวลาว่างเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แม้ว่าภัยร้ายแรงของราชสำนักอย่างเรื่องราววุ่นวายของตระกูลหยางจะถูกกำจัดจนถอนรากถอนโคลนหมดไปแล้ว แต่นั่นก็คงจะไม่ถึงขั้นทำให้เจ้าแผ่นดินคนหนึ่งว่างถึงขั้นทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชักได้กระมัง
“อวิ้นเอ๋อร์ฟังแม่ให้จบก่อน…” จู่ๆ อันเพ่ยอิงก็รู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมา คำพูดประโยคเมื่อครู่นี้ ลูกสาวของนางคิดยิบย่อยไปถึงขั้นไหนกันแล้ว ถึงตรงนี้นางยังพูดไม่จบและยังไม่ได้อธิบายถึงเหตุผลที่สำคัญที่สุดเลย!
“การที่ฮ่องเต้อยากให้เจ้ารีบหมั้นหมายเอาไว้นั้นก็เป็นเพราะหวังดีกับเจ้า เพราะเมื่อวานนี้เยียลี่ว์เยียนได้มาเข้าเฝ้าฮ่องเต้กะทันหันเพื่อมาขอเจ้าแต่งงานด้วยตัวเอง”
ซูเหลียนอวิ้น “…อ้อ”
ตอนนี้มิใช่ว่านางควบคุมตัวเองได้ แต่เมื่อมีเรื่องใหญ่เช่นนี้ถาโถมเข้าใส่นาง สมองของนางในตอนนี้จึงเหมือนโดนกระแทก ดังนั้นนาง…ต้องค่อยๆ ย่อยเรื่องราวต่างๆ ให้ดี!
“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้ามิตกใจหรือ” อันเพ่ยอิงเหล่ตามอง เพราะขนาดเมื่อครู่นี้ท่าทีของนางตอนที่ได้ยินเรื่องหมั้นหมายยังตกใจจนแทบจะทะลุออกจากหลังคาห้องไป ตอนนี้พอได้ยินว่ามีคนมาสู่ขอนางแต่งงาน เหตุใดจึงเงียบไปเช่นนี้ได้
หรือว่าอวิ้นเอ๋อร์รู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว! ตอนนี้ใจของอันเพ่ยอิงเต้นระส่ำ
เรื่องนี้หากซูเหลียนอวิ้นรู้ล่วงหน้าแล้วล่ะก็ อย่างนั้นการที่พวกเขาเอ่ยปากไปว่าไม่อยากให้ซูเหลียนอวิ้นแต่งงานกับเยียลี่ว์เยี่ยน…ก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรกระมัง เพราะซูเหลียนอวิ้นมิได้มีปฏิกิริยาโต้แย้งอะไรเลย!
“ท่านแม่” ซูหลียนอวิ้นหันหน้ามาแล้วเอ่ยอย่างเซื่องซึมว่า “ลูกเพียงแค่ตกใจกับข่าวร้ายนี้เท่านั้น มิเป็นไรเจ้าค่ะ ท่านแม่พูดต่อเถิด ลูกยังฟังต่อไหวเจ้าค่ะ” รีบพูดออกมาให้มันจบๆ ไปรวดเดียวเลยจะดีกว่า มิเช่นนั้นแล้วหากแบ่งพูดเป็นช่วงๆ เช่นนี้ ประเดี๋ยวนางทำใจได้แล้ว เกรงว่าจะต้อง…ดังนั้นตอนนี้กลั้นใจฟังให้มันจบๆ ไปเสีย จากนั้นค่อยๆ ฝืนตัวเองให้ทำใจกับข่าวนี้ให้ได้ทีเดียว
“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้ามิรู้เรื่องของเยียลี่ว์เยี่ยนหรอกหรือ” แม้ว่าความคลางแคลงใจของอันเพ่ยอิงจะคลายลงไปมากแล้ว แต่นางก็ยังคงทนไม่ได้ที่จะถามซ้ำอีกรอบเพื่อยืนยันอีกครั้ง!
“ไม่รู้หรอกเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้า “ลูกจะไปติดต่อกับคนเช่นนี้ได้อย่างไร คนผู้นั้นมีฐานะอะไร แค่ลูกจะเจอหน้าเขายังยากเลยเจ้าค่ะ! ดังนั้นท่านแม่อย่าได้คิดเกินเลยเลยนะเจ้าคะ!”
“อย่างนั้นก็ดี…” เพื่อความไม่ประมาทจำเป็นต้องป้องกันไว้ก่อน!
“ดังนั้นตอนแรกสุดที่ท่านแม่บอกว่า…อยากให้ลูกหมั้นหมาย สาเหตุนั้นมาจากเยียลี่ว์เยี่ยนหรือเจ้าคะ”
“ถูกแล้ว พ่อของเจ้าและข้าล้วนไม่ยอมให้เจ้าต้องแต่งงานไปอยู่ต่างเมืองตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้แน่ แน่นอนว่าต่อให้เจ้าโตขึ้นกว่านี้ก็ไม่ได้! ดังนั้นฮ่องเต้จึงให้พ่อของเจ้าไปเข้าเฝ้าด้วยเรื่องนี้ พวกเราจึงคิดวิธีหนึ่งออกมาได้นั่นก็คือให้อวิ้นเอ๋อร์หมั้นหมายเอาไว้ก่อน”
อันเพ่ยอิงสังเกตสีหน้าของซูเหลียนอวิ้นอย่างระมัดระวังแล้วก้มหน้าเอ่ยต่อไปว่า “รอให้เรื่องนี้คลื่นลมสงบลงก่อน แล้วค่อยว่ากันเรื่องที่พวกเราจะขอถอนหมั้นก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร เพราะนี่เป็นการหมั้นหมายเท่านั้น มิได้มีความหมายสำคัญอะไร ดังนั้นอวิ้นเอ๋อร์มิต้องกังวลไป แม่กลัวอย่างเดียวว่าลูกจะไม่ยอมก็เท่านั้น”
“อ้อ เป็นเช่นนี้นี่เอง” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าเบาๆ “ถึงอย่างไรตอนนี้ก็คงไม่มีวิธีการอื่นแล้วกระมัง เช่นนั้น…หมั้นก็หมั้นเจ้าค่ะ คงจะไม่มีปัญหาอะไร!” ถึงอย่างไรชื่อเสียงของนางตอนนี้ก็โด่งดังมากพอแล้วในทุกๆ ด้าน! ดังนั้นให้นางได้มีชื่อเสียงอีกสักหน่อย นางก็ไม่มีปัญหาอะไร
เพราะคนอย่างนางตอนนี้ ในภายภาคหน้าหากยังมีคนกล้ามาสู่ขอนางอีก นางก็คงต้องพิจารณาให้ดีๆ เสียแล้ว เพราะคนผู้นั้นคง…กล้าหาญมากหรือไม่ก็รักนางด้วยใจจริง!
“อวิ้นเอ๋อร์ยอมรับเรื่องนี้ได้ก็ดี” อันเพ่ยอิงเอ่ยพลางถอนใจ “แม่รู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่เป็นธรรมกับเจ้า ดังนั้นเรื่องการหมั้นหมาย แม่คิดเอาไว้ว่าจะหาคนที่คุ้นเคยกับพวกเรามากหน่อยและเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกับพวกเราสักหน่อย”
“เจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นตอบรับเสียงแข็ง ทว่าในใจกลับยังคงบ่นไม่หยุด คนที่ท่านแม่ว่าเหมาะสมหรือ ใครกันที่ทำให้ท่านเห็นว่าเหมาะสมได้ เพราะเท่าที่นางรับรู้ด้วยตัวเอง ท่านแม่ของนางไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวของวัยหนุ่มสาวเช่นนี้ ดังนั้นตัวเลือกภายใต้ข้อจำกัดนี้ถือว่าน้อยมากทีเดียว!
อย่างนี้แล้วจะมีผู้ใดให้เลือกได้อีกเล่า?