ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 212 ภรรยา
ซูมั่วเยี่ยก้มหน้าเพื่อมองซูเหลียนอวิ้นผู้ที่กำลังหดตัวอยู่ในอกของเขาโดยไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีแล้วก็เกิดความรู้สึกสงสารนางจับใจจึงหันไปจ้องต้วนเฉินเซวียนเขม็ง “ยังไม่รีบไปให้พ้นๆ หน้าข้าอีกรึ”
“ข้า…” ต้วนเฉินเซวียนถอนหายใจยาว ครั้งนี้เขามิได้ก้มหน้าหนีไปดื้อๆ หรือระเบิดอารมณ์ออกไปเหมือนอย่างทุกครั้ง “ซูเหลียนอวิ้น เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่…”
“ข้าไม่เป็นไร” เสียงของซูเหลียนอวิ้นอู้อี้ “อย่างไรเสีย ข้าก็ไม่ตาย”
“อวิ้นเอ๋อร์!” ตอนนี้ซูมั่วเยี่ยโมโหขึ้นมาแล้ว คำพูดเรื่องเป็นเรื่องตายเหตุใดจึงออกมาจากปากนางทุกวัน!
“ท่านพี่…น้องอยากนอนแล้ว แถมที่นี่ก็หนาวมากด้วย” ซูเหลียนอวิ้นพยายามหดร่างกายของตัวเองให้เล็กลงไปอีก นั่นเป็นเพราะ…ถึงแม้ตำแหน่งตรงนี้จะอยู่ห่างไกลแต่ก็ยังมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาอยู่ดี คนที่ไม่ได้เดินผ่านมาก็มักจะเหลือบมองมาทางนี้ แม้ว่านางจะไม่โผล่หน้าออกมาแต่นางก็รับรู้ได้ถึงสายตาที่ทิ่มแทงเข้ามาพวกนั้น!
“ได้ พวกเราไปกันเถิด”
เมื่อกลับไปถึงกระโจมแล้ว ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้พักอยู่ที่นั่นนานนักก็อ้อนวอนขอกลับจวนซู นั่นเป็นเพราะ…ข้อแรก ที่นี่ไม่ใช่สถานที่สำหรับการรักษาตัว ข้อสองคนที่ผ่านไปผ่านมาแถวนี้เพื่อหัวเราะเยาะนางนั้นมีมากเกินไป
สุดท้ายแล้วจึงพักอยู่ที่นี่ได้เพียงหนึ่งวันเท่านั้น คนจวนตระกูลซูทั้งหมดก็กลับไปยังจวนของตัวเอง
ส่วนต้วนเฉินเซวียนเล่า ซูเหลียนอวิ้นเฝ้ารอเขามาหลายวัน เขาก็ไม่มา แต่กลับส่งยาหยกหิมะมาให้ทุกวันตามที่รับปากเอาไว้
……
เมื่อภาพความคิดสิ้นสุดลง ซูเหลียนอวิ้นก็ค่อยๆ หลุดจากภวังค์แล้วเอียงคอจ้องไปยังร่างไร้วิญญาณที่นอนอยู่บนเตียงเพราะโอกาสที่จะได้เผชิญหน้ากับร่างไร้วิญญาณของตัวเองนั้น ต่อให้เป็นในความฝันก็พบได้ไม่บ่อยนัก
ซูเหลียนอวิ้นเมื่อเห็นต้วนเฉินเซวียนหยุดทรมานร่างไร้วิญญาณของตนและค่อยๆ ลุกขึ้นยืน นางจึงถอนใจ เพราะเมื่อนางเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง จิตใจของนางก็ล่องลอยว่างเปล่า เพราะไม่ว่านางจะมองภาพเหตุการณ์นี้อย่างไร นางก็รู้สึกว่าแปลกเป็นอย่างมาก
ไม่นานนักต้วนเฉินเซวียนก็กลับมาในภาพเหตุการณ์อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ในมือของเขากลับถือของบางสิ่งกลับมาด้วย
ซูเหลียนอวิ้นพยายามเขยิบเข้าไปใกล้มากขึ้นเพื่อให้มองเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น แต่นางกลับได้ยินต้วนเฉินเซวียนเอ่ยว่า “ซูเหลียนอวิ้น เจ้าจำนี่ได้หรือไม่”
ซูเหลียนอวิ้นหรี่ตา อ้อ…จำได้สิ! แต่มันมาอยู่ในมือต้วนเฉินเซวียนได้อย่างไร นางเข้าใจมาตลอดว่ามันถูกหัวขโมยที่มีตาหามีแววไม่ขโมยไปแล้วเสียอีก!
สิ่งที่ต้วนเฉินเซวียนถืออยู่ในมือเป็นถุงหอมที่นางปักมันด้วยมือของตัวเอง ส่วนฝีมือการปักของนางเป็นอย่างไรนั้น…? หากมองในมุมมองของซูเหลียนอวิ้นแล้วมันเป็นแบบที่นางไม่ชอบเอาเสียเลย ดังนั้นตอนนั้นนางจึงไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดขโมยต้องขโมยมันไปด้วย เพราะด้านในว่างเปล่าและไม่มีเงินอยู่เลยแม้แต่แดงเดียว
“ของชิ้นนี้เป็นของที่เจ้ามอบให้ข้าในตอนแรกใช่หรือไม่” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา “แต่สิ่งที่เจ้าไม่รู้ก็คือความซุ่มซ่ามของเจ้าทำให้เจ้าทำของสิ่งนี้หล่นเอาไว้ระหว่างทาง”
ทำหล่นไว้? ซูเหลียนอวิ้นกระพริบตาปริบๆ เอาล่ะ…นางก็ว่าแล้ว…ว่าของอย่างนี้ต่อให้หล่นอยู่บนพื้นก็คงไม่มีผู้ใดคิดจะเก็บกระมัง!
“ยังดีที่ข้าไปเจอเข้า เจ้าจะทำหายทั้งทีก็ไม่ยอมทำหายดีๆ แต่ถึงกับทำหล่นไว้หน้าประตูสำนักมหาเสนาบดี เจ้าบอกข้ามาว่าเจ้าตั้งใจใช่หรือไม่
“ของชิ้นนั้นที่เจ้าปักดูขวางหูขวางตาเสียขนาดนั้น ข้าเห็นคราแรกก็รู้แล้วว่าเจ้าเป็นคนทำ สุดท้ายผู้เก็บได้กลับเป็นเจ้าหันหงไท่ผู้นั้นแล้วบอกว่ามันอยู่ที่เขา ซูเหลียนอวิ้น ตอนที่ข้าเห็นท่าทางได้ใจของหันหงไท่ในตอนนั้น เจ้ารู้ไหมว่าข้าคิดอะไรอยู่บ้าง ข้าไม่ได้แค่อยากจะต่อยคนที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีอย่างมันเท่านั้น แต่ข้าอยากจะจับต้นตอของเรื่องนี้อย่างเจ้ามาสั่งสอนสักยก!”
ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง…ซูเหลียนอวิ้นไร้คำพูดใด มิน่าเล่าตอนนั้นนางถึงรู้สึกว่าต้วนเฉินเซวียนคล้ายดินปืนที่พร้อมระเบิดตลอดเวลาแม้จะขยับเพียงนิดเดียว นางไม่รู้เลยว่านางไปทำผิดเช่นนี้เอาไว้
“แม้ว่าทุกๆ ครั้งข้าจะมีท่าทีดูแคลนของของเจ้ามากถึงขั้นนั้น แต่อันที่จริงแล้ว…ซูเหลียนอวิ้นข้าผิดไปแล้ว อันที่จริงแล้วในใจข้ามิได้คิดเช่นนั้นเลย ข้าเก็บของทุกอย่างของเจ้าเอาไว้เป็นอย่างดี สำหรับน้ำใจของเจ้า ข้าเองก็…ที่ผ่านมาข้าไม่ยอมพูดจาดีๆ กับเจ้า นั่นเป็นเพราะข้าคิดว่าหากข้ายอมลดความระมัดระวังในตัวเจ้าลง ข้าคงไม่รู้จะทำตัวอย่างไรกับเจ้าดี
“เจ้ามีเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนคนๆ หนึ่งเอาได้ง่ายๆ ….ดังนั้นข้าจึงพยายามเตรียมแรงกายและแรงใจของข้าเอาไว้ป้องกันเจ้าอย่างเต็มที่”
นั่นเป็นเพราะข้ากลัว ข้ากลัวว่าหากข้าไม่ทันระวังตัว ข้าจะเดินตกลงไปในเหวลึกโดยที่ไม่รู้ตัว แต่ที่แท้แล้ว…ตัวข้าเองได้ตกลงไปตั้งนานแล้วแต่กลับมิรู้ตัว?
“เพราะฉะนั้นนะซูเหลียนอวิ้น” ต้วนเฉินเซวียนไม่ยอมปล่อยมือออกจากร่างไร้วิญญาณนั้น “ข้าพูดกับเจ้าตั้งมากมายขนาดนี้แล้ว เจ้าตื่นขึ้นมาได้หรือไม่ เจ้าอย่าเอาแต่นอนเช่นนี้! ขอแค่เจ้าฟื้นขึ้นมา เรื่องราวทุกอย่างเราค่อยว่ากันทีหลังได้!”
ขอแค่เจ้าตื่นขึ้นมา
ซูเหลียนอวิ้นถอนหายใจยาว สภาพของนางตอนนี้คงตื่นขึ้นมาไม่ไหวแล้ว แต่ต้วนเฉินเซวียนผู้นี้…? กลับแปลกประหลาดเสียจนทำให้นางรู้สึกกลัว
ไม่ใช่คนร้ายกาจและไม่ใช่คนที่มักจะรังเกียจนาง และไม่ใช่คนที่ชอบมาก่อกวนนางเวลาว่างอย่างเช่นปัจจุบันนี้ แต่กลับเป็นอีกคน…ต้วนเฉินเซวียนที่กำลังตกอยู่ในสภาพดื้อรั้น
โดยไร้เหตุผลใด ระหว่างที่นางกำลังมองภาพภาพนี้อยู่นั้น ซูเหลียนอวิ้นก็คิดถึงวลีหนึ่งที่มีสี่คำขึ้นมาได้คือ ‘หน้ามืดตามัว’ ภาพภาพนี้ทำให้ผู้เห็นรู้สึกสยดสยองอย่างยิ่ง!
ภาพที่เห็นเปลี่ยนฉากไป เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นอีกที พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในห้องนอนของต้วนเฉินเซวียนอีกต่อไปแล้ว แต่กลับมาอยู่ที่ที่พักของหรงซู่
“ศิษย์พี่” สภาพของต้วนเฉินเซวียนในตอนนี้ไร้ซึ่งโทสะใดคล้ายเป็นตุ๊กตาผ้าที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ สายตาล่องลอยว่างเปล่า เสียงแหบแห้งต่ำแหบแห้ง เสื้อผ้าเองก็เช่นกัน แม้ว่าเมื่อดูเผินๆ แล้วเขาจะแต่งตัวดีมาก แต่ซูเหลียนอวิ้นกลับดูออกว่าของวิจิตรประณีตหลายๆ อย่างที่ต้วนเฉินเซวียนชอบใส่ เขากลับไม่ได้ใส่พวกมันในตอนนี้
ผู้ที่ได้รับความรักความเอาใจใส่ผู้นั้น ผู้ที่เมินเฉยต่อทุกๆ คนเสมอ ผู้ที่มีพลังเต็มเปี่ยมตลอดเวลาอย่างต้วนเฉินเซวียน…จะมีช่วงเวลาเช่นนี้ด้วยหรือ
“ศิษย์น้อง…” หรงซู่ยื่นมือออกมาคิดจะพยุงต้วนเฉินเซวียนเอาไว้ เนื่องจากสภาพของเขาในตอนนี้เกรงว่าผู้ใดก็ตามที่คุ้นเคยกับเขา เมื่อเห็นแล้วก็คงจะอดไม่ได้ที่จะถามว่า ‘เจ้ายังไหวอยู่หรือไม่’
“ศิษย์น้อง ที่เจ้าแบกเอาไว้ข้างหลังคือ…” หรงซู่ชี้ไปยังลังไม้ขนาดใหญ่ที่ต้วนเฉินเซวียนแบกเอาไว้ “ด้านในมีอะไร สภาพเจ้าเป็นเช่นนี้เจ้ายังจะแบกของแบบนี้มาตลอดทางหรือ”
ซูเหลียนอวิ้นมองไปยังลังไม้ขนาดใหญ่ จากนั้นจึงเกิดความสังหรณ์ใจบางอย่างขึ้นมาอย่างรุนแรง นางรู้สึกว่า…ของที่อยู่ข้างในคงจะมิใช่…?
“ด้านในคือภรรยาของข้า” ต้วนเฉินเซวียนเงยหน้าขึ้นด้วยสายตาที่หนักแน่นมั่นคง “แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้นางหลับอยู่ เพราะฉะนั้นแล้วศิษย์พี่ ท่านช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่ ช่วยทำให้นางตื่นขึ้นมาที”
หรงซู่กลืนน้ำลาย เนื่องจากสภาพของต้วนเฉินเซวียนเป็นเช่นนี้…ล้วนทำให้ทุกคนที่พบเห็นต่างต้องสลดใจอย่างยิ่ง! ทว่าหรงซู่ก็เข้าใจดี ตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว ดังนั้นแล้วตนอย่าพูดอะไรที่มันแทงใจเขาเพิ่มอีกจะเป็นการดีที่สุด