ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 221 ทรัพย์สิน
“ตกลง ไม่เป็นไร” คราวนี้จางเจาหวาไม่ร้อนใจแล้ว นางเพียงก้มหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบอึกหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “แต่ก็หวังว่าฮูหยินซูจะรีบตัดสินใจแต่เนิ่นๆ เพราะตอนนี้เวลาก็ค่อนข้างบีบกระชั้น ต่อให้กำหนดเวลาได้แล้ว…พวกเราก็ต้องเตรียมของต่างๆ แต่เนิ่นๆ ด้วยถูกหรือไม่”
มือของอันเพ่ยอิงกำเอาไว้แน่น เพราะจางเจาหวาเอ่ยได้ถูกต้อง
ต่อให้กำหนดวันได้แล้ว พวกเขายังต้องเตรียมชุดแต่งงานและงานเย็บปักถักร้อยต่างๆ … ต่อให้เริ่มลงมือเย็บปักตอนนี้ก็แทบจะไม่ทันการอยู่แล้ว อย่างนั้นขืนยังชักช้าอยู่? ก็คงจะ…
เมื่อจางเจาหวาเห็นว่าอันเพ่ยอิงเริ่มเข้าใจความหมายในคำพูดของนางแล้ว นางก็ไม่ราดน้ำมันไปบนกองเพลิงอีกเพียงแค่หันไปพยักหน้าให้ต้วนเฉินเซวียนเพื่อแสดงให้รู้ว่าพวกเขากลับได้แล้ว
ตั้งแต่ต้วนเฉินเซวียนเข้ามาในเรือน เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ นั่นไม่ได้เป็นเพราะว่าเขาตั้งใจไม่พูด แต่เป็นเพราะว่าระหว่างการสนทนาของสตรีนั้น…เป็นเรื่องยากที่เขาจะเข้าไปร่วมวงด้วย ดังนั้นตอนนี้แม้ว่าเขาอยากจะเสนอออกไปว่าให้เรียกซูเหลียนอวิ้นออกมาคุยด้วยกันเลย พวกเราจะได้คุยกันให้รู้เรื่องทีเดียวก็ตาม
แต่เมื่อเห็นเจตนาของจางเจาหวาแล้ว…ช่างเถิด คืนนี้ค่อยมาใหม่ก็ได้
ต้วนเฉินเซวียนลูบคาง อย่างไรเสียเขาก็คุ้นเคยถนนหนทางในจวนซูเป็นอย่างดีตั้งนานแล้ว คุ้นเคยเสียยิ่งกว่าความคุ้นเคยที่เขามีต่อจวนของตัวเองในปัจจุบันเสียอีก
“เช่นนั้นขอให้คุณชายกับฮูหยินโหวเดินระวังด้วย” อันเพ่ยอิงยืนขึ้นแล้วแล้วยิ้มให้ด้วยใบหน้าที่ซีดขาวเพื่อส่งพวกเขา
“มิเป็นไรๆ” จางเจาหวาดันตัวอันเพ่ยอิงให้นั่งลง “ตอนนี้เจ้ามีเรื่องตั้งมากมาย อย่าเห็นพวกเราเป็นคนอื่นแลย อีกอย่างต่อให้มีเรื่องราวมากมายก็ไม่สำคัญเท่าสุขภาพร่างกายอยู่ดี”
“ดูสีหน้าของท่านตอนนี้ ขาวซีดอย่างกับอะไรแล้ว! หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งคือท่านต้องให้ความสำคัญกับการพักผ่อนด้วย พวกเราขอตัวลาแล้ว”
“ต้องขออภัยด้วยที่ข้ามิได้ไปส่งให้ไกลกว่านี้” อันเพ่ยอิงแสดงออกทางสีหน้าแล้วใช้สายตาส่งพวกเขาทั้งสองคนเงียบๆ
“ฮูหยิน” ชือฉิงที่อยู่ด้านข้างเอ่ยปากอย่างลังเล “ฮูหยิน เช่นนั้นพวกเรา…?”
“ไปเชิญอวิ้นเอ๋อร์ ท่านพี่และเยี่ยเอ๋อร์ไปรวมตัวกันที่เรือนของท่านแม่” พวกเขาก็ต้องมีส่วนในการตัดสินใจนี้เช่นกัน เวลาล่วงเลยไปทุกเมื่อ พวกเขาไม่สามารถผลัดวันไปได้อีกแล้ว ดังนั้นยิ่งตัดสินใจเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีต่อพวกเราทุกคนมากขึ้นเท่านั้น
ตอนนี้ซูปั๋วชวนกำลังไปทำความสะอาดปัดกวาดกิจการร้านค้าของตระกูลซูอยู่ เพราะบรรดาร้านรวงเหล่านี้ เขาตั้งใจว่าจะให้อวิ้นเอ๋อร์เป็นสมบัติติดตัวเจ้าสาวไปด้วย ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินคำเชิญของอันเพ่ยอิงเขาก็ไม่สนใจเรื่องการปัดกวาดใดๆ แล้วรีบตะบึงม้าไปโดยไม่หยุดฝีเท้า
“ฮูหยิน ท่านแม่” พักใหญ่เมื่อซูปั๋วชวนเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบผลักประตูเข้ามา หลังจากทำความเคารพหวังฉือหวนแล้ว เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่นี้เกิดปัญหาอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไร…” เสียงของอันเพ่ยอิงทุ้มลึก “คือว่า…ข้าเล่าเรื่องของอวิ้นเอ๋อร์ให้ท่านแม่ฟังแล้ว”
“ห๊ะ?” ซูปั๋วชวนแปลกใจ เพราะจนถึงตอนนี้ที่เรื่องเรื่องนี้ยังปิดบังหวังฉือหวนอยู่เป็นเพราะว่าพวกเขาเชื่อว่าบางทีอาจจะมีวิธีการอื่นที่จะช่วยให้ซูเหลียนอวิ้นไม่ต้องแต่งงาน
ดังนั้นจึงคล้ายว่าพวกเขาได้นัดเรื่องนี้กันไว้ในใจแล้วจึงไม่มีผู้ใดเคยเอ่ยเรื่องนี้กับหวังฉือหวน
“เหลวไหล!” หวังฉือหวนตบโต๊ะ “หากวันนี้เพ่ยอิงมิได้เอ่ยปากบอกข้า พวกเจ้าคิดจะปิดบังข้าไปจนถึงเมื่อไหร่กันแน่! นี่พวกเจ้ายังเห็นข้าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้อยู่หรือไม่ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ยังกล้าปิดบังไม่เอ่ยกับข้า!”
“ท่านแม่…” ซูปั๋วชวนพยายามอธิบาย “ข้าเพียงกลัวว่า…”
“กลัวอะไร กลัวว่าข้าจะรับเรื่องนี้ไม่ไหวจนต้องยกขาถีบเจ้าหรือ หรือว่าเจ้ากลัวว่าข้าจะสร้างความวุ่นวายให้แก่พวกเจ้าและเพิ่มความยุ่งยากให้กับอวิ้นเอ๋อร์”
ตอนนี้ในใจของหวังฉือหวนเดือดพล่านอย่างยิ่ง แม้ว่านางจะเข้าใจว่าซูปั๋วชวนปิดบังนางด้วยเหตุผลอะไร แต่นางก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี เพราะผู้ใดเล่าจะอยากจะเป็นคนคนเดียวที่ถูกตัดออกจากบ้าน?
เรื่องที่คนทั้งบ้านรู้แต่มีนางคนเดียวเท่านั้นที่ไม่รู้ รสชาติของความรู้สึกนี้เป็นความอึดอัดใจนัก
“ช่างเถิด ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาพูดอะไรเรื่องนี้” หวังฉือหวนจับไม้เท้าแล้วถอนใจยาว
เมื่อครู่นี้นางอยากจะยกมันขึ้นมาทุบซูปั๋วชวนสักที ทว่าอันเพ่ยอิงที่นั่งอยู่ข้างๆ รู้ถึงจุดประสงค์ของท่านแม่จึงพยายามกระตุกชายเสื้อของหวังฉือหวนเบาๆ นี่จึงทำให้หวังฉือหวนไม่ถึงขั้นควบคุมตัวเองไม่อยู่จนต้องยกไม้เท้าขึ้นมาฝาดคน
“แล้วพวกเจ้าวางแผนจะทำอย่างไรกันต่อ”
“ข้าคิดว่าไม่สามารถผัดวันได้อีกต่อไปแล้ว” อันเพ่ยอิงเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าแน่วแน่ “ผลัดไปวันหนึ่งก็ยิ่งเหลือเวลาน้อยลงไปอีกวันหนึ่ง อีกอย่างตอนนี้พวกเราก็ไม่เหลือหนทางอื่นแล้วมิใช่หรือ ดังนั้นรีบกำหนดวันให้ได้โดยเร็วเถิด…เพราะหากกำหนดเวลาช้าไปวันหนึ่ง ก็จะเหลือเวลาให้ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายต้องเตรียมน้อยลงไปอีกหนึ่งวัน”
หวังฉือหวนมิได้เอ่ยสิ่งใด นางเพียงก้มหน้ามองกระเบื้องปูพื้นอยู่พักหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้าๆ พร้อมเอ่ยว่า “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล สรุปเรื่องนี้…ลูกพี่ หากเจ้าไม่มีความเห็นอื่นก็เอาเช่นนี้ดีหรือไม่”
ซูปั๋วชวนกำหมัดแน่นไร้วาจา เพราะจะให้เขาพูดอะไรได้เล่า ถึงอย่างไรก็…ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว?
“ลูกพี่นี่เป็นรายการสินสอดที่คนจากจวนจิ้งอันโหวมอบให้ไว้ตอนที่เจ้าไม่อยู่” หวังฉือหวนหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาแล้วส่งให้เขา “เจ้าดูก่อนเถิด หากดูเพียงกระดาษแผ่นนี้…ความจริงใจของจวนจิ้งอันโหวถือว่าใช้ได้แล้ว”
ไม่ใช่ทุกตระกูลจะใจกว้างเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นทรัพย์สินจำนวนมากจะยิ่งทำให้มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น เพราะหากอยากจะเปิดทางก็ต้องใช้เงิน อีกอย่างหากฝ่ายหญิงได้ทรัพย์สินมากจะเจรจาตกลงอะไรก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น
ซูปั๋วชวนรับกระดาษมาแล้วกวาดตาอ่านเงียบๆ ของที่อยู่ในรายการล้วนเป็นของที่ล้ำค่า มูลค่ามากเป็นพันชั่ง แต่หากจะให้เทียบกันแล้ว หากจะต้องเอามาแลกกับลูกสาวของเขาล่ะก็…
ของพวกนี้ยังไม่นับว่ามีคุณค่าอะไร
“ถามความเห็นของอวิ้นเอ๋อร์ดูอีกทีหนึ่งเถิด” ซูปั๋วชวนเอ่ย “เพราะเวลาเช่นนี้ก็คงทำได้…เพียงเท่านี้กระมัง” ก็คงต้องเป็นเช่นนี้ ต่อให้คนอื่นๆ พยายามสู้ก็คงสู้คนอย่างต้วนเฉินเซวียนไม่ไหว
อีกอย่างด้วยเวลาที่บีบกระชั้น ตระกูลซูเองก็คงไม่มีความอดทนมากเพียงพอที่จะไล่ตามหาว่าผู้ใดที่มีความจริงใจแท้จริง ไล่ตามหาคนที่เอาแต่พูดว่าตระกูลของตนไม่มีเงินแต่กล้าสาบานได้ว่าหากซูเหลียนอวิ้นแต่งด้วยแล้วจะต้องไม่มีปัญหากับสภาพครอบครัวที่แท้จริงของพวกเขาอย่างแน่นอน
สามีภรรยาที่ยากจนจะลำบากยากแค้น ใช้ชีวิตอย่างขัดสนเงินทองสุดท้ายแล้วก็คงต้องพบเจอกับจุดจบที่น่าอนาถใจ อีกอย่างหนึ่งคือต่อให้พวกเขาพูดจาสวยหรูดูดีเพียงใด กินใจแค่ไหน แต่…ไม่มีทรัพย์สินมาวาง แล้วพวกตนจะเชื่อใจได้อย่างไร?