ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 224 รูปงาม
“ท่านรู้ด้วยหรือ” ซูเหลียนอวิ้นเลิกคิ้วถาม
“ข้าต้องรู้อยู่แล้ว” ต้วนเฉินเซวียนตอบอย่างมั่นใจ “กฎระเบียบของตระกูลซูโด่งดังเสียขนาดนั้น ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร”
“อืม รู้ก็ดีแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “เพราะถึงอย่างไรข้าก็แซ่ซู ข้าเองก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลซู” แต่กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงมีอะไรบ้างนั้น… ประเด็นนี้กลับมิได้ระบุไว้!
“กฎระเบียบของตระกูลซูมีเรื่องใดที่ข้องเกี่ยวกับสตรีบ้างหรือไม่” คราวนี้ถึงตาที่ต้วนเฉินเซวียนเป็นฝ่ายที่ต้องขมวดคิ้วบ้างแล้ว เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาไม่รู้เลย”อืม…ก็คงต่างจากของบุรุษไม่มากนัก” ซูเหลียนอวิ้นตอบอย่างคลุมเครือ “ก็คือว่า…สตรี…ก็มิอาจแต่งงานกับผู้ที่มีอนุภรรยาได้ แล้วก็หากอายุสี่สิบแล้วยังไม่มีลูกก็ให้เป็นฝ่ายขอหย่า ประมาณนี้”
“กฎนี้ยังมีอีกข้อใช่หรือไม่ นั่นก็คือหลังจากแต่งงานไปแล้วและมีอนุภรรยา…สตรีก็จะเป็นฝ่ายขอหย่า?”
“อ่าใช่ มิผิด!” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เมื่อหันหน้าไปมองต้วนเฉินเซวียนสายตาของนางก็ปะทะพอดีเข้าให้กับสายตาเต็มไปด้วยความขบขันของเขา…
เอาล่ะ ข้ออ้างที่ซื่อบื้อแบบนี้ หากต้วนเฉินเซวียนเชื่อก็คงแปลก!
แต่แม้ว่าจะถูกจับได้เช่นนี้ ซูเหลียนอวิ้นก็ไม่กลัวอะไร แต่กลับยืดตัวขึ้นแล้วหันไปสบตาพร้อมพูดว่า “มีกฎเช่นนี้จริงๆ ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ” ถึงอย่างไรบรรพบุรุษของนางก็เป็นคนธรรมดา ดังนั้นกฎต่างๆ ก็ถูกกำหนดขึ้นโดยคนธรรมดา
อีกสักหนึ่งร้อยปีผ่านไป นางก็จะกลายเป็นบรรพบุรุษของตระกูลซูด้วยเช่นกันมิใช่หรือ อีกอย่างนางก็แซ่ซูเช่นกัน ดังนั้นจะว่าไปแล้วกฎสองสามข้อนี้ก็สามารถพูดได้ว่าเป็นกฎที่ถูกกำหนดขึ้นมาใหม่ก็ไม่ผิดอะไร เพราะหากซูปั๋วชวนรู้เรื่องนี้ก็คงจะสนับสนุนความคิดของนางเช่นกัน
“กฎข้อนี้ก็มิเห็นมีอะไรเลย” ต้วนเฉินเซวียนไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดแปลกจึงยังคงยิ้มอย่างเก่าแล้วเอ่ยว่า “ก็แค่ไม่แต่งอนุเข้ามามิใช่หรือ อย่างไรชีวิตนี้ข้าก็ไม่เคยคิดจะแต่งอนุเข้ามาอยู่แล้ว เรือนหลังของจวนจิ้งอันโหวมีเพียงสองคนก็เพียงพอแล้ว”
ตอนที่ได้ยินครึ่งประโยคแรก ซูเหลียนอวิ้นอยากจะบอกว่าไม่ว่าคำพูดนี้จะเป็นความจริงหรือไม่ นางก็รู้สึกปลื้มและตื่นตันใจทั้งสิ้น แต่ครึ่งประโยคหลังนั้นหมายความว่าอย่างไร
สองคน?
นอกจากนางแล้วจะยังมีผู้ใดได้อีก ที่บอกว่าจะไม่แต่งอนุเข้ามานั่นหมายความว่าตั้งใจจะรับเมียน้อยเข้ามากินมานอนกับนางเลยใช่หรือไม่!
โอ้โห ช่างปากดีและอาจหาญมาก! สีหน้าของซูเหลียนอวิ้นไม่แสดงออกอะไรมากนัก ทว่ามือของนางกลับกำหมัดเอาไว้แน่น
นี่นางยังมิได้แต่งงานกับเขาเลยนะ ต้วนเฉินเซวียนกลับกล้าคิดจะมีเมียน้อยเสียแล้ว! คงรักกันลึกซึ้งน่าดู อย่างนั้นนางจะเข้าไปยุ่งวุ่นวายด้วยสถานะอะไร พรุ่งนี้ก็แล้วกัน พอฟ้าสว่างนางจะไปหาอันเพ่ยอิงเสียหน่อย
การแต่งงานครั้งนี้ผู้ใดอยากจะแต่งก็แต่งไปเถิด แต่ให้ตายอย่างไรนางก็ไม่แต่ง! หากเป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้ไม่ผิดล่ะก็ นางก็จะตัดสินใจเช่นนี้!
“ซูเหลียนอวิ้น เจ้าเข้าใจผิดแล้ว…ข้ามิได้เป็นอย่างที่เจ้าเข้าใจ! เจ้าอย่าคิดมากสิ!” ต้วนเฉินเซวียนกลืนน้ำลาย เมื่อครู่นี้เขาเพียงอยากจะเล่นมุขนิดๆ หน่อยๆ เพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่า…อุณหภูมิจะลดลงเรื่อยๆ เช่นนี้
เพราะแม้ว่าสีหน้าของซูเหลียนอวิ้นจะไม่แสดงสีหน้าหรือปฏิกิริยาอะไรออกมา ทว่าบรรยากาศและความกดดันรอบๆ ตัว คล้ายว่าจะลดลงเข้าสู่ความหนาวยะเยือกหลังจากที่เขากล่าวประโยคนั้นจบลง!
“ข้าเข้าใจอะไรผิดหรือ” ริมฝีปากของซูเหลียนอวิ้นแสยะยิ้ม “อีกอย่าง ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าคิดอะไรอยู่”
โมโหอย่างแรงจริงๆ ด้วย…
ต้วนเฉินเซวียนอยากจะให้เวลาย้อนกลับได้ เขาจะได้กลับไปตบหน้าตัวเองสักสองที! เพราะคำพูดดีๆ ไม่รู้จักพูด! อันที่จริงแล้วความหมายของคำพูดนั้นเหมาะสมและน่าอบอุ่นยิ่ง แต่เมื่อเปลี่ยนวิธีการพูดก็สามารถทำให้คนเข้าใจความหมายผิดไปได้!
“ความหมายของคำพูดเมื่อครู่นี้คือ เรือนหลังของจวนเราจะมีเพียงเจ้ากับท่านแม่ของข้าสองคนเท่านั้น ข้าไม่มีทางแต่งหรือรับอนุเข้ามาอยู่ด้วยอยู่แล้ว” พัวพันกับสาวน้อยอย่างเจ้าเพียงคนเดียวก็แทบเอาชีวิตของข้าไปครึ่งหนึ่งแล้ว หากข้ามีอีกคนหนึ่ง ข้าก็คงมิต้องมีชีวิตอยู่แล้ว!
ดังนั้นเพื่อให้ตนมีอายุที่ยืนยาว ชีวิตนี้ของเขาคงจะมีเพียงซูเหลียนอวิ้นเป็นผู้หญิงของเขาได้เพียงคนเดียวเท่านั้น
“อ้อ เช่นนี้เองหรือ” สีหน้าเย็นชาของซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ ดีขึ้น แต่ยังคงตีสีหน้าเอาไว้เช่นเดิมแล้วเอ่ยว่า “อันที่จริงท่านอยากจะแต่งอนุเข้ามาก็มิเป็นไร ข้ามิได้ขี้หึงถึงขนาดจะมิให้ท่านรับ เรื่องนี้ก็มิใช่เรื่องใหญ่อะไร” ก็แค่รับอนุเข้ามามิใช่รึ มีเรื่องใหญ่กว่านี้เยอะ รับก็รับเถิด รับมาเยอะๆ ต่างหากถึงจะดี! ถึงตอนนั้นพอรับเข้ามาเยอะๆ เข้า ตระกูลซูก็จะมีข้ออ้างในการขอหย่า?
“เจ้าไม่หึงจริงๆ หรือ” ต้วนเฉินเซวียนคล้ายคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา ดวงตาของเขาจึงปรากฏรอยยิ้ม
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นสาส์นที่ส่งมาทางสายตาของต้วนเฉินเซวียนเช่นนั้น หน้าของนางพลันแดงก่ำ ก็ได้ หากเป็นเมื่อก่อน…นางไม่เพียงเป็นคนที่ขี้หึงหวงเท่านั้น แต่นางยังเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจมากคนหนึ่ง
เมื่อชาติก่อน เหตุผลที่รอบกายของต้วนเฉินเซวียนไม่มีสตรีผู้อื่นกล้าเข้าใกล้นอกจากนางนั้น…นอกจากความเย็นชาของตัวเขาเองและสายตาที่มองสตรีทุกคนอย่างรังเกียจจนทำให้ทุกคนต้องเผ่นกลับจวนแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญก็เป็นเพราะนางด้วย!
เนื่องจากในตอนนั้นก็มีคนที่คิดเช่นเดียวกับนาง เก็บความไม่ใส่ใจของต้วนเฉินเซวียนเอาไว้แล้วลิ้มรสกับความไม่ยอมแพ้
แต่ในตอนนั้นเหตุใดซูเหลียนอวิ้นถึงมีความคิดแบบเดียวกับคนพวกนั้น? ในตอนนั้นหากนางรู้สึกว่าผู้ใดมีความคิดในทางนั้น นางจะพยายามอยู่ใกล้ๆ กับต้วนเฉินเซวียนตลอดเวลาเมื่ออยู่ต่อหน้าคนพวกนั้น เพื่อให้เป็นที่บาดตาบาดใจ ถึงอย่างไรต้วนเฉินเซวียนจะไล่นางไปก็ต่อเพียงเมื่อรู้สึกว่านางยุ่งกับเขามากเกินไปเท่านั้น
แต่ขอบเขตมากน้อยเพียงใด เวลาที่ลงมือทำนั้น นางย่อมเป็นคนที่รู้ดีเรื่องนี้มากที่สุด
ดังนั้นในสายตาของคนนอกที่ไม่คุ้นเคยกับพวกเขาสองคน จะเข้าใจภาพนี้ว่า คนหน้าตาดีคู่นี้มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อกันมาก! ดูความรักที่แม่นางผู้นี้มีต่อหนุ่มคนนี้สิ แม้ว่าหนุ่มคนนี้จะไม่ค่อยแสดงออกอะไร แต่ก็ดูเหมือนรู้สึกเอ็นดูมากทีเดียว!
แต่ความจริงที่ซ่อนอยู่ในนั้นเป็นอย่างไร มีเพียงซูเหลียนอวิ้นเท่านั้นที่รู้!
“นั่นเป็นเรื่องราวในอดีตไปแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นกระแอมแล้วเอ่ยขึ้นพลางเลิกคิ้ว “ปัจจุบันไม่เหมือนอย่างในอดีต ทั้งหมดได้เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้วท่านว่าจริงหรือไม่”
“ที่เจ้าพูดนั้นมิผิด” ต้วนเฉินเซวียนพยักหน้า “หลายๆ เรื่องได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วจริงๆ” เพราะหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น แล้วจะเกิดเหตุการณ์ที่ซูเหลียนอวิ้นยอมแต่งงานกับเขาได้อย่างไร
ซูเหลียนอวิ้นถูกสายตาอันเร่าร้อนของต้วนเฉินเซวียนมองจนหน้าของนางเริ่มร้อนผ่าว เพียงครู่เดียวเท่านั้นคำพูดที่นางเตรียมเอาไว้อย่างดีแล้ว พอมาถึงตอนนี้กลับพูดอะไรไม่ออกสักอย่าง! เพราะยิ่งเปิดปากพูดมากเท่าไหร่ก็มีแต่จะทำให้เขารู้สึกว่า…นางกำลังเย้าแหย่เขาอยู่!
เพราะความหมายที่แฝงอยู่ในแววตานั้นมากมาย คำพูดหลายๆ อย่างจึงไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมา แต่สามารถอ่านทุกอย่างออกได้ผ่านทางสายตาทั้งหมด