ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 235 เอาน้ำไปให้
ซูเหลียนอวิ้นรื้อชุดออกมากองเอาไว้ นางพลิกไปพลิกมาอยู่ตรงนี้สามสี่รอบแล้ว จนสุดท้ายตัวเองเริ่มหงุดหงิดเสียแล้ว
“ท่านพี่ พวกเรากลับกันดีหรือไม่” อันที่จริงแล้วตั้งแต่ตอนที่ซูเหลียอวิ้นเข้ามา นางก็รู้สึกวุ่นวายใจจิตใจไม่อยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรกแล้ว
แม้ว่าจะพยายามอย่างยิ่งให้สายตาของตัวเองหยุดอยู่ที่เสื้อผ้า แต่สุดท้ายกลับหยุดได้เพียงสายตาเอาไว้ที่นี่เท่านั้น แต่จิตใจของนางไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย แล้วการหยุดสายตาเอาไว้ที่นี่มันจะมีประโยชน์อะไรเล่า
“เช่นนั้นพวกเราไปที่ร้านเป่าหวาไจกันดีหรือไม่” ร้านเป่าหวาไจกับร้านอู่เซียงเก๋อตั้งอยู่ติดกัน ดังนั้นการที่ซูมั่วเยี่ยเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้อันที่จริงแล้วเขามีเป้าหมายเพื่อที่จะลองหยั่งเชิงดูเท่านั้นเอง
แม้ว่าซูเหลียนอวิ้นจะรู้ว่าในคำถามนี้มีความหมายซ่อนอยู่ แต่สุดท้ายแล้วกลับยิ้มออกมาอย่างเขินๆ แล้วพยักหน้า “ตกลงเจ้าค่ะ”
อันที่จริงนางอยากพูดว่าจะไปดูต้วนเฉินเซวียน เนื่องจากอากาศร้อนเช่นนี้ การให้ออกไปเผชิญกับความร้อนเช่นนี้คงจะ…ถึงอย่างไรเมื่อครู่นี้นางก็เห็นแล้วว่าต้วนเฉินเซวียนสภาพย่ำแย่ขนาดไหน ซึ่งก็เพียงพอสำหรับนางแล้ว หากเขาต้องเจ็บตัวเพราะเรื่องนี้ล่ะก็ จะถือเป็นเรื่องหนึ่งที่นางคิดไม่ถึงมาก่อน
นี่เหมือนกับการวางแผนจะแกล้งผู้ใดสักคนหนึ่ง โดยคิดเพียงแค่ว่าต้องการที่จะแกล้งเขาเท่านั้นและไม่ได้คิดเอาไว้ก่อนว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจะเลวร้ายถึงขั้นไหน! ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นจึงหวังว่าจะรีบมุ่งกลับไปยังร้านอู่เซียงเก๋อเพื่อดูว่าต้วนเฉินเซวียนยังอยู่ที่นั่นหรือไม่ หากเขายังอยู่อีกล่ะก็…อันที่จริงนางสมความปรารถนาของตัวเองแล้ว ดังนั้นเขาคงไม่ต้องเข้าแถวต่อไปอีกแล้ว!
“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด” ซูมั่วเยี่ยจูงมือซูเหลียนอวิ้นไป มืออันใหญ่ของเขากุมมือน้อยๆ นุ่มนิ่มของซูเหลียนอวิ้นเอาไว้แน่น ความอบอุ่นและหนาของฝ่ามือก็ไม่ต่างอะไรจากตัวเขาเอง การกระทำนั้นสามารถเอาชนะคำพูดได้อย่างขาดลอย
อีกด้านหนึ่ง ด้านข้างร้านอู่เซียงเก๋อ
“พี่ต้วน ท่านคิดจะต่อแถวอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน” คราวนี้พัดของหันชิงอวี่ถือว่าได้ใช้งานจริงๆ แล้ว แต่พัดกลับมีแค่อันเดียว ดังนั้นจะเอาพัดออกมาพัดคลายร้อนหรือจะเอามาบังแดดดี? การที่ต้องเลือกก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่งเช่นกัน!
ตอนนี้ช่วงที่ดุเดือดที่สุดได้ผ่านไปแล้ว ตอนนี้ยังมีคนต่อแถวอยู่กลุ่มหนึ่งคนที่ยังฝืนอยู่ต่อนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้ที่รออีกไม่กี่คนก็ถึงคราวของตัวเองซื้อแล้ว?
เนื่องจากคนงานของร้านอู่เซียงเก๋อทำงานรวดเร็วคล่องแคล่ว เขาจึงเชื่อมั่นที่จะรออยู่!
เมื่อหันชิงอวี่เห็นต้วนเฉินเซวียนไม่สนใจตน แถมยังไม่มีทีท่าจะสนใจคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย เขาก็เริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมา จึงเอ่ยออกไปว่า “พี่ต้วน ข้ากำลังพูดกับท่านอยู่นะ”
“อืม” ต้วนเฉินเซวียนเหล่ตาไปมองหันชิงอวี่เล็กน้อย แล้วถลึงตาใส่เขาเพื่อเป็นการเตือนบางอย่าง หลังจากนั้นจึงหันกลับไปแล้วมองแถวด้านหน้าที่ค่อยๆ สั้นไปทีละคนอย่างไม่กระพริบตาพร้อมนับไปพลางๆ ว่าเมื่อไหร่จะถึงตนเสียที
“ไหนพี่ต้วนลองบอกข้าสิว่าท่านจะซื้อขนมนี่ไปให้ผู้ใด” แม้ว่าตอนนี้หันชิงอวี่จะร้อนจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว แต่ก็ยังฝืนทนความร้อนที่สัมผัสอยู่บนผิวของตนแล้วพยายามที่จะเข้าไปใกล้ๆ ต้วนเฉินเซวียน
แต่น่าเสียดายตรงที่ แม้ว่าตวเขาเองจะไม่ได้มีเจตนาเข้ามาเพื่อแทรกแถวเลยแม้แต่น้อย ทว่าคนที่อยู่รอบๆ ต้วนเฉินเซวียนนั้นจะมองอย่างไรเล่า แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้คิดเช่นนั้น! เพราะในสายตาของพวกเขา ตอนนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่พยายามจะแทรกตัวเข้ามาใกล้ๆ กับแถวนั้นจะมีเหตุให้ถูกสงสัยอย่างทันทีว่าเข้ามาเพื่อแทรกแถว!
ด้วยเหตุนี้ เมื่อหันชิงอวี่เขยิบเข้ามาใกล้แถว คนที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังก็จะเริ่มเบียดขึ้นมาข้างหน้าอย่างวุ่นวาย ซึ่งนั่นทำให้ผู้ที่เข้าแถวอยู่ด้านหน้าที่ไม่ได้ทันระวังตัวโดนเบียดจนหลุดออกจากแถวไปหลายคน
เมื่อหันชิงอวี่เห็นสภาพเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ เท้าของเขาจึงติดหนึบอยู่บนพื้นไม่ว่าจะขยับอย่างไรก็ขยับไม่ได้
เพื่อเรื่องกินให้ทำอะไรก็ยอมทำทั้งนั้น! บนโลกใบนี้สินค้าจำพวกอาหารเป็นสิ่งที่ประมาทไม่ได้จริงๆ!
เมื่อต้วนเฉินเซวียนถูกเบียดเข้ามาอย่างกะทันหันเช่นนี้ก็เกือบจะกระเด็นออกไปเช่นกัน! ตอนนั้นเขาจึงไม่ได้คิดอะไรมากอีก เขาเพียงหยิบของที่ลักษณะคล้ายๆ ไข่มุกขึ้นมาเล็งแล้วเขวี้ยงใส่ไปทางหันชิงอวี่
ในเมื่อพูดกันไม่รูเรื่องก็ต้องใช้กำลังแก้ปัญหาเสียแล้ว!
บริเวณที่หันชิงอวี้ถูกเขวี้ยงใส่นั้นปรากฏรอยแดงขึ้นมา เมื่อหันไปมองก็ทำให้คนรู้สึกว่าน่าขันเป็นอย่างยิ่ง แต่แม้ว่าเขาจะเจ็บศีรษะของเขา แต่หันชิงอวี่กลับไม่กล้าที่จะตอบโต้ต้วนเฉินเซวียนกลับไป
เนื่องจากเมื่อเทียบกับปกติแล้ว เวลาที่ต้วนเฉินเซวียนโมโหขึ้นมา การกระทำเช่นเมื่อครู่นี้ถือว่าออมมือให้มากแล้ว! มิเช่นนั้นแล้วตอนที่เขวี้ยงใส่คงจะไม่ได้มีเพียงรอยแดงเท่านั้น แต่จะต้องมีหลุมสีแดงปรากฏขึ้นแน่นอน
“พี่ต้วน เช่นนั้นข้าขอขอร้องท่านอีกสักเรื่องหนึ่งได้หรือไม่” เนื่องจากหันชิงอวี่ไม่กล้าเข้าไปใกล้ๆ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงไม่สนใจหน้าตาของตัวเองแล้วฝ่าเข้าไปเพื่อตะโกนเรียก
เนื่องจากตำแหน่งการเข้าแถวของต้วนเฉินเซวียนนั้นขยับขึ้นไปข้างหน้ามากพอสมควรแล้ว หากเขายังคงใช้ระดับเสียงที่เขาพูดกับต้วนเฉินเซวียนเมื่อครู่นี้ ภายใต้สถานการณ์ที่วุ่นวายเช่นนี้หากต้วนเฉินเซวียนได้ยินคงจะแปลก
ตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนกำลังเสียใจ เสียใจมากๆ ที่ไข่มุกเมื่อครู่นี้ของเขากระแทกโดนหัวของหันชิงอวี่แทนที่จะโดนปากของหันชิงอวี่นนี้หากต้วนเฉินเซวียนได้ยินคงจะแปลกมากทีเดียวงคงใช้ระดับเสียงที่เขาพูดกับต้วนเฉินเซวี
นี่สมองของเขาโดนกระแทกจนเสื่อมไปแล้วหรือ สายตาของคนรอบด้านที่คมปราบราวกับมีดจ้องมองมายังเขา เขายังไม่รู้สึกรู้สาอีก! คนทึ่มอย่างหันชิงอวี่ไม่เคยคิดเอาไว้ก่อนเลยหรือว่าเวลาทำอะไรไปแล้วผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร
ตอนนี้เขาไม่อยากจะรู้จักหันชิงอวี่เลยสักนิด เพราะว่า…ในความเข้าใจของคนทั่วไป ระดับสติปัญญาของคนเป็นเพื่อนกัน ส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน!
“น้องหญิง คนผู้นั้นยังเข้าแถวอยู่เลย” ตอนที่ซูมั่วเยี่ยกับคนอื่นๆ ไปถึงร้านเป่าหวาไจ ก็ถือโอกาสเหลือบไปมองร้านอู่เซียงเก๋อที่อยู่ด้านข้าง ภาพที่เห็นก็ยังเป็นภาพของต้วนเฉินเซวียนที่ยังคงเข้าแถวอยู่
“หลีมู่…” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นเช่นนั้นก็พลันเกิดความรู้สึกทนไม่ไหวอีก
แม้แต่ตัวนางเองในชาติที่แล้ว ตอนที่นางมาซื้อขนมให้ต้วนเฉินเซวียน นางก็ยังให้เด็กรับใช้ที่บ้านเป็นคนไปต่อแถว ส่วนนางนั้นยืนรออยู่ในโรงแรมด้านข้างเท่านั้น ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็ยังคงไม่เคยลงมือลงแรงด้วยตัวเองถึงขึ้นนี้
ดังนั้นเมื่อนางเห็นต้วนเฉินเซวียนลงมือทำถึงขั้นนี้ ในใจของนางกลับมีความรู้สึกบางอย่างที่แม้แต่ตัวนางเองก็ยังบรรยายออกมาไม่ได้
“คุณหนูเรียกข้าหรือ” หลีมู่ที่อยู่ด้านหลังคล้ายได้ยินซูเหลียนอวิ้นเรียกตน นางจึงชะโงกหน้าออกมาแสดงให้เห็นว่าตนอยู่ตรงนี้
“เจ้าเอาน้ำไปให้เขาเถิด” ซูเหลียนอวิ้นยกมือชี้ไปยังทิศทางของต้วนเฉินเซวียน โดยที่ไม่ได้พูดออกมาว่าให้ส่งให้ผู้ใด
หลีมู่รับกาน้ำชามาแล้วมองไปยังด้านนั้น จากนั้นจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เจ้าค่ะคุณหนู ส่งให้บ่าวเถิด”