ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 248 มอบของขวัญ
“อวิ้นเอ๋อร์ พวกเจ้ามากันเสียที” สิ่งแรกที่ซูเหลียนอวิ้นทำเมื่อไปถึงวังหลวงคือมุ่งตรงไปยังพระราชวังของเกาอู๋เตี๋ยโดยไม่ได้เถลไถลไปไหน และก็เห็นได้ชัดเจนว่าเกาอู๋เตี๋ยเองก็รอพวกเขามานานแล้วเช่นกัน
“เสด็จอา มีข้าอยู่ตัวเป็นๆ ทั้งคนนะ อย่าทำเหมือนมองไม่เห็นกันได้หรือไม่” แม้ต้วนเฉินเซวียนจะเอ่ยเช่นนี้แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาไม่ได้เลือนหายไปเลย แถมยังถือโอกาสคว้ามือของซูเหลียนอวิ้นมาจับไว้แน่นยิ่งขึ้นอีกด้วย
“ปล่อยมือ…” ซูเหลียนอวิ้นพยายามที่จะดึงมือของตัวเองออกมา เพราะหากเขาจะหยอกเช่นนี้ที่จวนของตัวเองคงไม่เป็นไร แต่ที่นี่… ที่นี่คือวังหลวง
ต้วนเฉินเซวียนกลับไม่รู้ว่าอะไรคือการเบามือ อะไรคือการเก็บอาการ!
“ข้าเห็นแค่อวิ้นเอ๋อร์ของข้าเท่านั้น” เกาอู่เตี๋ยลุกขึ้นยืนแล้วจับมืออีกข้างหนึ่งของซูเหลียนอวิ้น “เอาล่ะๆ มาถึงที่นี่แล้วยังจะเป็นห่วงอะไรอีกถึงไม่ยอมปล่อยมือ เจ้ากลัวข้าจะแย่งตัวภรรยาของเจ้าไปรึ”
เมื่อต้วนเฉินเซวียนได้ยินดังนั้น สายตาของเขาพลันหม่นลงครู่หนึ่งโดยไม่มีใครเห็น และเพียงครู่เดียวเขาก็กลับมายิ้มแย้มดังเดิมแล้วเอ่ยว่า “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว! อวิ้นเอ๋อร์มีเสน่ห์ขนาดนี้ แม้ว่านางจะแต่งงานแล้วแต่ก็คงจะมีพวกที่ชอบสร้างความวุ่นวายคอยตามนางอยู่ข้างนอกมากมาย ดังนั้นข้าจึงต้องจับตาดูนางให้ดีหน่อย!”
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นต้วนเฉินเซวียนพูดจาหยอกล้อแต่สายตาของเขากลับไม่ปรากฏอารมณ์ขัน ตอนนั้นเองที่นางรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาบางอย่าง เมื่อครู่ยังจะบอกให้นางไม่ต้องสนใจอยู่เลย นี่จะให้ไม่สนใจและให้นางวางใจได้อย่างไร
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าที่นี่คือวังหลวง เมื่อครู่จึงไม่ได้แสดงพิษสงของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่
“ทำไมรึ เกิดอะไรขึ้น” เกาอู่เตี๋ยที่จับมือซูเหลียนอวิ้นอยู่อีกด้านหนึ่งเอ่ยถามอย่างสงบ “ไม่ดูตาม้าตาเรือเช่นนี้ ไหนเจ้าว่ามาสิว่าคนผู้นั้นคือใครกันแน่”
“ไม่มีใครหรอก เสด็จอาพูดอะไรก็ไม่รู้!” เรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจมีเพียงคนสองคนเท่านั้นที่รู้ และไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ไม่ต้องการยืมมือของเกาอู่เตี๋ยมาใช้จัดการใคร เขาลงมือเองก็เพียงพอแล้ว
“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้าพูดมาเถิด” เกาอู่เตี๋ยเองก็ไม่ได้คิดว่าจะได้คำตอบอะไรจากต้วนเฉินเซวียน เพราะนิสัยของต้วนเฉินเซวียนนั้นต่อให้โดนต่อยจนฟันร่วงก็จะยังคงกล้ำกลืนทุกอย่างลงท้องไป! หากผู้อื่นอยากรู้ว่าในใจของเขาคิดอะไรอยู่นั้นเกรงว่าคงจะไม่สามารถล่วงรู้ได้ง่ายๆ นัก
“เอ่อ?” ซูเหลียนอวิ้นสับสน เมื่อครู่นี้ไม่ได้กำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับนางมิใช่หรือ เหตุใดในชั่วพริบตาเดียวกลับดึงนางเข้าไปเกี่ยวด้วยเสียแล้ว! อีกอย่างตอนนี้ท่าทางของฮองเฮาเต็มไปด้วยรัศมีแห่งความเป็นเจ้าของวังหลังซึ่งนางเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก!
ซึ่งทำให้นางไม่กล้าโกหกอะไรออกไปเลย!
“คือว่า ระหว่างทางที่มา…เราเจอองค์ชายสามเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าแล้วเหลือบมองต้วนเฉินเซวียนที่กำลังจิบน้ำชาอยู่ จึงเห็นเขาส่งท่าทางมาว่าเจ้าอยากพูดก็พูดไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร นางจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา
นางเข้าใจมาตลอดว่าต้วนเฉินเซวียนไม่ต้องการให้คนรู้เรื่องนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจู่ๆ จะปล่อยให้นางพูดออกมา
“เจ้าสาม?” เกาอู่เตี๋ยขมวดคิ้ว “หนานกงหง? เขาทำเรื่องโง่ๆ อะไรอีกเล่า”
เพียงเอ่ยชื่อหนานกงหง ในใจของเกาอู่เตี๋ยก็เกิดความรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที เพราะเจ้าสามยังไม่ยอมถอดใจอีกหรือถึงกล้าสนใจในตัวอวิ้นเอ๋อร์ได้
ลูกไม่รักดี! อวิ้นเอ๋อร์แต่งงานแล้วเจ้ายังกล้า!
อย่าคิดว่าคนในวังหลวงทุกคนจะเป็นคนโง่ ความคิดเจ้าเล่ห์เพทุบายของหนานกงหงเช่นนั้น แม้แต่นางที่ไม่เคยไปว่าราชการเลยยังพอเดาออก เขาคิดจะปิดบังใครหรือ เห็นชัดๆ ว่าเขาเป็นคนที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ เท่านั้น
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นสีหน้าของเกาอู่เตี๋ยเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ นางก็แทบจะหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง เพราะว่า…หากถามว่าน้ำที่ไหนลึกสุด แน่นอนว่าต้องเป็นน้ำในวังหลวงอย่างแน่นอน นี่เพิ่งจะเป็นวันแรกของนางเอง วันแรกเท่านั้น! นี่นางคงจะไม่ได้ก่อเรื่องใหญ่อะไรขึ้นหรอกกระมัง
ผ่านไปครู่หนึ่งหลังจากที่เกาอู่เตี๋ยรับรู้ได้ว่าซูเหลียนอวิ้นกำลังนั่งตัวแข็งอยู่ นางก็เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาว่าตัวเองอาจจะทำเกินไป…เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เพิ่งจะแต่งงานกัน นางเป็นหญิงสาวที่เพิ่งจะห่างจากอ้อมอกของบิดามารดามา นางจะไปตัดสินใจอะไรได้
“เจ้าสามพูดอะไรกับพวกเจ้า”
“ไม่ได้พูดอะไร” ต้วนเฉินเซวียนแย่งตอบก่อน “ที่เขาพูดคร่าวๆ ….ก็คือว่าบอกว่าตัวข้าดวงดียิ่งนัก! มิเช่นนั้นแล้วจะได้แต่งงานกับภรรยาที่ดีเช่นนี้ได้อย่างไร”
ซูเหลียนอวิ้นหลุบตาต่ำ นางไม่พูดอะไรอีก เพราะหากพิจารณาเพียงความหมายตามอักษรเพียงอย่างเดียวแล้ว หนานกงหงหมายความอย่างนี้จริงๆ
แต่ความหมายที่แท้จริงเล่า? สายตาคู่นั้นของหนานกงหงแสดงออกมาอย่างชัดเจน ที่เขาบอกว่าดวงดียิ่งนักและขอแสดงความยินดีด้วยอะไรพวกนั้น เห็นได้ชัดๆ เลยว่าเขาอยากเห็นพวกตนเลิกกันเร็วที่สุด! รวมถึงสายตาอาฆาตแค้นที่จ้องต้วนเฉินเซวียนเขม็งนั้น แม้ว่านางจะเป็นคนนอกแต่ก็รับรู้ได้!
แค่นึกถึงสายตาของหนานกงหงเมื่อครู่ ซูเหลียนอวิ้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขยะแขยงขึ้นมา เพราะหนานกงหงเองก็ถือว่าเพิ่งจะแต่งงานกับสาวงามสะพรั่งได้เพียงไม่กี่วันเอง ไม่ว่าเยียลี่ว์เยียนจะเป็นคนอย่างไรก็ตาม นางก็ถือว่าเป็นคนที่สวยงามได้มาตรฐานคนหนึ่ง เขาอยู่กับโฉมงามไปเพียงไม่กี่วันเท่านั้น เขายังทำตัวน่าขยะแขยงเช่นนี้กับตนและต้วนเฉินเซวียนได้
องค์ชายสาม คงจะไม่ปกติจริงๆ!
“อ้อ อย่างนี้เอง” ในแววตาของเกาอู่เตี๋ยปรากฏบางอย่างขึ้น “แต่การแสดงความยินดีกับบ่าวสาวโดยไม่มอบของขวัญอะไรสักหน่อยจะไปถูกต้องได้อย่างไร การเอ่ยปากเพียงอย่างเดียวเกรงว่าจะให้ความสำคัญน้อยเกินไปหน่อย เซวียนเอ๋อร์ เดี๋ยวข้าจะไปพูดกับฝ่าบาทเองว่าไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามละเลยประเพณีนี้ทั้งนั้น!”
“พะย่ะค่ะ” ต้วนเฉินเซวียนเงยหน้าแล้วเหลือบมองสายตาของเกาอู่เตี๋ยด้วยรอยยิ้ม
“เอาล่ะ อย่าไปพูดเรื่องที่น่ารำคาญใจเช่นนั้นเลย” เกาอู่เตี๋ยยกมือขึ้นเพื่อบอกนางในที่เตรียมของเสร็จแล้วให้ยกเข้ามา “อวิ้นเอ๋อร์ลองดูว่าเจ้าชอบหรือไม่ ข้าอายุเยอะแล้ว อาจจะไม่ค่อยรู้ว่าเด็กๆ อย่างพวกเจ้าชอบอะไร หากมีสิ่งใดที่เจ้าไม่ชอบ บอกน้ามาได้เลย น้าจะหาของมาเติมเข้าไปแทนให้”
ซูเหลียนอวิ้นมองไปยังกล่องที่ขันทีและนางในยกเข้ามาแต่ละกล่อง และก็รู้สึกว่า…นี่ฮองเฮามองต้วนเฉินเซวียนเป็นลูกชายแท้ๆ ของตัวเองเสียแล้วกระมัง เพราะต่อให้เป็นคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เมื่อได้เห็นของที่ทำให้ตาพร่ามัวเช่นนี้ก็คงจะพอเดาได้แล้วว่าของด้านในจะต้องเป็นของที่ยากจะตีราคาอย่างแน่นอน!
“ผู้ใหญ่ให้ของ หม่อมฉันไม่กล้าปฏิเสธ” ซูเหลียอวิ้นเบือนหน้าไปทางอื่นเพื่อบังคับไม่ให้ตัวเองจ้องกล่องใบนั้น เพราะของเช่นนี้…หากมองไปนานๆ อาจจะเป็นอันตรายต่อดวงตาได้!
“ของที่ฮองเฮาทรงพระราชทานให้ล้วนเป็นของที่ร้อยลี้จะมีสักหนึ่งชิ้น เหตุใดจึงมาอยู่ที่ผู้น้อยอย่างพวกเราได้”
“โธ่!” เกาอู่เตี๋ยหน้าบึ้ง “ยังจะเรียกฮองเฮาอยู่อีก? ของพวกนี้ไม่ได้เตรียมไว้ให้คนที่เรียกข้าว่าฮองเฮาเสียหน่อย!”
“เสด็จอาเพคะ ผู้ใหญ่ให้ของหม่อมฉันไม่กล้าปฏิเสธ เช่นนั้นอวิ้นเอ๋อร์ขอรับไว้เพคะ”