ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 258 ตั้งครรภ์
“เพคะ” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าอย่างไม่เป็นธรรมชาติ แต่ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้จึงทำให้นางไม่อยากกินอะไรเลยแม้แต่อาหารจำพวกผักก็ตาม!
แต่หากนางไม่ยอมกินลงไป นางก็รู้สึกคล้ายว่าตัวเองไม่ให้เกียรติเกาอู่เตี๋ยสักเท่าไหร่! เพราะเมื่อครู่นี้ให้กินเนื้อสัตว์ เจ้าก็บอกว่าท้องไส้ไม่ดีก็เลยกินไม่ลงจนอาเจียนออกมา ให้กินผักหากยังไม่ยอมกินอีก นั่นจะถือว่าไร้เหตุผลเกินไปหรือไม่
“จริงสิ อวิ้นเอ๋อร์” เกิดความคิดบางอย่างขึ้นในหัวของเกาอู่เตี๋ย นางคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่างขึ้นมาจึงเอ่ยว่า “อวิ้นเอ๋อร์ เจ้ายังไม่ต้องกิน ข้าขอถามอะไรเจ้าสักสองสามคำถามก่อน”
“อ่า เพคะ” ซูเหลียนอวิ้นเอามือทั้งสองจับเข่าของตัวเองเอาไว้แล้วพยักหน้า นางไม่ต้องกินแล้วใช่หรือไม่ นางรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย
“อาการเช่นนี้ของเจ้า…เริ่มเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่” เกาอู่เตี๋ยรู้สึกว่าลมหายใจของนางเบาลง นางกลัวว่านี่จะเป็นเพียงความฝันแล้วมันจะสลายหายไปในพริบตา
“คือว่า…” ซูเหลียนอวิ้นพยายามรำลึก “ประมาณสองสัปดาห์แล้วเพคะ” น่าจะประมาณสองสัปดาห์แล้วกระมัง อันที่จริงแล้วเวลาแบบแน่นอน นางจำไม่ค่อยได้นัก!
“มีอะไรหรือเสด็จอา มีอะไรผิดปกติหรือ” เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นท่าทางกังวลของเกาอู่เตี๋ยก็ไม่สนใจการเลือกอาหารอีกต่อไป เขาวางตะเกียบลงแล้วกุมมือของซูเหลียนอวิ้นเอาไว้แล้วมองไปที่เกาอู่เตี๋ยอย่างกังวลเช่นกัน
“เด็กหนอเด็ก!” เกาอู่เตี๋ยหวังว่าสิ่งที่นางหวังจะไม่ได้เป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ เท่านั้น มิเช่นนั้นแล้ว เพราะความรู้สึกของการตกลงมาจากที่สูงนั้นทำให้คนเจ็บปวดนัก
“ซิ่งหยวน ถือป้ายคำสั่งของข้าไปเชิญหมอหลวงมา” เกาอู่เตี๋ยกวักมือเรียกสาวใช้คนสนิทของตัวเอง “จำเอาไว้ ต้องมาให้เร็วที่สุด แล้วถ้าให้ดีให้เชิญหมอด้านสตรีมาด้วย”
ซิ่งหยวนถอนสายบัวแล้วเอ่ยว่า “เพคะ”
“เสด็จอา ท่านหมายความว่า…” ต้วนเฉินเซวียนนั้นไม่โง่ เพียงแต่เมื่อครู่นี้เรื่องเกิดขึ้นเร็วเกินไปเท่านั้นจึงทำให้เขาไม่ได้คิดไปในด้านนั้น แต่ตอนนี้เมื่อเกาอู่เตี๋ยเป็นคนจุดประเด็นขึ้นมา เขาจึงรู้สึกว่าลมหายใจของตัวเองแรงขึ้นเรื่อยๆ
เพราะหากว่าเรื่องราวเป็นไปอย่างที่พวกเขาคิดแล้วล่ะก็… ซูเหลียนอวิ้นก็คง…
“ทำไมพวกท่านถึงมองข้าแบบนั้น” ซูเหลียนอวิ้นเห็นสายเช่นนั้นของต้วนเฉินเซวียนจ้องมาที่นางก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา เพราะสายตาเช่นนั้นให้ความรู้สึกคล้ายว่าเขากำลังมองบางอย่างที่แปลกประหลาดแต่ไม่รู้ว่าจะลงมือกับมันอย่างไรดีและรู้สึกราวกับทรมานใจอะไรบางอย่าง
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ไม่นานนัก หมอหลวงก็รีบร้อนเข้ามา เพราะคำสั่งของเกาอู่เตี๋ยนั้นบอกให้รีบมาอย่างด่วนที่สุด ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องแบ่งคนมาให้นางให้ได้ เพราะตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาขัดลิขิตสวรรค์หรือขวางทางอะไรทั้งนั้น
“หมอหลวงสวี เป็นท่านเองรึ” เกาอู่เตี๋ยพยักหน้า
“ถวายบังคมฝ่าบาท ฮองเฮา คุณชายต้วนและฮูหยินโหวพะย่ะค่ะ” หมอหลวงสวีค้อมตัวลงแล้วเอ่ยประโยคยาวเช่นนี้ก่อนที่จะลุกขึ้นยืน
“เอาล่ะ เอาล่ะ” ตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนร้อนใจยิ่ง ดังนั้นในตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนรู้สึกอยากจะจับหมอหลวงสวีผู้คร่ำครึผู้นี้โยนทิ้งออกไปทางหน้าต่างเสียให้รู้แล้วรู้รอด! เพราะการทำความเคารพเช่นนี้ เจ้าตรวจให้เสร็จก่อนแล้วค่อยทำความเคารพก็ได้
เพราะหากสถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีเพียงพวกเขาสี่คนจะทำอย่างไรเล่า จะต้องรอท่านทำความเคารพให้เสร็จก่อนแล้วค่อยตรวจหรืออย่างไร คร่ำครึยิ่งนัก ไม่รู้จักการเปลี่ยนแปลง!
เกาอู่เตี๋ยเองก็รู้สึกรำคาญใจที่หมอหลวงสวีเป็นเช่นนี้เหมือนกันจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “ซิ่งหยวน รีบพยุงหมอหลวงสวีขึ้นมาเร็วเข้า หมอหลวงสวี พิธีรีตองพวกนี้ไม่ต้องสนใจมากนักก็ได้ ท่านรีบตรวจอวิ้นเอ๋อร์เร็วเข้า อวิ้นเอ๋อร์…ข้ากลัวว่าข้าจะมองอาการนางผิดไป”
“พะย่ะค่ะ” หมอหลวงสวีคว้าแขนของซิ่งหยวนเอาไว้แล้วยืนขึ้น จากนั้นจึงเดินไปที่ซูเหลียนอวิ้นพลางเอ่ยว่า “ฮูหยินโหวโปรดยื่นแขนออกมาเถิด ข้าจะได้ตรวจได้ถนัดมือหน่อย”
“เอ่อ เพคะ” ซูเหลียนอวิ้นอมยิ้ม เพราะความรู้สึกของนางที่มีต่อหมอหลวงสวีนี้เป็นความรู้สึกที่ดีอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นในชาตินี้หรือชาติที่แล้ว หมอหลวงสวีในความทรงจำของซูเหลียนอวิ้นก็เป็นคุณปู่ที่ใจดีมีเมตตาคนหนึ่งเสมอ
“จะปูผ้าทำไมอีก ทำเช่นนี้ผลตรวจจะแม่นยำหรือ” เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นหมอหลวงสวีหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาจากกล่องยาด้วยท่าทางไม่ช้าไม่เร็วนัก ตอนนั้นคิ้วของเขาก็ขมวดเป็นปมแน่นยากจะคลายออกได้ง่ายๆ
“เจ้าลงมือตรวจอวิ้นเอ๋อร์ของข้าเลยไม่ได้หรือไง ข้าเชื่อใจท่าน” คนอย่างเช่นหมอหลวงสวีจะอย่างไรก็น่าจะมีอายุได้ประมาณเจ็ดแปดสิบปีแล้ว หรืออย่างน้อยก็น่าจะประมาณห้าหกสิบปีแล้ว ดังนั้นเขาจะหึงเฒ่าหัวขาวผู้นี้ไปทำไมกัน น่าขันยิ่งนัก!
อีกอย่างการตรวจชีพจรเช่นนี้ต้องตรวจให้แม่นยำที่สุดยิ่งดีไม่ใช่หรือ หากตรวจโดยมีของมากั้นชั้นหนึ่งเอาไว้เช่นนี้ สุดท้ายแล้วจะตรวจได้อย่างสะดวกได้อย่างไรเล่า
ไม่นานนัก คิ้วของหมอหลวงสวีก็ยิ่งขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ เขากำลังขมวดคิ้วแล้วก้มหน้าดูข้อมือของซูเหลียนอวิ้นโดยไม่เอ่ยวาจาอะไรทั้งสิ้น
ซูเหลียนอวิ้นแอบกลืนน้ำลายลงไปอย่างพะอืดพะอม เพราะตอนนี้…คนทั้งสี่คน ดวงตาแปดดวงกำลังจ้องมาที่แขนของนาง อีกอย่างสองคนในนั้น หนึ่งคนคือฝ่าบาทอีกหนึ่งคนคือฮองเฮา นี่ช่างทำให้นางเกิดความกดดันไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่าแล้ว
“หมอหลวงสวี…เป็น อย่างไรบ้าง” ต้วนเฉินเซวียนยอมแพ้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องกลับมาคิดทบทวนตัวเองเมื่อพูดไม่ดีกับคนอื่นที่นอกเหนือจากซูเหลียนอวิ้น
เพราะตอนนี้ตนกำลังสงสัยเป็นอย่างมากว่าตาแก่นี้กำลังคิดจะเอาคืนตนรึเปล่าที่เมื่อกี้ตนเสียงดังใส่เขาและพูดกับเขาแบบใส่อารมณ์เช่นนั้น
มิเช่นนั้นแล้วแค่การตรวจชีพจรจำเป็นต้องใช้เวลานานขนาดนี้เชียวหรือ เขารู้สึกราวกับว่าตอนนี้เวลาผ่านไปเป็นปีๆ แล้ว!
หมอหลวงสวีเอ่ยพลางเหลือบมองต้วนเฉินเซวียนคราหนึ่งแล้วถอนหายใจเสียงดัง จากนั้นจึงคล้ายกลั้นใจแล้วหลับตาลงเพื่อฟังชีพจรของซูเหลียนอวิ้นต่อไป
สายตานั้น หากมองจากมุมมองของซูเหลียนอวิ้นแล้วนางเห็นได้อย่างชัดเจน ความหมายของเขาคือ เจ้าเด็กเมื่อวานซืนไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังยุ่งอยู่ หากไม่มีธุระอะไรอย่ากวนได้หรือไม่!
เฮ้อ จริงๆ เลย เด็กรุ่นใหม่ๆ เป็นอย่างนี้ทุกคน!
ซูเหลียนอวิ้นพยายามฝืนไม่ให้ตัวเองหัวเราะออกมา เพราะคนที่ทำให้ต้วนเฉินเซวียนยอมแพ้ได้และไม่กล้าระบายอารมณ์อย่างไร้เหตุผลทั้งในเหตุการณ์ตอนนั้นและหลังจากผ่านเหตุการณ์ไปแล้วได้นั้นมีน้อยมากจนแทบไม่มี!
อีกอย่างสีหน้าของต้วนเฉินเซวียนนั้นถือเป็นส่วนที่เด็ดสุด! ไม่ได้แล้ว มองต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ขืนยังมองต่อไปนางต้องหัวเราะออกมาอย่างแน่นอน
ส่วนต้วนเฉินเซวียนนั้นสังเกตการณ์เคลื่อนไหวทุกอย่างของซูเหลียนอวิ้น ดังนั้นไหล่ของซูเหลียนอวิ้นที่ขยับแม้เพียงเล็กน้อยนั้น แม้ว่าจะน้อยนิดแต่เขาก็สังเกตเห็น
“รอกลับไปก่อนเถิด ข้าจะจัดการเจ้า” ต้วนเฉินเซวียนเขยิบเข้าไปใกล้แล้วตั้งใจทำเป็นจิบน้ำชาโดยการใช้แขนเสื้อขึ้นมาปิดปากตัวเองเอาไว้แล้วกระซิบออกมาเบาๆ
“ทูลฮองเฮา” หมอหลวงสวีเอาแขนของตัวเองออกแล้วคุกเข่าลง “หากกระหม่อมมิได้ตรวจผิด ผลก็จะเป็นอย่างที่ฮองเฮาเดาไว้ไม่มีผิดพะย่ะค่ะ”
“จริงหรือ!” เกาอู่เตี๋ยตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน
“พะย่ะค่ะ ตามที่กระหม่อมได้ลองตรวจดูแล้ว อาการเช่นนี้ของฮูหยินโหวคืออาการของคนที่ตั้งครรภ์แล้วพะย่ะค่ะ เพียงแค่อายุครรภ์ยังไม่มากนักจึงไม่ยังไม่ชัดเจนนัก ดังนั้นกระหม่อมจึงจำเป็นต้องระมัดระวังและใช้เวลาในการตรวจนานหน่อย”