วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – บทที่ 914 คิดมาก

บทที่ 914 คิดมาก

หลังจากที่ดื่มยาในถ้วยเล็กจนหมด กู้ซือเฉียนก็เรียกแม่บ้านให้มายกถ้วยออกไป

จากนั้นเขาก็กลับมานั่งที่ข้างเตียงอีกครั้ง พร้อมกับมองดูเฉียวฉี แล้วเอ่ยถามขึ้น “ความทรงจำของคุณในช่วงที่ผ่านมา คุณจำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน?”

พอพูดเรื่องนี้ขึ้นมา สีหน้าของเฉียวฉีก็ซีดลงทันที

เธอมองไปทางกู้ซือเฉียน ดวงตาที่สว่างไสวคู่นั้น แสดงอาการงุนงงเล็กน้อย

นัยน์ตาของกู้ซือเฉียนหม่นแสงลง

ทันทีที่เห็นท่าทางของเธอแบบนั้น เขาก็รู้ในทันทีว่า ความทรงจำในช่วงที่ผ่านมานั้น แม้กระทั่งตัวเองกลัวอะไรเธอยังจำไม่ได้เลย

อันที่จริงพูดไปพูดมาเรื่องนี้ก็ค่อนข้างแปลก ในช่วงที่ผ่านมา เฉียวฉีถูกคนพวกนั้นจับขังเอาไว้ ปกติแล้วก็แทบจะไม่มีใครสนใจเธอด้วยซ้ำ

จากที่เธอเล่ามาทั้งหมด คนพวกนั้นไม่ได้ข่มเหงเธอ แล้วก็ไม่ได้ทรมานเธอด้วย

แต่นอกจากสองประเด็นนี้แล้ว เธอก็ไม่สามารถบอกเล่าอะไรเกี่ยวกับความทรงจำในช่วงที่ผ่านมาได้เลย

ตัวเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ส่วนกู้ซือเฉียนก็ยิ่งไม่รู้ว่าช่วงที่ผ่านมาเธอผ่านอะไรมาบ้างใน ยิ่งเป็นธรรมดาที่เขาก็จะไม่รู้เหมือนกัน

ตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้บอกปัญหานี้กับใครสักคน แม้แต่ลู่จิ่งเซินกับจิ่งหนิงก็ยังไม่รู้

อันที่จริงยังมีประเด็นสำคัญอีกอย่างก็คือ

เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ทั้ง ๆ ที่เฉียวฉีกลับมาแล้ว เธอก็ยังเป็นเธอเหมือนเมื่อก่อน รูปร่างหน้าตาก็ไม่มีตรงไหนเปลี่ยน

แต่กู้ซือเฉียนกลับแอบรู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่าเฉียวฉีในปัจจุบัน มีบางอย่างที่แตกต่างกับเฉียวฉีในอดีต

มันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่อธิบายไม่ได้ แล้วก็ไม่ใช่ว่าตัวเขาคิดไปเอง แต่มันเป็นสิ่งที่เขาสัมผัสได้จริง ๆ ทั้งในแววตาและท่าทางต่าง ๆ

เขาไม่ได้บอกประเด็นนี้กับใคร เพราะว่ากลัวทุกคนจะคิดมาก

เพราะนี่มันก็เป็นแค่สัญชาติณาณในตัวเขาเท่านั้น ซึ่งมันก็ยืนยันอะไรไม่ได้อยู่ดี ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเพราะเขาคิดมากไปเองก็ได้

ดังนั้น ในตอนนี้โดยพื้นฐานแล้วเขามั่นใจได้เลยว่า ช่วงที่เฉียวฉีหมดสติไปเธอต้องเจออะไรบางอย่างมาแน่ ๆ แต่เขาก็ยังไม่ได้บอกความรู้สึกในใจนี้ให้ใครฟังอยู่ดี

พอคิดได้ดังนี้ เขาจึงตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “ไม่มีอะไร ไม่ต้องคิดมากนะ”

เฉียวฉีพยักหน้าด้วยความงุนงง

หลังจากปลอบโยนเธอเสร็จเรียบร้อย กู้ซือเฉียนก็อยู่เป็นเพื่อนเธอไปอีกสักพัก

ขณะเดียวกัน ฤทธิ์ยาก็ค่อย ๆ ทำงาน เฉียวฉีเริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมาทีละนิด

กู้ซือเฉียนยังเฝ้าเธออยู่ไม่ห่าง เขาค่อย ๆ ให้เธอนอนลง

ผ่านไปไม่นาน เฉียวฉีก็หลับไป

หลังจากที่รอให้เธอหลับไปแล้ว กู้ซือเฉียนก็ค่อย ๆ ปลีกตัวออกไปเงียบ ๆ

ณ สวนดอกไม้ด้านล่าง จิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินกำลังนั่งจิบชายามเช้าอยู่ในสวน

ตอนนี้เฉียวฉีถูกช่วยกลับมาแล้ว ทุกคนต่างก็โล่งใจ ความรู้สึกต่าง ๆ ก็พลอยผ่อนคลายลงไปด้วย

มีเพียงเรื่องของ กลุ่มชาวจีนทางนั้น ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่จำเป็นต้องรีบร้อน

เนื่องจากทางนั้นได้ถูกโจมตีไปหลายครั้ง ซึ่งวิกฤตนี้มันก็มาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อตั้งนานแล้ว พวกเขาแทบจะไม่ต้องออกแรงอะไรมาก ทางนั้นก็น่าจะพังทลายไปเอง

แต่เป้าหมายของพวกเขาตอนนี้กลับอยู่ที่ตระกูลหนานเสียมากกว่า

ถ้าสิ่งที่พวกเขาคาดการณ์ไว้เป็นความจริง แผนทั้งหมดนี้คงถูกวางขึ้นโดยตระกูลหนาน งั้นการกำจัด กลุ่มชาวจีนก็ยังไม่เป็นจุดจบ แต่มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นต่างหาก

ช่วงเวลาต่อไปนี้สิ ถึงจะเรียกว่าการต่อสู้ที่แท้จริง

พอคิดได้ดังนี้ ก็ยิ่งไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้ยังถือว่าเร็วไป เวลายังเหลืออีกเยอะ

ขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งจิบชา ก็เห็นกูซือเฉียนเดินออกมา

จิ่งหนิงยิ้มพร้อมกับโบกมือให้เขา แล้วก็ร้องทักว่า “ไม่อยู่เป็นเพื่อน เฉียวเฉียว แล้วเหรอ?”

กู้ซือเฉียนเดินเข้ามาด้วยสีหน้านิ่งเฉย พร้อมกับตอบว่า “เธอเพิ่งกินยา หลับไปแล้ว”

ลู่จิ่งเซินเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะมองไปที่นาฬิกาข้อมือตัวเอง แล้วพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “นอนอีกแล้วเหรอ?”

“อืม”

จิ่งหนิงเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน

เธออดไม่ได้ที่จะพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “เธอไม่สบายเหรอ? ไม่ใช่ว่าเพิ่งตื่น ทำไมถึงหลับไปอีกแล้ว?”

กู้ซือเฉียนมองดูรอยยิ้มของเธอ ด้วยท่าทีกังวลเล็กน้อย นัยน์ตาของเขาลึกล้ำ ก่อนที่เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “อาจเป็นเพราะฤทธิ์ยาในร่างกายเธอที่มันยังไม่ถูกขับออกไปไม่หมด เมื่อวานคุณหมอบอกว่าเธออาจจะมีอาการแบบนี้ติดต่อกันไปอีกประมาณสองสามวัน”

พอทั้งสองคนได้ยินดังนั้น ก็ค่อยวางใจลงหน่อย

“แค่เธอไม่เป็นอะไรไปก็ดีแล้ว ครั้งนี้ที่เธอกลับมาได้ ก็ถือว่าฟาดเคราะห์ไปก็แล้วกัน หลังจากนี้เธอก็แค่ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ”

กู้ซือเฉียนพยักหน้า

ทั้งสามคนนั่งอยู่ตรงนั้น พร้อมกับพูดคุยกันคร่าว ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงแผนการต่อไป

กลุ่มชาวจีนอันยิ่งใหญ่ ตอนนี้กำลังจะมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เมื่อมาอยู่ในจุดนี้ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็คงไม่ยอมแพ้ทั้งนั้น

ลู่จิ่งเซินได้ติดต่อกับทางจี้หลินยวนแล้วเมื่อเช้า จิ่งหนิงเองก็ได้ติดต่อกับทางตระกูลจื่อจินด้วยเช่นกัน ความเห็นของพวกเขาในสถานการณ์ที่ได้เปรียบนี้ถือเป็นประโยชน์อย่างมาก มันทำให้อาณาเขตของกลุ่มชาวจีนตกมาอยู่ในมือพวกเขาโดยตรงเลย

ส่วนจิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินก็ไม่ได้มีความเห็นอะไร แต่เพื่อป้องกันความเสี่ยง ก็เลยให้พวกเขาช่วยตรวจสอบช่วงที่ผ่านมาอีกครั้ง แล้วก็บอกเล่าเรื่องตระกูลหนานที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องสกปรกนี้ด้วยนิดหน่อย

จี้หลินยวนและจูเก่อเฟิง ถึงแม้จะดูประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ตกใจอะไรมาก

เพราะถึงยังไง ตอนนี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นตระกูลไหนไปต่อกรกับตระกูลหนาน แต่เป็นพวกเขาทุกคนร่วมมือกันต่างหาก ถ้าตอนนี้ตระกูลหนานต้องการเคลื่อนไหวอะไร พวกเขาก็คงต้องชั่งน้ำหนักให้แน่ใจก่อนว่า พวกเขาจะสามารถกลืนกินพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ทั้งหมดนี้ได้ภายในลมหายใจเดียว

หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จ ทุกคนต่างก็ไม่มีความเห็นอะไรในส่วนของผลลัพธ์ตอนสุดท้าย

ดังนั้น ก็เลยพากันแยกย้ายกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเอง

ตอนเที่ยง เฉียวฉีตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

ตอนที่เธอตื่นมากู้ซือเฉียนกลับไม่อยู่ ผ้าม่านในห้องถูกเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง แสงอาทิตย์อันอบอุ่นด้านนอกส่องเข้ามาเบา ๆ ทำให้ห้องทั้งห้องดูอบอุ่นกว่าเดิม

เฉียวฉีลงจากเตียง ก่อนจะเดินออกไปทางด้านนอกระเบียง

พอเดินไปถึงหน้าประตู เธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะลอยเข้ามาจากสวนดอกไม้ด้านนอก

เธอเดินผ่านประตูระเบียงออกไปเจอทางเดินที่ทอดยาวไปทางสวน เธอเดินออกไปถึงเฉลียงที่อยู่ชิดกับสวนดอกไม้ ก่อนจะเห็นจิ่งหนิงจูงสุนัขตัวใหญ่ของกู้ซือเฉียนสองตัวเดินเล่นอยู่ในสวน

ตัวหนึ่งเป็นสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ส่วนอีกตัวเป็นสุนัขเลี้ยงแกะ เธอเห็นเพียงแค่ด้านหลังของจิ่งหนิงที่เดินไปมา พลางเอาอาหารออกมาหยอกล้อกับพวกมัน

ลู่จิ่งเซินก็นั่งดูด้วยความสงบอยู่ข้าง ๆ มีรอยยิ้มอ่อนโยนปนเอ็นดูประดับอยู่บนใบหน้าเขา

จิ่งหนิงชอบสุนัขมาก เธอคิดอยู่เสมอว่าสุนัขถือเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์ที่สุดบนโลกใบนี้

เพราะงั้น เธอก็เลยเล่นกับพวกมันอย่างสนุกสนาน

สุนัขสองตัวนั้นก็ค่อนข้างจะชอบเธอมากเช่นกัน พวกมันเอาแต่ไล่กินอาหารในมือเธอไม่หยุด

ขณะที่กำลังเล่นอยู่ จิ่งหนิงบังเอิญเงยหน้าขึ้น ก่อนจะมองขึ้นไปเห็นเฉียวฉีที่ยืนอยู่บนเฉลียงชั้นสอง

เธอหยุดป้อนอาหารให้สุนัขทั้งสองตัว จากนั้นเงยหน้าส่งยิ้มให้เฉียวฉี “คุณตื่นแล้วเหรอ? ข้างนอกแดดดีมากเลยนะ อยากลงมาเดินเล่นไหม?”

เฉียวฉีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ “ได้”

เธอหันหลังเดินกลับเข้าไปด้านในเพื่อเดินลงมา

ไม่รู้ว่ากู้ซือเฉียนไปทำอะไรอยู่ที่ไหน ตอนนี้ทั่วทั้งตึกหลักไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา

เฉียวฉีก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เธอเดินตรงไปยังสวนดอกไม้ด้านหลังทันที ลู่จิ่งเซินเห็นว่าหญิงสาวทั้งสองคนอยู่ด้วยกันแล้ว ส่วนเขาเป็นชายหนุ่มมานั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวคงจะพูดคุยกันไม่สะดวก ดังนั้น เขาเลยหาข้ออ้างปลีกตัวออกมา

จิ่งหนิงจูงหมาสองตัว แล้วก็เดินเล่นในสวนดอกไม้ไปพร้อม ๆ กับเฉียวฉี

“คุณตื่นแล้ว ตอนนี้ร่างกายรู้สึกยังไงบ้าง?”

ด้านเฉียวฉีอาจเป็นเพราะเธอหลับมานานเกินไป เธอจึงรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าร่างกายของเธอมีบางอย่างผิดปกติ

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Status: Ongoing

บทที่ 1 จับชู้คาเตียง

“มีถุงยางดูเร็กซ์ ดูอัล เพลย์เชอร์ไซซ์กลางไหม? ”

“มีค่ะ”

“แล้วก็ไวเบรเตอร์กับชุดนางแมวสวาทชุดหนึ่งด้วย”

“ได้ค่ะ จัดส่งที่ไหนคะ? ”

“โรงแรมลี่หัว ห้อง2202”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

เมื่อจิ่งหนิงมาถึงโรงแรมลี่หัวก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

เวลาดึกดื่นขนาดนี้ สำหรับคนที่ทำธุรกิจสินค้าผู้ใหญ่ แบบนี้ การนำส่งสินค้าด้วยตนเองไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

นัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างเธอ

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุก สิ่งทุกอย่างต้องแลกมาด้วยเงิน อีกอย่างมู่ยั่นเจ๋อกำลังจะ กลับมาอีกไม่กี่วันนี้

คบกันมาตั้งหกปี แต่เวลากว่าครึ่งเป็นรักระยะไกล เขา ต้องดูแลธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ เธอจะทำตัววุ่นวาย ส่งผลต่อการทำงานของเขาไม่ได้

ดีที่ความรักของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างหวานชื่นนอกจากงานในแต่ละวันแล้ว เธอยังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ด้วย อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของเขา เธอตั้งใจจะมอบของ ขวัญให้เขาอย่างเซอร์ไพรซ์

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เธอขยับหมวกสีดำที่ใส่มาให้ปิดลงมาบังหน้าไว้ จากนั้น เดินถือกล่องสินค้าเข้าไปด้านใน

โรงแรมลี่หัว เป็นสถานที่ราคาแพงขึ้นชื่อของเมืองจิ้น ผู้คนที่เดินทางมาเข้าพักล้วนเป็นระดับมหาเศรษฐี

ความโอ่อ่างดงามที่ห้องโถงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ลิฟต์ก็ ถูกประดับตกแต่งด้วยเงินและทองคำ คนที่ยืนอยู่ด้านใน ถูกแสงไฟส่องสว่างไสว

จิ่งหนิงเดินถือกล่องเข้าไปแล้วมองหาจุดหมาย

ใบหน้าอันงดงามถูกปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงดวงตา เป็นประกายคู่นั้น แฝงไปด้วยความมั่นใจ

ลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น22 “ตั้ง” ประตูเปิดออก เธอเดินออกไป กระทั่งถึงห้อง2202และกดกริ่งที่ประตู

ประตูยังไม่เปิดออก ก็มีเสียงหนุ่มสาวดังขึ้น

“อาเจ๋อ อุ๊ย? อย่าค่ะ….ของน่าจะมาส่งแล้ว”

“รอผมนะ เดี๋ยวมา”

จึงหนิงยืนยิ้มอยู่ที่ปากประตูอย่างอดไม่ได้ ของยังมาส่งไม่ถึงก็เริ่มกันแล้วเหรอเนี่ย? รีบร้อนกันจริงๆ?

ประตูถูกเปิดออกในไม่ช้า ชายผู้ออกมารับของสวมผ้า ขนหนูเพียงผืนเดียว บนร่างกายของเขายังคงมีไอน้ำอยู่

จิ่งหนิงไม่ได้มองหน้าเขา เธอยื่นกล่องใส่ของออกไป “843หยวนค่ะ? จ่ายเงินสดหรือว่าโอนคะ? ”

ชายผู้อยู่ตรงหน้าไม่ตอบ

ผ่านไปสองวินาที เสียงของชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “.

หนิง?

จิ่งหนิงตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า ร่างกายกำยำ ผมเผ้าเปียก ปอน เขามีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปิดบังร่างกายไว้ แสงไฟ เหลืองนวลส่องมายังร่างกายของเขา ผิวขาวเนียนและ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาด

ใจ อีกทั้ง ทำตัวไม่ถูก

สีหน้าของจิงหนิงตกใจเสียจนหน้าซีด

“ปั่นเจ๋อ ใครคะ? ”

“ไม่มีอะไรครับ คนมาส่งของครับ”

มู่ยั่นเจ๋อรีบพูดขึ้นก่อนที่จิ่งหนิงจะเอ่ยอะไรออกมาจาก นั้นรีบหยิบเงินจากกระเป๋ายัดใส่มือเธอและหยิบของไป อย่างรวดเร็ว

เสียงประตูปิดลงดัง “ปัง?

จึงหนิงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู มือของเธอเริ่มสั่น สีหน้า

เหนิงซีดเผือดลงทันที

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ

และมองไปยังธนบัตรที่เขายัดเข้ามาไว้ในมือ นี่มันเรื่อง ตลกบ้าบออะไรกัน? เธอหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของ ตัวเองจริงๆ

เสียงชายหนุ่มและหญิงสาวเล็ดลอดออกมานอกห้อง เธอก็ถอนหายใจยาวๆออกมา และกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเอา

ไว้

เธอหันหลังกลับและเดินตรงไปยังลิฟต์และหยิบมือถือ

ออกมา

“สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจใช่ไหมคะ? ฉันจะขอแจ้งความ ว่ามีชายหญิงค้าประเวณี ห้องพักเลขที่.”

ต่อมา20นาที

รถตำรวจคันหนึ่งจอดลงที่หน้าโรงแรมลี่หัว ข้างๆยังมีนัก ข่าวและช่างกล้องเดินตามมา เมื่อเห็นคนที่ถูกจับตัวออกมา นักข่าวก็พากันแห่เข้าไป

“นายมู่ มีคนแจ้งความว่าคุณเสพยาและซื้อบริการทาง เพศ จริงหรือไม่คะ? ”

“นายมู ในฐานะผู้สืบทอดมู่ชื่อกรุ๊ป คุณคิดว่าการกระทำ เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ?

“นายมู่ครับ ผู้หญิงคนที่อยู่กับคุณเป็นใครกันครับ? มี

ข่าวลือว่าเป็นดาราในวงการ จริงหรือไม่ครับ? ” “นายมู..”

มู่ยั่นเจ่อถูกนักข่าวล้อมไว้ แม้แต่ตำรวจก็ห้ามไว้ไม่ได้ เขากัดฟันกรอดๆและตะโกนออกมาว่า “ไปให้พ้น? ” นักข่าวพากันตกอกตกใจและถอยหลังออกไป

มู่ยั่นเจ๋อมองไปยังฝูงชน เขาพบเข้ากับจิ่งหนิง สายตา ของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?”

จึ่งหนิงเผยอยิ้ม สายตาแฝงไปด้วยการดูถูก

“คุณทำแบบนี้อย่าหวังว่าจะได้ผมไปครอง”

จิ่งหนิงเดินหน้าขึ้นไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อหน้านักข่าวและ

ตำรวจ

11 เพียะ!”

ฝ่ามือของเธอตบลงไปที่หน้าเขาอย่างจัง มู่ยั่นเจ่อถูกตบ เสียจนหน้าหัน

บรรยากาศรอบด้านเงียบลงทันใด

ทางตำรวจตกตะลึงอ้าปากค้าง ” คุณผู้หญิงคนนี้คือ.

%3D

%3D ขอโทษนะคะ มือลั่นไปเอง!”

เธอยิ้มด้วยแววตาเยือกเย็นแล้วทำท่าทางนวดข้อมือ แล้วมองไปยังมู่ยั่นเจ่อด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นพูดด้วย น้ำเสียงเยือกเย็นว่า

กระดาษชำระที่ตกลงไปในชักโครก คุณคิดว่าใครยังจะต้องการอีกกัน?ตบเมื่อสักครู่เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ทุน ที่เหลือฉันจะให้คุณชดเชยภายในสามวัน!”

แววตาของมู่ยั่นเจ่อตื่นตระหนก อะไร! ทุนอะไร !!” จึ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้น ” คุณแน่ใจนะว่าจะให้ฉันกระตุ้น

ความจำคุณ

มู่ยั่นเจ๋อก้มหน้าลงทันที

เธอหัวเราะหีๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความดูถูก เหยียดหยาม

ทางตำรวจเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้คุมตัวขึ้นรถไปได้ เมื่อเขาเดินทางจากไป บรรดานักข่าวก็ไม่ได้รีรอ รีบตาม

ไปทันที

เดิมทีที่จากประตูทางเข้าโรงแรมเต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ กลับว่างเปล่าไม่เหลือใคร

จึงหนิงยังยืนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งควบคุมอารมณ์ได้ เธอจึง ได้เตรียมตัวจากไป

แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเมื่อหันหลังกลับไปจะพบเข้ากับแวว ตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเธออยู่

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผมสั้นจัด ทรงเป็นระเบียบ แววตาแหลมคมนั้นทำให้ผู้พบเห็น หลงใหล

ใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้แสงยามค่ำคืนแบบนี้ เผยให้เห็นออร่าที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้าง จิ่งหนิงรู้สึกว่าเธอเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน

จากนั้นเธอหันไปเห็นเลขาของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีก ทั้งรถปอร์เช่สีเงินที่อยู่ข้างๆ เธอก็คิดได้ว่าจะไปรู้จักบุคคล ที่โดดเด่นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

เธอสลัดความคิดออกจากหัว หันหลังแล้วเดินจากไป จนกระทั่งร่างเล็กๆของเธอเข้าสู่รถยนต์ ลู่จิ่งเซินจึงได้

ละสายตามาจากเธอและถามขึ้นว่า “คนเมื่อกี้นี้คือใคร?

ซูมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบตอบขึ้นว่า ท่านหมายถึงคนที่ถูก ตำรวจจับไปเมื่อกี้หรือครับ? เหมือนว่าจะเป็นคุณชายขอ งมู่ชื่อกรุ๊ปที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อน”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ผมหมายถึงคนผู้หญิงคน เมื่อกี้”

“ครับ? ” ซูมู่งุนงงเล็กน้อย “ผู้หญิงคนไหนกัน? ”

เมื่อเห็นแววตาอันไม่พอใจของลู่จิ่งเซิน ซูมู่ก็รีบพูดขึ้นมา ว่า “ท่านประธานครับ ต้องขออภัยด้วยผมจะไปตรวจสอบ เดี๋ยวนี้”

“ช่างมันเถอะ”

สายตาของเขามองไปตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออก ไปแล้วยิ้มขึ้น เขาคล้ายกับนึกอะไรออกมาได้

จากนั้นเขารีบก้าวเดินเข้าไปด้านใน ในฐานะผู้แจ้งความ จิ่งหนิงจึงต้องเดินทางไปที่สถานี ตำรวจด้วย

เมื่อทำการบันทึกข้อความเสร็จแล้ว ผู้คนจากด้านนอกก็ พากันแห่กรูเข้ามา

คนที่เดินเข้ามาเป็นคนแรกก็คือคุณย่าจิ่งหวังเสว่เหมย เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงก็ตบเข้าให้ที่หน้าของจิ่งหนิงอย่างจัง

“นังคนทรยศ? ”

หวังเสว่เหมยตัวสั่นสะท้านแล้วพูดว่า “แกรู้อยู่แก่ใจว่านั่น คือน้องสาวแท้ๆของแก ยังกล้าแจ้งตำรวจจับอีกอย่างนั้น เหรอ? แกต้องการจะยั่วให้ฉันโมโหตายยังไง? ”

จิงหนิงเช็ดโชคเลือดที่มุมปาก จากนั้นเงยดูหญิงชราที่ อยู่ตรงหน้า

“น้องสาวอย่างนั้นเหรอ? คุณหมายถึงจิ่งเสี่ยวหย่า? ”

“ไม่ต้องทำมาเป็นเสแสร้ง สื่อต่างๆพากันพูดกันให้แซ่ด บอกว่าคุณหนูจิงรองให้ท่าคู่หมั้นของคนอื่น แกไม่รู้เรื่อง หรือไง? ”

จึงหนิงก้มหน้าลงและยิ้มออกมาเบาๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอนั่นเอง….ฉันก็คิดว่ากะหรี่ที่ไหน รีบร้อนจะหาเงินซะอีก ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของฉันเอง? “

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน