วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – บทที่ 932 งานวินิจฉัยอัญมณี

บทที่ 932 งานวินิจฉัยอัญมณี

เขามีชีวิตอยู่มาหลายต่อหลายปี และเป็นเวลานานมากแล้วที่เขาไม่ได้เจอคนที่น่าสนใจเช่นนี้

“คุณพูดถูก สิ่งที่ฉันขอให้พวกคุณค้นหาน่ะ มันค่อนข้างที่จะหายากจริงๆ เอาอย่างนี้ไหม ทำไมคุณไม่พูดมาล่ะ ว่าคุณต้องการอะไร?”

เฉียวฉีพูดอย่างเคร่งขรึม “ฉันต้องการให้โรคในร่างกายของฉันได้รับการรักษาอย่างสมบูรณ์”

หนานกงจิ่นหรี่ตาลง

“คุณอยากให้ฉันช่วยรักษามันให้คุณอย่างนั้นเหรอ?”

“ถูกต้อง!”

หนานกงจิ่นเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ยิ้มออกมาทันที

“คุณนี่มันไร้เดียงสาจริงๆ หากในโลกนี้มีวิธีรักษาโรคนี้จริงๆ คุณคิดว่าตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหนานของเรา ยังต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคนี้เป็นเวลาหลายปีทำไม?”

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา สีหน้าของเฉียวฉีและกู้ซือเฉียนก็เปลี่ยนไป

“คุณหมายความว่า ไม่มีทางรักษาเหรอ?”

“ไม่มี”

ความกดอากาศในห้องลดลงทันที และทั้งสามคนคนก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

หนานกงจิ่นก็ไม่ได้รีบร้อน เขาเพียงแค่นั่งดูพวกเขาเงียบๆ และดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายกำลังตกอยู่ในต่อสู้ครั้งใหญ่

ผ่านไปพักหนึ่ง กู้ซือเฉียนก็พูดว่า “คุณต้องการให้เราหาอะไรให้คุณ?”

หนานกงจิ่นยิ้ม “แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์”

….

ตั้งแต่ออกจากคฤหาสน์มา นี่ก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว

ทั้งสองไม่ได้อยู่ที่งานเทศกาลไหว้พระจันทร์ของตระกูลหนานต่อ เมื่อออกมาแล้ว ก็ขึ้นเรือออกจากเกาะทันที

ซึ่งฉินเยว่รอพวกเขาอยู่ที่ชายฝั่งแล้ว เมื่อลงจากเรือ ก็ตรงขึ้นเครื่องบิน และบินกลับไปที่เมืองหลินทันที

เมื่อไปถึงปราสาท ก็เป็นเวลาบ่ายสามโมง

ลุงโอสั่งให้ฝ่ายห้องครัวเตรียมอาหารไว้รอแล้ว และทั้งสองที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางตะลอน ๆ เมื่อทานอาหารเสร็จจึงพักผ่อน และทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้อีกครั้ง

เธอหยิบแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ที่ได้จากการประมูลขึ้นมา และตรวจดูสักครู่ แล้วกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เราคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมสมาชิกของตระกูลหนานถึงเอาของชิ้นนี้ออกมาประมูล ตอนนี้ถึงได้รู้แล้วว่า พวกเขาวางแผนไว้นานแล้ว”

สีหน้าของกู้ซือเฉียนทรุดลงเล็กน้อย

“พวกเขาจงใจส่งของชิ้นนี้มาให้เรา โดยงานประมูลนั้น ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าร่วมได้ แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงนั้น มันถูกจัดเตรียมไว้สำหรับเรา”

เฉียวฉีพยักหน้าเห็นด้วย และถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

“คุณคิดว่าพวกเขาหาสิ่งนี้ไปทำไมกัน? ดูจากคุณหนานกงจิ่นแล้วฉันไม่คิดว่าเขาเหมือนคนที่จะเชื่อข่าวลือเรื่องความเป็นอมตะเลย เขาดูไม่สนใจโลกภายนอก แล้วเขาจะมาสนอกสนใจกับสิ่งนี้ได้ยังไง? ”

กู้ซือเฉียนเย้ยหยัน เขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ

“บางครั้งคนที่ดูไม่สนใจโลกภายนอก แท้จริงแล้วกลับโลภมากกว่าอีก ฉันไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนดีอะไรหรอก”

เฉียวฉีชะงัก และหันกลับมามองเขา “ถ้างั้นคุณบอกหน่อยสิว่า ทำไมเขาถึงส่งสิ่งนี้มาให้เรา? ทำไมเขาถึงเลือกให้เราหาชิ้นส่วนที่เหลือให้เขา?”

กู้ซือเฉียนตอบอย่างเฉยเมย “มันง่ายมาก นั่นก็เพราะด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้เขาไม่สะดวกที่จะยื่นมือออกมาทำด้วยตัวเองน่ะสิ และพวกเราก็ดันไปมีส่วนเกี่ยวข้องแถมยังมีอำนาจอีก ส่วนคุณก็มีเรื่องอาการป่วยที่ต้องขอให้เขาช่วย ดังนั้นเราจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด และสำหรับเหตุผลที่ว่าทำไมสิ่งนี้ถูกส่งมอบให้กับเรานั้น… ”

เขาหยิบแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ชิ้นนั้นขึ้นมา และดูอย่างพินิจพิจารณาใกล้ๆ

“บางทีอาจจะต้องการให้เราศึกษามันหรือเปล่า? ”

พูดจบ เขาก็ส่ายหน้า “ฉันก็ไม่แน่ใจนัก”

เฉียวฉีถอนหายใจ

“แล้วตอนนี้เราควรทำยังไงกันดี?”

สายตาของกู้ซือเฉียนเคร่งขรึม ครู่หนึ่ง เขาก็ตอบว่า “ตามหามัน”

“จะหายังไง? โลกกว้างใหญ่ขนาดนี้ แถมเราไม่มีเงื่อนงำเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เขากลับให้เวลาเราเพียงแค่สี่เดือนเท่านั้น”

ขณะที่ทั้งสองกำลังจะออกมา หนานกงจิ่นให้ยาแก่พวกเขาทั้งหมดสี่เดือน และสั่งให้พวกเขาหาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ทั้งสิบสองชิ้นให้เจอภายในสี่เดือน

ตามที่เขาพูด ขณะนี้เขามีห้าชิ้นอยู่ในมือ และกู้ซือเฉียนมีหนึ่งชิ้นอยู่ที่นี่ ซึ่งเท่ากับว่าตอนนี้พวกเขามีทั้งหมดหกชิ้น กล่าวคือ ยังเหลือหกชิ้นที่กระจัดกระจายอยู่ข้างนอกนั่น

จากข่าวลือก่อนหน้านี้ หลายคนเชื่อว่าสิ่งนี้เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถทำให้ผู้คนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทุกคนจึงตามหามัน แต่หลังจากค้นหามานานแสนนาน กลับมีน้อยคนที่จะหาพบ

การที่จะหาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ทั้งหกชิ้นในเวลาเพียงสี่เดือนนั้น มันใช่เรื่องง่ายซะที่ไหนกัน?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ คิ้วของเฉียวฉีก็ขมวดเป็นปมขึ้นมา

กู้ซือเฉียนหันไปมองเธอ และยิ้มออกมาเล็กน้อย

“ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก ทุกอย่างมีทางออก จากที่เขาพูด การรวบรวมแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์สิบสองชิ้นนี้ จะต้องส่งผลกระทบอย่างมาก ฉันเดาว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนเดียวที่รู้ข่าวนี้ ดังนั้นทางที่ดีเราน่าจะลองดูกันก่อน แล้วดูว่าใครจะมาช่วงชิงสมบัติชิ้นนี้ไป ฉันรับประกันได้เลย ว่ากลุ่มคนที่เข้ามาจะต้องมีใครสักคนที่มีมันอยู่แล้วสักหนึ่งหรือสองชิ้น พอถึงตอนนั้นเราก็ค่อยสังเกตและเริ่มลงมือ”

เฉียวฉีครุ่นคิด และพยักหน้าเห็นด้วย

“บางทีนี่อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้”

เมื่อรู้สึกได้ถึงความกังวลของเธอ กู้ซือเฉียนก็ปลอบโยนเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา

“อย่ากลัวไปเลย ทุกอย่างจะต้องได้รับการแก้ไข คุณจะไม่เป็นอะไร พวกเราจะต้องไม่มีใครเป็นอะไร”

เฉียวฉีเอนตัวไปในอ้อมแขนของเขา เธอพยักหน้า และหลับตาลง

สามวันต่อมา เมืองหลินก็จัดงานงานวินิจฉัยอัญมณีขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่

ซึ่งงานนี้ก็ไม่ได้จัดขึ้นโดยใครที่ไหน แต่โดยลูกชายของบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลิน ซึ่งก็คือหลินซงนั่นเอง

หลินซงเป็นลูกผู้ลากมากดีที่เป็นที่รู้จักกันดีในเมืองหลิน และเขาไม่เคยทำอะไรไร้สาระ ดังนั้นเมื่อเขาจัดงานงานวินิจฉัยอัญมณีนี้ขึ้นมา ทุกคนจึงไม่รู้สึกแปลกใจ

แต่กลับกันในสายงานธุรกิจ ทุกคนต่างก็อยากรู้ว่าเขาพบสมบัติหายากอะไรเมื่อเร็วๆ นี้ ดังนั้นเขาจึงแทบรอไม่ไหวที่จะอวดให้ทุกคนได้เห็น

อย่างที่ทุกคนรู้ แม้ว่าคุณชายหลินจะร่ำรวย และขี้อวด แต่สิ่งที่เขาโอ้อวดออกมาทุกครั้งล้วนเป็นสมบัติที่แท้จริงทั้งสิ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่คนรวยธรรมดาทั่วไปไม่สามารถเห็นได้

เพราะฉะนั้น ถึงจะวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนาๆ แต่ก็ยังต้องไปอยู่ดี

งานวินิจฉัยอัญมณีนี้จัดขึ้นในโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดภายใต้หลินซื่อกรุ๊ป

ณ วันที่จัดงาน แขกเหรื่อต่างมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง และคนที่มีหน้ามีตาที่อยู่แถวนี้ก็มาเกือบทุกคน ทำให้ภายในห้องโถงสนุกสนานรื่นเริง และครึกครื้นขึ้นมาทันตา

หลินซงถือแก้วไวน์แดง นั่งเอนหลังอยู่บนโซฟา ยิ้มให้กับฉากที่มีชีวิตชีวาชั้นล่าง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นี่ซือเฉียนฉันได้เรียกคนที่มีหน้ามีตาทุกคนในเมืองหลินมาให้นายแล้ว นายคิดจะทำอะไร ก็รีบพูดมาสักที!”

ใครก็คงคิดไม่ถึงว่า งานวินิจฉัยอัญมณีที่จัดขึ้นมาโดยหลินซงนั้น แท้จริงแล้วผู้ที่วางแผนอยู่เบื้องหลังคือกู้ซือเฉียน

กู้ซือเฉียนก็ถือแก้วไวน์ด้วยเหมือนกัน และสายตาก็จับจ้องไปที่ผู้คนที่อยู่ชั้นล่าง

ไม่มีการแสดงอารมณ์ใดๆ บนใบหน้าของเขา ยังคงไว้ด้วยสายตาที่เย็นชา มีเพียงแววตาที่มืดมิดของเขา ที่เผยให้เห็นว่าใจของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

หลินซงใช้ศอกสะกิดแขนเขา และถามว่า “เฮ้ ที่นายต้องการให้ฉันจัดงานเลี้ยงหรูหราใหญ่โตเช่นนี้ ความจริงแล้วต้องการแสดงสมบัติชิ้นไหนกันแน่? ถึงเวลาที่ต้องพูดได้แล้วใช่ไหม?”

กู้ซือเฉียนเหลือบมองเขา

ริมฝีปากบางเปิดออกเบาๆ “แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์”

“หา?”

หลินซงรู้สึกประหลาดใจ “นั่นไม่ใช่ของที่นายประมูลได้จากงานประมูลก่อนหน้านี้เหรอ?”

กู้ซือเฉียนพยักหน้า

“ก่อนหน้านี้มีคนสนใจมันเพียบเลยไม่ใช่เหรอ? ที่ฉันเอามันออกมา ก็เพื่อจะให้ทุกคนได้ยลโฉมสักหน่อย”

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Status: Ongoing

บทที่ 1 จับชู้คาเตียง

“มีถุงยางดูเร็กซ์ ดูอัล เพลย์เชอร์ไซซ์กลางไหม? ”

“มีค่ะ”

“แล้วก็ไวเบรเตอร์กับชุดนางแมวสวาทชุดหนึ่งด้วย”

“ได้ค่ะ จัดส่งที่ไหนคะ? ”

“โรงแรมลี่หัว ห้อง2202”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

เมื่อจิ่งหนิงมาถึงโรงแรมลี่หัวก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

เวลาดึกดื่นขนาดนี้ สำหรับคนที่ทำธุรกิจสินค้าผู้ใหญ่ แบบนี้ การนำส่งสินค้าด้วยตนเองไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

นัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างเธอ

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุก สิ่งทุกอย่างต้องแลกมาด้วยเงิน อีกอย่างมู่ยั่นเจ๋อกำลังจะ กลับมาอีกไม่กี่วันนี้

คบกันมาตั้งหกปี แต่เวลากว่าครึ่งเป็นรักระยะไกล เขา ต้องดูแลธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ เธอจะทำตัววุ่นวาย ส่งผลต่อการทำงานของเขาไม่ได้

ดีที่ความรักของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างหวานชื่นนอกจากงานในแต่ละวันแล้ว เธอยังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ด้วย อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของเขา เธอตั้งใจจะมอบของ ขวัญให้เขาอย่างเซอร์ไพรซ์

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เธอขยับหมวกสีดำที่ใส่มาให้ปิดลงมาบังหน้าไว้ จากนั้น เดินถือกล่องสินค้าเข้าไปด้านใน

โรงแรมลี่หัว เป็นสถานที่ราคาแพงขึ้นชื่อของเมืองจิ้น ผู้คนที่เดินทางมาเข้าพักล้วนเป็นระดับมหาเศรษฐี

ความโอ่อ่างดงามที่ห้องโถงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ลิฟต์ก็ ถูกประดับตกแต่งด้วยเงินและทองคำ คนที่ยืนอยู่ด้านใน ถูกแสงไฟส่องสว่างไสว

จิ่งหนิงเดินถือกล่องเข้าไปแล้วมองหาจุดหมาย

ใบหน้าอันงดงามถูกปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงดวงตา เป็นประกายคู่นั้น แฝงไปด้วยความมั่นใจ

ลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น22 “ตั้ง” ประตูเปิดออก เธอเดินออกไป กระทั่งถึงห้อง2202และกดกริ่งที่ประตู

ประตูยังไม่เปิดออก ก็มีเสียงหนุ่มสาวดังขึ้น

“อาเจ๋อ อุ๊ย? อย่าค่ะ….ของน่าจะมาส่งแล้ว”

“รอผมนะ เดี๋ยวมา”

จึงหนิงยืนยิ้มอยู่ที่ปากประตูอย่างอดไม่ได้ ของยังมาส่งไม่ถึงก็เริ่มกันแล้วเหรอเนี่ย? รีบร้อนกันจริงๆ?

ประตูถูกเปิดออกในไม่ช้า ชายผู้ออกมารับของสวมผ้า ขนหนูเพียงผืนเดียว บนร่างกายของเขายังคงมีไอน้ำอยู่

จิ่งหนิงไม่ได้มองหน้าเขา เธอยื่นกล่องใส่ของออกไป “843หยวนค่ะ? จ่ายเงินสดหรือว่าโอนคะ? ”

ชายผู้อยู่ตรงหน้าไม่ตอบ

ผ่านไปสองวินาที เสียงของชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “.

หนิง?

จิ่งหนิงตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า ร่างกายกำยำ ผมเผ้าเปียก ปอน เขามีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปิดบังร่างกายไว้ แสงไฟ เหลืองนวลส่องมายังร่างกายของเขา ผิวขาวเนียนและ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาด

ใจ อีกทั้ง ทำตัวไม่ถูก

สีหน้าของจิงหนิงตกใจเสียจนหน้าซีด

“ปั่นเจ๋อ ใครคะ? ”

“ไม่มีอะไรครับ คนมาส่งของครับ”

มู่ยั่นเจ๋อรีบพูดขึ้นก่อนที่จิ่งหนิงจะเอ่ยอะไรออกมาจาก นั้นรีบหยิบเงินจากกระเป๋ายัดใส่มือเธอและหยิบของไป อย่างรวดเร็ว

เสียงประตูปิดลงดัง “ปัง?

จึงหนิงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู มือของเธอเริ่มสั่น สีหน้า

เหนิงซีดเผือดลงทันที

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ

และมองไปยังธนบัตรที่เขายัดเข้ามาไว้ในมือ นี่มันเรื่อง ตลกบ้าบออะไรกัน? เธอหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของ ตัวเองจริงๆ

เสียงชายหนุ่มและหญิงสาวเล็ดลอดออกมานอกห้อง เธอก็ถอนหายใจยาวๆออกมา และกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเอา

ไว้

เธอหันหลังกลับและเดินตรงไปยังลิฟต์และหยิบมือถือ

ออกมา

“สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจใช่ไหมคะ? ฉันจะขอแจ้งความ ว่ามีชายหญิงค้าประเวณี ห้องพักเลขที่.”

ต่อมา20นาที

รถตำรวจคันหนึ่งจอดลงที่หน้าโรงแรมลี่หัว ข้างๆยังมีนัก ข่าวและช่างกล้องเดินตามมา เมื่อเห็นคนที่ถูกจับตัวออกมา นักข่าวก็พากันแห่เข้าไป

“นายมู่ มีคนแจ้งความว่าคุณเสพยาและซื้อบริการทาง เพศ จริงหรือไม่คะ? ”

“นายมู ในฐานะผู้สืบทอดมู่ชื่อกรุ๊ป คุณคิดว่าการกระทำ เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ?

“นายมู่ครับ ผู้หญิงคนที่อยู่กับคุณเป็นใครกันครับ? มี

ข่าวลือว่าเป็นดาราในวงการ จริงหรือไม่ครับ? ” “นายมู..”

มู่ยั่นเจ่อถูกนักข่าวล้อมไว้ แม้แต่ตำรวจก็ห้ามไว้ไม่ได้ เขากัดฟันกรอดๆและตะโกนออกมาว่า “ไปให้พ้น? ” นักข่าวพากันตกอกตกใจและถอยหลังออกไป

มู่ยั่นเจ๋อมองไปยังฝูงชน เขาพบเข้ากับจิ่งหนิง สายตา ของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?”

จึ่งหนิงเผยอยิ้ม สายตาแฝงไปด้วยการดูถูก

“คุณทำแบบนี้อย่าหวังว่าจะได้ผมไปครอง”

จิ่งหนิงเดินหน้าขึ้นไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อหน้านักข่าวและ

ตำรวจ

11 เพียะ!”

ฝ่ามือของเธอตบลงไปที่หน้าเขาอย่างจัง มู่ยั่นเจ่อถูกตบ เสียจนหน้าหัน

บรรยากาศรอบด้านเงียบลงทันใด

ทางตำรวจตกตะลึงอ้าปากค้าง ” คุณผู้หญิงคนนี้คือ.

%3D

%3D ขอโทษนะคะ มือลั่นไปเอง!”

เธอยิ้มด้วยแววตาเยือกเย็นแล้วทำท่าทางนวดข้อมือ แล้วมองไปยังมู่ยั่นเจ่อด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นพูดด้วย น้ำเสียงเยือกเย็นว่า

กระดาษชำระที่ตกลงไปในชักโครก คุณคิดว่าใครยังจะต้องการอีกกัน?ตบเมื่อสักครู่เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ทุน ที่เหลือฉันจะให้คุณชดเชยภายในสามวัน!”

แววตาของมู่ยั่นเจ่อตื่นตระหนก อะไร! ทุนอะไร !!” จึ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้น ” คุณแน่ใจนะว่าจะให้ฉันกระตุ้น

ความจำคุณ

มู่ยั่นเจ๋อก้มหน้าลงทันที

เธอหัวเราะหีๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความดูถูก เหยียดหยาม

ทางตำรวจเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้คุมตัวขึ้นรถไปได้ เมื่อเขาเดินทางจากไป บรรดานักข่าวก็ไม่ได้รีรอ รีบตาม

ไปทันที

เดิมทีที่จากประตูทางเข้าโรงแรมเต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ กลับว่างเปล่าไม่เหลือใคร

จึงหนิงยังยืนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งควบคุมอารมณ์ได้ เธอจึง ได้เตรียมตัวจากไป

แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเมื่อหันหลังกลับไปจะพบเข้ากับแวว ตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเธออยู่

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผมสั้นจัด ทรงเป็นระเบียบ แววตาแหลมคมนั้นทำให้ผู้พบเห็น หลงใหล

ใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้แสงยามค่ำคืนแบบนี้ เผยให้เห็นออร่าที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้าง จิ่งหนิงรู้สึกว่าเธอเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน

จากนั้นเธอหันไปเห็นเลขาของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีก ทั้งรถปอร์เช่สีเงินที่อยู่ข้างๆ เธอก็คิดได้ว่าจะไปรู้จักบุคคล ที่โดดเด่นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

เธอสลัดความคิดออกจากหัว หันหลังแล้วเดินจากไป จนกระทั่งร่างเล็กๆของเธอเข้าสู่รถยนต์ ลู่จิ่งเซินจึงได้

ละสายตามาจากเธอและถามขึ้นว่า “คนเมื่อกี้นี้คือใคร?

ซูมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบตอบขึ้นว่า ท่านหมายถึงคนที่ถูก ตำรวจจับไปเมื่อกี้หรือครับ? เหมือนว่าจะเป็นคุณชายขอ งมู่ชื่อกรุ๊ปที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อน”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ผมหมายถึงคนผู้หญิงคน เมื่อกี้”

“ครับ? ” ซูมู่งุนงงเล็กน้อย “ผู้หญิงคนไหนกัน? ”

เมื่อเห็นแววตาอันไม่พอใจของลู่จิ่งเซิน ซูมู่ก็รีบพูดขึ้นมา ว่า “ท่านประธานครับ ต้องขออภัยด้วยผมจะไปตรวจสอบ เดี๋ยวนี้”

“ช่างมันเถอะ”

สายตาของเขามองไปตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออก ไปแล้วยิ้มขึ้น เขาคล้ายกับนึกอะไรออกมาได้

จากนั้นเขารีบก้าวเดินเข้าไปด้านใน ในฐานะผู้แจ้งความ จิ่งหนิงจึงต้องเดินทางไปที่สถานี ตำรวจด้วย

เมื่อทำการบันทึกข้อความเสร็จแล้ว ผู้คนจากด้านนอกก็ พากันแห่กรูเข้ามา

คนที่เดินเข้ามาเป็นคนแรกก็คือคุณย่าจิ่งหวังเสว่เหมย เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงก็ตบเข้าให้ที่หน้าของจิ่งหนิงอย่างจัง

“นังคนทรยศ? ”

หวังเสว่เหมยตัวสั่นสะท้านแล้วพูดว่า “แกรู้อยู่แก่ใจว่านั่น คือน้องสาวแท้ๆของแก ยังกล้าแจ้งตำรวจจับอีกอย่างนั้น เหรอ? แกต้องการจะยั่วให้ฉันโมโหตายยังไง? ”

จิงหนิงเช็ดโชคเลือดที่มุมปาก จากนั้นเงยดูหญิงชราที่ อยู่ตรงหน้า

“น้องสาวอย่างนั้นเหรอ? คุณหมายถึงจิ่งเสี่ยวหย่า? ”

“ไม่ต้องทำมาเป็นเสแสร้ง สื่อต่างๆพากันพูดกันให้แซ่ด บอกว่าคุณหนูจิงรองให้ท่าคู่หมั้นของคนอื่น แกไม่รู้เรื่อง หรือไง? ”

จึงหนิงก้มหน้าลงและยิ้มออกมาเบาๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอนั่นเอง….ฉันก็คิดว่ากะหรี่ที่ไหน รีบร้อนจะหาเงินซะอีก ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของฉันเอง? “

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท