วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – บทที่ 918 ไม่มีสิทธิ์

บทที่ 918 ไม่มีสิทธิ์

หนานกงจิ่น โบกมือเบา ๆ “ออกไปเถอะ”

หนานกงยวู่ โค้งตัวคำนับ ก่อนจะเดินจากไป

รอจนเขาเดินออกไปแล้ว หนานกงจิ่น ก็นั่งอยู่ตรงนั้นอีกสักพัก จากนั้นจึงยืดตัวขึ้น แล้วค่อยเดินออกไป

บ้านหลังนี้เป็นบ้านหลังใหญ่มีลักษณะแปลกตา ด้านหน้ามีอยู่เพียงไม่กี่ห้อง ส่วนด้านหลังมีสวนดอกไม้ขนาดใหญ่

ภายในสวนเต็มไปด้วยภูเขาหิน ดอกไม้ พืชพันธุ์ต่างถิ่นมากมายปลูกไว้อย่างสวยงาม แถมยังมีต้นไม้เก่าแก่ประวัติยาวนานหลายร้อยปีอยู่อีกหลายต้น

หนานกงจิ่น เดินไปตามถนนหิน พอไปถึงใจกลางสวนที่มีโขดหินตั้งอยู่ เขาก็หยุดเดิน

จากนั้นชายหนุ่มก็กดไปที่โขดหินหนึ่งครั้ง ทันใดนั้น โขดหินที่เดิมทีทับซ้อนกันอยู่ก็ค่อย ๆ แยกออกจากกัน จนเกิดเป็นทางเดิน

เขาเดินตามทางเข้าไป

บรรยากาศภายในทั้งชื้นและเย็น มีลมสายหนึ่งพัดออกมาเบา ๆ

เบื้องหน้า หนานกงจิ่น มีทางเดินที่โรยด้วยหินคดเคี้ยวไปมา เขาเดินตามทางนั้นไปสักพัก ภาพเบื้องหน้าก็ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น

ด้านในเป็นเพียงห้องหินขนาดใหญ่ รอบ ๆ ห้องเต็มไปด้วยน้ำแข็ง ส่วนตรงกลางมีโลงศพแก้วคริสทัลโปร่งใสตั้งอยู่

ถ้าตอนนี้มีคนอื่นอยู่ด้วย คงจะต้องตกใจมากแน่ ๆ

เพราะภายในโลงแก้วนั้น มีหญิงชราผมขาวนอนอยู่ด้านในอย่างสงบ

แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น แต่อยู่ตรงที่หญิงชราผู้นี้กับเฉียวฉีต่างมีส่วนที่คล้ายกันกว่าห้าในหกส่วน

เพียงแต่ว่าผมของหญิงชราเป็นสีขาวทั้งหมด ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น เธอมีอายุอย่างน้อยประมาณเจ็ดสิบถึงแปดสิบปี

เธอนอนอยู่ในนั้นอย่างสงบเยือกเย็น หนานกงจิ่น เดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะมองไปที่ใบหน้าซึ่งกำลังหลับใหลอย่างสงบของเธอ เขาเอื้อมมือออกไปลูบผมของเธอเบา ๆ

“เฉียนเฉียน”

เขากระซิบเสียงทุ้มต่ำ

ถือเป็นภาพที่แปลกมาก ชายหนุ่มที่ยังเยาว์วัยอยู่กลับเรียกหญิงชราวัยเกือบแปดสิบในโลงอย่างสนิทสนม ด้วยชื่อเล่นของเธอ เฉียนเฉียน

แต่ดูเหมือนเขาไม่ได้รู้สึกแปลกเลยสักนิด มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย ขณะที่จ้องไปที่เธอ จากนั้นจึงพูดขึ้นเบา ๆ ว่า “รอก่อนนะ อีกไม่นาน ผมจะปลุกคุณให้ตื่นขึ้นมาให้ได้ เฉียนเฉียน”

เป็นธรรมดาที่หญิงชราจะยังหลับตาอยู่ ราวกับว่าเธอไม่มีชีวิตแล้ว

เขาค่อย ๆ จัดผมให้เธออย่างทะนุถนอม พร้อมกับพร่ำพรรณนากับตัวเองว่า “ของที่ผมเอามาไม่ได้ คนคนนั้นจะต้องเอามันมาให้เราได้แน่นอน แค่รวบรวมแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ให้ครบทั้งสิบสองส่วน คุณก็จะตื่นขึ้นมา พอถึงตอนนั้นเดี๋ยวผมจะพาคุณออกไปดูโลกภายนอกเองดีไหม?

คุณรู้รึเปล่า ว่าโลกใบนี้มันต่างจากโลกใบที่เราเคยอยู่อย่างสิ้นเชิงเลยนะ ที่นี่มีสิ่งแปลกใหม่เต็มไปหมด รอให้คุณตื่นขึ้นมาก่อน คุณจะต้องชอบมันมากแน่ ๆ

เฉียนเฉียน ผมรักคุณ ผมจะอยู่กับคุณ และรอคุณ”

หลังจากที่พูดจบ เขาก็ก้มหน้าลง พร้อมกับจุมพิตลงบนหน้าผากของเธอ

จากนั้น จึงหมุนตัวแล้วเดินออกไป

ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง

หลังจากจัดการกับอาณาเขตของ กลุ่มชาวจีนที่เหลืออยู่ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ลู่จิ่งเซินกับจิ่งหนิงก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ที่นี่ต่อ

บวกกับเรื่องในประเทศที่ค่อนข้างวุ่นวาย พวกเขาคงจะอยู่ข้างนอกตลอดไปไม่ได้หรอก ดังนั้น พวกเขาก็เลยเตรียมตัวกลับ

ตระกูลลู่และตระกูลกู้เดิมทีเคยเป็นมิตรที่ดีต่อกัน แต่เพราะเรื่องผลประโยชน์ ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายเลยหยุดชะงักไป คนทั่วไปต่างก็คิดว่าสักวันทั้งสองตระกูลนี้ต้องปะทะกันแน่ ๆ

แต่คาดไม่ถึง จากการติดต่อและร่วมมือกันครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายไม่เพียงแค่ไม่มีความขัดแย้งกัน แต่กลับมีบางอย่างที่สามารถสื่อถึงกันได้อย่างน่าประหลาด

จิ่งหนิงเองก็ดูออก ลู่จิ่งเซินไม่ได้เกลียดกู้ซือเฉียนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

ส่วนกู้ซือเฉียน เพราะเรื่องที่ช่วยเฉียวฉีในครั้งนี้ ลู่จิ่งเซินกับจิ่งหนิงช่วยเขาได้มาก ดังนั้น เขาก็พลอยเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อลู่จิ่งเซินไปด้วย

ส่งผลให้ทั้งสองคน ที่เมื่อก่อนเอากันไม่ลงสักที ให้ตายยังไงก็ไม่ยอมยืนข้าง ๆ ตอนนี้กลับมีกลิ่นของความเข้าอกเข้าใจกันอย่างอธิบายไม่ถูก

ถึงยังไงทั้งคู่ก็เป็นคนฉลาด รู้จักแบ่งแยกรู้จักร่วมมือ ซึ่งแน่นอนว่าการร่วมมือจะทำให้ทั้งสองฝ่ายได้ผลประโยชน์มากกว่า

ดังนั้น ทั้งคู่ก็เลยเห็นพ้องต้องกัน ส่วนจิ่งหนิงก็มีความสุขกับผลลัพธ์นี้ไปโดยปริยาย

คืนนี้ เนื่องจากทุกคนรู้ว่าลู่จิ่งเซินกับจิ่งหนิงจะกลับประเทศในวันพรุ่งนี้แล้ว กู้ซือเฉียนก็เลยตั้งกลุ่ม จัดงานเลี้ยงฉลองให้พวกเขาในตอนเย็น

สถานที่ก็คือในปราสาท แต่ครั้งนี้มีคนมาเข้าร่วมค่อนข้างเยอะ ไม่ใช่แค่กู้ซือเฉียน เฉียวฉี คู่สามีภรรยาลู่จิ่งเซิน แต่ยังมีจี้หลินยวนกับหัวเหยาที่รีบมาจากประเทศเอฟด้วย

เพราะเดิมทีหัวเหยาวางแผนว่าจะกลับประเทศเมื่อสองวันที่ผ่านมา แต่หลังจากได้โทรคุยกับจิ่งหนิง แล้วเธอก็รู้ว่าพวกเขาจะกลับประเทศพรุ่งนี้ เธอก็เลยเปลี่ยนเที่ยวบิน เพื่อจะได้กลับไปพร้อมพวกเขา

และในเมื่อจะกลับประเทศพร้อมกันทั้งที ยังไงก็ต้องมารวมตัวกันก่อน เพราะงั้น พวกเธอก็เลยบินตรงจากประเทศเอฟมาลงที่เมืองหลิน

เมื่อแสงไฟถูกจุดขึ้น ภายในปราสาทสว่างไสวและมีชีวิตชีวาขึ้นทันที

หลินเซินพาเพื่อนอีกสองสามคนมาด้วย ซึ่งแน่นอนว่านั่นก็คือแฟนสาวของเขา แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่มันก็ชัดเจนแล้วเมื่อดูจากท่าทีที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน

ระหว่างทานข้าว เฉียวฉีก็ล้อเขาว่า เมื่อไรจะได้ดื่มเหล้างานแต่งงานเขาสักที

คาดไม่ถึงว่าหลินเซินจะเป็นพวกเจ้าอารมณ์?

เขาตอบมาตรง ๆ ประโยคหนึ่งว่า รอให้ได้ดื่มเหล้าในงานแต่งเธอก่อน หลังจากนั้นจะได้ดื่มของงานเขาตามแน่ ๆ

เฉียวฉีพอถูกเขาเอาคืนก็สำลักออกมาทันที ก่อนที่เธอจะไม่พูดอะไรอีกเลย

ส่วนกู้ซือเฉียนที่อยู่ข้าง ๆ กลับรู้สึกอารมณ์ดี

เขายกมุมปากขึ้นยิ้มก่อนจะพูดว่า “นายพูดจริงนะ? แค่พวกเราจัดงาน นายก็จะจัดตามทันทีเลยใช่ไหม?”

เรื่องพวกนี้สำหรับหลินเซินแล้ว มีแค่แพ้กับชนะเท่านั้น อย่างอื่นเขาไม่สน

ดังนั้น เขาจึงวางเดิมพันเข้าสู้ทันที “แน่นอนอยู่แล้ว ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น ถ้านายจัดวันนี้ พรุ่งนี้ฉันก็จัดเลย เป็นไงล่ะ? ซือเฉียน นายจะว่าไง?”

เฉียวฉีจ้องเขม็งไปที่กู้ซือเฉียน เพราะกลัวว่าเขาจะพูดอะไรแปลก ๆ ออกมา ก่อนจะพูดขึ้นอย่างร้อนรนว่า “ไม่มีอะไร อย่าไปฟังเขาพูดมั่วนะ”

ขณะที่พูด เธอก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที

“สเต๊กอันนี้อร่อยนะ มาสิ หนิงหนิงมาลองชิมสักชิ้น”

พูดไปพลาง เธอก็หั่นสเต๊กเป็นชิ้นเล็ก ๆ วางใส่จานจิ่งหนิงด้วย

จิ่งหนิงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฉันกินต่อไม่ไหวแล้ว อิ่มแล้วล่ะ”

ลู่จิ่งเซินเหลือบมองเธอครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “คุณเพิ่งกินไปเท่าไรเอง ทำไมอิ่มแล้ว? ไม่ได้นะ ต้องกินอีก”

เพราะช่วงนี้จิ่งหนิงรู้สึกว่าตัวเองอ้วนขึ้น ดังนั้นเธอก็เลยมีความคิดที่จะลดน้ำหนัก

แต่ลู่จิ่งเซินกลับไม่ยอม เขาหาข้ออ้างมาเพื่อให้เธอกินเยอะ ๆ ทุกครั้ง

จิ่งหนิงก็จนปัญญา เธอปฏิเสธเขาไม่ได้ ดังนั้น เวลากินข้าวกันสองคน จึงมักจะเป็นตอนที่เธอพูดไม่ออกมากที่สุด

เธอเม้มปาก ก่อนจะพูดขึ้นว่า “คืนนี้ฉันกินไปเยอะแล้ว คุณอย่าทำแบบนี้ อย่างกับจะป้อนอาหารหมู”

ลู่จิ่งเซินยิ้ม “ถ้าคุณกินได้อย่างนั้น ผมจะดีใจมาก”

คำพูดหวานเลี่ยนของคนทั้งคู่ ทำให้หลินเซินรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาชั่วขณะ

เขาทำท่าทางคลื่นไส้อย่างเกินจริง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เอาล่ะเอาล่ะพวกนายทั้งคู่ ทำฉันขนลุกไปหมดแล้ว เป็นคู่สามีภรรยากันมาตั้งนาน จะมาแสดงความหวานกันขนาดนี้ทำไม?”

ลู่จิ่งเซินเหลือบมองเขาเพียงครู่เดียว ก่อนจะพูดขึ้นว่า “คนไม่มีภรรยาไม่มีสิทธิ์พูด”

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Status: Ongoing

บทที่ 1 จับชู้คาเตียง

“มีถุงยางดูเร็กซ์ ดูอัล เพลย์เชอร์ไซซ์กลางไหม? ”

“มีค่ะ”

“แล้วก็ไวเบรเตอร์กับชุดนางแมวสวาทชุดหนึ่งด้วย”

“ได้ค่ะ จัดส่งที่ไหนคะ? ”

“โรงแรมลี่หัว ห้อง2202”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

เมื่อจิ่งหนิงมาถึงโรงแรมลี่หัวก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

เวลาดึกดื่นขนาดนี้ สำหรับคนที่ทำธุรกิจสินค้าผู้ใหญ่ แบบนี้ การนำส่งสินค้าด้วยตนเองไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

นัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างเธอ

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุก สิ่งทุกอย่างต้องแลกมาด้วยเงิน อีกอย่างมู่ยั่นเจ๋อกำลังจะ กลับมาอีกไม่กี่วันนี้

คบกันมาตั้งหกปี แต่เวลากว่าครึ่งเป็นรักระยะไกล เขา ต้องดูแลธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ เธอจะทำตัววุ่นวาย ส่งผลต่อการทำงานของเขาไม่ได้

ดีที่ความรักของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างหวานชื่นนอกจากงานในแต่ละวันแล้ว เธอยังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ด้วย อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของเขา เธอตั้งใจจะมอบของ ขวัญให้เขาอย่างเซอร์ไพรซ์

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เธอขยับหมวกสีดำที่ใส่มาให้ปิดลงมาบังหน้าไว้ จากนั้น เดินถือกล่องสินค้าเข้าไปด้านใน

โรงแรมลี่หัว เป็นสถานที่ราคาแพงขึ้นชื่อของเมืองจิ้น ผู้คนที่เดินทางมาเข้าพักล้วนเป็นระดับมหาเศรษฐี

ความโอ่อ่างดงามที่ห้องโถงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ลิฟต์ก็ ถูกประดับตกแต่งด้วยเงินและทองคำ คนที่ยืนอยู่ด้านใน ถูกแสงไฟส่องสว่างไสว

จิ่งหนิงเดินถือกล่องเข้าไปแล้วมองหาจุดหมาย

ใบหน้าอันงดงามถูกปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงดวงตา เป็นประกายคู่นั้น แฝงไปด้วยความมั่นใจ

ลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น22 “ตั้ง” ประตูเปิดออก เธอเดินออกไป กระทั่งถึงห้อง2202และกดกริ่งที่ประตู

ประตูยังไม่เปิดออก ก็มีเสียงหนุ่มสาวดังขึ้น

“อาเจ๋อ อุ๊ย? อย่าค่ะ….ของน่าจะมาส่งแล้ว”

“รอผมนะ เดี๋ยวมา”

จึงหนิงยืนยิ้มอยู่ที่ปากประตูอย่างอดไม่ได้ ของยังมาส่งไม่ถึงก็เริ่มกันแล้วเหรอเนี่ย? รีบร้อนกันจริงๆ?

ประตูถูกเปิดออกในไม่ช้า ชายผู้ออกมารับของสวมผ้า ขนหนูเพียงผืนเดียว บนร่างกายของเขายังคงมีไอน้ำอยู่

จิ่งหนิงไม่ได้มองหน้าเขา เธอยื่นกล่องใส่ของออกไป “843หยวนค่ะ? จ่ายเงินสดหรือว่าโอนคะ? ”

ชายผู้อยู่ตรงหน้าไม่ตอบ

ผ่านไปสองวินาที เสียงของชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “.

หนิง?

จิ่งหนิงตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า ร่างกายกำยำ ผมเผ้าเปียก ปอน เขามีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปิดบังร่างกายไว้ แสงไฟ เหลืองนวลส่องมายังร่างกายของเขา ผิวขาวเนียนและ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาด

ใจ อีกทั้ง ทำตัวไม่ถูก

สีหน้าของจิงหนิงตกใจเสียจนหน้าซีด

“ปั่นเจ๋อ ใครคะ? ”

“ไม่มีอะไรครับ คนมาส่งของครับ”

มู่ยั่นเจ๋อรีบพูดขึ้นก่อนที่จิ่งหนิงจะเอ่ยอะไรออกมาจาก นั้นรีบหยิบเงินจากกระเป๋ายัดใส่มือเธอและหยิบของไป อย่างรวดเร็ว

เสียงประตูปิดลงดัง “ปัง?

จึงหนิงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู มือของเธอเริ่มสั่น สีหน้า

เหนิงซีดเผือดลงทันที

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ

และมองไปยังธนบัตรที่เขายัดเข้ามาไว้ในมือ นี่มันเรื่อง ตลกบ้าบออะไรกัน? เธอหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของ ตัวเองจริงๆ

เสียงชายหนุ่มและหญิงสาวเล็ดลอดออกมานอกห้อง เธอก็ถอนหายใจยาวๆออกมา และกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเอา

ไว้

เธอหันหลังกลับและเดินตรงไปยังลิฟต์และหยิบมือถือ

ออกมา

“สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจใช่ไหมคะ? ฉันจะขอแจ้งความ ว่ามีชายหญิงค้าประเวณี ห้องพักเลขที่.”

ต่อมา20นาที

รถตำรวจคันหนึ่งจอดลงที่หน้าโรงแรมลี่หัว ข้างๆยังมีนัก ข่าวและช่างกล้องเดินตามมา เมื่อเห็นคนที่ถูกจับตัวออกมา นักข่าวก็พากันแห่เข้าไป

“นายมู่ มีคนแจ้งความว่าคุณเสพยาและซื้อบริการทาง เพศ จริงหรือไม่คะ? ”

“นายมู ในฐานะผู้สืบทอดมู่ชื่อกรุ๊ป คุณคิดว่าการกระทำ เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ?

“นายมู่ครับ ผู้หญิงคนที่อยู่กับคุณเป็นใครกันครับ? มี

ข่าวลือว่าเป็นดาราในวงการ จริงหรือไม่ครับ? ” “นายมู..”

มู่ยั่นเจ่อถูกนักข่าวล้อมไว้ แม้แต่ตำรวจก็ห้ามไว้ไม่ได้ เขากัดฟันกรอดๆและตะโกนออกมาว่า “ไปให้พ้น? ” นักข่าวพากันตกอกตกใจและถอยหลังออกไป

มู่ยั่นเจ๋อมองไปยังฝูงชน เขาพบเข้ากับจิ่งหนิง สายตา ของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?”

จึ่งหนิงเผยอยิ้ม สายตาแฝงไปด้วยการดูถูก

“คุณทำแบบนี้อย่าหวังว่าจะได้ผมไปครอง”

จิ่งหนิงเดินหน้าขึ้นไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อหน้านักข่าวและ

ตำรวจ

11 เพียะ!”

ฝ่ามือของเธอตบลงไปที่หน้าเขาอย่างจัง มู่ยั่นเจ่อถูกตบ เสียจนหน้าหัน

บรรยากาศรอบด้านเงียบลงทันใด

ทางตำรวจตกตะลึงอ้าปากค้าง ” คุณผู้หญิงคนนี้คือ.

%3D

%3D ขอโทษนะคะ มือลั่นไปเอง!”

เธอยิ้มด้วยแววตาเยือกเย็นแล้วทำท่าทางนวดข้อมือ แล้วมองไปยังมู่ยั่นเจ่อด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นพูดด้วย น้ำเสียงเยือกเย็นว่า

กระดาษชำระที่ตกลงไปในชักโครก คุณคิดว่าใครยังจะต้องการอีกกัน?ตบเมื่อสักครู่เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ทุน ที่เหลือฉันจะให้คุณชดเชยภายในสามวัน!”

แววตาของมู่ยั่นเจ่อตื่นตระหนก อะไร! ทุนอะไร !!” จึ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้น ” คุณแน่ใจนะว่าจะให้ฉันกระตุ้น

ความจำคุณ

มู่ยั่นเจ๋อก้มหน้าลงทันที

เธอหัวเราะหีๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความดูถูก เหยียดหยาม

ทางตำรวจเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้คุมตัวขึ้นรถไปได้ เมื่อเขาเดินทางจากไป บรรดานักข่าวก็ไม่ได้รีรอ รีบตาม

ไปทันที

เดิมทีที่จากประตูทางเข้าโรงแรมเต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ กลับว่างเปล่าไม่เหลือใคร

จึงหนิงยังยืนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งควบคุมอารมณ์ได้ เธอจึง ได้เตรียมตัวจากไป

แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเมื่อหันหลังกลับไปจะพบเข้ากับแวว ตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเธออยู่

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผมสั้นจัด ทรงเป็นระเบียบ แววตาแหลมคมนั้นทำให้ผู้พบเห็น หลงใหล

ใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้แสงยามค่ำคืนแบบนี้ เผยให้เห็นออร่าที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้าง จิ่งหนิงรู้สึกว่าเธอเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน

จากนั้นเธอหันไปเห็นเลขาของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีก ทั้งรถปอร์เช่สีเงินที่อยู่ข้างๆ เธอก็คิดได้ว่าจะไปรู้จักบุคคล ที่โดดเด่นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

เธอสลัดความคิดออกจากหัว หันหลังแล้วเดินจากไป จนกระทั่งร่างเล็กๆของเธอเข้าสู่รถยนต์ ลู่จิ่งเซินจึงได้

ละสายตามาจากเธอและถามขึ้นว่า “คนเมื่อกี้นี้คือใคร?

ซูมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบตอบขึ้นว่า ท่านหมายถึงคนที่ถูก ตำรวจจับไปเมื่อกี้หรือครับ? เหมือนว่าจะเป็นคุณชายขอ งมู่ชื่อกรุ๊ปที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อน”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ผมหมายถึงคนผู้หญิงคน เมื่อกี้”

“ครับ? ” ซูมู่งุนงงเล็กน้อย “ผู้หญิงคนไหนกัน? ”

เมื่อเห็นแววตาอันไม่พอใจของลู่จิ่งเซิน ซูมู่ก็รีบพูดขึ้นมา ว่า “ท่านประธานครับ ต้องขออภัยด้วยผมจะไปตรวจสอบ เดี๋ยวนี้”

“ช่างมันเถอะ”

สายตาของเขามองไปตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออก ไปแล้วยิ้มขึ้น เขาคล้ายกับนึกอะไรออกมาได้

จากนั้นเขารีบก้าวเดินเข้าไปด้านใน ในฐานะผู้แจ้งความ จิ่งหนิงจึงต้องเดินทางไปที่สถานี ตำรวจด้วย

เมื่อทำการบันทึกข้อความเสร็จแล้ว ผู้คนจากด้านนอกก็ พากันแห่กรูเข้ามา

คนที่เดินเข้ามาเป็นคนแรกก็คือคุณย่าจิ่งหวังเสว่เหมย เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงก็ตบเข้าให้ที่หน้าของจิ่งหนิงอย่างจัง

“นังคนทรยศ? ”

หวังเสว่เหมยตัวสั่นสะท้านแล้วพูดว่า “แกรู้อยู่แก่ใจว่านั่น คือน้องสาวแท้ๆของแก ยังกล้าแจ้งตำรวจจับอีกอย่างนั้น เหรอ? แกต้องการจะยั่วให้ฉันโมโหตายยังไง? ”

จิงหนิงเช็ดโชคเลือดที่มุมปาก จากนั้นเงยดูหญิงชราที่ อยู่ตรงหน้า

“น้องสาวอย่างนั้นเหรอ? คุณหมายถึงจิ่งเสี่ยวหย่า? ”

“ไม่ต้องทำมาเป็นเสแสร้ง สื่อต่างๆพากันพูดกันให้แซ่ด บอกว่าคุณหนูจิงรองให้ท่าคู่หมั้นของคนอื่น แกไม่รู้เรื่อง หรือไง? ”

จึงหนิงก้มหน้าลงและยิ้มออกมาเบาๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอนั่นเอง….ฉันก็คิดว่ากะหรี่ที่ไหน รีบร้อนจะหาเงินซะอีก ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของฉันเอง? “

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท