วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – บทที่ 940 จงใจทำให้รู้สึกลำบากใจ

บทที่ 940 จงใจทำให้รู้สึกลำบากใจ

ชายชราที่มีเคราและผมสีขาว ถือไม้เท้าปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทุกคน

อายุของเขาจวนจะเก้าสิบปีแล้ว ต่อให้สุขภาพแข็งแรงขนาดไหน เขาก็แก่มากแล้ว แผ่นหลังของชายที่อยู่ตรงหน้าเริ่มค่อม ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยย่นลึก ดวงตาของเขาขุ่นมัวและเฉียบคม เขาเงยหน้าขึ้นมองที่พวกเขา

“มีอะไร? เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”

ผู้นำทางท้องถิ่นอธิบายทันทีว่า “ท่านปู่ คนพวกนี้เป็นพวกผู้สูงศักดิ์จากในเมือง พวกเขามีเรื่องบางอย่างและอยากจะมาหาท่าน ท่านคุยกับพวกเขาเอาแล้วกัน ผมไปก่อนล่ะ”

หลังจากพูดจบ ราวกับกลัวถูกเทพโรคระบาดเข้าสิง เขาก็จากไปทันที

ท่านปู่ชิวไม่ได้สนใจ เขาหรี่ตาย่นๆ ของเขา และมองพวกเขาอย่างเฉียบขาด

“พวกคุณเป็นใคร? มาหาฉันมีเรื่องอะไรงั้นเรอะ?”

ลู่จิ่งเซินก้าวไปข้างหน้า และพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ท่านปู่ ฉันเป็นหลานชายของ เชิ๋นซิ่วเฟิงก่อนหน้านี้เธอได้บอกท่านไปแล้ว ว่าพวกเราจะมาเยี่ยมคุณวันนี้”

ท่านปู่ชิวขมวดคิ้วทันที

ผ่านไปนาน เขาก็เยาะเย้ย “เข้าใจแล้ว พวกคุณมาเพื่อสิ่งนั้นใช่ไหม! ได้สิ เข้ามาเลย”

แม้ว่าเขาจะก้าวถอยหลัง และให้พวกเขาเข้าไป แต่หลายคนรู้สึกได้ชัดเจน ว่าเขาดูไม่มีความสุข และน้ำเสียงของเขาก็ไม่ค่อยดีนัก

ทุกคนต่างแอบมองหน้ากัน และก้าวเข้ามาในบ้าน

จิ่งหนิงเดินอยู่รั้งท้าย จึงเอื้อมมือไปปิดประตู จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นกับท่านปู่ชิว

“ย่าของพวกคุณบอกฉันแล้วเรื่องของพวกคุณ ฉันรู้ว่าพวกคุณมาที่นี่เพราะหยกชิ้นนั้น แต่ฉันไม่กลัวที่จะบอกพวกคุณอย่างตรงไปตรงมาว่า สิ่งนั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่หยก ข่าวลือข้างนอกนั่นฉันรู้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งทั้งหมด ว่ากันว่ามันสามารถฟื้นคืนชีพคนตาย และทำให้เป็นอมตะได้”

พูดแล้วเขาก็ยิ้มเยาะเย้ย

“ความเป็นอมตะอะไรกันเล่า? จะโกหกพวกคุณที่เป็นเด็กน้อยไร้ประสบการณ์ก็คงไม่ได้ พอพวกคุณถึงวัยเดียวกับฉันก็จะเข้าใจเอง ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก บนโลกนี้มีสมบัติล้ำค่าที่หายากอะไรบ้างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน? ยาอายุวัฒนะฉันก็เห็นมาไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง อันไหนได้ผลบ้างล่ะ? ล้วนแต่เป็นเพราะความโลภที่อยากจะเจริญรุ่งเรืองในโลกนี้ ปุถุชนทั้งหลายจึงคิดเพ้อฝันกันขึ้นมา”

จิ่งหนิงคล้อยตามอย่างรวดเร็ว

“ความเห็นอันสูงส่งของท่านปู่ เมื่อฟังจากคำพูดของท่าน ก็รู้แล้วว่าท่านไม่ได้ฝักใฝ่ทางโลก ไม่เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป”

ท่านปู่ชิวหันไปมองเธอ แล้วเยาะเย้ย

“สาวน้อย ไม่ต้องคิดที่จะพูดจายกยอฉันหรอก คุณคิดว่าการที่คุณพูดจาดีๆ แค่สองประโยค แล้วฉันจะยอมยกของสิ่งนั้นแก่พวกคุณแต่โดยดีอย่างนั้นเหรอ?”

ใบหน้าของจิ่งหนิงนิ่งไป

กู้ซือเฉียนพูดอย่างใจเย็นและเคร่งขรึมว่า “ในเมื่อท่านปู่รู้จุดประสงค์ของการมาของพวกเราแล้ว ถ้างั้นฉันก็จะไม่อ้อมค้อม ท่านพูดมาตรงๆ ได้เลยว่า ต้องทำยังไงท่านถึงจะยอมยกของสิ่งนั้นให้เรา?”

โดยไม่คาดคิด ท่านปู่ชิวเพียงแค่ส่ายหัว และโบกมือ

“ไม่ให้”

“อะไรนะ?”

สีหน้าของจิ่งหนิงเปลี่ยนไป เฉียวฉีก็เช่นกัน

ทั้งหมดขมวดคิ้วพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

ลู่จิ่งเซินอธิบายว่า “ท่านปู่ชิวครับ หากของสิ่งนี้อยู่ในมือของท่าน มันก็ไร้ประโยชน์ แต่หากพูดตรงๆ แบบไม่ปิดบัง พวกเราต้องพึ่งพาสิ่งนี้เพื่อช่วยชีวิต ได้โปรดเห็นแก่คุณย่า และให้การสนับสนุนด้วยเถอะครับ”

ท่านปู่ชิวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เก่าๆ และมองเขาด้วยรอยยิ้ม

“หมายความว่ายังไงที่ว่าให้การสนับสนุน? ฉันกับย่าของคุณเรารู้จักกันก็จริง แต่นั่นก็เป็นเรื่องตั้งแต่ตอนที่เรายังหนุ่มยังสาว เราไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้ว ตอนนี้เธอเป็นนายหญิงของตระกูลลู่ เป็นผู้มีเกียรติ แล้วฉันล่ะ เป็นแค่คนแก่ที่เละเทะคนหนึ่ง ไม่มีอะไรสักอย่าง จะกล้าเอื้อมไปหาเธอผู้สูงศักดิ์คนนั้นได้ยังไง

สำหรับพวกคุณ จะเป็นจะตายแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน? ทำไมฉันถึงต้องช่วยพวกคุณ? มีคนตายมากมายทุกวันในโลกนี้ แล้วถ้าทุกคนต้องพึ่งพาฉันเพื่อช่วยชีวิต ฉันจะไม่ยุ่งจนเหนื่อยตายเลยเหรอ? ”

น้ำเสียงของเขา ดูค่อนข้างดีอกดีใจที่เห็นความโชคร้ายของคนอื่น

ดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะเกี่ยวข้องกับชีวิตของเฉียวฉีแท้ๆ แต่มันกลับทำให้เขาตื่นเต้นขึ้นมา

คิ้วของกู้ซือเฉียนยิ่งผูกเป็นปมแน่นขึ้น

ถ้าไม่ใช่เพราะเฉียวฉีดึงเขาไว้ เกรงว่าเขาจะพลิกโต๊ะและแย่งของมาทันที

เขาพยายามสงบสติอารมณ์ ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ระงับความโกรธในหัวใจลงได้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ท่านปู่ไม่จำเป็นต้องพูดจาแดกดันยั่วยุคนอื่นแล้ว หากท่านมีข้อกำหนดใดๆ ก็พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาได้เลย หากทำให้ท่านพอใจได้ กู้ซือเฉียนคนนี้ก็จะไม่ปฏิเสธ”

ลู่จิ่งเซินยังกล่าวอีกว่า “ฉันก็ยินดีที่จะยอมรับเงื่อนไขของท่านปู่ชิวเช่นกัน หากเป็นสิ่งที่ฉันทำได้ ฉันก็จะไม่มีวันปฏิเสธ”

ท่านปู่ชิวหรี่ตามองพวกเขาอย่างลึกซึ้ง จากนั้นมองไปที่จิ่งหนิงและเฉียวฉี

“แล้วพวกคุณล่ะ?”

จิ่งหนิงตกตะลึง

เฉียวฉีก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ทั้งหมดมองหน้ากัน จิ่งหนิงจึงยิ้มและกล่าวว่า “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคำขอของท่านปู่ หากท่านต้องการสั่งอะไร เพียงแค่เอ่ยปาก พวกเราก็จะทำค่ะ”

ท่านปู่ชิวลูบเคราที่คางของเขา ดูเหมือนพอใจกับทัศนคติของเธอ

เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันมีเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซักอยู่ข้างหลังเยอะมาก ฉันคิดว่าเด็กสาวอย่างพวกคุณสองคนก็ดูเป็นคนที่ขยัน ทำไมไม่ไปซักเสื้อผ้าพวกนั้นให้ฉันก่อนล่ะ”

ทั้งสี่คนต่างตกใจ และไม่คิดว่าเขาจะขอแบบนี้

สีหน้าของลู่จิ่งเซินและกู้ซือเฉียนไม่สู้ดีนัก ทั้งสองเป็นภรรยาของพวกเขา ปกติแล้วแม้แต่เสื้อผ้าของพวกเขาเอง ก็ไม่ได้ให้พวกเธอซักให้ แต่ตอนนี้พวกเธอต้องช่วยซักเสื้อผ้าของคนอื่นอย่างนั้นเหรอ?

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ทั้งสองจะมีเวลาคัดค้าน พวกเขาถูกขัดจังหวะโดยจิ่งหนิงและเฉียวฉี

“ได้สิคะ ไม่มีปัญหา งั้นเราไปกันเถอะ”

พูดจบ พวกเธอจูงมือกัน และเดินไปที่ลานหลังบ้านภายใต้การนำทางของท่านปู่ชิว

จิ่งหนิงคิดว่า เสื้อผ้าของชายชราคนหนึ่ง จะมีได้มากแค่ไหนกัน นอกจากนี้ การซักเสื้อผ้าก็ไม่ใช่เรื่องยาก แค่ใส่ลงไปในเครื่องซักผ้า แล้วอบแห้งก็เสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ?

เพื่อความเจ็บป่วยของเฉียวฉี นี่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไรเลย

แต่กระนั้น พอมาถึงลานหลังบ้านถึงพบว่า เอาที่ไหนมาพูดว่าเสื้อผ้าไม่เยอะ?

เห็นได้ชัดว่ามีเยอะมาก!

บนพื้นโล่งๆ ในลานหลังบ้านนั้น มีเสื้อผ้ากองอยู่หลายกิโล เสื้อผ้าสกปรกมากราวกับใส่มาแล้วหลายเดือน แค่อยู่ไกลๆ ก็ได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวโชยมาจากเสื้อผ้าที่อยู่ข้างบนแล้ว

หลายคนขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ชายชราชี้ไปที่กองเสื้อผ้าแล้วพูดว่า “นั่นไง กองอยู่ตรงนั้น ก่อนพระอาทิตย์ตกวันนี้ ซักเสื้อผ้าพวกนั้นให้หมดก็พอ”

สีหน้าของลู่จิ่งเซินและกู้ซือเฉียนยิ่งบูดบึ้งขึ้นอีก จิ่งหนิงจึงรีบพูดขึ้นว่า “ไม่มีปัญหาค่ะ ว่าแต่เครื่องซักผ้าอยู่ที่ไหนคะ?”

ราวกับว่าเขาได้ยินเรื่องตลกบางอย่าง ท่านปู่ชิวลืมตากว้าง และหัวเราะอย่างประชดประชัน

“เครื่องซักผ้า? สาวน้อย เธออย่ามาล้อเล่นกับฉันนะ เราอยู่ชนบท ฉันจะหาของพวกนี้ได้ที่ไหน และอีกอย่าง เสื้อผ้าของฉันทำด้วยผ้าที่ล้ำค่าที่สุด ถ้าเครื่องซักผ้าทำให้เสื้อผ้าของฉันเสียคุณมีปัญญาชดใช้หรือเปล่า?”

สีหน้าของจิ่งหนิงเปลี่ยนไป

“ท่านหมายถึง ซักด้วยมือเหรอ?”

“แน่สิ ถ้าไม่ใช่มือซัก คุณจะใช้เท้าซักหรือไง?”

ลู่จิ่งเซินอดไม่ได้ที่จะเปิดปากพูด แต่ถูกจิ่งหนิงรั้งไว้

เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ และฝืนยิ้มออกมา “ไม่มีปัญหา ท่านไม่ต้องกังวลนะคะ ก่อนพระอาทิตย์ตกวันนี้ พวกเราต้องซักเสร็จแน่นอน”

เมื่อเห็นว่าทัศนคติของเธอค่อนข้างใช้ได้ ท่านปู่ชิวก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และมองไปที่กู้ซือเฉียนและลู่จิ่งเซินที่อยู่ข้างๆเขา

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Status: Ongoing

บทที่ 1 จับชู้คาเตียง

“มีถุงยางดูเร็กซ์ ดูอัล เพลย์เชอร์ไซซ์กลางไหม? ”

“มีค่ะ”

“แล้วก็ไวเบรเตอร์กับชุดนางแมวสวาทชุดหนึ่งด้วย”

“ได้ค่ะ จัดส่งที่ไหนคะ? ”

“โรงแรมลี่หัว ห้อง2202”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

เมื่อจิ่งหนิงมาถึงโรงแรมลี่หัวก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

เวลาดึกดื่นขนาดนี้ สำหรับคนที่ทำธุรกิจสินค้าผู้ใหญ่ แบบนี้ การนำส่งสินค้าด้วยตนเองไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

นัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างเธอ

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุก สิ่งทุกอย่างต้องแลกมาด้วยเงิน อีกอย่างมู่ยั่นเจ๋อกำลังจะ กลับมาอีกไม่กี่วันนี้

คบกันมาตั้งหกปี แต่เวลากว่าครึ่งเป็นรักระยะไกล เขา ต้องดูแลธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ เธอจะทำตัววุ่นวาย ส่งผลต่อการทำงานของเขาไม่ได้

ดีที่ความรักของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างหวานชื่นนอกจากงานในแต่ละวันแล้ว เธอยังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ด้วย อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของเขา เธอตั้งใจจะมอบของ ขวัญให้เขาอย่างเซอร์ไพรซ์

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เธอขยับหมวกสีดำที่ใส่มาให้ปิดลงมาบังหน้าไว้ จากนั้น เดินถือกล่องสินค้าเข้าไปด้านใน

โรงแรมลี่หัว เป็นสถานที่ราคาแพงขึ้นชื่อของเมืองจิ้น ผู้คนที่เดินทางมาเข้าพักล้วนเป็นระดับมหาเศรษฐี

ความโอ่อ่างดงามที่ห้องโถงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ลิฟต์ก็ ถูกประดับตกแต่งด้วยเงินและทองคำ คนที่ยืนอยู่ด้านใน ถูกแสงไฟส่องสว่างไสว

จิ่งหนิงเดินถือกล่องเข้าไปแล้วมองหาจุดหมาย

ใบหน้าอันงดงามถูกปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงดวงตา เป็นประกายคู่นั้น แฝงไปด้วยความมั่นใจ

ลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น22 “ตั้ง” ประตูเปิดออก เธอเดินออกไป กระทั่งถึงห้อง2202และกดกริ่งที่ประตู

ประตูยังไม่เปิดออก ก็มีเสียงหนุ่มสาวดังขึ้น

“อาเจ๋อ อุ๊ย? อย่าค่ะ….ของน่าจะมาส่งแล้ว”

“รอผมนะ เดี๋ยวมา”

จึงหนิงยืนยิ้มอยู่ที่ปากประตูอย่างอดไม่ได้ ของยังมาส่งไม่ถึงก็เริ่มกันแล้วเหรอเนี่ย? รีบร้อนกันจริงๆ?

ประตูถูกเปิดออกในไม่ช้า ชายผู้ออกมารับของสวมผ้า ขนหนูเพียงผืนเดียว บนร่างกายของเขายังคงมีไอน้ำอยู่

จิ่งหนิงไม่ได้มองหน้าเขา เธอยื่นกล่องใส่ของออกไป “843หยวนค่ะ? จ่ายเงินสดหรือว่าโอนคะ? ”

ชายผู้อยู่ตรงหน้าไม่ตอบ

ผ่านไปสองวินาที เสียงของชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “.

หนิง?

จิ่งหนิงตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า ร่างกายกำยำ ผมเผ้าเปียก ปอน เขามีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปิดบังร่างกายไว้ แสงไฟ เหลืองนวลส่องมายังร่างกายของเขา ผิวขาวเนียนและ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาด

ใจ อีกทั้ง ทำตัวไม่ถูก

สีหน้าของจิงหนิงตกใจเสียจนหน้าซีด

“ปั่นเจ๋อ ใครคะ? ”

“ไม่มีอะไรครับ คนมาส่งของครับ”

มู่ยั่นเจ๋อรีบพูดขึ้นก่อนที่จิ่งหนิงจะเอ่ยอะไรออกมาจาก นั้นรีบหยิบเงินจากกระเป๋ายัดใส่มือเธอและหยิบของไป อย่างรวดเร็ว

เสียงประตูปิดลงดัง “ปัง?

จึงหนิงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู มือของเธอเริ่มสั่น สีหน้า

เหนิงซีดเผือดลงทันที

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ

และมองไปยังธนบัตรที่เขายัดเข้ามาไว้ในมือ นี่มันเรื่อง ตลกบ้าบออะไรกัน? เธอหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของ ตัวเองจริงๆ

เสียงชายหนุ่มและหญิงสาวเล็ดลอดออกมานอกห้อง เธอก็ถอนหายใจยาวๆออกมา และกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเอา

ไว้

เธอหันหลังกลับและเดินตรงไปยังลิฟต์และหยิบมือถือ

ออกมา

“สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจใช่ไหมคะ? ฉันจะขอแจ้งความ ว่ามีชายหญิงค้าประเวณี ห้องพักเลขที่.”

ต่อมา20นาที

รถตำรวจคันหนึ่งจอดลงที่หน้าโรงแรมลี่หัว ข้างๆยังมีนัก ข่าวและช่างกล้องเดินตามมา เมื่อเห็นคนที่ถูกจับตัวออกมา นักข่าวก็พากันแห่เข้าไป

“นายมู่ มีคนแจ้งความว่าคุณเสพยาและซื้อบริการทาง เพศ จริงหรือไม่คะ? ”

“นายมู ในฐานะผู้สืบทอดมู่ชื่อกรุ๊ป คุณคิดว่าการกระทำ เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ?

“นายมู่ครับ ผู้หญิงคนที่อยู่กับคุณเป็นใครกันครับ? มี

ข่าวลือว่าเป็นดาราในวงการ จริงหรือไม่ครับ? ” “นายมู..”

มู่ยั่นเจ่อถูกนักข่าวล้อมไว้ แม้แต่ตำรวจก็ห้ามไว้ไม่ได้ เขากัดฟันกรอดๆและตะโกนออกมาว่า “ไปให้พ้น? ” นักข่าวพากันตกอกตกใจและถอยหลังออกไป

มู่ยั่นเจ๋อมองไปยังฝูงชน เขาพบเข้ากับจิ่งหนิง สายตา ของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?”

จึ่งหนิงเผยอยิ้ม สายตาแฝงไปด้วยการดูถูก

“คุณทำแบบนี้อย่าหวังว่าจะได้ผมไปครอง”

จิ่งหนิงเดินหน้าขึ้นไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อหน้านักข่าวและ

ตำรวจ

11 เพียะ!”

ฝ่ามือของเธอตบลงไปที่หน้าเขาอย่างจัง มู่ยั่นเจ่อถูกตบ เสียจนหน้าหัน

บรรยากาศรอบด้านเงียบลงทันใด

ทางตำรวจตกตะลึงอ้าปากค้าง ” คุณผู้หญิงคนนี้คือ.

%3D

%3D ขอโทษนะคะ มือลั่นไปเอง!”

เธอยิ้มด้วยแววตาเยือกเย็นแล้วทำท่าทางนวดข้อมือ แล้วมองไปยังมู่ยั่นเจ่อด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นพูดด้วย น้ำเสียงเยือกเย็นว่า

กระดาษชำระที่ตกลงไปในชักโครก คุณคิดว่าใครยังจะต้องการอีกกัน?ตบเมื่อสักครู่เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ทุน ที่เหลือฉันจะให้คุณชดเชยภายในสามวัน!”

แววตาของมู่ยั่นเจ่อตื่นตระหนก อะไร! ทุนอะไร !!” จึ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้น ” คุณแน่ใจนะว่าจะให้ฉันกระตุ้น

ความจำคุณ

มู่ยั่นเจ๋อก้มหน้าลงทันที

เธอหัวเราะหีๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความดูถูก เหยียดหยาม

ทางตำรวจเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้คุมตัวขึ้นรถไปได้ เมื่อเขาเดินทางจากไป บรรดานักข่าวก็ไม่ได้รีรอ รีบตาม

ไปทันที

เดิมทีที่จากประตูทางเข้าโรงแรมเต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ กลับว่างเปล่าไม่เหลือใคร

จึงหนิงยังยืนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งควบคุมอารมณ์ได้ เธอจึง ได้เตรียมตัวจากไป

แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเมื่อหันหลังกลับไปจะพบเข้ากับแวว ตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเธออยู่

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผมสั้นจัด ทรงเป็นระเบียบ แววตาแหลมคมนั้นทำให้ผู้พบเห็น หลงใหล

ใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้แสงยามค่ำคืนแบบนี้ เผยให้เห็นออร่าที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้าง จิ่งหนิงรู้สึกว่าเธอเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน

จากนั้นเธอหันไปเห็นเลขาของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีก ทั้งรถปอร์เช่สีเงินที่อยู่ข้างๆ เธอก็คิดได้ว่าจะไปรู้จักบุคคล ที่โดดเด่นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

เธอสลัดความคิดออกจากหัว หันหลังแล้วเดินจากไป จนกระทั่งร่างเล็กๆของเธอเข้าสู่รถยนต์ ลู่จิ่งเซินจึงได้

ละสายตามาจากเธอและถามขึ้นว่า “คนเมื่อกี้นี้คือใคร?

ซูมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบตอบขึ้นว่า ท่านหมายถึงคนที่ถูก ตำรวจจับไปเมื่อกี้หรือครับ? เหมือนว่าจะเป็นคุณชายขอ งมู่ชื่อกรุ๊ปที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อน”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ผมหมายถึงคนผู้หญิงคน เมื่อกี้”

“ครับ? ” ซูมู่งุนงงเล็กน้อย “ผู้หญิงคนไหนกัน? ”

เมื่อเห็นแววตาอันไม่พอใจของลู่จิ่งเซิน ซูมู่ก็รีบพูดขึ้นมา ว่า “ท่านประธานครับ ต้องขออภัยด้วยผมจะไปตรวจสอบ เดี๋ยวนี้”

“ช่างมันเถอะ”

สายตาของเขามองไปตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออก ไปแล้วยิ้มขึ้น เขาคล้ายกับนึกอะไรออกมาได้

จากนั้นเขารีบก้าวเดินเข้าไปด้านใน ในฐานะผู้แจ้งความ จิ่งหนิงจึงต้องเดินทางไปที่สถานี ตำรวจด้วย

เมื่อทำการบันทึกข้อความเสร็จแล้ว ผู้คนจากด้านนอกก็ พากันแห่กรูเข้ามา

คนที่เดินเข้ามาเป็นคนแรกก็คือคุณย่าจิ่งหวังเสว่เหมย เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงก็ตบเข้าให้ที่หน้าของจิ่งหนิงอย่างจัง

“นังคนทรยศ? ”

หวังเสว่เหมยตัวสั่นสะท้านแล้วพูดว่า “แกรู้อยู่แก่ใจว่านั่น คือน้องสาวแท้ๆของแก ยังกล้าแจ้งตำรวจจับอีกอย่างนั้น เหรอ? แกต้องการจะยั่วให้ฉันโมโหตายยังไง? ”

จิงหนิงเช็ดโชคเลือดที่มุมปาก จากนั้นเงยดูหญิงชราที่ อยู่ตรงหน้า

“น้องสาวอย่างนั้นเหรอ? คุณหมายถึงจิ่งเสี่ยวหย่า? ”

“ไม่ต้องทำมาเป็นเสแสร้ง สื่อต่างๆพากันพูดกันให้แซ่ด บอกว่าคุณหนูจิงรองให้ท่าคู่หมั้นของคนอื่น แกไม่รู้เรื่อง หรือไง? ”

จึงหนิงก้มหน้าลงและยิ้มออกมาเบาๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอนั่นเอง….ฉันก็คิดว่ากะหรี่ที่ไหน รีบร้อนจะหาเงินซะอีก ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของฉันเอง? “

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท