ชายชราที่มีเคราและผมสีขาว ถือไม้เท้าปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทุกคน
อายุของเขาจวนจะเก้าสิบปีแล้ว ต่อให้สุขภาพแข็งแรงขนาดไหน เขาก็แก่มากแล้ว แผ่นหลังของชายที่อยู่ตรงหน้าเริ่มค่อม ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยย่นลึก ดวงตาของเขาขุ่นมัวและเฉียบคม เขาเงยหน้าขึ้นมองที่พวกเขา
“มีอะไร? เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”
ผู้นำทางท้องถิ่นอธิบายทันทีว่า “ท่านปู่ คนพวกนี้เป็นพวกผู้สูงศักดิ์จากในเมือง พวกเขามีเรื่องบางอย่างและอยากจะมาหาท่าน ท่านคุยกับพวกเขาเอาแล้วกัน ผมไปก่อนล่ะ”
หลังจากพูดจบ ราวกับกลัวถูกเทพโรคระบาดเข้าสิง เขาก็จากไปทันที
ท่านปู่ชิวไม่ได้สนใจ เขาหรี่ตาย่นๆ ของเขา และมองพวกเขาอย่างเฉียบขาด
“พวกคุณเป็นใคร? มาหาฉันมีเรื่องอะไรงั้นเรอะ?”
ลู่จิ่งเซินก้าวไปข้างหน้า และพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ท่านปู่ ฉันเป็นหลานชายของ เชิ๋นซิ่วเฟิงก่อนหน้านี้เธอได้บอกท่านไปแล้ว ว่าพวกเราจะมาเยี่ยมคุณวันนี้”
ท่านปู่ชิวขมวดคิ้วทันที
ผ่านไปนาน เขาก็เยาะเย้ย “เข้าใจแล้ว พวกคุณมาเพื่อสิ่งนั้นใช่ไหม! ได้สิ เข้ามาเลย”
แม้ว่าเขาจะก้าวถอยหลัง และให้พวกเขาเข้าไป แต่หลายคนรู้สึกได้ชัดเจน ว่าเขาดูไม่มีความสุข และน้ำเสียงของเขาก็ไม่ค่อยดีนัก
ทุกคนต่างแอบมองหน้ากัน และก้าวเข้ามาในบ้าน
จิ่งหนิงเดินอยู่รั้งท้าย จึงเอื้อมมือไปปิดประตู จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นกับท่านปู่ชิว
“ย่าของพวกคุณบอกฉันแล้วเรื่องของพวกคุณ ฉันรู้ว่าพวกคุณมาที่นี่เพราะหยกชิ้นนั้น แต่ฉันไม่กลัวที่จะบอกพวกคุณอย่างตรงไปตรงมาว่า สิ่งนั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่หยก ข่าวลือข้างนอกนั่นฉันรู้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งทั้งหมด ว่ากันว่ามันสามารถฟื้นคืนชีพคนตาย และทำให้เป็นอมตะได้”
พูดแล้วเขาก็ยิ้มเยาะเย้ย
“ความเป็นอมตะอะไรกันเล่า? จะโกหกพวกคุณที่เป็นเด็กน้อยไร้ประสบการณ์ก็คงไม่ได้ พอพวกคุณถึงวัยเดียวกับฉันก็จะเข้าใจเอง ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก บนโลกนี้มีสมบัติล้ำค่าที่หายากอะไรบ้างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน? ยาอายุวัฒนะฉันก็เห็นมาไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง อันไหนได้ผลบ้างล่ะ? ล้วนแต่เป็นเพราะความโลภที่อยากจะเจริญรุ่งเรืองในโลกนี้ ปุถุชนทั้งหลายจึงคิดเพ้อฝันกันขึ้นมา”
จิ่งหนิงคล้อยตามอย่างรวดเร็ว
“ความเห็นอันสูงส่งของท่านปู่ เมื่อฟังจากคำพูดของท่าน ก็รู้แล้วว่าท่านไม่ได้ฝักใฝ่ทางโลก ไม่เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป”
ท่านปู่ชิวหันไปมองเธอ แล้วเยาะเย้ย
“สาวน้อย ไม่ต้องคิดที่จะพูดจายกยอฉันหรอก คุณคิดว่าการที่คุณพูดจาดีๆ แค่สองประโยค แล้วฉันจะยอมยกของสิ่งนั้นแก่พวกคุณแต่โดยดีอย่างนั้นเหรอ?”
ใบหน้าของจิ่งหนิงนิ่งไป
กู้ซือเฉียนพูดอย่างใจเย็นและเคร่งขรึมว่า “ในเมื่อท่านปู่รู้จุดประสงค์ของการมาของพวกเราแล้ว ถ้างั้นฉันก็จะไม่อ้อมค้อม ท่านพูดมาตรงๆ ได้เลยว่า ต้องทำยังไงท่านถึงจะยอมยกของสิ่งนั้นให้เรา?”
โดยไม่คาดคิด ท่านปู่ชิวเพียงแค่ส่ายหัว และโบกมือ
“ไม่ให้”
“อะไรนะ?”
สีหน้าของจิ่งหนิงเปลี่ยนไป เฉียวฉีก็เช่นกัน
ทั้งหมดขมวดคิ้วพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ลู่จิ่งเซินอธิบายว่า “ท่านปู่ชิวครับ หากของสิ่งนี้อยู่ในมือของท่าน มันก็ไร้ประโยชน์ แต่หากพูดตรงๆ แบบไม่ปิดบัง พวกเราต้องพึ่งพาสิ่งนี้เพื่อช่วยชีวิต ได้โปรดเห็นแก่คุณย่า และให้การสนับสนุนด้วยเถอะครับ”
ท่านปู่ชิวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เก่าๆ และมองเขาด้วยรอยยิ้ม
“หมายความว่ายังไงที่ว่าให้การสนับสนุน? ฉันกับย่าของคุณเรารู้จักกันก็จริง แต่นั่นก็เป็นเรื่องตั้งแต่ตอนที่เรายังหนุ่มยังสาว เราไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้ว ตอนนี้เธอเป็นนายหญิงของตระกูลลู่ เป็นผู้มีเกียรติ แล้วฉันล่ะ เป็นแค่คนแก่ที่เละเทะคนหนึ่ง ไม่มีอะไรสักอย่าง จะกล้าเอื้อมไปหาเธอผู้สูงศักดิ์คนนั้นได้ยังไง
สำหรับพวกคุณ จะเป็นจะตายแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน? ทำไมฉันถึงต้องช่วยพวกคุณ? มีคนตายมากมายทุกวันในโลกนี้ แล้วถ้าทุกคนต้องพึ่งพาฉันเพื่อช่วยชีวิต ฉันจะไม่ยุ่งจนเหนื่อยตายเลยเหรอ? ”
น้ำเสียงของเขา ดูค่อนข้างดีอกดีใจที่เห็นความโชคร้ายของคนอื่น
ดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะเกี่ยวข้องกับชีวิตของเฉียวฉีแท้ๆ แต่มันกลับทำให้เขาตื่นเต้นขึ้นมา
คิ้วของกู้ซือเฉียนยิ่งผูกเป็นปมแน่นขึ้น
ถ้าไม่ใช่เพราะเฉียวฉีดึงเขาไว้ เกรงว่าเขาจะพลิกโต๊ะและแย่งของมาทันที
เขาพยายามสงบสติอารมณ์ ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ระงับความโกรธในหัวใจลงได้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ท่านปู่ไม่จำเป็นต้องพูดจาแดกดันยั่วยุคนอื่นแล้ว หากท่านมีข้อกำหนดใดๆ ก็พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาได้เลย หากทำให้ท่านพอใจได้ กู้ซือเฉียนคนนี้ก็จะไม่ปฏิเสธ”
ลู่จิ่งเซินยังกล่าวอีกว่า “ฉันก็ยินดีที่จะยอมรับเงื่อนไขของท่านปู่ชิวเช่นกัน หากเป็นสิ่งที่ฉันทำได้ ฉันก็จะไม่มีวันปฏิเสธ”
ท่านปู่ชิวหรี่ตามองพวกเขาอย่างลึกซึ้ง จากนั้นมองไปที่จิ่งหนิงและเฉียวฉี
“แล้วพวกคุณล่ะ?”
จิ่งหนิงตกตะลึง
เฉียวฉีก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ทั้งหมดมองหน้ากัน จิ่งหนิงจึงยิ้มและกล่าวว่า “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคำขอของท่านปู่ หากท่านต้องการสั่งอะไร เพียงแค่เอ่ยปาก พวกเราก็จะทำค่ะ”
ท่านปู่ชิวลูบเคราที่คางของเขา ดูเหมือนพอใจกับทัศนคติของเธอ
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันมีเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซักอยู่ข้างหลังเยอะมาก ฉันคิดว่าเด็กสาวอย่างพวกคุณสองคนก็ดูเป็นคนที่ขยัน ทำไมไม่ไปซักเสื้อผ้าพวกนั้นให้ฉันก่อนล่ะ”
ทั้งสี่คนต่างตกใจ และไม่คิดว่าเขาจะขอแบบนี้
สีหน้าของลู่จิ่งเซินและกู้ซือเฉียนไม่สู้ดีนัก ทั้งสองเป็นภรรยาของพวกเขา ปกติแล้วแม้แต่เสื้อผ้าของพวกเขาเอง ก็ไม่ได้ให้พวกเธอซักให้ แต่ตอนนี้พวกเธอต้องช่วยซักเสื้อผ้าของคนอื่นอย่างนั้นเหรอ?
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ทั้งสองจะมีเวลาคัดค้าน พวกเขาถูกขัดจังหวะโดยจิ่งหนิงและเฉียวฉี
“ได้สิคะ ไม่มีปัญหา งั้นเราไปกันเถอะ”
พูดจบ พวกเธอจูงมือกัน และเดินไปที่ลานหลังบ้านภายใต้การนำทางของท่านปู่ชิว
จิ่งหนิงคิดว่า เสื้อผ้าของชายชราคนหนึ่ง จะมีได้มากแค่ไหนกัน นอกจากนี้ การซักเสื้อผ้าก็ไม่ใช่เรื่องยาก แค่ใส่ลงไปในเครื่องซักผ้า แล้วอบแห้งก็เสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ?
เพื่อความเจ็บป่วยของเฉียวฉี นี่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไรเลย
แต่กระนั้น พอมาถึงลานหลังบ้านถึงพบว่า เอาที่ไหนมาพูดว่าเสื้อผ้าไม่เยอะ?
เห็นได้ชัดว่ามีเยอะมาก!
บนพื้นโล่งๆ ในลานหลังบ้านนั้น มีเสื้อผ้ากองอยู่หลายกิโล เสื้อผ้าสกปรกมากราวกับใส่มาแล้วหลายเดือน แค่อยู่ไกลๆ ก็ได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวโชยมาจากเสื้อผ้าที่อยู่ข้างบนแล้ว
หลายคนขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ชายชราชี้ไปที่กองเสื้อผ้าแล้วพูดว่า “นั่นไง กองอยู่ตรงนั้น ก่อนพระอาทิตย์ตกวันนี้ ซักเสื้อผ้าพวกนั้นให้หมดก็พอ”
สีหน้าของลู่จิ่งเซินและกู้ซือเฉียนยิ่งบูดบึ้งขึ้นอีก จิ่งหนิงจึงรีบพูดขึ้นว่า “ไม่มีปัญหาค่ะ ว่าแต่เครื่องซักผ้าอยู่ที่ไหนคะ?”
ราวกับว่าเขาได้ยินเรื่องตลกบางอย่าง ท่านปู่ชิวลืมตากว้าง และหัวเราะอย่างประชดประชัน
“เครื่องซักผ้า? สาวน้อย เธออย่ามาล้อเล่นกับฉันนะ เราอยู่ชนบท ฉันจะหาของพวกนี้ได้ที่ไหน และอีกอย่าง เสื้อผ้าของฉันทำด้วยผ้าที่ล้ำค่าที่สุด ถ้าเครื่องซักผ้าทำให้เสื้อผ้าของฉันเสียคุณมีปัญญาชดใช้หรือเปล่า?”
สีหน้าของจิ่งหนิงเปลี่ยนไป
“ท่านหมายถึง ซักด้วยมือเหรอ?”
“แน่สิ ถ้าไม่ใช่มือซัก คุณจะใช้เท้าซักหรือไง?”
ลู่จิ่งเซินอดไม่ได้ที่จะเปิดปากพูด แต่ถูกจิ่งหนิงรั้งไว้
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ และฝืนยิ้มออกมา “ไม่มีปัญหา ท่านไม่ต้องกังวลนะคะ ก่อนพระอาทิตย์ตกวันนี้ พวกเราต้องซักเสร็จแน่นอน”
เมื่อเห็นว่าทัศนคติของเธอค่อนข้างใช้ได้ ท่านปู่ชิวก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และมองไปที่กู้ซือเฉียนและลู่จิ่งเซินที่อยู่ข้างๆเขา