สีหน้าลู่จิ่งเซินเคร่งขรึม และถามว่า “เงื่อนไขอะไร?”
“ช่วยเขาหาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์”
เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนี้ ลู่จิ่งเซินก็ผงะ ราวกับว่าเขารู้สึกประหลาดใจ
จิ่งหนิงเย้ยหยัน “คุณก็ประหลาดใจด้วยอีกคนเหรอ?”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้า
“ฟังจากคำอธิบายของคุณ คนคนนี้ไม่ได้อายุมากนัก แต่มีสถานะสูงมาก ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้สนเรื่องทางโลกสักเท่าไหร่ ซึ่งถ้าอิงจากเหตุผล เขาก็ไม่น่าจะสนใจสิ่งของที่ทำให้เป็นเป็นอมตะได้ ใครก็ตามที่มีสมอง น่าจะเข้าใจได้ว่า ข่าวลือนี้เป็นเพียงเรื่องโกหกคำโตเท่านั้น
เหยื่อล่อผู้ใฝ่ฝันถึงความเป็นอมตะ แท้จริงแล้ว โลกนี้ไม่มีสิ่งใดนิรันดร์ ใครเล่าจะเป็นอมตะได้จริงๆ? ดังนั้น เหตุผลที่เขากำลังมองหาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์นั้น อาจเป็นเพียงเรื่องตลก หรือไม่ก็แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ไม่ได้เป็นอย่างที่โลกภายนอกกล่าวไว้ ที่ว่าสามารถทำให้เป็นอมตะได้ แต่มีผลอย่างอื่นแทน ”
จิ่งหนิงพยักหน้าเห็นด้วย
“ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ไม่เพียงแค่นั้น แต่เขาอาจจะเป็นคนเดียวที่รู้ผลที่ว่านี้ แต่ฉันก็ยังมีการคาดเดาที่กล้าหาญอีกด้วย”
ลู่จิ่งเซินมองไปที่เธอ “คุณเดาว่าอะไร?”
“ฉันรู้สึกว่า เป็นไปได้ไหมว่าเหตุการณ์นี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ความจริงแล้วจะเป็นฉากที่เขาวางแผน ทั้งยังกำกับและทำการแสดงด้วยตัวเอง? ตั้งแต่ตอนที่แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ปรากฏออกมาครั้งแรก จนถึงตอนนี้ที่เขาได้ขอให้ กู้ซือเฉียนและเฉียวฉีช่วยเขาค้นหา รวมไปถึงข่าวลือลึกลับที่เล่าลือในโลกภายนอกนั้น แท้จริงแล้วเป็นตัวเขาเองที่แพร่ข่าวออกไป”
เมื่อลู่จิ่งเซินได้ยินคำเหล่านี้ เขาก็เริ่มสนใจขึ้นมา
“ทำไมเขาถึงทำแบบนั้น ไหนลองเล่าให้ฉันฟังหน่อย”
จิ่งหนิงยิ้มและพูดว่า “มันง่ายมาก เขาไม่ได้พูดเองเหรอ? ว่าแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์มีทั้งหมดสิบสองชิ้น และเมื่อรวบรวมทั้งสิบสองชิ้นเข้าด้วยกัน ถึงจะเกิดพลังงานมหาศาล และปาฏิหาริย์ก็จะปรากฏ เพราะงั้นเขาจึงขอให้กู้ซือเฉียนช่วยเขาหาที่เหลืออีกหกชิ้น กล่าวคือ เขามีของอยู่ในมือเพียงห้าชิ้น แม้ว่าจะรวมกับหนึ่งชิ้นของกู้ซือเฉียนแล้วก็ยังได้เพียงแค่หกชิ้นเท่านั้น
หลายปีที่ผ่านมา เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่พบของอีกหกชิ้นที่เหลือเลย แต่เป็นเพราะเขาล้มเหลว เขาหามันไม่พบ และหมดความอดทนไปในที่สุด
เขารีบเร่งหาหกชิ้นที่เหลือ จึงกระจายข่าวเรื่องนี้ออกมา เพื่อให้ทุกคนรู้ ว่าโลกนี้มีเครื่องรางชิ้นนี้อยู่ และมันสามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนชีพ และเป็นอมตะได้ ด้วยวิธีนี้ ก็จะมีผู้คนจำนวนมากจับจ้องเครื่องรางชิ้นนี้ และหลายๆ คนก็จะช่วยเขาตามหา
พอถึงเวลานั้น จะมีข่าวคราวเกี่ยวกับเครื่องรางนี้มากขึ้น เขาก็จะคัดกรองอย่างเข้มงวด และค้นหาจากข่าวที่เชื่อถือได้ ยังไงของสิ่งนั้นก็อยู่ในโลกนี้อยู่แล้ว ตราบใดที่มีข่าวแพร่งพรายออกมา ไม่ช้าก็เร็วก็จะมีคนเผยความลับออกมาเอง ถึงตอนนั้นการที่จะหาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์พบนั้นยังใช้เวลานานอยู่ไหม? ”
หลังจากฟังจบ ลู่จิ่งเซินก็ยิ้มอย่างเห็นด้วย
“วิเคราะห์ได้ดีมาก ตามที่คุณพูด บางทีของไม่กี่ชิ้นในมือเขานั้น อาจจะเป็นทั้งหมดที่เขาหาได้แล้วก็ได้ ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีนี้เพื่อหาต่อไป และทำไมเขาถึงยังต้องมาหากู้ซือเฉียนอยู่อีก?”
จิ่งหนิงส่ายหน้า
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันแน่ใจว่า การที่เขาให้เวลากู้ซือเฉียนแค่สี่เดือน หมายความว่าเขารอไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว วันใดวันหนึ่งหลังจากสี่เดือนนั้น เขาจะต้องรวบรวมแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ทั้งสิบสองชิ้นนี้เข้าด้วยกัน และทำสิ่งหนึ่งซึ่งสำคัญมากสำหรับเขา และด้วยความแข็งแกร่งและวิธีการที่เขาใช้อยู่ในปัจจุบัน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะค้นพบทั้งหมดภายในระยะเวลาเพียงสี่เดือน ดังนั้นเขาจึงมาหากู้ซือเฉียน”
หลังจากที่ลู่จิ่งเซินฟังจบ เขาก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ฉันคิดว่าที่คุณพูดมีเหตุผลมาก”
จิ่งหนิงยิ้มและพูดว่า “ใช่ไหมล่ะ?”
“อืม หนิงหนิง ของเรานี่ฉลาดจริงๆ”
ความสนิทสนมอย่างกะทันหันของชายผู้นี้ ทำให้จิ่งหนิงตกตะลึง
ทันทีหลังจากนั้น ใบหน้าของเธอก็แดงก่ำ
เธอจ้องเขาอย่างโกรธเคือง “คุยเรื่องจริงจังกันอยู่ อย่าพูดเรื่องไร้สาระสิ”
ลู่จิ่งเซินยิ้ม “ทำไม? ฉันไม่ได้พูดเรื่องจริงจังอยู่เหรอ? ไม่ใช่แค่เรื่องจริงจังเท่านั้นนะ แต่ยังเป็นข้อเท็จจริงด้วย”
ขณะที่พูด มือข้างหนึ่งดึงไหล่เธอเข้ามา แล้วโอบเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา
จิ่งหนิงพิงไหล่เขา และมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเหนือศีรษะ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา
“ฉันคิดว่าเฉียวฉีเป็นเด็กดีมาก ฉันไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับเธอเลย ฉันหวังว่าคราวนี้ที่พวกเขาจะมาที่นี่ พวกเขาจะได้บางอย่างกลับไปจริงๆ”
ลู่จิ่งเซินไม่ได้มองโลกในแง่ดีมากนัก
“เคยคิดบ้างไหมว่า ต่อให้พวกเขาจะผ่านภารกิจนี้ไปได้ และได้รับยาชั่วคราว แต่มันก็ถูกระงับเพียงชั่วคราว อีกฝ่ายไม่สามารถให้ยาที่เธอจะกินตลอดชีวิตแก่เธอได้ และเธอก็กินยาไปตลอดชีวิตไม่ได้ หากวันไหนที่อีกฝ่ายไม่ให้ยาแก่เธอแล้ว เมื่อขาดยา เธอก็ใช้ชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว”
เมื่อเขาพูดแบบนี้ อารมณ์ของ จิ่งเซิน ก็หนักขึ้นในทันใด
เธอเงยหน้าขึ้นมองที่คางของเขาแล้วถามว่า “ถ้างั้นควรทำยังไงดี? อีกฝ่ายก็บอกแล้วว่า โรคนี้ไม่มีทางรักษาได้ในขณะนี้”
ลู่จิ่งเซินหลับตาลงและหัวเราะ
“ไม่มีทางรักษาก็จริง แต่ก็มียาที่สามารถระงับอาการของโรคได้ไม่ใช่เหรอ? คุณดูคนอื่นๆ ในตระกูลหนานสิ เป็นโรคนี้มาตลอดชีวิต แต่ตราบใดที่กินยาให้ตรงเวลา ก็ไม่เป็นอะไรนี่จริงไหม? หนานกงยวู่ก็ใช้ชีวิตอยู่มาถึงหกสิบปี และในอนาคตก็จะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกนาน ก็ไม่เห็นว่านี่จะกระทบกับเขาตรงไหนเลย”
จิ่งหนิงขมวดคิ้ว “คุณหมายถึง…”
ลู่จิ่งเซินถอนหายใจเบา ๆ “หาปลามาให้กินหรือจะสู้สอนวิธีจับปลาให้”
เพียงประโยคนี้ประโยคเดียว จิ่งหนิงก็ตระหนักได้
เธอตอบสนองทันที และยืดตัวขึ้นนั่ง “อ๋อ ฉันเข้าใจแล้ว ความจริงแล้วนี่เป็นวิธีการที่เหมาะสมในการเอาใบสั่งยามานี่เอง”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้า
“งั้นฉันจะโทรไปบอกเขาเดี๋ยวนี้เลย”
ขณะที่เธอพูด เธอรีบหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอออกมาเพื่อโทรออก เมื่อลู่จิ่งเซินที่อยู่ข้างๆ เห็นอย่างนั้นก็ทำตัวไม่ถูก
ทันใดนั้นก็ดึงโทรศัพท์ออกจากมือของเธอ จิ่งหนิงหันไปมองเขา “คุณทำอะไรน่ะ?”
ลู่จิ่งเซินถอนหายใจ “อย่าโง่ไปเลย โทรไปตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร? พวกเขายังไม่พบอะไรเลย รอให้พวกเขาหาพบก่อนแล้วค่อยเอาของนั้นไปเจรจาเงื่อนไข มันจะไม่ง่ายกว่าเหรอ?”
ดวงตาของจิ่งหนิงสว่างขึ้นทันที
“จริงด้วย เอาอย่างนั้นก็ได้ ถึงตอนนั้นค่อยเล่าให้พวกเขาฟังแล้วกัน”
ทั้งสองพูดคุยกันสักพัก ก็เห็นว่าเวลาล่วงเลยไปจนดึกแล้ว จึงพากันกลับไปพักผ่อนที่ห้อง
ตอนเที่ยงของวันถัดไป เที่ยวบินที่กู้ซือเฉียนและเฉียวฉีนั่งมา ก็ลงจอดที่สนามบินของเมืองหลวงแล้ว
จิ่งหนิงและลู่จิ่งเซินไม่ได้ไปต้อนรับพวกเขาที่สนามบิน แต่ส่งซูมู่และโม่หนานไปแทน
คนสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นคนสนิทของลู่จิ่งเซิน และอีกคนเป็นคนสนิทของจิ่งหนิงซึ่ง โดยพื้นฐานแล้วก็เปรียบเสมือนว่าทั้งสองคนมารับด้วยตนเอง
ในรถที่มุ่งหน้าไปยังวิลล่าเฟิงเฉียว ซูมู่กังวลว่าพวกเขาจะไม่คุ้นเคยกับการมาจีน ดังนั้นเขาจึงแนะนำพวกเขาให้รู้จักกับทัศนียภาพไปตลอดทาง
โม่หนานรู้จักพวกเขาเป็นอย่างดี เมื่อจิ่งหนิงและลู่จิ่งเซินไปที่เมืองหลินครั้งล่าสุด เธอเองก็ไปด้วยเช่นกัน
ในรถเธอก็ได้พูดแทรกไปเป็นบางครั้ง ทำให้บรรยากาศก็กลมกลืนกันตลอดทาง
ไม่นาน รถก็จอดที่ด้านนอกของวิลล่าเฟิงเฉียว
ทั้งสี่คนลงจากรถ จากที่ไกลๆ นั้น จิ่งหนิงที่อยู่ในบ้านได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของรถ จึงรีบออกมาจากบ้าน และเธอก็เห็นคนสามสี่คนนั้น