วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – บทที่ 983 สู้กันกลางถนน

บทที่ 983 สู้กันกลางถนน

มีจิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินอยู่ด้วย เจ้านายหยูยิ่งปล่อยปละละเลยสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้

โรงแรมที่จอง ก็เป็นโรงแรมที่ยิ่งใหญ่และหรูหราที่สุดในประเทศ T

หลังจากที่ทุกคนเดินทางมาถึง จิ่งหนิงก็สังเกตเห็นว่า ห้องพักของโม่ไฉ่เวยกับ เชวซู่นั้นอยู่ข้างห้องเธอพอดี เธอรู้ในทันทีเลยว่าคงเป็น เจ้านายหยูที่จัดการให้เป็นพิเศษ ในใจเลยอดซาบซึ้งขึ้นมาไม่ได้

ส่วนห้องของลู่หลันจือนั้นอยู่อีกฟาก ซึ่งหล่อนก็ไม่ได้อยากเจอลู่จิ่งเซินบ่อย ๆ อยู่แล้ว เพราะงั้น หญิงสาวจึงมีความสุขอยู่ไม่น้อย

หลังจากที่ทุกคนเก็บของในห้องเสร็จ ก็พากันออกมาทานอาหารด้านนอก

และเพราะจิ่งหนิงกำลังตั้งครรภ์ หญิงสาวเลยค่อนข้างจะเจริญอาหารเป็นพิเศษ เธอมักจะหิวแทบทุกสองชั่วโมง

เพราะงั้น ลู่จิ่งเซินจึงต้องเตรียมขนมและของกินเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ติดตัวไว้เสมอ หลายคนคงคิดว่า ในกระเป๋าเอกสารท่านประธาน คงจะเต็มไปด้วยเอกสารสัญญามูลค่าหลายแสนล้านอยู่ในนั้นแน่ ๆ

คงคาดไม่ถึงว่า สิ่งที่อยู่ในกระเป๋าของท่านประธานใบนั้นกลับเป็นช็อกโกแลตและปูอัด

จิ่งหนิงรับขนมที่ลู่จิ่งเซินยื่นมาให้ ก่อนจะกัดไปหนึ่งคำ จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างพอใจว่า “ยังไงการมีของกินก็ดีที่สุด”

โม่ไฉ่เวยที่นั่งอยู่ตรงข้าม ตอบกลับพร้อมหัวเราะออกมาเบา ๆ “ตอนนี้ลูกกำลังท้องอยู่ ก็เลยหิวง่ายน่ะสิ แต่ยังไงก็ต้องระวังหน่อยนะ ของบางอย่างกินมากเกินไปมันจะไม่ดี เดียวลูกในท้องตัวโตเกินไป เวลาคลอดจะลำบากเอา”

จิ่งหนิงยิ้มจนตาหยีพร้อมกับพยักหน้ารับ “ได้ค่ะคุณแม่ หนูรู้แล้ว”

พูดจบ หญิงสาวก็เก็บขนมที่ยังกินไม่หมดกลับคืนที่เดิม โดยไม่กินต่อจริง ๆ

ลู่จิ่งเซินพอเห็นดังนั้น ก็เทน้ำใส่แก้วใส่เธอ

“ดื่มน้ำหน่อย?”

“อืม”

จิ่งหนิงรับมา พร้อมกับดื่มไปหนึ่งอึก

ในตอนนั้นเอง เจ้านายหยูก็เข้ามาพอดี

ชายหนุ่มยิ้มออกมาอย่างเอาอกเอาใจก่อนจะพูดขึ้นว่า “ท่านประธานลู่ คุณนายลู่ คุณหมอเชว คุณโม่ คุณลู่ ผมสั่งอาหารมื้อใหญ่ไว้ให้แล้ว อีกสักครู่ลองชิมดูนะครับ ถ้าหากว่าไม่ชอบ เดี๋ยวผมให้พวกเขาเปลี่ยนให้ใหม่”

โม่ไฉ่เวยยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พี่หยูรบกวนคุณเกินไปแล้วนะคะ”

เจ้านายหยูจึงตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เลย ไม่รบกวน ก็พวกคุณไม่ค่อยคุ้นชินกับที่นี่นี่ครับ แต่เพราะเรื่องธุรกิจ ผมเลยต้องมาทางนี้บ่อย ๆ ปีหนึ่งมาห้าหกครั้งนี่ถือว่าน้อยนะครับ บางทีต้องมาคอยดูเหมือง เลยต้องอยู่ที่นี่กว่าครึ่งปีเลยก็มี”

จิ่งหนิงจิบน้ำเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ “คุณทำธุรกิจเหมืองหยกที่นี่มานานแค่ไหนแล้วคะ?”

เจ้านายหยูยิ้มพร้อมกับตอบว่า “สักสิบปีมั้งครับ เมื่อก่อนที่ประเทศ T มีเหมืองค่อนข้างเยอะ แต่เพราะช่วงไม่กี่ปีมานี้มีการขุดเหมืองกันมากกว่าเดิม เหมืองดี ๆ เลยมีน้อยลง”

ขณะที่พูดเขาก็กลัวทุกคนจะเป็นกังวล เลยรีบออกตัวรับประกันก่อน

“แต่ผมรับประกันได้เลยว่าเหมืองที่ผมพาทุกคนมาครั้งนี้ ต้องเป็นเหมืองที่ดีที่สุดที่พบในรอบสิบปีแน่ ๆ ครับ เรื่องนี้ผมเองก็ยังไม่เคยบอกใคร มีเพียงคุณลู่ที่เข้ามา ผมถึงได้บอกเรื่องนี้กับเธอ จะว่าไปแล้วก็เหมือนเป็นโชคอยู่เหมือนกันนะครับ”

ด้านลู่หลันจือที่แทบจะไม่เคยมีคนเอาใจเธอ หญิงสาวจึงเผยยิ้มออกมาจนตาหยี

“แน่นอน ฉันทำธุรกิจมาตั้งหลายปี นี่ไม่ได้โม้นะ เรื่องอื่นน่ะไม่ต้องพูดถึง แต่เรื่องโชคกับเรื่องสายตานี่มันแล้วแต่คนจริง ๆ ใครก็เทียบกันไม่ได้”

จิ่งหนิงเม้มริมฝีปากพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย ส่วนลู่จิ่งเซินก็เหนื่อยเกินกว่าจะเปิดโปงเธอ เขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป

มีเพียงแค่โม่ไฉ่เวยเท่านั้นที่เอ่ยปากชมหญิงสาวอย่างจริงจัง “จริงเหรอ? งั้นคุณลู่ก็มีความสามารถจริง ๆ เลยนะคะ”

ลู่หลันจือยิ้มตาหยีก่อนจะยกมือขึ้นโบกเบา ๆ “พูดดีพูดดี แต่ก็แค่ความสามารถทั่ว ๆ ไปเท่านั้นล่ะ”

ผ่านไปไม่นาน บริกรก็ยกอาหารเข้ามาเสิร์ฟ

อาหารรสเลิศถูกนำขึ้นมาจัดวางบนโต๊ะราวกับงานศิลปะอันล้ำค่า แน่นอนว่าทั้งสีสัน กลิ่นหอม และรสชาติ เพียงแค่ได้สูดดมเบา ๆ ก็ทำให้หลายคนน้ำลายสอได้แล้ว

จิ่งหนิงจ้องอาหารตรงหน้า ก่อนจะเริ่มขยับตัว หญิงสาวหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วก็เริ่มลงมือทันที

แต่ละคนต่างก็เริ่มขยับตะเกียบเช่นกัน ทว่าทันใดนั้น อยู่ ๆ ด้านนอกกลับมีเสียงอึกทึกดังขึ้น

ทุกคนหยุดชะงักชั่วขณะ เพราะถูกเสียงโวยวายเมื่อครู่ดึงดูดให้มองไปทางด้านนอก

ขณะเดียวกัน คนในภัตตาคารก็ถูกดึงดูดให้มองออกไปเช่นกัน พวกเขาถึงกับวางตะเกียบและหยุดทานอาหาร จากนั้นก็เดินออกไปดู

เจ้านายหยูจึงเอ่ยขึ้นว่า “พวกคุณทานกันไปก่อนเลยนะครับ เดี๋ยวผมออกไปดูสักหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น”

ลู่จิ่งเซินพยักหน้ารับ หลังจาก เจ้านายหยูเดินออกไป เขาก็เอาช้อนตักซุปให้จิ่งหนิง พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ทานซุปก่อนนะจะได้อุ่นท้อง”

จิ่งหนิงพยักหน้าเบา ๆ จากนั้นก็ตักซุปให้โม่ไฉ่เวยอีกชาม “คุณแม่ก็ทานด้วยนะคะ”

โม่ไฉ่เวยในตอนนี้รู้สึกประหม่านิดหน่อย เธอกลัวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันแบบนี้ที่สุด แต่ในขณะเดียวกัน พอมองไปยังซุปที่จิ่งหนิงยื่นมาให้ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีคนอื่น ๆ อีกหลายคนอยู่รอบตัวเธอด้วย เธอจึงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง

โม่ไฉ่เวยรับชามซุปมา ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ พร้อมกับฝืนยิ้มเล็กน้อย

จิ่งหนิงกุมมือเธอไว้ ก่อนจะเอ่ยปลอบใจด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คุณแม่คะ ไม่ต้องกังวลนะคะ บางทีอาจจะเป็นแค่คนในพื้นที่นี้เขาทะเลาะกัน ไม่เกี่ยวกับเราหรอกค่ะ”

เชวซู่เองก็กุมมืออีกข้างโม่ไฉ่เวยไว้ “จิ่งหนิงพูดถูก คุณไม่ต้องกลัวนะ ต่อให้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ คุณก็ยังมีพวกเราอยู่ พวกเราจะปกป้องคุณเอง”

บรรยากาศอันอบอุ่นนี้ ทำให้โม่ไฉ่เวยผ่อนคลายลงไปได้มาก

เธอพยักหน้ารับ พร้อมกับตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันรู้แล้ว ฉันสบายดี พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วง”

ขณะเดียวกัน ลู่หลันจือก็เริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้

เธอชอบความคึกคักเป็นที่สุด ดังนั้น หญิงสาวจึงวางตะเกียบลง ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับทิ้งท้ายไว้ว่า “พวกคุณทานกันก่อนเลย ไม่ต้องรอฉัน ฉันก็จะออกไปดูสักหน่อย”

ลู่จิ่งเซินเองก็จนปัญญา เลยไปแต่ปล่อยให้เธอไป

ผ่านไปไม่นาน ลู่หลันจือก็เดินกลับเข้ามาพร้อมกับ เจ้านายหยู

ลู่หลันจือพูดเรื่องที่ออกไปดูอย่างมีความสุข “ประเทศ T นี้แปลกใหม่จริง ๆ เมื่อครู่นี้พวกคุณไม่ได้เห็น มีผู้ชายคนหนึ่งน่าจะสูงประมาณร้อยห้าสิบกว่า เขาจัดการผู้ชายที่สูงร้อยแปดสิบจนเกือบตาย ฝีมือของเขานะ เฮ้อ แค่เห็นฉันยังกลัวเลย”

จิ่งหนิงเลิกคิ้วขึ้น “สู้กันเหรอ?”

เจ้านายหยูยิ้มพร้อมกับตอบกลับ “ก็ไม่ถึงกับสู้กันหรอกครับ ธรรมเนียมของที่นี่คือต้องแข็งแกร่งและกล้าหาญ พวกเขาค่อนข้างชื่นชอบการต่อสู้ ผมคิดว่าน่าจะมีความโกรธแค้นกันเป็นการส่วนตัว แล้วบังเอิญมาเจอกันที่หัวถนนพอดี เพราะงั้นแค่พริบตาเดียวเลยมีการลงไม้ลงมือกันเกิดขึ้น คงจะเจ็บหนักกันไม่น้อย”

ลู่จิ่งเซินจึงอธิบายเพิ่มว่า “มวย T ของที่นี่ร้ายกาจมากนะ ได้ยินมาว่าผู้ชายเก้าในสิบคนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นมวยกันทั้งนั้น”

จิ่งหนิงฟังแล้วก็อดสนใจไม่ได้ “ถ้างั้นพวกเขาเก่ง หรือว่าคุณเก่งล่ะ?”

ลู่จิ่งเซินหรี่ตาลงเล็กน้อย “แล้วคุณคิดว่ายังไง?”

ทั้งน้ำเสียงและสายตานั้น ทำให้จิ่งหนิงเข้าใจคำตอบของเขาได้ในทันที หัวใจของเธอกระตุกไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบเอ่ยชมอีกฝ่ายอย่างร้อนรน “แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องเป็นคุณ”

ลู่จิ่งเซินเผยรอยยิ้มออกมาเบา ๆ

ภาพที่พวกเขาทั้งสองแสดงความรักกัน ผ่านเข้ามาในสายตาของ เจ้านายหยูตลอด แววตาของเขาก็เกิดเป็นประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง ในใจก็ยิ่งเข้าใจสถานะของจิ่งหนิงที่อยู่ในหัวใจของลู่จิ่งเซินมากขึ้น

ที่ว่ากันว่าตระกูลอันร่ำรวยและมีอิทธิพลมักจะไร้ความจริงใจ ดูท่าแล้ว มันก็ไม่แน่หรอก

อย่างน้อยคุณนายลู่ที่อยู่ตรงหน้าเขาท่านนี้ ก็ไม่เหมือนกับตระกูลอันร่ำรวยก่อน ๆ ที่เขาเคยพบเจอมา

หลังจากที่ทุกคนทานเสร็จ เจ้านายหยูก็พาคนทั้งหมดเข้าไปเดินเล่นในเมือง

ไม่ว่าจะเป็นขนบธรรมเนียม สถาปัตยกรรม อาหารการกินของประเทศ T ทั้งหมดล้วนต่างจากของจีนมาก

เมื่อก่อนจิ่งหนิงก็เคยไปเที่ยวมาหลายที่ แต่เธอไม่เคยมาที่ประเทศ T เลยสักครั้ง

ส่วนลู่จิ่งเซินก็เคยมาเพียงสองครั้งเท่านั้น และทุกครั้งไม่ว่าเขาจะไปไหนก็จะมีแต่เรื่องงาน ซึ่งปกติรอบตัวเขาจะมีคนรายล้อมเต็มไปหมด ทำให้แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยได้สังเกตสภาพแวดล้อมรอบตัวอย่างจริงจังสักที เพราะงั้น ความคุ้นชินในสถานที่ของเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่าจิ่งหนิงไปสักเท่าไร

กลับเป็นลู่หลันจือ ที่ถึงแม้จะไม่เคยมาประเทศ T แต่เพราะดูซีรีส์ทางฝั่งของประเทศ T เยอะ ทำให้เธอคุ้นชินกับขนบธรรมเนียมต่าง ๆ ไปโดยปริยาย

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Status: Ongoing

บทที่ 1 จับชู้คาเตียง

“มีถุงยางดูเร็กซ์ ดูอัล เพลย์เชอร์ไซซ์กลางไหม? ”

“มีค่ะ”

“แล้วก็ไวเบรเตอร์กับชุดนางแมวสวาทชุดหนึ่งด้วย”

“ได้ค่ะ จัดส่งที่ไหนคะ? ”

“โรงแรมลี่หัว ห้อง2202”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

เมื่อจิ่งหนิงมาถึงโรงแรมลี่หัวก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

เวลาดึกดื่นขนาดนี้ สำหรับคนที่ทำธุรกิจสินค้าผู้ใหญ่ แบบนี้ การนำส่งสินค้าด้วยตนเองไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

นัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างเธอ

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุก สิ่งทุกอย่างต้องแลกมาด้วยเงิน อีกอย่างมู่ยั่นเจ๋อกำลังจะ กลับมาอีกไม่กี่วันนี้

คบกันมาตั้งหกปี แต่เวลากว่าครึ่งเป็นรักระยะไกล เขา ต้องดูแลธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ เธอจะทำตัววุ่นวาย ส่งผลต่อการทำงานของเขาไม่ได้

ดีที่ความรักของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างหวานชื่นนอกจากงานในแต่ละวันแล้ว เธอยังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ด้วย อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของเขา เธอตั้งใจจะมอบของ ขวัญให้เขาอย่างเซอร์ไพรซ์

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เธอขยับหมวกสีดำที่ใส่มาให้ปิดลงมาบังหน้าไว้ จากนั้น เดินถือกล่องสินค้าเข้าไปด้านใน

โรงแรมลี่หัว เป็นสถานที่ราคาแพงขึ้นชื่อของเมืองจิ้น ผู้คนที่เดินทางมาเข้าพักล้วนเป็นระดับมหาเศรษฐี

ความโอ่อ่างดงามที่ห้องโถงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ลิฟต์ก็ ถูกประดับตกแต่งด้วยเงินและทองคำ คนที่ยืนอยู่ด้านใน ถูกแสงไฟส่องสว่างไสว

จิ่งหนิงเดินถือกล่องเข้าไปแล้วมองหาจุดหมาย

ใบหน้าอันงดงามถูกปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงดวงตา เป็นประกายคู่นั้น แฝงไปด้วยความมั่นใจ

ลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น22 “ตั้ง” ประตูเปิดออก เธอเดินออกไป กระทั่งถึงห้อง2202และกดกริ่งที่ประตู

ประตูยังไม่เปิดออก ก็มีเสียงหนุ่มสาวดังขึ้น

“อาเจ๋อ อุ๊ย? อย่าค่ะ….ของน่าจะมาส่งแล้ว”

“รอผมนะ เดี๋ยวมา”

จึงหนิงยืนยิ้มอยู่ที่ปากประตูอย่างอดไม่ได้ ของยังมาส่งไม่ถึงก็เริ่มกันแล้วเหรอเนี่ย? รีบร้อนกันจริงๆ?

ประตูถูกเปิดออกในไม่ช้า ชายผู้ออกมารับของสวมผ้า ขนหนูเพียงผืนเดียว บนร่างกายของเขายังคงมีไอน้ำอยู่

จิ่งหนิงไม่ได้มองหน้าเขา เธอยื่นกล่องใส่ของออกไป “843หยวนค่ะ? จ่ายเงินสดหรือว่าโอนคะ? ”

ชายผู้อยู่ตรงหน้าไม่ตอบ

ผ่านไปสองวินาที เสียงของชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “.

หนิง?

จิ่งหนิงตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า ร่างกายกำยำ ผมเผ้าเปียก ปอน เขามีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปิดบังร่างกายไว้ แสงไฟ เหลืองนวลส่องมายังร่างกายของเขา ผิวขาวเนียนและ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาด

ใจ อีกทั้ง ทำตัวไม่ถูก

สีหน้าของจิงหนิงตกใจเสียจนหน้าซีด

“ปั่นเจ๋อ ใครคะ? ”

“ไม่มีอะไรครับ คนมาส่งของครับ”

มู่ยั่นเจ๋อรีบพูดขึ้นก่อนที่จิ่งหนิงจะเอ่ยอะไรออกมาจาก นั้นรีบหยิบเงินจากกระเป๋ายัดใส่มือเธอและหยิบของไป อย่างรวดเร็ว

เสียงประตูปิดลงดัง “ปัง?

จึงหนิงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู มือของเธอเริ่มสั่น สีหน้า

เหนิงซีดเผือดลงทันที

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ

และมองไปยังธนบัตรที่เขายัดเข้ามาไว้ในมือ นี่มันเรื่อง ตลกบ้าบออะไรกัน? เธอหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของ ตัวเองจริงๆ

เสียงชายหนุ่มและหญิงสาวเล็ดลอดออกมานอกห้อง เธอก็ถอนหายใจยาวๆออกมา และกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเอา

ไว้

เธอหันหลังกลับและเดินตรงไปยังลิฟต์และหยิบมือถือ

ออกมา

“สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจใช่ไหมคะ? ฉันจะขอแจ้งความ ว่ามีชายหญิงค้าประเวณี ห้องพักเลขที่.”

ต่อมา20นาที

รถตำรวจคันหนึ่งจอดลงที่หน้าโรงแรมลี่หัว ข้างๆยังมีนัก ข่าวและช่างกล้องเดินตามมา เมื่อเห็นคนที่ถูกจับตัวออกมา นักข่าวก็พากันแห่เข้าไป

“นายมู่ มีคนแจ้งความว่าคุณเสพยาและซื้อบริการทาง เพศ จริงหรือไม่คะ? ”

“นายมู ในฐานะผู้สืบทอดมู่ชื่อกรุ๊ป คุณคิดว่าการกระทำ เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ?

“นายมู่ครับ ผู้หญิงคนที่อยู่กับคุณเป็นใครกันครับ? มี

ข่าวลือว่าเป็นดาราในวงการ จริงหรือไม่ครับ? ” “นายมู..”

มู่ยั่นเจ่อถูกนักข่าวล้อมไว้ แม้แต่ตำรวจก็ห้ามไว้ไม่ได้ เขากัดฟันกรอดๆและตะโกนออกมาว่า “ไปให้พ้น? ” นักข่าวพากันตกอกตกใจและถอยหลังออกไป

มู่ยั่นเจ๋อมองไปยังฝูงชน เขาพบเข้ากับจิ่งหนิง สายตา ของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?”

จึ่งหนิงเผยอยิ้ม สายตาแฝงไปด้วยการดูถูก

“คุณทำแบบนี้อย่าหวังว่าจะได้ผมไปครอง”

จิ่งหนิงเดินหน้าขึ้นไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อหน้านักข่าวและ

ตำรวจ

11 เพียะ!”

ฝ่ามือของเธอตบลงไปที่หน้าเขาอย่างจัง มู่ยั่นเจ่อถูกตบ เสียจนหน้าหัน

บรรยากาศรอบด้านเงียบลงทันใด

ทางตำรวจตกตะลึงอ้าปากค้าง ” คุณผู้หญิงคนนี้คือ.

%3D

%3D ขอโทษนะคะ มือลั่นไปเอง!”

เธอยิ้มด้วยแววตาเยือกเย็นแล้วทำท่าทางนวดข้อมือ แล้วมองไปยังมู่ยั่นเจ่อด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นพูดด้วย น้ำเสียงเยือกเย็นว่า

กระดาษชำระที่ตกลงไปในชักโครก คุณคิดว่าใครยังจะต้องการอีกกัน?ตบเมื่อสักครู่เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ทุน ที่เหลือฉันจะให้คุณชดเชยภายในสามวัน!”

แววตาของมู่ยั่นเจ่อตื่นตระหนก อะไร! ทุนอะไร !!” จึ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้น ” คุณแน่ใจนะว่าจะให้ฉันกระตุ้น

ความจำคุณ

มู่ยั่นเจ๋อก้มหน้าลงทันที

เธอหัวเราะหีๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความดูถูก เหยียดหยาม

ทางตำรวจเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้คุมตัวขึ้นรถไปได้ เมื่อเขาเดินทางจากไป บรรดานักข่าวก็ไม่ได้รีรอ รีบตาม

ไปทันที

เดิมทีที่จากประตูทางเข้าโรงแรมเต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ กลับว่างเปล่าไม่เหลือใคร

จึงหนิงยังยืนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งควบคุมอารมณ์ได้ เธอจึง ได้เตรียมตัวจากไป

แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเมื่อหันหลังกลับไปจะพบเข้ากับแวว ตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเธออยู่

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผมสั้นจัด ทรงเป็นระเบียบ แววตาแหลมคมนั้นทำให้ผู้พบเห็น หลงใหล

ใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้แสงยามค่ำคืนแบบนี้ เผยให้เห็นออร่าที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้าง จิ่งหนิงรู้สึกว่าเธอเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน

จากนั้นเธอหันไปเห็นเลขาของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีก ทั้งรถปอร์เช่สีเงินที่อยู่ข้างๆ เธอก็คิดได้ว่าจะไปรู้จักบุคคล ที่โดดเด่นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

เธอสลัดความคิดออกจากหัว หันหลังแล้วเดินจากไป จนกระทั่งร่างเล็กๆของเธอเข้าสู่รถยนต์ ลู่จิ่งเซินจึงได้

ละสายตามาจากเธอและถามขึ้นว่า “คนเมื่อกี้นี้คือใคร?

ซูมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบตอบขึ้นว่า ท่านหมายถึงคนที่ถูก ตำรวจจับไปเมื่อกี้หรือครับ? เหมือนว่าจะเป็นคุณชายขอ งมู่ชื่อกรุ๊ปที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อน”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ผมหมายถึงคนผู้หญิงคน เมื่อกี้”

“ครับ? ” ซูมู่งุนงงเล็กน้อย “ผู้หญิงคนไหนกัน? ”

เมื่อเห็นแววตาอันไม่พอใจของลู่จิ่งเซิน ซูมู่ก็รีบพูดขึ้นมา ว่า “ท่านประธานครับ ต้องขออภัยด้วยผมจะไปตรวจสอบ เดี๋ยวนี้”

“ช่างมันเถอะ”

สายตาของเขามองไปตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออก ไปแล้วยิ้มขึ้น เขาคล้ายกับนึกอะไรออกมาได้

จากนั้นเขารีบก้าวเดินเข้าไปด้านใน ในฐานะผู้แจ้งความ จิ่งหนิงจึงต้องเดินทางไปที่สถานี ตำรวจด้วย

เมื่อทำการบันทึกข้อความเสร็จแล้ว ผู้คนจากด้านนอกก็ พากันแห่กรูเข้ามา

คนที่เดินเข้ามาเป็นคนแรกก็คือคุณย่าจิ่งหวังเสว่เหมย เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงก็ตบเข้าให้ที่หน้าของจิ่งหนิงอย่างจัง

“นังคนทรยศ? ”

หวังเสว่เหมยตัวสั่นสะท้านแล้วพูดว่า “แกรู้อยู่แก่ใจว่านั่น คือน้องสาวแท้ๆของแก ยังกล้าแจ้งตำรวจจับอีกอย่างนั้น เหรอ? แกต้องการจะยั่วให้ฉันโมโหตายยังไง? ”

จิงหนิงเช็ดโชคเลือดที่มุมปาก จากนั้นเงยดูหญิงชราที่ อยู่ตรงหน้า

“น้องสาวอย่างนั้นเหรอ? คุณหมายถึงจิ่งเสี่ยวหย่า? ”

“ไม่ต้องทำมาเป็นเสแสร้ง สื่อต่างๆพากันพูดกันให้แซ่ด บอกว่าคุณหนูจิงรองให้ท่าคู่หมั้นของคนอื่น แกไม่รู้เรื่อง หรือไง? ”

จึงหนิงก้มหน้าลงและยิ้มออกมาเบาๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอนั่นเอง….ฉันก็คิดว่ากะหรี่ที่ไหน รีบร้อนจะหาเงินซะอีก ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของฉันเอง? “

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท