วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – บทที่ 996 ขอความช่วยเหลือ

บทที่ 996 ขอความช่วยเหลือ

คำพูดของเขานั้น ทำให้ทุกคนเงียบลง

สีหน้าของกู้ซือเฉียนดูแย่มาก

ในความเป็นจริงของก่อนหน้านี้ ถึงแม้ว่าจะตอบตกลงหนานกงจิ่นแล้ว ว่าจะหาแผ่นหยกคัมภ์สวรรค์แทนเขา เพื่อมาแลกกับการที่ยาที่ยับยั้งโรคของเฉียวฉีได้

แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้อย่างสมบูรณ์ และมองหาวิธีอื่นที่จะช่วยเธออยู่เสมออยู่เสมอ

แต่ว่าตอนนี้ เชวซู่ได้ทำลายความหวังสุดท้ายของเขาแล้ว

จนถึงตอนนี้เขาถึงจะตระหนักได้ว่า โรคของเฉียวฉีนั้นไม่ธรรมดา

กู้ซือเฉียนมีสีหน้าที่หนักใจพร้อมกับถามว่า:“คุณเชว คุณทราบแหล่งที่มาของเซลล์ชนิดนี้ไหม?”

ในใจของเขาคิดว่า ถ้าหากพอทราบแหล่งที่มาแล้ว อาจจะสามารถหาวิธีรักษาก็ได้

แต่แล้ว เชวซู่กลับพยักหน้า

“ถ้าอยากรู้แหล่งที่มา ก็ควรไปถามคนของตระกูลหนาน นี่เป็นโรคทางพันธุกรรมของตระกูลหนานพวกเขา ตราบใดที่พวกเขามีเลือดเนื้อของตระกูลนี้อยู่ ก็ต้องมีโรคนี้แน่นอน ถ้าจะสืบแหล่งที่มา กลัวว่าต้องสืบย้อนกลับไปเรื่องเมื่อนานมาแล้ว”

ในขณะที่เขาพูดอยู่ ก็ได้ถอนหายใจอีกครั้ง

กู้ซือเฉียนตกตะลึงครู่หนึ่ง แล้วค่อยพยักหน้า

“โอเค ผมเข้าใจแล้ว”

เขาหันกลับไปมองดูเฉียวฉี ดวงตาของทั้งสองก็จ้องมองกัน ต่างคนต่างมองเห็นร่องรอยของความห่วงใยและอาลัยอาวรณ์กัน

สิ่งที่กู้ซือเฉียนเป็นห่วงคือเฉียวฉีต้องคอยทนกับความทรมานและความเจ็บป่วยจากโรคนี้ตลอด แต่สิ่งที่เฉียวฉีเป็นห่วงคือเพราะเรื่องของเธอแล้วกู้ซือเฉียนได้ทำงานหนักเพื่อเธอ

เธอยิ้มเบาๆ

“คุณเชว ขอบคุณนะคะ พวกเรารับรู้แล้ว”

เธอยืนขึ้นในขณะที่กำลังพูดอยู่

ในใจลึกๆของจิ่งหนิงก็รู้สึกแย่เล็กน้อย และเดินไปหาเธอแล้วจับมือเธอไว้

“อย่าเสียใจไปเลย มันก็ยังมีวิธีอยู่ไม่ใช่หรือ?อย่างมากสุดก็แค่กินยา คุณดูหนานกงจิ่น แล้วคนในตระกูลหนานอีกมากมาย พวกเขาก็ใช้ชีวิตจนแก่เฒ่าก็ยังไม่เป็นอะไรไม่ใช่หรือ?หนานกงจิ่นได้พูดแล้ว ว่าเพียงแค่กินยาตลอดเวลา ก็จะไม่เป็นอะไร”

เฉียวฉีพยักหน้า

ถึงแม้จะรู้ว่าสิ่งที่เธอพูดจะเป็นเรื่องจริง แต่ยังไงก็ต้องยอมรับ ว่าตราบใดที่เฉียวฉียังต้องกินยา กู้ซือเฉียนและเธอจะ ถูกควบคุมโดยคนอื่นเสมอ

กลัวว่าในอนาคตข้างหน้า ไม่ว่าหนานกงจิ่นจะพูดอะไร พวกเขาก็จะต้องทำอย่างนั้น

นี้เป็นสิ่งที่ไม่ว่าจะเป็นกู้ซือเฉียนหรือจะเป็นเฉียวฉี ก็ไม่ต้องการเห็นสิ่งนี้แน่นอน

ในขณะนั้น ดวงตาของ จิ่งหนิงก็สว่างขึ้นในทันใด

“เอ๊ะ ว่าแต่ คุณอาเชว คุณผสมยาเป็นไหม?”

เชวซู่เหลือบมองเธอ และถอนหายใจอย่างเย็นชา “แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะ?”

จิ่งหนิงพูดด้วยรอยยิ้มว่า:“ถ้างั้นเอาอย่างนี้ไหม เฉียวฉีต้องการยาชนิดหนึ่งเพื่อดูแลรักษาสุขภาพไว้ แต่เพราะว่ายาชนิดนี้มีแต่ตระกูลหนานเท่านั้นที่มี หากพวกเขาจำเป็นต้องกินยาจากคนในตระกูลหนานอยู่ตลอดล่ะก็ มันยากที่จะหลีกเลี่ยงจากการถูกควบคุมโดยผู้อื่น ไม่ก็รบกวนคุณมาช่วยหน่อย ช่วยดูส่วนผสมของยาตัวนี้ ถ้าจะให้ดีที่สุดคือสามารถผสมยาออกมาได้”

คำพูดเหล่านี้กลับทำให้ เฉียวฉีและกู้ซือเฉียนมีความคิดใหม่ขึ้นมา

ทั้งสองคนมองดูเชวซู่อย่างมีความหวัง

สีหน้าของเชวซู่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

อันที่จริง ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างจิ่งหนิงกับโม่ไฉ่เวยอยู่ เพียงเพราะรู้ว่าเธอเป็นคนในตระกูลหนาน เขาก็ไม่อยากจะสนใจอะไรแล้ว

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเขาก็ดูหนักหน่วงลงเล็กน้อย และเขาถามเฉียวฉีว่า:“ตราบใดที่พวกคุณช่วยคนในตระกูลนั้นอยู่ พวกเขาก็ต้องให้ยากับคุณเป็นเรื่องปกติ คุณจะมาขอร้องผมเพื่ออะไร?”

ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

เฉียวฉีตกตะลึง เธอไม่ได้โง่ ฟังออกทันทีว่าในคำพูดนั้นมีอีกคำซ่อนอยู่

เธอพูดด้วยความงุนงง:“คุณเชวดูเหมือนจะมีความคิดเห็นมากมายเกี่ยวกับตระกูลหนาน ขอถามหน่อยว่าคุณกับพวกเขาเคยมีความขัดแย้งหรือปัญหาอะไรมาก่อนหรือเปล่า?”

เชวซู่เยาะเย้ย“ก็ไม่ถึงขั้นมีปัญหาอะไร แต่ผมไม่ชอบสไตล์การกระทำของตระกูลหนานอย่างมาก ตระกูลที่เห็นชีวิตคนเป็นของเล่น จะมีอะไรดีล่ะ?”

ในที่สุดเฉียวฉีก็ฟังออก ที่แท้ก็เคยมีความขัดแย้งมาก่อน

เชวซู่นั้นไม่รู้เรื่องพัวพันอะไรเกี่ยวกับเธอและตระกูลหนาน เพียงแค่เห็นว่าเธอมีโรคชนิดนี้ ก็ตัดสินใจทันทีว่าเธอนั้นเป็นคนของตระกูลหนาน

เธออดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดว่า:“คุณเชว ดูเหมือนว่าคุณจะเข้าใจอะไรผิดแล้ว ถึงในเลือดเนื้อของฉันจะไหลไปด้วยสายเลือดของตระกูลหนาน แต่กลับไม่ใช่คนพวกเดียวกันกับพวกเขา”

เธอพูดพลางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ได้เล่าว่าตัวเธอเองรู้ได้ยังไงว่าตัวเองเป็นคนในตระกูลหนาน แล้วยังเล่าถึงเรื่องโดนคุกคามอย่างไร

อย่างว่าถ้าขอความช่วยเหลือจากคนอื่นก็ต้องมีท่าทีที่ร้องขอความช่วยเหลือ เฉียวฉีไม่ได้โง่ เธอจะไม่แสร้งทำเป็นเหมือนผู้สูงส่ง เธอรู้ว่า ถ้าหากโลกนี้ยังมีคนที่สามารถก๊อบปี้ยาของเธอที่หนานกงจิ่นเป็นคนให้มานั้น งั้นเชวซู่ก็ต้องเป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน

เธอก็เคยคิดเรื่องนี้อย่างละเอียด คนของตระกูลหนานมีมากมาย จำนวนยาที่ต้องการมันเยอะมาก เป็นไปไม่ได้ที่จะมีของในคลังตลอด มันต้องมีคนหนึ่งที่มีหน้าที่ช่วยพวกเขาผสมยาโดยเฉพาะ

ถ้าเช่นนี้แล้ว บนโลกใบนี้ มีหนึ่งคนที่สามารถผสมยาได้ งั้นก็ต้องมีคนที่เช่นกัน

ฉะนั้น พวกเขาไม่มีทางที่เอาความหวังไว้กับคนคนเดียว

พอคิดอย่างนี้แล้วเฉียวฉีพูดอย่างเคร่งขรึม:“ฉันก็คิดแบบคุณ ต่อต้านกับตระกูลหนานเช่นเดียวกัน แต่เพียงเพราะว่าชีวิตในตอนนี้อยู่ในกำมือของเขา จึงจำเป็นต้องแสร้งแสดงความนอบน้อมและคล้อยตามชั่วคราวพอถูไถให้รอดเท่านั้น หากคุณสามารถช่วยฉันแก้ปัญหานี้ได้ แน่นอนว่าพวกเราก็สามารถรอดพ้นจากการกำมือของพวกเขาได้”

เชวซู่มองดูเธออย่างลึกซึ้ง

“คุณพูดว่าพ่อของคุณหนีออกมา?”

เฉียวฉีพยักหน้า “ใช่”

“คุณมีหลักฐานอะไร มาแสดงตัวว่าสิ่งที่คุณพูดนั้นเป็นความจริง?”

เฉียวฉีสำลัก

หลักฐานเหรอ?เธอจะไปมีหลักอะไรได้ล่ะ?

พ่อที่เธอยังไม่เคยเจอเลยสักครั้งนั้น ได้เสียไปนานแล้ว และแม่ของเธอก็เสียแล้วด้วย ปัจจุบันก็เหลือเพียงเธอคนเดียวในโลกใบนี้

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าหนานมู่หรงมาหาเธอ เธอก็คงไม่รับรู้ว่าตัวเธอเองนั้นมีสายเลือดของตระกูลนี้อยู่ด้วยซ้ำ

เธอขมวดคิ้วอย่างลึกซึ้ง

ทันใดนั้น จิ่งหนิงทนดูไม่ไหวแล้ว จึงเอ่ยปากพูดออกมา

“คุณอาเชว คุณเชื่อเฉียวฉีเถอะ ฉันสามารถเป็นพยานให้เธอได้ สิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นความจริงทุกประการ”

พอโม่ไฉ่เวยเห็นจิ่งหนิงพูดอย่างนี้แล้วก็ได้พูดตามว่า:“นั่นสิ อะซู่ ว่ากันว่าช่วยคนหนึ่งชีวิต ยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นอีก คุณก็ช่วยเธอหน่อยเถอะ ผมเห็นคุณเฉียวนั้นเป็นคนจิตใจดี ต้องเป็นคนดีอย่างแน่นอน เธอไม่หลอกพวกเรากันหรอก”

กู้ซือเฉียนก็ได้กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า:“หากว่าคุณเชวสามารถช่วยได้ หากคุณมีความต้องการใด ๆ ในอนาคต ตราบใดที่คุณเอ่ยปากพูดออกมา ผมตอบตกลงอย่างแน่นอน”

เชวซู่ได้เหลือบมองเขา

พูดอย่างเย็นชาและหยิ่งยโสว่า “พูดซะเหมือนผมช่วยคุณเพื่อหวังผลตอบแทนอะไรอย่างนั้นแหละ”

คำพูดของเขา ทำให้กู้ซือเฉียนสำลัก

แต่จิ่งหนิงกลับดีอกดีใจ เธอรู้ หากเชวซู่พูดถึงขั้นนี้แล้ว งั้นก็แสดงว่าตอบตกลงช่วยเขาแล้ว

เธออดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดว่า:“คุณอาเชว งั้นก็รบกวนคุณด้วยนะคะ”

พอพูดจบ ก็หันไปหาเฉียวฉี ให้เอาตัวยาออกมา

เพราะกลัวว่าเฉียวฉีจะล้มป่วยกะทันหัน ฉะนั้นกู้ซือเฉียนจึงให้เธอพกยาติดตัวไว้สองเม็ดตลอด และตอนนี้ ในตัวของเฉียวฉีนั้นมีอยู่อีกหนึ่งเม็ดพอดี

เธอหยิบยาออกมา และเห็นเม็ดยาเล็กๆ ซึ่งวางอยู่ในกล่องเล็กๆนั้น แสดงให้เห็นว่ามันมีค่าเพียงใดสำหรับพวกเขา

เชวซู่หยิบยาขึ้นมา เปิดดูและเห็นว่ามันเป็นยาเม็ดสีทองเล็ก ๆ เขาวางมันลงบนปลายจมูกและดมมัน คิ้วเริ่มขมวดขึ้นมาเล็กน้อย

ทุกคนต่างดูเขาและพากันกังวล คาดหวังให้เขาพูดผลสรุปออกมา

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Status: Ongoing

บทที่ 1 จับชู้คาเตียง

“มีถุงยางดูเร็กซ์ ดูอัล เพลย์เชอร์ไซซ์กลางไหม? ”

“มีค่ะ”

“แล้วก็ไวเบรเตอร์กับชุดนางแมวสวาทชุดหนึ่งด้วย”

“ได้ค่ะ จัดส่งที่ไหนคะ? ”

“โรงแรมลี่หัว ห้อง2202”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

เมื่อจิ่งหนิงมาถึงโรงแรมลี่หัวก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

เวลาดึกดื่นขนาดนี้ สำหรับคนที่ทำธุรกิจสินค้าผู้ใหญ่ แบบนี้ การนำส่งสินค้าด้วยตนเองไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

นัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างเธอ

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุก สิ่งทุกอย่างต้องแลกมาด้วยเงิน อีกอย่างมู่ยั่นเจ๋อกำลังจะ กลับมาอีกไม่กี่วันนี้

คบกันมาตั้งหกปี แต่เวลากว่าครึ่งเป็นรักระยะไกล เขา ต้องดูแลธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ เธอจะทำตัววุ่นวาย ส่งผลต่อการทำงานของเขาไม่ได้

ดีที่ความรักของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างหวานชื่นนอกจากงานในแต่ละวันแล้ว เธอยังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ด้วย อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของเขา เธอตั้งใจจะมอบของ ขวัญให้เขาอย่างเซอร์ไพรซ์

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เธอขยับหมวกสีดำที่ใส่มาให้ปิดลงมาบังหน้าไว้ จากนั้น เดินถือกล่องสินค้าเข้าไปด้านใน

โรงแรมลี่หัว เป็นสถานที่ราคาแพงขึ้นชื่อของเมืองจิ้น ผู้คนที่เดินทางมาเข้าพักล้วนเป็นระดับมหาเศรษฐี

ความโอ่อ่างดงามที่ห้องโถงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ลิฟต์ก็ ถูกประดับตกแต่งด้วยเงินและทองคำ คนที่ยืนอยู่ด้านใน ถูกแสงไฟส่องสว่างไสว

จิ่งหนิงเดินถือกล่องเข้าไปแล้วมองหาจุดหมาย

ใบหน้าอันงดงามถูกปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงดวงตา เป็นประกายคู่นั้น แฝงไปด้วยความมั่นใจ

ลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น22 “ตั้ง” ประตูเปิดออก เธอเดินออกไป กระทั่งถึงห้อง2202และกดกริ่งที่ประตู

ประตูยังไม่เปิดออก ก็มีเสียงหนุ่มสาวดังขึ้น

“อาเจ๋อ อุ๊ย? อย่าค่ะ….ของน่าจะมาส่งแล้ว”

“รอผมนะ เดี๋ยวมา”

จึงหนิงยืนยิ้มอยู่ที่ปากประตูอย่างอดไม่ได้ ของยังมาส่งไม่ถึงก็เริ่มกันแล้วเหรอเนี่ย? รีบร้อนกันจริงๆ?

ประตูถูกเปิดออกในไม่ช้า ชายผู้ออกมารับของสวมผ้า ขนหนูเพียงผืนเดียว บนร่างกายของเขายังคงมีไอน้ำอยู่

จิ่งหนิงไม่ได้มองหน้าเขา เธอยื่นกล่องใส่ของออกไป “843หยวนค่ะ? จ่ายเงินสดหรือว่าโอนคะ? ”

ชายผู้อยู่ตรงหน้าไม่ตอบ

ผ่านไปสองวินาที เสียงของชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “.

หนิง?

จิ่งหนิงตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า ร่างกายกำยำ ผมเผ้าเปียก ปอน เขามีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปิดบังร่างกายไว้ แสงไฟ เหลืองนวลส่องมายังร่างกายของเขา ผิวขาวเนียนและ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาด

ใจ อีกทั้ง ทำตัวไม่ถูก

สีหน้าของจิงหนิงตกใจเสียจนหน้าซีด

“ปั่นเจ๋อ ใครคะ? ”

“ไม่มีอะไรครับ คนมาส่งของครับ”

มู่ยั่นเจ๋อรีบพูดขึ้นก่อนที่จิ่งหนิงจะเอ่ยอะไรออกมาจาก นั้นรีบหยิบเงินจากกระเป๋ายัดใส่มือเธอและหยิบของไป อย่างรวดเร็ว

เสียงประตูปิดลงดัง “ปัง?

จึงหนิงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู มือของเธอเริ่มสั่น สีหน้า

เหนิงซีดเผือดลงทันที

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ

และมองไปยังธนบัตรที่เขายัดเข้ามาไว้ในมือ นี่มันเรื่อง ตลกบ้าบออะไรกัน? เธอหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของ ตัวเองจริงๆ

เสียงชายหนุ่มและหญิงสาวเล็ดลอดออกมานอกห้อง เธอก็ถอนหายใจยาวๆออกมา และกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเอา

ไว้

เธอหันหลังกลับและเดินตรงไปยังลิฟต์และหยิบมือถือ

ออกมา

“สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจใช่ไหมคะ? ฉันจะขอแจ้งความ ว่ามีชายหญิงค้าประเวณี ห้องพักเลขที่.”

ต่อมา20นาที

รถตำรวจคันหนึ่งจอดลงที่หน้าโรงแรมลี่หัว ข้างๆยังมีนัก ข่าวและช่างกล้องเดินตามมา เมื่อเห็นคนที่ถูกจับตัวออกมา นักข่าวก็พากันแห่เข้าไป

“นายมู่ มีคนแจ้งความว่าคุณเสพยาและซื้อบริการทาง เพศ จริงหรือไม่คะ? ”

“นายมู ในฐานะผู้สืบทอดมู่ชื่อกรุ๊ป คุณคิดว่าการกระทำ เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ?

“นายมู่ครับ ผู้หญิงคนที่อยู่กับคุณเป็นใครกันครับ? มี

ข่าวลือว่าเป็นดาราในวงการ จริงหรือไม่ครับ? ” “นายมู..”

มู่ยั่นเจ่อถูกนักข่าวล้อมไว้ แม้แต่ตำรวจก็ห้ามไว้ไม่ได้ เขากัดฟันกรอดๆและตะโกนออกมาว่า “ไปให้พ้น? ” นักข่าวพากันตกอกตกใจและถอยหลังออกไป

มู่ยั่นเจ๋อมองไปยังฝูงชน เขาพบเข้ากับจิ่งหนิง สายตา ของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?”

จึ่งหนิงเผยอยิ้ม สายตาแฝงไปด้วยการดูถูก

“คุณทำแบบนี้อย่าหวังว่าจะได้ผมไปครอง”

จิ่งหนิงเดินหน้าขึ้นไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อหน้านักข่าวและ

ตำรวจ

11 เพียะ!”

ฝ่ามือของเธอตบลงไปที่หน้าเขาอย่างจัง มู่ยั่นเจ่อถูกตบ เสียจนหน้าหัน

บรรยากาศรอบด้านเงียบลงทันใด

ทางตำรวจตกตะลึงอ้าปากค้าง ” คุณผู้หญิงคนนี้คือ.

%3D

%3D ขอโทษนะคะ มือลั่นไปเอง!”

เธอยิ้มด้วยแววตาเยือกเย็นแล้วทำท่าทางนวดข้อมือ แล้วมองไปยังมู่ยั่นเจ่อด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นพูดด้วย น้ำเสียงเยือกเย็นว่า

กระดาษชำระที่ตกลงไปในชักโครก คุณคิดว่าใครยังจะต้องการอีกกัน?ตบเมื่อสักครู่เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ทุน ที่เหลือฉันจะให้คุณชดเชยภายในสามวัน!”

แววตาของมู่ยั่นเจ่อตื่นตระหนก อะไร! ทุนอะไร !!” จึ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้น ” คุณแน่ใจนะว่าจะให้ฉันกระตุ้น

ความจำคุณ

มู่ยั่นเจ๋อก้มหน้าลงทันที

เธอหัวเราะหีๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความดูถูก เหยียดหยาม

ทางตำรวจเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้คุมตัวขึ้นรถไปได้ เมื่อเขาเดินทางจากไป บรรดานักข่าวก็ไม่ได้รีรอ รีบตาม

ไปทันที

เดิมทีที่จากประตูทางเข้าโรงแรมเต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ กลับว่างเปล่าไม่เหลือใคร

จึงหนิงยังยืนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งควบคุมอารมณ์ได้ เธอจึง ได้เตรียมตัวจากไป

แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเมื่อหันหลังกลับไปจะพบเข้ากับแวว ตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเธออยู่

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผมสั้นจัด ทรงเป็นระเบียบ แววตาแหลมคมนั้นทำให้ผู้พบเห็น หลงใหล

ใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้แสงยามค่ำคืนแบบนี้ เผยให้เห็นออร่าที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้าง จิ่งหนิงรู้สึกว่าเธอเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน

จากนั้นเธอหันไปเห็นเลขาของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีก ทั้งรถปอร์เช่สีเงินที่อยู่ข้างๆ เธอก็คิดได้ว่าจะไปรู้จักบุคคล ที่โดดเด่นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

เธอสลัดความคิดออกจากหัว หันหลังแล้วเดินจากไป จนกระทั่งร่างเล็กๆของเธอเข้าสู่รถยนต์ ลู่จิ่งเซินจึงได้

ละสายตามาจากเธอและถามขึ้นว่า “คนเมื่อกี้นี้คือใคร?

ซูมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบตอบขึ้นว่า ท่านหมายถึงคนที่ถูก ตำรวจจับไปเมื่อกี้หรือครับ? เหมือนว่าจะเป็นคุณชายขอ งมู่ชื่อกรุ๊ปที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อน”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ผมหมายถึงคนผู้หญิงคน เมื่อกี้”

“ครับ? ” ซูมู่งุนงงเล็กน้อย “ผู้หญิงคนไหนกัน? ”

เมื่อเห็นแววตาอันไม่พอใจของลู่จิ่งเซิน ซูมู่ก็รีบพูดขึ้นมา ว่า “ท่านประธานครับ ต้องขออภัยด้วยผมจะไปตรวจสอบ เดี๋ยวนี้”

“ช่างมันเถอะ”

สายตาของเขามองไปตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออก ไปแล้วยิ้มขึ้น เขาคล้ายกับนึกอะไรออกมาได้

จากนั้นเขารีบก้าวเดินเข้าไปด้านใน ในฐานะผู้แจ้งความ จิ่งหนิงจึงต้องเดินทางไปที่สถานี ตำรวจด้วย

เมื่อทำการบันทึกข้อความเสร็จแล้ว ผู้คนจากด้านนอกก็ พากันแห่กรูเข้ามา

คนที่เดินเข้ามาเป็นคนแรกก็คือคุณย่าจิ่งหวังเสว่เหมย เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงก็ตบเข้าให้ที่หน้าของจิ่งหนิงอย่างจัง

“นังคนทรยศ? ”

หวังเสว่เหมยตัวสั่นสะท้านแล้วพูดว่า “แกรู้อยู่แก่ใจว่านั่น คือน้องสาวแท้ๆของแก ยังกล้าแจ้งตำรวจจับอีกอย่างนั้น เหรอ? แกต้องการจะยั่วให้ฉันโมโหตายยังไง? ”

จิงหนิงเช็ดโชคเลือดที่มุมปาก จากนั้นเงยดูหญิงชราที่ อยู่ตรงหน้า

“น้องสาวอย่างนั้นเหรอ? คุณหมายถึงจิ่งเสี่ยวหย่า? ”

“ไม่ต้องทำมาเป็นเสแสร้ง สื่อต่างๆพากันพูดกันให้แซ่ด บอกว่าคุณหนูจิงรองให้ท่าคู่หมั้นของคนอื่น แกไม่รู้เรื่อง หรือไง? ”

จึงหนิงก้มหน้าลงและยิ้มออกมาเบาๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอนั่นเอง….ฉันก็คิดว่ากะหรี่ที่ไหน รีบร้อนจะหาเงินซะอีก ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของฉันเอง? “

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน