วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – บทที่ 1000 เปลี่ยนกะทันหัน

บทที่ 1000 เปลี่ยนกะทันหัน

ใบหน้าของหนานมู่หรงนั้นกลับดูมีความเป็นมิตร และถึงกับเดินทำกรีดกรายนั่งตรงข้ามพวกเขา แล้วหยิบผลไม้ชิ้นหนึ่งจากโต๊ะไปกิน

“พวกคุณอย่าจ้องผมเลย จ้องผมก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเรื่องนี้ผมไม่ได้เป็นคนรับผิดชอบ แต่เป็นเบื้องบน”

ในขณะที่เขาพูดอยู่ ก็ชี้ไปที่ศีรษะ

กู้ซือเฉียนยิ้มอย่างเย็นยะเยือก

“คุณหมายถึงหนานกงจิ่น?”

หนานมู่หรงผวา

“หนานกงจิ่นคือใคร?”

กู้ซือเฉียนสำลัก ครุ่นคิดอยู่ในใจ ดูเหมือนว่าหนานมู่หรงจะยังไม่รู้มีหนานกงจิ่นบุคคลคนนี้อยู่

ไม่รู้ว่าคนในตระกูลหนานอีกมากมายแค่ไหนที่เหมือนเขาถูกปิดหูปิดตา ตลอดเวลาที่ผ่านนึกว่าได้ฟังคำสั่งจากหนานกงยวู่มาโดยตลอด แต่ในความเป็นจริง คนที่คอยอยู่เบื้องหลังนั้นเป็นคนอื่น

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สายตาของเขาเคร่งขรึมลง

หนานกงจิ่นคนนี้ เป็นคนอะไรกันแน่?

ดูจากอายุของเขาแล้ว ก็พอๆ กับตัวเขาเอง แต่ทำไมคนอย่างหนานกงยวู่ถึงได้เชื่อฟังเขาได้ล่ะ?

และอีกอย่างหนานกงยวู่ดูเหมือนมีลักษณะท่าทางที่เคารพนับถือและสามารถก้มลงกราบต่อเขาเลย ดูแล้วก็ไม่เหมือนกับการถูกบังคับ แต่ดูเหมือนเป็นความซื่อสัตย์และความศรัทธาจากก้นบึ้งของหัวใจ ก็เหมือนกับบรรดาผู้ศรัทธาแบบนั้น

ใช่ มันคือบรรดาผู้ศรัทธา

ก่อนหน้านี้กู้ซือเฉียนยังไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกในใจของความสัมพันธ์ระหว่างหนานกงยวู่และหนานกงจิ่นยังไง ในที่สุดตอนนี้ก็นึกได้แล้ว พอหนานมู่หรงเห็นเขาไม่พูดอะไร ก็ไม่ได้สนใจอะไร

เขากัดแอปเปิลอีกคำหนึ่งในมือแล้วพูดว่า:“อันที่จริงก็ไม่ถึงขั้นบังคับหรอก ก็เพราะรู้ว่าพวกคุณมีอยู่แล้วในมือแล้วหนึ่งชิ้น ก็ให้คุณส่งมาเท่านั้นเอง เพราะท้ายที่สุดแล้วพวกคุณก็ต้องส่งมันมาอยู่ดี”

กู้ซือเฉียนยิ้มเย็นยะเยือก

“ถ้าหากว่าผมหาได้หนึ่งชิ้นก็ส่งให้หนึ่งชิ้น แล้วถ้าพวกคุณไม่ให้ยากับผมในตอนท้ายล่ะ?สุดท้ายแล้วพวกผมทำยังไง?”

หนานมู่หรงยิ้มและพูดว่า:“อันนี้เป็นไปไม่ได้ ตระกูลหนานของเราทำเรื่องอะไรก็เน้นเรื่องความน่าเชื่อถือ แล้วอีกอย่าง ยานี้พวกเรากินกันทุกคน มันก็ไม่ใช่ของหายากอะไรเลย ด้วยอำนาจของคุณแล้วพอถึงเวลาแล้วฉีดหน้ากัน พวกเราก็ไม่ได้ดีอะไรถึงไหน ฉะนั้นแล้วจะไม่ทำเรื่องที่ยกหินขึ้นมาแต่กลับหล่นทับขาตัวเองอย่างนั้นหรอก”

พอสักครู่ เขาก็ได้พูดเสริมว่า:“อีกอย่าง คุณก็เก็บชิ้นสุดท้ายไว้ในมือหนึ่งชิ้นสิ เพราะท้ายที่สุดแล้วถ้ายังไม่ครบทั้งสิบสองชิ้น ถึงแม้ในมือจะมีหนึ่งชิ้นหรือสิบเอ็ดชิ้นมันก็ไม่ต่างอะไรกันเลย ผมพูดเช่นนี้คุณคงจะเข้าใจแล้วใช่ไหม?”

บนใบหน้าของกู้ซือเฉียนปรากฏความยุ่งยากใจ

ไม่ใช่ว่าใส่ใจกับแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ชิ้นนี้จริงๆ แต่กลับเป็นความรู้สึกนี้ที่ถูกควบคุมโดยผู้อื่น

เขามีเพียบพร้อมทุกอย่างแต่เกิด ถึงแม้ว่าในตอนเด็กนั้น ไม่เป็นที่ชื่อชอบในตระกูลกู้ ในเวลาเดียวกันก็ถูกตระกูลน่าหลันเบียดเสียดยัดเยียด

แต่โดยรวมแล้ว ชีวิตของเขาล้ำเลิศ เหนือกว่าคนอื่น และเขาจะไม่มีวันถูกบังคับให้ต้องตกลงในบางสิ่งเพราะการบังคับของใครบางคน

แต่ตอนนี้ เขารู้สึกเสมอว่าทุกย่างก้าวที่เขาเดิน เขากำลังเดินอยู่บนปลายมีดทั้งนั้น

มือและเท้าถูกผูกมัดด้วยผู้อื่น ความรู้สึกนี้ช่างเลวร้ายจริงๆ

ขนาดเขาก็ยังรู้สึกเช่นนี้ มีความคิดเป็นของตัวเองมาแต่เด็กจนโต เฉียวฉีที่เคยชินกับอิสรภาพมาโดยตลอดทำไมจะไม่รู้สึกเหมือนกันล่ะ?

เธอจ้องไปที่หนานมู่หรงอย่างเย็นชา จนแทบอยากจะจ้องให้เกิดช่องโหว่ที่ร่างกายของเขาเลย

หนานมู่หรงแตะจมูกของเขาด้วยความเขินอายเล็กน้อย

พูดตามตรง ไม่ว่าเมื่อก่อนกู้ซือเฉียนจะทำไม่ดีต่อเขาไม่ว่าจะกี่ครั้ง แต่เรื่องครั้งนี้ เป็นเขาที่รู้สึกขอโทษกู้ซือเฉียน

เพราะไม่ว่ายังไง ไม่รวมผลประโยชน์ในตระกูลแล้ว เขาและกู้ซือเฉียนก็นับได้ว่าเป็นเพื่อนกัน

ภรรยาของเพื่อเดือดร้อน แล้วเขายังไปผีซ้ำด้ำพลอยซ้ำเติมเช่นนี้ ไม่ว่าจะมองยังไงก็ไร้ความปรานีอยู่ดี

พอนึกเช่นนี้แล้ว เขาก็ถอนหายใจ

“ช่างเถอะๆ ถ้าพวกคุณไม่ยอมเอาออกมาจริงๆละก็ ผมก็สามารถช่วยไปขอร้องแทนพวกคุณก็ได้ แต่พวกคุณต้องรู้นะ ว่าผมเพียงแค่คนที่ช่วยทำงานในตระกูลเท่านั้นเอง ไม่มีสิทธิ์พูดอะไรเท่าไหร่ ผมแทบสามารถนึกภาพการปฏิเสธตอนขอร้องได้เลย แต่ผมจะทำอะไรได้ล่ะ?ผมอยากช่วยพวกคุณ ก็คงจะช่วยได้ถึงเพียงจุดนี้เองแหละ มีความสามารถเท่านี้ จนปัญญาแล้วจริงๆ ”

ขณะที่เขาพูด เขาส่ายพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้

กู้ซือเฉียนขมวดคิ้วและจ้องมองเขาสักครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เอ่ยปากพูด

“ไม่ต้องหรอก ของอยู่ที่นี่ คุณเอาไปก็แล้วกัน”

เมื่อพูดจบ ก็ให้ฉินเยว่หยิบกล่องไม้ขึ้นมา แล้วโยนให้กับหนานมู่หรงโดยตรง

หนานมู่หรงผงะไปครู่หนึ่ง รีบหยิบมันขึ้นมาและเปิดกล่องออกมา พบว่าที่อยู่ข้างในนั้นเป็นแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ที่ขาวและโปร่งแสง

เขาอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย และมองขึ้นไปที่กู้ซือเฉียน

“คุณเด็ดขาดขนาดนี้ คงไม่ได้ฉ้อโกงอะไรข้างในนี้ใช่ไหม?”

กู้ซือเฉียนยิ้มอย่างเย็นชา

“คุณจะเอาหรือไม่เอา หากไม่เอาก็คืนผมมา”

พอพูดจบ ก็ยื่นมือไปแย่งกันจริงๆ

หนานมู่หรงรีบเก็บกล่องนั้นไว้ที่ข้างหลัง ใบหน้าระแวดระวัง

“ไหนๆ คุณก็ให้แล้ว ยังคิดจะเอากลับไปอีก คุณละอายใจบ้างไหมเนี่ย?”

เขาหยุดและถอนหายใจขณะที่มองดูใบหน้าที่ไม่พอใจของทั้งสองคน

“เอาเหอะ พวกคุณก็อย่าทำหน้าทำตาเหมือนกับว่าถูกผมเอาเปรียบอย่างนั้นเลย ก็พูดกันแล้วไม่ใช่หรือ?เมื่อหาครบทั้งหกชิ้นแล้ว พวกเขาก็จะเอายาที่เฉียวฉีกินหลังจากนั้นให้พวกคุณหมด พอถึงเวลานั้นพวกคุณก็เก็บไว้ที่ตัวเองหนึ่งชิ้นกันไว้ก่อน ยังกลัวอะไรอีกล่ะ?”

กู้ซือเฉียนไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้า

“ผมรู้แล้ว ของคุณก็เอาได้แล้ว คุณกลับเถอะ”

พอเห็นกิริยาท่าทางของเขาเช่นนี้แล้ว หนานมู่หรงก็ไม่พูดอะไรอีก

ได้บอกกล่าวกับเฉียวฉีแล้ว ก็หันไปพร้อมพาคนอื่นๆจากไป

หลังจากที่พวกเขาจากไป เฉียวฉีก็พูดอย่างเคร่งขรึมว่า:“ฉันมักรู้สึกว่าเรื่องนี้มันมีบางอย่างผิดปกติ”

น้ำเสียงของกู้ซือเฉียนเย็นชา

“ผิดปกติอยู่แล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อน พวกเราไม่รู้ส่วนผสมของยาค่อยว่าไปอีกอย่าง ตอนนี้รู้แล้ว หึ!”

เสียงเขาเย็นเยือก“เขาบอกว่าเขาจะให้ยาทั้งหมดที่คุณต้องใช้ในหลังจากนั้นแก่พวกเรา แต่จริงๆ แล้วนั่นมันไม่ใช่ยาเลย แต่เป็นผลของพืชชนิดหนึ่งที่เรียกว่าต้นเงินทอง พืชผลแบบไหนกัน สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานหลายสิบปีโดยไม่เสียหายและยังคงกินได้?นี่มันเป็นเพียงการหลอกลวงแต่แรก!หนานกงจิ่นกำลังหลอกพวกเรา”

ความคิดของเฉียวฉีกับเหมือนกันเขาเลย

เธอขมวดคิ้วและมีความกังวล

“แล้วตอนนี้พวกเราทำยังไงกันดี?”

กู้ซือเฉียนหันไปมองดูเธอ นัยน์ตาดูมีความเย็นชา

“ไม่ต้องเป็นห่วง ผมคิดวิธีได้แล้ว”

เฉียวฉีตกตะลึง และมีความประหลาดใจเล็กน้อย

“วิธีอะไร?”

กู้ซือเฉียนมีท่าทางที่ดูลึกลับ“ผมได้วางกลอุบายไว้ในกล่องที่หนานมู่หรงเพิ่มหยิบไปเมื่อกี้นี้”

เฉียวฉีตกตะลึงอยู่ครู่หนุ่ง และในไม่ช้านัก ก็ได้ตั้งสติขึ้นมาได้

เธอและกู้ซือเฉียนนั้นเต็มไปด้วยความรู้ใจกันแต่แรก พอตอนนี้แค่ต้องส่งซิกอีกฝ่ายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เธอก็เข้าใจแผนของอีกฝ่ายทันที

ใบหน้านั้นอดไม่ได้ที่จะมีรอยยิ้มออกมา“ดูเหมือนว่าต่อจากนี้ พวกเราก็รอเก็บข้อมูลได้เลย”

“ใช่”

หลังจากที่ทั้งสองตกลงกันเรียบร้อย ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

และอีกด้านหนึ่ง

หลังจากที่หนานมู่หรงได้รับของแล้ว เขาก็รีบขึ้นเครื่องบินบินข้ามคืนไปยังเกาะที่หนานกงจิ่นอาศัยอยู่

แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าหนานกงจิ่นพักอยู่ที่นี่

ผู้ที่ออกคำสั่งให้กับเขานั้น เป็นหนานกงยวู่มาตลอด ก่อนหน้านี้เขาก็พูดเพียงว่า ถ้าได้รับของมาแล้ว ก็ส่งมาที่เกาะนี้ ฉะนั้น เขาจึงได้รีบบินข้ามคืนมา ไม่กล้าสะเพร่าแม้แต่วินาทีเดียว

ในขณะนี้ ทันทีที่เครื่องบินลงจอด ก็มีผู้ที่ได้รับข่าวรออยู่ตรงนั้นแล้ว

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Status: Ongoing

บทที่ 1 จับชู้คาเตียง

“มีถุงยางดูเร็กซ์ ดูอัล เพลย์เชอร์ไซซ์กลางไหม? ”

“มีค่ะ”

“แล้วก็ไวเบรเตอร์กับชุดนางแมวสวาทชุดหนึ่งด้วย”

“ได้ค่ะ จัดส่งที่ไหนคะ? ”

“โรงแรมลี่หัว ห้อง2202”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

เมื่อจิ่งหนิงมาถึงโรงแรมลี่หัวก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

เวลาดึกดื่นขนาดนี้ สำหรับคนที่ทำธุรกิจสินค้าผู้ใหญ่ แบบนี้ การนำส่งสินค้าด้วยตนเองไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

นัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างเธอ

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุก สิ่งทุกอย่างต้องแลกมาด้วยเงิน อีกอย่างมู่ยั่นเจ๋อกำลังจะ กลับมาอีกไม่กี่วันนี้

คบกันมาตั้งหกปี แต่เวลากว่าครึ่งเป็นรักระยะไกล เขา ต้องดูแลธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ เธอจะทำตัววุ่นวาย ส่งผลต่อการทำงานของเขาไม่ได้

ดีที่ความรักของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างหวานชื่นนอกจากงานในแต่ละวันแล้ว เธอยังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ด้วย อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของเขา เธอตั้งใจจะมอบของ ขวัญให้เขาอย่างเซอร์ไพรซ์

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เธอขยับหมวกสีดำที่ใส่มาให้ปิดลงมาบังหน้าไว้ จากนั้น เดินถือกล่องสินค้าเข้าไปด้านใน

โรงแรมลี่หัว เป็นสถานที่ราคาแพงขึ้นชื่อของเมืองจิ้น ผู้คนที่เดินทางมาเข้าพักล้วนเป็นระดับมหาเศรษฐี

ความโอ่อ่างดงามที่ห้องโถงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ลิฟต์ก็ ถูกประดับตกแต่งด้วยเงินและทองคำ คนที่ยืนอยู่ด้านใน ถูกแสงไฟส่องสว่างไสว

จิ่งหนิงเดินถือกล่องเข้าไปแล้วมองหาจุดหมาย

ใบหน้าอันงดงามถูกปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงดวงตา เป็นประกายคู่นั้น แฝงไปด้วยความมั่นใจ

ลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น22 “ตั้ง” ประตูเปิดออก เธอเดินออกไป กระทั่งถึงห้อง2202และกดกริ่งที่ประตู

ประตูยังไม่เปิดออก ก็มีเสียงหนุ่มสาวดังขึ้น

“อาเจ๋อ อุ๊ย? อย่าค่ะ….ของน่าจะมาส่งแล้ว”

“รอผมนะ เดี๋ยวมา”

จึงหนิงยืนยิ้มอยู่ที่ปากประตูอย่างอดไม่ได้ ของยังมาส่งไม่ถึงก็เริ่มกันแล้วเหรอเนี่ย? รีบร้อนกันจริงๆ?

ประตูถูกเปิดออกในไม่ช้า ชายผู้ออกมารับของสวมผ้า ขนหนูเพียงผืนเดียว บนร่างกายของเขายังคงมีไอน้ำอยู่

จิ่งหนิงไม่ได้มองหน้าเขา เธอยื่นกล่องใส่ของออกไป “843หยวนค่ะ? จ่ายเงินสดหรือว่าโอนคะ? ”

ชายผู้อยู่ตรงหน้าไม่ตอบ

ผ่านไปสองวินาที เสียงของชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “.

หนิง?

จิ่งหนิงตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า ร่างกายกำยำ ผมเผ้าเปียก ปอน เขามีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปิดบังร่างกายไว้ แสงไฟ เหลืองนวลส่องมายังร่างกายของเขา ผิวขาวเนียนและ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาด

ใจ อีกทั้ง ทำตัวไม่ถูก

สีหน้าของจิงหนิงตกใจเสียจนหน้าซีด

“ปั่นเจ๋อ ใครคะ? ”

“ไม่มีอะไรครับ คนมาส่งของครับ”

มู่ยั่นเจ๋อรีบพูดขึ้นก่อนที่จิ่งหนิงจะเอ่ยอะไรออกมาจาก นั้นรีบหยิบเงินจากกระเป๋ายัดใส่มือเธอและหยิบของไป อย่างรวดเร็ว

เสียงประตูปิดลงดัง “ปัง?

จึงหนิงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู มือของเธอเริ่มสั่น สีหน้า

เหนิงซีดเผือดลงทันที

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ

และมองไปยังธนบัตรที่เขายัดเข้ามาไว้ในมือ นี่มันเรื่อง ตลกบ้าบออะไรกัน? เธอหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของ ตัวเองจริงๆ

เสียงชายหนุ่มและหญิงสาวเล็ดลอดออกมานอกห้อง เธอก็ถอนหายใจยาวๆออกมา และกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเอา

ไว้

เธอหันหลังกลับและเดินตรงไปยังลิฟต์และหยิบมือถือ

ออกมา

“สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจใช่ไหมคะ? ฉันจะขอแจ้งความ ว่ามีชายหญิงค้าประเวณี ห้องพักเลขที่.”

ต่อมา20นาที

รถตำรวจคันหนึ่งจอดลงที่หน้าโรงแรมลี่หัว ข้างๆยังมีนัก ข่าวและช่างกล้องเดินตามมา เมื่อเห็นคนที่ถูกจับตัวออกมา นักข่าวก็พากันแห่เข้าไป

“นายมู่ มีคนแจ้งความว่าคุณเสพยาและซื้อบริการทาง เพศ จริงหรือไม่คะ? ”

“นายมู ในฐานะผู้สืบทอดมู่ชื่อกรุ๊ป คุณคิดว่าการกระทำ เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ?

“นายมู่ครับ ผู้หญิงคนที่อยู่กับคุณเป็นใครกันครับ? มี

ข่าวลือว่าเป็นดาราในวงการ จริงหรือไม่ครับ? ” “นายมู..”

มู่ยั่นเจ่อถูกนักข่าวล้อมไว้ แม้แต่ตำรวจก็ห้ามไว้ไม่ได้ เขากัดฟันกรอดๆและตะโกนออกมาว่า “ไปให้พ้น? ” นักข่าวพากันตกอกตกใจและถอยหลังออกไป

มู่ยั่นเจ๋อมองไปยังฝูงชน เขาพบเข้ากับจิ่งหนิง สายตา ของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?”

จึ่งหนิงเผยอยิ้ม สายตาแฝงไปด้วยการดูถูก

“คุณทำแบบนี้อย่าหวังว่าจะได้ผมไปครอง”

จิ่งหนิงเดินหน้าขึ้นไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อหน้านักข่าวและ

ตำรวจ

11 เพียะ!”

ฝ่ามือของเธอตบลงไปที่หน้าเขาอย่างจัง มู่ยั่นเจ่อถูกตบ เสียจนหน้าหัน

บรรยากาศรอบด้านเงียบลงทันใด

ทางตำรวจตกตะลึงอ้าปากค้าง ” คุณผู้หญิงคนนี้คือ.

%3D

%3D ขอโทษนะคะ มือลั่นไปเอง!”

เธอยิ้มด้วยแววตาเยือกเย็นแล้วทำท่าทางนวดข้อมือ แล้วมองไปยังมู่ยั่นเจ่อด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นพูดด้วย น้ำเสียงเยือกเย็นว่า

กระดาษชำระที่ตกลงไปในชักโครก คุณคิดว่าใครยังจะต้องการอีกกัน?ตบเมื่อสักครู่เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ทุน ที่เหลือฉันจะให้คุณชดเชยภายในสามวัน!”

แววตาของมู่ยั่นเจ่อตื่นตระหนก อะไร! ทุนอะไร !!” จึ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้น ” คุณแน่ใจนะว่าจะให้ฉันกระตุ้น

ความจำคุณ

มู่ยั่นเจ๋อก้มหน้าลงทันที

เธอหัวเราะหีๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความดูถูก เหยียดหยาม

ทางตำรวจเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้คุมตัวขึ้นรถไปได้ เมื่อเขาเดินทางจากไป บรรดานักข่าวก็ไม่ได้รีรอ รีบตาม

ไปทันที

เดิมทีที่จากประตูทางเข้าโรงแรมเต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ กลับว่างเปล่าไม่เหลือใคร

จึงหนิงยังยืนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งควบคุมอารมณ์ได้ เธอจึง ได้เตรียมตัวจากไป

แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเมื่อหันหลังกลับไปจะพบเข้ากับแวว ตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเธออยู่

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผมสั้นจัด ทรงเป็นระเบียบ แววตาแหลมคมนั้นทำให้ผู้พบเห็น หลงใหล

ใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้แสงยามค่ำคืนแบบนี้ เผยให้เห็นออร่าที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้าง จิ่งหนิงรู้สึกว่าเธอเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน

จากนั้นเธอหันไปเห็นเลขาของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีก ทั้งรถปอร์เช่สีเงินที่อยู่ข้างๆ เธอก็คิดได้ว่าจะไปรู้จักบุคคล ที่โดดเด่นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

เธอสลัดความคิดออกจากหัว หันหลังแล้วเดินจากไป จนกระทั่งร่างเล็กๆของเธอเข้าสู่รถยนต์ ลู่จิ่งเซินจึงได้

ละสายตามาจากเธอและถามขึ้นว่า “คนเมื่อกี้นี้คือใคร?

ซูมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบตอบขึ้นว่า ท่านหมายถึงคนที่ถูก ตำรวจจับไปเมื่อกี้หรือครับ? เหมือนว่าจะเป็นคุณชายขอ งมู่ชื่อกรุ๊ปที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อน”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ผมหมายถึงคนผู้หญิงคน เมื่อกี้”

“ครับ? ” ซูมู่งุนงงเล็กน้อย “ผู้หญิงคนไหนกัน? ”

เมื่อเห็นแววตาอันไม่พอใจของลู่จิ่งเซิน ซูมู่ก็รีบพูดขึ้นมา ว่า “ท่านประธานครับ ต้องขออภัยด้วยผมจะไปตรวจสอบ เดี๋ยวนี้”

“ช่างมันเถอะ”

สายตาของเขามองไปตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออก ไปแล้วยิ้มขึ้น เขาคล้ายกับนึกอะไรออกมาได้

จากนั้นเขารีบก้าวเดินเข้าไปด้านใน ในฐานะผู้แจ้งความ จิ่งหนิงจึงต้องเดินทางไปที่สถานี ตำรวจด้วย

เมื่อทำการบันทึกข้อความเสร็จแล้ว ผู้คนจากด้านนอกก็ พากันแห่กรูเข้ามา

คนที่เดินเข้ามาเป็นคนแรกก็คือคุณย่าจิ่งหวังเสว่เหมย เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงก็ตบเข้าให้ที่หน้าของจิ่งหนิงอย่างจัง

“นังคนทรยศ? ”

หวังเสว่เหมยตัวสั่นสะท้านแล้วพูดว่า “แกรู้อยู่แก่ใจว่านั่น คือน้องสาวแท้ๆของแก ยังกล้าแจ้งตำรวจจับอีกอย่างนั้น เหรอ? แกต้องการจะยั่วให้ฉันโมโหตายยังไง? ”

จิงหนิงเช็ดโชคเลือดที่มุมปาก จากนั้นเงยดูหญิงชราที่ อยู่ตรงหน้า

“น้องสาวอย่างนั้นเหรอ? คุณหมายถึงจิ่งเสี่ยวหย่า? ”

“ไม่ต้องทำมาเป็นเสแสร้ง สื่อต่างๆพากันพูดกันให้แซ่ด บอกว่าคุณหนูจิงรองให้ท่าคู่หมั้นของคนอื่น แกไม่รู้เรื่อง หรือไง? ”

จึงหนิงก้มหน้าลงและยิ้มออกมาเบาๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอนั่นเอง….ฉันก็คิดว่ากะหรี่ที่ไหน รีบร้อนจะหาเงินซะอีก ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของฉันเอง? “

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน