วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – บทที่ 999 ไม่ต้องมีใครมาสนใจ

บทที่ 999 ไม่ต้องมีใครมาสนใจ

หลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จยังคงมีหยดน้ำหลงเหลืออยู่ ซึ่งดูยุ่งเหยิงและหล่อเหลาเมื่อเทียบกับรูปลักษณ์ที่พิถีพิถันในวันปกติของเขา

เห็นเพียงแต่เจ้าก้อนทั้งสองติดหนึบจิ่งหนิงอยู่ สีหน้าดูเคร่งขรึมพร้อมกับขึ้นเสียงว่า:“ไปเล่นเองกันเลย อย่าติดหม่ามี๊พวกหนูตลอดเวลา”

อานอานนั่งลงตรงโต๊ะข้างๆ พูดด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า“แด๊ดดี้คะ หม่ามี๊ได้อยู่กับแด๊ดดี้มาหลายวันแล้วนะคะ วันนี้หม่ามี๊ต้องอยู่กับพวกหนู แด๊ดดี้เป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ควรมาแย่งกับเด็กอย่างพวกหนูนะคะ”

ลู่จิ่งเซินหัวเราะกับท่าทีที่ตรงไปตรงมาของเธอทันที

“แย่งอะไรแย่ง?ภรรยาของแด๊ดดี้เอง พวกหนูมีสิทธิ์อะไรมาแย่ง?”

อานอานยักไหล่“แด๊ดดี้คะ แด๊ดดี้ทำอย่างนี้มันไม่ถูกต้องนะคะ!เธอก็เป็นหม่ามี๊ของพวกหนูเช่นกัน”

“หึ!”

ลู่จิ่งเซินแสดงรอยยิ้มที่เยือกเย็นออกมา

จิ่งหนิงอดหัวเราะไม่ได้ที่เห็นทั้งเด็กและผู้ใหญ่แย่งกันจนใบหน้าแดงไปหมด

ดึงมือลู่จิ่งเซิน“พอแล้ว พูดอะไรกับเด็กเนี่ย!เดี๋ยวฉันจะไปเล่นกับพวกเขาสักพัก คุณก็ไปทำธุระคุณเลย”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้ว “แต่ว่าร่างกายของคุณ……”

“ฉันไม่เป็นอะไรตั้งนานแล้ว”

จิ่งหนิงรู้สึกอบอุ่นในใจ ได้ผลักเขาอีกครั้ง“ไปเถอะ”

ลู่จิ่งเซินพอเห็นเช่นนี้ ก็หมดหนทาง จึงจะเดินจากไป

จิ่งหนิงได้เล่นกับลูกทั้งสองคนแต่เช้า พอถึงเที่ยงวัน เธอได้รับโทรศัพท์จากเฉียวฉี

ด้วยสถานการณ์ของเฉียวฉี ณ ตอนนี้ เธอก็เลยยังเป็นห่วงอยู่มาก

ดังนั้น ทันทีที่รับโทรศัพท์ เธอก็ถามถึงสถานการณ์ของทางเฉียวฉีพวกเขา

เสียงของเฉียวฉีฟังแล้วดูเหมือนจะเคร่งขรึมเล็กน้อย“พวกเราได้ตรวจสอบดูแล้ว ข่าวคราวที่ได้รับนั้นเป็นข่าวปลอม หยกที่ขุดขึ้นมาไม่ใช่แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ แต่เป็นหยกธรรมดาเท่านั้นเอง”

จิ่งหนิงรู้สึกประหลาดใจ ในเวลาเดียวกัน ก็รู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อย

เธอรู้แน่นอน ว่าข่าวคราวนี้สำหรับเฉียวฉีแล้ว มันหมายความว่าอะไร

เห็นว่าอีกแค่สามเดือนก็จะปีใหม่แล้ว

หนานกงจิ่นกำหนดให้พวกเขาหาทุกอย่างเจอก่อนปีใหม่ มิฉะนั้นพวกเขาจะตัดขาดยาของเฉียวฉี

และในตอนนี้ พวกเขาก็หาได้เพียงแค่ชิ้นเดียว

ถ้ายังดำเนินด้วยความเร็วเพียงเท่านี้ ยังเหลืออีกห้าชิ้น ก็จะหาไม่ครบก่อนปีใหม่แน่ๆ

พอนึกถึงจุดนี้ จิ่งหนิงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอีกครั้ง

“แล้วในตอนนี้พวกคุณมีข่าวอะไรอีกไหม?”

“มีอยู่อีกหนึ่งข่าวคราว แต่ยังต้องได้รับการยืนยันก่อน มีเรื่องเกิดขึ้นที่เมืองหลินนั้น พวกเราต้องกลับไปก่อน จัดการกับมันแล้วค่อยไป”

จิ่งหนิงพยักหน้า

“ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราจะพยายาม จะต้องหาให้ครบหกชิ้นก่อนปีใหม่อย่างแน่นอน”

ถึงแม้ว่าในใจยังคงเป็นห่วงอยู่มาก แต่เพราะจิ่งหนิงปลอบใจถึงขนาดนี้

เฉียวฉียิ้ม

“ฉันรู้แล้ว ขอบคุณพวกคุณนะ”

ทั้งสองคนได้คุยกันอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งถึงช่วงเวลารับประทานอาหารกลางวัน จิ่งหนิงจึงจะวางสายไป

หลังจากที่วางสายแล้ว เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่งข้อความถึงหัวเหยาและจี้หลินยวนโดยขอให้พวกเขาช่วยจับตาดูกับข่าวเกี่ยวกับแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์หน่อย

จี้หลินยวนและหัวเหยานั้นรู้เรื่องเกี่ยวกับเฉียวฉีที่ป่วย

เพราะว่า ตอนงานแต่ง พวกเขาก็อยู่ในงานนั้น เพียงแต่พวกเขารู้แค่ว่าเฉียวฉีนั้นป่วย แต่ป่วยเป็นโรคอะไร และเรื่องหลังจากนั้นที่ต่อรองกันกับหนานกงจิ่น พวกเขาก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดแล้ว

พอได้ยินว่าจิ่งหนิงกำลังสืบเรื่องแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์อยู่ หัวเหยาก็ได้หยอกล้อเธอ

“คุณก็เชื่อเรื่องอมตะนี้ด้วยหรือ?ถ้ามีเรื่องแบบนี้กันจริง คุณวางแผนไว้ว่าจะใช้กับตัวเองหรือจะให้ประธานลู่ของคุณใช้?อีกคนยังมีชีวิตอยู่แต่อีกคนได้ตายจากไปแล้ว คุณสองคนไม่เสียใจหรือ?”

จิ่งหนิงก็พูดอะไรไม่ได้ เพราะนี่เป็นความลับของเฉียวฉีพวกเขา ไม่มีพวกเขาอนุญาต ตัวเธอเองก็พูดอะไรมากไม่ได้

ดังนั้นพูดอย่างคลุมเครือว่า:“คุณไม่ต้องสนใจฉันว่าจะให้ใครใช้ ไม่ว่ายังไงคุณช่วยฉันคอยจับตามองหน่อยก็พอ”

หัวเหยาหัวเราะ และไม่ได้ซักถามต่ออีก

“ได้เลย เรื่องนี้ฉันได้จำเอาไว้แล้ว ถ้ามีข่าวคราวอะไรฉันจะแจ้งให้คุณทราบเอง”

จิ่งหนิงพยักหน้า

หลังจากที่วางสายแล้ว ในตอนเย็น จิ่งหนิงก็ได้ไปทำงานที่บริษัท

เพราะว่าช่วงนี้เธอได้ไปเมืองTกับลู่จิ่งเซินกันหมด งานที่บริษัทก็ได้กองพะเนินเทินทึกไว้เยอะมากมาย

มีศิลปินหลายคนที่มีข้อบกพร่อง และฝ่ายประชาสัมพันธ์ก็คิดแผนขึ้นมาหลายอย่างและขอให้เธอตัดสินใจ

จิ่งหนิงยุ่งมาทั้งเย็น จนกระทั่งถึงช่วงเวลาหนึ่งทุ่ม จึงถูกลู่จิ่งเซินรับกลับจากบริษัท

ลู่จิ่งเซินมองไปที่ผู้หญิงที่เหนื่อยล้าที่อยู่ข้างหน้าเขาแล้ว รู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก

“บอกคุณตั้งนานแล้ว ว่าช่วงที่ตั้งครรภ์อยู่นี้ก็พักผ่อนอยู่ที่บ้านพอ คอยอยู่กับลูกๆพวกเขา แต่คุณกลับไม่ฟังกันเลย ยังมาบริษัทเพื่อทนเหนื่อยกับงาน เพื่ออะไรกัน? หรือไม่มีคุณบริษัทก็เดินต่อไปไม่ได้แล้วหรือ?”

จิ่งหนิงหัวเราะ“ฉันอยากทำงาน แล้วอีกอย่าง นับประสาอะไรกับเหนื่อยเพียงแค่นี้ คุณคงยังไม่เห็นตอนที่ฉันทำงานอยู่ที่ประเทศF นั่นสิที่เรียกว่าเหนื่อย”

พอพูดถึงตรงนี้ ก็นิ่งไปสักพัก

นัยน์ตาของลู่จิ่งเซินดำล้ำลึกครู่หนึ่ง แต่เพียงแต่ว่าเขารีบซ่อนไว้ทัน จึงไม่ถูกจิ่งหนิงสังเกตได้

จิ่งหนิงหันมาและมองไปหาเขา “ใช่แล้ว อีกหนึ่งเดือนก็จะเป็นวันเกิดของท่านย่าจิ้นแล้ว?”

ลู่จิ่งเซินพยักหน้าตอบ“ใช่”

“ครั้งก่อนฉันได้ยินคุณย่าบอกว่า เธออยากไปประเทศFพร้อมกับคุณปู่ เพื่อไปเยี่ยมท่านย่าจิ้น”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ลู่จิ่งเซินก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง

“เธอพูดเช่นนี้ แต่ฉันรู้สึกไม่ค่อยไว้วางใจกับร่างกายของคุณปู่เท่าไหร่ คงต้องพิจารณาดีๆก่อนว่าจะให้พวกเขาไปดีไหม”

ด้วยอายุที่มากขึ้น ร่างกายของท่านปู่ลู่ยิ่งอยู่ยิ่งแย่ลง

คู่หูท่านปูกวนได้ตายจากไปก่อนหน้านี้แล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าเห็นญาติๆ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ คนที่รอบกายได้จากไปทีละคนสองคน ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ท่านปู่เริ่มใช้ชีวิตที่เรียบง่ายขึ้น แม้แต่เรื่องของตระกูลก็ไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่แล้ว

ยังโชคดีที่ยังมีท่านย่าคอยอยู่เคียงข้างเขา ถึงแม้ว่าช่วงสองปีที่ผ่านร่างกายของท่านย่าก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่โดยรวมแล้วก็ดีกว่าท่านปู่เยอะเลย

เธอและท่านย่าจิ้นในหลายปีก่อนนั้นเป็นความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ในครั้งนี้นายหญิงหชินอยากบินออกต่างประเทศ อาจเป็นเพราะคิดว่าตัวเองก็อายุมากแล้ว พอได้เจอกันครั้งหนึ่งโอกาสที่จะได้เจอก็น้อยไปอีกครั้งหนึ่ง จึงดื้อดึงอยากออกไปให้ได้

แต่ถ้าหากเธอไปละก็ ท่านปู่ลู่ไม่สามารถอยู่บ้านคนเดียวแน่ๆ และจะไปด้วยกันอย่างแน่นอน

แต่ร่างกายของเขา ก็ไม่สามารถทนความลำบากนั้นได้ ดังนั้นลู่จิ่งเซินจึงได้กังวล

จิ่งหนิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า:“ความปรารถนาของคุณย่า แน่นอนว่าไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ แต่ถ้าคุณไม่ไว้ใจจริงๆ ให้หาทีมแพทย์ที่ไว้ใจได้และติดตามตลอดทาง และก็อย่านั่งเครื่องบินโดยสารแล้ว ให้ขึ้นเครื่องบินส่วนตัวไป เมื่อไปถึงที่นั่นจะมีหมอและคนในตระกูลจิ้นคอยดูแล คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร”

ลู่จิ่งเซินพยักหน้า

“ผมก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน ถ้าหากคุณย่ายืนหยัดเช่นนี้ ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องทำอย่างนี้”

จิ่งหนิงพยักหน้า

ทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก หลังจากที่กลับถึงบ้านแล้ว ป้าหลิวได้ให้คนใช้ทำอาหารเย็นไว้ก่อนแล้ว

จิ่งหนิงได้พาเจ้าก้อนทั้งสองไปล้างมือ ถึงจะมารับประทานอาหารเย็น

แต่ในเวลานี้ ในอีกด้านหนึ่ง

ปราสาทสว่างไสวและ กู้ซือเฉียนดูเศร้าโศกเมื่อเห็นข้อความที่เขาเพิ่งส่งมา

เฉียวฉีก็ได้นั่งอยู่ข้างๆของเขา ใบหน้าไม่ค่อยดีนักพร้อมขมวดคิ้วและถามว่า:“ตระกูลหนานหมายความว่าอะไร?กำหนดการสี่เดือนยังไม่ถึง ก็บีบบังคับพวกเราขนาดนี้กันเลยหรือ?”

สีหน้ากู้ซือเฉียนหม่นหมองบูดบึ้ง มองดูหนานมู่หรงที่อยู่ในห้องนั่งเล่น

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Status: Ongoing

บทที่ 1 จับชู้คาเตียง

“มีถุงยางดูเร็กซ์ ดูอัล เพลย์เชอร์ไซซ์กลางไหม? ”

“มีค่ะ”

“แล้วก็ไวเบรเตอร์กับชุดนางแมวสวาทชุดหนึ่งด้วย”

“ได้ค่ะ จัดส่งที่ไหนคะ? ”

“โรงแรมลี่หัว ห้อง2202”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

เมื่อจิ่งหนิงมาถึงโรงแรมลี่หัวก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

เวลาดึกดื่นขนาดนี้ สำหรับคนที่ทำธุรกิจสินค้าผู้ใหญ่ แบบนี้ การนำส่งสินค้าด้วยตนเองไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

นัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างเธอ

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุก สิ่งทุกอย่างต้องแลกมาด้วยเงิน อีกอย่างมู่ยั่นเจ๋อกำลังจะ กลับมาอีกไม่กี่วันนี้

คบกันมาตั้งหกปี แต่เวลากว่าครึ่งเป็นรักระยะไกล เขา ต้องดูแลธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ เธอจะทำตัววุ่นวาย ส่งผลต่อการทำงานของเขาไม่ได้

ดีที่ความรักของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างหวานชื่นนอกจากงานในแต่ละวันแล้ว เธอยังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ด้วย อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของเขา เธอตั้งใจจะมอบของ ขวัญให้เขาอย่างเซอร์ไพรซ์

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เธอขยับหมวกสีดำที่ใส่มาให้ปิดลงมาบังหน้าไว้ จากนั้น เดินถือกล่องสินค้าเข้าไปด้านใน

โรงแรมลี่หัว เป็นสถานที่ราคาแพงขึ้นชื่อของเมืองจิ้น ผู้คนที่เดินทางมาเข้าพักล้วนเป็นระดับมหาเศรษฐี

ความโอ่อ่างดงามที่ห้องโถงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ลิฟต์ก็ ถูกประดับตกแต่งด้วยเงินและทองคำ คนที่ยืนอยู่ด้านใน ถูกแสงไฟส่องสว่างไสว

จิ่งหนิงเดินถือกล่องเข้าไปแล้วมองหาจุดหมาย

ใบหน้าอันงดงามถูกปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงดวงตา เป็นประกายคู่นั้น แฝงไปด้วยความมั่นใจ

ลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น22 “ตั้ง” ประตูเปิดออก เธอเดินออกไป กระทั่งถึงห้อง2202และกดกริ่งที่ประตู

ประตูยังไม่เปิดออก ก็มีเสียงหนุ่มสาวดังขึ้น

“อาเจ๋อ อุ๊ย? อย่าค่ะ….ของน่าจะมาส่งแล้ว”

“รอผมนะ เดี๋ยวมา”

จึงหนิงยืนยิ้มอยู่ที่ปากประตูอย่างอดไม่ได้ ของยังมาส่งไม่ถึงก็เริ่มกันแล้วเหรอเนี่ย? รีบร้อนกันจริงๆ?

ประตูถูกเปิดออกในไม่ช้า ชายผู้ออกมารับของสวมผ้า ขนหนูเพียงผืนเดียว บนร่างกายของเขายังคงมีไอน้ำอยู่

จิ่งหนิงไม่ได้มองหน้าเขา เธอยื่นกล่องใส่ของออกไป “843หยวนค่ะ? จ่ายเงินสดหรือว่าโอนคะ? ”

ชายผู้อยู่ตรงหน้าไม่ตอบ

ผ่านไปสองวินาที เสียงของชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “.

หนิง?

จิ่งหนิงตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า ร่างกายกำยำ ผมเผ้าเปียก ปอน เขามีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปิดบังร่างกายไว้ แสงไฟ เหลืองนวลส่องมายังร่างกายของเขา ผิวขาวเนียนและ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาด

ใจ อีกทั้ง ทำตัวไม่ถูก

สีหน้าของจิงหนิงตกใจเสียจนหน้าซีด

“ปั่นเจ๋อ ใครคะ? ”

“ไม่มีอะไรครับ คนมาส่งของครับ”

มู่ยั่นเจ๋อรีบพูดขึ้นก่อนที่จิ่งหนิงจะเอ่ยอะไรออกมาจาก นั้นรีบหยิบเงินจากกระเป๋ายัดใส่มือเธอและหยิบของไป อย่างรวดเร็ว

เสียงประตูปิดลงดัง “ปัง?

จึงหนิงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู มือของเธอเริ่มสั่น สีหน้า

เหนิงซีดเผือดลงทันที

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ

และมองไปยังธนบัตรที่เขายัดเข้ามาไว้ในมือ นี่มันเรื่อง ตลกบ้าบออะไรกัน? เธอหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของ ตัวเองจริงๆ

เสียงชายหนุ่มและหญิงสาวเล็ดลอดออกมานอกห้อง เธอก็ถอนหายใจยาวๆออกมา และกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเอา

ไว้

เธอหันหลังกลับและเดินตรงไปยังลิฟต์และหยิบมือถือ

ออกมา

“สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจใช่ไหมคะ? ฉันจะขอแจ้งความ ว่ามีชายหญิงค้าประเวณี ห้องพักเลขที่.”

ต่อมา20นาที

รถตำรวจคันหนึ่งจอดลงที่หน้าโรงแรมลี่หัว ข้างๆยังมีนัก ข่าวและช่างกล้องเดินตามมา เมื่อเห็นคนที่ถูกจับตัวออกมา นักข่าวก็พากันแห่เข้าไป

“นายมู่ มีคนแจ้งความว่าคุณเสพยาและซื้อบริการทาง เพศ จริงหรือไม่คะ? ”

“นายมู ในฐานะผู้สืบทอดมู่ชื่อกรุ๊ป คุณคิดว่าการกระทำ เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ?

“นายมู่ครับ ผู้หญิงคนที่อยู่กับคุณเป็นใครกันครับ? มี

ข่าวลือว่าเป็นดาราในวงการ จริงหรือไม่ครับ? ” “นายมู..”

มู่ยั่นเจ่อถูกนักข่าวล้อมไว้ แม้แต่ตำรวจก็ห้ามไว้ไม่ได้ เขากัดฟันกรอดๆและตะโกนออกมาว่า “ไปให้พ้น? ” นักข่าวพากันตกอกตกใจและถอยหลังออกไป

มู่ยั่นเจ๋อมองไปยังฝูงชน เขาพบเข้ากับจิ่งหนิง สายตา ของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?”

จึ่งหนิงเผยอยิ้ม สายตาแฝงไปด้วยการดูถูก

“คุณทำแบบนี้อย่าหวังว่าจะได้ผมไปครอง”

จิ่งหนิงเดินหน้าขึ้นไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อหน้านักข่าวและ

ตำรวจ

11 เพียะ!”

ฝ่ามือของเธอตบลงไปที่หน้าเขาอย่างจัง มู่ยั่นเจ่อถูกตบ เสียจนหน้าหัน

บรรยากาศรอบด้านเงียบลงทันใด

ทางตำรวจตกตะลึงอ้าปากค้าง ” คุณผู้หญิงคนนี้คือ.

%3D

%3D ขอโทษนะคะ มือลั่นไปเอง!”

เธอยิ้มด้วยแววตาเยือกเย็นแล้วทำท่าทางนวดข้อมือ แล้วมองไปยังมู่ยั่นเจ่อด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นพูดด้วย น้ำเสียงเยือกเย็นว่า

กระดาษชำระที่ตกลงไปในชักโครก คุณคิดว่าใครยังจะต้องการอีกกัน?ตบเมื่อสักครู่เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ทุน ที่เหลือฉันจะให้คุณชดเชยภายในสามวัน!”

แววตาของมู่ยั่นเจ่อตื่นตระหนก อะไร! ทุนอะไร !!” จึ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้น ” คุณแน่ใจนะว่าจะให้ฉันกระตุ้น

ความจำคุณ

มู่ยั่นเจ๋อก้มหน้าลงทันที

เธอหัวเราะหีๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความดูถูก เหยียดหยาม

ทางตำรวจเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้คุมตัวขึ้นรถไปได้ เมื่อเขาเดินทางจากไป บรรดานักข่าวก็ไม่ได้รีรอ รีบตาม

ไปทันที

เดิมทีที่จากประตูทางเข้าโรงแรมเต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ กลับว่างเปล่าไม่เหลือใคร

จึงหนิงยังยืนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งควบคุมอารมณ์ได้ เธอจึง ได้เตรียมตัวจากไป

แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเมื่อหันหลังกลับไปจะพบเข้ากับแวว ตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเธออยู่

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผมสั้นจัด ทรงเป็นระเบียบ แววตาแหลมคมนั้นทำให้ผู้พบเห็น หลงใหล

ใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้แสงยามค่ำคืนแบบนี้ เผยให้เห็นออร่าที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้าง จิ่งหนิงรู้สึกว่าเธอเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน

จากนั้นเธอหันไปเห็นเลขาของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีก ทั้งรถปอร์เช่สีเงินที่อยู่ข้างๆ เธอก็คิดได้ว่าจะไปรู้จักบุคคล ที่โดดเด่นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

เธอสลัดความคิดออกจากหัว หันหลังแล้วเดินจากไป จนกระทั่งร่างเล็กๆของเธอเข้าสู่รถยนต์ ลู่จิ่งเซินจึงได้

ละสายตามาจากเธอและถามขึ้นว่า “คนเมื่อกี้นี้คือใคร?

ซูมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบตอบขึ้นว่า ท่านหมายถึงคนที่ถูก ตำรวจจับไปเมื่อกี้หรือครับ? เหมือนว่าจะเป็นคุณชายขอ งมู่ชื่อกรุ๊ปที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อน”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ผมหมายถึงคนผู้หญิงคน เมื่อกี้”

“ครับ? ” ซูมู่งุนงงเล็กน้อย “ผู้หญิงคนไหนกัน? ”

เมื่อเห็นแววตาอันไม่พอใจของลู่จิ่งเซิน ซูมู่ก็รีบพูดขึ้นมา ว่า “ท่านประธานครับ ต้องขออภัยด้วยผมจะไปตรวจสอบ เดี๋ยวนี้”

“ช่างมันเถอะ”

สายตาของเขามองไปตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออก ไปแล้วยิ้มขึ้น เขาคล้ายกับนึกอะไรออกมาได้

จากนั้นเขารีบก้าวเดินเข้าไปด้านใน ในฐานะผู้แจ้งความ จิ่งหนิงจึงต้องเดินทางไปที่สถานี ตำรวจด้วย

เมื่อทำการบันทึกข้อความเสร็จแล้ว ผู้คนจากด้านนอกก็ พากันแห่กรูเข้ามา

คนที่เดินเข้ามาเป็นคนแรกก็คือคุณย่าจิ่งหวังเสว่เหมย เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงก็ตบเข้าให้ที่หน้าของจิ่งหนิงอย่างจัง

“นังคนทรยศ? ”

หวังเสว่เหมยตัวสั่นสะท้านแล้วพูดว่า “แกรู้อยู่แก่ใจว่านั่น คือน้องสาวแท้ๆของแก ยังกล้าแจ้งตำรวจจับอีกอย่างนั้น เหรอ? แกต้องการจะยั่วให้ฉันโมโหตายยังไง? ”

จิงหนิงเช็ดโชคเลือดที่มุมปาก จากนั้นเงยดูหญิงชราที่ อยู่ตรงหน้า

“น้องสาวอย่างนั้นเหรอ? คุณหมายถึงจิ่งเสี่ยวหย่า? ”

“ไม่ต้องทำมาเป็นเสแสร้ง สื่อต่างๆพากันพูดกันให้แซ่ด บอกว่าคุณหนูจิงรองให้ท่าคู่หมั้นของคนอื่น แกไม่รู้เรื่อง หรือไง? ”

จึงหนิงก้มหน้าลงและยิ้มออกมาเบาๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอนั่นเอง….ฉันก็คิดว่ากะหรี่ที่ไหน รีบร้อนจะหาเงินซะอีก ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของฉันเอง? “

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท